ใหส้ งั เกตด ู เราตงั้ ใจเดนิ แตก่ ลบั มคี วามคดิ ปรากฏขนึ้ มา แปลวา่ ความคิดท่ีมันปรากฏข้ึนนั้น มันท�ำด้วยตัวของมันเอง เม่ือมันท�ำ ด้วยตัวของมันเอง มันเป็นตัวของมันเอง มันก็คือการปรากฏขึ้น ของธรรมชาติอีกตัวหน่ึง ที่เรยี กว่า จิต นยิ ามการปฏิบตั ธิ รรมของหลวงปูเ่ ทยี นจึงใช้คำ� วา่ “เห็นกายเคล่ือนไหว เหน็ ใจนึกคิด” เพราะฉะน้ัน ในขณะท่ีเราเห็นกายเคลื่อนไหว เราระลึกรู้กับ อากัปกิริยาการเคลื่อนไหวนี้ คือการท�ำงานของกาย คืออาการของ กายที่แสดงออกมาให้เราเห็น และเม่ือใดก็ตามมีความคิดเกิดขึ้น น่ันคือจิตแสดงอาการ แสดงการงานของมันออกมาให้เราเห็น จง 50 สงั เกตเหน็ ทั้งสองอยา่ งน้ี อาจารย์จะพาพวกเราไปสู่กระบวนการเรียนรู้ และสังเกตให ้ ชัดเจนขึ้น กับความเป็นทุกข์แห่งกายท่ีอยู่ใต้กฎพระไตรลักษณ ์ กายมันแสดงความเป็นทุกข์อย่างไร และอาจารย์จะพาเราไปเห็น อีกว่า จิตมันแสดงความเป็นทุกข์อย่างไร แล้วเวลาใจมันเป็นทุกข์ (ใจเปน็ ทกุ ขท์ ท่ี ำ� ใหเ้ ปน็ ทกุ ข)์ ทเี่ รยี กวา่ ทกุ ขอ์ ปุ าทาน มนั เกดิ ขนึ้ ได้ อย่างไร วนั น้พี ระอาจารย์มี ๔ เรื่องดว้ ยกัน คือ ๑. ต้ังกรรมฐาน ตัง้ ใจท�ำทลี ะครง้ั รู้ทลี ะคร้ัง จบลงทลี ะคร้ัง ๒. พาไปสังเกตว่า ทุกข์กายที่อยู่ใต้กฎพระไตรลักษณ์ เป็น อย่างไร ๓. พาไปสงั เกตวา่ จติ มนั เปน็ ทกุ ข ์ ภายใตก้ ฎพระไตรลกั ษณ์ เปน็ อยา่ งไร ปี ใ ห ม่ ชี ว ิ ต ใ ห ม่ จิ ต ใ ห ม่
พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต อ ก ิ ญฺ จ โ น ๔. ทุกขอ์ ปุ าทาน เกดิ ขึน้ ได้อยา่ งไร จะเข้าใจมันได้อยา่ งไร ทุกข์กายกับทุกข์จิต เป็นเร่ืองของพระไตรลักษณ์ ท�ำอะไร ไม่ได้ ทุกข์กายอาจจะบำ� บัดช่วยมันได้ หรือบางทีมันก็บำ� บัดตัวมัน เองได ้ สว่ นทกุ ขจ์ ติ ท�ำอะไรไมไ่ ดน้ อกจากยอมรบั แตท่ กุ ขอ์ ปุ าทาน คือกิจท่ีตอ้ งทำ� “เอวนั ตปิ ะรวิ ฏั ฏงั ทวาทะสาการงั ยะถาภตู งั ญาณะทสั สะนงั นะ สวุ ิสทุ ธัง อะโหส ิ ฯ” (ธมั มจกั กัปปวัตตนสูตร) แปลวา่ เมอื่ ใดเราไดเ้ หน็ ตามความเปน็ จรงิ มรี อบ ๓ อาการ 51 ๑๒ การเหน็ นนั้ หมดจดดว้ ยดีแก่เราดแี ล้ว เราจงึ ประกาศวา่ เราได้ ตรัสรูพ้ รอ้ มแล้วซึง่ อนุตตรสมั มาสัมโพธิญาณ ✤
52 ปี ใ ห ม่ ชี ว ิ ต ใ ห ม่ จิ ต ใ ห ม่
พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต อ ก ิ ญฺ จ โ น ภาวะผู้รู้ ผู้ดู 53 แยกกาย แยกจิต แยกรูป แยกนาม แยกว่า ๒ อย่างน้ี เป็นคนละธาตุ คนละวัตถุ
ตาใน ตาใจ ตาสติ 55 เมื่อก้ีเราต้ังกรรมฐานใช่ไหม เราเอาการเคล่ือนไหวของกาย เป็นฐาน เพ่ือให้ใจระลึกรู้ใช่ไหม เพราะฉะนั้น เวลาเราเคล่ือนไหว กายน ่ี ลองขยบั มอื ซ ิ รไู้ หม ? (ร)ู้ ตอ้ งใชต้ าดไู หม ? (ไมต่ อ้ ง) ทมี่ นั ร ู้ เพราะอะไร ?...เพราะใจมนั ร ู้ ตาใน ตาใจ ตาสต ิ เราเรยี กมนั วา่ “จกั ข”ุ เราเรม่ิ ตน้ จากการเอา ตาใน ตาใจ ตาสต ิ มาสงั เกตดกู ารเคลอ่ื นไหว ในระบบ ๑๔ จังหวะ เพราะฉะนั้น ตัวน้ีเห็นเคล่ือนไหวไหม เอา ตาใน ตาใจ มาดูกายเคลื่อนไหว ดูไปดูมา มีส่ิงหน่ึงเกิดขึ้นก็คือ ความคิด ใจทม่ี ันคดิ ออกไป
56 พอเราเอาตาใน ตาใจ มาสังเกตกาย ขณะท่ีกายเคลื่อนไหว มันกลับมีความคิดปรากฏ ดูต่อไปความคิดก็ปรากฏอีก ดูไป ดูมา ความคดิ กป็ รากฏอกี เรากเ็ ลยไปเหน็ วา่ ขณะนนั้ มกี ายเคลอ่ื นไหวอย่ ู ก็มีใจคิด กลายเป็นว่า เราเห็นกายเคล่ือนไหว เห็นใจนึกคิด ดูไป ดมู า กเ็ รม่ิ เหน็ วา่ ตวั กายนมี่ นั กม็ ธี รรมชาตขิ องมนั อกี อยา่ งหนงึ่ ขณะท่ี ตวั ความคดิ หรอื จติ มนั กม็ ธี รรมชาตขิ องมนั อกี อยา่ งหนง่ึ เมอื่ เราเหน็ วา่ กายเปน็ ธรรมชาตอิ ยา่ งหนงึ่ จติ เปน็ ธรรมชาตอิ กี อยา่ งหนง่ึ มนั ก็ เลยมองเห็นว่ากายเป็นวัตถุอย่างหน่ึง แล้วก็มองเห็นว่าความคิด หรือจิตเป็นวัตถุอีกอย่างหนึ่ง ภาวะแห่งการมองเห็นว่ามันเป็นวัตถ ุ ปี ใ ห ม่ ชี วิ ต ใ ห ม่ จิ ต ใ ห ม่
พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต อ ก ิ ญฺ จ โ น คนละอย่างน้ี ตัวตาในตาใจมันพัฒนาไปเป็นญาณ วิปัสสนาญาณ จึงเป็นภาวะแห่งการแยกกาย แยกจิต แยกรูป แยกนาม แยกว่า สองอย่างน้ีเป็นคนละธาตุ คนละอย่าง คนละวัตถุ ญาณจึงปรากฏ ในลักษณะของการเห็นว่า กายเป็นวัตถุอย่างหนึ่ง จิตก็เป็นวัตถ ุ อย่างหนง่ึ ภาวะแหง่ ญาณ เปน็ ภาวะทอ่ี สิ ระจากการเหน็ มนั ไมอ่ งิ อาศยั กายอยา่ งเดยี ว แรกๆ เราจะอาศยั องิ กายไว ้ ดงั นน้ั หลายคนพอเกดิ ความคิดข้ึนปั๊บ หลายคนจึงมีมือค้างบ้าง เพราะไปอิงอาศัยกับกาย มากไป แตพ่ อมนั เกดิ ภาวะพอดสี มดลุ เขา้ เปน็ มชั ฌมิ า เปน็ กลางๆ ดีแล้วน่ี มันจะไม่อิงกะกาย แต่มันจะลอยตัวออกมาเป็นอิสระ อาจารย์เลยเขียนเป็น UFO มันลอยอยู่ มันไม่ติดกับอะไร แต่มัน 57 เห็นทุกอย่าง ญาณ คือภาวะแห่งการเป็น ผู้รู้ ผู้ดู เคยได้ยินไหม “ปฏบิ ตั ไิ ปเถอะ เดยี๋ วผรู้ จู้ ะปรากฏ” ผรู้ กู้ ค็ อื ตวั จกั ข ุ หรอื ตาในท ี่ พฒั นาไปเป็นญาณ ในธัมมจักกัปปวตั ตนสูตร จึงบอกวา่ “จกั ขุเกดิ ข้นึ แลว้ แก่เรา ญาณเกดิ ขน้ึ แลว้ แก่เรา ปัญญาเกิดข้ึนแล้วแก่เรา วิชชาเกิดข้ึนแล้วแก่เรา อาโลโก เกิดขึ้นแลว้ แกเ่ รา” หลวงปเู่ ทยี นจงึ ใชค้ ำ� วา่ “เหน็ กายเคลอื่ นไหว เหน็ ใจนกึ คดิ ” น้ันแปลว่ามีก่ีตัว ?... ๓ ตัว มีกายเคลื่อนไหว มีใจนึกคิด แล้วก็ม ี ตวั เหน็ มญี าณ ซง่ึ กค็ อื ภาวะผรู้ ทู้ ม่ี นั เดน่ ขน้ึ มา ไมอ่ งิ อะไร มอี สิ ระท่ี จะดู เวลาเราเคล่ือนไหว เราจึงเห็นกายเคลื่อนไหว พอใจมันคิดจึง เห็นว่าใจนึกคิด มันเห็นท้ังสองอย่างไปในตัวเลย เวลาเรายกมือไป ยกมอื มา สงั เกตไหมวา่ มนั จะมคี วามคดิ เกดิ ขนึ้ แวบ๊ ขน้ึ มาอยเู่ รอ่ื ยๆ
พอญาณเหน็ กายเปน็ วตั ถ ุ เหน็ จติ เปน็ วตั ถ ุ มนั แยกกาย แยก จิตออกมา และญาณก็ยังเห็นอีกว่า กายที่เป็นวัตถุนั้น “มีอาการ” อาการของกายทีแ่ สดงออกคือ - อิรยิ าบถใหญ่ - อิริยาบถยอ่ ย - หายใจเขา้ หายใจออก - อาการตา่ งๆ ทเี่ กดิ กบั กาย เชน่ ปวดหวั ตวั รอ้ น เยน็ หนาว ร้อน ลมตี ปวดอุจจาระ ปสั สาวะ จติ เปน็ วตั ถเุ หมอื นกนั กม็ อี าการ อาการของจติ กค็ อื ความคดิ นนั่ เอง เพราะฉะนน้ั เวลาเราแยกเรอื่ งกาย เรอ่ื งจติ เราจงึ มาดอู าการ 60 ของมนั วา่ มนั มคี วามแตกตา่ งกนั อาการทางกายมาในรปู อริ ยิ าบถใหญ่ อิริยาบถย่อย หายใจเข้า หายใจออก และอาการต่างๆ ที่เกิดกับ กาย อาการของจติ แสดงออกในรปู แบบของความคดิ เพราะฉะนน้ั สองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างเด็ดขาด จะเห็นได้ว่า อาการของกาย อยู่ฝ่ายรูปธรรม ส่วนอาการของจิต ออกในฝ่ายนามธรรม เมื่อเรา แยกอยา่ งนเี้ ปน็ ปบ๊ั ... มนั กน็ �ำพาเราไปส ู่ การจะเปน็ คนใหม ่ เพราะ การเข้าใจตรงน้ีได้ เรียกว่าเป็น “เบ้ืองต้นของวิปัสสนา” เพราะ วิปัสสนาญาณท่ี ๑ จึงบังคับตายตัวว่า แยกกายแยกจิต แยกรูป แยกนามได ้ ✤ ปี ใ ห ม่ ชี ว ิ ต ใ ห ม่ จ ิ ต ใ ห ม่
รู้ทุกข์ รู้ไตรลักษณ์ รู้ความพ้นทุกข์
ปริญญา ๓ 63 กายมีอาการผ่านอิริยาบถ และอาการต่างๆ ทางกาย จิตมี อาการผ่านความคิดท่ีเกิดข้ึนมากมาย แท้ที่จริง พอเราสังเกตไป สงั เกตมาเราจงึ รวู้ า่ อาการทเี่ กดิ ขน้ึ กบั กาย ทเ่ี ปน็ อยา่ งนน้ั เพราะวา่ มันเป็น ทุกขัง อนิจจัง และอนัตตา ในขณะท่ีจิตแสดงออกในรูป ความคิด ท่ีมันเป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่ามันอยู่ภายใต้กฎ อนิจจัง ทกุ ขงั อนตั ตา แลว้ เราจะทำ� อยา่ งไรเลา่ ในการทจ่ี ะเหน็ ความจรงิ วา่ อาการเหล่านี้มันมีอยู่จริง และเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันก ็ ต้องมาเรียนด้วยวิธกี ารอย่างน้ี ชาวพทุ ธเรากต็ ้องรู้จกั ทำ� ปรญิ ญา... การเรียนรูท้ างพทุ ธศาสนา ตอ้ งท�ำปรญิ ญาใหค้ รบสามใบ
ÞҵлÃÞÞÒ “¡Ó˹´ÃÙ‡ ” Ç‹Ò໚¹·Ø¡¢ 64 µÕÃглÃÞÞÒ Ã¤‡Ù ÇÒÁ໚¹ äµÃÅѡɳ »ÐËҹлÃÞÞÒ ÃÙ¤‡ ÇÒÁ¾Œ¹·Ø¡¢ ปี ใ ห ม่ ชี ว ิ ต ใ ห ม่ จ ิ ต ใ ห ม่
พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต อ ก ิ ญฺ จ โ น ปรญิ ญา = ปร ิ + อญั ญา แปลวา่ รโู้ ดยรอบ ปร ิ แปลวา่ รอบๆ (เหมอื นปรมิ ณฑล) คอื กำ� หนดรวู้ า่ เปน็ ทกุ ข ์ การเหน็ อาการของกาย ผา่ นอริ ยิ าบถ เหน็ อาการของจติ ผา่ นความคดิ ตอ้ งเหน็ ในความเปน็ “ทกุ ข”์ ถา้ เราเหน็ อริ ยิ าบถ หรอื อาการของกาย แตเ่ ราไมก่ �ำหนดรวู้ า่ มนั เปน็ ทกุ ข ์ กแ็ ปลวา่ เรายงั ทำ� วปิ สั สนาไมเ่ ปน็ เพราะฉะนน้ั การทำ� วิปัสสนานั้นจะต้อง เห็นอาการเหล่าน้ันว่ามันเป็นทุกข์ การกำ� หนด รวู้ า่ มนั เปน็ ทกุ ข ์ จงึ เปน็ เรอื่ งสำ� คญั ในพระพทุ ธศาสนา ตราบใดกต็ าม ที่เราไม่ก�ำหนด หรือแยกไม่ออกว่ามันเป็นทุกข์ เราจะไม่มีทางหา ทางออกจากทกุ ข ์ คนมากมายทเ่ี ปน็ ทกุ ข ์ แตไ่ มเ่ คยคดิ ออกจากทกุ ข ์ กม็ ี หรือไม่เคยเข้าใจวา่ ตวั เองเป็นทกุ ข์กม็ ี “เปน็ ทกุ ขไ์ หมน่ี ? โกรธอย่นู ่ี !” 65 “เปลา่ ...โกรธเฉยๆ” “ท�ำไมละ่ ?” “ใครๆ เขาก็เปน็ ...” หรอื เหมอื น แมพ่ ระอาจารยน์ ะ แมโ่ ทรหาพระอาจารย ์ “หมอ่ มๆ ไม่รู้เป็นอะไรน่ี ตามันมืด ตามันมัว อ่านหนังสือ อยู่ดีๆ ตากม็ ัวข้นึ มา” “ตกใจไหม” พระอาจารย์ถาม “บ ่ ไม่ตกใจ... กลัวเฉยๆ” แม่พระอาจารย์ไม่ตกใจ แต่กลัว แล้วระหว่างตกใจกับกลัว อันไหนหนกั กวา่ กนั ? น่ีแหละ คนบางคนเป็นทุกข์ แต่ไม่รู้ว่าเป็นทุกข์ เพราะมัน เคยชนิ ทจี่ ะอยกู่ บั อาการเหลา่ นนั้ ดงั นน้ั การกำ� หนดวา่ มนั เปน็ ทกุ ข ์
จึงเป็นเร่ืองส�ำคัญมาก การก�ำหนดรู้ว่าเป็นทุกข์ ทางพุทธศาสนา เราจึงให้ก�ำหนดว่ามันเป็นทุกข์อะไรบ้าง ทุกข์กาย ทุกข์จิต และ ทกุ ข์อุปาทาน ถ้าแยกไมเ่ ปน็ กระบวนการจดั การมนั จะทำ� ได้ไหม ? เครยี ด เปน็ ทกุ ขอ์ ะไร ? (ทกุ ขจ์ ติ ) หวิ ? (ทกุ ขก์ าย) ถา้ มนั ดไู มท่ นั ก ็ กลายเป็นทกุ ข์อุปาทาน กลายเป็นโกรธ ไม่พอใจ เป็นนู่นเป็นนไ่ี ด้ จากท่ีเราเห็นว่าเราเป็นตัวเป็นตน แท้จริงแล้วมันประกอบไป ดว้ ย กาย กบั จติ และก ็ ตวั ร ู้ เอางา่ ยๆ แบบนกี้ อ่ น แลว้ กก็ �ำหนด รู้ทกุ ข์กาย ก�ำหนดรูท้ กุ ข์จติ กำ� หนดรูท้ กุ ข์กายทำ� อย่างไร ? ✤ 66 ¡Ó˹´Ã‡·Ù Ø¡¢ ¡Ó˹´Ã·Ù‡ ¡Ø ¢ ¡Ò ¨µÔ ปี ใ ห ม่ ชี ว ิ ต ใ ห ม่ จิ ต ใ ห ม่
ทุกข์กาย เราแค่ “บ�ำบัด” ทุกข์จิต เราแค่ “ยอมรับ” ทุกข์อุปาทาน เราแค่ “ละ”
การกำ� หนดร้ ู “ทุกข์” 69 ๑. การก�ำหนดร้ทู กุ ข์กาย ๑. ให้สังเกตเห็น “อิริยาบถ” อื่นๆ ท่ีปรากฏ นอกเหนือจาก ทเี่ ราก�ำหนด (ทกุ ขงั ) ๒. ให้สังเกตเห็น “อาการ” ต่างๆ ท่ีเกิดกับกาย นอกเหนือ จากที่เราก�ำหนด (ทุกขัง) เวลาเราดูลมหายใจเข้า ออก เรียกว่า ก�ำหนดลมหายใจเข้า ออก เวลาเราเดนิ จงกรม เรยี กวา่ เรากำ� หนดการเดนิ เวลาเรายกมอื สร้างจังหวะ เรียกว่าเราก�ำหนดสร้างจังหวะ แต่เม่ือใดก็ตามขณะ กำ� หนดลมหายใจเขา้ ออกอย ู่ มนั กลบั ไปรบั รหู้ รอื ไปเหน็ อาการ หรอื อริ ยิ าบถอนื่ นอกจากลมหายใจกม็ ี หรอื ขณะนง่ั ยกมอื สรา้ งจงั หวะอย ู่
มีไหมมันไปรับรู้อิริยาบถอื่น เช่น กระพริบตา กล้ามเน้ือกระตุก ลมหายใจเข้าออก หรือไปรู้อาการอื่น ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ เราจึงเรียกว่าให้สังเกตเห็นอิริยาบถอื่นๆ ให้สังเกตอาการต่างๆ ท่เี กดิ ข้นึ กบั กาย นอกเหนอื จากทเ่ี รากำ� หนด เรากำ� หนดอะไรบางอยา่ งไวเ้ ปน็ ฐาน เพอื่ ทจ่ี ะสงั เกตเหน็ อนั อน่ื ๆ ท่ีจะปรากฏให้เห็น ในเมื่ออากัปกิริยาอื่นที่เกิดข้ึนกับกาย มันเป็น สงิ่ ทม่ี อี ยแู่ ตเ่ รากลบั ไมเ่ คยกำ� หนดร ู้ เพราะเวลาเราปฏบิ ตั ิ ตงั้ กรรม- ฐาน เราไปมุ่งม่ันจมจ่ออยู่กับกรรมฐานน้ันๆ จนแนบเข้าไปในฐาน นนั้ ๆ เลยไมเ่ คยสงั เกตสงิ่ อนื่ ๆ ทเี่ กดิ ขน้ึ นอกเหนอื จากทเี่ รากำ� หนด อันน้ันคือการท�ำกรรมฐานแบบรุ่นเก่า รุ่นก่อนพระพุทธเจ้าเกิด 70 รนุ่ ปญั จวคั คยี ์ รนุ่ ฤๅษชี ไี พร ซงึ่ เขาไมเ่ คยสงั เกตเหน็ เหลา่ น ี้ เขารแู้ ต่ ว่าถ้าจะก�ำหนดรูปฌาน ก็จะท�ำรูปฌาน หรือก�ำหนดอรูปฌาน แต ่ เขาไมเ่ คยสงั เกตเหน็ อะไรเลย เขามงุ่ ไปสคู่ วามสงบของใจอยา่ งเดยี ว ไม่ได้สนใจสังเกต บังเอิญว่า เจ้าชายสิทธัตถะเคยท�ำแบบนั้นมา ๖ ป ี มนั ไมท่ ำ� ใหพ้ ระองคเ์ ปลย่ี นเปน็ คนใหมเ่ ลย ย่�ำอยกู่ บั ท ่ี ถามวา่ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะทำ� จติ ใหส้ งบไดไ้ หม...ได.้ .. แตม่ นั ไมท่ ำ� ใหท้ า่ นเปลย่ี น เป็นพระพุทธเจ้า จนกระท่ังคืนวันเพ็ญเดือน ๖ ที่พระองค์ตรัสรู ้ พระองคม์ าสงั เกตวา่ กายทดี่ ขู ณะทพ่ี ระองคต์ ง้ั ลมหายใจเขา้ ออกอย่ ู มนั มอี าการตา่ งๆ ปรากฏเกดิ ขนึ้ กบั กาย ท�ำไมเปน็ เชน่ นนั้ ทแี่ ทม้ นั เป็นทุกข ์ มนั จึงแสดงอาการความเปน็ ทกุ ขอ์ อกมา เพราะฉะน้นั สงิ่ น้ีอาจารยจ์ งึ บอกวา่ ถา้ เราปฏิบัตแิ ลว้ ใหเ้ รา สังเกตเห็นอิริยาบถอื่นๆ ท่ีปรากฏนอกเหนือจากที่เราก�ำหนด เรา ก�ำหนดลมหายใจ มันก็มีอาการอื่นนอกเหนือจากที่เราก�ำหนด ปี ใ ห ม่ ชี ว ิ ต ใ ห ม่ จิ ต ใ ห ม่
พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต อ ก ิ ญฺ จ โ น ลมหายใจ หรอื เรากำ� หนดเดนิ จงกรม กม็ อี าการตา่ งๆ ทน่ี อกเหนอื จากเดนิ จงกรม หรอื เรากำ� หนด ๑๔ จงั หวะ กม็ อี าการตา่ งๆ ปรากฏ นอกเหนอื จาก ๑๔ จงั หวะทเ่ี รากำ� หนด แลว้ อาการเหลา่ นน้ั มนั เกดิ ขึ้นได้อย่างไร เพราะ... มันเป็นเอง มันเป็นของมันเอง ดูไปดูมา ความเป็นของมันเอง มันจึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา พระองค์ จึงเข้าใจอาการน้ัน แล้วจึงตั้งช่ือมันว่า “อนัตตา” แต่อาการความ เปน็ อนตั ตา มนั เปน็ เอง คำ� วา่ “อนตั ตา” จงึ เปน็ ศพั ทใ์ หมท่ พี่ ระพทุ ธ- องค์ใช้อธบิ ายกบั ปญั จวคั คยี ์ ในบททช่ี อื่ วา่ อนตั ตลักขณสตู ร อนัตตลักขณสูตร คือ พระสูตรที่ว่าด้วย ลักษณะความเป็น อนตั ตา พระพทุ ธเจา้ ทรงอธิบายแกป่ ัญจวคั คยี ์วา่ “สงิ่ ทง้ั หลายเปน็ อนตั ตา รูปเป็นอนตั ตา 71 ท�ำไมรปู เปน็ อนัตตาเลา่ ? ภิกษุท้ังหลาย... เธอหวงั ว่า รปู จงเปน็ เชน่ นีเ้ ถดิ รูปอย่าเปน็ เชน่ นนั้ เลย ขอรูปจงเป็นอย่างน้ี ขอรูปอย่าเป็นอย่างนน้ั อย่างนี้ เธอขอมนั ไดไ้ หม ? (ไม่ได)้ เม่ือเธอขอไม่ได้ แปลว่าเธอบงั คบั บญั ชามนั ไดไ้ หม ? เม่ือบังคับบัญชามันไมไ่ ด้ มันจงึ เป็น อนัตตา” พระพทุ ธเจา้ ตอ้ งอธบิ ายคำ� วา่ “อนตั ตา” ใหป้ ญั จวคั คยี ร์ ู้ เพราะ เปน็ ศพั ทท์ พี่ ระองคส์ รา้ งขน้ึ มาจากการเหน็ อาการ “มนั เปน็ ของมนั เอง” อาจารย์ใช้เวลาต้ังนาน กว่าจะเข้าใจกับมัน แต่ก็ไม่นานเท่า พระผู้มีพระภาคเจ้า กว่าพระพุทธเจ้าจะเห็น กว่าพระองค์จะเข้าใจ แลว้ เอามาสอนเรา เราเป็นคนได้รับมรดกทพี่ ระองค์สร้าง
๒. การกำ� หนดรทู้ ุกขจ์ ิต • สงั เกตเหน็ “จติ ” ไมอ่ าจทนอยกู่ บั “กาย” ไดต้ ลอดเวลา (ทุกขงั ) ยังไง ? ก็ไอ้ตัวเผลอคิดน่ะ สังเกตไหม เราท�ำกรรมฐานอยู่ มนั กแ็ วบ๊ ออกไป เอากลบั มา เดย๋ี วมนั กแ็ วบ๊ ออกไป ทำ� ไมมนั ถงึ เผลอ คิด ? ท�ำจิตวอกแวก ? ท�ำไมจิตออกจากฐาน ? บางคนจะตอบเป็น แพคเกจตายตวั วา่ “มนั ไมเ่ ปน็ สมาธ”ิ , “จติ ยงั ไมน่ งิ่ ”... ไมใ่ ชน่ ะ แท้ ที่จริงเป็นเพราะจิตทนอยู่กับกายไม่ได้ตลอดเวลา แป๊บหนึ่ง เด๋ียวก ็ ออกไปแลว้ สงั เกตเวลาเราปฏบิ ตั ธิ รรม คณุ จะใชอ้ ะไรเปน็ ฐานกต็ าม 72 ใช้พุทโธเป็นฐาน ใช้ลมหายใจเป็นฐาน ใช้การเดินจงกรมเป็นฐาน ใช้การเคล่ือนไหว ๑๔ จังหวะเป็นฐาน หรือยุบพองเป็นฐานก็ตาม สง่ิ ทเี่ หมอื นกนั ตลอดกค็ อื “ใจเผลอคดิ ออกไป” นคี่ อื ความเปน็ ทกุ ขงั • สงั เกตเหน็ การเกิด - ดับของความคิด (ทกุ ขัง) เวลามนั คดิ แลว้ ความคดิ มนั คาอยตู่ ลอดเวลาไหม ?...ไม ่ มนั คดิ แลว้ มนั กด็ บั ไป ภาวะแหง่ การ เกดิ - ดบั เกดิ - ดบั คอื ภาวะแหง่ การ ทนอยู่ไม่ได้ เราจึงเรียกอาการน้ันว่า “ความเป็นทุกขัง” ถ้าเราไป สงั เกตดจู ติ กค็ อื สงั เกตดคู วามคดิ สงั เกตดคู วามคดิ วา่ มนั เกดิ - ดบั เกดิ - ดบั ... น่คี อื ความเป็นทกุ ขงั ของจิต ปี ใ ห ม่ ชี ว ิ ต ใ ห ม่ จ ิ ต ใ ห ม่
พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต อ ก ิ ญฺ จ โ น • สังเกตเห็นความแปรปรวน เปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลา ของจติ (อนจิ จงั ) หมายถงึ วา่ ความคดิ นะ่ มนั ไมไ่ ดค้ ดิ เรอื่ งเดยี วตลอด เดย๋ี วก็ ไปเรอื่ งนนู้ เดย๋ี วกไ็ ปเรอ่ื งนอ้ี ยตู่ ลอดเวลา นน่ั คอื “ความเปน็ อนจิ จงั ” นนั่ กค็ อื ทกุ ขก์ ายกบั ทกุ ขจ์ ติ มนั อยภู่ ายใตก้ ฎพระไตรลกั ษณ ์ ปญั หา ก็คือ ทุกข์ทางกาย มีบางอย่างที่บ�ำบัดได้ เช่น ปวดอุจจาระ ปวด ปัสสาวะ หิว กระหาย ป่วย บางอย่างไม่ช่วยมัน มันก็บ�ำบัดตัว มันเองก็มี อย่างปวดเมื่อย ทนๆ ไปบางทีก็หาย แต่พอมาดูเร่ือง ของจติ เราตอ้ งบำ� บดั ไหม ? ความเปน็ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา ของจติ เราท�ำอะไรมันไม่ได้ นอกจากเห็นตามความเป็นจริงและยอมรับกฎ พระไตรลกั ษณ ์ เพราะฉะนนั้ ตอ่ ไปนม้ี นั คดิ กเ็ รอื่ งของมนั มนั ทนอย่ ู 73 กบั กายไมไ่ ด ้ เรารทู้ นั กบั มนั กจ็ บ อยา่ เอาถกู เอาผดิ กบั มนั มนั เกดิ เดย๋ี วมนั กด็ บั มนั แปรปรวนอยา่ งนน้ั อยา่ งนก้ี ช็ า่ งมนั มนั กเ็ ปน็ อยา่ ง นัน้ เราแคร่ กู้ ับมนั รู้สกึ ตัว ๓. การก�ำหนดรู้ทกุ ขอ์ ปุ าทาน กำ� หนดรทู้ กุ ขอ์ รยิ สจั หรอื ทกุ ขอ์ ปุ าทานดว้ ยการเหน็ ใจทเ่ี ขา้ ไป ยดึ ในอาการของกายของจติ ทป่ี รากฏ ซงึ่ เปน็ อาการทเ่ี กดิ จากอำ� นาจ ของพระไตรลกั ษณ ์ แตใ่ จมนั ดนั ไปยดึ ในอาการเหลา่ นน้ั แลว้ ปฏเิ สธ กฎพระไตรลักษณ์ จึงเรียกอาการนี้ว่า เป็นการเข้าไปมีอุปาทาน ยึดม่ันถือม่ันในอาการท่ีปรากฏ มันจึงเป็น “สมุทัย” นี่แหละ ท ่ี
พระพทุ ธเจ้าจะใหเ้ ราไปเหน็ (รวมท้งั อาจารย์ดว้ ย) ทกุ ข์กายเปน็ อ�ำนาจของพระไตรลักษณ์ ทุกขจ์ ติ ก็เป็นอ�ำนาจของพระไตรลักษณ์ แต.่ ..ทกุ ขอ์ ปุ าทานเปน็ อำ� นาจของอวชิ ชา ความไมร่ ู้ ความหลง ทุกข์อุปาทาน เกิดจากการที่ใจเข้าไปยึดม่ันถือม่ันกับอาการ ของกาย ของจติ ซงึ่ อาการของกายของจติ มันก�ำลังแสดงไปตามกฎ พระไตรลักษณ์ แต่ใจเรามันเผลอเข้าไปปฏิเสธ ไม่อยากได้กฎพระ ไตรลกั ษณท์ ก่ี ำ� ลงั แสดงตวั ดว้ ยความเปน็ ทกุ ขงั อนจิ จงั และอนตั ตา ไม่...ฉันไม่อยากให้ร่างกายเป็นอย่างน้ัน อย่างน้ัน ฉันไม่อยากให้ จิตฉันเป็นอย่างน้ัน อย่างน้ัน มันเข้าไปยึดแล้วปฏิเสธกฎพระไตร- 74 ลักษณ์ มันจึงเป็นสมุทัย หน้าท่ีก็คือต้อง “ละ” ละได้ด้วยการไม่ให้ ความหมายใดๆ ด้วยการกลับมารู้สึกตัว ความรู้สึกตัวก็คือมรรค เมื่อเราใช้ความรู้สึกตัวปุ๊บ มันจะละอาการยึด เม่ือมันละอาการ ยึดทกุ ข์มันก็จะดับ นิโรธก็จะปรากฏอยตู่ รงนัน้ ทุกข์อุปาทานน้ีเอง คือทุกข์ที่พระองค์ต้องการให้เราจัดการ โดยเดด็ ขาด เพราะ... ทกุ ขข์ องกาย ทอ่ี ยภู่ ายใตก้ ฎพระไตรลกั ษณ ์ เราแค ่ “บำ� บดั ” ทุกข์ของจิต ที่อยูใ่ ตก้ ฎพระไตรลักษณ ์ เราแค ่ “ยอมรับ” แต่...ทุกข์อุปาทาน ท่ีเกิดจากความหลง จากอวิชชานั้น ต้อง กำ� จดั ด้วยการ “ละ” น้คี อื กิจท่ตี อ้ งทำ� พระพทุ ธเจ้าเวลาแสดงธรรมจบ มักจะมีบทตอนทา้ ยวา่ “ภกิ ษุเหลา่ นัน้ มใี จช่นื ชมยินดใี นภาษิต จงึ เห็นว่า ปี ใ ห ม่ ชี วิ ต ใ ห ม่ จิ ต ใ ห ม่
พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต อ ก ิ ญฺ จ โ น กจิ ท่ีควรท�ำในเรือ่ งน้นั ไดท้ �ำจบแล้ว กจิ อนื่ เพ่ือเรอื่ งนนั้ ไมม่ ีอกี แล้ว” เรื่องน้ันก็คือเรื่องการดับทุกข์ในอริยสัจ หรือทุกข์อุปาทานนี้ เมื่อดับทุกข์ตัวนี้ได้แล้ว ก็ไม่มีกิจอ่ืนท่ีต้องทำ� ในเร่ืองน้ีอีกแล้ว แต ่ พระอรหันต์ยังมีกิจอ่ืน เพื่อเร่ืองอ่ืน เพื่อทำ� ต่อโลก เพื่อมวลมนุษย์ เพ่ือเวไนยสตั ว์ เปน็ กจิ อื่นๆ อกี เยอะมาก ทา่ นแสดงให้เหน็ วา่ การ ทำ� งานโดยไม่ทกุ ข์นนั้ มีอย่ ู เพราะจติ ท่ีต้องจดั การ ทา่ นทำ� จบแลว้ สรปุ ใหเ้ ห็นชัดข้นึ อกี ครง้ั 75 ก�ำหนดรทู้ กุ ขก์ าย • ให้สังเกตเห็น “อิริยาบถ” อื่นๆ ท่ีปรากฏนอกเหนือจากท่ี เรากำ� หนด (ทุกขงั ) • ใหส้ งั เกตเหน็ “อาการ” ตา่ งๆ ทเี่ กดิ ขนึ้ กบั กาย นอกเหนอื จากทเ่ี รากำ� หนด (ทกุ ขัง) ถา้ เรากำ� หนดรทู้ กุ ขต์ รงนเี้ ปน็ เราจะเขา้ ใจวา่ ทำ� ไมพระพทุ ธเจา้ หรือพระอริยเจ้าทั้งหลายจึงบอกว่า กายน้ีมันเป็นก้อนทุกข์ ต้อง บ�ำบัดอยู่ทุกขณะ ต้องวนเวียนบ�ำบัดทุกข์ในมันอยู่ร่�ำไป ท่านจึง หน่ายต่อการท่ีจะมีภพชาติอีก เพราะถ้ามีภพชาติอีก ก็ต้องมีกาย อกี เมอ่ื มีกายอกี ก็ต้องบ�ำบัดมนั อีก
ก�ำหนดรูท้ ุกข์จติ • สังเกตเห็น “จิต” ไม่อาจทนอยู่กับ “กาย” ได้ตลอดเวลา (ทกุ ขงั ) • สังเกตเหน็ การ เกิด - ดบั ของความคดิ (ทุกขัง) • สังเกตเห็นความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดของจิต (อนิจจงั ) เพราะฉะนั้น แทนท่ีจะไปโกรธ ไปเครยี ด ไมพ่ อใจกับมนั “คดิ อีกแล้ว...” “คดิ อะไรกันนกั กันหนา...” ถา้ มนั ตอบได ้ คงจะตอบวา่ “กกู ำ� ลงั แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความจรงิ ! 76 ท�ำไมไมเ่ หน็ สักที” กำ� หนดรูท้ กุ ขอ์ ุปาทาน สังเกตอาการท่ีใจมันเผลอเข้าไปยึดในอาการของกาย อาการ ของจติ ทปี่ รากฏ พอมนั ยดึ ปบุ๊ มนั จะเกดิ ความพอใจ ความไมพ่ อใจ เราเรยี กอาการนน้ั วา่ “ทกุ ขอ์ ปุ าทาน” ใหล้ ะทกุ ขอ์ ปุ าทานนดี้ ว้ ยการ กลบั มารสู้ ึกตวั สรุป...ง่ายไหม ?... พุทธศาสนาทั้งหมดเรียนแค่นี้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เปน็ ไปเพื่อ ๓ เรอ่ื งนี้ ปี ใ ห ม่ ชี ว ิ ต ใ ห ม่ จ ิ ต ใ ห ม่
พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต อ ก ิ ญฺ จ โ น เรามากำ� หนดทุกขก์ นั ทกุ ข์กาย • เอามอื วางทีห่ วั เข่าทง้ั สองขา้ ง • เอามอื เคาะหวั เขา่ เบาๆ ไมม่ ากไมน่ อ้ ย (ใหก้ ำ� หนดกรรมฐาน แค่น้ี แทนทจี่ ะเปน็ เดินจงกรมหรือ ๑๔ จงั หวะ) • ลมื ตา ส�ำรวมสายตามองลงทพี่ นื้ • นัง่ ไปเรอ่ื ยๆ และสังเกตดอู าการทเี่ กดิ ขนึ้ - มอี าการของกาย อริ ยิ าบถทเี่ กดิ ขนึ้ มอี าการนอกเหนอื จากทีเ่ รากำ� หนดไหม 77 - ให้เราเห็นมัน น่ีไงมันก�ำลังแสดงความเป็นทุกขัง บางอย่างใหเ้ ราเห็น • ให้ลืมตา เพราะถ้าหลับตาเราจะไม่เห็นความทุกข์ท่ีเกิดกับ เปลือกตา ก่อนที่มันจะกะพริบตา เพราะปกติพวกเรา กะพริบตาฟรี โดยไม่เคยสังเกต บัดน้ีเราจะไม่กระพริบตา ฟรีๆ เราจะนัง่ สงั เกตไป • การสังเกตไม่ใช่เป็นการเพ่งจ้องไปที่ตำ� แหน่งใด เอาความ รู้สึกตัว เอาญาณเข้ามาครอบ ดูอาการของกายที่เกิดขึ้น อย่างท่วั ๆ สบายๆ เบาๆ อาการเกิดข้นึ ก็สงั เกตเห็น • อาการทางกายใดที่เป็นทุกข์แล้ว เราบำ� บัดช่วยมันได้ หัด บ�ำบัด • อาการใดเราไม่อยากบ�ำบัด จะลองว่ามันบ�ำบัดเองได้ไหม ก็ลองให้มนั ทนเอา
78 ทุกขจ์ ติ • เปน็ เรื่องของจิต ทมี่ นั จะวง่ิ เขา้ ว่งิ ออก • จติ มันทนอยูก่ บั กายไมไ่ ด้ มนั กอ็ อก • จติ ออกไป ปบุ๊ ...รู้ทนั มนั กจ็ ะกลบั มา • ออกไปอีก...กลบั มาอีก ออกไปอกี ...กลับมาอกี • ใหเ้ ห็นความเปน็ ทกุ ขังของมนั • มันออกไป เกดิ แลว้ ก็ดับ เกิดแล้วกด็ ับ ก็ให้เหน็ มัน • มันแปรปรวนไปเร่ือยๆ กเ็ หน็ มนั • อยกู่ บั ความรูส้ กึ ตวั สบายๆ ตรงนี้ ทกุ ขอ์ ุปาทาน • ใหส้ งั เกตดภู าวะซอ้ น ถา้ อาการกายปรากฏ แลว้ เหน็ อาการ ใจที่มันเข้าไปยึดในอาการน้ัน แล้วหงุดหงิดร�ำคาญ เป็น ทุกข์กบั อาการนั้น เราก็ยม้ิ ๆ... เห็นแล้ว ทุกข์อปุ าทาน • จัดการทุกข์อุปาทานก่อน กลับมารู้สึกตัวให้ทุกข์อุปาทาน มันดบั ไป บ�ำบัดทกุ ขก์ าย • สงั เกตทกุ ขก์ ายทมี่ นั เขา้ ไปยดึ เมอ่ื ก ้ี วา่ เราควรจะบำ� บดั ชว่ ย มนั ไหม ถ้าทำ� ได้ก ็ “ตัง้ ใจ” ขยับ “ตง้ั ใจเปลี่ยน” • สังเกตการเกดิ และดบั ของทุกข์กาย เพราะว่ามันถกู บ�ำบัด • อย่ารีบร้อนบ�ำบัด ถ้าใจพยายามดิ้นรนอยากให้เราบ�ำบัด ปี ใ ห ม่ ชี วิ ต ใ ห ม่ จ ิ ต ใ ห ม่
พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต อ ก ิ ญฺ จ โ น จงเหน็ วา่ นัน่ คือทุกข์อุปาทาน • ละทกุ ขอ์ ปุ าทานดว้ ยการกลบั มารสู้ กึ ตวั กอ่ น ใหท้ กุ ขอ์ ปุ าทาน นนั้ ดบั ไปก่อน • ดูอีกทีว่าควรบ�ำบัดไหม อย่าบ�ำบัดทุกข์กายด้วยอุปาทาน คอื ใจท่ผี ลกั ดนั ใจที่ดิ้นรน • แตถ่ า้ ความคดิ ตา่ งๆ เกดิ ขน้ึ นน่ั เปน็ ทกุ ขจ์ ติ วางใจเปน็ กลาง อย่าไปเป็นอะไรกับมัน • แต่ถ้าเกิดความหงุดหงิด ไม่พอใจในความคิดท่ีเกิดขึ้น นั่น แปลวา่ ...เราก�ำลงั ไปมีทกุ ข์อุปาทานกับมนั • จดั การทุกข์อปุ าทานน้ัน ดว้ ยการกลบั มารู้สกึ ตวั (เร่ิมปฏิบัติ จนกว่าอาจารยจ์ ะบอกใหเ้ ลิก) 79 ค�ำสอนของพระอาจารยช์ ่วงปฏบิ ัต ิ (ช่วงแรกแคเ่ คาะมอื เบาๆ ท่ีเข่า) • อยา่ หลบั ตา จะไดเ้ หน็ วา่ กอ่ นทม่ี นั จะกระพรบิ มนั จะแสดง ความเปน็ ทกุ ขก์ อ่ น มอี าการบางอยา่ งทเ่ี ปลอื กตา จนสดุ ทา้ ยมนั ตอ้ ง กระพริบ พอกระพรบิ ตากห็ าย ทกี่ ระพริบตาก็เป็นการบำ� บัดทุกข์ • ทุกข์กายต้องบำ� บัด แตก่ อ่ นบ�ำบดั ใหด้ อู าการมันก่อน • ฝึกให้เราเป็นผู้สังเกต ภาวะแห่งการเป็นผู้สังเกตการณ์คือ ภาวะแห่งญาณ ถ้าเราหมั่นเป็นผู้สังเกต ญาณของเราก็จะเด่นชัด ผรู้ จู้ ะเดน่ ชดั ญาณจะเด่นชดั มีก�ำลัง
• อาการต่างๆ ที่ปรากฏ กลายเป็นองค์ความรู้ ที่เราจะได ้ เรียนรู ้ ทีเ่ ราจะได้สงั เกต • อย่าหวาดหว่ัน วิตกกังวล ถ้าเราไปกังวลกลัวว่าอาการนั้น จะเกดิ อาการนจ้ี ะเกดิ นั่นแปลวา่ เราก�ำลงั มีทุกข์อุปาทาน • อยา่ วติ กลว่ งหนา้ อะไรมนั ยงั ไมเ่ กดิ มนั กย็ งั ไมเ่ กดิ แตอ่ ะไร จะเกิด เราจะรมู้ นั • การร้มู ันน่แี หละ คือภาวะผรู้ ู้ คอื ญาณทแ่ี ทจ้ รงิ • หลวงพอ่ คำ� เขยี นทา่ นไดบ้ อกวา่ “รตู้ ะพดึ ” มนั จะเกดิ อาการ อะไร เราก็จะรมู้ นั • หลงก็รู ้ ไมห่ ลงก็ร้ ู รู้กร็ ู้ ไมร่ ู้กร็ ู้ 80 • เคาะมือพอให้เรามฐี านอย ู่ อยา่ พยายามเรง่ เคาะ • กลัวงว่ ง ก็อยา่ ไปเรง่ เคาะ • ปริญญา คือการสังเกตอย่างรอบด้าน คือการปฏิบัติอย่าง ยง่ิ ยวด การปฏิบัติอนั ประณตี • การสงั เกตจะท�ำให้เรา “พ้น” อยู่ในตัว เพราะภาวะแหง่ ผรู้ ู้ แหง่ ผู้สงั เกตนัน้ คือภาวะแห่ง “ผูไ้ ม่เปน็ ” • ในขณะทเี่ ราเปน็ ผสู้ งั เกตดว้ ยใจตง้ั มนั่ มนั สงั เกตเหน็ แมแ้ ต่ การเต้นของหวั ใจด้วยซ�ำ้ • การสังเกตอย่างน้ีจะทำ� ให้เราเห็นความเป็นจริงว่า กายมัน มีอาการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด กายมีอาการน้ันนี้อยู่ตลอดเวลา แสดงอากัปกิริยาต่างๆ อยู่ตลอด แปลว่ามันทนอยู่ไม่ได้ ความทน อยู่ไม่ได้นี่แหละ คือความเป็นทุกขังที่กายก�ำลังแสดงให้เราเห็น ดงั นน้ั การทจ่ี ะถอนความหลงตดิ ยดึ มนั่ ในกาย มใิ ชก่ ารไปเหน็ ซากศพ ปี ใ ห ม่ ชี วิ ต ใ ห ม่ จ ิ ต ใ ห ม่
พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต อ ก ิ ญฺ จ โ น หรือการไปเห็นเป็นตับไตไส้พุง ซ่ึงเป็นเพียงจินตนาการ แต่คือ การเหน็ ทกุ ขงั เหน็ ความเปน็ อนตั ตาทกี่ ายมนั แสดงใหเ้ ราเหน็ อนั น ้ี จงึ วา่ “เห็นจรงิ ” • อยู่ๆ มันก็ไปรู้ลมหายใจ บางครั้งลมหายใจก็แน่นๆ ขึ้นมา แล้วก็ เฮ้อ !...ปล่อยออกมา มันคืออาการเป็นทุกข์ท่ีแสดงออกมา น่ีไง ที่ว่า... แม้แต่หายใจก็เป็นทุกข์ เพราะมันเป็นทุกข์มันจึงต้อง หายใจเขา้ - หายใจออก เพราะมนั เปน็ ทกุ ขม์ นั จงึ ตอ้ งกะพรบิ ตา เพราะ เปน็ ทกุ ขม์ นั จงึ ตอ้ งปวดทอ้ ง อจุ จาระ ปสั สาวะ เพราะเปน็ ทกุ ข ์ มนั จงึ ต้องคันนนู่ น ี่ เพราะมันเป็นทุกขจ์ งึ ต้องแสดงอาการน่นู อาการน่ี • ดูดีๆ จงสังเกตเห็นความเป็นทุกข์ที่มันแสดงตัวอยู่ทุกขณะ บางทีลมตีขึ้นมา เพราะมันต้องการบ�ำบัดตัวเองมันก็ขับลมออกมา 81 ดูดีๆ มันไม่มีเราเป็นคนท�ำซะหน่อย บางอาการท่ีปรากฏ เราไม่ใช่ ผไู้ ปท�ำเลย มนั ทำ� ดว้ ยตัวของมันเองทัง้ น้ัน • พอเราลืมตาไปนานๆ แสบตา เห็นความทุกข์น้ันแล้ว ช่วย มนั บำ� บดั ดว้ ยการ “ตงั้ ใจ” กะพรบิ ตา แลว้ เราจะเหน็ วา่ ออ๋ .. เพยี ง ท�ำเท่านี ้ ทุกข์กายมนั ก็ถูกบ�ำบัดได้ • ดูไปดูมา แม้แต่ลมหายใจเข้า - ออก มันก็ยังไม่สม่�ำเสมอ บางทีก็มีหายใจแบบส้ันๆ บางทีก็มีดึงยาว สังเกตดูดีๆ ลมหายใจท่ี เราไมเ่ คยสงั เกต เราผสู้ งั เกตการณก์ จ็ ะเหน็ วา่ แมล้ มหายใจนนั้ กย็ งั แสดงความไมเ่ ท่ียง ความเป็นทุกข์ไปในตัวของมันเอง • ถา้ มนั ปวด มนั เมอื่ ย สงั เกตด ู ใจมนั เรา่ รอ้ นอยากจะเปลย่ี น ไหม ถ้าใจมันรุ่มร้อน เร่าร้อนอยากจะเปลี่ยน แปลว่ามันเป็นทุกข ์ อุปาทาน ละทกุ ขอ์ ปุ าทานนัน้ ด้วยการกลับมารู้สึกตัวก่อน เม่อื ทกุ ข์
อุปาทานนั้นดับไปแล้ว เราก็กำ� หนดรู้ความเป็นทุกข์กายนั้นอีกครั้ง หนง่ึ แลว้ กค็ อ่ ยๆ ขยบั เปลย่ี นทา่ นงั่ ใหม้ นั ซกั นดิ นงึ แลว้ เราจะเหน็ วา่ อ้อ...ทกุ ข์กายตวั น ี้ เราบำ� บัดมนั กห็ าย เรียนรบู้ ำ� บดั มัน ถา้ คุณเขา้ ใจตรงนแี้ ลว้ คณุ กจ็ ะสนุกกับการใชช้ ีวิตที่เรยี บงา่ ย การกินอาหารของคุณ ก็เป็นไปเพ่ือการบ�ำบัดทุกข์กาย ไม่ใช่เพ่ือ ตอบสนองตัณหาอุปาทาน อะไรก็ได้เวลามันหิว ใส่เข้าไป พอมัน หายหิวแปลวา่ ทุกข์ดับแล้ว กจ็ บ การกนิ กจ็ ะเรยี บงา่ ย การอยอู่ าศยั กจ็ ะเรยี บงา่ ย เสอ้ื ผา้ กส็ บาย 82 แค่ใส่ ตามพระพุทธเจ้าตรัสบอกการใช้ปัจจัยส่ีจริงๆ เป็นไปเพ่ือ การบำ� บดั ทกุ ข ์ เราจะใชป้ จั จยั สตี่ ามหลกั การแหง่ การบำ� บดั ทกุ ขก์ าย ซึ่งแน่นอน ถึงตรงน้ัน ชีวิตที่ใช้อย่างพอเพียง เพียงพอ สุขง่าย เพราะก�ำหนดรู้ทุกข์ง่าย จึงสามารถมีสุขได้ง่ายๆ ด้วยการไม่ทุกข์ มันจะเกดิ ขนึ้ กับเราทนั ที ตอนนผ้ี า่ นไปแลว้ ๓๐ นาท ี สงั เกตไหม มนั ผา่ นไปไวไหม กบั การนงั่ สงั เกตดแู ลว้ บำ� บดั ทกุ ข ์ ตอนนใี้ หใ้ สก่ ารเจรญิ สต ิ ๑๔ จงั หวะ เติมลงไปแบบสบายๆ แล้วใช้การสังเกตเม่ือกี้รวมกัน ท�ำกรรมฐาน ในรูปแบบ แล้วบวกกับการสังเกตเมื่อกี้เข้าไป คุณจะได้เครื่องมือท ่ี ทรงอานุภาพทันที อาจารย์ก�ำลังเอาสองอย่างมาใส่ให้คุณ รูปแบบ การเจริญสตบิ วกกับการสงั เกต นีแ่ หละเครอื่ งมือแหง่ การตรัสรู้ ( เจริญสต ิ ๑๔ จงั หวะ ) ปี ใ ห ม่ ชี วิ ต ใ ห ม่ จิ ต ใ ห ม่
พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต อ ก ิ ญฺ จ โ น จบการปฏบิ ตั ริ วม ๒ session โดย session แรก อาจารยใ์ ห ้ เรานง่ั สงั เกตเฉยๆ ท�ำความรสู้ กึ ตวั เบาๆ กบั การเคาะมอื ๓๐ นาท ี แล้วเม่ือกี้ให้ใส่รูปแบบการเจริญสติ ๑๔ จังหวะเติมลงไป บวกกับ การสงั เกต ช่วงการสงั เกตเห็นอะไรไหม ใจฟุง้ ออกไปไหม กลับมาไดไ้ วไหม งว่ งไหม สามารถกลบั มาได้ไวไหม พอเราเปลี่ยนมาเป็นผู้สังเกตการณ์ มันมีภาวะท่ี “ไม่เข้าไป เป็น” เปน็ ทนุ เดมิ มนั หลุดง่ายเลยจากความงว่ งนัน้ 83 การสงั เกต การสังเกตเป็นศัสตราวุธท่ีเย่ียมยอด การเจริญสติเป็นก�ำลัง ภายใน ดงั นน้ั ถา้ คณุ ฝกึ การเจรญิ สตใิ หม้ กี ำ� ลงั แลว้ ใชก้ ารสงั เกตเปน็ อาวุธ ในการที่จะสังเกตอย่างรอบด้านเป็น ปร ิ + อัญญา (ปริญญา) เป็นปัญญาอันรู้รอบ ให้รู้รอบน้ัน คุณจะกลายเป็นจอมยุทธไร้เทียม ทาน เพราะไม่มีอะไรคุณจะเทียบเปรียบได้ เพราะมันไม่มีอะไรที่ จะมาเทียบเปรยี บคณุ ทกุ อย่างมันทะลผุ ่าน มันพ้นไป หลายคนทปี่ ฏบิ ตั มิ แี ตก่ ำ� ลงั ภายใน แตข่ าดอาวธุ คอื การสงั เกต หลายคนทำ� สมาธไิ ดเ้ กง่ มจี ติ ทต่ี ง้ั มน่ั แตข่ าดการสงั เกต ซงึ่ คอื อาวธุ ทส่ี ำ� คญั หลายคนอยากสงั เกตแตไ่ มม่ กี ำ� ลงั ทจี่ ะสงั เกต การเจรญิ สติ
และการสงั เกตอยา่ งรอบดา้ นทอี่ าจารยส์ อนคณุ จงึ เปน็ การผสมอยา่ ง ลงตวั ขอใหเ้ ราต้งั ใจทำ� ให้ดๆี เมื่อก้ี ถ้าเราสังเกตดูดีๆ ขณะที่เรานั่งนิ่งๆ อยู่ มีไหมอากัป- กิริยาอื่นอันปรากฏขึ้นกับกาย มีเยอะไหม (เยอะ) และมันเกิดขึ้น ด้วยตัวของมันเองด้วย เด๋ียวลมก็ตี มีปวดปัสสาวะ เม่ือย คัน มีหมดแหละ เพราะฉะนั้นคุณจะสังเกตอาการน้ัน อาการนี้ อาการ เหล่านั้นมันเกิดข้ึนได้อย่างไร มันคือภาวะแห่งการทนอยู่ไม่ได้ ทน อยู่ยากแห่งกาย ไม่อาจทนอยู่ในสภาพเดิมได้ เราเรียกภาวะน้ันว่า ทุกขัง เป็นภาวะทุกขังในพระไตรลักษณ์ และกฎไตรลักษณ์มันก็ เปน็ กฎธรรมชาตทิ ี่ มนั เปน็ เชน่ นนั้ เพราะเราฝนื กฎพระไตรลกั ษณ์ 84 ไม่ได้ เรามีได้อย่างเดียวคือยอมรับและช่วยบ�ำบัด ถ้าเป็นเรื่องของ กาย ขอใหเ้ ราสงั เกต อาการตา่ งๆ ทปี่ รากฏ ใหต้ ไี ปเลยวา่ เปน็ ความ ทุกขังของกาย เราจะได้ไม่ต้องกังวล ให้มันกลายเป็นทุกข์อุปาทาน เพื่อลดงานท่ีต้องท�ำ ไม่งั้นเราท�ำงานสะเปะสะปะ ทุกข์กายก็ยังจะ ไปจัดการกับมัน นู่นนี่น่ัน เกิดการปฏิเสธทุกข์กาย เช่น พอมัน เจ็บป่วย ไม่สบายกายขึ้นมาปั๊บ เราปฏิเสธ แทนท่ีเราจะยอมรับว่า มันคอื กฎพระไตรลกั ษณ์ เราปฏิเสธกฎพระไตรลักษณ์ที่แสดงออกในรูปแบบของการ เสือ่ มสภาพไป ตอ้ งเจบ็ ป่วย ตอ้ งชรา ชาตปิ ทิ ุกขา ชราปิทกุ ขา พยาธิปทิ ุขา มะระณมั ปทิ กุ ขงั นี่คือความทุกข์ของกายท่ีอยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์ แต่... สง่ิ เหลา่ นเ้ี ราปฏเิ สธ มนั กเ็ ลยกลายเปน็ ทกุ ขอ์ ปุ าทาน เพราะอาการ ปฏิเสธน้ันคือ “วิภวตัณหา” แทนที่เราจะยอมรับมัน เรากลับไป ปี ใ ห ม่ ชี ว ิ ต ใ ห ม่ จิ ต ใ ห ม่
พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต อ ก ิ ญฺ จ โ น สรา้ งทกุ ขใ์ หม ่ ซงึ่ กลายเปน็ ทกุ ขอ์ ปุ าทาน แลว้ ทกุ ขอ์ ปุ าทานนนั้ ถา้ เราไม่รู้ทันมัน หรอื จดั การมนั ไมไ่ ด้ มันจะเล่นงานเราหนกั มาก เคยมกี รณที ม่ี คี นบนิ ไปสวสิ เพอ่ื ไปใหห้ มอฉดี ยาทำ� การณุ ยฆาต มคี นชนื่ ชม กลา้ หาญมาก กลา้ ตาย แตค่ ณุ หารไู้ มว่ า่ นนั่ คอื การท�ำ ด้วยใจที่เป็นวิภวตัณหา ปฏิเสธ..ฉันไม่ต้องการมีชีวิตแบบนี้ ฉัน ไม่ต้องการมีสภาพแบบนี้ ฉันไม่อยากอยู่แบบน้ี นี่คือวิภวตัณหา แล้วตายแบบน้ี คณุ คิดว่าไปดีหรือไม่ดี ? มนั เป็นจติ ท่ีหลง การท่ีเรายอมรับกฎพระไตรลักษณ์ว่า กายน้ีมันมีความเส่ือม มคี วามทนอยไู่ มไ่ ด ้ มนั เปน็ อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา การทเ่ี รายอมรบั ทำ� ให ้ หนงึ่ เราไมเ่ ปน็ ทกุ ขอ์ ปุ าทาน สอง ทำ� ใหเ้ รารจู้ กั บรหิ ารจดั การ เรียกว่าบ�ำบัดทุกข์กายที่มันเส่ือมสภาพไป ด้วยการรักษาดูแล แต ่ 85 รักษาดูแลในลักษณะท่ีว่า หายก็โอเค ไม่หายก็โอเค ดังนั้นสิ่งท ่ี เกิดขึ้นกับเราก็คือ “ไม่ทุกข์” นี่คืออาการที่ใจมันไม่ทุกข์ ไม่มีทุกข์ อุปาทาน มันก็รักษาไปตามสภาพ ไม่ปฏิเสธการรักษา ใจจะอยู่ใน ลกั ษณะ “หายก็ได้ ไมห่ ายกไ็ ม่เปน็ ไร”
หายกไ็ ด้ ไม่หายกโ็ อเค อาจารย์ไปเชียงใหม่เจอผู้ป่วยในลักษณะน้ีเลย คือ หายก็ได้ ไม่หายก็ไม่เป็นไร ตอนแรกเขานิมนต์ไปให้ก�ำลังใจคนป่วยมะเร็ง ระยะสุดท้าย หลังจากคุยแบ็คกราวด์กับลูกสาว พออาจารย์ข้ึนไป หาคนไข้ปุ๊บ เช่ือไหม ข้อมูลที่ถามลูกเขามา ไม่ได้ใช้เลย เพราะ สภาพคนปว่ ย ไมใ่ ชส่ ภาพทเ่ี ราจะไปบำ� รงุ รกั ษาใจแลว้ มแี ตไ่ ปยนื ยนั วา่ ท่ีคณุ ทำ� อยนู่ ีม่ นั โอเค ...ท�ำไม ? เพราะคนป่วยพูดค�ำน.ี้ .. อาจารยค์ รบั ตง้ั แตผ่ มปว่ ย ผมเฝา้ สงั เกตตวั เองมา 86 (พอเขาใชค้ ำ� วา่ “เฝา้ สงั เกตตวั เอง” เฮย้ ...นม่ี นั วธิ กี ารทแ่ี ยบยลมาก น่ีมันศัสตราวุธท่ียิ่งใหญ่ !) ดูไป ดูมา เฮ้ย! มันไม่ใช่ของเราแล้ว... มันอยากป่วย มันก็ป่วย มันจะเป็นอะไร มันก็เป็น มันไม่เคย ขออนุญาตเราเลย อาจารย์ครับ เราท�ำอะไรไม่ได้จริงๆ ครับ เรา บงั คบั บญั ชามนั ไมไ่ ดเ้ ลย เคยปฏบิ ัติธรรมมาหรอื เปลา่ ? ไม่เคยครับ จะว่าผมปฏิบัติ ผมก็ไม่ได้ปฏิบัติ แต ่ ผมสงั เกตตวั เอง ตง้ั แตผ่ มปว่ ยมา คราวนผี้ มเรม่ิ สงั เกตเหน็ มนั ชดั ขนึ้ เลย พอผมสังเกตแล้ว ใจผมยอมรับอย่างนี้ครับพระอาจารย์ ผม ไมท่ กุ ข ์ ผมรสู้ กึ ใจผมมนั สบายๆ ตอนนหี้ มอรกั ษาผมนะครบั ใจมนั ก.็ ..รักษากร็ ักษา หายกไ็ ด้ ไม่หายกโ็ อเค ปี ใ ห ม่ ชี ว ิ ต ใ ห ม่ จิ ต ใ ห ม่
พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต อ ก ิ ญฺ จ โ น เอ่อ... ตอนแรกเขาบอกให้อาจารย์มาให้ กำ� ลงั ใจคุณน่ะ อาจารย์ว่าอาจารยไ์ ม่ให้ก�ำลงั ใจคุณแล้วละ่ อ้าว ! แล้วพระอาจารยจ์ ะมาทำ� อะไรครับ ? มายนื ยนั วา่ โอเค...แลว้ คณุ ไปเรยี นปฏบิ ตั มิ า จากไหน ? หรอื ได้ยนิ อะไรมายงั ไง ? อ๋อ... ภรรยาผมปฏิบัติธรรม แล้วเขาเล่าให้ผมฟัง 87 ผมก็เลยเอาสง่ิ น้ันน้อมเขา้ มาดูตวั เองอย่างท่เี ขาเลา่ โอ้โห ! คุณน่ีโชคดีจริงๆ มีอาชีพทางโลกก ็ สำ� เรจ็ เปน็ ผบู้ รหิ ารบรษิ ทั ยกั ษใ์ หญ ่ ปว่ ยลง...ยงั มภี รรยาเปน็ กลั ยาณ- มิตร คุณก็เลยได้สิ่งที่ดูแลคุณอยู่ตอนนี้ คุณส�ำเร็จทั้งทางโลก และตอนน้ีคุณก�ำลังส�ำเร็จในทางธรรม คุณมีกัลยาณธรรม ดูแล ตัวเองแล้ว ท�ำอย่างนี้แหละ ดูมันต่อไป สังเกตมันต่อไป สังเกต อยา่ งทคี่ ณุ พูดน่แี หละ เชอ่ื ไหม อกี ๔ - ๕ วนั แกกต็ าย อาจารยพ์ ง่ึ ไปเทศนง์ านศพแก เมอ่ื วนั ท ่ี ๕ มกราคม ทผ่ี า่ นมาใหญ้ าตๆิ เขาฟงั วา่ ญาตคิ ณุ ทต่ี ายไป เขาได้อะไร เขาสามารถส�ำเร็จทัง้ ทางโลก และเขายงั สามารถมีทพ่ี ่ึง ทางใจได ้ ✤
ยอมรับกฎพระไตรลักษณ์ เมอื่ เรายอมรบั กฎพระไตรลกั ษณ ์ เรอ่ื งของกาย ใจกไ็ มม่ ที กุ ข ์ 89 อุปาทาน และอาจารย์ยังพาคุณไปเห็นอีกว่า จิต ท่ีแสดงออกในรูป ของความคิด เพราะจิตมันไม่สามารถทนอยู่กับกายได้ตลอดเวลา เป็นภาวะของการทนอยู่ไม่ได้ ให้เราเห็น จากนั้นเห็นการ เกิด-ดับ ของมนั ความคดิ เกดิ ขนึ้ แลว้ มนั กด็ บั ความคดิ เกดิ ขน้ึ แลว้ มนั กด็ บั นี้คือความทนอยู่ไม่ได้ของจิต จากนั้นก็เห็นว่าจิตมันไม่ได้คิดเรื่อง เดียวตลอด มันแปรปรวนไปเรื่อยๆ น่ีคือความเป็นอนิจจัง เพราะ ฉะนั้น จิต มันจึงไม่ได้มีความหมายเป็นตัวเป็นตนท่ีแท้จริง มันจึง ไม่ใช่ความหมายของการเป็น “อมตะ” แบบท่ีพวกพราหมณ์ ฤๅษ ี ชไี พร เขาเชอื่ ว่าจติ น้ันเปน็ อมตะ พุทธศาสนาเรามองว่า จิตนั้นมันก็ เกิด - ดับ เกิด - ดับ อยู่ ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์ ดังนั้น จิตท่ีแสดงออกในรูปของความคิด มันไม่ใช่จิตโดยตรง ความคิดหรืออาการของจิตที่ปรากฏน้ัน ทาง
อภธิ รรมเขาเรยี กวา่ “เจตสกิ ” ทงั้ หมดมนั ก ็ เกดิ - ดบั เกดิ - ดบั เพอ่ื ยืนยันความไม่เท่ียงแท้ มันมีความเป็นทุกข์ และความเป็นอนัตตา คอื มนั ทำ� ของมนั เอง มนั เผลอคดิ มนั กค็ ดิ ของมนั เอง หมู นั ไดย้ นิ ปบุ๊ ... มันก็คิดข้ึนมา ตาเห็นปุ๊บ...มันก็คิดข้ึนมา มันท�ำของมันเองท้ังน้ัน แหละ เพราะมันคอื กลไกการท�ำงานของขันธ ์ ๕ กายกอ็ ยภู่ ายใตก้ ฎพระไตรลกั ษณ ์ จติ กอ็ ยภู่ ายใตก้ ฎพระไตร- ลักษณ์ แลว้ เราตอ้ งทำ� อยา่ งไรกบั ความเปน็ พระไตรลกั ษณข์ องจติ ? ทำ� อะไรไม่ได้...นอกจาก “ยอมรบั ” ทกุ ขงั ของจติ คณุ ไมต่ อ้ งไปทำ� อะไรมนั เลย คณุ แคเ่ หน็ ความจรงิ 90 กบั มนั วา่ มนั เปน็ อยา่ งนนั้ ยอมรบั ความจรงิ เหน็ ตามความเปน็ จรงิ แต่ส่ิงท่ีคุณต้องท�ำคือ “ทุกข์อุปาทาน” ทุกข์ท่ีใจมันไปยึดม่ัน ถอื มน่ั กบั เรอื่ งราวตา่ งๆ ทงั้ อาการทเี่ กดิ กบั กาย ทง้ั อาการทเี่ กดิ กบั จติ ทง้ั อาการทเ่ี กดิ กบั ภายนอก ทง้ั อาการทเ่ี กดิ กบั ภายใน ถา้ มนั มใี จ ท่ีเป็นอุปาทานเมื่อไรปุ๊บ..มันกลายเป็น ทุกข์อุปาทาน ทุกข์อริยสัจ อันน้ีแหละ กิจท่ีต้องท�ำของเราคือ “ละ” มัน เพราะมันเป็นท้ังทุกข์ ทงั้ สมทุ ยั ถา้ ละมนั ไดก้ เ็ ปน็ นโิ รธ กบั มรรคในตวั น.ี่ ..กจิ ทต่ี อ้ งท�ำ มนั คอื ตรงนี้ เรอื่ งแรก ทกุ ขก์ าย... ยอมรบั และชว่ ยมนั บำ� บดั ในบางอยา่ ง เรื่องท่ีสอง ทุกข์จิต... ยอมรับ เพราะท�ำอะไรไม่ได้ มันเป็น กฎของพระไตรลกั ษณ์ เรอ่ื งทสี่ าม ทกุ ขอ์ ปุ าทาน มนั คอื ความหลงผดิ มนั คอื ผลงาน ของอวิชชา ความไมร่ ้ ู ไมม่ ีสต ิ โมหะ ปี ใ ห ม่ ชี วิ ต ใ ห ม่ จ ิ ต ใ ห ม่
พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต อ ก ิ ญฺ จ โ น ส่ิงน้ีเป็นส่ิงท่ีคุณต้องก�ำหนดรู้ แล้วละมัน ด้วยการกลับมา รสู้ กึ ตวั คณุ ทำ� อยา่ งนอ้ี ยเู่ นอื งๆ จงึ เรยี กวา่ เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั อิ ยา่ งยงิ่ ยวด อยทู่ ุกขณะ พอเรายอมรับสองตัวแรก ทุกข์กาย กับทุกข์จิตแล้ว งานเรา ก็จะน้อยลง มีเพียงงานเดียวท่ีต้องท�ำคือ การเฝ้าสังเกต “ทุกข ์ อปุ าทาน” ตอนทใ่ี จมนั หลงเขา้ ไปยดึ ตรงนแี้ หละ ทเ่ี มอื่ กอ่ นอาจารย์ เคยเทศน์เร่ือง ใยแมงมุม ที่ว่าใยแมงมุมของมนุษย์ก็คือ ความคิด และความคดิ ทหี่ ลงเขา้ ไปยดึ ไดแ้ บบใยแมงมมุ นแ่ี หละทกุ ขอ์ ปุ าทาน ทีเ่ ราต้องเข้าใจและละมนั ใหไ้ ด้ เป็นเร่อื งสำ� คญั มาก ถ้าคุณสังเกตตรงน้ีให้ดีๆ คุณจะสามารถดับทุกข์อุปาทานได ้ ทุกคร้ังที่มันเกิด บทเรียนที่ย่ิงใหญ่ที่สุดเวลาคุณจัดการเรื่องนี้ได ้ 91 มนั จะทำ� ใหเ้ กดิ การเขา้ ใจความจรงิ ทวี่ า่ แทท้ จ่ี รงิ แลว้ ... “เราเหน็ เจา้ เสยี แล้ว เจ้าจะท�ำเรอื นใหเ้ ราไม่ไดอ้ กี ต่อไป” มันเป็นอัตตาตัวตน เป็นนู่นเป็นน่ีสารพัด ถ้าทันตัวน้ีมันจะ ชว่ ยใหเ้ ราทกุ ขน์ อ้ ยลงเรอ่ื ยๆ จนถงึ ขน้ั ไมม่ ที กุ ขเ์ ลย มเี พยี งทกุ ขส์ ภาวะ คือ ทุกข์พระไตรลักษณ์ท�ำงาน แต่ไม่มีทุกข์อุปาทานต่อไป ถ้าคุณ ท�ำได้ตรงน้ีเม่ือไร เราเป็นคนใหม่ ! ด้วยจิตใหม่ท่ีตื่นรู้ และเข้าใจ ความจรงิ อย่างเต็มที่ เพราะฉะนนั้ วนั นเี้ ปน็ วนั ปใี หม ่ ชว่ งเทศกาลปใี หม ่ เรามาเปน็ คนใหม ่ เปลย่ี นจากความเคยชนิ มาเปน็ ความตง้ั ใจ เปลย่ี นจากผหู้ ลง มาเปน็ ผไู้ มห่ ลง เปลย่ี นจากผไู้ ม่ร้มู าเป็นผู้รู ้ เพื่อเข้าสจู่ ิตใหมท่ ่มี ีแต ่ ภาวะแห่งการตน่ื รู้ และเป็นจติ ที่ไมท่ กุ ข.์ .. คุณสามารถท�ำได้ ! ✤
ถาม - ตอบ 93 ท่ีว่าให้รู้สึกตัวเวลาเคล่ือนไหว หมายความว่าเวลา รูส้ ึกตัว มอื เคลื่อนไหว มอื หยดุ ใช่หรือไม่ ? เบอ้ื งตน้ สำ� หรบั ผใู้ หม ่ อาจจะตอ้ งใหร้ สู้ กึ วา่ มอื เคลอ่ื น ไหว แขนเคล่ือนไหว แขนหยุด มือหยุด แต่เม่ือเราเป็นผู้กลางแล้ว แค่รู้สึกกับ อาการเคล่ือน อาการหยุด และผู้เหนือกว่านั้นอีก เขา จะเห็นว่ามีอะไรบางอย่าง เคลื่อนๆ หยุดๆ ที่ไม่สำ� คัญหมายว่าเป็น มือ เป็นแขน แต่เป็นเพียงวัตถุ และเห็นวัตถุนั้นมีอาการ และเห็น อาการนนั้ อยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์ เปน็ การเขา้ วิปัสสนา
ตั้งใจทำ� ขณะท�ำ กับการเพง่ จอ้ ง ตา่ งกนั ไหมคะ ? ตา่ งกนั การเพง่ จอ้ งมนั เปน็ การตง้ั ใจเกนิ มากไป พอ ตั้งใจมากเกนิ มนั ไปแนบ มีคนถามวา่ “จะต้องตั้งใจประมาณไหนครบั พระอาจารย ์?” ยื่นแขนซ้ายออกมา เอามือขวาไปเคาะที่แขนซ้าย... ให้รู้สึก ประมาณน ้ี ไมใ่ ชเ่ คาะแลว้ คา้ ง เอาสบายๆ เอาใหร้ ู้ กบึ๊ กบึ๊ ... แตถ่ า้ เพ่งจอ้ ง คือ พยายามหารายละเอยี ดกบั การเคล่อื น บางคนบอกอาจารย์ว่า “ผมนี่ รู้สึกตัวชัดมากเลยนะ ผม เดินจงกรมอยู่ เขาตีฆ้องท�ำวัตร ผมน่ีไม่ได้ยินเลยนะ จนกระทั่ง 94 คนมาดึงแขน บอกได้เวลาท�ำวัตรแล้ว ผมถามว่า แล้วตีฆ้องแล้ว หรอื ผมเดนิ อยหู่ นา้ ฆอ้ งนะ่ ” อนั นมี้ นั มากไป มนั จะแนบเขา้ ไป กลาย เปน็ สมถะลกึ เกนิ ไป ในขณะที่คุณเคล่ือนไหว แตค่ ุณยงั รูว้ ่ามีเสยี งกระทบหคู ณุ อยู่ อะไรผ่านทางตาคุณก็เห็นอยู่ เสียงกระทบหูก็ได้ยินอยู่ ลมพัดผ่าน ผวิ กายกร็ ู้ ถา้ มนั ยงั รบั รสู้ งิ่ ทกี่ ระทบ แลว้ ยงั รกู้ บั การเคลอื่ นไหวอย.ู่ .. อันน้กี ำ� ลงั พอดี ปี ใ ห ม่ ชี ว ิ ต ใ ห ม่ จ ิ ต ใ ห ม่
พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต อ ก ิ ญฺ จ โ น ปฏบิ ตั ดิ ว้ ยความตง้ั ใจ ๑๔ จงั หวะ สงั เกตวา่ เปน็ อยา่ งไร เกิดอะไรข้ึนอีกบ้าง ก็ให้มาท�ำความรู้สึกตัวอย่างเดียวได้หรือไม่... รบั รวู้ ่ามันเกดิ ทกุ ข์แลว้ ก็เริม่ ท�ำใหม่ตอ่ ไปเร่ือยๆ ใชไ่ หมคะ ใช่ ใช้ความรู้สึกตัวเป็นฐานเบื้องต้น แรกๆ อย่าพึ่ง ไปหารายละเอียดกับเร่ืองราวเหล่านั้น แค่รู้ว่ามันมี แค่รู้ว่ามีการ กระทบ แคร่ วู้ า่ เกดิ อาการเหลา่ นน้ั แตใ่ หก้ ลบั มารสู้ กึ ตวั ไว.้ .. ทำ� ไม ? เพราะตอนนนั้ เรายงั ไมม่ กี ำ� ลงั พอ ถา้ เราเผลอเขา้ ไปเลน่ ตรง นนั้ เรว็ เกนิ ไป มนั มรี สชาต ิ มนั จะไปตดิ รส และมชี าต ิ คอื เกดิ เขา้ ไป ในเร่ืองราวเหล่าน้ันแทน เพราะฉะน้ันครูบาอาจารย์จึงบอกให้กลับ มาตรงนกี้ อ่ น (กลบั มาทกี่ ารเคลอ่ื นไหว) เพอ่ื ใหม้ กี �ำลงั ขนึ้ กำ� ลงั ขนึ้ 95 แลว้ จากนนั้ พอตรงนม้ี กี �ำลงั ปบุ๊ ...ตรงนนั้ มนั จะเกดิ อกี ครงั้ หนง่ึ มนั จะเห็น มันจะชัดเอง นี่คอื วธิ ีการปอ้ งกัน เราจึงบอกว่าเราน่ะ เป็นพวก “ดูจิต” แต่ดูแบบมีฐาน จริงๆ แล้วกระบวนการปฏิบัติท้ังหมดมันต้องลงไปดูที่จิต เพราะว่าความ ทกุ ขอ์ ปุ าทานมนั เกดิ ทจี่ ติ มนั กต็ อ้ งไปเหน็ จติ แตก่ ารเหน็ จติ แนวเรา กค็ อื การมฐี านทช่ี ดั เจน จะไมไ่ หลเขา้ ไป ฝกึ ทจ่ี ะรกู้ บั กาย กบั อาการ ทีป่ รากฏ จติ จะกลบั คืนเป็นปกต ิ จะไม่มีรสชาติ ลองยกมือขนึ้ ซ ิ รู้ไหม มันรู้อยา่ งไร ? รู้เฉยๆ ร้ซู ่อื ๆ...
หลวงพ่ตี ยุ้ แชรเ์ ร่อื ง คนไข้ทีไ่ ม่ได้ปฏิบตั ิธรรม “มคี นปว่ ยทว่ี ดั เปน็ ยายเขยี วกบั ลงุ เดช แกไดฟ้ งั ธรรมจาก พระอาจารย์แล้วได้ลองปฏิบัติดู ลองเดินจงกรม ท�ำอย่างไม่รู้ว่า มันคืออะไร แล้วแกก็เดินล�ำบากแล้ว มันแน่นหน้าท้อง ก็เลยให ้ ยายลองขยบั มอื ด ู ควำ�่ ลง ยายรไู้ หม หงายมอื ยายรไู้ หม แกกท็ ำ� เนอะ หลวงพก่ี ถ็ ามวา่ ตอนทมี่ นั รสู้ กึ น ี่ เปน็ อะไรไหม แกบอกวา่ “บ่ มันฮู้ซ่ือๆ บ่เป็นหยัง” มันแค่รู้ แล้วแกก็บอกว่า ตอนที่มันรู ้ 96 มันไม่ได้เป็นอะไร กเ็ ลยบอกวา่ เอาแคน่ น้ั แหละ จบั แคน่ น้ั แหละ พอแล้ว ก็เลยคิดท�ำไมมันง่ายจัง บางคนสัมผัสตรงๆ ก็ได้เลย โดยไม่ต้องผ่านต�ำรา ผ่านข้อมูลอะไรเยอะเลย แต่เขาจับได้ว่า ตรงน ้ี ตรงทีไ่ ม่เป็นอะไร ตรงท ่ี “ฮ้ซู ่อื ๆ” ตรงนี้...ที่น้อยคนจะเข้าใจ แต่คนป่วยท่ีไม่มีความรู้ ไม่ม ี อะไรมากมาย เขาสมั ผสั กบั ภาวะรเู้ ฉยๆ นไ้ี ดง้ า่ ยมาก ซง่ึ ใจทม่ี นั กลับมารู้ตรงนี้ รู้เฉยๆ ได้น่ี มันจะรู้ว่า นี่คือภาวะที่ไม่มีรสชาติ ถ้าใจมันจะไหลไปมีรสชาติเมื่อไร ปั๊บ...มันจะดีดกลับมาที่ไม่ม ี รสชาติ และมันไม่เก่ียวกับสมถะด้วยนะ สมถะมันจะมีอารมณ ์ ท่ีดึงดูด มีสงบ มีปีติ มีสุข แต่น่ี มันไม่ได้มีปีติ มีสุข มันแค่ รู้เฉยๆ ปี ใ ห ม่ ชี ว ิ ต ใ ห ม่ จ ิ ต ใ ห ม่
พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต อ ก ิ ญฺ จ โ น ในระหวา่ งทนี่ ง่ั รอ เชน่ รอรถเมล ์ นง่ั ประชมุ ฟงั คนอน่ื พูด จะประยกุ ตท์ า่ ๑๔ จงั หวะน้ไี ปได้อยา่ งไรคะ อยากท�ำป่าว กล้าหรือเปล่า ? ถ้ากล้าก็ท�ำไปเลย... ไมไ่ ด้พูดเลน่ นะ ท่ีพุทธคยา ตรงต้นโพธิ์ ถามว่าคนเยอะไหม ? อาจารย์ไปนั่ง ยกมอื สรา้ งจงั หวะนะ่ ญาตโิ ยมทไี่ ปอนิ เดยี กบั พระอาจารย ์ กน็ ง่ั ยกมอื กบั อาจารย์เลย คนมองเพยี บ... มองแล้วมาถาม อาจารย์เลยจับมา น่ังเรียน สอน พาท�ำเลย โยมพอ่ อกี คน แกเปน็ มะเรง็ ระยะสดุ ทา้ ย พระอาจารยไ์ ปเยยี่ ม ไปให้ก�ำลังใจ แกบอก ๑๐ นาทีเท่าน้ัน คุยไปคุยมา อยู่กับพระ 97 อาจารยด์ ว้ ยการยกมอื สรา้ งจงั หวะ ๔ ชว่ั โมง ตง้ั แตว่ นั นนั้ มาชวี ติ พอ่ เปลี่ยนไปเลย ไม่ดุ ไม่ว่าใครเลย แล้ววันท่ีไป OPD ที่โรงพยาบาล จฬุ าฯ ขณะรอหมอเรยี ก พอ่ กน็ งั่ ยกมอื สรา้ งจงั หวะ ถามวา่ คนเยอะ ไหม ? พ่อยกมอื เฉยเลย โยม : พอ่ คนเขามองกนั ใหญแ่ ล้ว พอ่ : เรอ่ื งของเคา้ โยม : อา้ ว.. แล้วพอ่ ไมอ่ ายเหรอ ? พอ่ : อันน้ ี เรื่องของเรา เป็นไง ชัดไหม ? ท่ีส�ำคัญ วันท่ีพ่อแกจะตาย ลูกสาวบอกว่า ไม่รู้ว่าพ่อยังท�ำอยู่ไหม เห็นพ่อนอนนิ่งอยู่บนเตียงนานแล้ว พระ อาจารยม์ าคุยกับพ่อหน่อยได้ไหม พระอาจารย์ : พอ่ เปน็ อย่างไรบา้ ง ?
พ่อ : อ๋อ... พระอาจารย์มาเหรอครับ ผมยังท�ำอยู่นะครับ พระอาจารย์เปิดผ้าห่มได้เลยครับ (เปิดผ่าห่มไปเห็นมือแกกระดิก เปน็ จงั หวะ) มนั ยกไมไ่ หวครบั เลยกระดกิ นว้ิ เอา บางทกี ระดกิ นวิ้ มอื บางทกี ็กระดกิ น้ิวเทา้ แกจบั หลกั ไดต้ งั้ แตว่ นั แรกทเี่ จอกนั เลย ท�ำใหแ้ กอยกู่ บั อาจารย์ ได ้ ๔ ชวั่ โมงนะ่ พอยกมอื ไปไดซ้ กั พกั แกกบ็ อกวา่ แกรแู้ ลว้ วา่ ทำ� ไม ตอ้ งยกมือ พ่อ : ให้จิตมีงานท�ำ ให้มันรู้ตรงนี้ ถ้าจิตไม่มีงานท�ำมันก็จะ ไปอยู่กับความคิด แล้วผมเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย จิตมันก็จะคิด ไปเรื่อย กลับไม่เป็น แต่พอมันมาอยู่ตรงน้ี มันรู้เฉยๆ มันไม่บวก 98 ไมล่ บ ไมฟ่ ู ไมแ่ ฟบ แลว้ ตอนมนั ออกไป ปบุ๊ ...ผมกร็ ทู้ นั ดว้ ย พอรทู้ นั มันกก็ ลับมาอยู่ตรงน ี้ มันกไ็ มไ่ หลยาวเหมอื นก่อน พระอาจารย์ : เอาอย่างนเ้ี ลยพ่อ จับจุดตรงนเ้ี ลย จะเห็นว่า ท่ามกลางชุมชน มีคนกล้ายกมือ ๑๔ จังหวะก็มี หรอื แคก่ ระดิกนว้ิ ก็มี ขออยา่ งเดยี ว ขยับแล้วให้ร้สู กึ อาจารยย์ นื รอรถเมลเ์ พอ่ื ไปสอนหนงั สอื เปน็ วนั ทพี่ ระอาจารย ์ เห็นความขาดแห่งความคิด อย่างพวกเราเวลาเหน็ ความคดิ จะเหน็ เป็นหนัง เป็นเร่ืองราว ใช่ไหม ? แต่วันที่พระอาจารย์เห็นความคิด มนั ทำ� ใหอ้ าจารยไ์ มเ่ ปน็ เบย้ี ลา่ งของความคดิ อกี ตอ่ ไป ขณะทอ่ี าจารย์ รอรถ และขยับมือไปด้วย วันนั้นอาจารย์เห็นความคิดมันขาด เป็น ภาพสไลด์ มาทีละภาพ ทีละภาพ เป็นภาพน่ิง ความคิดท่ีเราเห็น กัน แท้ที่จริงคือการเอาภาพนิ่งมาต่อกัน เหมือนฉายหนัง เพียงแต่ ปี ใ ห ม่ ชี วิ ต ใ ห ม่ จิ ต ใ ห ม่
พ ร ะ อ า จ า ร ย ์ ค ร ร ชิ ต อ ก ิ ญฺ จ โ น ว่าภาพน่ิงที่ปรากฏข้ึนนั้นมันต่างกรรมต่างวาระ แต่เวลามันไหลล่ืน เปน็ ความคดิ มนั เอามาปนกนั ไดเ้ ฉยเลย ถงึ ไดเ้ หน็ ความไรส้ าระของ ความคิด นัน่ คอื อาจารย์ก�ำลงั นง่ั เคาะมือ คณุ กป็ ระยกุ ตไ์ ปใชล้ ะกนั ขอใหค้ ณุ ทำ� อะไรกไ็ ด ้ แลว้ คณุ รสู้ กึ กับมนั รูส้ กึ อยกู่ บั กายนี่ เดินจงกรมแกว่งแขนไดห้ รอื ไม่ ทำ� ได้ ช่วงท่ีพระอาจารย์ให้เคาะหัวเข่า จะง่วงนอนมากๆ 99 ควรทำ� อย่างไร ? กร็ วู้ า่ มนั งว่ ง ลองเฉยๆ กบั มนั สงั เกตดนู ะ เวลาทเี่ รา เจอความงว่ งเรามักมปี ฏิกิริยาอย ู่ ๒ อยา่ ง • พ่ายแพม้ ัน • คดิ ตอ่ สู้มัน แลว้ กแ็ พม้ นั ทงั้ ๒ อยา่ งอกี เพราะฉะนนั้ วธิ กี ารกค็ อื มนั งว่ ง ก็รู้ว่ามันง่วง และกลับมาต้ังใจกับการเคล่ือนไหว โดยไม่ได้ปฏิเสธ ความงว่ ง ไมไ่ ดย้ อมรบั มนั แคร่ วู้ า่ มนั มแี ลว้ กลบั ตงั้ ใจกบั การเคลอื่ น ไหว ปบุ๊ ...มนั จะหายไปโดยอตั โนมตั ิ เพราะเราไมใ่ หค้ า่ ความหมายมนั แต่เม่ือใดท่ีคุณเผลอไปยินดียินร้าย แปลว่าคุณก�ำลังไปมี อุปาทานกบั มัน จ�ำไวแ้ คน่ ้ี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106