43 D = ครแู ละนกั เรยี นร่วมกันดาเนินการแกโ้ จทยป์ ญั หาคณติ ศาสตร์ L = ครแู ละนกั เรยี นร่วมสรปุ การแกป้ ญั หา 2.2 นกั เรียนฝึกปฏบิ ตั เิ ป็นกล่มุ ย่อยโดยครูคอยแนะนาดว้ ยการแบง่ นกั เรียน เปน็ กลุม่ ๆ กลมุ่ ละ 4-5 คนรว่ มกนั ปฏบิ ัตกิ ิจกรรม KWDL 3. ข้ันฝกึ ทกั ษะโดยอสิ ระ นกั เรียนทาแบบฝึกหัดจากแบบฝกึ หัดท่ีครูสร้างขนึ้ โดยเป็นโจทย์ ปญั หาคณิตศาสตร์ที่ เกยี่ วชอ้ งกับเร่อื งทเี่ รียนและสถานการณอ์ ื่น ๆ 4. ขน้ั สรุปบทเรยี นและประเมนิ ผล นักเรยี นทาแบบทดสอบประจาหน่วยการเรียนมีการซอ่ ม เสริม เมอื่ นกั เรียนยงั ไม่เขา้ ใจ นอกจากข้นั ตอนของเทคนคิ KWDL ดังกล่าวชา้ งต้นแลว้ การใช้เทคนิค KWDL ในการสอนครู ตอ้ งเตรยี ม แผนผงั KWDL โดยครูและนักเรยี นรว่ มกนั เรยี นรู้ทาความเช้าใจโดยมีแผนผงั KWDLประกอบใหเ้ ห็นซัด เจนทุกคนได้รว่ มกันฝึกและทาแบบฝึกหัดนอกจากน้นี กั เรียนจะต้องมีตาราง KWDL ของตัวเองเพอ่ื เติม ข้อความเช่นกันแต่ควรให้ใช้ร่วมกัน 2 คนต่อ 1 ชุดจะมีความเหมาะสมกว่าเพ่ือ ส่งเสริมการทางาน ร่วมกัน แผนผงั K-W-D-L แสดงไว้ในตาราง 1 ตารางท่ี 2.1 แสดงผงั K-W-D-L K WD L โจทยบ์ อกอะไรบา้ ง โจทย์ให้หาอะไรมวี ธิ กี าร ดาเนินการตามกระบวนการ คาตอบทไี่ ด้ L และบอก อย่างไรใช้วิธีอะไรไดบ้ ้าง แก้โจทยป์ ญั หา วธิ คี ดิ คดิ คาตอบอยา่ งไร 1.................................... 1..................................... แสดงวธิ ที า.................. คาตอบ........................ 2.................................... 2..................................... วธิ ที ี่ 1 สรปุ ขน้ั ตอบ................. 3.................................... 3..................................... วิธีที่ 2 4.................................... 4..................................... วิธที ่ี 3 ทม่ี า :(วชั รา เลา่ เรยี นด,ี 2549,หนา้ 150) สรปุ เทคนคิ KWDL เป็นเทคนคิ การสอนท่เี นน้ ให้ผู้เรยี นได้ฝึกคิด วิเคราะให้โจทย์ปัญหาได้ อยา่ งหลากหลายตามขัน้ ตอนที่กาหนด และสามารถหาวิธีการแก้ปัญหาที่ดีทสี่ ุดพรอ้ มใหเ้ หตผุ ลประกอบ อย่างชดั เจน รวมท้ังผูเ้ รียนสามารถทางานรว่ มกับผู้อน่ื อย่างมีประสิทธภิ าพ รู้จกั หนา้ ท่ี ความรับผิดชอบ เพื่อให้กลุ่มของตนเองประสบความสาเร็จซ่ึงเทคนิค KWDL ประกอบด้วย การถามตอบ และแสวงหา คาตอบ 4 ขน้ั ตอน คือ 1. K (What we know) นกั เรยี นรูอ้ ะไรบ้างจากเรอ่ื งหรือโจทย์บอกอะไรเราบา้ ง 2. W (What we want to know) นกั เรยี นตอ้ งการรูอ้ ะไร ตอ้ งการทราบอะไรหรอื โจทย์ให้หาอะไร 3.D (What we do to find out) นักเรียนจะต้องทาอะไรบ้าง เพื่อหาคาตอบตาม โจทยต์ ้องการ หรือเรามวี ธิ ีการอย่างอย่างไร
44 4. L (What we learned) นักเรียนไดเ้ รยี นรอู้ ะไรจากการแกป้ ญั หา ความสาคัญและประโยชนข์ องการจดั กิจกรรมการเรียนร้โู ดยใช้เทคนิค KWDL การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL มีนักการศึกษาได้กล่าวถึงความสาคัญและ ประโยชน์ ซึ่งสามารถสรุปไดด้ ังน้ี เพ็ญนิตย์ เมตตา (2553) สรุปว่า เทคนิค KWDL ช่วยให้ผู้เรียนสามารถแก้โจทย์ปัญหา คณิตศาสตร์ได้และยังช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสามารถในการอ่านและทักษะกระบวนการทาง คณิตศาสตร์มีความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์และสังเคราะห์และถ้าจัดให้ผู้เรียนได้ฝึกการทางาน รว่ มกันเป็นกลุ่มจะช่วยพฒั นาทักษะทางสังคมไดอ้ ีกด้วย วัชรา เล่าเรียนดี (2554) สรุปว่า เทคนิค KWDL เป็นเทคนิคการสอนท่ีช่วยส่งเสริมการอ่าน เชงิ วเิ คราะห์ใหก้ บั ผเู้ รยี นและการใหส้ รปุ เนอ้ื หาชว่ ยในการพัฒนาความคดิ รวบยอดและสรุปสาระสาคัญ 2.6 การวิจยั ปฏิบัตกิ าร (Action Research) วิจัยเชิงปฏิบัติการเป็นวิธีการวิจัยเพ่ือใช้ปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของการปฏิบัติงาน ประจาให้ดีขึ้น มีการปฏิบัติการทุกอย่างเป็นขั้นตอน เป็นระบบและต่อเน่ืองจนได้ผลหรือข้อสรุปท่ีพึง พอใจของผูป้ ฎิบัตแิ ละผูท้ เี่ กี่ยวขอ้ ง ซงึ่ มลี ักษณะดังตอ่ ไปน้ี 2.6.1 ความหมายของการวจิ ยั เชงิ ปฏิบตั ิการ เคมมิส และแมคทากกาท (Kemmis & Mc Taggart, 1988) กล่าวว่า การวิจัยเชิง ปฏบิ ัตกิ ารเป็นรูปแบบหนงึ่ ของการวิจยั ท่ไี มไ่ ด้แตกต่างไปจากการวิจัยอน่ื ๆ ในเชิงเทคนิค แตแ่ ตกตา่ งใน ด้านวิธกี าร ซง่ึ วิธกี ารของการวจิ ยั เชงิ ปฏิบัติการ คือ การทางานท่ีเปน็ การสะท้อนผลการปฏิบัติงานของ ตนเองที่เป็นวงจรแบบขดลวด (Spiral of Self-Reflecting) โดยเริ่มต้นที่ข้ันตอนการวางแผน (planning) การปฏิบัติ (action) การสังเกต (observing) และการสะท้อนกลับ (reflecting) เป็นการ วจิ ัยท่จี าเป็นต้องอาศัยผู้มีส่วนร่วมในกระบวนการสะท้อนกลับเกี่ยวกับการปฏิบัติเพอื่ ให้เกิดการพัฒนา ปรับปรุงการทางานให้ดีขึ้น เข่นเดียวกับ Holloway (2010) ท่ีอธิบายว่า การวิจัยเชิงปฏิบัติการ หมายถึง การแสวงหาความร้ภู ายใตก้ ารดาเนินการของนักปฏิบัติที่กลายมาเป็นนักวจิ ัย หรือผู้ซงึ่ ทางาน เป็นหุ้นส่วนกับนักวิจัย เพื่อตรวจสอบประเด็นและปัญหาในสถานท่ีทางานของตนเอง เป็นการนา ความคิดไปปฏิบัติผ่านกระบวนการท่ีเป็นวงจร ซ่ึงแต่ละวงจะข้ึนกับวงก่อนหน้า การวิจัยเชิงปฏิบัติการ ไมใ่ ชว่ ธิ ีการวิจยั บริสุทธ์ิ แตเ่ ป็นสว่ นหนงึ่ ของการพัฒนา และนักวจิ ัยสามารถใช้วธิ กี ารเกบ็ และ รวบรวม ข้อมูลได้หลากหลายวิธี ยาใจ พงษ์บริบูรณ์ (2537) กล่าวว่า การวิจัยเชิงปฏิบัติการ เป็นวิจัยท่ีใช้กระบวนการ ปฏิบัติอย่างมีระบบ โดยผู้วิจัยและผู้เก่ียวข้องมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการและวิเคราะห์วิจารณ์ผลการ ปฏิบัติจากการใช้วงจร 4 ขั้นตอนคือ การวางแผน การลงมือกระทา การสังเกตและการสะท้อน การ ปฏิบัติ ซ่ึงดาเนินการต่อเน่ืองกันไป ผลที่ได้นาไปปรับแผนเข้าสู่วงจรใหม่จนกว่าจะได้ข้อสรุปที่แก้ไข ปัญหาได้จริง หรอื พัฒนาสภาพการณข์ องสง่ิ ทศ่ี กึ ษาไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ
45 กรมวิชาการ (2545) ให้ความหมายของการวิจัยเชิงปฏิบัติการว่า หมายถึงการวิจัยแบบ เขา้ ไปมสี ่วนร่วม และรว่ มมอื กนั เป็นหม่คู ณะโดยกลุ่มจะกาหนดขอบเขตทต่ี อ้ งปฏิบตั เิ พอ่ื ปรบั ปรุงวิธีการ สมาชิกของกลุ่มจะวางแผนร่วมกัน ลงมือปฎิบัติและสังเกตข้อมูลเป็นรายบุคคลหรือเป็น รายกลุ่ม จะ สะทอ้ นผลการดาเนนิ งานรว่ มกนั แลว้ จัดวางแนวทางใหมอ่ ยา่ งมีวจิ ารณญาณ ศิริพร จิรวัฒน์กุล (2558) กล่าวว่าการวิจัยเชิงปฏิบัติการเป็นการวิจัยท่ีมีเป้าหมายท่ีจะ แก้ปัญหา พฒั นากิจกรรมโดยการปรบั ปรงุ เปลยี่ นแปลง (Improving by changing) โดยบคุ คลที่เผชิญ กับปัญหาน้ันอยู่เอง เป็นรูปแบบของการทาความเข้าใจในการปรับปรุงสถานการณ์เฉพาะที่พบว่ามี ปัญหา เพ่ือต้องการพัฒนา หาหลักการ เหตุผลและวิธีการ ปฏิบัติงานเพื่อการพัฒนาคุณภาพการ ปฏบิ ตั ิงานน้ันและขณะเดียวกันก็เป็นการพฒั นาความเข้าใจเกย่ี วกบั การปฏบิ ัตงิ านนั้น ๆ ธีรวุฒิ เอกะกุล (2552) สรุปถึงความหมายของวิจัยปฏิบตั ิการว่า “หมายถึง การรวบรวม และหรือการแสวงหาข้อเท็จจริงโดยใช้ขั้นตอนกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เพ่ือให้ได้มาซึ่งข้อสรุปอัน นาไป สู่การแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ ทั้งในด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานในขอบข่า ยที่ รับผิดชอบ โดยผ้วู จิ ัยมีการปรบั ปรุงแกไ้ ข และดาเนนิ การซา้ หลายๆคร้ัง จนกระท่งั ผลการปฏิบัตงิ านน้ัน บรรลจุ ุดประสงค์หรอื แกไ้ ขปญั หาทป่ี ระสบอยไู่ ดส้ าเร็จ” จากความหมายข้างต้น การวิจัยปฏิบัติการ หมายถึง การวิจัยท่ีมีกระบวนการปฏิบัติอย่างมี ระบบ เป็นขั้นตอน 4 ขั้นตอน คือ ข้ันการวางแผน ขั้นลงมือปฏิบัติ ขั้นสังเกตการณ์ และขั้นสะท้อนผล ที่ดาเนินการต่อเน่ืองกันไป จนกว่าจะพึงพอใจหรือได้ข้อสรุปที่มีประสิทธิภาพ โดยผู้วิจัยมีส่วนร่วมใน การปฏิบัติ เพอ่ื มุง่ พฒั นาและปรบั ปรุงการปฏบิ ัตงิ านใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพยิ่งข้นึ 2.6.2 จุดมุง่ หมายวิจัยเชิงปฏิบตั กิ าร ยาใจ พงษ์บริบูรณ์ (2537) การวิจัยเชิงปฏิบัติการมีจุดมุ่งหมายเพื่อ มุ่งปรับปรุง ประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานประจาให้ดีย่ิงข้ึน โดยนาการปฏิบัติงานท่ีทาอยู่มาวิเคราะห์หาสาเหตุ ของปญั หา จากนน้ั ใช้แนวคิดทฤษฎีหรอื ประสบการณม์ าปรบั ปรงุ แกไ้ ขงานท่ีทาอยู่ 2.6.3 ความเชื่อพื้นฐานของการวิจยั เชิงปฏบิ ัติการ การวิจัยเชิงปฏิบัติการมีความเช่ือพ้ืนฐาน (Basic Assumptions) (ทวีป ศิริรัศมี, 2537) อย4ู่ ประการ ดงั น้ี 2.6.3.1 วิธีการแก้ปัญหาท่ีได้มาจากการค้นคว้า จะมีประสิทธิภาพ และเช่ือถือได้ มากกว่า วิธกี ารแกป้ ัญหาที่ไดจ้ ากการส่งั การ ของผู้มีอานาจหรือผ้บู รหิ าร โดยการสง่ั การนั้น มักเกดิ จาก การสะสมประสบการณ์และใชส้ ามญั สานึกเป็นหลัก ซ่ึงมักจะขาดหลักฐานข้อมูลที่จะใช้ประกอบในการ ตดั สินใจ46 2.6.3.2 การวจิ ยั เพอื่ การแกป้ ัญหาของผู้ปฏบิ ตั งิ านทด่ี าเนินการเอง โดยผู้ปฏิบัติงานจะ ไดม้ ีโอกาสแกป้ ญั หาของเขาได้สาเร็จมากกว่าการวิจยั เพ่ือการแก้ปัญหาทที่ าโดยบคุ คลอนื่
46 2.6.3.3 การวิจัยเปน็ เรือ่ งของการวเิ คราะห์ปัญหา การค้นหาแนวทางแก้ไขปญั หา การ ทดสอบและการประเมินผลวิธีแก้ปัญหา การวิจัยเป็นทักษะที่สามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ โดย ผปู้ ฏิบัติงานทกุ คน การวิจัยไม่ไดเ้ ป็นสิทธพิ เิ ศษของผเู้ ชย่ี วชาญคนใดคนหนึง่ หรอื กลุ่มใดกลมุ่ หนึง่ 2.6.3.4 การพัฒนาความสามารถของบุคคลโดยการฝึกหัด ถือว่าเป็นรากฐานของการ พัฒนาการปฏิบัติความเช่ือพื้นฐาน เป็นข้อคิดในการปฏิบัติงาน สาหรับครูผู้สอนท่ีจะทาการวิจัยเชิง ปฏิบัติการให้ตระหนักว่า ปัญหาจากการเรียนการสอน ครูผู้สอนเป็นผู้ปฏิบัติงานโดยตรงย่อมทราบ รายละเอียดความลึกซึ้งของปัญหาได้ดีกว่าผู้อ่ืน ดังน้ันการพัฒนางานในจุดน้ีอย่างมีระบบจะสามารถ พฒั นาความสามารถของครูผู้สอนไดเ้ ป็นอยา่ งดี 2.6.4 ลักษณะของการวจิ ัยเชงิ ปฏบิ ัติการทางการศึกษา ยาใจ พงษ์บริบูรณ์ (2537) ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการวิจัยเชิงปฏิบัติการไว้ดังน้ี เป็น การวิจัยแบบมีส่วนร่วมและมีการร่วมมือ ใช้การทางานเป็นกลุ่ม ผู้ร่วมวิจัยมีส่วนสาคัญและมีบทบาท เท่าเทียมกันทุกกระบวน การวิจัยท้ังการเสนอความคิดเชิงทฤษฏีและการปฏิบัติ ตลอดจนการวางแผน นโยบายการวจิ ัย 1 เป็นการวิจัยแบบมีส่วนร่วมและมีการร่วมมือ (Participatory and collaboration) ใช้การทางานเป็นกลุ่ม ผู้ร่วมวิจัยมีส่วนสาคัญและมีบทบาทเท่าเทียมกันทุกกระบวนการวิจัย ทั้งการ เสนอความคดิ ทางทฤษฎีและการปฏิบตั ิ ตลอดจนการวางแผนนโยบายการวิจัย 2 เนน้ การปฏบิ ัติ (Action Orientation) การวิจัยชนดิ นใี้ ชก้ ารปฏิบัติเป็นสิ่งทที่ าให้เกิด เปลย่ี นแปลงและศึกษาผลของการปฏบิ ัตเิ พ่อื มงุ่ ใหเ้ กิดการพัฒนา 3 การใช้การวิเคราะห์วจิ ารณ์ (Critical Function) การวเิ คราะห์การปฏิบัติอย่างลึกซึ้ง สมเหตุสมผลเพ่ือการปรบั แผนการปฏบิ ตั ิ 4 ใช้วงจรการปฏิบัติการ (The Action Research Spiral) ตามแนวคิดของ Kemmis & Mc Taggart คือ การวางแผน (Planning) การปฏิบัติ (Action) การสังเกต (Observing) และการ สะท้อนการปฏิบัติ (Reflecting) ตลอดจนการปรับปรุงแผน (Re - Planning) เพื่อนาไปปฏิบัติในวงจร การปฏบิ ัติการต่อไป กระบวนการดาเนินงานวิจัยเชงิ ปฏบิ ัติการตามแนวคิดของ Kemmis & McTaggart กระบวนการดาเนินงานการวิจัยเชิงปฏิบัติการตามแนวคิดของ (Kemmis & McTaggart , 1988) ประกอบด้วยกิจกรรมการวิจัยท่ีสาคัญ 4 ข้ันตอนหลัก คือ 1) การวางแผนเพือ่ ไปสู่การเปลี่ยนแปลงทดี่ ี ขน้ึ (planning) 2) ลงมอื ปฏิบัตกิ ารตามแผน (action) 3) สงั เกตการณ์ (observation) และ 4) สะท้อน กลับ (reflection) กระบวนการและผลของการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้น และปรับปรุงแผนการปฏบิ ตั งิ าน (re - planning)โดยดาเนินการเชน่ นต้ี ่อไปเรอื่ ยๆ เป็นดงั แสดงรายละเอยี ดตามภาพท่ี 2.6
47 ภาพท่ี 2.1 วงจรของการวิจยั เชงิ ปฏิบัตกิ ารตามแนวคิดของ Kemmis & McTaggart ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง กิ จ ก ร ร ม ก า ร วิ จั ย ห ลั ก ที่ ห มุ น เ ค ลื่ อ น ไ ป เ ป็ น วั ฏ จั ก ร ข อ ง กระบวนการวจิ ัยดังกล่าว จึงเป็นเสมอื นแหลง่ ทก่ี ่อให้เกิดความรู้เชิงปฏิบัติการและกลไกการนาความรู้ท่ี ได้รับไปใช้แก้ไขปัญหาอย่างต่อเนอ่ื ง ซ่ึงกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ เป็นการดาเนินงานวิจัยท่ีไม่แยกกิจกรรม การสืบค้นหาความรู้ ความจริงออกจากกิจกรรมการพัฒนา (องอาจ นัยพัฒน์, 2548) ซ่ึงกิจกรรมการ วิจยั หลักแตล่ ะขนั้ ตอนมีรายละเอยี ดดังต่อไปน้ี 1. การวางแผน (Planning) เป็นการกาหนดแนวทางปฏิบัติการไว้ก่อนล่วงหน้าโดย อาศัยการคาดคะเนแนวโน้มของผลลัพธ์ท่ีอาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามแผนท่ีวางไว้ประกอบกับการ ระลึกถึงเหตุการณ์หรือเรอื่ งราวในอดตี ท่ีเกี่ยวขอ้ งกับประเดน็ ปัญหาท่ตี ้องการแกไ้ ขตามประสบการณ์ทั้ง ทางตรงและทางอ้อมของผู้วางแผน ภายใต้การไตร่ตรองถึงปัจจัยสนับสนุนขัดขวางความสาเร็จในการ แกไ้ ข ปญั หาการต่อต้าน รวมท้งั สภาวการณ์เงื่อนไขอื่นๆ ท่แี วดล้อมปญั หาอยู่ในเวลานนั้ โดยทั่วไปการ วางแผนจะต้องคานึงถึงความยืดหยุ่น ท้ังนี้เพื่อจะสามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนใน อนาคต 2. การปฏิบัติการ (Action) เป็นการลงมือดาเนินงานตามแผนที่กาหนดไว้อย่าง ระมัดระวังและควบคุมการปฏบิ ัติงานให้เป็นไปตามท่ีระบุไว้ในแผน อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงการ ปฏิบัติตามแผนท่ีกาหนดไว้มีโอกาสแปรเปลี่ยนไปตามเงอ่ื นไขและข้อจากัดของสภาวการณ์เวลานนั้ ได้ ด้วยเหตุนี้แผนปฏิบัติการที่ดีจะต้องมีลักษณะเป็นเพียงแผนช่ัวคราว ซึ่งเปิดช่องให้ผู้ปฏิบัติการสามารถ ปรับเปล่ียนได้ตามเง่ือนไขและปัจจัยที่เป็นอยู่ในขณะนั้น การปฏิบัติการท่ีดีจะต้องดาเนินไปอย่าง ต่อเนอ่ื งเปน็ พลวตั รภายใต้การใช้ดุลยพนิ ิจในการตัดสนิ ใจ 3. การสังเกตการณ์ (Observation) เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการ และผลท่ีเกดิ ขึ้นจากการปฏบิ ตั งิ านท่ไี ดล้ งมอื กระทาลงไป รวมท้ังสังเกตการณป์ จั จัยสนบั สนนุ และปัจจัย
48 อปุ สรรคการดาเนนิ งานตามแผนทว่ี างไว้ ตลอดจนประเดน็ ปัญหาตา่ งๆ ท่ีเกดิ ขน้ึ ระหว่างปฏิบัตกิ ารตาม แผนว่ามีสภาพหรือลักษณะเป็นอย่างไรการสังเกตการณ์ท่ีดีจะต้องมีการวางแผนไว้ก่อนล่วงหน้าอยา่ ง คร่าวๆ โดยจะต้องมีขอบเขตไม่แคบหรือจากัดจนเกินไป เพ่ือจะไดเ้ ป็นแนวทางสาหรับการสะท้อนกลับ กระบวนการและผลการปฏิบตั ทิ ่ีจะเกดิ ข้นึ ตามมา 4. การสะทอ้ นกลับ (Reflection) เปน็ การให้ขอ้ มูลถึงการกระทาตามท่ีบนั ทึกข้อมูลไว้ จากการสังเกตในเชิงวพิ ากษ์กระบวนการและผลการปฏิบัติงานตามท่ีวางแผนไวต้ ลอดจนการวเิ คราะห์ เก่ียวกับปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยอุปสรรคการพัฒนา รวมทั้งประเด็นปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นว่าเป็นไป ตามวัตถุประสงค์หรือไม่ การสะท้อนกลับโดยอาศัยกระบวนการกลุ่มในลักษณะวิพากษ์วิจารณ์ หรือ ประเมนิ ผลการปฏิบัติงานระหว่างบุคคลท่มี ีส่วนร่วมในการวิจัย จะเปน็ วธิ กี ารปรบั ปรงุ วิธกี ารปฏิบตั ิงาน ตามแนวทางดงั้ เดมิ ไปเปน็ การปฏิบัตงิ านตามวิธกี ารใหม่ ซึ่งใช้เปน็ ข้อมูลพื้นฐานสาหรับการทบทวนและ ปรับปรงุ วางแผนปฏบิ ตั กิ ารในวงจรกระบวนการวิจยั ในรอบหรอื เกลยี วตอ่ ไป 2.6.5 ข้นั ตอนของการวิจัยเชิงปฏบิ ัตกิ าร กระบวนการวจิ ัยน้ี เม่ือกล่าวในเชิงการนาไปใช้เพอื่ พฒั นาและปรับปรุงการปฏิบัติงานใน โรงเรียน สามารถอธิบายวธิ กี ารดาเนนิ การตามวงจรของการวิจยั เชงิ ปฏิบตั ิการได้ดงั น้ี 1. การจาแนกหรือพิจารณาปัญหาท่ีประสงค์จะศึกษา ผู้วิจัยและกลุ่มท่ีทาการวิจัย จะต้องศึกษารายละเอียดของปัญหาท่ีจะศึกษาอย่างชัดแจ้ง ปัญหาท่ีเกิดข้ึนในโรงเรียนท่ีจะทาการวจิ ัย เชิงปฏิบัตกิ ารจะตอ้ งศกึ ษาค้นคว้า แสวงหาหลกั การและทฤษฎีท่ีเกี่ยวข้องกับปัญหานน้ั ๆ ใหก้ วา้ งขวาง พอสมควร 2. เลือกปัญหาสาคัญที่เป็นสาระควรแก่การศึกษาวิจัย โดยอาศัยพื้นฐานจากหลักการ และทฤษฎีมาใช้ในการวิเคราะห์ลักษณะของปัญหา แล้วสร้างวัตถุประสงค์และสมมุติฐานของการวิจัย ในรูปแบบของข้อความทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ความสมั พนั ธ์ของปัญหากบั หลักการหรือทฤษฎที ่ีเกีย่ วข้อง 3. เลอื กเคร่อื งมอื ดาเนนิ การวจิ ยั ทจี่ ะชว่ ยให้ได้คาตอบของปญั หาตามสมมติฐานที่ต้ังไว้ โดยเครื่องมือที่จะใช้ในการวิจัยมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ เครื่องมือท่ีใช้ในการทดลองปฏิบัติหรือการฝึกหัด ตามวิธีการ และเคร่ืองมือท่ีใช้สาหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เป็นผลจากการปฏิบัติก าร เช่น แบบทดสอบ แบบสงั เกตพฤติกรรม เป็นตน้ 4. บันทึกเหตุการณ์อย่างละเอียดในแต่ละขั้นตอนของการวิจัย ทั้งส่วนที่เป็น ความก้าวหน้าและที่เป็นอุปสรรคตามวงจรของการปฏิบัติการทั้ง 4 ขั้นตอน โดยจะต้องเก็บสะสมข้อ บนั ทกึ ต่างๆ ไวเ้ พ่ือใช้ในการปรบั ปรงุ วงจรปฏิบัติในรอบต่อไป และเพื่อเป็นการรวบรวมข้อมูลสาหรับใช้ วเิ คราะหห์ าคาตอบของสมมตฐิ าน 4.1 ขั้นวางแผน (Planning) เร่ิมด้วยการสารวจปัญหาร่วมกันระหว่างบุคลากร ภายในโรงเรยี น เพ่ือใหไ้ ด้ปญั หาทส่ี าคัญทีต่ อ้ งการให้แก้ไข ตลอดจนการแยกแยะรายละเอยี ดของปัญหา น้นั เกย่ี วกับลกั ษณะของปัญหา เกี่ยวข้องกบั ใคร แนวทางแกไ้ ขอย่างไรและจะตอ้ งปฏบิ ัตอิ ยา่ งไร
49 4.2 ขน้ั ปฏิบตั กิ าร (Action) เป็นการนาแนวคิดที่กาหนดเป็นกิจกรรมในขัน้ วางแผน มาดาเนินการ โดยวิเคราะห์วิจารณ์ปัญหาอุปสรรคที่เกดิ ขึ้นรว่ มกันของทีมงานประกอบไปด้วย เพื่อทา การแกไ้ ขปรบั ปรุงแผน ฉะนนั้ แผนทก่ี าหนดควรจะมคี วามยืดหยุ่นปรับได้ 4.3 ขัน้ สังเกตการณ์ (Observation) เป็นการศึกษาความเปล่ียนแปลงทเี่ กิดขึน้ ด้วย ความรอบคอบ ซ่ึงอาจเป็นสิ่งที่เกิดข้ึนท้ังท่ีคาดหวังและไม่คาดหวัง โดยต้องอาศัยเครื่องมือในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลต่างๆ เขา้ ช่วย 4.4 ข้ันสะท้อนผลการปฏิบัติการ (Reflection) ซึ่งเป็นข้ันสุดท้ายของวงจรการทา การวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยทาการประเมินหรือตรวจสอบกระบวนการแก้ปัญหาหรือส่ิงที่เป็นข้อจากดั อนั เป็นอปุ สรรคต่อการปฏิบัติการ ผู้วจิ ัยร่วมกับกลมุ่ ผูเ้ ก่ยี วขอ้ งจะตอ้ งตรวจสอบปัญหาท่เี กดิ ขึน้ ในแง่มุม ต่างๆ ทีส่ มั พันธก์ ับสภาพสงั คม ส่ิงแวดลอ้ ม และระบบการศกึ ษาของโรงเรียนท่ีประกอบกันอยู่ โดยผา่ น การรว่ มอภปิ รายปญั หาและการประเมนิ โดยกลมุ่ ซึ่งจะทาใหไ้ ด้แนวทางของการพฒั นาและขน้ั ตอนการ ดาเนินกิจกรรมเพ่อื จะไดใ้ ชเ้ ป็นขอ้ มลู พืน้ ฐานท่ีนาไปสู่การปรบั ปรุงและวางแผนการปฏบิ ตั ิตอ่ ไป 5. วิเคราะห์ความสัมพันธ์ในด้านต่างๆ ของข้อมูลท่ีได้รวบรวมไว้ ซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็น ข้อมูลเชิงคุณภาพ ทาการตรวจสอบรายละเอียดของข้อมูลเพื่อให้มั่นใจในความถูกต้อง แสดง รายละเอียดในการอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ จัดหมวดหมู่และแยกประเภทของกลุ่มข้อมูลตามหัวข้อท่ี เหมาะสม เปรียบเทียบข้อแตกต่างและความคล้ายคลึงของข้อมูลแตล่ ะประเภทโดยการวิเคราะห์อย่าง ลกึ ซงึ้ รว่ มกบั กลุ่มผู้วจิ ยั 6. ตรวจสอบข้อมลู ท่กี ลุ่มวจิ ัยได้ร่วมกันพิจารณาไว้แลว้ อีกครง้ั หนึง่ เพอื่ สรปุ หาคาตอบ ที่เป็นสาเหตุ วิธีการแก้ปัญหา และผลที่ได้รับ ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ได้กาหนดไว้ ซึ่งจะ กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ ูงสดุ 2.6.6 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ของการวิจยั เชงิ ปฏิบัติการ หลักการสาคัญของการวิจัยเชิงปฏิบัติการท่ีต้องตระหนักอยู่เสมอ คือ กลุ่มบุคคลท่ี เก่ียวข้องมีความสาคัญตอ่ กระบวนการดาเนินการวิจยั นนั่ คอื การวจิ ยั ชนดิ นี้ไมค่ วรจะทาตามลาพังและ ควรใช้วงจรของกระบวนการวิจัย ซงึ่ ประกอบดว้ ยการวางแผนการปฏบิ ตั กิ ารสงั เกต และการสะทอ้ นผล การปฏิบัติ เพ่ือนามาปรับปรุงแผนงานแล้วดาเนินกิจกรรมที่ปรับปรุงใหม่ ซ่ึงวงจรของทั้ง 4 ขั้นตอน ดังกล่าวจะมีลักษณะการดาเนินการเป็นบันไดเวียน (spiral) กระทาซ้าตามวงจร จนกว่าจะได้ผล ปฏิบตั ิการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง พร้อมกับตอ้ งบนั ทกึ ผลในทกุ ๆ ขั้นตอนท่สี าคัญ นั่นคอื 1. บันทกึ ผลของการเปล่ยี นแปลงกจิ กรรมและการฝึกปฏิบัติ 2. บันทึกผลของการเปล่ียนแปลงการใช้ภาษาและการสื่อสารในห้องเรียน หรือ หนว่ ยงานและกับบคุ คลท่ีเกย่ี วขอ้ งกับปัญหาทต่ี ้องการแกไ้ ข 3. บันทกึ ผลของการเปลีย่ นแปลงการสัมพนั ธภาพทางสังคมและการจัดระบบองค์กรท่ี ช่วยลดอุปสรรคต่อการฝกึ ปฏิบตั ิ
50 4. บันทกึ ผลของการพัฒนาการทเี่ ป็นขอ้ ค้นพบทีส่ าคญั ของการวิจยั การวิเคราะห์ข้อมูล ของการวิจัยเชิงปฏิบัติการการวิเคราะห์ข้อมูลของการวิจัยเชิงปฏิบัติการจะใช้วิธีการของการ วิจัยเชิง คุณภาพหรือการแจกแจงข้อค้นพบท่ีสาคัญเชิงอธบิ ายความ ซ่ึงจะนาไปสู่การสรุปเป็นผลงานวิจัย และ แสดงใหเ้ ห็นแนวทางหรือรปู แบบการปฏิบตั ทิ ่มี ปี ระสทิ ธิภาพ เพือ่ การแกไ้ ขปญั หาของสง่ิ ท่ีศกึ ษานน้ั สรปุ การวิจัยเชิงปฏิบตั ิการ (Action Research) เปน็ วธิ กี ารแสวงหาความรู้ ความจริงโดยการ นากระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มาใช้ในการแสวงหาข้อมูล ขอ้ เทจ็ จริง หรอื ข้อสรปุ ทต่ี ้องการ จากนั้น จงึ นาผลการวจิ ัยทไี่ ด้ไปใช้ในการแก้ปัญหาหรอื พฒั นางานทป่ี ฏิบัตอิ ยซู่ ง่ึ มวี ัตถุประสงค์สาคญั คอื การลด ช่องว่างระหว่างการนาทฤษฎีไปใช้ในการปฏิบัติงานในสถานการณ์ที่เป็นจริง ถ้าผลการวิจัยสามารถ แก้ไขปัญหาหรือพัฒนาหน่วยงานผลผลิตได้ตามที่ต้องการก็ถือว่าส้ินสุดขั้นตอนการวิจัย แต่ถ้า ผลการวิจัยยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาส่ิงที่ต้องการได้ ผู้วิจัยสามารถนาข้อมูลท่ีได้จากการ ประเมินผลไปใช้เป็นข้อมูลพ้ืนฐานในการวางแผนใหม่ นอกจากนี้ขณะดาเนินการวิจัย ผู้วิจัยสามารถ ปรบั ปรงุ แก้ไขแผนงานไดต้ ลอดเวลา เพื่อให้แผนงานมคี วามเหมาะสมกับสภาพจรงิ ของการปฏบิ ตั งิ าน โดยมีกระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ของผู้วิจัยเร่ืองการพัฒนาการจัดการ เรียนรโู้ ดยใช้รปู แบบ E-Learning รว่ มกบั เทคนิค การสืบเสาะหาความรู้ 5Es โดยใชร้ ปู แบบ E-PLC ดังน้ี
ขนั้ ท1่ี การวางแผน (Planning) วงรอบปฎบิ ตั ิการ PAOR ต่อ 1 แ - วิเคราะหป์ ัญหา ขั้นที่2 การปฏบิ ัติ (Acting) - ศึกษาตารา วารสาร งานวิจัยทเี่ ก่ียวข้องกบั การ - ดาเนนิ การสอนตามแผนการสอนท่สี รา้ งขึ้นเทคนิค เรียนรู้เก่ียวกับทักษะการใช้เทคโนโลยี และรูปแบบ e-Learning รว่ มกับเทคนคิ การสบื เสาะหาความรู้ การเรียนโดยวิธกี ารเรยี นรแู้ บบรว่ มมือดว้ ยเทคนิค e- 5Es ซ่งึ ประกอบดว้ ย Learning รว่ มกบั เทคนคิ การสบื เสาะหาความรู้ 5Es ขน้ั ท่ี 1 ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engagement) - สรา้ งแผนการจดั การเรียนรู้ดว้ ยเทคนคิ e-Learning ขัน้ ที่ 2 ขนั้ สารวจคน้ หาขอ้ มูล (Exploration) ร่วมกับเทคนคิ การสบื เสาะหาความรู้ 5Es ขั้นท่ี 3 ข้ันอธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation) เพ่ือพฒั นาทักษะการใช้เทคโนโลยี ขน้ั ท่ี 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) - สรา้ งเกณฑก์ ารประเมิน ขน้ั ที่ 5 ข้ันประเมนิ (Evaluation) - ประชุมทีม PLC ไดแ้ ก่ ผอู้ านวยการโรงเรียน ครูพ่ี อดั คลปิ วิดีทศั น์การสอน 15-20 นาที เลย้ี ง ครูร่วมวชิ าชพี ศึกษานเิ ทศก์ อาจารยน์ เิ ทศก์ และครูผู้สอน ขัน้ ท7ี่ การสังเกตผลใหม่ (Re- - ดา e-Le ข้นั ที8่ การสะท้อนผลใหม่ Observing) (Re-Reflecting) 5Es - สังเกตกระบวนการปฏิบัติและผลของการ - เหมือนขั้นตอนท่ี 4 ผู้วิจัย ปฏบิ ตั โิ ดยใช้เครื่องมือท่ีขน้ั สงั เกต สรา้ งขึน้ ประก และทีม PLC นาข้อมูลท่ีได้ เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เพือ่ ประเมนิ ผลทเ่ี กิด ข้ันท จากการสงั เกตมาวิเคราะห์ และการตีความปรากฎการณร์ ะบอุ งค์ ข้นั ท สั ง เ ค ร า ะ ห์ แ ล้ ว เ ขี ย น เ ป็ น ความรูใ้ หม่หรอื การเรยี นรู้ใหมท่ เ่ี กดิ ข้ึน ขนั้ ท สรปุ ผลและจัดทาเป็นเอกสาร เหมือนขนั้ ตอนที่ 3 ขนั้ ท ขน้ั ท ขัน้ ท9่ี การสรปุ ผล (Conclusion) - จัดทารายงานสรุปผล จัด ป ระชุมเชิงวิชาการ เพ่ือ นาเสนอผลงานวจิ ัยตอ่ ไป
แผนการจัดการเรียนรู้ 51 ขน้ั ท่ี3 การสงั เกตผล (Observing) ข้นั ที่4 การสะท้อนผล (Reflecting) - สังเกตกระบวนการปฏิบัติและผลของ - ผู้วิจัย และทีม PLC นาข้อมูลที่ได้จากการ การปฏิบัตโิ ดยใช้เคร่อื งมอื ทข่ี ั้นสังเกต สังเกตมาวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ วิพากษ์ ประเมินผล สรา้ งขนึ้ เกบ็ รวบรวมข้อมูล การจดั กจิ กรรมในแต่ละแผนการสอน และจาก วงรอบปฏิบัติการแต่ละวงรอบ เพื่อเป็นข้อมูล พ้ืนฐานที่จะนาไปสู่การปรับปรุงแผน.การจัด กิจกรรมการเรียนรู้และวางแผนการปฏิบตั ิการ ต่อไป ข้ันท่ี6 การปฏบิ ัตกิ ารใหม่ (Re-Acting) ขั้นท่5ี การวางแผนใหม่ (Re-Planning) เนินการสอนตามแผนการสอนทส่ี รา้ งขน้ึ เทคนคิ ประชมุ ทีม E-PLC เพ่อื ศกึ ษาทบทวนผลการ earning ร่วมกับเทคนิค การสบื เสาะหาความรู้ ดาเนินงาน กาหนดประเดน็ ปัญหาและแนว ทางการแกป้ ัญหา (การออกแบบการสอน) และ มีแนวการดาเนนิ งานเหมอื นกับข้นั ตอนที่ 2 ซ่ึง สรา้ งหลกั สูตรเชิงปฏบิ ัติการ และรปู แบบการ กอบดว้ ย จดั กิจกรรมการเรียนรแู้ บบ e-Learning ที่ 1 ข้นั สรา้ งความสนใจ รว่ มกับเทคนิค การสบื เสาะหาความรู้ 5Es ท่ี 2 ขัน้ สารวจค้นหาขอ้ มลู ท่ี 3 ข้นั อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ ที่ 4 ขั้นขยายความรู้ ที่ 5 ขัน้ ประเมนิ
53 กรอบการวจิ ัยเชงิ ปฏิบัตกิ าร ข้ันท่ี1 การวางแผน (Planning) - วเิ คราะห์ปญั หา - ศึกษาตารา วารสาร งานวจิ ยั ท่เี ก่ียวข้องกับการเรยี นรู้เก่ยี วกับทักษะการใช้เทคโนโลยี และรูปแบบการ เรียนโดยวธิ ีการเรยี นรู้แบบรว่ มมอื ดว้ ยเทคนิค e-Learning ร่วมกับเทคนคิ การสืบเสาะหาความรู้ 5Es - สร้างแผนการจัดการเรยี นรู้ดว้ ยเทคนคิ e-Learning รว่ มกับเทคนคิ การสืบเสาะหาความรู้ 5Es เพอ่ื พฒั นาทกั ษะการใชเ้ ทคโนโลยี - สร้างเกณฑก์ ารประเมิน - ประชมุ ทีม PLC ได้แก่ ผู้อานวยการโรงเรยี น ครพู ีเ่ ลี้ยง ครูรว่ มวชิ าชีพ ศึกษานิเทศก์ อาจารยน์ เิ ทศก์ และครผู สู้ อน ขนั้ ท่2ี การปฏบิ ตั ิ (Acting) - ดาเนนิ การสอนตามแผนการสอนทสี่ ร้างขน้ึ เทคนคิ e-Learning รว่ มกบั เทคนิค การสบื เสาะหาความรู้ 5Es ซ่ึงประกอบดว้ ย ขัน้ ที่ 1 ขั้นสรา้ งความสนใจ (Engagement) ข้ันที่ 2 ขนั้ สารวจคน้ หาข้อมูล (Exploration) ขน้ั ที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) ข้นั ที่ 4 ข้ันขยายความรู้ (Elaboration) ขน้ั ท่ี 5 ขนั้ ประเมิน (Evaluation) อดั คลปิ วิดที ัศนก์ ารสอน 15-20 นาที ขน้ั ท3่ี การสังเกตผล (Observing) - สังเกตกระบวนการปฏิบัตแิ ละผลของการปฏบิ ัติโดยใช้เครอ่ื งมอื ที่ขน้ั สังเกต สร้างขึน้ เก็บ รวบรวมข้อมลู ข้ันท่ี4 การสะท้อนผล (Reflecting) - ผ้วู ิจัย และทมี PLC นาข้อมูลทไี่ ด้จากการสงั เกตมาวเิ คราะห์ วิจารณ์ วพิ ากษ์ ประเมินผลการ จัดกิจกรรมในแต่ละแผนการสอน และจากวงรอบปฏบิ ตั กิ ารแต่ละวงรอบ เพอื่ เป็นขอ้ มลู พน้ื ฐาน ทจี่ ะนาไปสู่การปรับปรงุ แผน.การจดั กิจกรรมการเรียนรู้และวางแผนการปฏบิ ัติการตอ่ ไป
54 กรอบการวิจยั เชิงปฏิบัตกิ าร(ตอ่ ) ขั้นท5่ี การวางแผนใหม่ (Re-Planning) จัดประชมุ ทีม PLC เพือ่ ศึกษาทบทวนผลการดาเนินงาน กาหนดประเด็นปญั หาและแนวทางการ แก้ปญั หา (การออกแบบการสอน) และสร้างหลกั สูตรเชิงปฏบิ ัติการ และรูปแบบการจัดกิจกรรมการ เรยี นรู้แบบ e-Learning รว่ มกับเทคนคิ การสบื เสาะหาความรู้ 5Es ข้นั ท6่ี การปฏิบัติการใหม่ (Re-Acting) - ดาเนนิ การสอนตามแผนการสอนทสี่ รา้ งขึ้นเทคนคิ e-Learning ร่วมกับเทคนิค การสืบเสาะหา ความรู้ 5Es มแี นวการดาเนินงานเหมือนกับข้ันตอนที่ 2 ซ่ึงประกอบดว้ ย ขนั้ ท่ี 1 ขนั้ สรา้ งความสนใจ ขัน้ ท่ี 2 ขนั้ สารวจค้นหาขอ้ มูล ขน้ั ท่ี 3 ขน้ั อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ ขั้นท่ี 4 ข้นั ขยายความรู้ ขัน้ ท่ี 5 ข้ันประเมิน ขน้ั ท7่ี การสังเกตผลใหม่ (Re-Observing) - สังเกตกระบวนการปฏบิ ัตแิ ละผลของการปฏบิ ตั ิโดยใช้เครอื่ งมือทข่ี ้นั สังเกต สร้างขน้ึ เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เพื่อประเมนิ ผลทีเ่ กิดและการตีความปรากฎการณ์ระบุองค์ความรใู้ หม่หรอื การ เรียนรู้ใหม่ทเ่ี กดิ ข้นึ เหมอื นขน้ั ตอนที่ 3 ขั้นท8่ี การสะท้อนผลใหม่ (Re-Reflecting) - เหมือนขนั้ ตอนที่ 4 ผวู้ ิจยั และทีม PLC นาข้อมูลที่ไดจ้ ากการสงั เกตมาวิเคราะห์ สงั เคราะห์แล้วเขยี นเป็นสรปุ ผลและจัดทาเป็นเอกสาร ขน้ั ท9ี่ การสรุปผล (Conclusion) - จดั ทารายงานสรปุ ผล จดั ประชุมเชิงวิชาการ เพอื่ นาเสนอผลงานวจิ ยั ตอ่ ไป ภาพท่ี 2.2 กรอบการวิจยั เชิงปฏิบตั ิการ
55 2.7 รูปแบบการจัดกิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่ือพัฒนาจรรยาบรรณ วิชาชีพครู (E-PLC) 2.7.1 แนวคิด/รูปแบบการจัดกิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพที่ออกแบบการ ดาเนนิ การรว่ มกบั กระบวนการฝึกประสบการณว์ ิชาชพี ครู หลกั การและเหตผุ ล รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 258 ได้ให้ความสาคัญแก่ครู และบุคลากรทางการศึกษา ในการดาเนินการปฏิรปู ประเทศ ข้อ จ. ด้านการศึกษา (3) ว่า “ให้มีกลไกและ ระบบการผลิตคัดกรอง และพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพครูและอาจารย์ให้ได้มีจิตวิญญาณความเป็นครู มี ความรูค้ วามสามารถอย่างแทจ้ รงิ ...” ครทู ีด่ จี งึ จาเปน็ ตอ้ งมจี ิตวญิ ญาณของความเป็นครู จงึ จะสามารถอบรม ส่ังสอนศิษย์ใหเ้ ป็นคนดีได้ซ่ึงจาเป็นต้องได้รบั การปลูกฝัง ส่งเสรมิ และพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครตู ง้ั แต่ กระบวนการผลติ การเขา้ สวู่ ชิ าชพี และระหว่างการประกอบวิชาชีพทางการศกึ ษาอยา่ งตอ่ เน่อื ง จึงจะได้ครูดี มีคุณภาพน่าเคารพนับถือ เป็นที่รักของศิษย์ สามารถพัฒนาให้เป็นคนดี เป็นทรัพยากรทีมีคุณภาพในการ พัฒนาประเทศชาติ การมีจิตวิญญาณของความเป็นครูจึงสะท้อนถึงการมี “หัวใจเพ่ือศิษย์” กล่าวคือการ ตระหนักถึงบทบาทหน้าท่ีท่ีต้องเป็นแบบอย่างที่ดี การเสียสละ ทุ่มเท มุ่งม่ันพัฒนางานให้ทันกับ ความก้าวหน้าทางวิชาการที่สาคัญด้วยการประพฤติตนตามจรรยาบรรณของวิชาชีพด้วยจิตวิญญาณความ เปน็ ครู ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community: PLC) เป็นการรวมตัว กนั ของกลุม่ บคุ คลเพอ่ื ยกระดับวชิ าชพี ของตนเองดว้ ยกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน ในวชิ าชพี ทางการศึกษาจะ เป็นกระบวนการสร้างการเรียนรู้จากการรวมตัวกันของครูเพื่อร่วมกันและสนับสนุนซึ่งกันและกัน เพื่อ พฒั นาและวางเป้าหมายการเรียนรู้ของผู้เรยี น ร่วมกนั ตรวจสอบและแลกเปลีย่ นผลการปฏบิ ัตงิ านทส่ี ะท้อน ถึงการเรยี นร้ใู นลกั ษณะต่าง ๆ ไดแ้ ก่ การมเี ป้าหมายร่วมกนั ในการพัฒนาผู้เรยี นใหส้ ามารถพฒั นาตนเองได้ อยา่ งเตม็ ศักยภาพการแลกเปลีย่ นเรียนร้จู ากประสบการณจ์ ริงในช้นั เรียน การรว่ มเรยี นรูแ้ ละส่งเสรมิ ให้เกิด การสร้างการเปล่ียนแปลงของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง การวิพากษ์และสะท้อนผลการทางานเพ่ือพัฒนาผู้เรียน และการสร้างความคาดหวังท่จี ะยกระดับวิชาชพี ที่สง่ ผลตอ่ การพัฒนาคุณภาพผู้เรยี นอย่างแท้จริง PLC เป็นเคร่ืองมือในการพัฒนา โดยการรวมตัว ร่วมใจ ร่วมพลัง ร่วมทา และร่วมเรียนรู้ ร่วมกันของครู ผู้บริหารและนักการศึกษา บนพ้ืนฐานวัฒนธรรมความสัมพันธ์แบบกัลยาณมิตร สู่คุณภาพ การจัดการเรียนรู้ที่เน้นความสาเร็จหรือประสิทธิผลของผู้เรียนเป็นสาคัญ และความสุขของการทางาน ร่วมกันของสมาชิกในชุมชนด้วยความเช่ือว่าการเรียนรู้ของครูนาไปสู่การเรียนรู้ของผู้เรียน แม้ว่าครูจะมี ความแตกต่างกันเมื่อมีกระบวนการแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกันก็จะสามารถพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้ บรรลุเปา้ หมายได้ การรวมตัวกนั เป็นชุมชนการเรียนรทู้ างวิชาชีพของบุคลากรทางการศึกษาจะเนน้ สถานศึกษา เปน็ ชมุ ชนการเรียนรทู้ ีท่ กุ คนรบั ผดิ ชอบตอ่ การพฒั นาผ้เู รยี นท่ที ุกคนจะต้องมีบรรทัดฐานและคา่ นยิ มร่วมกัน
56 (Shared values and vision) ร่วมกันรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของนักเรียน (Collective responsibility for students learning) การสะท้อนผลเชิงวชิ าชีพ (Reflective professional inquiry) และการรวมพลงั สร้างความร่วมมือของทุกฝ่าย (Collaboration) กระทรวงศึกษาธิการ มีแนวทางส่งเสริมให้มีการอบรม “ชมุ ชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ” ให้แก่ครูและผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษาทั่วประเทศ แนวคดิ ของการอบรม PLCคือ การนาครูมาอยู่รวมกัน เกิดการเรียนรู้และแบ่งปันความรู้กันระหว่างผู้เข้าร่วมอบรม จนกระท่ังเกิดการ สะทอ้ นความคดิ ในดา้ นต่าง ๆ ทจ่ี ะเปน็ แนวทางการพัฒนาทางวิชาชพี ใหก้ า้ วหน้าและทนั สมัย “จรรยาบรรณวชิ าชีพครู” เปน็ กฎแห่งความประพฤติสาหรับสมาชิกวิชาชพี ครู ซ่ึงองค์กรวชิ าชีพ ครู เป็นผู้กาหนด และสมาชิกในวิชาชีพทุกคนต้องถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด หากมีการละเมิดจะมีการลงโทษ ตาม กฎระเบยี บ ขอ้ บงั คบั ทไ่ี ดก้ าหนด อาชพี ครูซง่ึ เปน็ วชิ าชีพชน้ั สูงอาชพี หนง่ึ จงึ ตอ้ งมีจรรยาบรรณวิชาชีพ ครูด้วย ในฐานะครูต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอยา่ งท่ีดีแก่ศิษย์ ต้องมีกิริยามารยาทท่ีงดงาม ครูต้องมี จรรยาบรรณและวินัยในตนเอง เพื่อเป็นกรอบและแนวทางในการปฏิบัติตาม ความประพฤติหรือกิริยา อาการท่ีผู้ประกอบวิชาชีพครู ควรประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เกิดความดีงามขึ้นแก่ตนเองและวิชาชีพครู โดย มาตรฐานวิชาชีพครเู ป็นแนวทางการดาเนินงานการควบคุม และรักษาการประกอบวิชาชีพ โดย “คุรุสภา” ได้กาหนดให้มีการกาหนดมาตรฐานวิชาชีพ ออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ กากับดูแลการ ปฏิบัติตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของวิชาชีพ รวมทั้งการพัฒนาวิชาชีพ มาตรฐานวิชาชีพครู เป็น ขอ้ กาหนดเก่ียวกับ คุณลกั ษณะและคุณภาพทีพ่ งึ ประสงค์ที่ต้องการให้เกิดขน้ึ ในการประกอบวิชาชีพครู โดย ผูป้ ระกอบวิชาชีพจะต้องนามาตรฐานวชิ าชพี เปน็ หลักเกณฑ์ในประกอบวิชาชพี คุรสุ ภาซ่งึ เป็นองค์กรวิชาชีพ ครูตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาได้กาหนดไว้ 3 ด้าน ได้แก่ 1) มาตรฐานด้าน ความร้แู ละประสบการณ์วิชาชพี 2) มาตรฐานดา้ นการปฏบิ ัตงิ าน และ 3) มาตรฐานด้านการปฏบิ ัติตน สาหรบั มาตรฐานด้านการปฏิบตั ติ น ตามจรรยาบรรณของวิชาชพี ทางการศกึ ษาทส่ี ภาวชิ าชีพ (ครุ ุ สภา) กาหนดซึ่งปัจจุบันกาหนดไว้ 5 ด้าน 9 ข้อ ดังนี้ 1)จรรยาบรรณต่อตนเอง ข้อที่ 1 ผู้ประกอบวิชาชีพ ทางการศึกษาต้องมวี ินยั ในตนเอง พัฒนาตนเองด้านวิชาชีพ บุคลิกภาพ และวิสัยทัศน์ ให้ทันต่อการพฒั นา ทางวิทยาการเศรษฐกิจ สังคม และการเมอื งอยู่เสมอ 2) จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ ขอ้ ท่ี 2 ผูป้ ระกอบวิชาชีพ ทางการศึกษา ต้องรัก ศรัทธา ซ่ือสัตย์สุจริต รับผิดชอบต่อวิชาชีพและเปน็ สมาชิกที่ดีขององค์กรวชิ าชีพ 3) จรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ ข้อท่ี 3 ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริมให้กาลังใจแก่ศิษย์และผู้รับบริการ ตามบทบาทหน้าท่ีโดยเสมอหน้า ข้อท่ี 4 ผู้ประกอบวิชาชีพ ทางการศึกษา ต้องส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ ทักษะ และนิสัยท่ีถูกต้องดีงามแก่ศิษย์และผู้รับบริการ ตาม บทบาทหน้าที่อย่างเต็มความสามารถด้วยความบริสุทธ์ิใจ ข้อที่ 5 ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้อง ประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ท้ังทางกายวาจา และจิตใจ ข้อที่ 6 ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องไม่กระทาตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญ ทางกายสติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์ และ ผู้รับบริการ และข้อที่ 7 ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องให้บริการด้วยความจรงิ ใจและเสมอภาค โดย ไม่เรียกรับหรือยอมรับผลประโยชนจ์ ากการใช้ตาแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ 4) จรรยาบรรณต่อผู้ร่วมประกอบ
57 วชิ าชพี ขอ้ ท่ี 8 ผู้ประกอบวิชาชพี ทางการศกึ ษา พงึ ชว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู ซ่งึ กนั และกนั อยา่ งสรา้ งสรรคโ์ ดยยึดมั่น ในระบบคุณธรรม สร้างความสามัคคีในหมู่คณะ และด้านสุดท้าย 5) จรรยาบรรณต่อสังคม ข้อที่ 9 ผู้ ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา พึงประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้นาในการอนุรักษ์และพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา สิ่งแวดล้อม รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมและยึดมั่นในการปกครอง ระบอบประชาธปิ ไตยอันมพี ระมหากษตั รยิ ท์ รงเป็นประมุข ในส่วนของความสาคัญของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารหรือระบบ อิเล็กทรอนิกส์ต่อการเรียนรู้ ในศตวรรษที่ 21 ทักษะแห่งอนาคตใหม่ในยุคเทคโนโลยีข้ันสูง การพัฒนา ระบบงานเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับการจัดการศึกษาเพื่อการเรียนรู้ เป็นเร่ืองสาคัญลาดับต้น ๆ ที่ หน่วยงานทางการศึกษาต้องเรง่ ดาเนินการพฒั นาระบบงานคอมพิวเตอร์เพ่ือการประมวลผลข้อมลู เพื่อเกิด ความเชื่อมโยงและคล่องตัวในการบรกิ าร ทั้งภายในและภายนอกองค์กร และฐานขอ้ มลู Big Data ซง่ึ ถูกยก เป็นภารกิจหลักสาคัญในการขับเคล่ือนองค์กร โดยการริเริ่มระบบการพัฒนาวิชาชีพอย่างต่อเน่ือง (CPD) สร้างเครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพใหเ้ ข้มแข็ง ส่งเสริมการจัดทาสื่อต้นแบบผ่านระบบออนไลนเ์ พื่อการเขา้ ถึง การเรียนรู้จากครูที่มีคุณภาพ ดาเนินการรับรองปริญญาตามมาตรฐานวิชาชีพ การรับรองหลักสูตรการ พฒั นาครู และการจดั ทาระบบการสะสมคะแนนเพอ่ื การต่อใบอนญุ าต พัฒนาระบบงานบรกิ าร ทีต่ อบสนอง ความตอ้ งการของผปู้ ระกอบวิชาชีพและหน่วยงานทเ่ี กยี่ วข้องโดยการปรับระบบบริการการข้นึ ทะเบียนและ การต่อใบอนญุ าตผ่านระบบดิจิทัล และส่ือออนไลน์ต่าง ๆ จดั ระบบการสร้างนวตั กรรมทางการศึกษาของครู และผู้บริหารสถานศกึ ษา กากบั ดูแลผูป้ ระกอบวิชาชพี ให้ปฏบิ ัตติ ามมาตรฐานและจรรยาบรรณวชิ าชีพเป็นที่ ยอมรับของสังคม ส่งเสริมการพัฒนา สมรรถนะของครดู ้านภาษาเพ่ือการสื่อสารและทักษะการใช้ ICT ยก ยอ่ งเชิดชเู กยี รตผิ ปู้ ระกอบวชิ าชพี สนับสนุนกจิ กรรมมลู นิธิรางวลั สมเดจ็ เจ้าฟ้ามหาจกั รี และการดาเนินงาน ของสถาบันครุ พุ ัฒนา เร่งรัดการปฏริ ปู ครุ ุสภาใหเ้ ปน็ องคก์ รวิชาชพี ท่ีเขม้ แข็ง เชอ่ื มโยงกบั ทิศทางการปฏิรูป การศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ปรับปรุงข้อบังคับระเบียบต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสม สร้างเครือข่าย ความร่วมมือกับหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องกับครูและบุคลากรทางการศึกษา และพัฒนาระบบฐานข้อมูลท่ี สามารถเช่ือมโยงกนั อย่างมีประสิทธิภาพ ปรบั สานกั งานเลขาธกิ ารคุรุสภาให้เป็น E-office และใช้ระบบ E- service ในภารกิจของครุ สุ ภา รวมถงึ การสร้างระบบฐานข้อมลู ครู (big data) เพื่อเชอื่ มระบบและขอ้ มูลกับ หน่วยงานที่เก่ียวข้อง ด้วยแนวคิดการนา PLC มาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาครูในด้านต่าง ๆ คุรุสภาจึงได้ พัฒนา PLC มาใช้ในการส่งเสริมจรรยาบรรณวิชาชีพครู ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร หรอื ระบบอิเลก็ ทรอนกิ ส์ ซง่ึ จะสามารถสร้างเครอื ขา่ ยเชือ่ มโยงระหว่าง ผ้ปู ระกอบวชิ าชีพให้ตระหนักถงึ การ ประพฤติผิดจรรยาบรรณได้อย่างกว้างขวาง ครอบคลุมครูในทุกสังกัดและกลุ่มเป้าหมายโดยความร่วมมือ ของสถาบนั การศกึ ษา สง่ ผา่ นกิจกรรมดว้ ยระบบอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ทม่ี ีประสิทธิภาพการพฒั นาระบบเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารหรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ สู่ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพเพ่ือพัฒนา จรรยาบรรณวิชาชีพผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Ethics in Professional Learning Community: E- PLC)
58 จากประมวลจรรยาบรรณที่คุรุสภาบังคับใช้เพ่ือให้ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ได้แก่ ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา ศึกษานิเทศก์ ต้องปฏิบัติตามจรรยาบรรณของวิชาชีพพัฒนา สู่ กระบวนการส่งเสริมให้นิสิต นักศึกษาครู และครูประจาการได้มีโอกาสนาประเด็นการปฏิบัติตนตาม จรรยาบรรณฯนามาบรู ณาการกับการออกแบบกิจกรรมการเรยี นการสอนและมีกระบวนการพัฒนาการ จดั กิจกรรมด้วยกระบวนการชุมชนการเรียนรู้วิชาชีพ (Professional Learning Community) จะเป็นการ สร้างประสบการณ์ที่มคี วามหมายให้แก่นิสิต นักศึกษาครู และครู จากนน้ั นาการเรียนรูร้ ่วมกนั นาเสนอผ่าน ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือเป็นการลดการใช้กระดาษให้น้อยท่สี ุดและเปน็ สร้างทักษะการใชเ้ ทคโนโลยี สารสนเทศที่สอดคลอ้ งกบั ทกั ษะในศตวรรษที่ 21 โดยระบบปฏิบตั กิ ารพฒั นาจรรยาบรรณวชิ าชพี ครหู รือE - PLC มีหลักการท่ีนามาบูรณการร่วมกันในการดาเนินการ โดยมีลักษณะที่สาคัญ 5 ประการ ประกอบด้วย การสรา้ งบรรทัดฐานและคา่ นยิ มรว่ มกัน (Shared values and norms) การปฏบิ ตั ิท่มี ีเป้าหมายร่วมกัน คอื การเรียนรขู้ องผู้เรยี น (Collective focus on students learning) การร่วมมือรวมพลังของสมาชิก ชุมชน วิชาชีพ (Collaboration) การเปิดรบั การชแ้ี นะการปฏิบัติและการรว่ มเรียนรู้ ณ บริบทจริง (Expert advice and study visit) การสนทนาท่มี ุง่ สะทอ้ นผลการปฏิบัติงาน (Reflection dialogue) และใช้การปฏบิ ัติการ ผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร โดยใช้ Google classroom application ท่ีมบี รกิ ารอยู่ใน ระบบ Google app for education โดยกระบวนการดังกล่าวดาเนินการเพ่ือพัฒนาผู้เตรียมเข้าสู่วิชาชีพ ทางการศึกษา และผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาด้านคุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณของวิชาชีพ เสมือนเป็นการเตรยี มความพร้อมสูก่ ารปฏิบัติวิชาชพี อย่างผมู้ ีจรรยาบรรณ มงุ่ เนน้ ไปสู่การนาไปใชป้ ฏิบัติใน วิถีชีวิตประจาวันได้ เพ่ือสร้างประสบการณ์ และมีการบูรณาการหลักจรรยาบรรณวิชาชีพครูสู่การ ปฏิบัติการสอน โดยยึดการปฏิบัติจริงให้เกิดเป็นตัวอย่างและเกิดเป็นชุมชนการเรียนรู้ร่วมกัน ส่งเสริมการ ปฏิบัติตามจรรยาบรรณร่วมกัน ท้ังในชั้นเรียนโดยเป็นการดาเนินการร่วมกันแบบดูแลซึ่งกันและกัน มีครู ประจาการเปน็ ผูน้ าและกากบั ดแู ลเปน็ แบบอย่างแหง่ ชุมชนการเรยี นรทู้ างวิชาชีพ หลักการ E-PLC มดี ังนี้ 1) เป็นกระบวนการบรู ณาการระหว่างกระบวนการผลิตครแู ละกระบวนการพัฒนาครู ให้ สง่ เสรมิ สนับสนนุ ซงึ่ กนั และกนั อย่างกลมกลนื 2) เป็นการบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศมาเป็นเครื่องมือในการทางานอย่างเป็นระบบ และประหยัดทรพั ยากร 3) ตอบสนองต่อการปฏิรูปการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใชห้ อ้ งเรียนเป็นฐาน 4) สร้างสรรค์วัฒนธรรมการทางานร่วมกันระหว่างครูที่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพ กับนิสิต นักศกึ ษาครู ทีก่ าลังจะเขา้ สู่วิชาชพี 5) เป็นกระบวนการพฒั นาจรรยาบรรณวชิ าชีพโดยใช้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนษุ ย์กับมนุษย์ โดยมี เทคโนโลยสี ารสนเทศเปน็ เครื่องมือบันทกึ รอ่ งรอยอยา่ งเปน็ วทิ ยาศาสตร์ คุรุสภาได้สนับสนุน ส่งเสริม การพัฒนาวิชาชีพตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของ วิชาชีพ รวมทั้งการส่งเสริม สนับสนุน ยกย่องและผดุงเกียรติผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาตาม
59 พระราชบญั ญตั ิสภาครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546 มาตรา 9(5) และ (6) ในฐานะองคก์ รวชิ าชีพที่ มีระบบและกลไกในการสง่ เสริม สนบั สนนุ เช่อื มโยง การผลิต การคัดกรองและพฒั นาผู้ประกอบวิชาชีพครู และบุคลากรทางการศึกษาที่มีคุณภาพได้มาตรฐานสากล จึงมีการดาเนินกิจกรรมส่งเสริมกระบวนการ ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพเพือ่ พัฒนาจรรยาบรรณวิชาชีพผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ(Ethics in Professional Learning Community: E-PLC) โดย “ครู” เป็นบุคคลท่ีมีบทบาทสาคัญต่อการเป็น แบบอย่างที่ดีให้กับผู้เรียนและเป็นปัจจัยตัวชี้วัดท่ีดีสาคัญท่ีจะทาให้การเรียนรู้ของผู้เรียนมีคุณภาพ การ สง่ เสรมิ ให้ครมู ีโอกาสทบทวนการประพฤติปฏบิ ัตติ นตามจรรยาบรรณของวชิ าชพี จะส่งผลสะทอ้ นกลับไปยัง ผู้เรียน ซึ่งจะเป็นการช่วยยกระดับภาพลักษณ์วิชาชีพครูว่ายังเป็นวิชาชีพที่ควรเคารพ ยกย่อง นับถือ นอกจากน้ี นกั ศกึ ษาครทู ี่มคี ุณภาพยอ่ มเป็นหลกั ประกันทีม่ ่นั ใจไดว้ ่า ประเทศจะมีคนท่ีกาลงั จะเข้าสูว่ ิชาชีพ ครูท่ีเปน็ คุณภาพประกอบด้วย ความรู้ ความสามารถ และจติ วญิ ญาณความเป็นครอู ันจะส่งผลตอ่ การพฒั นา เยาวชนไทยให้เป็นคนไทยทีม่ คี ณุ ภาพ ดงั นั้น แนวคดิ การพัฒนาจิตวญิ ญาณความเป็นครูที่สานักงานครุ ุสภาดาเนินการในคร้ังนี้จึงอยู่ บนฐานคิด “การเรยี นรู้จากตวั แบบโดยมคี รพู ี่เล้ียงเปน็ แบบอยา่ งทีด่ ี” โดยเฉพาะนักศกึ ษาครทู ีต่ ้องออกไป ฝกึ ประสบการณ์วิชาชีพในโรงเรียน ซ่ึงการฝึกประสบการณ์วชิ าชีพตลอดระยะเวลา 1 ปนี น้ั นบั เป็นโอกาสดี ที่ครูประจาการท่ีเป็นครูท่ีมีประสบการณ์และพร้อมจะเป็น “ครูพ่ีเลี้ยง” ของนักศึกษาฝึกประสบการณ์ วิชาชพี หรอื แมก้ ระท่งั ครผู ู้ชว่ ยท่ีกาลังปฏิบัตกิ ารสอนอยู่ในสถานศึกษาก็จะได้เรยี นรู้จากครูต้นแบบหรือครู พี่เล้ียงท่ีเป็นแบบอย่างของครูที่ดีอีกด้วย นอกจากนั้นยังมี “อาจารย์นิเทศ” จากวิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย ท่ี จะต้องเดินทางไปสังเกตการสอนของลูกศิษย์ในห้องเรียนจริงที่โรงเรียน ดังน้ัน การทางานร่วมกันระหว่าง ครูผู้ช่วย ครูพี่เลี้ยง อาจารย์นิเทศ นักศึกษาครู ผู้บริหารโรงเรียน และคนอ่ืน ๆ ที่เก่ียวข้อง คณะ ศึกษาศาสตร์และ ศิลปศาสตร์ วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย ตระหนักถึงความสาคัญดังกล่าว จึงได้นา กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวชิ าชีพมาเป็นกระบวนการในการทางานร่วมกนั โดยมเี ป้าหมายการ พัฒนาท้ังทักษะการจัดการเรียนการสอนและการประพฤติปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณ ของวิชาชีพครูโดยมี การเรยี นรู้จากครพู เ่ี ลี้ยงและอาจารยน์ เิ ทศ ทจ่ี ะต้องปฏิบัติตนและสะท้อนภาพออกมาให้เห็นเปน็ แบบอย่าง ท่ีดี (Role model) แก่นักศึกษาครู ท่ีฝึกประสบการณ์วิชาชีพ และครูผู้ช่วยที่กาลังปฏิบัติการสอนอยู่ รวม เป็นทีมชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ด้วยเหตุนี้คณะศึกษาศาสตร์และศิลปศาสตร์ วิทยาลัยบัณฑิต เอเซีย จึงได้ดาเนินการวิจัยและพัฒนาเร่ือง การพัฒนารูปแบบการจัดกิจกรรมส่งเสริมกระบวนการ ชุมชนแห่งการเรียนรู้ เพ่ือพัฒนาจรรยาบรรณวิชาชีพครูผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของนกั ศึกษา หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู วิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย ภายใต้แนวคิดของสานักงานคุรุสภา โดยม่งุ หมายว่าจะเป็นกจิ กรรมสาคญั ที่จะช่วยเสรมิ สรา้ งและพัฒนาจรรยาบรรณของวิชาชีพครูใหเ้ กดิ ข้ึนกับ ครูพี่เล้ียงท่ีเป็นครูประจาการอยู่แล้วหรือครูผู้ช่วยท่ีกาลังปฏิบัติการสอนอยู่ และจะมีผลสะท้อน ไปถึง นกั ศึกษาครูท่ปี ระสงคจ์ ะเป็นผปู้ ระกอบวิชาชีพครตู อ่ ไปในอนาคต 2.7.2 แนวคดิ และทฤษฎที เ่ี กีย่ วข้อง
60 1. แนวคิดเกี่ยวกับชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community : PLC) ชุมชนการเรียนรทู้ างวิชาชีพ (PLC: Professional Learning Community) มีพนื้ ฐานแนวคิด มาจาก ภาคธุรกิจเกี่ยวกับความสามารถขององค์กรในการเรียนรู้ (Thompson, Gregg, & Niska, 2004) เป็น การ นาแนวคิดองค์กรแห่งการเรียนรู้มา ประยุกต์โดยอธิบายว่า การอุปมาที่เปรียบเทียบให้โรงเรียนเป็น “องค์กร” น้ัน น่าจะไม่เหมาะสมและถูกต้อง แท้จริงแล้วโรงเรียน มีความเป็น “ชุมชน” มากกว่าความเป็น องค์กร ซ่ึงความเป็น “องค์กร” กับ “ชุมชน”มีความแตกต่างกันที่ความเป็นชุมชน จะยึดโยงภายในต่อกัน ดว้ ย คา่ นิยม แนวคดิ และความผูกพนั ร่วมกันของทกุ คนที่เปน็ สมาชิก ซ่ึงเปน็ แนวคดิ ตรงกนั ข้ามกับ “ความ เป็น องคก์ ร” ทม่ี ีความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสมาชิกในลักษณะทยี่ ดึ ตามระดับลดหลั่นกนั ลงมา มกี ลไกการควบคมุ และ มีโครงสร้างแบบตึงตัวท่ีเต็มไปด้วยกฎระเบียบและวัฒนธรรมของการใช้อานาจเป็นหลัก ในขณะท่ี “ชุมชน” จะใช้อิทธพิ ลท่เี กิดจากการมีค่านยิ ม และวัตถุประสงคร์ ว่ มกนั เปน็ ความสมั พันธ์ระหวา่ งสมาชิกเชิง วชิ าชพี มีความเปน็ กัลยาณมิตรเชิงวิชาการ และยดึ หลักต้องพ่ึงพาอาศยั ซ่ึงกนั และกัน แบบผนึกกาลงั กันใน การ ปฏิบัติงานท่ีมุ่งสู่พัฒนาการการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสาคัญ นอกจากน้ี “องค์กร” ยังทาให้เกิด คุณลักษณะบางอย่างข้ึน เช่นลดความเป็นกันเองต่อกันลงมีความเป็นราชการมากขึ้น และถูกควบคุมจาก ภายนอก ใหต้ ้องรกั ษาสถานภาพเดิมของหน่วยงานไว้ จงึ เหน็ วา่ ถา้ มองโรงเรยี นในฐานะแบบองค์กรดงั กล่าว แลว้ กจ็ ะทาให้โรงเรียนมีความเป็นแบบทางการทส่ี รา้ งความรสู้ ึกห่างระหว่างบคุ คลมากย่ิงขึ้นมกี ลไกท่ีบังคับ ควบคุมมากมายและมกั มีจดุ เนน้ ในเรอื่ งท่เี ปน็ งานด้านเทคนิคเป็นหลักในทางตรงข้ามถ้ายอมรบั ว่า โรงเรยี น มี ฐานะแบบท่ีเป็นชุมชนแล้วบรรยากาศที่ตามมาก็คือสมาชิกมีความผูกพันต่อกันด้วยวัตถุประสงค์ร่วม มี การสร้างสมั พนั ธภาพทใ่ี กล้ชิดสนิทสนม และเกดิ การรว่ มสรา้ งบรรยากาศทที่ ุกคนแสดงออกถงึ ความห่วงหา อาทรต่อกันและช่วยดูและสวัสดิภาพร่วมกัน (Sergiovanni, 1994) โดยท่ีใส่ใจร่วมกันถึง การเรียนรู้และ ความรบั ผิดชอบหลกั รว่ มกันของชมุ ชนนัน้ คือพฒั นาการการเรียนรูข้ องผเู้ รียน ด้านความสาคัญของ PLC จากผลการวิจัยโดยของ Hord (1997) ท่ียืนยันว่า การดาเนินการ ในรูปแบบ PLC นาไปสู่การเปล่ียนแปลงเชิงคุณภาพท้ังด้านวิชาชีพและผลสัมฤทธ์ิของนักเรียนจากการ สังเคราะห์รายงานการวิจัยเกี่ยวกับโรงเรยี นที่มี การจัดต้ัง PLC โดยใชค้ าถามวา่ โรงเรียนดังกล่าวมีผลลัพธ์ อะไรบ้างท่ีแตกต่างไปจากโรงเรยี นท่ัวไปที่ไม่มีชุมชนแหง่ วิชาชีพ และถ้าแตกต่างแล้วจะมีผลดีต่อครผู ู้สอน และต่อนกั เรยี นอย่างไรบา้ ง ซ่ึงมีผลสรุป 2 ประเดน็ ดังนี้ ประเด็นที่ 1 ผลดีต่อครูผู้สอน พบว่า PLC ส่งผลต่อครูผู้สอน กล่าวคือลดความรู้สึกโดด เดี่ยว งานสอนของครูเพ่ิมความรู้สึกผูกพันต่อพันธะกิจและเป้าหมายของโรงเรียนมากขึ้น โดยเพิ่ม ความ กระตือรือร้นท่ีจะปฏิบัติให้บรรลุพันธะกิจอย่างแข็งขันจนเกิดความรู้สึกว่าต้องการร่วมกันเรียนรู้และ รับผิดชอบต่อพัฒนาการโดยรวมของนกั เรียน ถือเป็น “พลังการเรยี นรู้” ซึ่งส่งผลให้การปฏิบัตกิ ารสอน ใน ชนั้ เรียนใหม้ ีผลดียงิ่ ขึน้ กล่าวคอื มีการค้นพบความรแู้ ละความเชือ่ ทเ่ี กีย่ วกับวิธกี ารสอน และตัวผูเ้ รียน ซึ่งท่ี เกิดจากการคอยสังเกตอย่างสนใจ รวมถึงความเข้าใจในด้านเน้ือหาสาระท่ีต้องจัดการเรียนรู้ได้แตกฉาน ยงิ่ ขึน้ จนตระหนักถึงบทบาทและพฤติกรรมการสอนท่ีจะชว่ ยให้นักเรยี นเกิดการเรียนร้ไู ด้ดีที่สุด อกี ท้ัง การ
61 รับทราบข้อมูลสารสนเทศต่างๆ ที่จาเป็นต่อวิชาชีพได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็วข้ึนส่งผลดีต่อ การ ปรับปรงุ พัฒนางานวิชาชีพไดต้ ลอดเวลา เปน็ ผลให้เกิดแรงบนั ดาลใจที่จะพฒั นาและอุทศิ ตนทางวิชาชีพเพื่อ ศิษย์ซึ่งเป็นท้ังคุณค่าและขวัญกาลังใจต่อการปฏิบัติงานให้ดีย่ิงข้ึนท่ีสาคัญ คือยังสามารถลดอัตราการลา หยุดงานน้อยลงเมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนแบบเก่ายังพบว่ามีความก้าวหน้าในการปรับเปล่ียนวิธีการ จัดการเรียนรู้ ให้สอดคล้องกับ ลักษณะผู้เรียนได้อย่างเด่นชัด และรวดเร็วกว่าที่พบในโรงเรียนแบบเก่า มี ความผูกพันทีจ่ ะสร้างการเปล่ียนแปลงใหม่ ๆ ให้ปรากฏ อยา่ งเด่นชดั และย่งั ยืน ประเดน็ ที่ 2 ผลดตี ่อผูเ้ รยี น พบว่า PLC สง่ ผลต่อผู้เรียน กลา่ วคือ สามารถลดอัตราการตก ซ้าชั้น และจานวนชั้นเรียนที่ต้องเลื่อนหรือชะลอการจัดการเรียนรู้ให้น้อยลง อัตราการขาดเรียนลดลง มี ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี นในวิชาวทิ ยาศาสตร์ ประวัตศิ าสตร์ และวชิ าการอ่านทสี่ ูงข้ึนอย่างเด่นชัด เมอื่ เทียบ กับโรงเรยี น แบบเก่า สุดท้าย คือ มีความแตกต่างด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ระหว่างกลุ่มนักเรยี นท่ีมภี ูมิ หลงั ไมเ่ หมือนกันและลดลงชดั เจน สรุปคือ PLC มีพัฒนาการมาจากกลยุทธ์ระดับ องค์กรท่ีมุ่งเน้นให้องค์กรมีการปรับตัวต่อ กระแส การเปล่ียนแปลง ของสังคมที่เกิดข้ึนอย่างรวดเร็ว โดยเร่ิมพฒั นาจากแนวคิดองค์กรแห่งการเรยี นรู้ และปรับประยุกต์ให้มีความสอดคล้องกับบริบทของโรงเรียนและการเรียนรูร้ ่วมกนั ในทางวิชาชีพที่มีหน้า งานสาคัญ คือความรับผิดชอบการเรียนรู้ของผู้เรียนร่วมกันเป็นสาคัญ จากการศึกษาหลายโรงเรียนใน ประเทศสหรฐั อเมรกิ าดาเนนิ การในรปู แบบ PLC พบวา่ เกิดผลดที ้ังวชิ าชพี ครแู ละผเู้ รียน ทม่ี ุง่ พฒั นาการของ ผเู้ รียนเปน็ สาคัญ 2. องค์ประกอบของชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพในบริบทสถานศึกษา PLC ในระดับ สถานศกึ ษา หรอื ระดับผ้ปู ระกอบวชิ าชพี นาเสนอเปน็ องค์ประกอบ ของ PLC ทมี่ าจากขอ้ มลู ที่รวบรวมและ วิเคราะห์จากเอกสารท้ังในประเทศไทยและต่างประเทศนาเสนอเป็น 6 องค์ประกอบของ PLC ในบริบท สถานศึกษา ซึ่งประกอบด้วย วิสัยทัศน์ร่วมทีมร่วมแรงร่วมใจ ภาวะผู้นาร่วม การเรียนรู้และการพัฒนา วิชาชีพ ชุมชนกัลยาณมิตร และโครงสร้างสนับสนุน ชุมชนนาเสนอ จากการสังเคราะห์แนวคิดต่างๆ และ รายละเอียดต่อไปน้ี องค์ประกอบท่ี 1 วิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision) วิสัยทัศน์ร่วมเป็นการมองเห็นภาพ เป้าหมาย ทิศทาง เส้นทาง และสิ่งท่ีจะเกิดขึ้นจริง เป็นเสมือนเข็มทิศในการขับเคล่ือน PLC ที่มีทิศทาง ร่วมกัน โดยมีวิสัยทัศน์เชิงอุดมการณ์ทางวิชาชีพร่วมกัน (Sergiovanni, 1994) คือพัฒนาการ การเรียนรู้ ของผ้เู รยี นเป็นภาพความสาเร็จท่ีมุง่ หวงั ในการนาทางร่วมกนั (Hord, 1997) อาจเป็นการมองเรม่ิ จากผู้นา หรือกลุ่มผู้นาทมี่ ี วิสยั ทัศน์ทาหน้าท่เี หนีย่ วนาให้ผ้รู ว่ มงานเห็นวสิ ัยทัศนน์ นั้ ร่วมกัน หรอื การมองเหน็ จากแต่ ละปัจเจกที่มีวิสัยทัศน์เห็นในสิ่งเดียวกัน วิสัยทัศน์ร่วมมีลักษณะสาคัญ 4 ประการ (4 Shared) มี รายละเอยี ดสาคัญ ดงั นี้
62 1) การเห็นภาพและทิศทางร่วม (Shared Vision) จากภาพความเชื่อมโยงให้เห็นภาพ ความสาเร็จร่วมกันถึงทิศทางสาคัญของการทางานแบบมอง “เห็นภาพเดียวกัน” (Hord, 1997; Hargreaves, 2003) 2) เป้าหมายร่วม (Shared Goals) เป็นทั้งเป้าหมาย ปลายทาง ระหว่างทาง และ เป้าหมายชีวิตของสมาชิกแต่ละคนที่ สัมพันธ์กันกับเป้าหมายร่วมของชุมชนการเรียนรู้ฯ ซ่ึงเป็นความ เชอื่ มโยงให้เห็นถงึ ทิศทางและเป้าหมายในการทางานรว่ มกัน โดยเฉพาะเป้าหมายสาคัญ คือพฒั นาการการ เรยี นรขู้ องผูเ้ รียน (Hargreaves, 2003; Schmoker, 2004; DuFour, 2006) 3) คุณค่าร่วม (Shared Values) เป็นการเห็นทั้งภาพเป้าหมาย และท่ีสาคัญเม่ือเห็น ภาพ ความเชื่อมโยงแล้ว ภาพดังกล่าวมีอิทธิพลกับการตระหนักถึงคุณค่าของตนเองและของงานจน เชื่อมโยง เป็นความหมายของงานที่เกิดจากการตระหนัก รู้ของสมาชิกใน PLC จนเกิดเป็นพันธะสัญญา ร่วมกัน ร่วมกัน หลอมรวมเปน็ “คุณค่าร่วม” ซ่ึงเปน็ ขุมพลงั สาคัญที่จะเกิดพลงั ในการไหลรวมกนั ทางานใน เชงิ อุดมการณ์ ทางวิชาชพี รว่ มกัน (Hord, 1997; DuFour, 2006; Hargreaves, 2003) 4) ภารกิจร่วม (Shared Mission) เป็นพันธกิจแนวทางการปฏิบัติร่วมกันเพ่ือให้บรรลุ ตามเป้าหมายร่วม รวมถึงการ เรียนรู้ของครูในทุกๆ ภารกิจ ส่ิงสาคัญคือ การปฏิรูปการเรียนรู้ ที่มุ่งการ เรียนรู้ ของผู้เรียนเป็นหัวใจสาคัญ (Hord, 1997) โดยการเริ่มจากการรับผิดชอบในการพัฒนาวิชาชีพเพอื่ ศิษย์ ร่วมกันของครู (Louis & Kruse, 1995; Sense, 2000; DuFour, 2006) องคป์ ระกอบท่ี 2 ทมี รว่ มแรงร่วมใจ (Collaborative Teamwork) ทีมรว่ มแรงร่วมใจ เป็น การพัฒนามาจากกลุ่มท่ีทางาน ร่วมกันอย่างสรา้ งสรรค์ ลักษณะการทางานร่วมกนั แบบมวี ิสัยทัศน์ คุณค่า เปา้ หมาย และพนั ธกิจรว่ มกัน รวมกนั ด้วยใจ จนเกดิ เจตจานงในการทางานรว่ มกนั อย่างสร้างสรรค์ เพอื่ ให้ บรรลุผลที่การเรียนรู้ของผ้เู รียน (Louis, Kruse, & Marks, 1996) การเรยี นรูข้ องทมี และการเรียนรู้ของครู บนพื้นฐานงานที่มี ลักษณะต้องมีการคิดร่วมกัน วางแผนร่วมกนั ความเข้าใจร่วมกัน ข้อตกลงร่วมกัน การ ตัดสินใจร่วมกัน แนวปฏิบัติร่วมกัน การประเมินผลร่วมกัน และการรับผิดชอบร่วมกัน จากสถานการณ์ ท่ี งานจริงถือเป็นโจทย์ร่วม (Hargreaves, 2003; Stol & Louis, 2007) ให้เห็นและร้เู หตุปัจจัย กลไก ในการ ทางานซ่งึ กนั และกัน แบบละวางตัวตนให้มากทส่ี ุด (There's no I in team) (DuFour, 2006) จนเห็นและรู้ ความสามารถของแต่ละคนร่วมกัน เห็นและรับรู้ถึงความรู้สึกร่วมกัน ในการทางานจนเกิดประสบการณ์ หรือความสามารถในการทางาน และพลังในการร่วมเรียนรู้ร่วมพัฒนาบนพ้ืนฐานของพันธะร่วมกันที่เน้น ความสมัครใจ และการส่ือสารท่ีมีคุณภาพบนพื้นฐานการรับฟังและความไว้วางใจซ่ึงกันและกัน อย่างไรก็ ตาม การที่ PLC เน้นการขับเคล่ือน ด้วยการทางานแบบทีมร่วมแรงร่วมใจท่ีทาให้ลงมือทาและเรียนรู้ไป ด้วยกัน ด้วยใจอย่างสร้างสรรค์ต่อเนื่องน้ัน ซึ่งมีลักษณะพิเศษของการรวมตัวท่ีเหนยี วแน่นจากภายใน น่ัน คือ การเปน็ กลั ยาณมิตรทาให้เกิดทมี ใน PLC อยรู่ ่วมกนั ด้วยความสมั พนั ธท์ ี่ตา่ งชว่ ยเหลือเก้อื กูล ดแู ลซง่ึ กัน จึงทาให้การทางานเตม็ ไปดว้ ยบรรยากาศที่มคี วามสขุ ไม่โดดเดยี่ ว (Sergiovanni, 1994; Fullan, 1999) ซ่งึ รปู แบบของ ทีมจะมเี ป็นเชน่ ไรน้ันข้นึ อยู่กับเป้าประสงค์ หรือพนั ธกิจในการดาเนินการของชมุ ชนการเรียนรู้
63 เชน่ ทมี รว่ ม สอน ทมี เรยี นรู้ และกลมุ่ เรยี นรู้ เปน็ ต้น (วิจารณ์ พานิช, 2554; Olivier &Hipp, 2006; Little & McLaughlin, 1993) องค์ประกอบที่ 3 ภาวะผ้นู ารว่ ม (Shared Leadership) ภาวะผูน้ าร่วมใน PLC มีนัยสาคัญ 2 ลักษณะสาคญั คอื ภาวะผู้นาผ้สู ร้างใหเ้ กิดการนารว่ ม และภาวะผูน้ ารว่ มกัน ให้เปน็ PLC ท่ขี ับเคลื่อนด้วย การนารว่ มกัน รายละเอียดดังน้ี 1) ภาวะผู้นาผู้สร้างให้เกิดการนาร่วมเป็นผู้นาที่สามารถทาให้สมาชิกใน PLC เกิดการ เรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงท้ัง ตนเองและวิชาชีพ (Kotter& Cohen, 2002) จนสมาชิกเกิดภาวะผู้นา ใน ตนเองและเป็นผู้นาร่วมขับเคลื่อน PLC ได้โดยมี ผลมาจากการเสริมพลังอานาจจากผู้นาท้ังทางตรง และ ทางอ้อม โดยเฉพาะการเป็นผู้นาที่เริ่มจากตนเองก่อนด้วยการลงมือทางาน อย่างตระหนักรู้ และใส่ใจ ให้ ความสาคัญกับผู้ร่วมงานทุกๆ คน (Olivier & Hipp, 2006) จนเป็นแบบท่ีมีพลังเหนียวนาให้ ผู้ร่วมงาน มี แรงบันดาลใจและมีความสุขกับการทางานด้วยกนั อยา่ งวสิ ัยทัศน์ร่วม (Hargreaves, 2003) รวมถึงการนา แบบไม่นา โดยทาหน้าท่ีผู้สนับสนุนและเปิดโอกาสให้สมาชิกเติบโตด้วยการสรา้ งความเป็นผู้นาร่วม ผู้นาท่ี จะ สามารถสร้างให้เกิดการนาร่วมดังกล่าว ควรมีคุณลักษณะสาคัญ ดังน้ี มีความสามารถในการลงมือ ทางานร่วมกัน การเข้าไปอยู่ในความรู้สึกของผู้อ่ืนได้ การตระหนักรูใ้ นตนเอง ความเมตตากรุณา การคอย ดูแล ช่วยเหลือ เก้ือกูลกัน การโค้ชผู้ร่วมงานได้ การสร้างมโนทัศน์ การมวิสัยทัศน์การมีความมุ่งม่ันและ ท่มุ เท ตอ่ การเตบิ โตของผอู้ ื่น เป็นตน้ (Thompson, Gregg, &Niska, 2004) 2) ภาวะผูน้ ารว่ มกันเป็นผนู้ าร่วมกันของสมาชิก PLC ด้วยการกระจายอานาจ เพม่ิ พลงั อานาจ ซง่ึ กนั และกันใหส้ มาชิก มภี าวะผู้นาเพมิ่ ข้ึน จนเกดิ เป็น “ผู้นาร่วมของครู” (Hargreaves, 2003) ใน การขับเคล่ือน PLC มุ่งการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ โดยยึดหลักแนวทางบริหาร จัดการรว่ ม การสนับสนุน การกระจายอานาจ การสรา้ งแรงบันดาลใจของครู โดยครูเปน็ ผลู้ งมือกระทา หรือ ครูทาหนา้ ทเี่ ปน็ ประธาน” เพื่อสรา้ งการเปล่ียนแปลงการจดั การเรยี นรู้ไม่ใช่ “กรรม” หรือ ผถู้ ูกกระทา และ ผู้ถูกให้กระทา (วิจารณ์ พานิช, 2554) ซ่ึงผู้นาร่วมจะเกิดข้ึนได้ดีเม่ือมีบรรยากาศส่งเสริมให้ครูสามารถ แสดงออกด้วย ความเต็มใจ อิสระปราศจากอานาจครอบงาที่ขาดความเคารพ ในวิชาชีพ แต่ยึดถือปฏิบัติ ร่วมกันใน PLC นั้นคือ “อานาจทางวิชาชีพ” (Hargreaves, 2003) เป็นอานาจเชิงคุณธรรมที่มีข้อปฏิบัติ ท่ีมา จากเกณฑ์และมาตรฐานท่ีเห็นพ้องตรงกันหรือกาหนดร่วมกันเพื่อยึดถือเป็นแนวทางร่วมกันของผู้ ประกอบ วชิ าชีพครทู ง้ั หลายในPLC (Thompson etal.,2004) สรุป คือ ภาวะผนู้ าร่วมดงั ทกี่ ล่าวมา มีหวั ใจสาคญั คือ นาการเรียนรู้เพื่อการเปลย่ี นแปลง ตนเองของแต่ละคน ท้ังสมาชิก และผู้นาโดยตาแหน่งเมอ่ื ใดท่ีบุคคลนั้น เกิดการเรียนรู้ ทั้งด้านวิชาชีพและ ชวี ิตจนเกดิ พลังการเปลยี่ นแปลงท่ีสง่ ผลต่อ ความสขุ ในวชิ าชีพของตนเอง และผ้อู นื่ ภาวะผนู้ าร่วมจะเกิดผล ต่อความเปน็ PLC
64 องค์ประกอบที่ 4 การเรียนรู้และการพัฒนาวิชาชีพ (Professional learning and development) การเรียนรู้และการพัฒนาวิชาชีพใน PLC มีจุดเน้นสาคัญ 2 ด้าน คือ การเรียนรู้ เพ่ือ พฒั นาวิชาชีพและการเรยี นรเู้ พอื่ จิตวญิ ญาณความเปน็ ครู รายละเอียดดังน้ี 1) การเรียนรู้เพื่อพัฒนาวิชาชพี หวั ใจสาคญั การเรียนรู้ บนพน้ื ฐานประสบการณ์ตรงใน งาน ที่ลงมือปฏบิ ตั จิ ริง ร่วมกนั ของ สมาชกิ จะมีสัดส่วนการเรยี นร้มู ากกวา่ การอบรมจากหนว่ ยงานภายนอก อ้างถึงแนวคิดของ Dale (1969) แนวคิดกรวย ประสบการณ์ (Cone of Experience) ยืนยัน อย่าง สอดคล้อง ว่าการเรยี นรผู้ ่านประสบการณ์ตรงจะสง่ ผลต่อประสิทธภิ าพ และประสทิ ธิผล การเรียนรูไ้ ด้มาก ท่ีสุด ด้วยบริบท PLC ท่ีมีการ ทางานร่วมกันเป็นทีม (Sergiovanni, 1994) จึงทาให้ การเรียนรู้จากโจทย์ และสถานการณ์ที่ครูจะต้องจัดการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสาคัญ เป็นการร่วมเห็น ร่วมคิด ร่วมทา ร่วม รับผิดชอบ (Dufour, 2006) ทาให้บรรยากาศการพัฒนาวิชาชีพของครูรู้สึกไม่โดดเดี่ยว คอยสะท้อนการ เรียนร้แู ละชว่ ยเหลือซึ่งกนั และกัน ถอื เป็นพ้ืนท่ีการเรียนร้รู ่วมกันที่ใช้วิธกี ารท่ีหลากหลาย เชน่ สะทอ้ นการ เรียนรู้ สุนทรียะสนทนา การเรยี นร้สู บื เสาะแสวงหา การสร้างมโนทศั น์ ริเร่มิ สรา้ งสรรค์ สง่ิ ใหมๆ่ การคดิ เชิง ระบบ การ สร้างองคค์ วามรู้ การเรยี นรบู้ นความเขา้ ใจการทางานของสมอง และ การจดั การความรู้ เป็นต้น (สรุ พล ธรรมรม่ ดี และคณะ, 2553, Stol & Louis, 2007) 2) การเรียนรู้เพ่ือจิตวิญญาณความเป็นครู เป็นการเรียนรูเ้ พื่อพัฒนาตนเองจากข้างใน หรอื วุฒิภาวะความเปน็ ครู ใหเ้ ป็นครูที่สมบูรณ์ โดยมีนัยสาคัญ คือ การเรยี นรตู้ นเอง การรจู้ ักตนเองของครู เพื่อทจ่ี ะเข้าใจมิตขิ องผเู้ รยี นท่ีมากกว่าความรู้ แตเ่ ปน็ มิติของความเป็นมนุษย์ ความฉลาด ทางอารมณ์ เมอื่ ครูมี ความเข้าใจธรรมชาติตนเองแล้ว จึงสามารถมองเห็นธรรมชาติของ ศิษย์ตนเอง อย่างถ่องแท้ จน สามารถสอน หรือจัดการเรียนรู้โดยยึด การเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสาคัญได้ รวมถึงการเรียนรู้ร่วมกันของ สมาชิกในชุมชน (Hargreaves, 2003) ท่ีต้องอาศัยการตระหนักรู้ สติ การฟัง การใคร่ครวญ เป็นต้น จิตที่ สามารถเรียนรู้และเปน็ ครู ได้อย่างแท้จรงิ น้นั จะเป็นจิตที่เต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา การ กรุณา และ ความอ่อนน้อม เห็นศิษย์เป็นครู เห็นตนเองเป็นผู้เรียนรู้ มีพลังเรียนรู้ในทุกสถานการณ์ที่เกิดข้ึน โดยใช้ วธิ ีการท่ีหลากหลาย เช่น การเรียนร้เู พื่อการเปลย่ี นแปลง การเรียนรู้ อยา่ งใคร่ครวญ และการฝกึ สติ เป็นตน้ (สุรพล ธรรมร่มดี และคณะ, 2553) สรุปการเรียนรู้และการพัฒนาวิชาชีพของ PLC นั้นมีหัวใจสาคัญคือการเรียนรู้ร่วมกัน อย่างมีความสุขของ ทีมเรียนรู้ เป็นบรรยากาศท่ีเปิดพ้ืนท่ีการเรียนรู้แบบนาตนเองของครูเพ่ือการ เปลยี่ นแปลง พฒั นาตนเองและวิชาชพี อยา่ งต่อเน่ืองเป็นสาคัญ องค์ประกอบท่ี 5 ชุมชนกลั ยาณมิตร (Caring community) กลมุ่ คนทอ่ี ย่รู ่วมโดยมวี ิถีและ วัฒนธรรมการอย่รู ่วมกัน ในชุมชน มีคุณลักษณะคือ มุ่งเนน้ ความเป็นชุมชนแห่งความสุข สุขท้ังการทางาน และการอยู่ร่วมกันท่ีมีลักษณะวัฒนธรรมแบบ “วัฒนธรรมแบบเปิดเผย” ที่ทุกคน มีเสรีภาพในการแสดง ความคิดเห็นของตนเป็นวิถีแห่งอิสรภาพ และเป็นพื้นที่ให้ความรู้สึก ปลอดภัย หรือ ปลอดการใช้อานาจ กดดันบนพื้นฐานความไวว้ างใจ เคารพซึ่งกันและกนั มีจริยธรรมแห่งความเอื้ออาทร เป็นพลังเชิงคุณธรรม
65 คุณงามความดีที่สมาชกิ รว่ มกนั ทางานแบบอุทิศตนเพ่ือวิชาชพี โดยมีเจตคตเิ ชงิ บวก ต่อการศกึ ษาและผูเ้ รียน สอดคล้องกับ Sergiovanni(1994) ที่ว่า PLC เป็นกลุ่มท่ีมีวิทยสัมพันธ์ต่อกัน เป็นกลุ่มท่ีเหนียวแน่นจาก ภายใน ใช้ความเป็นกัลยาณมิตรเชิงวชิ าการต่อกัน ทาให้ลดความโดดเด่ียว ระหว่าง ปฏิบัติงานสอนของครู เช่ือมโยงปฏิสัมพันธ์กนั ท้ังในเชิงวิชาชีพ และชีวิต มีความศรัทธาร่วม อยู่ร่วมกันแบบ “สังฆะ” ถือศีล หรือ หลักปฏิบัติร่วมกัน โดยยึดหลักพรหมวิหาร 4 เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา เป็นชุมชนท่ียึดหลักวินัยเชิง บวก เชื่อมโยงการพัฒนา PLC ไปกับวิถีชีวิตตนเองและวิถชี ีวิตชุมชน อันเป็นพืน้ ฐานสาคัญ ของ สังคมฐาน การพึ่งพาตนเอง (สุรพล ธรรมร่มดี และคณะ, 2553) มีบรรยากาศของ “วัฒนธรรมแบบเปดิ เผย” ทุกคนมี เสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็นของตน เปน็ วถิ ี แห่งอิสรภาพ ยึดความสามารถ และสร้างพืน้ ที่ปลอดการใช้ อานาจกดดัน (Boyd, 1992) ดังกล่าวนี้ สามารถ ขยายกรอบให้กว้างขวางออกไปจนถึงเครอื ข่ายทีส่ มั พันธ์ กบั ชุมชนต่อไป องค์ประกอบที่ 6 โครงสร้างสนับสนุนชุมชน (Supportive structure) โครงสร้างท่ี สนับสนุนการก่อเกิดและคงอยู่ของ PLC มีลักษณะ ดังน้ี ลดความเป็นองค์การที่ยึดวัฒนธรรมแบบราชการ หันมาใช้ วัฒนธรรมแบบกัลยาณมิตรทางวิชาการแทน และเป็น วัฒนธรรมที่ส่งเสริมวิสัยทัศน์ การ ดาเนินการที่ต่อเน่ือง และ มุ่งความย่ังยืน จัดปัจจัยเง่ือนไขสนับสนุนตามบริบทชุมชนมี โครงสร้างองค์การ แบบไม่รวม ศูนย์ (Sergiovanni, 1994) หรือ โครงสร้างการปกครองตนเองของชุมชน เพื่อลดความขัดแยง้ ระหวา่ งครู ผู้ปฏบิ ัติงานสอนกบั ฝ่ายบริหารใหน้ อ้ ยลง มกี ารบริหารจัดการ และการปฏิบัติงานในสถานศึกษา ที่เน้นรปู แบบ ทมี งาน เป็นหลัก (Hord, 1997) การจัดสรรปจั จัยสนับสนนุ ให้เอ้ือต่อการดาเนนิ การของ PLC เช่น เวลา วาระ สถานที่ ขนาดชั้นเรียน ขวัญ กาลังใจ ข้อมูลสารสนเทศ และอ่ืนๆ ท่ีตามความจาเป็นและ บริบท ของ แต่ละชุมชน (Boyd, 1992) โดยเฉพาะการเอาใจใส่ส่ิงแวดล้อม ให้เกิดบรรยากาศท่ีเอ้ือต่อการ เรียนร้แู ละ อยรู่ ว่ มกนั อยา่ งมีความสุข (สรุ พล ธรรมรม่ ดี และคณะ, 2553) มรี ูปแบบการ ส่อื สารดว้ ยใจ เปิด กวา้ งใหพ้ น้ื ท่ี อสิ ระในการสร้างสรรคข์ องชุมชน เนน้ ความคลอ่ งตัวในการดาเนินการจัดการกับเงอ่ื นไขความ แตกแยก และ มรี ะบบสารสนเทศของชมุ ชนเพอื่ การพัฒนาวิชาชีพ (Eastwood & Louis, 1992) สรุปท้ัง 6 องค์ประกอบของ PLC ในบริบท สถานศึกษา กล่าวคือ เอกลักษณ์สาคัญของความ เปน็ PLC แสดงให้เหน็ ว่าความเปน็ PLC จะทาให้ความเป็น “องค์กร” หรือ “โรงเรยี น” มีความหมายที่การ พัฒนาการเรยี นร้ขู องผู้เรียนอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นหวั ใจสาคญั ของ PLC ดว้ ยกลยุทธ์ การสรา้ งความรว่ มมือที่ ยึดเหนี่ยวกันด้วยวิสัยทัศน์ร่วม มุ่งการเรียนรู้ของผู้เรียน การเรียนรู้และพัฒนา วิชาชีพ และชุมชน กลั ยาณมิตร แสดงถึงการ รวมพลังของครแู ละนกั การศกึ ษา ทเ่ี ปน็ ผู้นาร่วมกนั ทางาน รว่ มกัน แบบทีมร่วม แรงร่วมใจ มุ่งเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง พัฒนาวิชาชีพภายใต้โครงสร้างอานาจทางวิชาชีพของตนได้ ตลอดเวลา ครูเกดิ แรงบันดาลใจทจ่ี ะสรา้ งแรงบันดาลใจ ตอ่ การเรยี นรู้ให้แก่นักเรียนต่อไป 3. การนากระบวนการ PLC ไปสู่การปฏิบัติในสถานศึกษา ในการพัฒนาสถานศึกษาให้เป็น โรงเรียนแห่งการเรียนรูไ้ ด้น้นั ปัจจัยที่สาคัญที่สุดอยา่ งหนึง่ ที่จะขาด มิได้ก็คือ จะต้องมี “ชุมชนแห่งวชิ าชีพ หรือ Professional Community” เกดิ ขนึ้ ในโรงเรียนนน้ั เพื่อใหเ้ ป็นสถานที่สาหรับการปฏสิ มั พันธ์ของมวล
66 สมาชิกผูป้ ระกอบวิชาชพี ครูของโรงเรียน เก่ยี วกับเร่อื งการให้ความ ดแู ลและพูดถึงการปรับปรุงผลการเรียน ของนักเรียน ตลอดจนงานทางวิชาการของโรงเรียน และเนื่องจาก ครูส่วนใหญ่ในแทบทุกประเทศมักเกิด ความรู้สึกโดดเดียวในการปฏิบัติงานสอนของตน ดังนนั้ การมี “ชุมชน แห่งวิชาชีพ” เกิดข้ึนในโรงเรียนจงึ ช่วยคลี่คลายปัญหาดังกล่าว เพราะทาให้ครูมีโอกาสพูดคุยกับบุคคลผู้มีส่วนได้เสียกับงานของครู (เช่น ผู้ปกครอง สมาชิกอ่ืนๆ ของชุมชน เป็นต้น) แต่แน่นอนว่า เหตุการณ์ ทานองนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อต้องมี การเปลยี่ นดา้ นโครงสร้างของโรงเรียน ตลอดจนจาเปน็ ท่ีจะตอ้ ง เปลย่ี นแปลงวฒั นธรรมของโรงเรยี นอีกดว้ ย โดยกิจกรรมของชุมชนแห่งวิชาชีพในโรงเรียนควรประกอบด้วย 1) การมีโอกาสเสวนาใคร่ครวญ (Reflective dialogue) ระหว่างกัน 2) การเปิดกว้างให้มีการปฏิสัมพันธ์ ในหมู่ครูผู้สอนมากขึ้น เพ่ือลด ความรู้สึกโดดเด่ียว (DE privatization) ในงานสอนของครู 3) การรวมกลุ่ม เพ่ือเน้นเร่ืองการเรียนรู้ของ นกั เรียน 4) การร่วมมือร่วมใจกนั ในหมูผ่ ปู้ ระกอบวิชาชพี ทางการศึกษา 5) การแลกเปลีย่ นในประเดน็ ท่ีเป็น ค่านยิ มและปทัสถานรว่ ม (Shared values and norms) ดงั จะกลา่ วในแต่ละประเด็น ดงั น้ี 1. กิจกรรมทีจ่ าเปน็ ต่อความเป็นชมุ ชนแหง่ วชิ าชีพในสถานศึกษา 1) การมีโอกาสเสวนาใคร่ครวญ (Reflective dialogue) ระหว่างกันซ่ึงเป็นการนาเอา ประเด็น ปัญหาท่ีพบเห็น จากการปฏิบัติงานด้านการเรยี นการสอนของครูขึ้นมาพูดคุยแลกเปลี่ยนระหว่าง กนั ช่วยให้ แต่ละคนไดว้ เิ คราะหแ์ ละสะทอ้ นมมุ มองของตนในประเดน็ นนั้ ตอ่ กลมุ่ เพื่อนร่วมงาน ทาใหท้ ุกคน ได้มโี อกาส เกดิ การเรียนรู้ และไดข้ อ้ สรุปตอ่ ปัญหาจากหลากหลายมุมมองยง่ิ ขึ้น บรรยากาศเชน่ นีก้ อ่ ให้เกิด ความร่วมมือ ร่วมใจข้ึนในหมู่ครูผู้สอน เพ่ือช่วยกันปรับปรุงด้านการเรียนการสอนให้มีผลดีย่ิงข้ึน แต่ กิจกรรมน้ีจะสาเร็จราบรื่นได้ก็ต่อเม่ือแต่ละคนต้องยอมเปิดใจกว้าง รับฟังการประเมินจากเพ่ือร่วมกลุ่ม ระหว่างการสนทนาเชิงสรา้ งสรรคด์ ังกลา่ ว 2) การลดความโดดเด่ียวระหว่างปฏิบัติงานสอนของครู (DE privatization of instructional practices) เป็นกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างสัมพันธภาพท่ีดีระหว่างครู กล่าวคือ ครูมีโอกาส แสดงบทบาททั้งเป็น ผู้ใหข้ ้อมูลและได้แสดงบทบาทการเปน็ ท่ปี รกึ ษา (Advisor) การเปน็ พีเ่ ล้ียง (Mentor) หรืออาจเป็น ผเู้ ชยี่ วชาญ (Specialist) ก็ได้ ในระหว่างทีใ่ ห้ความช่วยเหลอื เพื่อนดว้ ยกนั ทัง้ นีเ้ ป็นท่ีทราบกัน อยแู่ ลว้ ว่า วิชาชพี ครแู ตกต่างกบั วชิ าชีพอ่นื ตรงที่ ผปู้ ฏิบตั ิมกั ทางานในลักษณะโดดเดีย่ วตามลาพัง ซึ่งเปน็ ผล ให้ครู ไม่สามารถที่จะเรียนรู้จากผู้อ่ืนได้ และขาดประโยชน์ที่จะได้รับผลการวิเคราะห์และการให้ข้อมูล ป้อนกลับด้าน การสอนจากผู้อ่ืนที่มีต่องานสอนของตน ด้วยเหตุนี้ ถ้าผู้นาสถานศึกษาต้องการให้เกิด กิจกรรมการเสวนา ใคร่ครวญระหว่างครูข้ึน ก็จาเป็นต้องพิจารณาให้มีการเปล่ียนแปลงวัฒนธรรมการโดด เด่ียวในการสอนของครู ใหไ้ ด้เสยี ก่อน 3) รวมกลุ่มเพ่ือมุ่งเน้นที่การเรียนรู้ของนักเรียน (Collective focus on student learning)เป็นกิจกรรมท่ีดีมากแต่ยุ่งยากตรงประเด็นให้ครูเกิด “จุดมุ่งเน้น” อย่างไรก็ตาม ถ้าถือว่า การมี ชุมชนแห่งวชิ าชีพคอื ลกั ษณะสาคัญของโรงเรยี นแห่งการเรียนรู้ ทีม่ ีเจตจานงมุ่งสร้างผลลัพธ์คอื การ เรียนรู้ ของนักเรียนให้สูงข้ึนแล้ว ก็ต้องให้ความสาคัญอันดับแรกกับกิจกรรมท่ีสร้างความงอกงามของผู้เรียน ซึ่ง
67 ค่อนข้างยากลาบากอยู่ไม่น้อย ด้วยเหตุนี้ การท่ีชุมชนแห่งวิชาชีพมีกิจกรรมให้ครูได้มาเสวนาใคร่ครวญ (Reflective dialogue) เพ่ืออภปิ รายและวิเคราะห์ด้านหลักสูตร และกลยทุ ธ์ดา้ นการสอนของครู ซงึ่ แม้จะ ใช้เวลามากก็ตาม แต่ท้ังหลายท้ังปวงก็เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ผลดียิ่งข้ึน และเพื่อที่จะเป็น จุดเรม่ิ ตน้ ในการพัฒนานกั เรยี นให้เปน็ ผสู้ ามารถเรียนรดู้ ้วยตนเอง (Self-starting learners) ได้ตอ่ ไป 4) สร้างจุดเร่ิมแห่งความร่วมมือร่วมใจ (Collaboration starts) เมื่อครูหลุดพ้นจาก สภาพการต้องทางานแบบโดดเดี่ยว และสามารถแสวงหาความเชี่ยวชาญ จากเพ่ือนคนอ่ืนที่อยู่ในชุมชน วิชาชพี ของตนไดแ้ ลว้ ก็ตาม แตค่ วามเปน็ มืออาชพี ของครูก็อาจไม่สามารถบรรลุ ได้ถ้าครยู งั ขาดการปรับปรุง และพัฒนาตนเองอยา่ งต่อเน่ืองตลอดเวลา ดงั น้นั ความร่วมมอื ร่วมใจทางวิชาชีพ ต่อกนั ของครู จะกอ่ ใหเ้ กดิ พลงั ในการรว่ มวเิ คราะหป์ ัญหา และความตอ้ งการอันซับซ้อนของผู้เรียนแต่ละคน ได้ บรรยากาศแห่งความ ร่วมมอื รว่ มใจกันนี้จะช่วยเสรมิ การปฏบิ ัติงานประจาวนั ของครแู ต่ละคนได้อย่างถาวร 5) ทาการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ด้านค่านิยม และปทัสถานร่วม (Shared values and norms) เมื่อบคุ คลตา่ งๆ ในวิชาชีพทั้งครูผู้สอน ครูแนะแนว ครนู เิ ทศ และผู้บริหารมาร่วมกนั ในชมุ ชน แห่ง วิชาชีพแล้ว ในประเด็นนี้ (Sergiovanni, 1992) เห็นว่า การสร้างค่านิยมและปทัสถานร่วมกันของคนใน วิชาชีพที่อยู่ในโรงเรียนแห่งการเรียนรู้ดังกล่าว ด้วยความเป็นมืออาชีพของบุคคลเหล่านี้จะพัฒนาส่ิงที่ เรยี กวา่ อานาจ เชงิ คณุ ธรรม (Moral authority)ขน้ึ เปน็ แนวทางของการอยู่ร่วมกันแทนท่ีการใชอ้ านาจเชิง กฎหมาย หรืออานาจโดยตาแหนง่ (Position authority) ซงึ่ ไมเ่ หมาะสมกบั ชมุ ชนแหง่ วิชาชพี นกั 2. ความจาเป็นต้องปรับโครงสร้างใหม่ของโรงเรียนแห่งการเรียนรู้ให้สามารถรองรับการ เกิดชุมชน แห่งวิชาชีพ เน่ืองจากโรงเรียนส่วนใหญถ่ ูกออกแบบโครงสร้างเป็นแบบราชการ (Bureaucratic organization) ที่มีสายงานบังคับบัญชาด้วยอานาจโดยตาแหน่งที่ลดหล่ันตามลาดับลงมา กล่าวคือ มี กฎระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ มามากมายท่ีต้องปฏิบัติตาม ซึ่งเป็นโครงสร้างที่มีลักษณะตึงตัวและใช้ได้ดีใน อดีตท่ีเป็นโลกยุคอุตสาหกรรม แต่กลับเป็นอุปสรรคสาคัญในโลกแห่งยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ท่ีต้องการมี โครงสร้างองค์การ ท่ียืดหยุ่นคล่องตัวได้สูง พร้อมท่ีจะรองรับต่อการเปล่ียนแปลงใหม่ๆ ท่ีเกิดขึ้นมากมาย ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อความเป็นไปได้ ของชุมชนแห่งวิชาชีพที่จะเกิดขึ้นในโรงเรียนได้นั้น โครงสร้างองค์การของโรงเรียนแห่งการเรียนจึงจาเป็นต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไข ได้แก่ประเด็นต่อไปน้ี (Louis et al., 1994) 1) การกาหนดตารางเวลาวา่ งเพ่อื การพบปะถกปญั หา (Time to meet and discuss) มีผลการวิจัยเรื่องความมีประสิทธิผลของโรงเรียนและครูผู้สอน ช้ีชัดว่า การจัดสรรเวลา พิเศษเพ่ือให้ครไู ด้ ปรึกษาหารอื ระหวา่ งกันเป็นสิ่งทจี่ าเปน็ อย่างยง่ิ ทั้งน้เี พราะปกตขิ องการจัดช่วั โมงสอน เมอ่ื หมดการสอนแต่ ละคาบเวลา ครูจะต้องเคล่ือนย้ายการสอนจากห้องหน่ึงไปอีกห้องหนึ่งตลอดเวลา จึงไม่มีโอกาสท่ีครูจะได้ พบปะเพือ่ แสวงหาความรว่ มมอื ทางวิชาชีพซึง่ กันและกนั ได้ ทัง้ ที่ครเู หลา่ นจ้ี าเป็นต้องรว่ มกันพจิ ารณาหากล ยุทธ์ใหม่ๆด้านการสอน ท่ีเหมาะสม ด้วยเหตุนี้ การจัดตารางเวลาที่ว่างตรงกันเพ่ือให้ ครูได้ปฏิสัมพันธ์ จึง เป็นเง่ือนไขทีจ่ าเป็นถา้ ต้องการให้ความรว่ มมอื รว่ มใจของครูเกดิ ขน้ึ
68 2) การกาหนดขนาดของชน้ั เรียน (Class Size) มผี ลงานวจิ ัยระบุวา่ ถ้าจานวนนักเรียน ในชั้นเรียนนอ้ ยลงได้เท่าไรก็ยงิ่ เพมิ่ ประสิทธิผลของ การเรยี นรู้ยงิ่ ขึ้น ทัง้ นใี้ นหอ้ งเรยี นท่ีมคี รเู พยี งหนงึ่ คนนัน้ ครูสามารถท่ีจะดูแลนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิผลได้ในจานวนที่จากัด แม้ว่าจะไม่สามารถกาหนดจานวน นักเรยี นที่เหมาะสมแนน่ อน แต่การขยายจานวน นกั เรียนต่อชน้ั มากขึ้น ยอ่ มเพ่ิมภาระและความยากลาบาก แก่ครทู ่จี ะดูแลชว่ ยเหลือนักเรียนได้อย่างทัว่ ถึง 3) การเพ่ิมอานาจความรับผิดชอบแก่ครู และการให้อิสระแก่โรงเรียน (Teacher empowerment and school autonomy) การเพิ่มอานาจความรับผิดชอบแก่ครูเป็นปัจจัยท่ีจาเป็น เน่ืองจากชว่ ยสรา้ งความรู้สกึ มน่ั ใจตอ่ การปฏบิ ตั ิงานในช้นั เรียนที่ตนรับผดิ ชอบได้ดขี น้ึ การเพมิ่ อานาจความ รับผิดชอบแก่ครู ยังสอดคล้องกับ แนวทางบริหารจัดการร่วม (Shared governance) ซ่ึงเป็นคุณลักษณะ หนึง่ ท่ีจาเป็นของโรงเรยี นแห่งการ เรียนรู้ ในขณะเดยี วกนั โรงเรยี นแต่ละแห่งของเขตพื้นทกี่ ารศึกษาก็ควรมี ความอิสระ (Autonomy) อย่าง เพียงพอท่ีจะจัดการกับปัญหาต่างๆ ท่ีเกิดขึ้นภายในโรงเรียนได้อย่าง คล่องตัวและรวดเร็ว ด้วยเหตุน้ีเขต พ้ืนท่ีการศึกษาจึงควรร่วมกับโรงเรียนต่างๆ ในการจัดทาวิสัยทัศน์ เปา้ หมาย และวตั ถปุ ระสงค์รวมแบบกว้าง ของเขตพื้นทีก่ ารศึกษา จากนัน้ จึงให้อสิ ระแต่ละโรงเรยี นไปจัดทา รายละเอยี ดท่สี อดคล้องกับบริบทของ โรงเรียน และความต้องการของครูผู้สอน และผู้นาสถานศึกษาแต่ละ แห่ง ที่จะริเร่ิม สิ่งใหม่เพื่อเพิ่ม ประสิทธิผลต่อการเรียนรู้ของนักเรียนของตน ในเร่ืองนี้นักการศึกษาส่วน ใหญ่เชื่อว่า ไม่มีวิธีสอนใดหรือวิธี บริหารจัดการใดท่ีดีท่ีสุด แต่พบว่า จากการใช้เทคนิควิธีในการเสวนา ใครค่ รวญ (Reflective dialogue) การทางานแบบรว่ มมือร่วมใจ (Collaboration) และการสร้างปทัสถาน และค่านิยมร่วม (Shared norms and values)แล้วจะช่วยส่งเสริมความสามารถในการรับมอบอานาจ ความรับผิดชอบของครูต่อการ ปฏิบัติงานได้ดีข้ึน เช่นเดียวกับการให้อิสระแก่นกั เรียนหรอื ที่เรยี กว่า “การ บริหารจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็น ฐานหรือ Site- based management” เพื่อความอิสระในการตัดสินใจ ต่างๆ ของโรงเรียนได้เองนั้น เป็น มาตรการท่ีควรได้ระบุชัดเจนในกรอบนโยบายของเขตพื้นที่การศึกษา ทง้ั น้มี ิไดห้ มายความวา่ จะตอ้ งให้อิสระ แกโ่ รงเรยี นและครูโดยสนิ้ เชงิ แตค่ วรจดั ทาเป็นแนวปฏิบัตริ ่วมกันท่ี อยู่ภายใต้กรอบนโยบายรวมของเขตพ้ืนที่ การศึกษา และขึ้นอยู่ที่ขีดระดับความสามารถของครูในแต่ละ โรงเรยี น ท่จี ะสามารถสนองตอบและรบั ผิดชอบต่อการเรียนรขู้ องนักเรียนได้ดเี พยี งไรดว้ ย 3. เงื่อนไขด้านการปรับเปล่ียนวัฒนธรรมองค์การ (Professional community Culture) วัฒนธรรมองค์การเป็นระบบความเช่ือที่สมาชิกขององค์การยึดถือร่วมกัน ตัวอย่างเช่น ถ้าครูผู้สอนทุกคน และผู้นาของโรงเรยี นมีความเชื่อว่า “มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพเพยี งพอท่ีจะเรียนรู้ได้” ความเช่ือเช่นน้จี ะทา ให้สมาชิกของโรงเรียนพยายามท่ีจะสร้างสภาพแวดล้อมและแสวงวิธีการเรียนการสอนใหม่ๆ อย่าง หลากหลาย เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อนักเรียนแต่ละคนท่ีมีความแตกต่างกัน ให้สามารถ เรียนรู้และ พัฒนาศกั ยภาพของตนได้สูงสุด เป็นตน้ ในชุมชนแหง่ วิชาชพี ก็เชน่ กัน สมาชิกแต่ละคนจะยึด เหนี่ยวต่อกัน ดว้ ยระบบคา่ นิยม ความเชอื่ และปทสั ถานร่วมกัน ให้เกดิ การดารงอยขู่ องชมุ ชนแหง่ วิชาชพี ของตน อย่างไรก็
69 ตาม มวี ัฒนธรรมองค์การแบบเดมิ หลายประการท่ีควรได้รับการปรับปรุงเปล่ียนแปลงให้เหมาะ ต่อการเป็น ชุมชนแห่งวชิ าชีพ ได้แก่ 1) ลดความเป็นองค์การที่ยึด “วัฒนธรรมแบบราชการ หรือ Bureaucratic culture” ทีใ่ ชก้ ฎระเบยี บคาส่งั ต่างๆ แบบตึงตัวในการปฏิบัติงาน และการปฏสิ มั พันธร์ ะหว่างสมาชิกผู้ปฏิบตั งิ านไปสู่ การเน้น “วัฒนธรรมแบบกัลยาณมิตรทางวิชาการหรือ Collegial Culture” ซ่ึงเน้นวิธีปฏิสัมพันธ์ระหวา่ ง สมาชิก ท่ียึดถือค่านิยมเชิงคุณธรรมจริยธรรม (Moral and ethical cultures) เช่น การเอื้ออาทร ห่วงใย ช่วยเหลอื และร่วมมือตอ่ กนั ในการปฏบิ ัติงาน และการดาเนินชวี ิตประจาวนั ของสมาชิก เปน็ ต้น 2) สรา้ งเสรมิ วัฒนธรรมแหง่ “ความไวว้ างใจ (Trust) และความนบั ถอื (Respect)” ตอ่ กัน ในมวลหมู่สมาชิกของชมรมแห่งวิชาชีพ กล่าวคือ ความนับถือ หมายถึง การรู้จักให้เกียรติและยอมรบั ในความรู้ความสามารถและความเช่ียวชาญของผู้อ่ืน ส่วนความไว้วางใจ หมายถึง ระดับคุณภาพของ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างบุคคลของมวลสมาชกิ ท้ังน้ี ความสัมพันธร์ ะหว่างสมาชิกเป็นผลทมี่ าจากการที่สมาชิก ได้มีกิจกรรมการเสวนาอย่างใคร่ครวญ (Reflective dialogue) และการร่วมมือร่วมใจ (Collaboration) ระหว่างกัน ดังนั้น การสร้างความไว้วางใจและความนับถือต่อกันจึงเป็นปัจจัยพื้นฐานสาคัญต่อการสร้าง สัมพันธภาพอันดีระหว่างสมาชิก โดยแนวคิดดังกล่าวน้ีสามารถขยายกรอบให้กว้างขวางออกไปจน ครอบคลุมถึงผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) ท้ังหลาย เช่น ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้ปกครอง ตลอดจน สมาชิกของ หนว่ ยงานท้งั หลายท่ีเปน็ ชุมชนแวดลอ้ มของโรงเรยี น เป็นต้น โดยท่ีบุคคลเหล่าน้ีใหก้ ารยอมรับ ว่า การศึกษา และการเรียนรู้เป็นความรบั ผิดชอบรว่ มของทกุ ๆ คนในชมุ ชน 3) การสร้างวฒั นธรรมการใชท้ กั ษะด้านการคดิ และใช้สติปญั ญาเป็นฐาน (A Cognitive skill base) วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพช้ันสูง (Profession) ท่ีต้องใช้ความรู้ การคิดและการใช้สติปัญญาเป็น เครื่องมอื สาคัญในการประกอบวชิ าชีพ ครผู ้สู อนจึงต้องเรียนรอู้ ย่ตู ลอดเวลา ตอ้ งเปน็ Life - long learners และต้องเป็นผู้เรียนรู้ร่วมไปกับนักเรียนที่ตนทาการสอน ด้วยเหตุน้ีวัฒนธรรมเชิงความคิดของครูที่ต้อง ปรับปรุงใหม่ ก็คอื เปลีย่ นความเชอื่ ท่วี ่า ตนเป็นผู้ทาการสอน (Teaching) ไปเป็นผู้เรียนรู้ (Learning) แทน จึงต้องปรับเปล่ียนพฤติกรรมของตนจากผู้ถ่ายทอดความรู้ไปเป็นผู้จัดสรรประสบการณ์ การเรียนรู้ท่ี หลากหลาย ให้กบั ผู้เรยี น พร้อมทัง้ พยายามสรา้ งความตระหนกั ใหผ้ ูเ้ รยี นร้จู กั รับผิดชอบในการใฝห่ าความรู้ ดว้ ยตนเองอยู่ เนอื งนิตยเ์ พื่อใหส้ ามารถบรรลเุ ปา้ หมายการเรียนของตน 4) สร้างวัฒนธรรมการขอบริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ (Openness to innovation) ใน ชุมชน แห่งวิชาชีพสมาชิกทุกคนต้องส่งเสริมสนับสนุนซึ่งกันและกันในการค้นคว้าและริเร่ิมส่ิงใหม่ๆ ให้ เกิดข้ึน โดยเฉพาะต้องเป็นผู้สร้างองค์ความร้ใู หม่ (Knowledge creation) กล่าวคือ ครูผู้สอนจะต้องได้รับ การ สนับสนุนในการออกแบบการสอนใหม่ ๆ ท่ีเหมาะสมกับภาวะแวดล้อมท่ีข้อมูลสารสนเทศเกิดข้ึน มากมาย อย่างรวดเรว็ ต้องค้นหาว่าจะมีวิธีการเรียนรไู้ ด้ดีที่สุดในภาวะเช่นนี้ได้อยา่ งไร ข้อมูลสารสนเทศที่ เกิดขึ้น มากมายจะส่งผลกระทบต่อหลักสูตรและความต้องการของผู้เรียนซ่ึงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่นกันได้ อย่างไร การที่จะทาให้สมาชิกเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์ใหม่ๆ ได้นั้น ผู้นาองค์การจาเป็นต้องสร้าง
70 วฒั นธรรม การกล้าเสี่ยง (Taking risks) ชอบการทดลอง (Experiment) เพอ่ื หาแนวทางปรับปรงุ การเรยี นรู้ ของนักเรียน ท้ังน้ีสมาชิกของชุมชนแห่งวิชาชีพต้องไม่ถือว่าความผิดพลาดท่ีได้จากการทดลองคือความ ลม้ เหลว แตต่ อ้ งถือวา่ ข้อผดิ พลาดทีไ่ ด้ดังกลา่ วเป็นโอกาสดีท่ีจะได้เกิดการเรียนรใู้ หม่เพ่ิมเติมและ “ถอื วา่ ผิด เปน็ ครู” ไมเ่ ป็นเรอื่ ง ที่ควรตาหนิ แต่เป็นเรอ่ื งท่ีควรสนับสนนุ ให้กาลงั ใจเพื่อจะได้คน้ หาคาตอบท่ีเหมาะสม ตอ่ ไป นอกจากน้คี วรปรบั ปรุงระบบเน้นการให้ความดคี วามชอบแก่สมาชิกทช่ี อบทดลองค้นคา้ หานวัตกรรม และริเรม่ิ สร้างสรรค์ ส่ิงใหม่ๆ ให้แก่โรงเรียนอกี ดว้ ย 5) ต้องได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากผู้นา (Supportive leadership) การที่ ครูผู้สอนและผู้นาสถานศึกษาได้ทางานรว่ มกันในชุมชนการเรยี นรทู้ างวิชาชพี แล้ว กม็ ี คาถามตามมาวา่ แล้ว จะเพ่ิมจานวนโรงเรียนท่ีมชี ุมชนดังกล่าวให้มากขึ้นได้อย่างไร กระบวนทัศน์ทาง การศึกษาที่เปล่ียนไปบง่ ช้ี ว่า ท้ังบรรดาครูผู้สอนท้ังหลายและสาธารณชน จาเป็นต้องร่วมกันกาหนดบทบาทใหม่ที่เหมาะสมของครู โดยต้องทบทวนที่ต้องให้ครูใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันอยู่หน้าช้ันเรียน และอยู่กับนักเรียนตลอดเวลานั้น ไดม้ กี ารศึกษาเปรยี บเทียบเรอื ง การใช้เวลาของครูผู้สอนในประเทศต่างๆ ทวั่ โลก ปรากฏผลออกมาชัดเจน วา่ ในหลายประเทศ เชน่ ในญ่ปี ุน่ พบวา่ ครมู ชี ั่วโมงสอนนอ้ ยลง และมโี อกาสได้ใช้ เวลาทเี่ หลือสว่ นใหญ่ไป กับการจัดทาแผนเตรยี มการสอน การประชุมปรกึ ษาหารือกับเพ่อื นรว่ มงาน การใหค้ าปรึกษาและทางานกับ นักเรียนเป็นรายบุคคล การแวะเยี่ยมช้ันเรียนอื่นเพื่อสังเกตการณ์เรียนการสอน และการได้ใช้เวลาไปเพ่ือ กิจกรรมต่างๆ ด้านการพัฒนาวชิ าชีพของครมู ากขึ้น (Darling-ammond,1994,1996) เป็นต้น การที่จะให้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นได้นั้น จาเป็นต้องสร้างความตระหนัก และให้มุมมองใหม่ ต่อสาธารณชน และวงการวิชาชีพครทู ี่ต้องเน้นและเห็นคุณค่าของความจาเป็นต้องพฒั นาครใู ห้มคี วามเป็นมือ อาชีพยงิ่ ข้ึน ถ้าหากต้องการคุณภาพการศึกษาของนักเรียน ดังท่ีมีผู้กล่าวว่า “ครูต้องเป็นบุคคลแรกท่ีต้องเป็นนักเรียน (Teacher are the first Learners) โดยผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมในชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ซ่ึงจะ ส่งผลให้การปฏิบตั ิงานมีประสิทธิผลมากขน้ึ และชว่ ยใหผ้ ลสัมฤทธ์ิทางการศกึ ษาของนักเรียนสูงตามไปด้วย น่นั คอื ความปรารถนาใฝฝ่ ันของบคุ คลฝา่ ยที่มิอาจปฏิเสธได้ ขั้นตอนการนา PLC ไปสู่การปฏบิ ตั ใิ นสถานศกึ ษา 1. การรวมกลุ่ม PLC รวมกลุ่มครูท่ีมีปัญหา/ความต้องการ เดียวกัน เช่นครูกลุ่มสาระ เดียวกัน ครทู สี่ อนในระดบั ชั้นเดียวกัน เปน็ ตน้ 2. ค้นหาปัญหา ความต้องการ 1) ร่วมกนั เสนอปญั หา/ความตอ้ งการ 2) จดั กลมุ่ ปัญหา 3) จัดลาดับความจาเป็นเรง่ ดว่ น 4) เลือกปญั หาเพียง 1 ปญั หาโดยการพิจารณารว่ มกนั 3. รว่ มกันหาแนวทางในการแกป้ ัญหา 1) เรอ่ื งเลา่ เรา้ พลงั /บอกเลา่ ประสบการณท์ ่ีแก้ปญั หาได้สาเรจ็
71 2) คน้ หาตัวอยา่ ง/รูปแบบทีป่ ระสบความสาเร็จ 3) รว่ มกนั ตดั สนิ ใจเลอื กรูปแบบ/วิธีการ/นวตั กรรมในการแกป้ ัญหา 4. ออกแบบกจิ กรรมการแกป้ ญั หา ออกแบบกิจกรรมตามวธิ ีการ/นวตั กรรมทีก่ ล่มุ เลอื ก 5. แลกเปลี่ยนเสนอแนะ นาเสนอกิจกรรมการแก้ปัญหา ให้ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ท่ีมี ประสบการณใ์ หข้ ้อเสนอแนะ 6. นาสู่การปฏบิ ัติ /สงั เกตการสอน 1) นากจิ กรรมไปใช้ในการแก้ปัญหา 2) ผู้สังเกตการณ์เข้ารว่ มสงั เกตในการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน 7. สะทอ้ นผล 1) สรปุ ผลการนารูปแบบ/วิธกี าร ในการนาไปแก้ปัญหา 2) อภิปรายผลการแกป้ ญั หา เสนอแนะแนวทางในการพฒั นา 4. การนิเทศแบบรว่ มมอื โดยใชก้ ารสะท้อนคดิ ของชมุ ชนการเรยี นร้แู หง่ วิชาชีพ กระบวนทัศน์ของการนิเทศแบบรว่ มมือ การร่วมมือ (Collaboration) เป็นทักษะท่ีช่วยให้เกิดการแลกเปล่ียนความคิดการให้และ การรับข้อมูลป้อนกลับ รวมถึงการนาความรู้ไปประยกุ ต์เพ่ือให้บรรลุเป้าหมายท่ีกาหนด การร่วมมือจึงเป็น ทักษะการเรียนรูท้ ี่ชว่ ยใหก้ ารเรียนรู้และการปฏิบัตงิ านมีประสิทธิภาพ การสนบั สนุนใหค้ รูได้ทางานร่วมกับ บุคคลอื่นจะทาให้ครูได้พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) การคิดไตร่ตรอง (Reflection) การยอมรับ นบั ถือบุคคลอืน่ การชื่นชมความสาเรจ็ ของกล่มุ และพฒั นาการรบั รู้เกีย่ วกับความสามารถของตนเอง (Self- Efficacy) ซ่ึงเป็นทักษะที่จาเป็นท่ีจะช่วยให้ครูสามารถพัฒนาการสอนและการเรียนรูข้ องตนเองและเพอ่ื น รว่ มวิชาชพี ได้ การนเิ ทศแบบร่วมมือจงึ เปน็ การนิเทศทางเลือกสาหรับการพฒั นาคุณภาพการปฏบิ ัตกิ ารสอน และการเรียนรู้ ของครูในศตวรรษท่ี 21 จากการศึกษาและเปรียบเทียบกระบวนทัศน์ของการนิเทศใน ศตวรรษท่ี 20 และ 21 พบว่า มีลักษณะสาคัญหลายประการที่ต่างกัน กล่าวคือการนิเทศในศตวรรษที่ 20 เป็นการนิเทศท่ีเน้นการชี้นา (Directing) การประเมินผล (Evaluation) การควบคุม (Controlling) การ ฝึกอบรม (Giving training) การนาวิธีการต่าง ๆ มาใช้ (Implementing Procedures) และการถ่ายทอด ขอ้ มลู และความรู้ (Relaying Information) ของผู้นเิ ทศ สว่ นการนเิ ทศในศตวรรษท่ี 21 เปน็ การนิเทศท่เี นน้ การร่วมมือกัน (Coordinating) การช้ีแนะ (Coaching) การช่วยเหลือ (Supporting) การเรียนรู้โดยการ แลกเปล่ียนความรู้ และประสบการณ์ (Sharing learning) การสร้างวิธีการต่าง ๆ เพ่ือนาไปใช้ (Reinventing Work) และ การแลกเปลี่ยนข้อมูลและความรู้ (Sharing Information) จะเห็นได้ว่าการ นิเทศในศตวรรษที่ 21 ผู้นิเทศจาเป็นต้องใช้ความสัมพันธ์แบบร่วมมือ (Collaborative Relationships) การตัดสินใจแบบมีส่วนร่วม (Participatory Decision Making) การฟังและการปฏิบัติเพื่อสะท้อนคิด (Reflective Listening and Practice) (Sullivan & Glanz, 2000) ผูเ้ ขียนเช่ือว่า การปรบั เปลย่ี นกระบวน
72 ทัศน์ในการนิเทศจะช่วยให้ การนิเทศตอบสนองความต้องการของผู้ปฏบิ ัติงานและพัฒนาวิชาชีพได้อยา่ งมี ประสิทธิผล 5. กระบวนการนิเทศแบบร่วมมือโดยใช้การสะท้อนคิดของชุมชนแห่งการเรียนรู้วิชาชีพ ความหมายของการนิเทศแบบรว่ มมือโดยใช้การสะท้อนคิดของชุมชนแหง่ การเรยี นรูว้ ชิ าชีพในที่นี้ เป็นการ นิยามจากการศึกษาความหมายของการสะท้อนคิด (Schon, 1987; Knowles, Cole & Press Wood, 1994; Johns, 2000) และความหมายของชุมชนแห่งการเรียนรู้วิชาชีพ สรุปได้ว่า การนิเทศแบบ ร่วมมือ โดยใช้การสะท้อนคิดของชุมชนแห่งการเรยี นรู้วิชาชีพ เป็นการนิเทศท่ีใช้กระบวนการทางานร่วมกัน อย่าง ต่อเน่ืองของครูและนักการศึกษาในวงจรของการร่วมกันตั้งคาถาม และการทาวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดย ส่งเสริมให้ครูคิดวิเคราะห์ด้วยหลักการและเหตุผล รวมท้ังการทบทวนและสะท้อนการทางานของตน (Reflective Practice) เพือ่ ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจและเกิดการเรยี นรู้จากประสบการณ์ เกดิ ความคดิ และมมุ มอง ใหม่ ๆ และหากลวิธีในการปฏิบัตงิ านให้ดีขึ้น ส่งผลให้ครูสามารถปรับปรุงการปฏบิ ัติงานของตนเองเพื่อให้ ผ้เู รียนบรรลผุ ลการเรยี นร้ทู ด่ี ีขน้ึ Kition และ Todnem (1991) ได้นาเสนอกระบวนการสะท้อนคิดเป็นวงจรที่มี 3 ระยะ ประกอบด้วย 1) การสะท้อนคดิ สาหรับการปฏบิ ัติ (Reflection for Action) เปน็ การทบทวนเกีย่ วกบั สิ่งท่ีทาแล้วประสบความสาเร็จ และระบุแนวทางที่จะนาไปใช้เพื่อให้ประสบความสาเร็จในการปฏิบัติงาน ตอ่ ไปในอนาคต 2) การสะทอ้ นคิดในขณะปฏิบัติ (Reflection in Action) เปน็ กระบวนการที่บคุ คลตอ้ ง ควบคมุ ความ ตัง้ ใจและการปฏบิ ตั ขิ องตนเอง 3) การสะท้อนคิดหลังการปฏิบัติ (Reflection on Action) เป็นการ ย้อนกลับไป พิจารณาสิ่งท่ีทาสาเร็จแล้ว และทบทวนเก่ียวกับความคิด การกระทาและผลงาน เป็นการประเมินตนเอง (Self-Evaluation) และมีปฏิกิริยาตอบสนองกับการปฏิบัติด้วยตนเอง (Self-Reaction) ซึ่ง Dunne และ Vitani (2007) ได้นากระบวนการสะท้อนคิดดังกล่าวมาใช้ในกระบวนการนิเทศแบบร่วมมือ ประกอบด้วย การสนทนาเพ่ือสะทอ้ นคดิ เก่ยี วกับการปฏิบัติการสอนเป็น 3 ระยะ ดังน้ี ระยะท่ี 1 การสนทนาเก่ียวกับการวางแผนจัดการเรียนรู้ (Planning Conversation) การสนทนาเก่ียวกับการวางแผนจัดการเรียนรู้ เป็นข้ันตอนท่ีผู้นิเทศสนับสนุนให้ครูได้ระบุเป้าหมาย การ เรียนรู้ และอธบิ ายหรอื สาธิตเกีย่ วกับสิ่งท่ีจะสอน โดยผูน้ เิ ทศใช้คาถามนาเพื่อให้ครูไดไ้ ตรต่ รองเก่ียวกับการ สอนของตนเองก่อนท่ีจะนาไปปฏิบัติการสอนในช้ันเรียน ผู้นิเทศจาเป็นต้องช่วยให้ครูเกิดความเขา้ ใจอย่าง ถ่องแท้เก่ียวกับเป้าหมายในการสอนของตนเอง นอกจากนี้ผู้นิเทศต้องส่งเสรมิ ให้ครูได้เห็นความ เชื่อมโยง ระหว่างพฤติกรรมการสอน พฤติกรรมของผู้เรียนที่คาดหวัง จุดมุ่งหมายของบทเรียน และผลการเรียนรู้ที่ ตอ้ งการการดาเนนิ การสนทนาเกี่ยวกับการวางแผนจดั การเรียนรู้ให้มีประสิทธภิ าพ ผนู้ เิ ทศจงึ จาเปน็ ต้องใช้ คาถามเพื่อใหค้ รไู ด้ไตร่ตรองเก่ยี วกับการดาเนินการในเรอ่ื งตอ่ ไปน้ี
73 1) การทาความเข้าใจเกย่ี วกับเป้าหมายการเรียนรแู้ ละจดุ ประสงค์การเรียนรู้ 2) การระบุเน้อื หาสาระและวิธีการทีจ่ ะสอน 3) การกาหนดกระบวนการ กจิ กรรม และสือ่ การเรียนการสอน 4) การกาหนดหลกั ฐานการเรยี นรวู้ ิธกี ารวดั และประเมินผล 5) การระบุประเภทของข้อมูลที่จะใช้สาหรับการสะท้อนคิดเก่ียวกับการปฏิบัติการ สอน 6) การทดลองใช้แผนการจัดการเรยี นร้กู อ่ นการนาไปใช้สอนในชนั้ เรียน ระยะท่ี 2 การสังเกตและการรวบรวมข้อมูลสาหรับการนิเทศ (Coaching Observation and Data Gathering) การสังเกตและการรวบข้อมูลเพอ่ื นาไปใชใ้ นการนิเทศเปน็ ขน้ั ตอนที่ผู้ นิเทศทาการสังเกตการสอน ในชั้นเรียนของครูและรวบรวมข้อมูลเพ่ือให้ครูนาไปใช้ในการสะท้อนคิด เกย่ี วกับการปฏิบตั กิ ารสอนของตนเอง ขอ้ มลู สาหรบั การนิเทศ จะต้องเป็นขอ้ มลู ทใ่ี ชส้ าหรบั การแลกเปล่ียน เพอ่ื ใหเ้ กิดการเรยี นรทู้ ักษะทตี่ อ้ งการ และเปน็ ขอ้ มลู เพ่อื การปรบั ปรุงการปฏิบตั ิงาน และในทนี่ ี้ ขอยกตวั อย่างวธิ ีการรวบรวมข้อมูลสาหรับการนเิ ทศ 2 วิธี ดังน้ี 1. การบันทกึ วาจาของครูและผู้เรยี นตามทต่ี ้องการ (Selective Verbatim) โดยครู และผู้นิเทศควรตกลงร่วมกันก่อนว่า ครูต้องการข้อมูลเก่ียวกับคาพูดของครูและผู้เรียนในเรือ่ งใดบ้าง และ เทคนิคนี้จะมี ประโยชน์อย่างย่ิงในกรณีท่ีครูต้องการทบทวน ไตร่ตรองเกี่ยวกับการใช้คาถามของตนเอง ระดับการคดิ ของ ผูเ้ รยี นหรือสงั เกตปริมาณการพูดของครใู นชน้ั เรียนว่ามีมากน้อยเพียงใด 2. การบันทึกเสียงหรือบันทึกวีดิทัศน์ (Audio or Video Recording) อาจเป็นการ บนั ทึก ส่ิงท่เี กิดข้ึนทั้งหมดในชั้นเรียน การบนั ทกึ เหตุการณ์บางสว่ น หรอื บันทึกเฉพาะประเดน็ ที่ครูต้องการ ทราบหรือ สนใจเก่ียวกับการปฏิบัติการสอนของตน เช่น การปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้เรียน พฤติกรรม ของผูเ้ รียน 3. การสนทนาเพื่อสะท้อนคิด (Reflecting Conversation) การสนทนาในข้ันตอน นี้เป็นทั้งการสะท้อนคิดเก่ียวกับสิ่งท่ีได้ปฏิบัติไปแล้วและเป็นการเริ่มการ สนทนาเก่ียวกับการวางแผนการ จัดการเรียนรูส้ าหรับครั้งต่อไป ผนู้ เิ ทศควรสนับสนนุ ให้การสนทนามี บรรยากาศที่ผ่อนคลาย และจัดเตรียม ข้อมูลท่ีได้จากการสังเกตเพ่ือให้ครูนามาใช้ในการวิเคราะห์และเกิดการเรียนรู้จากการปฏิบัติการสอนของ ตนเองในการสนทนาเพ่ือสะท้อนคิด ผู้นิเทศต้องใช้คาถามเพ่ือกระตุ้นให้ครู ได้ไตร่ตรองเก่ียวกับการสอน ของตน ให้ครทู บทวนและทาความเข้าใจสิง่ ทีเ่ กดิ ข้นึ วิเคราะห์สาเหตขุ องสง่ิ ต่าง ๆ ที่เกิดขน้ึ และพจิ ารณาว่า จะนาข้อมูลท่ีสังเกตได้ไปใช้อย่างไร และผู้นิเทศควรสนบั สนนุ ให้ครูใช้กลวิธีต่าง ๆ เพ่ือช่วยให้ครูได้สะท้อน คิดเกี่ยวกับการสอนของตนเอง เช่น ให้ครูสรุปและสะท้อนส่ิงที่เกิดข้ึนขณะสอน บอกวิธีการประเมินผล เปรยี บเทียบระหว่างสิ่งที่เกิดขน้ึ กับส่งิ ที่วางแผนไว้ ระบุผลกระทบของพฤติกรรมการสอนท่ี มีตอ่ การเรียนรู้ ของผ้เู รยี น บอกสิง่ ท่จี ะนาไปใช้ในการวางแผนการจัดการเรียนรู้ในครง้ั ตอ่ ไป
74 2.7.3 รูปแบบการจัดกิจกรรมส่งเสริมกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ เพ่ือพัฒนา จรรยาบรรณวชิ าชีพครูผา่ นระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบปฏิบัติการพัฒนาจรรยาบรรณวิชาชีพครู มีหลักการท่ีนามาบูรณาการร่วมกันในการ ดาเนินการ ดงั น้ี 1. กรอบจรรยาบรรณวชิ าชีพครู จะเนน้ ท่ปี ระเด็นการเสรมิ สร้างวินยั ในตนเองของครู และ นักศึกษาครู รวมถึงการคานึงถึงการส่งมอบบริการที่ดีท่ีสุดให้แก่ลูกศิษย์ คือ การอบรม ให้ความรู้ลูกศิษย์ ด้วยจิตใจที่เป่ียมด้วยความรัก ความเมตตา อดทนท่ีจะอธิบายให้ลูกศิษย์ท่ีอาจจะมีความสามารถในการ เรยี นรทู้ ่ีแตกต่างกัน 2. หลกั การชุมชนแหง่ การเรยี นรูท้ างวชิ าชพี โดยมลี ักษณะท่ีสาคญั 5 ประการ ดงั นี้ 1) การสร้างบรรทดั ฐานและค่านิยมรว่ มกนั (Shared values and norms) 2) การปฏิบัติท่ีมีเป้าหมายร่วมกัน คือ การเรียนรู้ของผู้เรียน (Collective focus on students learning) 3) การรว่ มมอื รวมพลงั ของสมาชกิ ชุมชนวิชาชีพ (Collaboration) 4) การเปิดรับการชี้แนะการปฏิบตั ิ และการร่วมเรียนรู้ ณ บริบทจริง (Expert advice and study visit) 5) การสนทนาท่มี ุง่ สะทอ้ นผลการปฏบิ ัติงาน (Reflection dialogue) 3. การปฏิบัติการผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยใช้ Google classroom application ที่มีบริการอยู่ในระบบ Google app for educationจัดการเรียนรู้นั้น โดย ข้อเสนอแนะทั้งหมด จะต้องสรุปเป็นเอกสารไว้แล้วนาเสนอให้สมาชิกในทีมทุกคน ได้รับทราบอย่างท่ัวถึง ทุกคนด้วย โดยนากลับไปนาเสนอในระบบ Google classroom ใน Assignment 4. การนาแผนการจดั การเรียนรู้ที่แกไ้ ขปรบั ปรงุ แล้วไปปฏิบตั ิการสอนจริงในหอ้ งเรียนโดย มีครู พี่เลี้ยง อาจารย์นิเทศ นักศึกษาครู ผู้บริหารโรงเรียน อย่างน้อย 1 - 2 คน โดยครูพ่ีเลี้ยงจะต้องไปเขา้ ห้องสังเกตการจัดการเรียนรู้ระหว่างการสอนจริงในชั้นเรียน รวมถึงจะต้องมีเพ่ือน หรือบุคคลท่ีได้รับ มอบหมาย ถ่ายทาวีดิทัศน์ ระหว่างการจัดการเรียนรู้ด้วย โดยการถ่ายทาจะต้องถ่ายภาพให้เห็นการปฏบิ ัติ ของนักศึกษาครู และปฏิกิริยานักเรียนที่สาคัญ โดยวีดิทัศน์ดังกล่าว จะต้องสามารถใช้เป็นตัวแทนการ จัดการเรียนรู้ทั้งหมดของแผนนั้นได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงท่ีสะท้อนให้เห็นถึงการที่นักศึกษาครู มี วินัยในตนเองของครู และการส่งมอบบริการท่ีดีท่ีสุดให้แก่ลูกศิษย์ หรือการปฏิบัติต่อศิษย์ด้วยความรัก ความเมตตา เสยี สละ อดทน มุ่งหวงั ที่จะใหศ้ ิษยเ์ กิดการเรียนรอู้ ย่างทั่วถงึ ทกุ คน 5. การนาวีดิทัศน์ การจัดการเรียนรู้ (วีดิทัศน์การสอนของนิสิต นักศึกษาครู ครั้งที่ 1) นาไป Post ในระบบ YouTube หรือ นาเข้าสู่ Google drive แล้วให้นา Link ของวีดิทัศน์ ซ่ึงอาจจะเป็น Link จาก YouTube หรือจากการ Share จาก Google drive มาส่งในระบบ Google classroom ที่ Assignment 6. การสะทอ้ นผลการปฏิบัตงิ าน โดยพยายามตอบคาถามประเด็นตอ่ ไปน้ใี หไ้ ดว้ ่า
75 1) นักศึกษาครู กาลังจะทาให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ประเด็นอะไร และอะไรคือ ส่ิงท่ี เป็นผลการเรียนรู้ทีค่ าดหวังสุดทา้ ย (Learning outcome) 2) เราทราบได้อย่างไรวา่ นักเรยี นเกิดการเรียนรตู้ ามทีต่ งั้ เป้าหมายไวแ้ ล้วหรือยงั 3) นักเรียนทย่ี งั ไม่สามารถเรยี นรหู้ รือบรรลุตามเป้าหมายการเรียนร้ไู ดน้ ัน้ นักศกึ ษาครู ได้แสดงออกถึงความพยายาม ความเมตตา การให้การเอาใจใส่ช่วยเหลือ ทาให้นกั เรยี นได้เรียนรู้เพมิ่ ขน้ึ ได้ อย่างไร การแสดงออกของนักศึกษาครมู จี ดุ ทีค่ วรตอ้ งปรับปรุงอย่างไรบ้าง และมีอะไรทเ่ี ป็นจุดดอี ย่แู ลว้ 4) นักเรียนทส่ี ามารถบรรลุเป้าหมายการเรยี นรู้แลว้ นกั ศกึ ษาครู ไดแ้ สดงออกถงึ ความ พยายามส่งเสริมให้นักเรียนคนนั้น ได้พัฒนาศักยภาพอย่างเต็มที่ มากขึ้นอย่างไรบ้าง การแสดงออกของ นักศึกษาครู มีจุดที่ควรต้องปรับปรุงอย่างไรบ้าง และมีอะไรท่ีเป็นจุดดีอยู่แล้วบ้าง การสะท้อนผลเหล่านี้ สมาชิกในทีมทุกคนจะต้องร่วมกันสะท้อนผล ภายใต้หลักการแห่งวิชาชีพครู และนาเสนอการสะท้อนคิด แบบกลั ยาณมติ ร 7. นกั ศกึ ษาครู จะต้องทาหนา้ ที่รวบรวมความคิดเหน็ ท่ีสมาชิกในทีมได้ใหค้ วามเหน็ มาแล้ว สรปุ เป็นภาพรวมของผลการสะท้อนคดิ สาหรับการดาเนนิ การกระบวนการชุมชนการเรยี นรวู้ ิชาชพี วงรอบ ที่ 1 8. การดาเนินการปฏิบัติการใหม่ วงรอบท่ี 2 วงรอบที่ 3 กระทาซ้าในลักษณะเดิมโดยนา ข้อความเห็นท่ีได้มาจากสมาชิกในทีมมาเป็นข้อมูลในการออกแบบแผนการปฏิบัติการรอบใหม่ แล้ว ดาเนนิ การ ส่กู ารปฏบิ ัตกิ ารการสังเกตหน้างานจรงิ ตามบรบิ ทจริง และมีการสะทอ้ นผล 2.8.4 ระบบการปฏบิ ตั กิ ารเพอื่ การเสรมิ สร้างการปฏิบัติตามจรรยาบรรณวชิ าชพี ครูผา่ นระบบ เทคโนโลยี สารสนเทศ 1. หลกั การและกระบวนการ ปฏบิ ัติการเพอ่ื การเสรมิ สรา้ งการปฏบิ ัตติ ามจรรยาบรรณวิชาชีพ ครผู า่ นระบบเทคโนโลยี สารสนเทศ
76 ภาพที่ 2.3 หลกั การและกระบวนการปฏบิ ัติการเพือ่ การเสริมสรา้ งการปฏบิ ตั ติ ามจรรยาบรรณวิชาชีพครู ผา่ นระบบเทคโนโลยี สารสนเทศ เมื่อมีการนาหลักการและกระบวนการ PLC มาพัฒนาการดาเนินงาน “คุรุสภา” ในฐานะองค์กร วิชาชีพได้เหน็ ความสาคัญของการปรับปรงุ วิชาชพี ครู โดยม่งุ พัฒนาอาจารย์พร้อมกับบคุ ลากรทางการศึกษา ให้ มกี ารพฒั นาตนเองพรอ้ มด้วยวชิ าชพี เปน็ การปรับปรุงทเ่ี นน้ ใหท้ กุ ฝ่ายร่วมมือกันทาความเขา้ ใจและมีการ พัฒนาต่อยอดด้วยระบบ E-PLC เพื่อเสริมสร้างจรรยาบรรณของวิชาชีพให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพที่มีจิต วญิ ญาณ ความเปน็ ครอู ยา่ งแท้จรงิ สรุปได้ว่า E-PLC เป็นแนวทางสาคัญท่ีคุรุสภาได้ริเริ่มดาเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 เป็นต้นไปเพ่ือมุ่งให้เกิดระบบพัฒนาวชิ าชีพ ตามแนวคิด PLC และเน้นพัฒนาส่งเสริมจรรยาบรรณวิชาชพี ผ่าน ระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยเร่ิมจากกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนสิ ิต นักศึกษาครู ได้มีกิจกรรมร่วมกับครูซงึ่ เป็น ครู ประจาการและอาจารยน์ เิ ทศ จากท่ีนาเสนอทั้งหมดสามารถกาหนดเป็นกรอบแนวคิดการวิจัย และกรอบกระบวนการพัฒนา กิจกรรมแบบบูรณาการการส่งเสริมกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรูท้ างวชิ าชีพ เพ่ือพัฒนาจรรยาบรรณ วชิ าชพี ผ่านระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ วิทยาลัยบณั ฑิตเอเซยี
หลกั การจัดกจิ กรรมส่งเสริมกระบวนการชมุ ชนแหง่ การเรียนรู้ 77 เพอ่ื พัฒนาจรรยาบรรณวชิ าชีพครผู ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ : สมศกั ดิ์ ดลประสิทธ์ิ(๒๕๖๑) การจัดกิจกรรมส่งเสรมิ กระบวนการชมุ ชนแหง่ การเรียนรู้ เพื่อพฒั นาจรรยาบรรณ ๑. กรอบจรรยาบรรณวชิ าชีพครู วิชาชีพครผู า่ นระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศของนักศกึ ษาหลักสตู รประกาศนียบตั ร บัณฑติ วชิ าชีพครู วทิ ยาลยั บัณฑติ เอเซีย ๒. หลกั การชุมชนแหง่ การเรียนรทู้ างวชิ าชีพ โดยมีลักษณะท่ีสาคัญ ๕ ๑. การนาแผนการจัดกิจกรรมส่งเสรมิ การจัดการเรียนร้ทู ี่แกไ้ ขปรับปรงุ แล้วไป ปฏบิ ตั ิการสอนจรงิ ในหอ้ งเรยี นโดยมคี รูพ่เี ล้ยี ง อาจารย์นเิ ทศ นกั ศึกษาครู ผูบ้ ริหาร ประการ ดงั น้ี โรงเรยี น โดยครูพี่เล้ยี งจะต้องไปเขา้ หอ้ งสงั เกตการจัดการเรยี นร้รู ะหว่างการสอนจริง (๑) การสรา้ งบรรทัดฐานและคา่ นยิ มรว่ มกนั ในช้ันเรยี น ๒. มอบหมายใหบ้ คุ คลถ่ายทาวดี ิทศั น์ ระหว่างการจัดการเรียนรู้ ๓. การสะทอ้ น (๒) การปฏิบัติทีม่ ีเปา้ หมายร่วมกนั คือ การเรียนรขู้ องผเู้ รียน ความคิดของนกั ศกึ ษาครู และการสง่ มอบบรกิ ารทด่ี ที ส่ี ุดแกศ่ ษิ ย์ (๓) การร่วมมอื รวมพลังของสมาชิกชุมชนวิชาชพี ๔. การปฏิบัติตอ่ ศษิ ย์ ด้วยความรัก มุ่งให้ศิษยท์ ุกคนเกิดการเรียนรู้ ๕ การนาวดี ิทัศนก์ ารจัดการเรียนรู้ (วีดทิ ศั นก์ ารสอนของนิสติ นักศกึ ษาครู คร้งั ที่ ๑) (๔) การเปิดรับการชีแ้ นะการปฏบิ ัติ และการร่วมเรยี นรู้ ณ บรบิ ทจรงิ นาไป Post ในระบบ YouTube หรอื นาเข้าสู่ Google drive ๖. การนา Link ของวดี ทิ ัศน์ ซึ่งอาจจะเปน็ Link จาก YouTubeหรอื จากการ ๕ การสนทนาที่มงุ่ สะทอ้ นผลการปฏบิ ัตงิ าน Share จาก Google drive มาสง่ ในระบบ Google classroom ที่ Assignment ๗. การสะท้อนผลการปฏิบตั ิงาน จรรยาบรรณของวิชาชพี ทางการศึกษาที่สภาวชิ าชพี ตามขอ้ บงั คับคุรสุ ภา ๘. นักศึกษาครู จะตอ้ งทาหนา้ ทร่ี วบรวมความคดิ เหน็ ที่สมาชิกในทมี สรุปเป็น ว่าดว้ ยจรรยาบรรณ ของวิชาชีพ พ.ศ.๒๕๕๖ ภาพรวมของผลการสะท้อนคดิ สาหรับการดาเนินการกระบวนการชุมชนการเรียนรู้ ๑) จรรยาบรรณตอ่ ตนเอง ผ้ปู ระกอบวชิ าชีพทางการศึกษา ต้องมวี ินัยใน วิชาชีพ วงรอบที่ ๑ ตนเอง พัฒนาตนเองด้านวิชาชีพ บคุ ลิกภาพ และวสิ ัยทัศน์ ให้ทันต่อการ ๙. การดาเนนิ การปฏิบตั ิการใหม่ วงรอบท่ี ๒ วงรอบท่ี ๓ กระทาซา้ ในลกั ษณะเดมิ โดยนาข้อความเห็นท่ีได้มาจากสมาชกิ ในทีมมาเปน็ ข้อมูลในการออกแบบแผนการ พฒั นาทางวทิ ยาการ เศรษฐกจิ สงั คม และการเมอื งอยู่เสมอ ปฏิบตั กิ ารรอบใหม่ แล้วดาเนนิ การส่กู ารปฏิบตั ิการการสงั เกตหน้างานจรงิ ตาม ๒) จรรยาบรรณตอ่ วิชาชีพ ผปู้ ระกอบวิชาชพี ทางการศกึ ษา ตอ้ งรัก บริบทจริง และมกี ารสะท้อนผล ศรทั ธา ซ่อื สตั ย์สุจรติ รบั ผดิ ชอบตอ่ วชิ าชพี และเปน็ สมาชิกทีด่ ขี ององคก์ ร การพฒั นารูปแบบการจดั กิจกรรมส่งเสรมิ กระบวนการชมุ ชนแหง่ การเรยี นรู้ เพ่อื วชิ าชพี พฒั นาจรรยาบรรณวิชาชีพครผู ่านระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศของนกั ศกึ ษา ๓) จรรยาบรรณตอ่ ผูร้ ับบรกิ าร หลกั สตู รประกาศนียบตั รบณั ฑติ วชิ าชพี ครู วทิ ยาลัยบัณฑติ เอเชยี โดยมวี งรอบ (๑) ผู้ประกอบวชิ าชพี ทางการศกึ ษา ต้องรกั เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลอื ปฏิบัติแบ่งเปน็ 3 วงรอบ และมีกจิ กรรม ดงั น้ี ๑. การประชมุ เชงิ ปฏบิ ัติการ ๒. การประชมุ เสวนา ส่งเสริม ให้กาลังใจแกศ่ ิษย์และผ้รู ับบรกิ าร ตามบทบาทหนา้ ที่โดยเสมอหน้า ๓. การส่งเสรมิ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณวชิ าชพี ครู (๒) ผปู้ ระกอบวชิ าชพี ทางการศึกษา ตอ้ งส่งเสรมิ ให้เกิดการเรียนรู้ ทักษะ ๔. ได้ model รปู แบบการจดั กจิ กรรมสง่ เสรมิ กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ เพื่อ พฒั นาจรรยาบรรณวิชาชีพครผู ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของนกั ศึกษาหลักสูตร และนสิ ัยทถี่ กู ต้องดีงามแก่ศษิ ย์ และผ้รู ับบริการ ตามบทบาทหน้าทอ่ี ย่าง ประกาศนียบตั ร เตม็ ความสามารถ ดว้ ยความบริสทุ ธ์ใิ จ ประสทิ ธิผลของการจัดกิจกรรมสง่ เสรมิ กระบวนการชมุ ชนแหง่ การเรียนรู้ทาง (๓) ผ้ปู ระกอบวิชาชพี ทางการศกึ ษา ต้องประพฤติปฏิบตั ิตนเป็นแบบอยา่ งท่ี วิชาชพี เพอ่ื พฒั นาจรรยาบรรณวิชาชีพผา่ นระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ (Ethics in Professional Learning Community: E-PLC) ผบู้ รหิ าร ครู ดี ท้งั ทางกาย วาจา และจติ ใจ นักเรียน และนกั ศกึ ษาหลักสตู รประกาศนียบตั รบณั ฑติ วชิ าชพครู ไดร้ ับการพัฒนา (๔) ผ้ปู ระกอบวชิ าชพี ทางการศึกษา ตอ้ งไมก่ ระทาตนเปน็ ปฏิปักษ์ต่อความ และไดแ้ นวทางรปู แบบการจัดกิจกรรมส่งเสริมกระบวนการชมุ ชนแหง่ การเรยี นรู้ เพือ่ พฒั นาจรรยาบรรณวิชาชีพครูผ่านระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ สูก่ ารปฏบิ ตั ิวชิ าชพี เจรญิ ทางกายสติปญั ญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์ และผรู้ บั บรกิ าร อย่างผู้มีจรรยาบรรณ มุง่ เนน้ การนาไปปฏบิ ัตจิ รงิ สร้างประสบการณก์ ารบรู ณาการ สู่ (๕) ผ้ปู ระกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องใหบ้ รกิ ารด้วยความจรงิ ใจและ การเรียนการสอนด้วยหลกั การเรยี นร้ทู างวิชาชีพเพอ่ื พัฒนาจรรยาบรรณวชิ าชพี ผ่าน ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Ethics in Professional Learning Community: E- เสมอภาค โดยไมเ่ รยี กรับหรือยอมรับผลประโยชนจ์ ากการใชต้ าแหน่งหนา้ ท่ี PLC) โดยมชิ อบ ภาพที่ 2.4 กรอบแนวคิดการวจิ ยั ๔) จรรยาบรรณตอ่ ผูร้ ่วมประกอบวิชาชพี ผ้ปู ระกอบวชิ าชีพทางการศึกษา พึงชว่ ยเหลอื เก้ือกลู ซึง่ กันและกันอย่างสรา้ งสรรค์ โดยยึดมนั่ ในระบบ คณุ ธรรม สรา้ งความสามัคคีในหมคู่ ณะ ๕) จรรยาบรรณตอ่ สังคม ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศกึ ษา พงึ ประพฤติ ศลิ ปวฒั นนธรรม ภูมิปัญญา สิง่ แวดล้อม รกั ษาผลประโยชน์ของสว่ นรวม กแลาระปยฏดึ มิบั่นติกในากรผาร่าปนกระคบรอบงเทระคบโนอโบลปยรสี ะาชราสธนปิ เทไตศยแอลนั ะมกีพารสะอ่ืมสหารกโษดัตยรใชิย้ท์ รง Gเปo็นoปgรlะeมcุขlassroom application ท่ีมบี ริการอยใู่ นระบบ Google app for education ๑. เป็นกระบวนการบูรณาการระหว่างกระบวนการผลติ และพฒั นาครู ให้สง่ เสรมิ สนบั สนนุ ซึง่ กนั และกนั ๒. เปน็ การบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศมาเป็นเครอ่ื งมือในการทางาน อย่างเป็นระบบและประหยัดทรัพยากร ๓. การปฏริ ปู การจดั กิจกรรมการเรียนรูโ้ ดยใช้หอ้ งเรียนเปน็ ฐาน ๔. สร้างสรรคว์ ัฒนธรรมการแลกเปล่ียนเรียนรู้ ๕. เป็นกระบวนการพฒั นาจรรยาบรรณวิชาชพี โดยใช้หลกั ปฏิสมั พนั ธโ์ ดยมี เทคโนโลยสี ารสนเทศเปน็ เคร่อื งมือบนั ทกึ อยา่ งเปน็ ระบบ
ภาพที่ 2.5
78
79 2. วัตถุประสงค์ (กิจกรรมที่ปฏิบัติ/สิ่งท่ีจะพัฒนาให้เกิดข้ึนแก่ผู้เตรียมเข้าสู่วิชาชีพครู ผู้ ประกอบวชิ าชีพทางการศึกษาและผเู้ รียนท่วี ัดผลได้ชัดเจน) 2.1 เพื่อพัฒนานกั ศึกษาครูที่ฝึกประสบการณ์วิชาชีพ และผู้ประกอบวิชาชีพทางการ ศึกษาด้านคุณธรรมจริยธรรมและจรรยาบรรณ ของวิชาชีพครู มุ่งเน้นไปสู่การนาไปใช้ปฏิบัติในวิถี ชีวติ ประจำวนั ไดอ้ ย่างเปน็ รูปธรรม 2.2 เพือ่ พัฒนาความรู้ ความเขา้ ใจในจรรยาบรรณของวิชาชีพครูของนักศกึ ษาครูที่ฝึก ประสบการณ์วิชาชีพ ผ่านกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพด้วยระบบเทคโนโลยี สารสนเทศ 2.3 เพ่ือสร้างประสบการณ์การบูรณาการหลักจรรยาบรรณของวิชาชีพครูสู่การ ปฏิบัติการสอน ในชั้นเรียนของผู้เตรยี มเข้าสู่วชิ าชีพครูโดยมคี รูประจาการเป็นผู้นาและกากับดแู ลเปน็ แบบอย่าง 2.4 เพอ่ื ประเมนิ ผลการใช้รูปแบบการจดั กิจกรรมส่งเสรมิ กระบวนการชุมชนแห่งการ เรียนรู้ เพ่ือพัฒนาจรรยาบรรณวิชาชีพครูผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของนักศึกษาหลักสูตร ประกาศนียบัตรบณั ฑติ วิชาชพี ครู วทิ ยาลยั บัณฑิตเอเชีย 3. เป้าหมายเชงิ ปรมิ าณ/คณุ ภาพ (สอดคล้องกับจานวนผูเ้ ขา้ รว่ มกิจกรรม) 3.1 เป้าหมายเชงิ ปรมิ าณ กลุม่ เป้าหมายแบง่ ออกเปน็ 2 กลุม่ ประกอบดว้ ย 1) กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา หมายถึง ครูผู้ช่วย ครู ผู้บริหาร สถานศึกษา (ในสถานศึกษา ท่ีเป็นโรงเรียนฝึกประสบการณ์วิชาชีพ หรือสถานศึกษาท่ีครูผู้ช่วย ปฏบิ ัติการสอน) ผบู้ ริหารการศึกษา และศกึ ษานิเทศก์ 2) กลุ่มผู้เตรียมเข้าสู่วิชาชีพครู หมายถึง นักศึกษาครูท่ีกาลังฝึกประสบการณ์ วชิ าชพี หลักสตู รประกาศนียบตั รบัณฑติ วชิ าชพี ครู วิทยาลยั บัณฑิตเอเซยี จานวน 180 คน 3.2 เปา้ หมายเชงิ คุณภาพ 1) นกั ศกึ ษาครทู ก่ี าลังฝกึ ประสบการณว์ ชิ าชีพหลักสูตรประกาศนยี บตั รบัณฑิต วิชาชีพครู วิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย และผู้ประกอบวชิ าชีพทางการศึกษาได้รับการพฒั นารูปแบบการจดั กิจกรรมส่งเสริมกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ เพ่ือพัฒนาจรรยาบรรณวิชาชีพครูผ่านระบบ เทคโนโลยีสารสนเทศด้านคุณธรรมจรยิ ธรรมและจรรยาบรรณ ของวิชาชีพครู มุ่งเน้นไปสู่การนาไปใช้ ปฏิบตั ใิ นวถิ ีชวี ติ ประจาวนั ไดอ้ ย่างเปน็ รูปธรรม 2) นักศึกษาครูทีก่ าลงั ฝึกประสบการณว์ ิชาชพี หลักสูตรประกาศนยี บตั รบัณฑิต วิชาชีพครู วิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย และผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาได้รับการพัฒนาความรู้ ความ เขา้ ใจในจรรยาบรรณของวิชาชีพครูของนักศกึ ษาครูที่ฝกึ ประสบการณ์วิชาชพี ผ่านกระบวนการชุมชน แหง่ การเรยี นรทู้ างวิชาชีพดว้ ยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 3) นักศกึ ษาครูทกี่ าลังฝกึ ประสบการณว์ ิชาชีพหลักสตู รประกาศนียบัตรบัณฑิต วิชาชีพครู วิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย และผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาได้รับประสบการณ์การบูรณา
80 การหลักจรรยาบรรณของวิชาชีพครสู ู่การปฏิบัติการสอนในชั้นเรียนของผู้เตรียมเข้าสู่วชิ าชีพครู โดยมี ครปู ระจาการเป็นผนู้ าและกากบั ดูแลเปน็ แบบอย่าง 4. ผลผลิต (Output) 1. กลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มได้นาหลักการออกแบบกิจกรรม 3 ประการ ได้แก่ 1) จรรยาบรรณวิชาชีพ 2) หลักการชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ และ 3) การปฏิบัติการผ่านระบบ สารสนเทศ มาบูรณาการร่วมกันในการเรียนการสอน การปฏิบัติตนตามหลักการออกแบบกิจกรรม อย่างมคี ุณภาพตามวตั ถุประสงค์ที่กาหนด 2. กล่มุ เป้าหมายทกุ กลุ่มไดน้ วัตกรรม คูม่ อื การพัฒนารูปแบบการจดั กิจกรรมสง่ เสริม กระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ เพื่อพฒั นาจรรยาบรรณวิชาชีพครูผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ แผนการเรียนรูปแบบการจัดกิจกรรมส่งเสริมกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ เพื่อพัฒนา จรรยาบรรณวชิ าชีพครูผ่านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และงานวิจัยท่ีเกยี่ วกับการพัฒนารปู แบบการ จัดกิจกรรมส่งเสริมกระบวนการชุมชนแห่งการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาจรรยาบรรณวิชาชีพครูผ่านระบบ เทคโนโลยสี ารสนเทศ 3. ทุกโรงเรียนเกิดการสร้างทมี ชมุ ชนการเรียนรู้ทางวิชาชพี (Professional Learning Community: PLC) ในการพฒั นาคณุ ภาพการจัดการศึกษาทุกกล่มุ สาระการเรียนรู้ 4. ผู้เรียนได้เรียนรู้และมีความสุข มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้สูงข้ึนจากการมี แบบอย่างที่ดขี อง ครูผูส้ อน 5. ผลลัพธ์ (Outcome) ผเู้ รยี น 1) นักเรียนเกิดการเรียนรู้ในประเด็นท่ีกาหนด และเกิดผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวัง สดุ ท้าย (Learning Outcome) และเป็นไปตามเป้าหมายการเรียนรู้ 2) นักเรยี นสามารถบรรลเุ ป้าหมายการเรียนรู้จากการเรียนกบั ครผู สู้ อน 3) นักเรียนได้เรียนรู้หลากหลายแนวคิด อาทิเช่น การเรียนรแู้ บบใช้โครงงานเป็น ฐาน (Project-Based Learning) และวิธีสอนแบบอื่น ๆ เข่น PBL ,Active Learning ,Creative Thinking Learning เป็นตน้ 4) นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติงานจากแบบอย่างที่ดีของครูผู้สอนผ่านกระบวนการ E- PLC รว่ มกบั การพัฒนาชมุ ชนวชิ าชพี อยา่ งมีคณุ ภาพ 6. ผู้เตรียมเข้าสู่วิชาชพี ครู ก. ครผู ู้สอน (Model teacher) 1) ครผู ู้สอนได้พฒั นาด้านความรู้ความเขา้ ใจในจรรยาบรรณวิชาชีพครูผา่ นระบวน การ E-PLC
81 2) ครูผู้สอนได้พัฒนาการจัดการเรียนรู้ตามจรรยาบรรณต่อผู้รับบริการให้กับ นักเรยี น โดยไดแ้ สดงออกถึงความพยายาม ความเมตตา การเอาใจใส่ ช่วยเหลือ สง่ เสรมิ สนับสนนุ ให้ นกั เรียนไดเ้ รียนรูเ้ พิ่มเติม 3) ครูผู้สอนได้แสดงออกในความพยายามพัฒนาศักยภาพของนักเรียนแต่ละคน อย่างเตม็ ความสามารถ 4) ครูผู้สอนได้แนวทางในการพัฒนาจุดเด่นและจุดในการพัฒนาพัฒนา จรรยาบรรณต่อผรู้ บั บริการ และพัฒนาตนเองในการจัดการเรียนรู้ 5) ครูผู้สอนได้แนวทางในการพัฒนาตนเองในการจัดการเรียนรู้ส่งผลต่อการ พฒั นาคณุ ภาพในการเปน็ ครูมอื อาชีพในศตวรรษที่ 21 6) ครูผู้สอนเกิดการเรียนรู้ในการสรุปภาพรวมการสะท้อนผล สะท้อนความคิด ตามกระบวนการ E-PLC ส่งผลต่อการทาวจิ ยั เกยี่ วกบั เรือ่ งนี้ และได้รายงานการวจิ ยั ในทส่ี ุดต่อไป 7) ครูผู้สอนได้รับประสบการณ์การบูรณาการหลักจรรยาบรรณทางวิชาชีพครูสู่ การปฏบิ ัติการสอนในชั้นเรียนโดยมีครูประจาการเป็นผ้นู าและกากับดแู ลเป็นตวั อย่างทีด่ ี ข. ผปู้ ระกอบวชิ าชพี ทางการศกึ ษา (Administrator) 1) ได้มีส่วนร่วมในการสะท้อนผลภายใต้หลักการแห่งวิชาชีพครูอย่างสุนทรีย สนทนาแบบกลั ยาณมติ ร เกดิ ประโยชนต์ อ่ วงวชิ าชีพตอ่ ไป 2) ได้รบั การสง่ เสริมและพัฒนาตนเองและครูผเู้ ตรยี มเข้าส่วู ิชาชพี ครดู ้านคุณธรรม และจรรยาบรรณของวิชาชีพครู และสามารถนาไปใชป้ ฏิบัตใิ นวถิ ีชีวติ ประจาวันได้อยา่ งเปน็ รูปธรรม 3) ไดม้ สี ่วนร่วมในการพฒั นาความร้คู วามสามารถ และสรา้ งจติ วญิ ญาณความเป็น ครอู ันจะสง่ ผลต่อการพฒั นาเยาวชนไทยให้เป็นคนไทยที่มคี ุณภาพ ค. ครูพีเ่ ลี้ยง (ครูประจาการทีม่ ีประสบการณ์ Mentor) 1) ได้รับโอกาสดี และมีส่วนร่วมในการพัฒนาการฝึกประสบการณ์วิชาชีพให้กับ นักศึกษาครูท่ีออกฝึกประสบการณ์วิชาชีพในโรงเรียนในฐานะครูพ่ีเล้ียงบนพ้ืนฐานความคิด “การ เรยี นรู้จากตวั แบบโดยมี ครพู ่ีเลยี้ งเปน็ ตวั อย่างทด่ี ี” 2) สามารถปฏิบัติงานตามกระบวนการ E-PLC พัฒนาสู่การวิจัยในชั้นเรียน และ ทาแผนพฒั นารายบคุ คล (Individual Development Plan) ง. ครูผูช้ ว่ ย (Assistant Teacher) 1) ไดเ้ กิดการเรียนรจู้ ากครตู ้นแบบ ครพู เ่ี ลย้ี ง ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดี 2) สามารถปฏิบัติงานตามกระบวนการ E-PLC พัฒนาสู่การวิจัยในช้ันเรียน และ ทาแผนพฒั นา รายบคุ คล (Individual Development Plan) สรุปผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ได้แก่ ครูพ่ีเลี้ยง ครูผู้ช่วยนักศึกษาครู อาจารย์นิเทศ ผู้บริหาร โรงเรียนและผู้เกี่ยวเก่ียวข้องคนอ่ืน ๆ ท้ังหมด ได้มีส่วนร่วมในการนากระบวนการ E-PLC มาเป็น กระบวนการทางานรว่ มกนั โดยมีเป้าหมายการพัฒนาทั้งทกั ษะการจัดการเรยี นการสอนบูรณาการกับ
82 การประพฤติปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณทางวชิ าชีพ โดยการเรียนรู้จากครูพี่เลี้ยงและอาจารย์นิเทศท่ี เป็นแบบอย่างท่ีดี (Role Model) และเกิดทีมชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community: PLC) ท่ีเข้มแข็งมีพลังในการขับเคล่ือนมาตรฐานและคุณภาพการจัดการศึกษาให้กับ นกั เรยี นและเยาวชนไทยในทีส่ ุด 7. ผลกระทบ (Impact) ก. ผ้เู รยี น 1) นักเรยี นไดเ้ รียนรู้ในประเดน็ ท่กี าหนด ทาใหเ้ กดิ ผลการเรียนร้ทู ่ีคาดหวังสุดท้าย (Learning Outcome) และเป็นไปตามเปา้ หมายการเรียนรู้จากการเรยี นกบั ครูผ้สู อน 2) นักเรียนได้เรียนรู้และฝึกปฏิบัติตามรูปแบบวิธีสอนแบบใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning) ,PBL ,Active Learning ,Creative Thinking Learning และอื่น ๆ เป็น ต้น 3) นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติงานปฏิบัติตนจากแบบอย่างที่ดีของครูผู้สอนผ่าน กระบวนการ E-PLC รว่ มกบั การพฒั นาชมุ ชนวิชาชพี อยา่ งมีคณุ ภาพ ข. ผูเ้ ตรียมเขา้ สวู่ ชิ าชพี ครู ครูผสู้ อน (Model teacher) 1) ครูผู้สอนไดค้ วามร้คู วามเขา้ ใจในจรรยาบรรณวชิ าชีพครูผ่านระบวนการ E-PLC สูงข้ึน 2) ครูผู้สอนได้พัฒนาตนเองในด้านการจัดการเรียนรู้ตามจรรยาบรรณต่อ ผู้รับบริการให้กับนักเรียน โดยได้แสดงออกถึงความพยายาม ความเมตตา การเอาใจใส่ ช่วยเหลือ สง่ เสริม สนบั สนนุ ใหน้ กั เรียนได้เรยี นรเู้ พิ่มเตมิ 3) ครูผู้สอนเกิดความภาคภูมิใจในความสาเร็จจากความพยายามพัฒนาศักยภาพ ของนกั เรยี นแต่ละคนอย่างเต็มความสามารถ 4) ครูผู้สอนสามารถสรุปแนวทางในการพัฒนาจุดเด่นและจุดในการพัฒนาพฒั นา จรรยาบรรณตอ่ ผรู้ ับบริการ และพัฒนาตนเองในการจัดการเรยี นรู้ จนสามารถทาเป็นงานวิจยั ได้ 5) ครูผู้สอนพัฒนาตนเองในการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการท่ีหลากหลายส่งผลต่อ การพฒั นาคณุ ภาพในการเป็นครมู อื อาชีพในศตวรรษท่ี 21 6) ครูผู้สอนสามารถสรุปภาพรวมการสะท้อนผล สะท้อนความคิดตาม กระบวนการ E-PLC ส่งผลตอ่ การทาวิจยั เก่ียวกบั เรื่องน้ี และสามารถจดั ทาเปน็ รายงานการวจิ ยั ในที่สุด ต่อไป 7) ครูผู้สอนสามารถบูรณาการหลักจรรยาบรรณทางวิชาชีพครูสู่การปฏิบัติการ สอนในชน้ั เรยี นโดยมีครูประจาการเป็นผนู้ าและกากับดูแลเป็นตวั อย่างทด่ี ีได้ ค. ผู้ประกอบวชิ าชพี ทางการศกึ ษา (Administrator) 1) สามารถสะท้อนผลภายใต้หลักการแห่งวิชาชีพครูอย่างสุนทรียสนทนาแบบ กลั ยาณมติ ร เกิดประโยชน์ตอ่ วงวิชาชพี ตอ่ ไป
83 2) สามารถส่งเสริมและพัฒนาตนเองและครผู ู้เตรยี มเข้าสู่วิชาชีพครูด้านคุณธรรม และจรรยาบรรณของวชิ าชีพครู และสามารถนาไปใชป้ ฏิบตั ิในวถิ ีชีวิตประจาวนั ได้อย่างเปน็ รปู ธรรม 3) สามารถพัฒนาความรู้ ประสบการณ์ และสร้างจิตวิญญาณความเป็นครูอันจะ สง่ ผลตอ่ การพฒั นาเยาวชนไทยใหเ้ ปน็ คนไทยท่มี คี ณุ ภาพต่อไป ง. ครพู ี่เลย้ี ง (ครปู ระจาการท่มี ปี ระสบการณ์ Mentor) 1) ได้รับโอกาสในการมีส่วนร่วมในการพัฒนาการฝึกประสบการณ์วิชาชีพให้กับ นักศึกษาครูที่ออกฝึกประสบการณ์วิชาชีพในโรงเรียนในฐานะครูพ่ีเล้ียงบนพ้ืนฐานความคิด “การ เรียนร้จู ากตัวแบบโดยมี ครูพี่เลยี้ งเปน็ ตวั อย่างท่ีดี” อย่างมคี ุณภาพ 2) เป็นตัวอย่างท่ีดีในการปฏิบัติงานตามกระบวนการ E-PLC พัฒนาสู่การวิจัยใน ชั้นเรียน และ ทาแผนพัฒนารายบุคคล (Individual Development Plan) สาหรับตนเองและเพ่ือน รว่ มวิชาชพี จ. ครูผู้ช่วย (Assistant Teacher) 1) มโี อกาสในการเรยี นรูจ้ ากครตู ้นแบบ ครพู เ่ี ลยี้ ง ซึ่งเปน็ แบบอย่างทด่ี ี 2) ได้แนวทางปฏิบัติงานตามกระบวนการ E-PLC พัฒนาสู่การวิจัยในช้ันเรียน และทาแผนพฒั นารายบุคคล (Individual Development Plan) สรุปผลกระทบต่อผู้เก่ียวข้องท้ังหมด ได้แก่ ครูพี่เลี้ยง ครูผู้ช่วยนักศึกษาครู อาจารย์ นิเทศ ผู้บริหารโรงเรียนและผู้เก่ียวเก่ียวข้องคนอื่น ๆ ท้ังหมด ได้มีส่วนร่วมในการนากระบวนการ E- PLC มาเปน็ กระบวนการทางานร่วมกัน สง่ ผลโดยตรงต่อการพัฒนาท้ังทกั ษะการจัดการเรียนการสอน บูรณาการกับการประพฤติปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณทางวิชาชีพ โดยการเรียนรู้จากครูพี่เล้ียงและ อาจารย์นิเทศที่เป็นแบบอย่างที่ดี (Role Model) และเกิดทีมชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community: PLC) ทเ่ี ขม้ แข็งมพี ลังในการขับเคลื่อนมาตรฐานและคุณภาพ การจัดการศึกษาให้กับนักเรยี นและเยาวชนไทยในทีส่ ุด 2.8 บริบทของสถานศึกษา 2.8.1 ทตี่ ง้ั เลขที่ 113 หมู่ 2 ตาบลหนองนา้ ใส อาเภอบ้านไผ่ จงั หวัดขอนแกน่ รหัสไปรษณีย์ 40110 โทร 0-4327-2129 โทรสาร. 0-4327-2129 ตอ่ 490 E-mail : [email protected] 2.8.2 ประวัตสิ ถานศึกษา ปี 2538 คณะกรรมการสภาตาบลหนองน้าใส อาเภอบ้านไผ่ ได้มีมติยกที่ดินให้กรม อาชวี ศึกษา เมือ่ วนั ท่ี 3 มนี าคม 2538 9 กรกฎาคม 2539 ประกาศจดั ตงั้ วทิ ยาลัยการอาชีพบา้ นไผ่ ปี 2539 กองการศกึ ษาอาชีพ กรมอาชวี ศกึ ษา กระทรวงศึกษาธกิ าร เสนอโครงการการขอใช้ ที่ดนิ เพือ่ จัดตั้งวิทยาลัยการอาชพี บ้านไผ่จังหวัดขอนแก่นโดยได้รับการสนบั สนนุ จากส.ส.น.พ.เปรมศักด์ิ
84 เพียยรุ ะ และคหบดอี าเภอบา้ นไผ่ นาโดย ดร.ยิง่ ยง สวัสดพ์ิ าณิชย์ โดยใชง้ บประมาณเหลือจ่ายในการ จดั ตง้ั 20 ธันวาคม 2540 กระทรวงมหาดไทยอนุมัติให้กรมอาชีวศึกษา(เดิม) ใช้ที่ดิน สาธารณประโยชน์ เลขทด่ี นิ 179 หมู่ 2 ตาบลหนองนา้ ใส อาเภอบ้านไผ่ เนอื้ ที่ประมาณ 99 ไร่ 2 งาน 33 ตารางวา เพื่อจัดต้งั วิทยาลัยการอาชพี บ้านไผ่ ปี 2541 สภาองค์การบริหารส่วนตาบลหนองน้าใส อนุมัติให้วิทยาลัยการอาชีพบ้านไผ่ลด การใช้พน้ื ทลี่ งเหลือ เนื้อทป่ี ระมาณ 72 ไร่ 1 งาน ซ่งึ เนื้อทท่ี ่ีเหลือใหใ้ ช้เป็นทด่ี ินราษฎรใชร้ ว่ มกัน ปี 2550 วิทยาลัยการอาชีพบ้านไผ่ได้ย่ืนคาขอรังวัดเพ่ือถอนสภาพและขอใช้ที่ดิน สาธารณประโยชน์หนงั สือสาคัญสาหรับที่ทางหลวงเลขที่ 2062 แปลงป่าชา้ สาธารณประโยชน์ ผลการ รังวัดตามหลักฐานหนังสือสาคัญสาหรับท่ีทางหลวงที่ดินสาธารณประโยชน์เดิมเน้ือท่ี 99 ไร่ 2งาน 33 ตารางวา เน้อื ทที่ ่ขี อใชแ้ ละขอถอนสภาพได้เนอ้ื ท่ี 71 ไร่ 3 งาน 14 ตารางวา ปัจจุบันวิทยาลัยการอาชีพบ้านไผ่ สังกัดสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ต้งั อย่เู ลขที่ 113 หมู่ 2 ตาบลหนองนา้ ใส อาเภอบ้านไผ่ จงั หวดั ขอนแก่นมีเนอื้ ทีร่ วม 71 ไร่ 3 งาน 14 ตารางวา 2.8.3 ตราสญั ลกั ษณ์ 2.8.4 สปี ระจาวทิ ยาลัย “สเี หลือง” เป็นสีประจาวิทยาลัยการอาชีพบา้ นไผ่ หมายถงึ ความสวา่ ง ปัญญา 2.8.5 ปรัชญา/อตั ลกั ษณ/์ เอกลักษณ์ ปรัชญา สรา้ งสมั พนั ธ์ มั่นคณุ ธรรม หมน่ั ศึกษา เพ่อื พัฒนาสังคม อัตลักษณ์ ของนักเรียน นักศึกษา ผู้เรียนมสี ัมมาคารวะ อัตลักษณ์ของสถานศกึ ษา วิทยาลยั เฉพาะทางดา้ นการรถไฟและความรว่ มมือไทย-จนี เอกลักษณ์ สถานศึกษาร่มร่ืน
85 2.8.6 วสิ ยั ทัศน์ ผลติ และพฒั นากาลังคนอาชีวศึกษา ท่ีมีคณุ ภาพได้มาตรฐานด้านวชิ าชพี โดยนาเทคโนโลยี มาใชใ้ นการจัดการศึกษา รองรับอุตสาหกรรมของประเทศ 2.8.7 พนั ธกิจ 1. จัดการศึกษาและพฒั นา สง่ เสรมิ ฝึกอบรมด้านวิชาชพี ใหไ้ ดม้ าตรฐานเพอ่ื ยกระดับ คณุ ภาพกาลงั คนอาชีวศกึ ษา 2. ส่งเสริมสนับสนุนโดยใช้กระบวน STEM มาบรู ณาการจัดการ 3. ส่งเสรมิ สนบั สนุน วจิ ยั สรา้ งนวัตกรรมและเทคโนโลยสี มัยใหม่ จัดการองคค์ วามรู้เพื่อ การพฒั นาอาชีพ 4. บรกิ ารวิชาการและวชิ าชพี โดยนอ้ มนาหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสชู่ ุมชน 2.8.8 การจดั การศกึ ษา เปิดจดั การเรยี นการสอนระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพ และประกาศนยี บตั รวชิ าชีพช้นั สูง ดงั นี้ ระดับประกาศนยี บตั รวิชาชพี ระดับประกาศนยี บัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขางานยานยนต์ สาขางานเทคนิคยานยนต์ สาขางานไฟฟ้ากาลงั สาขางานเทคนคิ ซอ่ มตัวถงั และสรี ถยนต์ สาขางานอิเล็กทรอนิกส์ สาขางานเทคโนโลยยี านยนตไ์ ฟฟา้ สาขางานชา่ งกลโรงงาน สาขางานเทคนคิ ควบคมุ และซ่อมบารงุ ระบบ ขนสง่ ทางราง สาขางานจักรยานยนต์ สาขางานไฟฟ้ากาลงั สาขางานการบัญชี สาขางานเทคนคิ การผลิต สาขางานคอมพวิ เตอร์ธุรกิจ สาขางานอิเลก็ ทรอนิกสอ์ ุตสาหกรรม สาขางานอาหารและโภชนาการ สาขางานการบัญชี สาขางานธรุ กจิ ดจิ ิทัล สาขางานเทคโนโลยีสารสนเทศ 2.9 งานวิจัยท่เี ก่ียวขอ้ ง จากการศกึ ษางานวจิ ยั ทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับการจดั การเรียนร้แู บบร่วมมอื ด้วยเทคนิค STAD รว่ มกับ เทคนคิ KWDL พบงานวจิ ยั ทน่ี ่าสนใจ ดงั นี้ 2.9.1 งานวจิ ยั ในประเทศ นพนภา อ๊อกด้วง (2547) ได้ศึกษาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนเร่ือง
86 คาและหน้าที่ของคาในภาษาไทยของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา ปีท่ี 2 วิชาโปรแกรมตารางงาน ที่ได้รับการสอนโดยการเรียนแบบ ร่วมมือ แบบเทคนิค STAD กับการสอนแบบปก ติ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนศาลาตึกวิทยา อาเภอกาแพงแสน จังหวดั นครปฐม ทีก่ าลงั ศึกษาในภาค เรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2547 จานวน 48 คน จาก 2 ห้องเรียน ห้องเรียนละ 24 คน ผลการวิจัย พบว่า ผลสัมฤทธ ์ิทางการเรียนเรื่อง คาและหน้าท่ีของคาในภาษาไทยของนกั เรยี นท่ีได้รับการสอนโดย การเรียนแบบร่วมมือเทคนิค STAD กับนักเรียนท่ีได้รับการสอนแบบปกติ แตกต่างกันอย่างมี นัยสาคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 โดยกลุ่ม ที่ได้รับการสอนโดยการเรียนแบบร่วมมือกับเทคนิค STAD สูงกว่ากลุ่มท่ีได้รับการสอนแบบปกติ นักเรยี นมคี วามพอใจต่อการเรยี นแบบรว่ มมือกนั แบบเทคนคิ STAD ในระดับมากทสี่ ดุ บุญนา เที่ยงดี (2548) ได้ศึกษาการเปรียบเทียบความสมารถในการคิดวิเคราะห์ และผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ เรื่อง ร่างกายมนุษย์ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6 ระหว่างการเรียนรู้โดยใช้กลุ่มร่วมมือแบบ STAD กับการใช้กระบวนการสืบเสาะ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2548 โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาคม อาเภอ เมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ จานวน 80 คน ผลการวิจัย พบว่าการเรียนรู้โดยใช้กลุ่มร่วมมือแบบ STAD มีคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนท่ีเรียนรู้ โดยกระบวนการสืบเสาะ พนชั กร หอมเฮา้ (2556) ไดศ้ ึกษาการพฒั นากจิ กรรมการเรยี นรคู้ ณิตศาสตร์ เรื่อง อัตราสว่ น และรอ้ ยละโดยใชก้ ารเรียนรปู แบบรว่ มมือรปู แบบ STAD ร่วมกบั เทคนิค KWDL สาหรับ นักเรยี นระดบั ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีท่ี2 ผลการศึกษาพบว่า 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบ STAD ร่วมกับเทคนิค KWDL เร่ือง อัตราส่วนและร้อย ละ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันปีท่ี 2 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์76.92/76.59 ซ่ึงสูงกว่า เกณฑ์ 75/75 ที่ต้ังไว้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางเรียนของนกั เรียนทเ่ี รียนด้วยกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้ การเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบ STAD ร่วมกับเทคนิค KWDL เรื่องอัตราส่วนและร้อยละ หลังเรียนสูง กวา่ กอ่ นเรยี น อย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ิท่ีระดับ .01 3) ความสามารถในการแก้ปญั หาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนท่ีเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องอัตราส่วนและร้อยละโดยใช้การ เรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบ STAD ร่วมกับเทคนิค KWDL หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติท่ีระดับ .01 4) พฤติกรรมการทางานกลุ่มของนักเรียนที่เรียนด้วยการเรียนรู้แบบร่วมมือ รูปแบบ STAD ร่วมกับเทคนิค KWDL เรื่องอัตราส่วนและร้อยละ อยู่ในระดับสูงมาก 5) นักเรียนมี ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบ STAD ร่วมกับเทคนิค KWDL เร่ืองอัตราส่วน และร้อยละ อยู่ใน ระดับ มากท่สี ุด ศิรสิทธ จาปาขาว (2549) ไดศ้ ึกษาการพฒั นาระบบการเรียนแบบมสี ่วนรว่ ม แบบ STAD บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต วิชาการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ กลุ่มตัวอย่างเป็น นักศึกษา ระดบั ปริญญาตรี สาขาวิชาเทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ สถาบนั เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ พระ นครเหนือ
87 ธนวรรณ พรหมมา (2550) ได้ศึกษาผลการสอนโดยใช้การเรียนแบบร่วมมือท่ีม่ีผล ตอ่ ความเข้าใจในการอ่อน และเจตคติตอ่ วชิ าภาษาไทยของนักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 กลมุ่ ตัวอย่างจานวน 2 กลมุ่ กลุม่ ทดลองจานวน 20 คน กลุม่ ควบคุมจานวน 16 คน จากโรงเรยี นบ่อยาง วทิ ยา อาเภอสว่างอารมณ์ จงั หวัดอุทัยธานี ปกี ารศึกษา 2550 ผลการวจิ ัยพบว่า นักเรยี นกลมุ่ ทดลองทเี่ รยี นรดู้ ว้ ยวธิ กี ารสอนแบบรว่ มมอื มีความเข้าใจในการอ่านภาษาไทย หลงั เรยี นสูงกว่าก่อน เรยี นอย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ิระดบั .05 นฤมล นาดสูงเนิน (2552) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชา บัญชีเบ้ืองด้น 1 เร่ืองสินทรัพย์หนี้สิน ส่วนของเจ้าของ (ทุน) ระดับประกาศนีย บัตรวิชาชีพปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือ STAD ผลการศึกษาค้นคว้าปรากฏ ดังนี้ 1) ประสิทธิภาพ แผนการเรยี นรู้ โดยใชร้ ูปแบบการเรียนรู้แบบกลุ่มรว่ มมือ STAD เรอ่ื ง สินทรพั ย์หนสี้ นิ ส่วนของ เจ้าของ(ทุน) แสดงวา่ แผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้พฒั นาขึ้นมีประสทิ ธิภาพ 85.67/79.24 ซง่ึ สูง กวา่ 75/75 ทกี่ าหนดไว้ 2) ดัชนีประสิทธิผลของแผนการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการเรียนรู้แบบกลุ่ม ร่วมมือ STAD เรื่อง สิ น ท รั พ ย์ ห นี้ สิ น ส่ ว น ข อ ง เ จ้ า ข อ ง ( ทุ น ) พั ฒ น า ข้ึ น มี ค่ า เ ท่ า กั บ 0 . 6 6 8 7 แ ส ด ง ว่ า ผู้เรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนคิดเป็นร้อยละ 66.87 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียน วชิ าบญั ชีเบอ้ื งดน้ 1 เร่ือง สินทรพั ย์หน้สี ิน สว่ นของเจา้ ของ (ทุน) ซงึ่ อยใู่ นระดบั สงู มาก สมสวาท โพธกฎ (2552) ไดศ้ กึ ษาผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรูด้ ว้ ยกลมุ่ ร่วมมอื แบบ STAD ก ลุ่ ม ส า ร ะ ก า ร เ รีย น รู้ศิ ล ป ะ ช้ั น มั ธ ย ม ศึ ก ษา ปี ที่ 2 ผ ล ก า ร ศึ ก ษ า ค้ น ค ว้ า ป ร า ก ฏ ดั ง น้ี 1 ) ประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ STAD กลุ่มสาระการเรียนรู้ ศิลปะ ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.52 ถึง 77.50 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ท่ีตั้งไว้ 2) ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกลุ่มรว่ มมอื แบบ STAD กลุ่ม สาระการเรียนรูศ้ ลิ ปะ ชั้นมัธยมศึกษา ปีท่ี 2 มีค่าเท่ากับ 0.6501 แสดงว่านักเรียนมีความก้าวหน้าใน การเรียนร้อยละ 65.01 3) นักเรียนที่มีเรียนด้วยแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ STAD กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 2 มีผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นหลังเรยี นเพิม่ ข้ึน จากการก่อนเรียน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ท่ีระดับ .05 4) นักเรียนที่เรียนด้วยแผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ STAD กลุ่ม สาระการเรียนรู้ศิลปะ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีเจ คติต่อการเรียนนาฏศิลป์โดยรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยอย่างยิ่ง 5) นักเรียนท่ีเรียนด้วยแผนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ STAD กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มี ความพงึ พอใจตอ่ การเรยี นด้วยการจดั กิจกรรมการเรียนรโู้ ดยรวมอยูใ่ นระดับมาก อิทธิพล เจริญเมือง (2554) ได้ศึกษาการพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนบน ระบบเครือข่าย ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD วิชาคอมพิวเตอร์กราฟฟิก ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่างบที่ใช้ในการทดลองนี้ คือ นักเรียนโรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัด จันทบุรี จานวน 40 คน ซ่ึงได้มาโดยการเลือกแบบเจาะ จง ผลการศึกษาพบว่า ประสิทธิภาพขอ ง
88 บทเรียนบทเรยี นคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนผ่านระบบเครือขา่ ย ด้วยกจิ กรรมการเรียนร้แู บบร่วมมอื เทคนิค STAD วิชาคอมพิวเตอร์กราฟฟิก ช้ันมัธยมศึกษาปีที่4 พัฒนาข้ึนมีค่าเท่ากับ 82.79/81.4 โดยมีประสิทธิภาพสูง กว่าเกณฑ์ มาตรฐานที่ต้ังไว้คือ 80/80 และผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนด้วย บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอนบนเครือข่ายด้วยกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค STAD ในภาพรวมมีค่าเฉล่ียสูงกว่า ก่อนเรยี นอย่างมีนัยสาคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดบั .01 2.9.2 งานวิจยั ที่เกีย่ วขอ้ งต่างประเทศ Zaidi (1994) ได้ศึกษาการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างการเรียน รู้แบบ ร่วมมือและการสอนปกติ วิชาคณิตศาสตร์ ระดับ 7 โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ ์ิ และกลวิธีการควบคุมตนเองระหว่างการเรียนรู้แบบร่วมมือและการสอนแบบปกติ ในวิชา คณติ ศาสตร์โดยการลุ่มนกั เรยี นจานวน 6 หอ้ ง ครู 2 คน สอนคนละ 3 ห้อง จดั กจิ กรรมการเรียน การสอน 3 แบบ คือ การสอนแบบปกติ การเรียนแบบกลุ่ม และการส่งเสริมกาเรียนรู้แบบร่วมมือ เคร่ืองมือท่ีใช้ ได้แก่ แบบทดสอบ 3 ฉบับ คือ แบบทดสอบด้านทักษะพื้นฐาน ด้านการตอบปัญหา และทักษะการคิด และการใชแ้ บบสอบถามในการวัดวธิ กี ารควบคุมตนเอง ผลการวิจยั พบวา่ วิธีสอน ทง้ั สามวธิ ใี ห้ผลแตกต่างกัน สาหรบั ผลการสอบถามเรอื่ ง การทางานกลุ่มในการวัดผลวิธกี ารควบคมุ ตนเองอยู่ในระดับคอ่ นข้างต่า Barbato. (2000) ไ ด้เปรียบเ ทีย บ ผ ล สัม ฤ ทธ ์ิท าง ก าร เรี ยน แ ละ เ จ ต คติ ต่ อ วิ ช า คณิตศาสตร์ของนักเรียนเกรด 10 ระหว่างนักเรียนที่เรียนด้วยวิธีการสอนแบบร่วมมือกัน เรียนรู้ เก่ียวกับวิธีการสอนแบบปกติ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนท่ีเรียนด้วยวิธีการสอนแบบร่วมมื อกันมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่า นักเรียนที่เรียนด้วยวิธีปกติ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ และพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ระหว่างเพศชายและเพศหญงิ ไม่แตกตา่ งกัน Jachson (2009) ได้ศึกษาผลการเรียนแบบร่วมมือ ท่ีใช้การจัดกลุ่มนักเรียน โดย ยึดเกณฑ์ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนท่ีมีผลต่อการส่งเสริมการสร้างมโนภาพสาหรับนักเรียนที่มีความเชื่อ ท่แี ตกตา่ งกัน สาหรบั การศกึ ษาครง้ั นไี้ ด้ทาการศกึ ษาคน้ ควา้ นักเรยี น จานวน 92 คน ที่เรียนอยู่เกรด ในโรงเรียนขนาดกลางท่ีไม่มีการแบ่งแยก สีผิว โดยมีการแบ่งนักเรียนเป็นทีม มีการทดสอบ นักเรียนมโนภาพกับนกั เรียนทีม่ ีความเชื่อเรอ่ื งอืน่ ๆ มากกว่า นกั เรยี นชายผวิ ดาทเี่ รียนในห้องเรียน แบบปกติ แต่การเรียนรู้แบบร่วมมือผลการสร้างมโนภาพสาหรับนักเรียนชายผิวชาว นักเรียนชายผิว ดา และนกั เรียนหญงิ ผวิ ขาว จากการศึกษางานวิจัยเก่ียวกับการจัดการเรียนรู้แบบการสอนแบบร่วมมือ แบบ STAD พบว่าการนาการจัดการเรียนการสอนรูปแบบ STAD ไปใช้ในการเรียนการสอน เป็นการสร้าง แรงจูงใจให้นักศึกษาต้ังใจเรียนและช่วยเหลือเพ่ือนสมาชิกภายในกลุ่ม โดยในกลุ่มที่ประกอบด้วย สมาขิกที่มีความสามารถท่ีแตกต่างกัน คือ เก่ง ปานกลาง อ่อน สมาขิกในกลุ่มจะทางานของตนเอง ตามที่ได้รับมอบหมาย การทาแบบทดสอบจะเป็นแบบรายบุคคล คะแนนที่ได้จากการทดสอบรายบ บุคคลนาไปรวมกับคะแนนของสมาชิกในกลุ่มของตนเองและแปลงเป็นคะแนนรวมของกลุ่ม สมาชิก
89 ทุกคคนภายในกลุ่มต้องมีการช่วยเหลือเกอื้ กูลซึ่งกันและกัน จะทาให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นใน การเรยี นและทาใหผ้ ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนสงู ข้ึน อกี ทงั้ ยงั สามารถพฒั นาทกั ษะการทางานร่วมกนั กบั ผู้อ่นื ได้ 2.10 กรอบแนวคดิ ในการศกึ ษา การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ร่วมกับเทคนิค KWDL เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน รายวิชาโปรแกรมตารางงาน เร่ือง การเรียนรู้โปรแกรม Microsoft Excel ของนักเรียนระดับ ประกาศนียบตั รวิชาชพี ชัน้ ปีที่ 2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธรุ กจิ วทิ ยาลัยการอาชีพบ้านไผ่ โดยใชร้ ูปแบบ E-PLC ซง่ึ มีรายละเอยี ด ดังภาพท่ี 2.6 ดังนี้ ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม การเรียนร้แู บบกลุ่มร่วมมือโดยใช้เทคนคิ STAD รว่ มกบั 1. ประสิทธิภาพแผนการจดั การ เทคนคิ KWDL เรยี นรู้ 1. ขั้นเตรยี มความพรอ้ ม 2. ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน 2. ขั้นนาเข้าส่บู ทเรยี น 3. ความพงึ พอใจของนักเรยี น 3. ข้ันเสนอบทเรยี น 4. จรรยาบรรณวชิ าชพี ครู 4. ขั้นฝึกทักษะโดยใชเ้ ทคนิค ขน้ั ที่ 1 K (What we know) นกั เรียนรอู้ ะไรบา้ งในเรอ่ื งทจี่ ะเรยี นหรอื สิง่ ท่ีโจทยบ์ อก ให้ทราบมีอะไรบา้ ง ขั้นท่ี 2 W (What we want to know) นกั เรียนหาสง่ิ ทโ่ี จทยต์ ้องการทราบหรอื สง่ิ ที่ นกั เรยี นต้องการรู้ ขัน้ ที่ 3 D (What we do to find out) นกั เรียนจะตอ้ งทาอะไรบา้ งเพอื่ หาคาตอบตามที่ โจทยต์ อ้ งการ หรือสงิ่ ทีต่ นเองต้องการรู้ ข้นั ที่ 4 L (What we learned) นักเรียนสรปุ สง่ิ ทไ่ี ดเ้ รียนรู้ 5. ขั้นทดสอบหลงั เรยี น 6. ขั้นสรุปและประเมนิ ผล ภาพท่ี 2.6 กรอบแนวคดิ การศึกษา
91 การวิจยั เชิงปฏิบตั ิการมขี น้ั ตอนการดาเนนิ งานสาคญั 8 ขนั้ ดังต่อไปนี้ วงจร ข้นั ที่ การดาเนนิ งาน P 1 ข้ันสารวจและศึกษาสภาพปัญหาท่ีเกิดขึ้นกับนักเรียนระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพ ชนั้ ปีท่ี 2 สาขางานคอมพิวเตอร์ธรุ กจิ พบวา่ นกั เรยี นมผี ลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน วิชาโปรแกรมตารางงาน เรื่อง การเรียนรู้โปรแกรม Microsoft Excel เมื่อ ทราบปัญหาจึงนาปัญหาท่ีพบมาสร้างคาถามวิจัย และกาหนดประเด็นที่ต้องการ หาคาตอบ 2 ขั้นการคน้ ควา้ และทบทวนเอกสาร ผศู้ ึกษาได้ศึกษาค้นคว้าความรู้ที่เกยี่ วข้องจาก เอกสาร หนังสือ นิตยสาร ตารา งานวิจัย วิทยานิพนธ์ วารสารทางวิชาการ ท่ี ปรากฏในห้องสมุดและแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ และสอบถามผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง แล้ว นามาพิจารณา วิเคราะห์ สังเคราะห์ เขียนสาระสาคญั หลกั การแนวคดิ ทฤษฎี 3 ขนั้ การเลือกนวตั กรรมหรือวธิ ีการแกป้ ญั หา ผู้ศกึ ษาเลอื กการจดั การเรียนรโู้ ดยใช้ แบบฝกึ ทกั ษะ โดยมกี ารวดั ผลก่อนเรียนและหลงั เรยี น ประเมินความพงึ พอใจต่อ การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ 4 ขน้ั การออกแบบและพฒั นานวตั กรรมหรอื วิธกี ารแก้ปัญหา นวัตกรรมทีผ่ ศู้ ึกษา เลอื กใช้ในการพัฒนาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวชิ า โปรแกรมตารางงาน เรอื่ ง การ เรียนรู้โปรแกรม Microsoft Excel คอื การจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้แบบฝึกทกั ษะ ซงึ่ มีท้งั หมด 3 ขนั้ ตอน ดังต่อไปนี้ 1. ข้นั นา 1.1 แจง้ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ เนื้อหาสาระที่จะเรียนรู้ 1.2 ทบทวนความรูเ้ ดมิ และกล่าวเข้าสู่บทเรียน 2. ขัน้ สอน 2.1 แนะนาส่อื การเรียนรู้ 2.2 นักเรียนเรยี นรโู้ ดยใช้แบบฝกึ ทักษะ 3. ขั้นสรปุ 3.1 ผู้สอนและผเู้ รยี นร่วมกันสรุปผลทเี่ กิดจากการทาแบบฝึก ทักษะ 5 ขั้นการออกแบบการวิจยั หลังจากทีผ่ ู้ศกึ ษาได้เลือกนวัตกรรม คอื การสอนแบบ สาธิตผู้ศกึ ษาไดอ้ อกแบบการวจิ ยั โดยใช้ วิจัยกลมุ่ เดยี วมีการวัดก่อน - หลัง เปรียบเทยี บความแตกต่างระหวา่ ค่าเฉล่ยี ของการวดั ทง้ั 2 ครัง้ โดยใชก้ ารทดสอบ ด้วยสถิตซิ ี (Z-test) หรือ (T-test)
92 O1 X O2 เม่อื O1 คอื การวดั ครัง้ ท่ี 1 หรอื วดั ก่อนเรียน O2คอื การวัดครง้ั ที่ 2 หรอื วดั หลังเรียน X คือ การให้นวตั กรรมหรือวิธีการแกป้ ัญหาแกก่ ลุ่มทดลองโดยผู้สอน A 6 ข้ันการปฏิบัติการใช้นวัตกรรมหรือวิธีการแก้ปัญหาท่ีพัฒนา ผู้ศึกษาได้สร้าง แผนการจดั การเรียนร้แู บบฝึกทกั ษะ ทั้งหมด 3 แผน แผนละ 4 ชว่ั โมงดังต่อไปนี้ การปอ้ นและการจดั เก็บข้อมูล การแก้ไขและตกแต่งขอ้ มูล การสรา้ งตารางข้อมูล เสนอตอ่ ผู้เชย่ี วชาญเพ่ือประเมนิ แผนการจดั การเรียนรู้ด้วยแบบประเมนิ ที่ผู้ศึกษา ค้นควา้ สร้างขึ้นผเู้ ชยี่ วชาญ O 7 ขั้นการพิจารณาและรวบรวมผลการปฏิบัติการใช้ ผู้ศึกษาได้เก็บรวบรวมข้อมูล ก่อนเรียนและหลังเรียน ระหว่างเรียน และ การประเมินความพึงพอใจ จากการ จัดการเรียนรู้แบบฝึกทักษะ เรื่อง การเรียนรู้โปรแกรม Microsoft Excel ของนักเรยี นระดับประกาศนยี บัตรวิชาชีพ ชั้นปีท่ี 2 สาขางานคอมพิวเตอรธ์ ุรกจิ เพื่อนามาวเิ คราะหข์ อ้ มูลโดยใช้สถิติ ทกี่ าหนดไว้ R 8 ข้นั การสรุปและเขียนรายงานการวจิ ยั ในช้นั เรยี น ผูศ้ กึ ษาได้เลอื กการวจิ ยั แบบ เป็นทางการในการรายงานและสรุปผล เป็นการนาเสนอวิจัย 5 บท ในลกั ษณะ ของงานวจิ ยั ท่ีเปน็ แบบแผน มีรปู แบบดังต่อไปน้ี บทที่ 1 บทนา 1.1 ความเป็นมาและความสาคัญ 1.2 คาถามการศึกษา 1.3 วตั ถุประสงคก์ ารศึกษา 1.4 สมมติฐานการศกึ ษา 1.5 ขอบเขตการศึกษา 1.6 นิยามศัพทเ์ ฉพาะ 1.7 ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะไดร้ บั บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยทเี่ กี่ยวข้อง 2.1 หลกั สตู รประกาศนยี บตั รวิชาชีพพทุ ธศักราช 2562 2.2 ประเภทวิชาพาณชิ ยกรรม ประเภทวิชาพาณชิ ยกรรม สาขาวิชาคอมพิวเตอรธ์ ุรกจิ 2.3 การจดั การเรียนรแู้ บบรว่ มมือ เทคนคิ STAD 2.4 การจดั การเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื เทคนคิ KWDL
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111