สรุปความรู้ วิชา EGS304ระกดาับรจมััดธกย ามรศึเกรีษยนารู้วิทยาศาสตร์ นางสาวธนภรณ์ เคนเหลา รหัส 62003161012
ประเด็นความรู้ 01 รายงานการวิจัย 02 หลักการวิเคราะห์ หลักสูตรสำหรับจัดทำ แผนการจัดการเรียนรู้ 03 รูปแบบการจัดการเรียนรู้ 04 เเผนการจัดการเรียนรู้
รายงานการวิจัย รายงานการวิจัย หมายถึง การเรียบเรียงเอกสารขึ้นมาเพื่อนำเสนอเรื่องราวที่เป็นผลการศึกษาค้นคว้าและ ดำเนินการอย่างมีระบบแบบแผน ด้วยกระบวนการที่เป็นวิทยาศาสตร์และเป็นระบบ แสดงให้เรื่องราวที่นำมาเขียน รายงานต้องเป็นข้อเท็จจริงหรือความรู้อันเกิดจากการรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการค้นคว้าตามกระบวนการวิจัย ที่จะเป็นวิทยาศาสตร์และเป็นระบบ ความสำคัญ การเขียนรายงานการวิจัย เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการวิจัย ซึ่งผู้วิจัยจะต้องนำเสนอข้อมูลรายละเอียดทั้งหมดของการดำเนินการวิจัยไว้เป็นหลักฐาน โดยบอกเล่าถึง สิ่งที่ได้ดำเนินการไปแล้วให้ผู้สนใจได้ทราบถึงเหตุผลในการศึกษาค้นคว้า ที่มาของปัญหา กรอบแนวคิดใน การวิจัย วิธีดำเนินการวิจัย และผลลัพธ์หรือข้อค้นพบที่ได้จากการวิจัย ส่วนประกอบของรายงาน ส่วนประกอบ การวิจัย ขึ้นอยู่กับรูปแบบมาตรฐานที่หน่วยงาน หรือสถาบันการศึกษาแต่ละแห่งกำหนดไว้ ซึ่ง ส่วนหน้า ประกอบด้วย ปกหน้า ปกใน บทคัดย่อ กิตติกรรมประกาศ อาจมีการกำหนดส่วนประกอบหัวข้อย่อยแตก สารบัญ สารบัญ ตาราง สารบัญภาพประกอบ ต่างกันไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะมีลักษณะที่ตรง ส่วนเนื้อ เรื่องประกอบด้วยเนื้อหา 5 บท กันหรือคล้ายคลึงกัน โดยทั่วไปรายงานการวิจัย บทที่ 1 บทนำ ประกอบด้วย ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา จะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ ส่วนนำ วัตถุประสงค์ของการวิจัย สมมุติฐานของการวิจัย ขอบเขตของการวิจัย ส่วนเนื้อเรื่อง และส่วนอ้างอิง ข้อตกลงเบื้องต้น ข้อจำกัดของการวิจัย คำนิยามโดยเฉพาะ ประโยชน์ที่ คาดว่าจะได้รับ หลักการเขียน บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 1. ความเป็นระบบ บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ความถูกต้อง บทที่ 5 สรุปผลและข้อเสนอแนะ 3. ความครบถ้วนสมบูรณ์ ส่วนอ้างอิง ประกอบด้วย บรรณานุกรม ภาคผนวก ตัวอย่างการ 4. ความเป็นเอกภาพ วิเคราะห์ข้อมูล รายนามผู้ทรงคุณวุฒิที่ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย 5. ความคงเส้นคงวาหรือความสม่ำเสมอ 6. ความกระจ่างชัด ประเภท 7. ความตรงประเด็น 8. ความมีเหตุผล รายงานการวิจัยโดยทั่วไปจำแนกได้เป็นการ 9. ความมีจรรยาบรรณ เขียนรายงานวิจัยมี 3 รูปแบบดังนี้ 1. การเขียนรายงานการวิจัยแบบย่อหรือ บทคัดย่อ 2. การเขียนรายงานแบบวิจัยแบบสรุป 3. การเขียนรายงานวิจัยแบบฉบับสมบูรณ์ ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก : https://sites.google.com/site/nangsawnuchrinthrpamul/bth-reiyn-wihcakar-wicay/bth-thi-8
หลักการวิเคราะห์หลักสูตร สำหรับการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ 1 วิเคราะห์หลักสูตรของสถานศึกษาว่ามีจุดเน้นอะไร ต้องการให้ผู้เรียนมีจุดเด่นอย่างไร ที่เป็นเป็นเอกลักษณ์ของสถานศึกษาและสอดคล้องกับบริบทของชุมชน วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดในการกำหนดหน่วยการเรียนรู้และรายละเอียด ของเเต่ละหน่วยย่อย โดยวิเคราะห์ตัวชี้วัดแต่ละตัว ดูที่ \"คำสำคัญ\" ว่าตัวชี้วัดบอกหรือ 2 กำหนดมาว่าต้องการให้ผู้เรียนปฏิบัติอะไรได้บ้าง ต้องมีความรู้เรื่องใด โดยครูต้อง วิเคราะห์และตีโจทย์ให้แตก ว่าในตัวชีวัดแต่ละตัวต้องการให้เด็กเกิดความรู้ ทักษะ/ กระบวนการ และเจตคติด้านใดบ้าง ที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียนในระหว่างปฏิบัติกิจกรรม 3 กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยกำหนดให้ครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน ดังนี้ 1. ด้านความรู้ : ความรู้ต่าง ๆ ที่ผู้เรียนได้รับกิจกรรมการเรียนรู้ 2. ทักษะ/กระบวนการ : เน้นการประเมินด้านทักษะทางวิทยาศาตร์+ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 3.เจตคติ : เน้นเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 4 ครูนำจุดประสงค์และตัวชี้วัดมาเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ โดยวิเคราะห์เมื่อเขียนสาระ สำคัญ ซึ่งเป็นความคิดรวบยอดของการจัดการเรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ ซึ่งกำหนดเป็นภาพกว้าง ให้เห็นการเชื่อมโยงของสิ่งที่กำลังจะจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้กับผู้เรียน เขียนสาระการ เรียนรู้ โดยจะครอบคลุมทั้งด้านความรู้ ทักษะ/กระบวนการ และเจตคติ รวบทั้งภาระงาน /ชิ้นงานที่จะเกิดขึ้นจากการปฏิบัติของผู้เรียนในระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ครูวิเคราะห์กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ว่าควรใช้เทคนิค/รูปแบบใด และออกแบบกิจกรรม 5 ให้เหมาะสม สอดคล้องกับจุดประสงค์การจัดการเรียนรู้ของแผนนั้นๆ รวมทั้งสื่อ/นวัตกรรม /แหล่งเรียนรู้ ที่ครูต้องจัดหาหรือสร้างขึ้นเพื่อนำมาใช้ในกิจกรรมนั้นๆ โดยคำนึงถึงความพร้อม ความเหมาะสมของบริบทโรงเรียนและชุมชน
หลักการวิเคราะห์หลักสูตร สำหรับการจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ 6 ครูวิเคราะห์กระบวนการประเมิน โดยใช้วิธีการวัดและประเมินที่สอดคล้องการสาระการ เรียนรู้ทั้ง 3 ด้านที่ได้กำหนดไว้ และสร้างเกณฑ์เพื่อประเมินผู้เรียน โดยทั้งนี้ครูต้อง ประเมินผู้เรียนในระหว่างการปฏิบัติกิจกรรมเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตรงตามความเป็นจริงที่สุด 7 บันทึกหลังการสอน จะเป็นการนำปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อตัวผู้เรียนหรือการจัดกิจกรรม ทั้งด้านพฤติกรรมของตัวผู้เรียนเอง และด้านการเรียนการสอน เพื่อหาสาเหตุและ แนวทางแก้ไขต่อไป และปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น ขอบคุณภาพจาก : https://www.prachachat.net/education/news-245331
รูปแบบการจัดการเรียนรู้ การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน (THE 5 E’S OF INQUIRY-BASED LEARNING) ขอบคุณภาพจาก : https://ko5001.wordpress.com/active-learning/ การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้นั้น เป็นรูปแบบการเรียนที่พานักเรียนไปสู่การพิจารณาข้อโต้แย้งและข้อสงสัย ต่างๆ ซึ่งจะก่อให้เกิดประเด็นคําถามที่ต้องการสํารวจตรวจสอบ และจะเป็นกระบวนการเช่นนี้ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ จนเรียก ได้ว่าเป็น วัฎจักรการสืบเสาะ (Inquiry cycle) มี 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) ขั้นนี้เป็นของการนำเข้าสู่บทเรียนหรือนำเข้าสู่เรื่องที่อยู่ในความสนใจที่เกิดจาก ข้อสงสัย โดยครูผู้สอนจะต้องกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจใคร่รู้ เพื่อนำเข้าสู่บทเรียน/เนื้อหาใหม่ๆ 2. ขั้นสํารวจและค้นหา (Exploration) เมื่อทําความเข้าใจในประเด็นหรือคําถามที่สนใจศึกษาอย่างถ่องแท้แล้ว ครูผู้ สอนจะเปิดโอกาสให้นักเรียนดำเนินการศึกษาค้นคว้า โดยการรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการต่าง ๆ 3. ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) เมื่อได้ข้อมูลอย่างเพียงพอแล้ว ครูผู้สอนจะต้องให้นักเรียนนำข้อมูลที่ได้ มาวิเคราะห์และแปลผล เพื่อสรุปผลและนําเสนอผลที่ได้ในรูปต่าง ๆ 4. ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) เป็นขั้นของการนําความรู้ที่ได้จากขั้นก่อนหน้านี้ มาเชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรือใช้ อธิบายถึงสถานการณ์หรือเหตุการณ์เกี่ยวข้อง โดยครูผู้สอนอาจจัดกิจกรรมและให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้น ๆ 5. ขั้นประเมินผล (Evaluation) เป็นขั้นของการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ เช่น การทำข้อสอบ การทำ รายงานสรุป หรือการให้นักเรียนประเมินตัวเอง เป็นต้น ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/82385/-blog-teamet-
การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PROBLEM–BASED LEARNING : PBL) ขอบคุณภาพจาก : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/77414/-teaartedu-teaart-teamet- การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem–based Learning : PBL) คือรูปแบบการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหาที่ใกล้ตัวและพบเจอในชีวิตประจำวันเป็นตัวนำหรือเป็นฐานในการจัดการเรียนรู้ เพื่อนำมาสู่การนำความรู้ไป ประยุกต์ใช้เพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว ซึ่งการจัดการเรียนรู้รูปแบบนี้แตกต่างจากระบบเดิม ที่ใช้ความรู้เป็นตัวนำ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน มี 5 ขั้นตอบ ดังนี้ 1. ขั้นที่ 1 กำหนดปัญหา : ผู้สอนสร้างสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นผู้เรียน โดยอาจเป็นการแนะนำแนวทาง ยก ตัวอย่างสถานการณ์ หรือถามคำถามที่ให้คิดต่อ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและมองเห็นปัญหา 2. ขั้นที่ 2 ทำความเข้าใจกับปัญหา : ผู้สอนจะกระตุ้นผู้เรียนด้วยคำถามหรือการเสริมแรง เพื่อให้ผู้เรียนทำความ เข้าใจกับปัญหาที่อยากรู้ โดยเน้นให้เกิดการระดมสมอง เพื่อหาแนวทางและวิธีการในการหาคำตอบ 3. ขั้นที่ 3 ดำเนินการศึกษาค้นคว้า : ผู้เรียนจะต้องดำเนินการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบร่วมกัน โดยมีการ กำหนดกติกา วางเป้าหมาย และดำเนินกิจกรรมตามระยะเวลาที่กำหนด 4. ขั้นที่ 4 สังเคราะห์ความรู้ : ผู้เรียนแต่ละคนสังเคราะห์ความรู้ที่ได้จากการค้นคว้า โดยมีการนำเสนอกันภายใน กลุ่ม เพื่อหาข้อสรุป ทบทวนและตรวจสอบความถูกต้อง 5. ขั้นที่ 5 สรุปและประเมินค่าของคำตอบ : ผู้เรียนแต่ละกลุ่มนำข้อสรุปที่ได้มาสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ และเลือก วิธีที่จะนำเสนอสู่ภายนอก โดยผ่านความเห็นชอบจากครูผู้สอนในการตรวจสอบความถูกต้อง 6. ขั้นที่ 6 นำเสนอและประเมินผลงาน : ผู้เรียนแต่ละกลุ่มนำองค์ความรู้ที่ได้ไปนำเสนอตามวิธีการที่ได้กำหนดไว้ เพื่อเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ โดยครูผู้สอนประเมินผลการเรียนรู้จากการดำเนินงานของผู้เรียนตามสภาพจริง ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/77414/-teaartedu-teaart-teamet-
การจัดการเรียนรู้แบบ STAD (STUDENT TEAMS ACHIEVEMENT DIVISIONS) ขอบคุณภาพจาก : https://www.gotoknow.org/posts/174192 การจัดการเรียนรู้แบบ STAD หมายถึง รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้ อีกรูปแบบหนึ่ง ที่มีชื่อเต็มว่า Student Teams Achievement Divisions เป็นการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน ซึ่งกำหนดให้นักเรียนที่มีความสามารถแตกต่างกัน ทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มๆ ละ 4-5 คน ซึ่ง ประกอบด้วย นักเรียนที่เรียนเก่ง 1 คน นักเรียนที่เรียนปานกลาง 2-3 คน และนักเรียนที่เรียนอ่อน 1 คน ซึ่งมีขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ 1. ขั้นนำเสนอเนื้อหา โดยการทบทวนพื้นฐานความรู้เดิม จากนั้นครูสอนเนื้อหาใหม่กับนักเรียนกลุ่ม ใหญ่ทั้งชั้น 2. ขั้นปฏิบัติกิจกรรมกลุ่ม โดยนักเรียนในกลุ่ม 4-5 คน ร่วมกันศึกษากลุ่มย่อยนักเรียนเก่งจะ อธิบายให้นักเรียนอ่อนฟังและช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการทำกิจกรรม 3. ขั้นทดสอบย่อย นักเรียนแต่ละคนจะทำแบบทดสอบด้วยตนเอง ไม่มีการช่วยเหลือกัน 4. คิดคะแนนความก้าวหน้าแต่ละคน และของกลุ่มย่อย ครูตรวจผลการสอบของนักเรียน โดย คะแนนที่นักเรียนทำได้ในการทดสอบจะถือเป็นคะแนนรายบุคคล แล้วนำคะแนนรายบุคคลไปแปลงเป็น คะแนนกลุ่ม 5. ชมเชย ยกย่อง บุคคลหรือกลุ่มที่มีคะแนนยอดเยี่ยม นักเรียนคนใดทำคะแนนได้ดีกว่าครั้งก่อน จะได้รับคำชมเชยเป็นรายบุคคล และกลุ่มใดทำคะแนนได้ดีกว่าครั้งก่อนจะได้รับคำชมเชยทั้งกลุ่ม ขอบคุณข้อมูลจาก : https://sites.google.com/site/khunkrunong/3-1
การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน (THE 5 E’S OF INQUIRY-BASED LEARNING) ขอบคุณภาพจาก : https://www.technofutureegypt.com/images/about-02.jpg สตรีมศึกษา (STEAM EDUCATION) เป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้โดยการบูรณาการ วิชา วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี(Technology) วิศวกรรมศาสตร์(Engineering) ศิลปะ (Arts) และ คณิตศาสตร์ (Mathematics) เข้าด้วยกัน โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดองค์ความรู้และสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้ ไป พัฒนาจนเกิดทักษะในการแก้ปัญหาและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ในการดำเนินชีวิต ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1) การระบุปัญหา (Identify a challenge) เป็นขั้นตอนที่ครูผู้สอนต้องกำหนดปัญหาหรือผู้เรียนต้องทำความ เข้าใจสิ่งที่เป็นปัญหาในชีวิตประจำวัน เพื่อ หาวิธีการหรือสร้างสิ่งประดิษฐ์/นวัตกรรม (Innovation) เพื่อแก้ปัญหา ดังกล่าว 2) รวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้อง (Explore Ideas) เป็นการรวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับ ปัญหามาวิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อพิจารณา หาแนวทางที่เหมาะสมและประเมินความเป็นไป ได้ ข้อดีและข้อเสีย เพื่อเลือกแนวคิดหรือวิธีการที่ เหมาะสมที่สุด 3) ออกแบบวางแผนและพัฒนา (Plan and Develop) เป็นขั้นตอนที่ด าเนินการออกแบบวิธีการแก้ปัญหา กำหนดขั้นตอนการ ดำเนินการ เป้าหมายและระยะเวลาดำเนินการ ให้ชัดเจน พร้อมทดสอบแนวคิดที่จะใช้ในการแก้ ปัญหา 4) การทดสอบและประเมินผล (Test and Evaluate) เป็นขั้นตอนทดสอบและประเมินผลงานเพื่อแก้ปัญหา โดยผลที่ได้อาจถูกนำมาปรับปรุงและพัฒนาผลลัพธ์ให้มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาเพิ่มมากขึ้นก่อนนำออกไปเผย แพร่ 5) การนำเสนอผลลัพธ์ (Present the Solution) นำเสนอผลลัพธ์ต่อผู้ที่สนใจผู้ที่เกี่ยวข้องโดยต้องออกแบบ วิธีการ นำเสนอข้อมูลที่เข้าใจง่ายและน่าสนใจเพื่อให้เกิดการผลิตและการใช้งานในวงกว้างต่อไป ขอบคุณข้อมูลจาก : file:///D:/Documents/Downloads/156426-Article%20Text-602919-1-10-20190627.pdf
แ ผ น ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น รู้ แผนจัดการเรียนรู้ เป็นการเตรียมการวางแผนการจัดการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบ โดยนำสาระและมาตรฐาน การเรียนรู้ คำอธิบายรายวิชา และกระบวนการเรียนรู้ โดยเขียนเป็นแผนการจัดการเรียนรู้ให้เป็นไปตามศักยภาพ ของผู้เรียน เพื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งมีเนื้อหา กิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการ สอน และวิธีวัดผลประเมินผลที่ชัดเจน ช่วยให้ครูสามารถดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนให้กับผู้เรียนได้เหมาะสม ตรงตามเป้าหมายและมีประสิทธิภาพ องค์ประกอบที่สำคัญของการออกแบบแผนจัดการเรียนรู้ 1. หัวเรื่อง คือ ส่วนที่ต้องกำหนด ได้เเก่ โรงเรียน รายวิชา/รหัสวิชา การวางแผนการสอน เป็นภารกิจสำคัญ ชั้น หน่วยการเรียนรู้ ชื่อเรื่อง ของครูผู้สอน ทำให้ผู้สอนทราบล่วงหน้า และเวลา เป็นต้น ว่าจะสอนอะไร เพื่อจุดประสงค์ใด สอน อย่างใด ใช้สื่ออะไร และวัดผลประเมิน 2. สาระสำคัญ คือ มโนทัศน์หลักหรือความคิดรวบยอดของการจัด ผลโดยวิธีใดเป็นการเตรียมตัวให้พร้อม การเรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ ซึ่งกำหนดเป็นภาพกว้างให้เห็นการเชื่อมโยงข้อมูล ก่อนสอน การที่ผู้สอนได้วางแผนการ ของสิ่งที่กำลังจะสอน สอนอย่างถูกต้องตามหลักการย่อมช่วย ให้เกิดความมั่นใจในการสอน ทำให้สอน ได้ครอบคลุมเนื้อหา สอนอย่างมี 3. มาตรฐานและตัวชี้วัด คือ คุณลักษณะสำคัญของผู้เรียนที่กำหนดไว้ แนวทางและมีเป้าหมาย ในหลักสูตร โดยในแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ จะหยิบยกมาเฉพาะส่วนที่ เกี่ยวข้องกับเนื้อหาและคาดว่าจะเกิดกับผู้เรียน ซึ่งการที่ลักษณะของผู้เรียน เป็นไปตามมาตรฐานและตัวชี้วัดนี้ จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางและส่วนที่เพิ่มเติมให้หลักสูตรสถานศึกษา 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ คือ เป้าหมายที่ต้องการให้เกิดกับตัวผู้เรียนหลังจากที่เราได้ดำเนินการจัดการ เรียนรู้ตามแผนที่ได้วางไว้แล้ว โดยในการกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้นั้นจะต้องเกิดจากการวิเคราะห์ มาตรฐานและตัวชี้วัดตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร 5. สาระการเรียนรู้ คือเนื้อเรื่อง หรือองค์ความรู้ ทักษะ กระบวนการของผู้เรียนที่จะต้องเรียนรู้ในรายวิชา นั้น ๆ 6. การบวนการการเรียนรู้ คือ การระบุกิจกรรมการเรียนรู้ที่จัดขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยแบ่ง เป็น ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ขั้นสอน และขั้นสรุป 7. สื่อ/อุปกรณ์/แหล่งการเรียนรู้ คือ เครื่องมือในการส่งเสริมการเรียนรู้ที่ใช้ตามที่กำหนดในกิจกรรม การเรียนรู้ 8. การวัดและประเมินผล คือ การประเมินผลผู้เรียนตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ซึ่งควรระบุเครื่องมือวัด และเกณฑ์การให้คะแนน ซึ่งสามารถศึกษาได้จากคู่มือหลักสูตร 9. บันทึกผลหลังการจัดการเรียนรู้ คือการบันทึกของครูผู้สอนจากสิ่งที่พบในการนำแผนจัดการเรียนรู้ มาใช้ โดยแบ่งเป็น ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ปัญหาและอุปสรรค และ ข้อเสนอแนะ องค์ประกอบทั้งหมดนี้ ถ้าครูผู้สอนสามารถเข้าใจความเกี่ยวพันของแต่ละองค์ประกอบตั้งแต่เริ่มต้น จนจบกระบวนการ จะช่วยให้ครูผู้สอนสามารถออกแบบแผนการสอนที่เป็นแบบฉบับของตัวเองได้อย่างเหมาะ สมและถูกต้องตามหลักสูตรแกนกลาง
Search
Read the Text Version
- 1 - 10
Pages: