3. กรมโรงงานอตุ สาหกรรม 4. กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม 5. กรมอตุ สาหกรรมพืน้ ฐานและการเหมอื งแร่ 6. ส�ำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน�ำ้ ตาลทราย 7. ส�ำนกั งานมาตรฐานผลิตภณั ฑอ์ ุตสาหกรรม 8. สำ� นกั งานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม โดยมีหน่วยงานท่ีท�ำหน้าและเก่ียวของกับงานด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัยและสภาพแวดล้อม การท�ำงาน โดยตรง ได้แก่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม ส�ำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และการนิคม อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซง่ึ เป็นรฐั วสิ าหกจิ สังกัดภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม 3.2.1 กรมโรงงานอุตสาหกรรม [9] มีบทบาทหน้าท่ใี นการบรหิ ารจดั การ การกำ� กบั ดูแลธรุ กจิ และโรงงาน อุตสาหกรรมในดา้ นต่างๆเช่น ด้านวัตถอุ ันตรายด้านการผลิตดา้ นส่ิงแวดล้อมดา้ นความปลอดภัยเพอ่ื ให้เปน็ ไปตาม กฎหมายและดำ� เนินการให้เปน็ ไปตามขอ้ ตกลง กฎ ระเบียบระหวา่ งประเทศ รวมทง้ั สง่ เสรมิ สนับสนุนขอ้ มลู และ องค์ความรูด้ า้ นเครือ่ งจกั ร การผลติ ส่งิ แวดล้อม ความปลอดภัย วัตถอุ ันตราย พลังงาน และความรบั ผิดชอบตอ่ สงั คม เพอื่ ประโยชน์ในการพัฒนาธุรกิจอตุ สาหกรรม อุตสาหกรรมจังหวัดกระจายไปทกุ จังหวัดท่ัวประเทศ 3.2.2 สำ� นักควบคมุ วตั ถุอนั ตราย [10] มบี ทบาทหน้าท่ีในการกำ� กบั ดแู ลและควบคมุ วัตถอุ ันตราย ตง้ั แต่ การน�ำเข้า การครอบครอง และการจัดเก็บ โดยต้องมีการจ�ำแนกความเป็นอันตรายของวัตถุอันตราย ติดฉลาก วัตถุอันตราย และจัดท�ำเอกสารข้อมูลความปลอดภัยให้เป็นไปตามข้อก�ำหนดว่าด้วยระบบการจ�ำแนกและการ ส่ือสารความเปน็ อนั ตรายของวตั ถุอันตราย รวมทงั้ ในเวบไซดข์ องส�ำนกั ควบคมุ วตั ถอุ นั ตราย มฐี านข้อมูลดา้ นวตั ถุ อันตรายสามารถใช้สบื คน้ ข้อมูลได้ตามความตอ้ งการของผใู้ ชง้ าน 3.2.3 สำ� นกั เทคโนโลยีความปลอดภัย [11] เป็นแหล่งขอ้ มลู ทางวิชาการดา้ นอาชวี อนามัย ความปลอดภยั และสภาพแวดล้อมในการท�ำงาน เช่น การอบรมให้ความรู้ด้านวิชาการ การรวบรวมกฎหมายที่เก่ียวข้องกับ งานด้านความปลอดภัย จัดท�ำคมู่ อื ความปลอดภยั ด้านต่างๆ เก็บรวบรวมสถติ อิ ุบัตเิ หตุในสถานประกอบการ เพอื่ ประโยชน์ในการปอ้ งกันไมใ่ ห้เกดิ ข้นึ ซ�้ำกับหน่วยงานอ่ืน 3.2.4 ศูนย์เฝ้าระวังส่ิงแวดลอ้ มอตุ สาหกรรมภาคตะวนั ออก (Eastern Industrial Environment Monitoring Center : EIMC) [12] อยูใ่ นจงั หวัดชลบุรี ซงึ่ เปน็ ศนู ยค์ วบคมุ ปฏิบตั กิ ารเพ่อื เฝา้ ระวงั คณุ ภาพ สิ่งแวดล้อมภาคตะวันออก ท�ำการเช่ือมโยงข้อมูลของระบบการตรวจวัดและรายงานผลคุณภาพส่ิงแวดล้อม ของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ท�ำให้สามารถรู้ผลการตรวจวัดแบบทันท่วงที เพ่ือประโยชน์ในการบริการจัดการ ด้านอาชีวอนามัยความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการท�ำงาน ลดความสูญเสียหรืออันตรายท่ีอาจเกิดข้ึน กับผู้เกี่ยวข้องโดยรอบอย่างทันท่วงที รวมยังเป็นแหล่งข้อมูลและสารสนเทศมลพิษอุตสาหกรรมภาคตะวันออก เก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐานในด้านสถานการณ์สิ่งแวดล้อม เพื่อน�ำไปใช้ประกอบในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม อตุ สาหกรรมไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพต่อไป 3.2.5 ส�ำนกั งานมาตรฐานผลติ ภัณฑ์อตุ สาหกรรม [13] หรือทรี่ ู้จักกนั ในนาม สมอ. เปน็ อีกหนว่ ยงาน ที่มีบทบาทส�ำคัญในการพัฒนางานด้านอาชีวอนามัยความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการท�ำงาน รวมท้ัง การพัฒนาประเทศ โดยมพี นั ธะกิจ 3 ด้าน ได้แก่ 1) ก�ำหนดมาตรฐานทตี่ รงความต้องการและสอดคลอ้ งกบั แนวทางสากล 2) ก�ำกบั ดูแลผลติ ภัณฑ์ และการตรวจสอบและรบั รองดา้ นการมาตรฐานให้ไดร้ บั การยอมรบั | อาชวี อนามยั และความปลอดภยั พ้นื ฐาน 25
3) สง่ เสรมิ และพฒั นาดา้ นการมาตรฐานของประเทศ มาตรฐานอุตสาหกรรมท่ีเกี่ยวข้องกับงานด้านอาชีวอนามัยความปลอดภัยและสภาพแวดล้อม ในการท�ำงานโดยตรง คอื มาตรฐาน มอก. 18001-2554 ระบบการจัดการดา้ นอาชีวอนามยั และความปลอดภัย มอก. 368-2554 มาตรฐานหมวกนริ ภยั เป็นตน้ กจิ กรรมด้านการมาตรฐานของ สมอ. 1. การกำ� หนดมาตรฐาน เชน่ มอก. หรือ ISO อนกุ รมเลขทตี่ ่างๆ 2. การรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ เพือ่ ให้ได้เครอื่ งหมายรบั รองคุณภาพ 3. การรบั รองคณุ ภาพผลิตภัณฑช์ ุมชน 4. การรับรองระบบงาน เช่น การทดสอบของห้องปฏิบัติการสอบเทียบและห้องปฏิบัติการทดสอบ (มอก.17025-2543 หรอื ISO/IEC 17025) 5. การบรกิ ารขอ้ มูลสารสนเทศดา้ นมาตรฐานตา่ งๆ 6. การปฏบิ ัตติ ามพนั ธกรณีความตกลงภายใตอ้ งคก์ ารการค้าโลก 7. งานดา้ นการมาตรฐานระหว่างประเทศและภูมิภาค 8. การสง่ เสริมมาตรฐานและพฒั นาด้านการมาตรฐาน 9. การพัฒนาบุคลากร 3.2.6 การนคิ มอตุ สาหกรรมแหง่ ประเทศไทย (Industrial Estate Authority of Thailand) [14] เป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม มีหน้าที่พัฒนาและจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมจัดพ้ืนที่ส�ำหรับ โรงงานอุตสาหกรรมให้เข้าร่วมกันอย่างมีระบบและมีระเบียบ และเป็นกลไกของภาครัฐในการกระจายการ พัฒนาอตุ สาหกรรมออกไปสู่ภมู ภิ าค ปัจจบุ นั ประเทศไทยมนี คิ มอุตสาหกรรมทง้ั หมด 47 แหง่ ข้อดีของโรงงานที่อยู่ นิคมอุตสาหกรรมคือ การนิคมอุตสาหกรรมจะจัดให้มีระบบและการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม การป้องกันและ บรรเทาอุบตั ภิ ัยอย่างมีประสิทธิภาพใหก้ ับสถานประกอบการท้ังหมดที่อยภู่ ายใตน้ ิคมอตุ สาหกรรมนัน้ ๆ 3.3 กระทรวงสาธารณสขุ [8,15] เปน็ หนว่ ยงานหลกั ทร่ี บั ผดิ ชอบดา้ นสขุ ภาพของประชาชน มบี ทบาทในงานอาชวี อนามยั และความปลอดภยั ท้ังในงานวิชาการ และงานให้บริการรักษาผู้ป่วยและผู้ได้รับบาดเจ็บจากการท�ำงาน โดยกระทรวงสาธารณสุขเอง มหี น่วยงานทใี่ ห้การบรกิ ารด้านอาชีวอนามยั และความปลอดภัย หลายหน่วยงาน ท้งั หนว่ ยงานสว่ นกลางและส่วน ภูมิภาค เชน่ 1) ส�ำนกั โรคจากการประกอบอาชพี และสง่ิ แวดล้อม สังกดั กรมควบคมุ โรค 2) สำ� นกั อนามัยสงิ่ แวดล้อม สังกัดกรมอนามยั 3) ศูนยโ์ รคจากการทำ� งาน โรงพยาบาลนพรตั น์ราชธานี สงั กัดกรมการแพทย์ 4) สำ� นักงานสาธารณสขุ จงั หวัด / อ�ำเภอ ในกลุ่มงานอาชีวอนามัย 5) โรงพยาบาลศนู ย์ โรงพยาบาลท่ัวไป และโรงพยาบาลชุมชน ในกลมุ่ งานอาชวี อนามัย 6) ศนู ยอ์ นามยั ส่ิงแวดลอ้ มเขต จ�ำนวน 12 เขต ท่วั ประเทศ 26 | อาชวี อนามัยและความปลอดภยั พ้ืนฐาน
3.4 กรุงเทพมหานคร [16] กองสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม ส�ำนักอนามัย มีอ�ำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริม สนับสนุน การจัดบริการ ด้านส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรคและการควบคุมกันโรค การพัฒนาศักยภาพของประชาชนทางด้านพฤติกรรม และส�ำนึกทางสุขภาพ การให้บริการในระดับศูนย์บริการสาธารณสุข การด�ำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการ สาธารณสุขและกฎหมายท่ีเก่ียวข้อง การวิจัย พัฒนาความรู้ และรูปแบบการจัดระบบบริการสาธารณสุข การสุขาภบิ าลอาหาร การอาชวี อนามัย และการสขุ าภิบาลสงิ่ แวดลอ้ ม การเผยแพร่ความรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยี ทางด้านการส่งเสรมิ สุขภาพ การปอ้ งกันโรค การควบคุมส่งิ แวดลอ้ มภายในอาคารสถานท่แี ละชมุ ชน และพฤตกิ รรม การดแู ลรักษาสขุ ภาพ 3.5. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม กรมควบคมุ มลพษิ [17] เปน็ หนว่ ยงานทม่ี คี วามสำ� คญั ตอ่ การดำ� เนนิ งานดา้ นอาชวี อนามยั และสภาพแวดลอ้ ม ในการท�ำงาน กรมควบคมุ มลพษิ มหี นา้ ท่ี ดังต่อไปนี้ 1) เสนอความเหน็ เพอ่ื จดั ทำ� นโยบายและแผนการสง่ เสรมิ และรกั ษาคณุ ภาพสงิ่ แวดลอ้ มดา้ นการควบคมุ มลพษิ 2) เสนอแนะการกำ� หนดมาตรฐานคณุ ภาพสงิ่ แวดลอ้ มและมาตรฐานควบคมุ มลพิษจากแหล่งก�ำเนดิ 3) จัดท�ำแผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม และมาตรการในการควบคุมป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม อันเนือ่ งมาจากภาวะมลพิษ 4) ตดิ ตาม ตรวจสอบคณุ ภาพสิ่งแวดลอ้ มและจดั ท�ำรายงานสถานการณ์มลพษิ 5) พัฒนาระบบ รปู แบบและวธิ ีการท่ีเหมาะสมสำ� หรบั ระบบตา่ งๆเพื่อนำ� มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการจดั การ กากของเสยี สารอันตราย คณุ ภาพนำ้� อากาศ ระดับเสียงและความสั่นสะเทือน 6) ใหค้ วามชว่ ยเหลอื และคำ� ปรกึ ษา แนะน�ำเกีย่ วกบั การจัดการมลพิษ 7) ประสานความรว่ มมอื กับตา่ งประเทศและองค์กรระหวา่ งประเทศในด้านการจดั การมลพิษ 8) ดำ� เนินการเกีย่ วกับเรือ่ งราวร้องทุกขด์ ้านมลพษิ 9) ด�ำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติด้านการควบคุม มลพษิ และกฎหมายอื่นทเ่ี กีย่ วขอ้ ง ในเว็บไซด์ของกรมควบคุมมลพิษมีฐานข้อมูลความปลอดภัยของสารเคมี หรือ Material Safety Data Sheets (MSDS) ให้สามารถใชไ้ ดต้ ามความต้องการของผู้ใชง้ าน 4. องคก์ รวชิ าชพี และสมาคมวชิ าชพี ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั งานอาชวี อนามยั ในประเทศไทย ปัจจุบันงานด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยได้รับการพัฒนาเป็นอย่างมาก และเกิดการรวมกลุ่มกัน ของบุคคลในกลุ่มสหสาขาวิชาชีพต่างๆ เช่น เจ้าหน้าท่ีความปลอดภัยในการท�ำงาน แพทย์อาชีวอนามัย พยาบาล อาชีวอนามัย คนงาน ฯลฯ ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ องค์กรเอกชนและบริษัทต่างๆ มหาวิทยาลัย เพื่อส่งเสริมและ พัฒนางานดา้ นอาชีวอนามัย ความปลอดภัยและสภาพแวดลอ้ มในการท�ำงานร่วมกัน ตัวอย่างเช่น 1) สมาคมส่งเสริมความปลอดภัยและอนามัย ในการท�ำงาน (สปอท) หรือรู้จักกันในนาม SHAWPAT (Safety and Health At Work Promotion Association Thailand ) 2) สมาคมอาชีวอนามยั และความปลอดภยั ในการทำ� งาน (ส.อ.ป) | อาชีวอนามัยและความปลอดภยั พ้นื ฐาน 27
3) สมาคมแพทยอ์ าชีวเวชศาสตร์และส่งิ แวดลอ้ มแห่งประเทศไทย (สพอท.) 4) สมาคมการพยาบาลอาชีวอนามยั แห่งประเทศไทย 5) สมาคมการยศาสตรไ์ ทย 6) ชมรมเจา้ หน้าท่ีความปลอดภยั ในจังหวดั หรอื เขตตา่ งๆ ในเว็บไซด์ขององค์กรเหล่าน้ีมีข้อมูลวิชาการด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการ ท�ำงาน เช่น ฐานข้อมูลกฎหมาย ข้อมูลการอบรมสัมมนา การตรวจวัดสภาพแวดล้อมในการท�ำงาน คู่มือความ ปลอดภัยด้านต่างๆ ส่ือให้ความรู้ การให้บริการให้ค�ำปรึกษา ด้านอาชีวอนามัยความปลอดภัย และสภาพ แวดล้อมในการทำ� งาน เป็นต้น 5. องคก์ รทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั งานดา้ นอาชวี อนามยั และความปลอดภยั ในตา่ งประเทศ การดำ� เนนิ งานดา้ นอาชวี อนามยั และความปลอดภยั เกดิ ขน้ึ มาตง้ั แต่ 400 ปกี อ่ นครสิ ตกาล ทำ� ใหห้ ลายประเทศ มีการพัฒนางานด้านนี้อย่างต่อเนื่อง ท�ำให้เกิดหน่วยงานและองค์กรต่างๆเป็นจ�ำนวนมากในแต่ละประเทศ รวมทั้ง องค์กรระดบั นานาชาติ ผลกั ดันและส่งเสริมใหเ้ กิดการแลกเปลีย่ นเรียนร้งู านด้านอาชวี อนามัย ความปลอดภัยและ สภาพแวดล้อมในการท�ำงาน ทำ� ให้มกี ารพฒั นามาตรฐานการบริการดา้ นอาชีวอนามัย การพฒั นาด้านคา่ มาตรฐาน และกฎหมาย รวมถึงออกข้อก�ำหนดและข้อแนะน�ำต่างๆ เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการด�ำเนินงานด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการท�ำงาน เพื่อเป็นการปกป้องคุ้มครองแรงงานให้ปลอดภัย ปราศจาก อบุ ตั ิเหตแุ ละโรคจากการทำ� งาน โดยองค์กรท่ีมีบทบาทสำ� คญั เช่น ACGIH , OSHA, NIOSH เป็นตน้ 5.1 American Conference of Governmental Industrial Hygienists (ACGIH) [1,4,18] ACGIH ก่อต้ังขึ้นเม่ือปี ค.ศ. 1938 โดยกลุ่มนักสุขศาสตร์อุตสาหกรรมที่ท�ำงานในภาครัฐ โดยมีวัตถุ ประสงคเ์ พ่ือใช้ทีป่ ระชมุ นเี้ ปน็ ตัวกลางสำ� หรบั กจิ กรรมตา่ งๆ ดังน้ี 1. แลกเปลี่ยนประสบการณแ์ ละความคดิ เห็นทางด้านสุขศาสตร์อตุ สาหกรรม 2. ปรบั มาตรฐานและเทคนคิ ในการดแู ลสขุ ภาพของคนงานในโรงงานอตุ สาหกรรม 3. พัฒนาระบบบรหิ ารจัดการเพือ่ ปกป้องสุขภาพอนามยั ของคนงาน ACGIH เป็นหน่วยงานท่มี ีประโยชนม์ ากตอ่ การปรับปรงุ การให้บริการทางด้านสขุ ภาพอนามัยของคนงาน ในอตุ สาหกรรม และเพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายในการค้มุ ครองดแู ลสขุ ภาพของคนงานจงึ ได้มกี ารกอ่ ต้งั คณะท�ำงาน เกี่ยวกบั Threshold Limits ขึน้ ในปี ค.ศ. 1941 ซึ่งอยู่ในคณะท�ำงานของ Technical Standards นั่นเอง คณะกรรมการทางด้าน Industrial Ventilation และ Threshold Limit Values (TLVs) ของ ACGIH มีช่อื เสยี งไปทั่วโลก โดยท�ำหนา้ ทกี่ �ำหนดค่ามาตรฐาน TLV หรอื ค่ามาตรฐานการสมั ผสั อันตรายทเี่ ชือ่ ว่าถ้าคนงาน สมั ผัสอันตรายไมเ่ กินคา่ TLV นจ้ี ะไม่มผี ลต่อสขุ ภาพอนามยั แต่ค่านเ้ี ปน็ เพียงคา่ มาตรฐานแนะน�ำเท่านั้น และมีการ ปรับคา่ เหลา่ นี้ทุกปเี พ่ือความเหมาะสมและเพ่ือความทันสมยั โดย ACGIH มีหน้าที่ ดังนี้ 1. จัดท�ำมาตรฐานทางดา้ นสุขศาสตรอ์ ุตสาหกรรม (Industrial Hygiene) เชน่ TLVs , BEIs 2. ปรบั มาตรฐานและเทคนคิ ในการดูแลสุขภาพของคนงานในโรงงานอตุ สาหกรรม 3. พฒั นาระบบบรหิ ารจดั การเพือ่ ปกป้องสุขภาพอนามัยของคนงาน 4. ให้การสนับสนุนข้อมูลวิชาการทางด้านสุขศาสตร์อุตสาหกรรมและความปลอดภัยแก่นักสุขศาสตร์ อุตสาหกรรม 5. จัดท�ำคมู่ อื หรอื หนงั สอื ทเ่ี กี่ยวข้องกบั งานทางดา้ นสุขศาสตรอ์ ุตสาหกรรม 28 | อาชวี อนามยั และความปลอดภัยพื้นฐาน
ความสำ� คญั ของ ACGIH ตอ่ งานทางด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย 1. เปน็ แหลง่ คน้ ควา้ ขอ้ มลู ทางดา้ นสขุ ศาสตรอ์ ตุ สาหกรรมและความปลอดภยั ทที่ คี วามทนั สมยั อยตู่ ลอดเวลา 2. สามารถน�ำมาตรฐานต่าง ๆ เช่น ค่า TLVs , BEIs (Biological Exposure Indices) มาใช้เป็นแนวทาง ในการจดั สภาพแวดล้อมในการท�ำงานใหม้ ีความปลอดภัยต่อคนงาน 3. สามารถน�ำระบบบริหารจัดการทางด้านอาชีวอนามัยมาใช้ปรับปรุงการท�ำงานเพื่อให้คนงานปลอดภัย จากโรคและการบาดเจ็บทีเ่ กิดเน่ืองจากการทำ� งาน 5.2 Occupational Safety and Health Administration (OSHA) [1,19] กอ่ ตั้งเมอ่ื วนั ท่ี 28 เมษายน ค.ศ. 1971 เป็นหน่วยงานท่ีอยใู่ นกรมแรงงานของประเทศสหรฐั อเมริกา (U.S. Department of Labor) จัดต้ังข้ึนภายใต้พระราชบัญญัติอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (OSHAct) โดย OSHA มีภารกิจหลักในการป้องกันอันตรายจากการท�ำงานให้กับผู้ประกอบอาชีพทั้งหมด โดยการออก กฎหมาย มาตรฐาน รวมท้ังให้การฝึกอบรมอย่างเพียงพอต่อการด�ำเนินงานด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัยและ สภาพแวดล้อมในการทำ� งาน OSHA มหี นา้ ท่ี ดงั นี้ 1) ออกกฎหมาย ค่ามาตรฐาน ทางด้านสุขภาพอนามัยและความปลอดภัย โดยได้รับข้อมูลทางด้าน เทคนิคจาก NIOSH มาตรฐานของ OSHA เรียกว่า Permissible Exposure Limits (PELs) ถ้าสถานประกอบการไมป่ ฏบิ ัติตามถอื วา่ ท�ำผดิ กฎหมาย 2) มีอ�ำนาจที่จะเข้าท�ำการส�ำรวจสถานที่ท�ำงานว่าเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ สามารถสมั ภาษณ์ลูกจ้าง ระหวา่ งการสำ� รวจได้ 3) ลกู จ้างหรือตวั แทนลกู จ้างสามารถแจ้งเก่ียวกบั การไม่ปฏบิ ตั ติ ามมาตรฐานทางกฎหมายได้ 4) มีอ�ำนาจในการตรวจสอบ สืบค้น สอบสวนและเสนอมาตรการลงโทษสถานประกอบการที่ไม่ปฏิบัติ ตามกฎหมาย ต้งั แตก่ ารปรับเงิน จำ� คุก หรือปิดโรงงาน 5) กำ� หนดใหน้ ายจา้ งต้องเก็บข้อมูลระดับสารเคมอี นั ตรายในสถานทท่ี �ำงาน และแจง้ ผลใหค้ นงานทราบ 5.3 The National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH) [1,20] เป็นหน่วยงานของประเทศสหรัฐอเมริกา สังกัดภายใต้หน่วยงานป้องกันและควบคุมโรค Centers for Disease Control and Prevention (CDC) ภายใต้กรม U.S. Department of Health and Human Services หรอื กระทรวงสาธารณสุข กอ่ ตัง้ เมอื่ วันที่ 29 ธนั วาคม ค.ศ. 1970 ท�ำหน้าทีศ่ ึกษาวจิ ัยเกยี่ วกบั การปอ้ งกันโรคจาก การท�ำงาน โรคเกี่ยวเนอื่ งจากการท�ำงาน รวมทง้ั การเจบ็ ปว่ ยทีเ่ กดิ จาการทำ� งาน โดย NIOSH มีข้อมูลเชงิ วชิ าการ ด้านอาชีวอนามัยความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมจาการทำ� งานอยเู่ ปน็ จำ� นวนมาก เช่น 1) วิจัยหาค่ามาตรฐาน ทางด้านสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยท่ี เรียกว่า Recommended Exposure Limits (RELs) ซงึ่ เป็นเพียงคา่ แนะน�ำเทา่ นน้ั 2) วิธีมาตรฐานในการเก็บตัวอย่างด้านสุขศาสตร์อุตสาหกรรม อันเป็นท่ีรู้จักกันในช่ือ NIOHS Manual of Analytical Methods (NIOSH Methods) 3) ฐานข้อมูลความปลอดภัยเกี่ยวกับสารเคมี ในช่ือของ NIOSH Pocket Guide to Chemical Hazards | อาชวี อนามัยและความปลอดภัยพ้นื ฐาน 29
5.4 American National Standard Institute (ANSI) หรือ สถาบันมาตรฐานแห่งชาติของ สหรฐั อเมรกิ า กอ่ ต้ังเมอ่ื วนั ที่ 19 ตลุ าคม ค.ศ. 1918 มหี นา้ ท่ีกำ� หนดมาตรฐานของผลติ ภัณฑอ์ ุตสาหกรรมของประเทศ อเมรกิ า เพือ่ พฒั นาสินคา้ และผลติ ภัณฑ์ให้มีมาตรฐาน เป็นท่ยี อมรบั ทว่ั โลก รวมทงั้ และสามารถแขง่ ขันกนั เชงิ ธุรกิจ เปน็ มิตรและสง่ เสรมิ คณุ ภาพส่งิ แวดล้อม และทำ� ให้เกิดความปลอดภยั ตอ่ ผบู้ ริโภค 5.5 American Industrial Hygiene Association (AIHA) หรือ สมาคมด้านสุขศาสตร์ อตุ สาหกรรมสหรัฐอเมริกา ทำ� หน้าทีร่ ่วมกับ American Board of Industrial Hygiene ในการสง่ เสรมิ ใหใ้ บรบั รอง (certification) ของนกั สขุ ศาสตร์อตุ สาหกรรม อตุ สาหกรรม รวมทงั้ ใหบ้ ริการฝกึ อบรมเก่ียวกับงานทางดา้ นสุขศาสตร์อตุ สาหกรรม และความปลอดภัย 5.6 Environmental Protection Agency (EPA) หรอื สำ� นกั งานปกปอ้ งสงิ่ แวดล้อม เป็นหน่วยงานของประเทศสหรัฐอเมริกา ท�ำหน้าที่ศึกษาวิจัย ประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมทัง้ กำ� หนดและใชบ้ ังคบั ใช้กฎหมายด้านสงิ่ แวดลอ้ ม เพ่ือปกปอ้ งสขุ ภาพของมวลมนุษยแ์ ละปกปอ้ งสงิ่ แวดล้อม ธรรมชาติ ซ่ึงได้แก่ อากาศ น้ำ� และดิน EPA ออกมาตรฐานต่างด้านสง่ิ แวดล้อมมากมาย เชน่ คุณภาพของอากาศ 5.7 American Society of Heating, Refrigerating, and Air-Conditioning Engineers (ASHRAE) เป็นองค์กรเอกชน ท�ำหน้าท่ีพัฒนาระบบท�ำความร้อน ระบบท�ำความเย็น ระบบระบายอากาศ และ ระบบปรับอากาศ ข้อมูลนเ้ี ป็นประโยชน์ตอ่ การพฒั นาระบบระบายอากาศของหน่วยงานต่างๆ รวมทง้ั ใช้ในการ ประเมนิ แนวทางแกไ้ ขปัญหาด้านระบบระบายอากาศ และวัดผลในการใชพ้ ลังงานอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพขององคก์ ร 5.8 องคก์ ารอนามัยโลก หรือ World Health Organization (WHO) เปน็ หนว่ ยงานระหวา่ งประเทศ ในสงั กดั สหประชาชาติ (United Nation) สำ� นกั งานใหญต่ งั้ อยทู่ ก่ี รงุ เจนวี า ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ท�ำหน้าท่ีดูแลประสานงานงานด้านสาธารณสุข จัดให้บริการด้านสุขภาพอนามัย แก่ประเทศต่างๆท่ัวโลก ส่งเสริมและประสานงานด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ เพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพ อนามยั ของประชาชนทัว่ โลก 5.9 องค์การแรงงานระหว่างประเทศ หรอื International Labour Organization (ILO) เปน็ องคก์ รในสังกดั ของสหประชาชาติ มีหนา้ ทีใ่ ห้ความชว่ ยเหลือทางด้านวชิ าการ จดั การฝึกอบรม ท�ำการ ศึกษาวจิ ยั เพื่อส่งเสรมิ สัมพนั ธภาพระหวา่ งรัฐบาล แรงงาน และนายจ้าง ในระดบั ประเทศ ประเทศไทยเปน็ ประเทศ สมาชกิ ของ ILO ไดพ้ ยายามน�ำมาตรฐานระบบการจัดการความปลอดภยั และอาชีวอนามัย ILO-OSH 2001 มาใช้ ในการพัฒนามาตรฐานแรงงาน และในอนาคตประเทศไทยจะประกาศมาตรฐานนี้เปน็ กฎหมายตอ่ ไป 5.10 International Organization for Standardization (ISO) มีส�ำนักงานอยู่ที่กรุงเจนิวาประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีวัตถุประสงค์คล้ายกับองค์อ่ืนๆ ของโลก คือ การจัดระเบียบทางการค้าด้วยการสร้างมาตรฐาน ท่ีเกี่ยวข้องกับธุรกิจ และอุตสาหกรรม สามารถ ทำ� ใหผ้ ้บู ริโภคมัน่ ใจในคณุ ภาพของสินคา้ และบรกิ าร มาตรฐานท่เี ก่ียวของกบั งานดา้ นอาชวี อนามัย ความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมในการทำ� งาน เช่น 30 | อาชีวอนามัยและความปลอดภยั พ้ืนฐาน
1) ISO 9000 (Quality Management System : QMS) เปน็ มาตรฐานสากลสำ� หรบั การบรหิ ารงานคณุ ภาพ 2) ISO 14000 (Environment Management System : EMS) เปน็ มาตรฐานระบบการจดั การสง่ิ แวดลอ้ ม 3) ISO/IEC 17025 มาตรฐานหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารสอบเทยี บและหอ้ งปฏบิ ัตกิ ารทดสอบ 5.11 National Fire Protection Association (NFPA ) หรอื มาตรฐานสมาคมป้องกนั อัคคภี ยั แหง่ ชาตสิ หรัฐอเมรกิ า กอ่ ตงั้ ขน้ึ เมอ่ื ปี ค.ศ. 1896 มหี น้าทีจ่ ดั ท�ำและสนบั สนนุ และกำ� หนดมาตรฐานดา้ นการป้องกนั และระงับ อัคคภี ยั การฝึกอบรม และการใหค้ วามรู้ โดยมีจุดม่งุ หมายทจ่ี ะลดปัญหาและความสูญเสียท่ีอาจเกิดข้ึนจากอัคคีภยั และอุบตั เิ หตตุ ่าง ๆ 5.12 DeutschesInstitut fur Normung (DIN) [The German Industrial Standard] หรอื สำ� นกั งานมาตรฐานอุตสาหกรรมเยอรมนั กอ่ ต้งั ข้นึ ในปี ค.ศ. 1917 มบี ทบาทในการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์และมาตรฐานอตุ สาหกรรมของ ประเทศเยอรมนั ลกั ษณะการดำ� เนินงานคลา้ ยกับส�ำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อตุ สาหกรรม (สมอ.) ของไทย 5.13 Japanese Industrial Standards (JIS) หรอื มาตรฐานอุตสาหกรรมประเทศญี่ปนุ่ ประเทศญป่ี ุน่ ไดเ้ รมิ่ การจดั ท�ำมาตรฐานดา้ นอุตสาหกรรมตง้ั แตป่ ี ค.ศ. 1922 กำ� หนดขนึ้ ตามกฎหมาย มาตรฐานอุตสาหกรรม มาตรฐาน JIS นกี้ ำ� หนดข้นึ เพื่อกำ� หนดมาตรฐานคณุ ภาพและให้เครอื่ งหมาย JIS แกส่ นิ คา้ อุตสาหกรรมทม่ี ีคณุ ภาพตามมาตรฐานท่กี �ำหนดไว้ เพื่อท�ำให้ผบู้ รโิ ภคเกดิ ความมน่ั ใจในสนิ คา้ นัน้ ๆ 5.14 The British Standard Institution (BSI) หรอื สถาบันมาตรฐานแหง่ ประเทศองั กฤษ เป็นที่รู้จักกันในนาม British Standard (BS) ใช้กันอย่างแพร่หลายในแวดวงอุตสาหกรรม มีการนำ� มาตรฐานเหล่านั้นให้ไปเป็นแนวทางในการผลิตสินค้า หรือการทดสอบผลิตภัณฑ์ ท�ำให้สินค้าและผลิตภัณฑ์ท่ีได้ มีคุณภาพมากขน้ึ และเป็นท่ยี อมรบั ในทางการคา้ มากขน้ึ ลักษณะการด�ำเนินงานคลา้ ยๆกลบั สำ� นกั งานมาตรฐาน ผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม (สมอ.) ของไทย 5.15 Commission Internationale De L’Eclairage (CIE) หรอื คณะกรรมาธกิ ารระหวา่ งประเทศ ว่าด้วยการสอ่ งสว่าง ภาษาอังกฤษใช้คำ� ว่า International Commission on Illumination กอ่ ต้งั ขนึ้ ในปี ค.ศ. 1931 มหี น้าที่ ก�ำหนดมาตรฐานของการส่องสว่างของแสงและสีตามลักษณะงานต่างๆ โดยกฎหมายเกี่ยวกับเร่ืองความเข้มแสง ของประเทศไทยกไ็ ด้พฒั นาคา่ มาตรฐานมาจากองค์กรนี้ 5.16 Underwriters’ Laboratories Inc. (UL) ก่อต้งั ขึ้นใน ประเทศสหรัฐอเมรกิ าตงั้ แตป่ ี ค.ศ. 1894 ทำ� หนา้ ทใ่ี ห้การรบั รองผลติ ภัณฑ์ ทดสอบผลิตภัณฑ์ มาตรฐานของ UL ครอบคลุมผลิตภัณฑ์หลากหลายชนดิ เช่น เครอ่ื งใช้ไฟฟา้ ในบา้ น เคร่อื งมอื ทางการแพทย์ อปุ กรณ์ป้องกันอคั คีภัย อปุ กรณใ์ นระบบกา๊ ซ เครอ่ื งมอื ปอ้ งกนั อัคคภี ยั ชิน้ สว่ นอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ยาง สายไฟฟ้า พลาสตกิ เป็นต้น | อาชวี อนามัยและความปลอดภยั พื้นฐาน 31
5.17 Australia Standards / New Zealand Standards (AS/NZS) หรือ มาตรฐานประเทศ ออสเตรเลยี และประเทศนวิ ซแี ลนด์ ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1922 ท�ำหน้าที่ในการก�ำหนดมาตรฐานเกี่ยวกับ สินค้าอุปโภคบริโภค บริการ การก่อสรา้ งทางวศิ วกรรม ธุรกิจเทคโนโลยี พลังงานและน�้ำ สภาพแวดล้อม เปน็ ต้น ลักษณะการดำ� เนนิ งานคลา้ ยๆ กลับสำ� นักงานมาตรฐานผลติ ภณั ฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ของไทย 5.18 European Standards (EN) หรือ มาตรฐานสหภาพยุโรป ก่อต้ังขึ้นในปี ค.ศ. 1961 มีภารกิจคือการส่งเสริมเศรษฐกิจของยุโรปให้สามารถซ้ือขายกันได้อย่างอิสระ ในสหภาพยุโรปและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ประโยชน์จากมาตรฐาน EN ท�ำให้ผลิตภัณฑ์มีความปลอดภัย และมคี ณุ ภาพและเป็นทยี่ อมรับมากขนึ้ 6. องคก์ รดา้ นอาชวี อนามยั ความปลอดภยั ในสถานประกอบการ ในสถานประกอบการทกุ สถานประกอบการมโี ครงสร้างขององค์กรทแี่ ตกต่างกัน ขึน้ อยู่กบั การบริหารงาน ขององคก์ รนนั้ ๆ ซงึ่ ประกอบด้วยหน่วยงานหลักๆ ในสถานประกอบการ ดังแสดงในรปู ที่ 2-2 โครงสรา้ งการบริหารงานภายในสถานประกอบการ CEO บอร์ดบริหาร ผูจ้ ัดการโรงงาน กรรมการผู้จัดการ Occ.Health Safety & Envi บุคคล HR จัดซ้อื คลังสินคา้ และวตั ถดุ บิ ผลติ การเงนิ และบญั ชี การตลาด ควบคุมคณุ ภาพ QC ผลิต 1 ซอ่ มบำ� รงุ ผลติ 2 ผลติ 3 รปู ที่ 2-2 โครงสร้างการบริหารงานในสถานประกอบการ 6.1 หน่วยงานบรหิ ารระดบั สงู อาจจะอยู่ในหลายรูปแบบ เช่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ CEO (Chief Executive Officer) บอร์ดบริหาร กรรมการผูจ้ ัดการ หน่วยบรหิ ารระดับสงู นมี้ บี ทบาทในการกำ� หนดทิศทางการบรหิ ารงานเชิงนโยบาย ทางธุรกิจของสถานประกอบการ โดยนโยบายต่างๆจะมี ผู้จัดการโรงงาน (General Manager) รับนโยบาย และกระจายนโยบายไปยงั หน่วยงานบรหิ ารระดบั ปฏบิ ตั กิ าร เพ่อื น�ำไปสู่การปฏบิ ตั ิ | อาชีวอนามัยและความปลอดภัยพืน้ ฐาน 32
6.2 หน่วยงานบรหิ ารระดับปฏิบตั ิการ เป็นการบริหารงานของขององค์กรซ่ึงอยู่ในรูปแบบการด�ำเนินของหน่วยงานหรือแผนกต่างๆ ในองค์กร เช่น 1) แผนกอาชีวอนามัยความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการท�ำงาน (Occupational Health Safety and Environment Department) เป็นหน่วยงานท่ีมีความส�ำคัญในป้องกันอุบัติเหตุ และโรคจากการท�ำงานท่ีอาจเกิดข้ึนในสถานประกอบการ รวมทั้งส่งเสริมสุขภาพให้คนงานมี สุขภาพอนามัยที่ดี โดยหน่วยงานน้ีจะต้องขึ้นตรงกับผู้บริหารสูงสุดขององค์กร เพ่ือให้การบริหารงาน ด้านนี้มีประสิทธิภาพสูงสุด 2) แผนกบุคคล (Human Resource Department: HR) มีหน้าที่ในการคัดเลือก สรรหา และพัฒนา บคุ คลกรให้มีความสามารถในการทำ� งานตรงกับความต้องการของงานแต่ละประเภท 3) แผนกการเงนิ และบญั ชี (Financial and Accounting Department) มหี นา้ ทใี่ นการบรหิ ารจดั การ ด้านการเงินขององค์กรในเร่ืองต่างๆ เช่น การท�ำบัญชีรายรับจ่ายขององค์กร การจ่ายเงินเดือน การเบิกจา่ ยเงนิ กบั บรษิ ทั คูค่ ้าต่างๆ 4) แผนกจดั ซอ้ื (Purchasing Department) มีหนา้ ทีใ่ นการบริหารการจัดซ้ือจดั จ้างขององคก์ ร การจัด ซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนหรือวัสดุต่างๆ ให้ตรงกับความต้องการขององค์กรโดยพิจารณาด้านคุณภาพ เวลา ในการจัดส่ง รวมท้งั คา่ ใช้จ่ายทตี่ ้องต�่ำท่ีสดุ เชน่ การซอ้ื อปุ กรณ์ป้องกนั อนั ตรายสว่ นบุคคล 5) แผนกการตลาด (Marketing Department) มีหนา้ ทใ่ี นการขายสนิ คา้ และผลติ ภัณฑ์ รวมทัง้ จดั การ ความสมั พนั ธ์กบั บรษิ ัทคู่ค้า ส่งสนิ คา้ และบรกิ ารให้ตรงและทนั กับความตอ้ งการของลกู คา้ 6) แผนกควบคมุ คณุ ภาพ (Quality Control Department: QC) มหี นา้ ทใ่ี นการควบคมุ คณุ ภาพของการ ผลติ สนิ คา้ สมุ่ ตรวจสนิ คา้ และผลติ ภณั ฑ์ เพอ่ื ใหส้ นิ คา้ ทสี่ ง่ ใหล้ กู คา้ มคี ณุ ภาพตามความตอ้ งการของลกู คา้ 7) แผนกคลงั สนิ ค้าและคลงั วตั ถดุ บิ (Store Department) มหี นา้ ทบี่ รหิ ารจดั การวตั ถดุ บิ ให้เพียงพอกบั การผลติ รวมทัง้ เป็นแหล่งเกบ็ สินคา้ กอ่ นสง่ มอบให้กับลูกคา้ 8) แผนกการผลติ (Production Department) มหี นา้ ทบ่ี รหิ ารการผลติ สนิ คา้ และผลติ ภณั ฑใ์ หม้ คี ณุ ภาพ และมีจ�ำนวนเพียงพอต่อการสั่งซ้ือของลูกค้า โดยในแผนกการผลิตอาจมีฝ่ายผลิตหลายๆฝ่ายข้ึนกับ จำ� นวนของผลติ ภัณฑ์ของสถานประกอบการ 9) แผนกซ่อมบ�ำรุง (Maintenance Department) มีหน้าที่ในการบริหารการซ่อมบ�ำรุงเคร่ืองจักร กระบวนการผลิต และระบบสนับสนุนอ่ืนๆของสถานประกอบการ ให้สมารถด�ำเนินการผลิตได้อย่าง รวดเรว็ เมอื่ เกดิ ความขดั ขอ้ ง รวมทง้ั ปอ้ งกนั การขดั ขอ้ งทอี่ าจเกดิ ขนึ้ เชน่ การซอ่ มบำ� รงุ ประจำ� ปี การซอ่ ม บำ� รงุ เมอื่ เครอื่ งจกั รเกดิ ความเสยี หาย การบำ� รงุ รกั ษาเพอื่ ปอ้ งกนั (Preventative Maintenance) เปน็ ตน้ 6.3 บทบาทของหนว่ ยงานอาชวี อนามยั ความปลอดภยั และสภาพแวดลอ้ มในสถานประกอบการ หน่วยงานด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการท�ำงานของสถานประกอบการ สามารถบริหารงานด้านความปลอดภัยแบบภาพรวม หรือแบ่งหน่วยงานรับผิดชอบเป็นเป็นหน่วยงานย่อยๆ ได้ตามความเหมาะสมขององค์กร แต่อย่างไรก็ตามเพื่อการบริหารงานด้านความปลอดภัย เป็นไปอย่างคล่องตัว และมปี ระสทิ ธภิ าพสงู สดุ ในการดำ� เนนิ งาน หนว่ ยงานดา้ นอาชวี อนามยั และความปลอดภยั ตอ้ งขึน้ ตรงกบั ผบู้ รหิ าร สูงสุดขององค์กร จากข้อมูลในอดีตหลายสถานประกอบการหน่วยงานความปลอดภัย แฝงอยภู่ ายใตห้ น่วยงานอ่ืน | อาชวี อนามยั และความปลอดภัยพน้ื ฐาน 33
เช่น แผนกบุคคล ท�ำใหเ้ กดิ ปัญหาในการบริหารงานและทำ� ให้ประสทิ ธภิ าพในการบรหิ ารงานด้านความปลอดภยั ไม่สามารถท�ำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ตัวอย่างของหน่วยงานย่อยของแผนกอาชีวอนามัย ความปลอดภัยและ สภาพแวดลอ้ มในการท�ำงาน แสดงดงั รูปที่ 2-3 Occ.Health Safety & Envi CSR Occ.Health Safety Environmental Security & Emergency - นโยบายความปลอดภัย ระบบบำ� บัด ตรวจ สวล EIA/HIA - ระบบดบั เพลิง - ประเมินความเสี่ยง - เหตฉุ กุ เฉิน - เขยี นแผนงานความปลอดภัย - อากาศ - กายภาพ - ตรวจสขุ ภาพ - นำ�้ - เคมี • ไฟไหม้ - กจิ กรรมสง่ เสรมิ สขุ ภาพ - ขยะ - ชวี ภาพ • สารเคมรี ่วั ไหล - อบรมพนักงาน - กากของเสยี - การยศาสตร์ • ระเบดิ • น�้ำท่วม - สำ� รวจความปลอดภยั - เอกสารสง่ ราชการตามกฎหมาย รูปที่ 2-3 โครงสร้างหน่วยงานดา้ นอาชวี อนามัย ความปลอดภยั และสภาพแวดลอ้ มในการทำ� งาน จากหน่วยงานด้านอาชีวอนามัย ความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการท�ำงาน ดังรูปที่ 2-3 แบ่ง โครงสร้างของการบรหิ ารงานออกเป็น 4 กลุ่มงาน ได้แก่ 1) กลุ่มงาน (Corporate Social Responsibility Division: CSR) มีหน้าที่ในการผสานความสัมพันธ์ ท่ีดีระหว่างองค์กรและชุมชนโดยรอบสถานประกอบการ โดยด�ำเนินธุรกิจภายใต้หลักจริยธรรมและการจัดการ ท่ีดี โดยรับผดิ ชอบตอ่ สังคมและสงิ่ แวดล้อมทง้ั ในระดบั ไกลและใกล้ อนั นำ� ไปสกู่ ารพัฒนาท่ยี ่ังยืน 2) กล่มุ งานดา้ นอาชีวอนามยั และความปลอดภัย (Occupational Health and safety Division) มีบทบาทในการดูแลงานดา้ นตา่ งๆ เช่น • กำ� หนดนโยบายอาชวี อนามัยความปลอดภัยและสภาพแวดลอ้ มในการท�ำงาน • การประเมินความเส่ยี งและอันตรายในหนว่ ยงาน • การเขยี นแผนงานความปลอดภยั • กจิ กรรมตรวจสุขภาพ • กจิ กรรมสง่ เสรมิ สุขภาพและความปลอดภยั เช่น จัดนิทรรศการความปลอดภยั • การอบรมพนกั งาน • การสำ� รวจความปลอดภยั ในสถานท่ีท�ำงาน • การสง่ เอกสารสง่ ราชการ และการด�ำเนินงานตามกฎหมายของสถานประกอบการ 3) กลุ่มงานด้านส่ิงแวดล้อม (Environmental Health Division) เปน็ อีกหน่วยงานหน่ึงทต่ี ้อง ดูแลสภาพแวดลอ้ มในสถานประกอบการและชมุ ชนโดยรอบ มีบทบาทในการดแู ลงานตา่ งๆ เช่น • ระบบบ�ำบัด เชน่ น้ำ� เสยี อากาศ ขยะ กากของเสยี อนั ตราย • การตรวจสภาพแวดลอ้ มในการท�ำงาน ด้านกายภาพ เคมี ชีวภาพ และการยศาสตร์ • การเตรียมการเกี่ยวกับ Environmental Impact Assessment (EIA) และ Health Impact Assessment (HIA) 34 | อาชีวอนามยั และความปลอดภัยพ้ืนฐาน
6.4 คณะกรรมการความปลอดภยั อาชีวอนามัย และสภาพแวดลอ้ มในการท�ำงานขององคก์ ร จากกฎกระทรวง ก�ำหนดมาตรฐานการบริหารจัดการด้านความปลอดภยั อาชวี อนามยั และสภาพแวดลอ้ ม ในการทำ� งาน [3] ได้ก�ำหนดให้สถานประกอบการทมี่ ีลกู จา้ งตงั้ แต่ 50 คนขึ้นไป สถานประกอบการตอ้ งจดั ตั้งคณะ กรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามยั และสภาพแวดล้อมในการทำ� งาน (คปอ.) โดยมสี ดั ส่วน ดังน้ี ตารางที่ 2- 1 แสดงจ�ำนวนลูกจ้างและคณะกรรมการความปลอดภัย จ�ำนวนลูกจ้าง จ�ำนวนคณะกรรมการความปลอดภัย (คปอ.) 50 - 99 คน ไมน่ อ้ ยกว่า 5 คน 100 - 499 คน ไม่นอ้ ยกว่า 7 คน 500 คนขนึ้ ไป ไมน่ อ้ ยกว่า 11 คน โดยมี นายจ้างหรือผู้แทนนายจ้างระดับบริหาร เป็นประธานกรรมการ และสัดส่วนของคณะกรรมการ ประกอบด้วยองค์ประกอบดังน้ี คือ นายจ้างหรือผู้แทนนายจ้าง และผู้แทนลูกจ้างต้องมีสัดส่วนท่ีเท่ากัน ส่วนเจ้าหน้าท่ี ความปลอดภัยในการท�ำงานระดับเทคนิคข้ันสูงหรือระดับวิชาชีพ เป็นกรรมการและเลขานุการ เชน่ สถานประกอบการทีม่ ีลูกจ้าง 80 คน ตอ้ งจดั ตง้ั คปอ. ไม่นอ้ ยกวา่ 5 คน สัดส่วนของ คปอ. เป็นดงั น้ี นายจ้างหรือตวั แทนนายจ้าง เปน็ ประธานกรรมการ 1 คน ผู้แทนนายจ้างระดบั บังคับบญั ชา 1 คน ผแู้ ทนลกู จา้ ง 2 คน เจ้าหน้าความปลอดภัยระดับวชิ าชพี 1 คน เหตผุ ลทีส่ ัดสว่ นผู้แทนนายจ้างและผแู้ ทนลกู จา้ งต้องเท่ากนั น้ันมปี ระโยชนใ์ นการโหวตกรณที ีค่ วามคิดเห็น ระหว่างผู้แทนนายจ้างและผู้แทนลูกจ้างมีความคิดเห็นไม่ตรงกันในเร่ืองของความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพ แวดล้อมในการท�ำงาน ส่วนเจา้ หนา้ ท่ีความปลอดภยั มีหน้าทใี่ หข้ อ้ มูลสนับสนุนเชิงวชิ าการแก่นายจา้ งและลกู จา้ ง ในทางปฏิบตั มิ สี ถานประกอบการขนาดใหญ่มพี นกั งานเปน็ 10,000คนมักแตง่ ต้ังคณะกรรมความปลอดภัย โดยประกอบด้วยบุคคลจ�ำนวนมาก เชน่ 20 หรอื 30 คน การท่มี ี คปอ. จำ� นวนมากมกั จะเกิดปัญหาในการประชมุ เช่น การนัดประชุมไม่ครบองค์ประชุม ใช้เวลาในการประชุมมาก สามารถแก้ปัญหาด้วยวิธีการ แต่งตั้ง คปอ. เท่ากับจ�ำนวนที่กฎหมายกำ� หนด แต่ไปตง้ั คณะอนกุ รรมการดา้ นความปลอดภัยชุดยอ่ ย เพ่อื พิจารณาการดำ� เนนิ งาน ดา้ นความปลอดภยั ก่อนนำ� เข้าทป่ี ระชุม คปอ. เพ่ือขอมติและขอ้ สรปุ ในการดำ� เนนิ งานตอ่ ไป สาระส�ำคัญของการแต่งตั้งคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการท�ำงาน คปอ. ตามกฎกระทรวงฉบับนี้ เปน็ ดังน้ี 1) จัดตั้งให้แลว้ เสร็จภายใน 30 วัน หลงั จากมีลูกจ้างครบ 50 คน 2) ตอ้ งมกี รรมการผู้แทนจากนายจา้ ง และ ลูกจา้ ง ในสัดส่วนทเ่ี ทา่ กัน 3) กรรมการผู้แทนจากนายจ้าง นายจ้างเป็นผแู้ ตง่ ตั้ง 4) กรรมการผูแ้ ทนจากลกู จา้ ง นายจา้ งต้องจดั ใหม้ กี ารเลอื กต้ัง 5) กรรมการและเลขานุการนายจ้าง คัดเลือกจาก จป.วิชาชีพ หรือ จป. เทคนิคข้ันสูง ในกรณีท่ี สถานประกอบการมเี จา้ หนา้ ท่ีความปลอดภยั มากกวา่ 1 คน 6) จดั ประชมุ คปอ. อย่างน้อยเดอื นละ 1 คร้งั 7) คปอ. ด�ำรงตำ� แหนง่ คราวละ 2 ปี เม่อื ครบวาระตอ้ งมีการแตง่ ตงั้ ใหม่ | อาชีวอนามัยและความปลอดภยั พ้ืนฐาน 35
บทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการ ท�ำงาน หรอื คปอ. ตามกฎกระทรวงฉบบั น้ี เป็นดงั น้ี [3] 1) พิจารณานโยบายและแผนงานด้านความปลอดภัยในการท�ำงาน รวมทั้งความปลอดภัยนอกงาน เพ่ือป้องกันและลดการเกิดอุบัติเหตุ 2) รายงานและเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางปรับปรงุ แกไ้ ขใหถ้ ูกต้องตามกฎหมาย 3) สง่ เสริม สนับสนุน กิจกรรมด้านความปลอดภยั ในการทำ� งานของสถานประกอบกิจการ 4) พิจารณาขอ้ บงั คับ คมู่ ือและมาตรฐานดา้ นความปลอดภยั ในการท�ำงาน 5) สำ� รวจการปฏบิ ตั กิ ารดา้ นความปลอดภยั ในการทำ� งาน และตรวจสอบสถติ กิ ารประสบอนั ตรายทเี่ กดิ ขน้ึ 6) พจิ ารณาโครงการหรอื แผนการฝกึ อบรมเกี่ยวกบั ความปลอดภัยในการทำ� งาน 7) วางระบบการรายงานสภาพการท�ำงานท่ีไมป่ ลอดภยั ให้เปน็ หน้าท่ขี องลูกจา้ งทุกคนทุกระดบั 8) ตดิ ตามผลความคบื หน้าเรื่องทีเ่ สนอนายจ้าง 9) รายงานผลการปฏิบัติงานประจ�ำปี รวมท้ังระบุปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะในการปฏิบัติ หน้าท่ีของคณะกรรมการเมอื่ ปฏบิ ตั หิ นา้ ทค่ี รบหน่ึงปี เพ่อื เสนอตอ่ นายจ้าง 10) ประเมนิ ผลการด�ำเนนิ งานด้านความปลอดภยั ในการท�ำงานของสถานประกอบกิจการ 11) ปฏบิ ตั ิงานด้านความปลอดภยั ในการท�ำงานอ่นื ตามท่ีนายจา้ งมอบหมาย หนว่ ยงานความปลอดภยั กฎกระทรวงกำ� หนดมาตรฐานการบรหิ ารจดั การดา้ นความปลอดภยั อาชวี อนามยั และสภาพแวดล้อมในการท�ำงาน [3] ได้ก�ำหนดให้สถานประกอบการตามกฎกระทรวงฉบับน้ีในข้อ 1 (1) เช่น การท�ำเหมอื งแร่ เหมืองหิน กิจการปิโตรเลยี มหรอื ปโิ ตรเคมี ท่มี ลี กู จ้างต้ังแต่ 2 คนข้นึ ไปต้องจัดต้งั หนว่ ยงานความ ปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการท�ำงาน รวมท้ังสถานประกอบการตามกฎกระทรวง ข้อ 1 (2) ถึง (5) เช่น สถานประกอบการท่ีท�ำ ผลติ ประกอบ บรรจุ ซ่อม ซอ่ มบำ� รุง เก็บรักษา การก่อสร้าง การขนสง่ คน โดยสารหรือสนิ ค้าโดยทางบก ทางนำ�้ ทางอากาศ สถานบี ริการหรอื จ�ำหน่ายน้ำ� มันเชื้อเพลิงหรือกา๊ ซ มลี ูกจ้าง ตง้ั แต่ 200 คนขน้ึ ไปตอ้ งจัดตง้ั หน่วยงานความปลอดภยั อาชวี อนามัย และสภาพแวดล้อมในการท�ำงานของสถาน ประกอบกจิ การ ภายใน 360 วันนบั แตว่ ันทีม่ ีลูกจา้ งครบ 36 | อาชวี อนามัยและความปลอดภยั พน้ื ฐาน
บทสรุป การด�ำเนินงานด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ไม่สามารถด�ำเนินการให้ประสบความส�ำเร็จได้ โดยอาศัยบุคคลเพียงคนเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือการท�ำงานของสหสาขาวิชาชีพมากมายร่วมมือกัน ไม่ว่า จะเปน็ ฝา่ ยนายจ้าง ฝ่ายลกู จ้าง รวมทงั้ หน่วยงานหน่วยงานภาครัฐ หนว่ ยงานเอกชน ท้งั ในและตา่ งประเทศ รวมถึง องคว์ ิชาชีพต่างๆร่วมมือกนั บคุ ลากรในงานอาชวี อนามัยความปลอดภยั และสภาพแวดลอ้ มในการทำ� งาน มีหลากหลายสาขาวิชาชีพ เช่น เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการท�ำงานระดับต่างๆ นักสุขศาสตร์อุตสาหกรรม พยาบาลอาชีวอนามัย แพทย์ อาชีวอนามัย นักการยศาสตร์ นักพิษวิทยา วิศวกรความปลอดภัย เป็นต้น ท�ำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบท�ำให้ งานด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภยั มีการพัฒนาอยา่ งตอ่ เน่ือง องค์กรภาครัฐในประเทศไทยมีบทบาทส�ำคัญในการพัฒนางานด้านนี้เป็นอย่างมาก มีหลายหน่วยงาน ่ให้การสนบั สนุนดา้ นวิชาการ การบรกิ ารวิชาการ จดั บรกิ ารด้านอาชวี อนามัย รวมถึงออกกฎหมายบังคับใหส้ ถาน ประกอบการมกี ารดำ� เนินงานดา้ นอาชวี อนามัย ความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการทำ� งาน เช่น กระทรวงงาน กระทรวงอตุ สาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ ม รวมท้งั องคก์ รวิชาชพี และสมาคมวิชาชีพที่เก่ียวขอ้ งกับงานอาชวี อนามยั เป็นตน้ องค์กรที่เก่ียวข้องกับงานด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในต่างประเทศ มีหลายองค์กรท่ีการพัฒนา งานด้านนี้ การพัฒนามาตรฐานการบริการด้านอาชีวอนามัย การพัฒนาด้านค่ามาตรฐานและกฎหมาย รวม ถึงออกข้อกำ� หนดและขอ้ แนะน�ำตา่ งๆ เพื่อใชเ้ ป็นแนวทางในการดำ� เนินงานดา้ นอาชีวอนามัย ความปลอดภยั และ สภาพแวดลอ้ มในการทำ� งาน เพอื่ เปน็ การปกป้องคมุ้ ครองแรงงานใหป้ ลอดภยั ใหป้ ราศจากอบุ ัตเิ หตุและโรคจาก การท�ำงาน โดยองคก์ รที่มบี ทบาทสำ� คัญ เชน่ ACGIH , OSHA, NIOSH, เปน็ ตน้ หน่วยงานด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการทำ� งานของในสถานประกอบการ ต้องขึ้นตรงกับผู้บริหารสูงสุดขององค์กรเพ่ือการบริหารงานด้านความปลอดภัย เป็นไปอย่างคล่องตัว และมี ประสิทธิภาพสูงสุด รวมท้ังสถานประกอบการท่ีมีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนข้ึนไป สถานประกอบการต้องจัดตั้ง คณะกรรมการความปลอดภัย อาชวี อนามยั และสภาพแวดล้อมในการท�ำงาน (คปอ.) ตามกฎหมาย | อาชวี อนามัยและความปลอดภัยพ้นื ฐาน 37
บรรณานกุ รม 1. พรพิมล กองทิพย์. สุขศาสตร์อุตสาหกรรม Industrial Hygiene. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความ ปลอดภยั . มหาวิทยาลัยมหิดล, 2545 2. เอกสารประกอบการสอนชุดวิชา การบริหารงานอาชีวอนามัยและความปลอดภัยหน่วย 1-7 พิมพ์ครัง้ ท่ี 3. สาขาวชิ าวิทยาศาสตร์สุขภาพ. มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช. 2552 3. กฎกระทรวงแรงงาน กำ� หนดมาตรฐานในการบรหิ ารและการจดั การดา้ นความปลอดภยั อาชวี อนามยั และสภาพแวดล้อมในการท�ำงาน พ.ศ. 2549. ประกาศในราชกิจจานุเบกษาหน้า 5 เล่ม 123 ตอนท่ี 65 ก วนั ท่ี 21 มิถนุ ายน 2549 4. Code of Ethics for the Professional Practice of Industrial Hygiene (1995). เข้าถึงข้อมูลวันท่ี 3 มกราคม 2556. จาก http://ethics.iit.edu/ecodes/node/4275 5. กระทรวงแรงงาน Ministry of Labour. เขา้ ถงึ ขอ้ มลู วนั ที่ 10 มกราคม 2556. จาก http://www.mol.go.th/ anonymouse/home 6. ส�ำนักความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน. เข้าถึงข้อมูลวันที่ 10 มีนาคม 2556. จาก http://www.oshthai.org/index.php 7. กระทรวงอตุ สาหกรรม. เข้าถงึ ขอ้ มลู วนั ที่ 10 มกราคม 2556. จากhttp://www.industry.go.th 8. ชลาลัย หาญเจนลักษณ์. เอกสารประกอบการสอนรายวิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัยพื้นฐาน (Basic Occupational Health and Safety). สาขาชวี อนามยั และความปลอดภยั สำ� นกั วชิ าแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีสุรนาร.ี 2547 9. กรมโรงงานอุตสาหกรรม Department of Industrial Works. เขา้ ถึงขอ้ มูลวนั ท่ี 10 มีนาคม 2556.จาก http://www.diw.go.th/hawk/default.php 10. สำ� นกั ควบคมุ วตั ถอุ นั ตราย. เขา้ ถงึ ขอ้ มลู วนั ท่ี 10 มกราคม 2556. จาก http://eis.diw.go.th/haz/Law.asp 11. สำ� นกั เทคโนโลยคี วามปลอดภยั . เขา้ ถงึ ขอ้ มลู วนั ที่ 10 มกราคม 2556. จาก http://oaep.diw.go.th/cms 12. ศูนย์เฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก. เข้าถึงข้อมูลวันท่ี 10 มกราคม 2556. จาก http://www.eimcdiw.com 13. สำ� นกั งานผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม. เขา้ ถงึ ขอ้ มลู วนั ที่ 10 มกราคม 2556. จาก http://www.tisi.go.th/ index.php 14. การนคิ มอตุ สาหกรรมแหง่ ประเทศไทย. เขา้ ถงึ ขอ้ มลู วนั ท่ี 10 มกราคม 2556. จาก http://www.ieat.go.th/ 15. กระทรวงสาธารณสขุ . เข้าถึงข้อมลู วันท่ี 10 มกราคม 2556. จาก http://www.moph.go.th/ 16. กองสุขาภิบาลสง่ิ แวดลอ้ ม. เข้าถึงขอ้ มูลวันท่ี 10 มกราคม 2556. จาก http://www.bangkok.go.th/ envsanitation/ 17. กรมควบคมุ มลพษิ . กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม. เขา้ ถงึ ขอ้ มลู วนั ท่ี 10 มกราคม 2556. จาก http://www.pcd.go.th/ 18. American Conference of Governmental Industrial Hygienists (ACGIH). เข้าถึงข้อมูลวันท่ี 10 มกราคม 2556. จาก http://www.acgih.org/ 38 | อาชีวอนามัยและความปลอดภยั พ้ืนฐาน
บรรณานุกรม 18. American Conference of Governmental Industrial Hygienists (ACGIH). เขา้ ถึงขอ้ มูลวันท่ี 10 มกราคม 2556. จาก http://www.acgih.org 19. Occupational Safety and Health Administration (OSHA), Department of Labour, United State. เขา้ ถึงข้อมูลวนั ท่ี 10 มกราคม 2556. จาก https://www.osha.gov 20. The National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH), Centers for Disease Control and Prevention, U.S. Department of Health and Human Services. เขา้ ถึงข้อมูลวนั ท่ี 10 มกราคม 2556. จาก http://www.cdc.gov/niosh/ | อาชวี อนามัยและความปลอดภัยพืน้ ฐาน 39
คำ� ถามท้ายบท 1. ใหน้ กั ศกึ ษาบอกบอกถงึ บคุ ลกรทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การดำ� เนนิ งานดา้ นอาชวี อนามยั ความปลอดภยั และสภาพ แวดล้อมในการท�ำงาน 2. ใหน้ ักศึกษาบอกหนา้ ทีข่ องเจา้ หนา้ ที่ความปลอดภัยระดบั วชิ าชีพตามกฎหมาย 3. ใหน้ กั ศกึ ษาบอกถงึ องคก์ รภาครฐั ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั งานดา้ นอาชวี อนามยั และความปลอดภยั และสภาพแวดลอ้ ม ในการท�ำงาน รวมทง้ั องคก์ รเหลา่ น้มี บี ทบาทตอ่ งานด้านน้ีอย่างไร 4. เอกสารรายงานการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยระดับวิชาชีพ (จปว.) ที่สถานประกอบการ ตอ้ งส่งทุกๆ 3 เดือน ส่งใหก้ ับหน่วยงานใดและหนว่ ยงานน้ีสงั กัดกระทรวงใด 5. ใหน้ ักศกึ ษาบอกถงึ คา่ มาตรฐานการสัมผสั สารอนั ตรายของหนว่ ยงาน OSHA, NIOSH, และ ACGIH คือค่ามาตรฐานอะไร และค่ามาตรฐานน้ีมีความแตกต่างกันอย่างไร 6. มาตรฐานอุตสาหกรรม ดงั ต่อไปน้ี JIS, DIN, AS/NZS เปน็ มาตรฐานอตุ สาหกรรมของประเทศใด 7. โรงงานผลิตกระดาษ มีพนักงาน 400 คนจะต้องจัดให้มี คปอ. ไม่น้อยกว่าก่ีคน และ สัดส่วนของ คปอ. ประกอบดว้ ยใครบ้างและอยา่ งละกค่ี น 40 | อาชีวอนามัยและความปลอดภยั พื้นฐาน
บทท่ี 3 สถานการณก์ ารบาดเจ็บและการเจ็บปว่ ย เนื่องจากการท�ำงาน Situation of Injuries and Occupational Disease in The Workplaces เน้อื หาการเรียนรู้ - สถติ ิจ�ำนวนประชากรในวยั แรงงานของประเทศไทย - สถติ จิ �ำนวนลูกจา้ งในเครอื ขา่ ยกองทนุ เงินทดแทน - สถิตจิ ำ� นวนการประสบอนั ตรายของลูกจ้าง - สถิตจิ ำ� นวนการประสบอันตรายหรอื เจ็บป่วยเน่อื งจากการทำ� งานในปี 2554 - สถติ โิ รคจากการท�ำงาน พ.ศ. 2545 - 2551 - สถิติอบุ ัตภิ ยั จาการท�ำงาน พ.ศ. 2544 - 2555 - อตั ราการเสียชวี ติ จากการท�ำงานต่อลกู จา้ ง 100,000 ราย ในประเทศตา่ งๆ
สถานการณ์การบาดเจ็บและการเจ็บป่วยเนื่องจากการท�ำงาน Situation of Injury and Occupational Disease in the Workplace 1. สถติ ิจำ� นวนประชากรในวยั แรงงานของประเทศไทย [1] ขอ้ มลู จากสำ� นกั งานสถติ แิ หง่ ชาติ ไดท้ ำ� การสำ� รวจจำ� นวนแรงงานของประเทศไทยในเดอื นตลุ าคม ปี พ.ศ. 2555 พบวา่ ประเทศไทยมปี ระชากรประมาณ 64 ลา้ นคน มแี รงงานทม่ี อี ายมุ ากกวา่ 15 ปขี นึ้ ไป มจี ำ� นวนเทา่ กบั 54.66 ลา้ นคน โดยอย่ใู นวัยแรงงานท่ีพร้อมทำ� งาน 39.49 ลา้ นคน เป็นผ้ทู ีม่ งี านทำ� แลว้ 39.21 ล้านคน ว่างงาน 2.33 แสนคน ผ้ทู ี่รองานตามฤดูกาล 5.8 หมืน่ คน ทเี่ หลือ 15.17 ล้านคน เปน็ ผู้ท่ียงั ไมพ่ ร้อมท่ีจะท�ำงาน ไดแ้ ก่ นักเรียน นกั ศึกษา และคนชรา จากจ�ำนวนผ้ทู ่มี งี านทำ� 39.21 ล้านคน ประกอบดว้ ยผูท้ ี่ท�ำงานภาคเกษตร 14.87 ลา้ นคน และนอกภาค เกษตรกรรม 24.34 ลา้ นคน ดังแสดงในตารางที่ 3 -1 ตารางท่ี 3-1 จำ� นวนประชากรที่มีอายุ 15 ปีข้ึนไป จำ� แนกตามสถานภาพแรงงาน ปี พ.ศ. 2555 สถานภาพแรงงาน กนั ยายน ตุลาคม รวม รวม ชาย หญิง ประชากรอายุ 15 ปขี น้ึ ไป 54.62 54.66 26.54 28.12 1. ผอู้ ยู่ในวยั แรงงาน 39.44 39.49 21.37 18.12 1.1 มีงานทำ� 39.15 39.21 21.22 17.99 1.2 ว่างงาน 0.25 0.22 0.12 0.10 1.3 รอฤดกู าล 0.04 0.058 0.03 0.03 2. ผอู้ ยู่นอกวัยแรงงาน 15.18 15.17 5.17 10.00 หนว่ ย : ลา้ นคน จ�ำนวนผู้มีงานท�ำในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2555 มีจ�ำนวนท้ังสิ้น 39.21 ล้านคน กระจายท�ำงานโดยอยู่ใน ภาคเกษตรกรรม 14.87 ล้านคน และนอกภาคเกษตรกรรมทง้ั สิน้ 24.34 ลา้ นคน ซ่ึงอย่ใู นอุตสาหกรรมการผลติ สงู ท่ีสดุ 5.72 ล้านคน รองลงมาคอื ภาคธุรกจิ กอ่ สร้าง 2.56 ลา้ นคน ตามล�ำดับ แสดงในตารางท่ี 3 – 2 42 | อาชวี อนามัยและความปลอดภัยพ้ืนฐาน
ตารางที่ 3 - 2 จำ� นวนผมู้ ีงานท�ำจำ� แนกตามอุตสาหกรรม อตุ สาหกรรม ก.ย. 2555 ต.ค. ยอดรวม 39.15 หญิง 1. ภาคเกษตรกรรม (เกษตรกรรม การปา่ ไม้ และการประมง) 15.69 รวม ชาย 17.99 2. นอกภาคเกษตรกรรม 23.46 39.21 21.22 6.46 5.72 14.87 8.41 11.53 1) การผลิต 2.50 24.34 12.81 2.91 2) การก่อสรา้ ง 5.72 2.81 0.44 3) การขายส่ง และการขายปลีกการซ่อมยานยนต์ 5.65 2.56 2.12 และรถจักรยานยนต์ 1.00 6.13 3.10 3.03 4) การขนสง่ และสถานทเี่ กบ็ สินคา้ 2.37 5) ท่ีพักแรมและบรกิ ารด้านอาหาร 0.37 0.92 0.78 0.14 6) กจิ กรรมทางการเงิน และการประกันภยั 0.11 2.51 0.86 1.65 7) กิจกรรมอสงั หารมิ ทรัพย์ 0.46 0.24 0.22 8) การบริหารราชการ การป้องกนั ประเทศ 1.73 0.14 0.05 0.09 และการประกนั สงั คมภาคบังคบั 1.09 1.71 1.02 0.69 9) การศกึ ษา 0.64 10) กจิ กรรมดา้ นสุขภาพ และงานสงั คมสงเคราะห์ 0.66 1.15 0.47 0.68 11) กิจกรรมบรกิ ารด้านอ่ืนๆ 1.62 0.66 0.17 0.49 12) อน่ื ๆ* 0.67 0.26 0.41 1.71 0.93 0.78 หน่วย : ลา้ นคน หมายเหตุ : * หมายถงึ รวมการทำ� เหมืองแร่ และเหมอื งหนิ ไฟฟา้ กา๊ ซไอน้�ำ และระบบปรับอากาศ การจัดหานำ้� การจดั การ และการบ�ำบัดน้ำ� เสยี ของเสยี และสงิ่ ปฏกิ ลู ข้อมูลขา่ วสาร และการส่ือสาร กจิ กรรมทางวชิ าชีพ วิทยาศาสตร์ และเทคนิค กิจกรรมการบริหารและการบริการสนบั สนุน ศิลปะ ความบันเทงิ และนนั ทนาการ กจิ กรรมการจ้างงานในครัวเรือนสว่ นบคุ คล กจิ กรรมขององค์การระหว่างประเทศ และไม่ทราบ ที่มา : สรปุ ผลส�ำรวจภาวการณ์ทำ� งานของประชากร (เดอื นตุลาคม พ.ศ. 2555). สำ� นักงานสถติ แิ หง่ ชาติ กระทรวง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สาร | อาชวี อนามยั และความปลอดภัยพ้ืนฐาน 43
2. จ�ำนวนลูกจ้างในเครือขา่ ยกองทนุ เงนิ ทดแทน [2,3,4,5,6] กองทนุ เงินทดแทนก่อตงั้ ตามประกาศคณะปฏวิ ตั ิ ฉบบั ท่ี 103 ลงวนั ท่ี 16 มนี าคม 2515 สงั กดั กรมแรงงาน กระทรวงมหาดไทย เพอ่ื เปน็ หลกั ประกันให้ลกู จา้ งท่ปี ระสบอนั ตรายจากการทำ� งาน ไดร้ ับเงินทดแทนเพ่อื เลยี้ ง ดูตนเองและครอบครวั ขณะท่ไี ม่มีรายได้ประจำ� เมือ่ วนั ที่ 3 กนั ยายน 2533 กองทุนเงนิ ทดแทนได้โอนมาสงั กัด สำ� นกั งานประกันสงั คม กระทรวงแรงงาน ซงึ่ จัดตั้งข้นึ ตาม พรบ. ประกันสังคม ปี พ.ศ. 2533 และได้ขยายความ คมุ้ ครองไปยงั สถานประกอบการทีม่ ลี ูกจ้างตัง้ แต่ 1 คนข้ึนไป ปจั จบุ ันมีนายจา้ งเข้าร่วมเป็นสมาชกิ เครอื ขา่ ยกองทนุ แล้วทง้ั สิ้น 338,270 ราย ข้อมูลจากกองทุนเงนิ ทดแทน ส�ำนักงานประกนั สังคม ตง้ั แตป่ ี พ.ศ. 2535 ถึงปี พ.ศ. 2554 พบว่าจำ� นวน แรงงานทีอ่ ยใู่ นเครือขา่ ยกองทนุ น้ี มแี นวโนม้ เพม่ิ สูงขน้ึ เร่ือยๆ จากปี พ.ศ. 2535 มจี ำ� นวนแรงงานทง้ั สน้ิ 3.02 ลา้ นคน ปจั จบุ ัน พ.ศ. 2554 มแี รงงานท้งั ส้ิน 8.22 ล้านคน ดงั แสดงในรูป 3 - 1 “วิกฤติเศรษฐกิจต้มย�ำกุ้ง” ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียและเศรษฐกิจโลกท�ำให้จ�ำนวน การจ้างแรงงานในเครอื ขา่ ยกองทนุ เงนิ ทดแทนลดลง เนอ่ื งจากในช่วงต้นปี 2541 เศรษฐกจิ ไทยตอ้ งประสบปัญหา ต่อเน่ืองจากปลายปี 2540 อนั ไดแ้ ก่ ความไมแ่ นน่ อนของอตั ราแลกเปล่ียน การเคลอ่ื นย้ายเงินทุนออกนอกประเทศ การเพิ่มข้ึนของอัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะอย่างย่ิงสภาวะการขาดสภาพคล่อง ในระบบการเงนิ ได้ส่งผลกระทบตอ่ ภาคการผลติ และการลงทนุ จึงท�ำใหม้ แี รงงานถูกเลิกจ้างมากขนึ้ ท�ำให้จำ� นวน ลูกจา้ งในชว่ งปี พ.ศ. 2541 ถงึ พ.ศ. 2544 จำ� นวนลูกจา้ งในเครือข่ายกองทุนน้มี แี นวโน้มลดลง และเพิม่ จำ� นวนสงู ขน้ึ ในปพี .ศ. 2545 อัตราสว่ น 1 : 1,000,000 รปู ท่ี 3 - 1 จ�ำนวนลูกจ้างทอี่ ยู่ในเครือข่ายกองทุนเงินทดแทน 44 | อาชีวอนามัยและความปลอดภยั พืน้ ฐาน
3. จ�ำนวนการประสบอนั ตรายของลูกจ้าง กองทนุ เงนิ ทดแทน ใหค้ วามคมุ้ ครองแกล่ กู จา้ งทปี่ ระสบอนั ตรายหรอื เจบ็ ปว่ ยเนอื่ งจากการทำ� งานจนเปน็ เหตุ ให้ได้รบั บาดเจ็บ เจ็บป่วย สูญเสยี อวัยวะ ทุพพลภาพ สูญหายหรือถึงแก่ความตาย โดยกองทนุ เงนิ ทดแทนจะจา่ ยเงนิ ทดแทนแกล่ กู จา้ งแทนนายจา้ ง ซง่ึ ประกอบดว้ ย คา่ รักษาพยาบาล คา่ ทดแทนรายเดือน ค่าฟื้นฟสู มรรถภาพในการ ทำ� งาน และคา่ ทำ� ศพ รวมถงึ ใหก้ ารบำ� บดั รกั ษาและสง่ เสรมิ ฟน้ื ฟสู มรรถภาพแกล่ กู จา้ งทป่ี ระสบอนั ตรายจากการทำ� งาน ใหส้ ามารถเลย้ี งชพี ไดด้ ้วยตนเองโดยไมเ่ ปน็ ภาระแก่สงั คม ขอ้ มูลจากกองทนุ เงนิ ทดแทน สำ� นักงานประกนั สังคม ต้ังแต่ปี พ.ศ. 2535 ถงึ ปี พ.ศ. 2554 พบวา่ จำ� นวนแรงงานทปี่ ระสบอันตรายในเครอื ขา่ ยกองทุนน้ี มกี ารประสบ อนั ตรายท่ีไมค่ งท่ี จากปี พ.ศ. 2535 มีจำ� นวนแรงงานท่ีประสบอันตรายท้ังสิน 1.32 แสนคน และปจั จบุ ัน พ.ศ. 2554 มแี รงงานทปี่ ระสบอนั ตรายทง้ั สน้ิ 1.30 แสนคน ในปี พ.ศ. 2539 แรงงานประสบอนั ตรายสงู ท่สี ุดเท่ากับ 2.46 แสนคน และในปี พ.ศ. 2554 แรงงานประสบ อนั ตรายต�่ำทีส่ ุดเทา่ กบั 1.30 แสนคน ตามลำ� ดบั ดังแสดงในรปู 3 - 2 อัตราส่วน 1 : 100,000 รูปที่ 3 - 2 จ�ำนวนการประสบอนั ตรายของลกู จ้าง 4. อตั ราการประสบอันตรายตอ่ ลูกจ้าง 1,000 ราย อตั ราการประสบอนั ตรายตอ่ ลกู จา้ ง 1,000 ราย แสดงใหเ้ หน็ ถงึ สดั สว่ นของจำ� นวนลกู จา้ งทงั้ หมดตอ่ จำ� นวน การประสบอนั ตรายของลกู จา้ ง โดยในปี พ.ศ. 2535 พบวา่ อตั ราการประสบอนั ตรายตอ่ ลกู จา้ ง 1,000 ราย มคี า่ เทา่ กบั 43.64 สามารถอธบิ ายไดว้ า่ ถา้ มพี นกั งาน 1,000 คน ในปนี นั้ จะประสบอนั ตรายจากการทำ� งาน 43.64 คน ในปี พ.ศ. 2554 มอี ตั ราการประสบอนั ตรายตอ่ ลกู จา้ ง 1,000 รายตำ่� สดุ เทา่ กบั 15.76 คน ดงั แสดงในรปู ท่ี 3 - 3 ชว่ งปีพ.ศ.2535ถงึ พ.ศ.2540พบวา่ อตั ราการประสบอนั ตรายของลกู จา้ งคอ่ นขา้ งสงู อาจเปน็ ผลเนอื่ งมาจาก การดำ� เนนิ งานดา้ นความปลอดภยั ยงั ไมม่ ปี ระสทิ ธภิ าพดพี อ การบงั คบั ใชก้ ฎหมายดา้ นอาชวี อนามยั และความปลอดภยั ยงั ไมม่ ปี ระสทิ ธภิ าพเทา่ ทค่ี วร รวมทงั้ สถานประกอบการยงั ไมเ่ หน็ ความสำ� คญั ของการลงทนุ ดา้ นความปลอดภยั | อาชวี อนามยั และความปลอดภยั พ้ืนฐาน 45
แต่หลงั จากปี พ.ศ. 2541 เป็นตน้ มา กระทรวงแรงงาน ไดอ้ อกพระราชบัญญัติคมุ้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 รวมทั้งได้ออกกฎกระทรวงที่เก่ียวข้องกับงานด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ตามพระราชบัญญัตินี้อีกถึง 18 ฉบับ และในปี พ.ศ. 2554 กระทรวงแรงงานได้ออกพระราชบัญญัติ ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและ สภาพแวดล้อมในการท�ำงาน ทำ� ให้หนว่ ยงานภาครฐั มสี ่วนในการบงั คบั ใชก้ ฎหมายมากขึน้ รวมทัง้ นายจา้ งเองเห็น ประโยชนข์ องการลงทนุ ด้านความปลอดภยั ส่งผลใหอ้ ัตราการประสบอนั ตรายของลกู จา้ งมแี นวโนม้ ลดลงอยา่ ง ต่อเน่ือง ดงั แสดงในรูปที่ 3 - 3 รูปท่ี 3 - 3 อัตราการประสบอนั ตรายต่อลูกจา้ ง 1,000 ราย 5. จำ� นวนการเสียชีวิตของลูกจา้ ง ขอ้ มลู จากกองทนุ เงนิ ทดแทนตงั้ แตป่ ี พ.ศ. 2542 ถงึ 2554 พบวา่ ในแตล่ ะปมี ลี กู จา้ งเสยี ชวี ติ เปน็ จำ� นวนไมน่ อ้ ย โดย พ.ศ. 2548 ลูกจ้างเสยี ชีวิตจากการทำ� งานสูงสดุ เท่ากบั 1,444 ราย และเสียชวี ติ ตำ่� สุดในปี พ.ศ. 2554 เทา่ กบั 590 ราย ตามล�ำดับ ดงั แสดงในรูปที่ 3-4 รปู ที่ 3 – 4 จ�ำนวนการเสียชีวิตของลกู จา้ ง 46 | อาชวี อนามัยและความปลอดภัยพ้นื ฐาน
6. จ�ำนวนการทพุ ลภาพของลูกจ้าง การทุพลภาพ หมายถึง การสูญเสียอวัยวะหรือสูญเสียสมรรถภาพของอวัยวะของร่างกาย อาจรวมถึง การสูญเสียสภาวะความปกติของจิตใจ จนไม่สามารถท�ำงานได้ จากข้อมูลต้ังแต่ปี พ.ศ. 2542 ถึง 2554 พบว่า พ.ศ. 2547 ลูกจ้างทุพลภาพสูงที่สุด เท่ากับ 23 ราย และ ต�่ำที่สุดในปี พ.ศ. 2554 เท่ากับ 4 ราย ตามล�ำดับ ดงั แสดงในรปู ท่ี 3 - 5 รูปที่ 3 – 5 จ�ำนวนการทพุ ลภาพของลูกจ้าง 7. จำ� นวนการสูญเสียอวยั วะบางส่วนของลูกจ้าง การสูญเสียอวัยวะบางส่วนของลูกจ้าง หมายถึง การที่ลูกจ้างปฏิบัติงานในสถานประกอบการแล้วได้รับ อุบัติเหตุ จนเป็นเหตุท�ำให้ลูกจ้าง แขนขาด ขาขาด มือขาด เท้าขาด นิ้วขาด สูญเสียสมรรถภาพในการได้ยิน หรือสูญเสียสมรรถภาพในการมองเห็น พบว่า ในปี พ.ศ. 2546 ลูกจ้างสูญเสยี อวยั วะจากการท�ำงานสงู ท่ีสดุ เทา่ กับ 3,821 ราย และตำ่� สดุ ในปี พ.ศ. 2554 เทา่ กบั 1,630 ราย ตามล�ำดับ ดงั แสดงในรปู ที่ 3 – 6 รปู ท่ี 3 – 6 จ�ำนวนการสญู เสยี อวยั วะบางส่วนของลกู จา้ ง | อาชวี อนามยั และความปลอดภยั พืน้ ฐาน 47
8. จำ� นวนการบาดเจบ็ ท่ีตอ้ งหยุดงานของลกู จ้าง การได้รบั เงนิ ชดเชยจากกองทุนเงนิ ทดแทนนัน้ ตามกฎหมายไดก้ �ำหนดไว้ว่า ถา้ ลูกจ้างประสบอนั ตรายหรือ เจบ็ ป่วยจากการทำ� งาน โดยแพทย์เปน็ ผู้วินจิ ฉยั ใหต้ อ้ งหยุดงาน 3 วนั สามารถรบั เงินชดเชยการทำ� งานจากกองทุน เงนิ ทดแทนได้ จึงท�ำใหม้ กี ารรายงานการประสบอนั ตรายของลกู จ้างในกองทนุ น้ีออกเปน็ 2 กลมุ่ คือ หยดุ งานเกิน 3 วัน และหยุดงานไม่เกิน 3 วัน ซ่ึงอาจสรุปได้ว่ากรณีที่หยุดงานเกิน 3 วัน การประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยของ ลูกจ้างรนุ แรงกวา่ หยดุ งานไมเ่ กนิ 3 วนั ปี พ.ศ. 2547 ลูกจ้างประสบอันตรายจากการท�ำงานถึงข้ันหยุดงานเกิน 3 วันสูงท่ีสุด 157,982 ราย และต�ำ่ ที่สดุ พ.ศ. 2554 เทา่ กับ 91,699 ราย ตามลำ� ดบั ดังแสดงใน ตารางที่ 3 – 3 ในปี พ.ศ. 2548 ลูกจ้างประสบอันตรายจากการท�ำงานถึงข้ันหยุดงานไม่เกิน 3 วันสูงที่สุด 53,641 ราย และตำ�่ ทส่ี ดุ พ.ศ. 2554 เทา่ กบั 35,709 ราย ตามลำ� ดับ ดังแสดงใน ตารางที่ 3 – 3 จากข้อมลู การหยุดงาน ของลกู จา้ งพบวา่ การประสบอนั ตรายจากการท�ำงานของลกู จา้ งสว่ นใหญเ่ ปน็ การประสบอนั ตรายทไ่ี มร่ นุ แรงมากนกั ใชเ้ วลาในการรักษาหรือฟื้นฟสู มรรถภาพไมเ่ กิน 3 วนั ก็สามารถกลบั เข้ามาปฏบิ ตั งิ านได้ตามปกติ ตารางท่ี 3 – 3 จ�ำนวนการบาดเจบ็ ที่ต้องหยุดงานของลูกจา้ ง ปี พ.ศ. หยุดงาน เกนิ 3 วัน หยุดงาน ไมเ่ กนิ 3 วนั 2542 50,239 117,739 2543 48,338 127,076 2444 48,077 137,407 2545 49,102 137,879 2546 52,364 153,684 2547 52,893 157,982 2548 53,641 155,706 2549 51,901 148,114 2550 50,525 144,111 2551 45,719 127,059 2552 39,850 106,598 2553 39,919 103,813 2554 35,709 91,699 48 | อาชวี อนามัยและความปลอดภัยพื้นฐาน
9. จำ� นวนการประสบอนั ตรายหรอื เจบ็ ปว่ ยเนอื่ งจากการทำ� งานในปี 2554 [6] ปี 2554 มีการวินิจฉัยเร่ืองการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเน่ืองจากการท�ำงานจ�ำนวน 129,632 ราย จากจำ� นวนแรงงานทง้ั สน้ิ 8,222,960 คน เม่ือพิจารณารายละเอียดการประสบอันตรายของแต่ละประเดน็ ดงั น้ี 9.1 จังหวัดท่ีมกี ารประสบอันตรายสงู สุด 10 อนั ดับแรก [6] จังหวัดท่ีมีจ�ำนวนการประสบอันตรายสูงสุด คือกรุงเทพมหานคร จ�ำนวน 37,177 ราย รองลงมา คือ จังหวดั สมุทรปราการ จ�ำนวน 22,818 ราย และจงั หวดั ชลบรุ ี จ�ำนวน 9,104 ราย หรือรอ้ ยละ 28.68, 17.60 และ 7.02 ของจ�ำนวนการประสบอนั ตรายทงั้ หมด ตามลำ� ดับ เหตุผลทีจ่ ังหวดั เหล่าน้มี กี ารประสบอันตรายสูงเนอื่ งจาก จังหวดั เหล่านี้มนี คิ มอตุ สาหกรรม และมีโรงงานอุตสาหกรรมเปน็ จ�ำนวนมากทั้ง 10 จังหวดั แสดงดังรูปที่ 3 - 7 จงั หวัดท่มี จี ำ� นวนการประสบอนั ตรายสงู สดุ 10 อนั ดับแรก รูปท่ี 3 – 7 จังหวัดท่ีมีการประสบอันตรายสูงสุด 10 อันดับแรก ท่ีมา : รายงานประจ�ำปี 2554 กองทุนเงินทดแทน ส�ำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน 9.2 จงั หวดั ทม่ี อี ตั ราการประสบอนั ตราย ตอ่ ลกู จา้ ง 1,000 ราย สงู สดุ [6] จงั หวดั ทม่ี อี ตั ราการประสบอนั ตราย ตอ่ ลกู จา้ ง 1,000 ราย สงู สดุ คอื จงั หวดั สมทุ รปราการเทา่ กบั 34.90 ราย ตอ่ ลกู จา้ ง 1,000 ราย รองลงมา คอื จงั หวดั สมทุ รสาครเทา่ กบั 25.31 รายตอ่ ลกู จา้ ง 1,000 ราย และจงั หวดั ฉะเชิงเทรา เท่ากับ 23.30 รายตอ่ ลูกจา้ ง 1,000 ราย ตามลำ� ดบั แสดงดังรปู ท่ี 3 - 8 การประสบอันตรายของลูกจา้ ง 1,000 ราย สามารถคำ� นวณได้จากสูตรการค�ำนวณตอ่ ไปนี้ จ�ำนวนลูกจ้างท่ีประสบอันตราย x 1,000 จำ� นวนลกู จา้ งทงั้ หมด | อาชวี อนามัยและความปลอดภัยพื้นฐาน 49
ดงั นนั้ เมอ่ื คดิ จำ� นวนลกู จา้ งทปี่ ระสบอนั ตรายตอ่ จำ� นวนลกู จา้ ง1,000รายแลว้ พบวา่ แมว้ า่ กรงุ เทพมหานคร ทมี่ กี ารประสบอนั ตรายจากการทำ� งานสงู สดุ แตม่ จี ำ� นวนคนงานทงั้ หมดสงู ดว้ ยในขณะเดยี วกนั จงั หวดั สมทุ รปราการ มจี ำ� นวนแรงงานท้งั หมดต�่ำกว่า (กรุงเทพมหานครตวั หารมากกวา่ ) จงึ ส่งผลใหใ้ ห้จำ� นวนลูกจ้างท่ปี ระสบอันตรายต่อ จำ� นวนลูกจ้าง1,000 ราย ของกรงุ เทพมหานครตำ่� กว่าจงั หวัดสมุทรปราการ จงั หวดั ท่ีมีอตั ราการประสบอนั ตรายต่อลูกจ้าง 1,000 ราย สูงสดุ 10 จงั หวดั แรก รปู ที่ 3 – 8 จงั หวดั ทมี่ อี ตั ราการประสบอนั ตราย ตอ่ ลกู จา้ ง 1,000 ราย สงู สดุ ทมี่ า : รายงานประจำ� ปี 2554 กองทนุ เงนิ ทดแทน สำ� นกั งานประกนั สงั คม กระทรวงแรงงาน 9.3 สาเหตทุ ที่ ำ� ใหล้ กู จา้ งประสบอนั ตราย สงู สดุ 10 อนั ดบั แรก [6] สาเหตุที่ท�ำให้ลูกจ้างประสบอันตรายสูงสุด คือ วัตถุหรือสิ่งของตัด/บาด/ทิ่มแทง จ�ำนวน 29,382 ราย รองลงมา คอื วตั ถหุ รอื สง่ิ ของพงั ทลาย/หลน่ ทบั จำ� นวน 20,537 ราย และวตั ถุ หรอื สงิ่ ของหรอื สารเคมกี ระเดน็ เขา้ ตา จ�ำนวน 19,471 ราย หรือร้อยละ 22.67, 15.84 และ 15.02 ของจ�ำนวนการประสบอนั ตรายทง้ั หมด ตามลำ� ดับ แสดงดังรูปที่ 3 – 9 สาเหตทุ ่ที ำ� ให้ลกู จา้ งประสบอนั ตราย สงู สดุ 10 อนั ดบั แรก รปู ที่ 3 – 9 สาเหตทุ ที่ ำ� ใหล้ กู จา้ งประสบอนั ตราย สงู สดุ 10 อนั ดบั แรก ทมี่ า : รายงานประจำ� ปี 2554 กองทนุ เงนิ ทดแทน สำ� นกั งานประกนั สงั คม กระทรวงแรงงาน 50 | อาชวี อนามัยและความปลอดภยั พน้ื ฐาน
9.4 ส่ิงที่ท�ำให้ลูกจ้างประสบอันตราย สูงสุด 10 อันดับแรก [6] สิ่งท่ีท�ำให้ลูกจ้างประสบอันตรายสูงสุด คือ วัตถุหรือสิ่งของ จ�ำนวน 59,326 ราย รองลงมา คือ เครื่องจักร จ�ำนวน 16,946 ราย และเครื่องมือ 16,591 ราย หรือร้อยละ 45.76, 13.07 และ 12.80 ของ จ�ำนวนการประสบอันตรายท้ังหมด ตามล�ำดับ แสดงดังรูปที่ 3 – 10 สิง่ ท่ีท�ำใหล้ กู จ้างประสบอนั ตราย สูงสดุ 10 อนั ดบั แรก รปู ท่ี 3 – 10 สงิ่ ทที่ ำ� ใหล้ กู จา้ งประสบอนั ตราย สงู สดุ 10 อนั ดบั แรก ทมี่ า : รายงานประจำ� ปี 2554 กองทนุ เงนิ ทดแทน สำ� นกั งานประกนั สงั คม กระทรวงแรงงาน 9.5 อวยั วะทไ่ี ดร้ บั อนั ตรายสงู สดุ 10 อนั ดบั แรก [6] อวัยวะที่ลกู จา้ งไดร้ ับอันตรายสูงสดุ คอื นวิ้ มอื จ�ำนวน 29,157 ราย เนอ่ื งจากคนงานใช้มอื ในการท�ำงาน เปน็ หลัก รองลงมาคอื ตา จ�ำนวน 23,087 ราย และบาดเจ็บหลายสว่ นของรา่ งกาย จำ� นวน 8,851 ราย หรอื รอ้ ยละ 22.49,17.81 และ 6.83 ของจำ� นวนการประสบอนั ตรายทัง้ หมด ตามล�ำดับ แสดงดงั รปู ท่ี 3 – 11 อวยั วะทีไ่ ดร้ ับอันตรายสงู สดุ 10 อันดับแรก รปู ที่ 3 – 11 อวยั วะทไี่ ดร้ บั อนั ตรายสงู สดุ 10 อนั ดบั แรก 51 ทม่ี า : รายงานประจำ� ปี 2554 กองทนุ เงนิ ทดแทน สำ� นกั งานประกนั สงั คม กระทรวงแรงงาน | อาชวี อนามัยและความปลอดภัยพื้นฐาน
9.6 การประสบอนั ตรายของลกู จ้างแยกตามอายุ [6] กลุม่ อายขุ องลกู จา้ งทม่ี จี ำ� นวนการประสบอันตรายสงู สดุ คือ อายุ 25 - 29 ปี จ�ำนวน 24,971 ราย รองลงมา คือ อายุ 30 - 34 ปี จำ� นวน 24,831 ราย และอายุ 20 - 24 ปี จำ� นวน 20,023 ราย คดิ เปน็ ร้อยละ 19.26 ,19.15 และ 15.45 ของจำ� นวนการประสบอันตรายทั้งหมด ตามลำ� ดบั กลุ่มอายุของลกู จ้างทีม่ อี ัตราการประสบอันตรายต่อ ลกู จา้ ง 1,000 รายสงู สุด คอื อายุ 15 - 19 ปี เท่ากับ 28.69 รายตอ่ พนั ราย อาจเป็นผลเนอ่ื งมาจากแรงงานเด็กเหลา่ นี้ ยังขาดประสบการทำ� งานจึงท�ำใหอ้ ตั ราการประสบอนั ตรายสงู รองลงมา คอื อายุ 20 - 24 ปี เท่ากับ 19.08 ราย ตอ่ พันราย และอายุ 35 - 39 ปี เทา่ กับ 15.28 รายตอ่ พันราย ตามลำ� ดบั แสดงดังรูปที่ 3 – 12 จ�ำนวนและอตั ราการประสบอนั ตราย จ�ำแนกตามกลุ่มอายุ รปู ท่ี 3 – 12 การประสบอนั ตรายของลกู จา้ งแยกตามอายุ ทมี่ า : รายงานประจำ� ปี 2554 กองทนุ เงนิ ทดแทน สำ� นกั งานประกนั สงั คม กระทรวงแรงงาน 9.7 ประเภทกจิ การทมี่ กี ารประสบอนั ตรายสงู สดุ เปน็ 10 อันดบั แรก ประเภทกิจการที่มีจ�ำนวนการประสบอันตรายสูงสุด คือ ประเภทกิจการการก่อสร้าง จ�ำนวน 9,275 ราย เนื่องจากงานก่อสร้างเป็นงานท่ีมีความเส่ียงสูง และแรงงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานท่ีมีความรู้และความตระหนัก ในเรื่องของความปลอดภัยน้อย จึงเป็นสาเหตุให้การประสบอันตรายของกิจการประเภทน้ียังสูงอยู่ รองลงมา คือ ประเภทกจิ การการผลติ เครอื่ งดมื่ อาหาร ฯลฯ จำ� นวน 7,373 ราย และประเภทกจิ การการคา้ เครอื่ งไฟฟา้ ยานพาหนะ จำ� นวน 6,978 ราย หรอื ร้อยละ 7.15, 5.69 และ 5.38 ของจำ� นวนการประสบอนั ตรายทงั้ หมด ตามลำ� ดับ แสดง ดังรูปท่ี 3 – 13 52 | อาชีวอนามยั และความปลอดภยั พ้ืนฐาน
ประเภทกิจการทมี่ ีจ�ำนวนการประสบอนั ตรายสงู สุด 10 อนั ดบั แรก รปู ที่ 3 – 13 ประเภทกจิ การทม่ี กี ารประสบอนั ตรายสงู สดุ เปน็ 10 อนั ดบั แรก ทมี่ า : รายงานประจำ� ปี 2554 กองทนุ เงนิ ทดแทน สำ� นกั งานประกนั สงั คม กระทรวงแรงงาน 10. สถิตโิ รคจากการท�ำงาน พ.ศ. 2545 - 2551 จากสถิติโรคจากการท�ำงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ถึง พ.ศ. 2551 พบว่า อาการเจ็บป่วยจากการยก หรือเคลื่อนย้ายของหนัก มสี ถติ ิสงู สดุ รองลงมาคอื โรคผิวหนงั จากการทำ� งาน และ อาการเจ็บป่วยจากท่าทาง การท�ำงาน เหตุผลที่เป็นดังน้ีอาจมีสาเหตุมาจาก โรคจากการท�ำงานส่วนใหญ่มักเกิดหลังจากการสัมผัสอันตราย มาแล้วเป็นเวลานาน บางคร้ังขณะท�ำงานไม่แสดงอาการท�ำให้ผู้ปฏิบัติงานไม่ทราบว่าเกิดโรคจากการท�ำงานแล้ว รวมท้งั โรคจากการทำ� งานสว่ นใหญ่ใช้เวลาก่อโรคนาน อาจแสดงอาการหลังจากผู้ปฏิบัติงานเกษียณอายอุ อกไปแล้ว เช่น โรคมะเร็งจากท�ำงานกับสารเคมีชนิดต่างๆ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มโรคจากการท�ำงานที่เป็นผลมาจาก อันตรายทางด้านการยศาสตร์ สามารถแสดงอาการของโรคหลังจากสัมผัสอันตรายเป็นเวลาไม่นาน จึงท�ำให้สถิติ ของโรคกลุ่มนส้ี งุ กว่าโรคจากการท�ำงานในกลมุ่ อ่ืนๆ ส่ิงส�ำคัญจากข้อมลู สถิติพบว่า แนวโน้มของโรคจากการทำ� งาน มีแนวโน้มลดลงในทกุ ๆปี ขอ้ มูลสถิติโรคจากการทำ� งาน แสดงดังตารางท่ี 3 - 4 ตารางที่ 3 – 4 สถติ โิ รคจากการทำ� งาน พ.ศ. 2545 - 2551 โรคจากการท�ำงาน ปี พ.ศ. / ราย 2545 2546 2547 2548 2549 2550 2551 1. โรคจากสารตะกวั่ หรือสารประกอบของตะกวั่ 29 15 33 55 35 94 68 2. โรคจากนิกเกลิ หรอื สารประกอบของนกิ เกิล 1 - - - - - - 3. โรคจากสงั กะสหี รอื สารประกอบของสังกะสี 3 4 - - - - - 4. โรคจากฟอสฟอรสั หรอื สารประกอบ 2- - - - - - 5. โรคจากไฮโดรเจนซลั ไฟด์ 1- - - - - - | อาชีวอนามยั และความปลอดภยั พน้ื ฐาน 53
ตารางที่ 3 – 4 สถติ โิ รคจากการท�ำงาน พ.ศ. 2545 - 2551 (ต่อ) โรคจากการท�ำงาน ปี พ.ศ. / ราย 2545 2546 2547 2548 2549 2550 2551 6. โรคจากซลั เฟอร์ไดออกไซด์หรือกรดซัลฟรู ิค 14 - - - - - - 7. โรคจากไนโตรเจนออกไซด์หรือกรดไนตริค 5 - - - - - - 8. โรคจากแอมโมเนีย 64 - - - - - - 9. โรคจากคลอรนี หรอื สารประกอบของคลอรนี 74 - - - - 1 - 10. โรคจากคาร์บอนมอนอกไซด์ - - - - -1- 11. โรคจากเบนซีนหรือสารประกอบ 3- - - - - - 12. โรคจากสารกำ� จัดศตั รพู ืช 21 - - - - - - 13. โรคจากสารเคมอี นื่ หรอื สารประกอบ 195 - 2 1 - - - 14. โรคจากเสียง 31 - 72 23 41 34 36 15. โรคจากความร้อน 5- - - -11 16. โรคจากความเย็น - 24 1 - - 6 - 17. โรคจากความสน่ั สะเทอื น 1- - - - - - 18. โรคจากความกดดันอากาศ - - -2-11 19. โรคจากรงั สีไม่แตกตัว 14 - - - - - - 20. โรคจากฝุ่น 14 9 16 11 12 15 17 21. โรคติดเชือ้ จากการทำ� งาน 5 - 12325 22. อาการเจ็บป่วยจากการยกหรอื เคลื่อนยา้ ย 5,674 5,009 4,425 4,569 4,992 4,205 2,734 ของหนัก 23. อาการเจ็บปว่ ยจากท่าทางการทำ� งาน 1,093 930 809 893 859 693 673 24. โรคผิวหนงั จากการท�ำงาน 2,727 2,469 2,143 2,070 1,917 2,191 1,442 รวมทัง้ ส้ิน 9,976 8,460 7,502 7,626 7,859 7,244 4,977 ทมี่ า : กองทนุ เงินทดแทน ส�ำนักงานประกันสงั คม กระทรวงแรงงาน 54 | อาชวี อนามัยและความปลอดภยั พนื้ ฐาน
11. สถิตอิ บุ ัตภิ ยั จากการท�ำงาน พ.ศ. 2544 - 2555 อุบตั ภิ ยั หมายถงึ เหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ ทนั ทที นั ใด ไมไ่ ดค้ าดคดิ หรอื ไมไ่ ดต้ งั้ ใจใหเ้ กดิ เกดิ แลว้ มคี วามเสยี หาย กับองค์กร เช่น ชีวิต ทรัพย์สิน กระบวนการผลิต ส่ิงแวดล้อมและ ชุมชน เมื่อเกิดแล้วไม่สามารถควบคุมได้ทันที และมีผลกระทบแก่องค์กรสูง เชน่ การเกิดอคั คีภยั การระเบิด สารเคมรี ว่ั ไหล อาคารถล่ม เป็นตน้ สถิติอุบัติภัยจาการท�ำงาน พ.ศ. 2544 - 2555 พบว่าการเกิดอัคคีภัยมีอัตราการเกิดสูงท่ีสุด โดยในปี พ.ศ. 2547 เกิดอัคคภี ัยขึ้นสูงสดุ ถึง 70 คร้งั สว่ นสารเคมีรว่ั ไหล ส่วนใหญ่จะเปน็ แก๊สแอมโมเนยี ใช้ในธุรกิจเกี่ยวกบั การทำ� ความเย็น เช่น โรงงานผลิตน�ำ้ แข็ง โรงงานอาหารแช่แข็ง โดยในปี พ.ศ. 2547 สารเคมรี ่วั ไหล 12 ครั้ง ขอ้ มลู การเกดิ อุบัติภัยแสดงดงั รูปที่ 3 - 14 สถติ ิอุบัตภิ ยั จากการทำ� งาน พ.ศ. 2544 - 2555 รูปที่ 3 - 14 สถิติอุบัตภิ ยั จากการทำ� งาน พ.ศ. 2544 - 2555 12. อตั ราการเสยี ชวี ติ จากการทำ� งานตอ่ ลกู จา้ ง 100,000 รายในประเทศตา่ งๆ [9,10] Jukka Takala ไดเ้ กบ็ ขอ้ มูลอัตราการเสียชีวติ จากการท�ำงานตอ่ ลกู จ้าง 100,000 ราย พบวา่ ประเทศที่ พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา แคนนาดา ญ่ีปุ่น มีการเสียชีวิตจากการท�ำงานของลูกจ้างต่�ำกว่าประเทศท่ีก�ำลัง พัฒนา เช่น ประเทศไทย มาเลเซีย เกาหลี และ อินโดนีเซีย ประเทศในเอเชียที่มีการเสียชีวิตของลูกจ้างต่�ำท่ีสุด ได้แก่ ญ่ีปุ่น ดังน้ันสรุปได้ว่า ประเทศท่ีพัฒนาแล้วมีการด�ำเนินงานด้านอาชีวอนามัยความปลอดภัย และสภาพ แวดล้อมในการท�ำงาน ดีกวา่ ประเทศทีก่ ำ� ลงั พฒั นาและประเทศทด่ี อ้ ยพฒั นา แสดงดงั รปู ท่ี 3 - 15 | อาชีวอนามัยและความปลอดภยั พื้นฐาน 55
Annual incidence of fatal occupational accidents per 100,000 workers in selected countries FI = Finland; SE = Sweden; NO = Norway; DK = Denmark; BE = Belgium; US = USA; CA = Canada; AU = Australia; JP = Japan; MY = Myanmar; TH = Thailand; KR = Republic of Korea; ID = Indonesia; FJ = Fiji รปู ท่ี 3 - 15 อัตราการเสียชีวิตจากการทำ� งานตอ่ ลูกจา้ ง 100,000 ราย ในประเทศต่างๆ ท่มี า : Jukka Takala.1992. Safety and health information system: Analysis of local, national and global methods (doctoral thesis). Tampere University of Technology, Tampele, Finland. 56 | อาชวี อนามัยและความปลอดภัยพืน้ ฐาน
บทสรุป ขอ้ มลู จากสำ� นักงานสถติ ิแห่งชาติ ได้ทำ� การส�ำรวจจ�ำนวนแรงงานของประเทศไทยในเดือนตลุ าคม ปพี .ศ. 2555 พบว่าประเทศไทยมีประชากรประมาณ 64 ล้านคน มีแรงงานที่มีอายุมากกว่า 15 ปีขึ้นไปมีจ�ำนวนเท่ากับ 54.66 ล้านคน เป็นผู้ที่มีท�ำงานแล้ว 39.21 ล้านคน เป็นแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ และเป็นผู้ว่างงาน 2.33 แสนคน แรงงานทอี่ ยใู่ นเครอื ขา่ ยกองทนุ เงนิ ทดแทนมแี นวโนม้ เพมิ่ สงู ขน้ึ เรอ่ื ยๆ จากปี พ.ศ. 2535 มจี ำ� นวนแรงงาน ท้ังส้ิน 3.02 ล้านคน และปัจจุบัน พ.ศ. 2554 มีแรงงานท้ังสิ้น 8.22 ล้านคน จ�ำนวนแรงงานท่ีประสบอันตราย ในเครอื ขา่ ยกองทนุ น้ี มกี ารประสบอนั ตรายทไี่ มค่ งท่ี โดย พ.ศ. 2554 มแี รงงานทป่ี ระสบอนั ตรายทงั้ สนิ้ 1.30 แสนคน อตั ราการประสบอันตรายต่อลกู จ้าง 1,000 ราย แนวโนม้ ลดลงอยา่ งต่อเน่อื ง โดย พ.ศ. 2554 มีอตั ราการ ประสบอันตรายต่อลูกจา้ ง 1,000 รายต�่ำสดุ เทา่ กับ 15.76 คน อวยั วะทลี่ กู จา้ งไดร้ บั อนั ตรายสงู สดุ คอื นว้ิ มอื รองลงมาคอื ตา การบาดเจบ็ หลายสว่ นของรา่ งกาย และมอื ตามลำ� ดบั กลุม่ อายขุ องลูกจา้ งที่มอี ตั ราการประสบอันตรายตอ่ ลกู จา้ ง 1,000 รายสูงสดุ คอื อายุ 15 - 19 ปี ประเภทกจิ การทม่ี จี ำ� นวนการประสบอนั ตรายสงู สดุ คอื ประเภทกจิ การการกอ่ สรา้ ง รองลงมา คอื ประเภท กิจการการผลติ เคร่อื งดม่ื และประเภทกจิ การการค้าเครือ่ งไฟฟ้า ยานพาหนะ ตามลำ� ดับ สถิติโรคจากการท�ำงาน พบว่า อาการเจ็บป่วยจากการยกหรือเคลื่อนย้ายของหนัก มีสถิตสูงสุด รองลงมา คือ โรคผวิ หนงั จากการทำ� งาน และ อาการเจบ็ ปว่ ยจากทา่ ทางการท�ำงาน ตามลำ� ดับ สถิติอุบัติภัยจาการท�ำงาน พบว่าการเกิดอัคคีภัยมีอัตราการเกิดสูงกว่า การระเบิด และสารเคมีรั่วไหล โดยในปี พ.ศ. 2547 มีอัคคีภยั เกดิ ขน้ึ ขึน้ สงู สุดถึง 70 ครั้ง Jukka Takala ได้เก็บข้อมูลอัตราการเสียชีวิตจากการท�ำงานต่อลูกจ้าง 100,000 ราย พบว่า ประเทศที่ พฒั นาแลว้ มกี ารเสยี ชีวติ จากการทำ� งานของลูกจา้ งต่ำ� กว่าประเทศท่กี ำ� ลังพัฒนา | อาชวี อนามยั และความปลอดภัยพืน้ ฐาน 57
บรรณานุกรม 1. สรุปผลส�ำรวจภาวะการท�ำงานของประชากร (เดือนตุลาคม พ.ศ. 2555), ส�ำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร. เข้าถึงข้อมูลวันท่ี 20 ธันวาคม 2555. จาก http:// service.nso.go.th/nso/nsopublish/themes/files/lfs55/reportOct.pdf 2. ข้อมูลสถิตกิ องทุนเงนิ ทดแทน สำ� นักงานประกันสงั คม กระทรวงแรงงาน. เข้าถึงข้อมูลวันที่ 20 ธันวาคม 2555. จาก Available from: http://www.sso.go.th/wpr/home.jsp 3. รายงานประจำ� ปี 2551. กองทุนเงินทดแทน ส�ำนกั งานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน 4. รายงานประจำ� ปี 2552. กองทนุ เงนิ ทดแทน สำ� นักงานประกนั สงั คม กระทรวงแรงงาน 5. รายงานประจำ� ปี 2553. กองทนุ เงนิ ทดแทน สำ� นักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน 6. รายงานประจำ� ปี 2554. กองทนุ เงนิ ทดแทน (Annual Report 2011) สำ� นกั งานประกนั สงั คม,กระทรวงแรงงาน 7. สถิติการเจ็บป่วยจากการท�ำงานจ�ำแนกตามชนิดโรค พ.ศ. 2545 – 2551. กองทุนเงินทดแทน ส�ำนักงานประกนั สังคม กระทรวงแรงงาน 8. สถิติอุบัติเหตุ ปี 2544-2555 ส�ำนักเทคโนโลยีความปลอดภัย. เข้าถึงข้อมูลวันท่ี 20 ธันวาคม 2555. จาก http://oaep.diw.go.th/cms/ 9. Jukka Takala.1992. Safety and health information system: Analysis of local, national and global methods (doctoral thesis). Tampere University of Technology, Tampele, Finland. 10. เฉลมิ ชยั ชยั กติ ภิ รณ.์ ความปลอดภยั อาชวี อนามยั และสภาพแวดลอ้ มในการทำ� งาน. โครงการพฒั นา นกั บริหารมหาวิทยาลยั มหิดล. คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล 58 | อาชีวอนามยั และความปลอดภยั พืน้ ฐาน
คำ� ถามท้ายบท 1. วิกฤติเศรษฐกิจต้มย�ำกุ้ง เกิดขึ้นช่วง พ.ศ. ใด และส่งผลต่อการประสบอันตรายจากการท�ำงานของ ลูกจา้ งอย่างไร 2. จังหวัดท่มี จี ำ� นวนการประสบอันตรายของลกู จ้างสูงสุดในปี พ.ศ. 2554 คือจงั หวดั ใด 3. จังหวัดท่ีมีอัตราการประสบอันตราย ต่อลูกจ้าง 1,000 ราย สูงสุด คือ จังหวัดสมุทรปราการ ท้ังๆที่มี การประสบอันตรายของลูกจา้ งเป็นอันดับ 2 มีสาเหตมุ าจากปจั จัยใด 4. อวัยวะส่วนใดของรา่ งกายท่ีมอี ัตราการประสบอนั ตรายสงู ท่สี ดุ ในปี พ.ศ. 2554 5. สถานประกอบกจิ การประเภทใดมอี ัตราการประสบอันตรายสงู ที่สดุ ในปี พ.ศ. 2554 6. ประเทศใดในภมู ิภาคเอเชียที่มกี ารเสียชวี ิตจากการทำ� งานของลกู จา้ งต�่ำท่สี ดุ | อาชวี อนามยั และความปลอดภยั พนื้ ฐาน 59
60 | อาชวี อนามยั และความปลอดภัยพ้นื ฐาน
บทท่ี 4 สภาพแวดลอ้ มในการทำ� งาน ทอี่ าจกอ่ ให้เกิดอนั ตราย Environmental Hazards in The Workplaces เนือ้ หาการเรยี นรู้ - อันตรายจากสภาพแวดล้อมในการท�ำงานด้านกายภาพ - อันตรายจากสภาพแวดล้อมในการท�ำงานด้านเคมี - อันตรายจากสภาพแวดล้อมในการท�ำงานด้านชีวภาพ - อันตรายจากสภาพแวดล้อมในการท�ำงานด้านการยศาสตร์
1. บทนำ� เมอื่ ผ้ปู ฏิบตั งิ านตอ้ งปฏบิ ตั งิ านอย่ใู นสภาพแวดล้อมในการท�ำงานที่ไมเ่ หมาะสม อาจสง่ ผลใหเ้ กดิ อันตราย ต่อผู้ปฏิบัติงาน โดยการตอบสนองต่ออันตรายในรูปแบบต่างๆ เช่น ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุจากการท�ำงาน เกิดโรค จากการท�ำงาน และท�ำให้ประสิทธิภาพในการท�ำงานลดลง อันตรายจากสภาพแวดล้อมในการท�ำงานน้ัน ผู้ปฏิบัติงานสามารถรับรู้ได้โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ การมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส และสัมผสั ทางผวิ หนงั การด�ำเนินงานด้านอาชีวอนามยั ความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการท�ำงาน แบง่ สภาพ แวดล้อมในการท�ำงานออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ สภาพแวดล้อมในการท�ำงานด้านกายภาพ สภาพแวดล้อมในการ ท�ำงานด้านเคมี สภาพแวดล้อมในการท�ำงานด้านชีวภาพ และสภาพแวดล้อมในการท�ำงานด้านการยศาสตร์ แตค่ วามเปน็ อันตรายของสภาพแวดลอ้ มการทำ� งานน้ัน ต้องประเมินให้ได้ว่าเปน็ อันตรายต่อผปู้ ฏิบตั งิ านจรงิ หรอื ไม่ โดยใชว้ ธิ ีการตรวจวัดทางด้านสขุ ศาสตร์อตุ สาหกรรมและความปลอดภยั น�ำคา่ ท่ีไดจ้ ากการตรวจวดั ไปเทียบกับคา่ มาตรฐาน แลว้ แปลผลออกมาวา่ เป็นอันตรายต่อผู้ปฏบิ ตั งิ านหรอื ไม่ 2. อนั ตรายจากสภาพแวดลอ้ มในการทำ� งานดา้ นกายภาพ Environmental Physical Hazards หมายถึง สภาพแวดล้อมที่อยู่ในพื้นท่ีการท�ำงานโดยที่ผู้ปฏิบัติงานมีโอกาสสัมผัสอันตรายเหล่าน้ีได้ โดยใช้ ประสาทสัมผัส เช่น การมองเห็น การได้ยิน หรือสัมผัสทางผิวหนัง สภาพแวดล้อมในการท�ำงานด้านกายภาพนี้ สามารถจ�ำแนกออกเปน็ 7 กลมุ่ ดังน้ี 1. เสยี ง Noise 2. สั่นสะเทือน Vibration 3. ความรอ้ น Heat 4. ความเย็น Cold 5. รงั สแี ตกตวั Ionizing Radiation และ รงั สไี ม่แตกตวั Non-Ionizing Radiation 6. ความกดดนั อากาศ Pressure 7. แสงสว่าง Light 2.1 เสยี ง Noise [1,2,3] เสยี งเกดิ จากการสน่ั สะเทอื นของวตั ถแุ ลว้ สง่ ผา่ นไปยงั ตวั กลางทเ่ี ปน็ ของแขง็ ของเหลว และกา๊ ซ ผา่ นเขา้ สหู่ ู ของผู้ปฏิบัติงานท�ำให้เกิดการได้ยิน เสียงที่คนเราได้ยินน้ัน ทางด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย แบ่งเสียง ออกเป็น 2 ประเภทคือ เสียงรบกวน (Noise) และ เสียงสุนทรียะ (Sound) ในทางปฏิบัติไม่มีเครื่องมือใดท่ี สามารถแยกความแตกต่างระหว่าง Noise และ Sound ได้ เน่อื งจากการรบั รู้หรือความชืน่ ชอบของเสยี งในแตล่ ะ บคุ คลมีความแตกต่างกนั 62 | อาชีวอนามยั และความปลอดภยั พ้นื ฐาน
เสียงรบกวน Noise หมายถงึ เสียงทคี่ นเราเม่อื ได้ยินแล้วเกิดความรู้สึกไมส่ บายหรือเป็นส่งิ รบกวน ทำ� ให้ ประสทิ ธภิ าพในการท�ำงานลดลงและอาจส่งผลให้เกดิ โรคจากการทำ� งาน คอื การสญู เสียสมรรถภาพในการไดย้ ิน เสียงสุนทรียะ Sound หมายถึง เสียงท่ีฟังแล้วเกิดความเพลิดเพลินรู้สึกสบายในการรับฟัง เสียงเหล่าน้ี ได้แก่ เสียงดนตรี เสยี งเพลง เสียงธรรมชาติ รวมทัง้ เสยี งเพลงบรรเลง ซึง่ แต่ละบคุ คลมคี วามชื่นชอบแตกตา่ งกัน 2.1.1 คุณสมบัตขิ องเสยี ง มนุษย์สามารถรับฟังเสียงท่ีช่วงความถ่ีต้ังแต่ 20 ถึง 20,000 Hz แต่ช่วงของการสนทนาของมนุษย์จะอยู่ ในช่วง 500 - 2,000 Hz การเคล่ือนท่ีของเสียงต้องอาศัยตัวกลาง เช่น ของแขง็ ของเหลว และอากาศ โดยตัวกลาง ทม่ี คี วามหนาแนน่ สูง จะท�ำใหเ้ สยี งเคล่อื นที่ไปได้เร็ว กว่าตัวกลางทม่ี ีความหนาแนน่ ต่ำ� ดังนัน้ เสียงจงึ เคล่อื นทจี่ าก ตัวกลางที่เป็นของแขง็ ได้ดีกว่าของเหลวและอากาศตามล�ำดบั 2.1.2 ประเภทของเสียง [3] ในงานดา้ นอาชวี อนามัยและความปลอดภยั แบ่งเสียงออกเปน็ 3 ประเภท ไดแ้ ก่ 2.1.2.1 เสียงดังแบบตอ่ เน่อื ง (Continuous Noise) เป็นเสยี งดงั ทเ่ี กิดขน้ึ อย่างต่อเนอื่ ง จำ� แนก ออกเป็น 2 ลักษณะ คือ เสียงดังต่อเน่ืองแบบคงที่ (Steady State Noise) และเสียงดังต่อเนื่องที่ไม่คงท่ี (Non Steady State Noise) 1) เสียงดังต่อเน่ืองแบบคงที่ (Steady State Noise) เป็นลักษณะเสียงดังต่อเน่ืองที่มี ระดับเสียง เปลี่ยนแปลงไม่เกิน 3 เดซิเบล เช่น เสียงจากเคร่ืองจักรในกระบวนการผลิตที่มีการเดินเคร่ืองจักร อย่างต่อเนื่อง เสยี งจากเครอ่ื งทอผา้ เคร่อื งป่ันดา้ น เสยี งพดั ลม เสยี งแอร์ เปน็ ตน้ 2) เสยี งดงั ตอ่ เนอ่ื งทไี่ มค่ งท่ี (Non Steady State Noise) หมายถึง เสียงท่ีมรี ะดบั เสยี ง เปลย่ี นแปลงเกนิ กวา่ 10 เดซเิ บล เช่น เสียงจากเลื่อยวงเดอื น เคร่ืองเจยี ระไน เป็นต้น 2.1.2.2 เสียงดังเป็นช่วง ๆ (Intermittent Noise) เป็นเสียงท่ีดังไม่ต่อเนื่อง มีความดังหรือเบาสลบั ไปมาเปน็ ระยะๆ เชน่ เสยี งเครื่องป๊ัมอดั ลม เสยี งจราจร เสียงเคร่อื งบนิ ท่ีบินผ่านไปมา เป็นต้น 2.1.2.3 เสยี งกระทบหรือกระแทก (Impact or Impulse Noise) เปน็ เสียงที่เกิดขน้ึ และส้นิ สุด อย่างรวดเร็วในเวลาน้อยกว่า 1 วนิ าที มีการเปล่ียนแปลงของเสยี งมากกวา่ 40 เดซเิ บล เชน่ เสยี งการตอกเสาเขม็ การปั๊มชิ้นงาน การทุบหรอื เคาะอยา่ งแรง เป็นต้น 2.1.3 กลไกการไดย้ ิน กลไกการไดย้ นิ ของมนษุ ยน์ นั้ ตอ้ งอาศยั หเู ปน็ อวยั วะในการรบั รเู้ สยี ง ซงึ่ หแู บง่ ออกเปน็ 3 ชนั้ ไดแ้ ก่ หชู น้ั นอก หูชั้นกลาง และหูชั้นใน ซ่ึงหูท้ัง 3 ช้ัน มีหน้าท่ีส�ำคัญในการรับเสียง และแปลงสัญญาณเสียงเป็นสัญญาณระบบ ประสาท ส่งไปแปลผลยังสมอง ทำ� ให้มนุษย์สามารถรบั รู้เสยี งได้ กายวิภาคของหูแสดงดงั รปู ที่ 4 - 1 | อาชีวอนามัยและความปลอดภยั พ้นื ฐาน 63
รปู ท่ี 4 – 1 กายวภิ าคของหู หูชั้นนอก ประกอบไปด้วย ใบหู และรูหู ท�ำหน้าท่ี รับและรวมคล่ืนเสียงส่งไปยังหูชั้นกลางและชั้นใน ตามล�ำดับ หูชั้นกลาง ประกอบไปด้วยกระดูกท่ีส�ำคัญ 3 ช้ิน ได้แก่ กระดูกค้อน (Malleus) กระดูกท่ัง (Incus) และกระดูกโกลน (Stapes) กระดูกทั้ง 3 ช้ินท�ำหน้าที่สั่นสะเทือน เพ่ือขยายสัญญาณเสียงแล้วส่งสัญญาณไปยัง หูช้ันใน หูช้ันใน ประกอบไปด้วยอวัยวะท่ีส�ำคัญท�ำหน้าท่ีในการรับฟังเสียงได้แก่ คอเคลีย ในคอเคลียน้ีเอง ประกอบไปด้วยเซลล์ขน (Hair Cells) ในเซลลข์ นมีเซลลป์ ระสาทมาเลี้ยงอยู่ ท�ำหนา้ ท่สี ง่ ผ่านคล่นื เสียง และแปลง สัญญาณเสียงเป็นสัญญาณระบบประสาท แล้วส่งไปแปลผลยังสมองท�ำให้เราสามารถรับรู้เสียงที่เราสัมผัสได้ เมื่อพนักงานสัมผัสเสียงในโรงงานอุตสาหกรรมที่เกินกว่า 85 เดซิเบลเอ ก็จะท�ำให้เซลล์ขนน้ีสูญเสียสมรรถภาพ การทำ� งานและสง่ ผลใหค้ นงานไมส่ ามารถรบั ฟงั เสยี งในทสี่ ดุ ระดบั ความดงั เสยี งทพี่ บในสงิ่ แวดลอ้ มทวั่ ไปในกจิ กรรม ตา่ งๆ ในชวี ิตประจ�ำวนั ของมนษุ ย์ แสดงใน ตารางที่ 4 - 1 ตารางที่ 4 - 1 แสดงความดนั เสยี งและระดับความดังเสียงทพ่ี บในสิ่งแวดล้อม ความดันเสยี ง ระดบั ความ ตัวอยา่ งสงิ่ แวดลอ้ มท่พี บ ความรูส้ กึ (นิวตนั /ตร.ม) ดังเสยี ง ของผไู้ ด้ยิน (เดซิเบล.เอ) จุดห่างจากเครื่องบินทหารลง 30 เมตร ดังมาก ๆ 200 140 จดุ ทค่ี นงานทำ� งานกับเคร่ืองนวิ เมติก 63 130 หมอ้ ไอนำ�้ คอ้ นทุบโลหะ ดงั มาก 20 120 เครื่องพิมพ์โลหะอตั โนมตั ิ 6.3 110 หอ้ งทดลองเครอ่ื งยนต์ เลื่อยวงเดือนขนาดใหญ่ 2.0 100 บริเวณก่อสร้าง-ที่มีการขุดเจาะ 0.63 90 64 | อาชีวอนามยั และความปลอดภัยพืน้ ฐาน
ตารางท่ี 4 - 1 แสดงความดันเสียงและระดับความดงั เสยี งที่พบในสง่ิ แวดล้อม (ต่อ) ความดันเสียง ระดับความ ตัวอย่างสิ่งแวดล้อมที่พบ ความรู้สึก (นิวตัน/ตร.ม) ดังเสียง ของผู้ได้ยิน (เดซิเบล.เอ) เคร่ืองเป่าลม ส�ำนักงานท่ีมีเครื่องพิมพ์ 0.2 วิทยาตามบ้านเรือน ดัง 0.063 80 ห้างสรรพสินค้า ภัตตาคาร 0.02 70 เสียงสนทนา ส�ำนักงานท่ัว ๆ ไป เงียบ 0.0063 60 บริเวณชานเมือง 0.002 เสียงกระซิบ เงียบสนิท 0.00063 50 ลมหายใจ 0.0002 40 - 0.000063 30 ขีดจ�ำกัดที่สุดของการได้ยิน 0.00002 20 10 0 ท่ีมา : วิทยา อยู่สุข, อาชีวอนามัย ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อม. ภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล. 2544 2.1.4 อันตรายของเสยี ง [1,2,3] เสยี งทดี่ งั เกนิ กวา่ มาตรฐานมผี ลกระทบตอ่ การทำ� งานของคนงาน ทำ� ใหเ้ กดิ การสญู เสยี สมรรถภาพการไดย้ นิ รวมท้ังสง่ ผลต่อสขุ ภาพด้านอ่ืน ๆ ของคนงาน โดยอนั ตรายของเสียงนัน้ สามารถแบง่ ออกได้เป็นดงั น้ี 1. สูญเสียสมรรถภาพการได้ยนิ แบบชว่ั คราวหรือแบบถาวร 2. ทำ� ใหก้ ารท�ำงานของระบบไหลเวียนโลหติ ระบบประสาท และระบบตอ่ มไร้ทอ่ ทำ� งานผดิ ปกติ 3. รบกวนการนอนหลับ ท�ำให้สุขภาพทรดุ โทรมและทำ� ให้สภาพรา่ งกายไม่พรอ้ มตอ่ การปฏิบตั ิงาน 4. รบกวนการตดิ ตอ่ สอ่ื สาร การสงั่ งาน และทำ� ใหเ้ กดิ ความผดิ พลาดในการทำ� งาน เชน่ ทำ� ใหก้ ารสง่ั งานผิด พลาดสง่ ผลให้เกดิ อบุ ัตเิ หตุจากการท�ำงาน 5. เปน็ อันตรายต่อความปลอดภัยตอ่ การทำ� งาน เช่น เมอ่ื เกดิ เหตฉุ ุกเฉนิ ไมไ่ ดย้ นิ สัญญาณเตือนภยั ท�ำให้ คนงานออกจากพื้นท่ีอาคารล่าช้า ส่งผลให้คนงานได้รับอันตราย หรือในกรณีที่เครื่องจักรมีเสียง เปลี่ยนผดิ ไปจากปกติ ผปู้ ฏบิ ตั งิ านไมไ่ ดย้ นิ อาจทำ� ให้เคร่อื งจกั รน้นั พังหรอื เกิดอนั ตรายได้ 6. เกิดความหงุดหงิด ร�ำคาญจากการสัมผัสเสียงดัง ท�ำให้เกิดความไม่สบายใจ ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อ การปฏิบตั งิ านได้ 2.1.5 การประเมนิ อนั ตรายจากเสยี ง [2,3] ในการประเมินอันตรายจากเสยี งดงั น้ัน จะใช้เครื่องวัดเสียงในการตรวจวดั ในงานดา้ นอาชีวอนามัยและ ความปลอดภัยมีเครื่องมือในการวัดเสียงอยู่หลายประเภท ดังน้ัน ผู้ใช้เครื่องมือจะต้องศึกษาประเภทของ เครื่องมือและมาตรฐานของเครอ่ื งมอื ในการตรวจวดั เสยี งใหเ้ หมาะสมกบั ลักษณะของการใชง้ าน | อาชวี อนามัยและความปลอดภัยพ้ืนฐาน 65
2.1.5.1 เครือ่ งวัดเสียง Sound Level Meter เป็นเครื่องมือพื้นฐานในการวัดระดับเสียงดังในสถานที่ท�ำงาน สามารถวัดเสียงได้ตั้งแต่ 40-140 เดซเิ บล โดยแบง่ ข่ายของการวดั เสยี ง (Weighting Networks) ออกเปน็ 3 ขา่ ยได้แก่ A B และ C รปู เคร่อื งวัดเสียง (Sound level meter) แสดงดังรปู ที่ 4 - 2 1) Weighting Networks A ถูกออกแบบให้ประมาณระดับเสียงท่ีมีความดังเท่ากับเสียงที่หูคนได้ยิน ท่ีระดับความดังเสียงต�่ำ ดังนั้น Weighting Networks A จึงมีลักษณะการตอบสนองคล้ายกับหูคน มากที่สุด ซึ่งจะแสดงถึงอันตรายท่ีมีต่อหูคนงาน จึงน�ำมาใช้ในการวัดเสียงที่คนงานได้รับ มีหน่วย เป็นเดซิเบลเอ (dBA) 2) Weighting Networks B ถูกออกแบบให้ประมาณระดับเสียงท่ีมีความดังเท่ากับเสียงท่ีหูคนได้ยิน ที่ระดับความดังเสียงปานกลาง หน่วยท่ีใช้ในการวัดเสียงของ Weighting Networks B มีหน่วยเป็น เดซเิ บลบี (dBB) 3) Weighting Networks C ถูกออกแบบให้ประมาณระดับเสียงท่ีมีความดังเท่ากับเสียงท่ีหูคนได้ยินท่ี ระดับความดังเสียงสูง นิยมน�ำมาประเมินความดังเสียงของเคร่ืองจักร หน่วยที่ใช้ในการวัดเสียงของ Weighting Networks C มหี นว่ ยเปน็ เดซิเบลซี (dBC) เครื่องวัดเสียง (Sound Level Meter) [3,4] ต้องได้มาตรฐาน (International Electrotechnical Commission: IEC) IEC 651 Type 2 หรอื มาตรฐานเทยี บเทา่ เชน่ ANSI S 1.4, BS EN 60651, AS/NZS 1259.1 เป็นต้น หรอื มาตรฐานที่ดีกว่า เช่น IEC 60804, IEC 61672, BS EN 60804, AS/NZS 1259.2 เปน็ ตน้ External calibrator รปู ท่ี 4 - 2 เครื่องวดั เสยี ง Sound Level Meter 2.1.5.2 เครื่องวัดปริมาณเสยี งสะสม (Noise Dosimeter) เปน็ เคร่อื งมอื ท่อี อกแบบให้สามารถบนั ทกึ ระดบั เสยี งทง้ั หมดทพ่ี นักงานได้รับและค�ำนวณคา่ เฉล่ีย ของระดับความดังตลอดเวลาท่ีเคร่ืองวัดน้ีท�ำงาน นิยมใช้ในการตรวจวัดเสียงที่คนงานมีการย้ายงานไปต�ำแหน่ง ระดับเสียงที่มีความแตกต่างกันมากหรือมีการท�ำงานในหลายต�ำแหน่ง โดยรูปเครื่องวัดปริมาณเสียงสะสม (Noise Dosimeter) แสดงดงั รูปท่ี 4 - 3 เคร่ืองวัดปริมาณเสียงสะสม (Noise Dosimeter) [3,4] ต้องได้มาตรฐาน IEC 61252 หรือมาตรฐาน เทียบเท่า เช่น ANSI S1.25 หรอื ดกี ว่า 66 | อาชวี อนามยั และความปลอดภยั พ้นื ฐาน
รปู ที่ 4 - 3 เคร่อื งวัดปรมิ าณเสยี งสะสม (Noise Dosimeter) 2.1.5.3 เคร่อื งวดั ปรมิ าณเสียงกระแทก (Impulse or Impact Noise Meter) เสียงกระทบหรือเสยี งกระแทกเปน็ เสียงที่เกดิ ข้นึ ในระยะเวลาส้ัน ๆ แลว้ หายไปเหมือนกับเสียงปนื เช่น เสียงตอกเสาเข็ม เครื่องวัดเสียงโดยท่ัวไปอาจมีความไวไม่พอในการตอบสนองต่อเสียงกระแทก จึงควรใช้ เครือ่ งวดั เสียงกระทบหรือกระแทกโดยเฉพาะเพ่ือใชใ้ นการกำ� หนดมาตรการป้องกนั ควบคุมเสยี งให้เหมาะสมตอ่ ไป เครือ่ งวัดเสยี งกระทบหรือเสียงกระแทก (Impact Noise Meter) [3,4] ตอ้ งไดม้ าตรฐาน IEC 61672 หรือ IEC 60804 หรือเทยี บเทา่ เชน่ ANSI S 1.43 หรือดกี ว่า 2.1.5.4 เคร่ืองวัดเสยี งชนดิ แยกความถ่ี Octave band analyzer เปน็ เครอ่ื งมอื ทใี่ ชใ้ นการวดั เสยี งทคี่ นงานไดร้ บั โดยสามารถแยกความถอ่ี อกเปน็ ชว่ งความถ่ีที่ระดับ ต่างๆ สามารถจ�ำแนกได้ว่าลักษณะงานที่คนงานได้รับเป็นเสียงที่มีความถ่ีสูงหรือเสียงท่ีมีความถี่ต่�ำ เพ่ือใช้เป็น ข้อมูลในการก�ำหนดมาตรการป้องกันควบคุมทางด้านวิศวกรรม โดยการใช้วัสดุดูดซับเสียงท่ีมีความสามารถ ดดู ซบั เสยี งที่ความถี่แตกต่างกนั ได้ รวมทัง้ เลอื กใชอ้ ปุ กรณป์ ้องกันอันตรายสว่ นบุคคลอยา่ งเหมาะสมโดยถา้ เสยี งท่ีมี ความถส่ี ูงควรใช้ทคี่ รอบหูลดเสียง (Ear muffs) ถ้าเป็นเสียงท่มี คี วามถีต่ �่ำควรใชท้ ่อี ดุ หลู ดเสยี ง (Ear plugs) เปน็ ตน้ ก่อนทำ� การตรวจวดั เสยี ง ต้องท�ำการปรบั เทยี บความถกู ตอ้ ง (Calibration) ก่อนการใชง้ านทกุ ครั้ง ดว้ ย อุปกรณป์ รับเทียบความถูกต้อง (Noise Calibrator) ทไี่ ดม้ าตรฐาน IEC 60942 หรือเทยี บเท่าตามวิธีการที่ระบุใน คู่มอื การใช้งานของผผู้ ลิต เพื่อจะท�ำใหค้ า่ ท่ตี รวจวดั ไดม้ คี วามถกู ตอ้ งและมีความแม่นยำ� สงู 2.1.6 ค่ามาตรฐานของเสยี ง [5] จากกฎกระทรวง เร่ือง ก�ำหนดมาตรฐานในการบรหิ ารและจดั การด้านความปลอดภยั อาชีวอนามัยและ สภาพแวดลอ้ มในการทำ� งานเกยี่ วกบั ความร้อน แสงสวา่ ง และเสยี ง พ.ศ. 2549 ไดก้ ำ� หนดให้สถานประกอบการทุก สถานประกอบการ ต้องดำ� เนนิ การตรวจวัดเสยี งอย่างนอ้ ยปลี ะ 1 คร้ัง หรอื กรณีทีม่ กี ารปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลง เคร่อื งจักร อุปกรณ์ กระบวนการผลิต วิธีการท�ำงาน หรอื การด�ำเนินการใด ๆ ที่อาจมผี ลตอ่ การเปลย่ี นแปลงระดบั เสียงในสถานประกอบการ คา่ มาตรฐานของเสียง แสดงดังตารางที่ 4 – 2 มาตรฐานของ OSHA [6] มีค่ามาตรฐาน การสมั ผัสเสียงดงั เท่ากบั มาตรฐานของไทย | อาชีวอนามัยและความปลอดภยั พืน้ ฐาน 67
ตารางที่ 4 – 2 มาตรฐานระดับเสยี งทีย่ อมใหล้ ูกจา้ งไดร้ บั ตลอดเวลาการท�ำงานในแต่ละวนั เวลาการท�ำงานทีไ่ ด้รับเสียง (ช่ัวโมง) ระดับเสยี งเฉลีย่ ตลอดเวลาการทำ� งาน (TWA) ไม่เกนิ (เดซเิ บลเอ) 12 8 87 7 90 6 91 5 92 4 93 3 95 2 97 1 ช่วั โมง 30 นาที 100 1 102 30 นาที 105 15 นาที หรือน้อยกว่า 110 115 เวลาการท�ำงานที่ได้รับเสียงและระดับเสียงเฉลี่ยตลอดเวลาการท�ำงาน (TWA) ให้ใช้ค่ามาตรฐาน ท่กี �ำหนดในตารางขา้ งตน้ เปน็ ลำ� ดบั แรก หากไมม่ คี ่ามาตรฐานทีก่ ำ� หนดตรงตามตารางใหค้ ำ� นวณจากสูตร ดังน้ี T = 8 2(L−90) / 5 เมอื่ T หมายถงึ เวลาการท�ำงานท่ยี อมใหไ้ ด้รบั เสยี ง (ช่ัวโมง) L หมายถงึ ระดบั เสยี ง (เดซิเบลเอ) ในกรณีค่าระดับเสียงเฉล่ียตลอดเวลาการท�ำงาน (time-weighted average; TWA) ที่ได้จากการ คำ� นวณมีเศษทศนิยมให้ตัดเศษทศนยิ มออก อย่างไรก็ตามในกฎหมายฉบับน้ี ได้ก�ำหนดระดับเสียงสูงสุด (Peak) ในการท�ำงาน ห้ามเกิน เกิน 140 เดซิเบลเอ จากตารางท่ี4–2 พบว่ามาตรฐานระดับเสียงท่ีที่ผู้ปฏิบัติงานสามารถสัมผัสได้ตลอดการท�ำงาน8ชั่วโมง ต่อวันมีค่าเท่ากับ 90 เดซิเบลเอ แต่ถ้าเป็นมาตรฐานของต่างประเทศ เช่น ACGIH [7] ก�ำหนดเสียงในการทำ� งาน ท่ี 8 ช่ัวโมงต่อวันไว้ไม่เกิน 85 เดซิเบลเอ ซ่ึงมีความปลอดภัยมากกว่ากฎหมายไทย อย่างไรก็ตามประเทศไทยได้ ออกกฎหมายเพิ่มเติมซึ่งก�ำหนดไว้ว่า ถ้าเสียงในสถานประกอบการดังเกินกว่า 85 เดซิเบลเอ สถานประกอบการ ต้องจดั ทำ� โครงการอนรุ กั ษ์การได้ยิน เพ่ือเปน็ การปอ้ งกันอันตรายจากเสยี งทม่ี ผี ลกระทบตอ่ ผ้ปู ฏิบตั ิงาน 68 | อาชีวอนามยั และความปลอดภัยพนื้ ฐาน
2.2 สัน่ สะเทอื น Vibration [8,9] ความส่ันสะเทือน (Vibration) หมายถึง การเคล่ือนไหวในลักษณะท่ีเป็นคล่ืน (Oscillatory Motion) ของวตั ถุ ซง่ึ อาจจะเปน็ กา๊ ซ ของเหลว หรอื ของแขง็ ในลกั ษณะทเี่ ปน็ คลนื่ ในงานดา้ นอาชวี อนามยั และความปลอดภยั ความสั่นสะเทือนมักจะใช้ในกรณีการส่งผ่านของคลื่นผ่านตัวกลางท่ีเป็นของแข็ง เช่น เครื่องมือ เคร่ืองจักร หรืออปุ กรณ์ตา่ งๆ เป็นต้น 2.2.1 ประเภทของความสน่ั สะเทอื น ในงานด้านอาชวี อนามัยและความปลอดภัย แบง่ ความความสนั่ สะเทือนออกเปน็ 2 ประเภท ตามความ เปน็ อันตรายหรือผลกระทบตอ่ รา่ งกาย ได้แก่ 1) ความสนั่ สะเทือนท้ังรา่ งกาย (Whole Body Vibration :WBV) เปน็ ผลกระทบจากความสน่ั สะเทอื น ท่เี กดิ ขึ้นทัว่ ท้งั ร่างกายของผู้ปฏบิ ัติงานในการท�ำงานในกจิ กรรมตา่ งๆ เช่น 1. การขบั ขย่ี านพาหนะตา่ งๆ ไดแ้ ก่ การขบั รถยนต์ รถบรรทกุ รถโฟลค์ ลฟิ ท์ (Forklift) รถแทรกเตอร์ (Tractor) เปน็ ตน้ 2. การท�ำงานบนเรือ หรอื เครอื่ งบนิ 3. การขบั ลอ้ เล่อื นชนดิ ตา่ งๆ ในเหมืองแร่ 4. การทำ� งานกับเครื่องจักรขนาดใหญ่ หรือใหญ่โรงงานท่ีมคี วามสั่นสะเทอื น 2) ความสั่นสะเทือนท่ีมือและแขน (Hand Arm Vibration : HAV) เป็นผลกระทบที่เกิดข้ึน ท่ีมือและแขนของผู้ปฏิบัติงานเม่ือสัมผัสกับความส่ันสะเทือนจากกิจกรรมต่างๆ เช่น การใช้เคร่ืองเจาะในงาน ก่อสรา้ ง หรอื การท�ำเหมอื งแร่ การใชเ้ ครือ่ งมือตา่ งๆท่ีใชแ้ รงอดั ลม การใช้ค้อน เล่อื ยไฟฟา้ สว่ิ และ สกัด เคร่อื งตัด เหล็กแผ่น เคร่ืองทอผ้า จักรเย็บผ้า เครื่องเจียร เคร่ืองย้�ำหมุด เครื่องขัด สว่านเจาะ เคร่ืองเจาะถนน เคร่ืองเจาะ คอนกรตี การใชร้ ถไถนาชนดิ เดินตาม เป็นตน้ 2.2.2 อนั ตรายของความส่ันสะเทอื น เมอ่ื ผปู้ ฏบิ ตั งิ านไดร้ บั ความสน่ั สะเทอื นกจ็ ะเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าตอบสนอง (Response) ของเนอื้ เยอ่ื หรอื กลา้ มเนอื้ ภายในร่างกาย ท�ำให้เกิดความรู้สึกว่ามีอาการสั่นเกิดข้ึนภายในร่างกาย การตอบสนองน้ีอาจท�ำให้เกิดอาการ เมื่อยล้าของร่างกาย ถ้ามากขึ้นก็จะเกิดอาการเจ็บปวดหรือเกิดการบาดเจ็บของระบบกระดูกและกล้ามเน้ือได้ 2.2.2.1 อันตรายจากความส่ันสะเทอื นท่วั ทั้งร่างกาย [9] จากการศึกษาด้านระบาดวิทยาของ NIOSH (National Institute for Occupational Safety and Health) พบว่าการสนั่ สะเทอื นทั้งรา่ งกายเป็นเวลานานมีความผดิ ปกติต่อร่างกาย ไดแ้ ก่ • เกดิ ความผิดปกติของระบบกระดกู และกลา้ มเนื้อ • เกดิ ความผิดปกติในการท�ำงานของระบบทางเดนิ อาหาร • เกิดการอักเสบของต่อมลกู หมาก • เกิดความผิดปกตขิ องการท�ำงานของสารสอื่ ประสาท • เกิดความผิดปกตขิ องการมองเห็น เกิดการรบกวนการทำ� งานของกลา้ มเนอ้ื ตา มอี าการตาพร่า มองภาพไมช่ ัด | อาชวี อนามยั และความปลอดภัยพื้นฐาน 69
• เกิดอาการเมาคล่ืน (Motion Sickness) เป็นความผิดปกติของระบบควบคุมการทรงตัวของ ร่างกาย ท�ำใหผ้ ปู้ ว่ ยมีอาการมึนงง คลืน่ ไส้ อาเจยี น และเบื่ออาหาร • เกิดความผิดปกติของระบบไหลเวียนโลหิต ซึ่งอาจท�ำให้ความดันโลหิตและชีพจรสูงข้ึน และท�ำใหเ้ ลือดท่ีไปเลยี้ งสมองลดลง • เกิดความผิดปกติของระบบหายใจอาจทำ� ให้เกิดอาการ Hyperventilation Syndrome • เกิดอาการ Vibration sickness เป็นกลุ่มอาการผิดปกติของร่างกายหลายระบบ คือ เกิดแผล ในกระเพาะอาหาร การขับถ่ายผิดปกติ ตาพร่ามัว สูญเสียการทรงตัวร่วมกับอาการปวด กลา้ มเน้ือ • มีผลกระทบด้านจิตใจ ท�ำให้รสู้ ึกรำ� คาญ อาจส่งผลตอ่ ประสิทธภิ าพการทำ� งานของผ้ปู ฏิบตั ิงาน โดยอาจจะท�ำให้เกิดความรสู้ ึกเมอื่ ยล้า เบอ่ื หนา่ ย และรบกวนสมาธใิ นการท�ำงาน 2.2.2.2 อนั ตรายจากความส่นั สะเทอื นท่มี ือและแขน [9] อันตรายจากการสัมผัสความส่ันสะเทือนที่มือและแขนจะมีผลต่อมือและแขนของผู้ปฏิบัติงาน เป็นหลัก โดยจะท�ำให้เกิดอาการผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด ระบบประสาท ระบบกระดูก ข้อต่อ และ ระบบกลา้ มเนอ้ื เกดิ จากการการใชเ้ ครอื่ งมอื เปน็ เวลานาน กำ� เครอ่ื งมอื แนน่ ทำ� ใหเ้ ลอื ดมาเลย้ี งสว่ นปลายของเนอื้ เยอื่ ลดลงถ้าต้องสัมผัสต่อเน่ืองอีกจะท�ำให้เน้ือเยื่อส่วนนั้นตาย จะมีอาการมากขึ้นและเร็วข้ึนเมื่อต้องปฏิบัติงานใน สภาพแวดล้อมที่เยน็ จัด ความผดิ ปกตทิ ี่เกดิ ข้ึนจากความสัน่ สะเทอื นท่มี อื และแขน เชน่ • เกดิ โรคนว้ิ ซีดจากความสั่นสะเทือน Vibration White Finger หรือ Dead’s Finger หรือ Raynaud’s Phenomenon • เกดิ โรค Carpal Tunnel Syndrome เป็นโรคที่เกิดจากการกดเส้นประสาทมเี ดยี นทบี่ รเิ วณ ขอ้ มอื ทำ� ใหม้ ีอาการปวดชา ที่ปลายมอื • เกดิ อาการหงกิ งอของนวิ้ มอื เนอ่ื งจากการหดรง้ั ของเสน้ เอน็ • เกิดความผดิ ปกตขิ องการทำ� งานของสารสื่อประสาท • เกิดความผดิ ปกตขิ องการมองเห็น • มผี ลกระทบดา้ นจิตใจ ท�ำใหร้ สู้ กึ ร�ำคาญ อาจส่งผลต่อประสทิ ธภิ าพการทำ� งานของผู้ปฏิบตั งิ าน 2.2.3 การประเมินอันตรายจากความส่ันสะเทือน การประเมนิ อนั ตรายจากความสั่นสะเทอื นนน้ั จะใช้เครือ่ งวดั ความสน่ั สะเทือน (Vibration Meter) ในการ ประเมิน โดยเครื่องมอื นจี้ ะประกอบด้วย 2 สว่ น คอื หัววัดความสั่นสะเทือน (Probe) และมิเตอร์ (Meter) แสดงดัง รปู ท่ี 4 -4 70 | อาชีวอนามยั และความปลอดภยั พื้นฐาน
เครอื่ งวัดความสนั่ สะเทือนทมี่ ือและแขน เครือ่ งวดั ความสั่นสะเทือนทว่ั ทงั้ ร่างกาย รปู ที่ 4 – 4 เครอื่ งวดั ความสน่ั สะเทอื น ปัจจุบันเครื่องวัดความส่ันสะเทือนมีหลายรูปแบบท้ังชนิดที่อ่านค่าได้ท่ีตัวเครื่องและชนิดท่ีต้องน�ำข้อมูล ออกมาอ่านค่าในคอมพิวเตอร์ โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม การตรวจวัดความส่ันสะเทือน มีมาตรฐานในการตรวจวัดท่ีหลากหลาย เช่น ISO 2631-1997, BS 6841, ISO 5349, ISO 8041 และ TLV- ACGIH เป็นต้น ความส่ันสะเทือนที่เกิดข้ึนที่จะท�ำการวัดท้ัง 3 แกน ได้แก่ แกน X, Y และ Z โดยทั้ง 3 แกนน้ี ตงั้ ฉากซึ่งกันและกัน โดยการตดิ ต้ังแกนการตรวจวดั ความสัน่ สะเทอื น แสดงดงั รูปท่ี 4 - 5 และ รูปท่ี 4 – 6 ZZ Y XY Z YX X Y XY รปู ที่ 4 – 5 แกนการตรวจวดั และการตดิ ตงั้ เครอ่ื งวดั ความสน่ั สะเทอื นทว่ั ทงั้ รา่ งกาย ZZ XY Z X 71 รปู ท่ี 4 – 6 แกนการตรวจวดั และการตดิ ตง้ั เครอื่ งวดั ความสนั่ สะเทอื นทว่ั ทม่ี อื และแขน | อาชวี อนามัยและความปลอดภัยพน้ื ฐาน
2.2.4 ค่ามาตรฐานของความส่ันสะเทือน [10] ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่ได้ออกกฎหมายเก่ียวกับการท�ำงานในพื้นท่ีที่มีความส่ันสะเทือนไว้ แต่อย่างไร ก็ตามเมื่อผู้ปฏิบัติงานต้องสัมผัสความส่ันสะเทือน อาจส่งผลให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานได้ หน่วย งาน ACGIH ได้ก�ำหนดค่า TLV ของการท�ำงานท่ีต้องสัมผัสอันตรายจากความส่ันสะเทือน ไว้ดังนี้ 1) คา่ มาตรฐานของความสนั่ สะเทอื นทว่ั ทงั้ รา่ งกาย คา่ TLV สำ� หรบั การสมั ผสั ความสน่ั สะเทอื น ทง้ั รา่ งกายในทศิ ทางแกน X, Y Numerical values for vibration acceleration in the transverse, a(sxinoursoaiydadli)rescitniognle-[fbreaqcuke-tnoc-ychveisbtraotriosnidoer- to-side] . Values define the TLV in terms of rms value of pure of RMS value in one-third-octave band for distributed vibration. (Adapted from ISO 2631) Frequency 8h Acceleration,m/s2 Hz 24 h 16 h Exposure times 4 h 2.5 h 1 h 25 min 16 min 1 min 1.0 0.100 0.135 0.224 0.355 0.50 0.85 1.25 1.50 2.0 1.25 0.100 0.135 0.224 0.355 0.50 0.85 1.25 1.50 2.0 1.6 0.100 0.135 0.224 0.355 0.50 0.85 1.25 1.50 2.0 2.0 0.100 0.135 0.224 0.355 0.50 0.85 1.25 1.50 2.0 2.5 0.125 0.171 0.280 0.450 0.63 1.06 1.6 1.9 2.5 3.15 0.160 0.212 0.355 0.560 0.8 1.32 2.0 2.36 3.15 4.0 0.200 0.270 0.450 0.710 1.0 1.70 2.5 3.0 4.0 5.0 0.250 0.338 0.560 0.900 1.25 2.12 3.15 3.75 5.0 6.3 0.315 0.428 0.710 1.12 1.6 2.65 4.0 4.75 6.3 8.0 0.40 0.54 0.900 1.40 2.0 3.35 5.0 6.0 8.0 10.0 0.50 0.675 1.12 1.80 2.5 4.25 6.3 7.5 10.0 12.5 0.63 0.855 1.40 2.24 3.15 5.30 8.0 9.5 12.5 16.0 0.80 1.06 1.80 2.80 4.0 6.70 10.0 11.8 16.0 20.0 1.00 1.35 2.24 3.55 5.0 8.5 12.5 15.0 20.0 25.0 1.25 1.71 2.80 4.50 6.3 10.6 15.0 19.0 25.0 31.5 1.60 2.12 3.55 5.60 8.0 13.2 20.0 23.6 31.5 40.0 2.00 2.70 4.50 7.10 10.0 17.0 25.0 30.0 40.0 50.0 2.50 3.38 5.60 9.00 12.5 21.2 31.5 37.5 50.0 63.0 3.15 4.28 7.10 11.2 16.0 26.5 40.0 45.7 63.0 80.0 4.00 5.4 9.00 14.0 20.0 33.5 50.0 60.0 80.0 ทมี่ า : TLVs and BEIs 2013, Vibration, ACGIH 72 | อาชวี อนามัยและความปลอดภัยพนื้ ฐาน
การแปลผลจากตารางการสัมผัสความสั่นสะเทือน ท้ังร่างกายในทิศทางแกน X, Y ถ้าผู้ปฏิบัติงานต้อง ท�ำงาน 8 ช่ัวโมงต่อวัน ในการท�ำงานที่มีความถี่ของความสั่นสะเทือน 5 Hz ความเร่งสูงสุดที่ผู้ปฏิบัติงานสามารถ ท�ำไดโ้ ดยไม่เกิดอนั ตราย มคี ่าเท่ากับ 0.560 m/s2 เป็นต้น ค่า TLV สำ� หรับการสมั ผัสความสนั่ สะเทือนท้งั รา่ งกายในทศิ ทางแกน Z Numerical values for vibration acceleration in thpeurelon(sginituusdoitiadla, l)azsin, gdleir-efrcetiqounen[cfoyovt-itbor-ahteioand direction]. Values define the TLV in terms of RMS value of or of RMS value in one-third-octave band for distributed vibration.(Adapted from ISO 2631) Frequency 24 h 16 h 8 h Acceleration,m/s2 25 min 16 min 1 min Hz 0.280 0.383 0.63 Exposure times 3.55 4.25 5.60 1.0 0.250 0.338 0.56 3.15 3.75 5.00 1.25 0.224 0.302 0.50 4 h 2.5 h 1 h 2.80 3.35 4.50 1.6 0.200 0.270 0.45 2.50 3.00 4.00 2.0 0.180 0.239 0.40 1.06 1.40 2.36 2.24 2.65 3.55 2.5 0.160 0.212 0.355 0.95 1.26 2.12 2.00 2.35 3.15 3.15 0.140 0.192 0.315 0.85 1.12 1.90 1.80 2.12 2.80 4.0 0.140 0.192 0.315 0.75 1.00 1.70 1.80 2.12 2.80 5.0 0.140 0.192 0.315 0.67 0.90 1.50 1.80 2.12 2.80 6.3 0.140 0.192 0.315 0.60 0.80 1.32 1.80 2.12 2.80 8.0 0.180 0.239 0.40 0.53 0.71 1.18 2.24 2.65 3.55 10.0 0.224 0.302 0.50 0.53 0.71 1.18 2.80 3.35 4.50 12.5 0.280 0.383 0.63 0.53 0.71 1.18 3.55 4.25 5.60 16.0 0.355 0.477 0.80 0.53 0.71 1.18 4.50 5.30 7.10 20.0 0.450 0.605 1.0 0.67 0.90 1.50 5.60 6.70 9.00 25.0 0.560 0.765 1.25 0.85 1.12 1.90 7.10 8.50 11.2 31.5 0.710 0.955 1.60 1.06 1.40 2.36 9.00 10.6 14.0 40.0 0.900 1.19 2.0 1.32 1.80 3.00 11.2 13.2 18.0 50.0 1.120 1.53 2.5 1.70 2.24 3.75 14.0 17.0 22.4 63.0 1.400 1.91 3.15 2.12 2.80 4.75 18.0 21.2 28.0 80.0 2.65 3.55 6.00 3.35 4.50 7.50 4.25 5.60 9.50 5.30 7.10 11.8 ที่มา : TLVs and BEIs 2013, Vibration, ACGIH การแปลผลจากตารางการสัมผสั ความสนั่ สะเทอื น ทั้งร่างกายในทศิ ทางแกน Z ถ้าผ้ปู ฏบิ ัติงานตอ้ งท�ำงาน 4 ชัว่ โมงต่อวนั ในการท�ำงานท่ีมีความถี่ของความสั่นสะเทอื น 5 Hz ความเรง่ สงู สุดท่ผี ้ปู ฏบิ ตั งิ านสามารถทำ� ไดโ้ ดย ไม่เกิดอนั ตราย มคี า่ เท่ากบั 0.53 m/s2 เป็นตน้ | อาชีวอนามัยและความปลอดภัยพ้ืนฐาน 73
2) คา่ มาตรฐานของความสัน่ สะเทือนทม่ี อื และแขน คา่ มาตรฐานของความส่นั สะเทอื นทมี่ อื และแขน จะอยู่ในรปู แบบคา่ (RMS) หรอื รากทส่ี องยกกำ� ลังสอง เฉลี่ย แสดงในตารางที่ 4 - 3 ตารางท่ี 4 - 3 คา่ TLV สำ� หรบั การสมั ผสั ความสั่นสะเทอื นทม่ี ือและแขนในทศิ ทาง X, Y, Z ระยะเวลาท่ีสัมผสั ทัง้ วัน ค่าทเี่ ดน่ ชดั ของค่าความเร่งถว่ งความถ่ี (RMS) (Total Daily Exposure) หน่วย m/s2 4 ช่ัวโมง ถึง 8 ช่ัวโมง 4 2 ช่ัวโมง ถึง 4 ชัว่ โมง 6 1 ช่วั โมง ถงึ 2 ช่ัวโมง 8 12 น้อยกว่า 1 ชั่วโมง ทีม่ า : TLVs and BEIs 2010, Vibration, ACGIH ถ้าความส่ันสะเทือนในแกนหนึ่งหรือมากกว่าหน่ึงแกน มีค่าเกินค่าการสัมผัสทั้งหมดในแต่ละวัน (Total Daily Exposure) ถือว่าการสมั ผัสน้ันเกิน TLV 2.3 ความร้อน Heat [2,11] ความร้อน เป็นพลังงานท่ีเกิดจากการเคล่ือนไหวหรือการส่ันสะเทือนของโมเลกุลของวัตถุ หน่วยวัดระดับ ความรอ้ น คอื องศา เชน่ องศาเซลเซยี ส องศาฟาเรนไฮต์ และหนว่ ยวดั ปรมิ าณความรอ้ น คอื แคลอรี่ และบที ยี ู ปริมาณความร้อน 1 แคลอรี่ (1 Cal) คือ ปริมาณความร้อนท่ีท�ำให้น้�ำมวล 1 กรัมมีอุณหภูมิสูงข้ึน 1 องศาเซลเซยี ส 1 กิโลแคลอร่ี เท่ากับ 3.96 บีทียู หรือ 1 บีทียู เท่ากับ 0.252 กิโลแคลอรี่ ความเครียดจากความร้อน (Heat stress) เป็นการรวมปัจจัยทางด้านส่ิงแวดล้อมและปัจจัยทางด้าน ร่างกายที่อาจท�ำให้ความร้อนส่งผลให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย โดยแหล่งของความร้อนที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับมาจาก 2 แหลง่ ทสี่ ำ� คญั ไดแ้ ก่ ความรอ้ นจากสง่ิ แวดลอ้ ม และความรอ้ นจากรา่ งกาย ดงั ตารางตอ่ ไปนี้ แสดงดงั ตารางท่ี 4 - 4 ตารางท่ี 4 – 4 แหลง่ ความร้อนท่ที ผ่ี ปู้ ฏิบัตงิ านได้รบั ปจั จยั ทางด้านส่ิงแวดลอ้ ม ปจั จยั ดา้ นร่างกาย - อุณหภูมิอากาศ - ความร้อนจากเมตาโบลิซึม - ความร้อนเรเดียนหรือความร้อน - ความร้อนการท�ำงานของกล้ามเน้ือ จากการแผ่รังสีความร้อน - ความเร็วลม - ความดันไอ - ความช้ืนสัมพัทธ์ 74 | อาชวี อนามัยและความปลอดภัยพืน้ ฐาน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264