Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2565-03-25 กิจกรรมชุมชนทางการเรียนรู้วิชาชีพ PLC 12 รายงานชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ PLC

2565-03-25 กิจกรรมชุมชนทางการเรียนรู้วิชาชีพ PLC 12 รายงานชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ PLC

Published by n_joy1006, 2022-04-02 08:17:02

Description: 2565-03-25 กิจกรรมชุมชนทางการเรียนรู้วิชาชีพ PLC 12 รายงานชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ PLC

Search

Read the Text Version

48 แนวทางการดำเนนิ กิจกรรมชุมชนแห่งการเรยี นรู้ทางวชิ าชีพ ในการแกป้ ัญหาและพฒั นาการจดั การเรียนการสอนวชิ าภาษาไทย ระดบั ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 1 สำหรับครผู ้สู อน กิจกรรมชมุ ชนแห่งการเรียนรูว้ ิชาชีพ (PLC) โดยกลุม่ “แกป้ ญั หาและพฒั นาการจัดการเรียนร้วู ิชาภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1” กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรยี นบ้านปากอูน(ปากอนู ผดุงวทิ ย์) สำนักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ

49 แนวทางการดำเนนิ กิจกรรมชุมชนแหง่ การเรยี นร้ทู างวชิ าชีพ ในการแก้ปญั หาและพัฒนาการจัดการเรียนการสอนวชิ าภาษาไทย ระดบั ช้ันประถมศึกษาปีที่ 1 สำหรบั ครูผู้สอน กิจกรรมชมุ ชนแห่งการเรียนรทู้ างวชิ าชีพ ชุมชนแห่งการเรยี นรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community : PLC) มีพ้ืนฐานแนวคิดมาจากภาคธุรกิจเกี่ยวกับความสามารถขององค์กรในการเรียนรู้ (Thompson, Gregg, & Niska, 2004, pp.1340-1347) เปน็ การนำแนวคิดองค์กรแห่ง การเรียนรมู้ าประยกุ ต์โดยอธิบายว่าการอุปมาทีเ่ ปรียบเทียบให้โรงเรียนเป็น”องค์กร” น้ัน น่าจะไมเ่ หมาะสมและถูกต้องแท้จริงแล้วโรงเรียน มคี วามเป็น “ชุมชน” มากกว่าความเป็น องค์กร ซึ่งความเป็น “องค์กร” กับ “ชุมชน” มีความแตกต่างกนั ทีค่ วามเป็นชมุ ชนจะยึด โยงภายในต่อกัน ด้วยค่านิยม แนวคิด และความผกู พนั รว่ มกันของทกุ คนที่เปน็ สมาชิก ซึง่ เป็นแนวคิดตรงกันข้ามกับ “ความเปน็ องค์กร” ทีม่ คี วามสัมพนั ธร์ ะหว่างสมาชิกใน ลกั ษณะที่ยึดตามระดบั ลดหลนั่ กนั ลงมา มกี ลไกการควบคมุ และมีโครงสรา้ งแบบตึงตัว ทีเ่ ต็มไปด้วยกฎระเบียบและวฒั นธรรมของการใชอ้ ำนาจเป็นหลัก ในขณะที่ “ชมุ ชน” จะใช้อทิ ธิพลทีเ่ กิดจากการมีค่านิยม และวัตถุประสงค์รว่ มกัน เปน็ ความสัมพันธ์ระหวา่ ง สมาชิกเชิงวิชาชีพมคี วามเป็นกัลยาณมิตรเชิงวิชาการ และยึดหลักต้องพึ่งพาอาศยั ซึง่ กัน และกัน แบบผนึกกำลงั กัน ในการปฏิบตั ิงานทีม่ งุ่ ส่พู ฒั นาการการเรียนรู้ของผู้เรยี นเปน็ สำคญั นอกจากนี้ “องค์กร” ยงั ทำให้เกิดคณุ ลกั ษณะบางอย่างข้นึ เช่นลดความเป็นกนั เอง ต่อกันลงมีความเปน็ ราชการมากขึ้นและถกู ควบคมุ จากภายนอกใหต้ ้องรกั ษาสถานภาพ เดิมของหนว่ ยงานไว้ จงึ เห็นว่าถ้ามองโรงเรียนในฐานะแบบองค์กรดังกลา่ วแล้วก็จะทำให้ โรงเรียนมคี วามเป็นแบบทางการที่สรา้ งความรสู้ ึกห่างระหว่างบคุ คลมากยิง่ ขนึ้ มกี ลไก ที่บังคบั ควบคุมมากมายและมกั มีจดุ เน้นในเร่อื งที่เป็นงานด้านเทคนิคเปน็ หลกั ในทางตรง ข้ามถ้ายอมรบั วา่ โรงเรียนมีฐานะแบบทีเ่ ปน็ ชุมชนแล้วบรรยากาศที่ตามมาก็คือสมาชิก มีความผกู พันต่อกนั ด้วยวตั ถปุ ระสงคร์ ว่ มมกี ารสร้างสัมพันธภาพที่ใกล้ชิดสนทิ สนม และเกิดการรว่ มสร้างบรรยากาศทีท่ ุกคนแสดงออกถึงความหว่ งหาอาทรต่อกันและ ชว่ ยดูแลสวัสดิภาพรว่ มกัน (Sergiovanni, 1994, pp. 2-6) โดยทีใ่ ส่ใจรว่ มกนั ถึงการเรยี นรู้ และความรับผดิ ชอบหลกั ร่วมกันของชุมชนนั้นคอื พัฒนาการการเรียนรู้ของผู้เรยี น

50 ในด้านความสำคญั ของชุมชนแหง่ การเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) จากผลการวิจัย โดยของ Hord (1997, p. 3) ที่ยืนยนั ว่า การดำเนินการในรูปแบบชุมชนแห่งการเรยี นรู้ ทางวิชาชีพ (PLC) นำไปสกู่ ารเปลีย่ นแปลงเชิงคณุ ภาพท้ังด้านวิชาชีพและผลสมั ฤทธิ์ ของนักเรียน จากการสังเคราะห์รายงานการวิจัยเกี่ยวกับโรงเรียนที่มี การจัดตั้งชุมชน แห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) โดยใช้คำถามว่าโรงเรียนดงั กลา่ ว มีผลลัพธ์อะไรบ้าง ที่แตกต่างไปจากโรงเรยี นทัว่ ไปทีไ่ มม่ ชี ุมชนแหง่ วิชาชีพ และถ้าแตกตา่ งแล้วจะมีผลดี ตอ่ ครูผสู้ อนและต่อนกั เรียนอย่างไรบ้าง ซึ่งมีผลสรุป 2 ประเด็น ดงั นี้ ประเดน็ ที่ 1 ผลดตี อ่ ครูผสู้ อน พบว่า ชมุ ชนแห่งการเรยี นรทู้ างวิชาชีพ (PLC) ส่งผลตอ่ ครูผู้สอน กล่าวคอื ลดความรสู้ ึกโดดเดี่ยวงานสอนของครูเพิม่ ความรสู้ ึกผูกพัน ต่อพันธกิจและเป้าหมายของโรงเรียนมากขึ้นโดยเพิม่ ความกระตือรอื ร้นที่จะปฏิบตั ิให้ บรรลุพันธะกิจอยา่ งแข็งขันจนเกิดความรสู้ ึกว่าต้องการร่วมกนั เรียนรู้และรับผิดชอบ ตอ่ พฒั นาการโดยรวมของนักเรียน ถอื เป็น “พลงั การเรียนรู้” ซึง่ สง่ ผลใหก้ ารปฏิบัติ การสอนในชั้นเรียนให้มีผลดียิง่ ขึน้ กล่าวคือ มกี ารค้นพบความรแู้ ละความเชอ่ื ที่เกีย่ วกับ วิธีการสอน และตัวผเู้ รียน ซึ่งทีเ่ กิดจากการคอยสังเกตอย่างสนใจ รวมถึงความเข้าใจ ในด้านเน้ือหาสาระทีต่ อ้ งจดั การเรียนรไู้ ด้แตกฉานยิง่ ข้นึ จนตระหนกั ถึงบทบาทและ พฤติกรรมการสอนที่จะชว่ ยใหน้ ักเรียนเกิดการเรยี นรู้ได้ดีทีส่ ุด อกี ทั้งการรับทราบข้อมูล สารสนเทศต่าง ๆ ที่จำเปน็ ตอ่ วิชาชีพได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็วขึ้นสง่ ผลดตี ่อการ ปรับปรงุ พฒั นางานวิชาชีพได้ตลอดเวลา เป็นผลใหเ้ กิดแรงบันดาลใจทีจ่ ะพฒั นาและ อทุ ิศตนทางวิชาชีพเพื่อศษิ ย์ซึ่งเป็นทั้งคุณค่าและขวญั กำลังใจตอ่ การปฏิบตั ิงานให้ดียิง่ ขนึ้ ทีส่ ำคัญคือ ยงั สามารถลดอัตราการลาหยุดงานน้อยลงเม่อื เปรียบเทียบกับโรงเรียน แบบเกา่ ยงั พบว่ามีความก้าวหน้าในการปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการเรียนรู้ ให้สอดคล้องกบั ลักษณะผเู้ รียนได้อยา่ งเดน่ ชัดและรวดเรว็ กวา่ ทีพ่ บในโรงเรยี นแบบเกา่ มีความผกู พันที่จะ สร้างการเปลีย่ นแปลงใหม่ ๆ ใหป้ รากฏอยา่ งเด่นชัดและยัง่ ยืน ประเด็นที่ 2 ผลดีต่อผู้เรยี น พบว่าชุมชนแหง่ การเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) สง่ ผลต่อผเู้ รียน กล่าวคือ สามารถลดอัตราการตกซ้ำช้ันและจำนวนช้ันเรยี นทีต่ อ้ งเลื่อน หรอื ชะลอการจดั การเรียนรู้ให้นอ้ ยลง อตั ราการขาดเรียนลดลง มีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน ในวิชาวิทยาศาสตรป์ ระวัติศาสตร์ และวิชาการอ่านที่สูงข้นึ อยา่ งเด่นชดั เม่อื เทียบกบั โรงเรียน แบบเกา่ สดุ ท้าย คือ มีความแตกต่างด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ระหว่างกลุม่ นักเรียนที่มีภูมิหลังไม่เหมอื นกนั และลดลงชดั เจน

51 สรปุ ได้ว่า ชมุ ชนแห่งการเรียนรู้ทางวชิ าชีพ (Professional Learning Community : PLC) มีพฒั นาการมาจากกลยทุ ธ์ระดบั องคก์ รทีม่ งุ่ เน้นใหอ้ งคก์ รมีการปรับตวั ต่อกระแส การเปลีย่ นแปลงของสังคมที่เกิดขึน้ อย่างรวดเรว็ โดยเริม่ พัฒนาจากแนวคิดองคก์ ร แห่งการเรียนรู้และปรับประยุกตใ์ ห้มคี วามสอดคล้องกับบริบทของโรงเรียนและการเรียนรู้ รว่ มกนั ในทางวิชาชีพทีม่ ีหน้างานสำคัญ คอื ความรบั ผิดชอบการเรียนรู้ของผเู้ รียนร่วมกัน เป็นสำคญั จากการศกึ ษาหลายโรงเรียนในประเทศสหรัฐอเมรกิ าดำเนินการในรปู แบบ ชุมชนแห่งการเรยี นรู้ทางวิชาชีพ พบว่า เกิดผลดีทั้งวิชาชีพครูและผเู้ รียนที่มุ่งพัฒนา การของผเู้ รียนเปน็ สำคัญ 1. ความหมายของชมุ ชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ชุมชนแห่งการเรยี นรู้ทางวิชาชีพ (Professional Learning Community : PLC) มีวรรณกรรมทางการศกึ ษาจากการวิจยั หรอื โครงการศึกษาตา่ ง ๆ สามารถเรียบเรียง สรุปเปน็ ความหมายของชมุ ชนแห่งการเรยี นรู้ทางวิชาชีพ คือ การรวมตัว รวมใจ รวมพลัง รว่ มมอื กนั ของครู ผบู้ ริหาร และนกั การศกึ ษาในโรงเรยี น เพื่อพฒั นาการเรียนรู้ของผเู้ รียน เปน็ สำคัญ ดังที่ Sergiovanni (1994, pp. 2-6) ได้กล่าวว่าชมุ ชนแหง่ การเรียนรู้ทางวิชาชีพ เปน็ สถานที่สำหรบั “ปฏิสัมพันธ์” ลด “ความโดดเดี่ยว” ของมวลสมาชิกวิชาชีพครูของ โรงเรียนในการทำงาน เพื่อปรบั ปรุงผลการเรียนของนักเรียนหรืองานวิชาการโรงเรียน ซึง่ Hord (1997, p. 3) มองในมุมมองเดียวกันโดยมองการรวมตวั กันดังกลา่ ว มนี ัยแสดงถึง การเป็นผนู้ ำร่วมกนั ของครู หรอื เปิดโอกาสใหค้ รูเป็น “ประธาน” ในการเปลี่ยนแปลง (วิจารณ์ พานิช, 2555, หน้า 93) การมีคุณค่ารว่ มและวิสยั ทัศน์รว่ มกนั ไปถึงการเรียนรู้ ร่วมกนั และการนำสิง่ ทีเ่ รยี นรู้ไปประยกุ ต์ใช้ อย่างสรา้ งสรรค์รว่ มกัน การรวมตวั ในรปู แบบ นีเ้ ปน็ เหมอื นแรงผลักดัน โดยอาศัยความตอ้ งการและความสนใจของ สมาชิกในชมุ ชน แห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เพื่อการเรียนรู้และพัฒนาวิชาชีพ สู่มาตรฐานการเรียนรู้ ของนกั เรียนเป็นหลกั (Senge, 1990, p. 5) การพัฒนาวิชาชีพให้เปน็ “ครเู พื่อศษิ ย์” (วิจารณ์ พานิช, 2555, หน้า 35) โดยมองว่าเปน็ “ศิษยข์ องเรา” มากกวา่ มองวา่ “ศิษยข์ องฉนั ” และการ เปลีย่ นแปลงคณุ ภาพการจดั การเรียนรู้ที่เริม่ จาก “การเรียนรู้ ของคร”ู เปน็ ตวั ต้ังต้น เรยี นรู้ทีจ่ ะมองเห็นการปรับปรงุ เปลี่ยนแปลง พฒั นาการจัด การเรียนรขู้ องตนเองเพือ่ ผเู้ รียนเป็นสำคัญ อยา่ งไรก็ตาม การรวมตัวการเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงใด ๆ เปน็ ไปได้ยาก ทีจ่ ะทำเพียงลำพงั หรือเพียงนโยบายเพื่อให้เกิด การขับเคลื่อนทั้งระบบโรงเรียนจึงจำเป็น

52 ต้องสร้างความเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ทีส่ อดคล้องกับธรรมชาติทาง วิชาชีพร่วมในโรงเรยี น ยอ่ มมีความเป็นชุมชนที่สัมพันธก์ ัน (Senge, 1990, pp. 675-679) ชุมชนที่สามารถขับเคลือ่ นใหเ้ กิดการเปลีย่ นแปลงทางวิชาชีพได้นั้น จึงจำเปน็ ต้องมีอยู่ ร่วมกันอย่างมีความสขุ ทางวิชาชีพ มีฉนั ทะ และศรัทธาในการทำงาน “ครเู พือ่ ศิษย์ รว่ มกนั ” บรรยากาศการอยู่รว่ มกันจึงเป็นบรรยากาศ “ชมุ ชนกัลยาณมิตร ทางวิชาการ” ทีม่ ลี กั ษณะความเป็นชุมชน แห่งความเอือ้ อาทรอยบู่ นพื้นฐาน “อำนาจเชิงวิชาชีพ” และ “อำนาจเชิงคณุ ธรรม” (Sergiovanni, 1994, pp. 2-6) เป็นอำนาจที่การสร้างพลังมวลชน เริ่มจากภาวะผนู้ ำร่วมของครูเพื่อขบั เคลือ่ นการ ปรบั ปรุงและพัฒนาสถานศกึ ษา (Fullan, 2005, p. 136) สรปุ ได้ว่า ชมุ ชนแหง่ การเรียนรู้ทางวชิ าชีพ (Professional Learning Community : PLC) หมายถึง การรวมตวั รว่ มใจ รว่ มพลัง รว่ มทำ และร่วมเรียนรู้ร่วมกนั ของครู ผบู้ ริหาร และนกั การศกึ ษา บนพืน้ ฐานวฒั นธรรมความสมั พันธ์แบบกลั ยาณมติ ร ทีม่ วี ิสัยทัศน์ คณุ คา่ เป้าหมาย และภารกิจรว่ มกัน โดยทำงานร่วมกันแบบทีมเรยี นรู้ ที่ครูเป็นผู้นำร่วมกนั และผู้บริหารแบบผดู้ ูแลสนบั สนุน สกู่ ารเรยี นรู้และพัฒนาวิชาชีพ เปลีย่ นแปลงคุณภาพตนเองส่คู ุณภาพการจัดการเรียนรู้ทีเ่ น้นความสำเรจ็ หรือประสิทธิผล ของผู้เรยี นเปน็ สำคญั และความสขุ ของการทำงานร่วมกันของสมาชิกในชุมชน 2. หลกั การของชุมชนแห่งการเรียนรทู้ างวชิ าชีพ หลักการของชุมชนแหง่ การเรียนรทู้ างวิชาชีพ มี 7 หลักการ (รงุ่ ชัชดาพร เวหะชาต,ิ 2561, หน้า 2780-2781) ดังน้ี 1) มงุ่ เนน้ การเรียนรขู้ องผเู้ รียน (Focused on Student Leaning) การเรียนรทู้ างวิชาชีพมเี ป้าหมายสูงสุด คอื ผเู้ รียนทกุ คนสามารถพฒั นาการเรียนรู้ ได้อย่างเหมาะสม โดยครจู ะต้องใช้แหล่งขอ้ มูลของผู้เรียนทีห่ ลากหลาย ซึง่ การเรียนรู้ ทางวิชาชีพของครเู กิดจาการวิเคราะห์เป้าประสงค์ มาตรฐานการเรียนรขู้ องผเู้ รียน และผลการปฏิบัติของผู้เรยี น ทั้งนี้ การวิเคราะหเ์ หล่านั้นทำให้ครูสามารถกำหนด ได้วา่ ครจู ะต้องเรียนรู้อะไร ทำให้เกิดการเรยี นรู้ทางวิชาชีพทีม่ ีผู้เรยี นเป็นศูนย์กลาง และเพิม่ ความม่ันใจในการใช้แหล่งขอ้ มูลต่าง ๆ ประกอบการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ซึ่งการเรียนรทู้ างวิชาชีพชว่ ยใหค้ รเู ข้าใจในวิธีการถ่ายทอดเนือ้ หามากยิ่งขนึ้ และ ช่วยพัฒนาผลลัพธข์ องผเู้ รียน 2) มงุ่ เนน้ การเข้าถึงการปฏิบัติงานของครู (Focused on and embedded in teacher practice) การเรียนรทู้ างวิชาชีพนนั้ ขึน้ อยูก่ บั โรงเรียนและการปฏิบตั ิงานทาง

53 การสอนในแต่ละวันของครู โดยประสบการณ์การเรยี นรู้เกิดข้ึน จากการรว่ มมอื กนั ของ ครูในการแก้ปัญหาที่เกิดขึน้ และใช้สถานการณเ์ หลา่ นั้นเปน็ ฐานในการเรียนรทู้ างวิชาชีพ หรอื ที่เรยี กวา่ การเรียนรู้ทางวิชาชีพโดใช้โรงเรียนเปน็ ฐาน ท้ังนี้ ผู้บริหารจะต้องเปิดโอกาส ให้ใชแ้ หล่งทรัพยากรจากภายนอกโรงเรียนอันหมายถึงแนวคิดและความรู้ตา่ ง ๆ เพื่อชว่ ย ส่งเสริมการเรียนรทู้ างวิชาชีพ 3) มุ่งเนน้ การวิจยั เป็นฐาน (Focus on and Base on Research) การเรียนรทู้ างวิชาชีพครูช่วยปรับปรงุ การเรียนรู้ของผเู้ รียน ดงั นั้นครูจะต้องประยุกต์ ใช้งานวิจยั ในการปฏิบัติงานเพื่อแสวงหาแนวทางการเรียนรู้และการสอนที่ดีที่สดุ โดยผลการวิจยั ที่สนับสนนุ การเรียนรทู้ างวิชาชีพ ครูนั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับการสอน และการเรียนรทู้ ี่มปี ระสิทธิผล เนือ้ หาสาระที่ผเู้ รียนต้องเรียนรกู้ ารจัดการช้ันเรยี น หลกั สตู ร และการประเมินผล 4) มุง่ เนน้ การร่วมมือรวมพลงั (Focus on Collaborative) โอกาส การเรียนรทู้ างวิชาชีพของครูนน้ั จะต้องเชื่อมโยงกับความจำเปน็ ของครูแต่ละคน บนพืน้ ฐานของการแก้ปญั หารว่ มกันในการทำงานเปน็ ทีมน้ันครทู กุ คนจะต้องรบั ผดิ ชอบ ร่วมกนั ในการแก้ปัญหาด้านการสอนและการเรียนรู้เพ่ือการพัฒนาผลลัพธ์ของผู้เรียน โดยทีมงานจะแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณเ์ พือ่ พัฒนาการปฏิบัติงานในช้ันเรียน และสร้างเง่อื นไขสนับสนนุ การสะท้อนผลการปฏิบัติงาน ท้ังน้ี การสะท้อนการปฏิบตั ิงาน จะนำไปสูก่ ารพัฒนาการปฏิบัติงานของครแู ละการออกแบบโอกาสการเรียนรู้ทางวิชาชีพ โดยการสนบั สนุนจากแหล่งทรัพยากรภายนอก สามารถสะท้อนผลการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เชน่ การสะท้อนผลการปฏิบตั ิงานจากศึกษานิเทศก็จะช่วยพัฒนากลยุทธต์ า่ ง ๆ ใหแ้ กค่ รู เปน็ ต้น 5) มงุ่ เนน้ การขบั เคลื่อนโดยใช้ขอ้ มูลและหลักฐานเปน็ ฐาน (Focus on Evidence Based and data driven) การเรียนรทู้ างวิชาชีพนั้นจะต้องอาศยั ข้อมลู และ หลกั ฐานทางการศกึ ษาเปน็ ตัวกำหนดแนวทางในการพัฒนาครู กล่าวคือ ข้อมลู ต่าง ๆ ขององคก์ ารจะชว่ ยในการพิจารณาออกแบบติดตาม การวัดและพฒั นาการเรียนรู้ทาง วิชาชีพของครู โดยการประเมินผลผเู้ รียนเปน็ ระยะ ๆ จะช่วยใหค้ รูปรับทิศทางการจัด การเรียนการสอนทีเ่ หมาะสมได้ ในขณะที่การประเมินผลโดยรวมสามารถวัดกิจกรรม การเรียนรทู้ างวิชาชีพและการปฏิบัติงานทางวิชาชีพ ความรู้ และการเรียนรู้ของผู้เรียน สว่ นหลกั ฐานทางการศกึ ษาด้านผู้เรยี น ครู โรงเรียน ตลอดจนเอกสารหลกั ฐานทาง วิชาการอน่ื เช่น วารสารทางการศึกษา ที่รวบรวมไว้นน้ั จะช่วยพัฒนาการเรียนรู้ของ

54 ครูนำไปสกู่ ารกำหนดทิศทางในการพฒั นาผเู้ รียนทีเ่ หมาะสม 6) มงุ่ เนน้ การสนบั สนนุ และการดำเนินงานอย่างตอ่ เนื่อง (Focus on Ongoing and Supported) การเรียนรู้ทางวิชาชีพจะต้องดำเนนิ การอย่างต่อเนื่องและ ใช้ระยะเวลา เน่อื งจากการเปลี่ยนแปลงในการปฏิบตั ิงานในด้านต่าง ๆ เชน่ การเรียนรู้ ด้วยการปฏิบัติ การสะท้อนผลการปฏิบตั ิงาน และการปรบั ปรุงการปฏิบตั ิงานให้ดีขึน้ นั้น จะต้องบูรณาการกระบวนการที่หลากหลายและต้องได้รบั การสนบั สนุนจากผู้ที่เกีย่ วข้อง ท้ังในระดับโรงเรยี น ระดับเขตพืน้ ที่ และระดับประเทศ โดยการแก้ปญั หาทีซ่ บั ซ้อนและ การสรา้ งสรรค์นวัตกรรมทางการสอนจะต้องอาศัยแหลง่ ทรัพยากรและการสนบั สนนุ จากภายนอกเพือ่ ปรับปรงุ การปฏิบตั ิงานของโรงเรียนและการปฏิบัติงานในชั้นเรยี น 7) มงุ่ เนน้ การรบั ผดิ ชอบส่วนบุคคลและการรบั ผดิ ชอบรว่ มกนั (Focus on an Individual and Collective Responsibility) การเรียนรทู้ างวิชาชีพจะต้องเกิดในทุก ระดบั ของระบบการศกึ ษา ซึ่งเป็นความรับผดิ ชอบส่วนบคุ คลและความรับผดิ ชอบร่วมกนั ท้ังในระดบั โรงเรยี น เขตพืน้ ที่การศกึ ษา และหน่วยงานระดบั ประเทศ สำหรบั ครูและผนู้ ำ โรงเรียนน้ัน การเรียนรู้ทางวิชาชีพจะต้องเชื่อมโยงกับเป้าประสงค์ของหนว่ ยงานต้นสงั กดั เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของระบบโดยรวม โดยการขับเคลื่อนการพัฒนาท้ังระบบ จะต้องเปิดโอกาสให้ผู้มสี ่วนได้สว่ นเสียมีสว่ นรว่ มในการกำหนดกลยทุ ธ์ การพฒั นา แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทีเ่ กี่ยวข้องกับแนวปฏิบตั ิงานทีด่ ที ี่สุด 3. ลกั ษณะของของชมุ ชนแห่งการเรียนรูว้ ิชาชีพ ชุมชนแห่งการเรียนรวู้ ิชาชีพ มีลกั ษณะสำคัญ ดังน้ี 1) เปน็ เครื่องมอื สำหรบั ใหค้ รรู วมตัวกันเป็นชุมชน ทำหน้าที่เปน็ ผู้นำ การเปลี่ยนแปลงขบั เคลือ่ นการเปลี่ยนแปลงในระดับปฏิรปู การเรียนรเู้ ป็นการปฏิรูป ที่เกิดจากภายใน คือ ครรู ว่ มกนั ดำเนินการ เพื่อใหก้ ารปฏิรปู การเรียนรดู้ ำเนินค่ขู นาน และเสริมแรงกัน ท้ังจากภายในและจากภายนอก 2) เป็นเครือ่ งมอื ให้ครูเป็นผู้ลงมอื กระทำ ปลดปล่อยครูออกจาก ความสมั พันธเ์ ชิงอำนาจสูค่ วามสัมพนั ธ์แนวราบ เพื่อร่วมกนั สร้างการเปลีย่ นแปลง ให้แกก่ ารศกึ ษารวมทั้งการรวมตัว กนั ของครใู นการทำงานเชิงสร้างสรรค์ นำประสบการณ์ การจัดการเรียนรู้ เชน่ แบบ PBL และ นวตั กรรมอ่นื ๆ ทีต่ นทดลอง มาแลกเปลี่ยนแบ่งปัน กนั เกิดการสรา้ งความรู้ หรอื ยกระดบั ความรู้ใน การทำงานที่ จากประสบการณ์ตรงและ จากการเทียบเคียงกบั ทฤษฎที ีค่ นศกึ ษา และเผยแพร่ไว้

55 3) เปน็ เครื่องมอื ทีจ่ ะชว่ ยนำไปสกู่ ารตงั้ โจทยแ์ ละทำวิจยั ในชั้นเรียน ทีท่ รงพลังและสร้างสรรค์ ช่วยในการออกแบบวิธีวิทยา การวิจัย การเก็บข้อมลู การวิเคราะห์ขอ้ มลู ผลงานวิจยั และการสงั เคราะห์ออกมาเปน็ ความรใู้ หม่ ทีเ่ ชื่อมโยง กบั บริบท ความเปน็ จรงิ ของสงั คมไทย ของวงการศกึ ษาไทย เปน็ ผลงานวิจยั ในช้ันเรียน ที่ไมไ่ ด้จำกัดอยู่เฉพาะข้อมูลในช้ันเรยี นเทา่ น้ัน แต่จะเชอ่ื มโยงส่ชู ีวติ จรงิ ของผคู้ นที่ เป็นบริบทของการเรยี นรู้ของนักเรียนและการทำหนา้ ที่ครู 4) เปน็ การรวมกลุ่มบุคคลที่มีการแลกเปลีย่ นเรียนรู้ ในประเดน็ ที่แตล่ ะ คนใหค้ วามสนใจเกีย่ วกบั การพัฒนาทางการศกึ ษาที่เชื่อวา่ เปน็ เครื่องมอื ที่มปี ระสิทธิภาพ (Powerful Tool) ทีท่ าให้การสื่อความหมายระหว่างกลมุ่ บคุ คลทีม่ เี ป้าหมายเดียวกันพูดคยุ แลกเปลีย่ นเรียนรู้จนเกิดการ สอ่ื สารทีม่ ีประสิทธิภาพชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพเป็น กระบวนการ ทีม่ คี วามต่อเนื่องในการทำงานของนักการศกึ ษาทีม่ กี ารดำเนินการภายใต้ วงจรของการวิจัยปฏิบัติการ เพือ่ ให้เกิดการสบื เสาะแสวงหาความรู้และพฒั นาการทำงาน อย่างต่อเนือ่ ง 4. องค์ประกอบของชมุ ชนแห่งการเรียนรวู้ ิชาชีพ ชุมชนแห่งการเรียนรทู้ างวิชาชีพในระดบั สถานศกึ ษา มี 6 องคป์ ระกอบ ดังน้ี 1) วิสัยทัศน์รว่ ม (Shared Vision) วิสัยทัศน์ร่วมเป็นการมองเหน็ ภาพ เป้าหมาย ทิศทาง เส้นทาง และสิ่งที่จะเกิดข้ึนจริง เป็นเสมือนเข็มทิศในการขับเคลื่อน ชุมชนแห่งการเรยี นรู้วิชาชีพ ที่มที ิศทางร่วมกนั โดยมีวสิ ัยทัศนเ์ ชิงอุดมการณท์ างวิชาชีพ รว่ มกนั คือ พัฒนาการการเรียนรขู้ องผเู้ รียนเปน็ ภาพความสำเร็จทีม่ ุ่งหวงั ในการนำทาง รว่ มกนั อาจเป็นการมองเริ่มจากผู้นำหรอื กล่มุ ผนู้ ำที่มีวิสัยทศั น์ ทำหน้าทีเ่ หน่ยี วนำให้ ผรู้ ่วมงานเหน็ วิสัยทัศน์นน้ั ร่วมกนั หรือการมองเห็นจากแตล่ ะปจั เจกทีม่ วี ิสัยทศั นเ์ ห็น ในสิง่ เดียวกัน วสิ ัยทศั น์ร่วมมีลักษณะสำคญั 4 ประการ มรี ายละเอียดสำคญั ดังนี้ 1.1) การเห็นภาพและทิศทางร่วม (Shared Vision) จากภาพความ เชอ่ื มโยงให้เหน็ ภาพความสำเรจ็ ร่วมกันถึงทิศทางสำคัญของการทำงานแบบมอง “เหน็ ภาพเดียวกัน” 1.2) เป้าหมายรว่ ม (Shared Goals) เป็นทั้งเป้าหมายปลายทาง ระหว่างทาง และเป้าหมายชีวติ ของสมาชิกแตล่ ะคนที่สัมพนั ธ์กันกับเป้าหมายร่วม ของชมุ ชนการเรียนรู้ ซึ่งเป็นความเชื่อมโยงให้เห็นถึงทิศทางและเป้าหมายในการทำงาน รว่ มกนั โดยเฉพาะเป้าหมายสำคญั คือพฒั นาการการเรียนรขู้ องผเู้ รียน

56 1.3) คุณคา่ รว่ ม (Shared Values) เป็นการเห็นท้ังภาพเป้าหมายและ ที่สำคัญเมอ่ื เหน็ ภาพความเชื่อมโยงแล้ว ภาพดงั กล่าวมีอิทธิพลกับการตระหนกั ถึงคุณค่า ของตนเองและของงานจนเชอ่ื มโยงเป็นความหมายของงานที่เกิดจากการตระหนักรู้ของ สมาชิกในชมุ ชนแห่งการเรยี นรวู้ ิชาชีพ จนเกิดเปน็ พันธะสญั ญารว่ มกนั หลอมรวมเป็น “คุณค่าร่วม” ซึ่งเปน็ ขุมพลังสำคญั ที่จะเกิดพลังในการไหลรวมกนั ทำงานในเชิงอดุ มการณ์ ทางวิชาชีพรว่ มกนั 1.4) ภารกิจรว่ ม (Shared Mission) เปน็ พันธกิจแนวทางการปฏิบัติ ร่วมกนั เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายร่วมรวมถึงการเรียนรู้ของครใู นทกุ ๆ ภารกิจ สิ่งสำคญั คือ การปฏิรปู การเรียนรู้ที่มุ่งการเรยี นรู้ของผู้เรยี นเปน็ หวั ใจสำคญั โดยการเริม่ จาก การรบั ผดิ ชอบในการพฒั นาวิชาชีพเพือ่ ศษิ ยร์ ว่ มกนั ของครู 2) ทีมรว่ มแรงรว่ มใจ (Collaborative Teamwork) ทีมร่วมแรงรว่ มใจ เปน็ การพฒั นามาจากกลมุ่ ที่ทำงานรว่ มกนั อย่างสร้างสรรค์ ลกั ษณะการทำงานร่วมกัน แบบมีวสิ ัยทศั น์ คุณค่า เป้าหมายและพนั ธกิจร่วมกนั ด้วยใจ จนเกิดเจตจำนงในการทำงาน ร่วมกนั อยา่ งสร้างสรรค์ เพื่อให้บรรลผุ ลที่การเรียนรู้ของผู้เรยี น การเรียนรู้ของทีมและ การเรียนรขู้ องครู บนพื้นฐานงานที่มีลกั ษณะต้องมีการคิดร่วมกนั วางแผนร่วมกัน ความเข้าใจรว่ มกนั ข้อตกลงรว่ มกนั ตัดสินใจร่วมกัน แนวปฏิบัติร่วมกัน ประเมินผลรว่ มกนั และรบั ผิดชอบร่วมกัน จากสถานการณท์ ีง่ านจรงิ ถือเปน็ โจทยร์ ว่ มใหเ้ หน็ และรู้เหตุปจั จัย กลไกในการทำงานซึ่งกันและกัน แบบละวางตวั ตนให้มากทีส่ ดุ (There's no | in team) จนเห็นและรู้ความสามารถของแต่ละคนรว่ มกนั เหน็ และรบั รู้ถึงความรสู้ ึกร่วมกนั ในการทำงานจนเกิดประสบการณ์หรือความสามารถในการทำงาน และพลังในการรว่ ม เรียนรู้รว่ มพัฒนาบนพืน้ ฐานของพนั ธะรว่ มกนั ที่เน้นความสมคั รใจและการสื่อสารที่มี คุณภาพ บนพื้นฐานการรับฟังและความไว้วางใจซึ่งกนั และกันอยา่ งไรกต็ ามการที่ชมุ ชน แหง่ การเรียนรู้วชิ าชีพ เนน้ การขบั เคลือ่ นดว้ ยการทำงานแบบทีมร่วมแรงรว่ มใจที่ทำให้ ลงมอื ทำ และเรียนรไู้ ปด้วยกนั ด้วยใจอยา่ งสร้างสรรคต์ ่อเนือ่ งน้ัน ซึง่ มีลกั ษณะพิเศษ ของการรวมตัวทีเ่ หนียวแน่นจากภายใน นนั้ คือการเป็นกัลยาณมติ รทำใหเ้ กิดทีมใน ชมุ ชนแห่งการเรยี นรู้วิชาชีพอยรู่ ว่ มกนั ดว้ ยความสัมพนั ธท์ ีต่ ่างช่วยเหลอื เกือ้ กลู ดแู ล ซึง่ กนั จงึ ทำให้การทำงานเตม็ ไปด้วยบรรยากาศที่มคี วามสขุ ไมโ่ ดดเดี่ยว ซึง่ รปู แบบ ของทีมจะมีเปน็ เช่นไรนั้นขึน้ อย่กู บั เป้าประสงค์หรอื พันธกิจในการดำเนินการของชมุ ชน การเรียนรู้ เช่น ทีมร่วมสอน ทีมเรียนรู้ และกลุ่มเรียนรู้ เป็นต้น

57 3) ภาวะผนู้ ำรว่ ม (Shared Leadership) ภาวะผู้นำรว่ มในชมุ ชนแห่ง การเรียนรวู้ ิชาชีพ มีนัยสำคัญของการผนู้ ำรว่ ม 2 ลกั ษณะสำคัญ คอื ภาวะผนู้ ำผู้สร้าง ให้เกิดการนำร่วมและภาวะผนู้ ำรว่ มกนั ใหเ้ ป็นชมุ ชนแห่งการเรยี นรู้วิชาชีพ ทีข่ ับเคลือ่ น ด้วยการนำร่วมกนั รายละเอียดดังนี้ 3.1) ภาวะผนู้ ำผสู้ ร้างใหเ้ กิดการนำรว่ ม เปน็ ผู้นำที่สามารถทำให้ สมาชิกในชุมชนแห่งการเรยี นรวู้ ิชาชีพเกิดการเรยี นรู้เพื่อการเปลีย่ นแปลงท้ังตนเองและ วิชาชีพ จนสมาชิกเกิดภาวะผนู้ ำในตนเองและเปน็ ผู้นำร่วมขับเคลื่อนชุมชนแห่งการเรียนรู้ วิชาชีพได้โดยมีผลมาจากการเสริมพลังอำนาจจากผนู้ ำท้ังทางตรงและทางออ้ ม โดยเฉพาะการเปน็ ผู้นำที่เร่ิมจากตนเองก่อนด้วยการลงมอื ทำงานอย่างตระหนักรู้และ ใสใ่ จใหค้ วามสำคัญกบั ผู้ร่วมงานทกุ ๆ คน จนเป็นแบบทีม่ พี ลงั เหนีย่ วนำใหผ้ รู้ ่วมงาน มีแรงบันดาลใจ และมีความสุขกับการทำงานด้วยกันอย่างวิสยั ทัศน์ร่วม รวมถึง การนำแบบไม่นำ โดยทำหน้าทีผ่ ู้สนับสนุนและเปิดโอกาสใหส้ มาชิกเติบโตด้วยการสร้าง ความเปน็ ผู้นำร่วม ผู้นำทีจ่ ะสามารถสร้างให้เกิดการนำรว่ มดงั กลา่ วควรมคี ณุ ลักษณะ สำคญั ดังน้ี มคี วามสามารถในการลงมอื ทำงานร่วมกัน การเข้าไปอยูใ่ นความรู้สกึ ของ ผอู้ ื่นได้ การตระหนกั รู้ในตนเอง ความเมตตากรณุ าการคอยดูแลช่วยเหลอื เกือ้ กูลกัน การโค้ชผู้รว่ มงานได้ การสร้างมโนทัศน์ การมีวสิ ยั ทศั น์ การมีความมุ่งมน่ั และทุ่มเท ตอ่ การเติบโตของผอู้ ืน่ เป็นต้น 3.2) ภาวะผนู้ ำร่วมกนั เปน็ ผนู้ ำรว่ มกนั ของสมาชิกชุมชนแห่งการ เรียนรู้วชิ าชีพด้วยการกระจายอำนาจเพิม่ พลังอำนาจซึ่งกันและกันใหส้ มาชิกมีภาวะผนู้ ำ เพิม่ ขึน้ จนเกิดเป็นผู้นำรว่ มของครู ในการขบั เคลือ่ นชุมชนแห่งการเรยี นรู้วชิ าชีพมุ่งพฒั นา การจัดการเรียนรทู้ ีเ่ น้นผเู้ รียนเป็นสำคญั โดยยึดหลกั แนวทางบริหารจดั การรว่ มรสนับสนนุ การกระจายอำนาจการสร้างแรงบันดาลใจของครู โดยครเู ป็นผู้ลงมอื กระทำหรอื ครู ทำหนา้ ทีเ่ ปน็ \"ประธาน\" เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงการจดั การเรยี นรู้ไม่ใช่ \"กรรม\" หรอื ผถู้ ูกกระทำ และผถู้ ูกให้กระทำ ซึ่งผนู้ ำร่วมจะเกิดข้ึนได้ดีเม่อื มีบรรยากาศส่งเสริมให้ครู สามารถแสดงออกด้วยความเตม็ ใจอิสระปราศจากอำนาจครอบงำที่ขาดความเคารพใน วิชาชีพ แตย่ ึดถือปฏิบตั ิร่วมกันในชุมชนแห่งการเรยี นรู้วิชาชีพนน่ั คอื \"อำนาจทางวิชาชีพ\" เป็นอำนาจเชิงคุณธรรมเพื่อยึดถือเปน็ ที่มีขอ้ ปฏิบตั ิที่มาจากเกณฑแ์ ละมาตรฐานที่เหน็ พ้องตรงกนั หรอื กำหนดร่วมกนั แนวทางร่วมกนั ของผปู้ ระกอบวิชาชีพครูท้ังหลายในชุมชน แห่งการเรียนรู้วชิ าชีพกลา่ ว จึงสามารถสรุปได้วา่ ภาวะผนู้ ำร่วม เปน็ หวั ใจสำคญั ของ การเปลีย่ นแปลงตนเองของแต่ละคนท้ังสมาชิกและผนู้ ำโดยตำแหน่ง เมือ่ ใดที่บคุ คลนั้น

58 เกิดการเรยี นรู้ท้ังดา้ นวิชาชีพและชีวิตจนเกิดพลงั การเปลีย่ นแปลงทีส่ ง่ ผลตอ่ ความสุข ในวิชาชีพของตนเองและผู้อื่น ภาวะผนู้ ำร่วมจะเกิดผลต่อความเปน็ ชุมชนการเรียนรู้ ทางวิชาชีพ (PLC) 4) การเรียนรแู้ ละการพฒั นาวิชาชีพ (Professional learning and development) การเรียนรแู้ ละการพฒั นาวิชาชีพในชุมชนแห่งการเรียนรู้วิชาชีพมจี ดุ เน้น สำคญั 2 ด้าน คือ การเรียนรเู้ พือ่ พฒั นาวิชาชีพ และการเรียนรู้เพอ่ื จิตวิญญาณความ เป็นครู ดงั นี้ 4.1) การเรียนรู้เพื่อพัฒนาวิชาชีพ หวั ใจสำคญั การเรียนรู้บนพืน้ ฐาน ประสบการณ์ตรงในงานที่ลงมอื ปฏิบัติจริงร่วมกนั ของสมาชิก จะมีสัดส่วนการเรียนรู้ มากกวา่ การอบรมจากหน่วยงานภายนอก เป็นการเรียนรผู้ ่านประสบการณต์ รงสง่ ผล ตอ่ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลการเรยี นรู้ได้มากทีส่ ดุ ดว้ ยบริบทชุมชนการเรียนรู้ ทางวิชาชีพ ที่มกี ารทำงานร่วมกนั เป็นทีม จึงทำให้การเรียนรจู้ ากโจทย์และสถานการณ์ ที่ครจู ะต้องจดั การเรียนรทู้ ี่ยึดผเู้ รียนเป็นสำคญั เป็นการรว่ มเห็น ร่วมคิด รว่ มทำ ร่วม รับผิดชอบ ทำให้การพฒั นาวิชาชีพของครูรู้สกึ ไมโ่ ดดเดี่ยว คอยสะท้อนการเรียนรแู้ ละ ชว่ ยเหลอื ซึง่ กันและกนั ถือเป็นพืน้ ที่การเรียนรู้ร่วมกันทีใ่ ชว้ ิธีการทีห่ ลากหลาย เช่น สะท้อนการเรยี นรู้ สนุ ทรียะสนทนา การเรียนรู้สบื เสาะแสวงหา การสร้างมโนทศั น์ ริเร่มิ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ การคิดเชงิ ระบบ การสร้างองคค์ วามรู้ การเรียนรู้บนความเข้าใจ การทำงานของสมองและการจัดการความรู้ เป็นต้น 4.2) การเรียนรู้เพื่อจิตวิญญาณความเปน็ ครู เป็นการเรียนรู้เพือ่ พฒั นาตนเองจากข้างในหรือวุฒิภาวะความเปน็ ครใู ห้เปน็ ครทู ี่สมบรู ณ์ โดยมีนัยยะสำคญั คือ การเรียนรู้ตนเอง การรู้จกั ตนเองของครู เพื่อที่จะเข้าใจมิตขิ องผู้เรยี นที่มากกว่าความรู้ แตเ่ ป็นมิตขิ องความเป็นมนุษย์ความฉลาดทางอารมณ์ เมื่อครูมคี วามเข้าใจธรรมชาติ ตนเองแลว้ จงึ สามารถมองเห็นธรรมชาติของศิษยต์ นเองอยา่ งถ่องแท้ จนสามารถสอน หรอื จัดการเรียนรู้โดยยึดการเรียนรู้ของผเู้ รียนเปน็ สำคัญได้ รวมถึงการเรยี นรู้ร่วมกนั ของสมาชิกในชุมชน ที่ตอ้ งอาศยั การตระหนกั รู้สติ การฟัง การใคร่ครวญ เป็นต้น จิตที่ สามารถเรียนรู้และเปน็ ครูได้อยา่ งแท้จริงน้ันจะเปน็ จิตที่เต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา ความกรุณาและความอ่อนน้อม เหน็ ศษิ ย์เปน็ ครู เหน็ ตนเองเป็นผู้เรยี นรู้ มพี ลังเรียนรู้ ในทุกสถานการณ์ที่เกิดข้ึนโดยใช้วธิ ีการที่หลากหลาย เชน่ การเรียนรู้เพอ่ื การเปลี่ยนแปลง การเรียนรอู้ ยา่ งใคร่ครวญ และการฝกึ สติ เป็นต้นกลา่ วโดยสรปุ การเรียนรู้และการพัฒนา วิชาชีพของชมุ ชนแห่งการเรียนรู้วิชาชีพนน้ั มหี วั ใจสำคัญคือ การเรียนรู้ร่วมกนั อย่าง

59 มีความสขุ ของทีมเรียนรู้ เปน็ บรรยากาศทีเ่ ปิดพื้นที่ การเรียนรู้แบบนำตนเองของครู เพือ่ การเปลี่ยนแปลงพฒั นาตนเองและวิชาชีพอย่างต่อเนือ่ งเป็นสำคัญ 5) ชมุ ชนกลั ยาณมิตร (Caring community) กลุ่มคนทีอ่ ยรู่ ว่ มโดยมี วิถีและวัฒนธรรมการอยู่รว่ มกันในชมุ ชน มีคุณลกั ษณะคือ มงุ่ เนน้ ความเปน็ ชุมชนแห่ง ความสุข สุขท้ังการทำงานและการอย่รู ่วมกนั ทีม่ ลี ักษณะวฒั นธรรมแบบ “วฒั นธรรม แบบเปิดเผย” มเี สรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของตนเปน็ วิถีแหง่ อสิ รภาพ และ เป็นพืน้ ทีใ่ หค้ วามรสู้ ึกปลอดภยั ทีท่ กุ คนหรอื ปลอดการใช้อำนาจกดดันบนพื้นฐาน ความไว้วางใจเคารพซึง่ กันและกัน มีจริยธรรมแห่งความเอือ้ อาทร เปน็ พลังเชิงคุณ ธรรมคุณงามความดีทีส่ มาชิกรว่ มกนั ทำงานแบบอุทิศตนเพื่อวิชาชีพ โดยมีเจตคติ เชงิ บวกตอ่ การศกึ ษาและผเู้ รียน สอดคล้องกบั ที่วา่ ชมุ ชนการเรียนรทู้ างวิชาชีพ เป็นกลุ่มที่มวี ิทยสัมพนั ธ์ต่อกันเป็นกลมุ่ ที่เหนยี วแนน่ จากภายใน ใช้ความเป็นกัลยาณมิตร เชงิ วิชาการต่อกนั ทำให้ลดความโดดเดี่ยวระหว่างปฏิบัติงานสอนของครู เชื่อมโยง ปฏิสมั พันธ์กันท้ังในเชิงวิชาชีพและชีวติ มคี วามศรทั ธารว่ มอยูร่ ว่ มกันแบบ \"สังฆะ\" ถือศลี หรอื หลักปฏิบตั ิร่วมกัน โดยยึดหลักพรหมวิหาร 4 คอื เมตตา กรณุ ามุฑติ า และอุเบกขา เป็นชมุ ชนที่ยึดหลักวินัยเชงิ บวกเช่อื มโยงการพัฒนาชุมชนการเรียนรู้ ทางวิชาชีพ ไปกับวิถีชีวติ ตนเองและวิถีชีวติ ชุมชนอันเป็นพืน้ ฐานสำคญั ของสังคมฐาน การพึ่งพาตนเอง 6) โครงสรา้ งสนบั สนนุ ชุมชน (Supportive structure) โครงสรา้ ง ทีส่ นับสนุนการกอ่ เกิดและคงอยู่ของชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ มีลกั ษณะ ดังน้ี 6.1) ลดความเป็นองคก์ ารที่ยึดวฒั นธรรมแบบราชการ หนั มาใช้ วัฒนธรรมแบบกลั ยาณมิตรทางวิชาการแทน และเป็นวัฒนธรรมทีส่ ่งเสริมวิสยั ทัศน์ การดำเนินการที่ต่อเนือ่ งและมุ่งความยง่ั ยืน ปัจจัยเงื่อนไขสนบั สนนุ ตามบริบทชุมชน 6.2) มโี ครงสรา้ งองคก์ ารแบบไม่รวมศูนยห์ รอื โครงสร้างการ ปกครองตนองของชุมชนเพื่อลดความขดั แย้งระหว่างครผู ู้ปฏิบัติงานสอนกับฝ่ายบริหาร ให้นอ้ ยลง มกี ารบริหารจดั การและการปฏิบัติงานในสถานศกึ ษาทีเ่ น้นรปู แบบทีมงาน เป็นหลัก 6.3) มกี ารจดั สรรปจั จัยสนับสนนุ ให้เอือ้ ตอ่ การดำเนินการของชมุ ชน การเรียนรทู้ างวิชาชีพ สรุปได้วา่ องค์ประกอบของชมุ ชนการเรียนรวู้ ิชาชีพในสถานศกึ ษา มี 6 องคป์ ระกอบ ได้แก่ วิสัยทศั น์รว่ ม ทีมร่วมแรงร่วมใจ ภาวะผนู้ ำร่วม การเรียนรู้

60 และการพัฒนาวิชาชีพ ชุมชนกัลยาณมิตร และโครงสร้างสนบั สนนุ ชุมชน ซึ่งองค์ประกอบ จะมีเอกลกั ษณส์ ำคัญของความเป็นชมุ ชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพที่แสดงให้เหน็ ความเป็น ชุมชนการเรียนรทู้ างวิชาชีพ จะทำใหค้ วามเปน็ “องคก์ ร\" หรอื \"โรงเรียน \" มคี วามหมาย ที่การพัฒนาการเรียนรู้ของผเู้ รียนอย่างแท้จริง ซึง่ เปน็ หวั ใจสำคัญของชุมชนการเรียนรู้ ทางวิชาชีพ ดว้ ยกลยทุ ธก์ ารสร้างความรว่ มมอื ที่ยึดเหนีย่ วกนั ด้วยวิสัยทัศน์ร่วมมงุ่ การ เรียนรู้ของผเู้ รียน การเรียนรู้และพฒั นาวิชาชีพและชุมชนกลั ยาณมิตร แสดงถึงการรวม พลงั ของครูและนกั การศกึ ษาที่เปน็ ผู้นำร่วมกัน ทำงานร่วมกนั แบบทีมรว่ มแรงร่วมใจ มุ่งเรยี นรู้ เพอื่ พัฒนาตนเอง พัฒนาวิชาชีพ ภายใต้โครงสร้างอำนาจทางวิชาชีพและ อำนาจเชิงคุณธรรมที่มาจากการรว่ มคิด รว่ มทำ ร่วมนำ ร่วมพัฒนาของครู ผู้บริหาร นกั การศกึ ษาภายในชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ที่สง่ ถึงผู้เกีย่ วข้องตอ่ ไป 5. ระดับของชมุ ชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ชมุ ชนแห่งการเรียนรทู้ างวิชาชีพ สามารถแบง่ ได้ 3 ระดับ คอื ระดบั สถานศกึ ษา ระดับเครือข่าย และระดบั ชาติ โดยแตล่ ะลักษณะจะแบ่งประเภท ตามระดบั ของความเปน็ ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ดังน้ี 1) ระดบั สถานศกึ ษา (School Level) ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ทีข่ บั เคลือ่ นในบริบทสถานศกึ ษาหรอื โรงเรียน สามารถแบ่งได้ 3 ระดบั ยอ่ ย ดังน้ี 1.1) ระดับนักเรียน (Student Level) ซึ่งนกั เรียนจะได้รับการสง่ เสริม และรว่ มมอื ให้เกิดการเรยี นรู้ข้นึ จากครูและเพือ่ นนกั เรียนอืน่ ให้ทำกิจกรรมเพื่อแสวงหา คำตอบทีส่ มเหตุสมผลสำหรับตน นกั เรียนจะได้รับการพัฒนาทักษะทีส่ ำคญั คอื ทักษะ การเรียนรู้ 1.2) ระดับผปู้ ระกอบวิชาชีพ (Professional Level) ประกอบด้วย ครูผสู้ อนและผบู้ ริหารของโรงเรยี นโดยใช้ฐานของ “ชุมชนแห่งวิชาชีพ” เชือ่ มโยงกับ การเรียนรขู้ องชมุ ชน จงึ เรียกวา่ “ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ” ซึง่ เปน็ กลไกสำคัญ อย่างยิง่ ทีท่ กุ คนในโรงเรียนรว่ มกนั พิจารณา ทบทวนเรื่องนโยบาย การปฏิบัติ และ กระบวนการบริหารจดั การต่าง ๆ ของโรงเรียนใหมอ่ ีกคร้ัง โดยยึดหลกั ในการปรับปรงุ แก้ไขสิ่งเหลา่ นี้ เพือ่ ให้สามารถ บริการด้านการเรียนรู้แกน่ ักเรียนได้อย่างมีประสทิ ธิผล อีกทั้ง เพื่อให้การปรบั ปรงุ แก้ไข้ดงั กลา่ ว นำมาส่กู ารสนับสนนุ การปฏิบัติ งานวิชาชีพของ ครูผสู้ อน และผบู้ ริหารให้มีคุณภาพและประสิทธิผล สูงยิง่ ขนึ้ มีบรรยากาศและ สภาพแวดล้อมของการทำงานที่ดีตอ่ กนั ของทกุ ฝ่าย

61 1.3) ระดับการเรียนรู้ของชุมชน (Learning Community Level) ครอบคลมุ ถึงผปู้ กครอง สมาชิกชุมชน และผนู้ ำชมุ ชน โดยบุคคลกลมุ่ นจี้ ำเป็นต้องมีส่วน เข้ามารว่ มสร้าง และผลักดัน วสิ ยั ทัศน์ของโรงเรียนให้บรรลุผลตามเป้าหมาย กล่าวคือ ผปู้ กครองนกั เรียน ผอู้ าวุโสในชุมชนตลอดจนสถาบันต่าง ๆ ของชุมชนเหลา่ นี้ ตอ้ งมีส่วน ร่วมในการส่งเสริมเป้าหมายการเรียนรู้ของชมุ ชนและโรงเรยี น กลา่ วคือ ผู้ปกครองมสี ่วน ร่วมทางการศกึ ษาได้โดยการให้การดูแลแนะนำการเรียนที่บ้านของนักเรียนรวมท้ังให้ การสนับสนนุ แก่ครูและผบู้ ริหารสถานศกึ ษาในการจดั การเรียนรู้ ให้แกบ่ ุตรหลาน ของตน ผอู้ าวุโสในชมุ ชนสามารถเปน็ อาสาสมคั ร ถา่ ยทอดความรู้ 2) ระดับกลุ่มเครือข่าย (Network Level) ชุมชนการเรียนรทู้ างวิชาชีพ ที่ขบั เคลื่อนในลกั ษณะการรวมตัวกนั ของกลุ่มวิชาชีพจากองค์กร หรอื หน่วยงานตา่ ง ๆ ทีม่ ่งุ ม่ันรว่ มกันสร้างชุมชน เครือข่าย ภายใต้ วัตถุประสงคร์ ่วม คือ การแลกเปลี่ยน เรียนรู้ ส่งเสริม สนับสนนุ ให้กำลังใจ สร้างความสมั พันธแ์ ละพฒั นาวิชาชีพร่วมกนั อาจมี เป้าหมายที่เปน็ แนวคิดรว่ มกนั อย่างชดั เจน สามารถแบง่ ได้ 2 ลักษณะ ดังน้ี 2.1) กลมุ่ เครือขา่ ยความร่วมมอื ระหวา่ งสถาบนั คือ การตกลง รว่ มมอื กนั ในการพัฒนาวิชาชีพครรู ะหว่างสถาบัน โดยมองว่าการร่วมมอื กันของ สถาบันตา่ ง ๆ จะทำให้เกิดพลงั การขับเคลื่อน การแลกเปลีย่ นเรียนรู้ทางวิชาชีพ การแลกเปลีย่ นหรอื รว่ มลงทนุ ด้านทรัพยากร และการเกื้อหนนุ เป็นกัลยาณมิตร คอยสะท้อนการเรยี นรู้ซึง่ กันและกนั กรณีตัวอยา่ งเช่น กรณี ศึกษาการจัดชุมชน การเรียนรทู้ างวิชาชีพเปน็ กลุม่ ของโรงเรียนในประเทศสิงคโปร์ เพื่อร่วมพัฒนา แลกเปลี่ยนและสะท้อนร่วมกนั ทางวิชาชีพ เป็นต้น 2.2) กล่มุ เครือขา่ ยความร่วมมอื ของสมาชิกวิชาชีพครู คือ การจดั พืน้ ที่เปิดกว้างให้สมาชกิ วิชาชีพครทู ี่มีอดุ มการณร์ ว่ มกันในการพัฒนาการจดั การเรียนรู้ ของตนเองเพื่อการเปลีย่ นแปลง เชงิ คุณภาพของผเู้ รียนเป็นหวั ใจสำคญั สมาชิกทีร่ วม ตัวกัน ไม่มเี งอื่ นไขเกีย่ วกบั สงั กัด แต่จะตั้งอยู่บนความมุ่งมัน่ สมคั รใจ ใช้อุดมการณ์ ร่วมเปน็ หลกั ในการรวมกันเป็นชมุ ชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ กรณีตัวอย่าง เช่น PLC “ครูเพือ่ ศิษย์” ของมลู นิธิสดศรี สฤษดิว์ งศ์ (มสส.) ทีส่ ร้างพื้นทีส่ ่วนกลางสำหรบั วิชาชีพครู ให้จับมอื รว่ มกันเป็นภาคี รว่ มพฒั นา “ครูเพือ่ ศษิ ย์” มุ่งสร้างสรรคน์ วัตกรรมการจัดการ เรียนรู้ในแตล่ ะพ้ืนทีข่ องประเทศไทย เป็นต้น 3) ระดับชาติ (The National Level) ชมุ ชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพที่เกิดข้ึน โดยนโยบายของรฐั ที่มงุ่ จดั เครือข่ายชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพของชาติเพ่ือขบั เคลื่อน

62 การเปลี่ยนแปลงเชิงคณุ ภาพของวิชาชีพ โดยความรว่ มมอื ของ สถานศกึ ษา และครู ทีผ่ นึกกำลงั รว่ มกันพัฒนาวิชาชีพ ภายใต้ การสนบั สนนุ ของรัฐ ดังกรณีตวั อยา่ ง นโยบาย วิสยั ทศั น์เพือ่ ความร่วมมอื ของกระทรวงศกึ ษาธิการประเทศสิงคโปร์ รฐั จัดใหม้ ีชุมชน การเรียนรทู้ างวิชาชีพของชาติสงิ คโปร์ เพือ่ มุ่งหวังขบั เคลื่อนแนวคิด “สอนให้น้อย เรียนรู้ให้มาก” (Teach Less, Learn more) ให้เกิดผลสำเรจ็ เปน็ ต้น 6. กระบวนการกิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนร้ทู างวิชาชีพ กระบวนการกิจกรรมชุมชนแหง่ การเรียนรู้ทางวิชาชีพ มีขน้ั ตอน ดงั น้ี 1) ขนั้ ตอนที่ 1 การสร้างทีมชุมชนแห่งการเรยี นรู้ทางวิชาชีพ (PLC) เปน็ การรวมตัว รวมใจ รวมพลัง รวมกันเปน็ กลมุ่ สมาชิก โดยสมาชิกในกลุ่มต้อง มีความเช่ือ ความศรทั ธา มีความสนใจ และมีเป้าหมายรว่ มกัน เพือ่ ตอ้ งการแก้ไข ปญั หาหรอื พัฒนาการปฏิบัติงานรว่ มกัน 2) ขนั้ ตอนที่ 2 การศกึ ษาสภาพปัญหาและความต้องการ เป็นการ ร่วมกันศึกษาบริบท สภาพปัญหาและความต้องการ โดยทำการวิเคราะห์ สังเคราะห์ จำแนก จดั กลมุ่ ปัญหาหรอื สิ่งทีต่ อ้ งการพัฒนา แล้วทำการพิจารณาเลือกปัญหาหรอื สิง่ ที่ตอ้ งการพัฒนาจำเป็นเร่งด่วน หลังจากน้ันรว่ มกนั ตดั สินใจ เพื่อเลอื กวิธีการหรอื นวัตกรรมทีจ่ ะนำไปใช้ในการแก้ปัญหาหรือพฒั นาต่อไป 3) ขนั้ ตอนที่ 3 การออกแบบกิจกรรมการแก้ปญั หา เป็นการออกแบบ วิธีการหรือนวัตกรรมที่จะนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาหรือพฒั นา ด้วยการวิเคราะห์ หลกั สตู ร จัดทำหน่วยการเรียนรู้ จัดทำแผนการเรียนรู้ ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ วิธีการวัดและประเมินผล ตลอดจนการพัฒนาเครื่องมือในกิจกรรมชุมชนแห่งการเรียนรู้ ทางวิชาชีพ 4) ขั้นตอนที่ 4 การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเสนอแนะ เป็นการนำเสนอ วิธีการหรือนวตั กรรมในการแก้ปญั หาหรือพฒั นา ไปให้ผู้เชี่ยวชาญหรอื ผทู้ ีม่ ปี ระสบการณ์ ได้เสนอแนะความคิดเห็น 5) ขนั้ ตอนที่ 5 การปฏิบัติการ เป็นการนำวิธีการหรอื นวัตกรรมไป ดำเนนิ การจัดกิจกรรมแก้ปญั หาหรือพฒั นา โดยมีผู้สังเกตการณ์เข้าร่วมสงั เกต ในการจัดการเรียนรู้ เชน่ การเยีย่ มชน้ั เรียน สงั เกตการสอน เป็นต้น 6) ขน้ั ตอนที่ 6 การสะท้อนผล เป็นพิจารณาไตรต่ รองผลของการจัด การเรียนรู้ โดยทำการสรปุ ผล อภปิ รายผล และเสนอแนะแนวทางในการนำวิธีการหรอื นวัตกรรมไปใช้ในการนำไปแก้ปญั หา

63 7) ขน้ั ตอนที่ 7 การเผยแพร่กิจกรรม ผลงานและนวัตกรรม เป็นการ นำเสนอวิธีการหรอื นวัตกรรมที่ใช้ในการแก้ไขปญั หาหรอื พัฒนา เพื่อขยายผลใหก้ ับผทู้ ี่มี ความสนใจหรอื ต้องการแก้ไขปัญหาหรอื พัฒนาในลักษณะเดียวกัน 7. บทบาทของครูในชมุ ชนแหง่ การเรียนรทู้ างวชิ าชีพ บทบาทของครใู นชุมชนแห่งการเรียนรทู้ างวิชาชีพจะเปลี่ยนไปจากเดิม เนือ่ งจากการรว่ มมอื กันเรียนรู้ และพฒั นาวิชาชีพจะทำให้เกิดการถา่ ยโอน ประสบการณ์ ทักษะ หรอื ความเช่ยี วซาญทางวิชาชีพจากครูที่มีประสบการณส์ ูงกวา่ ไปยังครทู ี่มี ประสบการณน์ อ้ ยกว่า ไมใ่ ชแ่ ค่เพียงครอู าวโุ สจะเป็นผู้ถา่ ยทอดประสบการณ์เทา่ นั้น ครทู ีม่ อี ายุน้อยอาจเปน็ ผู้ถ่ายทอดนวตั กรรมหรอื เทคโนโลยีเพือ่ การจดั การเรียนรู้ทีเ่ ป็น ประโยชน์ได้เช่นกนั ซึง่ ถือว่าเปน็ กระบวนการเรียนรรู้ ว่ มกนั อย่างย่ังยืน กระบวนการเช่นนี้ ก็คือการสอนงานแบบพี่เลี้ยง (coaching-mentoring) ดงั นั้น ในชมุ ชนแห่งการเรียนรู้ทาง วิชาชีพ ครูจะต้องสลับกันใช้ภาวะผนู้ ำเพื่อทำหน้าทีเ่ ป็นพีเลี้ยงวชิ าการให้กบั สมาชิกคนอืน่ ๆ ในการถา่ ยทอดความรแู้ ละประสบการณ์ที่จำเปน็ ตอ่ การพฒั นาคุณภาพนักเรียน ไม่ใช่ เพียงด้านการจดั การเรยี นรเู้ ท่านั้น แตห่ มายถึงองค์ประกอบทกุ ด้านทีท่ ำใหก้ ารปฏิบัติ หนา้ ทีข่ องครใู นการจัดการเรียนรมู้ ีความสะดวกและเกิดประสิทธิภาพ สามารถจำแนก รูปแบบของการเป็นพีเ่ ลี้ยงได้ 5 ประเภท (เมธาสิทธิ์ ธัญรตั นศ์ รีสกลุ , 2560, หนา้ 221) ดังน้ี 1) รูปแบบการเป็นพีเ่ ลีย้ งแบบดั้งเดิม (traditional one-to-one mentoring) ประกอบด้วย พี่เลี้ยง 1 คน และผไู้ ด้รับการดูแลเพียง 1 คน ลักษณะ ความสัมพนั ธ์เป็นแบบบนลงลา่ ง (top-down) โดยพีเ่ ลยี้ งจะเป็นผู้ทีม่ ปี ระสบการณ์ ในเรอ่ื งนนั้ มากกว่าทำการส่งเสริม แนะนำผทู้ ี่มปี ระสบการณ์นอ้ ยกว่าเกีย่ วกับ การปฏิบัติงาน 2) รปู แบบการเป็นพี่เลีย้ งแบบเพื่อน (peer mentoring) ประกอบด้วย พีเ่ ลี้ยง 1 คน และผไู้ ด้รบั การดแู ลเพียง 1 คน ลกั ษณะความสมั พันธเ์ ปน็ แบบแนวนอน (horizontal) โดยที่พีเ่ ลยี้ ง และผู้อยใู่ นความดูแลมีความทดั เทียมหรอื เป็นเพื่อนกนั มี การสอนงานเพื่อเพิ่มความรู้ ความชำนาญและดึงความสามารถของบคุ คลเพือ่ ประโยชน์ ตอ่ องคก์ ร 3) รูปแบบการเปน็ พี่เลีย้ งแบบทีมตอ่ หน่งึ (team mentoring) ประกอบด้วยพี่เลี้ยงหลายคนแต่มีผไู้ ด้รบั การดแู ลเพียงคนเดียว ลักษณะความสัมพันธ์ เป็นแบบบนลงล่าง การดูแลเปน็ แบบทีมตอ่ หนง่ึ โดยทีมผู้มปี ระสบการณ์จะดแู ล

64 ผมู้ ีประสบการณ์น้อยกว่าเพียงคนเดียว 4) รูปแบบการเปน็ พี่เลีย้ งแบบกล่มุ (group mentoring) ประกอบด้วย พี่เลี้ยงคนเดียวแต่มีผไู้ ด้รบั การดแู ลหลายคน ลักษณะความสมั พันธเ์ ป็นแบบบนลงลา่ ง การดูแลเปน็ แบบหน่ึงต่อทีมผทู้ ี่มปี ระสบการณม์ ากกว่าเพียงผเู้ ดียวจะดูแลผู้ทีม่ ี ประสบการณ์นอ้ ยกว่าครั้งละหลายคน และผทู้ ีม่ ปี ระสบการณ์นอ้ ยกวา่ ไมส่ ามารถ ระบพุ ี่เลี้ยงได้ 5) รปู แบบการเป็นพี่เลีย้ งแบบก้าวหน้า (mentoring forward) มีลักษณะ การเป็นพี่เลีย้ งแบบแนวตง้ั และแนวนอน มีการเรียนรู้แบบสง่ ผ่าน และสร้างสรรค์อยา่ ง ตอ่ เนือ่ ง โดยที่ผู้ได้รับการดูแลหลงั จากได้รับการถา่ ยทอดความรู้และประสบการณ์แล้ว ก็จะปรบั บทบาทไปเป็นพีเ่ ลยี้ งถ่ายทอดใหแ้ กผ่ ทู้ ี่มปี ระสบการณ์นอ้ ยกวา่ อกี ทอดหน่ึง 8. ผลดีของชมุ ชนแห่งการเรียนรูท้ างวิชาชีพ Hord (1997, pp. 39-44) ได้ทำการสงั เคราะหร์ ายงานการวิจยั เกีย่ วกับ โรงเรียนที่มกี ารจัดต้ังชุมชนแหง่ การเรียนรู้ทางวิชาชีพ โดยใช้คำถามว่าโรงเรียนดังกลา่ ว มีผลลพั ธอ์ ะไรบ้างทีแ่ ตกต่างไปจากโรงเรยี นท่วั ไปทีไ่ มม่ ชี มุ ชนแห่งการเรียนรทู้ างวิชาชีพ และถ้าแตกต่างแล้วจะมีผลดีต่อครูผู้สอนและตอ่ นกั เรียนอยา่ งไรบ้าง ได้ผลสรุปเป็นข้อ ๆ ดงั น้ี 1) ผลดตี อ่ ครูผสู้ อน ได้แก่ 1.1) ลดความรู้สกึ โดดเดีย่ วในงานสอนของครูลง 1.2) เพิ่มความรสู้ ึกผูกพันต่อพนั ธกิจและเป้าหมายของโรงเรียน มากขึ้น โดยเพิ่มความกระตือรอื ร้นทีจ่ ะปฏิบตั ิใหบ้ รรลุพันธกิจอยา่ งแข็งขัน รู้สกึ ว่าต้อง รว่ มกันรับผดิ ชอบต่อพฒั นาการโดยรวมของนักเรียน และรว่ มกันรับผดิ ชอบเป็นกลุ่มตอ่ ผลสำเร็จของนกั เรียน 1.3) รู้สกึ เกิดสิ่งทีเ่ รียกว่าพลังการเรียนรู้ ซึ่งสง่ ผลใหก้ ารปฏิบัติการ สอนในช้ันเรียนของตนมีผลดียิง่ ขึน้ กลา่ วคือ มกี ารค้นพบความรแู้ ละความเช่อื ใหม่ ๆ ทีเ่ กี่ยวกับวิธกี ารสอนและตัวผเู้ รียนซึง่ ตนไม่เคยสังเกตหรอื สนใจมากอ่ น 1.4) เข้าใจในค้านเนือ้ หาสาระที่ตอ้ งทำการสอนได้แตกฉานยิง่ ข้นึ และรู้ว่าตนเองควรแสดงบทบาทและพฤติกรรมการสอนอยา่ งไร จงึ จะชว่ ยให้นักเรียนเกิด การเรียนรไู้ ด้ดี ที่สุดตามเกณฑท์ ี่คาดหมาย

65 1.5) รบั ทราบข้อมูลสารสนเทศตา่ ง ๆ ที่จำเปน็ ตอ่ วิชาชีพ ได้อย่าง กว้างขวางและราดเรว็ ขึน้ สง่ ผลดตี ่อการปรับปรุงพัฒนางานวิชาชีพของตนได้ตลอดเวลา ครูเกิดแรงบนั ดาลใจทีจ่ ะสร้างแรงบนั ดาลใจตอ่ การเรียนรใู้ ห้แก่นกั เรียนตอ่ ไป 1.6) เพิม่ ความพึงพอใจ เพิ่มขวญั กำลังใจต่อการปฏิบัติงานสูงข้นึ และลดอตั ราการลาหยุดงานน้อยลง 1.7) มีความก้าวหน้าในการปรบั เปลีย่ นวิธีสอนให้สอดคล้องกบั ลกั ษณะผเู้ รียนได้อยา่ งเด่นชัด และรวดเรว็ กว่าทีพ่ บในโรงเรียนแบบเกา่ 1.8) มคี วามผูกพันที่จะสร้างการเปลีย่ นแปลงใหม่ ๆ ให้ปรากฏอยา่ ง เดน่ ชดั และยัง่ ยืน 2) ผลดตี ่อนกั เรียน ได้แก่ 2.1) ลดอตั ราการตกซ้ำชั้นและจำนวนชั้นเรียนที่ตอ้ งเลื่อนหรอื ชะลอ การสอนให้นอ้ ยลง 2.2) อัตราการขาดเรียนลดลง 2.3) มผี ลการเรียนรู้ที่เพิ่มข้ึนเดน่ ชัด ปรากฏใหเ้ หน็ ทวั่ ไป โดยเฉพาะ ในแทบทกุ โรงเรยี นมธั ยมศึกษาขนาดเลก็ 2.4) มีผลสัมฤทธิ์ในการเรียนในวิชาคณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และวิชาการอา่ นที่สงู ขนึ้ อย่างเด่นชดั เม่ือเทียบกับโรงเรียนแบบเกา่ 2.5) มคี วามแตกตา่ งด้านผลสมั ฤทธิก์ ารเรียน ระหวา่ งกลุม่ นักเรียน ทีม่ ภี มู หิ ลงั ไมเ่ หมอื นกนั ลดลงชดั เจน การเรียนรู้โดยใชส้ มองเปน็ ฐาน (Brain-Based Learning) 1. ความหมายของการเรียนรโู้ ดยใช้สมองเปน็ ฐาน การเรียนรโู้ ดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain-Based Learning) หมายถึง การจัดกระบวนการออกแบบ เพื่อให้ผู้เรยี นเกิดการเรียนรู้ ได้เต็มศกั ยภาพสอดคล้อง กับพฒั นาการทางสมองของผู้เรยี นแต่ละคนดว้ ยการจัดสภาพแวดล้อมกิจกรรม การใชส้ ือ่ ตลอดจนการสร้างบรรยากาศที่เอือ้ ตอ่ การเปลีย่ นแปลงทางกายภาพของสมอง 2. หลักการจดั การเรียนรโู้ ดยใชส้ มองเป็นฐาน หลกั การจัดการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เปน็ วิธีการจัดการเรยี นการสอน เพือ่ ให้นักเรียนได้เรียนรอู้ ย่างเป็นธรรมชาติ ดว้ ยกระตุ้นส่งเสริมใหส้ มองซีกซ้ายและซีกขวา ได้เกิดการเรียนรู้อย่างสมดุลทีค่ วามสอดคล้องกบั สติปัญญาด้วยการออกแบบกิจกรรม

66 ทีเ่ อื้อตอ่ การพัฒนาการของสมอง ในการเสริมสร้างทกั ษะ องคค์ วามรู้ และประสบการณ์ การเรียนรทู้ ีห่ ลากหลาย เพือ่ ให้นักเรียนได้เกิดการเรยี นรู้อยา่ งเต็มศกั ยภาพ ซึ่งสามารถ แบง่ หลักการเรียนรู้โดยใช้สมองเปน็ ฐาน ได้ 5 หลกั การ ดังนี้ 2.1) จดั การเรยี นการสอนที่มุ่งเนน้ สร้างบรรยากาศในการเรียนรู้ที่ ผอ่ นคลาย 2.2) จดั การเรียนการสอนที่มุ่งเน้นสร้างประสบการณ์เรียนรู้ที่หลากหลาย 2.3) จดั การเรียนการสอนที่สง่ เสริมกระบวนการเรียนรู้ที่ให้นกั เรียน ได้ปฏิบัติโดยตรง 2.4) จดั การเรยี นการสอนที่สง่ เสริมการสร้างอารมณ์ความรู้สกึ ที่ช่วยกระตุ้นใหเ้ กิดการเรียนรู้ 2.5) จัดการเรียนการสอนที่สง่ เสริมพัฒนาการทางสมองของนักเรียน 3. องคป์ ระกอบของการเรียนรู้โดยใชส้ มองเปน็ ฐาน องค์ประกอบของการเรียนรู้โดยใช้สมองเปน็ ฐาน ประกอบด้วย 3.1) การสร้างบรรยากาศทีเ่ อือ้ ตอ่ การเรียนรู้ เพือ่ ให้นักเรียนได้ เกิดเรียนรจู้ ากประสบการณท์ ี่หลากหลาย 3.2) ปลุกเร้าความสนใจ เพือ่ ให้นกั เรียนได้เกิดความกระตือรอื ร้น ตามวิธีการเรยี นรู้จากประสบการณต์ รง 3.3) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทีท่ ้าทาย เพือ่ เปิดโอกาสใหน้ กั เรียน ได้เรยี นรู้ตามความสามารถบนพืน้ ฐานความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล 4. กระบวนการเรยี นการเรียนรูโ้ ดยใชส้ มองเป็นฐาน กระบวนการเรียนการเรียนรู้โดยใช้สมองเปน็ ฐานเป็นลำดบั ข้ันตอน การจดั การเรียนรอู้ ย่างมรี ะเบียบแบบแผน เพื่อสง่ เสริมให้สมองซีกซ้ายและซีกขวา ได้เกิดการเรียนรู้ อย่างสมดุลทีม่ คี วามสอดคล้องกบั สติปญั ญาบนพืน้ ฐาน ความแตกต่าง ระหว่างบุคคล ซึง่ จะทำให้การจดั การเรียนรู้บรรลุตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ สอดคล้อง พรพิไล เลิศวิชา (2558, หน้า 27-33) ได้กลา่ วถึงกระบวนการเรียนการสอนโดยใช้สมอง เปน็ ฐาน ไว้ 5 ข้ันตอน ดงั นี้ 1) ขนั้ อ่นุ เครื่อง (Warm-Up) กิจกรรมทีท่ ำให้สมองตน่ื ตัว เตรียมพร้อม ที่จะเรียนรู้วชิ าตอ่ ไป หรอื ระหว่างชวั่ โมงทีด่ ีที่สดุ กค็ ือ การ Warm-Up (อ่นุ เครือ่ ง) ควรให้ ทำ Warm-Up เพื่อกระตุ้นสมอง การ Warm-Up น้ันทำได้ 3 วิธี คือ

67 1.1) Brain Exercise คือ การเคลื่อนไหวรา่ งกายข้ามแกนกลางของ ลำตัว เพื่อกระตุ้นและพัฒนาสมองทั้งสองซีก 1.2) การเคลือ่ นไหวเปน็ จงั หวะ คือ กิจกรรมที่จดั ให้เดก็ ได้เคลื่อนไหว สว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายอยา่ งอสิ ระโดยใช้เสียงเพลง จังหวะ และทำนอง คาคล้องจองหรอื อปุ กรณป์ ระกอบการเคลื่อนไหว 1.3) ยืนเส้นยืดสาย คือ การยืดเหยียด นกั เรียนควรได้ยืดเส้นยดื สาย หรอื ท่าโยคะ เชน่ ท่าโยคะสำหรบั เดก็ การเคลื่อนไหวรา่ งกายในท่วงทา่ ต่าง ๆ ทำให้สมอง น้อยพฒั นา รา่ งกายแข็งแรง และมีพัฒนาการดีข้ึน 2) ขนั้ นำเสนอความรู้ (Present) การนำเสนอความรู้ (การสอน) เปน็ การเปิดโอกาสใหเ้ ดก็ ทุกคนได้เรียนรู้อยา่ งประสิทธิภาพ โดยนำเสนอความรใู้ หม่ ผา่ นสื่อการเรียนรู้ทีน่ ่าสนใจ เช่น ส่อื ของจริง บัตรภาพ บัตรคำ บทเพลง เปน็ ต้น 3) ขนั้ ลงมอื เรียนรู้-ฝกึ ทำ-ฝกึ ฝน (Learn-Practice) การที่คณุ ครู นำเสนอความรหู้ รอื ทีเ่ รยี กว่า “สอน” นั้น เป็นเพียงแต่การเสนอความรแู้ ละประสบการณ์ ใหมใ่ ห้นกั เรียน แตก่ ารเรียนรู้จริง ๆ อยู่ทีก่ ารลงมอื ทำ การใชค้ วามรนู้ ้ันดว้ ยกิจกรรม ตา่ ง ๆ เชน่ พานักเรียนไปดูของจริง สำรวจและบันทึกจากสิง่ ทีพ่ บเห็น ทำกิจกรรม จากใบงาน เชน่ เล่นเกม ใช้อุปกรณเ์ คาะลงบนโต๊ะหรือข้อความ ใหเ้ ดก็ ได้เคลื่อนไหว และควรมีใบงานที่ใหน้ ักเรียนได้ประยุกตใ์ ช้ความรู้ 4) ข้ันสรุปความรู้ (Summary) การนำประสบการณท์ ั้งหมดจาก การเรียนรู้ มาสรปุ รวบยอดเป็นความรู้ข้ึนอกี คร้ังหนึ่ง มีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ เรามักสังเกต ได้วา่ นักเรียนอาจทำการฝึกผดิ พลาด ทำแบบฝกึ หัดไม่ถูก สรา้ งความรู้ จาก Concept ทีผ่ ิด เป็นต้น ความผิดพลาดเหล่านจี้ ะปล่อยไปไม่ได้ การตรวจงานไม่ใช้ การขดี ถกู ขีดผดิ แล้วจบ แต่ต้องทำงานแก้ไขใหน้ ักเรียนทำความเข้าใจเสียใหม่แก้ ความเข้าใจผดิ น้ันเราจะรู้ปัญหานีไ้ ด้กต็ ่อเมือ่ เรามีกิจกรรมหรอื ใบงาน 5) ขน้ั ประยุกตใ์ ช้ความรู้ (Apply) เปน็ ข้ันที่ครูมอบหมายงานให้นักเรียน ทำเดี่ยว ทำคู่ หรอื กลมุ่ ก็ได้ โดยใหน้ ำความรทู้ ี่มอี ยไู่ ปประยกุ ตใ์ ช้สร้างสรรคช์ ้นิ งานทีค่ รู มอบหมายให้ และแก้ปญั หาตา่ ง ๆ 5. แนวทางการจดั การเรียนรโู้ ดยใช้สมองเป็นฐาน การจดั การเรียนรโู้ ดยใช้สมองเปน็ ฐานควรมีแนวทางในการดำเนินการ ดังน้ี 1) ดา้ นเทคนิคการสอน ครูผสู้ อนควรใช้เทคนิควิธีการสอนที่เหมาะสม ดังน้ี

68 1.1) จดั สภาพแวดล้อมทีส่ ร้างสรรค์ โดยใช้ดนตรีประกอบจะชว่ ยให้ เกิดประสบการณ์การเรียนรู้ 1.2) การผ่อนคลายอาการตึงเครียดทีอ่ าจเกิดขึ้น พยายามลบ บรรยากาศแห่งความกลวั ในตวั ผเู้ รียนในขณะทีส่ ง่ เสริมสภาพแวดล้อมทีท่ ้าทาย 1.3) กระบวนการทีใ่ ช้กิจกรรม ให้ผู้เรยี นได้รวบรวมข้อมูลและ เกิดการเรยี นรู้ 2) ดา้ นหลกั สูตร ครูผสู้ อนต้องออกแบบการเรียนรตู้ ามความสนใจ ของผู้เรยี นและครอบคลมุ บริบททางการสอน ให้นกั เรียนเรียนรู้เปน็ ทีม และใช้การเรียนรู้ จากประสบการณร์ อบตัวโครงสรา้ งการเรยี นรู้ของครูผู้สอนจะเกีย่ วข้องกับปัญหาจรงิ ๆ สนบั สนนุ ให้เกิดการเรยี นรู้นอกห้องเรยี นและนอกโรงเรียน การประเมินครูผสู้ อนต้องรจู้ กั ลีลาการเรียนรู้และความชอบของนกั เรียนเพื่อทีจ่ ะได้กำกบั และสง่ เสริมกระบวนการเรียนรู้ ของแตล่ ะคน 3) ดา้ นการจดั ประสบการณท์ ีเ่ หมาะสม เพราะสมองมีส่วนสำคัญยิง่ ตอ่ การเรียนรู้ ในการจัดกิจกรรมทีม่ ปี ระสิทธิภาพจะเกิดขึน้ โดยตามหลักการปฏิสัมพันธ์ ดังน้ี 3.1) ครูให้ประสบการณท์ ี่สลบั ซับซ้อนและเป็นจริง เช่น วัฒนธรรม ตา่ งชาติ การเรียนภาษาที่สอง ครูผสู้ อนให้นักเรียนใช้สมองทกุ สว่ นพร้อมกนั 3.2) นักเรียนมีนสิ ัยใฝ่รู้ ใฝ่เรยี น ต่นื ตวั เพื่อจะรับสิง่ ใหม่ ๆ เพื่อให้ได้ สิง่ ที่พึงปรารถนา 3.3) การให้นกั เรียนเกิดการหย่งั รใู้ นการแก้ปญั หา ต้องใช้วธิ ีการ วิเคราะหท์ ี่แตกตา่ งกัน ใชป้ ระสบการณท์ ีห่ ลากหลาย โดยผา่ นกระบวนการต่าง ๆ 3.4) การให้ผลย้อนกลับให้อยใู่ นรูปประสบการณ์ 3.5) คนเราจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อเจอปญั หาจรงิ 3.6) สมองแตล่ ะคนแตกต่างกนั ต้องปลอ่ ยใหน้ กั เรียนจัดกระบวนการ เรียนรู้ดว้ ยตัวเขาเอง 3.7) ปญั หาทีด่ ที ี่สดุ ตอ้ งสร้างเสียงหัวเราะ

69 หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย 1. ความสำคญั ของวิชาภาษาไทย ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบตั ิทางวัฒนธรรม อนั ก่อใหเ้ กิด ความเปน็ เอกภาพและเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติใหม้ ีความเปน็ ไทย เป็นเครื่องมอื ในการตดิ ต่อสือ่ สาร เพือ่ สร้างความเข้าใจและความสัมพนั ธท์ ี่ดตี ่อกัน ทำให้สามารถ ประกอบกิจธรุ ะ การงาน และดำรงชีวติ ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อยา่ งสันติสุข และเป็นเครื่องมอื ในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งขอ้ มลู สารสนเทศตา่ ง ๆ เพื่อพฒั นาความรู้ พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรคใ์ ห้ทันต่อ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจน นำไปใช้ในการพฒั นาอาชีพให้มคี วามม่ันคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนีย้ ังเปน็ สือ่ แสดง ภมู ปิ ญั ญาของบรรพบุรุษ ด้านวัฒนธรรม ประเพณี และสนุ ทรียภาพ เป็นสมบตั ิล้ำคา่ ควรแก่การเรียนรู้ อนรุ ักษ์ และสืบสานให้คงอย่คู ู่ชาติไทยตลอดไป 2. การเรยี นรู้วิชาภาษาไทย ภาษาไทยเปน็ ทกั ษะทีต่ อ้ งฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใชภ้ าษา เพื่อการสอ่ื สาร การเรียนรู้วิชาภาษาไทยที่มีประสิทธิภาพและสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริง ควรมีรายละเอียดในการเรียนรู้ ดงั นี้ 1) การอา่ น การอ่านออกเสียงคำ ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว คำประพันธช์ นิดต่าง ๆ การอา่ นในใจเพื่อสร้างความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ ความรจู้ ากสิง่ ทีอ่ ่าน เพือ่ นำไป ปรบั ใช้ในชีวติ ประจำวัน 2) การเขียน การเขียนสะกดตามอักขรวิธี การเขียนสื่อสาร โดยใช้ ถ้อยคำและรปู แบบตา่ ง ๆ ของการเขยี น ซึง่ รวมถึงการเขียนเรียงความ ยอ่ ความ รายงาน ชนิดต่าง ๆ การเขียนตามจินตนาการ วเิ คราะหว์ ิจารณ์ และเขียนเชิงสร้างสรรค์ 3) การฟัง การดูและการพูด การฟงั และดอู ย่างมวี ิจารณญาณ การพดู แสดงความคิดเหน็ ความรสู้ ึก พูดลำดับเรือ่ งราวต่าง ๆ อยา่ งเปน็ เหตเุ ป็นผล การพดู ในโอกาสต่าง ๆ ท้ังเปน็ ทางการและไมเ่ ปน็ ทางการ และการพดู เพื่อโน้มน้าวใจ 4) หลกั การใช้ภาษาไทย ธรรมชาตแิ ละกฎเกณฑข์ องภาษาไทย การใชภ้ าษาให้ถกู ต้องเหมาะสมกบั โอกาสและบคุ คล การแต่งบทประพันธ์ประเภทตา่ ง ๆ และอิทธิพลของภาษาต่างประเทศในภาษาไทย

70 5) วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะหว์ รรณคดีและวรรณกรรม เพื่อศกึ ษาข้อมูล แนวความคิด คณุ คา่ ของงานประพันธ์ และความเพลิดเพลิน การเรียนรู้ และทำความเข้าใจบทเห่ บทร้องเล่นของเดก็ เพลงพ้ืนบ้านทีเ่ ปน็ ภูมิปญั ญาทีม่ คี ุณคา่ ของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดความรสู้ ึกนึกคิด คา่ นิยม ขนบธรรมเนยี มประเพณี เรอ่ื งราวของ สงั คมในอดีต และความงดงามของภาษา เพื่อใหเ้ กิดความซาบซงึ้ และภูมใิ จในบรรพบรุ ุษ ที่ได้สั่งสมสบื ทอดมาจนถึงปจั จบุ นั 3. สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระและมาตรฐานการเรียนรวู้ ิชาภาษาไทย มีจำนวน 5 สาระ ดงั นี้ 1) สาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิด เพื่อนำไปใช้ตัดสนิ ใจ แก้ปญั หาในการดำเนินชีวติ และมีนิสัยรกั การอ่าน 2) สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขยี น เรียงความ ยอ่ ความ และเขียนเร่อื งราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศ และรายงานการศกึ ษาค้นคว้าอยา่ งมีประสิทธิภาพ 3) สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวจิ ารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และความรสู้ ึกในโอกาสต่าง ๆ อยา่ งมีวจิ ารณญาณและ สร้างสรรค์ 4) สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลงั ของภาษา ภมู ิปญั ญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทย ไว้เปน็ สมบัติของชาติ 5) สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเหน็ วิจารณ์วรรณคดี และวรรณกรรมไทยอย่างเหน็ คณุ คา่ และนำมาประยุกตใ์ ช้ในชีวติ จริง 4. คุณภาพผเู้ รยี น คณุ ภาพผเู้ รียนเมือ่ จบการศึกษาในระดบั ชั้นควรมคี วามรู้ ความสามารถ ทีเ่ ป็นคุณสมบตั ิของผู้เรยี น ดงั น้ี

71 1) จบชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 3 1.1) อา่ นออกเสียงคำ คำคล้องจอง ขอ้ ความ เรือ่ งสนั้ ๆ และ บทร้อยกรองง่าย ๆ ได้ถกู ต้องคลอ่ งแคล่ว เข้าใจความหมายของคำและข้อความที่อา่ น ต้ังคำถามเชิงเหตุผล ลำดบั เหตุการณ์ คาดคะเนเหตกุ ารณ์ สรปุ ความรขู้ ้อคิดจากเรอ่ื ง ทีอ่ ่าน ปฏิบัติตามคำสั่ง คำอธิบายจากเร่อื งที่อ่านได้ เข้าใจความหมายของข้อมูลจาก แผนภาพ แผนที่ และแผนภูมิ อา่ นหนงั สืออย่างสมำ่ เสมอ และมีมารยาทในการอ่าน 1.2) มีทกั ษะในการคดั ลายมือตัวบรรจงเตม็ บรรทดั เขียนบรรยาย บนั ทึกประจำวนั เขียนจดหมายลาครู เขียนเรือ่ งเกีย่ วกับประสบการณ์ เขียนเรื่องตาม จนิ ตนาการและมีมารยาทในการเขียน 1.3) เล่ารายละเอียดและบอกสาระสำคัญ ต้ังคำถาม ตอบคำถาม รวมท้ังพูดแสดงความคิดความรู้สึกเกี่ยวกบั เรื่องทีฟ่ งั และดู พูดสือ่ สารเล่าประสบการณ์ และพดู แนะนำหรือพูดเชิญชวนใหผ้ อู้ ื่นปฏิบตั ิตาม และมีมารยาทในการฟงั ดู และพูด 1.4) สะกดคำและเข้าใจความหมายของคำ ความแตกต่างของคำ และพยางค์ หน้าทีข่ องคำในประโยค มีทกั ษะการใชพ้ จนานุกรมในการค้นหาความหมาย ของคำ แตง่ ประโยคง่าย ๆ แตง่ คำคล้องจอง แต่งคำขวัญ และเลือกใช้ภาษาไทยมาตรฐาน และภาษาถิ่นได้เหมาะสมกับกาลเทศะ 1.5) เข้าใจและสามารถสรปุ ข้อคิดที่ได้จากการอ่านวรรณคดีและ วรรณกรรมเพือ่ นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน แสดงความคิดเหน็ จากวรรณคดีที่อา่ น รู้จกั เพลงพ้ืนบ้าน เพลงกล่อมเด็ก ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของท้องถิน่ ร้องบทร้องเล่นสำหรับเด็ก ในท้องถิ่น ท่องจำบทอาขยานและบทร้อยกรองทีม่ คี ุณคา่ ตามความสนใจได้ 2) จบชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 6 2.1) อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะ ได้ถกู ต้อง อธิบายความหมายโดยตรงและความหมายโดยนยั ของคำ ประโยค ข้อความ สำนวนโวหาร จากเร่อื งทีอ่ ่าน เข้าใจคำแนะนำ คำอธิบายในคู่มอื ตา่ ง ๆ แยกแยะข้อคิดเหน็ และข้อเทจ็ จริง รวมท้ังจบั ใจความสำคัญของเรื่องที่อา่ นและนำความรคู้ วามคิดจากเรอ่ื ง ที่อ่านไปตัดสินใจแก้ปัญหาในการดำเนินชีวติ ได้ มีมารยาทและมีนิสัยรักการอ่านและ เห็นคุณค่าสิ่งที่อ่าน 2.2) มีทักษะในการคดั ลายมอื ตัวบรรจงเต็มบรรทัดและครึง่ บรรทดั เขียนสะกดคำ แต่งประโยคและเขียนข้อความ ตลอดจนเขียนสือ่ สารโดยใช้ถ้อยคำ ชดั เจนเหมาะสม ใช้แผนภาพโครงเร่อื งและแผนภาพความคิดเพือ่ พัฒนางานเขียน เขียน

72 เรียงความ ย่อความ จดหมายสว่ นตวั กรอกแบบรายการต่าง ๆ เขียนแสดงความรู้สึกและ ความคิดเหน็ เขียนเรื่องตามจนิ ตนาการอย่างสร้างสรรค์ และมีมารยาทในการเขียน 2.3) พูดแสดงความรคู้ วามคิดเกี่ยวกบั เรื่องที่ฟงั และดู เลา่ เรอ่ื งย่อ หรอื สรปุ จากเร่อื งทีฟ่ ังและดู ตงั้ คำถาม ตอบคำถามจากเรอ่ื งที่ฟงั และดู รวมทั้งประเมิน ความน่าเช่อื ถือจากการฟังและดูโฆษณาอย่างมเี หตุผล พดู ตามลำดับข้ันตอนเรื่องตา่ ง ๆ อย่างชัดเจน พูดรายงานหรือประเด็นค้นคว้าจากการฟัง การดู การสนทนาและพูดโน้มนา้ ว ได้อยา่ งมเี หตุผล รวมท้ังมมี ารยาทในการดูและพดู 2.4) สะกดคำและเข้าใจความหมายของคำ สำนวน คำพังเพย และสภุ าษิต รู้ และเข้าใจชนิดและหน้าทีข่ องคำในประโยค ชนิดของประโยคและคำภาษา ต่างประเทศในภาษาไทย ใช้คำราชาศพั ทแ์ ละคำสภุ าพได้อย่างเหมาะสมแต่งประโยค แต่งบทร้อยกรองประเภทกลอนสี่ กลอนสุภาพ และกาพยย์ านี 11 2.5) เข้าใจและเหน็ คณุ ค่าวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน เลา่ นทิ านพืน้ บ้าน ร้องเพลงพืน้ บ้านของท้องถิน่ นำข้อคิดเหน็ จากเรอ่ื งที่อ่านไปประยุกต์ ใช้ในชีวติ จริง และท่องจำบทอาขยานตามที่กำหนดได้ ความสามารถด้านการอ่านและการเขียน 1. ความหมายของการอ่าน การอา่ น หมายถึง การแสดงออกถึงทกั ษะในการอ่านคำ ประโยค ข้อความ เรื่องราวต่าง ๆ ได้ถูกต้อง เข้าใจความหมายของคำ ประโยคที่อ่านรวมถึงมีมารยาท ในการอา่ น ความสามารถในการอ่านภาษาไทย มี 3 ประการ ดงั น้ี 1.1) ความสามารถในการอ่านออกเสียง เป็นความสามารถอา่ นออกเสียง คำ ประโยค ข้อความหรอื เรื่องราวใหถ้ ูกต้องตามหลกั เกณฑ์ของภาษาหรอื อกั ขรวิธี ซึ่งคำ ประโยคข้อความหรอื เรื่องราวนั้นแต่งหรอื เรียบเรียงจากคำพื้นฐานตามระดับ ช้ันทีก่ รมวิชาการกำหนดไว้ 1.2) ความเข้าใจในการอ่าน เป็นความสามารถในการรแู้ ละเขา้ ใจ ความหมายของคำ ตีความ สรปุ ใจความสำคญั ของประโยค ข้อความหรอื เรื่องราวที่อา่ น 1.3) มารยาทในการอ่าน เป็นพฤติกรรมทีพ่ ึงประสงค์ทีน่ ักเรียน แสดงออกในการอา่ น ได้แก่ ไมอ่ า่ นเสียงดังรบกวนผอู้ ื่น ไม่เล่นขณะที่อ่าน ไมฉ่ ีกพบั ขีดเขียนเล่นในหนังสอื ไมแ่ ยง่ อ่านหรอื ชะโงกหน้าไปอา่ นในขณะทีผ่ ู้อ่ืนกำลังอา่ นอยู่ ทา่ น่ังและจับหนังสอื ถูกต้อง

73 2. จดุ มุ่งหมายของการอา่ น การอ่านมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญ ซึง่ มีรายละเอียด ดังน้ี 1) อ่านเพื่อศกึ ษาหาความรู้ เพิม่ พูนความรใู้ ห้ตนเอง เปน็ การอา่ น ในการศกึ ษาเลา่ เรียน การวิจยั ค้นคว้า อ่านตำรา อ่านหนังสอื เรียน อ่านผลงานวิชาการ 2) อา่ นเพื่อสนองความตอ้ งการของตนเอง ส่วนมากจะเป็นการอ่าน เพื่อความบันเทิงพักผ่อนหย่อนใจ อา่ นในเวลาว่าง หรอื อาจจะเป็นการอ่านเพือ่ หาคำตอบ ทีต่ นเองมีคำถาม 3) อ่านเพื่อหาประโยชน์จากการอา่ น เช่น อา่ นเพื่อรู้วธิ ีปฏิบตั ิใน ชีวติ ประจำวนั อา่ นคู่มอื การใชต้ า่ ง ๆ อ่านเพื่อใชค้ วามรู้ในการประกอบการงานอาชีพ 3. หลกั การของการอ่าน การอา่ นมีหลกั การทีส่ ำคัญทีค่ รผู ู้สอนควรคำนึงถึงเพือ่ ใช้เป็นแนวทาง ในการสอนอ่านให้บรรลตุ ามวัตถปุ ระสงค์และเกิดประสิทธิภาพสูงสดุ จากหลักการสอน อ่านทีก่ ล่าว สรุปได้ ดังน้ี 1) คำนึงถึงพัฒนาการของผู้เรียนหรือความพร้อมด้านการอ่านของ ผเู้ รียน 2) ผู้สอนควรใช้วธิ ีการสอนทีห่ ลากหลายสื่อประกอบการสอนที่ เหมาะสม 3) วางพื้นฐานเพือ่ เสริมสร้างให้มเี จตคติทีด่ ีต่อการอ่านมีนิสัย รกั การอ่าน 4) จดั สภาพแวดล้อมทีเ่ อือ้ ตอ่ การอ่านอำนวย ความสะดวกในการอ่าน 5) จดั กิจกรรมเสริมสร้างการอ่าน 4. ความสำคญั ของการอ่าน การอา่ นมีความสำคญั เนอ่ื งจากเป็นเครื่องมอื สำคญั ที่ใช้ในการเรียนรู้ ทกุ ระดับ ทั้งยงั เปน็ สิ่งที่ส่งเสริมใหผ้ อู้ ่านมคี วามรทู้ ันต่อเหตกุ ารณท์ ี่เปลี่ยนแปลง รู้จัก วิเคราะห์ แยกแยะ คณุ ค่าที่อา่ น นอกจากนั้นการอ่านยังสามารถพัฒนาอาชีพให้ เจริญก้าวหน้าและสร้างเสริมความเพลินเพลินในชีวติ ได้ด้วย 5. การวัดและประเมินผลการอ่าน การวัดและประเมินผลการอา่ น เป็นกระบวนการตรวจสอบว่าผู้เรยี น มีความสามารถในการอ่านตามเกณฑท์ ี่กำหนดไว้หรอื ไม่หรอื บรรลตุ ามจุดประสงค์ การเรียนรทู้ ีก่ ำหนดไว้หรอื ไม่ การวัดและประเมินผลการอ่านต้องใชเ้ ครื่องมอื วธิ ีการ

74 วดั และเกณฑ์ทีเ่ หมาะสม สอดคล้องกบั จดุ ประสงค์ในการสอนอ่านทีก่ ำหนดไว้ 6. ความหมายของการเขียน การเขียน หมายถึง การแสดงออกถึงทกั ษะในการเขียนสือ่ สารด้วยคำและ ประโยคด้วยลายมือทีถ่ กู ต้องสวยงาม ความสามารถในการเขียนภาษาไทยของนักเรียน มี 3 ประการ ดังน้ี 1) ความสามารถในการเขียนสะกดคำ เป็นความสามารถในการเขียนคำ ประโยค ซึง่ เป็นคำพ้ืนฐานตามระดับชั้นทีก่ รมวิชาการกำหนดไว้ ได้ถกู ต้องตามหลักเกณฑ์ ของภาษาหรอื ถกู ต้องตามหลกั ไวยากรณ์ 2) ความสามารถในการเขียนเป็นความสามารถในการเขียนคำ กลุ่มคำ วลี ประโยค ข้อความเพื่อส่ือสารความนกึ คิด ความตอ้ งการออกมาได้ถูกต้องตามหลกั การ ใช้ภาษาตรงตามความตอ้ งการ 3) มารยาทในการเขียน เป็นพฤติกรรมที่พึงประสงค์ที่นักเรียนแสดง ออกมาในการเขียน ได้แก่ ตั้งใจเขียนมีสมาธิ ไมส่ ่งเสียงรบกวนผอู้ ืน่ จับดินสอนและวาง กระดาษถกู ต้อง ทา่ นง่ั เขียนถูกต้อง ลายมือสวยงามสะอาดถกู ต้องมีผลงานการเขียน เสรจ็ ทนั เวลา ความสามารถในการเขียนวัดได้จากคะแนนทีน่ ักเรียนทำแบบประเมิน ความสามารถในการเขียนภาษาไทย 7. จุดมุ่งหมายของการเขียน หลักการของการเขียน เป็นสิ่งสำคญั เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเขียน ให้บรรลตุ ามจุดมุ่งหมายของการเขยี นอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ โดยหลักการของการเขียน มีดังนี้ 2.1) มคี วามชัดเจน อ่านเข้าใจง่าย และไม่คลมุ เครอื 2.2) มคี วามถกู ต้องโดยใช้ภาษาให้เหมาะสมกับกาลเทศะ 2.3) มเี นือ้ หาสาระที่ดี มปี ระโยชน์และถกู ต้องตามความเป็นจรงิ 8. ความสำคัญของการเขียน การเขียนมีความสำคัญ และมีความจำเป็นอย่างยิง่ ในการถา่ ยทอด ความรสู้ ึกนึกคิดผา่ นลายลักษณอ์ ักษร โดยทำการเขียน เรียบเรียงให้เปน็ ถ้อยคำ ให้เป็นประโยค หรอื เรื่องราวตา่ ง ๆ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถรบั รู้และเขา้ ใจตรงกัน หากมีการเขียนไม่ถูกต้องตามหลักภาษา อาจทำให้การสื่อสารไม่บรรลุตาม จุดมงุ่ หมายของการเขยี นได้

75 9. การวัดและประเมินผลการเขียน การวดั และประเมินผลการเขียน เปน็ การวัดทักษะการเขียน โดยทำ การกำหนดคำทีใ่ ชใ้ นแบบทดสอบให้เหมาะสมกบั ระดับช้ันของนกั เรียนเพือ่ นำมาจัดทำ แบบทดสอบการเขียน โดยมีการจดั ทำเคร่อื งมอื ในการวดั ทักษะการเขียนเปน็ แบบทดสอบ ดงั น้ี 4.1) แบบวดั การเขียนตามคำบอก โดยกำหนดคำ แล้วใหน้ กั เรียน เขียนคำตามทีค่ รูอ่าน 4.2) การเขียนประโยคจากภาพทีก่ ำหนดให้ 4.3) การเขียนประโยคจากคำทีก่ ำหนดให้ให้มีความหมาย

76 แนวทางการดำเนินกิจกรรมชุมชนแหง่ การเรียนร้ทู างวชิ าชีพ ในการแกป้ ัญหาและพฒั นาการจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย ระดับชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 1 สำหรับครูผู้สอน การสร้างทีม PLC วธิ ีการ/นวตั กรรม การศกึ ษาสภาพปัญหาและความตอ้ งการ การออกแบบกิจกรรมการแก้ปญั หา แลกเปลี่ยนเรียนรู้ การปฏบิ ัตกกกิาาารรรปแฏลิบกตัเปิกลาี่ยรน การสะทอ้ นผล การเผยแพร่กิจกรรม ผลงานและนวตั กรรม

77 แบบสงั เกตการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ตามกิจกรรมชมุ ชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ชื่อ-สกุล (ครูผสู้ อน) ตำแหน่ง รายวิชา ภาษาไทย ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หน่วยการเรียนรู้ที่ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ วนั ที่ เดือน พ.ศ. ขอ้ ที่ รายการ ระดับคณุ ภาพ ขอ้ สงั เกต 5432 1 1 ครูดำเนินการจัดการเรียนรู้ตามลำดบั ของแผนการจัดการเรียนรู้ 2 จดั กิจกรรมการเรยี นรู้ด้วยวิธีการที่หลากหลาย 3 จดั กิจกรรมการเรียนรู้ให้ผเู้ รียนฝกึ ค้นคว้า สังเกต รวบรวม ข้อมลู วิเคราะห์ คิดอยา่ งหลากหลายและ สรา้ งสรรค์ สามารถ สร้างองคค์ วามรู้ได้ด้วยตนเอง 4 กระตนุ้ ให้ผเู้ รียนมีส่วนรว่ มแสดงความคิดเห็น ค้นคว้า แสวงหา คำตอบด้วยตนเอง 5 ส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนมกี ารเรียนรู้จากสื่อทีห่ ลากหลายรปู แบบ 6 มีการสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม ให้แรงเสริมกบั ผเู้ รียน ในการจัดกิจกรรมการเรยี นร 7 จัดบรรยากาศการเรยี นรู้ทีด่ ึงดูดความสนใจ กอ่ ใหเ้ กิดความสุข และเพลิดเพลินแก่ผเู้ รียน 8 มีกระบวนการวดั ผลและประเมินผลตามสภาพจริง 9 มีเครอ่ื งมอื การวัดผลและประเมินผลทีม่ คี ุณภาพ 10 นักเรียนมสี ่วนรว่ มในการวดั ผลและประเมินผล รวม ระดบั คณุ ภาพ 5 หมายถึง มากทีส่ ุด 4 หมายถึง มาก 3 หมายถึง ปานกลาง 2 หมายถึง น้อย 1 หมายถึง ไม่ปฏิบตั ิ

78 แบบติดตามการสะทอ้ นปัญหา ตามแนวทางการแกป้ ัญหากิจกรรมชมุ ชนแหง่ การเรยี นร้ทู างวิชาชีพ (PLC) (รอบท่ี 1) ข้อที่ รายการติดตาม รายการปฏิบตั ิ ร่องรอย/ ปฏิบัติ ไมป่ ฏิบัติ หลกั ฐาน 1 เปิดใจและเชอ่ื มั่นในการเรียนรรู้ ่วมกัน 2 ยอมรบั วา่ การสอนและการปฏิบัติงานของครู มีผลตอ่ การเรียนรู้ของผู้เรยี น 3 เสนอประเด็นปญั หาทีพ่ บจากการเรียนรขู้ องผู้เรยี น 4 การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้ รว่ มกัน 5 มีจุดประสงคร์ ่วมกนั ในการพฒั นาการเรียนรู้ของ ผเู้ รียน 6 รับฟังความคิดเห็นของผอู้ ื่น และแสดงความคิดเห็น ตอ่ ผู้อ่นื ด้วยทศั นคติเชิงบวก 7 ร่วมกนั คดั เลือกประเดน็ ปญั หา 8 ระดมสมองนำเสนอวิธีแก้ปัญหาจากประสบการณ์ 9 หาข้อมูลความรู้เพิม่ เตมิ 10 อภปิ รายสรปุ และเลือกวิธีการแก้ปญั หาที่เหมาะสม ข้อเสนอแนะเพิม่ เติม

79 แบบติดตามการสะทอ้ นปัญหา แนวทางการแกป้ ญั หากิจกรรมชมุ ชนแหง่ การเรียนรู้ทางวชิ าชีพ (PLC) (รอบท่ี 2, รอบท่ี 3) ข้อที่ รายการติดตาม รายการปฏิบัติ รอ่ งรอย/ ปฏิบตั ิ ไม่ปฏิบตั ิ หลกั ฐาน 1 นำแนวทางการแก้ไขปญั หาสู่การปฏิบตั ิในช้ันเรยี น 2 การร่วมมอื รวมพลงั ของครูผสู้ อนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 3 การให้ความสำคัญกบั การเรียนรขู้ องผเู้ รียน 5 การปรับปรงุ การเรียนการสอนในชน้ั เรียน 6 การเรียนรทู้ างวิชาชีพอย่างต่อเนื่องระหวา่ งการปฏิบตั ิงาน 7 การทำงานร่วมกนั ด้วยความสมั พนั ธ์แบบกลั ยาณมติ ร เพือ่ ให้บรรลเุ ป้าหมายเดียวกัน 8 การนำสือ่ เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปใช้ในการ พฒั นาการเรียนการสอนตามบริบทของสถานศึกษา 9 การตรวจสอบการปฏิบัติงานของครูผสู้ อนกับผลการ เรียนรู้ของผเู้ รียน 10 อภปิ รายผลการสังเกตการสอนและปรบั ปรุงแก้ไข 11 สรปุ ผลวธิ ีการแก้ปญั หาที่ได้ผลดีต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน 12 บันทึกทกุ ขั้นตอนการทำงานกลุ่ม : ระบุปญั หา วธิ ีแก้ การทดลองใช้ ผลที่ได้ 13 สมาชิกร่วมสังเกตการสอนและเกบ็ ข้อมลู 14 แบง่ ปันประสบการณ์ 15 การสรา้ งขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน ขอ้ เสนอแนะเพิ่มเติม

80 เอกสารอ้างอิง พรพิไล เลิศวิชา. (2558). การพลิกโฉมโรงเรยี น ป.1 อ่านออกเขียนได้ใน 1 ปี. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำกัด. เมธาสิทธิ์ ธญั รตั น์ศรีสกลุ . (2560). ชุมชนแห่งการเรยี นรู้ทางวชิ าชีพ: แนวทางปฏิบตั ิ สำหรับครู. วารสารวิชาการ มทร. สวุ รรณภูมิ (มนษุ ยศาสตร์และ สังคมศาสตร)์ , 2(2), 214-228. รงุ่ ชชั ดาพร เวหะชาติ. (2561). วเิ คราะห์องค์ประกอบของชุมชนแหง่ การเรยี นรทู้ างวิชาชีพ. วารสารวิชาการ Veridian E-Journal บัณฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลยั ศิลปากร, 11(3), 2774-2793. วิจารณ์ พานชิ , (2555). ครูเพือ่ ศิษยส์ ร้างห้องเรียนกลบั ทาง. สงขลา: เอส.อาร์ พริน้ ตงิ้ แมสโป. สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน. (2560). ค่มู อื ประกอบการอบรมการ ขบั เคลือ่ นกระบวนการ PLC (Professional Learning Community) “ชุมชน การเรียนรทู้ างวิชาชีพ” สูส่ ถานศกึ ษา. กรงุ เทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการ การศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน. Fullan, M. (2005). The New Meaning of Education Change. London: Routledge/ Falmer. Hord, S.M. (1997). Professional learning communities: Communities of inquiry and improvement. Austin: Southwest Educational Development Laboratory. Senge, P. M. (1990). The fifth discipline: The art and practice of the learning organization. London: Century Press. Sergiovanni, T. (1994). Building Community in Schools. San Francisco, CA: Jossey Bass. Thompson, C. Gregg, L. and John, M. Niska. (2004). Professional Learning Communities, Leadership, and Student Learning. Research in Middle Level Education; RMLE. (1),1-15.

ภาคผนวก ค 1) แผนการจดั การเรียนรู้ 2) คมู่ ือการจดั การเรียนรวู้ ชิ าภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 (สำหรับครผู ู้สอน) 3) คมู่ ือการเรียนรูว้ ชิ าภาษาไทย ช้ันประถมศึกษาปีที่ 1 (สำหรับนักเรียน)

82 แผนการจัดการเรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 1 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 เรือ่ ง เรือ่ งสระอา เวลา 3 ชั่วโมง แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 1 สระอา (-า) พาเพลิน ลงวนั ที่ เดือน พ.ศ. ------------------------------------------------------------------- มาตรฐานการเรียนรู้ ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรแู้ ละความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสนิ ใจ แก้ปญั หา ในการดำเนินชีวติ และมีนิสัยรักการอา่ น ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปลีย่ นแปลงของภาษาและพลัง ของภาษาภูมปิ ญั ญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เปน็ สมบตั ิของชาติ ตัวชีว้ ดั ท 1.1 ป.1/1 อ่านออกเสียงคำ คำคล้องจอง และขอ้ ความสั้นๆ ท 4.1 ป.1/1 บอกและเขียนพยญั ชนะ สระ วรรณยกุ ต์ และเลขไทย จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. นักเรียนสามารถอ่านและเขียนสะกดคำทีป่ ระสมด้วยสระอา (-า) (K) 2. นักเรียนสามารถคำทีป่ ระสมด้วยสระอา (-า) ไปใช้ในชีวติ ประจำวันได้ (P) 3. ทำงานรว่ มกับผู้อืน่ อยา่ งสร้างสรรค์ (A) สาระสำคญั การอ่านคำทีป่ ระสมด้วยสระอา (-า) ต้องหดั อ่านด้วยการสะกดคำ แจกลกู เชน่ คำวา่ กา ใหอ้ ่านว่า กอ อา กา รวมท้ังใชบ้ ทคล้องจองทีม่ คี ำสระอา (-า) ให้เดก็ ได้ท่อง อ่าน การมองเห็น การฟงั จะชว่ ยให้ผู้เรยี นสามารถเรียนรู้ได้ดียิง่ ขนึ้ เอกสารหมายเลข 3 . 1

83 สาระการเรียนรู้ การอา่ นออกเสียงคำทีป่ ระสม สระอา (-า) เขียนคำที่ประสมสระอา (-า) และบอก ความหมายของคำทีป่ ระสมสระอา (-า) คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 1. มีวนิ ัย 2. ใฝ่เรยี นรู้ 3. ม่งุ ม่ันในการทำงาน สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคิด คำถามท้าท้าย 1. พยญั ชนะต้นอยดู่ ้านหน้าหรอื ด้านหลังของคำ 2. สระอา (-า) อย่ดู ้านหน้าหรอื ด้านหลงั ของคำ 3. การอ่านประสมคำดว้ ยสระอา (-า) จะต้องอ่านออกเสียงพยญั ชนะต้นหรือสระอา (-า) ใด กอ่ น -หลังตามลำดับ กระบวนการเรียนรู้ Brain-based Learning (BBL) 1. อนุ่ เครือ่ ง (Warm-up) (ประมาณ 15 นาที) 1) นกั เรียนและคุณครทู กั ทายกัน 2) นกั เรียนปรบมือเปน็ จังหวะ คือ ปรบมือ 1 คร้ัง ปรบมอื 2 ครั้ง ปรบมอื 3 คร้ัง ปรบมือ 4 ครั้ง และปรบมือ 5 คร้ัง พรอ้ มประกอบทา่ ที่มจี งั หวะสนุกสนาน 3) นักเรียนบอกคำทีป่ ระสมสระอา (-า) ที่ตนเองรู้จักคนละ 1 คำ จนครบทุกคน 3) นักเรียนร้องเพลง และแสดงทา่ ทางประกอบเพลง “มาเรียนภาษาไทย” (เอกสารหมายเลข 3.1) เอกสารหมายเลข 3 . 1

84 2. ขน้ั นำเสนอความรู้ (Present) (ประมาณ 45 นาที) 1) นักเรียนสังเกตรูปพยัญชนะต้น และรูปสระอา (-า) และการวางตำแหน่งของ พยัญชนะต้น และสระอา (-า) จากบัตรพยัญชนะต้นและบัตรสระ โดยใช้คนละสี พยัญชนะต้น ใช้ตัวอกั ษรสีดำ และสระอา (-า) ใช้ตัวอกั ษรสีแดง (เอกสารหมายเลข 3.2) 2) นักเรียนฝึกอา่ นสะกดคำทีป่ ระสมดว้ ยสระอา (-า) จากบตั รพยัญชนะต้นและ บตั รสระโดยนกั เรียนอ่านพร้อมๆ กันวา่ ก - า - กา / ย - า - ยา / ท - า - ทา ฯลฯ ไปจนครบ ทุกคำ 3) แจกบตั รภาพใหน้ กั เรียนคนละ 1 บัตร (เอกสารหมายเลข 3.3) 4) นักเรียนนำบตั รคำและบัตรภาพมาจบั คู่กัน แล้วฝกึ อ่าน 5) นักเรียนร้องเพลงตามหาพยัญชนะ(เอกสารหมายเลข 3.4) แล้วนำพยัญชนะ ต้นมาประสมสระอา (-า) แล้วอ่านให้เพือ่ นฟัง โดยใหเ้ พื่อนๆ อา่ นตาม 3. ขนั้ ลงมือเรยี นรู้-ฝึกทำ-ฝึกฝน (Learn-Practice) (ประมาณ 50 นาที) 1. คณุ ครสู อนอ่านสะกดคำที่ ประสมด้วยสระอา (-า) โดยใช้กระดานเคลือ่ นที่ และไม้ชี้อ่านตามไปด้วย ให้นักเรียนอา่ นพร้อมๆ กันวา่ ก - า - กา / ย - า - ยา / ท - า - ทา ฯลฯ ไปจนครบทกุ คำ 2. คุณครูชบู ัตรคำศัพท์ ทีป่ ระสมด้วยสระอา (-า) ให้นักเรียนอ่าน ฝกึ อ่าน หลายๆ รอบจนคลอ่ ง 3. นักเรียนหดั อ่านคำ สระอา (-า) จากแบบฝกึ อา่ น สระอา (-า) ในขณะ ที่นกั เรียนอา่ น ให้ใช้นิว้ ช้ีตามตัวหนังสือไปด้วย (เอกสารหมายเลข 3.5) 4. นกั เรียนทำใบงาน แจกลูกสะกดคำ (เอกสารหมายเลข 3.6) 5. นักเรียนทำใบงาน คัดและอ่าน เมือ่ ทำใบงานเสร็จเรียบร้อยแลว้ นำมาสง่ คุณครู (เอกสารหมายเลข 3.7) 4. ข้ันสรปุ ความรู้ (Summary) (ประมาณ 40 นาที) 1) คณุ ครูและนักเรียนร่วมกันอา่ นทบทวนคำทีป่ ระสม สระอา (-า) 2) นักเรียนทดสอบอ่านกบั คณุ ครทู ีละคน (เอกสารหมายเลข 3.8) คณุ ครูบันทึก คะแนนในแบบบนั ทึกคะแนนทดสอบการอ่าน (เอกสารหมายเลข 3.9) เอกสารหมายเลข 3 . 1

85 3) นักเรียนทดสอบการเขียนตามคำบอก (เอกสารหมายเลข 3.11) โดยคณุ ครู แจกกระดาษทดสอบการเขียน (เอกสารหมายเลข 3.11) ครบู ันทึกคะแนนในแบบบนั ทึกคะแนน ทดสอบการเขียน (เอกสารหมายเลข 3.13) 4) นักเรียนรว่ มกันสรปุ คำที่ประสมสระอา (-า)รว่ มกัน และเขียนลงในสมดุ 5) นักเรียนเขียนคำศัพท์ที่ได้จากกิจกรรมลงในสมุดของตนเอง 5. ประยุกตใ์ ช้ความรู้ (Apply) (ประมาณ 30 นาที) คณุ ครใู หน้ กั เรียนหาคำที่ประสมสระอา จากสิง่ รอบตวั เชน่ หนังสอื เรียน ภาษาไทย หนังสอื สำเนียงเสียงสตั ว์ หนังสอื พิมพ์ ซองขนม ฯลฯ คนละ 5 คำ เขียนลงในสมุด ของตนเอง แล้วแลกเปลีย่ นกบั เพือ่ นๆ ในช้ันเรียนอีก 5 คำ และนำเสนอคำหนา้ ชั้นเรียน สื่อการเรียนรู้ 1. เพลง 2. บัตรคำ 3. บัตรภาพ 4. แบบฝกึ อ่าน สระอา (-า) 5. ใบงาน แจกลูกสะกดคำ 6. ใบงาน คัดและอ่าน 7. แบบทดสอบการอ่าน 8. แบบบนั ทึกคะแนนทดสอบการอา่ น 9. แบบทดสอบการเขียน 10. แบบบนั ทึกคะแนนทดสอบการเขียน การวดั ผลและประเมินผลการเรียนรู้ 1. วิธีการวดั และประเมินผล 1) อา่ นคำที่ประสมด้วยสระอา (-า) 2) เขียนคำทีป่ ระสมดว้ ยสระอา (-า) เอกสารหมายเลข 3 . 1

86 2. เครื่องมือวัดและประเมิน 1) แบบทดสอบการอา่ น 2) แบบทดสอบการเขียน 3. เกณฑ์วดั และประเมินผล 1) แบบทดสอบการอา่ นและแบบทดสอบการเขียน เกณฑ์การผ่าน ได้คะแนนร้อยละ 75 ขึน้ ไป เกณฑ์ประเมินการอา่ น ชว่ งคะแนน การแปลผล การอ่านคำ เกณฑ์ของระดบั (คะแนนเต็ม 10 คะแนน) ดีมาก คะแนน ดี 8 - 10 ร้อยละ 75 - 100 5-7 พอใช้ ร้อยละ 50 - 74 3-4 ปรบั ปรุง ร้อยละ 25 - 49 0-2 ร้อยละ 0 - 24 เกณฑ์ประเมินเกณฑ์การเขียน ชว่ งคะแนน การแปลผล การเขียนคำ เกณฑข์ องระดบั (คะแนนเตม็ 10 คะแนน) ดีมาก คะแนน ดี 8 - 10 ร้อยละ 75 - 100 5-7 พอใช้ ร้อยละ 50 – 74 3-4 ปรบั ปรุง ร้อยละ 25 - 49 0-2 ร้อยละ 0 - 24 เอกสารหมายเลข 3 . 1

87 ภาคผนวกทา้ ยแผนการจดั การเรียนรู้ที่ 3 เอกสารหมายเลข 3.1 เพลง “มาเรียนภาษาไทย” เอกสารหมายเลข 3.2 บัตรคำ เอกสารหมายเลข 3.3 บัตรภาพ เอกสารหมายเลข 3.4 เพลง “ตามหาพยญั ชนะ” เอกสารหมายเลข 3.5 แบบฝกึ อ่าน สระอา (-า) เอกสารหมายเลข 3.6 ใบงาน แจกลูกสะกดคำ เอกสารหมายเลข 3.7 ใบงาน คัดและอ่าน เอกสารหมายเลข 3.8 แบบทดสอบการอ่าน เอกสารหมายเลข 3.9 แบบบันทึกคะแนนทดสอบการอ่าน เอกสารหมายเลข 3.10 เกณฑ์การใหค้ ะแนนการอา่ น เอกสารหมายเลข 3.11 แบบทดสอบการเขียน เอกสารหมายเลข 3.12 กระดาษทดสอบการเขียน เอกสารหมายเลข 3.13 แบบบนั ทึกคะแนนทดสอบการเขียน เอกสารหมายเลข 3.14 เกณฑ์การใหค้ ะแนนการเขียน เอกสารหมายเลข 3 . 1

88 เพลง “มาเรียนภาษาไทย” มา มา เรียนภาษาไทย ให้สนุกสดใสหวั ใจเรงิ รา่ (ซำ้ ) มาโยกยา้ ย ส่ายเอวไปมา (ซำ้ ) มาหดั เขยี น เรียน กอ อา กา (ซำ้ ) สนกุ นักหนา มาเรยี นภาษาไทย (ซ้ำ) เอา้ โย้ โย้ โย้ โย้ โย้ เอา้ เย้ เย้ เย้ เย้ เย้ เอา้ ยะ้ ยะ้ ยะ้ ยะ้ ยะ้ เอกสเอากรหสามราหยมเลาขยเล3ข. 13.1

89 บตั รคำ กา ตา ยา ขา ชา ลา ราชา ทายา ราคา ฝากา เอเกอสกาสราหรมหามยาเยลเขลข3 3. .12

90 บตั รภาพ เอเกอสกาสราหรมหามยาเยลเขลข33..13

91 เพลง “ตามหาพยญั ชนะ” กอไก่ อยู่ไหน กอไก่ อยไู่ หน อยนู่ จี้ ะ๊ อยนู่ ี้จะ๊ ไปประสมกันเร็วไว ไปประสมกนั เร็วไว กอ อา กา กอ อา กา เอกเสอากรสหามราหยมเาลยขเล3ข . 31.4

92 แบบฝกึ อ่าน สระ อา กา มา กา มา นา ตา มา นา กา มา หา ตา รา ชา มา หา ตา เอเอกกสสาราหรหมมายายเลเลขข33..51

93 ใบงาน แจกลกู สะกดคำ ที่ คำ พยัญชนะ สระ 1 กา 2. มา 3. นา 4. ตา 5. หา 6. รา 7. ชา 8. งา 9. ยา 10. ขา ชื่อ-สกลุ ชนั้ ป.1 เลขท่ี เอกเสอการสหามรหายมเาลยขเล3ข .31.6

94 ใบงาน คดั และอา่ น กา ลา ตา นา ฝากา ราคา ทายา ราชา กามานา ตามานา กามาหาตา ชื่อ-สกลุ ช้นั ป.1 เลขท่ี เอเกอสกาสราหรมหามยาเยลเขลข33..17

95 แบบทดสอบการอ่าน 1. กา 2. ตา 3. นา 4. ยา 5. หา 6. ราคา 7. ทายา 8. กามา 9. ฝากา 10. ราชา เอเกอสกาสราหรมหามยาเยลเขลข3 3. .18

96 แบบบนั ทึกคะแนนทดสอบการอา่ น ที่ ชื่อ-สกุล 1 2 3 4 ข้อที่ 8 9 10 รวม ระดบั 567 คะแนน 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 หมายเหตุ 1) ให้บนั ทึกคะแนนการอ่านของนกั เรยี นเป็นรายบคุ คล 2) วธิ กี ารบนั ทกึ ถา้ นกั เรียนอา่ นถูกตอ้ งให้ใส่เครอื่ งหมาย √ และถา้ นักเรียนอ่านผดิ ใหใ้ สเ่ คร่อื งหมาย X (เครอ่ื งหมาย √ เท่ากบั 1 คะแนน และเครื่องหมาย X เท่ากบั 0 คะแนน) เอเอกกสสาราหรหมมายายเลเลขข33..91

97 เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนการอ่าน ระดบั ดีมาก 8-10 คะแนน ร้อยละ 75-100 ระดบั ดี 5-7 คะแนน ร้อยละ 50-74 ระดบั พอใช้ 3-4 คะแนน ร้อยละ 25-49 ระดับปรบั ปรงุ 0-2 คะแนน รอ้ ยละ 0-24 เอเอกกสสาารรหหมมาายยเลเลขข 33. 10