วิธีท�ำ พนักงาน 5 คน ไดร้ ับอบุ ัติเหตุรา้ ยแรงหยดุ งานจริงเทา่ กับ (115+150+90+110+180) = 645 วนั ดังนน้ั พนกั งาน 6,967 คน หยดุ งาน = 59,262 – 645 วนั = 58,617 วนั ในนม้ี พี นกั งานไดร้ ับบาดเจบ็ รา้ ยแรง หยุดงานตามอตั รามาตรฐาน ดังนี้ คนท่ี 1 หยดุ งาน (600+3,000) = 3,600 วนั คนที่ 2 หยุดงาน (600+600) = 1,200 วัน คนที่ 3 หยดุ งาน (600+1,250) = 1,850 วนั คนที่ 4 หยุดงาน (600+1,800) = 2,400 วนั คนท่ี 5 หยุดงาน = 6,000 วัน รวมเวลาท่ีเสยี ไปจากการท�ำงานตามอตั รามาตรฐาน = 58,617 + 3,600 + 1,200 + 1,850 + 2,400 + 6,000 = 73,667 วัน I.S.R. ตามอตั รามาตรฐาน = 73,667 × 1,000,000 = 186.94 394,060,00 ดงั นนั้ ใน 1,000,000 ชว่ั โมงการทำ� งาน จะมจี ำ� นวนวนั ทสี่ ญู เสยี จากการเกดิ อบุ ตั เิ หตตุ ามมาตรฐาน เทา่ กบั 186.94 วนั หมายเหตุ: การค�ำนวณวนั หยุดงานตามอัตรามาตรฐาน ใช้ตารางการค�ำนวณอตั ราความสาหสั ของการบาดเจบ็ ตาม มาตรฐานอเมรกิ นั ในหนา้ 128 1.4 จงหาค่า Safe – T – Score เทียบระหว่างปี 2552 และ 2553 S.T.S = I.F.R. [ปัจจุบัน] - I.F.R. [อดีต] I.F.R. [อดีต] จ�ำนวนชั่วโมงการท�ำงานท้ังหมด/1,000,000 S.T.S = 31.53 - 21.95 21.95 394,060,000/1,000,000 = 40.59 การแปลผล Safe – T – Score Safe – T – Score มีคา่ มากกว่า 2 แสดงว่าในปี 2553 มอี ัตราการเกดิ อุบัติเหตุเพ่มิ ขนึ้ | อาชวี อนามัยและความปลอดภยั พน้ื ฐาน 125
ตัวอย่างท่ี 2 บริษัท มิคกี้ จ�ำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทขนาดกลาง ประกอบกิจการผลิตสายไฟฟ้าแรงสูง มพี นกั งานทั้งส้นิ 450 คน ในชว่ งปี พ.ศ. 2550 เจา้ หน้าท่ีไดท้ ำ� การบันทึกสถิติเกี่ยวกับการเกดิ อบุ ัตเิ หตุและการบาด เจบ็ ของพนักงานในชว่ ง 6 เดือนแรกของปี คอื ต้ังแตว่ ันท่ี 1 มกราคม ถึงวันท่ี 30 มิถุนายน มพี นกั งานไดร้ บั การบาด เจบ็ จากการทำ� งานทงั้ สนิ้ 36 ราย ต้องหยดุ ทำ� งานรวม 300 วันการทำ� งาน ในจำ� นวนนี้มีพนักงาน 1 รายที่บาดเจ็บ สาหสั คอื ถกู ลูกกล้ิงบบี อดั นิ้วมอื ขาดไป 2 น้ิว ตอ้ งหยุดงานไปเพือ่ รกั ษาตวั เอง 30 วนั จงึ กลับมาท�ำงานได้ โดย โรงงานทำ� งานสัปดาหล์ ะ 48 ชว่ั โมง ก�ำหนดให้ 1 ปี มีจ�ำนวน 52 สัปดาห์ จงคำ� นวณหา 2.1 อัตราความถี่ของการบาดเจ็บ (I.F.R) I.F.R. = จ�ำนวนคนที่บาดเจ็บ × 1,000,000 จ�ำนวนช่ัวโมงการท�ำงานทั้งหมด จ�ำนวนช่ัวโมงการทำ� งานของพนกั งานทงั้ หมด = 450 x 48 x 26 = 561,600 ชั่วโมง จ�ำนวนพนักงานทไี่ ดร้ ับบาดเจบ็ = 36 คน I.F.R. = 36 × 1,000,000 = 64.10 561,600 ดงั นน้ั ใน 1,000,000 ชั่วโมงการทำ� งาน จะมีพนกั งานประสบอุบัติเหตุ 64.1 คน 2.2 อตั ราความสาหสั ของการบาดเจ็บ (I.S.R) I.S.R. = จ�ำนวนวันที่เสียไป × 1,000,000 จ�ำนวนช่ัวโมงการท�ำงานทั้งหมด จ�ำนวนชว่ั โมงการทำ� งานของพนกั งานทั้งหมด = 450 x 48 x 26 = 561,600 ช่วั โมง จำ� นวนวนั ทีส่ ูญเสียไปจากทไ่ี ดร้ บั บาดเจบ็ = 300 วัน I.S.R. = 300 × 1,000,000 = 534.19 561,600 ดังนั้น ใน 1,000,000 ช่ัวโมงการทำ� งาน จะมจี ำ� นวนวนั ท่สี ญู เสยี จากการเกดิ อุบัติเหตุ 534.19 วัน 126 | อาชวี อนามัยและความปลอดภยั พืน้ ฐาน
2.3 อัตราความสาหัสของการบาดเจบ็ ตามอัตรามาตรฐาน 30 วนั พนกั งาน 1 คน ได้รบั อบุ ตั เิ หตุร้ายแรงหยุดงานตามจรงิ รวม = 270 วนั ดงั นน้ั พนักงาน 35 คน หยุดงานทัง้ หมดเท่ากบั 300 – 30 วัน = 750 วัน พนักงาน 1 คน (น้วิ มอื ขาด 2 นิ้ว) หยดุ งานตามอัตรามาตรฐาน = 1,020 วัน รวมเวลาทเ่ี สียไปจากการทำ� งานตามอัตรามาตรฐานเทา่ กับ 270+750 วัน = I.S.R. ตามอัตรามาตรฐาน = 1,020 × 1,000,000 = 1816.24 561,600 ดงั นน้ั ใน 1,000,000 ชวั่ โมงการทำ� งาน จะมจี ำ� นวนวนั ทสี่ ญู เสยี จากเกดิ อบุ ตั เิ หตตุ ามอตั รามาตรฐาน เทา่ กบั 1,816.24 วนั 2.4 อัตราความสาหัสโดยเฉลี่ยของการบาดเจ็บ อัตราความสาหสั โดยเฉล่ยี = จ�ำนวนที่เสียไป = 300 จ�ำนวนคนท่ีบาดเจ็บ 36 หรอื คำ� นวนจากสูตร = I.S.R. = 534.19 = 8.33 I.F.R. 64.10 ตวั อย่าง 3 โรงงานผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าขนาดเล็กมีพนักงานจ�ำนวนท้ังส้ิน 104 คน ท�ำงาน 8 ช่ัวโมงต่อวัน 6 วันต่อสัปดาห์ รวมเวลาท�ำงาน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในรอบ 6 เดอื นท่ผี า่ นมา คอื ตัง้ แต่วันที่ 1 มกราคม ถงึ วนั ที่ 30 มถิ นุ ายน ได้บันทกึ สถติ อิ บุ ตั ิเหตไุ ว้ คือ มีพนกั งานได้รับบาดเจ็บ 10 ราย ส่วนโรงงานอกี แห่งหนึ่งเป็น โรงงานประกอบแผงโซลาร์เซลล์ มีพนักงานท้ังสน้ิ 400 คน ทำ� งานสปั ดาหล์ ะ 48 ชว่ั โมง ในรอบ 6 เดอื นทผี่ ่านมา มีพนักงานทไี่ ด้รบั การบาดเจ็บ 17 ราย จงเปรยี บเทียบอตั ราความถขี่ องการเกิดอุบัติเหตุของโรงงานทั้งสองโรงงาน (ก�ำหนดให้ 1 ปีการท�ำงานมี 52 สัปดาห์) I.F.R. = จ�ำนวนคนท่ีบาดเจ็บ × 1,000,000 จ�ำนวนช่ัวโมงการท�ำงานท้ังหมด I.F.R.โรงงานผลิตหมอ้ แปลงไฟฟา้ = 10 × 1,000,000 = 77.05 104 x 48 x 26 I.F.R.โรงงานประกอบแผงโซลารเ์ ซลล์ = 17 × 1,000,000 = 34.05 400 x 48 x 26 I.F.R.โรงงานผลิตหม้อแปลงไฟฟ้า = 77.05 = 2.26 I.F.R.โรงงานประกอบแผงโซลารเ์ ซลล์ 34.05 ดังน้ัน โรงงานประกอบรถยนต์ประกอบแผงโซลาร์เซลล์มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุน้อยกว่าโรงงานหลอมโลหะ ประมาณ 2.26 เทา่ | อาชีวอนามยั และความปลอดภยั พืน้ ฐาน 127
ตารางการค�ำนวณอัตราความสาหสั ของการบาดเจบ็ ตามมาตรฐานอเมรกิ ัน [3,4] (American Standard of Industrial Injury Rate) อวัยวะของร่างกายท่ีสูญเสีย เวลาที่สูญเสียไป (วัน) แขน ตรงข้อศอกหรือเหนือข้อศอกขึ้นมา 4,500 3,600 แขน ต�่ำกว่าข้อศอกลงมา 3,000 มือ ข้างใดข้างหนึ่ง 600 300 นิ้วมือ 750 นิ้วหัวแม่มือ 1,250 ขาด 1 นิ้ว นิ้วใดก็ตาม 1,800 ขาด 2 นิ้ว ข้างเดียวกัน 1,200 ขาด 3 น้ิว ข้างเดียวกัน 1,500 ขาด 4 นิ้ว ข้างเดียวกัน 2,000 นิ้วหัวแม่มือและอีก 1 น้ิวข้างเดียวกัน 2,400 นิ้วหัวแม่มือและอีก 2 น้ิวข้างเดียวกัน 4,500 น้ิวหัวแม่มือและอีก 3 นิ้วข้างเดียวกัน 3,000 น้ิวหัวแม่มือและอีก 4 น้ิวข้างเดียวกัน 2,400 600 ขา ตรงเข่าหรือส่วนเหนือเข่าขึ้นมา 600 1,800 ขา สว่ นใตเ้ ข่าลงมา 6,000 600 เทา้ 3,000 6,000 นิ้วหัวแม่เท้า 6,000 นว้ิ เทา้ 2 นิ้ว ตาบอด 1 ขา้ ง ตาบอด 2 ข้าง หู ต้องสูญเสียการได้ยินไป 1 ข้าง หู ต้องสูญเสียการได้ยินทั้งสองข้าง พิการทุกส่วนอย่างถาวร ตาย 128 | อาชวี อนามยั และความปลอดภยั พืน้ ฐาน
บทสรุป อบุ ตั เิ หตุ (Accidents) หมายถงึ เหตกุ ารณท์ เี่ กดิ ขนึ้ จากการทำ� งาน ไมไ่ ดค้ าดคดิ ไมไ่ ดต้ งั้ ใจหรอื ไมไ่ ดว้ างแผน ลว่ งหนา้ มากอ่ น พอเกดิ แลว้ สง่ ผลใหเ้ กดิ ความเสยี หายตอ่ ชวี ติ ทรพั ยส์ นิ กระบวนการผลติ ทรพั ยากรตา่ ง ๆ รวมทง้ั ภาพลักษณ์ช่อื เสียงขององคก์ ร เหตกุ ารณเ์ กือบกลายเปน็ อุบัตเิ หตุ (Near Miss) หมายถึง เหตกุ ารณ์ทีเ่ กดิ ขน้ึ จากการท�ำงาน ไมไ่ ด้คาด คิด ไมไ่ ด้ตงั้ ใจหรอื ไม่ไดว้ างแผนลว่ งหน้ามาก่อน เม่อื เกดิ แลว้ ไมส่ ง่ ผลใหเ้ กิดความเสียหาย แตม่ ีแนวโนม้ ท�ำใหเ้ กิด ความเสียหายตอ่ องคก์ รได้ อุบตั กิ ารณ์ (Incident) หมายถงึ เหตุการณ์ไม่พึงประสงคท์ ุกเหตุการณ์ ทอี่ าจเป็นได้ทง้ั อบุ ัติเหตุและ เหตกุ ารณ์เกอื บกลายเป็นอุบตั เิ หตุ จากการศึกษาของ Frank E. Bird พบว่าสดั ส่วนของการเกดิ อบุ ัติเหตนุ ้ัน มีสดั สว่ นคือ 1 : 10 : 30 : 600 โดยตัวเลขแต่ละตวั น้นั มีความหมายดงั ตอ่ ไปนี้ 1 หมายถึง อบุ ตั ิเหตทุ ่ีเกิดขึน้ แลว้ ท�ำให้เกดิ การบาดเจบ็ ที่รุนแรงถงึ ข้ันพกิ ารหรือเสียชีวิต 10 หมายถงึ อุบัตเิ หตุที่มกี ารบาดเจ็บเพยี งเลก็ น้อย และตอ้ งเขยี นรายงาน 30 หมายถึง อบุ ตั ิเหตุทีเ่ กดิ แล้วท�ำให้ทรัพย์สินเสียหาย 600 หมายถึง เหตุเกือบกลายเป็นอุบัติเหตุ ดงั นน้ั ตอ้ งมงุ่ เนน้ คน้ หา รายงาน และปอ้ งกนั เหตกุ ารณเ์ กอื บกลายเปน็ อบุ ตั เิ หตุ เพราะถา้ เราสามารถปอ้ งกนั ได้ จะทำ� ใหอ้ ุบัติเหตุร้ายแรงไมเ่ กิดขน้ึ จากการศกึ ษาของ H.W. Heinrich พบวา่ สาเหตขุ องการเกดิ อบุ ตั เิ หตจุ ากการทำ� งานมสี าเหตมุ าจาก 3 สาเหตุ ได้แก่ การกระท�ำท่ีไม่ปลอดภัย (Unsafe Acts) สภาพแวดล้อมในการท�ำงานท่ีไม่ปลอดภัย (Unsafe Conditions) และเหตกุ ารณไ์ มส่ ามารถปอ้ งกนั ได้ (Unpreventable) โดยการกระทำ� ทไี่ มป่ ลอดภยั นน้ั เปน็ สาเหตทุ ท่ี ำ� ใหเ้ กดิ อบุ ตั เิ หตุ มากทส่ี ดุ ถงึ 88 เปอรเ์ ซน็ ต์ H.W. Heinrich ไดเ้ สนอแนวคดิ ของการเกดิ อบุ ตั เิ หตตุ ามทฤษฎโี ดมโิ น (Domino Theory) โดยพบวา่ อบุ ตั เิ หตนุ นั้ เกดิ จากโดมโิ น 5 ตวั ตามทฤษฎนี เ้ี ชอื่ วา่ ถา้ เราสามารถกำ� จดั โดมโิ นตวั ที่ 3 ออกได้ คอื การกระทำ� ที่ไมป่ ลอดภัย และสภาพแวดลอ้ มในการท�ำงานท่ไี ม่ปลอดภัย จะทำ� ใหอ้ ุบัติเหตจุ ากการปฏิบัติงานไม่เกดิ ข้ึน อย่างไรก็ตามเมื่อมีอุบัติเหตุและโรคจากการท�ำงานเกิดขึ้นจะท�ำให้เกิดความสูญเสีย 2 ประเภท ได้แก่ ความสูญเสียโดยตรงและความสูญเสยี โดยออ้ ม ความสูญเสียโดยตรง (Direct loss) หมายถึง ความสูญเสียที่เกิดจากอุบัติเหตุแล้วสามารถจ�ำแนก ออกมาเปน็ ตวั เงนิ ทช่ี ดั เจน เชน่ คา่ รักษาพยาบาล เงนิ ที่ต้องชำ� ระเข้าส่กู องทุนเงินทดแทน และค่าประกันภัย เปน็ ตน้ ความสูญเสียโดยอ้อม (Indirect loss) หมายถึง ความสูญเสียที่เกิดจากอุบัติเหตุแล้วไม่สามารถจ�ำแนก คา่ ใชจ้ า่ ยออกมาเปน็ ตวั เงนิ ไดอ้ ยา่ งชดั เจน เชน่ ทรพั ยส์ นิ เสยี หาย อาคารเสยี หาย เสยี เวลา ภาพลกั ษณข์ ององคก์ ร เปน็ ตน้ โดยความสญู เสยี โดยออ้ มท่ี เปน็ คา่ ใชจ้ า่ ยทส่ี ถานประกอบการตอ้ งสญู เสยี ซง่ึ มคี า่ สงู กวา่ ความสญู เสยี โดยตรงอยา่ งมาก ในการประเมนิ ผลการดำ� เนนิ งานดา้ นอาชวี อนามยั และความปลอดภยั นนั้ ตอ้ งอาศยั สถติ ทิ มี่ มี าตรฐานเดยี วกนั ในการประเมนิ เชน่ อตั ราความถขี่ องการเกดิ อบุ ตั เิ หตุ (IFR) อตั ราความสาหสั หรอื ความรนุ แรงของการบาดเจบ็ (ISR) และ Safety-T-Score รวมทั้งในการเปรียบเทียบผลการด�ำเนินงานระหว่างสถานประกอบการหรือระหว่างแผนก ชวั่ โมงในการทำ� งานทใ่ี ช้เปรียบเทยี บต้องเท่ากนั จึงจะสามารถเปรียบเทยี บกันได้ เช่น 1,000,000 ชัว่ โมงการทำ� งาน หรอื 200,000 ชว่ั โมงการทำ� งาน เป็นตน้ | อาชีวอนามัยและความปลอดภยั พ้ืนฐาน 129
บรรณานกุ รม 1. ส�ำนักความปลอดภัยแรงงาน. ระเบียบวาระแห่งชาติ“แรงงานปลอดภัยและสุขภาพอนามัยดี”. กรมสวสั ดกิ ารและคมุ้ ครองแรงงาน เขา้ ถงึ ขอ้ มลู วนั ท่ี 10 มนี าคม 2556. จาก http://www.oshthai.org 2. วทิ ยา อยสู่ ขุ , อาชวี อนามยั ความปลอดภยั และสงิ่ แวดลอ้ ม. ภาควชิ าอาชวี อนามยั และความปลอดภยั มหาวิทยาลัยมหิดล. 2544 3. วชิ ยั พฤกษธ์ าราธกิ ลุ . เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า ความปลอดภยั ในงานอตุ สาหกรรม Industrial Safety. ภาควิชาอาชีวอนามยั และความปลอดภยั มหาวิทยาลยั มหดิ ล 4. Herbert William Heinrich. Industrial accident prevention: a scientific approach. McGraw-Hill. 1931. 5. สมยศ ภวนานันท.์ Loss Control Management. การไฟฟา้ ฝ่ายผลติ แหง่ ประเทศไทย 130 | อาชีวอนามยั และความปลอดภัยพืน้ ฐาน
ค�ำถามทา้ ยบท 1. ใหน้ กั ศกึ ษาอธบิ ายค�ำว่าเหตกุ ารณ์เกือบกลายเปน็ อุบตั เิ หตุ (Near Miss) หมายถึงอะไร 2. จากสัดสว่ นของการเกิดอุบตั เิ หตุ 1 : 10 : 30 : 600 ตัวเลข 10 หมายถึงอะไร 3. จากทฤษฎกี ารเกดิ อบุ ตั เิ หตตุ ามทฤษฎโี ดมโิ น Domino Theory นนั้ เชอ่ื วา่ นำ� โดมโิ นตวั ใดออก อบุ ตั เิ หตุ จะไมเ่ กดิ ข้นึ และโดมโิ นตวั นน้ั หมายถึงอะไร 4. ใหน้ กั ศกึ ษาอธบิ ายความหมายของความสญู เสยี โดยออ้ มหมายถงึ อะไร พรอ้ มทงั้ ยกตวั อยา่ งความสญู เสยี โดยอ้อมนมี้ า 5 ตวั อยา่ ง 5. บริษัทรักความปลอดภัย จ�ำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทผลิตอาหาร ในปี พ.ศ. 2555 – 2556 มีพนักงาน เท่ากันคือ 28,000 คน ท�ำงานในฝ่ายธุรการ 500 คน ฝ่ายบริหาร 200 คน ฝ่ายขาย 12,300 คน และฝ่ายผลิต 15,000 คน โดยพนักงาน ท�ำงาน 8 ชว่ั โมง/วนั 6 วนั ตอ่ สัปดาห์ จงคำ� นวณหา 5.1 ช่ัวโมงการทำ� งานของพนกั งานฝ่ายต่าง ๆ และจำ� นวนชว่ั โมงการท�ำงานทัง้ หมดใน 1 ปี 5.2 ในปี พ.ศ. 2555 ที่ผ่านมาเกิดอุบัติเหตุ มีผู้บาดเจ็บ 200 คน พนักงานหยุดงานรวม 550 วัน ในปี พ.ศ. 2556 มีผู้บาดเจ็บ 250 คน หยุดงานรวม 650 วัน จงหา I.F.R., I.S.R. และความสาหัสโดย เฉลยี่ ของ ปี พ.ศ. 2555 และ 2556 6. จากภาพให้นักศึกษาค้นว่ากิจกรรมใดเป็นการกระท�ำที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe Act) และกิจกรรมใดมี สภาพแวดลอ้ มในการท�ำงานท่ีไมป่ ลอดภัย (Unsafe Condition) | อาชวี อนามัยและความปลอดภยั พนื้ ฐาน 131
132 | อาชวี อนามยั และความปลอดภัยพ้นื ฐาน
บทที่ 6 หลกั การป้องกนั และควบคมุ อนั ตราย จากสภาพแวดลอ้ มในการท�ำงาน Principle of Hazard Control in the Workplace เนื้อหาการเรียนรู้ • หลักการป้องกันอันตรายและควบคุมอันตรายจากสภาพแวดล้อมในการท�ำงาน • การป้องกันอันตรายและควบคุมอันตรายจากสภาพแวดล้อมในการท�ำงาน - ด้านกายภาพ - เคมี - ด้านชีวภาพ - ด้านการยศาสตร์
1. บทน�ำ อบุ ตั เิ หตหุ รอื อนั ตรายทเี่ กดิ ขน้ึ จากการทำ� งานนน้ั มสี าเหตมุ าจากการกระทำ� ทไี่ มป่ ลอดภยั และสภาพแวดลอ้ ม ในการท�ำงานท่ีไม่ปลอดภัย เมื่อนักอาชีวอนามัยและความปลอดภัยหรือเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการท�ำงาน ตระหนักถึงอันตรายจากการท�ำงานแล้ว สิ่งส�ำคัญอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดเสียไม่ได้เลยคือการป้องกันควบคุมอันตราย จากสภาพแวดลอ้ มในการทำ� งานใหอ้ ยใู่ นสภาพทปี่ ลอดภยั อนั ไดแ้ ก่ การปลอดภยั จากอบุ ตั เิ หตแุ ละโรคจากการทำ� งาน โดยอาศยั หลกั การการปอ้ งกนั ควบคมุ ทแี่ หลง่ กำ� เนดิ การปอ้ งกนั ควบคมุ ทท่ี างผา่ น และการปอ้ งกนั ควบคมุ ทต่ี วั บคุ คล เพอื่ เปน็ การลดหรอื ขจดั อนั ตรายใหห้ มดไปจากสภาพแวดลอ้ มการทำ� งาน อนั จะนำ� ผลดมี าสตู่ วั ผปู้ ฏบิ ตั งิ าน เพอ่ื นรว่ มงาน สถานประกอบการและประเทศชาติได้ 2. หลกั การปอ้ งกนั อนั ตรายและควบคมุ อนั ตรายจากสภาพแวดลอ้ มในการทำ� งาน [1] การป้องกันควบคุมอันตรายจากการท�ำงานอาศัยหลักการ การป้องกันควบคุมท่ีแหล่งก�ำเนิด การป้องกัน ควบคมุ ทท่ี างผา่ น และการปอ้ งกนั ควบคมุ ทตี่ วั บคุ คล โดยใชว้ ธิ กี ารในการปอ้ งกนั ควบคมุ อนั อนั ตรายจากการทำ� งาน ได้แก่ การควบคุมทางวิศวกรรม การควบคุมทางการบริหารจัดการ และการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล โดยหลักการและวิธีการป้องกันควบคุมอันตรายจากการท�ำงาน แสดงดังแสดงรูป 6-1 การปอ้ งกนั ควบคมุ Control หลกั การ วธิ กี าร แหลง่ กำ� เนิด Source การควบคุมทางดา้ นวิศวกรรม Engineering Control ทางผ่าน Path การควบคุมทางดา้ นบรหิ ารจดั การ Administrative Control ตวั บุคคล Receivers อุปกรณ์ปอ้ งกันอันตรายส่วนบุคคล Personal Protective Equipment รปู ที่ 6-1 หลกั การและวธิ กี ารปอ้ งกนั ควบคมุ อนั ตรายจากการทำ� งาน 134 | อาชวี อนามยั และความปลอดภัยพน้ื ฐาน
1) การป้องกนั ควบคมุ ทแ่ี หลง่ ก�ำเนดิ (Source Controls) เป็นการลดหรือขจัดอันตรายออกไปจาก การท�ำงาน ณ แหล่งก�ำเนิดอันตราย โดยอาศัยการออกแบบด้านวิศวกรรม เพ่ือให้เครื่องจักรหรือกระบวนการ ผลิตมีความปลอดภัยตัง้ แตต่ ้น เปน็ วธิ กี ารควบคุมอันตรายทถ่ี กู พจิ ารณาเป็นอันดบั แรกเน่ืองจาก มปี ระสิทธภิ าพ มากทส่ี ุดในการควบคมุ อนั ตรายดที ส่ี ดุ หลกั การปอ้ งกนั ควบคมุ ทแี่ หลง่ กำ� เนดิ นจ้ี ะใชว้ ธิ กี ารควบคมุ ทางดา้ นวศิ วกรรม (Engineering Control) เปน็ หลกั แสดงดังรปู ท่ี 6-2 เครอื่ งจกั รทไ่ี มม่ กี ารปอ้ งกนั เครอื่ งจกั รทมี่ กี ารปอ้ งกนั รปู ท่ี 6-2 การปอ้ งกนั ควบคมุ ทแี่ หลง่ กำ� เนดิ (Source Controls) 2) การปอ้ งกนั ควบคมุ ทท่ี างผา่ น (Path Controls) เปน็ วธิ กี ารควบคมุ อนั ตรายจากทางผา่ นของอนั ตราย จากแหล่งก�ำเนิดไปสู่พนักงาน เป็นการลดความรุนแรงหรือความเป็นอันตรายก่อนถึงตัวพนักงานโดยท่ีอันตราย ณ แหลง่ ก�ำเนิดยังคงเทา่ เดิม โดยการเพมิ่ ระยะทางหรือหาสง่ิ มากัน้ ระหว่างผ้ปู ฏบิ ัติงานกับแหล่งอันตราย หลักการ น้คี วรถูกพิจารณาเป็นอนั ดับที่สอง หลักการปอ้ งกนั ควบคุมอันตรายทีท่ างผา่ น จะใช้วธิ ีการการควบคุมทางด้านการ บรหิ ารจดั การ (Administrative Control) แสดงดงั รปู ท่ี 6-3 ผนงั กน้ั เสยี ง รปู ที่ 6-3 การปอ้ งกนั ควบคมุ ทท่ี างผา่ น (Path Controls) | อาชีวอนามยั และความปลอดภัยพื้นฐาน 135
3) การปอ้ งกนั ควบคมุ ทที่ างตวั บคุ คล (Receiver Controls) การควบคมุ โดยวธิ กี ารนไี้ มส่ ามารถลด หรอื กำ� จัดอันตรายได้ แต่เป็นเพียงสิ่งที่ก้ันระหว่างตัวผู้ปฏิบัติงานและอันตรายเท่านั้น โดยอาศยั อปุ กรณป์ อ้ งกนั อนั ตรายสว่ นบุคคล ถ้าอุปกรณ์ป้องกันอันตรายเกิดความเสยี หายกจ็ ะทำ� ใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั งิ านสมั ผสั อนั ตรายนน้ั ไดโ้ ดย ทนั ที มาตรการนคี้ วรถกู พจิ ารณาเปน็ มาตรการสดุ ทา้ ย เพราะเปน็ วธิ กี ารทยี่ ากทสี่ ดุ เนอื่ งจากเปน็ วธิ กี ารเปลย่ี นแปลง พฤตกิ รรมของผปู้ ฏบิ ตั งิ านซงึ่ สามารถทำ� ไดย้ าก รวมทง้ั ถา้ สง่ิ ปอ้ งกนั อนั ตรายนไ้ี มส่ ามารถกนั้ อนั ตรายได้ แตผ่ ปู้ ฏบิ ตั ิ งานยงั สวมอปุ กรณก์ นั อนั ตรายนอี้ ยู่ โดยทยี่ งั คดิ วา่ อปุ กรณป์ อ้ งกนั อนั ตรายนย้ี งั สามารถปอ้ งกนั อนั ตรายไดอ้ ยู่ ซงึ่ จะ ทำ� ใหเ้ กดิ อนั ตรายตอ่ ผปู้ ฏบิ ตั งิ านอยา่ งมาก การปอ้ งกนั ควบคมุ อนั ตรายทตี่ วั บคุ คลนจ้ี ะใชอ้ ปุ กรณป์ อ้ งกนั อนั ตราย สว่ นบคุ คล (Personal Protective Equipment : PPE) ในการปอ้ งกนั เปน็ หลกั แสดงดงั รปู ที่ 6-4 รปู ที่ 6-4 การปอ้ งกนั ควบคมุ ทที่ างตวั บคุ คล (Receiver Controls) 3. วธิ ีการปอ้ งกันควบคมุ อันตรายจากการท�ำงาน [2] วิธีการป้องกันควบคุมอันตรายจากการท�ำงานนี้เป็นวิธีการท่ีนักสุขศาสตร์อุตสาหกรรมน�ำมาประยุกต์ใช้ ในการป้องกันควบคุมอันตรายที่เกิดข้ึนในสถานที่ปฏิบัติงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถ ปฏิบัติงานอย่างปลอดในสภาพแวดล้อมการท�ำงานท่ีต้องปฏิบัติงานตลอด 8 ช่ัวโมงการท�ำงานต่อวัน โดยมีวิธีการ ป้องกันควบคุมอันตรายจากการท�ำงานอยู่ 3 วิธีได้แก่การป้องกันควบคุมทางด้านวิศวกรรม การป้องกันควบคุม ทางด้านการบริหารจัดการ และการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล 3.1 การป้องกันควบคุมทางด้านวศิ วกรรม Engineering Controls [2] การควบคุมทางด้านวิศวกรรมนี้ เป็นการควบคุมอันตรายตั้งแต่การออกแบบโดยอาศัยหลักการต่างๆ ดงั ตอ่ ไปนี้ เช่น 136 | อาชวี อนามัยและความปลอดภยั พน้ื ฐาน
1) การแทนทสี่ ารทเี่ ปน็ อนั ตรายนอ้ ยกวา่ ทดแทน เชน่ ใชส้ ารทม่ี กี ารตดิ ไฟไดน้ อ้ ย ทำ� ปฏกิ ริ ยิ าเคมนี อ้ ย เกดิ การระเบดิ ไดน้ อ้ ยทดแทน ตวั อยา่ งเชน่ ในกระบวนการผสมสใี นอดตี ใชเ้ บนซนี เปน็ ตวั ทำ� ละลายเมด็ สี แตป่ จั จบุ นั มี การศึกษาพบวา่ เบนซีนเปน็ สารก่อมะเรง็ ดังนน้ั จึงเปล่ยี นจากเบนซีนมาใชโ้ ทลอู นี และในปัจจบุ ันใช้สไตล์ลีน ซึ่งมี ความเป็นพิษต�่ำกว่าทดแทน หรือถ้าท�ำได้ก็อาจใช้น้�ำเป็นตัวท�ำละลายแทน แต่ส่ิงส�ำคัญสารท่ีเปลี่ยนทดแทนนั้น จะตอ้ งไม่มีผลกระทบต่อผลติ ภัณฑ์และกระบวนการผลิต 2) การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิต ตัวอย่างเช่น การท�ำงานเชื่อมโลหะพนักงานจะได้รับฟูมจาก การเชอื่ มโลหะท�ำให้เกิดอันตรายตอ่ ปอดของผ้ปู ฏิบัติงาน ปัจจบุ ันหลายสถานประกอบการหันมาใช้หุน่ ยนต์ในการ เช่ือมโลหะแทนมนุษย์ หรือเปล่ียนแปลงเคร่ืองจักรท่ีมีความปลอดภัยมากข้ึนทดแทน เปน็ ตน้ 3) การปิดคลุมกระบวนการผลติ หรอื อุปกรณ์ เป็นวิธที ีน่ ิยมใชใ้ นการลดอันตรายจากแหล่งก�ำเนิดกอ่ นถึง ตัวผู้ปฏิบตั ิงาน ตวั อย่างเช่น การทำ� งานกับเคร่อื งจักรที่มีเสยี งดงั นยิ มใช้การสร้างห้องครอบเคร่ืองจกั รโดยใช้วสั ดุ ดดู ซับเสียง ทำ� ใหเ้ สยี งจากเคร่อื งจักรลดลงและผู้ปฏิบัตงิ านเกิดความปลอดภยั ในการทำ� งานมากยงิ่ ข้ึน 4) การลดปัญหาเรอื่ งฝุ่นหรืออันตรายจากฝนุ่ โดยใช้ระบบเปียก ในสภาพแวดล้อมการท�ำงานทมี่ ปี ญั หา เร่ืองฝุ่นนิยมใช้ระบบเปียก โดยการฉีดพ่นละอองน้�ำท�ำให้ฝุ่นรวมตัวกันกับน�้ำ ฝุ่นน้ันจะมีน�้ำหนักมากข้ึนและ ตกลงมาสู่พ้ืนพรอ้ มกบั นำ้� 5) การตดิ ตงั้ การด์ นริ ภยั และสายดนิ ของเครอ่ื งจกั ร เปน็ วธิ กี ารทนี่ ยิ มในการปอ้ งกนั อนั ตรายจากเครอ่ื งจกั ร การ์ดนิรภัยมีอยู่หลายประเภท เช่น การนิรภัยชนิดติดอยู่กับที่ การนิรภัยชนิดอินเตอร์ล๊อค (Interlock Guard) การ์ดนริ ภยั ชนิดระบบเซนเซอร์ ส่วนสายดินสามารถปอ้ งกันอนั ตรายจากกระแสไฟฟา้ ได้ เปน็ ต้น 6) การบ�ำรงุ รักษา เปน็ อกี หนงึ่ วธิ ีทใี่ ช้ในการปอ้ งกนั อันตราย เชน่ การเปล่ียนอุปกรณ์ตามอายุการใช้ งานหรือก่อนท่ีเคร่ืองจักรจะเสีย ท�ำให้ลดอันตรายจากการท�ำงานได้ การหยอดน้�ำมันหรือขันน๊อตก็สามารถลด ปัญหาเร่ืองเสยี งได้เชน่ กนั เปน็ ต้น 7) การใช้ระบบระบายอากาศ ในทางด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยได้แบ่งระบบระบายอากาศ ออกเป็น 2 ระบบ ได้แก่ การใช้ระบบระบายอากาศเฉพาะที่ (Local Exhaust Ventilation) และการใช้ระบบ ระบายอากาศแบบทัว่ ไป (General or Dilute Ventilation) การใช้ระบบระบายอากาศมีวตั ถปุ ระสงค์ ดงั นี้ • เพอ่ื ควบคุมด้านความรอ้ น ความช้นื ในโรงงานอตุ สาหกรรม • ใช้ควบคมุ มลพิษจากสง่ิ แวดล้อม เช่น ฝ่นุ ละออง ไอระเหย ควัน ก๊าซ ฟมู • เพ่ือเจอื จางมลพิษทางอากาศในบรเิ วณการทำ� งาน • เพอ่ื ปอ้ งกันควบคุมการเกดิ อคั คีภยั • ใช้เสริมอากาศบริสทุ ธเ์ิ ข้ามาบรเิ วณท�ำงาน | อาชีวอนามยั และความปลอดภัยพืน้ ฐาน 137
ระบบระบายอากาศเฉพาะที่ (Local Exhaust Ventilation) การระบายอากาศชนิดนี้นิยมใช้ในการ แกป้ ญั หามลพษิ ในสถานประกอบการ เปน็ การแกไ้ ขมลพษิ ทางอากาศทแี่ หลง่ กำ� เนดิ โดยการดดู ระบายมลพษิ หรอื อากาศ ทถ่ี กู ปนเปอ้ื นดว้ ยมลพษิ ออกจากบรเิ วณทเี่ ปน็ จดุ กำเนิดโดยตรง ก่อนท่ีอากาศที่เป็นอันตรายนั้นจะเข้าไปปนเปื้อนกบั อากาศบรสิ ทุ ธส์ิ ว่ นใหญข่ องพน้ื ทกี่ ารปฏบิ ตั งิ าน แสดงดงั รปู ท่ี 6-5 โดยระบบระบายอากาศเฉพาะทปี่ ระกอบดว้ ย องคป์ ระกอบ 5 ส่วนหลกั ไดแ้ ก่ รปู ที่ 6-5 ระบบระบายอากาศเฉพาะท่ี (Local Exhaust Ventilation) 1) ทางเข้าของอากาศหรอื ฮ๊ดู ดูดอากาศ (Hoods หรือ Inlet) เปน็ ส่วนส�ำคัญท่ที �ำหน้าทีร่ วบรวมมลพิษ ทางอากาศให้เข้าสู่ระบบระบายอากาศ การเลือกใช้หรือการออกแบบ การสร้าง ต้องค�ำนึงถึงชนิดที่เหมาะสม เพ่ือให้ทางเข้าของอากาศมีประสทิ ธิภาพมากทส่ี ดุ ในการดดู อากาศเสียหรือมลพษิ 2)ท่อน�ำอากาศ (Ducts) เป็นส่วนท่ีท�ำหน้าที่น�ำอากาศส่งต่ออากาศท่ีรวบรวมโดยฮู๊ดผ่านต่อไปในระบบ เพอ่ื เขา้ ส่รู ะบบขจดั อากาศหรอื ปล่อยออกสภู่ ายนอก 3) พดั ลมดูดอากาศ (Exhaust Fan หรือ Blower) ท�ำหน้าทใี่ นการดูดอากาศ เป่าอากาศ หรอื ขับเคลอ่ื น อากาศในระบบระบายอากาศ 4) อุปกรณ์ควบคุมมลพิษ (Air Cleaning Devices) ท�ำหน้าที่ในการขจัดหรือดูดซับมลพิษทางอากาศ ให้อยใู่ นมาตรฐานการควบคมุ ก่อนปล่อยออกสู่บรรยากาศภายนอก 5) ทางออก (Outlet หรือ Stack) ทางออกของอากาศผ่านการบ�ำบัดแล้ว หรือปล่องระบายอากาศ เป็นส่วนสุดทา้ ยของระบบระบายอากาศ ระบบระบายอากาศแบบท่ัวไป(GeneralorDiluteVentilation)เป็นวิธีการที่ใช้กันมากโดยอาศัยหลกั การเคลื่อนไหวของอากาศแบบธรรมชาติ และใช้หลักการความดันท่ีแตกต่างในแต่ละพื้นท่ีโดยอากาศจะเคลื่อนท่ี จากความดนั อากาศสงู ไปยงั ความดนั อากาศตำ่� เสมอ การระบายอากาศดว้ ยวธิ นี เ้ี ปน็ การเคลอื่ นยา้ ยถา่ ยเทอากาศเขา้ และออกจากบริเวณท่ัวๆไปในอาคาร โดยใช้ช่องเปิดในอาคาร เช่นประตู หน้าต่าง รวมท้ังการใช้พัดลมระบาย อากาศ ระบบระบายอากาศชนิดน้แี สดงดังรปู ที่ 6-6 138 | อาชวี อนามัยและความปลอดภยั พ้นื ฐาน
รปู ท่ี 6-6 ระบบระบายอากาศแบบทวั่ ไป (General or Dilute ventilation) 3.2 การปอ้ งกันควบคมุ ทางด้านการบริหารจดั การ Administrative Control [2] เป็นวิธีการควบคุมอันตรายท่ีจะลดการสัมผัสอันตรายของผู้ปฏิบัติงาน แต่อันตรายจากแหล่งก�ำเนิดยังคง เทา่ เดิมอยู่ ควรเลอื กใช้วิธกี ารน้ีเป็นวิธกี ารทสี่ อง เม่อื ไมส่ ามารถปอ้ งกันควบคุมอันตรายจากการปฏบิ ัตงิ านทางดา้ น วศิ วกรรมได้ การป้องกนั ควบคุมโดยวิธกี ารนอ้ี าศัยหลกั การต่าง ๆ ดังน้ี 1) การฝึกอบรมให้ความรู้ เป็นการพัฒนาองค์ความรู้ด้านความปลอดภัยแก่ผู้ปฏิบัติงาน เม่ือผู้ปฏิบัตงิ าน มคี วามร้เู กีย่ วกับอันตรายทอ่ี าจเกิดขึน้ จากการปฏบิ ัติงานมากขึน้ จะท�ำให้เกดิ การปรับเปลีย่ นทัศนคติ และสามารถ ปฏิบัติตนในการปอ้ งกันอนั ตรายไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง 2) จดั ชว่ งเวลาการท�ำงาน นยิ มใชใ้ นการปอ้ งกนั อันตรายกบั สภาวะแวดล้อมทรี่ ้อน เช่น การหลอมโลหะ ในเวลากลางวันจะท�ำให้ผู้ปฏิบัติงานได้รับอันตรายจากความร้อนของเตาหลอมและความร้อนจากดวงอาทิตย์ ท�ำให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดอันตรายจากการท�ำงานมากขึ้น แต่ถ้าหลอมโลหะในเวลากลางคืน ตอนเช้า หรือตอนเย็น ก็จะลดความรอ้ นทเ่ี กดิ จากดวงอาทิตยล์ งได้ ทำ� ให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดความปลอดภัยจากการทำ� งานมากยงิ่ ขึน้ 3) หมุนเวียนสับเปลี่ยนผู้ปฏิบัติงานหรือการย้ายต�ำแหน่งงาน วิธีการนี้ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการกระจาย อนั ตรายไปสบู่ คุ คลอน่ื แทนทจี่ ะลดหรอื กำ� จดั อนั ตรายใหห้ มดไป แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามการหมนุ เวยี นสบั เปลยี่ นผปู้ ฏบิ ตั งิ านนี้ ทำ� ใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั งิ านสมั ผสั อนั ตรายอยใู่ นระดบั ทยี่ อมรบั ได้ เชน่ ในสถานประกอบการทมี่ เี สยี งดงั เกนิ กวา่ 90 เดซเิ บลเอ ตามมาตรฐานผปู้ ฏบิ ตั งิ านสัมผสั ได้ไม่เกนิ 8 ชวั่ โมงการท�ำงาน เราสามารถหมนุ เวยี นสบั เปลย่ี นผปู้ ฏิบตั งิ าน โดยให้ ผู้ปฏิบัติงานท�ำงานคนละ 4 ช่ัวโมง ส่วนเวลาที่เหลือให้ไปปฏิบัติงานในแผนกท่ีมีเสียงดังน้อยกว่า ก็จะท�ำให้ผู้ ปฏบิ ัติงานเกดิ ความปลอดภยั ในการท�ำงาน วิธีการนี้รวมถึงการเพม่ิ ระยะเวลาพกั ระหว่างการท�ำงานใหม้ ากข้นึ 4) การท�ำความสะอาดสถานท่ที ำ� งาน วิธกี ารน้สี ามารถลดอนั ตรายจากการทำ� งานโดยถา้ สถานทท่ี ำ� งานมี ความเป็นระเบยี บเรยี บร้อย ผูป้ ฏิบตั งิ านสามารถหยบิ จบั เครื่องมอื ได้อยา่ งถูกต้องและปลอดภยั โดยทว่ั ไปจะใช้หลัก การของ 5ส | อาชวี อนามยั และความปลอดภยั พื้นฐาน 139
5) การจัดท�ำโครงการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในสถานที่ท�ำงาน จะประกอบด้วยหลักการอยู่ 3 หลักการ ของการด�ำเนินงานด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ได้แก่ การตระหนักถึงอันตราย การ ประเมินอันตราย และการควบคุมอันตราย 6) การตรวจสุขภาพผู้ปฏิบัติงาน เช่น การตรวจสุขภาพก่อนเข้าท�ำงาน การตรวจสุขภาพประจ�ำปี เปน็ การเลอื กผู้ปฏิบัติงานใหม้ ีความเหมาะสมกบั การปฏบิ ตั ิงาน เช่น กรณผี ู้ปฏบิ ตั ิงานมีโรคเกีย่ วกับระบบการได้ยนิ เราไมค่ วรใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั งิ านนสี้ มั ผสั เสยี งทดี่ งั เกนิ กวา่ มาตรฐาน เปน็ ตน้ และยงั มปี ระโยชนใ์ นการยา้ ยงานของผปู้ ฏบิ ตั งิ าน เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความปลอดภัยในการปฏิบตั งิ าน 3.3 การใช้อปุ กรณ์ปอ้ งกันอันตรายส่วนบุคคล Personal Protective Equipment (PPE) การใช้อปุ กรณป์ อ้ งกันอนั ตรายส่วนบุคคลนีค้ วรเลือกใช้ในกรณสี ุดท้าย เมอ่ื ไม่สามารถใช้หาวธิ กี ารปอ้ งกนั ควบคมุ ด้วยวิธกี ารทางด้านวศิ วกรรม หรือทางดา้ นการบรหิ ารจัดการ วธิ กี ารป้องกันควบคมุ นี้จะใชอ้ ปุ กรณป์ อ้ งกนั อันตรายสว่ นบคุ คลในการปอ้ งกัน ต้งั แต่ศรี ษะจรดเท้าทัง้ 7 ประเภท ได้แก่ อปุ กรณ์ป้องกนั ศรี ษะ อุปกรณ์ปอ้ งกนั ดวงตาและใบหนา้ อุปกรณ์ปอ้ งกันระบบทางเดนิ หายใจ อปุ กรณ์ปอ้ งกนั ระบบการได้ยิน อุปกรณ์ปอ้ งกนั มือและ ผวิ หนงั อุปกรณ์ปอ้ งกันเท้า และอุปกรณป์ ้องกันการตก 4. อปุ กรณป์ อ้ งกนั อนั ตรายสว่ นบคุ คล Personal Protective Equipment (PPE) [1,2,3] อปุ กรณป์ ้องกันอันตรายส่วนบคุ คล หมายถึง ส่งิ หรืออุปกรณใ์ ดๆทสี่ วมลงบนอวัยวะของร่างกาย หรือสว่ น ของรา่ งกาย เพอ่ื ปอ้ งกนั อนั ตรายจากอุบัติเหตุจากการท�ำงานและสภาพแวดล้อมในการท�ำงาน มี 7 ประเภทตัง้ แต่ ศรี ษะจรดเทา้ ได้แกอ่ ปุ กรณป์ ้องกนั ศีรษะ อปุ กรณป์ อ้ งกนั ดวงตาและใบหน้า อปุ กรณ์ปอ้ งกนั ระบบทางเดินหายใจ อุปกรณป์ อ้ งกันระบบการไดย้ ิน อุปกรณป์ อ้ งกันมอื และผวิ หนัง อปุ กรณ์ปอ้ งกนั เทา้ และ อุปกรณป์ อ้ งกันการตก อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลมีข้อจ�ำกัด คือ ไม่สามารถลดอันตรายจากแหล่งก�ำเนิดของอันตราย แตเ่ ปน็ เพยี งสง่ิ บางๆกนั ระหว่างผ้ปู ฏิบตั งิ าน ถ้าอุปกรณป์ ้องกันอนั ตรายส่วนบุคคลนเ้ี สยี สภาพการปอ้ งกนั จะท�ำให้ ผ้ปู ฏบิ ัติงานสมั ผสั กบั อนั ตรายทนั ที ปัจจุบันอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลมีหลากหลายชนิด ข้ึนอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้งาน รวมท้ัง สามารถหาซื้อได้ง่าย ดังน้ันผู้ใช้งานต้องเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลให้เหมาะสมกับอันตรายที่ผู้ ปฏิบัตงิ านสมั ผัส รวมทงั้ อปุ กรณ์นั้นจะต้องไดม้ าตรฐาน ดังนั้น วธิ ีการเลือกใช้อปุ กรณ์ป้องกันอันตรายสว่ นบคุ คล ควรพจิ ารณาตามเกณฑต์ ่อไปน้ี 1. เลือกอุปกรณป์ อ้ งกนั อันตรายสว่ นบคุ คล ใหต้ รงกบั อันตรายท่ีผูป้ ฏิบตั งิ านอาจไดร้ ับสมั ผัส 2. ตรวจสอบประสิทธิภาพในการปกป้องและมาตรฐานรับรอง เป็นตามข้อก�ำหนดของสถาบันท่ีเชื่อถือได ้ 3. เลอื กอุปกรณป์ ้องกันอันตรายส่วนบุคคลที่มีขนาดพอดกี ับผ้สู วมใส่ เพ่ือให้เกิดความสบายตอ่ การสวมใส่ 4. อุปกรณป์ ้องกนั อนั ตรายส่วนบคุ คลจะตอ้ งไม่เปน็ อปุ สรรคตอ่ การปฏบิ ตั งิ าน 5. อปุ กรณ์ปอ้ งกันอันตรายสว่ นบคุ คลมีวธิ ีการใชง้ านงา่ ย 6. มอี ายกุ ารใช้งานยาวนาน บ�ำรงุ รกั ษางา่ ย ซ่อมแซมหรือเปลยี่ นอะไหล่ได้งา่ ย 7. หาซือ้ ง่ายและราคาถกู 140 | อาชีวอนามยั และความปลอดภยั พ้นื ฐาน
4.1 มาตรฐานของอุปกรณ์ป้องกนั อนั ตรายส่วนบคุ คล [4] ประกาศกรมสวัสดกิ ารและค้มุ ครองแรงงาน เรอ่ื ง ก�ำหนดมาตรฐานอุปกรณ์คมุ้ ครองความปลอดภยั สว่ น บุคคล พ.ศ. 2554 ได้ก�ำหนดมาตรฐานของอปุ กรณป์ อ้ งกนั อนั ตรายสว่ นบุคคล ตอ้ งได้มาตรฐานตามมาตรฐานของ หน่วยงานดงั ต่อไปนี้ • มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรอื มอก. หรอื (Thai Industrial Standards : TIS) • มาตรฐานขององค์การมาตรฐานสากล (International Organization for Standardization : ISO) • มาตรฐานสหภาพยุโรป (European Standards : EN) • มาตรฐานประเทศออสเตรเลยี และประเทศนวิ ซแี ลนด์ (Australia Standards/New Zealand Standards : AS/NZS) มาตรฐาน • มาตรฐานสถาบันมาตรฐานแหง่ ชาตปิ ระเทศสหรฐั อเมริกา (American National Standards Institute : ANSI) • มาตรฐานอุตสาหกรรมประเทศญี่ป่นุ (Japanese Industrial Standards : JIS) มาตรฐานสถาบัน • ความปลอดภัยและอนามัยในการท�ำงานแห่งชาติประเทศสหรัฐอเมริกา (The national Institute for Occupational Safety and Health : NIOSH) • มาตรฐานส�ำนกั งานบริหารความปลอดภัย และอาชวี อนามัยแหง่ ชาติ กรมแรงงาน ประเทศสหรฐั อเมรกิ า (Occupational Safety and Health Administration : OSHA) • มาตรฐานสมาคมปอ้ งกนั อคั คภี ยั แหง่ ชาตสิ หรฐั อเมรกิ า (National Fire Protection Association : NFPA) 4.2 อุปกรณ์ปอ้ งกนั อนั ตรายทศี่ รี ษะ Head Protection Devices [4] หมวกนิรภยั (Safety Helmet) หมายถึง หมวกทอ่ี อกแบบมาเพ่อื ป้องกันศีรษะของผสู้ วมใส่จากการตก กระแทก อนั ตรายจากไฟฟ้า อนั ตรายจากความรอ้ น และอนั ตรายจากสารเคมี โดยอาจเพิม่ สว่ นปอ้ งกนั อืน่ กไ็ ด้ 4.2.1 ตวั อย่างมาตรฐานของหมวกนริ ภัย • ANSI Z89.1-2003 • EN 397 - 1995 • มาตรฐานผลิตภณั ฑ์อุตสาหกรรม มอก. 368-2554 4.2.2 ชนิดของหมวกนริ ภัย [5] ในอดตี มอก. 368-2538 ไดก้ ำ� หนดชนดิ ของหมวกนริ ภยั ออกเปน็ 4 ชนดิ คอื หมวกนภิ ยั ชนดิ A หมวกนภิ ยั ชนดิ B หมวกนิภยั ชนิด C และหมวกนภิ ยั ชนดิ D แต่ปจั จุบนั ประเทศไทยได้ปรบั ปรุงมาตรฐานหมวกนิภัยในปี พ.ศ. 2554 จึงประกาศยกเลิกมาตรฐานของหมวกนิรภัย มอก. 368-2538 เป็น มอก. 368-2554 ให้มีความทันสมัยมากข้ึน โดยไดแ้ บ่งชิดของหมวกนริ ภัยออกเปน็ 3 ชนิด ไดแ้ ก่ 1) หมวกนิรภัยชนิด E (Electrical) เป็นหมวกนริ ภัยทสี่ ามารถลดแรงกระแทกของวัตถุ และสามารถลด อันตรายท่เี กดิ จากการสัมผสั ตวั นำ� ไฟฟา้ สามารถทนแรงดนั ไฟฟา้ ทดสอบได้ 20,000 โวลต์ | อาชีวอนามัยและความปลอดภัยพ้ืนฐาน 141
2) หมวกนริ ภัยชนดิ G (General) เป็นหมวกนิรภยั ท่สี ามารถลดแรงกระแทกของวัตถุ และสามารถลด อนั ตรายทเ่ี กิดจากการสมั ผสั ตวั น�ำไฟฟ้า สามารถทนแรงดนั ไฟฟา้ ทดสอบได้ 2,200 โวลต์ 3) หมวกนิรภยั ชนิด C (Conductive) เปน็ หมวกนริ ภัยทส่ี ามารถลดแรงกระแทกของวัตถุเท่านั้น 4.2.3 สว่ นประกอบของหมวกนริ ภัย สว่ นประกอบของหมวกนริ ภยั ประกอบดว้ ยสว่ นประกอบทสี่ ำ� คญั ในการปอ้ งกนั อนั ตราย ไดแ้ ก่ เปลอื กหมวก กระบังหมวก รองในหมวก สายรัดศีรษะ สายลัดคาง และ แถบซบั เหงอ่ื แสดงดงั รูปที่ 6-7 เปลือกหมวก มีคุณสมบตั ิในการป้องกันการกระแทกทกุ ทศิ ทกุ ทางของศรี ษะ รองในหมวก มีคุณสมบตั ใิ นการกระจายแรง เพ่ือปอ้ งกนั หมวกแตกเมือ่ ส่งิ ของตกใส่ กระบังหมวก ป้องกนั อันตรายจากสงิ่ ของทต่ี กลงมาตรงหน้าของผูป้ ฏิบัติงาน สายรดั ศรี ษะ สามารถปรับไดต้ ามขนาดศีรษะ เพิ่มความกระชับขณะสวมใส สายรดั คาง สามารถปรับได้ป้องกันมใิ ห้หมวกหล่นขณะสวมใส่ แถบซบั เหงือ่ ปอ้ งกันมใิ ห้เหงอ่ื ไหลเข้าตาผปู้ ฏิบตั ิงานขณะปฏบิ ัติงาน สายรดั ศศรี ษะ รองในหมวก เปลอื กหมวก กระบงั หมวก สายรดั คาง แถบซบั เหงอ่ื รปู ท่ี 6-7 สว่ นประกอบของหมวกนริ ภยั และวธิ กี ารสวมใสห่ มวกนภิ ยั ทถี่ กู ตอ้ ง 142 | อาชีวอนามัยและความปลอดภัยพน้ื ฐาน
4.2.4 วิธีการใชง้ านหมวกนภิ ยั หมวกนริ ภยั ใชส้ วมใสเ่ พอ่ื ปอ้ งกนั อนั ตรายทอ่ี าจเกดิ ขน้ึ กบั ศรี ษะของผปู้ ฏบิ ตั งิ าน กอ่ นใชง้ านตอ้ งตรวจสอบ หมวกนริ ภยั ไดม้ าตรฐานตามขอ้ กำ� หนดหรอื ไม่ เชน่ มาตรฐานผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม มอก. 368-2554 หลงั จากนน้ั ตรวจสอบลักษณะทางกายภาพภายนอก เช่น รอยแตกร้าว เม่ือสวมใส่ต้องปรับให้สายรัดศีรษะและสายรัดคาง ให้มคี วามกระพบพอดกี ับผใู้ ชง้ าน การทำ� สอบความกระชบั ของหมวกสามารถท�ำได้โดย เมื่อสวมหมวกเสร็จให้กม้ ลงค�ำนบั ตวั เอง ถ้าหมวกตกแสดงว่าหมวกไมก่ ระชบั ต้องทำ� การปรับสายรัดศีรษะและสายรดั คางใหม่ 4.2.4 การดแู ลรกั ษาหมวกนิรภัย โดยการท�ำความสะอาดทั้งตัวหมวกและอุปกรณ์ โดยใช้น้�ำ น�้ำสบู่ หรือด้วยน�้ำยาฆ่าเชื้อโรค เช่น แอลกอฮอล์ทเี่ หมาะสมอยา่ งอยา่ งน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครง้ั ถ้าท�ำได้ควรท�ำความสะอาดทกุ วนั โดยเฉพาะบริเวณ แถบซับเหงื่อ เพราะเป็นจุดท่ีมีความสกปรกมาก ถ้าการใช้งานของหมวกที่มีการผลัดเปล่ียนกันใช้ ต้องท�ำความ สะอาดเป็นพิเศษ พร้อมท้งั การตรวจสอบดแู ลถา้ มีการชำ� รุดใหเ้ ปลยี่ นอุปกรณ์ หรือถ้าไมส่ ามารถเปล่ียนแปลงแก้ไข ได้ให้เปล่ยี นหมวกนริ ภัยอนั ใหม่ 4.3 อุปกรณ์ป้องกนั อันตรายใบหนา้ และดวงตา Eyes and face Protection Devices เป็นอุปกรณ์ป้องกนั อนั ตรายสว่ นบคุ คลทสี่ ามารถป้องกนั อันตรายจากการกระเดน็ ของวตั ถุ หรอื สารเคมที ่ี จะกระเด็นเข้าดวงตาหรอื ใบหน้าของผ้ปู ฏิบัติงาน นิยมใชใ้ นการป้องกนั อนั ตรายจากการปฏิบัติงานกับเคร่ืองจักร เชน่ งานเจียร งานเชือ่ ม งานตดั งานเจาะ รวมทั้งการปฏบิ ัตงิ านกบั สารเคมี 4.3.1 ตัวอย่างมาตรฐานของอุปกรณ์ป้องกนั อนั ตรายใบหนา้ และดวงตา • ANSI Z87.1-2003 • EN 166-2001 4.3.2 ประเภทของอุปกรณ์ปอ้ งกันอันตรายใบหน้าและดวงตา ในการป้องกันอันตรายท่ีอาจเกิดข้ึนกับใบหน้าและดวงตาน้ัน ต้องเลือกอุปกรณ์ในการป้องกันอันตราย ให้เหมาะสมกับการปฏิบัติงาน เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันอันตรายได้มากที่สุด อุปกรณ์ป้องกันอันตราย สว่ นบุคคลส�ำหรบั ใบหนา้ และดวงตาสามารถแบง่ ออกเปน็ 4 ชนิด ดงั นี้ 1) แว่นตา (spectacles or Glasses) สามารถป้องกนั อันตรายกบั การท�ำงานทม่ี ีเศษวสั ดุกระเดน็ เขา้ ตา แสดงดังรูปที่ 6-8 แวน่ ตาแบ่งเปน็ 2 ประเภท ดงั น้ี • แบบไม่มกี ระบงั ขา้ ง สามารถป้องกันการกระเดน็ จากดา้ นหน้า • แบบมกี ระบงั ขา้ ง สามารถป้องกันการกระเด็นจากดา้ นหนา้ และด้านข้าง รปู ท่ี 6-8 แวน่ ตา (spectacles or Glasses) 143 | อาชวี อนามัยและความปลอดภยั พื้นฐาน
2) แวน่ ครอบตา (Goggles) สามารถปอ้ งกนั อันตรายจากกระแทกของวตั ถุ ป้องกันสารเคมี และป้องกัน อันตรายจากแสงที่เกิดจากการท�ำงานเชื่อมโลหะแต่ต้องมีเลนส์กรองแสงชนิดพิเศษ แว่นครอบตามีประสิทธิภาพ ในการป้องกันอนั ตรายไดด้ ีกว่าแวน่ ตา แวน่ ครอบตาแสดง ดงั รูปที่ 6-9 รปู ท่ี 6-9 แวน่ ครอบตากนั สารเคมี (Goggles) 3) กระบังป้องกันใบหน้า (Face Shield) สามารถป้องกันอันตรายต่อใบหน้า ดวงตารวมไปถึงล�ำคอ จากการกระเด็น กระแทกของวตั ถุ หรอื สารเคมี บางรุ่นสามารถใช้รว่ มกบั ที่ครอบหูได้ แสดงดงั รปู ท่ี 6-10 รปู ท่ี 6-10 กระบงั ปอ้ งกนั ใบหนา้ (Face shield) 4) หนา้ กากสำ� หรับเช่อื ม (Welding Shields) เป็นอุปกรณป์ อ้ งกนั ใบหนา้ และดวงตา ซ่ึงใชใ้ นงานเชอื่ ม สามารถป้องกันอนั ตรายจากการกระเดน็ ของเศษโลหะ ความรอ้ น แสงจา้ และรงั สจี ากการเชอื่ ม แสดงดงั รปู ที่ 6-11 รปู ที่ 6-11 หนา้ กากเชอ่ื ม Welding Shields 144 | อาชวี อนามัยและความปลอดภยั พ้ืนฐาน
4.3.3 การใช้งานอปุ กรณ์ปอ้ งกนั อันตรายใบหน้าและดวงตา ควรเลอื กอปุ กรณป์ อ้ งกนั อนั ตรายอยา่ งเหมาะสม ตามลกั ษณะงานหรอื อนั ตรายทอ่ี าจเกดิ ขน้ึ จากการทำ� งาน พร้อมทั้งตรวจสอบสภาพโดยทั่วไป เช่น เลนส์ ขาแว่น สายรัด กรอบแว่น กระบังหน้าหรือกระบังข้าง ต้องอยู่ใน สภาพทด่ี ไี มม่ ีรอยรา้ ว รอยแตก หรอื มีการพรา่ มัวของเลนส์ ขณะสวมใสอ่ ุปกรณ์ต้องมคี วามกระชบั แนน่ ไมห่ ลวม หรือหลุดขณะปฏิบัติงาน ส�ำหรับผู้ใช้งานที่มีปัญหาสายตาจะต้องสวมแว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ก่อนใส่อุปกรณ์ เพ่ือการมองเห็นท่ีชัดเจนขณะปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงาน หรือถ้าสถานประกอบการมีงบประมาณเพียงพอก็จัด อปุ กรณ์ป้องกันอนั ตรายที่เลนสต์ ามคี วามเหมาะสมกับพนกั งานแต่ละคน 4.3.4 การบ�ำรุงรักษาอปุ กรณป์ อ้ งกนั อันตรายใบหน้าและดวงตา ท�ำความสะอาดทุกคร้ังหลังจากใช้งาน โดยใช้น�ำสบู่เช็ดท�ำความสะอาด แล้วผ่ึงแดดให้แห้งพร้อมทั้งการ ตรวจสอบดูแลถา้ อุปกรณ์ถา้ มีการช�ำรุดให้เปลยี่ นอปุ กรณ์ หรอื ถ้าไมส่ ามารถเปลี่ยนแปลงได้ ให้เปลย่ี นอปุ กรณ์ ป้องกันใบหน้าและดวงตาอนั ใหมใ่ ห้กับผ้ปู ฏบิ ัติงาน 4.4 อปุ กรณป์ อ้ งกนั อนั ตรายระบบทางเดนิ หายใจ Respiratory protection devices [2] เป็นอุปกรณ์ช่วยป้องกันอันตรายจากมลพิษหรือสารพิษก่อนเข้าสู่ร่างกายผ่านการหายใจเข้าสู่ปอด ได้แก่ อนุภาค ฝุ่น ก๊าซ ฟูม เส้นใย ไอระเหยสารเคมี และบรรยากาศที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ อย่างเฉียบพลนั (Immediately dangerous to life and health : IDLH) เช่นกรณีการเกดิ เหตุเพลงิ ไหม้ หรือ สารเคมรี ่ัวไหลรุนแรง รวมถงึ การปฏบิ ัตงิ านในพ้ืนท่ีปรมิ าณออกซเิ จนในอากาศไมเ่ พียงพอ 4.4.1 ตัวอย่างมาตรฐานอปุ กรณป์ ้องกันอนั ตรายระบบทางเดนิ หายใจ • NIOSH respiratory regulations 42 CFR Part 84 • AS/NZS 1716:2012 • ANSI Z88.2-1992 • EN 137 , EN 145 สำ� หรบั SCBA self-contained breathing apparatus • EN149 Respiratory protective devices • EN 405, EN 140 สำ� หรับ ตัวหนา้ กากแบบครงึ่ หนา้ • EN 141, EN 143, EN 371, EN 372 สำ� หรับไส้กรองของหน้ากากแบบคร่งึ หนา้ • EN 136 สำ� หรบั ไส้กรอง (filters) ของหนา้ กากแบบเต็มหนา้ 4.4.2 ประเภทของอปุ กรณป์ ้องกนั อนั ตรายระบบทางเดินหายใจ การป้องกันอันตรายจากสารเคมีท่ีสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการหายใจ จะใช้หน้ากากในการป้องกัน ปัจจุบันหน้ากากมีหลายขนาด เช่น หน้ากากชนิดหน่ึงในส่ีของใบหน้า (Quarter Mask) หน้ากากชนิดครึ่งหน้า (Half Mask) และหน้ากากชนิดเต็มหน้า (Full-face mask) ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ตามลักษณะอันตรายท่ีเกิดข้ึน จากการท�ำงาน แสดงดังรปู ท่ี 6-12 | อาชีวอนามยั และความปลอดภัยพ้นื ฐาน 145
Quarter Mask Half Mask * Full-face mask [6] รปู ท่ี 6-12 ขนาดของหนา้ กาก (* ทมี่ า: Fire Engineering, http://www.fireengineering.com) ในงานด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย แบ่งอุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจออกเป็น 3 ชนิด ไดแ้ ก่ หนา้ กากชนดิ กรองอากาศ (Air-purifying) หนา้ กากชนดิ สง่ อากาศจากภายนอกเขา้ ไป (Supplied-air) และ ประเภทท้ังกรองอากาศและส่งอากาศจากภายนอกเข้าไป (Combination) 1) หน้ากากชนิดกรองอากาศ (Air-purifying) ใช้ในงานท่ีออกซิเจนในบรรยากาศการท�ำงานมีเพียงพอ ต่อการหายใจ หรือบรรยากาศการท�ำงานน้ันยังสามารถหายใจเข้าไปได้ แต่มีการปนเปื้อนของสารเคมีในสภาพ แวดล้อมในการท�ำงานที่อยู่ในระดับที่หน้ากากชนิดน้ีสามารถก�ำจัดหรือดูดซับไว้ได้ เช่น สภาพแวดล้อมในการ ทำ� งานทม่ี ีฝุ่น ฟูม ละออง แต่ไมส่ ามารถใชใ้ นบรรยากาศท่เี ปน็ อันตรายต่อชวี ติ และสขุ ภาพอยา่ งเฉียบพลัน (IDLH) หรือสารเคมีทีม่ คี วามเป็นพิษและอันตรายสงู หรือสารพษิ ความเข้มข้นสูงได้ ตัวอย่างเชน่ หนา้ กากชนดิ N95 และ หนา้ กากกรองสารเคมี ชนดิ Chemical Cartridge Respirator หน้ากากกรองฝุน่ หรือสารเคมีชนดิ อนื่ ๆ หนา้ กากชนดิ N95 หมายถึง หนา้ กากทีส่ ามารถกรองอนุภาคขนาด 0.3 ไมครอน ดว้ ยประสิทธิภาพ ของการกรอง 95% นอกจากนี้แล้วยังต้องแนบกับใบหน้าไม่ให้มีอากาศร่ัวเข้าออกทางด้านข้างไม่เกิน 10% ตามมาตรฐาน ของ NIOSH ป้องกันอนุภาคอันตรายทั้งฝุ่น สารเคมี ละออง ฟูม ไอ ที่ปนเปื้อนอยู่ในบรรยากาศ การท�ำงานได้ มคี วามสามารถในการปอ้ งกนั อนภุ าคของฝุ่นไดด้ ี แสดงดงั รูปที่ 6-13 ปอ้ งกนั อนภุ าค ปอ้ งกนั ไอสารเคมี รปู ท่ี 6-13หนา้ กากชนดิ N95 146 | อาชวี อนามัยและความปลอดภยั พืน้ ฐาน
หน้ากากกรองสารเคมีชนดิ Chemical Cartridge Respirator นยิ มใช้ในการปอ้ งกันอนั ตรายจากกา๊ ซ หรือไอของสารเคมี โดยหน้ากากชนิดน้ีจะมีไส้กรองสารเคมีท่ีเรียกว่า Cartridge ท�ำหน้าท่ีดูดซับสารเคมีที่อยู่ใน บรรยากาศการทำ� งาน โดยสามารถเลอื ก Cartridge ใหเ้ หมาะสมกบั ลกั ษณะอนั ตรายนน้ั ๆ และสามารถถอดเปลย่ี นได้ ตามอายกุ ารใช้งาน แสดงดงั รูปที่ 6-14 ไสก้ รอง หรอื Cartridge รปู ท่ี 6-14 หนา้ กากกรองสารเคมชี นดิ Chemical Cartridge Respirator | อาชวี อนามยั และความปลอดภัยพืน้ ฐาน 147
2) หน้ากากชนิดส่งอากาศจากภายนอกเข้าไป (Supplied-air) นิยมใช้กับลักษณะการปฏิบัติงาน ที่ไม่สามารถหายใจโดยใช้อากาศในบริเวณนั้นได้ โดยอากาศบริเวณนั้นมีก๊าซออกซิเจนต่�ำกว่า 16 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งยากต่อการหายใจของมนุษย์ รวมถึงลักษณะบรรยากาศที่เป็นอันตรายอ่ืนๆ เช่น ลักษณะการท�ำงานท่ีเป็น อันตรายต่อชีวิตและสุขภาพอย่างเฉียบพลัน (IDLH) หรือสารเคมีที่มีความเป็นพิษและอันตรายสูง หรือสารพิษ ที่มีความเข้มข้นสูงได้ รวมถึงการใช้งานลักษณะสภาวะฉุกเฉินต่างๆ เช่น สารเคมีรั่วไหล เพลิงไหม้ โดยการส่ง อากาศบริสุทธิ์จากภายนอกเข้าไปตามสายส่งอากาศ หรือถังบรรจุอากาศก็ได้ เช่น ชุด SCBA (Self Contained Breathing Apparatus) แสดงดังรูปที่ 6-15 โดยความดันในหน้ากากชนิด SCBA นี้จะต้องเป็นบวกเสมอ เพอื่ ไมใ่ หอ้ ากาศทเ่ี ปน็ อนั ตรายจากภายนอกหนา้ กากไหลเขา้ มาในหนา้ กากซงึ่ จะทำ� ใหผ้ ใู้ ชง้ านเกดิ อนั ตรายได้ รปู ที่ 6-15 SCBA (Self Contained Breathing Apparatus) ทม่ี า : Fire Engineering, http://www.fireengineering.com [6] 4.4.3 การใช้งานอปุ กรณป์ ้องกันอันตรายระบบทางเดนิ หายใจ ควรเลือกอุปกรณ์ป้องกันอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ ให้เหมาะสมกับลักษณะงานหรืออันตราย ที่อาจเกิดขึ้นจากการท�ำงาน พร้อมทั้งตรวจสอบสภาพโดยทั่วไป เช่น ตัวหน้ากาก ตลับกรอง สายรัดศีรษะ ทอ่ สง่ อากาศ สายสง่ อากาศ ตอ้ งอยูใ่ นสภาพทดี่ ไี ม่มรี อยรา้ ว รอยแตก หรอื เสอ่ื มสภาพ หน้ากากชนิดกรองอากาศ (Air-purifying) ตอ้ งมกี ารทดสอบความกระชบั โดยการใชฝ้ า่ มอื ปิดทางเข้าของ อากาศใหส้ นทิ แล้วหายใจเข้า ถ้าตวั หนา้ กากยบุ หรอื บุ๋มลงเล็กน้อย หรือไมส่ ามารถหายใจได้ แสดงวา่ ไมม่ ีรอยรั่วท่ี อากาศจะไหลเข้าไปในหน้ากากได้ ถือวา่ การสวมใสน่ ้ันกระชบั และสามารถใช้งานได้ แตใ่ นทางกลับกนั ถา้ เราหายใจ ไดต้ ามปกตแิ สดงวา่ เกดิ การรว่ั ไหลของอากาศเกดิ ขนึ้ รวมทง้ั ขณะสวมหนา้ กาก หากไดก้ ลน่ิ กา๊ ซหรอื ไอระเหย หรอื รส ของสารเคมี ควรเปลีย่ นตลบั กรอง หรอื Cartridge ทนั ที หน้ากากชนิดส่งอากาศจากภายนอกเข้าไป (Supplied-air) ควรตรวจสอบท่อส่งอากาศ และข้อต่อ ต่างๆ ที่อาจท�ำให้ก๊าซหรือไอระเหยร่ัวซึมเข้ามาในหน้ากากได้ รวมทั้งผู้ใช้งานต้องผ่านการอบรมวิธีการใช้งาน ตามคู่มือการใช้งานอย่างเคร่งครัด เพราะ SCBA อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานได้ 148 | อาชีวอนามัยและความปลอดภัยพ้นื ฐาน
4.4.4 การบำ� รงุ รักษาอปุ กรณป์ อ้ งกนั อนั ตรายระบบทางเดนิ หายใจ ท�ำความสะอาดทุกครั้งหลังจากใช้งาน โดยใช้น้�ำสบู่ หรือน้�ำอุ่นเช็ดท�ำความสะอาด โดยการใช้แปรงน่ิมๆ ขัดเบาๆ แล้วผ่ึงแดดให้แห้งพร้อมท้ังท�ำการตรวจสอบดูแลถ้าอุปกรณ์มีการช�ำรุดให้เปลี่ยนอุปกรณ์ 4.5 อปุ กรณป์ อ้ งกนั อนั ตรายระบบการไดย้ นิ Hearing Protection ปจั จบุ นั หลายสถานประกอบการประสบปญั หาอนั ตรายจากเสยี งดงั ในสภาพแวดลอ้ มการทำ� งาน โดยเฉพาะ อย่างย่ิงเสียงที่มีความดังเสียงเกินกว่า 85 เดซิเบลเอ สามารถท�ำให้เกิดอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงานได้ ดงั นนั้ จงึ ตอ้ งมี การใชอ้ ปุ กรณใ์ นการลดเสยี งทเ่ี ขา้ ไปในหขู องผปู้ ฏบิ ตั งิ าน เพอ่ื ให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดความปลอดภัยจากโรคหูเส่ือม จากการท�ำงาน ในด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย นิยมใช้อุปกรณ์ในการลดเสียงอยู่ 2 ประเภท ได้แก่ ที่อุด หูลดเสียง (Ear Plugs) และท่ีครอบหูลดเสียง (Ear Muffs) 4.5.1 ตวั อยา่ งมาตรฐานของอุปกรณ์ป้องกันอันตรายระบบการไดย้ นิ • ANSI S12.60-2002 • ANSI S3.19-1974 • EN 352-2002 4.5.2 ประเภทของอปุ กรณป์ ้องกันอันตรายระบบการได้ยิน 1) ที่อุดหูลดเสียง (Ear plugs) เป็นอุปกรณ์ป้องกันอันตรายจากเสียงชนิดท่ีสวมใส่เข้าไปในหู สามารถ ลดเสียงที่ความถ่ีต�่ำกว่า 400 เฮิร์ทได้ดี ท�ำด้วยวัสดุชนิดต่างๆ เช่น พลาสติก ยาง โฟม ซิลิโคน ฝ้าย ท่ีอุดหูจะช่วย ลดเสียงดังได้ประมาณ 15 - 30 เดซิเบลเอ ขึ้นอยู่กับชนิดของอุปกรณ์และย่ีห้อที่ผลิต แสดงดังรูปท่ี 6-16 โดยข้อดีและข้อเสียของท่ีอุดหูลดเสียงแสดงดังตารางท่ี 6-1 ตารางที่ 6-1 ข้อดีและข้อเสียของท่ีอุดหูลดเสียง ข้อดีของท่ีอุดหูลดเสียง ข้อเสียของที่อุดหูลดเสียง ราคาถูก หลุดง่าย หล่นหายง่าย ลดเสียงท่ีความถี่ต�่ำได้ดีกว่า ใช้ไม่ได้หากหูมีบาดแผล หรือมีการอักเสบ ติดเช้ือ สวมใส่สบาย ไม่ร้อน อาจเกิดการระคายเคืองรูหู ไม่เป็นอุปสรรคต่ออุปกรณ์อ่ืนบนศีรษะ ผู้ใช้มักปฏิเสธการใช้ในการใช้งาน พกพาสะดวก เก็บง่ายประหยัดพ้ืนที่เก็บ ต้องเปลี่ยนอันใหม่บ่อย ใช้สะดวกในท่ีคับแคบ เช่นในอุโมงค์ การใส่และถอดค่อนข้างยาก รปู ที่ 6-16 ทอ่ี ดุ หลู ดเสยี ง Ear plugs | อาชีวอนามยั และความปลอดภยั พื้นฐาน 149
2) ท่ีครอบหูลดเสียง (Ear Muffs) สามารถลดเสียงท่ีมีความถ่ีสูงกว่า 400 เฮิร์ทได้ดี มีชนิดสวมศีรษะ และชนดิ ติดมากับอปุ กรณ์อน่ื เช่น หมวกนริ ภัย แสดงดังรปู ที่ 6-17 ที่ครอบหูลดเสียงมีขอ้ ดีและขอ้ เสยี แสดงดงั ตารางท่ี 6-2 ตารางท่ี 6-2 ข้อดีและข้อเสียของที่ครอบหูลดเสียง ข้อเสียของท่ีครอบหูลดเสียง ข้อดีของท่ีครอบหูลดเสียง หนัก ขนาดใหญ่ พกพาไม่สะดวก ไม่เหมาะกับอากาศร้อน ลดเสียงท่ีความถี่สูงได้ดีกว่า ราคาแพง สวมใส่ง่าย อาจเป็นอุปสรรคเม่ือใส่ร่วมกับอุปกรณ์อ่ืนๆ ผู้ใช้ยอมรับได้ง่าย ไม่เหมาะกับการท�ำงานในท่ีคับแคบ ปรับให้เหมาะกับศีรษะทุกขนาด สามารถใช้กับคนงานที่เป็นโรคเก่ียวกับหูได้ รปู ท่ี 6-17 ทค่ี รอบหลู ดเสยี ง Ear Muffs 4.5.3 การใชง้ านอุปกรณป์ ้องกนั อนั ตรายระบบการไดย้ ิน ควรเลือกอุปกรณ์ป้องกันอันตรายระบบการได้ยินให้เหมาะสมกับลักษณะงานหรืออันตรายท่ีอาจเกิดขึ้น จากการท�ำงาน เช่น ถ้าเสียงท่ีมีความถ่สี ูงควรเลือกใชท้ ค่ี รอบหูลดเสียง เป็นตน้ พรอ้ มท้งั ตรวจสอบสภาพโดยท่วั ไป ต้องอยูใ่ นสภาพที่ดไี มม่ ีรอยรา้ ว รอยแตก หรือสกปรก วธิ ีการสวมใสท่ ี่อดุ หูลดเสยี ง (Ear plugs) แสดงดงั รูปที่ 6-18 โดยมขี ั้นตอนดงั น้ี 1. ใช้มือบีบที่อุดหใู หม้ ีขนาดเลก็ ๆ แหลมๆ 2. เออ้ื มมอื ขา้ มศีรษะมาดึงใบหขู น้ึ เพ่อื ใหร้ หู ูตรง แล้วจงึ ใสท่ ่ีอุดหู 3. ปลอ่ ยมือเพอื่ ใหท้ ี่อุดหลู ดเสยี งขยายตวั 12 3 รปู ท่ี 6-18 วธิ กี ารสวมใสท่ อี่ ดุ หลู ดเสยี ง 150 | อาชวี อนามัยและความปลอดภยั พนื้ ฐาน
วธิ กี ารสวมใส่ท่คี รอบหลู ดเสียง (Ear Muffs) แสดงดังรปู ท่ี 6-19 มขี ัน้ ตอนดงั นี้ 1. เก็บรวบผมให้เรียบรอ้ ยไม่ใหป้ ิดบังบริเวณใบหู 2. กางที่ครอบหอู อกใหม้ ีขนาดพอเหมาะกบั ศรี ษะ 3. สวมทคี่ รอบหแู ละปรับใหพ้ อดกี บั ใบหู 12 3 รปู ที่ 6-19 วธิ กี ารสวมใสท่ คี่ รอบหลู ดเสยี ง การใช้งานอุปกรณ์ป้องกันอันตรายจากการได้ยิน จะต้องมีการค�ำนึงถึงค่าความสามารถในการลดเสียง ของอุปกรณ์ คือคา่ Noise Reduction Rating (NRR) ซง่ึ คา่ นจี้ ะติดอย่ทู ฉี่ ลากบรรจุภัณฑ์ของอุปกรณ์ โดยค่าน้ไี ด้ จากการทดลองในห้องปฏิบัติการ เมื่อจะใช้งานจริงๆจะต้องมีการค�ำนวณค่าความสามารถในการลดเสียงจริง ตามมาตรฐาน OSHA มีสตู รการคำ� นวณ [2] ดงั น้ี ความสามารถในการลดเสียงจริง = (NRR – 7) / 2 ตัวอย่างการค�ำนวณ เสยี งในพ้นื ท่กี ารท�ำงานมีความดงั 107 เดซิเบลเอ ผูใ้ ช้งานเลือกใชท้ ่ีอุดหูลดเสียงทม่ี ีคา่ NRR เท่ากบั 27 เดซิเบลเอ ถ้าผู้ปฏิบัติงานใชท้ อี่ ดุ หูลดเสยี งนีจ้ ะสามารถทำ� งานผา่ นเกณฑม์ าตรฐานกฎหมายไทยหรือไม่ วิธที �ำ (27-7) / 2 ความสามารถในการลดเสียงจริง = 10 เดซิเบลเอ = เพราะฉะนน้ั ผปู้ ฏบิ ตั งิ านทส่ี วมทอ่ี ดุ หลู ดเสยี งนใี้ นพน้ื ทก่ี ารปฏบิ ตั งิ านสามารถลดเสยี งไดจ้ รงิ เพยี ง 10 เดซเิ บลเอ ดงั น้นั ผูป้ ฏิบัตงิ านคนน้ีจะได้รับเสียงจากการท�ำงานนท้ี ี่ความดงั เสียง 97 เดซเิ บลเอ ซึง่ ไมผ่ ่านเกณฑม์ าตรฐานของ กฎหมายไทย 4.5.4 การบำ� รงุ รักษาอุปกรณ์ป้องกนั อนั ตรายระบบการไดย้ ิน ให้ท�ำความสะอาดทุกครง้ั หลังจากการเลิกใชง้ านดา้ ยน�้ำอ่นุ หรือนำ้� สบู่ แลว้ เชด็ ท�ำความสะอาดให้แห้งหรอื ผึ่งแดด พร้อมทัง้ ตรวจสอบดแู ลถา้ อุปกรณม์ ีการชำ� รุดใหเ้ ปล่ยี นอปุ กรณ์ แตถ่ า้ เป็นท่อี ุดหูลดเสียงชนิดที่ทำ� ดว้ ยโฟม หรอื สำ� ลี ควรใช้เพยี งครั้งเดยี วแล้วทิ้ง | อาชวี อนามยั และความปลอดภยั พ้ืนฐาน 151
4.6 อปุ กรณป์ อ้ งกนั อนั ตรายทม่ี อื และผวิ หนงั Hand and Skin Protection อุปกรณ์ป้องกันอันตรายมือและผิวหนังน้ัน ได้แก่ ชุดป้องกันอันตรายและถุงมือป้องกันอันตราย โดย ความสามารถในการป้องกันอันตรายข้ึนกับลักษณะของวัสดุที่ใช้ท�ำอุปกรณ์ป้องกันอันตรายนั้นๆ อุปกรณ์ป้องกัน อันตรายที่มือและผิวหนังนั้นสามารถป้องกันอันตรายในลักษณะต่างๆ เช่น สามารถป้องกันอันตรายจากสารเคมี ความร้อน ความเย็น การบาดหรือท่ิมแทง รังสี เป็นต้น 4.6.1 ถุงมือ (gloves) ใชส้ ำ� หรบั ปอ้ งกนั อนั ตรายทอ่ี าจเกดิ ขนึ้ กบั มอื และแขน มหี ลายประเภทตามลกั ษณะการใชง้ าน ซง่ึ สามารถ อ่านคุณสมบัติการใช้งานจากคู่มือข้างกล่องหรือข้อมูลจากผู้ผลิตได้ รูปของถุงมือชนิดต่างๆแสดงดังรูปท่ี 6-20 ตัวอย่างของมาตรฐานของถุงมือ ทใี่ ช้ในปัจจุบัน ไดแ้ ก่ • EN 420: 2003 General requirements for protective gloves • EN 374: 2003 Gloves giving protection from chemicals and micro organisms • EN 388: 2003 Gloves giving protection from mechanical risks • EN 407: 2004 Gloves giving protection from thermal hazards • EN 511: 2006 Gloves giving protection from cold • EN 421: 2010 Gloves giving protection from ionizing radiation • EN 1149 Electrostatic properties • EN 12477: 2001 Gloves giving protection from manual metal welding 4.6.2 ประเภทของถุงมอื 1) ถงุ มอื ยาง นยิ มใชใ้ นการปอ้ งกนั อนั ตรายจากสารเคมี และเชอื้ โรคทางดา้ นชวี ภาพ สว่ นใหญท่ ำ� มาจากยาง หรอื การสงั เคราะหท์ างโพลเิ มอร์ เชน่ ยางธรรมชาติ นโี อพรนี พวี ซี ี ไวนลิ โพลเิ มอร์ ไนไตร บวิ ทลิ เปน็ ตน้ ความสามารถในการป้องกันสารเคมีแต่ละชนิดต้องดูจากข้อมูลของผู้ผลิตและข้อมูลวิธีการใช้งานของถุงมือแต่ละ ประเภท 2) ถุงมือหนัง นิยมใช้ในการป้องกันอันตรายจากของมีคม การขัด เสียดสี การขูดขีดหรือบาด ความส่ัน สะเทอื น ความร้อน ความเยน็ เป็นตน้ 3) ถุงมือตาข่ายลวด เหมาะส�ำหรับการป้องกันอันตรายจากของมีคม การตัดหรือ การเฉือน เช่น การ ช�ำแหละเนือ้ สัตว์ และโรงอาหารประเภทตา่ งๆ 4) ถงุ มอื ผา้ เหมาะส�ำหรบั การทำ� งานท่วั ไป การประกอบชิ้นงานในกระบวนการผลิต ใชใ้ นงานเกษตรกรรม ส่ิงสำ� คัญหา้ มใช้กบั เคร่ืองจกั รทม่ี กี ารหมุนหรอื สายพาน เพราะอาจมีเศษด้ายทห่ี ลุดลยุ่ ออกมาแลว้ เกดิ การเกี่ยวพัน หรือดงึ มือผูป้ ฏบิ ตั ิงานเขา้ ไปในเคร่อื งจจกั ร ทำ� ใหเ้ กิดอันตรายจากการท�ำงาน 5) ถงุ มอื ปอ้ งกันไฟฟ้า เป็นถุงมือทีม่ คี ณุ สมบัตพิ เิ ศษ คอื สามารถป้องกนั อนั ตรายจากไฟฟ้าได้ แตไ่ มท่ น กบั การขดี ขว่ น ดงั น้นั การใช้งานต้องสวมถุงมอื หนงั ทบั อกี ชนั้ เสมอ เน่อื งจากถ้าถงุ มือกนั ไฟฟ้าเกดิ การขีดข่วนจะ ทำ� ใหค้ ุณสมบตั ิของการตา้ นไฟฟ้าลดลง อาจทำ� ให้ผูใ้ ช้งานเกดิ อนั ตรายได้ 6) ถุงมือปอ้ งกันอุณหภมู ิ ใชป้ ้องกนั อันตรายจากการสมั ผัสวัตถทุ ่มี อี ุณหภูมิรอ้ นจดั หรอื เย็นจดั ดังน้ันวัสดุ ท่ีใช้ในการท�ำถงุ มือชนิดน้มี กั มสี ่วนประกอบของ แรใ่ ยหนิ อลมู เิ นยี ม เป็นต้น 7) ถุงมือป้องกันรังสี จะเป็นถุงมือประเภทท่ีเคลือบด้วยตะก่ัว เน่ืองจากตะกั่วมีคุณสมบัติในการป้องกัน อนั ตรายจากรังสไี ดด้ ี 152 | อาชีวอนามยั และความปลอดภัยพ้ืนฐาน
รปู ท่ี 6-20 ถงุ มอื ชนดิ ตา่ งๆ 4.6.3 อุปกรณ์ป้องกนั อนั ตรายทีล่ �ำตวั Body Protection Devices ชดุ ปอ้ งกันกนั ล�ำตวั สามารถปอ้ งกนั อนั ตรายจากการกระเด็นของวตั ถุท่ีอาจสัมผัสโดนผู้ปฏบิ ัติงาน ได้แก่ กระเดน็ ของสารเคมี เศษวสั ดกุ ระเดน็ ลูกไฟ รงั สี เปน็ ต้น อปุ กรณ์ป้องกันล�ำตัวมีหลายชนิด แสดงดังรปู ท่ี 6-21 ตัวอยา่ งอุปกรณ์ป้องกันลำ� ตัว เช่น 1) ชดุ ปอ้ งกนั สารเคมี ทำ� มาจากพลาสตกิ (Plastic) ไวนลิ (Vinyl) ยางสงั เคราะห์ หรอื ยางธรรมชาติ เปน็ ตน้ ปัจจุบันมผี ู้ผลติ หลากหลายให้ผู้งานงานสามารถเลือกใชไ้ ดต้ ามความตอ้ งการ ตามแต่ลกั ษณะงานแตล่ ะชนดิ ดงั นั้น ความสามารถในการป้องกนั สารเคมแี ต่ละชนิดต้องดูจากขอ้ มลู ของผ้ผู ลติ ตวั อยา่ งมาตรฐานของชุดปอ้ งกันสารเคมี เชน่ EN13982-1, EN13034, EN1149-1, EN1073-2, EN14605, EN 14126 เปน็ ตน้ 2) ชดุ ปอ้ งกนั ความรอ้ น เปน็ ผา้ ทท่ี อจากเสน้ ใยแขง็ (glass fiber fabric) เคลอื บผวิ ดา้ นนอกดว้ ยอลมู เิ นยี ม หรือบางชนิดผสมเส้นใยแอสเบสตอส ปัจจุบันในงานอุสาหกรรมนิยมใช้ผ้าทนไฟที่เรียกว่าผ้า nomex ซ่ึงมีความ สามารถในการกนั ไฟและความรอ้ นได้ดี มาตรฐานชุดดับเพลิง เชน่ NFPA 1971-2007 เป็นต้น 3) ชุดป้องกันรงั สี เปน็ ชุดท่ีฉาบด้วยตะกั่ว หรอื เป็นชดุ ผา้ ฝา้ ยแลว้ เคลือบดว้ ยตะกว่ั อีกหน่ึงช้ัน สามารถ ปอ้ งกนั รงั สีได้ดี โดยเฉพาะชุดทีฉ่ าบด้วยตะกว่ั ที่มีความหนามากๆ 4) ชุดป้องกันการกระเด็นของเศษวัสดุ เช่น เส้ือคลุมหนัง เอี๊ยม ชุดหมี เหมาะส�ำหรับการท�ำงานกับ เคร่ืองจักรทั่วไป ชดุ ปอ้ งกนั สารเคมี ชดุ ปอ้ งกนั ความรอ้ น ชดุ ปอ้ งกนั การกระเดน็ รปู ท่ี 6-21 อปุ กรณป์ อ้ งกนั ลำ� ตวั Body Protection Devices | อาชีวอนามัยและความปลอดภัยพน้ื ฐาน 153
4.6.4 การใช้งานอุปกรณ์ป้องกันอันตรายท่ีมือและผิวหนัง ควรเลือกอุปกรณ์ป้องกันอันตรายอุปกรณ์ป้องกันอันตรายท่ีมือและผิวหนังให้เหมาะสมกับลักษณะงาน หรอื อนั ตรายทอ่ี าจเกดิ ขน้ึ จากการทำ� งาน พรอ้ มทง้ั อา่ นคมู่ อื และปฏบิ ตั ติ ามคมู่ อื การใชง้ านอยา่ งเครง่ คดั และจะตอ้ ง มกี ารตรวจสอบสภาพโดยทั่วไป ต้องอยู่ในสภาพท่ีดี ไม่ฉกี ขาด แตก หรือสกปรก วิธีการทดสอบความสมารถในการซึมผ่านของถุงมือ สามารถท�ำได้ง่ายๆ โดยการกลับถุงมือให้ด้านนอก ส่วนทีส่ ัมผสั กับอนั ตรายกลบั เข้าไปอย่ดู า้ นใน แลว้ เทสารเคมที เ่ี ราปฏิบตั ิงานด้วยลงไป ทิง้ ไว้ประมาณ 10-15 นาที ถา้ สารเคมีน้นั สามารถซมึ ผา่ นได้ แสดงว่าถุงมือนัน้ ไมเ่ หมาะกบั การท�ำงานกับสารเคมีนนั้ 4.6.5 การบ�ำรุงรักษาอุปกรณ์ป้องกันอันตรายที่มือและผิวหนัง ท�ำความสะอาดทุกคร้ังหลังการใช้งาน ด้วยน้�ำสบู่ หรือ น้�ำเปล่า หรือตามวิธีการตามที่ผู้ผลิตแนะน�ำ ผ่ึง ลมให้แห้ง และเก็บในที่สะอาด ถ้าอุปกรณ์มีการช�ำรุดให้เปล่ียนอุปกรณ์ หรือถ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ให้ เปล่ียนอุปกรณ์อันใหม่ให้กับผู้ปฏิบัติงาน 4.7 อปุ กรณป์ อ้ งกนั อนั ตรายของเทา้ Foot Protection Devices [7] รองเทา้ นริ ภยั (Lather Safety Footwear หรอื Safety Shoe) สามารถปอ้ งกนั อนั ตรายในรปู แบบตา่ งๆ ที่อาจเกดิ ขึน้ กับเท้าของผู้ปฏบิ ัตงิ าน เชน่ วตั ถทุ ิม่ หรอื แทง กระแสไฟฟ้า สารเคมี ความรอ้ น ความเย็น เครอ่ื งจกั ร รวมถงึ สามารถปอ้ งกนั การลนื่ ไถลได้แสดงดงั รปู ที่6-22 ม าตรฐานของรองเทา้ นริ ภยั เชน่ EN345-1,ANSIZ41.1-1991 และมอก. 523-2554 เปน็ ต้น โดยมาตรฐาน มอก. 523-2554 ได้ก�ำหนด คณุ สมบตั ใิ นการปอ้ งกนั อันตราย ดังนี้ 1. บัวหัว (Toecap) หรือหัวเหล็ก สามารถป้องกันอันตรายของน้ิวเท้าจากการกระแทกและแรงกดทับ ไดไ้ ม่น้อยกวา่ 15 กิโลนวิ ตัน (ประมาณ 3,372.14 ปอนด์) 2. แผ่นป้องกันการทะลุ (Penetration Resistance insert) อยู่ในพ้ืนรองเท้า ป้องกันการทะลุจากของ แหลมหรือของมีคม 3. มีความสามารถในการต้านทานไฟฟ้าตั้งแต่ 100 กิโลโอหม์ ถึง 1,000,000 กิโลโอหม์ อยา่ งไรกต็ ามในบางลักษณะการท�ำงานในงานท่ตี อ้ งสัมผัสน�ำ้ หรอื สารเคมี ถา้ ไม่มีรองเทา้ นิรภัย กส็ ามารถ ใชล้ องเทา้ บทู กนั สารเคมใี นการป้องกันอนั ตรายจากการปฏบิ ัตงิ านได้ บวั หวั หรอื หวั เหลก็ แผน่ ปอ้ งกนั การทะลุ รปู ท่ี 6-22 รองเทา้ นริ ภยั (Lather Safety Footwear หรอื Safety Shoe) 154 | อาชวี อนามัยและความปลอดภัยพนื้ ฐาน
4.7.1 การใช้งานและการบ�ำรุงรักษารองเท้านิรภัย การใช้งานสามารถเลือกใช้ได้ในการปฏิบัติงานทุกงานที่อาจมีอันตรายเกิดขึ้นกับเท้าของผู้ปฏิบัติงาน เช่น ในงานก่อสร้าง หรืองานที่อาจจะมีอุบัติเหตุเกี่ยวกับวัสดุหล่นทับ การบาด การทะลุผ่าน งานท่ีมีวัสดุท่ิมแทง สารเคมี รวมถึงอันตรายจากกระแสไฟฟ้า และควรสวมใส่ตลอดระยะเวลาการปฏิบัติงาน การบ�ำรุงรักษาหลังการใช้งานต้องท�ำความสะอาดด้านนอกด้วยน้�ำธรรมดาหรือน้�ำสบู่ เช็ดให้แห้งแล้ววาง ให้แห้งหรือผึ่งแดดก็ได้ และควรท�ำความสะอาดโดยการซักอย่างน้อยทุกสัปดาห์หรือตามลักษณะการใช้งาน 4.8 อปุ กรณป์ อ้ งกนั อนั ตรายจากการตก Falling Protection Devices ในการปฏบิ ัตงิ านบนทส่ี ูงหรอื งานท่ีต้องลงไปในพนื้ ที่ที่ต่ำ� กวา่ ระดับพืน้ ดนิ เชน่ หลมุ ลึกๆ ถงั ขนาดใหญ่ บอ่ หอ้ งใตด้ นิ หรอื งานทม่ี ลี กั ษณะการปฏบิ ตั งิ านทค่ี ลา้ ยๆกนั อาจทำ� ใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั งิ านไดร้ บั อนั ตรายจากการตกลงไปจากทสี่ งู ดังน้ัน จึงจ�ำเป็นต้องมีการใช้เข็มขัดนิรภัยและชุดอุปกรณ์ในการป้องกันอันตราย แสดงดังรูปท่ี 6-23 ตัวอย่าง มาตรฐานของอปุ กรณป์ ้องกนั การตกจากทส่ี ูง เชน่ EN-361, EN353, EN358, EN813 และ OSHA 1926.104 ตามมาตรฐานการปฏิบตั ิงานบนทส่ี งู ตัง้ แต่ 2 เมตรขนึ้ ไปจะต้องมีการปอ้ งกนั อนั ตรายโดยการติดตง้ั นง่ั ร้าน ขณะปฏิบัติงาน แต่ถ้าต้องปฏิบัติงานที่มีความสูงตั้งแต่ 4 เมตรขึ้นไป จะต้องมีการใช้เข็มขัดนิรภัยในการป้องกัน อันตราย 4.8.1 ชุดอปุ กรณท์ ี่ใช้ในการปฏบิ ตั ิงานบนทส่ี ูง ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ต่างๆดงั น้ี 1) เข็มขัดนิรภัย Safety Belt หรือ เข็มขัดนิรภัยชนิดเต็มตัว Safety Harness ใช้ส�ำหรับพยุงล�ำตวั ของผู้ปฏิบัติงานเม่ือตกจากที่สูง เพื่อความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน ควรเลือกใช้เข็มขัดนิรภัยชนิดเต็มตัว หรอื Safety Harness แทน Safety Belt เพราะเม่ือเกดิ การตก เขม็ ขัดนิรภัยชนิดเต็มตัวจะพยุงส่วนหลงั และล�ำตวั ได้ดกี ว่าเขม็ ขัดนิรภัยธรรมดา 2) เชอื กนิรภัย (Lanyards) จะมตี วั ล๊อคด้านหน่ึงยึดติดกบั เขม็ ขัดนิรภยั และอกี ด้านจะเปน็ ตะขอเพอ่ื ใช้ ส�ำหรับเกย่ี วกับคานหรือนั่งร้านท่ีมคี วามมน่ั คงแขง็ แรง หรอื ใช้เก่ียวลอ๊ คกับสายช่วยชวี ติ เพื่อป้องกนั การตก 3. สายช่วยชวี ติ (Lifelines) จะใช้ในกรณที ่ีพ้ืนทีน่ ้ันไม่มีจดุ แขวนตะขอของเชอื กนริ ภัยทีป่ ลอดภยั เช่น การปฏิบตั งิ านบนหลงั คา การปฏบิ ัติงานในลักษณะทเี่ ปน็ แนวด่ิง เปน็ ต้น Safety Harness Lanyards รปู ที่ 6-23 เขม็ ขดั นริ ภยั และชดุ อปุ กรณ์ | อาชวี อนามยั และความปลอดภัยพ้ืนฐาน 155
4.8.2 วิธีการใช้งานเข็มขัดนิรภัยและอุปกรณ์ เมื่อต้องปฏิบัติงานที่มีความสูงตั้งแต่ 4 เมตรขึ้นไป หรือลักษณะการท�ำงานที่ผู้ปฏิบัติอาจได้รับอันตราย จากการตกต้องจัดให้มีการใช้เข็มขัดนิรภัยและชุดอุปกรณ์ที่สามารถรับน�้ำหนักของผู้ปฏิบัติงานนั้นได้รวมท้ังต้องมี การตรวจสอบอุปกรณ์ ให้มีลักษณะพร้อมใช้งาน โดยจะต้องไม่มี การแตกร้าว ความเสียหายจากการไหม้ไฟ การบิดเบี้ยว ผิดรูป การเปื่อย ฉีกขาด เป็นตน้ บ่อยครง้ั ในการปฏบิ ัตงิ าน ท่ีผปู้ ฏบิ ัติงานมักได้รับอุบัติเหตุจากการ ปฏิบัติงานเน่ืองจากการผูกยึด เกี่ยวตะขอกับอุปกรณ์ท่ีไม่มีความมั่นคงแข็งแรงจึงท�ำให้เกิดการตกเกิดข้ึน ดังนั้น เพอ่ื ความปลอดภัยในการใช้งาน ห้ามผูกยึดหรือเกีย่ วระบบป้องกนั การตกส่วนบคุ ลกับส่งิ ต่อไปน้ี • เสาค�้ำยันแนวทแยงมุม • เสาค�้ำยันแนวด่ิง • ท่อสาธารณูปโภค เช่น ท่อลม ท่อน�้ำ ท่อแก๊ส • ระบบป้องกันอัคคีภัย • รางไฟ สายไฟ ตลับไฟ ท่อสายไฟ • วาล์วทุกชนิด • โครงสร้างที่ไม่แข็งแรง รปู ท่ี 6-24 ลกั ษณะการยดึ เกย่ี วของตะขอทไี่ มถ่ กู ตอ้ ง การใชง้ านเชอื กนริ ภยั (Lanyards) เพอ่ื ความปลอดภัยในการปฏบิ ัติงาน ควรเลอื กใชช้ นิดท่ีเป็น 2 ตะขอ หรือใช้เชือกนิรภัย 2 เส้น เนื่องจากหลายครั้งผู้ปฏิบัติงานตกจากท่ีสูงเม่ือต้องเปลี่ยนตะขอไปเกี่ยวพื้นที่อื่น ถ้าใช้เชือกนริ ภัยชนดิ 2 ตะขอ เม่ือตะขออนั หน่งึ หลดุ หรอื เกย่ี วพลาด กย็ ังเหลอื อกี 1 ตะขอทีย่ งั เก่ียวอยู่ ทำ� ให้ผู้ ปฏิบัตงิ านไมต่ กลงมา และเกิดความปลอดภัยตอ่ ผ้ปู ฏบิ ัตงิ านมากยงิ่ ข้นึ 156 | อาชีวอนามยั และความปลอดภัยพน้ื ฐาน
4.8.3 การบ�ำรงุ รกั ษาเขม็ ขดั นริ ภยั และอปุ กรณ์ เมื่อใช้เสร็จควรตรวจสอบอุปกรณ์ ท�ำความสะอาดด้วยน�้ำธรรมดาหรือน้�ำสบู่ เช็ดให้แห้งแล้ววางให้แห้ง หรือผึ่งแดดก็ได้ หากมีการช�ำรุดหรือฉีกขาดควรแยกออกจากส่วนท่ีสามารถใช้งานได้และเปล่ียนอุปกรณ์อันใหม่ ตามมาตรฐานและคำ� แนะนำ� ของผผู้ ลติ รวมทง้ั ควรใชอ้ ปุ กรณใ์ หเ้ หมาะสมกบั ลกั ษณะของงานเพอ่ื ยดื อายกุ ารใชง้ าน ไดน้ านขน้ึ 4.9 การจงู ใจใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั งิ านใชอ้ ปุ กรณป์ อ้ งกนั อนั ตรายสว่ นบคุ คล 1. อบรมผู้ปฏิบตั งิ านใหเ้ ขา้ ใจอนั ตรายและความส�ำคัญในการใชง้ าน และวิธีการใชง้ านที่ถูกตอ้ ง 2. จัดอุปกรณ์ให้เพียงพอกบั การใชง้ านและเหมาะสมกบั อนั ตรายท่ีอาจไดร้ ับ 3. มีระบบจดั เก็บและบ�ำรุงรกั ษาทดี่ ี เพ่อื ยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ปอ้ งกันอันตรายสว่ นบคุ คล 4. มีอะไหล่เปลี่ยนใหใ้ หมต่ ามอายกุ ารใช้งานหรอื เมอ่ื เกดิ ความเสยี หาย 5. จัดใหม้ แี ผ่นป้ายเตือน เพอ่ื ใหผ้ ู้ปฏิบัตงิ านทราบถงึ พ้นื ทปี่ ฏบิ ตั งิ านนีม้ อี นั ตรายอะไร 6. ยกย่องชมเชยผู้ปฏิบัติถูกต้อง และในรายที่ปฏิบัติไม่ถูกต้อง เช่นไม่สวมอุปกรณ์ป้องกันอันตราย ส่วนบคุ คลต้องตักเตอื นทนั ที 7. ผ้บู งั คับบญั ชาทุกระดบั ต้องเปน็ แบบอยา่ งทีด่ ใี นการใชอ้ ปุ กรณป์ อ้ งกันอันตรายส่วนบคุ คล 5. หลกั การ 3 E ในการปอ้ งกนั ควบคมุ อนั ตราย หลักการ 3 E ในการป้องกันอันตราย ประกอบด้วย Engineering Education และ Enforcement นักอาชวี อนามัยและความปลอดภัยสามารถใชห้ ลกั การนใี้ นการปอ้ งกันอันตรายทอี่ าจเกดิ ข้ึนกับผูป้ ฏบิ ตั งิ านได้ 1) Engineering คือ การใช้ความรู้ด้านวิศวกรรม โดยการออกแบบหรือการค�ำนวณด้านวิศวกรรมมา ป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น การออกแบบเคร่ืองมือ เคร่ืองจักร กระบวนการผลิตให้เกิดความปลอดภัย การติดตัง้ การด์ นริ ภยั การวางผงั โรงงาน เปน็ ตน้ 2) Education คือ การใหค้ วามรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั การปอ้ งกนั อนั ตราย โรคและอบุ ัตเิ หตุท่อี าจเกิด ข้ึน โดยการให้ความรู้ การฝึกอบรม การฝึกปฏิบัติ การให้ความรู้และฝึกปฏิบัติในระหว่างการปฏิบัติงานหรือ on the job training การสอนความปลอดภัยเฉพาะดา้ น เปน็ ต้น 3) Enforcement คอื การออกกฎหรือออกมาตรการควบคุม ให้ผู้ปฏิบตั งิ านปฏบิ ัตติ ามขอ้ กำ� หนดหรือ ระเบียบที่ได้ก�ำหนดได้ ถ้าฝ่าฝืนต้องมีการลงโทษ เช่น การออกกฎระเบียบบริษัท การก�ำหนดข้อบังคับในการ ปฏบิ ัตงิ าน รวมถงึ การออกกฎหมายบังคบั เป็นตน้ | อาชีวอนามัยและความปลอดภัยพ้นื ฐาน 157
6. การปอ้ งกนั ควบคมุ อนั ตรายดา้ นตามลกั ษณะการปฏบิ ตั งิ าน จากหลกั การของการด�ำเนินงานดา้ นอาชีวอนามัยและความปลอดภยั ประกอบด้วยหลกั การ 3 หลกั การ ได้แก่ การตระหนัก การประเมิน และการควบคุม ส่วนท่ีมีความส�ำคัญและสามารถท�ำได้ยากที่สุดคือการควบคุม อันตราย การปอ้ งกันควบคมุ อันตรายนจี้ ะใชห้ ลักการควบคุมปอ้ งกนั ทแ่ี หลง่ กำ� เนิดโดยใชว้ ิธีการทางดา้ นวิศวกรรม หรือใช้หลักการป้องกันควบคุมท่ีทางผ่านโดยใช้วิธีการบริหารจัดการ หรือใช้หลักการป้องกันอันตรายที่ตัวบุคคล โดยการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล หรือใช้วิธีการอื่นๆ ผสมผสานกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ในการปอ้ งกนั อันตรายทอี่ าจเกดิ ขึ้นกับผปู้ ฏบิ ัติงานในลกั ษณะงานต่างๆทีอ่ าจเกดิ ขึน้ ดังต่อไปน้ี 6.1 การปอ้ งกนั และควบคมุ อนั ตรายจากเสยี ง Principles of Noise Control [1,2,9] เมอ่ื ผู้ปฏิบัติงานตอ้ งสมั ผสั เสียงดังจากการปฏบิ ัติงาน อาจท�ำให้ผู้ปฏบิ ัตงิ านสูญเสียสมรรถภาพการได้ยนิ ดังนนั้ จงึ ต้องมีการป้องกนั ควบคุมอันตรายจากเสยี ง เพ่อื ใหเ้ สยี งในสถานประกอบการท่ีผูป้ ฏิบตั งิ านมโี อกาสได้รบั สมั ผสั ลดลง โดยอาศัยวิธีการ การควบคมุ ทางดา้ นวศิ วกรรม การควบคุมทางด้านการบรหิ ารจัดการ และการใช้ อปุ กรณป์ อ้ งกนั อนั ตรายส่วนบุคคล สามารถใช้หลายวธิ รี ่วมกนั ดงั ตัวอย่างตอ่ ไปนี้ 1) การควบคมุ ทางด้านวิศวกรรม สามารถใชว้ ิธีการ ตอ่ ไปน้ี • การออกแบบอปุ กรณ์ เครอ่ื งจักรให้มกี ารท�ำงานท่ีเงยี บ • ใชว้ ัสดดุ ูดซบั เสยี ง • ใช้วิธีครอบหรอื ปิดล้อมเคร่อื งจักรหรอื ปิดคลุมกระบวนการผลติ ทีม่ ีเสยี งดัง • ลดความส่นั สะเท่ือนของเครื่องจกั ร โดยการขันน๊อตและหยอดจารบี • การติดตงั้ เคร่อื งจักรใหว้ างอยู่ในตำ� แหนง่ ที่มน่ั คง รองด้วยพนื้ ยางเพือ่ ลดเสียง • การบ�ำรุงรกั ษาอุปกรณ์ เคร่ืองมอื เครื่องจกั รอยู่เสมอ • เปลย่ี นกระบวนการผลติ ทไ่ี มท่ ำ� ให้เกิดเสยี งดงั • เปลย่ี นวธิ กี ารทำ� งานใหมท่ เ่ี สียงดงั นอ้ ยกวา่ เชน่ ใช้ครมี ดัดแทนการใช้ค้อนตอก • หาเครอื่ งจกั รท่ีมเี สียงดังน้อยกวา่ เข้ามาทดแทน 2) การควบคุมทางด้านการบริหารจัดการ สามารถใช้วธิ ีการ ต่อไปนี้ • เพิม่ ระยะหา่ งระหว่างคนงานกับแหลง่ ก�ำเนดิ เสียง • หมนุ เวียนสับเปลี่ยนคนงาน • การจ�ำกดั เวลาในการทำ� งาน เพ่มิ เวลาพกั • การอบรมให้ความรดู้ า้ นสขุ ภาพอนามยั และความปลอดภยั • การตรวจสุขภาพคนงาน ถ้าผปู้ ฏิบตั ิงานมีปัญหาเก่ียวกับระบบการไดย้ นิ ต้องเปล่ียนหนา้ ที่ • การจัดทำ� โครงการอนรุ ักษ์การได้ยนิ 3) ใช้อปุ กรณป์ ้องกันอันตรายสว่ นบคุ คล Personal Protective Equipment (PPE) • ใชท้ ่อี ดุ หู (Ear plugs) • ใช้ที่ครอบหู (Ear Muffs) 158 | อาชวี อนามยั และความปลอดภยั พนื้ ฐาน
6.2 การปอ้ งกนั และควบคมุ อนั ตรายจากความรอ้ น Principles of Heat Control [1,2,10] ในสภาพแวดลอ้ มการปฏิบัตงิ านท่ีร้อน สง่ ผลใหผ้ ูป้ ฏบิ ัตงิ านไดร้ ับอันตรายจากการปฏบิ ตั งิ าน เช่น ส่งผลให้ เกดิ การเปน็ ลมเน่ืองจากความรอ้ น ออ่ นเพลีย มไี ข้ เป็นตะครวิ เนื่องจากความร้อน รวมทั้งท�ำใหป้ ระสิทธภิ าพในการ ปฏบิ ัติงานลดลง เพอ่ื ความปลอดภยั ในการปฏบิ ตั ิงานสามารถควบคมุ ความร้อนด้วยวิธีตา่ งๆ ดังน้ี 1) การควบคมุ ทางด้านวศิ วกรรม สามารถใชว้ ิธีการ ตอ่ ไปน้ี • การใชฉ้ นวนหมุ้ แหลง่ กำ� เนิดความรอ้ น เชน่ หอ่ หมุ้ เตาหลอมด้วยตะกวั่ ห่อหมุ่ ท่อน�ำความร้อน เป็นตน้ • การใชฉ้ ากกนั้ ปอ้ งกันรังสีความรอ้ นระหวา่ งตัวผ้ปู ฏบิ ัตงิ านกบั แหลง่ ความร้อน • การจัดระบบระบายอากาศเฉพาะท่ีดดู เอาความรอ้ นทีแ่ หลง่ กำ� เนดิ ออกนอกพน้ื ท่ีการท�ำงาน • การจดั ระบบระบายอากาศท่ัวไป โดยติดต้ังพัดลมดูดอากาศ 2 ตัว โดยตัว 1 ตัวจะดูดอากาศท่ีเย็น จากภายนอกเขา้ สพู่ น้ื ทที่ ำ� งาน และอกี 1 ตวั ใชด้ ดู อากาศทร่ี อ้ นออก ทำ� ใหอ้ ากาศทเี่ ยน็ กวา่ เขา้ มาเจอื จาง อากาศภายในอาคาร ท�ำให้ภายในอาคารจะมีอุณหภูมิลดลง แต่วิธีการนี้จะใช้ได้เม่ือ อากาศภายนอก ต้องมีอุณหภูมิต�่ำกว่าอากาศภายในอาคาร • การให้ความเย็นเฉพาะจุด (Spot Cooling) เพ่ือให้ผู้ปฏิบัติงานได้รับความเย็น ณ จุดการปฏิบัติงาน จะประหยัดพลังงานมากกว่าการติดแอรห์ รอื ชิลเลอร์ (Chiller) ทัง้ อาคาร • การติดต้ังพดั ลมระบายอากาศ ทำ� ใหอ้ ากาศมกี ารไหลเวยี นจะช่วยทำ� ใหก้ ารระบายเหง่ือของผู้ปฏิบัตงิ าน ดขี น้ึ ท�ำให้เกิดความปลอดภยั มากขนึ้ • การตดิ ตงั้ พดั ลมระบายอากาศบนหลงั คา (Roof Ventilator) โดยธรรมชาตอิ ากาศทร่ี อ้ นจะเกดิ การขยาย ตวั และลอยตวั สงู ขน้ึ เมอ่ื ตดิ ตงั้ พดั ลมระบายอากาศบนหลงั คา พดั ลมนสี้ ามารถดดู เอาอากาศทรี่ อ้ นทล่ี อยขนึ้ มา ถกู ระบายออกนอกอาคาร ทำ� ใหค้ วามรอ้ นในอาคารลดลง 2) การควบคุมทางด้านการบริหารจดั การ สามารถใชว้ ิธกี าร ต่อไปนี้ • การหมนุ เวียนสบั เปลยี่ นคนงาน • ลดความร้อนจากเมตาโบลซิ ึม โดยใชเ้ ครอื่ งทนุ แรง เชน่ ใช้รถยกแทนคนยก เปน็ ตน้ • จัดใหม้ ีหอ้ งพกั ผอ่ นระหว่างการปฏบิ ตั ิท่ีมอี ุณหภมู เิ ยน็ สบาย • จ�ำกัดเวลาในการทำ� งานในที่รอ้ น เพมิ่ เวลาพัก • จัดนำ้� ดื่มและนำ�้ เกลอื แร่ใหผ้ ปู้ ฏบิ ัตงิ าน • เพิ่มความทนต่อความรอ้ นใหค้ นงาน หรือ Acclimatization Program • การอบรมให้ความรดู้ า้ นสุขภาพอนามัยและความปลอดภัย • การตรวจสขุ ภาพคนงาน 3) ใช้อปุ กรณ์ปอ้ งกนั อนั ตรายส่วนบุคคล Personal Protective Equipment (PPE) • ชดุ ป้องกนั ความร้อน • กระบังหนา้ Face shield ป้องกันสะเกด็ ไฟและการแผ่รงั สีความร้อน • รองเท้านิรภยั • ถุงมือกันความร้อน โดยใช้ถุงมือหนัง เพราะถุงมือหนังเหมาะส�ำหรับการป้องกันอันตรายที่อุณหภูมิสูง หรือลักษณะทม่ี สี ะเก็ดไฟ หรือ ใช้ถุงมอื ผ้าฝ้ายในการปอ้ งกนั อุณหภมู ิที่ไม่สูงนักประมาณไมเ่ กิน 40 องศา เซลเซยี ส ข้อดีของถงุ มือผ้าฝา้ ยสามารถระบายเหง่ือได้ดี ลดการอบั ชน้ื ของผวิ หนังได้ | อาชีวอนามัยและความปลอดภัยพนื้ ฐาน 159
6.3 การปอ้ งกนั และควบคมุ อนั ตรายจากความเยน็ [1,2] เม่ือผู้ปฏิบัติงานต้องปฏิบัติงานในสภาพแวดล้อมท่ีเย็นเกินไป ท�ำให้ผู้ปฏิบัติงานได้รับผลกระทบจากการ ปฏบิ ัติงาน เชน่ ไฮโปเทอเมยี Raynaud’s phenomenon ฟรอสไบท์ เปน็ ต้น ดังนั้นจึงต้องมีการป้องกนั ควบคมุ อันตรายจากความเย็น ดงั วิธกี ารต่อไปน้ี • ตดิ ตง้ั Heater หรือ แหล่งจา่ ยพลังงานความร้อนในพน้ื ทกี่ ารท�ำงาน • มหี ้องปรบั อุณหภมู ิที่อบอนุ่ ในพืน้ ทีก่ ารปฏิบตั งิ าน และมอี ุปกรณ์ชว่ ยเหลอื ทางการแพทย์ • เลือกผปู้ ฏบิ ัติงานที่มีสขุ ภาพแขง็ แรง ไม่เปน็ โรค เช่น โรคหัวใจ ระบบไหลเวยี นโลหิต เปน็ ตน้ • มีการฝกึ อบรมวิธีการทำ� งานในสภาพแวดล้อมท่ีเยน็ • เพิ่มความทนต่อความเย็นให้คนงานหรอื ใหค้ นงานเกดิ ความเคยชินกับสภาพแวดล้อมการท�ำงานทีเ่ ยน็ • ลดระยะเวลาในการท�ำงานและเพิม่ เวลาพกั • มีผู้รว่ มทำ� งานเสมอ เผือ่ เกิดเหตุฉุกเฉนิ จะมีผรู้ ่วมงานสามารถชว่ ยเหลือได้ • ใส่ชุดป้องกันความเย็น เช่น เส้ือผ้าท่ีสามารถป้องกันอันตรายจากความเย็น ถุงมือหนัง ถุงเท้า รองเท้า ทค่ี รอบหลู ดอุณหภมู ิ ผ้าพันคอ เปน็ ต้น 6.4 การปอ้ งกนั และควบคมุ อนั ตรายจากความสน่ั สะเทอื น เมอ่ื ผปู้ ฏบิ ัตงิ านตอ้ งสมั ผัสอันตรายจากความสัน่ สะเทือน ไม่ว่าจะเปน็ ความส่ันสะเทือนแบบท่ัวท้งั ร่างกาย หรือความส่นั สะเทือนทม่ี อื และแขน ล้วนแลว้ สง่ ผลใหเ้ กิดอันตรายต่อผู้สัมผสั เช่น ทำ� ให้เกดิ ปญั หาเกี่ยวกับระบบ กระดกู และกล้ามเนื้อ ทำ� ใหค้ วามสามารถในการมองเห็นลดลง ระบบไหลเวยี นโลหิตทำ� งานผิดปกติ รวมท้งั มีผล กระทบดา้ นจติ ใจ อาจส่งผลตอ่ ประสทิ ธิภาพการทำ� งานของผปู้ ฏิบัตงิ านลดลง ดังนั้นจึงตอ้ งมีการป้องกันควบคมุ อันตรายจากความส่ันสะเทอื น โดยวิธีการ ดังต่อไปนี้ 1) การควบคุมทางดา้ นวศิ วกรรม สามารถใชว้ ิธีการ ต่อไปนี้ • ลดความสน่ั สะเทอื นของเครอ่ื งจกั ร โดยการตดิ ตงั้ เครอ่ื งจกั รใหม้ น่ั คงและรองพนื้ ดว้ ยแผน่ ยางลดแรงสนั่ สะเทอื น • ตรวจสอบ ปรับปรงุ แกไ้ ขวสั ดุ ช้นิ ส่วนของเครอื่ งมอื เครอื่ งจักรที่มีความส่นั สะเทือน • มกี ารซอ่ มบำ� รงุ เคร่ืองมือ เคร่ืองจกั ร อย่างเหมาะสม • ใชว้ ัสดดุ ดู ซับความสน่ั สะเทือน (Shock Absorber) 2) การควบคมุ ทางดา้ นการบริหารจดั การ สามารถใชว้ ิธกี าร ตอ่ ไปนี้ • หมุนเวยี นสับเปลีย่ นคนงาน • จ�ำกัดเวลาในการท�ำงาน เพ่มิ เวลาพัก • เพม่ิ ความทนตอ่ ความสั่นสะเทือน Acclimatization • การอบรมให้ความรดู้ ้านสขุ ภาพอนามัยและความปลอดภยั • การตรวจสุขภาพคนงาน ผูป้ ฏบิ ตั ิงานจะตอ้ งไม่มอี าการหรอื โรคทเ่ี กีย่ วกบั กระดูกและกล้ามเนื้อ 3) ใช้อุปกรณป์ อ้ งกันอันตรายสว่ นบุคคล Personal Protective Equipment (PPE) • สวมถงุ มอื ป้องกันอนั ตรายจากความสัน่ สะเทอื น • สวมรองเท้าป้องกนั อันตรายจากความสน่ั สะเทอื น 160 | อาชีวอนามยั และความปลอดภยั พ้ืนฐาน
6.5 การปอ้ งกนั และควบคมุ อนั ตรายจากรงั สี [1,2] เมอื่ ผปู้ ฏบิ ตั งิ านตอ้ งปฏบิ ตั งิ านทม่ี กี ารสมั ผสั อนั ตรายจากรงั สีเชน่ การปฏบิ ตั งิ านในหอ้ งเอกซเรยใ์ นโรงพยาบาล การปฏิบัติงานตรวจสอบรอยร่ัวของการเชื่อมโดยใช้การเอกซเรย์ หรือผู้ปฏิบัติงานในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เป็นต้น อาจท�ำให้ผู้ปฏิบัติงานได้รับอันตรายจากรังสีทั้งต่อเซลล์ร่างกายและเซลล์สืบพันธุ์ ดังน้ันจึงต้องมีการป้องกัน ควบคุมอันตรายจากรังสี ด้วยวธิ กี ารตอ่ ไปน้ี • ใหผ้ ปู้ ฏบิ ัตงิ านมกี ารสมั ผัสรงั สีในเวลาท่ีน้อยท่สี ุดเท่าท่จี ะท�ำได้ • ใหผ้ ู้ปฏบิ ตั ิงานอย่หู า่ งจากแหลง่ ก�ำเนิดรังสีมากท่สี ุด • ติดเคร่อื งมอื วัดรังสปี ระจ�ำตวั บคุ คล • ตดิ สญั ญาณเตอื นกรณรี งั สีเกิดการร่วั ไหล เพ่อื ใหผ้ ู้ปฏบิ ัติงานหนีออกจากพืน้ ทไี่ ดท้ ัน • จดั ท�ำและซอ้ มแผนฉุกเฉนิ กรณรี งั สเี กดิ การรัว่ ไหล • ใช้อปุ กรณป์ อ้ งกนั อันตรายส่วนบุคคล ได้แก่ ชุดป้องกนั รังสี หน้ากากป้องกนั รงั สี ถุงมอื ปอ้ งกันรังสี รองเท้าปอ้ งกันรงั สี • ใชฉ้ ากกำ� บงั รังสี แสดงดังรปู ที่ 6-25 พลาสตกิ คอนกรตี รงั สแี อลฟา รงั สเี บตา้ รงั สแี กมมาและเอก๊ ซเ์ รย์ นวิ ตรอน กระดาษ ตะกวั่ รงั สแี อลฟา ใชก้ ระดาษในการปอ้ งกนั รงั สเี บตา้ ใชพ้ ลาสตกิ รงั สแี กมมาและเอก๊ ซเรย ์ ใชต้ ะกว่ั ในการปอ้ งกนั นวิ ตรอน ใชค้ อนกรตี หนาในการปอ้ งกนั รปู ที่ 6-25 ฉากกำ� บงั รงั สี | อาชีวอนามัยและความปลอดภัยพื้นฐาน 161
6.6 การปอ้ งกนั และควบคมุ อนั ตรายจากการปฏบิ ตั งิ านในทอี่ บั อากาศ เมอื่ ผปู้ ฏบิ ตั งิ านในพนื้ ทอ่ี บั อากาศ อาจทำ� ใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั งิ านไดร้ บั อนั ตรายในรปู แบบตา่ งๆ เชน่ การขาดอากาศ หายใจ หรอื อาจได้รับอนั ตรายจากเพลงิ ไหมห้ รอื การระเบดิ ของสารเคมที อี่ ยใู่ นพน้ื ท่อี ับอากาศนั้น ดังนนั้ เพ่ือความ ปลอดภัยในการปฏิบัติงานจึงต้องมีการป้องกันความคุมอันตราย ดังน้ี • ผปู้ ฏบิ ตั งิ านจะต้องมีสขุ ภาพดี ไมเ่ ป็นโรคหัวใจและโรคเก่ยี วกับระบบทางเดนิ หายใจ • ผู้ปฏิบัตงิ านจะตอ้ งผา่ นการอบรมเรือ่ งความปลอดภยั ในการปฏบิ ัติงานในทีอ่ บั อากาศ • ก่อนปฏบิ ัติงานในพนื้ ท่อี บั อากาศจะตอ้ งมกี ารขออนญุ าตการปฏบิ ตั ิงาน (Work permit) • ก่อนปฏบิ ตั ิงานตอ้ งมีการตรวจวดั กา๊ ซออกซิเจน และก๊าซติดไฟชนดิ อ่ืน • ถ้าในพื้นท่ีปฏิบัติงานมีออกซิเจนต่�ำกว่า 19.5 เปอร์เซ็นต์ จะต้องใช้พัดลมเป่าอากาศเข้าไป เพื่อเพ่ิม ออกซเิ จนในพื้นทป่ี ฏิบัติงาน • ถ้าพื้นที่ปฏิบัติงานมีก๊าซติดไฟจะต้องไล่ก๊าซติดไฟน้ันออกก่อน โดยใช้ก๊าซเฉ่ือยหรือก๊าซไนโตรเจนก่อน เขา้ ไปปฏิบตั งิ าน • อุปกรณ์ เคร่อื งมอื ทีใ่ ชใ้ นพื้นทีอ่ บั อากาศตอ้ งเปน็ ชนดิ ปอ้ งกันการระเบิด (Explosion Proof) • ตอ้ งจัดให้มผี ูช้ ่วยเหลอื ขณะปฏบิ ตั งิ าน • จัดเตรยี มอปุ กรณ์ส�ำหรบั ให้ความช่วยเหลอื ในกรณีเกดิ เหตุการณฉ์ ุกเฉนิ 6.7 การปอ้ งกนั และควบคมุ อนั ตรายจากแสงสวา่ ง [2,11] เมอ่ื ผปู้ ฏบิ ตั งิ านตอ้ งปฏบิ ตั งิ านในพน้ื ทที่ แี่ สงสวา่ งไมเ่ หมาะสมกบั การปฏบิ ตั งิ าน ไมว่ า่ จะเปน็ การปฏบิ ตั งิ าน ในพนื้ ทแี่ สงสวา่ งนอ้ ยหรอื มากเกนิ ไปลว้ นแลว้ แตส่ ง่ ผลตอ่ ตวั ผปู้ ฏิบตั ิงานทัง้ ส้นิ อาจทำ� ให้เกดิ อาการปวดตา มึนศรี ษะ รวมทั้งส่งผลให้การหยิบจับเคร่ืองมืออุปกรณ์ผิดพลาดรวมถงึ เกดิ อาการแสบตาเกดิ ความเมอ่ื ยลา้ ดวงตา ก ลา้ มเนอื้ ตา กระตุก การมองเห็นแย่ลง มีผลด้านจิตใจต่อผู้ปฏิบัติงาน ดังนั้นจึงต้องมีการป้องกันควบคุมอันตรายจากแสงสว่าง ดว้ ยวธิ ตี อ่ ไปนี้ • เลอื กระบบแสงสวา่ งและแหลง่ กำ� เนดิ แสงสวา่ งจากธรรมชาตเิ พอ่ื ประหยดั พลงั งาน แตต่ อ้ งระวงั เรอ่ื งความรอ้ น • ออกแบบสีหอ้ งให้มีการสะท้อนแสงสงู เชน่ สีขาว เพื่อใหห้ อ้ งมีความสวา่ งมากขน้ึ • ควรออกแบบแสงสว่างให้มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอต่อการปฏิบัติงานตามลักษณะงานต่างๆ เชน่ การอ่านหนงั สือ งานตรวจสอบช้ินงาน เปน็ ต้น • ออกแบบโต๊ะปฏบิ ัตงิ านและชน้ิ งาน ให้มสี ีที่แตกต่างกัน เพ่ือการมองเหน็ ท่ีชัดเจน • ลดการเกิดแสงจา้ โดยการปรับทศิ ทางของแสงและต�ำแหนง่ ของพน้ื ท่ปี ฏบิ ตั ิงาน • การวางผงั พน้ื ทีท่ �ำงานในลักษณะทส่ี ามารถหลีกเลี่ยงการเกิดเงา • ควรท�ำความสะอาดหลอดไฟเป็นประจำ� เพราะฝนุ่ ท่ตี ดิ อย่กู ับหลอดไฟสามารถลดความเขม้ แสงได้ 162 | อาชวี อนามัยและความปลอดภัยพ้นื ฐาน
6.8 การปอ้ งกนั และควบคมุ อนั ตรายดา้ นสารเคมี [1,2] เมื่อผู้ปฏิบัติงานต้องปฏิบัติงานในสภาพแวดล้อมท่ีมีสารเคมี อาจท�ำให้ผู้ปฏิบัติงานได้รับอันตรายใน รปู แบบต่างๆ เชน่ เกดิ การระคายเคือง ขาดอากาศหายใจ เกดิ การระเบิดหรือเพลิงไหม้ อาจเกิดพิษตอ่ อวยั วะเป้า หมายต่างๆ รวมถึงอาจท�ำให้เกิดโรคมะเร็ง เป็นต้น ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในการปฏิบัติงานจะต้องมีวิธีการ ป้องกันควบคุมอันตรายจากสารเคมี ดว้ ยวิธกี ารดงั นี้ 1) การควบคุมทางด้านวิศวกรรม สามารถใช้วธิ กี าร ต่อไปนี้ • ใชส้ ารเคมที มี่ ีอนั ตรายน้อยกว่าทดแทน • เปลยี่ นแปลงกระบวนการผลิต เชน่ เปลย่ี นจากการพน่ สีเป็นการทาสี เพอ่ื ลดการฟุ้งกระจาย • ปิดคลุมกระบวนการผลิตหรืออปุ กรณ์ • ใช้ระบายอากาศอากาศเฉพาะทีด่ ดู สารเคมีออกจากพืน้ ทปี่ ฏบิ ตั ิงาน • ใชร้ ะบบระบายอากาศทว่ั ไป เชน่ พดั ลมระบายอากาศ การเปดิ ประตหู นา้ ตา่ ง เพอ่ื เจอื จางความเขม้ ขน้ ของสารเคมใี นพนื้ ทกี่ ารปฏิบัติงาน • การลดปัญหาเร่ืองฝุ่นหรืออันตรายจากฝุ่นโดยใช้ระบบเปียก หรือใช้ระบบถุงกรอง หรือใช้ระบบ electrostatic precipitator • การบ�ำรงุ รกั ษาเพ่ือให้ระบบการจัดการสารเคมีมปี ระสทิ ธภิ าพในการจัดการดังเดมิ 2) การควบคมุ ทางด้านการบรหิ ารจัดการ สามารถใชว้ ิธีการ ต่อไปน้ี • การฝึกอบรมใหค้ วามรูถ้ ึงอันตรายจากสารเคมี การใช้งาน การจดั เกบ็ และการปฐมพยาบาล เปน็ ตน้ • จัดช่วงเวลาการท�ำงาน เช่นสารเคมีบางตัวท�ำปฏิกิริยาเคมีได้ดีท่ีอุณหภูมิสูง ดังน้ันควรหลีกเลี่ยง การปฏิบตั งิ านกับสารเคมใี นช่วงบา่ ย เปน็ ต้น • การหมุนเวียนสบั เปล่ียนคนงาน • การทำ� ความสะอาดสถานท่ที �ำงาน (Good housekeeping) , 5ส • การจัดท�ำโครงการอาชวี อนามยั และความปลอดภัยในสถานทท่ี �ำงาน • การตรวจสขุ ภาพก่อนเขา้ ท�ำงาน ตรวจสุขภาพประจำ� ปี และตรวจสุขภาพหลังออกจากงาน • จัดหาข้อมูล MSDS (Material Safety Data Sheet) ของสารเคมีไว้ในพ้ืนท่ีปฏิบัติงาน เม่ือเกิดเหตุ ฉุกเฉินจะไดส้ ามารถจัดการได้อยา่ งถกู ต้อง ขอ้ มูลของ MSDS จะมที ัง้ ส้นิ 16 หัวขอ้ ซง่ึ สามารถหาได้ จากเว็บไซด์ ฐานขอ้ มลู หรือสามารถขอจากผูผ้ ลติ สารเคมชี นิดนน้ั ๆ ได ้ ฐานข้อมลู MSDS (Material Safety Data Sheet) 1) ศนู ยข์ อ้ มลู วตั ถอุ นั ตรายและเคมภี ณั ฑ์ Chemical Data Bank ของกรมควบคมุ มลพษิ สามารถเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ไดท้ ี่ http://msds.pcd.go.th/ 2) ฐานความรดู้ า้ นความปลอดภยั ดา้ นสารเคมี สามารถเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ไดท้ ี่ http://www.chemtrack.org 3) NIOSH Pocket Guide to Chemical Hazards สามารถเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ไดท้ ่ี http://www.cdc.gov/niosh/npg 4) Chemical and Laboratory Equipment สามารถเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ไดท้ ่ี http://www.sciencelab.com | อาชวี อนามยั และความปลอดภยั พื้นฐาน 163
3) ใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล Personal Protective Equipment (PPE) • ที่ก�ำบังหน้า (Face Shield) หรือแว่นตานิรภัย (Glasses) หรือครอบตานิรภัย (Goggle) • หน้ากากกันสารเคมี • ชุดป้องกันสารเคมี • ถุงมือป้องกันสารเคมี • รองเท้านิภัย หรือ รองเท้าบูทกันสารเคมี 6.9 การปอ้ งกนั และควบคมุ อนั ตรายดา้ นชวี ภาพ [2] เมื่อผู้ปฏิบัติงานปฏิบัติงานในพ้ืนท่ีที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสอันตรายทางด้านชีวภาพ เช่น โรงพยาบาล สถานทด่ี แู ลรกั ษาสตั ว์ เกษตรกร หอ้ งปฏบิ ตั กิ ารดา้ นชวี ภาพ ฯลฯ อาจทำ� ใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั งิ านไดร้ บั อนั ตรายจาก เชอ้ื ไวรสั เชอื้ แบคทเี รยี เชอื้ รา แมลงสตั วก์ ดั ตอ่ ย รวมถงึ ไดร้ บั อนั ตรายจากโปรตนี จากสตั ว์ ซง่ึ ทำ� ใหเ้ กดิ โรคจากอนั ตรายทางดา้ น ชวี ภาพเหล่านี้ ดงั นน้ั จงึ ต้องมกี ารป้องกันอนั ตรายจากการทำ� งานดา้ นชวี ภาพ ดงั น้ี • การกักกัน (Containment) เพ่ือป้องกันการแพร่กระจายของเช้ือไปยังบุคคลอื่น รวมท้ังสามารถสังเกต อาการของผ้ตู ิดเชอื้ วา่ มีอาการที่ตรงกับลักษณะอันตรายนนั้ ๆ เพ่ือการใหก้ ารรกั ษาทีถ่ กู ตอ้ ง • การออกแบบสถานที่ปฏิบัติงาน (Design of workplace) ให้มีความปลอดภัยจากอันตรายด้านชีวภาพ เช่น มีระบบระบายอากาศท่ีดี มีอาคารแยกจากชุมชน เพื่อลดการแพร่เช้ือจากสถานที่เส่ียงไปยังชุมชน โดยรอบ หรอื พ้นื ทใี่ กล้เคยี ง เป็นต้น • ใช้ Biological safety cabinet เป็นเครื่องกรองอากาศท่ีมีตัวกรองที่เรียกว่า HEPA Filter (High Efficiency Particulate Air) กรองอากาศที่มีการปนเปื้อนอันตรายด้านชีวภาพก่อนท่ีจะปล่อยอากาศ ออกส่ภู ายนอก • การปฏบิ ตั งิ านทด่ี ี (Good work practice) เชน่ ไมใ่ ชป้ ากดดู ปเิ ปตทม่ี สี ารดา้ นชวี ภาพ ไมใ่ ชป้ ากเปดิ ขวด บรรจุตัวอย่างด้านชีวภาพ การมีสุขลักษณะส่วนบุคคลท่ีดี เช่น ไม่รับประทานอาหารในพื้นท่ีปฏิบัติงาน ล้างมือกอ่ นรับประทานอาหาร ท�ำความสะอาดร่างกายและเปลย่ี นชุดทุกครงั้ กอ่ นกลับบ้าน เป็นต้น • ลดการปนเปื้อน (Decontamination) เช่นการใช้สารฆ่าเช้ือโรค เช่นแอลกอฮอล์ หรือ Sodium Hypochlorite ใชท้ ำ� ความสะอาดพน้ื โรงพยาบาล หรอื ใชห้ มอ้ นง่ึ ความดนั (Autoclave) ในการฆา่ เชอื้ เปน็ ตน้ • จดั ทำ� โครงการความปลอดภยั ในการปฏบิ ตั งิ านกบั สารดา้ นชวี ภาพ Biosafety Program Management ประกอบด้วยการตระหนักถึงอันตราย การประเมินอนั ตราย และการป้องกันอนั ตรายดา้ นชีวภาพ • ใช้อปุ กรณ์ป้องกนั อันตรายส่วนบุคคล เช่น ถุงมือ ชุดป้องกัน หน้ากากนิรภัย ตลอดเวลาที่ต้องสัมผสั อันตรายด้านชีวภาพ 164 | อาชวี อนามยั และความปลอดภัยพน้ื ฐาน
6.10 การปอ้ งกนั ควบคมุ อนั ตรายจากเครอ่ื งจกั ร [12] เมื่อผู้ปฏิบัติงาน ปฏิบัติงานกับเคร่ืองจักรอาจท�ำให้ผู้ปฏิบัติงาน ได้รับอันตรายในรูปแบบต่างๆ เช่น ถูกตัด ถูกบาด ถูกดึงหรือเก่ียวเข้าไป หรืออันตรายในลักษณะอ่ืนๆ OSHA [12] ได้ท�ำการประเมินอันตรายของเครื่องจักร พบว่าจุดท่ีเป็นอันตรายของเครื่องจักรน้ันเกิดจาก จุดที่มีการเคล่ือนท่ี (Machine Motion) และจุดที่มีการกระ ท�ำ (Actions) แสดงดังรูปท่ี 6-26 จุดท่ีมีการเคล่ือนท่ี เช่น การหมุนรอบตัวเอง (Rotating) เคลื่อนที่กลับไปกลับมา (Reciprocating) เคล่อื นทแี่ บบเป็นเส้นตรง (Transverse) หมนุ รอบตัวเองแล้วเกดิ จุดหนบี บีบ อัด (Nip Point) จดุ ที่มีการกระท�ำ เช่น จดุ ทีม่ กี ารตดั (Cutting) จดุ ทมี่ ีการเจาะ (Punching) จุดท่ีมกี ารเฉือน (Shearing) จุดท่มี กี ารโคง้ งอ (Bending) เปน็ ต้น รปู ท่ี 6-26 จดุ อนั ตรายของเครอ่ื งจกั ร ดงั นนั้ เมอื่ ทำ� การวเิ คราะหอ์ นั ตรายจากเครอ่ื งจกั ร พบวา่ จดุ ทที่ ำ� ใหเ้ กดิ อนั ตรายจากการปฏบิ ตั งิ านกบั เครอื่ งจกั ร ไดแ้ ก่ จุดอนั ตรายดงั ต่อไปนี้ 1) จุดที่มกี ารตัด เฉือน เจาะ (Cutting) คือจุดท่มี ใี บมดี หรอื จดุ ทม่ี คี ม 2) จดุ หมุน จดุ หนบี (Press) เกดิ จากการหมนุ รอบตัวเองแล้วเกดิ จดุ หนบี เปน็ ตน้ 3) จุดท่ีอาจเกิดการชนหรอื กระแทก (Impact) เช่น การเคลื่อนท่แี ลว้ เกดิ การเฉ่ียวหรือชน 4) การสมั ผสั (Contact) เช่น ความรอ้ น สารเคมี เป็นตน้ 5) จุดท่ีมีการเกี่ยวพันหรือถูกดึงเข้าไป (Entanglement) เช่น การแต่งกายไม่เหมาะสมแล้วเครื่องจักร ดึงร่างกายของผู้ปฏิบัติงานเข้าไป เช่น ผมยาวแล้วไม่รวบผม เนกไท เสื่อผ้าหลวม ถุงมือผ้า ใส่เคร่ือง ประดับ เปน็ ต้น 6) จุดทม่ี กี ารถูกพ่นหรอื เปา่ ใส่ (Ejection) เชน่ ประแจลม ทอ่ ลม ท่อไอเสยี เป็นต้น | อาชวี อนามัยและความปลอดภยั พ้นื ฐาน 165
ความปลอดภัยในการปฏบิ ตั ิงานกับเคร่ืองจักร ต้องปฏบิ ัติงานดังนี้ • ติดตงั้ การ์ดนริ ภัย (Safety Guard) ในจดุ ที่เป็นอนั ตรายของเครื่องจักรทุกชนดิ • เครือ่ งจกั รทกุ ชนดิ ต้องตดิ ตงั้ สายดนิ (Grounding) เพ่ือป้องกนั อนั ตรายจากไฟฟา้ • เม่อื พบว่า Safety Guard ช�ำรดุ ตอ้ งแจง้ ผูเ้ กีย่ วข้องทราบและทำ� การแก้ไขทนั ที • ผ้ปู ฏิบัตงิ านกบั เคร่อื งจักรตอ้ งแตง่ กายอย่างเหมาะสม สวมถงุ มอื หนังและรวบผมใหเ้ รยี บรอ้ ย • ไม่อนญุ าตใหผ้ ู้ปฏบิ ัติงาน สวมเสอ้ื ผา้ หลวมๆ สวมแหวน สร้อย นาฬิกา เนกไท หรอื เครอ่ื งประดบั • ผ้ปู ฏบิ ตั งิ านกับเครือ่ งจักรตอ้ งได้รบั การอบรมเร่ืองความปลอดภยั ในการปฏิบตั งิ านกับเคร่อื งจักรน้ันๆ • เมอื่ ทำ� การซอ่ มเครอ่ื งจกั รตอ้ งหยดุ เครอ่ื งจกั ร ตดิ ปา้ ยเตอื น (Tag Out) พรอ้ มทงั้ ลอ็ คเครอื่ งจกั ร (Lock Out) ด้วยตนเองทกุ ครง้ั และกอ่ นทำ� การซอ่ มตอ้ งทดสอบการเดินเคร่ืองจักรทกุ คร้ัง • ท�ำการซอ่ มบำ� รุงเครื่องจกั รตามอายกุ ารใชง้ าน (Preventive Maintenance) • พนกั งานควบคมุ เครอื่ งจกั รตอ้ งไมเ่ ดนิ เครอื่ งจนกวา่ จะแนใ่ จวา่ ตดิ ตง้ั อปุ กรณป์ อ้ งกนั อนั ตรายเขา้ ทเ่ี รียบร้อย 6.11 การปอ้ งกนั ควบคมุ อนั ตรายจากไฟฟา้ [13] เมอื่ ผู้ปฏิบตั ิงานปฏบิ ัติงานกับไฟฟ้าอาจท�ำให้ผ้ปู ฏบิ ัติงานได้รับอันตรายจากไฟฟ้าจากการดดู หรือการซอ๊ ต จากไฟฟ้า ซึ่งอันตรายจากไฟฟ้าแบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่ 1. อันตรายต่อตัวผู้ปฏิบัติงาน เช่น เกิดการบาดเจ็บ พิการ เสียชีวิต เป็นต้น 2. อันตรายต่อทรัพย์สิน เช่น อุปกรณ์ช�ำรุดเสียหาย อัคคีภัย และการระเบิด เป็นต้น ลักษณะของอันตรายจากไฟฟ้าท่ีมีต่อผู้ปฏิบัติงาน ไฟฟ้าจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์ก็ต่อเมื่อกระแสไฟฟ้า ไหลผา่ นรา่ งกายแลว้ ครบวงจรลงสดู่ นิ จะทำ� ใหเ้ กดิ อาการตา่ งๆขน้ึ กบั ปรมิ าณกระแสทไ่ี หลผา่ นรา่ งกายนน้ั แสดงดงั ตารางท่ี 6-3 ไฟฟา้ สามารถท�ำให้เกดิ อันตรายตอ่ มนุษย์ดงั นี้ 1. กระแสไฟฟ้าผา่ นรา่ งกายสดู่ นิ เชน่ การสัมผสั กับแหลง่ กำ� เนดิ ไฟฟ้าโดยตรง เชน่ จับสายเปลอื ย เป็นต้น 2. รา่ งกายต่อเป็นสว่ นหนึ่งของวงจรไฟฟ้า เช่น สมั ผัสผา่ นอปุ กรณ์ไฟฟ้าทีม่ กี ระแสไฟฟา้ รวั่ 3. กระแสไฟฟ้าลดั วงจรแล้วสัมผัสถกู หรอื ประกายไฟกระเดน็ ใส่หรอื ระเบิดใส่ 4. การตกใจ ทำ� ใหช้ นอุปกรณ์ หรือตกจากท่สี งู ตารางที่ 6-3 ปรมิ าณกระแสไฟฟา้ ท่ไี หลผา่ นร่างกายและผลกระทบทเี่ กิดขึน้ [13] ปริมาณกระแส ผลกระทบต่อร่างกาย 1 มิลลิแอมป์ รู้สึกว่ามีกระแสไฟฟ้า แต่ไม่เกิดอันตราย 5 มิลลิแอมป์ ไฟฟ้าดูด แต่สามารถสะบัดให้หลุดได้ อันตรายอาจเกิดจากการตกใจ การสะบัดอย่างรุนแรงท�ำให้เกิดการบาดเจ็บ จากการชน 6–25 มิลลิแอมป์ (เพศหญิง) เกิดความเจ็บปวด ไม่สามารถควบคุมการท�ำงานของกล้ามเนื้อได้ 9–30 มิลลิแอมป์ (เพศชาย) ถูกไฟฟ้าดูดติดกับอุปกรณ์ไฟฟ้า โอกาสที่จะสะบัดให้หลุดท�ำได้ยาก 50–150 มิลลิแอมป์ เกิดความเจบ็ ปวดอยา่ งรนุ แรง หวั ใจหยดุ เต้น กล้ามเน้ือเกิดการหด ตัวอย่างรุนแรง อาจทำ� ใหเ้ กิดการเสียชีวิตได้ 166 | อาชวี อนามัยและความปลอดภยั พนื้ ฐาน
ความปลอดภัยในการปฏบิ ตั ิงานกบั ไฟฟ้า ผ้ปู ฏบิ ัตงิ านจงึ ต้องปฏิบัติ ดังนี้ • ตรวจสอบอปุ กรณไ์ ฟฟา้ กอ่ นใชง้ าน ตอ้ งไมป่ ฏบิ ตั งิ านกบั อปุ กรณไ์ ฟฟา้ ทมี่ ลี กั ษณะ สายเปลอื ย รอยแตกรา้ ว ชำ� รดุ เป็นตน้ • ตอ่ สายดนิ กับอุปกรณไ์ ฟฟา้ ทุกชนดิ โดยเฉาะอย่างย่ิงเคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าทม่ี ีแรงดันมากกว่า 50 โวลต์ • ควรใช้ไขขวงวัดไฟฟา้ ก่อนทำ� งานกับไฟฟ้า ไมค่ วรใช้มือทดสอบ • ใช้เครอ่ื งมือท่ีมฉี นวนหุ้มและถูกออกแบบมาใหใ้ ชง้ านกบั ไฟฟา้ เท่าน้นั • ควรมสี ่ิงปดิ กันหรอื ป้องกนั ส่วนของรา่ งกายมิให้สมั ผัสกบั ไฟฟา้ • การท�ำงานกบั ไฟฟา้ บนท่ีสูงตอ้ งใชเ้ ขม็ ขัดนิรภยั ทกุ ครงั้ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ที่ความสูงมากกวา่ 4 เมตร • การทำ� งานกับสายไฟฟ้าแรงสงู จะต้องมีระยะหา่ งไมน่ อ้ ยกว่า 4 เมตร • ตอ้ งสวมถงุ มือยางกันไฟฟา้ แล้วสวมถุงมอื หนงั ทับอีก 1 ชน้ั ทุกครัง้ • จัดท�ำ Tag out และ log out ทุกครั้งเมื่อมีการซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า และถ้าซ่อมมากกว่า 1 คน ต้องท�ำ Tag out และ log out ทุกคน และตอ้ งถือกุญแจไวท้ ่ผี ทู้ ที่ ำ� การซ่อม • ทุกคร้ังที่มีการตัดกระแสไฟฟ้าแล้ว ต้องมีการทดสอบการเดินเคร่ืองจักรทุกครั้ง เพ่ือตรวจสอบว่า เครือ่ งจักรนัน้ กระแสไฟฟา้ ถูกตดั โดยสมบูรณ์หรอื ไม่ • การปฏิบัติงานกับไฟฟา้ ไม่ควรปฏบิ ตั งิ านคนเดยี ว ตอ้ งมผี ู้ช่วยเหลือ กรณเี กดิ เหตุฉุกเฉนิ 6.12 การปอ้ งกนั ควบคมุ อนั ตรายดา้ นการยศาสตร์ ปัญหาทางด้านการยศาสตร์ในสถานท่ีท�ำงานมักเกิดจาก การออกแบบสถานท่ีปฏิบัติงานท่ีไม่เหมาะสม เชน่ ตอ้ งมกี ารใช้กล้ามเน้อื จนเกดิ ขีดความสามารถของร่างกาย เชน่ การยกของหนกั การทำ� งานในลักษณะท่าทาง ทีฝ่ ืนธรรมชาติ เช่น มกี ารยืดเหยยี ดกล้ามเน้ือมากเกนิ ไป การบิดเอย้ี วตัวทฝ่ี นื ธรรมชาติ การปฏิบตั งิ านในทา่ ทาง เดิมๆซ�้ำๆ เป็นเวลานานๆตลอดการปฏิบัติงาน รวมท้ังสภาพโต๊ะ เก้าอ้ี ที่นั่งท�ำงานและสถานีงานไม่เหมาะสม ส่งผลให้เกิดความเม่ือยล้าจากการปฏิบัติงาน และสุดท้ายจะท�ำให้เกิดโรคและอุบัติเหตุจากการปฏิบัติงานในท่ีสุด การออกแบบสถานงี านตามหลักการยศาสตร์ อาศัยหลักการ ดงั ต่อไปน้ี • ควรรกั ษาท่าทางการทำ� งานของร่างกายผู้ปฏบิ ัตงิ านให้อยู่ในลักษณะทส่ี มดลุ • ควรท�ำงานท่ีระดับความสูงของข้อศอก ไม่ว่าจะเป็นงานนั่งหรืองานยืน เพราะเป็นระดับที่มีความสบาย และเกิดความปลอดภยั สงู สดุ • ควรมีพื้นท่ปี ฏิบตั ิงานเพอื่ การเคลือ่ นไหวสว่ นของร่างกายของผู้ปฏบิ ัติงานท่เี พียงพอ • ลกั ษณะการปฏิบตั งิ านจะต้องไมม่ กี ารยืด เหยียดแขน ขา หัวไหล่ และล�ำตวั ในขณะปฏบิ ตั งิ านจนเกินขดี ความสามารถของเอ็น ข้อต่อ และกล้ามเน้ือของผู้ปฏบิ ัติงาน | อาชวี อนามัยและความปลอดภัยพื้นฐาน 167
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในการปฏิบัติงานและลดปัญหาด้านการยศาสตร์ในพื้นที่ปฏิบัติงาน ควรมีแนว ปฏิบัติดังน้ี 1) งานทตี่ ้องการความแมน่ ยำ� หรือความละเอยี ดสูง (Precision Work) สถานีงานตอ้ งออกแบบชิน้ งาน ให้อยู่ในระดับท่ีสูงกว่าระดับข้อศอกข้ึนมา หรือในระยะท่ีใกล้กับระดับสายตาในลักษณะท่ีมองเห็นได้อย่างชัดเจน จะสามารถลดการก้มเพือ่ เพง่ มองชน้ิ งาน ท�ำให้สามารถมองเหน็ ช้นิ งานน้นั ได้ชดั เจนมากขึน้ ลดอาการเมอ่ื ยลา้ ของ ดวงตาจากการเพ่งมองชิน้ งาน และลดอาการปวดคอและปวดหลงั 2) งานทตี่ อ้ งออกแรงนอ้ ย (Light Work) ชน้ิ งานตอ้ งอยใู่ นระดบั ขอ้ ศอกเพอื่ ลดการออกแรง การปฏบิ ตั งิ าน ระดบั ขอ้ ศอก (Elbow Height) เป็นระดับทม่ี คี วามปลอดภยั ท่ีสุดไมว่ ่าจะเปน็ งานนง่ั หรืองานยืน 3) งานที่ต้องออกแรงมาก (Heavy Work) สถานีงานต้องออกแบบให้สามารถใช้กล้ามเน้ือมัดใหญ่ได้ ซง่ึ ออกแบบจะอยู่ในระดับที่ต่�ำกว่าระดับข้อศอกลงมาของผู้ปฏบิ ตั งิ าน รปู ที่ 6-27 การออกแบบสถานงี านตามหลกั การยศาสตร์ ทมี่ า : Element of Ergonomics Program; NIOSH [14] 4) เครอ่ื งมอื หรอื อปุ กรณท์ ก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ความไมส่ ะดวก ตอ้ งมกี ารปรบั ปรงุ เครอื่ งมอื หรอื อปุ กรณใ์ หเ้ หมาะสม กับผู้ปฏิบัติงาน โดยอาศัยหลักการวัดขนาดสัดส่วนร่างกาย (Anthropometry) ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล รวมทงั้ ผู้ปฏบิ ตั ิงาน ไมค่ วรปฏบิ ตั งิ านด้วยอิรยิ าบถหรอื ท่าทางท่ีฝนื ธรรมชาติ 5) การยืนท�ำงาน ควรให้มีงานท่ีตอ้ งยนื ท�ำงานน้อยทสี่ ุด แต่ถา้ หลีกเลี่ยงการยืนปฏิบตั ิงานเป็นเวลานาน ไม่ได้ให้ออกแบบเก้าอี้ลักษณะก่ึงนั่งก่ึงยืน หรือใช้แผ่นรองพ้ืนหรือรองเท้าท่ีสามารถลดแรงกดทับของร่ายกาย รวมทั้งอาจใชว้ ิธกี ารบริหารรา่ งกายหรือการออกกำ� ลังกายรว่ มด้วย 6) งานท่ีต้องท�ำซ้�ำซากจ�ำเจ ควรจัดให้มีการหมุนเวียนสับเปลี่ยนการท�ำงาน หรือให้ผู้ปฏิบัติงานได้มี โอกาสเปลยี่ นอริ ยิ าบถในการปฏบิ ัติงานบอ่ ยๆ เช่นทกุ 1-2 ชว่ั โมง 7) วธิ กี ารยกเคล่อื นยา้ ย ควรเปน็ งานท่ีมีระยะทางการยกเคล่อื นยา้ ยท่สี ั้นทส่ี ดุ ความถ่ีในการยกน้อยที่สุด น้�ำหนักท่ียกน้อยสุด ถ้าจ�ำเป็นต้องยกสิ่งของที่มีน�้ำหนักมากอาจใช้ผู้ปฏิบัติงานหลายคนช่วยยก หรือใช้เคร่ืองทุ่น แรงในการชว่ ยยก 168 | อาชีวอนามยั และความปลอดภยั พืน้ ฐาน
6.13 หลกั การเคลอ่ื นยา้ ยวสั ดดุ ว้ ยมอื เปลา่ อยา่ งปลอดภยั จากข้อมูลการบาดเจ็บจากการปฏิบัติงานพบว่า ผู้ปฏิบัติงานมีแนวโน้มเกิดอาการเจ็บป่วยจากการยก หรอื เคลื่อนย้ายของหนัก ทำ� ให้เกิดอาการปวดหลังส่วนลา่ ง (Low Back pain) เน่ืองจากการยกเคลอื่ นยา้ ยส่ิงของใน ทา่ ทางทไี่ มถ่ กู ตอ้ ง เ ชน่ ม กี ารกม้ ตวั ขณะยกของหนกั ทำ� ใหต้ อ้ งใชก้ ลา้ มเนอื้ หลงั ในการยกจงึ ทำ� ใหเ้ กดิ อาการปวดหลงั ดังกล่าว แสดงดังรูปท่ี 6-28 รปู ท่ี 6-28 ทา่ ทางการยกสง่ิ ของทไ่ี มถ่ กู ตอ้ ง จากกฎกระทรวง กำ� หนดอตั รานำ�้ หนกั ทนี่ ายจา้ งใหล้ กู จา้ งทำ� งานได้ พ.ศ. 2547 ออกตาม พรบ. คมุ้ ครองแรงงาน ได้ก�ำหนดน้�ำหนักที่ลูกจากท�ำงานด้วยการยก แบก หาม ลาก ทูน หรือเข็นของหนักไม่เกินน้�ำหนักท่ีก�ำหนดไว้ ดังต่อไปน้ี • แรงงานเด็กเพศหญิง อายุต้ังแต่ 15-18 ปี น�้ำหนักท่ียกได้ไม่เกิน 20 กิโลกรัม • แรงงานเด็กเพศชาย อายุต้ังแต่ 15-18 ปี น้�ำหนักท่ียกได้ไม่เกิน 25 กิโลกรัม • แรงงานหญิง อายุมากกว่า 18 ปีข้ึนไป น้�ำหนักท่ียกได้ไม่เกิน 25 กิโลกรัม • แรงงานชาย อายุมากกว่า 18 ปีข้ึนไป น�้ำหนักท่ียกได้ไม่เกิน 55 กิโลกรัม | อาชีวอนามัยและความปลอดภัยพื้นฐาน 169
ความปลอดภยั ในการยกเคล่อื นย้ายวสั ดดุ ว้ ยมือเปลา่ ผ้ปู ฏิบตั งิ านควรปฏิบัตดิ งั น้ี 1. วางแผนการยก พจิ ารณานำ�้ หนกั รปู ทรงวา่ สามารถเคลอื่ นยา้ ยไดด้ ว้ ยมอื เปลา่ ถา้ ไมส่ ามารถเคลอ่ื นยา้ ยได้ ให้หาอุปกรณท์ ุ่นแรงหรอื ใชค้ นยกมากกว่า 1 คน รวมทั้งพจิ ารณาถึงเส้นทางและระยะทางท่ีจะท�ำการยก 2. พจิ ารณาตำ� แหนง่ หรอื ทศิ ทางทจ่ี ะทำ� การยกของ โดยจะตอ้ งสามารถยกของไดถ้ นดั และมอื ตำ� แหนง่ การจบั ท่มี ั่นคงไม่หลุดง่าย 3. จับยดึ สิ่งของทจี่ ะยกอยา่ งปลอดภยั และม่นั คง 4. ยกส่ิงของข้ึนจากพ้ืนในท่าทางที่กระดูกสันหลังตรงและไม่มีการโค้งงอของกระดูกสันหลัง ในลักษณะท่ี สงิ่ ของใกล้ลำ� ตวั มากทส่ี ดุ เพ่ือลดแรงจากการยก 5. ยนื ขึ้นอย่างมัน่ คงและยกสง่ิ ของไปยังจดุ ทีต่ อ้ งการ 1 23 45 รปู ท่ี 6-29 ขน้ั ตอนการยกเคลอ่ื นยา้ ยวสั ดดุ ว้ ยมอื เปลา่ อยา่ งปลอดภยั 170 | อาชวี อนามัยและความปลอดภยั พ้ืนฐาน
บทสรปุ การป้องกันควบคุมอันตรายจากการท�ำงานอาศัยหลักการ การป้องกันควบคุมท่ีแหล่งก�ำเนิดโดยใช้วิธีการ ควบคมุ ทางดา้ นวศิ วกรรม การปอ้ งกนั ควบคมุ ทที่ างผา่ นโดยใชว้ ธิ กี ารบรหิ ารจดั การ และการปอ้ งกนั ควบคมุ ทตี่ วั บคุ คล โดยการใช้อุปกรณป์ อ้ งกันอันตรายสว่ นบุคคล 1) การปอ้ งกันควบคุมทแี่ หล่งกำ� เนดิ (Source Controls) เปน็ การลดหรือขจดั อนั ตรายออกไปจากการ ท�ำงาน ณ แหล่งก�ำเนิดอันตราย โดยอาศัยการออกแบบด้านวิศวกรรม เพื่อให้เคร่ืองจักรหรือกระบวนการผลิตมี ความปลอดภัยตงั้ แตต่ น้ เป็นวธิ ีการควบคมุ อนั ตรายทถี่ ูกพจิ ารณาเปน็ อนั ดับแรกเนอื่ งจาก มปี ระสทิ ธภิ าพมากทส่ี ดุ ในการควบคมุ อนั ตรายดที ส่ี ุด 2) การป้องกันควบคุมที่ทางผ่าน (Path Controls) เป็นวิธีการควบคุมอันตรายจากทางผ่านของ อันตรายจากแหล่งก�ำเนิดไปสู่พนักงาน เป็นการลดความรุนแรงหรือความเป็นอันตรายก่อนถึงตัวพนักงาน โดยท่ี อันตราย ณ แหล่งก�ำเนิดยังเท่าเดิม โดยการเพิ่มระยะทางหรือหาสิ่งมากั้นระหว่างผู้ปฏิบัติงานกับแหล่งอันตราย หลกั การนค้ี วรถกู พจิ ารณาเป็นอันดบั ท่ีสอง 3) การปอ้ งกันควบคมุ ที่ทางตัวบุคคล (Receiver Controls) การควบคุมโดยวธิ กี ารนีไ้ ม่สามารถลดหรอื ก�ำจัดอันตรายได้ แต่เป็นเพียงส่ิงท่ีกั้นระหว่างผู้ปฏิบัติงานและอันตรายเท่านั้น โดยอาศัยอุปกรณ์ป้องกันอันตราย ส่วนบุคคล ถ้าอุปกรณ์ป้องกันอันตรายเกิดความเสียหายก็จะท�ำให้ผู้ปฏิบัติงานสัมผัสอันตรายนั้นได้โดยทันที มาตรการน้ีควรถูกพิจารณาเป็นมาตรการสุดท้าย เพราะเป็นวิธีการที่ยากที่สุดเน่ืองจากเป็นวิธีการเปลี่ยนแปลง พฤตกิ รรมของผู้ปฏิบตั ิงานซง่ึ สามารถท�ำได้ยาก การปอ้ งกนั ควบคุมอนั ตรายเพ่ือใหเ้ กดิ ประสิทธิภาพในการป้องกันควบคมุ อนั ตรายสูงสดุ ตอ้ งเลอื กวิธีการ ท่ีเหมาะสมสุด โดยอาจพิจารณาจากความยากงา่ ยในการด�ำเนินการ งบประมาณในการดำ� เนนิ การ รวมถงึ พิจารณา ถึงจุดคุ้มทุนท่ีจะได้รับ ดังน้ันในการป้องกันควบคุมอันตรายอาจใช้หลักการใดหลักการหน่ึงหรือใช้หลายหลักการ รว่ มกนั เพ่ือใหผ้ ู้ปฏิบัติงานเกดิ ความปลอดภยั สงู สดุ ในการปฏบิ ตั ิงาน | อาชวี อนามยั และความปลอดภยั พน้ื ฐาน 171
บรรณานุกรม 1. วทิ ยา อยสู่ ขุ , อาชวี อนามยั ความปลอดภยั และสง่ิ แวดลอ้ ม. ภาควชิ าอาชวี อนามยั และความปลอดภยั มหาวิทยาลัยมหิดล, 2544 2. พรพิมล กองทิพย์. สุขศาสตร์อุตสาหกรรม Industrial Hygiene. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความ ปลอดภยั . มหาวิทยาลยั มหิดล, 2545 3. วชิ ยั พฤกษธ์ าราธกิ ลุ . เอกสารประกอบการสอนรายวชิ า ความปลอดภยั ในงานอตุ สาหกรรม Industrial Safety. ภาควิชาอาชวี อนามยั และความปลอดภัย. มหาวิทยาลัยมหิดล 4. กระทรวงแรงงาน. ประกาศกรมสวสั ดกิ ารและคมุ้ ครองแรงงาน เรอ่ื ง กำ� หนดมาตรฐานอปุ กรณค์ มุ้ ครอง ความปลอดภยั สว่ นบคุ คล พ.ศ. 2554. ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาหนา้ 36 เลม่ 128 ตอนพเิ ศษ 112 ง วนั ท่ี 27 กันยายน 2554 5. กระทรวงอุตสาหกรรม. มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หมวกนิรภัยส�ำหรับงานอุตสาหกรรม มอก. 368-2554, 2554 6. Fire Engineering, SCBA: U.S. vs. International Standards and Procedures. เข้าถึงขอ้ มลู วันท่ี 10 มกราคม 2556. จาก http://www.fireengineering.com 7. กระทรวงอตุ สาหกรรม. มาตรฐานผลติ ภัณฑ์อตุ สาหกรรม รองเท้านิรภัย มอก. 523-2554, 2554 8. วิชัย พฤกษ์ธาราธิกุล. เอกสารประกอบการสอนรายวิชา ความปลอดภัยในงานอุตสาหกรรม Industrial Safety. ภาควชิ าอาชีวอนามยั และความปลอดภยั มหาวทิ ยาลยั มหิดล 9. การตรวจวัดเสียงดัง ( Noise Measurement). แนวปฏิบัติตามกฎกระทรวง ก�ำหนดมาตรฐานใน การบรหิ ารและการจดั การด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ สภาพแวดล้อมในการทำ� งานเกย่ี วกับ ความรอ้ น แสงสวา่ ง และเสียง พ.ศ. 2549 10. การตรวจวัดความร้อน ( Hot Environment Measurement). แนวปฏิบัติตามกฎกระทรวง ก�ำหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม ในการท�ำงานเก่ยี วกับความร้อน แสงสวา่ ง และเสยี ง พ.ศ. 2549 11. การตรวจวัดความเข้มแสงสว่าง (Illumination Measurement). แนวปฏิบัติตามกฎกระทรวง ก�ำหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ สภาพแวดล้อม ในการท�ำงานเกย่ี วกบั ความรอ้ น แสงสวา่ ง และเสียง พ.ศ. 2549 12. Basics of Machine Safeguarding, Occupational Safety and Health Administration (OSHA), Department of Labour, United State. 13. Electrical Safety, National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH), Department of Health and Human Service, Center for Disease Control and Prevention, 2002. 14. Element of Ergonomics Program. The National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH), Centers for Disease Control and Prevention, U.S. Department of Health and Human Services. 172 | อาชีวอนามยั และความปลอดภยั พื้นฐาน
คำ� ถามทา้ ยบท 1. ใหน้ กั ศกึ ษาอธบิ าย หลกั การปอ้ งกนั อนั ตรายและควบคมุ อนั ตรายจากสภาพแวดลอ้ มในการทำ� งานอาศยั หลักการก่ีหลกั การอะไรบา้ ง 2. หลักการป้องกันอันตรายและควบคุมอันตรายจากสภาพแวดล้อมในการท�ำงาน หลักการใดควรถูก พจิ ารณาเป็นหลักการแรกในการปอ้ งกนั อนั ตราย เพราะเหตผุ ลใด 3. ตามมาตรฐาน มอก. 368-2554 หมวกนิรภยั ชนิด E เหมาะส�ำหรบั การปฏบิ ัตงิ านประเภทใด 4. ในการปฏบิ ตั งิ านกบั เครอื่ งเจยี ระไน นกั ศกึ ษาจะตอ้ งสวมอปุ กรณป์ อ้ งกนั อนั ตรายสว่ นบคุ คลชนดิ ใดบา้ ง ในการปฏบิ ตั ิงานกบั เครอ่ื งเจยี ระไนนี้ 5. ใหน้ กั ศกึ ษาเปรยี บเทยี บขอ้ ดแี ละขอ้ เสยี ของทคี่ รอบหลู ดเสยี ง (Ear Muffs) และอดุ หลู ดเสยี ง Ear plugs 6. ให้นักศึกษาอธิบายหลักการ 3E ในการปอ้ งกันอนั ตรายจากการปฏิบัตงิ าน 7. ให้นักศึกษาบอกวิธกี ารป้องกนั ควบคุมเสยี งทางดา้ นวิศวกรรมมา 5 วิธี 8. ให้นักศกึ ษาบอกวธิ กี ารป้องกันควบคุมอนั ตรายจากสารเคมี 9. นกั ศกึ ษาสามารถคน้ หาแหลง่ ขอ้ มลู MSDS (Material Safety Data Sheet) ไดจ้ ากแหลง่ ใด ใหต้ อบมา 2 แหล่งขอ้ มูล 10. เพอื่ ความปลอดภยั ในการปฏบิ ตั งิ านกบั เครอ่ื งจกั รนกั ศกึ ษาจะมวี ธิ กี ารปอ้ งกนั ควบคมุ อนั ตรายจากการ ปฏิบตั งิ านกบั เคร่อื งจักรอยา่ งไรใหต้ อบมา 5 ขอ้ | อาชวี อนามัยและความปลอดภยั พ้นื ฐาน 173
174 | อาชวี อนามยั และความปลอดภัยพ้นื ฐาน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264