Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือมรดกธรรม เล่ม ๓

หนังสือมรดกธรรม เล่ม ๓

Published by koranis9, 2020-11-10 19:54:34

Description: หนังสือมรดกธรรม เล่ม ๓

Search

Read the Text Version

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๓ คำนำธรรม “คนต่ำงจังหวัด มคี วำมทกุ ข์กำย แต่มคี วำมสุขใจ ในขณะที่คน กรงุ เทพฯ มีควำมสขุ กำย แตก่ ลับมคี วำมทุกข์ใจกนั มำก ดงั นั้น จึงควรสร้ำงที่พักทำงใจขึ้นในกลำงกรุง” พระราชดารัสส่วนหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช พระบรมนาถบพิตร ผู้ทรงพระคุณอัน ประเสรฐิ เมอื่ คร้ังเสดจ็ พระราชดาเนินพร้อมดว้ ยสมเดจ็ พระนางเจ้า สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ ในงานพระราชพิธีทอดผ้าพระกฐิน พระราชทานแด่พระสงฆ์วดั ปทมุ วนาราม ปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๓๕ ในปีพุทธศักราช ๒๕๖๑ คณะสงฆ์วัดปทุมวนารามได้ทา สัญญาเช่าพ้ืนท่ีศาลาพระราชศรัทธาและสวนป่าจากสานักงาน ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ และได้ปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างบางส่วน พร้อมทั้งพ้ืนที่โดยรอบเพ่ือให้สอดคล้องและรองรับกับกิจกรรม ต่างๆ ตามนโยบายของคณะสงฆ์วัดปทุมวนาราม โดยยึดหลักการ และแนวทางกิจกรรมทุกอย่าง เพ่ือสืบสานพระราชปณิธานธรรม อันมีค่าแห่งหิตานุหิตประโยชน์ แก่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย และ เพื่อราลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระองค์ท่านผู้ เสดจ็ สูส่ วรรคาลัย ดังน้ัน คณะสงฆ์พร้อมด้วยอุบาสก และอุบาสิกาวัดปทุม วนาราม จึงได้จัดกิจกรรมสานต่อปฏิปทาพระกรรมฐาน สืบสาน พระราชศรัทธา พระราชปณิธานธรรมเพ่ือน้อมถวายเป็นพระราช กุศล ด้วยการกราบนิมนต์พระเถราจารย์ฝ่ายอรัญวาสี มาบรรยาย ธรรมทุกเดือน ที่ศาลาพระราชศรัทธา เพ่ือเป็นการฟื้นฟูและดารง ๑

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๓ รักษาไว้ซึ่งปฏิปทาจริยาวัตรอันดีงาม ที่บูรพาจารย์วัดปทุมวนาราม ได้นาพาประพฤตปิ ฏิบัตมิ า ในแต่ละเดือนก็ได้รับความเมตตาจากพระเถรานุเถระ ผู้ ปฏบิ ัติตามปฏิปทาพระกรรมฐานสาย หลวงปู่มน่ั ภรู ทิ ัตตมหาเถระ, หลวงปู่ชา สุภัททมหาเถระ ฯลฯ ดังมีรายนามและคาสอนท่ีปรากฏ ในหนังสือเล่มน้ี ท้ังองค์ความรู้ แนวทางการปฏิบัติ รวมทั้งข้อวัตร ในการดาเนนิ ชวี ติ ของความเป็นพระที่ไดร้ ับการพรา่ สอนมาจากพระ อุปัชฌาย์และพระอาจารย์ พร้อมกับประสบการณ์ตรงที่ได้ลงมือ ปฏิบัติตามหลักคาสอนของพระพุทธชินสีห์สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ ถ่ายทอดเป็นคาพูดและบันทึกรวบรวมไวใ้ นหนังสอื มรดกธรรมเลม่ นี้ ผู้อ่านสามารถปลูกศรัทธา ทาความเข้าใจ สร้างกาลังใจ และน้อมนาไปปฏิบัติในชีวิตประจาวันได้ก็จักสาเร็จประโยชน์แห่ง ตนตามสมควรแก่ธรรมที่ตนได้ประพฤติปฏิบัติ ขออนุโมทนาใน ความวิริยะอุตสาหะของท่านผู้มีจิตศรัทธาในการรวบรวมและ จัดพิมพ์หนังสือมรดกธรรม ศาลาพระราชศรัทธาในครั้งนี้ และขอ ความสขุ ความเจริญจงมีแกท่ กุ ทา่ นเทอญฯ พระธรรมธชั มนุ ี ประธานบรหิ ารศาลาพระราชศรัทธา เจ้าอาวาสวัดปทมุ วนาราม ๒

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ สำรบญั คานาธรรม หน้า ๑. หลวงพ่อทองจันทร์ พทุ ธฺ ญาโณ ๒. พระอาจารย์ฟลิ ลปิ าณะธัมโม ๑-๒ ๓. หลวงปู่บญุ มา คมฺภรี ธมฺโม ๔ – ๒๒ ๔. พระราชสุมนต์มุนี (บญุ ร่วม อัตถะกาโม) ๒๓ – ๔๒ ๕. พระครูกิตติอดุ มญาณ (หลวงปู่ไม อินฺทสริ )ิ ๔๓ – ๖๒ ๖๓ – ๗๔ ๗๕ – ๑๐๓ ๓

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ หลวงพ่อทองจันทร์ พุทฺธ ำโณ สำนักสงฆห์ ุบเขำผำจันทร์ ต.วังกะทะ อ.ปำกช่อง จ.นครรำชสมี ำ แสดงเมอื่ วนั เสำร์ ท่ี ๑๙ มกรำคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ณ ศำลำพระรำชศรัทธำ วดั ปทุมวนำรำม รำชวรวหิ ำร วันนี้เป็นวันสิริมงคล เป็นวันบุญวันกุศลของพวกเราอีกวัน หนง่ึ ทไี่ ด้มารวมร่วมกัน ถือศีลปฏิบัตธิ รรม เจริญสติ สมาธิภาวนา ท่ี ธรรมสภาศาลาพระราชศรัทธาแห่งน้ี วันน้ีสุขสวัสดีปีใหม่ได้มาพบ กันอีก ตัง้ แตเ่ ดอื นตลุ า-พฤศจกิ า-ธนั วา-มกรา วนั นีร้ ู้สกึ เป็นสริ มิ งคล ที่ได้มาร่วมกิจกรรม กิจการอันสาคัญที่วัดปทุมวนาราม เพ่ือราลึก ถึงบูรพาจารย์ภาคกรรมฐาน คือหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เมื่อได้รับ ๔

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ อาราธนานมิ นต์จากทา่ นเจ้าคุณมหาโสฬส ว่าให้มาปรารภธรรมะใน วันปฏบิ ัติเป็นอาจาริยบูชา ครบรอบ ๑๔๙ ปี ชาตกาล ๑๔๙ ปี ของ หลวงปู่มั่น ผเู้ ป็นบูรพาจารยใ์ นกรรมฐานทีบ่ กุ เบกิ มาในยคุ น้ี ยุคของ พวกเรา หลวงปู่ม่ันเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่เสาร์ เป็นคนอุบลเหนือ ชาติกาเนดิ เกิดทจี่ ังหวัด อบุ ลราชธานี บ้านคาบง อาตมาก็อยู่อุบลฯ เหมือนกัน ถือกาเนิดเกิดที่อุบลฯ อาเภอเดชอุดม แต่ว่าเม่ือได้มา อุปสมบทในพระพุทธศาสนา ก็อยากจะมาตามรอยหลวงปู่มั่นที่ จังหวัดสกลนคร ก็ทราบข่าวว่าหลวงปู่ม่ันท่านมาละขันธ์ที่จังหวัด สกลนคร ที่วัดป่าสุทธาวาส อาตมาช่ือ แนะนาตัวสักหน่อย บางที โยมก็ไมร่ จู้ ัก ส่วนมากก็เปน็ คนใหม่ อาตมาช่ือ อาจารย์ทองจันทร์ หรือหลวงพ่อทองจันทร์ พทุ ธฺ าโณ พื้นเพถือชาตกิ าเนิดเกิดที่อุบลราชธานี อาเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลฯ ได้เข้ามาบวช ปี พ.ศ. ๒๕๑๖ วันท่ี ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๑๖ แต่ก่อนท่ีจะมาบวช วิถีชีวิตก็คลุกคลีอยู่กับวัดวา พระพุทธศาสนา ตั้งแต่เล็ก ตั้งแต่เด็ก แต่น้อย พ่อแม่เอาไปฝาก เป็นสังกะลีวัด อยู่วัดต้ังแต่อายุ ๘ ขวบ ๙ ขวบ จนออกโรงเรียน ประถม ๔ เมื่อออกโรงเรียนมาแล้ว ความคุ้นเคยที่อยู่กับวัด อยู่กับ พระ อยู่กับเณร กไ็ ปมาหาสู่อยตู่ ลอด ปกตกิ อ็ ยวู่ ดั บา้ น บา้ นกบั วัดก็ อยู่กันคนละฝ่ังถนน บ้านกับวัดห่างกัน ต้นเสาต้นนั้น อาตมานั่งอยู่ น่คี ือถนนกัน้ กว็ ดั บา้ นธรรมดา เม่ือก่อนนี้ การปฏิบัติกรรมฐานก็เป็นกรรมฐานแบบ โบราณ กรรมฐานที่บริกรรมคาถาวิชาอาคมต่าง ๆ ไม่ค่อยได้สนใจ พระธรรมวินัยอะไรมาก หาแต่ของขลังของศักด์ิสิทธ์ิ เร่ืองฤทธิ์เดช ๕

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ ปาฏิหาริย์ โดยเฉพาะหลวงปู่ม่ัน เป็นอาจารย์ขลัง อาจารย์ดัง อาจารย์หนังเหนียว คาถาวิชา จนเขาร่าลือกันว่าย่นแผ่นดินได้ ฝน ตกก็ไม่เปียก แต่ไม่ใช่หลวงปู่ม่ัน ภูริทัตโต แต่เป็นหลวงปู่มั่น ฑัตโต โยมพ่ออาตมาก็ร่าเรียนวิชาอาคมด้วย เมื่อมีแต่กรรมฐานแบบ โบราณด้ังเดิม ก็มามียุคหลวงปู่ม่ัน หลวงปู่เสาร์ มีหลวงปู่ม่ัน โดด เด่นในการฟื้นฟูบูรณะ เอาพระธรรมวินัยไตรสิกขามาประพฤติ ปฏบิ ัติ เอาเร่อื งศีล เรอื่ งสมำธิ เรอื่ งปัญญำ เรอื่ งศีล เร่ืองวินยั เม่ือก่อนกรรมฐานไม่ได้สนใจเรื่องวินัย ไปตามป่าตามเขา ตามถ้า ๕ วัน ไปบิณฑบาตคร้ังหน่ึง ๗ วัน ไปบิณฑบาตครั้งหน่ึง บิณฑบาตมาแล้ว ก็เอาข้าวมาตาก ส่วนมากเป็นข้าวเหนียวแล้วก็ เอามาตากเป็นข้าวแห้ง แล้วก็เอามาใส่บาตรเก็บไว้ ฉันจนหมด หมดแล้วก็ค่อยไปบิณฑบาต มันไกลจากหมู่บ้าน เพราะอยู่ตามถ้า ตามปา่ ตามเขา เมอื่ มาถงึ ยุคหลวงปู่มนั่ ท่านออกไปปฏิบัติอยู่ที่วัด ภูหล่น เหมือนภูเขาลูกหน่ึงมันหล่นลงมาอยู่โดดเด่ียว เหมือนศาลา พระราชศรทั ธา เป็นที่สปั ปายะ เป็นทีว่ ิเวก ทา่ นกเ็ จริญสมณะธรรม อยู่ทนี่ น่ั จงึ ไดเ้ กิดกรรมฐานขึน้ มาโดดเด่น จากน้ัน ท่านก็จาริกไปเรื่อย ๆ จนมาถึงยุคหลวงปู่ชา ก็ถือ กาเนิดเกิดที่อุบลฯ เหมือนกัน ก็สนใจแสวงหาการประพฤติปฏิบัติ ก็ไปตามหาหลวงปู่มั่น แต่เป็นมั่น ทัตโต ไม่ใช่ ม่ัน ภูริทัตโต พอไป อยู่แล้วก็ไม่ใช่ทาง เป็นทางเดรัจฉานคาถา วิชาอาคม ให้ภาวนา “นะ มะ พะ ธะ มะ อะ อุ” “นะ มะ พะ ธะ นะ มะ พะ ธะ มะ อะ อุ” กลับไปกลับมา ท่านก็เห็นว่าไม่ใช่ทางแห่งความพ้นทุกข์ ก็จึงได้ ลาจากหลวงปูม่ ่ัน ทัตโต มาตามหาหลวงปู่มั่น ภรู ิทัตโต จึงได้มาพบ ๖

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ มาเจอท่านที่วัดป่าบ้านหนองผือ ตาบลนาใน อาเภอพรรณนานิคม จงั หวดั สกลนคร หลวงปู่ชาเล่าว่าเม่ือมาเห็นวัด เม่ือเหยียบย่างเข้าสู่ประตู วัดเท่าน้ัน ทุกส่ิงทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมด จากท่ีท่านเคยเป็น สามเณรอยู่วัดบ้าน และบวชอยู่วัดบ้าน ท่านเคยศึกษาเล่าเรียนอยู่ วัดบ้าน แม้จะอยู่ในป่า แต่สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเรียบร้อย ถนนหนทางสะอาด กุฏิวิหารสะอาด ศาลาสะอาด เห็นแล้วเกิด ความแตกต่างกัน พระเณรไม่พูดไม่จา สารวมสังวร เดินจงกรมอยู่ ตรงร่มไม้ ข้าง ๆ กุฏิ พอได้เห็นเท่าน้ัน ความรู้สึกมันเปล่ียน น่ัน แหละคือกรรมฐาน น่ันแหละคือข้อวัตรปฏิบัติท่ีจะถือเอาเป็น แบบอย่าง ท่านปรารภให้ฟัง แล้วท่านก็พยายาม พยายามศึกษา เรียนรู้ คนมีปัญญา คนมีดวงตาท่ีดี ตาไม่บอด หูไม่หนวก และมี สตปิ ญั ญา ไปอยแู่ ค่ ๓ วัน ๕ วนั เท่านน้ั ท่านก็สามารถถอดแบบเอา ได้ แม้กระทง่ั การเย็บสบงจีวร การระบมบาตร การทาข้อวัตรปฏบิ ัติ ต่าง ๆ ท้ังเช้าทั้งเย็น แม้กระท่ังฟังโอวาทธรรมคาสอนจากหลวงปู่ ม่นั ทา่ นกเ็ ขา้ ใจ จับหลกั ไดว้ า่ เราจะดาเนนิ ปฏิปทาแบบน้ี เมือ่ เข้าใจ แล้ว ท่านก็กราบลาไป แต่ไปแล้วท่านก็จะไปน่ังอยู่ที่ไหน ก็หลวงปู่ มั่นเทศน์สอนอยู่ตลอด ตักเตือนอยู่ตลอด สอนอยู่ตลอด เพราะ ความใส่ใจที่ได้รับโอวาทจากหลวงปู่มั่นแล้ว เอามาทาในใจให้ เกดิ ขึน้ มีขึ้น เม่ือหลวงปู่ปรารภให้ฟังว่า หายสงสัยทุกอย่างเมื่อได้มาฟัง ธรรมครูบาอาจารย์มั่น แต่ก่อนไม่ได้เรียกหลวงปู่ หลวงตา แต่เรียก ครูบาอาจารย์ม่ัน ครูบาอาจารย์เสาร์ ตอนหลัง เรารุ่นหลาน รุ่น ๗

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ เหลน หลานศิษย์ เหลนศิษย์ เลยยกให้เปน็ หลวงปู่ หลวงปู่ม่นั หลวง ปู่ชา เมื่อเข้าพรรษาท่านปรารภเร่ืองหลวงปู่มั่นให้ฟัง ก็อยากมา ดินแดนสกลนคร แต่ในช่วงนั้น เราก็ยังเป็นพระอุปัฏฐากอยู่ ดูแล ใกล้ชิดหลวงพ่อชา หลวงปู่ชา จนปี พ.ศ. ๒๕๒๑-๒๒ ท่านนาพุทธ ศาสนาไปเผยแผ่ยังซีกโลกตะวันตก ไปอังกฤษ ไปอเมริกา ไป ฝรั่งเศส เมื่อหลวงปู่ไป ก็ถือโอกาสมาส่งหลวงปู่ขึ้นเคร่ืองบินท่ี สนามบินดอนเมือง จากนั้นก็กราบลาท่าน ขอโอกาสกราบลา ไป ศึกษาหาประสบการณ์ ไปยังดินแดนสกลนคร อุดรธานี อันนั้นก็ไป ท่วี ดั ป่าบ้านตาด หลวงตามหาบัว เมอื่ ไปพกั อยู่กบั หลวงตามหาบัว ไมค์หลายตัว มันก็เกี่ยงกัน เอาตัวเดียวดีกว่า เอโก ธัมโม ธรรมอันเดียว เมื่อไปส่งพระเดชพระคุณหลวงปู่ท่ีดอนเมืองเสร็จ แล้ว ก็ถือโอกาสกราบลาท่านไปอุดรธานี ไปศึกษาธรรมะกับหลวง ตามหาบัว โดยได้รับความอนุเคราะห์ ได้รับความเอ้ือเฟื้อจากหลวง พ่ออินทร์ หลวงพ่ออินทร์ถวายเปน็ ผ้ดู ูแลพระอาคนั ตุกะไปมา หลวง ปู่ก็เมตตา หลวงตาก็เมตตามาให้อุบายธรรมะ พักอยู่ ๕ วัน เม่ือไป พักอยู่ที่นั่น ก็ทราบข่าวว่ามีลูกศิษย์ของท่านคนสาคัญ คือพระ อาจารย์สิงห์ทอง อยู่วัดป่าแก้วชุมพล อาเภอสว่างแดนดิน จังหวัด สกลนคร ก็กราบลาหลวงพอ่ อินทร์ หลวงพ่ออินทร์ก็ฝากรถ พอมีโยมมาถวายอาหารเช้า ก็ บอกพระท่านจะไปวัดป่าแก้ว รับท่านไปด้วย ท่านจะไปหากราบ พระอาจารย์สิงห์ทอง พระอาจารย์อุ่นหล้า ตอนน้ัน อาจารย์อุ่น อาจารย์สิงห์ทองอยู่ด้วยกัน เพราะเป็นญาติกัน คนบ้านศรีฐาน อาเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร พอไปแล้วก็ไปศึกษา สนทนาธรรมะอยู่ ๘

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๓ กับอาจารย์สิงห์ทอง ท่านก็ปรารภแต่เรื่อง อริยมรรคมีองค์ ๘ ให้ ดำเนนิ ทำงอยู่ในทำงสำย ๘ ไม่ให้ออกจำกหลกั นไ้ี ป อริยมรรคมีองค์ ๘ อริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาท สิ่งที่อาศัย กันเกิดขึ้น ธรรมท่ีอาศัยกันเกิดข้ึน ทุกส่ิงทุกอย่างอาศัยเหตุ แล้วจงึ มีผล สรา้ งเหตุแล้วผลจึงจะตามมา ก็อยู่ที่น่ัน ๕ วนั ก็ขอโอกาสท่าน อาจารย์อุ่นหล้า เม่ือได้ทราบข่าวว่ามันไม่ไกลจากวัดถ้าอภัยดารง ธรรม ถา้ พวง ภผู าเหลก็ ซึง่ พระอาจารย์วันเป็นสมภารประธานสงฆ์ ได้ทราบว่าอาจารย์วันเคยอุปัฏฐากหลวงปู่ม่ัน เราก็เคยอุปัฏฐาก หลวงปชู่ า ควรทจี่ ะไปศึกษาหาความรจู้ ากอาจารยว์ ัน จากหลวงพ่อ วนั อาจารย์อนุ่ หลา้ กไ็ ดฝ้ ากรถโยมมาจงั หัน แต่กฝ็ ากไปฝากมา ไมม่ ี ใครจะไปรับไปส่งหรอก ว่ามีพระท่านอยากจะไปวัดถ้าอภัยดารง ธรรม ไปหาอาจารยว์ ัน ไปส่งทา่ นหนอ่ ยกไ็ ดไ้ ป ไปศึกษาธรรมะอยู่กับหลวงพ่ออาจารย์วัน เกิดความ เล่ือมใส เกิดความศรัทธา และก็ชอบใจในปฏิปทาของท่าน ของ หลวงพ่อพระอาจารยว์ นั เหมอื นกับหลวงพช่ี ัยทวี เจ้าคุณพระเทพ - ญาณวิศิษฏ์ ท่านได้ปรารภว่าอาจารย์วัน ได้ปรารภเร่ืองราวที่เคย อยู่อุปัฏฐากหลวงปู่ม่ัน ต้ังแต่อาเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร จนถึงกรุงเทพฯ ที่ท่านเมตตาปรารภให้ท่านเจ้าคุณพระเทพญาณ - วิศิษฏ์ได้ฟัง ที่ท่านปรารภให้ฟังเม่ือตอนหัวค่าว่า พระอุปัฏฐากนี้ เป็นบุคคลท่ีสาคัญ แม้พุทธศาสนา คาสอนต่าง ๆ ที่ร้อยกรองเรียบ เรียงมา ก็อาศัยพระอุปัฏฐาก ก็คือพระอานนท์ ได้จามาจากพระ - สัมมาสัมพุทธเจ้า ถ่ายทอดสืบทอดกันมาจนถึงพวกเรา ก็อาศัยพระ - อุปัฏฐาก อาจารย์วันเป็นพระพระอุปัฏฐากในยุคบั้นปลายชีวิต ของหลวงปมู่ น่ั จนมรณภาพ ๙

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ มีสหายธรรมกนั อยู่องค์หนง่ึ “พระทองคา” พระทองคากับ พระวันเป็นพระใหม่ อุปัฏฐากหลวงปู่มั่น พระทองคา ก็คือหลวงตา ทองคา มาบวชเมื่อบ้ันปลายชีวิต และก็เรียบเรียงหนังสือ “ราลึก วันวาน” ท่ีทางวัดปทุมฯ เราได้พิมพ์แจกเป็นธรรมทาน นั่นคือ หลวงตาทองคา บวชคร้ังสุดท้ายก็ได้คุยกัน ได้สนทนาธรรม เรื่องราวเก่า ๆ กับหลวงตาทองคา เพราะท่านเปน็ คนชอบโน้ต ชอบ จด ชอบเขียน ชอบบันทึก เมื่อเป็นพระอุปัฏฐากอยู่ท้ัง ๒ ท่าน และก็สามเณรบุญเพ็ง กค็ อื หลวงปู่บญุ เพ็ง วัดถ้ากลองเพล เปน็ เณร อุปัฏฐากหลวงพ่อวัน หลวงพ่อทองคา หรือพระวัน กับพระทองคา เป็นพระหนุม่ หลวงป่หู ล้าเปน็ พระแก่ทอี่ ุปฏั ฐาก ส่วนหลวงตามหาบัว ท่านก็มาส่ังการสั่งงาน ดูแลความ เรยี บร้อย แล้วท่านกไ็ ปวเิ วกของทา่ น สว่ นมากทา่ นกจ็ ะไปท่วี ัดดอย - ธรรมเจดยี ์ ไปตรงน้ันตรงนี้ ที่ไหนวิเวก ท่านจะไปโดดเดี่ยว หลวง ตามหาบัว เมื่ออุปัฏฐากในช่วงบั้นปลาย เมื่อหลวงปู่ม่ันอายุมาก หลวงปู่หล้า หลวงพ่อวัน หลวงพ่อเพ็ง ท่านเล่าให้ฟังว่า ปฏิบัติอา - จารยิ วตั ร ปฏบิ ัตคิ รูบาอาจารย์ หลวงปู่หล้า แม้จะเป็นพระหลวงตา แต่ก็เป็นยอดพระ และก็มีสัมมาคารวะ เป็นชีวิตจิตใจ ขอโทษที กุฏิหลวงปู่มั่น เม่ือ ท่านอาพาธ มันไม่มีห้องน้าท่ีสะดวกสบาย ติดกับห้องนอนที่กุฏิ ไม่ มีน้าที่จะชาระอย่างน้ี ก็ต้องเจาะพื้นกระดานลงไป ให้หลวงปู่ถ่าย ลงปล่อง แล้วเวลาเก็บทาความสะอาดข้างล่าง หลวงปู่หล้าใช้มือ กอบเอาคูถอุจจาระอันน้ัน กอบใส่ภาชนะแล้วเอาไปทิ้ง เอาไปฝังท่ี อ่ืน ทา่ นเคารพสดุ จติ สุดใจขนาดนัน้ เอามอื สองมือหอบเอาอุจจาระ ไปทิ้ง จนกว่าหลวงปู่ป่วยหนักเข้า ก็ยังได้หามหลวงปู่จากท่ีวัดป่า ๑๐

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ บ้านหนองผือ มายังสกลนคร จึงได้มาละขันธ์ มามรณภาพท่ีจงั หวัด สกลนคร ตอนนั้น รู้สึกว่าหลวงปู่หลุยจะอยู่ จะพัฒนาวั ดป่า สทุ ธาวาส รับหลวงปู่มนั่ มา จงึ ไดม้ าละขันธท์ ่ีวัดป่าสทุ ธาวาส ในชว่ ง ท่ีอาตมาจาริก แสวงบุญแสวงธรรมในดินแดนสกลนคร ก็เลยได้มา เก่ียวข้องร่วมกิจกรรม ร่วมกิจการงานปฏิบัติอาจาริยบูชา วัน บูรพาจารย์ รู้สึกจะเป็นวันที่ ๑๐ มกรา ถ้าจาไม่ผิด ถ้าจาผิดก็ต้อง ขออภัย ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ได้มีโอกาสไปร่วมการร่วมงาน เก่ียวกับหลวงปู่ม่ัน เพราะว่าหลังจากประชุมเพลิงเสร็จ ถวายเพลิง หลวงปู่ม่ันเสร็จ ก็ถือเอา ถ้าจาไม่ผิด เป็นวันท่ี ๑๐ มกรา วันท่ีลูก ศิษย์ลูกหาจะมารวมกัน ก็กาหนดเอาวันมาฆบูชา อันนี้หลวงปู่สิม ปรารภให้ฟัง เอาวันมาฆบูชา ต่อมาพระเถระก็มีภารกิจต้องทา มาฆบูชาท่ีวัดของแต่ละท่านแต่ละองค์ ก็เล่ือนลงมาเป็นวันท่ี ๑๐ วันบูรพาจารย์ วันท่ีมารวมกัน สัมมาคารวะ อัฐิธาตุหลวงปมู่ ่ัน แล้ว ก็เพื่อที่ลูกศิษย์ลูกหาจะได้มาประชุมกัน มาร่วมกันที่วัดป่า สุทธาวาส เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๓ อาตมาได้มีโอกาสไปร่วมงานลักษณะแบบน้ี ท่ีมาร่วม ๆ กันที่เป็นลูกศิษย์ลูกหา มีหลวงปู่สิม หลวงปู่หลวง หลวงปู่แว่น หลวงปู่แว่นเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าสุทธาวาส หลวงปู่แว่น หลวงปู่ หลวง หลวงปู่สิม เป็นคนบ้านเดียวกัน เป็นญาติกันด้วย เป็นคน สกลนคร คนบา้ นบัว จังหวดั สกลนคร กจ็ ะมหี ลวงปสู่ ิม หลวงปู่แว่น หลวงปู่หลวง หลวงปู่ขาว หลวงตามหาบัว หลวงปู่อะไร ก็จะมา ถวายเคร่ืองสกั การะเป็นอาจารยิ บูชามากนั ๑๑

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ หลวงพ่อวิริยังค์ แต่ก่อนท่านยังแข็งแรง บรรดาลูกศิษย์ลูก หาหลวงปู่มั่น ก็จะมาถวายเครื่องสักการะเป็นอาจาริยบูชา ถวาย เครื่องสักการะอัฐิธาตุของหลวงปู่มั่น กลางคืนก็จะมีการปรารภ ธรรมะตลอดคืน ผลัดเปล่ียนหมุนเวียน ครูบาอาจารย์องค์น้ันองคน์ ี้ มาแสดงธรรม อาตมาก็ได้ไปร่วมกิจกรรมกิจการงานในคร้ังนั้น เขา มีทุกปีแต่ก่อน เม่ือพระเถระมารวมกัน ก็มีองค์หน่ึงท่ีอาตมาศรัทธา เลื่อมใสมาก ได้เข้าไปใกล้ได้ไปฟังโอวาทแล้วเย็นกายเย็นใจ นั่นคือ หลวงปู่สมิ พทุ ธาจาโร วัดถา้ ผาปล่อง เชียงดาว เมื่อมาร่วมงานวัดป่าสทุ ธาวาส ก็จะมีลูกศิษย์ลูกหาทั้งพระ ทั้งเณรมากราบมาไหว้ไม่ได้ขาดในกุฏิของท่าน อาตมาเป็นพระ - อาคันตุกะไปก็มีโอกาสได้กราบท่านที่กุฏิซึ่งไม่ห่างไกล ใกล้ ๆ กับ พิพิธภัณฑ์ พอไปกราบ กุฏิก็จะเป็นพนักเหมือนที่เรานั่งอยู่ เรานั่ง ข้างล่าง หลวงปู่นั่งข้างบนเหมือนอาตมา เราก็ไปกราบ พอกราบ หลวงปู่เสร็จแล้ว ก็ถือโอกาสถาม หลวงปู่สุขสบายดีอยู่หรือครับผม หลวงปู่ก็จ้องหน้าอาตมา แล้วท่านก็ปรารภข้ึนว่า ในโลกน้ีท่านว่าท่ี ไหนมีความสุข ผมบวชมาจนเฒ่าจนแก่ยังไม่เห็นความสุข ถ้ำท่ำน หำควำมสุขก็จะพบกับทุกข์ตลอดไป ถ้ำท่ำนค้นหำทุกข์แล้วท่ำน จะนพิ พำน นี่คือโอวาทของหลวงปู่สิมที่มอบให้ในวันนั้น ถ้าท่านหา ความสุขก็จะพบกับทุกข์ตลอดไป ถ้าท่านค้นหาทุกข์แล้วท่านจะ นิพพาน โอ๊ย! อาตมาพอได้รับโอวาทธรรมอย่างนั้น ก็กราบแล้ว กราบอีก ด้วยความโง่ ความรูเ้ ท่าไมถ่ งึ การณ์ ทีถ่ ามหลวงป่วู ่า หลวง ปู่สุขสบายดีไหม แล้วหลวงปู่ก็เอาธรรมะนั้น โปะหัวให้ โปะศีรษะ ให้เด๋ียวนนั้ ขณะน้นั ๑๒

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ ต้งั แต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๓ จนป่านน้กี ย็ งั มอี ยู่ในใจ พอมโี ยมหรือ พระถาม พระอาจารย์สบายดีไหม อาตมา ต้ังแต่วันนั้นมา ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ไม่เคยตอบว่าสบายดี เพราะคาพูดของหลวงปู่นั้นจะ กอ้ งอยใู่ นจติ ในใจ ในโลกน้ีทไี่ หนมนั มีความสุข ผมเกดิ มาจนเฒ่าจน แก่ ผมบวชมาจนเฒ่าจนแก่ยังไม่เห็นความสุข ถ้ำท่ำนหำควำมสุข จะพบกบั ทุกข์ตลอดไป ถ้ำทำ่ นคน้ หำทกุ ข์แลว้ ทำ่ นจะนิพพำน วันน้ีอาตมามาถึง โยมก็ไปต้อนรับ โยมยุพินก็ไปต้อนรับว่า อาตมามาถึงแล้ว แล้วก็มารับเข้ากุฏิที่พัก ก็มาถามทานองเดียวกัน มากราบแล้วถามว่า หลวงพ่อสุขสบายดีอยู่ไหม อาตมาก็ตอบว่า เออ ก็อดทนอยู่ได้ตามอัตภาพ พอไปพอมาได้ คือถ้าหากจะตอบว่า สบายดี ก็นึกถึงคาพูดของหลวงปู่สิม จริง ๆ แล้ว มันไม่มีที่สบายดี เราอยู่ในกองทุกข์ เราอยู่ในกองทุกข์ กองธาตุ กองขันธ์ ทุกสิ่งทุก อย่างมันพร้อมให้เราเป็นทุกข์ตลอด มีขาก็ปวดขา มีหลังก็ปวดหลัง มีเอวก็ปวดเอว มีท้องก็ปวดท้อง มีศีรษะก็ปวดศีรษะ มันอยู่ในกอง ทกุ ข์ มนั มตี ับก็เป็นโรคตับ มีไตก็เป็นโรคไต มันมฟี ันก็ปวดฟนั มันมี ตาก็ปวดตา มนั มแี ต่กองทกุ ขท์ ั้งนัน้ ฉะน้ัน หลวงปู่สิมจึงว่า ถ้ำท่ำนค้นหำทุกข์ แล้วท่ำนจะ นิพพำน ถ้าค้นหาทุกข์ เข้าใจในทุกข์ในร่างกายของเราจริง ๆ แล้ว เราก็จะเบ่ือหน่ายในกองทุกข์กองสังขาร แล้วเราก็ไม่อยากมาเวียน ว่ายตายเกิด ไม่อยากมาถือเอาธาตุเอาขันธ์ เอากองทุกข์ เอา อัตภาพร่างกายท่ีเป็นกองทุกข์อันน้ี ท่ีหลวงปู่ว่า ถ้าท่านค้นหาทุกข์ แล้วทา่ นจะนิพพาน ถ้าเข้าใจในทุกข์ เข้าใจในสกนธ์ร่างกายตามความเป็นจริง แลว้ เรากจ็ ะไม่อยากมาเกิด มาแก่ มาเจ็บ มาตาย นั่นแหละคือเป็น ๑๓

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ ทางแห่งพระนิพพาน เมื่อหลวงปู่มั่นมรณภาพไป ประชุมเพลิงท่าน เสร็จแล้วไม่นาน พระทองคาก็ลาสิกขาซึ่งเป็นพระอุปัฏฐากคู่กับ พระวัน ก็เหลือแต่หลวงพ่อวัน ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปสร้างวัด สร้างวา หลวงพ่อวันก็มาติดตามหลวงปู่ฝ้ัน แล้วก็มาสร้างวัด ที่วัด ถ้าอภัยดารงธรรม ถ้าพวง ภูผาเหล็ก อาเภอส่องดาว จังหวัด สกลนคร หลวงปู่หล้าก็ไปสร้างวดั อยู่ทีภ่ จู อ้ ก้อ อาเภอคาชะอี ตอ่ มา เป็นอาเภอหนองสูง จังหวัดนครพนม ต่อมาก็มาเป็นจังหวัด มุกดาหาร ต่างคนต่างแยกยา้ ยกนั ไป ครูบาอาจารย์ท่ีเป็นพระอุปัฏฐากอยู่ ช่วงที่มาอยู่ หลวงปู่ จาพรรษาอยู่ท่ีบ้านหนองผือ อาเภอนาใน จึงได้มีลูกศิษย์ลูกหาทั่ว ทุกสารทิศเข้ามาศึกษา แม้หลวงพ่อชา หลวงปู่ชาก็มาศึกษาพระ ธรรมวินัย ข้อวัตรปฏิบัติเพื่อสืบสานอายุกาลของพระพุทธศาสนาก็ อยู่ตรงนั้น แต่หลวงพ่อชา หลวงปู่ชา ท่านไม่ได้ญัตติเป็นพระ ธรรมยุต ท่านก็คงเป็นพระมหานิกายโดยสังกัด แต่ข้อปฏิบัติเป็น ธรรมยุต เป็นไปตามพระธรรมวินยั มหี ลวงพอ่ ชา หลวงปกู่ ินรี หลวง ปู่ทองรัตน์ หลวงปู่มี อยู่อาเภอสูงเนิน โคราช ท่านอาจารย์ใหญ่ ๔ องค์นี้ ไม่ได้ญัตติเป็นธรรมยุต เป็นมหานิกายเพ่ือให้ลูกศิษย์ลูกหา ทางมหานิกายน้ี ได้มาถือนิสสัย ข้อวัตรปฏิบัติแบบกรรมฐานสืบ สานจากหลวงป่มู ั่น หลวงปู่ทองรัตน์เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ม่ัน มหานิกาย หลวงปู่ กินรี เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น มหานิกาย หลวงปู่มี อยู่อาเภอสูงเนิน โคราช ก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ม่ัน มหานิกาย หลวงปู่ชา ยังเป็นลูก ศิษย์หลวงปู่กินรีอีกทีหน่ึง ออกจากหลวงปู่มั่นแล้ว ก็ไปจาพรรษา อยกู่ ับหลวงปกู่ นิ รีท่ธี าตุพนม บา้ นสองคอน อาเภอธาตพุ นม แมเ้ ม่ือ ๑๔

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ อายุมาก หลวงปู่กินรี หลวงปู่ชายังสง่ อาตมามาจาพรรษา อุปัฏฐาก ในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ มาจาพรรษาอยู่กับหลวงปู่กินรี ๒๐ หรือ ๒๑ นี่ แหละ ๒ ปีนี่แหละ ก็เลยได้อยู่กับพระโบราณและก็ได้เกี่ยวข้องกับ ครูบาอาจารย์ หลวงตาแตงอ่อนกเ็ ป็นลกู ศิษยข์ องหลวงปูม่ ่นั ทีเ่ คร่งครัดใน พระธรรมวินัย ตอนนี้ยังไม่ได้ประชุมเพลิง ยังไม่ได้เผาศพท่านเลย อยู่ที่อาเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร อันน้ีคือลูกศิษย์ที่อยู่กับ หลวงปู่ม่ัน ซึ่งหลวงพ่อเจ้าคุณพระเทพญาณวิศิษฏ์ให้ความเคารพ นับถือมาก ก็คือหลวงตาแตงอ่อน นี่องค์หนึ่ง ปี ๓๖ หรือ ๓๗ ท่าน ยงั ไดน้ าทีมไปอนิ เดีย อาตมายังได้ไปด้วย หลวงตาแตงออ่ น หลวงปู่ บ้านจาปาดง หลวงปู่ทองพูน หลวงตาดร. มหาเสงี่ยม พระครูสุจิน ธรรมาจารย์ ท่านเจ้าคุณพระเทพญาณวิศิษฏ์ ท่านปัญญา ฯลฯ ได้ นาพาอาตมาไปอินเดียครั้งหน่ึงคร้ังโน้น แล้วก็เลยเก่ียวข้องกันมา ตลอด พระทองคาได้สึกไป พอตอนจะฉลองโบสถ์วัดกุฏิเรือคา ท่านก็วนกลับมาบวชในพระพุทธศาสนาเม่ืออายุมากแล้ว ก็ได้จา พรรษา ที่วัดปทุมรังษี สาขาวัดปทุมวนาราม ท่ีกาฬสินธุ์ หลวงตา ทองคาก็ได้ไปจาพรรษาอยู่น่ัน แล้วก็วนเวียนอยู่ในเทือกเขาภูพาน แล้วก็มรณภาพอยู่ที่นั่น บ้ันปลายชีวิตท่ีอาตมาเก่ียวข้อง รู้เรื่องราว ความเป็นมาเป็นไปน่ัน ก็เพราะมาติดอยู่ทส่ี กลนคร ๒๐ ปี มาตดิ อยู่ กับหลวงพ่ออาจารย์วัน ก็เลยได้สร้างวัดอยู่ท่ีสกลนคร และก็ครูบา อาจารย์ท่ีคุ้นเคย อย่างหลวงปู่เพ็งท่ีเป็นเณรอุปัฏฐาก ท่านก็แวะ เวียนมาเยี่ยมเยียน มาพูดเรื่องเก่า ๆ ให้ฟัง ว่าเดินทางมาวิเวกตรง ๑๕

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๓ นั้น ๆ มีเหตุการณ์อันน้ัน ๆ ท่านก็มาเล่าให้ฟัง มาเยี่ยมโยมแม่ อาตมาดว้ ย ตอนน้ันโยมแม่ของอาตมา ก็มาอยู่วัดด้วย ๕ ปี พระเถระ ท่านก็จะมาเย่ียม เวียนมาเยี่ยม ท่านหลวงตาสรวง หลวงตาแตง อ่อน ก็จะแวะเวียนมาเยี่ยม ท่านว่าโยมแม่อาตมาเป็นผู้มีบุญ เป็น แม่พระ มันยากนะคนเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสน จะได้เป็น แม่พระสักคน มันหายาก ท่านก็เลยเมตตาแวะเวียน เล่าเร่ืองเก่า ๆ แก่ ๆ ให้ฟัง แล้วก็ไปอยู่จาพรรษาถ้าพระ บ้านนาในอีก ๑ เดือน อาตมาช่วงน้ัน ช่วงปี ๒๒-๒๓-๒๔-๒๕ วัดป่าบ้านหนองผือ วัดที่ หลวงปู่มั่นอยู่จาพรรษาที่ครูบาอาจารย์ไปศึกษา เป็นวัดร้าง เมื่อ สิ้นบุญหลวงปู่ไปแล้ว เมื่อหลวงปู่ไปมรณภาพที่วัดป่าสุทธาวาส จงั หวดั สกลนคร วัดปา่ หนองผอื ทรดุ โทรมมาก ศาลาก็แทบจะพัง มี แม่ชีเฝ้าวัดอยู่ ๒ คน แม่ชีแก่ ๆ อยู่ ๒ คนกับโยมมาดูแล พระก็ ไป ๆ มา ๆ ไมม่ ีพระอยู่ประจา อาตมาก็จาวัดอยู่ท่ีถ้าพระ บ้านนาใน ห่างกันประมาณ ๓ กิโลได้ ก็เทียวไปเทียวมา เม่ือหลวงตามหาบัวมามีโครงการผ้าป่า ชว่ ยชาติ ทา่ นจงึ ไปรับผา้ ป่าชว่ ยชาตทิ ่วี ัดป่าบ้านหนองผือ จากนั้นก็ ได้บูรณะพัฒนาข้ึนมา จนปี สองปีมาน้ี หลวงพ่อวิริยังค์ได้ไปสร้าง เจดีย์ใหญ่ เจดีย์นี้ก็สมบูรณ์ เป็นหลักเป็นฐาน ภูมิฐาน วัดป่าบ้าน หนองผือ ตาบลนาใน ซ่ึงเป็นแหล่งรวมของครูบาอาจารย์ ลูกศิษย์ ของหลวงปู่มั่นที่นาธรรมะคาสั่งสอน ข้อวัตรปฏิบัติปฏิปทาแบบ พระป่าเผยแผ่ไปท่ัวโลก ส่วนมากศึกษาอยู่ที่วัดป่าบ้านหนองผือ ตาบลนาใน อาเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร จากน้ันจึงได้ แยกยา้ ยกนั ไป ท่วั ทกุ สารทศิ ๑๖

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ ได้ทราบว่าหลวงปู่ม่ัน เคยมาอยู่จาพรรษาที่วัดปทุมวนา - ราม โดยการปรารภของท่านเจ้าคุณพระเทพญาณวิศิษฏ์แล้วต่อมา ท่านกไ็ ดเ้ ปน็ พระครูฐานานกุ รม พระครูวนิ ยั ธร แล้วก็ไปจาพรรษาที่ วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อฟื้นฟูบูรณะวัดเจดีย์หลวง จึง ทราบว่าหลวงปู่ม่ันท่านก็เป็นพระครูวินัยธร เม่ือหลายปีก่อน เม่ือ หลวงพ่ีชยั ทวี หลวงพ่อเจ้าคุณพระเทพญาณวิศิษฏ์ เม่อื ก่อนนี้ท่าน เป็นพระราชบัณฑิต เม่ือท่านเลื่อนเป็นพระเทพฯ ท่านจึงมาแต่งตั้ง ให้อาตมาเป็นฐานานุกรมของท่าน พระครูวินัยธรทองจันทร์ พุทฺธ- าโณ ท่านเจ้าคุณเชิด ท่านว่า เป็นฐานานุกรมใคร ก็ไม่ได้พูดให้ ท่านฟัง เป็นฐานานุกรมของพระเทพญาณวิศิษฏ์ พระครูวินัยธร ทองจนั ทร์ พุทฺธ าโณ แตก่ ไ็ ม่มีใครรู้หรอก เพราะเราก็เรียกกันตาม สบาย ๆ ไมไ่ ด้ถืออะไรมากมาย ท่านก็ไม่ได้เรียก “พระครู” ท่านก็เรียกว่า อาจารย์ทอง - จนั ทรอ์ ยเู่ หมือนเดมิ อย่างท่านเจ้าคุณโสฯ กเ็ รียกมหาโสฯ เจ้าคณุ - โสฯ อยู่เหมือนเดิม ช่ือสมณศักดิ์ก็แทบจะจากันไม่ได้ พวกเราก็ เรยี กกันแบบพ่ีแบบน้อง แบบคนรกั คนสนทิ สนมคุน้ เคยกัน ไมไ่ ด้ถือ ยศถือศักด์ิ เป็นฐานานุกรมยังไง ต่างคนต่างนิกาย อีกฝ่ายเป็น ธรรมยุต อกี ฝา่ ยเปน็ มหานิกาย อันนั้นเอาไวท้ หี ลัง เราเคารพนับถือ กัน ท่านถวายให้เป็นเคร่ืองสักการะด้วยความเคารพนับถือ ก็ เพยี งแต่ ถ้าอาจารยจ์ ะเซน็ หนังสอื อะไร กเ็ ซน็ เปน็ พระครวู ินยั ธร ถ้า ปกติ เราก็เรียกกันปกติ ก็อยู่กันธรรมดา เหมือนพี่เหมือนน้อง ด้วย ความคุ้นเคยกัน ด้วยความรัก ความคุ้นเคยกัน เลยทาให้อาตมา ไดม้ าวัดปทุมฯ บอ่ ย ๆ ๑๗

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ เม่ือก่อนน้ี หลายปีก่อน มาทุกเดือน แต่มาเพ่ือไป โรงพยาบาล ไปหาหมอ ท่านปัญญาฯ ไปรับมา บางทีท่านไม่ไปรับ อาตมาก็น่ังรถตู้มา มาลงที่อนุสาวรีย์ และก็เรียกแท็กซ่ีมา แท็กซี่ก็ มาสง่ ที่วัดปทมุ ฯ กม็ ารับคา่ โดยสารปลายทางท่วี ดั ปทุมฯ หรอื บางที อุตสาหะ รถตู้ก็มาส่งถึงวัดปทุมฯ ตอนกลับ ทางวัดปทุมฯ ไปส่ง ท่านปัญญาไปส่ง หรือมอบหมายให้ลูกศิษย์คนใดคนหน่ึงไปส่ง เอา รถไปส่งท่ีหุบเขาผาจันทร์ อาเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ก็ ไป ๆ มา ๆ ทกุ เดือน แต่มาหาหมอ ตอนหลังมาก็ห่างจากหมอ เพราะสุขภาพดีข้ึน จนไม่ได้มา วัดปทุมฯ หลายปี จนมาปีท่ีแล้วกับปีน้ี ตั้งแต่เดือนตุลาคม ตั้งแต่ ๑๓-๑๔-๑๕ ตุลา แล้วก็มาพฤศจิกา แล้วก็มาธันวา แล้วก็มามกรา น่ีมาติด ๆ กัน ๕ เดือน มาเดือนละครั้ง น่ีมาบ่อย มาในงานอัน สาคัญ ที่ปรารภบุคคลสาคัญ ๑๔๙ ปีชาตกาลหลวงปู่มั่น ถ้าหลวง- ปู่ม่ันยังมีชีวิตอยู่ก็คือ ๑๔๙ ปี ถ้าหากว่า ๑๕๐ ปี เห็นว่าจะจัดงาน ใหญ่ จะฉลองใหญ่ จะเสนอขอหลวงปู่ม่นั เป็นบุคคลสาคัญของโลก ผู้ท่ีทาคุณประโยชน์แก่พระศาสนา คุณประโยชน์แก่โลก สร้าง พิพิธภัณฑ์ปรารภเรื่องราวหลายอยา่ ง อาตมาก็จาไม่ค่อยได้ แลว้ หลวงตาเสง่ยี ม บงั เอญิ อาตมา ปี ๒๒ ได้จาริกจาพรรษาอยู่ วัดป่ารัตนโสภณ บ้านปลาโหล อาเภอ วาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร ได้มาเก่ียวข้องกับญาติพี่น้องลูกหลาน ของหลวงปู่คา หลวงปธู่ รรม ท่ีวัดป่ารตั นโสภณ บา้ นปลาโหล หลวง ตาเสงยี่ ม หลวงปู่คาเปน็ คนเอามาบวชเป็นสามเณร เป็นผทู้ ี่บวชเป็น สามเณรทว่ี ัดปา่ รัตนโสภณ บ้านปลาโหล หลวงปูค่ าสร้างวดั อยู่ที่นั่น บ้านของท่านอยู่ที่น่ัน จากน้ันจึงได้ไปบ้านหนองผือ ที่ท่านเจ้าคุณฯ ๑๘

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ ว่าได้มโี อกาสได้มดุ ใต้รักแร้ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ได้ไปถูหลัง ได้ไป ถูเทา้ ได้ไปอาบนา้ สรงน้าเปน็ อาจารยิ วัตร แก่หลวงปมู่ นั่ ในครง้ั นัน้ แล้วกต็ ่อมาไดร้ ับอฐั ิธาตุจากอาจารยม์ หาทองสุข จงึ ได้มีอัฐิ ธาตุทีห่ ลวงตาเสงี่ยมเกบ็ เอาไว้ ดแู ลเอาไว้ รกั ษาเอาไว้ วันนีพ้ วกเรา ทั้งหลาย ท้ังพระสงฆ์ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ได้มาอัญเชิญ ได้มาแห่ต้ังแต่โบสถ์วัดปทุมฯ วิหารวัดปทุมฯ จนมาประดิษฐานที่ ศาลาพระราชศรัทธาในวันนี้ด้วยเคร่ืองสักการะบูชาท่ีเป็นแต่ ดอกบัวล้วน ๆ ได้แสดงออกถวายเป็นอาจาริยบูชา และได้มาเจริญ พุทธมนต์เฉลิมฉลองจนได้มอบฉันทานุมัติให้อาตมาได้มาปรารภ เรื่องราวครบู าอาจารยท์ ีม่ คี วามเกีย่ วข้องกัน ณ เด๋ียวนี้ ขณะนี้ น่ีคือวิถีชีวิตอาตมาท่ีมาเกี่ยวข้องกับครูบาอาจารย์สาย ธรรมยตุ ครบู าอาจารย์วดั ปทมุ วนาราม ต้ังแตพ่ ระเดชพระคุณหลวง พ่อเจ้าอาวาส ทุกท่านทุกองค์จนถึงพระหนุ่ม เณรน้อย ภิกษุหนุ่ม สามเณรน้อยทั้งหลาย ท่ีมีความคุ้นเคยกัน ตลอดสืบสานไปจนถึง ญาติโยม เพราะอาตมาก็มาหลายคร้ังแล้ว เกิดความคุ้นเคยกัน หลายผู้หลายคน ก็เห็นว่าจะปฏิบัติเนสัชชิกธุดงค์กันเพ่ือถวายเป็น อาจารยิ บชู า สบื สานงานพระกรรมฐานอนั น้ตี ลอดไปช่วั ลูกช่ัวหลาน ช่ัวกาลนาน ก็เป็นสิ่งท่ีน่าช่ืนชมยินดี น่าอนุโมทนาเพราะเป็นข้อ ปฏบิ ัตอิ ันอุกฤษฏท์ าได้ยาก คนที่จะมาอดหลับอดนอน มาต่อสู้กับทุกขเวทนาท่ีเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความง่วงเหงาหาวนอน เจ็บปวด ปวดแข้งปวดขา ปวด หลังปวดเอว ถีนมิทธะ ง่วงเหงาหาวนอน ท้อแท้ท้อถอย ความ ฟุ้งซ่านราคาญอะไรต่าง ๆ ที่มันจะเกิดขึ้น ให้เราได้ศึกษา กาหนดดู กาหนดรู้ สรุปแลว้ กค็ อื ในกองทุกข์ กองสงั ขาร กม็ าสรุปลงวา่ ๑๙

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๓ “สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ ยะทา ปัญญายะ ปสั สะติ เม่อื ใด บุคคลเห็นดว้ ยปญั ญาวา่ สงั ขารทัง้ ปวงไม่เท่ยี ง อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วสิ ทุ ธิยา เมอื่ นน้ั ยอ่ มเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกขท์ ต่ี นหลง นนั่ แหละ เป็นทางแหง่ พระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด สพั เพ สังขารา ทกุ ขาติ ยะทา ปัญญายะ ปสั สะติ เมอื่ ใด บุคคลเหน็ ด้วยปัญญาวา่ สงั ขารทัง้ ปวงเป็นทุกข์ อะถะ นิพพินทะติ ทกุ เข เอสะ มัคโค วิสทุ ธยิ า เมอื่ นนั้ ยอ่ มเหนอื่ ยหน่ายในสิ่งทีเ่ ป็นทุกขท์ ีต่ นหลง นนั่ แหละ เป็นทางแหง่ พระนิพพานอนั เปน็ ธรรมหมดจด สพั เพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปสั สะติ เม่อื ใด บุคคลเห็นด้วยปญั ญาว่า ธรรมทง้ั ปวงเปน็ อนตั ตา อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มคั โค วิสทุ ธิยา เมื่อนัน้ ย่อมเหนอ่ื ยหนา่ ยในสิ่งทเี่ ปน็ ทุกข์ทีต่ นหลง นน่ั แหละเป็นทางแหง่ พระนิพพานอนั เป็นธรรมหมดจด” ก็จะไปลงตัวกับโอวาทท่ีหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ได้มอบให้ อาตมาว่า ถ้ำท่ำนหำควำมสุข ก็จะพบกับทุกข์ตลอดไป ถ้ำท่ำน ค้นหำทุกข์ แล้วท่ำนจะนิพพำน ถ้าเรารู้แจ่มแจ้งในกองทุกข์กอง สังขารแลว้ เรากไ็ ม่มาถือเอาธาตเุ อาขันธ์น้ี มาเกิด แก่ เจ็บ ตาย มา เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร ที่เรายังถือเอาภพน้อยภพใหญ่ก็ เพราะเรายังห่วงหาอาลัย ยังติดลูกติดหลาน ติดทรัพย์สมบัติ ศฤงคาร ข้าวของเงินทอง หน้าที่การงาน อะไรสารพัดอย่าง ส่ิง ๒๐

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ เหล่าน้ี ทาใหผ้ ูกมัดอยูใ่ นวฏั สงสาร ทาใหเ้ วยี นวา่ ยตายเกิดอยู่ในภพ แล้วภพเล่า ชาติแล้วชาตเิ ลา่ ถ้าหากว่าเรามาเข้าใจในทุกข์ท้ังหลาย เบื่อหนา่ ยในทุกข์ใน สกนธร์ า่ งกาย เมือ่ ไม่อยากจะเกดิ แก่เจ็บตายแล้ว นัน่ แหละเปน็ ทาง แห่งพระนิพพาน เป็นธรรมหมดจด ฉะน้ัน การกล่าวธรรมิกถา- นานาสารธรรม ถือว่าความเก่ียวข้องกับหลวงปู่ม่ันที่จะเป็นบุคคล สาคัญของโลกที่อาตมาได้เก็บเล็กผสมน้อยจากประสบการณ์ จาก ครูบาอาจารย์หลายท่านหลายองค์ รวมกันมาเป็นนานาสาระ เอา มาฝากเอามาป้อน เอามาให้พวกท่านทั้งหลาย เป็นที่ระลึกในการ สดับตรับฟังในคา่ คืนน้ี ก็คงจะพอสมควรแกเ่ วลา ฉะน้ัน ก็ขอขอบใจอนุโมทนาที่ท่านทั้งหลาย ได้ตั้งใจฟัง อย่างถือเป็นการปฏิบัติ ถวายเป็นอาจาริยบูชา และก็อาตมามาคร้ัง แรกในปีใหม่ เดือนมกราคมวนั นี้ ก็จะถือโอกาสให้พรปีใหม่ อวยพร อวยชัยให้ท่านท้ังหลาย ฉะน้ัน จงต้ังใจรับพรปีใหม่ วันคืนล่วงไป ล่วงไป สิ้นไป ผ่านไป สัพพะทุกข์ สัพพะโศก สัพพะโรค สัพพะภัย สัพพะเคราะห์เสนียดจัญไร ก็ขอให้สิ้นไป หมดไปกับวันคืนเดือนปี ปีใหม่ฟ้าใสออกมา ก็ขอให้ทุกคนได้มีสุขภาพแข็งแรง ปราศจาก ทุกข์โศกโรคภัย อันตรายท้ังหลายทั้งปวง มีความสุขความเจริญ เจริญในหน้าทก่ี ารงาน เจรญิ ในธรุ กิจกิจการ เจรญิ ในศีลในธรรม ค้า จนุ วัดวาพระพทุ ธศาสนา “อายุ วณั โณ สุขัง พะลัง สัพพะ สิทธิ ภะวนั ตุ เต สัพพะ ธะนัง สัพพะ ลาภงั ภะวนั ตุ เต รักขันตุ สุรักขนั ตุ สพั พะ สทิ ธิ ภะวนั ตุ เต สพั พะ ธะนัง สพั พะ ลาภงั ภะวนั ตุ เต ๒๑

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ ภะวะตุ สัพพะมงั คะลัง ขอสรรพมงคลจงมแี ดท่ ่าน รักขันตุ สพั พะเทวะตา ขอเหล่าเทวดาท้งั ปวงจงรกั ษาท่าน สัพพะพุทธานุภาเวนะ ด้วยอานภุ าพแห่งพระพุทธเจ้าทง้ั หลาย สัพพะธมั มานภุ าเวนะ ดว้ ยอานุภาพแหง่ พระธรรมทั้งปวง สัพพะสังฆานุภาเวนะ ดว้ ยอานภุ าพแหง่ พระสงฆ์ทั้งหลาย สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ขอความสุขสวัสดจี งมีแดท่ ่านทกุ เม่ือ เทอญฯ” อา้ ว สขุ สวสั ดปี ีใหม่ ทกุ คน ๆ เด้อ ๒๒

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๓ พระอำจำรย์ฟิลลปิ ำณะธัมโม วดั ปำ่ รัตนวัน ต.วังหมี อ.วังเขียว จ.นครรำชสีมำ แสดงเมื่อวันอำทิตย์ ที่ ๒๐ มกรำคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ณ ศำลำพระรำชศรทั ธำ วัดปทุมวนำรำม รำชวรวิหำร ขออนุโมทนาผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธ พระธรรมและ พระสงฆ์องค์เจ้าที่ได้มาร่วมกันท่ีวัดปทุมวนารามในวันนี้เป็นวันที่ พวกเราท้ังหลายได้สานึกระลึกถึงวันคล้ายวันเกิดของพ่อแม่ครู อาจารย์ใหญ่หลวงปู่มั่น ภูริฑัตตะเถระที่เราถือว่าเป็นพ่อแม่ครูบา อาจารย์ใหญ่ของเรา ทาไมเราใช้คาว่า “พ่อแม่ครูบำอำจำรย์” เรา ใช้คาน้ี เพราะว่ามนั มาจากธรรมะของพระพุทธเจ้าทีท่ ่านแสดงไว้ว่า เราอาจจะมีบิดา – มารดา ๓ ประเภท ท่ีเรามีทุกคน คือ บิดา – ๒๓

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ มารดาทใ่ี หเ้ กดิ ข้นึ มาในโลกนี้ ท่ใี หร้ ูปขันธ์ อนั น้นั คือ บิดา – มารดา ประเภทที่ ๑ ท่ีมีบุญคุณหาประมาณมิได้ บิดา – มารดาที่มีบุญคุณ หาประมาณมไิ ด้ประเภทที่ ๒ คือ บดิ า – มารดาท่ีเล้ยี งเราจนกระท่ัง เติบโต ให้รูจ้ กั ดี รู้จกั ช่วั ใหร้ ู้จักสงิ่ ที่ควรทาไม่ควรทา เว้นสง่ิ ที่ไม่ดีไม่ งามเป็นอกุศล บิดา – มารดาที่เลี้ยงเราสอนเรามีบุญคุณหา ประมาณมิได้ บางท่านส่วนใหญ่ บิดา – มารดาที่เป็นผู้ให้กาเนิดก็ เป็นผู้ท่ีเลี้ยงเรา แต่มารดา บิดาประเภทที่ ๓ มีบุญคุณหาประมาณ มิได้เหมือนกัน เป็นมารดา – บิดาที่ให้กาเนิดในธรรมวินัยขององค์- สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่สอนธรรมะให้กับเรา สอนให้ เรารู้จักทกุ ข์ รูจ้ กั เหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ และรูจ้ กั ทางท่ีจะดับทกุ ข์น้นั ผู้ท่ีสอนธรรมะของพระพุทธเจ้าแก่เราผู้นั้น เป็นอาจารย์ ใหญ่ของชีวิต เป็นผู้ให้แสงสว่าง เส้นทางของชีวิต เป็นผู้มีบุญคุณใน ชีวิตที่หาประมาณมิได้ ก็เลยพวกเราทั้งหลายวันนี้ ก็ได้มาร่วมกัน เพ่ือสานึกระลึกถึงครูอาจารย์ใหญ่องค์หนึ่ง หลวงปู่ม่ัน ภูริฑัตตะ มหาเถระอยู่ ที่เป็นครูอาจารย์ที่เปิดแสงสว่างธรรมะให้กับชีวิตของ เรา ตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นอริยสาวกองค์ หนึ่งท่ีปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติงำม ปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ที่ เมตตาโปรด สอนภิกษุ แม่ชี อุบาสก อุบาสิกาให้ประพฤติปฏิบัติ ตามหลักธรรมวินัย ให้ถูกต้อง ตรง และให้แน่วแน่ และท่านก็เคย เมตตาโปรดชาวกรุงเทพมหานครน้ีท่ีวัดปทุมวนาราม ตามท่ีอาตมา ไดเ้ ข้าใจประวัติวา่ ถึง ๔ พรรษา ท่านก็ได้พักที่วัดปทุมวนารามอยู่ แต่ไม่ได้ต่อเนื่อง มาพัก ที่นบี่ ้าง จาพรรษาโปรดศรัทธาญาติโยมทงั้ หลาย แล้วทา่ นกไ็ ดธ้ ุดงค์ ต่อ ปลีกวิเวก อบรมส่ังสอนในท่ีต่าง ๆ และก็ท่านก็กลับเป็นครั้ง ๒๔

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ คราว ก็ถือว่าท่านเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลักที่ได้มา ณ ที่น้ี ก็ทา ให้วัดปทุมวนารามเป็นแดนศักด์ิสิทธิ์ เป็นแดนเคารพ ท่ีมีครูบา อาจารย์ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบมาพักอาศัย ก็เลยพวกเรามาพร้อม เพรียง มารวมใจกันเพ่ือมาสานึกระลึกถึงพระผู้ใหญ่องค์หน่ึงของ ประเทศไทย ท่ีเป็นแบบอย่าง ท่ีปลูกศรัทธาให้ทั้งคนไทย และคน ต่างประเทศ บางคนอาจจะสงสัยอยู่ว่า ทาไมครูบาอาจารย์ท่ีวัด ปทุมวนาราม ในงานหลวงปู่ม่ัน ได้นิมนต์พระฝรั่งมาสอนคนไทย พระฝร่ังเก่ียวข้องกับประวัติหลวงปู่ม่ันยังไง พระฝรั่งเก่ียวข้องกับ คาสั่งสอนของหลวงปู่ม่ันยังไง ท่ีจะต้องมาเป็นผู้เปิดแสดงธรรม เทศนาองค์แรก ที่จริง มีพระผู้ใหญ่ท่ีมาร่วมงานวันนี้ ทั้ง ๔ องค์ ก็ เคยอยู่กบั หลวงปู่ม่ัน ตอนเปน็ สามเณรบ้าง เคยไปจาริก ไปกราบไป ไหว้ท่าน ท่านก็เป็นลูกศิษย์โดยตรง อาตมาเป็นรุ่นหลาน ไม่ใช่ลูก โดยตรง หลวงปมู่ ัน่ มรณภาพก่อนอาตมาเกิดอีก อาตมาเกิดปี พ.ศ. ๒๔๙๘ หลวงปู่มั่นมรณภาพไปแล้ว ละ สังขารแล้ว แต่คุณงามความดีของหลวงปู่มั่นก็ไม่ได้หายไปไหน เหมอื นคณุ งามความดีขององค์สมเดจ็ พระสมั มาสมั พุทธเจ้ายังคงอยู่ ในโลก ที่วัดปทุมวนารามน้ัน ก็แสดงถึงบุญบารมีขององค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าท่ปี รากฏอยู่ในโลกนี้ถงึ ปจั จุบนั และที่พวกเรา ทั้งหลายไดร้ ว่ มกัน หลายรอ้ ยคน หลายพนั คนในวันนี้ กแ็ สดงถึงบุญ บารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังอยู่ในโลกอยู่ คุณงาม ความดี คาส่ังสอนของท่านก็ยังอยู่ในโลก ผู้มีศรัทธาที่จะประพฤติ ปฏิบัติตามยังมีอยู่ และบุญบารมีของหลวงปู่มั่นก็ยังมีอยู่ในโลกนี้ เช่นอาตมาเองก็เกิดความสนใจในพระพุทธศาสนาช้ากว่าพวกเรา ไม่รู้จักพุทธศาสนาจนอายุ ๒๑ ปี ก็ได้พบคาสั่งสอนของ ๒๕

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ พระพุทธศาสนา แต่ไม่เคยเห็นพระ ไม่เคยเห็นพระแม้แต่องค์เดียว ไม่เคยเห็นรูปพระด้วย เห็นแต่นาคองค์หนึ่ง แต่ท่านถือศีล ๘ ยังไม่ เปน็ พระ แต่โกนหวั กท็ าให้ปลูกศรัทธา แตว่ ันหนึ่ง อาตมาก็อยากจะศึกษาพุทธศาสนามากข้ึน เคย แตอ่ ่านแต่หนงั สือ กไ็ ปสมาคมพทุ ธท่เี มืองแอดิเลด (Adelaide) เมอ่ื เข้าไปท่ีสมาคมพุทธฯ นั้น มีรูปหลวงปู่ม่ันติดอยู่ฝาผนัง อาตมาก็ เห็นรปู น้ัน เป็นรปู ยนื ท่เี ราอาจเคยเหน็ กนั อยู่ ท่ีท่านถ่ายตรงหนา้ ต้น ตะแบกที่อีสาน ท่านก็ยืนอยู่สารวมสงบ และท่านก็เพ่งตาคมมาก ตอนเห็นภาพหลวงปมู่ ่นั คร้ังแรก ยังไมร่ วู้ ่าท่านคือใคร พระองค์น้ีชื่อ อะไร เพราะเขียนเป็นภาษาไทย ไม่ได้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ อ่าน ไม่ออก ก็ถามใครที่สมาคมพุทธฯ ก็ไม่มีใครรู้ แต่ชาวต่างชาติทุกคน พูดว่า พระองค์นี้น่าเลื่อมใส ดูรูปแล้วปลูกศรัทธาจริง เออ เราก็ดู ท่านก็มองแบบตาคม ตามีอานาจ เหมือนว่าท่านเป็นผู้รู้ เหมือน ท่านมีอะไรดี ๆ แต่เราไม่สามารถท่ีจะถามองค์ท่านได้ เพราะเป็น รูป แต่เกิดความรู้สึกศรัทธา เห็นรูปแล้วศรัทธาหลวงปู่มั่น เป็น พระองค์แรกท่เี ราเหน็ ตอนเปน็ ฆราวาส แล้วปลกู ศรัทธาทนั ที ก็เลยทาให้เราคดิ ว่า บุญบารมีของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ แม้ ท่านล่วงไปแล้ว แต่ว่าบุญวาสนาบารมีของท่านยังมีอยู่ สามารถ ประกาศศาสนาได้โดยไม่พูด วันนี้อาตมากาลังแสดงธรรม แต่การ แสดงธรรมนั้น ไม่ใช่ตัวจริง เป็นการพูดการจา แต่ตัวจริงนั้น ธรรม นั้นอยู่รอบเรา อยใู่ นกาย ในจิตของเราทุกคนทน่ี ง่ั อยู่ ณ ทนี่ ้ี อยรู่ อบ เรา อยู่ท่ีทั้งธรรมชาติภายนอก และธรรมชาติภายใน เราก็ต้อง มองเห็นพระธรรม สิ่งท่ีเป็นคาพูดน้ันก็เป็นเพียงการชี้แนะนา พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบว่า การแสดงธรรมนั้นเหมือนเอาน้ิว ๒๖

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ มือช้ีพระจันทร์ พวกเราทั้งหลายต้องมองตามน้ิวมือท่ีช้ีไปน้ัน เพ่ือ เห็นแสงสวา่ งของพระจนั ทร์ เห็นความเปน็ จรงิ เมอ่ื ท่านแสดงธรรม แล้ว ก็เป็นการช้ีถึงความจริงท่ีเราสามารถเรียนรู้ในจิตในใจของเรา ได้ เราก็ระลึกถึงรูปพระหลวงปู่มั่นนั้น และก็ได้จดจาได้ว่าทา ให้ปลูกศรัทธา เรามีความรู้สึกเหมือนสารีบุตรได้เจอพระอรหันต์ คือ อัสสชิ กาลังจะบิณฑบาต ท่านก็ไม่ได้แสดงธรรม ท่านไม่ได้ เทศน์ แต่ท่านประกาศศาสนาดว้ ยการโปรดสัตว์ ด้วยการบิณฑบาต ทา่ นเดนิ ด้วยความสารวม สง่า สงบ สารีบุตรยังไมไ่ ดอ้ อกไปบวช แต่ ก็เห็นสมณะพราหมณ์องค์นี้ พระองค์น้ีน่าเลื่อมใส เห็นกริยา เห็น มารยาท ท่ำนสำรวมสงบเหมือนกับเป็นผู้ท่ีรู้ธรรม ก็เกิดศรัทธำ ควำมเลือ่ มใส เพรำะกริ ยิ ำมำรยำทนัน้ เปน็ ตัวประกำศพระศำสนำ ท่านก็เลยเข้าไปกราบ ไปคารวะ ไปขอถามธรรมะอยู่ อัสสชิท่ีเป็น พระอรหันต์บอกว่า ยังไม่ถึงเวลา เรากาลังบิณฑบาตอยู่ มันไม่ เหมาะสมที่จะแสดงธรรมะตอนนี้ รอให้เราบิณฑบาตเสร็จ ท่านก็ เลยรอให้อัสสชิบิณฑบาตเสร็จแล้ว ท่านก็เข้าไปกราบ แล้วถามถึง ธรรมะ ท่านก็บอกเราเพ่ิงบวช แต่ท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ท่านก็อ่อนน้อมถ่อมตนว่า เราเพิ่งบวชในพุทธศาสนาน้ี พระสารี บุตรก็เลยถามถึงอาจารย์ของท่าน ท่านก็เลยพูดถึงพระสัมมาสัม พุทธเจา้ ถามถงึ คาสั่งสอนของพระพุทธเจา้ วา่ มีอะไรบา้ ง “ส่ิงท่ีเกิด เกดิ เพรำะเหตุ สง่ิ ทดี่ ับ ดบั เพรำะเหตุ” พระสารีบุตรฟังแค่นี้ไม่ก่ีประโยค บรรลุเป็นพระโสดาบัน บรรลุเป็นพระโสดาบัน เพราะอะไร เพราะจิตใจท่านเปิด จิตใจ พร้อมท่ีจะรับธรรมะอยู่ ก็เหมือนศรัทธาญาติโยมท้ังหลาย ที่อยู่ใน ๒๗

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ ศาลาวหิ ารหลังน้ี เราทาใหจ้ ิตใจเปิด ฟังดว้ ยหู และฟังด้วยใจ ถ้าฟัง ด้วยหูอย่างเดียว เราอาจจะรับฟังอยู่แต่มันยังไม่เข้าถึงจิตใจเรา เวลาทที่ า่ นพูดถึงทุกข์ เราก็ยังไม่เข้าใจ พูดถงึ เหตใุ ห้เกิดทุกข์ เราไม่ ตรวจจิตใจตัวเองว่าเรายึดมั่นถือมั่นตอนไหน เรายึดมั่นถือมั่น อย่างไร เรายึดอะไรบา้ ง แลว้ เวลาปลอ่ ยทุกข์ มันมีผลอยา่ งไร เราไม่ เห็น เพราะเราไม่น้อมธรรมะเหล่าน้ันเข้ามาในจิตในใจ แต่ถ้ำฟัง ด้วยใจน้ัน เรำก็จะน้อมจิตด้วยธรรมะนั้น เอำไปประพฤติปฏิบัติ ท่านพูดถึง “ศีล สมำธิ ปัญญำ” จะสำรวจตรวจตนเองว่ำศีลของ เรำสมบูรณ์ บริบูรณ์หรือไม่ ศีลของเรำมันดีงำมหรือไม่ ศีลของ เรำจะทำให้พฒั นำเจริญกว่ำนอ้ี ย่ำงไร เดี๋ยวนี้ เราอาจจะมีบางข้อที่มันเป็นจุดอ่อนท่ีเราล่วง ละเมิด เราก็หลงลืม เราจะปรับปรุงแก้ไขอย่างไร เช่น ทุกวันนี้ อาตมาขอพูดในโอกาสน้ีด้วย ขออโหสิ ขออภัยด้วยนะ เดี๋ยวน้ีโยม ถือว่าเป็นลูกศิษย์วัด แต่ว่าอาจจะไม่ใช่วัดนี้นะ อาตมาเพ่ิงไปร่วม งานวัดหนองป่าพงประจาปี คนมาถือศีลแปด หลายพันคนท้ังหมด มาร่วมกันทีสองหม่ืนกว่าคนในวันสุดท้าย แต่คนขโมยเยอะ ถือศีล ห้าศีลแปด ขโมยอย่างไร จริง ๆ แล้ว ไม่ได้ขโมยวัตถุส่ิงของ โยม ขโมยรูปพระ พระเดินผ่าน แชะถ่ายรูป แต่ไม่ขออนุญาต ลักขโมย เอา ขโมยถ่ายรูป บางคนเดินเซลฟี่ เดินต่อหน้าพระ เซลฟ่ีกับพระ เดินอยู่ มันเหมาะสมหรอื เปล่า มีความรู้สึกวา่ โยมมาถอื ศีล แตว่ ่าศีล มนั จะขาด เพราะอะไร ไมม่ มี ารยาทของคนไทย ของคนมศี ีล คนมศี ีลต้องสำรวม คนมศี ีลธรรมต้องเป็นผูไ้ มล่ ่วงละเมิด ผู้อ่ืน ไม่ถือวิสำสะกับผู้อื่น เป็นคนที่จิตใจประณีต เป็นคนจิตใจ ละเอียด สุขุม ไม่ใช่เห็นว่าพระ หลวงพ่อ หลวงตาองค์ไหน ปุ๊ป ยก ๒๘

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ กล้องขึ้นมา ขโมยถ่ายรูปท่านซะก่อน หรือบางคนสุภาพหน่อย เขา กข็ ออนญุ าต อมื อันน้ีกน็ า่ ฟงั ใหญ้ าตโิ ยมพวกเรา จากันไว้ อย่าเปน็ ผู้ที่ขโมยรูปพระ มันไม่เหมาะสม ยิ่งอุบาสิกา เดินคนเดียวและ ถ่ายรูปเซลฟี่กับพระ มันไม่เหมาะสมอย่างย่ิง ขอพูดไปก่อนนะ เพราะอะไร เพราะเราเองก็อยู่ในความเจริญ แม้แต่สมัยหลวงปู่มั่น ไมต่ อ้ งพดู ถึงสมยั พุทธกาล ไม่มี แต่วา่ เราควรเอาธรรมวินยั มาวดั ว่า สิ่งอันนั้นมีคุณมีโทษอย่างไร และสิ่งท่ีมีคุณก็มีคุณอยู่ เช่น เรามีรูป หลวงปมู่ ัน่ อย่างน้ี ก็มคี ณุ อยู่ เราได้กราบได้ไหว้ ได้บูชาอยู่ ทาความดี ถวายดอกไม้ ธูป เทยี น สานึกระลึกถึงหลวงปูม่ ั่นนน้ั แต่วา่ รปู น้ัน ผู้ถา่ ยรปู หลวงปู่ม่ัน ก็คงได้ขออนุญาตไว้ก่อน กราบไหว้ด้วยดีซะก่อน ก็เลยขอให้เรา ตักเตือน คิดแก้ไขปรับปรุงให้รู้จักสถำนที่ที่ควรเคำรพ รู้จักวัตถุที่ ควรเคำรพ รู้จักบุคคลท่ีควรเคำรพ รู้จักกำลเทศะในกำรเคำรพ รู้จักเคำรพในธรรมวินัย เป็นควำมเรียบร้อย อะไรที่เคลียร์ไม่ เรียบร้อย ก็เคลียร์ให้เรียบร้อย เช่น อาตมามาร่วมงานแล้ว ก็ตั้งใจ ฟังเจา้ คณุ น้นั ท่านก็ประกาศตลอด พดู ถงึ ระเบียบวนิ ัย ทาไมพวกเราท้ังหลายศรัทธาเล่ือมใสในหลวงปู่ม่ัน เพราะ ทา่ นมขี ้อวตั รปฏปิ ทาที่งดงามมาก ท่ีสวยงามมาก นา่ เลือ่ มใส ทา่ นมี ระเบียบมีวินัย ท่านสอนพระเณรท่ีเคยอยู่กับท่านให้มีระเบียบ มี วินัย ละเอียดอ่อนมาก ท่านก็กล้าสอน กล้าพูด กล้าแนะนา และ ทา่ นเปน็ คนจรงิ จัง เปน็ คนพดู ตรง ทาตรง ทาจริง เอาจรงิ พดู จริง ก็ เลยพวกเราท้งั หลายที่ศรัทธาเลื่อมใสทา่ น ในปฏิปทาของทา่ น เราก็ จะต้องประพฤติปฏิบัติ ในระเบียบวินัย ในข้อวัตร แต่ละวัดก็ไม่ เหมอื นกนั แต่วา่ พ้ืนฐานของแตล่ ะวดั กเ็ หมือนกัน คอื รกั ควำมสงบ ๒๙

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๓ รักควำมสะอำด รักระเบียบวินัย และรักควำมสำมัคคี และรัก ธรรมะ อนั น้ีเป็นแกนของการอยู่รว่ มกันในสงั คม ถ้าหากว่าเรามีแกนนี้ก็อยู่ด้วยกัน อยู่คนเดียวก็สบาย อยู่ กบั บุคคลอืน่ ก็สบาย อยู่หลายคนกส็ บาย เพราะมันกไ็ ปทางเดียวกัน ความคิดก็ไปทางเดียวกนั กริยามารยาทกม็ ีความอ่อนน้อมเคารพไป ในทางเดียวกัน เราก็จะได้เห็นอยู่ว่าหลวงปู่มั่นนั้นเป็นผู้ท่ีจริงใจกับ พระธรรมวินัย ท่านก็เป็นผู้ท่ีว่าเรื่องข้อวัตรปฏิบัติของในธรรมใน วินัยท่ีพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ ท่านก็ทาเป็นแบบอย่าง ถ้าเราดู ปฏิปทาของท่าน ก็ปลูกศรัทธาในญาติโยมท้ังหลาย และพระสงฆ์ อยู่ว่า วินัยทุกข้อท่านก็เคร่งครัดท่ีสุด ท่านก็มองว่าวินัยท่ี พระพุทธเจ้าบัญญัติน้ัน เป็นความสาคัญ ถ้าไม่สาคัญ พระพุทธเจ้า ท่านคงไมบ่ ญั ญัติ พระพุทธเจ้าคงไมบ่ ัญญตั สิ ่ิงทีไ่ มม่ ีความหมายและ ไม่สาคญั ทา่ นบญั ญตั ิแต่สง่ิ ทีส่ าคญั ทัง้ นั้น ในสงิ่ ทท่ี จ่ี ะพาเราพ้นจาก ทกุ ขท์ ้ังหลายทัง้ ปวงได้ ท่านก็บัญญัตไิ ว้ และท่านเปน็ คนจรงิ พระพุทธเจ้าบัญญัติห้าม ท่านก็ห้ามตนเอง ห้ามหมู่คณะ พระพุทธเจ้าสรรเสริญ ท่านก็ทาตาม เช่น พระพุทธเจ้าห้ามล่วง ละเมิดในวินัย ๒๒๗ ข้อ และข้อท่ีอยู่นอกปาฏิโมกข์ ก็อีกหลายรอ้ ย ขอ้ หลายพันข้ออยู่ หลวงปมู่ ่นั กเ็ อาใจใส่ทงั้ หมด มาประพฤติปฏิบัติ หกั ห้ามตนเอง หา้ มหมู่คณะ หกั หา้ มกิเลสตัณหา จริงใจกับส่ิงอนั นั้น คือ “ยอมเสยี สละชีวติ เพื่อธรรม เพือ่ วนิ ัย” นน้ั ทา่ นเป็นผ้เู สียสละ ชีวิตเพื่อธรรมเพ่ือวินัย และสอนลูกศิษย์ลูกหาเหมือนกัน ประพฤติ ปฏิบัติเหมือนกัน และท่านก็เป็นผู้ท่ี “พระพุทธเจ้าสรรเสริญ หลวง ปู่ม่ันเอา” เช่น ธุดงควัตร ๑๓ ข้อ ท่านก็เอา ธุดงค-วัตร เช่น การ ฉันในบาตร การเดินบิณฑบาตเป็นวัตร การใช้(ผ้า) ๓ ผืนเป็นวัตร ๓๐

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ การอยู่ป่าเป็นวัตร ท่านก็เอาใจใส่เรื่องข้อวัตรอย่างนี้ เป็นคนท่ี เสียสละ ฉันมื้อเดยี ว ฉนั รวมกนั ในบาตร ท่านก็ใชเ้ ป็นเครอื่ งขดั เกลา กิเลสของท่านเอง เพราะอันน้ีก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าอนุ ญาต ประสงค์ให้สมัครใจรักษา ไม่ได้บังคับ ไม่ใช่ทุกวัดควรจะเป็นอย่าง นนั้ แต่ว่าเม่ือพระพุทธเจ้าท่านทาอย่างน้ันเอง บิณฑบาตเป็น วัตร อยู่ในป่าเป็นวัตร ฉันในบาตรเป็นวัตร หลวงปู่มั่นก็มีศรัทธาท่ี จะทาตาม ท่านปฏบิ ัตติ ามอยา่ งนนั้ ท่านกเ็ ลยเปน็ แบบอยา่ งแก่พวก เราท้ังหลายให้ได้เรียนรู้ว่า เป็นการสละทิ้งกิเลส ธุดงควัตร ท่าน เปรียบเทียบเหมือนฝุ่นติดผ้า เราก็ต้องเอาผ้าน้ันสะบัด เพ่ือจะ สะบัดฝุ่นออกไป ธุดงควัตรเป็นข้อวัตรท่ีพระสงฆ์สมัครใจรักษาเพื่อ จะสะบัดกิเลสท้ิงออกจากจิตใจ เพราะมันทายาก ทาลาบาก มันก็ ขัดเกลาความอยากของเรา ฟื้นฟูความชอบใจของคนท่ัวไป เราก็ ต้องอดทน ต้องต่อสู้ เป็นเหตุปัจจัยว่าหลวงปู่ม่ันก็เป็นแบบอย่าง ตลอดชีวิตของท่าน ท่านขยันเร่ืองธุดงควัตร แม้ว่าท่านเข้ามาใน เมือง มาอยู่ที่วัดปทุมวนาราม ท่านก็รักษาข้อวัตรปฏิบัติของท่าน เช่น ที่น่ีก็เป็นป่า มีป่าอยู่ ท่านก็มาอยู่ป่าในเมือง เป็นป่า ท่านก็ยัง บิณฑบาตโปรดสัตว์ ท่านก็ยังฉันในบาตร ฉันม้ือเดียว ท่านก็ยัง รักษาข้อวัตรของท่าน เป็นผู้มักน้อย สันโดษ เป็นผู้รู้จักทำนน้อย พูดน้อย นอนน้อย และปฏิบัติมำก ก็เป็นแบบอย่างให้พวกเราใน ขอ้ วัตรปฏบิ ตั ิ กท็ าให้ปลูกศรัทธา พระพุทธเจ้าสรรเสริญในสิ่งใด หลวงปู่ม่ันก็เอาแบบอย่าง ตามน้ัน เช่น พระพุทธเจ้ำสรรเสริญใน ศีล สมำธิ ปัญญำ ให้เกิด อธิศีล อธิสมำธิ อธิปัญญำน้ัน หลวงปู่มั่นท่ำนก็ศรัทธำเลื่อมใส ๓๑

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ เร่งควำมเพียร เดินจงกรม นั่งสมำธิ พยำยำมเจริญสติในทุก อิริยำบถอยู่ ท่ีน้ี ญาติโยมทั้งหลายอาจคิดว่า เราจะอยู่แบบหลวงปู่ มั่นก็ไม่ได้ เราก็มีภาระ มีกิจ มีงาน มีการทางาน ประพฤติปฏิบัติ อย่างไรในเมือง ในชีวิตฆราวาสเราจะทาอย่างไร เราก็เอามรรคของ ทา่ น เอาหลกั ของทา่ นมาประพฤตปิ ฏิบตั ิ เจรญิ ศีล สมาธิ ปญั ญาใน ชีวิตประจาวัน ศลี ของเรา เรารกั ษาได้ เรากร็ ักษาศลี ท่ีเจริญในเมือง เรากร็ กั ษาได้ มนั เปน็ การทวนกระแสของโลกเขา เราก็รักษาได้ เป็น ผ้ไู ม่เบยี ดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบยี นผู้อืน่ เป็นผูม้ เี มตตาต่อตนเอง มี เมตตาตอ่ ผอู้ ื่น คนทมี่ ีเมตตำต่อตนเองน้ัน คือคนรกั ษำศลี ๕ จรงิ คนท่ีไม่รักษาศีล ๕ นั้น ไม่เมตตาตนเอง ไม่รักตนเอง เพราะสร้างกรรม สรา้ งโทษแกต่ นเองท่ีจะต้องรับต่อไป สร้างเวรกับ ตนเองท่ีจะต้องรับต่อไป สร้างภัยกับตนเองที่จะต้องรับต่อไป พา ตนเองไปสู่ทุกข์ท่ีจะต้องรับต่อไป ก็เลยแสดงว่าไม่เมตตา ไม่รัก ตนเองจริง ๆ แต่ผู้ที่เห็นโทษ เห็นภัยในวัฏฏะจักรสังสาร เห็นโทษ ในการเวียนว่ายตายเกิด ก็จะเป็นผู้ท่ีต้ังใจรักษาศีลนั้น ก็จะทาให้ เป็นผู้สร้างมนุษยสมบัติข้ึนมา ทาให้สวรรคสมบัติข้ึนมา สร้าง นิพพานสมบัติขึ้นมา มนั สบายแก่พวกเราทง้ั ชาตินี้ ชาติตอ่ ไป เจริญ ชาติน้ี ชาติต่อไป ทาให้พบกระแสพระนิพพานชาตินี้ และไม่ต้องมี ชาติต่อไป ทาให้จบการเวียนเกิดในวัฏฏะจักรสังสารได้ เมื่อเรำ พยำยำมเจริญสติและสมำธิในชีวิตประจำวัน ก็ใช้ชีวิตที่เรำมีอยู่ ในปัจจุบันนั้น ในปัจจุบันน้ี เป็นสถำนที่เจริญ ควำมสงบ ควำม ร้ตู วั พรอ้ ม สตปิ ัญญำ เด๋ียวอาจารย์จะเล่านิทานให้ฟัง เป็นนิทานที่อาตมาชอบ เล่าให้ชาวต่างชาติท่ีมาที่วัดท่ียังไม่รู้จักเร่ืองพุทธศาสนา ให้เขารู้จัก ๓๒

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ พระพทุ ธศาสนาบ้าง โดยการเลา่ นทิ าน เพราะด้วยการเล่านิทานน้ัน เขาจะจดจา เพราะเทศน์อย่างน้ี เดี๋ยวโยมจะลืม หรือนั่งก็ง่วงนอน เพราะเพิ่งทานข้าว แต่ถ้าเล่านิทานนั้น บางครั้งมันจาได้ อ้าว เป็น นิทานเฉย ๆ นะ มีมหากษัตริย์องค์หน่ึง ท่านก็ชอบปรัชญา ท่านมี คาถามอยู่ ๓ คา ท่านชอบถามผู้ท่ีมาที่เมืองท่านว่า “เวลำไหนเปน็ เวลำที่สำคัญท่ีสุดในชีวิตของเรำ” “บุคคลใดเป็นบุคคลที่สำคัญ ที่สุดในชีวิตของเรำ” และ “ควรจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์ท่ีสุด ในชีวิตของเรำ” เป็นคาถามที่น่าถามเหมือนกันนะ เวลาไหนเป็น เวลาท่ีสาคัญที่สุดในชีวิตของเรา บุคคลไหนเป็นบุคคลที่สาคัญท่ีสุด ควรจะทาอะไรให้เป็นประโยชน์ที่สุดในชีวิตของเรา จริง ๆ ทุกคน ควรถาม ท่ีนี้ เวลาบางคนเขาก็ตอบ เวลาท่ีเราประสูติขึ้นมา เราก็ ประสูติเป็นมหากษัตริย์ แล้วเกิดในตระกูลท่ีดี พ่อแม่ก็เป็นบุคคลท่ี สาคัญท่ีสุด บางคนก็เถียงว่าไม่ใช่ เวลาใดเป็นเวลาท่ีสาคัญท่ีสุด บางคนบอกเวลาแต่งงานเป็นเวลาสาคัญท่ีสุด ภรรยาเป็นคนสาคัญ ท่ีสุด บางคนบอกว่า ไม่ใช่ เพ่ือนเป็นคนสาคัญท่ีสุด ควรทาอะไร บางคนบอกว่า ควรจะยึดอานาจ ควรจะหาสมบัติ หาความสุขแก่ ตนเอง ควรจะทาดี โอ้ ตอบหลายอย่าง หลายวิธี หลายทาง ไม่ เหมือนกนั สกั คน กเ็ ลยสงสยั มีวนั หน่ึง ไดย้ นิ กติ ตศิ ัพทข์ องฤๅษี ฤๅษี องค์หน่ึงอยู่ในถ้า อยู่บนภูเขาก็เลยตัดสินใจว่าจะไปกราบฤๅษี เพราะฤๅษีน้ีท่านมีช่ือเสียงว่าเป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้มีปัญญามาก ก็ เดินทางไปหาท่าน พอดีถึงตีนเขา มันก็เร่ิมบ่ายแก่แล้ว ก็เลยให้ อารักขาเฝ้าอยู่ท่ีตีนเขา เปลี่ยนผ้าใส่ชุดขาว แต่งตัวธรรมดา ไม่ อยากให้รู้วา่ เราเป็นมหากษตั รยิ ์ ถอดเคร่อื งแบบอะไรทกุ ส่ิงทกุ อย่าง ๓๓

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ ออก ก็ข้ึนภูเขาไปคนเดียว เข้าไปในถ้า ฤๅษีก็นั่งสมาธิอยู่คนเดียว อย่ใู นถ้า นง่ั หลบั ตาอยู่ กษตั รยิ ก์ เ็ ขา้ มาแล้วก็กราบ กราบด้วยความเคารพ ท่นี ้ี ฤๅษี ก็เฉยอยู่ อุเบกขา นั่งนิ่งนาน ๆ ไม่ลืมตา มหากษัตริย์ก็เป็นผู้มี ภารกิจมาก ท่านก็เลยต้องรีบมา รบี รับคาตอบและรบี ไป ทา่ นก็เลย กระแอมข้ึน ฤๅษีก็นัง่ เฉย ไมส่ น สกั พกั ใหญ่กก็ ระแอมขน้ึ มาอีก ฤๅษี ก็นง่ั เฉย มหากษตั รยิ ์กเ็ ลยร้สู ึกวา่ เสยี เวลา มาหาพระ มาหาเจ้าท่าน ก็นั่งเฉย ไม่ตอบปัญหาของเรา ท่านก็เลยเดินออกจากถ้า และก็มี หน้าผาที่เป็นเหวลึก ก็มีพระอาทิตย์กาลังจะตกดิน ท่านก็มองดู ก็ วา่ มันสวยงาม ท่านเองกไ็ ม่ได้ออกจากพระราชวงั มานาน เวลาอย่ใู น พระราชวังก็ต้องมีการแก้ปัญหา ปัญหาสารพัดปัญหาก็ต้องผ่าน ท่าน ทา่ นก็ตอ้ งตัดสินใจ คิดมาก ท่ีน้ี ท่านอยู่องค์เดียว ก็มองดูธรรมชาติ รู้สึกสบาย รู้สึกใจ วเิ วก เพราะกายวเิ วกข้ึนมา ท่านกย็ ืน แบบกาลังเสวยสุขอยู่ ก็ไดย้ ิน เสียงกระแอมขึ้นมาข้างล่างท่าน ท่านหันหลังมาดู ฤๅษีก็ถือดาบมา วางที่คอพระราชา (อันนี้นิทานนะ) และถามว่า “เวลำไหนเป็น เวลำท่ีสำคัญท่ีสุดในชีวิตของพระรำชำ” “บุคคลใดเป็นบุคคลท่ี สำคัญท่ีสุดในชีวิตของเรำ” “ควรจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์ใน ชีวิตยังไง” ที่น้ี พระราชาถ้าถอยหลังอยู่ ตกเหวตาย ถ้าขยับ ข้างหน้าก็กลัวฤๅษีจะปาดคอตาย ก็เลยจิตต้ังมั่นในปัจจุบัน รู้ว่า เวลำปัจจุบันเป็นเวลำสำคัญที่สุดในชีวิตของเรำ เพราะอดีตมัน ผา่ นไปแลว้ เราระลึกไดใ้ นปัจจุบนั อนาคตยังไม่มาถึง เรายงั ไม่รู้ แต่ อนาคตขา้ งหนา้ จะเกดิ เพราะปัจจุบัน ๓๔

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๓ ถ้าเราทาปัจจุบันให้ดีที่สุด อนาคตก็ต้องดีที่สุด เพราะเรา ทาปัจจุบันทุกระยะเวลาให้ดีที่สุด ตามความสามารถของตน ตาม สติปัญญาของตน และบุคคลท่ีสำคัญท่ีสุดในชีวิตของเรำ คือ ตนเองและผู้ที่อยู่ข้ำงหน้ำเรำ ตัวท่านเองและฤๅษีที่ถือดาบอยู่ ข้างหน้าเราเป็นบุคคลที่สาคัญท่ีสุด ท่ีจะต้องมีควำมรู้ตัวพร้อม ระวัง และส่ิงที่ควรทาให้เป็นประโยชน์ที่สุดในชีวิตของตน คือ ไม่ ประมำทกับปัจจุบัน กับตนเองและบุคคลที่อยู่ตรงหน้ำเรำ น่ันคือ สิ่งที่สาคัญท่ีสุด เพราะถ้าเราประมาทตอนนี้ ประมาทกับปัจจุบัน ประมาทกับตนเองและบุคคลท่ีอยู่ข้างหน้าเรา ไม่มีชีวิต กำรให้มี ชีวิตท่ีสมบูรณ์ ก็ต้องมีควำมไม่ประมำท รู้ต้ังม่ันในปัจจุบัน รู้ เหตุการณ์รอบข้าง รอบรู้ภายนอก ภายใน ตัวเองและผู้อ่ืน ให้รู้ พร้อม นัน่ แหละเปน็ ส่ิงทีส่ าคญั ท่สี ดุ ในชวี ติ ของเรา เมื่อพระราชามีคาตอบของท่านเองแล้ว ฤๅษีก็โยนดาบลง เหว และเชิญพระราชาให้ไปปกครองประเทศชาติด้วยความสุข ความเจริญ เพราะสติปัญญาได้เกิดข้ึนกับท่านแล้ว ก็เลยในวันน้ี อาจารย์ก็เอานิทานมาฝากญาติโยมให้มาเจริญว่า เราจะทายังไงท่ี จะประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจาวันอย่างไร เอานิทานนี้มาปฏิบัติ ครบู าอาจารยท์ า่ นก็สอนอยู่ ธรรมะเปน็ ของจริงท้ังนนั้ แต่เรำจะเอำ วิธีกำรใช้ธรรมะในชีวิตประจำวันอย่ำงไร เรำก็ต้องเป็นผู้ท่ีรู้ ปัจจุบัน ตั้งสติในปัจจุบัน เรำทำอะไรในปัจจุบัน ให้รู้ตัวพร้อม กำยกับจิตน้ี ต้องรู้ตัวพร้อม กำลังทำอะไรอยู่ และก็ต้องไม่ ประมำทกับตนเอง ไม่ประมำทกับผู้อื่นท่ีอยู่กับเขำ เวลาเราจะทา อะไร ใหม้ สี ตสิ ัมปชัญญะ รูร้ อบคอบ ไม่ประมาทในปัจจบุ ัน เป็นคน ไม่หลง ไม่หลงจากศีล จากธรรม ไม่หลงจากธรรมวินัย ไม่หลงจาก ๓๕

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ บุ ญ จ า ก กุ ศ ล เ ป็ น ผู้ ตั้ ง อ ยู่ ใ น แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ถู ก ต้ อ ง เ ป็ น มัชฌิมาปฏิปทา ตามอริยมรรค ๘ นนั้ ถ้าเราไมป่ ระมาทเร่ืองธรรมะ ไม่ประมาทเรือ่ งศลี สมาธิ ปัญญา เราก็อยใู่ นมรรค อยใู่ นแนวปฏิบัติ น้ันเป็นเหตุครูบาอาจารย์สายหลวงปู่ม่ัน ท่านก็จะเน้น องคไ์ หนกเ็ หมือนกัน ไดร้ บั จากหลวงปูม่ นั่ วา่ เป็นผไู้ มป่ ระมาทในทุก ส่ิงทุกอย่าง ทำอะไรอยู่ก็ต้องรู้พร้อม ทำด้วยสติ ไม่ใช่สักแต่ว่ำทำ เพ่อื ผำ่ น ไมใ่ ชส่ กั แตว่ ่ำทำเพอ่ื จบ ตอ้ งใสใ่ จ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ทุก สิ่งทุกอย่างที่ทา โยมจะทางาน หน้าท่ีการงาน โยมจะต้องใส่ใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ในหน้าท่ีการงานนั้น โยมจะล้างจาน ล้างถ้วย ก็ ต้องใส่ใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ในการล้างจาน ล้างถ้วยนั้น โยมจะ พูดจา ก็ต้องใส่ใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ในการพูดจา โยมก็ต้องใส่ใจใน การพูด ให้รอบคอบในการพูด ให้รู้จักประมาณในการพูด ให้รู้จัก ความซ่ือสัตย์ในการพูด ให้พูดจริง ตามหลักธรรมวินัย ให้เราทา อะไรด้วยการใส่ใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าการปฏิบัติธรรม เราก็ต้อง ปฏิบตั ิดู เรากต็ ้องมคี วามพยายาม หลวงปู่มน่ั ท่านเปน็ ผเู้ คารพความ เพียร คือ ท่านอุตสาหะ เจริญความเพียรในทุกอิริยาบถ เวลาต่ืน ขึ้นมาแล้ว ท่านตั้งสติอยู่ ท่ีจริงครูบาอาจารย์ระดับน้ี ท่านหลับอยู่ ท่านยังมีสติอยู่ ท่านมีสติอยู่สม่าเสมอ กายหลับแต่ใจไม่หลับ จะ เข้าใจหรือไมเ่ ข้าใจกต็ าม ลองปฏิบตั ิเองแล้วจะรเู้ อง ถา้ หากว่าจิตต้ังมั่นอยู่แลว้ กายหลบั อยู่ แตจ่ ติ กต็ ่ืนอยู่ รอู้ ยู่ และพอกายต่ืนแล้ว เราก็รู้ว่าลมหายใจเข้า ลมหายใจออกได้ เวลา จะยืน ยืนอิริยาบถอยู่ก็รู้ แขนขาเคลื่อนไหวอยู่ก็รู้ การจะบริโภค อาหารก็รู้ การจะสรงนา้ ก็รู้ จะพดู จาก็รู้ รู้ในอิรยิ าบถทั้ง ๔ ไม่ว่าจะ ท่าน่ัง ท่าเดิน ท่านก็ต้องทา ให้รู้อิริยาบถอยู่ จะเดินบิณฑบาต ๓๖

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ กวาดลานวัด ท่านก็ใช้อันนั้นเป็นการทางาน เป็นการฝึก สติสัมปชัญญะอยู่ให้มีความรอบคอบ รอบรู้ พวกเราท้ังหลายก็ เช่นเดียวกัน เวลาขับรถก็ให้มีสติรอบคอบ รอบรู้ อย่าหลงอารมณ์ อย่าหลงความรู้สึก ใจรอ้ น ให้มสี ติ สัมปชญั ญะ ร้ตู ัว รอบคอบ รอบ รู้ เพอื่ จะทาให้ไม่เผลอ นี่เป็นการฝกึ ฝกึ ได้ทุกอริ ิยาบถโดยการใส่ใจ ในการในงานนน้ั แตว่ ่าในการประพฤติปฏิบัติ เราก็จะตอ้ งปฏิบัติให้ ดี ปฏิบัติให้ตรง มีคนเคยถามหลวงพ่อว่า อาจารย์มีทางปฏิบัติทเ่ี ร็ว ไหม ท่ีเป็นทางลัด โอ! โยมจะไปทางลัด มันใจร้อน อยากจะไปทาง ลดั อาจารย์กบ็ อกว่า ทีจรงิ มันมอี ยู่ ถ้าโยมใจรอ้ นอยากจะไปทางลัด ให้ปฏิบัติแค่ ๒ อย่าง จาได้ ๒ อย่างได้ไหม ให้จาไว้ ๒ คา คือ Yes กับ No เข้าใจไหมว่า Yes แปลว่า อะไร แปลว่า ได้ No แปลว่า อะไร แปลว่า ไม่ได้ ทีน้ีพวกเราท้ังหลายรู้จัก Yes กับ No ได้ ไม่ได้ เรารู้อยู่ แต่เราใช้ผิด หลวงปู่มั่น ใช้กับ No เหมือนกันนะ แต่ใช้ถูก ส่วนมากเวลากิเลสเกิดขึ้น เราก็ Yes ไปตามกิเลส เวลาธรรมะจะ เกิด เราชอบ No เช่น ยกตัวอย่างเวลาจะมาปฏิบัติธรรมที่นี่ มันก็ จะเจ็บแข้งเจ็บขา เด๋ียวเจ็บหลัง เจ็บขา ใจมันก็อยากลุก ใจมันก็ บอกว่า Yes ลุก แต่ธรรมะต้อง No ยัง ยังไม่ลุก น่ีแหละเรำก็ต้อง ใช้ธรรมะบงั คับตนเองในสิ่งที่ควรบังคับตนเอง หำ้ มตนเองในส่ิงที่ ควรห้ำมตนเอง สนับสนุนตนเองในส่ิงที่ควรสนับสนุน และไม่ สนับสนุนตนเองที่ไม่ควรสนับสนุน ทาไมถึงพูดว่าใช้ Yes กับ No ทุกเวลา เช่น ไปอยู่ท่ีวัด ไปอยู่ท่ีวัดหลวงพ่อก็ต้องลุกตี ๓ ตีระฆัง ก๊อง ก๊อง ก๊อง ตื่นข้ึนมาแล้ว ต้องใช้คาไหน Yes กับ No ที่จะลุก ๓๗

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๓ Yes มันก็ต้องใช้ แต่มันชอบร้องอยู่ในใจ No-No น่ันแหละคือ มัน ใชค้ าเบรกคาหา้ มในเวลา เรากต็ อ้ งใชธ้ รรมะในสงิ่ ทีถ่ ูก ก็ต้องใชธ้ รรมะสนับสนุนในสิ่ง ท่ีดีท่ีงาม การเป็นคนขยัน มันดีไหม หรือความขี้เกียจมันดี อ้าว ความขยันหม่ันเพียรมันดี เราก็ต้องให้กาลังใจ เอ้า ทา สู้ ในช่วงที่ เราจะต้องเจริญคุณงามความดีของเรา เจริญจติ ใจของเรา และเวลา อกุศลเกิดขึ้น เกิดความข้ีเกียจมักง่าย ทาให้ อยากจะล่วงละเมิดใน ศีลในธรรม ตามกิเลสตัณหา เราต้อง No ห้าม หยุด อย่า ห้ามไป ก็ เป็นเหมือนตัวเบรก ก็เหมือนกับรถยนต์เรา เราก็มีเครื่องเร่งกับตัว เบรกอยู่ เราก็ต้องรู้ คนท่ีขับเป็นก็ไม่ใช่เหยียบเคร่ืองเร่งอย่างเดียว เวลาเกิดไฟแดงมาก็ต้องเบรก การใช้เคร่ืองเร่ง เคร่ืองเบรกให้ เหมาะสม ก็แสดงถึงความสามารถของคนขับรถน้ัน เขาก็จะขับรถ ด้วยความปลอดภัย คนท่ีจะรู้จักการบังคับจิตใจตนเอง การกระทา ของตนเองให้ถูกต้อง คือ สนับสนุนในสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล และหัก ห้ามสิ่งท่เี ป็นกเิ ลส เป็นโทษ เป็นพษิ เป็นภัย อันน้ีก็เป็นสิ่งท่ีรู้กาลที่จะใช้ เพราะบางช่วงเราก็ต้องให้ กาลังใจ ให้ความสนับสนุนการประพฤติปฏิบัติของตน เช่น ญาติ โยมมีความรู้สึกว่า วันน้ีอยากมาวัดปทุมวนาราม มาปฏิบัติธรรมะ ท้ังวัน อยากฟังธรรมะครูบาอาจารย์ อยากมาปฏิบัติบูชาคุณของ หลวงปู่มั่น เราก็ต้องชี้ความดีนั้น สาธุ ดีมาก เห็นชอบ แล้วคนอ่ืนก็ จะอยากจะไป เรากช็ วนเขาดว้ ย สาธุ ดมี าก จะพาพอ่ พาแม่ พาลูก พาหลาน มาวัด ทาบุญ ทาทาน ฟังเทศน์ ฟังธรรม รักษาศีล เจริญ จิตภาวนา นี่แหละเป็นส่ิงที่ดี เป็นสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล เป็นส่ิงท่ีไม่ น่าอับอาย แต่สิ่งที่ตรงกันข้าม ท่ีเป็นกิเลสตัณหา ท่ีเป็นอบายมุข ท่ี ๓๘

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๓ เป็นโทษ เป็นพิษเป็นภัยต่อศีลต่อธรรม ก็ต้องเบรก ต้องหักห้าม หยุด ตอ้ งมีหริ ิ มโี อตตปั ปะ ความเกรงกลัวต่อบาปทั้งหลาย ตอ้ งหัก ห้ามตนเองได้ ถ้าเราห้ามตนเองไม่ได้ เดี๋ยวก็จะเป็นคนใจอ่อน มัน จะตามกิเลสตัณหาตลอด เราก็จะไม่เห็นโทษของมัน เราก็ไม่ สามารถเปล่ียนทิศทางในชีวิตได้ เราก็ต้องเป็นผู้ท่ีกล้าทาความดี และไมต่ อ้ งสนใจว่าคนอ่นื จะคดิ ยงั ไง กลำ้ ทำควำมดี ตอนอาตมาเองสนใจในพระพุทธศาสนา ๔๐ กว่าปีท่ีแล้ว เพ่ือนฝูงของอาตมาคิดว่า อาตมาเป็นบ้า เพราะอะไร เพราะแต่ ก่อนที่เป็นวัยรุ่น เขาชวนไปคอนเสิร์ต ก็ไปกับเขาบ้าง แต่ทีหลังมา เรามาถือศีล ๕ ศีล ๘ เราก็ไม่ไป เขาก็คิดว่า เอ มันเพ้ียนแล้ว เราก็ เป็นคนไม่ค่อยกินเหล้าอยู่แล้ว แล้วก็ไม่กินเลย เขาก็เลยอ้ึง มัน เพ้ียนแล้ว เราก็เป็นคนที่คนอื่นชวนไปเท่ียว ไปดูหนัง ดูอะไร ก็ไม่ ไป ขอนั่งสมาธิคนเดียวท่ีบ้าน สงบสบาย โอ๊ย! เพ้ียนแล้ว เขาก็คิด อยา่ งนน้ั แต่เรากอ็ า่ นธรรมะพระพุทธเจ้า เลือ่ มใสคาส่ังสอนของพ่อ แมค่ รบู าอาจารย์ว่า น่ีแหละเป็นทำงตรง เปน็ ทำงจรงิ เปน็ ทำงพ้น ทกุ ข์ น่ีแหละ การทวนกระแสน้ัน มันสุขมันสบาย และก็เราดูใน จิตในใจของตนเอง วา่ เราอยู่ในศีลธรรม เจริญสติสัมปชญั ญะในชวี ิต ของเรา นงั่ สมาธิ เจรญิ จิตตภาวนา มันสบาย มันมคี วามสุข มีทอ่ี ยู่ที่ อาศัย มีวิหารธรรมในจิตในใจ ที่ไม่ต้องพึ่งอาศัยผู้อ่ืน ไม่ต้องอาศัย คนอ่ืนชมเรา ชอบเรา เราชอบธรรม เราชอบธรรมท่ีทาใหเ้ รามีความ สงบสุข เราก็มีความรู้สึกอบอุ่น เรามีความรู้สึกถึงพระพุทธ พระ ธรรม พระสงฆ์ แม้ว่าในสมัยน้ัน เราจะยังไม่เคยเห็นพระสงฆ์องค์ เจ้า แต่เรามีความรู้สกึ อยใู่ กล้พระ ประพฤติปฏบิ ัติ แลว้ จนเกดิ ความ ๓๙

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ เล่ือมใสว่าอยากมาเมืองไทย มาประพฤติปฏิบัติ มาบวชใน พระพทุ ธศาสนา ก็เลยเดนิ ทางมาเพ่ือจะได้มาบวชในสายหลวงปู่มั่น เพราะเหน็ หลวงปมู่ ั่นทาชีวิตเหมอื นสมัยพระพทุ ธกาล เปน็ พระท่ีอยู่ ป่า อยสู่ งบ โดยการประพฤติปฏบิ ัตใิ ห้เห็นมรรคผลนิพพานในชาติน้ี ไม่ต้องรอชาติต่อไป ท่านเอาจริง ทาเป็นแบบอย่าง และท่าน สามารถประกาศศาสนาต่อครูอาจารย์ ลูกศิษย์ลูกหาของท่าน มากมายท่ีนา่ กราบน่าไหว้ ก็ถือว่าเป็นบุญของอาตมาท่ีได้มาที่ประเทศไทย และได้ บวชเป็นสามเณรก่อนท่ีวัดบวรฯ กับสมเด็จพระญาณสังวรฯ และก็ ไดไ้ ปอย่พู บครบู าอาจารย์ที่เป็นลูกศิษยล์ กู หาของหลวงปู่มนั่ โดยตรง เช่น หลวงปู่ชอบ หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว หลวงปู่ หล้า ครูบาอาจารย์มากมายสายหลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว หลวง พ่อชา ยังมีอีกท่ีมากกว่านั้น แต่เม่ือเราไปกราบไปไหว้ กริยา มารยาทของท่าน เห็นชีวิตการอยู่ของท่าน และฟังธรรมะจากท่าน โอ้ว! ประทับใจในสติปัญญา เพราะท่านก็ได้อ่านตาราอยู่ แต่ท่ำน น้อมตำรำเหลำ่ นัน้ เข้ำมำเพอ่ื ฝึกอบรมตนเอง เพ่อื ร้ตู ำมควำมเป็น จริงนั้น เพรำะธรรมะอันน้ันเป็นธรรมะภำยนอก แต่เมื่อเรำ ประพฤติปฏิบัตินั้น มันจะกลำยเป็นธรรมะ สติปัญญำของตนเอง มนั ไมใ่ ชข่ องตนหรอก มันก็จรงิ มนั ก็เป็นธรรมะทีอ่ ยู่รอบข้างเรา อยู่ ในใจเรา อยใู่ นตัวเรา อยู่ตลอดเวลา ไมห่ ายไปไหน แม้ว่าหลวงปู่ม่ันน้ัน ท่านก็ละสังขารมานานแล้ว แต่เราก็ มารว่ มกนั ระลึกถึงวันเกิดของท่าน ท่ีชาตกาล ๑๔๙ ปี ปีน้กี ้าวยา่ งสู่ ๑๕๐ ปี ก็ถือว่านาน แต่ว่าความรู้สึกของอาตมา และก็ความรู้สึก ของศรัทธาญาติโยมหลาย ๆ ท่านก็มีความรู้สึกว่าไม่นาน เหมือน ๔๐

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ บญุ บารมี แบบอยา่ ง คาสอนของท่านยงั คงอยู่ในโลกนี้ และเป็นบุญ มหาบุญของประเทศไทยเรา ท่ีเรามีแบบอย่างเป็นครูบาอาจารย์ที่ ทาให้ดู ทาให้เห็น ปฏิบัติจริง รู้ธรรมะ และได้ประกาศศาสนา ให้ เราสานึกระลึกไว้ว่า ธรรมะน้ันสามารถให้เราประพฤติปฏิบัติได้อยู่ เช่น ในประเทศศรีลังกา หลายท่านคิดว่า ไม่สามารถที่จะบรรลุ ธรรมไดแ้ ล้ว หมดยุคหมดสมัยแล้ว ถ้าปฏบิ ัติตามอรยิ มรรค ๘ จะไม่ บรรลุธรรม อย่างน้อยสร้างบารมีเพ่ือจะเกิดในยุคสมัยพระศรีอาริย เมตตรยั ที่ประเทศไทยน้ัน ความคิดอย่างน้ันไม่มี เพราะอะไร เพราะมีครูบาอาจารย์ท่ีเอาจริงเอาจัง ตั้งอยู่ในข้อวัตร ตั้งอยู่ใน ธุดงควัตร ประพฤติปฏิบัติเพ่ือละกิเลสจริง ยอมเสียสละชีวิตเพื่อ เห็นธรรม ไม่ห่วงเร่ืองเลือดเนื้อของตน จะให้รู้ธรรมให้ได้ในชาติน้ี เมื่อท่านประพฤติปฏิบัติ ได้เห็นธรรมจริง รู้ธรรมจริง ประกาศพระ ศาสนา และเป็นแบบอย่าง ก็เลยพวกเราก็ได้ร่วมกัน ยกมือสาธุ อนโุ มทนาที่ได้มีบุญในชีวิตนี้ ทไ่ี ดพ้ บพระพุทธศาสนา และได้เกิดใน ประเทศไทย ที่สมบูรณ์ด้วยผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีครูมีอาจารย์ที่ เป็นแบบอย่าง เช่น หลวงปู่มั่นนั้น เป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์แก่พวก เราทั้งหลาย ท่ีเป็นแบบอย่างอันดีอันงาม และลูกศิษย์ของท่านท่ี ไดร้ ับธรรมวนิ ยั จากองค์ทา่ นด้วย สบื ทอดกนั มาถงึ ทุกวันน้ี เราทั้งหลายถือว่าเป็นบุญ เป็นมหาบุญที่ได้ยินกิตติศัพท์ ของหลวงปู่ม่ัน ข้อวัตรปฏิบัติของท่าน ก็ขอให้เราเอาไปประพฤติ ปฏิบัติ ด้วยกำรเจริญในทำน ศีล ภำวนำในชีวิตประจำวัน เป็นผู้ ที่ต้ังอย่ใู นปัจจบุ ัน เปน็ ผไู้ ม่ประมำทเรอื่ งตน ไมป่ ระมำทเรอ่ื งผู้อ่ืน เป็นผู้ที่มีสติปัญญำในชีวิตเพ่ือรู้ทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ รู้กำรดับ ๔๑

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๓ ทุกข์และเจริญแนวปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ให้ได้ ทั้งชำติน้ีและชำติ ต่อไป จนเรำได้เข้ำถึงกระแสของพระนิพพำนต่อไป อาตมาภาพ ได้แสดงธรรมอันสมควรแก่เวลา ก็เอาธรรมะอันน้ี ก็ถ้าหากว่า สิ่งท่ี เหมาะสมท่ีเป็นธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอ เอาธรรมะนนั้ มามอบไว้เป็นเคร่ืองบชู า เพอ่ื บูชาคุณของพ่อแม่ครูบา อาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริฑัตตมหาเถระ และอริยสาวกของท่านทุก องค์ และก็เป็นพลวะปัจจัย เป็นสติปัญญาให้ญาติโยมท้ังหลายเอา ไปพินิจพิจารณา เป็นคติธรรมไปปรับปรุงสติปัญญาของตน เพ่ือจะ ทาให้ได้ชีวิตเกิดแสงสวา่ ง เกิดความสบาย เพ่ือเป็นแนวทางพ้นจาก ทกุ ข์ต่อไป ทกุ ทา่ นทกุ คนเทอญ ฯ ขอยตุ ลิ งแตเ่ พยี งเทา่ นี้ สาธุ ๔๒

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ หลวงปบู่ ุญมำ คมภฺ ีรธมฺโม วัดป่ำสหี ์พนมประชำคม ต.บงใต้ อ.สว่ำงแดนดิน จ.สกลนคร แสดงเม่ือวนั อำทิตย์ ท่ี ๒๐ มกรำคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ณ ศำลำพระรำชศรัทธำ วดั ปทมุ วนำรำม รำชวรวิหำร ฟังเทศน์ฟังธรรมต้ังแต่เม่ือคืนนี้บ่ กี่กัณฑ์แล้วล่ะ ฟังมา มากๆ เกบ็ ไปไว้ท่ไี หนบา้ ง ปนี ห้ี ลวงปกู่ ็แกไ่ ปมาก ถา้ อายุ ๑๐๐ ปี ก็ เหลืออยู่ ๙ ปี เพราะว่าปีที่ ๑๐ มันหมดไป ๓ เดือนแล้ว ปีนี้ ๙๐ เต็มแล้ว หมดแล้ว อายุน้อยกว่าที่พวกเราท่ีนั่งนี่ พวกเรายังมีอายุ มากกว่าหลวงปู่ หลวงปู่อายุน้อยคล้าย ๆ กับเด็กเกิดใหม่ มีอายุ ๙ ปี ถ้าไม่ถึง ๑๐๐ ถ้าอายุ ๙๖ ก็เหลืออยู่ ๕ ปี ธรรมชำติธรรมดำ ของสังขำรร่ำงกำย มันก็เป็นไปโดยธรรมชำติของเขำ มันมีควำม ๔๓

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ เกดิ ข้ึนในเบ้ืองต้น ควำมแปรปรวนในท่ำมกลำง และมคี วำมแตก สลำยในท่ีสุด มันก็เป็นไปเป็นมาของร่างกายเป็นอย่างนี้ อันดับ ตอ่ ไป พวกเราก็ไมต่ อ้ งพนมมอื กไ็ ด้ นง่ั ตามสบายของใครของเรา ทา่ ไหนมันสบายก็น่ัง แล้วพยายามอย่าให้จิตใจมันตึงเครียด ทาใจให้ มันว่าง ๆ อย่าให้มันสับสน อย่าให้มันกระวนกระวาย ทาจิตใจให้ มนั วา่ ง แลว้ ก็อยา่ มามองดูปากหลวงปู่ “ใหด้ ูตนเอง” คาว่า ตน ในทนี่ ี้ กห็ มายถงึ ดวงจิตดวงใจของใครของเรำ ท่ีพระพุทธเจ้ามาสั่งมาสอนพวกเราจุดหมายปลายทางจริง ๆ ท่าน อยากใหพ้ วกเราปฏิบัติและสร้างคุณงามความดี ตงั้ ต้นตง้ั แต่ กำรให้ ทำน กำรรักษำศีล กำรเจริญเมตตำภำวนำ เพื่อจะตามหาตนของ ตนให้มันรู้ให้มันเห็น เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านว่า “ผู้ใดเห็น ตน ผู้น้ันเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรำตถำคต เห็น พระพุทธเจ้ำ” คาว่า ธรรม ในที่นี้ ก็หมายถึง ดวงจิตดวงใจของ พวกเรำ ธรรมก็อยู่ที่น่ี ศีลก็อยู่ที่น่ี เพราะฉะนั้น ท่านจะให้ประโยค แรกในการปฏิบัติ ท่านจึงให้รักษาศีลก่อน รักษากายให้มันปกติ รักษาวาจาให้ปกติ รักษาจิตใจให้ปกติ ไม่ทาให้จิตใจเศร้าหมองขุ่น มัว ถ้ำทำจิตใจให้เศร้ำหมองขุ่นมัวแล้ว จิตใจมันจะมืด ถ้ำ จิตใจมืดแล้ว สิ่งที่ควรรู้มันก็รู้ไม่ได้ สิ่งที่ควรเห็นมันก็เห็นไม่ได้ เพราะว่ากรรมท่ีทาลงไปแล้วมนั ปิดบังไม่ให้เรารู้ไม่ให้เราเหน็ ขนาด เราเป็นทุกข์มาก ๆ เจ็บปวดรวดร้าวมาก ๆ จนกว่าจะหาที่ปลงที่ วางไม่ได้ แทนที่จิตใจมันจะไปพิสูจน์ เข้าไปดูความจริง แต่กิเลสมัน ไม่ให้เข้าไปดู มันก็ส่งออกไปหายา หาหมอ หาโรงพยาบาล ทุกข์ท่ี มันเกิดมาในปัจจุบัน พระพุทธเจ้าท่านว่าเป็น “สัจธรรม” ทุกข์ ๔๔

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๓ ควรกำหนดรู้ ควรดู ควรวิจัยวิจำรณ์ ควรพิจำรณำให้เห็นจริง ตำมควำมเป็นจรงิ ทีน้ีเหตุให้ทุกข์เกิด คือตัว สมุทัย ตรงนี้ท่านให้ปล่อย ท่าน ให้วาง ควรสลัดตัดทิ้ง ทีน้ี นิโรธ คือ ความดับทุกข์ ควรทาให้แจ้ง “ทุกข์ สมทุ ยั นโิ รธ” ธรรม ๓ ข้อนี้ มนั เปน็ หนทำงเข้ำไปดับทุกข์ อปุ ะสะมำยะ เขำ้ ไปสงบ ควำมสงบของจิตของใจเปน็ หนทำงเข้ำ ไปดับทุกข์ ดับตรงไหนของมัน ? ก็ดับตรงที่มันเกิด โดยเฉพำะ อย่ำงย่ิงมันเกิดที่จิต ส่วนก้อนสกนธ์กายมันมีธาตุท้ัง ๔ ธาตุดิน ธาตุน้า ธาตุไฟ ธาตุลม รวมอยู่ในนี้ ธาตุดิน ธาตุน้า ธาตุไฟ ธาตุลม อยู่ตรงไหน ? อยู่ในร่างกายของพวกเราน่ี ธาตุน้าก็มีน้าดี น้าเสลด น้าหนอง น้าเลือด น้าเหงื่อ น้ามันข้น น้าลาย น้ามูตร น้าไขข้อ น้ามูก น่ีเป็นสมบัติของมารดาของพวกเราทุกคน ธาตุดินเป็นสมบตั ิ ของบิดา มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เย่ือ เอ็น กระดูก เย่ือในกระดูก ตับ ปอด ไส้น้อย ไส้ใหญ่ อาหารใหม่ อาหารเก่า นี่เป็นสมบัติของ บิดา เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงมาสอนให้พวกเรา ก่อนจะให้ ทำนก่อนจะรักษำศีลให้พำกันตั้ง นะโม “นะ” หมำยถึงระลึกถึง คุณมำรดำ “โม” หมำยถึงระลกึ ถึงคุณบิดำ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต, ภะคะวะโต อันว่าพระผู้มีพระ ภาคเจ้า, อะระหะโต ท่านเป็นพระอรหันต์, สัมมำ ท่านตรัสรู้ชอบ แล้ว สัมมาสัมพุทธัสสะ, ทัสสนะ ท่านเห็นชอบแล้ว, ท่านเห็น อะไร ? ท่านเห็นของจริง ของจริงคืออะไร ของจริงก็คือทุกข์ และ เหตุให้เกิดทุกข์เกิด และ นิโรธ คือ ควำมดับทุกข์ น่ีแหละ น่ีของ จริง เรียกว่า “อริยสัจธรรมท้ัง ๔” เป็น ธรรมของพระอริยเจ้ำ ๔๕

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๓ ธรรมพระอริยเจ้า ถ้ำใครมำรู้ธรรม ๒ อย่ำง ถึงจิตถึงใจจริง ๆ จิตใจจะเป็นพระ พระอะไรล่ะ ? ประโยคแรกก็ พระโสดำ รู้ว่าของจริง เมื่อจิตสงบเข้าไป ลกึ เขา้ ไป เห็นตัวของตนจรงิ ๆ เมอ่ื จติ ถอนข้นึ มา มันจะมีความรู้สึก ว่าร่างกายกับจิตใจมันจะแยกกันทันที ไม่มีใครบอกจะรู้เองเห็นเอง เปน็ ปจั จตั ตงั ของใครของเรา มนั จะไดไ้ ม่สงสัยว่าอะไรคอื ตน อะไร คือศีล ตัวศีล ตัวสักกำยะทิฐิ อันน้ีเพียงรู้เฉย ๆ เด้อน่ี รู้เฉย ๆ แต่ มันยังละไม่ได้ ท่านเรียกว่า พระโสดำปัตติมรรค ไปถึงถ้าเป็น พระ โสดำปัตตผิ ล จิตใจมันจะเหน็ ลงไปชัดเจนจริง ๆ ร่ำงกำยน้ีไม่ใช่ ตน ตนไม่ใชก่ ำย จติ ใจไมใ่ ช่กำย ร่ำงกำยไมใ่ ช่ตนไม่ใชจ่ ติ เรยี กวา่ ตัว สักกำยะทิฐิ วิจกิ จิ ฉำ ไมส่ งสัยดว้ ย สีลัพพตรำมำส ก็ไมส่ งสัย อกี ว่าศีลคอื อะไรอย่ทู ี่ไหน ศีล ก็คือ จิตใจของพวกเรำ ท่านจึงให้รักษาศีล ๕ ศีล ๘ รักษาศีล รักษาให้มันเป็นอะไร ? ก็รักษาให้มันเป็นศีล อะไรล่ะเป็น ศีล ? ก็จิตใจน่ันล่ะมันเป็นศีล ถ้ำจิตใจเป็นศีล มันก็จะเป็นธรรม ถ้ำจิตใจเป็นธรรม มันก็จะเกิดเมตตำ เกิดเมตตาสงสารบุคคลอ่ืน สตั ว์อน่ื ปรารถนาอยากให้สัตว์อืน่ บุคคลอื่น เขามีความสบายใจ ไป ช่วยสัตว์อ่ืน บุคคลอื่นท่ีเขาเป็นทุกข์เป็นร้อน เมตตาสงสารซึ่งกัน และกัน ถ้าต่างคนต่างรักษา ต่างคนต่างจิตใจเป็นศีลเป็นธรรม อยู่ ด้วยกันอยู่มีมากหรืออยู่ด้วยกันมีน้อย เย็นท้ังนั้น สงบทั้งนั้น ไม่ วุ่นวายกัน ไม่ยื้อแย่งแข่งดีกัน ไม่อิจฉาริษยาตาร้อนกัน มีแต่เมตตา สงสารซึ่งกันและกัน เป็นสุข ที่มันไม่เป็นสุขเพราะมันวุ่นวาย มัน เห็นแก่ตัว เบียดเบียนซ่ึงกันและกัน เบียดเบียนสัตว์ เบียดเบียน บุคคล ๔๖

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ เพราะฉะนั้น ถ้าพูดจะมาสอนพวกเรา ให้ปฏิบัติไปตาม หนทางมรรค ท่ีท่านเรียงไว้อยู่ในธัมมจักรฯ ที่ท่านแสดงธรรมให้ พระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ทางเข้าไปดับทุกข์ ทางของพระอริยะเจ้าและ ทางของพวกเราก็ทางอันเดียวกัน คาท่ีว่า มรรค หมายความว่าท่ี ท่านเรียกในวงปฏิบัติ ท่านให้ช่ือว่า มรรค ถ้าเราเรียกภายนอก ธรรมดาเราเรียกว่า หนทำง อันเดียวกัน ถ้าหนทางที่เข้าไปดับทุกข์ มันเป็นหนทางท่ีชอบ ท่านจึงให้ชื่อให้นามว่า มรรค “ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค” สัมมำทิฐิ--ปัญญาเห็นชอบ สัมมำสังกัปโป--ดาริชอบ สมั มำกมั มันโต--การงานชอบ สัมมำอำชีโว-- เล้ียงชวี ิตชอบ สมั มำ วำยำโม--เพียรชอบ สมั มำสติ--ระลกึ ชอบ สมั มำสมำธิ--ตั้งจิตใจไว้ ให้ม่ันชอบ ให้ปฏิบัติไปตามมรรค ผู้จะปฏิบัติ มรรคทั้ง ๘ ท่านย่น ลงมารวมกนั แลว้ มนั ก็มี ๓ อยา่ ง คือ “ศีล สมำธิ ปญั ญำ” ทีน้ี “ศีล อันใด สมำธิอันน้ัน สมำธิอันใด ปัญญำอันน้ัน ปัญญำอันใด วิมุตติอนั นน้ั ” ไปอยูท่ เ่ี ดยี วกนั วิมุตติ คือ ควำมหลุดพ้น พ้นไปจากที่ไหน ? ก็พ้นไปจำก ร่ำงกำยของพวกเรำ จิตใจมันไม่ได้ไปพ้นอยู่ในท้องฟ้าอากาศ สรุป แล้วของดีท่ีสุด คือ จิตใจของใครของเรา ของดีแท้ ๆ ถ้ำรักษำ ปฏิบัติใหจ้ ิตใจมนั ปรำศจำกมลทนิ ทำจิตใจใหบ้ ริสุทธ์ิผุดผ่อง ทำ จิตใจใหม้ นั สะอำดหมดจด มขี องดแี ท้ ๆ อยูท่ ี่นี่ เพราะฉะนน้ั พวก เราอย่าไปมองข้ามตนเองสิ และก็อย่าไปดูถูกดูหม่ินตนเองสิ ว่าเรา น่ี บุญน้อยวาสนาน้อย รู้ว่ามันน้อย เราก็ปฏิบัติให้มันเจริญข้ึน ให้ มันมากเข้า ๆ ๆ เม่ือมันมากเข้า ๆ ๆ นั่นล่ะ! เมื่อมันมีพลังล่ะ ทีนี้ บุญกุศล “บุญ” คือ ควำมสุขกำยสบำยใจ “กุศล” คือ ควำม ๔๗

มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๓ สว่ำงของจิตของใจ คือสติ คือปัญญำ ถ้ามันมากเข้า ๆ ถ้ำมันมี พลัง บุญกุศลอันนั้นมันจะผลักดันจิตใจของพวกเรำให้หย่ังเข้ำสู่ ควำมสงบ เมื่อจิตใจหยั่งเข้าถึงความสงบ ลึกเข้าไป ๆ ถึง ท่านให้ช่ือ ให้นามว่า อัปปนำสมำธิ ลึกเข้าไปจริง ๆ เม่ือจิตใจเข้าไปเห็นตน ของตนจริง ๆ มันจะไม่มีอะไรอยู่ในนั้น มันจะว่าง เหมือนกับเรา มองขึ้นท้องฟ้าอากาศ ไม่มีอะไร ความว่างของจิตของใจ มันจะ เหลอื แต่โลง่ ๆ โล่ง ๆ มีตนมีตัวไหม ? ไม่มี สกั แตว่ ่ารู้ อยทู่ ีไ่ หนละ่ ? ก็อยู่ท่ีมันรู้นั่นล่ะ เพราะฉะนั้น จะถามว่าพวกเราปฏิบัติไปมันจะรู้ ได้เห็นได้ไหม ? จะเข้าไปได้ไหม ? ไม่ต้องสงสัยเลย ขอให้ปฏิบัติ เม่อื ลงมอื ปฏิบัติ จงเช่อื ม่ันในกำรกระทำของตน ได้รับผลแนน่ อน ไมต่ ้องสงสยั ทีนี้ ธรรม ที่มันจะโผล่หน้าข้ึนมาให้เราดูประโยคแรกก็คือ ทุกข์ เวลาต้ังใจปฏิบัติ ลงมือปฏิบัติมันก็จะโผล่มา พอทุกข์มันโผล่ หนำ้ ข้นึ มำ ให้เรำดกู ่อน ทุกข์จรงิ ๆ มันอยู่ตรงไหนของมัน สมมุติ ว่ามันปวดขาหรือมันปวดแขนอย่างนี่ล่ะ สมมติว่าถ้ามันปวดขามัน ปวดแขน ก็ลองถามหนังมันมันดู หนังมันปวดไหม ? เนื้อมันปวด ไหม ? เอ็นปวดไหม ? กระดูกปวดไหม ? ไล่เข้าไป ถ้าไม่มีใครตอบ กาหนดเข้าไป ใครรู้ว่ามันปวดเจ็บ ใครรู้ว่ามันปวด ตัวรู้มันตัวเจ็บ ตัวปวดมันมีตนมีตัวไหม หรือว่ามันไม่มี ถ้ามันมีก็ให้มันรู้ ถ้ามันไม่มี ก็ให้มันรู้ เพราะฉะนั้น สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี อำกำรท้ังหลำยแหล่ที่มัน เกิดข้ึนมำมันก็เป็นนำมธรรมเหมือนกัน เกิดข้ึนแล้วก็ดับ เพราะฉะน้ัน การเกิด ๆ ดับ ๆ ท่านว่า มันไม่เที่ยง มันแปรปรวน เปล่ียนแปลง ๔๘

มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๓ “สิ่งใดมันไม่เท่ียง สิ่งนั้นมันเป็นทุกข์ สิ่งใดมันเป็นทุกข์ ส่ิงนั้นมันไม่ใช่ตน” ถ้าทุกข์มันไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่ตนของตน ถ้าไปยึด เห็นว่าตนเป็นผู้ทุกข์ น่ีล่ะจิตใจเราหลงเข้าไปยึด ไปยึดอะไร ? เพราะจิตใจของเราเข้าไปยึดเหตุ ตัวเหตุตัวปัจจัยให้เกิดสุขกับทุกข์ คอื อะไร ? คือร่างกาย คอื ธาตุท้ัง ๔ ดิน น้า ไฟ ลม เม่ือเจบ็ ปวดรวด ร้าวขึ้นมา ธาตุดิน ดินเขาก็ไม่รู้จักสุขจักทุกข์ น้าเขาก็ไม่รู้จักสุขจัก ทกุ ข์ ไฟเขากไ็ ม่ร้จู ักสุขกบั ทุกข์ ลมเขากไ็ ม่รู้จักสุขกับทุกข์ ผทู้ ่ีร้สู กึ รู้ ทุกข์ ก็คือ จิตใจเรำ ทีนี้ถ้ามันรู้ ทีนี้ ไม่ได้บอกว่าจะต้ังใจว่าจะละ จะปล่อย จะวาง เหมือนกับเราไปจับไฟ หรือไปเหยียบไฟนี่ ไม่รู้ว่า จะปล่อยยังไง ไม่รู้จะวางยังไงของมัน เม่ือวางแล้วมันก็หายจาก ความร้อน ไฟก็หายจากความร้อน น่ีก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันรู้เท่า ความทุกข์ เม่ือจิตปล่อยวางเข้าไปแล้ว มันก็ไม่มี มันก็จะว่าง แต่ว่า มันปลงวางได้ชั่วระยะช่ัวขณะเท่าน้ัน “ชั่วช้างพับหู ชั่วงูแลบล้ิน” แต่ว่าเวทนามันเกิดข้ึนได้อีก มันเกิดขึ้นมาได้อีกเหมือนเดิม แต่ถ้า จิตมันรู้เท่าทัน จิตไม่เข้าไปยึด มันก็เหมือนไม่มีในจิต แต่ว่าเวทนา มันปรากฏอยู่ ท่านไม่เข้าไปยึด ถ้ายึดก็เป็นทุกข์ เพราะว่าตัวเวทนา มันก็ไม่ใช่ตน ตนก็ไม่ใช่เวทนาทั้งหมด ต้ังแต่ รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ อยใู่ นขันธ์ ๕ เพราะฉะน้ัน รูปมันก็ไม่ใช่ตน เวทนำมันก็ไม่ใช่ตน ควำมสุข ควำมทุกข์ สัญญำ ควำมจำได้หมำยรู้ มันก็ไม่ใช่ตน สังขำร ควำมปรุง ควำมแต่ง ควำมคิด ควำมนึก ดีใจ เสียใจ รัก ชอบ ชัง หลง เกลียด มันก็ไม่ใช่ตน ตนของตนจริง ๆ ถ้ำผู้ใดเข้ำ ไปถึงตนของตนจริง ๆ มันจะไม่มีอะไรอยู่ในนั้น มันจะว่ำง แต่ว่า กิเลสมันไม่เข้าไป และผลักดันไป หรือกรรมมันผลักไป กรรมพวก ๔๙


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook