Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือที่ระลึกในพิธีเปิดห้องสมุดประชาชน“เฉลิมราชกุมารี” อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน

หนังสือที่ระลึกในพิธีเปิดห้องสมุดประชาชน“เฉลิมราชกุมารี” อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน

Published by saksit.eak, 2020-04-05 16:37:58

Description: หนังสือที่ระลึกในพิธีเปิดห้องสมุดประชาชน“เฉลิมราชกุมารี” อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน

Search

Read the Text Version

ทรงพระเจรญิ ทรี่ ะลกึ พิธีเปดิ หอ้ งสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมาร”ี อำ�เภอเมืองแมฮ่ อ่ งสอน จงั หวัดแม่ฮอ่ งสอน

หอ้ งสมดุ ประชาชน “เฉลิมราชกุมาร”ี อ�ำ เภอเมอื งแม่ฮ่องสอน จังหวดั แม่ฮ่องสอน

ค�ำ นำ� เนือ่ งในวโรกาสมหามงคลสมัยที่สมเดจ็ พระกนษิ ฐาธริ าชเจ้า กรมสมเดจ็ พระเทพ รัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชด�ำเนินเป็นประธานในพิธเี ปดิ ห้องสมดุ ประชาชน “เฉลมิ ราชกุมาร”ี อ�ำเภอเมืองแมฮ่ อ่ งสอน จังหวัดแม่ฮอ่ งสอน ณ ห้องสมดุ ประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” อ�ำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ในวันอังคาร ที่ ๒๘ เดือน มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ซึง่ นบั เปน็ พระมหากรุณาธคิ ณุ ท่ีสดุ หามิได้ ยงั ความ ปลืม้ ปติ ิยนิ ดแี กพ่ สกนกิ รชาวจงั หวัดแม่ฮ่องสอน เปน็ ล้นพน้ คณะผจู้ ดั ทำ� หนงั สอื ทร่ี ะลกึ ในพธิ เี ปดิ หอ้ งสมดุ ประชาชน “เฉลมิ ราชกมุ าร”ี อำ� เภอ เมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้รวบรวมพระอัจฉริยภาพพระราชประวัติของ พระองคท์ า่ น ตลอดจนประวตั คิ วามเปน็ มาและประเพณวี ฒั นธรรม ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ของ อ�ำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน เพ่ือเป็นอภินันทนาการและอนุสรณ์ให้ชาวจังหวัดแม่ฮ่องสอน ไดร้ ะลกึ ถงึ วนั มหาปติ ทิ น่ี ำ� ความภาคภมู ิใจและชนื่ ชมโสมนสั ของประชาชนชาวแมฮ่ อ่ งสอน ตลอดไป

สารบัญ พระราชประวตั ิ หน้า ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกมุ ารี”อำ� เภอเมืองแมฮ่ อ่ งสอน 2 บ้านของพอ่ ...แผน่ ดินแห่งความสุข...นามว่า “เมืองแมฮ่ อ่ งสอน” 10 ประวัติความเปน็ มาของอำ� เภอเมอื งแม่ฮอ่ งสอน 27 ประเพณสี �ำคัญของจังหวดั แม่ฮอ่ งสอน 33 สง่ิ ศกั ดิส์ ิทธิ์คบู่ ้าน คู่เมอื งจังหวดั แมฮ่ ่องสอน 36 สถานที่ทอ่ งเที่ยวสำ� คัญในจงั หวดั แม่ฮ่องสอน 41 ตน้ ไมท้ รงปลูก 52 ของดอี ำ� เภอเมืองแมฮ่ อ่ งสอน 57 ภาคผนวก 58 บรรณานุกรม 63 คณะผ้จู ดั ทำ� 70 71

พระราชประวตั ิ

ทร่ี ะอลำ�กึ เพภิธอีเเปมดิ ืองหแอ้ มงฮ่ สอ่ มงุดสปอรนะชจางั ชหนวัด“เแฉมลฮ่ มิ อ่ รงาสชอกนุมารี” พระราชประวัติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วนั เสาร์ที ่ 2 เมษายน พ.ศ. 2498 (ตรงกับวนั ขนึ้ 10 คำ�่ เดือน 5 ปีมะแม สปั ตศก) ณ พระทีน่ ั่งอมั พรสถาน พระราชวงั ดุสิต เป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์ที่ 3 ในพระบาทสมเด็จ พระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ิ์ พระบรมราชนิ นี าถ พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง ได้รับการถวายพระนามจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวง วชริ ญาณวงศว์ า่ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ เจา้ ฟา้ สริ นิ ธรเทพรตั นสดุ า กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ พร้อมทั้งประทานค�ำแปลว่า นางแก้ว อันหมายถึง หญิงผู้ประเสรฐิ และมพี ระนามทข่ี ้าราชบริพารเรียก ทว่ั ไปว่า “ทูลกระหมอ่ มน้อย” พระนาม “สิรินธร” นั้น น�ำมาจากสร้อยพระนามของ สมเด็จพระราชปติ ุจฉา เจา้ ฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรี ราชสริ นิ ธร ซงึ่ เปน็ สมเดจ็ พระราชปติ จุ ฉา(ปา้ ) ในพระบาทสมเดจ็ พระมหาภมู ิพลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร สร้อยพระนาม “กิติวัฒนาดุลโสภาคย์” ประกอบ ข้ึนจาก พระนามาภิไธยของสมเด็จพระบรมราชบุพการี 3 พระองค์ ได้แก่ “กิติ” มาจากพระนามาภิไธยของ “สมเด็จ พระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง” สมเด็จพระราชชนนีส่วน”วัฒนา”มาจาก พระนามาภิไธยของ “สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า” สมเด็จพระปัยยิกา (ย่าทวด) และ “อดลุ ย์” มาจากพระนามาภิไธยของ “สมเด็จพระมหิตลาธเิ บศร อดลุ ยเดชวกิ รม พระบรมราชชนก” สมเด็จพระอยั กา (ปู่) 2

ที่ระอลำ�กึ เพภิธอเี เปมิดืองหแ้อมง่ฮสอ่ มงดุ สปอรนะชจาังชหนวดั“เแฉมล่ฮมิ อ่ รงาสชอกนุมาร”ี การศกึ ษา พระองค์ทรงเริ่มต้นการศึกษาระดับอนุบาลเมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๑ ณ โรงเรยี นจติ รลดา ในพระตำ� หนกั จติ รลดารโหฐาน พระราชวงั ดสุ ติ โดยทรงศกึ ษาตอ่ ในโรงเรยี นจติ รลดาจนถงึ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอน ปลาย ในแผนกศลิ ปะ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖ ทรงสอบเขา้ ศกึ ษาตอ่ ในระดบั อดุ มศกึ ษา ณ คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสามารถท�ำคะแนนสอบเอ็นทรานซ์ เป็นอนั ดับ 4 ของประเทศ ซงึ่ ถอื เปน็ สมเดจ็ เจา้ ฟ้าพระองค์แรกท่ีทรง เข้าศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในประเทศ จนกระทั่ง ปี พ.ศ. 2520 พระองคท์ รงสำ� เรจ็ การศกึ ษาไดร้ บั ปรญิ ญาอกั ษรศาสตรบณั ฑติ สาขา ทรงเขา้ ศึกษาตอ่ ในระดบั ปริญญา ประวัติศาสตร์ เกียรตนิ ิยมอนั ดับหน่ึง เหรยี ญทอง ด้วยคะแนนเฉลยี่ เอก ณ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัย 3.98 ศรีนครนิ ทร วิโรฒ ทรงเป็นนสิ ติ ปรญิ ญา การศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาพัฒน ทรงศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ด้านจารึกภาษาตะวันออก ศึกษาศาสตร์ รุ่นท่ี 4 พระองค์ทรงท�ำ (ภาษาสันสกฤต และภาษาเขมร) ณ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัย วิทยานิพนธ์ในหัวข้อเรื่อง “การพัฒนา ศิลปากร และสาขาภาษาบาลีและสันสกฤต จากภาควิชาภาษาตะวัน นวัตกรรมเสริมทักษะการเรียนการสอน ออก คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั ภาษาไทยสำ� หรบั นกั เรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษา โดยทรงท�ำวิทยานิพนธ์หัวข้อเรื่อง “จารึกพบท่ีปราสาทพนม ตอนปลาย” ทรงสำ� เรจ็ การศกึ ษาในระดบั รุ้ง” ทรงส�ำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิตและ ปรญิ ญาเอก เมื่อวนั ที่ 17 ตลุ าคม พ.ศ. เขา้ รับพระราชทานปริญญาบตั รเมอ่ื วนั ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2522 2529 หลังจากนั้น พระองค์ทรงท�ำวิทยานิพนธ์หัวข้อเรื่อง “ทศบารมีใน พทุ ธศาสนาเถรวาท” ทรงสำ� เร็จการศึกษาไดร้ บั ปริญญาอักษรศาสตร มหาบณั ฑติ จากคณะอกั ษรศาสตรจ์ ฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั และไดเ้ ขา้ รบั พระราชทานปริญญาบตั ร เม่อื วนั ท่ี 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2524 3

ทีร่ ะอล�ำึกเพภธิ อเี เปมดิ อื งหแอ้ มง่ฮสอ่ มงดุ สปอรนะชจาังชหนวัด“เแฉมล่ฮิมอ่ รงาสชอกนุมารี” พระอจั ฉรยิ ภาพดา้ นภาษา พระองค์ทรงมีความรู้ทางด้านภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต และภาษาเขมร ทรงสามารถรับสั่งเป็นภาษา อังกฤษ ภาษาฝร่ังเศส และภาษาจีน และทรงก�ำลังศึกษา ภาษาเยอรมัน และภาษาละตินอีกด้วย ขณะที่ทรง พระเยาว์น้ัน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงสอนภาษาไทยแก่พระราชโอรสและพระราชธิดา โดยทรงอ่านวรรณคดีเรื่องต่าง ๆ พระราชทาน และทรงให้พระองค์ทรงคัดบทกลอนต่าง ๆ หลายตอน ทำ� ใหพ้ ระองค์โปรดวชิ าภาษาไทยตงั้ แตน่ นั้ มา นอกจากนี้ ยงั ทรงสนพระราชหฤทยั ในภาษาองั กฤษและภาษาบาลดี ว้ ย  เม่ือพระองค์ทรงเขา้ ศกึ ษา ณ คณะอักษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั นนั้ พระองค์ทรงเลือกเรยี น สาขาประวตั ศิ าสตร์เปน็ วชิ าเอก และวชิ าภาษาไทย ภาษาบาลี และภาษาสนั สกฤตเปน็ วิชาโท ทำ� ใหท้ รงศึกษาวชิ า ภาษาไทยในระดับช้ันสูงและละเอียดลึกซ้ึงยิ่งข้ึนท้ังด้านภาษาและวรรณคดี ส่วนภาษาบาลีและสันสกฤตน้ัน ทรงศกึ ษาทง้ั วธิ กี ารแบบดงั้ เดมิ ของไทย คอื แบบทเี่ รยี นกนั ในพระอารามตา่ ง ๆ และแบบภาษาศาสตรซ์ ง่ึ เปน็ วธิ กี าร ตะวันตก ตง้ั แต่ไวยากรณ์ขน้ั พ้ืนฐานไปจนถึงข้นั สงู และเรยี นตามวิธกี ารอนิ เดยี โบราณเป็นพเิ ศษในระดับปรญิ ญา โท โดยวทิ ยานพิ นธ์ในระดบั ปรญิ ญาโทของพระองค์ เรอ่ื ง ทศบารมีในพทุ ธศาสนาเถรวาท นน้ั ยงั ไดร้ บั การยกยอ่ ง จากมหามกฏุ ราชวทิ ยาลัยว่า เปน็ วทิ ยานิพนธ์ทแ่ี สดงถึงพระปรชี าสามารถ ในภาษาบาลีพุทธวจนะเป็นพเิ ศษ  พระปรีชาสามารถทางด้านภาษาของพระองค์นั้นเป็นที่ประจักษ์ จึงได้รับการทูลเกล้าถวายปริญญาดุษฎี บัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางด้านภาษาจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่ มหาวทิ ยาลยั มาลายา ประเทศมาเลเซยี มหาวทิ ยาลยั บกั กงิ แฮม สหราชอาณาจกั ร เปน็ ตน้ 4

ที่ระอล�ำกึ เพภธิ อีเเปมดิ ืองหแ้อมงฮ่ สอ่ มงดุ สปอรนะชจางั ชหนวัด“เแฉมลฮ่ มิ อ่ รงาสชอกนมุ าร”ี พระอัจฉริยภาพดา้ นดนตรี พระองคท์ รงเป็นผู้เชย่ี วชาญด้านดนตรีไทยผู้หน่งึ โดยทรงเคร่ืองดนตรีไทยไดท้ ุกชนิด แตท่ ่ีโปรดทรง อยู่ประจำ� คอื ระนาด ซอ และฆ้องวง โดยเฉพาะระนาดเอก พระองค์ทรงเรมิ่ หดั ดนตรีไทย ในขณะท่ีทรงศึกษา อยชู่ นั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 โรงเรยี นจติ รลดา โดยทรงเลอื กหดั ซอดว้ งเปน็ เครอื่ งดนตรชี นิ้ แรก และหลงั จากทท่ี รงเขา้ ศกึ ษาในระดบั อุดมศกึ ษา ณ คณะอักษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั พระองคท์ รงเข้ารว่ มชมรมดนตรีไทย ของสโมสรนสิ ติ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั และคณะอักษรศาสตร์ โดยทรงเลน่ ซอดว้ งเป็นหลัก และทรงเร่ิมหัดเลน่ เครือ่ งเล่นดนตรีไทยชิน้ อืน่ ๆด้วย ในขณะที่ทรงพระเยาว์ เครื่องดนตรีที่ทรงสนพระราชหฤทยั น้นั ได้แก่ ระนาดเอกและซอสามสาย ซง่ึ พระองคท์ รงเรม่ิ เรยี นระนาดเอกอยา่ งจรงิ จงั เมอื่ ปี พ.ศ. 2528 หลงั จากการเสดจ็ ทรงดนตรีไทย ณ บา้ นปลายเนนิ ซง่ึ เปน็ วงั ของสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ จติ รเจรญิ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์ โดยมี สริ ชิ ยั ชาญ พกั จำ� รญู เป็นพระอาจารย์ พระองคท์ รงเร่มิ เรียนตัง้ แตก่ ารจบั ไม้ระนาด การตีระนาดแบบต่าง ๆ และทา่ ทป่ี ระทับขณะทรง ระนาด และทรงเรม่ิ เรยี นการตรี ะนาดตามแบบแผนโบราณ จนกระทง่ั พ.ศ. 2529 พระองคจ์ งึ ทรงบรรเลงระนาด เอกรว่ มกบั ครูอาวุโสของวงการดนตรีไทยหลายทา่ นต่อหน้าสาธารณชนเป็นครงั้ แรก ในงานดนตรีไทยอุดมศกึ ษา ครั้งที่ 17 ณ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ โดยเพลงทที่ รงบรรเลง คือ เพลงนกขมิ้น (เถา)  นอกจากดนตรีไทยแล้ว พระองคย์ งั ทรงดนตรีสากลด้วย โดยทรงเริ่มเรียนเปียโนตงั้ แตพ่ ระชนมายุ 10 พรรษา แต่ไดท้ รงเลกิ เรยี นหลงั จากนนั้ 2 ปี และทรงฝกึ เครอื่ งดนตรสี ากล ประเภทเครอื่ งเปา่ จากพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จนสามารถทรงทรัมเปต น�ำวงดุริยางค์ในงานคอนเสิร์ตสายใจไทย และทรง ระนาดฝรั่งนำ� วงดรุ ยิ างค์ในงานกาชาดคอนเสิรต์ 5

ทรี่ ะอลำ�ึกเพภธิ อเี เปมิดอื งหแอ้ มงฮ่ ส่อมงดุ สปอรนะชจางั ชหนวัด“เแฉมลฮ่ ิมอ่ รงาสชอกนุมาร”ี พระอจั ฉริยภาพด้านพระราชนพิ นธ์ พระองค์โปรดการอา่ นหนงั สอื และการเขยี นมาตงั้ แตท่ รง พระเยาว์ จึงทรงพระราชนิพนธ์หนังสือประเภทต่างๆ ออกมา มากกวา่ 100 เล่ม ซ่งึ มีหลากหลายประเภททัง้ สารคดี ประเภท วิชาการและประวัติศาสตร์ หนังสือส�ำหรับเยาวชน หนังสือที่ เกย่ี วขอ้ งกบั พระบรมวงศานวุ งศ์ไทย ประเภทพระราชนพิ นธแ์ ปล และหนังสอื ท่วั ไป นอกจากพระนาม “สิรินธร” แล้ว พระองค์ยังทรงใช้ นามปากกาในการพระราชนิพนธห์ นังสืออีก 4 พระนาม ไดแ้ ก่ “กอ้ นหนิ กอ้ นกรวด” เปน็ พระนามแฝงท่ีทรงหมายถึง พระองค์ และพระสหาย นามปากกานี้ ทรงใช้คร้ังเดียวตอนประพันธ์ บทความ “เรื่องจากเมอื งอสิ ราเอล” เมือ่ ปี พ.ศ. 2520  “แวน่ แกว้ ” เปน็ ชอ่ื ทพี่ ระองคท์ รงตง้ั ขนึ้ เอง พระนามแฝง แวน่ แกว้ น้ี พระองคเ์ รมิ่ ใชเ้ มื่อปี พ.ศ. 2521 เมอื่ ทรงพระราช- นพิ นธแ์ ละทรงแปลเรือ่ งส�ำหรบั เดก็ ได้แก่ แก้วจอมซน แกว้ จอม แก่น และขบวนการนกกางเขน  “หนนู อ้ ย” โดยพระองคท์ รงใชเ้ พยี งครง้ั เดยี วในบทความ เรื่อง “ป๋องท่รี กั ” ตีพมิ พ์ในหนงั สอื 25 ปี จติ รลดา เม่ือปี พ.ศ. 2523 และ “บันดาล” ซึ่งพระองค์ทรงใช้ในงานแปลภาษา อังกฤษเป็นภาษาไทยที่ทรงท�ำให้ส�ำนักเลขาธิการคณะกรรมการ แห่งชาติ ว่าด้วยการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่ง สหประชาชาติ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร เม่ือปี พ.ศ. 2526 นอกจากน้ี ยังทรงพระราชนิพนธ์เพลงเป็นจ�ำนวนมาก โดยบทเพลงที่ดังและน�ำมาขับร้องบ่อยครั้ง ได้แก่ เพลงส้มต�ำ รวมท้ังยังทรงประพันธ์ค�ำร้องในบทเพลงพระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเดจ็ พระมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร ไดแ้ ก่ เพลงรกั และเพลงเมนไู ข่ 6

ทร่ี ะอลำ�กึ เพภิธอเี เปมิดืองหแ้อมง่ฮสอ่ มงุดสปอรนะชจาังชหนวัด“เแฉมลฮ่ มิ อ่ รงาสชอกนมุ ารี” ดา้ นการพฒั นาหอ้ งสมดุ และการรหู้ นงั สอื สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสน พระราชหฤทัยการอ่านและการพฒั นาห้องสมดุ ทรงรับสมาคมหอ้ งสมุดแหง่ ประเทศไทย ฯ ไว้ในพระราชปู ถมั ภ์ เมอ่ื วันท่ ี 2 กนั ยายน พ.ศ. 2519 หลายโอกาสทเ่ี สดจ็ พระราชด�ำเนนิ ตา่ งประเทศ ไดเ้ สดจ็ เยยี่ มและทรงดงู าน ห้องสมุดชั้นน�ำหลายแห่ง ซึ่งได้พระราชทานข้อแนะน�ำแก่สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ฯ และบรรณารักษ์ ไทยในการนำ� ความรู้ไปพฒั นาหอ้ งสมดุ โรงเรยี นและหอ้ งสมดุ ประชาชน รวมทงั้ หอ้ งสมดุ ประชาชนเฉลมิ ราชกมุ ารี ที่เป็นแหล่งเรียนรู้เพ่ือขยายโอกาสให้ประชนในการพัฒนาการรู้หนังสือ นอกจากนี้ยังทรงพระกรุณาเสด็จ พระราชด�ำเนินเป็นองค์ประธานในการประชุมสามัญ ประจ�ำปีของสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ฯ เสมอมา รวมท้ังได้เสด็จพระราชด�ำเนินแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเปน็ ประธานในโอกาสทป่ี ระเทศไทยเปน็ เจา้ ภาพการประชมุ สมาพนั ธส์ มาคมหอ้ งสมดุ ฯ นานาชาติ(IFLA) และ มพี ระราชดำ� รัสเปิดการประชมุ IFLA ครง้ั ท่ ี 65 ที่กรงุ เทพมหานครในปี 1999 7

ทร่ี ะอล�ำกึ เพภธิ อีเเปมิดืองหแ้อมง่ฮส่อมงดุ สปอรนะชจางั ชหนวดั“เแฉมล่ฮมิ ่อรงาสชอกนมุ าร”ี การสถาปนาพระอสิ รยิ ศกั ด์ิ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร มพี ระราชดำ� รวิ า่ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ เจา้ ฟา้ สริ นิ ธร เทพรตั นสดุ า กติ วิ ฒั นาดลุ โสภาคย์ ทรงไดร้ บั ความสำ� เรจ็ ในการศกึ ษา อย่างงดงาม และทรงได้บ�ำเพ็ญพระองค์ให้เป็นประโยชน์แก่ชาติบ้าน เมืองเป็นอเนกปริยาย โดยเสด็จพระราชด�ำเนินไปทรงเยี่ยมเยียน ราษฎรในภูมิภาคต่าง ๆ อยู่เสมอ ในด้านการพัฒนาบ้านเมือง เสด็จพระราชด�ำเนินไปทรงศึกษาและช่วยเหลือกิจการโครงการตาม พระราชดำ� รทิ กุ โครงการ พรอ้ มทรงรบั พระบรมราโชบายมาทรงดำ� เนนิ การสนองพระเดชพระคุณในด้านต่าง ๆ นับเป็นการดูแลสอดส่อง พระราชกรณียกิจส่วนหนึ่งต่างพระเนตรพระกรรณ ในด้านการ พระศาสนา มพี ระหฤทยั มนั่ คงในพระรตั นตรยั และสนพระหฤทยั ศกึ ษา หาความรู้ด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นอย่างแตกฉาน ในส่วน ราชการในพระองค์น้ัน ก็ได้สนองพระเดชพระคุณในพระราชภารกิจ ทที่ รงมอบหมายใหส้ �ำเรจ็ ลุลว่ งไปดว้ ยดี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระองค์นี้ กอปรด้วยพระจรรยามารยาท เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติแห่ง ขตั ตยิ ราชกมุ ารที กุ ประการ เปน็ ทร่ี กั ใครน่ บั ถอื ยกยอ่ งสรรเสรญิ พระเกยี รตคิ ณุ กนั อยโู่ ดยทวั่ จงึ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ สถาปนาพระอสิ ริยยศและพระอิสริยศกั ด์ิให้สงู ขึน้ ใหท้ รงรับพระราชบญั ชาและสปั ตปฏลเศวตฉัตร (เศวตฉตั ร 7 ชนั้ ) พรอ้ มทงั้ เฉลมิ พระนามตามทจี่ ารกึ ในพระสพุ รรณบฏั วา่  สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า เจา้ ฟา้ มหาจกั รสี ริ นิ ธร รฐั สมี าคณุ ากรปยิ ชาติ สยามบรมราชกมุ ารเี มอ่ื วนั ท ี่ 5 ธนั วาคม พ.ศ. 2520 นบั เปน็ เจา้ นายฝา่ ยในพระองคท์ ่ี 14 ในราชวงศจ์ ักรี ที่ไดร้ ับการสถาปนาพระอสิ ริยยศเปน็ สมเด็จพระ หรือ กรมพระยา และเป็นคร้งั แรกท่สี ถาปนา พระอสิ ริยยศนแี้ ก่สมเด็จพระเจา้ ลกู เธอเจา้ ฟา้ จงึ เปน็ พระเกียรตยิ ศท่ีสูงยง่ิ 8

ที่ระอล�ำึกเพภิธอเี เปมิดอื งหแ้อมงฮ่ ส่อมงดุ สปอรนะชจางั ชหนวดั“เแฉมล่ฮมิ อ่ รงาสชอกนุมาร”ี สมเดจ็ พระกนษิ ฐาธริ าชเจา้ ในการพระราชพธิ บี รมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 พระบาท สมเด็จพระวชิรเกลา้ เจ้าอยู่หวั มพี ระราชด�ำรวิ า่ สมเดจ็ พระเทพรัตน ราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นพระโสทรกนิษฐภคินีที่ได้ทรง ร่วมสุขร่วมทุกข์ มาแต่ทรงพระเยาว์ เมื่อทรงเจริญพระชนมายุ ก็ได้ ทรงปฏิบัติบ�ำเพ็ญ พระราชกรณียกิจสนองพระเดชพระคุณสมเด็จ พระบรมชนกนาถและสมเด็จพระบรมราชชนนดี ว้ ยพระวริ ิย อุตสาหะ เป็นคุณูปการแก่ประเทศชาติและอาณาประชาราษฎร์อย่างใหญ่ หลวง เป็นอเนกประการ ครั้นในรัชกาลปัจจุบัน ก็ได้ทรงปฏิบัติ พระราชกรณยี กจิ แทนพระองค์ ในหลายวาระ และชว่ ยแบง่ เบาพระราช ภารกิจน้อยใหญ่ท่ีสืบเนื่องมาแต่คร้ังรัชสมัยสมเด็จพระบรมชนก นาถ ให้ด�ำเนินลุล่วงไปด้วยความเรียบร้อย เป็นท่ีไว้วางพระราช หฤทยั สมควรจะยกยอ่ งพระเกยี รตยิ ศตามฐานะแหง่ พระบรมราชวงศ์ จีงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เฉลิม พระนามาภไิ ธยตามทจ่ี ารกึ ในพระสพุ รรณบฏั วา่ สมเดจ็ พระกนษิ ฐาธริ าชเจา้ กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร มหาวชิราลงกรณวรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพัฒน รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี นับเป็นเจ้านายพระองค์แรกที่ได้รับพระราชทานพระเกียรติยศท่ี สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า โดยยังทรงพระอิสริยยศ กรมสมเด็จพระ และ สยามบรมราชกุมารี ตามที่ได้รับ พระราชทานจากสมเด็จพระบรมชนกนาถ 9

ที่ระอลำ�กึ เพภธิ อเี เปมดิ ืองหแอ้ มง่ฮสอ่ มงดุ สปอรนะชจาังชหนวัด“เแฉมลฮ่ มิ อ่ รงาสชอกนุมาร”ี หอ้ งสมดุ ประชาชน “เฉลมิ ราชกมุ าร”ี อ�ำ เภอเมอื งแมฮ่ อ่ งสอน จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน ประวตั คิ วามเปน็ มา เมือ่ วันท ่ี 25 ธนั วาคม 2556 สำ� นักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการ ศกึ ษาตามอธั ยาศยั จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน ไดเ้ สนอโครงการกอ่ สรา้ งหอ้ งสมดุ ประชาชน “เฉลมิ ราชกุมารี” จังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อขอรับงบประมาณสนับสนุน จากงบพัฒนาจังหวัด โดยการจัดสร้างห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี”อ�ำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัด แมฮ่ อ่ งสอน เพอ่ื เปน็ การเทดิ พระเกยี รติ เนอื่ งในมหามงคลสมยั ท่ี สมเดจ็ พระกนษิ ฐาธริ าช เจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ทรงเจรญิ พระชนมาย ุ 36 พรรษา เมอื่ ปพี ทุ ธศกั ราช 2534 โดยใชแ้ บบแปลนหอ้ งสมดุ ประชาชน “เฉลมิ ราชกมุ าร”ี แบบมาตรฐานปรบั ปรงุ 08/2545 ของฝา่ ยออกแบบและกอ่ สรา้ ง กลมุ่ งานเลขานกุ ารกรม กรมการศกึ ษานอกโรงเรยี น กระทรวงศกึ ษาธกิ าร กอ่ สรา้ งอาคารในบรเิ วณสำ� นกั งาน กศน. จังหวดั แม่ฮอ่ งสอน มีพนื้ ท ่ี 3 งาน 93 ตารางวา โดยใชง้ บประมาณ 6,620,000.00 บาท (หกลา้ นหกแสนสองหม่นื บาทถ้วน) เม่อื วันท่ี 12 กันยายน 2557 ไดร้ ับหนังสอื แจง้ วา่ ทรงมพี ระราชานญุ าต ใหด้ ำ� เนนิ การในขน้ั ตอนการกอ่ สรา้ ง และเขา้ รว่ มโครงการจดั ต้งั หอ้ งสมุดประชาชน “เฉลมิ ราชกมุ าร”ี เพ่มิ เติมเป็นลำ� ดบั ที่ 104 10

ที่ระอล�ำกึ เพภธิ อีเเปมิดืองหแ้อมง่ฮสอ่ มงดุ สปอรนะชจางั ชหนวดั“เแฉมล่ฮิม่อรงาสชอกนมุ าร”ี เมือ่ วันที่ 23 มกราคม 2560 มีหนังสือจากสำ� นกั งาน กศน. แจง้ ใหเ้ ขา้ เฝ้าถวายแผ่นศิลาฤกษ์ ในวนั พฤหสั บดี ที่ 2 มนี าคม 2560 สมเด็จพระกนิษฐาธริ าชเจ้า กรมสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ า ฯ สยามบรมราช กุมารี พระราชทานวโรกาสเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาททูลเกล้า ฯ ถวายแผ่นศิลาฤกษ์เพื่อทรงเจิม และทรงพระ สหุ ร่าย ณ ศาลาดสุ ดิ าลัย สวนจิตรลดา ประกอบดว้ ยคณะ นายสืบศกั ด ์ิ เอ่ยี มวจิ ารณ์ ผู้ว่าราชการจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน นายพิเชษฐ อยุ ยานุกูล โยธาธกิ ารและผงั เมืองแมฮ่ อ่ งสอน นายทัพพเ์ ทพ สุนทรพลเชฏฐ์ หัวหนา้ ส�ำนักงานจังหวัดแม่ฮอ่ งสอน นายอ�ำนาจ พวั ตะนะ เลขานกุ ารผวู้ ่าราชการจังหวดั แมฮ่ อ่ งสอน นายสทุ ศั น์ กันทะมา รองผอู้ ำ� นวยการสำ� นกั งาน กศน.จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน เขา้ เฝา้ ทลู เกลา้ ฯ 11

ท่รี ะอลำ�กึ เพภธิ อเี เปมดิ อื งหแอ้ มงฮ่ สอ่ มงุดสปอรนะชจาังชหนวดั“เแฉมล่ฮมิ อ่ รงาสชอกนุมาร”ี ประมวลภาพการกอ่ สรา้ ง 12

ทีร่ ะอลำ�กึ เพภิธอีเเปมิดอื งหแอ้ มงฮ่ ส่อมงุดสปอรนะชจางั ชหนวดั“เแฉมล่ฮิมอ่ รงาสชอกนมุ าร”ี พธิ อี ญั เชญิ แผน่ ศลิ าฤกษ์ ไดร้ บั พระราชทานแผน่ ศลิ าฤกษ์ จากสมเดจ็ พระกนษิ ฐาธริ าชเจา้ กรมสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ทท่ี รงพระสหุ รา่ ย และทรงเจมิ ส�ำ หรบั น�ำ ไปประกอบพธิ วี างศลิ าฤกษ์ ณ อาคารหอ้ งสมดุ ประชาชน “เฉลมิ ราชกมุ าร”ี อ�ำ เภอเมอื งแมฮ่ อ่ งสอน จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน ไดด้ �ำ เนนิ การประกอบพธิ วี างศลิ าฤกษ์ เมอ่ื วนั พธุ ท่ี ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๑ 13

ท่รี ะอล�ำกึ เพภธิ อีเเปมดิ อื งหแอ้ มง่ฮส่อมงุดสปอรนะชจาังชหนวัด“เแฉมล่ฮมิ ่อรงาสชอกนมุ ารี” พธิ อี ญั เชญิ แผน่ ศลิ าฤกษ์ 14

ท่รี ะอลำ�ึกเพภิธอีเเปมิดืองหแ้อมงฮ่ สอ่ มงดุ สปอรนะชจาังชหนวัด“เแฉมล่ฮิม่อรงาสชอกนมุ ารี” พธิ อี ญั เชญิ แผน่ ศลิ าฤกษ์ 15

ที่ระอลำ�ึกเพภิธอเี เปมดิ อื งหแ้อมงฮ่ ส่อมงุดสปอรนะชจางั ชหนวัด“เแฉมล่ฮิม่อรงาสชอกนมุ ารี” หอ้ งสมดุ ประชาชน “เฉลมิ ราชกมุ าร”ี อ�ำ เภอเมอื งแมฮ่ อ่ งสอน จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน มมุ หนงั สอื พระราชนพิ นธ์ 16

ท่รี ะอลำ�กึ เพภิธอีเเปมดิ ืองหแอ้ มงฮ่ ส่อมงุดสปอรนะชจางั ชหนวัด“เแฉมล่ฮิม่อรงาสชอกนมุ าร”ี มมุ หนงั สอื อา้ งองิ 17

ท่รี ะอลำ�กึ เพภิธอเี เปมดิ อื งหแอ้ มงฮ่ สอ่ มงดุ สปอรนะชจางั ชหนวัด“เแฉมลฮ่ ิม่อรงาสชอกนุมารี” มมุ เดก็ และครอบครวั 18

ท่รี ะอล�ำึกเพภิธอเี เปมิดอื งหแ้อมงฮ่ ส่อมงุดสปอรนะชจางั ชหนวดั“เแฉมลฮ่ มิ ่อรงาสชอกนมุ าร”ี มมุ คอมพวิ เตอร์ 19

ท่รี ะอลำ�กึ เพภิธอีเเปมดิ อื งหแ้อมงฮ่ สอ่ มงดุ สปอรนะชจาังชหนวดั“เแฉมล่ฮมิ อ่ รงาสชอกนุมาร”ี มมุ หนงั สอื ทว่ั ไป 20

ทร่ี ะอลำ�ึกเพภิธอีเเปมดิ อื งหแอ้ มงฮ่ สอ่ มงุดสปอรนะชจาังชหนวดั“เแฉมลฮ่ มิ ่อรงาสชอกนมุ ารี” หอ้ งคนรกั ษป์ า่ ปา่ รกั ษแ์ มฮ่ อ่ งสอน 21

ที่ระอลำ�ึกเพภิธอีเเปมดิ อื งหแอ้ มง่ฮสอ่ มงุดสปอรนะชจาังชหนวดั“เแฉมลฮ่ ิมอ่ รงาสชอกนมุ าร”ี หอ้ งคนรกั ษป์ า่ ปา่ รกั ษแ์ มฮ่ อ่ งสอน หวั บกุ 22

ท่รี ะอลำ�ึกเพภิธอีเเปมิดอื งหแ้อมง่ฮส่อมงดุ สปอรนะชจาังชหนวดั“เแฉมล่ฮิม่อรงาสชอกนมุ าร”ี หอ้ งแมฮ่ อ่ งสอนบา้ นของพอ่ 23

ท่รี ะอล�ำกึ เพภิธอเี เปมดิ อื งหแ้อมงฮ่ ส่อมงดุ สปอรนะชจาังชหนวดั“เแฉมล่ฮิม่อรงาสชอกนมุ าร”ี หอ้ งแมฮ่ อ่ งสอนบา้ นของพอ่ 24

ทร่ี ะอล�ำึกเพภธิ อเี เปมดิ อื งหแ้อมง่ฮส่อมงุดสปอรนะชจางั ชหนวดั“เแฉมล่ฮมิ ่อรงาสชอกนุมาร”ี หอ้ งแมฮ่ อ่ งสอนเมอื งในฝนั สวรรคบ์ นดนิ 25

ทร่ี ะอล�ำึกเพภิธอีเเปมิดอื งหแอ้ มง่ฮส่อมงดุ สปอรนะชจาังชหนวดั“เแฉมล่ฮมิ ่อรงาสชอกนุมาร”ี หอ้ งแมฮ่ อ่ งสอนเมอื งในฝนั สวรรคบ์ นดนิ 26

ที่ระอล�ำึกเพภิธอเี เปมดิ ืองหแอ้ มงฮ่ ส่อมงุดสปอรนะชจาังชหนวัด“เแฉมล่ฮิม่อรงาสชอกนุมารี” “...ท�ำงานกบั ฉนั ฉนั ไม่มีอะไรจะให้ นอกจากการมีความสขุ ร่วมกนั ”ในการทำ� ประโยชน์ใหก้ ับผอู้ ืน่ ... พระบาทสพมระเดบ็รจมพรราโะชบวราทมขชอนงกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 27

ท่รี ะอล�ำึกเพภิธอเี เปมดิ อื งหแอ้ มงฮ่ ส่อมงุดสปอรนะชจางั ชหนวัด“เแฉมลฮ่ ิมอ่ รงาสชอกนุมารี” บา้ นของพอ่ ...แผน่ ดนิ แหง่ ความสขุ ...นามวา่ “เมอื งแมฮ่ อ่ งสอน” ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ...สู่พสกนิกรชาวแม่ฮ่องสอน พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเห็นว่าจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีสภาพพ้ืนท่ีทุรกันดาร ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน มีพื้นท่ีราบส�ำหรับท�ำกินน้อย การคมนาคมไม่สะดวก การติดต่อกันระหว่างต�ำบลและหมู่บ้านยังมีการเดินเท้า เป็นสว่ นใหญ่ ท�ำให้ไดร้ ับการพฒั นานอ้ ยมาก ราษฎรท่ีอาศยั อย่สู ว่ นมากเปน็ ชาวไทยภเู ขาเผ่าตา่ งๆ อาทเิ ช่น ลัวะ มเู ซอ มง้ กะเหรย่ี ง ไทยใหญ่ และชาวจนี อพยพบางสว่ นชนกลมุ่ นอ้ ยบางกลมุ่ นยิ มการปลกู ฝน่ิ เพอ่ื ยงั ชพี นอกจากน้ี แมฮ่ อ่ งสอนยงั เปน็ จงั หวดั ชายแดนทต่ี ดิ ตอ่ กบั สาธารณรฐั แหง่ สหภาพเมยี นมา ซง่ึ มพี วกกองกำ� ลงั แบง่ แยกดนิ แดน หลายกล่มุ แตก่ ย็ ังเปน็ จงั หวดั เดยี วท่ียงั มสี ภาพปา่ เหลอื อย่รู ้อยละ 90 28

ทร่ี ะอล�ำกึ เพภิธอีเเปมิดอื งหแ้อมง่ฮสอ่ มงดุ สปอรนะชจางั ชหนวัด“เแฉมลฮ่ มิ ่อรงาสชอกนมุ าร”ี เพ่ือท่ีจะพัฒนาราษฏรจังหวัดแม่ฮ่องสอน ให้มีความเป็นอยู่ดีข้ึน ได้รับบริการขั้นพ้ืนฐานอย่างทั่ว ถึงได้มีความรัก และหวงแหนในผืนแผ่นดินไทย ต้ังอยู่ ในมิตรภาพอันดีระหว่างไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพ เมยี นมา ลดการปลกู พชื เสพตดิ ลงโดยสนับสนุนและสง่ เสริมการปลกู พืชและเลย้ี งสตั ว์อ่นื ทดแทน เพอื่ เป็นการ รกั ษาสภาพปา่ ทีส่ มบรู ณ์ใหค้ งอยตู่ ่อไป พระบาทสมเดจ็ พระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จึงทรงแนะน�ำให้มีโครงการพัฒนาตามพระราชด�ำริ จังหวดั แมฮ่ อ่ งสอนขึน้ เนอ่ื งจากพน้ื ทจ่ี งั หวดั แมฮ่ อ่ งสอนมสี ภาพเปน็ ภเู ขา สงู สลบั ซบั ซอ้ น การคมนาคมไมส่ ะดวก พระบาทสมเดจ็ พระมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร จงึ ทรง แนะน�ำให้จัดในลักษณะศูนย์กลางการพัฒนาเป็นพื้นท่ี ตามความเหมาะสมของระดบั พน้ื ที่ เพอ่ื ใหศ้ นู ยก์ ลางดงั กลา่ ว เปน็ สถานทที่ ดลอง สถานทฝี่ กึ อบรมเผยแพรแ่ ละสง่ เสรมิ การเกษตร สำ� หรบั ราษฏรในแตล่ ะทอ้ งท่ี ดงั นน้ั โครงการ จงึ มศี นู ยก์ ารพฒั นาอย ู่ 6 ศนู ย์ คอื 1. ศนู ยอ์ ำ� นวยการ โครงการพฒั นาสนั ปา่ ตอง 2.ศนู ยแ์ มส่ ะเรยี ง 3.ศนู ยข์ นุ ยวม 4. ศนู ย์โปง่ แดง 5. ศนู ยป์ างตอง และ 6. ศนู ยป์ างมะผา้ ในขณะเดยี วกนั สมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรม ราชนิ นี าถ พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง ซง่ึ เปรยี บเสมอื น พระมารดาของพสกนกิ รทงั้ หลาย ทรงหว่ งใยความเจบ็ ไข้ ไดป้ ว่ ยของราษฏรตลอดมาทรงใหห้ นว่ ยแพทยอ์ าสาทต่ี าม เสดจ็ ฯ ไดต้ รวจรกั ษาคนปว่ ยเหลา่ นน้ั อยา่ งทว่ั ถงึ และลน้ เกลา้ ฯ ท้ังสองพระองค์ยังได้เสด็จฯ เย่ียมศูนย์ศิลปาชีพพิเศษ ห้วยเดื่อ โดยทรงรับซ้ือส่ิงของที่ราษฏรได้ประดิษฐ์ขึ้น ตามโครงการดงั กลา่ ว ทรงใหค้ รฝู กึ ดา้ นศลิ ปาชพี พเิ ศษมาชว่ ยสอนใหร้ าษฏรในศนู ยน์ เี้ พอื่ ใหร้ าษฏรไดม้ คี วามชำ� นาญ และรู้จักประดิษฐ์ลวดลายใหม่ๆ เพ่ือจูงใจลูกค้ามากข้ึน ในการน้ี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง ไดท้ รงคดั เลอื กบตุ รหลานของราษฏรบา้ นหว้ ยเดอ่ื ไปเรยี นงานศลิ ปาชพี ทส่ี วนจติ รลดาดว้ ย 29

ทีร่ ะอลำ�ึกเพภธิ อีเเปมิดืองหแ้อมงฮ่ สอ่ มงดุ สปอรนะชจางั ชหนวัด“เแฉมลฮ่ ิม่อรงาสชอกนมุ าร”ี ปจั จบุ นั จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน มโี ครงการพระราชดำ� รไิ ดย้ ดึ ถอื แนวพระราชดำ� รขิ องพระบาทสมเดจ็ พระมหาภมู พิ ล อดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร และพระราชเสาวนยี ข์ อง สมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ พิ์ ระบรมราชนิ นี าถ พระบรมราช ชนนพี นั ปหี ลวง ทที่ รงมพี ระมหากรณุ าธคิ ณุ พระราชทานเปน็ แนวทางในการปฏบิ ตั งิ านใหก้ บั จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน โดยทรง เนน้ ใหพ้ ฒั นาบนพน้ื ฐานของขอ้ มลู ดา้ นภมู สิ งั คมในแตล่ ะพนื้ ที่ มงุ่ เนน้ การตอ่ ยอดโดยใชท้ นุ เดมิ และภมู ปิ ญั ญาทชี่ มุ ชนมอี ยู่ ภายใตห้ ลกั การ “คนอยรู่ ว่ มกบั ปา่ ”และทรงใหเ้ นน้ ใช้ “หลกั การมสี ว่ นรว่ มของชมุ ชน” เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความยงั่ ยนื และชว่ ยเหลอื ตนเองได้ ตามแนวทางหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งจงึ ทำ� ใหช้ าวแมฮ่ อ่ งสอนไดร้ บั การพฒั นาอยบู่ นพน้ื ฐานความพอมี พอกนิ พอใช้ ควบคกู่ บั การอนรุ กั ษว์ ถิ ปี ระเพณแี ละวฒั นธรรมของทอ้ งถนิ่ อยา่ งมคี วามสขุ 30

ที่ระอลำ�ึกเพภธิ อีเเปมิดืองหแ้อมง่ฮส่อมงุดสปอรนะชจางั ชหนวัด“เแฉมลฮ่ ิมอ่ รงาสชอกนุมารี” คาํ ขวญั ประจาํ จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน  “ หมอกสามฤดู กองมเู สยี ดฟา้ ปา่ เขยี วขจี ผคู้ นดี ประเพณงี าม ลอื นามถน่ิ บวั ตอง ” อาณาเขต พ้ืนทจ่ี งั หวดั แมฮ่ ่องสอน มีอาณาเขตโดยรอบ ดังน้ี ทศิ เหนอื   จรดสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ทิศตะวนั ออก  จรดจังหวัดเชียงใหม่ ทศิ ใต้  จรดจงั หวัดตาก ท ศิ ตะวันต ก  โจดรยดมสีแาธมาน่ ร้ำ� ณสราฐัลแะหวิน่งสคหนั่ ภเปา็นพบเมายีงชนว่มงา ทต่ี ง้ั แม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดชายแดนจังหวัดหน่ึง ซ่ึงมีอาณาเขตติดต่อกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ต้ังอยู่ทางด้านตะวันตกสุดของภาคเหนือ โดยอยู่ห่าง จากกรุงเทพฯประมาณ 924 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 12,681.259 ตารางกิโลเมตร การปกครอง จงั หวัดแมฮ่ ่องสอน ประกอบดว้ ย 7 อำ� เภอ คือ อ�ำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน อ�ำเภอแม่สะเรียง อ�ำเภอขุนยวม อำ� เภอปาย อำ� เภอแมล่ านอ้ ย อำ� เภอสบเมย และอำ� เภอปางมะผา้ มี 45 ต�ำบล 415 หม่บู ้าน ขอ้ มลู ประชากรจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน ชาย (คน) หญงิ (คน) รวม (คน) 144,309 139,818 284,127 พทีม่ฤาศจ: ิกทาีท่ ยำ� นก า2รป5ก6ค2รองจงั หวดั แมฮ่ ่องสอน 31

ทรี่ ะอลำ�ึกเพภธิ อเี เปมดิ อื งหแ้อมง่ฮสอ่ มงุดสปอรนะชจางั ชหนวดั“เแฉมลฮ่ มิ ่อรงาสชอกนุมารี” ค�ำ ขวญั อ�ำ เภอเมอื งแมฮ่ อ่ งสอน “หนาวสดุ หนาว พนั เขาเคลา้ ทะเลหมอก งามล�ำ้ ถ�ำ้ ปลานา่ มอง ปางตองครองสงา่ คพู่ ระบารม”ี 32

ที่ระอล�ำกึ เพภิธอเี เปมิดืองหแ้อมงฮ่ ส่อมงุดสปอรนะชจาังชหนวดั“เแฉมลฮ่ ิม่อรงาสชอกนมุ ารี” ประวตั คิ วามเปน็ มาของอ�ำ เภอเมอื งแมฮ่ อ่ งสอน สมัยก่อนกรุงรตั นโกสนิ ทร์ แม่ฮ่องสอนเป็นเพียงชมุ ชนบา้ นป่า มชี าวไทยใหญอ่ าศัยอยตู่ ามรอยต่อระหว่าง ประเทศไทยและสาธารณรฐั แหง่ สหภาพเมยี นมา(ประเทศเมยี นมา) พนื้ ทสี่ ว่ นนเี้ ปน็ ชอ่ งทางทก่ี องทพั เมยี นมาผา่ น เพอื่ มาตกี รุงศรีอยุธยา และหวั เมืองฝ่ายเหนอื ของไทยเทา่ นัน้ จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ประมาณปี พ.ศ. 2374 เจ้าผูค้ รองนครเชยี งใหม่ องค์ท่ี 5 นามว่าพระเจ้ามโหตรประเทศ ได้ใหเ้ จา้ แก้วเมอื งมาเป็นนายกอง พรอ้ มด้วย ก�ำลงั พลตรวจชายแดนด้านตะวันตกและจับชา้ งไว้ใชก้ าร เจา้ แก้วเมอื งมาได้ยกขบวนมาทางทศิ ใต้ จนถงึ สถานท่ี แหง่ หนงึ่ รมิ แมน่ ำ�้ ปาย เปน็ ทท่ี ำ� เลดเี หมาะสมแกก่ ารตง้ั บา้ นเรอื น จงึ ไดเ้ รยี กประชมุ ชาวพนื้ เมอื งใหต้ ง้ั บา้ นเรอื นอยู่ เปน็ กลุ่ม  และบกุ เบกิ ไร่ นา ณ บริเวณน้ัน และใหเ้ รยี กชอื่ บ้านนี้ว่า “บา้ นโปง่ หม”ู หรือ บ้านปางหมู ในปัจจบุ ัน (เพราะลักษณะเป็นพ้ืนที่ป่าโปร่งมีหมูป่ามาลงกินดินโป่งชุกชุม) แล้วเลือกพะกาหม่องเป็นผู้น�ำ จากน้ันเจ้าแก้ว เมืองมาร่วมกับพะกาหม่อง ยกขบวนตรวจชายแดน และไล่คล้องช้างต่อไปจนถึงล�ำห้วยแห่งหนึ่งซึ่งมีช้างชุกชุม สามารถคลอ้ งช้างได้หลายเชอื ก จึงหยุดพัก และตัง้ คอกสอนชา้ งที่รมิ ห้วยน้นั เมอ่ื ส�ำรวจพนื้ ท่ีโดยรอบ พบว่ามี ชยั ภมู กิ ว้างขวางเหมาะแก่การตั้งเป็นชุมชนหมู่บา้ น จงึ ไดร้ วบรวมราษฎรมาต้ังบ้านเรอื นอยู่เป็นปึกแผน่   และแต่ง ตงั้ ให้แสนโกม บุตรเขยของพะกา่ หมอ่ งเป็นผู้ใหญ่บา้ น และใหช้ อื่ หมู่บ้านว่า “บา้ นรอ่ งสอน” ซ่ึงต่อมาเพี้ยนเป็น “แม่ฮอ่ งสอน” สบื มาจนทุกวันน้ี  (“แม”่ คอื “แมน่ �้ำ” “ฮ่อง” ตามภาษาไทยใหญ่ คอื “รอ่ งน�้ำ” หรือ “ทอ้ งรอ่ ง” หรอื “ล�ำธาร” และ “สอน” ตามภาษาไทยใหญ่ คือ “เรียน” หรือ “สอน”) ดังนั้น แม่ฮ่องสอน หมายถงึ ร่อง น้�ำอนั เปน็ สถานที่ฝึกสอนช้างปา่     33

ทร่ี ะอลำ�กึ เพภธิ อเี เปมิดืองหแ้อมง่ฮส่อมงดุ สปอรนะชจางั ชหนวัด“เแฉมล่ฮิมอ่ รงาสชอกนมุ ารี” ตอ่ มาเมอ่ื ปี พ.ศ. 2399 เกดิ การสรู้ บในประเทศเมยี นมา ทำ� ใหช้ าวไทยใหญ่ จากเมอื งจ๋ามกา่ และเมอื งหมอกใหญ่ อพยพเข้ามาอยทู่ ี่บา้ นปางหมูและแมฮ่ ่องสอน เพิ่มข้ึน การอพยพครั้งนั้นมีบุคคลส�ำคัญ 2 คน คือ “เจ้าฟ้าโกหล่าน” และ “ชานกะเล” เม่ือเข้ามาอยู่เมืองไทย ชานกะเลได้ช่วยงานจนเป็นท่ีรักใคร่ของพะก่า หม่อง จึงได้ยกบุตรสาวคนรองช่ือ นางใส ให้เป็นภรรยาชานกะเลได้น�ำครอบครัว ลงใต้ มาอยทู่ เ่ี มอื งกนุ๋ ลม หรอื ขนุ ยวมปจั จบุ นั และไดป้ กครองเมอื งกนุ๋ ลมเปน็ คนแรก ต่อมานางใส ภรรยาถึงแก่กรรม เจ้าฟ้าโกหล่าน จึงยกหลานสาวช่ือ เจ้านางเม้ียะ ใหเ้ ปน็ ภรรยา ชานกะเล ไดป้ กครองเมอื งกนุ๋ ลม เกิดความเจริญรงุ่ เรอื ง และได้ทำ� การคา้ กบั ประเทศเมยี นมา สามารถสง่ คา่ ตอไม้ใหเ้ จา้ นครเชยี งใหม่ไดเ้ ปน็ จำ� นวนมาก 34

ท่รี ะอล�ำึกเพภธิ อเี เปมิดอื งหแอ้ มง่ฮสอ่ มงุดสปอรนะชจางั ชหนวัด“เแฉมล่ฮมิ ่อรงาสชอกนุมารี” จนกระทั่งปี พ.ศ. 2417 เจ้าอินทวิชยานนท์ ไดแ้ ต่งตงั้ ใหช้ านกะเลเป็นพญาสิงหนาทราชา ปกครอง เมืองแม่ฮ่องสอนจนถึงแก่กรรม ในปี พ.ศ. 2427 เจ้านางเมี้ยะได้ปกครองเมืองสืบต่อมา และมีการ เปล่ียนแปลงผู้ปกครองหลายคน จนกระทั่งปี พ.ศ. 2443 ในสมัยรชั กาลที่5 มพี ระบรมราชโองการโปรด เกลา้ ฯ ใหร้ วมเมอื งแมฮ่ อ่ งสอน เมอื งขนุ ยวม เมอื งยวมใต้ (แม่สะเรียง) และเมืองปาย ต้ังเป็นเมืองเชียงใหม่ ตะวันตก พ.ศ. 2446 เปลี่ยนเป็นบริเวณพายพั เหนอื ขนึ้ ตรงตอ่ มณฑลพายพั และตง้ั ทว่ี า่ การเมอื งแมฮ่ อ่ งสอน ในปี พ.ศ. 2453 จนถึงสมัยรชั กาลที่ 6 ทรงโปรดให้ ตั้งเป็นจังหวัดแม่ฮ่องสอน และได้โปรดเกล้าฯ ให้ พระศรสุรราช เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดคนแรก จนถึงปี พ.ศ. 2476 จึงได้โอนขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย จนถึงปัจจุบัน (กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศ ลงวัน ท่ี 10 พฤษภาคม 2443 ยกฐานะเมืองแมฮ่ อ่ งสอน)  35

ทร่ี ะอล�ำกึ เพภธิ อเี เปมิดอื งหแ้อมงฮ่ สอ่ มงดุ สปอรนะชจางั ชหนวัด“เแฉมลฮ่ มิ ่อรงาสชอกนุมาร”ี ประเพณใี นรอบเดอื น ๑๒ เดอื น ประเพณีในรอบปี (๑๒ เดอื น) ของชาวไตมีบอ่ เกิดจาก ความเชอ่ื ถอื ศรัทธาในพทุ ธศาสนา กำ� หนดไว้ในแตล่ ะเดอื น ดงั นี้ เดอื น ๑ (เดอื นอา้ ยไต) เรยี กวา่ “เหลินเจ๋ง” ตรงกับ เดอื นธันวาคม ในเดอื น 1 น้ีเป็นเดอื นทพ่ี ุทธศาสนิกชนทำ� บุญ ถวายข้าวใหมแ่ ดพ่ ระภิกษสุ งฆแ์ ละผู้เฒา่ ผแู้ กท่ งั้ หลาย เรียกวา่ “กาบซอมอู” เป็นการท�ำบุญข้าวใหม่จะท�ำที่บ้านหรือท่ีวัดก็ได้ โดยเชิญแขกมาร่วมท�ำบุญ นอกจากน้จี ะมกี ารทำ� บญุ หลขู่ า้ วปุก “ขา้ วตำ� คลกุ กบั งา” คนไตจะใชง้ าดำ� ผสมเกลอื รบั ประทานกบั นำ�้ อ้อย เดือน ๒ (เดือนยี่) เรียกว่า “เหลินก�่ำ” ตรงกับเดือน มกราคม เป็นเดือนท่ีพระสงฆ์อยู่ปริวาสกรรมและมานัด ชาวบ้านเรียก พระภิกษุสงฆ์เข้าปริวาส หรือเข้ากรรม มีพิธี ตกั บาตร “ลองกำ�้ ” พระสงฆจ์ ะไปพกั นอนเขา้ ปรวิ าสในกระตอ๊ บ ฟางข้าว หรือในกลด ตามป่าหรือทุ่งนา และมีการทอดผ้าป่า หาจตุปัจจัยปรับปรุงป่าช้าในการท�ำบุญมีการถวายอาหารเช้า อาหารเพล รับศลี อนุโมทนาทุกวนั ตามท่ีไดต้ กลงวา่ จะทำ� 7 วนั หรอื 15 วนั เดือน 3 ไตเรยี กวา่ “เหลนิ สาม” เป็นฤดูถวายไม้โหล (ฟนื ) ถวายข้าวหย่ากู๊ (ข้าวเหนียวแดง) นิยมทำ� ข้าวเหนียวแดง ถวายวดั และถวายกอ่ งโหลในวนั เพญ็ เดอื น 3 การทำ� บญุ ทำ� ทาน ขา้ วหยา่ กมู๊ กั จดั รวมกนั เปน็ หมบู่ า้ น รวมกนั ทบ่ี า้ นผู้ใหญบ่ า้ นหรอื กำ� นนั แลว้ จะนำ� ใสร่ ถ หรอื แบกหาม ถา้ ขบวนใหญจ่ ะตฆี อ้ ง กลอง แห่ไปแจกภายในหมบู่ ้านโดยท่วั ถึงกัน การทำ� บญุ ถวายกองโหล พารา คอื เอาไม้เนื้อออ่ น หรือใช้ไม้ไผ่ขดู เปลอื กออก แล้วน�ำมา กอ่ ฐานสีเ่ หล่ียมคอกหมู ปลายแหลมข้ึนไปเปน็ รปู เจดีย์ มฉี ตั ร เปน็ ยอด ประดบั ดว้ ยดอกจา้ กจา่ นำ� ไม้ไผม่ าขดั ราชวตั ทิ ง้ั สมี่ มุ ปกั หนอ่ กล้วยหน่อออ้ ย โดยพิธีถวายกองโหลจะต่อด้ายสายสญิ จน์ จากกองโหลไปบนวัดทีพ่ ระสงฆ์ให้ศีลใหพ้ ร และอนโุ มทนา 36

ทร่ี ะอลำ�ึกเพภธิ อเี เปมิดอื งหแ้อมง่ฮส่อมงุดสปอรนะชจาังชหนวัด“เแฉมล่ฮิม่อรงาสชอกนุมารี” เดอื น 4 ไตเรียกวา่ “เหลินสี่” เดือนน้จี ะมีประเพณี ปอยส่างลองและปอยจางลอง เปรียบได้กับประเพณีการ บวชลูกแก้วของชาวไทยล้านนาท่ัว ๆ ไปน่ันเอง งานบวช ลูกแก้วน้ันเป็นประเพณีท่ีชาวไตให้ความส�ำคัญและถือเป็น พิธีกรรมศักด์ิสิทธิ์ ผู้ใดที่มีบุตรชายจะพยายามให้บุตรของ ตนบวชเพราะคนไตถือว่าการท่ีกุลบุตรสามารถอุทิศตน บรรพชาอุปสมบทในพุทธศาสนาได้เปน็ ผู้มีบุญอนั ยงิ่ ใหญ่ 37

ทร่ี ะอล�ำึกเพภิธอีเเปมดิ ืองหแอ้ มงฮ่ สอ่ มงุดสปอรนะชจาังชหนวดั“เแฉมล่ฮิม่อรงาสชอกนมุ ารี” เดือน 5 ไตเรียกว่า “เหลินห้า” มีปอยเหลินห้า ปอยซางกย่าน ปอยจาตี่ซาย ตรงกับเดือนเมษายน เป็น เดือนท่ีเปลี่ยนศักราชใหม่ ในช่วงนี้จะมีงานปอยจ่าตี่ซาย “เจดีย์ทราย” ที่วัดจะมีการขนทรายเข้าวัด มีการถวาย ขนมเทียน ขนมจ๊อก มีการซอนน้�ำเจ้าพารา (สรงน�้ำพระ) ตลอดจนถงึ พระสงฆ์ ขอขมาและดำ� หัวผเู้ ฒา่ ผู้แก่ ขอขมา พอ่ แม่และญาตผิ ู้ใหญ่ นอกจากนีจ้ ะมกี ารเลน่ น้ำ� สงกรานต์ “เหลนิ หา้ ” ปอยซางกยา่ น สว่ นผสู้ งู อายใุ นวนั ขนึ้ 14 – 15 คำ่� จะพากนั ไปฟงั ธรรม จ�ำศีลนอนวัด ถอื ศลี 8 และท�ำบญุ ตักบาตร เดือน 6 ไตเรียกว่า “เหลินหก” มีงานประเพณี ปอยจ่าตี่หรือกองมูทราย ปอยบอกไฟ ปอยซอมต่อโหลง (มธุปายาส) งานท�ำบุญในวันเพ็ญเดือน 6 วันวิสาขบูชา จะมีการถวายเจดีย์ทราย มีการแจกข้าวห่อแล้วมีการจุด บอ้ งไฟ ตอนเชา้ ถวายข้าวมธปุ ายาส (คนไตเรยี กว่า “ซอม ต่อหลวง”) คือถวายข้าว 49 ก้อน ถือว่าไดบ้ ญุ มาก ในวนั เดือนเพญ็ นี้ ผู้เฒ่าผูแ้ ก่ไปจำ� ศีลแปด นอนวดั ฟังธรรมเรยี ก วา่ “ถอมลีก” ทีว่ ัด เดือน 7 ชาวไตเรียกวา่ “เหลินเจด็ ” เปน็ เดอื นทชี่ าวนาเตรียมท�ำนา “ตอกฝอย ลางห้อง” ตรงกบั เดอื น มถิ นุ ายน เป็นเดอื นแหง่ การทบทวนหลกั โมกขธรรมของพระพุทธเจา้ เดือนนชี้ าวนาตา่ งเตรียมตัวท�ำนามีการตอก ฝาย “ท�ำเหมืองฝาย” ลางหอ้ ง “ขดุ รอกรอ่ งน�ำ้ ” เพ่อื ทดน้�ำเข้านา จงึ เว้นจากงานประเพณี เดือน 8 ชาวไตเรยี กวา่ “เหลนิ แปด” ตรงกบั เดอื น กรกฎาคม เป็นฤดูท่ีมีการบรรพชาอุปสมบทกันมากเป็น เดอื นทพี่ ระสงฆอ์ ธษิ ฐานอยจู่ ำ� พรรษา เดอื นนว้ี นั ขนึ้ 15 คำ�่ เดอื น 8 เป็นวันอาสาฬบชู า ตรงกับวนั ที่พระพทุ ธเจ้าแสดง พระธรรมจักร ตามประเพณีไตผู้เฒ่าผู้แก่ตลอดถึงผู้สนใจ ปฏิบัติธรรมจะพากันไปจ�ำศีลท่ีวัด ที่เรียกว่า “ก�ำศีลนอน จอง” ซงึ่ จะไปปฏบิ ตั ิในวดั พระตลอดฤดเู ขา้ พรรษา 3 เดอื น ในขณะเดยี วกนั ชาวไตจะมกี ารทำ� บญุ ในวนั โกนวนั พระเรยี ก วา่ “ปอยจา่ กะ” จะมเี จา้ ภาพจดั งาน นำ� ดอกไม้ ยารกั ษาโรค น�ำ้ สม้ นำ�้ หวาน ไปถวายพระและผ้ทู จี่ �ำศีล เรียกวา่ “พอ่ ศีล แม่ศีล” พรอ้ มขอนมิ นตพ์ ระภิกษุสงฆ์ สามเณรและ เชญิ ผู้ทีจ่ ำ� ศีลไปรบั ประทานอาหารเช้าในวนั รุ่งขน้ึ อกี วนั หนงึ่ หรือวนั ร่งุ ขึ้นจะมกี ารแจกขา้ วหอ่ แก่ผูจ้ ำ� ศลี เรียกว่า “หลปู่ อยจากะ” 38

ทีร่ ะอล�ำึกเพภธิ อีเเปมิดอื งหแ้อมงฮ่ ส่อมงดุ สปอรนะชจางั ชหนวดั“เแฉมลฮ่ มิ อ่ รงาสชอกนมุ ารี” เดือน 9 ชาวไตเรียกว่า “เหลินเก้า” ตรงกับ เดือนสิงหาคม เป็นเดือนท่ีท�ำบุญสลากภัตร และเป็น ฤดูท่ชี าวนาไปท�ำนา ชาวบา้ นสว่ นใหญ่ไม่มเี วลาเตรียม ภัตตาหารไปถวายพระที่วัด เรยี กวา่ “สง่ ขา้ วซอม” ดัง นั้น ในบางหมู่บ้านจึงได้ก�ำหนดเวลาส่งข้าวซอมพระ ในหมู่ผทู้ ่ีไมต่ อ้ งไปทำ� นา เรยี กว่า “ปอยจ่ากอ๊ ก” โดย ใช้กระบอกไม้ไผ่เป็นสัญญาณ ตกลงกันว่าถ้ากระบอก นี้ตกอยู่บ้านใคร บ้านน้ันต้องเป็นธุระน�ำภัตตาหารไป ถวายพระในวันรุ่งขึน้ เดือน 10 ชาวไตเรียกว่า “เหลนิ สิบ” ตรงกบั เดือนกันยายน มีการท�ำบุญ “ซอมต่อหลวง” พร้อม ทัง้ ถวายภตั ตาหารแด่พระภกิ ษุสงฆส์ ามเณร ตลอดจน ทำ� บญุ ตกั บาตรแบบขา้ วสารล้นบาตร เป็นงานย่งิ ใหญ่ ในรอบปี มีความเชอ่ื ว่า อานสิ งส์แหง่ การทำ� บุญนีจ้ ะส่ง ผลให้งานกสิกรรมมผี ลผลติ มาก เดือน 11 ชาวไตเรียกว่า “เหลินสิบเอ็ด” ตรงกับเดือนตุลาคม เป็นเดือนที่พุทธบริษัทชาวไต จัดงานประเพณีเปน็ 2 ช่วง ชว่ งแรก ตงั้ แต่วนั ขน้ึ 1 คำ่� เดือน 11 ถงึ วันขึ้น 15 คำ่� เดอื น 11 เปน็ งานทำ� บญุ อทุ ศิ สว่ นกศุ ลใหผ้ ตู้ าย เรียกว่า “แฮนซอมโกจ่ า” ซง่ึ ตายในรอบปที ีผ่ า่ นมาอีก ครง้ั หนง่ึ จัดโดยสามภี รรยา บุตรหลาน ตลอดจนญาติ ของผตู้ าย ถอื เปน็ การแสดงถงึ ความกตญั ญแู ละทำ� บญุ อทุ ิศสว่ นกศุ ลแกผ่ ู้ล่วงลับไปแลว้ ช่วงท่ีสอง ต้ังแต่วันข้ึน 15 ค่�ำเดือน 11 ถึงวันแรม 14 หรือ 15 ค�่ำ เดือน 11 เป็น ประเพณีปอยเหลินสิบเอ็ด (งานเทศกาลออก พรรษา) จะมีการยกจองพารา (ปราสาทรับเสด็จ พระพุทธเจ้า) จะมีการถวายเทียน 1 พันเล่มท่ีเรียก ว่า “เตนเหง” ท�ำประทีปโคมไฟ ประดับตามวัด และจองพารา มีการจุดไม้เก๊ียะ ตามถนนหนทาง ตอนสุดท้ายเทศกาล จะมีการถวายต้นเทียนขนาดใหญ่ ท�ำจากไม้เกี๊ยะ เรียกว่า ต้นแปก ถวายเป็นพุทธบูชา และมีการท�ำขนมเทียนที่เรียกว่า “เข้ามูนห่อ” ขนม สอดไส้ “เข้ามนู จอก” ขนมกะทิ ข้าวควบ ข้าวปองต่อนำ� ไปถวายวัด ทำ� ทาน เพ่ือนบ้าน และน�ำไปใช้ในการขอขมาบิดามารดาท้ังเส้ือผ้า พร้อมอาหาร คาวหวาน ปดิ เทศกาลเดอื น 11 จะมกี ารจดุ ต้นเตน หรอื แปก (ตน้ เก๊ียะ) เรยี กว่า “ปอยอ่องย๊อด” 39

ที่ระอล�ำึกเพภิธอีเเปมิดอื งหแอ้ มงฮ่ ส่อมงุดสปอรนะชจางั ชหนวดั“เแฉมลฮ่ ิมอ่ รงาสชอกนมุ ารี” เดือน 12 ชาวไตเรียกวา่ “เหลินสิบสอง” จะมงี านประเพณปี อยส่างการ “งานถวายจวี ร” ตรงกับเดือน พฤศจิกายน ชาวไตจะน�ำจีวรไปถวายแก่พระภิกษุ สามเณร มีขบวนแห่ต้นส่างกานพร้อมเคร่ืองไทยทานอื่น ๆ ประเพณีเดอื น 12 ยงั มีการท�ำบญุ ตกั บาตรชาวไต เรยี กว่า “ปอยลองซอมเหลนิ 12” คือ ตักบาตรเขาวงกต (ปอยหว่ังกะป่า) คือการตักบาตรในบริเวณวัด ในวงกตจะมีการขัดราชวัติโค้งไปมาเหมือนเขาวงกตสมัยที่ พระพุทธเจา้ มชี าตเิ ป็นพระเวสสนั ดร จะมกี ารสรา้ งปราสาทในเขาวงกตใหผ้ ู้คนนำ� ดอกไม้ ธปู เทียน เขา้ บูชาด้วย ขา้ วพระพุทธ (ข้าวซอมต่อ) แลว้ ตักบาตรรอบเขาวงกตหรอื จอง 8 หลงั แลว้ แตก่ รณี 40

ทร่ี ะอลำ�ึกเพภธิ อเี เปมดิ ืองหแ้อมงฮ่ ส่อมงุดสปอรนะชจางั ชหนวดั“เแฉมล่ฮิม่อรงาสชอกนมุ ารี” สง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธค์ิ บู่ า้ น คเู่ มอื ง จงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน วดั พระธาตดุ อยกองมู พระธาตุดอยกองมู เจดีย์ 2 องค์ บนเขา ดา้ นทศิ ตะวนั ตกของตวั เมอื งแมฮ่ อ่ งสอน องค์ใหญส่ รา้ ง เมื่อ พ.ศ. 2403 โดยจองต่องสู่ และนางเล็ก ภรรยา เปน็ เจา้ ศรัทธาสรา้ งถวาย ภายในบรรจพุ ระธาตพุ ระโมค คัลลานะ ซ่ึงอัญเชิญมาจากพม่า เคยพังลงเหลือแต่ ฐานและตัวเจดยี ์ พ.ศ. 2441 พระครอู นสุ นธิศาสนกิจ เจ้าอาวาสวัดไม้ฮุง และคณะศรัทธาประชาชนร่วมกัน กอ่ สรา้ งจนเตม็ องค์ ไดท้ ำ� พิธียกฉตั รสมโภช เม่ือเดอื น มนี าคม พ.ศ.2443 องค์เล็กสร้างเมื่อ พ.ศ.2417 โดยพญา สิงหนาท เจ้าเมืององค์แรกของแม่ฮ่องสอน เป็น เจา้ ศรัทธา บรรจพุ ระธาตขุ องพระสารบี ตุ ร ฐานเจดยี ป์ ระดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ประจำ� วนั เกดิ ปางตา่ ง ๆ เปน็ ทเี่ คารพ สกั การะของพุทธศาสนิกชนมาช้านาน อภินิหารของเจดยี ์ มกั มีแสงสว่างเป็นวงกลมรัศมปี ระมาณดวงจนั ทร์ออก จากเจดยี ล์ อยขา้ มตวั เมอื งไปทางทิศตะวันออก และหายไปท่ีเจดียบ์ นดอยวดั กิ่วขมนิ้ หรอื มีแสงสวา่ งเป็นวงกลม รัศมีเล็กกว่าดวงจันทร์ออกจากเจดีย์องค์เล็กไปสู่เจดีย์ 4 สู่ (4 องค์) บริเวณวัดม่วยต่อ เชิงดอยกองมูแล้ว หายไป เหตกุ ารณ์เหลา่ นี้มักเกดิ ข้ึนในวนั พระ เวลาใกลค้ ำ่� หรือใกล้รุ่ง 41

ทร่ี ะอล�ำึกเพภิธอีเเปมิดอื งหแอ้ มง่ฮส่อมงุดสปอรนะชจาังชหนวัด“เแฉมล่ฮมิ อ่ รงาสชอกนมุ าร”ี พระพทุ ธไสยาสน์ วดั พระนอน พระพุทธไสยาสน์ วัดพระนอน อ�ำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ประติมากรรมแบบศิลปะไต (ไทยใหญ่) มีความยาว 12 เมตร ตามต�ำนานเลา่ วา่ พระพทุ ธไสยาสนน์ ส้ี รา้ งกอ่ นอารามวัดพระนอน ผู้เป็นเจ้าศรัทธาสร้างคือเจ้าเมืององค์แรกของเมืองแม่ฮ่องสอน ซึ่งเปน็ ชาวไต (ไทยใหญ่) ชื่อ พะก่าเตกิ ซาน หรือช่อื ในภาษาพม่าว่า “ชานกะเล” ตอ่ มาได้รบั พระราชทานนามวา่ “พญาสงิ หนาทราชา” เหตทุ ที่ า่ นสรา้ งเนอื่ งจากทา่ นประสงคจ์ ะสรา้ งถาวรวตั ถทุ เี่ ปน็ มงคล เพ่ือเป็นท่ีระลึกแก่ชนรุ่นหลัง และเป็นพระพุทธรูปประจ�ำวันเกิด ของทา่ น คือ วันอังคาร และเปน็ การเฉลมิ ฉลองในโอกาสทหี่ ม่บู า้ น แม่ฮอ่ งสอนไดร้ ับการยกฐานะเปน็ เมือง วัดพระนอนแหง่ น้ี ไดร้ บั การยอมรบั นับถอื ว่าเปน็ สถาน ทศ่ี กั ดส์ิ ทิ ธแ์ิ ละเปน็ ปชู นยี สถานคบู่ า้ นคเู่ มอื ง ในอดตี ขา้ ราชการ ทกุ หนว่ ยงาน ในเขตจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอนจะตอ้ งมาทำ� พธิ ดี มื่ นำ�้ พพิ ัฒน์สตั ยาท่วี ดั พระนอนแหง่ น้เี ป็นประจ�ำ 42

ทรี่ ะอลำ�ึกเพภิธอีเเปมดิ อื งหแอ้ มง่ฮส่อมงดุ สปอรนะชจางั ชหนวดั“เแฉมลฮ่ มิ ่อรงาสชอกนุมารี” วดั จองค�ำ วดั จองกลาง วัดจองค�ำและวัดจองกลาง เปรียบเสมือนวัดแฝด ด้วยต้ังอยู่ในก�ำแพงเดียวกัน เม่ือมองจาก ดา้ นหนา้ วดั จองคำ� จะอยดู่ า้ นซา้ ยมอื สว่ นวดั จองกลางจะอยทู่ าง ขวามอื วดั จองคำ� และวดั จองกลางตง้ั อยกู่ ลางเมอื ง แม่ฮ่องสอน และ เป็นเสมือนสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของเมืองไทยใหญ่แห่งนี้ เพราะนอกจากความงดงาม ทางศลิ ปะแลว้ วดั ทง้ั สอง ยงั เปน็ ศนู ยก์ ลางของกจิ กรรมทางวฒั นธรรม และประเพณขี องชาวแมฮ่ อ่ งสอน พน้ื ทดี่ า้ นหนา้ ของวดั ซงึ่ เปน็ สวนสาธารณะหนองจองคำ� ยงั เออื้ ให้ใชเ้ ปน็ สถานทป่ี ระกอบพธิ ตี ามประเพณตี า่ ง ๆ ในรอบปอี กี ดว้ ย วดั จองค�ำ หรือพระอารามหลวงวัดจองค�ำ วัดต้ังอยู่ข้างหนองน้�ำ ซงึ่ ชาวแมฮ่ อ่ งสอนเรยี กวา่ “หนองจองคำ� ” เปน็ วดั ทสี่ รา้ งขนึ้ เมอ่ื ปี พ.ศ. 2340 เปน็ วดั แรกของ เมืองแม่ฮอ่ งสอน เป็นวัดเกา่ แกส่ ร้าง ตามแบบอยา่ งศลิ ปะไทยใหญ่ สง่ิ ท่ีโดดเดน่ หลงั คาทรงประสาท 9 ชน้ั และมศี าสนสถานทสี่ ำ� คญั คอื วหิ ารหลวงพอ่ โต ซง่ึ เปน็ พระพทุ ธรปู องค์ใหญท่ ่สี ดุ ของแม่ฮ่องสอน สร้างเมือ่ พ.ศ.2477 โดยชา่ งชาว พม่าในวิหารเปน็ ท่ีประดษิ ฐาน ของหลวงพอ่ โต ซึง่ เปน็ พระประธาน มีขนาดหนา้ ตกั กว้าง 4.85 เมตร สร้างเม่ือ พ.ศ. 2469 โดยชา่ งฝมี อื ชาวพมา่ และมพี ระพทุ ธรปู ขนาดใหญซ่ ง่ึ จำ� ลองมาจากพระศรศี ากยมนุ ที ว่ี หิ ารวดั สทุ ศั น์ เหตุท่ีเรียกชื่อวดั จองค�ำ เนอื่ งจาก เสาวัดประดับ ด้วยทองคำ� เปลว วดั จองกลาง ภายในวหิ ารมีแทน่ บูชาต้ังพระพทุ ธสิหิงคจ์ �ำลอง ปดิ ทองเหลือง อร่ามไปทั้งองค์ มีส่ิงที่น่าสนใจอื่นๆ อีกเช่น ตุ๊กตา แกะสลักด้วยไม้เป็น รูปคนและสัตว์เก่ียวกับ พระเวสสันดรชาดก ฝีมือแกะสลักของช่างชาว พมา่ ซ่งึ นำ� มาจากพมา่ ต้ังแต่ พ.ศ. 2400 นอกจากน้ีทางดา้ นจิตรกรรม ยังมีภาพวาดบนแผ่นกระจก เรื่องพระเวสสันดรชาดก และภาพประวัติ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะ ตลอดจนภาพแสดงใหเ้ หน็ ถงึ ชวี ติ ความเปน็ อยขู่ องคนสมยั นนั้ หลายภาพ มีคำ� บรรยายใตภ้ าพ เป็นภาษาพม่า และมีบันทึกบอกไวว้ ่า เป็นฝมี ือของช่างไทยใหญ่จากมณั ฑะเลย์ 43

ท่รี ะอลำ�กึ เพภธิ อีเเปมดิ อื งหแอ้ มง่ฮสอ่ มงุดสปอรนะชจาังชหนวดั“เแฉมล่ฮิมอ่ รงาสชอกนมุ าร”ี เจา้ พาราละแขง่ เจา้ พาราละแข่ง วดั หวั เวียง อำ� เภอเมอื งแม่ฮ่องสอน คอื พระพุทธรูปคู่ บา้ นคเู่ มอื งแมฮ่ อ่ งสอนทชี่ าวบา้ นเคารพศรัทธาเปน็ อยา่ งมาก องคพ์ ระเจา้ พารา ละแขง่ สร้างขึ้นโดยหลอ่ จำ� ลองแบบจาก “พระมหามุนี” (พระเจา้ พาราละแข่ง องคจ์ รงิ ทป่ี ระดษิ ฐานอยู่ ณ เมอื งมณั ฑะเลย์ ประเทศพมา่ ) เมอ่ื ป ี พ.ศ. 2460 ลุงจองโพหญ่า คฤหบดพี อ่ คา้ วัวเดินทางไปคา้ ขายในปา่ วันหนงึ่ พระบรมธาตุ ของสมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดเ้ สดจ็ มาอยู่ในขนั หมากของ ลงุ จองโพหญา่ จ�ำนวน 1 องค์ ขนาดเท่าเมลด็ ข้าวโพด ลงุ จองโพหญ่า จึงได้ชักชวนลุงจอง หวนุ่ นะ และคณะศรัทธาในจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน ไปสรา้ งพระพทุ ธรปู “มหามนุ ”ี หรอื พาราละแข่ง ท่เี มอื งมณั ฑะเลย์ เมื่อทำ� การหล่อพระเสร็จเรียบร้อยแลว้ ทางเจ้าภาพได้น�ำเขา้ สูเ่ มอื งแมฮ่ อ่ งสอนเพ่อื ประดิษฐานไว้เปน็ พระ คบู่ า้ นคเู่ มอื งโดยไดบ้ รรทกุ เรอื รวม 9 ชน้ิ รวมนำ�้ หนกั 999 กิโลกรมั ไดล้ อ่ งเรอื มาตามแมน่ ำ้� สาละวนิ (แมน่ ำ้� คง) มาบรรจบแม่น�้ำปายและได้อัญเชิญขึ้นที่ท่าเรือ บ้านท่าโป่งแดง ต�ำบลผาบ่อง อ�ำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน และ คณะศรัทธาในเมอื งได้พากนั น�ำมาประกอบ ทีว่ ัดพระนอน เมอื่ สรา้ งวหิ ารพระมหามนุ แี บบทรงศลิ ปะ ไทยใหญเ่ ปน็ รปู ปราสาทฝมี อื ประณตี สวยงามเสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ คณะศรัทธา ทง้ั หลายไดพ้ ากนั เคลอื่ นองคพ์ ระมหามนุ อี อกจากวดั พระนอนมา ประดิษฐานไว้ในวิหารวัดหัวเวยี งจนกระทงั่ ปัจจบุ นั 44

ทรี่ ะอลำ�กึ เพภิธอีเเปมดิ อื งหแอ้ มงฮ่ ส่อมงุดสปอรนะชจาังชหนวัด“เแฉมลฮ่ มิ ่อรงาสชอกนมุ ารี” พระอนุ่ เมอื ง พระอนุ่ เมือง พระพุทธรูปลกั ษณะพิเศษ คอื เศยี รเปน็ โพง พระโมลเี ปน็ ฝาเปดิ – ปิดได้ ภายในมนี ำ้� เต็ม โพรงพระเศยี ร พระพทุ ธรปู ศักดส์ิ ิทธ์ินีม้ ตี �ำนานเล่าว่า สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงยกทพั ไปตีเมอื งตองอู แต่ ตีไม่ได้เพราะมปี ้อมปราการแข็งแรง และเคยเป็นเมืองหลวงมาก่อน ประกอบกบั กองทัพขาดเสบยี งอาหาร ไข้ป่า ชุกชุม ก�ำลังพลร่อยหรอ จึงรับสั่งยกกองทัพกลับ กองทัพเดินทางมาถึงบริเวณที่เป็นวัดน้�ำฮูปัจจุบัน รับสั่งพัก ไพร่พล ตกดกึ ทรงสุบินนิมติ ว่า พระพ่นี างสุพรรณกลั ยาเสดจ็ มาหาและตรัสว่า “พ่เี ปรยี บเหมือนคนสองแผน่ ดิน ลกู พเ่ี ปน็ พม่า ตวั พ่เี ป็นไทย ย่อมผูกพนั อยชู่ ายแดนพม่าและไทย คอื เมืองปายน้ี วิญญาณของพจี่ ะได้เป็นสขุ เสียที ขอฝากองคจ์ นั ทร์ไว้ให้องค์ด�ำดูแลด้วย” เมือ่ ต่ืนบรรทมตอนใกล้รงุ่ ทรงรบั สัง่ ใหม้ า้ เรว็ ไปรบั คณุ ทา้ วจันทรเ์ ทวีจาก อยธุ ยามาเมืองปายด่วน โดยใหน้ �ำผอบบรรจเุ ส้นพระเกศาไปดว้ ย หลังจากสูญเสยี พระมหาอุปราชาพระราชโอรส พระเจ้านันทบเู รงเสียขวัญ เสวยนำ้� จณั ฑเ์ มามายเป็นอาจินต์ พระพ่ีนางทรงสงั หรณพ์ ระทัยจึงบรรจุเสน้ พระเกศา ในผอบมอบให้จันทร์เทวีน�ำกลับอยุธยา ต่อมาวันหน่ึงพระเจ้านันทบูเรงครองสติไม่อยู่คว้าพระแสงเข้าฟันพระพี่ นางส้นิ พระชนม์พรอ้ มโอรสในครรภ์ 45

ทีร่ ะอลำ�กึ เพภธิ อเี เปมิดอื งหแ้อมงฮ่ ส่อมงุดสปอรนะชจางั ชหนวดั“เแฉมล่ฮิมอ่ รงาสชอกนุมารี” สมเดจ็ พระนเรศวรทรงรบั สง่ั ใหส้ รา้ งเจดยี เ์ พอื่ บรรจพุ ระอฐั พิ ระพน่ี างทม่ี คี นมอญ นำ� มาถวาย ในการเสดจ็ ไปสงครามครง้ั น้ี พรอ้ มผอบบรรจเุ สน้ พระเกศา และทรงโปรดใหส้ รา้ งพระพทุ ธรปู องคห์ นงึ่ ดว้ ย เพอ่ื อทุ ศิ สว่ นกศุ ล แดพ่ ระพน่ี างตามประสงค์ในพระสบุ นิ ทกุ ประการ พระพทุ ธรปู องคน์ น้ั คอื พระอนุ่ เมอื ง วดั นำ�้ ฮู อำ� เภอปาย จงั หวดั แม่ฮ่องสอนในปัจจบุ นั พระพทุ ธรปู อนุ่ เมอื ง ประตมิ ากรรมแบบพระสงิ ห์ รนุ่ 3 หนา้ ตกั กวา้ ง 80 เซนตเิ มตร สงู 111 เซนตเิ มตร หลอ่ ดว้ ยทองสมั ฤทธิ์ ไดเ้ คยมผี อู้ าราธนาไปประดษิ ฐาน ณวดั อนื่ แตค่ านเสลย่ี งท่ีใชห้ ามหกั เพราะทานนำ้� หนกั องค์ พระไม่ได้ จงึ ต้องอาราธนากลบั วัดนำ้� ฮตู ามเดิม 46