Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กลุ่มเครื่องสาย410

กลุ่มเครื่องสาย410

Published by suapa12456, 2021-02-24 03:28:58

Description: กลุ่มเครื่องสาย410

Search

Read the Text Version

เ ค รื อ ง ส า ย

ความเปนมา เ ค รื อ ง ส า ย ( S T R I N G I N S T R U M E N T ) เปนการจดั ประเภทของเครอื งดนตรสี ากล โดยเครอื งดนตรี สากลประเภทเครอื งสายนี หมายถึง เครอื งดนตรที ีทําใหเ้ กิด เสยี งโดยการสนั สะเทือนของสายลวด เชอื ก เอ็น หรอื ไนลอน และมตี ัวกําธรเสยี ง ทําหน้าทีขยายเสยี งใหด้ ังมากขนึ คณุ ภาพของเสยี งขนึ อยูก่ ับรูปรา่ ง และวตั ถทุ ีใชท้ ํา การสนั สะเทือนของสายอาจทําได้โดยการสี หรอื ดีดโดยอาจกระทํา โดยตรง หรอื เพมิ กลไกใหย้ ุง่ ยากขนึ เครอื งสายทีพบเหน็ ใน ปจจุบนั นิยมใชว้ ธิ ที ําใหเ้ กิดเสยี งได้ 2 วธิ ี คือ วธิ สี ี และวธิ ี ดีด

เ ค รื อ ง ส า ย ป ร ะ เ ภ ท ใ ช้ คั น สี

ไวโอลิน (Violin) ไวโอลิน เปนเครอื งดนตรที ีทําใหเ้ กิดเสยี งระดบั เสยี งสงู ใน กล่มุ เครอื งดนตรคี ลาสสกิ ประเภทเครอื งสาย (String instruments) ประกอบดว้ ยสาย 4 สาย แต่ละสายเทียบ เสยี งหา่ งกันคู่ 5 เพอรเ์ ฟค คือ เสยี ง G-D-A-E ซงึ มตี ้น กําเนดิ มาจากโลกตะวนั ตก เปนเครอื งดนตรตี ระกลู ไวโอลิน ทีเล็กทีสดุ อันประกอบไปดว้ ย ไวโอลิน วโิ อลา เชลโล และ ดบั เบลิ เบส เมอื นาํ ทังหมดมาเล่นรว่ มกันแล้วจะเรยี กวา่ วง เครอื งสาย(string) ซงึ เปนตระกลู เครอื งดนตรหี ลักของ วง ออรเ์ คสตรา

โครงสรา้ งไวโอลิน ประวตั ิ ไมม่ หี ลักฐานทีแนช่ ดั ไวโอลินไดป้ รากฏขนึ เมอื ชว่ งเวลาใด แต่คาดวา่ ปรากฏขนึ ครงั แรกในประเทศอิตาลีชว่ งต้นครสิ ต์ศตวรรษที 16 ซงึ เชอื กันวา่ ผผู้ ลิตนนั ดดั แปลงมาจากเครอื งดนตรยี ุคกลาง 3 ชนดิ อันไดแ้ ก่ เรเบค (rebec) ซอเรอเน ซองซ์ (the Renaissance fiddle) และ ลีรา ดา บราชโช (lira da braccio) ซงึ เครอื งดนตรที ัง 3 ชนดิ นมี ลี ักษณะใกล้เคียงกับไวโอลิน แต่หลักฐานทีแนน่ อน ทีสดุ ก็คือ มหี นงั สอื ทีตีพมิ พเ์ กียวกับไวโอลินในป พ.ศ. 2099 (ค.ศ. 1556) แล้ว โดยไดต้ ีพมิ พท์ ีเมอื งลียง ประเทศฝรงั เศส และคาดวา่ ชว่ งนเี ปนชว่ งเวลาที ไวโอลินนา่ จะเผยแพรไ่ ปทัวทวปี ยุโรปแล้วไวโอลินทีถือวา่ เปนคันแรกของโลกถกู สรา้ งขนึ โดย อันเดร์ อมาตี (Andrea Amati) ในชว่ งครงึ ศตวรรษแรกของ ครสิ ต์ศตวรรษที 16 โดยการวา่ จา้ งของครอบครวั เมดซิ ี ซงึ ต้องการเครอื งดนตรี ประเภทเครอื งสาย ต่อมาดว้ ยคณุ ภาพทีดขี องเครอื งดนตรี พระเจา้ ชาลสท์ ี 9 แหง่ ฝรงั เศส จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯให้ อันเดร์ ประดษิ ฐไ์ วโอลินขนึ มาอีก เพอื มาเปนเครอื งดนตรบี รรเลงประเภทใหมข่ องวงออรเ์ คสตราประจาํ ของ พระองค์ และไวโอลินทีเก่าแก่สดุ และยงั ใหเ้ หน็ อยู่ คือไวโอลินที อันเดร์ ประดษิ ฐ์ ขนึ ในเมอื งเครโมนา (Cremona) ประเทศอิตาลี ซงึ ไดถ้ วายแด่ พระเจา้ ชาลสท์ ี 4 เชน่ กันตรงกับป พ.ศ. 2109 (ค.ศ. 1566)

การดแู ลรกั ษาไวโอลนิ ไมก้ ับความชนื (Wood and Water) การเดนิ ทาง (Travel) ขนสง่ (Shipping) การถือ (Carrying an instrument) ไมไ้ มส่ ามารถรกั ษาสภาพของตัวเองไดด้ นี กั เมอื ถกู ความชนื แมว้ า่ ไมจ้ ะคงรปู ไดด้ ขี นึ หลังจากทีผา่ น ถ้าเดนิ ทางโดยรถยนต์ อยา่ วางเครอื งดนตรไี วใ้ นกระโปรงท้ายรถ กระบวนการอบเปนอยา่ งดกี ็ตาม แต่ไมย้ งั คงพองหรอื เพราะเครอื งดนตรจี ะไดร้ บั ความรอ้ นมาก ทําใหไ้ ดร้ บั ความเสยี หายเมอื บวมเมอื ถกู ความชนื และหดตัวเมอื อากาศแหง้ ไมท้ ีใชท้ ํา ต้องสง่ เครอื งดนตรไี ปทางพสั ดภุ ัณฑ์ ใหค้ ลายสายออกเล็กนอ้ ยและใช้ ชนิ สว่ นบางอยา่ งของไวโอลินจะคงรปู ดกี วา่ ไมท้ ีใชท้ ํา วสั ดนุ มุ่ ๆ บุทีหยอ่ งทัง 2 ดา้ นเสยี ก่อน ควรเก็บเครอื งดนตรไี วใ้ นกล่อง เครอื งดนตรอี ืนๆ นอกจากนนั ไมท้ กุ ชนดิ จะหดตัวใน ของมนั เองเพอื ความปลอดภัย หลังจากนนั ใหห้ อ่ ในกล่องสาํ หรบั สง่ แนวขวางของลายไมม้ ากกวา่ การหดตัวตามยาวในชว่ ง ของ บุรอบๆ กล่องดว้ ยวสั ดสุ าํ หรบั หอ่ กล่องถ้าหกล้มในขณะถือเครอื ง เดอื นทีมคี วามชนื สงู ๆ ไมแ้ ผน่ หนา้ มกั จะเกิดการขยายตัว ดนตรี โดยสญั ชาตญาณของคนสว่ นใหญจ่ ะกอดกล่องไวโอลินไวข้ า้ ง มากกวา่ อาการคอไวโอลินตก ซงึ เปนสาเหตทุ ีทําใหส้ าย หนา้ เพราะคิดวา่ จะชว่ ยปองกันไมใ่ หเ้ ครอื งดนตรแี ตกหกั ได้ แต่นา่ ไวโอลินเหนอื สะพานวางนวิ ลอยสงู ขนึ การเปลียนแปลง เสยี ดายวา่ กลับทําใหเ้ ครอื งดนตรพี งั มา ควรใชก้ ล่องทีแขง็ แรงซงึ จะยดึ ของความชนื ในอากาศอาจเปนสาเหตใุ หก้ ารเล่นและการ ไวโอลินใหล้ อยอยูใ่ นกล่องเพอื ปองกันอุบตั ิเหตจุ ากการล้มควาํ หงาย ตอบสนองของเสยี งเกิดการแกวง่ ตัว และอาจทําใหเ้ กิด และพยายามหดั ถือกล่องดว้ ยมอื ทีไมถ่ นดั ใหเ้ คยชนิ เชน่ ถือดว้ ยมอื ซา้ ย ปญหาทีหนกั กวา่ นนั คือ ไมเ้ กิดการปรแิ ตกเมอื สญู เสยี ถ้าคณุ เปนคนถนดั ขวา ซงึ จะทําใหเ้ หลือมอื ขา้ งทีถนดั ไวป้ องกันตนเอง ความชนื อยา่ งรวดเรว็ กวา่ ทีมนั ดดู ซมึ เอาไวไ้ ด้ ได้

การทําความสะอาด (Cleaning) อุณหภมู ิ (Temperature) คันชกั (Bow) การเชด็ ทําความสะอาดตัวเครอื งและคันชกั ดว้ ยผา้ การเปลียนแปลงของอุณหภมู เิ ปนสาเหตุ ควรจะจบั คันชกั บรเิ วณ Frog ในขณะดงึ หางมา้ นมุ่ ๆ สะอาดๆ หลังการเล่นทกุ ครงั เปนสงิ ทีควรทําให้ ทีทําใหไ้ มเ้ กิดการขยายตัวและหดตัวเชน่ (Hair) ใหต้ ึง เพราะจะชว่ ยลดแรงกดทีเกลียวสกรทู เปนกิจวตั ร ใชเ้ ศษผา้ ชุบแอลกอฮอล์เพอื ขจดั การเกาะ เดยี วกับวตั ถอุ ืนๆ ซงึ เกิดจากปฏิกิรยิ า องเหลือง (Screw) ทีอยูข่ า้ งในโคนดา้ มคันชกั และ ตัวของยางสนบนฟงเกอรบ์ อรด์ และสายภาพแสดง ของอุณหภมู แิ ละ ความชนื ในไม้ ควรจะใช้ ชว่ ยปองกันไมใ่ หเ้ กลียวหวานไดใ้ นขณะทีคณุ เล่น การเรยี กชอื ชนิ สว่ นต่างๆของคันชกั เปนภาษาอังกฤษ กล่องไวโอลินแบบสญู ญากาศอยา่ งดี ไวโอลินนนั หางมา้ ทีอยูด่ า้ นขา้ งคันชกั ทีคณุ ลากลงมกั สงิ ทีต้องระวงั เปนพเิ ศษคือระวงั ไมใ่ หแ้ อลกอฮอล์ และอยา่ วางไวไ้ กล้รงั สคี วามรอ้ นหรอื วาง จะชาํ รดุ ไดง้ ่าย ทําใหค้ วามสมดลุ ของแรงดงึ บนคันชกั สมั ผสั กับผวิ ของวานชิ และควรจะใหผ้ เู้ ชยี วชาญตรวจ ถกู แสงแดดโดยตรง กล่องไวโอลินเกือบ เสยี ไปจนอาจทําใหค้ ันชกั งอได้ ดงั นนั พยายามเปลียน เชค็ สภาพไวโอลินเปนประจาํ ทกุ ๆ ป ชา่ งอาจจะปล่อย ทกุ ชนดิ ทีบุดว้ ยวสั ดผุ วิ ดา้ นสเี ขม้ จะมผี ล หางมา้ บอ่ ยๆ และพยายามรกั ษาหนงั หมุ้ ดา้ มคันชกั รอยคราบบางอยา่ งเอาไว้ และใชน้ าํ ยาเคลือบผวิ ทับลง ต่อการดดู ซบั แสงใหแ้ ปรเปลียนเปนความ (Pad หรอื Grip) ใหอ้ ยูใ่ นสภาพดี ถ้านวิ โปงของคณุ ไปบนคราบสกปรกโดยไมจ่ าํ เปนต้องเอาออกก็ได้ กรด รอ้ นไดม้ ากกวา่ ไปเสยี ดสกี ับดา้ มคันชกั บอ่ ยๆ จะทําใหค้ ันชกั ไดร้ บั จากผวิ หนงั ของคณุ สามารถทําลายผวิ ของวานชิ ได้ ความเสยี หายเชน่ กัน พยายามตัดเล็บใหส้ นั อยูเ่ สมอ และควรใหค้ วามเอาใจใสป่ ลายคันชกั (Tip) เปนพเิ ศษ อยา่ งชา้ ๆ ดงั นนั พยายามหลีกเลียงการสมั ผสั ผวิ ของ วานชิ การบดิ ตัวของไม้ (Distortion) ธรรมชาติของไมม้ คี วามยดื หยุน่ ในตัวเอง อาจจะค่อยๆ เปลียนรปู รา่ งไปตาม แรงทีมากระทํา ชา่ งทําไวโอลินอาศัยขอ้ ดอี ันนใี นการขนึ รปู แผน่ ไมด้ า้ นขา้ ง (Rib) หรอื การดดั ไมแ้ ต่หยอ่ งทีงอ ไมแ้ ผน่ หลังทียุบ และคอไวโอลินทีตก เปน ผลมาจากแรงกดอยา่ งต่อเนอื ง เมอื ไมเ้ รมิ บดิ ตัว มนั จะสญู เสยี ความแขง็ แรง จากรปู ทรงเดมิ อยา่ งรวดเรว็ และอาจทําใหเ้ กิดความเสยี หายหนกั ตามมา

วโิ อลา (Viola) วิโอลา เปนเครอื งดนตรใี นตระกูลเครอื งสายทีมีรูป รา่ งคล้ายไวโอลิน แต่มีขนาดทีใหญ่กว่า ตังเสียงตํา กว่าไวโอลินลงไปอีกคู่ 5 เพอรเ์ ฟค คือ C-G-D-A มีเสียงทุ้มและนุ่มนวลกว่าไวโอลิน นิยมเล่นในวง ออรเ์ คสตราและวงเครอื งสายซงึ มีต้นกําเนิดมา จากโลกตะวันตก เปนหนึงในเครอื งดนตรตี ระกูล ไวโอลิน อันประกอบไปด้วยไวโอลิน วิโอลา เชลโล และดับเบิลเบส โดยวิโอลามีระดับเสียงตํากว่า ไวโอลิน แต่สูงว่าเชลโลและดับเบิลเบส

ประวตั ิ เรอื งราวของเครอื งดนตรชี นดิ นชี า่ งคล้ายคลึงกับเทพนยิ ายเรอื งซนิ เดอเรลล่าเมอื เทียบกับเครอื งสายใน ตระกลู เดยี วกัน‘Viola ’ ในภาษาอิตาเลียนหมายถึงซอวโิ อล (Viol) ในชว่ งศตวรรษที 16 และต้นศตวรรษที 17 มกั จะพบเครอื งดนตรที ีชอื da gamba หรอื da braccio ซงึ แสดงถึงเครอื งสายทีพฒั นามาจากเครอื งดนตรี ตระกลู เดยี วกัน วโิ อล่าก็เชน่ เดยี วกับไวโอลิน ปรากฎอยูใ่ นภาพเขยี นจติ รกรรมฝาผนงั ทีวหิ าร Saronno Cathedral ซงึ เขยี นขนึ ในป ค.ศ. 1535 ต่อมาในศตวรรษที 16 วโิ อล่าไดพ้ ฒั นาตัวเองเปนเครอื งดนตรเี สยี ง Alto หรอื Tenor ในตระกลู ไวโอลิน เเมว้ า่ จะมวี โิ อล่าจาํ นวนมากทีตกทอดมาจากศตวรรษที 16 และ 17 ซงึ แสดงใหเ้ หน็ ถึงบทบาทของวโิ อล่าในฐานะเครอื งดนตรที ีเปนสว่ นเติมเต็มของท่วงทํานองเท่านนั ความถ่อมตัว ดเู หมอื นจะเปนเอกลักษณข์ องเครอื งดนตรชี นดิ นี วงเครอื งสาย 5 ชนิ และวโิ อล่าอีก 2 คัน ถือเปนสงิ แปลกใน ดนตรฝี รงั เศสยุคศตวรรษที 17 เชน่ ผลงานของ Jean-Baptisete Lully หนงึ ในคีตกวที ีหลงใหลในนาํ เสยี ง ของวโิ อล่า เเมว้ า่ จรงิ ๆ แล้วนาํ เสยี งของวโิ อล่าไมส่ ามารถเทียบความสดใสกับไวโอลินไดเ้ ลย รวมทังไมส่ ามารถ เทียบกับประโยชนข์ องเชลโลในการเล่นทํานองเสยี งเบสไดเ้ ชน่ เดยี วกัน นกั วโิ อล่าซงึ มจี าํ นวนนอ้ ยอยูแ่ ล้ว แมแ้ ต่นกั วโิ อล่าทีเชยี วชาญก็ถกู มองวา่ มที ักษะทีไมอ่ าจเทียบกับนกั ไวโอลินไดเ้ ลย เปนเพยี งนกั ดนตรมี อื ใหมท่ ี พงึ จะเรมิ ต้นเท่านนั ในสาํ นวนสมยั ใหมซ่ งึ เปรยี บเทียบวโิ อล่าไวว้ า่ “นกั เปาฮอรน์ ทีไมม่ ฟี น”งานประพนั ธอ์ อร์ เคสตรา้ ในชว่ งปลายยุคบาโรค้ และตอนต้นของยุคคลาสสคิ บทบาทของวโิ อล่าไมไ่ ดถ้ กู ละเลยเสยี ทีเดยี ว แต่มกั จะถกู ใชค้ ่กู ับไวโอลินสองในโทนเสยี งเดยี วกัน แต่โดยทัวไปแล้วจะใชเ้ ล่นแนวเสยี งเบสทีสงู กวา่ 1 ขนั ค่เู สยี ง มากกวา่ และคงใชอ้ ยูจ่ นถึงตอนต้นศตวรรษที 19 ซงึ การเพมิ วโิ อล่าเขา้ ไปในงานประพนั ธด์ นตรวี งออรเ์ คสตรา้ (Tutti) ไดก้ ลายเปนเรอื งปกติมากๆ ยงิ กวา่ นนั คีตกวไี มต่ ้องการทีจะใหค้ วามสาํ คัญใดๆ กับบทบาทของวโิ อล่า มากนกั เชน่ ในชว่ งท้ายของซมิ โฟนบี ทที 9 (ค.ศ. 1824) ในกระบวนชา้ พบวา่ บโี ธเฟนไดใ้ หว้ โิ อล่าไดเ้ ล่นค่กู ับ ไวโอลินแนวทีสองเพอื ใหม้ นั ใจวา่ จะไดจ้ งั หวะทีชา้ และสง่างามตามทีต้องการเท่านนั

เชลโล (Cello) วโิ อลอนเชลโล (Violoncello) หรอื เรยี กทัวไปวา่ เชลโล (Cello) เปนเครอื งดนตรปี ระเภทเครอื ง สาย นยิ มเล่นใน วงออรเ์ คสตราและ วงเครอื ง สาย ซงึ มตี ้นกําเนดิ มาจากโลกตะวนั ตก เปนหนงึ ในเครอื งดนตรตี ระกลู ไวโอลิน อันประกอบไป ดว้ ยไวโอลิน, วโิ อล่า, เชลโล และ ดบั เบลิ เบส เชลโลเปนเครอื งดนตรปี ระเภทเครอื งสายทีไดร้ บั ความนยิ มเชน่ เดยี วกับไวโอลิน มโี นต้ เพลงที เขยี นไวส้ าํ หรบั เชลโลโดยเฉพาะอยูห่ ลายบทเพลง แต่ไมค่ ่อยไดร้ บั ความนยิ ม[ต้องการอ้างอิง] ถึง อยา่ งไรก็ตามยงั มกี ารเล่นเชลโลกับดนตรปี ระ เภทแจส๊ บลสู ์ ปอป รอ็ ก ฯลฯ

ประวตั ิ เชลโล คือชอื ยอ่ ของ วโิ อลอนเชลโล ซงึ เปนเครอื งดนตรใี นตระกลู เครอื งสายทีมี ความโค้งมนเชน่ เดยี วกับไวโอลินและวโิ อล่า ในชว่ งเวลาทีผา่ นมา เชลโลมี พฒั นาการของรปู ทรงทีหลากหลายกวา่ จะเปนดงั เชน่ ทีเหน็ ในปจจุบนั และต้องใช้ เวลานานกวา่ จะเปนทียอมรบั ในฐานะเครอื งดนตรสี าํ หรบั การแสดงเดยี วหลายคน เชอื วา่ เชลโล มที ีมาจากคําวา่ Viol ซงึ เปนความเขา้ ใจทีผดิ เชลโลเรมิ ปรากฏขนึ ใน ครสิ ต์ศตวรรษที 16 ในยุคบาโรค จากเครอื งสายในตระกลู ไวโอลิน ในขณะที เครอื งดนตรตี ่างๆ ทีมรี ปู ทรงคล้ายไวโอลินในสมยั นนั มแี พรห่ ลายอยูแ่ ล้ว เชน่ ซอ Viol และ Rebec แต่ไวโอลินเปนตระกลู เครอื งสายทีแยกออกมาจากเครอื ง ดนตรเี หล่านนั ในชว่ งหลายศตวรรษทีผา่ นมาเชลโลมกี ารเปลียนแปลงขนาดมา โดยตลอด แต่องค์ประกอบโดยทัวไปแล้วแทบจะไมม่ กี ารเปลียนแปลงเลย Antonio Stradivari เปนชา่ งทําไวโอลินคนแรกทีกําหนดขนาดมาตรฐานของ โครงสรา้ งเชลโล เชลโลสมยั ใหมข่ นึ เชลโลในยุคก่อนๆ นนั มขี นาดความยาวประมาณ 80 ซม. ซงึ ไม่ สะดวกต่อการเล่นเท่าใดนกั จนกระทังในป ค.ศ. 1707 เขาไดป้ รบั ขนาดเชลโลให้ สนั ลงเหลือเพยี ง 75 ซม. ซงึ ทําใหเ้ ล่นไดส้ ะดวกขนึ

ดับเบิลเบส (Double bass) ดบั เบลิ เบส (Double bass) มชี อื เรยี กหลายชอื เชน่ สตรงิ เบส (String Bass) คอนทราเบส (Contra Bass) เบสวโิ อล (Bass Viol) ดบั เบลิ เบส เปนเครอื งดนตรที ีทีนยิ มเล่นใน วงออรเ์ คสตรา และ วงเครอื งสาย ซงึ มตี ้น กําเนดิ มาจากโลกตะวนั ตก เปนหนงึ ในเครอื งดนตรตี ระกลู ไวโอลิน อัน ประกอบไปดว้ ยไวโอลิน วโิ อล่า เชลโล และ ดบั เบลิ เบส มคี วามสงู มาตรฐาน ประมาณ 74 นวิ ดบั เบลิ เบสเปนเครอื งดนตรเี พยี งชนิ เดยี วทีอาจจะกล่าว ไดว้ า่ มคี วามสมั พนั ธก์ ับซอวโิ อล (Viol) อยา่ งแท้จรงิ โดยสบื ทอดมาจาก Violone ซอวโิ อลขนาดใหญ่ (Big Viol) ซงึ เล่นในชว่ งเสยี ง 16 ชว่ งเสยี ง (เสยี งของมนั จะตํากวา่ โนต้ ทีเขยี น 1 ชว่ งเสยี ง)

ประวตั ิ อยูใ่ นศตวรรษที 18 ดับเบิลเบสมกั จะถกู ใชใ้ นฐานะเครอื งดนตรี 16 ชว่ งเสียงใน วงเครอื งลม แต่ในปจจุบันดับเบิลเบสได้รบั การยอมรบั ในฐานะของวงออรเ์ คสต รา้ เครอื งลมและวงดนตรแี จส๊ วงดนตรแี จส๊ มาตรฐาน 17 ชนิ ในยุคทศวรรษที 1930 หรอื 1940 มกั จะบรรจุดับเบิลเบสเอาไวใ้ นวง นอกจากนันยงั มแี ซกโซ โฟน เปยโน กีตาร์ เบส และกลอง ปจจุบันดับเบิลเบสมกั จะบรรเลงด้วยเทคนิค Pizzicato แต่บางครงั จะใชเ้ ทคนิคการตบเบส ซงึ สายเบสจะไปกระทบกับฟง เกอรบ์ อรด์ และขยบั จากการเล่นทํานองเพียงอยา่ งเดียวไปเปนนักเดียวดับเบิล เบสของดนตรแี จส๊ ตามแบบของมนั เองนักดับเบิลเบสแจส๊ ในยุคแรกๆ เชน่ John Lindsay และ ‘Pop’ Foster หรอื ในชอื จรงิ คือ (Murphy Foster) ทังคู่ แสดงอยูใ่ นวงของ Louis Armstrong ในชว่ งทศวรรษที 1930 ส่วน Walter Page และ Charles Mingus คือนักดับเบิลเบสทีโดดเด่นในทศวรรษที 1940 และนักดับเบิลเบสรุน่ หลังๆ เชน่ Ron Carter ประสบความสาํ เรจ็ ในการใช้ Piccolo bass ขนาดเล็ก และยงั ได้เขียนตําราการเล่นดับเบิลเบสในแบบแจส๊ ขึน อีกด้วยGary Karr นักดับเบิลเบสชาวอเมรกิ ันซงึ เกิดในตระกลู นักดับเบิลเบส เขาประสบผลสาํ เรจ็ ในการเชอื มโลกดนตรคี ลาสสิกและแจส๊ เข้าด้วยกัน ในฐานะ นักดนตรวี งออรเ์ คสตรา้ เขาปรากฏตัวรว่ มกับวงดนตรแี ชมเบอรร์ ะดับโลกหลาย วง แต่ความสนใจของเขาได้ขยายไปสู่การเล่นเบสในบทเพลงรว่ มสมยั และทําให้ เขาได้รบั มอบหมายใหป้ ระพันธผ์ ลงานเพลงอีกหลายบท

เ ค รื อ ง ส า ย ป ร ะ เ ภ ท เ ค รื อ ง ดี ด

ฮารป์ (Harp) เปนเครอื งดนตรที ีมมี าตังแต่โบราณ เกิดเสยี งดว้ ย การดดี สาย มสี ายทังหมด๔๗ สาย มที ีเหยยี บ (Pedal) เพอื เปลียนบนั ไดเสยี ง ๗ อัน รปู รา่ งฮารป์ เปนโครงรปู สามเหลียมโค้งงอเสยี งของฮารป์ มี ความสดใส

ประวตั ิ ฮารป์ (harp) หรอื พณิ ฝรงั คือเครอื งดนตรปี ระเภทเครอื งสายของ ตะวนั ตกมเี สยี งเกิดขนึ จากการใชน้ ิวดีด สายเสยี งของเครอื งดนตรนี ี ปกติแล้วมี 47 สาย และทีเหยยี บเพดดัล 7 อัน เพดดัลแต่ละอันจะ ควบคมุ สายเสยี งแต่ละชุด เชน่ เพดดัล อันหนืงจะบงั คับสายเสยี ง C ทังหมดและอีกอันหนืงจะบงั คับสายเสยี ง D ทังหมด ฮารป์ เปนเครอื ง ดนตรเี ก่าแก่ชนิดหนึงทีมกี ารกล่าวถึงตังแต่ราว 3,000 ปก่อน ครสิ ตกาล ทีมาของเครอื งดนตรชี นิ นีน่าจะมาจากประเทศไอยคปุ ต์ (อียปิ ต์) เพราะตามภาพฝาผนังใต้สสุ านของประเทศไอยคปุ ต์ทีเหน็ จะ มรี ูปคนดีดพณิ ชนิดนีอยูเ่ ยอะมากฮารป์ คือเครอื งดนตรปี ระเภท เครอื งสายซงึ แตกต่างจากเครอื งสายประเภทอืนๆ คือ การขงึ ของ สายจะไมผ่ า่ นกล่องเสยี ง (Sounding Board) เหมอื นเครอื งดนตรี ชนิดอืนๆ เชน่ กีตาร,์ ไวโอลิน หรอื เปยโน โครงสาํ หรบั ขงึ สายมี ลักษณะเปนรูปสามเหลียมโค้งงอเล็กน้อยเพอื ใหเ้ กิดความสวยงาม ปกติจะเล่นด้วยการดีดทีสาย คณุ ภาพเสยี งของฮารป์ มคี วามแจม่ ใส กวา่ เสยี งของเปยโน ใชแ้ สดงความสดชนื แจม่ ใส

ลักษณะของฮารป์ 1. ฮารพ์ ขนาดใหญ่ทีมคี ันเหยยี บ (pedal harp) มี 47 สาย เรยี กกันง่ายๆ วา่ แกรนด์คอนเสริ ต์ ฮารพ์ โครงสาํ หรบั ขงึ สายมลี ักษณะเปนรูปสามเหลียม (Grand Concert Harp) มขี นาดลดหลันกันไป เชน่ โค้งงอเล็กน้อย มี 47 สาย และ เสยี งของฮารป์ Semi grand และ salon วงดรุ ยิ างค์ซมิ โพนีทีมี สามารถใชเ้ พอื แสดงการไหลของสายนํา แสดง มาตรฐานจะใชฮ้ ารพ์ ขนาด Grand Concert 47 สาย ความสดชนื แจม่ ใส มวี วิ ฒั นาการมาจากไลร์ ฮาร์ เท่านัน แบง่ ออกเปน 2 ประเภท คือ 2. ลีเวอรฮ์ ารพ์ (Lever Harp) ฮารพ์ ทีใชไ้ กเปลียน เสยี งจะมขี นาดต่างๆ กันเชน่ เดียวกัน มี 36 สาย ซงึ บางรุน่ อาจใชบ้ รรเลงเทียบเท่าฮารพ์ ชนิดคันเหยยี บ

ลูท (Lute) ลทู (Lute) คือ เครอื งดนตรปี ระเภทเครอื งสายโบราณมอี ายุ เก่าแก่มาก จากภาพวาดในยุคเมโสโปเตเมยี พบวา่ ลทู ยุคนมี ี คอยาว เล่นดว้ ยการใชน้ วิ ดดี รปู รา่ งของลทู เหมอื นกับไขค่ รงึ ใบหรอื ลกู แพรผ์ า่ ครงึ คอของลทู มเี ฟรท็ (Fret) คันอยู่ 7 อัน ถ้าคอยาวมากจาํ นวนเฟรท็ ก็จะมากเพมิ ขนึ ดว้ ย โดยปกติ ทัวไปจะมตี ังแต่ 11-21 สาย หมุดสาํ หรบั ใชย้ ดึ สายเอนไป ดา้ นหลัง เพอื ชว่ ยยดึ สายใหแ้ นน่

ประวัติ ลทู เปนต้นกําเนิดของเครอื งสายหลายอยา่ งของโลก ทังทีใชด้ ีดอยา่ ง กีตาร์ และสแี บบไวโอลิน มหี ลักฐานการค้นพบลทู ในสมยั ของโรมนั แต่ไม่ ยุคสมยั ของกรซี โบราณก็ได้ผา่ นพน้ ไป สามารถบอกปทีแน่นอนได้ ในสมยั นัน ลทู พบในแถบตะวนั ออกกลาง, ทาง เนืองจากการบุกรุกของชาวโรมนั และ ตอนเหนือของของแอฟรกิ า, กรซี และกรุงโรม จะสงั เกตวา่ เปนเขตที อารยธรรมของโรมนั ก็เรมิ ต้นที 509 อาณาจกั รโรมนั ปกครองอยูใ่ นสมยั นัน ซงึ อาณาจกั รโรมนั ในชว่ งนันมี ก่อนครสิ ตกาล ชาวโรมนั ซงึ เปนนักรบที ศูนยก์ ลางอยูท่ ีกรุงโรมในปจจุบนั จนเขา้ สใู่ นสมยั ต้นครสิ ตกาล ประมาณป แขง็ แกรง่ ไมค่ ่อยสนใจเรอื งศิลปะสกั เท่า ค.ศ. 57 อาณาจกั รโรมนั ก็ยา้ ยจุดศูนยก์ ลางมาที ไบเซนไท Byzantine ไหร่ วฒั นธรรมต่างๆ สว่ นใหญ่ใชข้ อง ชาวโรมนั ก็นําศิลปะของตนเองเขา้ มาด้วยรวมทังเครอื งดนตรที ีชอื วา่ ลทู กรซี ทังหมด รวมทังเครอื งดนตรดี ้วย ด้วย ต่อมาในป ค.ศ. 711 ชาวสเปนก็มาบุกรกุ ไบเซนไท และสงิ ทีชาว ด้วยความทีวา่ มวั แต่รบกันจงึ ไมค่ ่อย สเปนนํากลับไปด้วยคือ ลทู กวา่ ลทู จะเปนทีรจู้ กั และนิยมแพรห่ ลายใน บนั ทึกเกียวกับศิลปะเท่าไหร่ แต่ทังนีทัง สเปน ก็ประมาณครสิ ต์ศตวรรษที 10 หลังจากนันค่อนขา้ งนาน ใน นันก็ยงั พบเครอื งดนตรที ีมรี ูปรา่ งคล้าย ประมาณป ค.ศ. 1300 จงึ เปนทีแพรห่ ลายในอังกฤษและทัวยุโรป กีตาร์ ทีเก่าแก่ทีสดุ ชอื วา่ ลทู (Lute) ซงึ ลทู มบี ทบาทและได้รบั ความนิยมมากในระหวา่ งศตวรรษที 16 และ 17 ใน มลี ักษณะคล้ายลกู แพรผา่ ครงึ ยุคบาโรก นิยมใชเ้ ล่นได้ทังบรรเลงเดียว หรอื กล่มุ วงดนตรี โดยเฉพาะใน ดนตรรี าชสาํ นักฝรงั เศสในยุคบาโรก มคี ีตกวี ทีเปนนักเล่นลิวท์โดยตรง อาทิเชน่ Charles Mouton หรอื แมแ้ ต่คีตกวคี นอืนก็ยงั ประพนั ธเ์ พลง สาํ หรบั ลิวท์ เชน่ J.S.Bach ประพนั ธ์ Lute Suite จาํ นวนมาก หรอื Antonio Vivaldi ก็ประพนั ธ์ Lute Concerto ทีมชี อื เสยี ง เปนต้น

กตี า้ ร์ (Guitar) กีต้าร์ ( Guitar) เปนเครอื งดนตรชี นิดหนึง จดั เปนพวกเครอื งสาย มกั จะเล่นด้วยนิวมอื ซา้ ย และดีดด้วยนิวมอื ขวาหรอื ใชป้ กดีดกีต้าร์ เสยี งของกีต้ารน์ ันเกิดจากการสนั สะเทือนของสาย ทําใหเ้ กิดกําทอน (resonance) แก่ตัวกีต้ารแ์ ละคอกีตารก์ ีต้ารน์ ัน มที ังแบบกีต้ารอ์ ะคู สติก และกีตารไ์ ฟฟา บางตัวก็เปนได้ทังสองอยา่ ง กีต้ารม์ สี ว่ นตัว เปนกล่องกําทอน ซงึ ในกีต้ารอ์ ะคสู ติกจะเจาะเปนชอ่ ง สว่ นกีต้ารไ์ ฟฟา มกั จะตัน และมโี พรงในสว่ นคอกีต้าร์ โดยทัวไปแล้วสว่ นหวั ของกีต้าร์ จะยดื ขนึ ไปจากคอ เพอื ใสล่ กู บดิ หมุนสายสาํ หรบั ปรบั เสยี งกีต้ารเ์ ปน เครอื งดนตรที ีนิยมใชแ้ พรห่ ลาย และใชก้ ับดนตรหี ลากหลายสไตล์ นับ เปนเครอื งดนตรที ีนิยมใชบ้ รรเลงเดียวอยา่ งกวา้ งขวางทีพบเหน็ มากที สดุ คือกีต้ารค์ ลาสสกิ และยงั เปนเครอื งดนตรหี ลักในวงดนตรปี ระเภท บลสู ์ และดนตรรี อ็ กอีกด้วย กีตารส์ ามารถเล่นในยามวา่ ง หรอื เปน งานอดิเรก ได้ดีปกติกีต้ารจ์ ะมี 6 สาย แต่แบบ 4- 7- 8- 10- 12- สายก็มเี ชน่ กัน ผปู้ ระดิษฐก์ ีต้ารจ์ ะเรยี กวา่ luthie

ประวัติ เครอื งดนตรที ีมลี ักษณะคล้ายกีต้ารเ์ ปนทีนยิ มมากวา่ 5,000 ปเปนอยา่ งตํา โดยเรมิ เปนทีนยิ มในแถบเอเชยี กลาง เรยี กวา่ ซติ ารา่ (Sitara) เครอื ง ดนตรที ีมรี ปู แบบคล้ายคลึงกีต้ารท์ ีเก่าแก่ทีสดุ ทีค้นพบมอี ายุ 3,300 ป เปนหนิ สลักของกวอี าณาจกั รโบราณฮิตไตต์คําวา่ กีตารม์ าจากภาษาสเปนคําวา่ guitarra ซงึ มาจากภาษากรกี อีกทีคือคําวา่ Kithara kithara จากหลายแหล่งทีมาทําใหค้ ําวา่ กีต้ารน์ า่ จะมรี ากศัพท์มาจากภาษาตระกลู อินโดยูโรเปยน guit- คล้ายกับภาษาสนั สกฤต ทีแปลวา่ ดนตรี และ -tar หมายถึง คอรด์ หรอื สาย คําวา่ qitara เปนภาษาอาราบกิ ใชเ้ รยี ก Lute lute สว่ นคําวา่ guitarra เกิดขนึ เมอื เครอื งดนตรชี นดิ นถี กู นาํ มาที Iberia (หรอื Iberian Peninsular เปนคาบสมุทรทางทิศตะวนั ตกเฉียงใต้ในทวปี ยุโรป) โดย Moorsกีตารใ์ นยุคปจจุบนั มาจากเครอื งดนตรที ีเรยี กวา่ cithara ของชาวโรมนั ซงึ นาํ เขา้ ไปแพรห่ ลายในอาณาจกั รฮิสปาเนยี หรอื สเปนโบราณ ประมาณ ค.ศ. 40 จากนนั เปลียนแปลงรปู แบบจนกลายมาเปน เครอื งดนตรที ีมี 4 สายเรยี กวา่ อู๊ด (oud) นาํ เขา้ มาโดยชาวมวั รใ์ นยุคทีเขา้ มาครอบ ครองคาบสมุทรไอบเี รยี น ในศตวรรษที 8 สว่ นในยุโรปมเี ครอื งดนตรที ีเรยี กวา่ ลตุ (lute) ของชาวสแกนดเิ นเวยี มี 6 สาย ในสมยั ค.ศ. 800 เปน เครอื งดนตรที ีไดร้ บั ความนยิ มในกล่มุ ชาวไวกิงค.ศ. 1200 กีต้าร์ 4 สาย มี 2 ประเภท คือ กีตารา่ มอ รสิ กา หรอื กีต้ารข์ องชาวมวั ร์ มลี ักษณะกลม ตัว คอกวา้ ง มหี ลายรู กับกีตารา่ ลาตินา่ ซงึ รปู รา่ งคล้ายกีต้ารใ์ นปจจุบนั คือมรี เู ดยี วและคอแคบ ในศตวรรษที 16 เครอื งดนตรคี ล้ายกีตารข์ องชาวสเปน ทีเรยี กวา่ วฮิ ูเอล่า เปนเครอื งดนตรที ีมลี ักษณะใกล้เคียงกับกีตารใ์ นปจจุบนั มคี วามผสมผสานระหวา่ งเครอื งดนตรอี ู๊ดของชาวอาหรบั และลตู ของยุโรป แต่ไดร้ บั ความนยิ มในชว่ งสนั ๆ พบเหน็ จนถึงป 1576เครอื งดนตรชี นิ แรกทีมรี ปู ลักษณเ์ หมอื นกีต้ารใ์ นปจจุบนั เกิดในชว่ งยุคปลายของสมยั กลาง หรอื ยุคต้นสมยั เรอเนสซอง (500 กวา่ ปทีแล้ว) เปนชว่ งทีมกี ารใชเ้ ครอื งดนตรปี ระเภทเครอื งสายกันทัวโลก ในยุคนนั กีต้ารม์ ที ังแบบ 4 และ 5 สาย สาํ หรบั กีต้ารท์ ีมี 6 สาย ระบุวา่ มขี นึ ในป 1779 เปนผลงานของนายแกตาโน วนิ าซเซยี (Gaetano Vinaccia) ในเมอื งเนเปล อิตาลี แต่ก็ถกเถียงกัน วา่ อาจเปนของปลอมสาํ หรบั ตระกลู วนิ าซเซยี มชี อื เสยี งในการผลิตแมนโดลินมาก่อนกีต้ารไ์ ฟฟาตัวแรกเรมิ ผลิตขนึ ในศตวรรษที 20 โดยจอรจ์ โบ แชมป (George Beauchamp) ไดร้ บั สทิ ธบิ ตั รในป 1936 และรว่ มกับ รกิ เค่นแบก็ เกอร์ (Rickenbacker) ตังบรษิ ัท Electro String Instrument ผลิตกีต้ารไ์ ฟฟาในชว่ งปลายปทศวรรษที 1930 ต่อมาในชว่ งทศวรรษ 1960 จอหน์ เลนนอน สมาชกิ วงเดอะบที เทิลสใ์ ชก้ ีต้ารย์ หี อ้ นี สง่ ผลใหเ้ ครอื ง ดนตรยี หี อ้ นมี ชี อื เสยี งในกล่มุ นกั ดนตรใี นยุคนนั และในปจจุบนั บรษิ ัทรกิ เค่นแบก็ เกอร์ เปนบรษิ ัทผลิตกีต้ารท์ ีใหญท่ ีสดุ ในสหรฐั อเมรกิ า

แบนโจ (banjo) แบนโจ (Banjo) เปนเครอื งดนตรใี นตระกลู ลทู เล่นดว้ ยวธิ ดี ีด ด้วยนิวมอื หรอื ดีดด้วย เพล็คทรมั (Plectrum) นิยมเล่นในกล่มุ นักรอ้ ง นักดนตรชี าวอเมรกิ ัน จุดเรมิ ต้นทีมผี นู้ ํามาเล่นอยูใ่ น แถบแอฟรกิ าตะวนั ตก (Western Africa) เปนเครอื งดนตรพี นื บา้ นของพวกนิโกร ต่อมาจงึ เปนทีแพรห่ ลายในหมูอ่ เมรกิ ันนิโกร แล้วเผยแพรไ่ ปสทู่ วปี ยุโรป

ประวตั ิ จนเมอื ต้นครสิ ตศตรรษที 19 สายที 5 ถกู สรา้ งขนึ เพมิ บนกึงกลางคอแบนโจ เพอื ให้ สามารถเล่นเสยี งหงึ แหบอยา่ งวา่ เปนเสยี งสงู ๆได้ ทําใหแ้ บนโจกลายเปนทีต้องตาต้องใจ แบนโจเปนทีแพรห่ ลายอยา่ งยงิ ในหมูน่ ัก พวกนักดนตรบี า้ นนอกทางใต้ ทีชมชอบเสยี งสนั ๆ สงู ๆ ของมนั เปนอยา่ งยงิ แมว้ า่ แต่ ดนตรคี ันทรี ถือกําเนิดขนึ โดยพวกทาส เดิมแบนโจจะถกู เล่นอยา่ งสะเปะสะปะขาดความชาํ นาญ หรอื ถกู ดดี ดงึ ด้วยนิวมอื แต่นัก นิโกรผวิ ดําทางตอนใต้ ไมใ่ ชพ่ วกผวิ ขาวที ดนตรคี นภเู ขาก็นํามนั มาใชใ้ หเ้ กิดท่วงทํานอง การเล่นทีเปนเทคนิคพเิ ศษเฉพาะตัวดว้ ย ใชร้ อ้ งใชเ้ ล่นแพรห่ ลายกันมากในปจจุบนั นี หลังเล็บมอื ซงึ เรยี กเทคนิคนีวา่ claw–hammer style พวกเขาไดน้ ําเอาเทคนิคนีมาใช้ พวกนิโกรนําเอารูปแบบมาจากเครอื ง เล่นเพลงเก่าๆ ทีเคยเล่นด้วย fiddle หรอื ซอฝรงั มากมายหลายเพลง แบนโจพฒั นา ดนตรที ีพวกเขาใชเ้ ล่นกันในอาฟรกิ า ทีแรก อยา่ งมากในระหวา่ งป 1940-1950 เมอื Earl Scruggs นําลกู เล่นหลากหลายมาใช้ ก็ใชเ้ ล่นคลอเสยี งรอ้ งทีบน่ ทีรอ้ งกันในหมู่ อยา่ งแพรวพรายขณะทีอยูร่ ว่ มกับวง Bill Monroe & The Bluegrass Boys และเมอื ทาส เล่นกันไปอยา่ งไมเ่ ปนระบบนัก อาจจะ เครอื งดนตรที ้องถินอยา่ ง fiddler และ banjo ถกู นํามาเล่นรว่ มกัน ผลลัพธท์ ีไดก้ ็คือ สะเปะสะปะขาดความชาํ นาญบา้ งก็พอชว่ ย ดนตรเี ต้นราํ ทีดิบเถือน และแสนจะตืนเต้นเรา้ ใจ กล่องเสยี งของแบนโจจะเหมอื นกับ ทดแทนอารมณ์ได้บา้ ง เดิมแบนโจมี 4 หน้ากลอง มหี นังแท้หรอื หนังเทียมขงึ ปดอยู่ คาดรอบหรอื วงรอบดว้ ยไมห้ รอื เหล็ก เพอื สาย ใหห้ นังตึง มหี มุดยดึ สายเชน่ เดียวกับกีต้าร์ คอแบนโจมเี ฟรท็ (Feat) คันอยูเ่ หมอื นกับ คอของกีต้าร์ สายของแบนโจมจี าํ นวนตังแต่ 4, 5 หรอื 9 โดยทัวไปใช้ 5 สาย

แมนโดลิน (Mandolin) แมนโดลิน เปนเครอื งดนตรใี นตระกลู ลทู เปนเครอื งสายทีให้ กําเนิดเสยี งในระดับเสยี งสงู เสยี งทีเกิดจากแมนโดลินมคี วาม ไพเราะเปนเสยี งทีมคี ณุ ภาพ เรา้ อารมณ์ได้ดีโดยเฉพาะอารมณ์โศก เศรา้ เกียวกับความรกั แมนโดลินตังเสยี งเท่ากันเปนคู่ มลี กู บดิ คล้ายกีตารใ์ ชใ้ นการตังเสยี ง และมนี ม (Feat) รองรบั สาย เวลา เล่นจะใชน้ ิวมอื ซา้ ยจบั ตัวแมนโดลินและใชม้ อื ขวาดดี ลักษณะการ ดีดคล้ายการดีดกีตารโ์ ดยใชเ้ พล็คทรมั (Plectrum) หรอื ปกดีดไป ทีสาย โดยใชเ้ ทคนิคการดีดแบบ ทรโี มโล (Tremolo) คือการดดี สายขนึ ลงอยา่ งรวดเรว็ ติดต่อกันเพอื ใหเ้ กิดเสยี งสนั รวั

ประวตั ิ แมนโดลินมถี ินกําเนดิ ทีประเทศอิตาลี เปนเครอื งดนตรพี นื บา้ นทีเปนทีนยิ มของ ชาวอิตาเลียน ซงึ เปนทีนยิ มเล่นกันอยา่ งแพรห่ ลาย ในป ค.ศ. 1713 ไดม้ ผี นู้ าํ เอาแมนโดลินมาเล่นผสมในวงคอนเสริ ต์ ในประเทศอังกฤษ มอี ยู่ 2 ชนดิ คือ 1) Neapolitan มคี วามยาว 2 ฟุต 2) Milanese มขี นาดใหญ่กวา่ Neapolitan เปนทีรูจ้ กั ทัวไป มสี าย 4 คู่ (8 สาย) ใชส้ าย 5 - 6 คู่ (10 - 12 สาย) คอของ ตังเสยี งเท่ากันเปนค่ๆู 4 คู่ ตังสาย แมนโดลินชนิดนีมเี ฟรท็ คันอยูป่ ระมาณ 12 เหมอื นกับไวโอลิน ในระยะขนั คู่ 5 เฟรท็ สามารถใหเ้ สยี งแบบครงึ เสยี งได้

ส ม า ชิ ก ใ น ก ลุ่ ม 1. นายธติ ิวุฒิ จนั ทรแ์ จง้ เลขที 9 2. นายวชั รพงศ์ วงศ์สวุ ตั น์ เลขที 14 3. นายศิวกร ทองด้วง เลขที 15 4. นายศุภฤกษ์ มะนะโส เลขที 16 5. นายคีตะ สมุทวงศ์วริ ยิ ะ เลขที 20 6. นายชลชาติ เหลียวพฒั นพงศ์ เลขที 23 7. นายภาณุพงศ์ ทองหอม เลขที 24 8. นางสาวทรพั ฒยแ์ สน คงดี เลขที 42 9. นางสาวฟาฎิลา หมี หล๊ะ เลขที 45 ชนั มธั ยมศึกษาปที 4/10


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook