มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เล่มที่ ๒ Enjoy the process แปลว่าต้องมีความพอใจในการกระทา กายน้ีกาลังหายใจเข้า กายนี้กาลังหายใจออก รู้ พอใจ เอิบอ่ิม จดจ่อ สนใจ ใสใ่ จรลู้ มหายใจเขา้ ลมหายใจออก หากว่าสนใจและใส่ใจในการรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออก สมาธกิ ็จะเกิดงา่ ยเพราะมันมีความซาบซึ้ง ปลื้มใจ ความภมู ิใจ อยู่ในการรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออก เมื่อเรารู้กับลมหายใจ ได้นาน กายก็จะเบา เกิดปีติสุขขึ้น เพราะเราก็จะจดจ่อ อารมณ์อันเดียว รู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกต่อเนื่องน้ัน สติ นแ้ี นบกับลมหายใจ ปีตสิ ุขจะเกิดขึ้น ปตี ิสขุ มนั มี ๕ ประการ ปตี ิสุขข้อที่ ๑ คือปตี ิสุขหยาบๆ เหมอื นไฟชอ็ ตกระโดด เหมอื น คนเอาไฟมาจี้หลังเรา คือเส้นประสาทของเรากาลังคลาย ไฟฟ้าในร่างกายมันกาลังว่งิ สะดวก กล้ามเน้อื มันจะคลายแบบ รวดเร็ว อย่าไปสนใจในปีตสิ ขุ นเ้ี ป็นผล ปีติสุขท่ี ๒ คือ เกิดความขนลุกซู่ อันนี้ก็เกิดจากความยินดี เมือ่ จิตยินดีในกุศลธรรมกเ็ กิดขนลกุ ฟู่ ปตี สิ ุขท่ี ๓ คอื เกิดความเย็นเหมือนฝนตก มันเย็นกาย เหมือน ฝนตกค่อย ๆ โดนแบบปรอย ๆ ลงมา มันก็เย็นตัว อย่าไปดูท่ี ปตี สิ ุข อย่าไปดูที่ผลมนั ใหด้ ูตน้ เหตุ ลมหำยใจเขำ้ ลมหำยใจ ออกเป็นต้นเหตุ เรำก็เจรญิ ตน้ เหตุนนั้ ปตี ิสุขที่ ๔ คือ รสู้ กึ วา่ รา่ งกายเริ่มหายไป กายมนั หายมันเบา ปีติสุขสุดท้าย จะลอยเหมือนสาลี คือเบามาก ร่างกายน้ีจะไม่ มีขอบเขต เพราะจิตใจจดจ่อกับอารมณ์เดียว กายน้ีไม่มี ขอบเขต ตัวรู้ก็จะรู้เท่ากับศาลาวิหารหลังน้ีได้ เหมือนเราเต็ม ๑๐๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ ศาลาหลังนี้ได้ อันนี้เรียกว่าเราอยู่ที่ประตูของอัปปนำสมำธิ จติ กจ็ ะเข้าประตทู ี่จติ รวมเปน็ หนง่ึ ใกล้จะเขา้ ฌานไดแ้ ลว้ ปีติสุขเป็นส่วนประกอบของการจดจ่อลมหายใจเข้าลมหายใจ ออก ให้สักแต่ว่ำ “รู้” เมื่อเราจดจ่อกับลมหายใจต่อแล้ว จติ ใจกจ็ ะเกดิ แสงสวา่ งขน้ึ มา นิวรณ์ ๕ ถูกการระงบั ไป นิวรณ์ ๕ ถูกระงับไป แสงสว่างปภัสรจิตก็จะเกิดข้ึน สว่างไสว มาก แล้วจิตก็จะเข้าอัปปนาสมาธิได้ นี่จิตตั้งมั่น เม่ือ เข้าถงึ อปั ปนาสมาธแิ ล้ว ทกุ ขเวทนาไม่มี อกศุ ลไมส่ ามารถท่ีจะ เกิดข้ึน จิตจดจ่อแนบกับลมหายใจโดยอัตโนมัติอยู่ ไม่ต้อง บังคับ ไม่ต้องประคองจิต มันจะอยู่ของมัน วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตาก็เกิดขึ้น เราก็ปฏิบัติต่อ ยิ่งทาให้จิตละเอียด ทา ให้จิตสงบ ย่ิงทาให้จิตเป็นสมาธิขึ้นมาพระพุทธเจ้าอนุญาตให้ เรามีความสุขในกุศลจิต แต่ไม่อนญุ าตใหม้ คี วามสขุ ในกามสุข กุญแจกำรภำวนำที่จะเข้ำถึงสัมมำสมำธิ คือ ให้จิตจดจ่อ และมีกุศลธรรมให้เกิดข้ึนและมีควำมยินดีในกุศลธรรมน้ัน ถ้ายังไม่มีสมาธิต้องให้ยินดีในกุศลธรรม เหมือนคนที่ยังไม่ เจริญศลี ๕ กต็ อ้ งเจรญิ ศลี ๕ ก่อน ถงึ จะทาใหจ้ ิตใจเปน็ กศุ ล ความยินดีในกุศลธรรม หมายถึงว่า เราพอใจและสาธุการใน กุศลกรรมทเ่ี ป็นกุศล ยนิ ดีในการแชรแ์ ละการให้ คอื การทาบุญ ความยนิ ดใี นกุศลธรรม ทาใหจ้ ิตสงบ จิตตภาวนา – การทาให้จิตเจริญเป็นเร่ืองสาคัญมาก ไม่ใช่ หนา้ ทข่ี องพระ เปน็ หนา้ ทีข่ องทุกคน ทจี่ ะทาให้ชีวติ ของเราสุข สบาย เจริญด้วยเมตตาธรรม เจริญด้วยสมาธิภาวนา เจริญ ดว้ ยสติควำมรตู้ วั พร้อม ๑๐๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ท่ี ๒ ขอ้ ที่ ๔ ปัญญำภำวนำ ทาใหเ้ จริญทางปัญญา คอื ใหจ้ บั หลัก อรยิ สัจ ๔ ถ้าไปหาหลวงพ่อชา แล้วโยมเป็นทุกข์นะ หลวงพ่อไม่เคยจะ พรมน้ามนต์ดอก ไม่เคยจะแจกเหรียญดอก ไม่เคยเคาะหัว ดอกนะ ถ้ามาหาหลวงพ่อชา แล้วบอกหลวงพ่อว่า “เป็น ทุกข์” ท่านจะจ้ีเลย เป็นทุกข์เพราะอะไร อยากได้ หรือ ไม่ อยากได้อะไร ท่านจ้ีถึง “อริยสัจ” ท่านอยากให้เรา เห็น ปญั ญา ใหเ้ กิดปัญญาเอง ท่านสอนวิชาแก่เรา ท่านสอนวิชำเร่ืองรู้แก่เรา ให้เราฉลาด เพื่อแก้ทุกข์ต่อไปได้การยึดมั่นถือมั่น ทุกข์สมุทัย ต้องมีเหตุ ท่านจะถามว่า เหตุอะไรที่ทาให้เป็นทุกข์ เหตุก็อยู่ท่ีเรา ไม่ได้ อยู่ทผ่ี อู้ น่ื นะ เราต้องโทษตัวเอง เมื่อเราละทิ้งทุกข์ มันเบา ถ้าเราละน้อย มันก็เบาน้อย ถ้าเรา ละมาก มนั กเ็ บามาก ถา้ มันละเลย มันเบา มันสบายไปเลย อย่ำดีใจอย่ำเสียใจกับคำพูดของผู้อ่ืน อย่ำไปหลงควำมดีใจ เสียใจกับคำพูดของผู้อื่น เพราะเราหลงกันท้ังน้ันใช่ไหม - ใช่ ยอมรับ น่ีแหละเป็นการหลงอารมณ์ ครูบาอาจารย์ท่านจะใช้ อุบายท่ีเป็นทำงสำยตรงท่ีจะสอนเราให้มาตั้งสติ ให้รู้ตัว พรอ้ ม รูเ้ ทำ่ ทนั จิตตลอดเวลำ เพ่ือดับทกุ ข์ เพ่ือปลอ่ ยทกุ ข์ ฮ้ึย! มันไม่แน่ ฮ้ึย! มันไม่แน่ ... ไม่แน่อีก หลวงพ่อไป ตามลาดับ ๗๐ องค์ มันไมแ่ น่ทงั้ นั้น ทา่ นสอนความเปน็ จริง ดู ความไม่แน่ เป็นหลักสัจธรรม ความทุกขเ์ กดิ ข้นึ เพราะความไม่ แน่นอน เราพ่ึงอาศัยอะไรไม่ได้ มันต้องมีความเสื่อมเป็นของ ๑๐๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เล่มที่ ๒ ธรรมดา ความดีใจ ความเสียใจ มันไม่แน่ อย่าไปหลงความดี ใจ ความเสียใจ อันนีก้ ็ไม่แน่ มคี วามเปล่ียนแปลง เวลาแต่งงาน อาตมาอยากจะให้มีประเพณีใหม่ เวลาแลก แหวนกัน ให้เข้าไปจารึกไว้ในแหวนว่า “สิ่งอันน้ีจะ เปลย่ี นแปลง” เวลาเราทุกข์ใจเร่ืองสามี ใหเ้ ปิดออกดู สิ่งอนั นี้ จะเปลี่ยนแปลง สามีทุกข์ใจเร่ืองภรรยา ก็ ส่ิงอันน้ีจะ เปลีย่ นแปลง ให้น้ันนะ เปน็ ตวั สอนนะ “อนิจจัง” ความไมแ่ น่ “อนิจจัง” ความไม่แน่ เป็นตัวหลักปัญญาที่เราจะต้องฝึก มัน จะไมเ่ กดิ ดว้ ยการลอยมา ไมไ่ ด้เกดิ จากอนิ ทร์พรหมเทพเทวดา เกิดจากการระลึกบ่อย ๆ การอบรมจิตใจบ่อย ๆ ไม่ให้หลงว่า มันแน่นอน ไม่ได้หลงว่า โลกนี้จะตามใจเรา เราก็ต้องดูทุกส่ิง ทกุ อยา่ งมันไมแ่ น่ ใหเ้ รามีความพอใจกบั ส่ิงทีม่ อี ยใู่ นปัจจบุ ัน ให้ภาวนา เวลากลับบ้าน เห็นภรรยา ให้ภาวนา พอแล้ว พอใจแล้ว สามคร้ัง พอแล้ว พอใจแล้ว ให้ภาวนาเร่ือย ๆ เวลาเห็นลูก พอแล้ว พอใจแล้ว เห็นบ้านเห็นช่อง พอแล้ว พอใจแล้ว ไปทที่ างาน พอแลว้ พอใจแลว้ แตก่ ่อนเราก็มีแต่ ความไม่พอใจ มันก็ไม่ใช่นิพพิทา ของพระพุทธเจ้า เป็นโทสะ อยู่ พระพุทธเจา้ จะให้เราเจริญ เจริญทงั้ ชีวิตของเรา เจริญภำวนำ ๔ ประกำร กำยภำวนำ สีลภำวนำ จิตตภำวนำและปัญญำ ภำวนำ – ปัญญาภาวนานี้ เพ่ือแก้ตัณหา แก้อุปาทาน แก้ปัญหาท้ังหลายท้ังปวงในทุกข์ เพื่อดับทุกข์ทั้งหลายท้ังปวง เพ่ือพ้นจากวัฏจักร วัฏฏสงสาร เพ่ือแก้ตัณหาท้ังหมดให้มาถึง นพิ พานได้ นีเ่ รากต็ ้องใชป้ ัญญาแกป้ ัญหาในชีวติ ๑๐๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ บทพำหุงพูดถึงอุปสรรคที่สัมมาสัมพุทธเจ้าเจอในชีวิตของ ท่าน ขนาดท่านตรัสรู้ถึงสัมมาสัมโพธิญาณไม่ใช่ว่าท่านไม่มี ปัญหาเร่ืองโลก เทวทัตพยายามฆ่าหลายคร้ัง คนใส่ร้ายหลาย คร้ังแต่ท่านแก้ปัญหำโดยอรรถโดยธรรม โดยควำมดีงำม ควำมถูกตอ้ ง ควำมซ่อื สัตยส์ จุ รติ ๑๐๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เล่มที่ ๒ หลวงปู่บุญมี ธัมมรโต วดั ปำ่ ศรัทธำถวำย (วดั ถำ้ เตำ่ ) ต.หนองอ้อ อ.หนองวัวซอ จ.อดุ รธำนี แสดงเมื่อวนั อำทิตยท์ ี่ ๒๓ ธันวำคม ๒๕๖๑ ณ ศำลำพระรำชศรทั ธำ วดั ปทุมวนำรำม รำชวรวหิ ำร พรัหมมา จะ โลกาธปิ ะตี สะหมั ปะตี กัตอญั ชะลี อนั ธิวะรัง อะยาจะถะ สันตธี ะ สตั ตาปปะระชักขะชาตกิ า เทเสตุ ธมั มัง อนุ ะกัมปิมงั ปะชงั (ศษิ ยานุศษิ ย์) อืม ไม่ต้องแปล ไม่ต้องแปล บางทีแปลกันยืดเย้ือ ไปแห่ง หน่ึงก็แปลไปอย่างหน่ึง ไปแห่งหนึ่งก็แปลไปอีกอย่างหน่ึง หลวงพอ่ ๑๐๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ ชอบกะทัดรัดอย่างนี้ ท่านท้ังหลาย อย่าหวังอะไรให้มากก็แล้วกัน ถา้ เราหวงั มากมนั จะทาให้เราผดิ หวัง เราถือไปเป็นสาระได้ทุกอย่าง ทุกเร่ือง แม้แต่วันน้ีกาลังจะฟังธรรมะ ไม่รู้ว่าท่านมหาฯ มาปรารภ อะไรให้ฟังบ้างก็ไม่รู้ หลวงพ่อไม่ได้ยินน่ะ เหน็ ว่าปรารภให้เราฟังว่า เม่ือคืน ๓๐๐ กว่าคน ๓๐๐ กว่าท่าน มาเนสัชชิกทั้งคืน ไหน ลอง ยกมือสิ เนสัชชิกเม่ือคืนน้ี โอ้ นี่กลางเมือง กลางกรุง มีเนสัชชิกทั้ง คืนเน่ียนะ เราอยู่บ้านนอกบางแห่งบางท่ี ไม่รู้คาว่าเนสัชชิกเลย ฮือ คาวา่ เนสัชชกิ เน่ีย มนั เปน็ ธดุ งค์นะ มันเป็นขอ้ ปฏบิ ตั ิเพื่อขัดเกลา มี ความสาคญั อยู่ เพราะฉะนั้น ใครท่ีตั้งใจ ท่ีจะเสียสละท่ีจะทา อนุโมทนา กับทุกท่าน แสดงว่าทา่ นกาลงั กระโดดมาเดินอย่บู นเส้นทาง ที่ทาให้ ท่านขยับ ตรงเข้าไป ลิ่วเข้าไปสู่ข้อปฏิบัติ เพื่อขัดเพ่ือเกลา และขอ อนุโมทนากับท่านผู้พาจัดพาทา มาควบคุมดูแลบอกสอนทุกระยะ ทุกเวลา ทาให้ตรงนี้เกิดประโยชน์ สถานท่ีตรงน้ี เป็นสถานที่ท่ี บรรพบุรษุ ของเรา ตง้ั แต่เรมิ่ ตน้ ๆ มา เราก็ยังไดย้ ินอยู่ พวกเราก็ยัง รักษาสืบทอด เจตนารมณ์ นับตั้งแต่นู่น พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยูห่ ัวรัชกาลท่ี ๙ ท่านทรงปรารภตรงน้ี ศาลาพระราชศรัทธา ที่ วดั ปทุมวนาราม ตรงน้ี เคยไดย้ นิ มานานแลว้ แต่เราไมเ่ คย มีโอกาส ที่จะได้เข้ามา ไม่รู้จัก และอาจารย์มหาโสฬสท่านก็ไปปรารภหลาย ครั้ง นิมนต์ให้มา มแี ต่ตดิ กบั ตดิ บางช่วงเราไมต่ ดิ เพิน่ ก็ติด บางช่วง เพนิ่ ไม่ตดิ เรากต็ ดิ ก็เลยมายาก ก็มวี ันน้ีปลีกเวลามา วา่ งนั้ เถอะ เมื่อเช้าก็บิณฑบาต ฉันนู้น ท่ีวัดธรรมสถิต เพราะเป็นวันที่ เรานัดแนะกัน ทอดผ้าป่าเพ่ือสถานีวิทยุเสียงธรรมของหลวงตา วิทยุเสียงธรรมของหลวงตายังอยู่ ๑๑๙ สถานี ยังอยู่ท่ังประเทศ ๑๐๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ พวกเราช่วยกันดูแลประคับประคอง เพราะส่ิงเหลา่ นี้ มันเป็นมรดก ธรรมของหลวงตา พวกเราถือเห็นเป็นเร่ืองใหญ่เป็นเรื่องสาคัญ เท่ากับธรรมเจดีย์เลยทีเดียว การเทิดทูนบูชาธรรมของครูบา อาจารย์ ธรรมะสายป่าทั้งนั้นล่ะ ใครรูจ้ กั คลื่นแลว้ เปดิ ฟัง ๑๐๓.๒๕ เดี๋ยวนี้มันมี ออนไลน์ไปหมด ใครรู้จักหาดู หาฟังเสียงเทศน์ของ หลวงตา หลวงตาเคยเขา้ มาแสดงธรรมตรงน้ี ศาลาพระราชศรทั ธา วันนี้ ถึงคราวหลวงพ่อมาบ้างแล้วคราวนี้ เพราะอะไร เพราะทุกอย่างมันไมค่ งที่ มันเปลี่ยนไป เปลยี่ นไป เปลีย่ นไป จากไม่ เคยรู้ เคยเหน็ ก็ได้เขา้ มารู้ เข้ามาเหน็ มาแลว้ เหน็ พวกเราเต็มศาลา โอ้! ปล้ืมปิติยินดีกับพวกเราทั้งหลาย เล่ือมใสศรัทธา แม้แต่อยู่ ท่ามกลางกรุงแบบนี้ พวกเราไม่เสียโอกาส พวกเราไม่ด้อยโอกาส ไม่เสียโอกาส พวกเรามีโอกาส เพราะเรามีที่ฝึกฝน ท่ีอบรม สาคัญ ท่ีสุดนะเน่ีย เราต้องพยายามมาเพิ่มพูนบุญกุศลเข้าสู่หัวใจของเรา มนั เป็นการมาพยุง ภพชาติของเราเอง ใหส้ งู ข้นึ ใหเ้ ดน่ ขึน้ ให้สูงข้ึน ให้เด่นขึ้น ภพชาติของเราเนี่ย มันคอยแต่จะตกต่านะ ถ้าเผื่อเราไม่ พยายามพยุง ไม่พยายามปลูกฝัง เพราะมันมีสิ่งต่าทราม มันอยู่ใน หัวใจของเรา มันพาเราไหลลงต่าอยู่ในทุกระยะ ทุกเวลา วันทั้งวัน ทั้งคืน ยืนเดินน่ังนอน ถ้าเราปล่อยเวลาให้ล่วงไปกับส่ิงท่ีมันพาเรา ไหลลงไปทางต่า แสดงว่าพวกเราไม่ต่างอะไรกับปลาตาย ลอย ตุ๊บป่อง ๆ ไปตามกระแสน้า แต่ถ้าหากเราพยายาม ปลูกฝังตัวเอง ให้ตื่นข้ึน รู้ขึ้น ให้อยู่ในทุกระยะ ทุกเวลา เราพยายามทาตัวเหมอื น ปลาเปน็ ๑๐๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ ปลาเป็นเนี่ย มันจะพยายามเอาหัวมันลอยทวนกระแสน้า อยู่เสมอ ถึงมันจะปล่อยตัวมันลงไปตามน้า เอาหางลงไปก็ได้ เอา หัวลงไปก็ได้ มันก็ไม่เสียหลัก หมายความว่า เราพยายามยกจิต พยุงจิต ของเรา ด้วยศีลด้วยธรรม พยุง ปลุกให้ต่ืน พยุงให้สูง ไม่ ปล่อยให้ไหลลงในที่ต่า อืม จึงจะเหมาะสมกับเราเป็นมนุษย์พบ พระพทุ ธศาสนา ธรรมะในหัวใจของเรานน้ั เราจะทาตัวเหมือนปลาเป็น เรา จะต้องฝ่าฝืน จะต้องอดจะต้องทน ถ้าเราไม่ฝ่าฝืน เราไม่ต้ังใจอด เราไม่ตั้งใจทน เราปล่อย ไม่มีการสารวม ไม่มีการระมัดระวัง ไม่มี การฝ่าฝืน มันไม่มีอะไรมาต่อสู้กับกิเลสฝ่ายต่าที่อยู่ในหัวใจของเรา เพราะทุกคนเกิดมาตามบุญตามกรรม ส่ิงท่ีผลักดันให้เราลงสู่ท่ีต่า ตามบุญตามกรรม ก็คือ กิเลสตัณหา อาสวะ ในหัวใจของเรา พูด ปุ๊บปั๊บขึ้นมา กิเลส ตัณหา อาสวะ กิเลส ตัณหา อาสวะ ท่าน พยายามจอ่ หนั ย้อนมาดูที่ใจของเรา เราจะเหน็ กเิ ลสตณั หาอาสวะ ดูไปท่ีหัวนาของมัน ตัณหำ – ควำมอยำก ควำมดิ้นรน ควำมทะเยอทะยำน ควำมไม่หยุดน่ิงอยู่กับท่ี คือใจของเรำ ใจ ของเรำ จะถูกขับเคล่ือนไปเรื่อย ขับเคลื่อนไปเร่ือยด้วยอำนำจ ของ ควำมอยำกคือตัณหำ ตัณหาคอื ความอยาก ถ้าหากมนั อยาก ตามอานาจของสมุทัย กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา อยากเพื่อ ความโลภ อยากเพ่ือความโกรธ อยากเพ่ืออิจฉาริษยา ราคะตัณหา นคี่ ืออยากตามอานาจของสมุทยั พวกเราเป็นพุทธบริษัท พวกเราเป็นศิษย์มีครู เรามีผู้บอก ผู้สอน ผู้แนะ ผู้นา ผู้กล่าว ผู้เตือน เราจะต้องเพ่ิมพูนความอยาก ตามอานาจของมรรค มรรคปฏิปทา เหมือนอย่างที่เรากล่าวถึง ๑๐๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ ธุดงค์ ท่ีเราเนสัชชิกธุดงค์กันเน่ีย อันนี้ก็เป็นมรรค เป็นข้อปฏิบัติ เพอ่ื ขัดเพื่อเกลา ความอยากเพอ่ื มรรค อยากให้ทาน อยากรกั ษาศีล อยากประพฤติธรรม อยากปฏิบัติธรรม อยากได้อรรถ ได้ธรรม อยากไดม้ รรคผล อยากไดน้ พิ พาน ความอยากอันนี้อันน้ีเป็นมรรค เราต้องเพิ่มพูนความอยาก ตามอานาจของมรรคให้มาก แล้วพยายามทาให้ต่อเนื่อง ถึงจะไม่ เสียท่า เสียทีให้กับมัน แต่ถ้าเราปล่อยให้อานาจของความอยาก ตามอานาจของสมุทัยคือ ตัณหาราคะมาเพิ่มพูนในหัวใจของเรา ความโลภกจ็ ะเพม่ิ พูนข้ึน ความโกรธกจ็ ะเพิ่มพูนทวีขนึ้ ราคะตัณหา ก็จะเพิ่มพูนทวีข้ึน ไม่รู้จักจบ เรำย้อนมำดูพลังสองพลังที่มันมีอยู่ ในหัวใจของเรำ คือ พลังของตัณหำ กับ พลังของมรรค เรำ พยำยำมที่จะสะสำงชีวิตจิตใจของเรำให้เป็นไปตำมอำนำจของ มรรค โดยเอำศีลมำกำกับ โดยเอำธรรมมำกำกับ สมถธรรม วปิ ัสสนาธรรม เป็นเรื่องของธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา รวมกนั แลว้ คือ พระธรรม ทง้ั พระธรรม พระวินัย ส่วนทีเ่ ปน็ มรรคก็คือศลี คอื สมาธิ คือปัญญา อันนี้ท่านย่อลงมานะ ถ้าจะว่าให้เต็มที่ก็คือ อริยมรรคมี องค์ ๘ อริยมรรคมีองค์ ๘ เกิดข้ึนมาได้อย่างไร อริยมรรคมีองค์ ๘ น้ี เป็นความดาริของพระพุทธองค์ท่ีท่านทรงดาริว่าจะเอาวิธีการ เหลา่ นีม้ าบอกมาสอนพวกเราใหเ้ ราเดนิ ตามนี้ไป ท่านตัง้ อกตง้ั ใจทา ตามไปเถอะ เอาเป็นเอาตายเข้าสู้ไปเท่าไร ท่านไม่ถือว่ายิ่งเกินไป ท่านไม่ถือว่าหย่อนเกินไป แต่ถ้าผิดจากหลักอันนี้แล้วเนี่ย ต้ังใจทา จนตาย ท่านไม่ถือว่ายิ่งจนเกินไป ท่านไม่ถือว่ายิ่งเกินไป ถ้าต้ังใจ ทาตามตณั หาราคะมากเทา่ ไร ทีจ่ ะเป็นใหย้ กจติ เราสงู เดน่ ข้นึ ไม่มี มี ๑๐๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ แต่จะทาให้ไหลลงในที่ต่า ต้ังใจปฏิบัติเหมือนอย่างท่ีเขาทา อัตตกิ- ลมถานุโยคเนี่ย ทรมานตนมากน้อยเท่าไรก็ตาม ทาจนตายไม่รู้ว่า จะได้อะไร เราไม่ทราบว่าจะได้อะไร ทรมานร่างกายแต่ว่าต้องการ ธรรมะให้เกิดข้ึนที่หัวใจ เราฟังดูเหตุ ดูผลแล้ว มันขัดแย้งกันแล้ว ทรมานกายแต่ต้องการธรรมะให้เกิดขึ้นที่ใจ ธรรมะที่เกิดข้ึน คือ อะไร รู้ไม่ได้ เข้าใจไม่ได้ เป็นแต่เพียงการจาและก็ทาต่อ ๆ กันมา เท่านน้ั เอง นี่ ลัทธิอัตตกิลมถานุโยค เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่าน ทรงเอาพระธรรมคาสอนของพระองค์มาเผยแพร่ มาบอก มาสอน ถ้าปล่อยให้เขาเดินตามหลัก กามสุขัลลิกานุโยค ประพฤติตาม อานาจของความชอบใจ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เหมือน เราอยู่อย่างไม่มีศีลไม่มีธรรม ทาตามอะไรด้วยตามอานาจความ พอใจ ทีเ่ รียกวา่ ทาตนใหเ้ ป็นกามสขุ ลั ลกิ านโุ ยค ประกอบตนพวั พัน ในกาม ลุอานาจแก่กาม ปล่อยเน้ือปล่อยตัวตามอานาจของกาม ความใคร่ ความอยาก ความกาหนัด ความยินดี ความต้องการไม่ รู้จักจบ ไม่รู้จักส้ิน นี่ กามสุขัลลิกานุโยค ในเม่ือเราทาตัวอย่างน้ัน มันก็ไม่ต่างอะไรกับเราทาตามกระแสของโลก ทาตามกระแสของ กเิ ลสฝา่ ยตา่ มันพดั ผนั หัวใจเราให้ตกต่าไปอยูเ่ ร่ือย ไมร่ จู้ ักจบ กามสุขัลลิกานุโยค ทาตนให้เหน็ดเหนื่อยเปล่า ทรมานตน ให้เหน็ดเหน่ือยเปล่า เพราะฉะน้ัน พระองค์จึงทรงตรัส หนทางนี้ เป็นหนทางสายกลาง ในเมื่ออันหน่ึงมันหย่อนเกินไป อันหนึ่งมันตึง เกินไป ในแง่ของการอุปมาอุปไมย มันจะต้องมีทำงสำยกลำง – มชั ฌิมำปฏิปทำ เห็นไหม สรุปลงมา กค็ ือ ศลี สมำธิ ปญั ญำ ๑๑๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ ศีล พวกเราก็สมาทานไปแล้ว ศีล ๕ บางคนก็มี ความสามารถ สมาทานศีล ๘ ได้ ศลี ๕ กต็ าม ศีล ๘ ก็ตาม ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ของพระเจ้าพระสงฆ์เราก็ตาม เป็นข้อปฏิบัติเพื่อสงบ ระงับดับปลายเหตุของตัณหาเทา่ นัน้ สงบระงับดับปลายเหตุ เพราะ ปลายเหตุของตัณหาคือ พฤติกรรมที่กาย พฤติกรรมที่วาจา กิเลส ตัณหามันดีดดิ้นอยู่ในหัวใจ เหมือนอยา่ งมันนึก นกึ รัก นึกราคะ นกึ ตณั หา นกึ อยนู่ ั่นละ่ ในหัวใจ พอนกึ ถงึ ขีดถงึ ข้ันเสียแลว้ มนั ก็ทะลัก ออกมาทางกาย พอนึกถึงขีดถึงขั้น มันก็ทะลักออกมาทางวาจา มัน จะทะลักออกมาทางกาย ออกมาทางวาจา พระพุทธเจ้าท่านถึงให้ เอาศีลมากากับ มาสงบมาระงับไม่ให้มันแสดงออกมาทางกาย ถ้า ปล่อยใหม้ นั ทะลักออกมาทางกาย มนั ตกผลึกออกมาเปน็ กายกรรม วิบากตามมา ก็คือ วิบากกรรม กายกรรม นึกมาก คิดมาก นึกไปนึกมา นึกมานึกไป ถึงขีดถึงขั้น ทะลักออกมาทางวาจา เอา วาจามาพูดเป็น วจีกรรม ตกผลึกเป็นวจีกรรม มีวิบากเป็นวจีกรรม มันทะลักออกมานะ กริยาของกิเลสตัณหามันทะลักออกมาทาง กายกรรม ให้เราแสดงกรรมออกมาทางกาย แสดงกรรมทางวาจา ถ้าเราตั้งใจรักษาศีล แค่ศีล ๕ ข้อ ขอให้เรามีความบริสุทธ์ิอยู่ในข้ัน ของศีล ๕ ท่านก็ถือว่าเป็นผู้มีความบริสุทธิ์ ต้ังใจปฏิบัติอยู่ในน้ี แหละ เจริญให้ได้ตามหลักกรรมบถ ศีลในกรรมบถท้ัง ๑๐ ให้ ละเอียดอยู่ได้ตามน้ี ท่านถือว่าพฤติกรรม ท่ีกายกรรมของเราถือว่า บริสุทธิ์ สามารถมองเห็นกรรมของตัวเองบริสุทธ์ิ มองเห็นความ บริสุทธด์ิ ้วยกรรมดว้ ยตวั ของตัวเราเอง กรรมของเรา เราจะบริสุทธิ์ได้อย่างไร เราจะดูออกได้ อย่างไร เราต้องดูมาอย่างนี้แหละ เราไม่ต้องไปดูเบ้ืองหน้า ๑๑๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ เบ้ืองหลัง เราเกิดมามีวิบากกรรมมาอย่างไร เราไม่ต้องไปดู เพราะ สิ่งท่ีล่วงมาแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ส่ิงท่ีจะเป็นไปข้างหน้าก็ทาอะไร ไม่ได้ เรามาสารวมระมัดระวังอยู่ในปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ระวัง กายกรรมด้วยการตั้งใจ รักษาศลี ศลี ๕– ไม่ฆา่ สตั ว์ ไมล่ ักทรพั ย์ ไม่ ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ ไม่พูดหยาบ ไม่พูดส่อเสียด น่ี ก็ รักษาด้วยศีล – ศีลข้อ ๔ น่ะ และท่ีสาคัญก็คือ ศีลข้อ ๕ นะ ศีลข้อ ๕ ไมด่ ืม่ น้าเมา ดื่มน้าเมา มันเกี่ยวข้องกับอัตภาพ ร่างกายของเรา พอใส่ เข้าไปแล้ว ร่างกายของเรามันเมา พอเมาแล้วมันขาดสติ ตรงที่ขาด สตินี่แหละ คือตัวสาคัญที่สุด อย่าลืมว่าพวกเราทุกท่านทุกคน พอที่จะเป็นผ้เู ปน็ คนได้ เพราะวา่ เรามีสติ ถา้ หากเราขาดสติปั๊บ มนั เป็นเหตุ ศีลข้อ ๑ เราก็ขาดง่าย ข้อ ๒ ก็ขาดง่าย ข้อ ๓ ก็ขาดง่าย ข้อ ๔ ข้อ ๕ มันก็ขาดง่าย ถ้าหากเราขาดสติ คนท่ีไม่มีสติอย่าง เต็มที่ เขาเรียกว่าคนบ้า – คนบ้าคือคนวิกล วิกาล ไม่มีสติ – ตั้งใจ ท่ีจะนึก ตั้งใจท่ีจะคิด ต้ังใจท่ีจะทา ท่ีจะอะไรต่ออะไรก็ตาม ไม่เป็น ลาดบั ไม่เปน็ ขนั้ ไม่เป็นตอน ทาไปสะเปะสะปะ ตามอานาจของสติ ที่มนั ผลบุ ๆ โผล่ ๆ ผลุบ ๆ โผล่ ๆ สตไิ ม่สมบรู ณ์ คนบ้า หากสักแต่ว่า มีความรู้ ที่ทาลงไป ผิดหรือถูก ชอบหรือไม่ ชอบ ไม่รู้จัก นึกได้ คิดได้ ทาได้ สะเปะสะปะ เหมือนสัตว์ทั่ว ๆ ไป แต่มนุษย์เป็นสัตว์ท่ีมีความนึกคิดชัดเจนละเอียด เก่ียวกับเรื่องการ ตั้งอกตั้งใจ สร้างสติขึ้นมาให้กับตัวเอง การเป็นผู้มีสติ ถ้าหากดื่ม น้าเมาแล้ว ทาให้เราขาดสติ เรากินเบียร์ พอไม่ให้มันเมาได้ไหม เบียร์มันเมาหรือเปล่าน้อ หลวงพ่อก็ไม่เคยดื่มนะ เบียร์เน่ีย มันเมา หรือเปล่า หรือมันตึง ๆ แต่เรารู้ว่าสิ่งเหล่านี้ เสพแล้วมันติด ลอง ๑๑๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ท่ี ๒ เสพ ลองดูสิ ติด เอ้า! วันนี้ ดื่มเบยี ร์หรอื ยัง นึกไปนึกมา นกึ เหน็ แล้ว ไปหามา นึกเห็นแล้ว ไปหามา ครั้งละกระป๋อง สองกระป๋องอย่างนี้ นี่ มนั ตดิ นะ ไม่เมาก็ตาม สุรา เหล้าเน่ีย น้าดองของเมา เรารู้ว่าเป็นน้าดองของเมา เราเป็นชาวพุทธ เรารู้ว่าอันนี้ มันเป็นน้าดองของเมา กินไปแล้วเมา เราเอามาใส่ปาก มันไม่เมาก็ตาม ศีลเราขาดแล้ว ไม่ต้องไปต่อรอง กบั ท่านดอกนะ หลวงพอ่ ไปเยอรมนั ชาวเยอรมัน สิง่ ทเี่ ด่นของเขาก็ คือเบยี ร์ เบยี รเ์ ปน็ ของเด่นของเขา มันเป็นเมอื งเบียร์ เบยี รก์ นิ แล้ว ไม่เมา กินแล้ว กินตึง ๆ ได้ไหม ศีลไม่ขาด เขาไปต่อรอง บอกกิน เบียร์ พอไม่ให้มันเมาได้ไหม ถ้าเรารู้ว่ามันจัดเป็นประเภทน้าเมา แล้ว พอเราเข้าปากปั๊บ ศีลก็ขาด ศีลก็ขาด ความรู้สึกอยู่ในใจของ เราวา่ ศลี ของเราไม่บรสิ ุทธ์ิ ศีล ๕ เรำตัง้ ใจมีศีล ๕ ใหบ้ ริสทุ ธ์ิ สำมี ภรรยำก็อยู่ด้วยกันอย่ำงเป็นผำสุก สังคมของเรำก็อยู่ด้วยกัน อย่ำงเป็นผำสุก ชีวิตของเรำปลอดภัย ทรัพย์สมบัติของเรำ ปลอดภัย ควำมเปน็ สำมีภรรยำคูค่ รองของกันและกัน กป็ ลอดภัย วาจาคาพูดไม่มีซุก ไม่มีซ่อน ไม่มีบิด ไม่มีเบ้ียว ทาให้เรา ความ เป็นอยู่ของเรานั้นปลอดภัย รวมถึงไม่มอมเมาให้เราขาดสติ เป็น เหตุให้เราต้องพลั้งเผลอ ขาดสติ แล้วก็ หลงเพลินทาไป กับส่ิงที่ทา ให้เราต้องเสียหาย ทางกายกรรม ทางวจีกรรม เราจะเห็นฤทธ์ิเดช ของตัณหาในหัวใจของเรา ตัณหาในหัวใจของเรา มันเกิดขึ้น มัน เกดิ ข้ึนทไ่ี หน มนั เกดิ ข้ึนทีใ่ จ สมทุ ยั สมทุ ัย เราพูดอย่างน้ี เราเข้าหลักอริยสัจ ๔ เลย พวกเราจะได้ เข้าใจกัน เพราะอันน้ี คือ หลักที่พระพุทธเจ้าท่านทรงเอามาตรัส เอามาแสดงเปิดเผยให้กับพวกเรา ข้ออรรถ ข้อธรรม อริยสัจท้ัง ๔ ๑๑๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ เป็นข้ออรรถ ข้อธรรมท่ีให้พระองค์สมบูรณ์ เป็นสัมมำสัมพุทธะ พระองค์ทรงได้ชื่อว่า สัมมำสัมพุทธะ เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ ก็ เปน็ เพราะ พระองค์หันเข้ามาหลกั เหตุผลอันน้เี อง อยา่ ลืมว่าอรยิ สัจ ท้งั ๔ พระพุทธเจ้าทรงตรัสมี “เหตุ” กับ “ผล” เท่านั้น เหตอุ ันหน่งึ นาทุกข์นาโทษมาให้ เหตุอันหน่ึงพอเราต้ังใจปฏิบัติตามน้ันแล้ว สงบระงับดับเหตุให้เกิดความทุกข์ เหตุอันหนึ่งสร้างทุกข์ เหตุ อนั หนง่ึ สงบระงบั ดับทกุ ข์ อะไรคือทุกข์ ความทุกข์ก็คือ อัตภาพร่างกายของเรา ร่างกายของเราเป็นกองทุกข์ ร่างกายของเราเป็นก้อนทุกข์ จิตใจ ของเราก็เป็นกองทุกข์ จิตใจของเราก็เป็นก้อนทุกข์ ร่างกายของเรา เป็นก้อนทุกข์ได้อย่างไร ร่างกายของเราเป็นก้อนทุกข์ได้ก็เพราะว่า ร่างกายของเราตกอยู่ในภาวะของความไม่อยู่กับที่ ต้องเปลี่ยนไป ไม่อยู่กับที่ ต้องเปลี่ยนไป พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสว่า ทุกขัง เปลี่ยนไปเป็น อนิจจัง ภาวะของอนิจจัง ของทุกขัง มันมากากับท่ี กายกรรมของเรา พฤติกรรมคือก้อนกายของเรา เพราะก้อนกาย ของเรามันเป็นกองสังขารกองหนึ่ง จิตของเราก็เป็นกองสังขารกอง หน่งึ จิตของเรากเ็ ป็นกองสังขารได้อย่างไร ขึ้นช่อื ว่ากองสังขำร คือ สิ่งปรุง สิ่งประกอบต้ังแต่ ๒ สิ่งเป็นต้นไป มารวมกัน ท่านเรียกว่า กองสงั ขาร ร่างกายของเรา เราดูเถอะ พระพุทธเจ้าท่านแยกแยะ ธาตุ ดิน ธาตุน้า ธาตุลม ธาตุไฟ ส่วนประกอบเยอะแยะมากมายอยู่ใน นนั้ เราตอ้ งการดูให้ชัดเจน เราดขู ้างหนา้ สารับกบั ข้าวเรา เวลาเรา จะทานอาหารอะไรลงไป ดู มีอะไรบ้าง น่ันแหละ ของรวม ของ ประกอบใส่เข้าไป ร่างกายของเรา โดยหลักใหญ่ ๆ พระพุทธเจ้า ๑๑๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ ท่านก็ทรงตรัส ธาตุดิน ธาตุน้า ธาตุลม ธาตุไฟ มีประจักษ์พยานให้ เราดไู ด้ ธาตดุ นิ เอบิ อาบ ธาตุดินแข็งๆ ธาตุดนิ ๒๐ ธาตุน้า ๑๒ เป็น ขน เป็นเล็บ เป็นฟัน เป็นหนัง อย่างน้ี ธาตุน้า – น้าดี น้าเสลด น้าเหลือง น้าเลือด รวมไปแล้วอาการ ๓๒ – ๓๒ อย่าง เฉพาะธาตุ ดินกับธาตุน้าเท่านั้นเอง ๓๒ อย่าง น่ีคือส่ิงปรุง สิ่งประกอบมันมา รวมกนั ท่านจงึ เรียกวา่ กองสงั ขาร ข้ึนช่ือว่ากองสังขาร มีสามัญลักษณะอยู่ในนั้น คือ มี อนิจจัง มีทุกขัง มีอนัตตำ เราหมุนเข้ามาตรงนี้ซะ พวกเราจะได้ เข้าใจถึงหลัก ถึงแกนของธรรมะ ที่พวกเราจะฟัง ให้ได้สบายใจ พอ พวกเราตั้งใจปฏิบัติ ถึงขั้นว่าเนสัชชิก เนสัชชิก จิตใจของเราก็ต้อง หมุนพอสมควร ไม่งั้นเราจะอยู่ไม่ได้ดอก อยู่ท้ังคืน มันง่ายที่ไหน ลองไปทา ลองดูซิ ใครอยากจะอยู่ทั้งคืนได้สะดวกสบาย การท่ีเรา จะอดนอนได้ เราจะต้องผ่อนอาหาร พวกเราอยู่วัดป่า พวกเรารู้ดี พวกเราเข้าใจดี เร่ืองเหล่าน้ี ใครอยากอยู่ได้ท้ังคืน จะต้องผ่อน อาหาร ผ่อนอาหาร ๑ วัน เราไม่ได้แค่ผ่อนนะ เราอดเลย ไม่ฉัน อาหาร ฉันแต่น้าปานะ ฉันแต่อะไรไป ไม่ฉันอาหาร ๑ วัน ๒ วัน ร่างกายเบาแล้ว กลางคืนอยู่ได้สบายเลย ไม่มีความง่วงมาทับถม หัวใจ ท่านทั้งหลาย ไปขบฉันตามสะดวกสบายนะ ๒ มื้อ ๓ มื้อ แล้วก็ต้องการอยู่มันทั้งคืน ทรมานมาก เพราะความง่วงเหงา หาวนอนมันทับถมหัวใจเรา ความทุกข์อย่างหนึ่งท่ีเกิดขึ้นในหัวใจ ของเรา ในระหว่างที่เราอดนอนเน่ีย ทุกข์มากขนาดไหน เราดูไป เถอะ เรารู้อยู่แก่ใจ ท่านท้ังหลายที่ผ่านไปแล้วน่ะ ถ้าหากไม่มีอะไร ไปกระตนุ้ ไปเตือนไปเร้าในหวั ใจเรา เราจะทกุ ข์มาก ในหัวใจของเรา ๑๑๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ คือสิ่งเหล่าน้ีแหละ มันเป็นส่วนประกอบเข้าไปในอัตภาพร่างกาย ของเรา ร่างกายของเราจึงเป็นกองสังขาร จิตใจของเราก็เป็นกอง สังขาร ส่ิงสองส่ิง ตั้งแต่สองส่ิง เป็นต้นไป ท่านเรียกว่ากองสังขาร จิตใจเป็นกองสังขาร กองสังขารอะไรบ้าง เราก็ดูสิ จิตสังขาร จิตต สังขาร จิตตสังขำรของเรามันหยุดน่ิงไหม มันอยู่กับท่ีไหม มันไม่ เคยหยุดอยู่กับที่ ถ้าจะพูดว่าเปลี่ยนแปลงจากทุกขัง ไปเป็นอนิจจัง จิตนี่แหละ มันเร็วที่สุด ร่างกายของเราอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ต้อง เปล่ียนไป จิตใจของเราก็อย่ใู นสภาพเดิมไม่ได้ ต้องเปลี่ยนไป ต่าง คนต่างเปน็ กองสังขาร เพราะฉะนนั้ สภาพใดก็ตามทีเ่ ป็นกองสงั ขาร อนิจจัง ทุกขัง อนัตตำ มีอยู่ในน้ัน ซ่ึงเป็นสัจธรรมที่ท่านให้เรา พยายามพิจารณาให้รู้ ให้เห็น ใหเ้ ข้าใจ จะได้เข็ด จะไดห้ ลาบ จะได้ ไม่น่ิงนอนใจ จะได้คลี่คลายจากการยึด จากการถือ จากการเกาะ อย่างเหนียวแนน่ มนั่ คงในหวั ใจของเรา ถา้ เราไม่พยายามพิจารณาให้เหน็ ทุกข์ เหน็ โทษอยา่ งนี้ เรา จะคลี่คลาย คลายจากความรัก คลายจากความยึด คลายจากความ ตดิ คลายไม่ได้ แต่ถ้าเข้าไปรู้ เข้าไปเหน็ ดว้ ยข้อปฏิบัตขิ องเรา ดว้ ย สติ ด้วยปัญญา ของเรา มันจะคล่ีของมัน มันจะคลายของมัน จากน้ัน ก็เบ่ือ หนา่ ย คลาย จาง สงิ่ ทเ่ี ราเบอ่ื สิง่ ทเ่ี ราหนา่ ย สง่ิ ที่เรา คลาย ส่ิงทเ่ี ราจาง โอกาสท่เี ราจะยึดมา มไี หม – ไมม่ ี เพราะเราเหน็ ทกุ ข์ เห็นโทษของมนั การที่เราตั้งใจปฏิบัติธรรม อย่าลืมว่าเราตั้งใจปฏิบัติเพ่ือรู้ ขันธ์ท้งั ๕ ขนั ธท์ ้งั ๕ ไม่ใช่เรา ไมใ่ ชข่ องของเรา ไมใ่ ชป่ ฏบิ ตั เิ พื่อเอา ขันธ์ ๕ แต่ตั้งใจปฏิบัติ เพ่ือเอาความรู้สัจธรรมจากขันธ์ทั้ง ๕ เพื่อ ๑๑๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ เข้ามาเห็นทุกข์ เห็นโทษของอัตภาพร่างกายของเรา คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ร่างกายของเราอยู่ไม่เท่าเดิม เราระลึกย้อนตั้งแต่ เด๋ียวนี้ ย้อนเข้าไป ย้อนเข้าไป ย้อนเข้าไปจนถึงในท้องแม่เรา เรา ลองนกึ ลองดูซิ เด๋ียวน้ีเราอายุกันคนละเท่าไร ๕๐ ปี ๔๐ ปี ๓๐ ปี ๒๐ ปี ระลึกย้อนเข้าไปจนถึงวันคลอด ระลึกไปจนถึงในท้องแม่ ระลึกไป จนถึงปฏิสนธิในท้องแม่ นา้ ใส ๆ อยูใ่ นทอ้ งแม่ หลังจากไปประกอบ กันเป็นกองสังขาร กองสังขารพ่อ กับกองสังขารแม่ ไปประกอบกัน ในท้องแม่แล้ว อยู่เท่าเดิมไหม ไม่เคยอยู่เท่าเดิมเลย จะเปล่ียนไป เร่ือย เปล่ียนไปเร่ือย ๒ วัน ๓ วัน ๗ วัน เปลี่ยนไปเรื่อย เป็นน้าใส เป็นน้าแดง ๆ เป็นน้าเลือด เป็นก้อนเลือด เป็นก้อนเนื้อ เป็นปัญจ- สาขา พฒั นาตวั เอง ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ ขน้ึ ชอื่ วา่ โรงงาน โรงงาน เขายังมีการเปิด มีการปิด แต่โรงงานคือ กองสังขารน้ี ต้ังแต่ไป ปฏิสนธิในท้องแม่ ไม่เคยหยุด แม้แต่ในขณะจิตเดียว ความไม่หยุด นิ่งอยู่กับที่ ตามหลักอริยสัจทั้ง ๔ พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสว่า นี่ แหละ ทุกขัง ทุกขัง ความไม่ทนอยู่ในสภาพเดิม พยายามพิจารณา และทาจติ ระลึกให้เป็นข้ออุปมา ให้เกิดเหตุ เกิดปจั จัยอยูข่ ้างใน จะ ทาใหเ้ ราเขา้ ใจเรอ่ื งเหลา่ น้ดี ี พอเวลาเราต้งั ใจ เราพยายามย้อนนกึ เขา้ ไปในนนั้ มนั ไดข้ ้อ ปฏิบัติ ใจของเราไปหมุนอยู่ในน้ัน มันได้ท้ังสมาธิ มันได้ท้ังปัญญา มันได้ท้งั แนวทาง มันจะเร่มิ เหน็ มันจะเริม่ เห็นตวั มัน มันจะเริ่มเห็น เงาของมัน เร่ิมเห็นตัว เห็นตนของมัน เห็นตัว เห็นตนของตัณหา เห็นเงาของตัณหา เห็นตัว เห็นตนของตัณหา กริยาที่มันกระดุก กระดิก พลกิ แพลง แสดงทางกายกรรม ทางวจีกรรม ทางมโนกรรม ๑๑๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ท่ี ๒ แต่ละอย่าง แต่ละอย่าง เป็นเหตุนามาสู่ใจ ทาให้ใจเราเศร้าหมอง สภาพอันนั้น ท่านเรยี กว่า กิเลส กเิ ลส กไ็ ปจากตวั เดียวกนั นแี่ หละ กิเลสแปลว่า สภาพที่ทาให้ใจเราเศร้าหมอง ความโกรธ แสดงความโกรธออกมาแลว้ ทาใหใ้ จเราเศร้าหมอง แสดงความโลภ ทาใหใ้ จเราเศร้าหมอง ราคะตัณหา ดไู ปทีใ่ จของเรา ใจของเราเศร้า หมอง ใจของเราจะผ่องใสได้ ใจของเราจะต้องสงบระงับจากสิ่ง เหล่านี้ ใจสงบระงับจากสิ่งเหล่าน้ี ใจของเราถึงจะผ่องใส จิตเริ่ม สงบ จิตเรมิ่ ผอ่ ง จติ เริม่ ใส จิตผ่องใส คือจิตสงบ ถ้าจิตไม่สงบ จิตมีความโลภ จิตมี ความโกรธ จิตจะไม่ผ่องใส ที่เรียกว่า จิตมีมลทิน จิตมีกิเลส กิเลส สภาพที่ทาใหใ้ จเราเศร้าหมอง มันก็มาจากตวั ตัณหาตัวเดยี ว ตณั หา เราคิดว่ามันจะมีตัว มีอะไร ใครป้อนมาให้เรา ไม่มี หากมันเกิดขึ้น จากพฤติกรรม จากจิตของเรา เพราะเราสะสมกันมากี่กัป กัลป์ ก่ี บุพชาติมาแล้ว เราไม่รู้จัก เกิดภพไหน ชาติไหนมันก็ส่ังสมมาอยู่ อย่างนี้ มันก็สง่ั สมมาอยู่อย่างนั้น ยิ่งเราไปเกดิ เป็นสตั ว์อย่างเน่ีย ไม่ มีโอกาสท่ีจะฝึกฝนอบรมธรรมะ เราจะได้เอาอะไรมาเป็นข้อปฏิบัติ ไม่มี มันก็สั่งสมความโลภ ส่ังสมความโกรธอยู่ในนั้นแหละ จนเป็น เหตุให้เกิดความโลภจัด เป็นกองกิเลสกองหน่ึง เราต้องมาแก้ตาม ยากมาก เกิดความโกรธเพราะอะไร เพราะมันไม่ถูกใจ มันก็แปลก เหมือนกันนะ มนุษย์เราเน่ีย หลักธรรมชาติในใจของเรา คือผู้รู้ของ เรา ไปสัมผัสของบางส่ิง บางอย่าง จะเป็นรูป เป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรส เป็นสัมผัส ก็ตาม เวลาไปสัมผัสแล้ว มันเกิดความรู้สึก เกิด ความรู้สึกสุข เกิดความรู้สึกชอบใจ พอใจ มันก็ยึดเข้ามา ยึดเข้ามา ๑๑๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เล่มที่ ๒ แล้ว ก็คือพวกเราติดความสุข บางอย่างมนั ไปสมั ผัส จะเปน็ รปู เป็น เสียง เป็นกลิ่น เป็นรส เป็นสัมผัส ก็ตาม มันไปสัมผัสแล้ว มันไม่ พอใจ มันได้รับความทุกข์ ได้รับความไม่พอใจ มันก็ผลักออกไป เป็นเหตุให้เกิดความโกรธ ความไม่พอใจ สะสมอยู่อย่างน้ันจนเป็น กิเลสกองใหญ่ ก็ต้องตามล้าง ตามแก้ยากมาก น่ี ที่ไป ที่มาของ ความโลภ ความโกรธในหัวใจ ของเรา เราพัฒนามาก่ีกัป กี่กัลป์ ก่ีบุพชาติ เราไม่เคยทราบ เรา พจิ ารณามาตรงนี้ เราจะรูจ้ กั ทมี่ าของมัน รจู้ ักทีอ่ ย่ขู องมนั และร้จู ัก ท่ีไปของมัน ท่ีมา ที่ไปของมัน คือมีอยู่อย่างนี้ เป็นอยู่อย่างน้ี จิตใจ ของเราเป็นกองสังขาร เพราะ เพราะมีอะไร เพราะมีจิต คือผู้รู้ คือ ธาตุรู้ แต่ธาตุรู้ของเราไม่บริสุทธิ์ ไม่บริสุทธ์ิเพราะอะไร เพราะมี กิเลสปนเป้ือนมา กิเลสปนเปื้อนมาเพราะพฤติกรรมของตัวเอง สรา้ งมาทกุ ภพทุกชาติ สร้างมาทุกภพทกุ ชาติ จนแขง็ แขง็ กร้าวเป็น กิเลสตัณหาอาสวะ ประจาอยูใ่ นหวั ใจของเรา แล้วเราตอ้ งการจะแก้ จะชะล้างออก แก้ออก ชะออก ล้างออก ยากมาก แม้แต่ พระพุทธเจ้าของเรา ศึกษาเพื่อจะให้รู้ข้อปฏิบัติเหล่าน้ี โอ้ย ต้อง สร้างบุญญาบารมีเท่าไร ๔ อสงไขย แสนมหากัป กว่าจะได้ตรัสรู้ กว่าจะไดร้ ู้ กว่าจะได้ตกผลึก ถึงข้อปฏบิ ัตเิ พ่ือชะล้างสง่ิ เหล่าน้ีไปได้ กว่าจะได้เห็นสัจธรรม แจ่มแจ้งชัดเจนด้วยพระญาณ อาสวักขย- ญาณของพระองค์ ดูสิ มันง่าย มันยากขนาดไหน สั่งสมอบรมมา ก่ีกัป กี่กัลป์ ก่ีบุพชาติมา กี่อสงไขยกัป นับไม่ถ้วน พระพุทธเจ้าท่านสร้างบารมี มานะ กว่าจะไดบ้ รรลุ เสียสละ ก็เสยี สละ เสียสละมากมายมหาศาล เราดูท่ีบารมีทั้ง ๑๐ ท่ีพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านทรงบาเพ็ญมา ๑๑๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ ไม่ใช่แค่ ๑๐ นะ เป็นบารมี เป็นประเภทบารมี อุปบารมี ปรมัตถ ปารมี เรายกตัวอย่าง เช่นอย่างการให้ทานนี้ ให้ทานวัตถุนอกกาย สงิ่ ท่มี คี ุณค่ามาก ให้จนหมด ไมม่ ีอด ไมม่ ีอ้ัน นีเ่ ป็นแคท่ านบารมี ให้ เพชรนิลจินดา ให้แก้วมณี ให้ของมีค่า ให้แม้กระทั่งแผ่นดิน ถือว่า ให้ของนอกกาย น่เี ปน็ ไดแ้ ค่ทาน ทานบารมี พระพุทธเจ้าท่านทาทานอุปบารมี ให้อวัยวะเป็นทาน ให้ อวัยวะเป็นทานในยุคของพวกเรา เราพอจะเห็นได้บ้าง เช่น อย่าง สามีภรรยาคู่หนึ่ง สามีเขาไตวายท้ัง ๒ ข้าง ภรรยาเขาเน่ีย ไตดีทั้ง ๒ ข้าง สละข้างหน่ึงให้กับสามี เอาไตที่ดีข้างหนึ่งของภรรยาไปใส่ ใหก้ บั สามี ทาให้มชี วี ติ อยดู่ ว้ ยกันได้ อนั น้ี เขาเรียกวา่ ใหอ้ วยั วะเปน็ ทาน เราพอจะมองเห็นแค่น้ี แต่พระพุทธเจ้าท่านทรงทามากกว่านี้ ให้ชีวิตเป็นทาน ให้ชีวิตเป็นทาน สมัยพระองค์เป็นกระต่าย ไปดู ในสสปัณฑิต ท่านพูดเอาไว้นะว่า โดดเข้ากองไฟให้เป็นอาหารของ ฤาษี เสียสละชีวิตให้เป็นทาน โดดเข้ากองไฟเป็นอาหารของฤาษี สมัยพระองค์เป็นดาบส บาเพ็ญเป็นดาบสอยู่ในป่า เสือแม่ลูกอ่อน กาลังจะกินลูกมัน โดดไปให้เสือกิน อย่างน้อยก็ช่วยลูกมันได้ตั้ง หลายวาระ น่ี ให้ชีวิตเป็นทาน แล้วสัตว์เดรัจฉานเสียสละให้สัตว์ เดรัจฉานก็ตาม แต่ว่ามันย่ิงใหญ่ด้วยจิตใจของเรา ร่างกายของเรา เสียสละไปแล้วเกิดประโยชน์กับคนอื่นกับสัตว์อ่ืนแน่ เสียสละชีวิต เปน็ ทาน นอกจากน้ัน เสียสละเก่ียวกับเร่ืองอย่างอ่ืนอีกมากมาย มหาศาล พระพุทธเจ้าท่านทาได้ เพราะฉะน้ัน พระชาติของ พระองค์ท่ีอุบัติมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นพระชาติที่สมบูรณ์ บริบูรณ์ เต็มเปี่ยมสมบูรณ์ ไม่มีอะไรบ่ิน ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง ๑๒๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ท่ี ๒ เป็นผู้ชนะเด็ดขาดหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ไม่มีอะไรขาดตก บกพร่อง เพราะฉะน้ัน พวกเราได้ยิน พระพุทธเจ้าประสูติวันเพ็ญ เดือน ๖ ตรัสรู้วันเพ็ญเดือน ๖ ปรินิพพานวันเพ็ญ เดือน ๖ แสดง ธรรมจักรฯ วันเพ็ญเดือน ๘ แสดงจาตุรงคสันตนิบาต - มหาจาตุ รงคสันนิบาต วันเพ็ญเดือน ๓ ท่านพูดถึงแต่ วันเพ็ญ วันเพ็ญ วัน เพ็ญ เปรยี บประหนึ่งเหมือนบอกให้เรารู้วา่ พระพุทธเจา้ เป็นคนเต็ม เป่ียมสมบูรณ์ บริบูรณ์ ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง แม้แต่ความ บาเพ็ญอยู่ในป่าของพระองค์ อย่าไปคิดว่าจะไม่มีส่ิงใดคอย ช่วยเหลือพระองค์ มันมีสิ่งคอยช่วยเหลือพระองค์เต็มไปหมด อย่า ลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นเทวดามาก่อน ก่อนท่านจะมาอุบัติเป็น เจ้าชายสิทธัตถะ ท่านเป็นเทวดา - เทวดาไปอาราธนาเทวดามาให้ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เทวดาท้ังหลายเขาก็ตามดูแล ห้อมลอ้ มหมด ถ้าเราคิดแบบพวกเรา ท่านจะอยู่ได้ยังไง อยู่ในป่า อยู่ใน เขา สงิ่ ปกคลุมหุ้มห่ออะไรก็ไมม่ ี อยูก่ ลางแดด อย่กู ลางฝน อยู่กลาง ยุง กลางมด กลางปลวก กลางอะไรต่ออะไร ถ้าเทียบอย่างพวกเรา ลองไปน่ังอยู่ในท่ี ที่มีป่าไม้ชุกสักหน่อยนึง อูย ยุงมารุม อยู่ได้ไหม พระพุทธเจ้ามีส่ิงป้องกันให้พระองค์ได้หมด ทาไมพระองค์จะอยู่ ไม่ได้ พระองค์ไปไหน เสด็จด้วยพระบาทเปล่า เสด็จด้วยพระบาท เปล่า พระองค์อยู่เหนือชั้นหมดทุกส่ิงทุกอย่าง ในบรรดาส่ิงที่จะ คอยตามอานวยความสะดวกให้กับพระองค์ น่ีคือ พระพุทธเจ้า บาเพ็ญ ต้ังใจบาเพ็ญมาถึงขนาดนั้น ถึงข้ันนั้น ถึงระดับนั้น กว่าจะ ได้วิชาการความรู้เหล่านี้ ให้เรารู้จักว่า รูปสังขาร นามสังขาร กว่า ๑๒๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ จะเอาสิ่งเหล่านี้มาสอนให้กับพวกเรา พยายามสอนให้พวกเรารู้จัก เร่ืองของตณั หาในหัวใจของเรา ตัณหามันมากับธาตุรู้ คือใจของเรา อย่าลืมว่าใจของเรา คือ ผู้รู้ คือ ธาตุรู้ คือ ใจ คือ มนายตนะ คือ มโนธาตุ คือ วิญญาณ ธาตุ สรุปแล้วก็คือ ธาตุรู้ ซ่ึงเป็นศูนย์กลางของมัน รวมอยู่ในนั้น ทั้งหมด ธาตุรู้ ธาตุรู้ มีประจาอยู่ดั้งเดิมในโลก ธาตุไม่รู้ ดิน น้า ลม ไฟ มันก็มีอยู่ประจาด้ังเดิมในโลก พวกเราท้ังหลาย สัตว์ท้ังหลาย เอาของที่มีอยู่ด้ังเดิมในโลกมาเกิด ธาตุรู้ของเราเน่ีย คือใจของเรา เน่ีย คือธาตุรู้ แต่มันอุบัติมาพร้อมกับความไม่บริสุทธิ์ในตัวของตัว มนั เอง เบ้อื งต้นไม่ปรากฏ พระพุทธเจ้าทา่ นไม่ทรงตรัสวา่ ส่ิงนูน้ ทา สิ่งนี้ทา เกิดข้ึนจากสิ่งนู้น เกิดขึ้นจากสิ่งนี้ แต่หากพัฒนามาด้วย พลังของตัวเอง กี่กัปกัลป์ ก่ีบุพชาติ พัฒนามาอยู่อย่างนี้ ไม่จบไม่ ส้ิน เหมือนอย่างภพชาติของเรา แต่ละคน แต่ละท่าน เนี่ย ไม่ใช่ว่า เราเพิ่งมาอุบัติในอัตภาพนี้ สองอัตภาพน้ี ไม่ใช่ ถ้าเราระลึกได้ เหมือนอย่างพระพุทธเจ้า ย้อนหลังกลับไป โอ้ย ไม่มีจุดจบ ไม่มีที่ จบ ก่ีกัป ก่ีสังวัฏฏกัป ก่ีวิวัฏฏกัป กี่สังกวิวัฏฏกัป ระลึกย้อนหลงั ไป ไมร่ จู้ ักจบ ไมร่ ้จู ักสน้ิ เกดิ -ตาย เกิด-ตาย เกิด-ตาย เกดิ -ตาย หากมันพัฒนาไปตามอานาจของสังขาร ข้ึนช่ือว่ากอง สังขาร มันไม่คงที่ มันเปล่ียนไป เปลี่ยนจากที่ต่าเป็นที่สูง เปล่ียน จากท่ีสูงเป็นที่ต่า กองสังขาร คือจิต คือนามธรรม คือผู้รู้ ก็พัฒนา พฤติกรรมท่ีจิตเหล่านี้ พัฒนาคืออะไร ก็คือพฤติกรรม พฤติกรรมที่ กาย คือเกิดมีรูปธรรม มีนามธรรม พฤติกรรมท่ีกาย ท่ีวาจา ที่ใจ พฤติกรรมของผู้รู้ ผนู้ กึ ผู้คิดเอง อย่าลมื ว่า พฤตกิ รรมของกายท่ีเรา ก็ตาม ท่ีวาจาของเราก็ตาม ท่ีใจของเราก็ตาม หากมันล่วงไปแต่ละ ๑๒๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มที่ ๒ ขณะ แต่ละขณะ แต่ละคร้ัง แต่ละคร้ัง แล้ว ไม่ใช่หายสูญท้ิงไปเฉย นะ ตกผลกึ เปน็ วิบากกรรม ตกผลึกเปน็ วิบากกรรม เพราะฉะนั้น เราดกู รรมเรา ไม่ตอ้ งไปดทู ่ไี หน เรามาดกู รยิ า ท่ีเราเป็นเราอยู่น่ีเอง แต่กริยาเหล่าอื่นน้ันไม่เกิดโทษ พระพุทธเจ้า ท่านจึงไม่ทรงเอามาแสดง แต่พฤติกรรมที่กายกรรมของเรา ไปฆ่า สัตว์ ทาให้คนอื่นเดือดร้อนแล้ว มีทุกข์ มีโทษตามมา ไปลักทรัพย์ เป็นเหตุให้คนอ่ืนเดือดร้อน มีทุกข์ มีโทษตามมา ไปประพฤติผิดลูก ผิดผัว ผิดเมียของเขา เป็นเหตุให้คนอื่นเดือดร้อน มีทุกข์ มีโทษ ตามมา พฤติกรรมเหล่าน้ี เป็นพฤติกรรมที่ทาให้เราต้องได้รับสนอง ผลตามมา ที่เขาเรียกว่า ทุกขัง ทุกขัง ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ มันจะสับเปล่ียนภพชาติของเราจากที่สูงลงไปอยู่ท่ีต่า เนื่องจาก ความไม่มีศีล ความไม่มีธรรมเหล่าน้ี จะทาให้เราตกต่า ความไม่มี ศีล ความไม่มีธรรม อันเกิดขึ้นจากอานาจของตัณหาซึ่งเราไม่อาจ ดัดแปลงให้เป็นอ่ืนไปได้ มันจะทาให้ภพชาติของเราสูง ๆ ต่า ๆ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ อยู่อย่างนี้แหละ เป็นมนุษย์บ้าง เป็นเทวดาบ้าง เป็น อนิ ทร์ เป็นพรหมบ้าง ตกนรกชนั้ นูน้ ช้นั น้บี ้าง เป็นสตั วเ์ ดรัจฉานตวั น้ันบ้าง ตัวน้ีบ้าง สับสน หมุนเวียนกัน อยู่อย่างนี้แหละ ไม่หยุดนิ่ง อยู่กบั ท่ี นี่แหละ คือ ลักษณะของทุกขัง ทุกขัง ความแปรเปลี่ยน ของมัน เราดูแต่กองสังขาร จิตของเรามันคิด มันนึก มันปรุง แต่ละ นาที มันคิดอะไรบ้าง มันนึกอะไรบา้ ง มนั ปรุงอะไรบ้าง สังขารจิตท่ี มันปรุง นั่นแหละ คาว่าสังขาร มันไม่ได้อยู่หนึ่งเดียว มันเป็นต้ังแต่ สองสิ่ง เป็นต้นไป ที่สาคัญที่สุด ธาตุรู้ของเรา บวกกับอานาจของ ตัณหา ความดิ้นรน ความทะเยอทะยาน ความขับเคลื่อนไปของผู้รู้ ๑๒๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มที่ ๒ ของเรา ที่เรียกว่า ความทะเยอทะยาน ความด้ินรน ความ ทะเยอทะยาน ตัณหา แปลว่า ความอยาก กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา พวกเราต้ังใจจะปฏิบัติ เพ่ือรู้หน้า รู้ตาของมัน เราไม่ ต้องไปไล่หรอก เราย้อนมาดูใจของเรา ดูความอยากในใจของเรา หัดจับความอยากในใจของเรา อันนี้เป็นภาคปฏิบัติ หัดย้อนมาดูใจ ของเรา จับความอยากในใจของเรา หัดจับความอยากหยาบ ๆ เสียก่อน อยากข้าว อยากน้า อยากนู่น อยากน้ี อยากอะไร ให้เรามี สติ ระลึก ตามรู้ ความอยากของเรา เสร็จแล้ว เราค่อยมาวิจัย วิจารณ์ ตามหลัง ถ้าหากว่าเราไม่อยู่ในบทท่ีเราฝึกฝน ตั้งใจอบรม จริง ๆ เรามาศึกษาในขณะที่ใจของเรา มันนึก มันคิด มันปรุง มัน อยาก อยากเพอ่ื อะไร อยากเพื่อโลภ โกรธ ราคะ ตัณหา อันนี้เป็นสมุทัย รีบงด รบี เวน้ รีบละ เราจะงด เราจะเว้น เราจะละ เราจะงดไดอ้ ยา่ งไร เรา จะละได้อย่างไร เราจะเว้นได้อย่างไร เราพยายามต้ังสติกาหนดรู้ จ่อเข้ามา ปลุกผู้รู้ของเราให้ต่ืน รู้อยู่ในขณะนั้น ตอนน้ัน สิ่งที่มัน ปรุงแต่งอยู่ในหัวใจของเรา มันก็ตกไป มันก็หยุด มันก็ชะลอ มันก็ อยู่ แล้วก็หมดไป อย่าลืมว่าในหัวใจของเรา อารมณ์ใหม่ จะทับ อารมณ์เก่าอยเู่ สมอ อารมณ์ใหม่ที่รุนแรงกว่า ย่อมทับอารมณ์เก่าที่อ่อนแอกว่า เสมอ พยายามจับหลักให้ได้ เราพูดถึงส่ิงเหล่าน้ี มันให้เราย้อนมา อยู่ท่ีขณะจิตของเรา มันเข้ากับหลักของการเจริญมหำสติปัฏฐำน จะเปน็ กายก็ตาม จะเปน็ เวทนาก็ตาม จะเปน็ จิตกต็ าม จะเปน็ ธรรม ก็ตาม ที่เราเอาบทธรรม ทีเรียกว่า มหาสติมาเจริญ มันเข้าใน ๑๒๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มที่ ๒ ลักษณะน้ีกันทั้งนั้น เพราะฉะน้ัน การเจริญตามแนวทาง มหาสติ- ปฏั ฐาน พระพทุ ธเจ้า ทา่ นทรงตรัสว่า เหมือนมงกุฎกรรมฐานครอบ ไปหมด ทั้งสมถะ ท้ังวิปัสสนา ตั้งใจเจริญ ต้ังใจทาไป แต่ไม่ต้องไป คานึง คานวณหรอกว่า เป็นสมถะหรือยัง เป็นวิปัสสนาหรือยัง ขอ อย่าให้ตัณหามันแทรกมาในหัวใจของเราได้ ให้มีแต่อรรถธรรมอยู่ ในแต่หัวใจของเรา ทายังไงหัวใจของเราจะอยู่ด้วยอรรถด้วยธรรม เราต้องเอา อารมณ์มากากับ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ตั้งสติโร่ พุทโธ พุทโธ พุทโธ – พุทโธ น่ีเป็นอารมณ์ของธรรม แต่ถ้าหากเรานึกถึงเร่ืองรัก เร่ืองชัง เร่ืองโกรธ เรื่องเกลียด เรื่องสวย เรื่องงาม เร่ืองนู้น เรื่องน้ี เด๋ียว ตัณหา ราคะ มันโผล่ข้ึนมา แบบนี้เขาเรียกว่าอยู่ด้วยอานาจของ กิเลส อารมณ์ปัจจุบัน เราต้องอยู่ด้วยอารมณ์ของธรรม จะเป็น อารมณข์ องสมถะกต็ าม วิปัสสนาก็ตาม ตามรู้ ตามเหน็ เทา่ ไรกต็ าม ขอให้เป็นอารมณ์ของธรรม พยายามสืบทอดอารมณ์ของธรรมให้ ต่อเนื่อง อยู่อย่างนี้แหละ เราจะไม่เสียท่า เสียทีให้กับอานาจของ ตัณหาในหัวใจของเรา ถ้าหากเราไม่ต้ังอกต้ังใจทา ตัณหามันพร้อม ท่ีจะแทรกเข้ามาทันที ยิ่งเราตั้งอก ตั้งใจ ทาใจ ให้ได้รับความสงบ สงัด มากเท่าไร กิเลสมันชอบมาก ย่ิงมีคู่แข่งมาต้ังแข่งเว่อร์ ๆ กับ มัน ทันทีเลย มันย่ิงอยากทดสอบขึ้นมาทันทีเลย อยากทดสอบ อยากทดลองขึน้ มาทันที ตั้งใจจะนั่งสัก ๑ ชั่วโมง ไปยังไม่ถึง ๑๐ นาทีแล้ว เผลอๆ ดูนาฬิกาแล้ว มนั แซงเข้ามาแล้ว เหน็ ไหม มนั แซงเข้ามาแล้ว ถ้าเรา ไม่ต้ังหน้า ไม่พยายามท่ีจะแข็งข้อกับมัน ตั้งใจปฏิบัติ ต้ังใจภาวนา ๑๒๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ ไปเร่ือย ๆ สบาย ๆ ไม่ปล่อยให้มันพลั้ง มันเผลอ มันจะไปเร่ือย ๆ ได้ แต่ ๕ นาที ท่ีเราจะไม่ให้มันพล้ังเผลอเดด็ ขาด เหมือนกับเราทา้ ทายมัน มันก็ชอบเหมือนกัน ถ้าเราไม่เด็ดพอ สู้มันไม่ได้ ได้ ๒ นาที ได้ ๓ นาที โอ้! ลืมตาดูแล้ว ตั้งใจจะเนสัชชิก ดูแล้วดูอีก เท่ียงคืน หรือยัง เที่ยงคืนหรือยัง ใกล้สว่างหรือยัง ใกล้สว่างหรือยัง ใกล้จะ ชนะหรือยังหนอ นั่งเนสัชชิกท้ังคืน ใกล้จะชนะหรือยังหนอ พอ สว่างขึ้นมา โอ้ เราไม่หลับเลย อย่าลืมว่าหย่อน ๆ ก็คือ ไม่นอน เคล้ิม ๆ บ้าง หลับบา้ ง คอื อยา่ งหย่อนท่สี ุด อย่างกลาง ๆ ก็คือ ดึงกันไป ดึงกันมา ร้ังกันไป รั้งกันมา รงั้ กนั ไป รง้ั กนั มา น่ีคือ อย่างกลาง ๆ อยา่ งอกุ ฤษฏ์ โอ้! ต้งั แต่หวั ค่า ไปจนสว่าง ใครทาได้อย่างน้ัน เน่ียถึงขั้นอุกฤษฏ์ ถึงข้ันเรามีเรี่ยวมี แรง เรามีพลงั ความงว่ งเหงาหาวนอนจะไม่ทับโถมหัวใจของเรา ไม่ ทบั โถมรา่ งกายของเรา ไมท่ บั โถมจิตใจของเรา เนสัชชิก น่ีเป็นเรื่องสาคัญ บางคนมีนิสัยจริตถูกกัน แต่ หลวงพ่อไม่ถูกกันดอก เนสัชชิกเนี่ย แต่ถูกกันกับอดอาหาร เพราะ อดอาหาร มันเนสชั ชกิ ไปโดยอัตโนมตั ิของมนั มนั ไมห่ ลบั หรอก มนั ต่ืนรู้ โร่ อยู่ตลอด ต่ืนรู้ ลุกบ้าง ยืนบ้าง เดินบ้าง ขยับบ้าง นั่งบ้าง ยืนบ้าง อะไรบ้าง พยายามจะเอาทุกวัน อันน้ีเป็นเรื่องพ้ืนๆ พยายามจะเอาทุกวัน เอาอยู่อย่างน้ันแหละ แต่การท่ีเราจะน่ังท่า เดียว อิริยาบถเดียว ให้รู้ต้ังแต่เช้า ตั้งแต่หัวค่า ยังไม่มืด ไปถึงสว่าง โร่ ข้ึนมาเนี่ย ลองดูสิ ลองดสู ิ ไมเ่ ปลย่ี นเลย น่ังอยา่ งไรกอ็ ยอู่ ย่างน้ัน ลองสิ ลองทาให้ได้ ลองทาให้ผ่าน ลองดู ใครสามารถเดินมาอยู่ตรง น้ีได้ คนน้ันมีกาลัง คนนั้นมีพลัง ไม่ต้องบอกหรอก สติของเรา ปัญญาของเรา ความฉลาด ความว่องไว ความรู้จักหลบ จักหลีก ๑๒๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ท่ี ๒ ภายในใจของเรา มันจะบอกอยู่ในน้ัน ในจิตของเรา เราสามารถทา ได้ ต้ังอก ตง้ั ใจ ทาได้ เนสัชชิก เบื้องต้นเห็นเขาทา เห็นเขาพาอยู่ ก็อยู่ไปงั้น แหละ พอสว่าง อ้า สว่าง แต่ว่ามันหลับมา ไม่รู้ตั้งก่ีครั้ง ไม่รู้แหละ กับอันหน่ึง ทั้งง่วงนอน ท้ังดึงกันไป ดึงกันมา คือ กลาง ๆ และท่ีโร่ ต้ังแตต่ อนค่า จนถงึ สว่างเน่ีย อนั น้เี ยี่ยม มันจะพัฒนาไปของมันเอง ขอให้ตั้งอกต้ังใจทา ใครมคี วามเสยี สละ ท่ีจะตั้งใจ ตงั้ ใจอด ตง้ั ใจทา คนน้ันแปลวา่ เปน็ คนมคี วามจริงจงั ให้กับตวั เอง ถ้าไม่มคี วามจรงิ จัง ถ้าไม่มีสจั จำธิษฐำน เอาไมไ่ ด้ เอาไม่อย่ดู อก คนเราทจ่ี ะดบิ ได้ ทจี่ ะ ดีได้ ต้องมีสจั จะให้กับตวั เอง การที่เราจะผ่านไปแต่ละคืน แต่ละคืน เราต้องมีสัจจะ ให้กับตัวเอง การท่ีเราจะตั้งใจภาวนา ให้มีผล มีอานิสงส์นั้น เรา จะต้องมีสัจจะให้กับตัวเอง สัจจะก็คือ ต้ังยังไงก็เป็นอยู่อย่างน้ัน ต้ัง ยงั ไงก็เป็นอยู่อย่างนั้น เม่อื กีเ้ ราก็พดู กองสังขารรูป กองสงั ขารนาม กองสังขารนาม ก็คือใจของเรา ประกอบไปด้วยกิเลสตัณหา กิเลส ตัณหา มันมีอยู่ในหัวใจของเรา ในใจของเรามันมีธรรม ติดมาด้วย มันมีกิเลสติดมาด้วย มันไม่ใช่มีแต่กิเลสนะ ในใจของเรา กริยาของ ผ้รู ู้ของเรา มนั มธี รรมอยใู่ นนนั้ ด้วย มนั มีกิเลสอย่ใู นนัน้ ดว้ ย ถ้าหากครึ่งต่อคร่ึง ก็คือ กิเลสแสดงบ้าง ธรรมแสดงบ้าง ถา้ เราจะเทียบหัวใจของเรา คอื ผ้รู ู้ ของเราต่ืนโร่อยู่ ถา้ เราจะเทยี บก็ ไมต่ า่ งอะไรกบั จอ จอของอะไร จอของคอมพวิ เตอร์ จอของทีวี จอ ของอะไรต่ออะไร ใจของเรา คอื ธาตรุ ขู้ องเรา บางคราว กเิ ลสมันก็ มาปรากฏ เพราะมันเป็นจอให้กิเลสมาปรากฏ แสดงว่าเราหย่อน ยาน กเิ ลสจึงมาปรากฏตัว ตราบใดที่เราตั้งสติ ธรรมมีกาลงั แขง็ กล้า ๑๒๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เล่มที่ ๒ ขึ้นมา กิเลสมันก็ตกไป ธรรมก็แสดง – แสดงอยู่ในจอเดียวกัน หาก ธรรมตกไป กิเลสมันก็โผล่ขึ้นมา หากธรรมมันโผล่ขึ้นมา กิเลสมันก็ ตกลงไปในหัวใจของเรา ทีน้ี ในแง่ของการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าท่าน ให้จับตรงน้ี มาตั้งใจเจริญ เราจะตั้งใจเจริญสมถะ เราก็พิสูจน์ ทดสอบได้เลย จะเดินก็ตาม จะนั่งก็ตาม พวกเราก็รู้วิธีการ ครูบา- อาจารย์ท่านฝึกสอนมามากต่อมาก วิธีการนั่ง วิธีการเดิน ทายังไง เราจะพลิกแพลงเปล่ียนแปลงอิริยาบถของเรา ให้ได้ตามท่ีเราตั้ง สัจจะเอาไว้ เราต้ังใจบริกรรมพุทโธ พุทโธ ทาไมเราต้องต้ังใจบริกรรม เพราะถ้าหากเราไมต่ ั้งใจบริกรรม มันไม่เป็นการต้ังสติ แตล่ ะ พทุ โธ แต่ละ พุทโธ จะต้องมีสติกากับนะ พุท ต่ืนรู้พร้อม พุท พยายาม ประคองตื่นรู้น้ี ไปถึง โธ จาก โธ ไปหา พุท จาก พุท ไปหา โธ ไม่ให้มันคลาดไปจากสายหู สายตา ถ้าไม่ตั้งอกต้ังใจจริง ๆ แผล่บ เดียว มันไปแล้ว แผล่บเดียว มันไปแล้วนะ เราพยายามฝึกซ้อมกัน อย่ตู รงนี้ พยายามประคอง ยกจติ ของเรา พยงุ จติ ของเรา ถา้ ไม่พยุง มันตก นิวรณ์มันครอบงา หายมิดไปเลย พยายามเอาสติของเรามา ปลกุ ให้รตู้ ื่น รอู้ ยู่ “สติ” ตัวเดยี วเทา่ นนั้ เป็นคุณธรรม ท่ีมาปลกุ จติ ของเราให้ตื่นรู้ รตู้ น่ื ต่ืนจำกอะไร – ต่ืนจำกควำมหลับใหล ลุ่มหลง – หลง โลภ หลงโกรธ หลงรำคะ หลงตัณหำ หลงอะไร เกิดข้ึนจากความ หลับใหล ลุ่มหลง ความไม่ต่ืนรู้ ถ้าต่ืนรู้แล้ว มันจะทันสิ่งเหล่านี้ ทั้งหมด ความโลภเกิดไม่ได้ ความโกรธเกิดข้ึนไม่ได้ ความลุ่มหลง เกิดขึ้นไม่ได้ ทาไมเราจะรู้ว่า ความโลภ ความโกรธเกิดขึ้นไม่ได้ เรา ๑๒๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ ก็มาตั้งใจกาหนดจดจ่อในขณะที่เราบริกรรมพุทโธ พุทโธ พุทโธ ส่ิง เหล่าน้ี มนั ปรากฏไมไ่ ด้ แต่ถา้ เราหย่อนยาน ทีไร เม่อื ไร อยากไปนู่น อยากไปน่ี อยากกาแฟ อยากอาหาร อยากนู่น อยากนี่ ความอยากมันดึงไปแล้ว อยากนึก นึกปรุงไปเร่ืองงานนู้น เรื่องงานนี้ งานท่ีคั่งค้างอยู่ตรงน้ัน ตรงน้ี แว่บไปอีกแล้ว แว่บไปอีก แล้ว เพราะเรากากับดแู ลจติ ของเรา ไมต่ ่อเนอื่ ง สตขิ องเรา ไม่อยใู่ น ระดบั เดียวกัน พอเราต้ังข้ึนมา ตง้ั ขึ้นมา รู้ แล้วกจ็ างลง จางลง จาง ลง ในขณะที่อันหนึง่ จางลง อนั หนงึ่ ก็จะต้องเข้มขนึ้ ในขณะที่สติฝ่ายธรรมจางลง ความลุ่มหลงมันจะมีอานาจ มากกว่า ทับขึ้นมา ดึงจิตไปใช้ที่อ่ืนแล้ว อย่าลืมว่าอารมณ์ท่ีชัดเจน ท่ีสุดในหัวใจของเรา มันชัดเจนได้คร้ังละ หน่ึงอารมณ์ อันนี้สาคัญ ที่สุด ด้วยเหตุที่เราชัดเจนท่ีสุด ครั้งละ หน่ึงอารมณ์ในหัวใจของเรา พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงให้จับเอาตรงน้ี มาเป็นข้อปฏิบัติ ปลุกสติ ของเราให้ต่ืนรู้ คร้ังละหนึ่งอารมณ์ ให้มันเด่นเป็นอารมณ์อธิบดีไป เลย อารมณ์ใหญ่ไปเลย ให้มันต่อเนื่อง ถึงเราจะดาริ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ท่านทั้งหลาย ลองตั้งใจทา มันจะเป็นสมถะ หรือเป็น วิปัสสนา ก็ช่างมัน ขอให้มันตื่นรู้ – รู้อยู่ทุกระยะ ทุกเวลำ ขอให้ ตัณหำมนั แทรกเข้ำมำไม่ได้ บางคนมีนิสยั สงบโวบวาบ สงบหายเงียบไปเลย บางคนตื่น รู้ ร้ทู ไี่ ป รทู้ มี่ า ร้อู ะไรหมดทุกอย่าง เหมือนกบั เราจ้องดูอยู่ อะไรจะ ผ่านมา อะไรจะผ่านมา รู้หมด อะไรจะผ่านมา รู้หมด เราพลัง้ เผลอ ปั๊บ พออารมณ์เก่ามันจางไป อารมณ์ใหม่ทับเข้ามาแล้ว เพราะฉะนน้ั ท่านจงึ ให้ดาริ การดาริ ตงั้ เจตจานง ต้งั เจตนาเตม็ ร้อย ปลุกจติ ของเราให้ตนื่ รู้ รู้อยู่เตม็ รอ้ ย พทุ ก็ตื่นเตม็ รอ้ ย ประคองจาก ๑๒๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ พุท ไปหา โธ โธ ตื่นเต็มร้อย ประคองจากโธ ไปหา พุท พุท เต็ม ร้อย ประคองกันอยู่อย่างนี้ ทาให้ต่อเนื่อง ลองจับให้ต่อเนื่อง ดูสัก ๕ นาที ลองดู เสร็จแล้วค่อยขยับไป สัก ๑๐ นาที ค่อยขยับไป พยายามจบั หลกั ตรงนใ้ี หไ้ ด้ เป็นแบบฝึกหัด เปน็ แบบฝึกซ้อม ควำมพอใจ เป็นกำลัง ศรัทธำเป็นกำลัง – ศรัทธา ความ พอใจ ดึงความพาก ความเพียรเข้ามา ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เวลามันทางาน มันอยู่ด้วยกันท้ังหมด เราจะย้อนไปดูอะไร มันอยู่ด้วยกันท้ังหมด สติ สมาธิ ปัญญา มันอยู่ในนั้นทั้งหมด ท่าน ท้งั หลายอยา่ ไปคดิ ว่า สมถะ สมถะ เสยี เวลา เสยี เวลา คนท่ีไม่เข้าใจ เร่อื งสมถะ หาวา่ สมถะ เสียเวลา สมถะก็มีปญั ญาอยู่ในนน้ั ถา้ ท่าน ขาดสติ ขาดสัมปชญั ญะทีไร เมอ่ื ไร พทุ โธ ท่านจะอยหู่ รือไม่อยู่แล้ว ถูกลบเลอื นจางหายไปไหนกไ็ มร่ ู้ ตวั สตธิ รรม ตวั สัมปชญั ญะธรรม ตัวน้ี จะเป็นตวั เปน็ เหตุ เป็นปัจจัย เป็นอุปกรณ์ สร้างปัญญาให้เกิดข้ึน วิริยะ ความพาก ความเพียร ความอด ความทน ขันติ ความอด ความทน สิ่งเหล่านี้ เป็นอุปกรณ์ เป็นเครื่องไม้ เครื่องมือ ที่จะช่วยพยุงให้ท่านมีกาลัง ศรัทธา ความเช่ือม่ัน ศรัทธาเวลามันเกิดข้ึนในหัวใจ เราดูจาก อยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น จากน้ัน ความพาก ความเพียร มันก็ตามมา ความมีกาลังใจ มันก็ตามมา – สติ พร้อมที่จะกาหนด จดจ่อ มันก็ตามมา มันจะไม่สงบได้ยังไง ในเมื่อเรามีสติ กาหนดจด จอ่ มา นี่คอื การต้ังสมถะ ตงั้ เจริญวปิ ัสสนา เรามากาหนดจดจอ่ อยู่ อย่างนี้ เรารู้ความอยาก เรารู้ความอยาก ในขณะที่ เราภาวนาพุท โธ พุทโธ พุทโธ ไป ความอยากโผล่ขึ้นมาปั๊บ จับป๊ับ พุทโธ พุทโธ ๑๓๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ พุทโธ พุทโธ พุทโธ มันตื่นรู้อยู่กับพุทโธ ความอยากแหย่เข้ามาใน หัวใจของเรา จับปั๊บ จนมันโผล่ข้ึนมาไม่ได้ ตัณหามันแทรกเข้ามา ไมไ่ ด้ แคอ่ ารมณส์ มถะ ก็ทาให้ตณั หาหยุด ทาให้ตณั หาชะลอ แต่ว่า ตัณหาเหลา่ นี้ จะขาดได้ดว้ ยปญั ญา เพราะปญั ญา เปน็ การเข้าไปร้ือ เขา้ ไปขดุ เขา้ ไปคน้ เราติดกาย กายเปน็ เรา เราเปน็ กาย เราติดกาย ติดความเป็นก้อน ติดความเป็นแท่ง พระพุทธเจ้าท่านจึงให้เรามา แยกแยะ แยกแยะเป็นดิน เปน็ นา้ เป็นลม เปน็ ไฟ นอกจากน้ัน ก็แยกแยะละเอียดย่อยเข้าไปอีก เป็นอาการ เป็นผม เป็นขน เป็นเล็บ เป็นฟัน เป็นหนัง แยกแยะทาไม เพราะ อัตตสัญญา อัตตสัญญา ความสาคัญม่ันหมายว่าเป็นตัวเป็นตน มัน มีอยู่ ท่านจงึ ใหเ้ ราหัดพยายาม พิจารณาแยกแยะ สัญญามันเป็นตัว หลอกในหัวใจของเรา ให้เราไปยึด ไปเกาะผูกพัหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ยึดว่าเราเป็นผูช้ าย ยึดว่าเราเป็นผู้หญิง ยึดว่าเราเป็นบ่าว ยึดว่าเรา เป็นนาย ยึดว่าเราเป็นนู่น ยึดว่าเราเป็น ... ยึดว่าเราเป็นสารพัด สัญญาตัวนี้ มันพาเรายึด แต่หากถ้าเราเจริญกรรมฐาน ดูไปที่ ข้อเทจ็ จริงของมนั มนั จะคอ่ ย ๆ ดดั แปลงสัญญาตวั น้ี ถ้าหากเราจะเจริญสัญญาโดยตรง พระพุทธเจ้าท่านก็สอน ให้เราเจริญ ทา่ นสอนใหเ้ ราเจริญอนิจจสัญญำ เห็นอัตภาพร่างกาย ไม่เท่ียง อนัตตสัญญำ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน อสุภสัญญำ เราติดกาย อย่างน้ี สอนให้เราเจริญอสุภสัญญา ให้เห็นร่างกายเป็นของเน่า เป็นของเป่ือย เป็นของปฏิกูล เป็นของโสโครกไปเลย เพ่ือเป็นการ ไปตดั กระแสราคะ ตณั หาในหวั ใจของเรา อย่าลืมว่า ราคะตัณหาในหัวใจของเรา มันรุนแรง พระพุทธเจ้าท่านจึงให้เราเจริญตรงกันข้าม อย่าลืมว่า สัญญาที่เป็น ๑๓๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ กิเลสก็มี สัญญาท่ีเป็นธรรมก็มี สัญญาที่เป็นธรรม เราเก่ียวข้องทุก ระยะ ทุกเวลา สัญญาท่ีเป็นกิเลสในหัวใจของเรา เราก็เก่ียวข้องทกุ ระยะ ทุกเวลา ตราบใดทเี่ ราตงั้ สติ กาหนดต่ืนรู้ ขนึ้ มา สัญญาท่เี ป็น ฝา่ ยธรรม ก็โผลข่ นึ้ มา หมายว่ามันไมค่ งทน หมายวา่ มันเปล่ียนไป ดูแต่เรา พิจารณาดู ต้ังแต่เราอยู่ในท้องแม่ โตขึ้นมาเร่ือย โตขึ้นมาเรื่อย เป็นก้อนเลือด เป็นก้อนเน้ือ เป็นปัญจสาขา มีหัว มี ลาตัว มีแขน ๒ มีขา ๒ – ๗ เดือน ๘ เดือน เราก็คลอดออกมา ไม่ เคยอยู่นง่ิ อยู่กับที่ เราพจิ ารณาอยู่อย่างนี้ ท่านเรียกวา่ ทกุ ขสัญญา อนิจจสัญญา กาหนดหมายอยู่อย่างนี้ ท่านให้กาหนดหมายทาไม กาหนดหมายเพื่อทาลาย เพราะในหัวใจของเรา สัญญามันพายึด อย่างเหนียวแน่นมั่นคง ว่าเป็นเรา ว่าเป็นของของเรา คาว่า เรา ๆ เวลามันโผล่ในหัวใจของเรา มันโผล่ขึ้นมาทีไร เมื่อไร นั่น หมายความวา่ ตัณหามันยดึ หัวใจของเราได้แล้ว ตราบใด ตัณหามัน ยึด มันเกาะ ในหัวใจของเรา ตัณหามันก็โผล่ขึ้นมาแล้ว อัตตามันก็ โผล่ข้ึนมา อัตตาโผล่ข้ึนมา ความถือเนื้อถือตัว มันก็โผล่ขึ้นมา เดี๋ยวนี้พวกเราทุกข์ เพราะความถือเน้ือถือตัว ความถือเนื้อถือตัว เพราะอะไร เพราะสัญญามันหลอกเรา หลอกเราเป็นผู้ชาย หลอก เราเป็นผู้หญิง หลอกเราเป็นนาย หลอกเราเป็นคนโง่ หลอกเราเปน็ คนฉลาด ถ้าเราพิจารณาตามหลักธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าท่านทรง สอน เราก็จะเรมิ่ เข้าใจถึงหลักธรรมชาติที่แท้จรงิ แท้ท่ีจริง การเข้าถึงธรรม การเข้าไปรู้ภาวะของทุกส่ิงทุก อยา่ ง เปน็ ภาวะของธรรม มันไม่มสี ัญญาเข้าไปเก่ยี วข้อง ไม่มสี ัญญา หมาย อย่าลืมว่าสัญญามันเป็นตัวหมาย หมายผิด หมายถูก หมาย ผิดก็มี หมายถูกก็มี ขาดสติ ขาดสัมปชัญญะโดยธรรมเม่ือไร มันจะ ๑๓๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ เข้าพาเราไปหมายผิด หมายว่าสวย หมายว่างาม หมายว่าดี ก็ เหมือนอย่างท่ีท่านพูดไว้ในการถือตัว ถือตัวว่าเราดีกว่าเขา เรา เสมอเขา เราเลวกว่าเขา ดีกว่าเขาอยู่แล้ว – ยังถือตัวว่าดีกว่าเขา มันยงั ไม่บริสทุ ธิ์ ยังไม่บริสุทธิ์ ยงั มกี ารถือตวั อยู่ สาคัญว่าเสมอเขา สาคัญว่าเลวกว่าเขา บางคนดีกว่าเขา แท้ ๆ สาคัญว่าเสมอเขา สาคัญว่าเลวกว่าเขา – เลวกว่าเขา ก็ สาคัญว่าดีกว่าเขา สาคัญว่าเสมอเขา สาคัญว่าเลวกว่าเขา – เลว กว่าเขา สาคัญว่าดีกว่าเขา สาคัญว่าเสมอเขา สาคัญว่าเลวกว่าเขา .. มันละเอียดนะ เรื่องการถือเน้ือถือตัว มันละเอียดมาก พระ โสดาบันท่านก็ยังมี พระสกิทาคา พระอนาคา ท่านก็ยังมี ตามช้ัน ตามภูมิของท่าน มันจะหมดจากหัวใจของเรา จนจิตใจของเรา บริสุทธ์ิได้ จนถึงโค้งสุดท้าย อรหัตตมรรค ทาลายมานะ ความสาคัญมั่นหมายได้หมด ทุกอย่างเหลือเป็นธรรมชาติล้วนๆ ถึง ตอนน้ันแหละ ปล่อยได้หมด ละได้หมด วางได้หมด ลองดูสิ สัญญา อารมณ์ของเรามันเหนียวแน่น มั่นคงมากน้อยเท่าไรในใจของเรา ถ้าเราไม่ศึกษาเร่ืองสมถะธรรม เรื่องวิปัสสนาธรรม ร้อยทั้งร้อย ส่ิง เหล่านีพ้ ายดึ พาถอื พาเกาะ เราศึกษาเร่ืองเหลา่ น้ี กับเราดคู นท่ีเขาไม่เคยศึกษาเลย เรา ดูแล้ว เราสงสาร เราเห็นใจ เราสงสาร มันเหนียวแน่น มันม่ันคง มันหลอกเราได้สารพัด ให้เรายึด ให้เราถือ ให้เราแบก ให้เราหาม ทาใหเ้ ราพลอยไดร้ บั ทุกข์ ไดร้ บั โทษจากการสาคัญม่นั หมาย ไม่รู้จัก จบ ไม่รู้จักส้ิน ความสาคัญมั่นหมาย ไม่ต้องย้อนดูข้อเท็จจริงของ มันว่าคืออะไร เป็นอะไร เหมือนอย่างสาคัญว่าเป็นเรา เป็นเรา ความรู้สึกว่าเป็นเรามันมีอยู่ เราลองย้อนมาดูที่จิตของเรา เวลา ๑๓๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ ความรู้สึกสาคัญม่ันหมายว่าเป็นเรา มันโผล่ข้ึนมา มันมีอยู่ ความรู้สึกว่า เป็นอัตตา ความเป็นตัว เป็นตน มันมีอยู่ แต่เวลาเรา พยายามกาหนดจดจ่อ ด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา กาหนดจดจ่อลงไป มันละลายหายหน้าไปหมดเลย มันละลายหาย หน้าไปหมดจรงิ ๆ ด้วยเหตุน้ี พระพุทธเจ้าท่านจึงให้ จึงให้พวกเรามาฝึกซ้อม อยู่ตรงนี้ เพ่ือชะ เพื่อล้างสิ่งเหล่าน้ี ที่มันปนเป้ือนมากับจิตของเรา ให้มันจางไป ให้มันเลือนลางจากหายไปในที่สุด น่ีคือ ข้อปฏิบัติ นี่ คือ แนวปฏิบัติ เราจะต้ังใจเจริญสมถะก็ตาม ต้ังใจเจริญวิปัสสนาก็ ตาม ให้เรารู้ ให้เราเข้าใจ โดยเฉพาะหน้างาน ให้พยายาม ให้พวก เรารู้จัก คาว่า หน้างาน ในท่ีน้ี หมายความว่าอะไร เช่น เราตั้งใจ ภาวนา พทุ โธ พุทโธ ตรงบริกรรม พุทโธ คอื หนา้ งาน สด ๆ ร้อน ๆ เฉพาะหน้าเรา ถ้าเผ่ือเรานั่งรับประทานอาหาร ก็คือ อาหารอยู่ตรงหน้า เรา ถ้าเราจะตักอาหารอันน้ัน เข้าปาก จะตักอันนี้ เข้าปาก กาลัง สารวจตรวจตรา ดูนู้น ดูน้ี ดูอะไรต่ออะไรเนี่ย สติของเราต้ังโร่ ข้ึนมา แล้วก็ดาริ พุทโธ พุทโธ หรือไม่ก็ลมหายใจเข้า ดาริ “พุท” ลมหายใจออก ดาริ “โธ” เราทาอย่างนี้เป็นการเจริญมหาสติ มัน เป็นการเจริญอานาปานสติ มันได้ทั้งรูปธรรม มันได้ท้ังนามธรรม ผู้ ดาริ “พุทโธ” ก็คือ จิต เป็นนามธรรม ลมหายใจเข้า หายใจออก เป็นรปู ธรรม มันไดท้ ัง้ รูปธรรม ทงั้ นามธรรม เวลาเราทาไป เวลาเรา ทาไป พุทโธหายไป เหลือแต่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก มี ความรู้สึกอยู่เฉพาะตรงนั้น ก็อย่าไปเอะใจกับมัน พยายามรู้อยู่ตรง นน้ั พยายามรู้อยู่ตรงน้นั ตรงน้ีท่ีเรยี กวา่ หนา้ งาน ๑๓๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มที่ ๒ ถ้าหากสติของเราไม่ดี ความประคับประคองของเราไม่ ต่อเนื่อง สักหน่อยหนึ่ง ตัณหามันจะแทรกเข้ามาแล้ว แทรกเข้ามา อารมณ์ที่รุนแรงมันมาทับ อารมณ์เก่าหายไปแล้ว พุทโธหาย อารมณ์ใหม่มาแทนที่ไปอีกแล้ว ตรงน้ีหน้างาน พยายามสังเกต สังการณ์ พยายามจับ พยายามจดจ่อ ทาไม เราทาไป ไม่ไปหน้ามา หลัง เพราะอะไร ก็เพราะ เราไม่รู้จักหน้างานของเรา ตรงไหนคือ อะไร ยังไง ขอให้มันหยุดอยู่กับท่ี ขอให้จิตของเราได้รับความสงบ สงบอยู่กับคาว่า พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ อย่างอื่นเข้าไปแทรก ไม่ได้ แค่นก้ี เ็ ป็นความสงบของจติ แลว้ มีวิตก มีวจิ ารณ์ในตัว หรือไม่ เราก็บริกรรมพุทโธ พุทโธ เราก็ย้อนไปดูผู้ดาริว่า พุทโธ พุทโธ ยอ้ นไปดูผ้รู ู้ พุทโธ ยอ้ นไปดผู รู้ ู้ ทา่ นท้ังหลายลองทาดู ลองดู มันคืออะไร มันเปน็ อะไร พทุ โธ ดาริ พทุ โธ ด้วย ย้อนไปดผู ู้รู้ ด้วย มันย้อนได้ อย่างนั้น ท่านจะให้พิจารณากาย ดูเวทนา ย้อนมา ดูจิตเหรอ หลวงตาท่านสอน สอนให้พิจารณาเวทนา ร่างกายของ เราเจ็บปวด มันไม่เจ็บปวดท่ีไหน มันเจ็บปวดท่ีร่างกาย เวทนา คือ ความเจ็บความปวด มันไม่เป็นท่ีไหน มันเป็นที่กาย เช่น เราน่ังแล้ว เราเจ็บ เราปวด มันขัดตะโพก ขัดตะโพก ขัดบ้ันเอว ขัดไหล่ มันก็ ปวด เจ็บปวดข้ึนมา พอมันปวดขึ้นมา มันเป็นทุกขเวทนา หลวงตา ท่านให้กาหนดไปที่ทุกขเวทนา เอาผู้รู้ของเราจ่อเข้าไปตรงความ เจบ็ ความปวด ลองยอ้ นไปจอ่ มันดู มนั ยอ้ นได้ ถ้าหากเราย้อนได้ มันก็แยกโดยอัตโนมัติของมัน เราก็ย้อน ตรงนั้น ตรงตะโพกที่ว่ามันปวดท่ีสุด กาหนดจดจ่อดูตรงตะโพก ย้อนไปดูตรงเวทนา ท่ีมันปวดอยู่ตรงนั้น ย้อนมาดูจิตผู้รู้ ผู้รู้ว่าเจ็บ ผรู้ ู้วา่ ปวด ผู้รวู้ า่ กาย ลองยอ้ นดู ลองหัดยอ้ นลองดู เพราะฉะน้นั เรา ๑๓๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ท่ี ๒ บริกรรมพุทโธ ย้อนมาดูผู้รู้ของเรา ผู้ดาริว่าพุทโธ พุทโธ ย้อนมาดู จติ พทุ โธ ย้อนมาดจู ติ จะเป็นอะไร ฝากปญั หาไว้ ใหท้ า่ นท้ังหลาย ไปทา ให้ได้รับความรู้ ได้รับความเข้าใจ มันทาได้ไหม มันแยกได้ ไหม มันทาให้เราละ วาง ตัณหา อุปาทานได้ไหม แค่นี้ก็เป็นข้อ ทดสอบได้ว่า “วิชำธรรมะ” ท่ีพระพุทธเจ้าท่านเอามาบอกมาสอน นั้น ชะลา้ งกิเลสตณั หาในหวั ใจของเราได้ พวกเราได้ยินได้ฟังมาก็นับว่านานพอสมควร หากจะมีข้อ ซักถามอะไรบ้าง เป็นเวลาถึงชั่วโมง เป็นเวลาตั้งเป็นช่ัวโมงแล้ว ระยะน้ีเปิดโอกาสให้พูดคุยกันได้บ้าง เพราะหมดเวลาไปเป็นชั่วโมง แล้ว อาจารยม์ หาฯ ท่านมหาโสฬส ทา่ นมีอะไร ยงั ไง เพ่ิมเตมิ อะไร ยังไง หรือใครมีข้อข้องใจเท่าท่ีพูดมา ก็พูดคุยสนทนากันได้บ้าง พวกเรามเี วลาไปถึงไหน เราก็ไม่ทราบ พระอดุลธรรมเมธี – ครับ ขอโอกาสหลวงพ่อ กราบ ขอบพระคุณในเบื้องต้น ก็ได้เกริ่นไว้ โยมฟังเทศน์หลวงพ่อจบแล้ว ใครมีปัญหาอะไร หรือมีต้ังแต่ยังไม่ฟังเทศน์ ก็ หลวงพ่อท่าน เห็น ไหมโยม ท่านรู้ว่า อาตมาจะพูดอยู่แล้วว่า โยมถามได้ ท่านบอก เห็นไหม เพราะฉะน้ัน โยมถามเลย หลวงพ่อได้เมตตาแล้ว โดยเฉพาะ ภาวนา ย่ิงดีโยม มีกัณฑ์เทศน์หลวงพ่อท่ีเทศน์มาเมื่อกี้ มีหลายประโยคท่ีโยมไมเ่ คยได้ฟงั แมแ้ ต่อาตมาก็ไม่เคยไดฟ้ งั เพราะ ความรยู้ ังไมถ่ งึ แตว่ นั นี้เราได้ฟังโดยเฉพาะ คาว่า “ภำวนำ” ตรง ๆ เพราะฉะนนั้ ขอเชญิ ญาตโิ ยม หลวงพ่อบุญมี – อ้าว! ใครน่ังตลอดทั้งคืน มีอะไรคุยสู่กัน ฟังบ้าง อ้าว คนหน่ึงเสียสละคุยมา เป็นประโยชน์ให้กับทุกคนท่ีอยู่ ๑๓๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ ในห้องน้ี ใครมีอะไรเดด็ ๆ มาคุยสกู่ ันฟงั เนสัชชกิ ทง้ั คืน ไมธ่ รรมดา นะ โยม ๑ - มีหลายครั้งเหมือนกันนะครับ เหมือนกับว่ามอง พระอาจารย์ มองพระพุทธรูป เจตนาจริง ๆ ไม่ได้มีเจตนาที่จะไป กา้ วกา่ ย หรือวา่ ทาอะไรเกนิ ความตงั้ ใจ แต่ว่า .. เหมือนกับว่าลบหลู่ เบ้ืองสูง แต่ว่าจริง ๆ เจตนา .. มองตัวเอง ไม่ได้คิดจะไปในทางนั้น เลยครับ มองพระพทุ ธรปู คอื เหมอื นจะคิดไปน่ังเลน่ แตจ่ ริง ๆ มนั ไมใ่ ช่ คือ ผมน่งั (ตรงน)ี้ แตจ่ ิตมันคิดไปทางนั้น หลวงพ่อบุญมี – ช่วยฟัง ผมฟังไม่ออก อ้อ ... เป็น ความรู้สึกของเราใช่ไหม นั่นคือ พฤติกรรมของ “ตัณหา” ตัณหา คอื ความขบั เคลอ่ื นไปของจิต ของสังขารของเรา – เราต่ืนรู้อยู่ สงบ ระงับมัน ตื่นรู้อยู่ สงบระงับมัน พลัดเข้าไปก็รู้ รู้แล้วก็ย้อนหลังมา ดว้ ยนะ ขน้ึ มากราบพระพุทธเจ้า แลว้ กย็ อ้ นหลงั ดว้ ย – ผลักหลวงปู่ มน่ั ย้อนหลงั ดว้ ย คล้าย ๆ กับวา่ แทนทเ่ี ราจะปล่อยใหม้ ันหลุดลอย ไป โดยที่เราไม่พิจารณาใคร่ครวญเน่ีย – เราไม่ปล่อย คล้าย ๆ กับ ว่า เราพยายามสอดรู้ สอดเห็น เหมือนอย่าง เราภาวนาไป ภาวนา ไป แล้ว เอ๊ะ – มันไปคิดเรื่องนั้น ต้ังแต่เมื่อไร เราพยายามจับผล ตรงนั้น – แล้วก็ย้อน ๆ ๆ ๆ ๆ เราทาอย่างน้ีอยู่เรื่อย ๆ อยู่เนือง ๆ จิตมันจะค่อย ๆ ถูกชะ ถูกล้าง ถูกฟอก ถูกซัก ถูกถาม ถูกอะไรต่อ อะไรไปในตวั เปน็ การมาขดุ มาค้ยุ มาร้อื ดเู หตุดูปัจจัยของมัน อันนี้ มีความสาคัญอยู่ มันต้องขดั เกลาอัธยาศยั ของเรา ต้องทนั มัน ถ้าสติ เรากล้า ปัญญาเราดี แยกป๊ับ เรารู้ปบั๊ พอแยกปับ๊ เรากร็ ปู้ บั๊ คือทัน มัน แยกปั๊บ เราก็รู้ปั๊บ รู้ปั๊บ บางคร้ังมันมาปะทะแรง ๆ กันเลยก็มี โอ้ มนั กร็ าบไปหมด ๗ วัน นนู่ แน่ะ มันถงึ ขัน้ รนุ แรงอยา่ งนัน้ ก็มี ๑๓๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ เร่ืองเวรเรื่องกรรมน้ี เป็นของเก่า มีมาด้วยกัน เราอย่าไป ยกให้กับส่ิงเหล่านั้น ถ้าหากเราเคยประมาท เราเคยลบหลู่ เราเคย อะไรต่ออะไร เราก็ต้องขอขมา เป็นพ่อก็ตาม เป็นแม่ก็ตาม ผู้มี พระคุณ โดยเฉพาะพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พวกเรามืด บอด ไม่รู้เหตุผลโดยละเอียด เอาแต่ความรู้ รู้ รู้ มาตัดสิน ข้อ ละเอียด ข้อเท็จจริง ลึกละเอียดเข้าไป เราไม่รู้ เราไมเ่ ขา้ ใจ เราต้อง กราบขอขมาลาโทษ กราบขอขมาลาโทษ พยายามปลุกจิตของเรา ให้ต่ืนรู้อยู่ตลอด อันนี้คือสัจจะ คือข้อเท็จจริง ไม่ง้ันเราก็จะถูก หลอก นอกจากน้ันแล้วก็เราไปใช้สัญญา เกิดความรู้สึกอย่างนั้น ขึ้นมา แล้วก็ไปหมาย หมายไปนู่น หมายไปนี่ หมายผิด หมายถูก ไปตะพดึ ตะพือเลยทีนี้ ดไี มด่ ีพาเขา้ รกเข้าพงไปเลย นี่ เขา้ ใจไหม โยม ๑ เขา้ ใจครบั หลวงพ่อบุญมี พยายามดูหน้างาน สมมติมันโผล่ปั๊บ เอ๊ะ! เรามีกริยามาตรงน้ีได้ยังไง พยายามจับ ย้อนหลังมา ย้อนหลังมา เราจะเห็นว่ามันออกไป เพราะอะไร เพราะเราดาริอะไร ย้อนกลับ ไป ย้อนเข้ามา อย่าปล่อยให้หาย หลุดหายไปเฉย ๆ มันจะไม่เข็ด มันจะไม่หลาบ โผล่ไปนู่นปั๊บ จับปั๊บ ย้อนเข้ามา การย้อนแบบน้ีได้ มีประโยชน์ บางทีเป็นคุณธรรม เกิดขึ้นในหัวใจของเรา ระดับ ปัญญา ระดับปัญญาญาณ เกิดข้ึนในหัวใจของเรา ถ้าเราไม่ย้อนเรา จะหลงยึด ถ้าเราไม่ย้อนเราจะหลงยึด เห็นแสงสว่าง ลองยึด เกิด ความเบาสบาย ปลอดโปรง่ ลองยดึ อาการอะไรเกิดขนึ้ ในหัวใจของ เรา ท่านให้จับอันน้ัน อาการอะไรเกิดข้ึน ท่านให้จับ อาการอะไร เกิดขึ้น ท่านให้จับ ขยับปั๊บ จับ ขยับปั๊บ จับ ขยับปั๊บ จับ พยายาม ทาอย่างนี้ อุปมาอย่างน้ี ประหน่ึงว่าเราอยู่หน้างาน อะไรโผล่ข้นึ มา ๑๓๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ รู้ทันทีนะ อะไรมาปั๊บ มาปั๊บ พยายามดูมัน ขยับปั๊บ ปั๊บ ขยับปั๊บ ปบั๊ อยู่นง่ิ ๆ ไมม่ าหนา้ มาหลงั เลย โยม ๒ กราบนมัสการหลวงปู่ครับ ผมเคยนั่งวิปัสสนามา แลว้ ที่น้ี ความร้สู กึ ของผม กค็ อื ผมเคยนงั่ แล้วจิตรวมได้อยู่คร้ังหน่ึง แล้วก็จะเป็นความรู้สึกท่ีจาไว้ตลอด แต่พอผมทาต่อไปเรื่อย ๆ จิต ตรงนั้น มันไม่กลับมารวมเหมือนเดิม ผมอยากมี อยากให้ครูบา อาจารย์ให้กุศโลบาย หรือแก้จริตตรงน้ันว่า มันเป็นเพราะสาเหตุ อะไรครับ เพราะเคยน่ังได้และความรู้สึกตรงน้ันมันจะจาอยู่ พอทา ครั้งตอ่ ไปกไ็ ม่เกดิ อกี เลยครบั หลวงพอ่ บญุ มี อ๋อ ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปคิดถึง ผลอย่า ไปยึด ยึดไม่ได้ผล ผลใด ๆ เกิดข้ึน ยึดไม่ได้ ยึดได้แต่เหตุอยา่ งเดียว ทกุ ข์ สมุทยั นิโรธ มรรค ยึดไดอ้ ยา่ งเดยี ว “มรรค” ทกุ ข์ คือ กายใจ ยึดไม่ได้ สมุทัย ย่ิงยึดไม่ได้เลย ตัณหา นิโรธก็ยึดไม่ได้ นิโรธคือ ความดับทุกข์ ยึดไม่ได้ มันเป็นตัวผล ยึดได้ มรรคอย่างเดียว เรามี ความตื่นรู้ สว่างโร่ ท่านให้เราย้อนพิจารณา ถ้าเราไม่พิจารณา เรา หลง เรายึด เราไม่พิจารณา เราหลง เรายึด แม้แต่ญาณ ญาณเนี่ย ญาณ ความหยง่ั รู้ รู้เหมือนกับเราไดบ้ รรลอุ ะไรตอ่ อะไรหมดแล้ว ถ้าเราไม่พิจารณา เรายึดเลย ดีไม่ดี ไปอวดพูดคุย สะเปะสะปะ เต็มไปหมด อะไรเกิดขึ้น ท่านไม่ให้ยึด ท่านไม่ให้ยึด ของจรงิ แทจ้ ะเหลืออยู่ ซ่ึงจะมีผล มอี านิสงสย์ ่ิงใหญ่ ยิง่ ใหญก่ ว่า ผล ที่เกิดข้ึนในปัจจุบัน อันน้ัน คือผลแท้ที่จะพึงปรากฏขึ้น ถ้าเรายัง หลงยึดอยู่อย่างน้ี อย่างที่เราเรียกว่า วิปัสสนู – วิปัสสนา วิปัสสนู มันเป็นปัญญาอยู่ แต่มันเป็นปัญญาของกิเลส เพราะเรามีตัวยึด นี่เอง อะไรเกิดขึ้น ทิ้งหมด อะไรเกิดข้ึน ทิ้งหมด ยึดได้อย่างเดียว ๑๓๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มที่ ๒ คอื มรรค มรรคท่ีเราตงั้ ใจทาคืออะไร พยายามดารงสติ พทุ โธ พุทโธ พุทโธ อะไรจะเกิดขึ้นมา รบั รู้พจิ ารณาแล้วปล่อย รับทราบพจิ ารณา แล้วปล่อย รับทราบพิจารณาแล้วปล่อย ยึดไม่ได้สักอย่าง เหมือน อย่างท่ีเราพูดขึ้นมา ที่เรายึดผล อยากให้มันมี อยากให้มันเป็น มัน ไมเ่ ปน็ ดอก เปน็ ก็ชา่ งมนั ไมเ่ ป็นก็ชา่ งมนั แต่เราจะห้ามจิตของเราไม่ให้นึก ไม่ให้คิด ห้ามไม่ได้ ถึง คราวท่ีเราทาจริง ๆ อารมณ์นั้น เราต้องท้ิง ยึดเฉพาะอารมณ์ท่ีเป็น มรรค จดจ่อ ตามดู เฉพาะอารมณ์ท่ีเราจดจ่อ กาลังพิจารณาอยู่น้ี ไม่ต้องไปหมาย เกิดหรือไม่เกิดก็ช่างมัน ทิ้งมันเลย ยิ่งเรายึด มันยิ่ง ไม่เกิด พอเรายึดปั๊บ มันหมายความว่า เราเอาตัณหานาหน้า เราก็ เดินตามตัณหา ตัณหามันก็เป็นเร่ืองของมันอยู่แล้ว เป็นเน้ือ เป็น หนังของมันอยู่แล้ว หนักเข้า ไปถือนู่นถือน่ี สะพายของแบกของ พะรุงพะรัง อ้าว ลูกพี่เรากลายเป็นตัณหาจ้อย แทนที่จะเดินตาม ธรรม กลายเป็นเดินตามตัณหา ท่านจึงไม่ให้ยึด ให้ดูแล้วปล่อย ดู แล้วปล่อย ของแทจ้ ะหลงเหลืออยู่ในหัวใจของเรา หมายไมไ่ ด้ เร่อื ง ของธรรมะ หมายไม่ได้ หมายน่ี ของปลอมเกิดข้ึน สาคัญม่ันหมาย เอาของปลอมเกิดขึ้น ท่านให้พิจารณาแล้วปล่อย พิจารณาแล้ว ปล่อย อันไหนเป็นของดีของจริง ตกค้างเหลืออยู่ในหัวใจของเรา ควำมสงบแนบแน่นมั่นคง มันหาได้ทิ้งไปไหน มันค้างอยู่ในหัวใจ ของเรา สงบก็ตาม ไม่สงบก็ตาม เราเคยสงบข้ันนี้ ระดับน้ี พอเรา ทาอีก มันไม่ถึงขั้นน้ันก็ตาม แต่มันก็ทรงตัวอยู่ในสภาพเดิมของมัน สังเกตดแู ตว่ ่า มรรคท่เี ราควรเจริญ เจริญอะไรบา้ ง สงิ่ ทีเ่ ราควรเห็น เห็นขอ้ เท็จจรงิ ของมัน คือเหน็ สัจจะ ๑๔๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ สัจจะของมันก็คือ มันไม่คงท่ี มันเปลี่ยนไป และภาวะทุก อย่างท่ีมันมี ยึดอะไรไม่ได้สักอย่าง เราพยายามยึดให้เป็นอย่างนั้น พยายามยึดให้เป็นอย่างนี้ มีอัตตา อัตตามันพายึด ปล่อยไปเป็น อนัตตา ปล่อยเป็นอนัตตา ถ้าหากเรายังยดึ อยู่ ความเป็นตัวเป็นตน มันเกิดข้ึน ตัณหามันก็เกิดข้ึน หมาย .. เวลามันหมาย มันก็หมาย เอาแต่ทุกข์ สาคัญว่าทุกข์เป็นสุข สาคัญว่าทุกข์เป็นสุข ยึดเอาแต่ เหตุเพ่ือให้เกิดความทุกข์ แต่พิจารณาแล้วปล่อย พิจารณาแล้ว ปล่อย ไม่ให้มีอะไรตกค้างเหลืออยู่ อะไรเป็นของจริงของแท้จะ ปรากฏหลงเหลืออยู่ในหัวใจของเรา ผู้เป็นจะรู้ จะทราบ จะเข้าใจ เอง พระอดุลธรรมเมธี อา้ ! โยมถามวา่ เม่ือนั่งหลงั ข้างหลงั สุด นี้ โยมนงั่ ก็สบายดแี ตก่ ม็ ีเวทนา แตก่ ม็ ีสติรูอ้ ยู่ แต่ว่าก่อนตอนจะเลิก คร้ังสุดท้าย เสียงกระดูกที่ต้นคอดังกร้อก แล้วก็มีความรู้สึกว่าไม่ อยากให้ตรงนี้มันเจ็บเพราะมีความกังวลใจว่า เหมือนกับมันไม่ดีท่ี กระดูก ท่ีดังกร้อกน่ีครับ กลัวว่าจะเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต อันนี้คือ อะไร โยมขอถาม หลวงพ่อบุญมี (หัวเราะ) โอ้ย แล้วแต่มันจะเป็นน่ะแหละ ร่างกายของเราน่ะ มันจะเป็นอะไร จะเป็นอะไร เราก็ดูสิมันเป็น อะไร มันทาให้เราต่ืนรู้ไหม ทาให้ใจของเราอ่อนไหม ทาให้ใจของ เรานมิ่ ไหม ทาใหใ้ จของเราสงบไหม มีอาการอะไรโผล่ขน้ึ มาเราก็จับ อาการนัน้ มอี าการอะไรโผลข่ ้นึ มาต่อเนือ่ งกจ็ ับอาการน้ัน ไมต่ อ้ งไป ทายเป็นนู้นเป็นน้ี ทายเป็นอะไรก็ไม่สาคัญเท่ากับเอาผู้รู้ของเราไป จ่อ แล้วจับเข้าไป มันจะเป็นอะไรก็ช่างมันเถอะ มันก็คือ ภาวะสัก แต่ว่ามี สักแต่ว่าเป็น นั่นเอง อย่าเอา “เรา” เข้าไปรับ เอา “เรา” ๑๔๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ เข้าไปรับทีไร เมือ่ ไร “อัตตา” มันกโ็ ผล่ขึน้ มา คอเรา คอเรา เราเจบ็ เราปวด เราจะพิการ อย่างน้ีใช่ไหม ที่เราพูดน่ะถูกไหม อ้า อย่าไป ยึด อย่าไปยึดมัน สมถะเกิดขึ้นก็อย่าไปยึด วิปัสสนา ปัญญาความรู้ เห็นอะไรเกิดขึน้ กอ็ ยา่ ไปยดึ ยึดแตม่ รรคอยา่ งเดยี ว ข้อปฏิบัติ ต้ังสติ ต้ังสัมปชัญญะ กาหนดจดจ่อพิจารณาอยู่ ให้ต่อเนื่อง มาน่ี อะไรเกิดข้ึน ให้จี้ทัน รู้ หรือ ไม่รู้ ก็ตาม จ่อใส่เข้า ไป เด๋ียวมันเข้าใจเอง ภาวะของจิตของใจเรา มันพร้อมท่ีจะตอบ มันข้องใจกับอะไรมันพร้อมท่ีจะตอบ หาเรื่องตอบของมัน แต่ต้อง ระวังอีกเหมือนกัน บางทีก็ตอบผิด บางทีก็ตอบถูก เพราะ ความสาคัญมั่นหมาย แตว่ ่าเราพยายามจบั ไปท่ีของจริง ของจริงมัน จะมีกริยาอาการประกอบในจิตของเราอยู่ .. ความรู้สึกทางกาย ความรู้สึกทางจิต ความรู้สึกทางอารมณ์ พยายามกาหนดจดจ่อให้ ละเอยี ด เราจะรู้ เราจะทนั เราจะไม่หลงเคลม้ิ ยึด .. อยา่ ลืมวา่ ยึดที ไร เมื่อไรเนี่ย ความถือเน้ือถือตัวมันก็โผล่ข้ึนมา อัตตาตัวตนมนั โผล่ ข้ึนมา เราตัง้ ใจปฏิบตั เิ พ่ือทาลายอัตตา เด๋ียวเตรียมตัวไม่ทันนะ อนุโมทนากับทุกท่าน ถือโอกาส เอามาถวายทุกคนเลย ไม่เสียเปรียบกันนะ อนุโมทนากับทุกท่านท่ี ร่วมเป็นเจ้าภาพ ฟังแล้วก็ทาบุญด้วยกันทุกคน ได้ท้ังธรรม ได้ทั้ง ทาน รู้ รู้ ว่าเรากาลังยกศาลา คือศาลามันเตี้ย แล้วยกให้สูงข้ึน ท่ี วัดถ้าเต่านั้นเป็นวัดของหลวงตา คุณถาวรา หว่ังหลี ซ้ือที่ถวาย หลวงตา หลวงตาก็ให้เราไปอยู่ดูแล ตั้งแต่ปี ๓๘ มาจนเดี๋ยวนี้ ๒๔ ปี ศาลามันก็แก่แล้ว เราก็เลยไปยกให้มันสูงขึ้นเพื่อจะได้ใช้สอย ข้างล่าง ศาลาไม้ท้ังหลังเลยแหละ ศาลาไม้ท้ังหลัง พอท่านรู้ ก็ร่วม ทาบุญมาแสนหน่ึง ๑๔๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ ที่จริง เรื่องเหล่าน้ีเราก็บอกให้ฟังเฉย ๆ ไม่ได้บอกบุญ บอกศรัทธาหรอก เกิดในหัวใจของท่านเอง อย่างน้ีไป ก็ใช้สอย ด้วยกันทั้งหมด วัดป่า วัดป่าเรา เราก็ใช้สอยกันอยู่อย่างนี้ อนุโมทนากับท่านทั้งหลายทุกคน ไม่ปล่อยโอกาส โอกาสคือ ตรงนี้ คอื วดั นี้ มีที่ฝกึ ฝนอบรม มผี ู้ตั้งใจพาฝึกฝนอบรม เราทาโอกาสให้กับ ตัวเราเอง พยายามเพิ่มพูนคุณภาพของความเป็นมนุษย์ ยกพยุง ภพชาติของตนเองให้สูงขึ้น ให้เด่นขึ้น อย่าไปเหยียบซ้าเติมให้มัน ตกต่า ศีล ๕ พยายามรักษาให้ได้ รักษายิ่งกว่าชีวิตของเรา เพราะ คนเรา เวลามนั ตกต่าไป มันแก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะวา่ มนั พลาดพลั้ง แล้วก็เสีย เร่ืองของกรรม เราทาลงไปแล้ว ไม่ต้ังใจจะยอมรับดอก มันต้องได้รับ เพราะเราทาเหตุไว้แล้ว ผลมันก็ต้องตามมา มันเป็น เร่ืองธรรมดา เพราะฉะน้ัน เรารู้ ๆ ๆ ทง้ั ท่ีเรารู้ ๆ ๆ อยู่ เพ่นิ กพ็ าเดินบน เส้นทางที่ถูกต้อง ต้ังใจรักษาศีล ตั้งใจให้ทาน ไม่เสียประโยชน์ เกิด ภพไหน ชาตไิ หน ไม่อด ไม่อยาก ไม่ทกุ ข์ ไม่จน คนเกิดมา ทกุ ขย์ าก อดจนก็เพราะว่า ไม่เคยให้ทาน คาว่า ไม่ให้ทาน ใจของเรามันเป็น มิจฉาทฏิ ฐิ ดาปี๋ – คาว่า รจู้ ักเสียสละ รูจ้ ักให้ทาน ใจของเรามันเปิด ตง้ั ตนไวช้ อบ พระพทุ ธเจ้าทา่ นดูทะลุหมด ในขณะเดยี วกนั คนอน่ื ดู ไม่ออก ยิ่งคนท่ีต้ังใจบาเพ็ญจนได้อรรถได้ธรรม ต้ังแต่พระโสดาบัน ขึ้นไป ให้จนหมดตัวเลยนะ เหลือข้าวจานสุดท้ายกาลังจะเข้าปาก คนนั้นมายังไม่ได้กิน เห็นอานิสงส์ในการเข้าปากเขามากกว่าเข้า ปากของตัวเอง อานิสงส์ที่เพิ่งเกิดขึ้นในหัวใจของตัวเองเนี่ย ไปเข้า ปากของคนอนื่ อานิสงสเ์ กดิ ขนึ้ ในใจของตนเองมากกวา่ เข้าปากของ ตัวเอง ๑๔๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ท่ี ๒ เพราะฉะน้นั พระพทุ ธเจา้ ทา่ นจึงให้พระสงฆ์ไปสวดสมมติ ให้ เสขะบุคคล เสขะบุคคล ถ้าไม่นิมนต์พระไปบิณฑบาต ปรับ อาบัติ เวลาเขาเล่ือมใสศรัทธา เขานิมนต์ให้ไปรับ ถวายอะไรไป มากมายเท่าไร รับมาได้ แต่ต้องเอาไปแจกหมู่ พระพุทธเจ้าท่าน สวดประกาศ เพราะอะไร เพราะผ้เู ขา้ ถึงธรรม เล่ือมใสศรทั ธาให้จน หมดเน้ือหมดตัว เพราะพวกน้ีเขามองทะลุ มันไม่เหมือนพวกเรา เสียสละ จะให้ทานก็เสียดาย เสียดาย เสียดาย จะต้ังใจมารักษาศีล ก็กลัวเสียเปรียบ เคยฆ่าสัตว์ เคยลักทรัพย์ เคยเบียดเบียนลูกเขา ผัวเขา เมียเขา เสียเปรียบ กลัว กลัวเสียเปรียบ เคยพูดตลกคะนอง สนุกสนานไปตามเพลิดเพลิน เคยกินเหล้า ไม่อยากรักษาศีล กลัว เสียเปรียบ ไม่อยากตั้งใจภาวนา กลัวเสียเวลา คือ พวกเรามองไม่ ทะลุ ถ้าเรามีใจละเอียดเหมือนอย่างพระพุทธเจ้ามองทะลุไปหมด เพราะฉะน้ัน พวกเราได้ยินได้ฟัง ครูบาอาจารย์ท่านฝึกฝน ท่าน อบรม พยายามเก็บเล็กผสมน้อย เพราะชีวิตภพชาติของเรา เป็น เรื่องที่ยิ่งใหญ่ท่ีสาคัญท่ีสุด เวลาเราตกต่าไปนี่ โอ๊ย! เอาอีกแล้วกู ทุกข์อีกแล้ว ทุกข์อีกแล้ว อย่าให้มันต้องได้เป็นเรา ท้ังๆ ที่ เรารู้อยู่ อู้ย เราพลาดโอกาส เราเสียโอกาส โอ๊ย เราทุกข์อีกแล้ว เราจนอีก แล้ว อย่าให้คาว่า เรา ๆ ๆ ทาไมต้องเป็นเรา ทาไมต้องเป็นเรา ให้ ระลึกรู้สึก รู้ รู้สึกตัว แล้วก็ต้ังอกตั้งใจทานะ อนุโมทนากับทุกท่าน ทกุ คน ๑๔๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ แกน่ ธรรมหลวงป่บู ุญมี ธมั มรโต เราจะทาตัวเหมือนปลาเป็น เราจะต้องฝ่าฝืน จะต้องอดจะต้อง ทน เพราะทุกคนเกิดมาตามบุญตามกรรม สิ่งท่ีผลักดันให้เราลง สู่ท่ีต่า ตามบุญตามกรรม ก็คือ กิเลสตัณหา อาสวะในหัวใจของ เรา พยายามจอ่ หนั ยอ้ นมาดูทีใ่ จของเรา เราจะเห็นกเิ ลส ตณั หา อาสวะ ดูไปท่ีตัณหา – ความอยาก ความดิ้นรน ความทะเยอทะยาน ความไม่หยุดน่ิงอยู่กับที่ ใจของเรา จะถูกขับเคล่ือนไปเรื่อยด้วย อานาจของความอยากคือตัณหา - กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา อยากเพื่อความโลภ อยากเพ่ือความโกรธ อยากเพื่อ อจิ ฉารษิ ยา ราคะตณั หา น่ีคืออยากตามอานาจของสมทุ ยั ในทางตรงกันข้าม เราจะต้องเพ่มิ พูนความอยากตามอานาจของ มรรค มรรคปฏิปทำเป็นข้อปฏิบัติเพื่อขัดเพื่อเกลา ความอยาก เพ่ือมรรค - อยำกให้ทำน อยำกรักษำศีล อยำกประพฤติธรรม อยำกปฏิบัติธรรม อยำกได้อรรถ ได้ธรรม อยำกได้มรรคผล อยำกไดน้ พิ พำน ย้อนมาดูพลังสองพลังท่ีมันมีอยู่ในหัวใจของเรา คือ พลังของ ตัณหำ กับ พลังของมรรค เราพยายามท่ีจะสะสางชีวิตจิตใจ ของเราให้เป็นไปตามอานาจของมรรค โดยเอาศีลมากากับ โดย เอาธรรมมากากับ สมถธรรม วิปัสสนาธรรม เป็นเร่ืองของธรรม ศีล สมำธิ ปัญญำ รวมกันแล้วคือ พระธรรม ทั้งพระธรรม พระ วินัย ส่วนท่ีเป็นมรรค ก็คือศีล คือสมาธิ คือปัญญา ถ้าจะว่าให้ เต็มท่กี ค็ ือ อรยิ มรรคมอี งค์ ๘ ๑๔๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ ถ้าเราตั้งใจรักษาศีล แค่ศีล ๕ ข้อ ขอให้เรามีความบริสุทธอ์ิ ยใู่ น ข้ันของศีล ๕ ท่านก็ถือว่าเป็นผู้มีความบริสุทธ์ิ ต้ังใจปฏิบัติ เจรญิ ใหไ้ ดต้ ามหลักกรรมบถ กรรมของเรา เราจะบริสุทธิ์ได้อย่างไร เราไม่ต้องไปดูเบ้ืองหน้า เบื้องหลัง เราเกิดมามีวิบากกรรมมาอย่างไร เราไม่ต้องไปดู เพราะส่ิงท่ีล่วงมาแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ สิ่งที่จะเป็นไปข้างหน้าก็ ทาอะไรไม่ได้ เรำมำสำรวมระมัดระวังอยู่ในปัจจุบัน เพราะฉะน้ัน ระวังกายกรรมด้วยการตั้งใจรักษำศีล ศีล ๕– ไม่ ฆ่ำสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกำม ไม่พูดเท็จ ไม่พูด หยำบ ไม่พูดสอ่ เสยี ด ไมด่ มื่ นำ้ เมำ ศีลข้อท่ี ๕ สาคัญ พอเมาแล้วมันขาดสติ ตรงท่ีขาดสติน่ีแหละ คือตัวสาคัญที่สุด พวกเราทุกคน พอท่ีจะเป็นผู้เป็นคนได้ เพราะว่าเรามีสติ ถ้าหากเราขาดสติปั๊บ มันเป็นเหตุ ศีลข้อ ๑ – ๔ ขาดง่าย คนที่ไม่มีสติอย่างเต็มท่ี เขาเรียกว่าคนบ้า – ต้ังใจท่ี จะนึก คิด ทา อะไรต่ออะไรก็ตาม ไม่เป็นลาดับ ไม่เป็นขั้น ไม่ เป็นตอน ทาไปสะเปะสะปะ ตามอานาจของสติท่ีมัน ผลุบๆ โผลๆ่ สตไิ มส่ มบูรณ์ คนบ้า ถ้าเราตั้งใจมีศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ สามีภรรยาก็อยู่ด้วยกันอย่างเป็น ผาสุก สังคมของเราก็อยู่ด้วยกันอย่างผาสุก ชีวิตของเรา ปลอดภัย ทรัพย์สมบัติของเราปลอดภัย ความเป็นสามีภรรยา ค่คู รองของกนั และกนั ก็ปลอดภัย วาจาคาพูดไมม่ ีซกุ ไมม่ ซี อ่ น ไม่ มีบดิ ไม่มเี บีย้ ว ทาให้ความเป็นอยู่ของเราน้ันปลอดภยั รวมถึงไม่ มอมเมาใหเ้ ราขาดสติ ๑๔๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ อริยสัจท้ัง ๔ พระพุทธเจ้าทรงตรัสมี “เหตุ” กับ “ผล” เท่าน้ัน เหตุอนั หน่ึง นาทกุ ขน์ าโทษมาให้ เหตุอันหน่งึ พอเราตัง้ ใจปฏบิ ัติ ตามนั้นแล้ว สงบระงับดับเหตุให้เกิดความทุกข์ เหตุอันหนึ่ง สรา้ งทุกข์ เหตอุ นั หนงึ่ สงบระงบั ดบั ทุกข์ ความทุกข์ ก็คือ อัตภาพร่างกายของเรา ซึ่งเป็นกองทุกข์ เป็น ก้อนทุกข์ จิตใจของเรา ก็เป็นกองทุกข์ เป็นก้อนทุกข์ ร่างกาย ของเราตกอยู่ในภาวะของความไม่อยู่กับท่ี ต้องเปล่ียนไป เป็น อนจิ จัง ก้อนกายของเรามันเป็นกองสังขารกองหน่ึง จติ ของเราก็ เป็นกองสังขารกองหนึ่ง กองสังขำร คือสิ่งปรุง ส่ิงประกอบ ต้ังแต่ ๒ ส่ิงเป็นต้นไป มารวมกัน ท่านเรียกว่า กองสังขาร ซ่ึงมี สามัญลกั ษณะ คือ มีอนจิ จัง มที ุกขงั มอี นตั ตำ อยใู่ นน้นั การที่เราต้ังใจปฏิบัติธรรม อย่าลืมว่าเราตั้งใจปฏิบัติเพื่อรู้ขันธ์ ทั้ง ๕ ขันธ์ท้ัง ๕ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆ เรา ต้ังใจปฏิบัติเพ่ือเอำ ควำมรู้สัจธรรมจำกขันธ์ทั้ง ๕ เพื่อเข้ำมำเห็นทุกข์ เห็นโทษ ของอตั ภำพร่ำงกำย คืออนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตำ รา่ งกายของเรา อยไู่ มเ่ ทา่ เดมิ เราลองนึกลองดูซิ ระลึกย้อนเข้าไปจนถึงวันคลอด ระลึกไป จนถึงในท้องแม่ ระลึกไปจนถึงปฏิสนธิในท้องแม่ น้าใสๆ อยู่ใน ท้องแม่ หลังจากไปประกอบกันเป็นกองสังขาร กองสังขารพ่อ กับกองสังขารแม่ ประกอบกันในท้องแม่แล้ว ไม่เคยอยู่เท่าเดิม เลย เปล่ียนไปเร่ือย เป็นน้าใสๆ เป็นน้าแดงๆ เป็นน้าเลือด เป็น ก้อนเลือด เป็นก้อนเนื้อ เป็นปัญจสาขา พัฒนาตัวเอง ไม่เคย หยุดน่ิงอย่กู ับที่ น่ีแหละทุกขัง – ควำมไม่ทนอยู่ในสภำพเดิม ๑๔๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ กิเลส แปลว่ำ สภำพท่ีทำให้ใจเรำเศรำ้ หมอง แสดงความโกรธ ออกมาแล้ว ทาให้ใจเราเศร้าหมอง แสดงความโลภ ทาให้ใจเรา เศร้าหมอง ราคะตัณหา ดูไปท่ีใจของเรา ใจของเราจะผ่องใสได้ ใจของเราจะต้องสงบระงับจากสงิ่ เหลา่ น้ี จิตผ่องใสคือจิตสงบ ถ้าจิตไม่สงบ จิตมีความโลภ จิตมีความ โกรธ จิตจะไม่ผ่องใส ท่ีเรียกว่า จิตมีกิเลส ซ่ึงมันก็มาจากตัว ตัณหาตัวเดียว มันเกิดข้ึนจากพฤติกรรม จากจิตของเรา เพราะ เราสะสมกันมาก่กี ปั กลั ป์ กีบ่ ุพชาติมาแลว้ จิตใจของเราเปน็ กองสังขาร เพราะมีจิต คอื ผู้รู้ คอื ธาตรุ ู้ แต่ธาตุ รู้ของเราไม่บริสุทธ์ิเพราะมีกิเลสปนเปื้อนมา เพราะพฤติกรรม ของตัวเอง สร้างมาทุกภพทุกชาติ จนแข็งกร้าวเป็น กิเลส ตัณหา อาสวะประจาอยู่ในหวั ใจของเรา จะชะล้างออก แก้ออก ชะออก ล้างออก ยากมาก แม้แต่พระพุทธเจ้าของเรา ศึกษาเพ่ือจะให้รู้ข้อปฏิบัติเหล่านี้ ต้องสร้างบุญญาบารมี ๔ อสงไขย แสนมหากัปกว่าจะได้ตรัสรู้ กว่าจะได้รู้ กว่าจะได้ตกผลึก ถึงข้อปฏิบัติเพื่อชะล้างส่ิงเหล่าน้ี ไปได้ กว่าจะได้เห็นสัจธรรม แจ่มแจ้งชัดเจนด้วยพระญาณ – อำสวกั ขยญำณของพระองค์ เราดูกรรมเรา ไม่ต้องไปดูท่ีไหน เรามาดูกริยาท่ีเราเป็นเราอยู่ กริยาเหล่าอื่นที่ไม่เกิดโทษ พระพุทธเจ้าท่านจึงไม่ทรงเอามา แสดง แต่พฤติกรรมที่กายกรรมของเรา ไปฆ่าสัตว์ ทาให้คนอื่น เดือดร้อน มีทุกข์มีโทษตามมา ไปลักทรัพย์ เป็นเหตุให้คนอื่น เดือดร้อน มีทุกข์มีโทษตามมา ไปประพฤติผิดลูก ผิดผัว ผิดเมีย ของเขา เป็นเหตุให้คนอ่ืนเดือดร้อน มีทุกข์มีโทษตามมา เป็น ๑๔๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ พฤติกรรมท่ีทาให้เราต้องได้รับสนองผลตามมา เน่ืองจากความ ไมม่ ศี ีล ความไมม่ ธี รรมเหล่านี้ จะทาให้เราตกตา่ เราต้องพยายามตั้งสติกำหนดรู้ จอ่ เข้ามา ปลุกผูร้ ูข้ องเรำใหต้ ื่น รู้อยู่ในขณะนั้น ส่ิงที่มันปรุงแต่งอยู่ในหัวใจของเรา มันก็ตกไป มันก็หยุด มันก็ชะลอ แล้วก็หมดไปในหัวใจของเรา เพราะ อารมณ์ใหม่ จะทับอารมณ์เก่าอย่เู สมอ อารมณ์ใหม่ที่รุนแรงกวา่ ย่อมทับอารมณ์เก่าท่ีอ่อนแอกว่าเสมอ พยายามจับหลักใหไ้ ด้ หลักของกำรเจริญมหำสตปิ ัฏฐำน - กำย เวทนำ จิต ธรรม การเจริญตามแนวทางมหาสติปัฏฐาน เหมือนมงกุฎกรรมฐานครอบไปหมด ท้ังสมถะ ทั้งวิปัสสนา ต้ังใจเจริญตั้งใจทาไปเถอะ แต่ไม่ต้องไปคานึงคานวณหรอก ว่า เป็นสมถะหรือยัง เป็นวิปัสสนาหรือยัง ขออย่าให้ตัณหามัน แทรกมาในหัวใจของเราได้ ใหม้ ีแตอ่ รรถธรรมอยู่ในแตห่ ัวใจของ เรา ทายังไงหัวใจของเราจะอยู่ด้วยอรรถด้วยธรรม เราต้องเอา อารมณ์มากากับ พุทโธ พุทโธ พุทโธ ตั้งสติโร่ พุทโธ พุทโธ พุท โธ – พุทโธ นี่เป็นอารมณ์ของธรรม อารมณ์ในแต่ละปัจจุบัน ขณะ เราต้องอยู่ด้วยอำรมณ์ของธรรม จะเป็นอารมณ์ของ สมถะก็ตาม วิปัสสนาก็ตาม พยายามสืบทอดอารมณ์ของธรรม ให้ต่อเนื่อง อยู่อย่างนี้ เราจะไม่เสียท่า เสียทีให้กับอานาจของ ตัณหาในหัวใจของเรา ถ้าหากเราไม่ตั้งอกต้ังใจทา ตัณหามัน พร้อมท่ีจะแทรกเข้ามาทันที ยิ่งเราต้ังอกต้ังใจทาใจให้ได้รับ ความสงบสงัดมากเท่าไร กิเลสมันชอบมาก มันย่ิงอยากทดสอบ ข้ึนมาทนั ทีเลย ๑๔๙
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160