Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ติวเข้มวิชาฟิสิกส์ จังหวัดกำแพงเพชร

ติวเข้มวิชาฟิสิกส์ จังหวัดกำแพงเพชร

Published by phisit.yaemnun, 2019-01-16 00:30:45

Description: cover-phy

Search

Read the Text Version

วิชาฟส ิกส อาจารยอ ภิชัย ใจจติ ร

O-NET (หน้าท่ี 1) วชิ าฟิวสชิ าิกฟิสสิก์ ส์ O9 ว-ชิ NาสEามTัญ 1.พิจารณารถ A และรถ B กาลงั เคล่ือนที่เขา้ สู่ส่ีแยก C ดว้ ยความเร็วคงที่ตลอดขอ้ ใดถูกตอ้ ง 1. รถ B ถึง C ก่อนรถ A 2. รถ A และ B ถึง C พร้อมกนั 3. รถท้งั สองไม่ชนกนั ท่ีสี่แยก C 4. รถ A ถึง C ในเวลา 10 วนิ าที 5. รถ B ถึง C ในเวลา 7.5 วนิ าที 2.ตารางรถทวั ร์ของบริษทั แห่งหน่ึง ถึงปลายทาง ระยะจากตน้ ทางถึง สาย รถออก เวลา ปลายทาง (กม.) รถทวั ร์ เวลา 8:30 น. A 6:00 น. 7:30 น. 150 B 6:00 น. 8:18 น. 105 C 7:00 น. 9:20 น. 130 D 7:20 น. 80 จงเรียงลาดบั สายท่ีมีอตั ราเร็วเฉล่ียมากไปหานอ้ ย 1. A , C , B , D 2. A , D , B , C 3. B , C , A , D 4. C , B , A , D 5. C , B , D , A

O-NET (หน้าที่ 2) 3. วตั ถุหน่ึงกาลงั เคลื่อนที่เป็ นแนวตรงบนพ้ืนราบ ท่ีเวลา t = 10 วนิ าที และ t = 30 วนิ าที วตั ถุมีอตั ราเร็วเท่ากบั 10 เมตรต่อวินาที และ 24 เมตรต่อวนิ าที ตามลาดบั ดงั ภาพ ขนาดของความเร่งเฉล่ียในช่วงเวลา t = 10 วนิ าที ถึง t = 30 วนิ าที มีค่าเทา่ ใด 1. 0.70 เมตรต่อวนิ าที 2. 0.80 เมตรต่อวนิ าที 3. 0.85 เมตรต่อวนิ าที 4. 0.90 เมตรต่อวนิ าที 5. 1.70 เมตรต่อวนิ าที 4.ปล่อยลูกกลมยางจากหยดุ น่ิงใหต้ กในแนวด่ิง ลูกกลมใชเ้ วลาเคลื่อนท่ี 0.5 วนิ าที จึงกระทบพ้ืน จากน้นั ลูกกลมกระดอนจากพ้นื กลบั ข้ึนไปตามแนวดิ่งอีกคร้ัง โดยใชเ้ วลาอีก 0.4 วนิ าที จึงถึงจุดสูงสุด ซ่ึงอยตู่ ่ากวา่ จุดปล่อย ดงั ภาพ อตั ราเร็วขณะกระดอนข้ึนจากท่ี ( v2) เป็นกี่เท่าของอตั ราเร็วขณะกระทบพ้นื ( v1 ) 1. 0.4 เทา่ 2. 0.5 เท่า 3. 0.8 เทา่ 4. 0.9 เท่า 5. 1.3 เทา่

O-NET (หน้าท่ี 3) 5.ทดลองการเคล่ือนที่แบบโพรเจกไทล์ โดยไม่มีแรงตา้ นอากาศ ดงั ภาพ ต้งั ค่าเคร่ืองยงิ อตั โนมตั ิใหย้ งิ วตั ถุดว้ ยความเร็วเริ่มตน้ ขนาด Vo ทามุม  กบั แนวระดบั ที่แตกต่างกนั บนั ทึก ปริมาณ ต่อไปน้ี 1.ระยะทางที่วตั ถุเคลื่อนที่ไดต้ ามระดบั (R) 2.ความสูงมากที่สุดที่วตั ถุเคลื่อนท่ีไดต้ ามแนวด่ิง (H) คร้ังที่ 1 V0(m/s)  (O) R(m) H (m) 1 5 30 2.21 0.32 2 5 45 2.55 0.64 3 5 60 2.21 0.97 4 10 30 8.84 1.28 5 10 45 10.20 2.55 6 10 60 8.84 3.83 ข้อความ ใช่/ไม่ใช่ ใช่/ไม่ใช่ 1.ขณะวตั ถุเคล่ือนที่เหนือพ้ืน อตั ราเร็วในแนวด่ิงและแนว ใช่/ไม่ใช่ ระดบั มีคา่ คงตวั เสมอ ใช่/ไม่ใช่ 2.การยงิ วตั ถุดว้ ยมุมยงิ เท่ากนั อตั ราเร็วเร่ิมตน้ ของการยงิ ที่ มากกวา่ จะทาใหว้ ตั ถุ เคลื่อนที่ข้ึนในแนวด่ิงไดส้ ูงกวา่ 3.พจิ ารณาการยงิ 2 คร้ัง ที่มีมุมยงิ ต่างกนั วตั ถุจะตกที่ ต่าแหน่งเดียวกนั กต็ ่อเม่ือใช้ อตั ราเร็วเริ่มตน้ เทา่ กนั และมุมยงิ ท้งั สองคร้ังน้นั บวกกนั ได้ 90 องศาพอดี

O-NET (หน้าที่ 4) 6.การเล้ียวโคง้ บนถนนราบอยา่ งปลอดภยั ควรขบั รถดว้ ยอตั ราเร็วต่า เพื่อใหแ้ รงสู่ศูนยก์ ลางมีขนาดนอ้ ยกวา่ แรง เสียดทานสูงสุดระหวา่ งลอ้ กบั พ้ืนถนน ซ่ึงขนาดของแรงสู่ศนู ยก์ ลาง ( FC) แปรผนั ตรงกบั อตั ราเร็วยกกาลงั สอง ( V2 ) และแปรผกผนั กบั รัศมีของวงกลม (r) หรือเขียนไดว้ า่ FC  V2 r พิจารณาการเล้ียวโคง้ ท่ีมีลกั ษณะเป็นส่วนของวงกลมรัศมีเทา่ กบั r1 และ r2 ดงั ภาพ r2 r1 พิจารณาขอ้ ความต่อไปน้ี ก. ความเร็วของรถ มีทิศทางต้งั ฉากกบั ทิศทางการเคลื่อนที่ ข. แรงเสียดทานระหวา่ งลอ้ และถนน มีทิศทางต้งั ฉากกบั ทิศทางการเคล่ือนที่ ค. หากเล้ียวโคง้ ดว้ ยอตั ราเร็วเท่ากนั โคง้ รัศมี r1 มีโอกาสหลุดโคง้ มากกวา่ โคง้ รัศมี r2 ขอ้ ความใดกล่าวถูกตอ้ ง 3. ค. เท่าน้นั 4. ก และ ข 5. ข และ ค 1.ก เทา่ น้นั 2. ข. เท่าน้นั 7.กาหนดให้ ความเร่งโนม้ ถ่วงที่พ้นื ผิวดาวเคราะห์ A เท่ากบั 3 เมตรต่อวนิ าที2 ความเร่งโนม้ ถ่วงท่ีพ้นื ผิวดาวเคราะห์ B เท่ากบั 1 เมตรต่อวนิ าที2 ถา้ ชง่ั น้าหนกั ของวตั ถุมวล 2 กิโลกรัม บนพ้ืนผวิ ดาวเคราะห์ท้งั สอง น้าหนกั ของวตั ถุมี ณ ดาวดวงใดมีค่ามากวา่ กนั และมากกวา่ กนั เทา่ ใด 1. น้าหนกั ของวตั ถุบนดาวเคราะห์ A มากวา่ และ มากกวา่ 2 นิวตนั 2. น้าหนกั ของวตั ถุบนดาวเคราะห์ A มากกวา่ และมากกวา่ 4 นิวตนั 3. น้าหนกั ของวตั ถุบนดาวเคราะห์ B มากกวา่ และมากกวา่ 2 นิวตนั 4. น้าหนกั ของวตั ถุบนดาวเคราะห์ B มากกวา่ และมากกวา่ 4 นิวตนั 5. น้าหนกั ของวตั ถุบนดาวเคราะห์ A และ B เทา่ กนั

O-NET (หน้าท่ี 5) 8.เม่ือวางอนุภาค A B และ C ในบริเวณท่ีมี กาหนดให้ แทนสนามไฟฟ้ า แทนทิศทางการเคลื่อนท่ีของอนุภาค จากภาพที่ 1 อนุภาคใดมีประจุไฟฟ้ าเป็นบวก และเมื่อยงิ อนุภาค A B และ C เขา้ ไปในแนวต้งั ฉากกบั สนามไฟฟ้ า ดงั ภาพที่ 2 อนุภาคใดจะเคล่ือนท่ีโดยไมเ่ บน ( ตอบตามลาดบั ) 1. A และ B 2. A และ C 3. B และ B 4. C และ A 5. C และ B 9. ขอ้ ความใดเป็ นเหตุผลหลกั ท่ีทาใหโ้ ปรตอนหลายตวั สามารถอยใู่ กลก้ นั ภายในนิวเคลียสได้ 1. นิวตรอนซ่ึงมีประจุลบ สร้างแรงไฟฟ้ าดึงดูดโปรตอน อนุภาคท้งั สองจึงดึงดูดกนั และ อยรู่ วมกนั ที่นิวเคลียส 2. แรงดึงดูดทางแม่เหล็กระหวา่ งโปรตอนมีขนาดมากกวา่ แรงผลกั ทางไฟฟ้ า จึงทาให้โปรตอน ดึงดูดกนั และอยรู่ วมกนั ที่นิวเคลียส 3. แรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งนิวคลีออนมีขนาดมากกวา่ แรงผลกั ทางไฟฟ้ า ทาใหโ้ ปรตอนและนิวตรอน ยดึ เหน่ียวกนั และอยรู่ วมกนั ท่ีนิวเคลียส 4. เกิดการสลายของนิวเคลียสท่ีใหอ้ นุภาคบีตา อนุภาคบีตาจึงสร้างแรงไฟฟ้ าดึงดูดต่อโปรตอน ส่งผลใหโ้ ปรตอนอยใู่ กลก้ นั ในนิวเคลียสได้ 5. โปรตอนแต่ละตวั มีประจุไฟฟ้ าชนิดเดียวกนั จึงสร้างแรงไฟฟ้ าดึงดูดเขา้ หากนั ในระยะห่าง ที่เหมาะสม โปรตอนและนิวตรอนจึงยดึ เหน่ียวกนั และอยรู่ วมกนั ท่ีนิวเคลียส

O-NET (หน้าที่ 6) 10. ศึกษาการเคล่ือนที่แบบฮาร์มอนิกอยา่ งง่าย โดยปล่อยลูกตุม้ จากจุด A พบวา่ ลูกตุม้ แกวง่ จากจุด A ผา่ นจุด B ไปถึงจุด C แลว้ จึงแกวง่ กลบั มาถึงจุด B อีกคร้ัง ใชเ้ วลารวมท้งั สิ้น 3.0 วนิ าที ความถ่ีของการแกวง่ เป็นเท่าใด 1. 4.0 เฮิรตซ์ 2. 1.0 เฮิรตซ์ 3.0.50 เฮิรตซ์ 4.0.33 เฮิรตซ์ 5.0.25 เฮิรตซ์ 11.คลื่นขบวนหน่ึง มีความถ่ี 10 Hz และระยะห่างระหวา่ งสนั คล่ืนที่ 1 ถึงสนั คล่ืน 6 เท่ากบั 5.0 เมตร ดงั ภาพ 5.0 เมตร ในการเคล่ือนที่เป็นระยะทาง 100.0 เมตร คล่ืนจะใชเ้ วลาเคล่ือนที่เป็นเทา่ ใด 1. 0.3 วนิ าที 2. 2.0 วนิ าที 3. 10.0 วนิ าที 4. 12.0 วนิ าที 5. 20.0 วนิ าที

O-NET (หน้าท่ี 7) 12.กาหนดให้ พลงั งาน ( E ) ของคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้ าแปรผนั ตรงกบั ความถี่ ( f ) ของคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้ า Ef พิจารณาการแบง่ สเปคตรัมของคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้ าออกเป็น 5 ช่วง ตามความยาวคล่ืนน้ี a bc de ความยาวคล่ืน (m) 10-13 10-9 10-7 10-6 10-3 10-1 กาหนดใหอ้ ตั ราเร็วของคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟ้ าในสูญญากาศ 3 x 108 เมตร / วินาที จากขอ้ มลู ขา้ งตน้ ขอ้ ใดถูกตอ้ ง 1. คลื่นช่วง a มีความถี่นอ้ ยสุด 2. คลื่นช่วง e มีพลงั งานมากสุด 3. คลื่นช่วง b มีพลงั งานมากกวา่ คลื่นช่วง d 4. คลื่นไมโครเวฟความยาวคล่ืน 1 เซนติเมตร ถูกจดั อยใู่ นช่วง d 5. หากแสงที่ตารับรู้ไดอ้ ยใู่ นช่วง c รังสีอินฟราเรดจะอยใู่ นช่วง b 13.ส่งคล่ืนวทิ ยุ ความถ่ี 3 x 107 Hz จากเสาวทิ ยุ A ไปยงั B ท่ีอยหู่ ่างออกไปทางขวามือของระนาบกระดาษ กาหนดให้ เสาวทิ ยุ A สร้างแมเ่ หล็กในทิศทางตามแนวบน - ล่าง เทียบกบั ระนาบของกระดาษ คล่ืนวทิ ยเุ คลื่อนท่ีดว้ ยอตั ราเร็ว 3 x 108 เมตรตอ่ วนิ าที เม่ือพจิ ารณาเฉพาะคล่ืนวทิ ยุที่เดินทางเป็ นแนวตรง จากเสาวทิ ยุ A ไป เสาวทิ ยุ B ในแนวซา้ ย – ขวา เทา่ น้นั คลื่นวทิ ยนุ ้ีมีความยาวคลื่นเท่าใด และ สนามไฟฟ้ ามีทิศทางเป็นอยา่ งไร ตามลาดบั 1. ความยาวคล่ืน 10 เมตร และทิศทางตามแนวบน – ล่าง 2. ความยาวคล่ืน 10 เมตร และทิศทางตามแนวซา้ ย – ขวา 3. ความยาวคล่ืน 10 เมตร และทิศทางตามพงุ่ เขา้ – พุง่ ออก ต้งั ฉากกบั ระนาบกระดาษ 4. ความยาวคลื่น 90 เมตร และทิศทางตามแนวบน-ล่าง 5. ความยาวคล่ืน 90 เมตร และทิศทางตามแนวพุง่ เขา้ -พงุ่ ออก ต้งั ฉากกบั ระนาบกระดาษ

O-NET (หน้าท่ี 8) 14.พิจารณาการเคล่ือนท่ีของคล่ืนน้าและแนวของหนา้ คลื่นดงั ต่อไปน้ี กาหนดให้ ภาพใดแสดงแนวของหนา้ คล่ืนไดถ้ ูกตอ้ ง 1. ภาพท่ี 1 เท่าน้นั 2. ภาพท่ี 1 และ 2 3. ภาพที่ 1 และ 3 4. ภาพท่ี 2 และ 3 5. ภาพท่ี 1 2 และ 3

O-NET (หน้าท่ี 9) 15.ชายหูตึงคนหน่ึง สามารถไดย้ นิ เสียงเมื่อเสียงที่เขาไดร้ ับความเขม้ เสียงไม่นอ้ ยกวา่ 1108 วตั ต์ / ตารางเมตร หากเขาตอ้ งการไดย้ นิ เสียงที่ออกจากแหล่งกาเนิดเสียงที่เป็นจุด ซ่ึงมีกาลงั 104 วตั ต์ และ แผค่ ลื่นเสียง ออกไปทุกทิศทาง หนา้ คล่ืนเป็นทรงกลม แสดงในสองมิติไดด้ งั ภาพ ชายหูตึง หนา้ คลื่น R แหลง่ กาเนิดเสียง กาหนดให้ พ้ืนท่ีผวิ ทรงกลมเทา่ กบั 4R2 เมื่อ R คือ รัศมีของทรงกลม I  P เมื่อ I คือ ความเขม้ เสียง P คือ กาลงั เสียง และ A คือ พ้นื ที่รองรับเสียง ชายคนนA้ีสามารถอยหู่ ่างจากแหล่งกาเนิดเสียงไดม้ ากที่สุดก่ีเมตร โดยยงั คงไดย้ นิ เสียงอยู่ 1. 5 เมตร 2. 50 เมตร 3. 0.005 4. 50 5. 104    16. เป่ าขลุ่ย 2 เลาพร้อมกนั ที่ตวั โนต้ ตวั เดียวกนั เป็นเวลา 10 วนิ าที แต่เนื่องจากความไม่สมบูรณ์ของขลุ่ย ทาใหเ้ กิดเสียงบีตส์ นบั เสียงดงั ได้ 20 คร้ัง ถา้ ความถ่ีของตวั โนต้ จากขลุ่ยเลาหน่ึงคือ 350 Hz ความถี่ ที่เป็นไปไดข้ องตวั โนต้ จากขลุ่ยอีกเลาหน่ึงมีค่าเท่าใด (มี 2 คาตอบ) 2. 1. 346 Hz 3. 2. 348 Hz 4. 3. 349 Hz 5. 4. 351 Hz 6. 5. 352 Hz 7. 6. 354 Hz

O-NET (หน้าท่ี 10) 17.พิจารณาปฏิกิริยานิวเคลียร์ต่อไปน้ี (1) 1 H  2 H  3 He  X 1 1 2 (2) 1 n  U235  141 Ba  92 Kr  3Y 0 56 36 92 กาหนดให้ X และ Y คือ อนุภาคหรือรังสีที่ไดจ้ ากปฏิกิริยานิวเคลียร์ ขอ้ ความใดกล่าวถูกตอ้ ง 1. ปฏิกิริยานิวเคลียร์ (1) เป็นนิวเคลียร์ฟิ ชชนั 2. ปฏิกิริยานิวเคลียร์ (2) เป็นนิวเคลียร์ฟิ วชนั 3. X เป็นกลางทางไฟฟ้ า 4. Y มีประจุไฟฟ้ าเป็นลบ 5. X หรือ Y อาจเบี่ยงเบนเม่ือเคล่ือนท่ีผา่ นสนามแม่เหลก็ 18. พจิ ารณาปฏิกิริยานิวเคลียร์ต่อไปน้ี 23He  23He  24He  11H  11H ปฏิกิริยานิวเคลียร์ขา้ งตน้ เป็นปฏิกิริยาประเภทใด และให้พลงั งานนิวเคลียร์เท่าใด กาหนดให้ มวลอะตอมรวมก่อนและหลงั เกิดปฏิกิริยา เท่ากบั M1 และ M2 ตามลาดบั โดยที่ M1  M2 c คือ อตั ราเร็วของแสงในสุญญากาศ 1. นิวเคลียร์ฟิ วชนั ใหพ้ ลงั งาน M1  M2 c2 2. นิวเคลียร์ฟิ วชนั ใหพ้ ลงั งาน M1  M2 c2 3. นิวเคลียร์ฟิ วชนั ใหพ้ ลงั งาน M1  M2  c2 4. นิวเคลียร์ฟิ ชชนั ใหพ้ ลงั งาน M1  M2 c2 5. นิวเคลียร์ฟิ ชชนั ใหพ้ ลงั งาน M1  M2  c2

O-NET (หน้าท่ี 11) 19.พิจารณาการสลายของนิวเคลียส ดงั สมการตอ่ ไปน้ี กาหนดให้ X Y และ Z คือ อนุภาคหรือรังสีที่ไดจ้ ากการสลาย จากขอ้ มูล การเรียงลาดบั ความสามารถในการเคลื่อนที่ทะลุผา่ นสิ่งกีดขวางของอนุภาค X Y และ Z ตาม ขอ้ ใดที่เรียงจากต่าที่สุดไปสูงท่ีสุดไดถ้ ูกตอ้ ง 1. X Z Y 2. Y Z X 3. Y X Z 4. Z X Y 5. Z Y X 20 .กาหนดให้ ไอโซโทปกมั มนั ตรังสี A มีคร่ึงชีวติ เท่ากบั 4 วนั ไอโซโทปกมั มนั ตรังสี B มีคร่ึงชีวติ เท่ากบั 12 วนั ถา้ ในตอนเร่ิมตน้ ไอโซโทปท้งั สองมีปริมาณเท่ากนั เมื่อเวลาผา่ นไป 12 วนั ปริมาณของไอโซโทป B ที่เหลือ เป็นก่ีเทา่ ของไอโซโทป A ที่เหลือ 1. 16 เท่า 2. 8 เทา่ 3. 4 เท่า 4. 3 เทา่ 5. 0.5 เท่า


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook