มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ เคยผ่านเข้าพิธีกรรมในการเปล่ียนนสิ ัย เรียกว่า กำรบวช ทานองนี้ กำรบวชมันก็ต้องเปลี่ยนนิสัย เหมือนกับเราบวดฟักทอง เราบวด ฟักทอง ปกติฟักทองมันไม่มีหวาน แต่เราก็เอาน้าตาลเพ่ิม มันไม่มี มัน เราก็เอามะพร้าวเพ่ิม ฟักทองก็เลยมีหวาน มีมัน อันนี้ก็ คล้ายๆกัน เราเปลี่ยนนิสัย ท่านบอกว่า ไม่ดี เราก็กาหนดดู ว่ามัน ไม่ดีเพราะอะไร ทา่ นกบ็ อกว่ามันเป็นส่วนประกอบของสิ่งหมักหมม ร่างกายมันเป็นส่วนประกอบของสิ่งหมักหมม มันก็ไม่สะอาด สิ่ง หมกั หมม ถา้ มองในแง่ดี มนั กด็ ีนะ ปกติ โลกของเรามนั มีกลมุ่ ผผู้ ลิต ท่ีเราถือว่าเป็นส่วนหนึ่ง กลุ่มผู้ผลิตมันมีส่วนของส่ิงหมักหมม เรียกว่ากล่มุ จลุ ินทรีย์ ทานองน้ี มนั มสี ่วนทาให้เกิด กำรเปลย่ี นแปร ในรูปแบบเรียกว่า ผูผ้ ลติ แต่เราในฐานะผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เราก็มักจะมีส่วนอาศัย ผู้ผลิต ได้มามีส่วนบริโภค เรียกว่ากลุ่มอาศัย มันก็มีอย่างน้ี อันน้ีก็ คล้าย ๆ กัน ถ้าเรามองในแง่ให้เกิดความรู้สึกเข้าใจถูก มันเป็นไป เพื่อความรู้สึก คลายความกาหนัด ย้อมใจ มันก็ได้ความสงัด มัน สงัด เพราะมันมีความรู้สึกยอมรับ เช่น กายวิเวก เราพูดกันอย่าง นั้น สงัดกายก็เรียกว่ากายวิเวก ไม่ได้อยู่ในที่อ่ืน แต่อยู่ในสังคมน้ี แหละ เราก็อยู่ในพื้นที่นี้ แต่เราก็เห็นว่า มันเป็นส่วนหน่ึงของ ธรรมชาติ และก็มองในแง่ให้เกิดความรู้สึกไม่ยินดี ยินร้าย อันเห็น เป็นส่ิงที่มันเป็นส่วนหน่ึงที่มันเป็นของธรรมชาติ อยู่ในรูปแบบ เรียกวา่ เป็นสว่ นประกอบของสิง่ ปฏกิ ูล อย่างอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านก็ให้ข้อมูลอย่างน้ัน ท่านให้ ข้อมูลในรูปแบบอาการท่ีมีอยู่ในรูปแบบร่างกายเราน่ี จะเป็น เกสำ โลมำ นะขำ ทันตำ ตะโจ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนที่มีอยู่ในร่างกาย ๕๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ท่ี ๒ ทั้งน้ัน เรากาหนดดูอย่างน้ี เกิดความรู้สึกคลายความกาหนัด มี ความสงบใจ มกี ายสกั วา่ กาย ไม่ได้ถือวา่ เปน็ เรา ไมไ่ ด้ถือว่าเป็นของ เรา แต่ถือว่ามันเป็นสิ่งท่ีมีส่วนให้ข้อมูลในการให้เกิดการกาหนด เห็นตามความเป็นจริง ถ้ามองกันอย่างนี้ มันก็ได้ความสงัด มีกายก็ สงัดกาย เรียกว่ากายวิเวก และก็อยู่กับโลก ก็อยู่อย่างผู้มีอิสระดว้ ย ไมไ่ ด้เกดิ ความร้สู กึ วิตก วจิ ารณ์ ในรปู แบบเป็นทาสของความหลง ผดิ ความหลงผิดนี้ มันก็พลอยให้เกิดความรู้สึก ไม่รู้จักจบจัก สิ้น ง้ันพระพุทธเจ้าท่านจึงสอน ท่านจึงแนะนาให้กาหนด ให้ กาหนด ดูโลก ดูความรู้สึกต่าง ๆ เม่ือเรากาหนดดู อยู่ในรูปแบบ เรียกว่าไม่ถูกครอบงา บดบังด้วยเคร่ืองกางกั้น มันเป็นของสะอาด เหมือนกับทรัพยากรน้าท่ีเรามีส่วนเกี่ยวข้อง ในชีวิตประจาวันท่ีเรา ได้น้า ได้รับความรู้สึก ได้รับความสะดวก ก็อาศัยการกลั่นกรอง น้า ปราศจากฝุ่นละออง น้าไม่มีสารเจือปน อันนี้ก็คล้ายๆกัน จิตใจ สะอาด อารมณ์สบาย อยู่อย่างความเป็นผู้มีวิหารธรรม ของการ เป็นอยู่แบบผู้เห็น เห็นถูก ภาษาท่านเรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ความเห็น ถูก มักให้ข้อมูลในรูปแบบเครื่องเปรียบเทียบเหมือนกับแสงสว่าง นัตถิ ปัญญำสมำ อำภำ แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี นี่ ความรู้สึกอย่างนี้ก็ควรท่ีจะให้การสนับสนุนกัน เพราะความรู้สึก อย่างน้ี เป็นความรู้สึกที่มันเป็นส่วนหน่ึงของคุณอันเป็นส่วนหน่ึง ของความเป็นมนุษย์ เรียกว่า จิตใจ จิตใจสูง จิตใจสูงคือจิตใจที่มี ส่วนของคุณความดี ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่า คุณความดีก็เหมือนคุณของ โลก ๕๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ โลกท่ีเราอาศัย เป็นผืน ๆ แผ่นดินท่ีเราอาศัย เราก็บอกว่า มนั เป็นส่วนหนึ่งของบญุ คณุ เราจะยนื จะเดิน จะน่ัง จะนอน กม็ ีผืน แผ่นดินเปน็ เครอ่ื งรองรับ เราอย่ใู น การเปน็ อยูใ่ นสงั คมก็คล้ายๆกัน เราก็มกี ารเป็นอยู่ นา้ ใจ .. น้าใจอันเปน็ สว่ นหนง่ึ ของคุณความดี อนั เป็นธรรมที่เป็นธรรมค้าจุนโลก พระพุทธเจ้าก็ดี บุพพาจารย์ก็ดี ตลอดถงึ บพุ การี ที่ถือวา่ ผทู้ าหน้าที่ให้กาเนิดก็อาศยั คุณอันนี้เอง ถา้ มีคุณอันนี้ มันก็ทาให้เกิดความสงบสุข ให้เกิดความอบอุ่น และก็ให้ เกิดความรสู้ กึ ไม่มีอนั ตราย ก็อาศยั คุณความดีเหล่าน้ี พระอรยิ เจ้าท่ี เราให้ความเคารพน้ัน ท่านก็อยู่ในรูปแบบของความเป็นผู้มีคุณ อัน เป็นส่วนหนึ่งของคุณความดี เรียกว่า มีเมตตำ เสียสละ ไม่ได้เห็น แก่ความทุกข์ยากลาบาก ในรูปแบบของการเก่ียวข้องกับการทา เรียกว่า กำรทำประโยชน์ อันนี้ก็คล้าย ๆ กัน เราก็มาหากันบ้าง เพราะอาตมาถือว่าทุกคนมีความดีอยู่ มีส่ิงที่เป็นประโยชน์ก็มีอยู่ เพียงแต่ว่าเรามาปรับ ปรับทิศทางใหม่ ปรับความรู้สึกใหม่ คือปรับ ให้มันเข้าครรลอง อันเป็นส่วนหน่ึงของความถูกต้อง ความถูกต้อง ตามความเป็นจริง มันก็มีความรู้สึก เหมือนอารมณ์ที่เป็นส่วนหน่ึง ของคณุ ความดีที่ให้เกดิ ความสงบใจ เราฝึกกนั เราปฏิบัติกัน อาตมามีส่วนไปในพื้นที่ต่าง ๆ ท่ี ๆ เขาไม่รู้จักเรา เพราะ เราไม่ได้เคยไปเกี่ยวข้อง และก็ใช้ภาษาสมมติท่ีแตกต่างกันไปบ้าง แต่ เราก็อาศยั ภาษาที่มนั เปน็ ทยี่ อมรับกันในสังคม อาศยั ภาษาใบ้ ก็ เก่ียวข้องกันได้ ไปรู้จักกันได้ ในท่ีสุดความคุ้นเคยน้ีแหละ เมื่อใดมี โอกาสพบปะ สร้างความคุ้นเคย และก็มีความรู้สึกเข้าใจกันได้ก็มี การหยิบย่ืนด้วยการให้ความรู้สึก เรียกว่าการแสดงออกถึง ความรู้สึกเจตนาดี หวังดี อยากให้มีความรู้สึกเห็นเป็นประโยชนต์ อ่ ๕๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ การเป็นอยูข่ องความเปน็ มนุษย์ กเ็ หน็ ว่ามนั เปน็ ประโยชน์แล้วไป ก็ เกิดความผูกพัน เกิดความรู้สึกมีความพอใจ และมีส่วนของการไป มาหาสู่ ในทส่ี ุดกม็ กี ารใหข้ ้อมูลกนั ในท่ีสุดก็ยอมรับว่า ทุกอย่างนั้นมันข้ึนอยู่กับความรู้สึกที่ เรียกว่า ความรู้เห็นตามความเป็นจริง ถ้าอย่างนี้มันก็เป็นประโยชน์ ในฐานะว่า เราเป็นส่วนหนึ่งที่ได้มีส่วนรับถ่ายทอดมาจากบรรพ บรุ ษุ บพุ พาจารย์ บุพการี อนั เป็นสว่ นหน่งึ ของสมบัติของความเป็น มนุษย์ เราก็มีส่วนมาส่ังสอนกัน มาแนะนากัน เมื่อเรามีโอกาสสั่ง สอน แนะนากัน มันก็ปรับปรุงพัฒนา ในที่สุดก็เป็นประโยชน์ ร่วมกัน สังเกตดูอยา่ งน้นั วดั ทเ่ี รารูจ้ ักกนั เปน็ วดั หนองป่าพง เป็นที่ รวมของคน จะเป็นคนอยู่ในพื้นที่ไหน ชาติใด ภาษาใดก็มีส่วน มา ศึกษาเรียนรู้กันได้ หลวงปู่ชาท่ีเรารู้จักกันในรูปแบบ เรียกว่า ได้รับ ถ่ายทอด ทา่ นก็ไมไ่ ด้มีความรเู้ ร่ืองสมมติ ภาษาอะไร ท่านกเ็ พยี งแต่ ว่าให้ข้อมูลที่มันเป็น สัจธรรมของชีวิต มันก็ได้มีส่วนยอมรับกัน ถึงกับว่าเป็นท่ีรู้จักกันทั่ว ๆ ไป ก็อาศัยความเป็นผู้ท่ีหวังดี เจตนาดี มีเมตตาธรรม แล้วก็ท่ีสุด ท่านก็ได้ทาหน้าท่ีในรูปแบบของความ สมบูรณ์ของความเป็นมนุษย์ให้เป็นท่ียอมรับกันทั่ว ๆ ไป ท่านก็มี สว่ นประกอบอย่างนี้ นพ่ี วกเรากเ็ หมอื นกัน อาตมาถึงว่าทุกคนมันมีความดี ไม่ใช่ว่า คนไม่มีความดี ความดีนั้นมีอยู่ แต่ว่าเราเอาความดีมาใช้ สิ่งที่มันไม่ดีน้ัน เราก็เลิก ละกันไปเสีย ในที่สุดมันก็เป็นประโยชน์ ปกติคนเราส่วนมากมักจะ ขาดความสานึกในการรับผิดชอบ เกิดอารมณ์ไม่ดีก็มักจะหยิบยื่น เกิดความไม่พอใจ มักจะมีส่วนให้เกิดความรู้สึกมีความทุกข์กับ สภาพที่บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้าเรามีความเมตตาว่าความไม่ ๕๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ สบายใจ เราก็ทนเต็มที่แล้ว เราก็เกิดความรู้สึกไม่เป็นอิสระเต็มที่ แล้ว เราก็เก็บไว้ ไฟมันเป็นของร้อน ถ้าเราไม่เติมเช้ือไฟ มันก็ดับ อันนี้ก็คล้าย ๆ กัน ความรู้สึกของความร้อนภายในอันมีส่วนของ รำคัคคิ โทสัคคิ โมหัคคิ เราไม่ส่งเสริม เราไม่เติมเชื้อ สภาพอันนั้น มันก็หมด มนั หมดไปเองโดยปรยิ าย เพราะมันไมม่ ีเช้ือ เพราะเราไม่ เห็นว่ามันมีคุณค่า ฉะนั้น พระพุทธองค์ท่านจึงมีความประสงค์กบั ผู้ ที่เรยี กวา่ ดาเนนิ ชวี ติ ในสังคม โดยบอกวา่ ภัยภายในน้นั ควรเก็บไว้ใน พื้นที่อันมิดชิด อย่านาออก แต่ถ้าภัยภายนอก เราก็อย่าเอามามี ส่วนสะสม เราจะอยู่ในรูปแบบเรียกว่า กลั่นกรอง ไตร่ตรอง ว่าให้ มนั อยใู่ นสภาพเรียกว่ามีคุณมปี ระโยชน์ ความเป็นประโยชน์ของเรา กจ็ ะมีความรู้สึกวา่ มนั เป็นประโยชน์ของการอยรู่ ว่ มกันในสงั คม สังคมของเราก็จะเกิดความรู้สึกมีความสงบร่มเย็น ก็อาศัย รู้จัก รู้จักละส่ิงท่ีควรละ รู้จักเลิกส่ิงที่ควรเลิก รู้จักส่งเสริมส่ิงที่ควร จะส่งเสริม ลองสังเกตดู ไปร่วมในงาน ร่วมในงานท่ีเขามีการ บาเพ็ญคุณงามความดี งานจารีตประเพณีอันเป็นส่วนหนึ่งของ มรดกบรรพบุรุษปฏิบัติกันมา เทศกำลกำละทำน เรียกวา่ งานทอด งานกฐินท่ีวัดหนองป่าพง อู้! คนหลากหลาย มาจากหลายชาติด้วย ก็รู้สึกว่ามันมีความสัมพันธ์เกิดความเข้าใจซ่ึงกันและกัน เพราะ น้ำใจอันมีส่วนกับกำรหวังดี เจตนำดี มีเมตตำธรรม คนก็มาร่วม และก็มีระเบียบด้วย ทุกวันน้ีรู้สึกว่ามีระเบียบ เกิดควำมเรียบร้อย คนมาก ๆ มันมคี วามสงบ ตา่ งคนตา่ งรู้จักกาลเทศะ การบาเพ็ญคุณ งามความดีก็เป็นประโยชน์มาก เพราะว่าที่น่ันเป็นที่รวมของลูก ศิษย์ลูกหาท่ีมีส่วนรับถ่ายทอดจากหลวงปู่มา เม่ือมีเทศกาลอย่าง น้ันท่านก็มา มามีส่วนพบปะนี้เอง ก็จัด จัดให้ท่านมีโอกาส พบปะ ๕๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ โอ้! คนมาร่วมภายในศาลาก็เต็ม ภายในถนนที่เราเทคอนกรีต มอง แล้วมันเป็นภาพให้เกิดความสงบใจ มันสลับกับธรรมชาติของพ้ืนที่ ป่าด้วย คนมาก มคี วามสงดั และมีความยาเกรงจะทาอะไร ไม่ได้ทา ตามแบบอารมณ์ มันเป็นส่วนหน่ึงของความเป็นสมณะ เห็นก็เกิด ความรู้สึกเป็นมงคล เราเคยได้ยินได้ฟังในมงคลสตู ร ในมงคลสูตรที่ ท่านสาธยาย เราเรียกว่าการเจริญพระพุทธมนต์ก็ สมณำนัญจะ ทัสสะนัง ในมงคลสูตรพูดอย่างน้ัน การได้เห็นความสงบ ของคน ทม่ี ามีสว่ นใหค้ วามเคารพ มันเกดิ ความรู้สกึ ทางดา้ นจติ ใจ จิตใจก็พลอยเกิดความรู้สึกมีความเอิบอ่ิม และก็อยู่กัน อย่างไม่วิตก วิจารณ์ ไม่วิตกกังวล กลางคืนเงียบสงัด แทนที่ว่ามัน จะตอ้ งมีความรู้สึกปลีกตวั ไปพักผ่อน แต่มนั มคี วามรู้สึกทเ่ี รียกว่า มี ความเคารพ มันเป็นมงคล มันอาศัยซึ่งกันและกัน เรียกว่าเป็นส่วน หน่ึงของ ดอกบัว ดอกบัว ๔ ประเภท ก่อนที่พระองค์จะทรงแสดง หรือมีการเสียสละในการทาหน้าที่ ของการแจกจ่ายแสดงธรรม ท่านได้มีความรู้สึกอันนี้เกิดขึ้น เรียกว่าเป็นมโนธรรมก็ได้ เรียกว่า อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ ปทปรมะ ว่าเห็นอุปนิสัยของ คนเราน้นั มีลกั ษณะอยู่ ๔ ประเภท ประเภท ๑ นน้ั ถือวา่ อินทรยี ซ์ ึ่งถือวา่ เป็นส่วนหน่งึ ของการ สะสม น้ันพร้อมแล้ว พร้อมแล้วที่จะสลัด สละคืนท้ิงของหนัก ประเภท ๒ ก็พอที่จะมีส่วนอีกเหมือนกัน พอมีส่วนท่ีจะอบรม และ ก็มีส่วนเสริมด้วย มันก็พร้อม ประเภท ๓ ก็อาศัยมามีส่วนอบรมบม่ เพาะบ่อยๆขึ้น ก็รู้สึกว่ามันพอใจ สังเกตดูไม่ได้เชื้อเชิญ เมื่อมี กิจกรรม ที่ทางเราได้มีส่วนกาหนดข้ึน ก็มีส่วนมาโดยไม่ต้องบอก ๕๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ท่ี ๒ กล่าว และก็มาในสว่ นให้ความรู้สึกดว้ ย ใหค้ วามรู้สกึ ทีม่ ารวม กเ็ ปน็ การอบรมบ่มเพาะ ในที่สุด เขาก็มีความเข้าใจ เข้าใจ รู้จักละส่ิงที่ ควรละ รจู้ ักบาเพญ็ ส่ิงทค่ี วรบาเพ็ญ มันกเ็ ปน็ ความรูส้ ึกให้มีอินทรีย์ ที่แก่กล้า ในท่ีสุดก็เป็นความรู้สึกท่ีมีความภาคภูมิ มีความสุข ก็ อาศยั อย่างน้ี อันนี้พวกเราก็เหมือนกัน อย่าถือว่ามันเป็นยุคนู้น สมัยนู้น มันเหมือนๆกัน จะยุคไหนสมัยไหน ถ้าเรามีส่วนปฏิบัติ มีส่วน ๆ ส่งเสริม มันก็พร้อม มันก็พร้อมที่จะเป็นประโยชน์ อันนี้ก็คล้าย ๆ กนั ฉะนั้นในโอกาส กาลเวลา เรามีพนื้ ที่ที่เหมาะสมอยูแ่ ล้ว อารมณ์ ให้เกิดความสงบใจ เรามีกายกาหนดลง กาหนดลง กาหนดปลง กาหนดรู้ เห็นเป็นแต่ส่วนหนึ่งของ เรียกว่า มันเป็นส่วนของพ้ืนท่ีที่ มันเอื้ออานวย เราจะได้เกิดความรู้สึกเห็นประโยชน์ ก็อาศัยการมี มมุ มอง ถ้ามีมุมมองอย่างนี้ มันมีความรู้สึก มีความสุข และ ความสุขไม่ได้เป็นความสุขแบบอามิสด้วย แต่เป็นความสุขแบบ นิรามิส – สุขแบบไม่อิงอามิส แต่อิงเรียกว่า การออก การออกจาก ออกจากบ่วง ออกจากเครื่องรึงรัด ออกจากเครื่องกางกั้น ถ้าเรา ออกจากพื้นทีน่ นั้ ได้ เรากถ็ ูกปลดปล่อย พระพุทธเจา้ ท่านก็เป็นสัตว์ สังคมเหมือนกัน เหล่าสาวกของพระพุทธองค์ก็เป็นสัตว์สังคม ท่าน จึงเรียกในรูปแบบว่าสังคมน้ัน เป็นช่ือของการรวมตัว สังคมแบบ พระสงฆ์เรียกว่า ผู้มีความเป็นอยู่ในรูปแบบเห็นโทษเห็นภัยในวัฏฏ สงสาร แต่สังคมเราก็รู้จัก สังคมมูลฐาน สังคมชุมชน สังคมเมือง สงั คมโลก ก็พอที่จะเห็นกันได้ ถ้าเราเขา้ ใจอย่างน้ี เราก็อยกู่ บั การ เปน็ อยแู่ บบผู้ เรยี กวา่ มีสติ มีสัมปชัญญะ ๕๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ เพราะ สติ ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมที่มีอุปการะมาก เราก็ส่งเสริมกัน เพราะความมีสตินั้นถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคุณ ความดี เราฝึกฝนกันได้ ไม่ใช่ว่ามันเหลือวิสัยเพราะเราก็ได้รับ เรียกว่ามรดกอันนั้น เป็นส่วนหน่ึงของคุณความดีท่ีเราปฏิบัติกัน ก็ เห็นว่ามันมีส่วนเป็นประโยชน์ ง้ันอารมณ์ของกรรมฐานก็พร้อมอยู่ แล้ว เราจะอยู่ในพื้นท่ีไหน อยู่ในสถานท่ีใด ก่อนที่จะมีส่วน เกี่ยวข้องก็ควรท่ีจะสานึกเรื่องอย่างนี้ให้มาก ๆ เพราะฐานเป็นท่ีตั้ง ให้เกิดความสงบใจ จะเป็นสมถะ ภาษาภาคปริยัติเรียกว่าเป็น “สมถกรรมฐาน” อุบายให้เกิดความสงบใจ จะเป็น ระบบอนุสติ ก็ เปน็ อาการ อาการให้เกิดความรสู้ กึ เรียกวา่ มคี วามสงบใจ อสุภกรรมฐาน นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งให้เกิดความรู้สึก เราก็เอา มาใช้กันบ้าง เพราะมันเป็นอาหาร ให้ภูมิคุ้มกันเรียกว่า ทางด้าน จิตใจน้ันเอง ถ้าจิตใจมีภูมิคุ้มกัน จิตใจมันสูง น้าท่วมไม่ถึง ถ้าน้า ท่วมไม่ถึง เราก็บอกว่า เราไม่ถูกเปรอะเปื้อน น้าท่วมไม่ถึง มันก็ เป็นท่ีดอนนั้นแหละ ที่มันสูง อันนี้ก็เหมือนกัน อารมณ์ท่ีมันทาให้ เกิดความรู้สึกไม่สงบใจ มันก็ครอบงาไม่ได้ เราก็พลอยมีฐาน มี ภูมิคุ้มกัน เราก็เอามาใช้ มันก็เป็นส่วนทาให้เกิดความรู้เห็น ในส่วน ที่โลกเขาเห็นว่าเป็นอันตราย เราก็บอกว่า เขาช้ีความจริง เขาช้ี ขมุ ทรพั ย์ ทานองนี้ เขาดา่ เรา ทานองน้ี คาว่าเขาดา่ คอื เขาทดลอง ทดลองว่า เราจะมปี ฏกิ ริยาในรูปแบบให้เขามคี วามรู้สึก ถา้ เขาดา่ เราก็บอกว่า สาธุ มนั ถกู ต้อง เพราะไม่มีอะไร มันเปน็ แตเ่ อาสมมตใิ ห้กเ็ ท่าน้ันเอง ถ้ามองย้อนเข้าไปอีก เขาด่า เขาก็ไม่สบายใจ เพราะเขามีความมัว หมองทางด้านจติ ใจ เราจะมองเขาในแงใ่ ห้เกดิ ความร้สู ึกสงสาร เกิด ๕๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ ความสงสาร ว่าเขาถูกครอบงาด้วยส่ิงปกปิด เรียกว่าเป็นสภาวะที่ มันไม่เป็นอิสระ เราก็เกิดความรู้สึกสงสาร มันก็เป็นอารมณ์ดี เพราะความสงสาร หรอื ความเมตตานนั้ พยงุ ให้เขามีสว่ นเหน็ ตัวเห็น ตนของเขาดว้ ย คนที่เขาด่าแล้ว เราไม่ด่าตอบ เขาจะคิดยังไง เขาก็หยุดได้ เขาก็อาจจะเกดิ ความรู้สึกขอบคุณ ทานองนี้แหละ มนั กเ็ ปน็ การให้ ข้อมูลและก็มีส่วนเรียกว่า พยุง ให้เขา มีส่วนเห็นตัวเห็นตนของเขา ด้วย ถ้าเขาเห็นตัวเห็นตนของเขาว่าไม่ถูกต้อง เขาก็ปรับปรุงแก้ไข มันก็เป็นการหยิบยื่น เหมือนอาหาร อาหารที่มีโทษ มีอันตราย ถ้า เราเอาไปให้คนอื่นเขาทาน เขากิน เขากม็ ีความเดือดร้อน แตถ่ ้าเขา ไม่รับ อาหารก็ย้อนกลับมาหาเราอีก เขาก็มองเราในแง่ว่า คน คน ไม่สมบูรณ์ คนวิปริต คนไม่ปกติ ก็เรียกว่าอย่างนั้น ในท่ีสุดมันก็มี การสังวรสารวมไปในตัว เรำเกิดควำมสังวรสำรวมไปในตัว มันก็ กลำยเป็นธรรม เรียกว่า กำรเป็นธรรมของผู้ปฏิบัติธรรม เพราะ การสังวรสารวมก่อใหเ้ กิดความรู้เหน็ กอ็ าศัยการมสี ่วนอยา่ งนี้ อนั นี้ เป็นข้อคิดในฐานะว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของทรัพยากรที่เรียกว่ามี ความสมบูรณ์ ของความเป็นมนุษย์ ก็เอาไปใช้ เอาไปประพฤติ ปฏิบัติ โลกของเราก็จะ กลายเป็นโลกที่เรียกว่า มีส่วนหน่ึงของคุณ ความดี อาตมาเองก็ไม่มีอะไรดีหรอก รูปขันธ์ร่างกายสังขาร มันก็ อยู่ในสภาพของความเส่ือม ทุกอย่างมันบ่งบอกถึงว่าสัญญาณ สัญญาณของการมีส่วนกับการปฏิบัติ เรียกว่าไม่ใช่พื้นที่ท่ีเราจะอยู่ อีกต่อไป มันก็บ่งบอก ปีน้ีถือว่าทรุดโทรมไปเยอะ แต่ก็ถือว่าเป็น เร่ืองธรรมดา เร่ืองธรรมดา ธรรมชาติ แต่ว่าเราในฐานะว่าท่ีมีส่วน ๕๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ สนใจใฝ่ต่อการเรียนรู้ อาตมาก็พยายามเสียสละเท่านั้นแหละ และ กม็ าทาหน้าที่ในรปู แบบของการพบปะ กไ็ ม่มีอะไรหรอก การพบปะ ก็การให้ข้อมูลรูปแบบของการได้ยินได้ฟัง เราสนใจจริง ๆ เราทาดู กเ็ หมอื นกบั การท่ีเราทานอาหาร อสี านกม็ ักว่า กนิ อาหาร ถา้ เรากิน เรากร็ ูจ้ กั คณุ คา่ ของมัน และรวู้ ่าถ้ากินมากมันก็มโี ทษเหมอื นกนั อนั นกี้ ็เหมอื นกนั ทาความดีเหมอื นกัน เราก็พลอยที่จะรู้จัก กันได้ วันน้ีถือว่ามีโอกาสมาพบปะ ให้อารมณ์ของกรรมฐาน กำยำคตำสติ เวทนำนุปัสสนำสติ จิตตำนุปัสสนำสติ และธรรมำ- นุปัสสนำสติ เป็นส่วนหน่ึงของการเป็นอย่แู บบผู้ เรียกว่า เดิน ตาม รอยของผ้ทู ี่เห็นโทษเหน็ ภัยในวฏั ฏสงสาร มนั จะคลายความรู้สึกใน รูปแบบความเป็นอิสระ มีก็เหมือนกับว่าว่างเปล่า ไม่มีอะไรผูกพัน และก็ทาให้เกิดสันติสุข วิมุตติธรรม นำมำให้เป็นผู้มีอิสระ เป็น ภาระอันเป็นสว่ นหนึ่งของหนา้ ที่ เรากท็ าหน้าที่ของเราอยา่ งนี้ ก็ถือ วา่ มนั เป็นประโยชน์ วันนี้ก็ ใหข้ อ้ คิดในการบอกเล่าเรยี กว่าเป็นส่วน หนึง่ ของสือ่ หยบิ ย่นื ให้กนั ด้วยการได้ยนิ ได้ฟงั ดว้ ยการแสดงออกซึ่ง ความหวังดี เจตนาดี ต่อกัน ขอบุญ คุณงามความดี บารมีธรรม ที่ เราได้มีส่วนสะสมอบรมบ่มเพาะ จงมามีส่วนรวมเป็นตบะ เดชะ คุ้มครอง ปกป้องให้เราท้ังหลายได้มีการเจริญ เจริญในธรรม และก็ มีความสงบสุข ปราศจากความทุกข์ทางใจ ได้มาซึ่งความเป็นผู้มี ท่ี เรียกว่า ความเป็นผู้มีน้าจิตน้าใจโอบอ้อมอารีเป็นที่สรรเสริญว่า อริยะธรรม ธรรมของพระอริยเจ้า วันนี้ให้ข้อคิดมาสมควรแก่ กาลเวลากข็ ออนุโมทนา และกข็ อยุติไวแ้ ตเ่ พียงเทา่ น้ี ๕๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มที่ ๒ เอถะ ปัสสะถิมงั โลกัง จติ ตัง ราชะระถูปะมัง ยตั ถะ พาลา วสิ ีทนั ติ นัตถิ สังโค วิชานะตังฯ ทา่ นทั้งหลาย จงมาดโู ลกน้ี อันตระการตา ดจุ ราชรถ ที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่พวกผ้รู ู้ หาขอ้ งอยู่ไม่ แกน่ ธรรมพระรำชภำวนำวิกรม (เลี่ยม ฐติ ธมั โม) กิจโฉ มะนุสสะปะฏิลำโภ การได้เกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์นั้นถือ ว่ามีส่วนประเสรฐิ สุขภาพทางด้านร่างกายเป็นองค์ประกอบของวัตถุ ที่มา รวมกัน มีการเส่ือมสลายกลับไปสู่สภาพเดิม มองในแง่ให้เกิด ความคลาย ไม่ใช่มองในแงใ่ ห้เกิดความผูกพัน ร่างกายเปน็ วตั ถุ ธาตุท่ีมีส่วนประกอบกับสิ่งปฏิกูลโสโครก ไม่มีอะไรที่น่า ปรารถนา เป็นส่วนหน่ึงของความจริงของสามัญแห่งไตร ลักษณ์ มองกันในแง่ใหเ้ กิดความรสู้ กึ คลายกันบา้ ง ถ้าเข้าใจถูก มันก็อยู่อย่างเป็นอิสระ ลดความร้อน ถอนความ เมา และมีความสงบใจ ฉะนั้น ความมีสติ ศึกษาดู ก็จะเกิด ความรู้สึกว่า พ้ืนที่นี้ สถานท่ีนี้ เราไม่ได้อยู่กันอย่างถาวร เรา อยู่กันแบบชั่วครั้งช่ัวคราว มันก็จะคลาย แต่ส่วนมาก จะถือ ๖๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มที่ ๒ เป็นของเราทั้งหมด เราสุข เราทุกข์ เรายินดี เรายินร้าย เรา ชอบ เราไมช่ อบ มนั เป็นเครอ่ื งบดบงั อยใู่ นสภาพทีเ่ รียกวา่ ไม่ เกดิ ความรสู้ ึกทะลุปรโุ ปรง่ เหมือนกับละครท่ีเขาทาหน้าที่ เล่นให้คนเรารู้สึกเพลิดเพลิน แต่ถ้าเรามองเห็นว่ามันเป็นสิ่งหลอกลวง เราไม่สนใจ และไม่ อยากจะดูด้วย ละครมันก็หมดกาลัง เมื่อมันไม่มีกาลังมันก็ดับ สังขารด้านการปรุงแต่งกเ็ หมอื นกัน ทกุ ขม์ ีเพราะอยาก ทุกขม์ ากเพราะพลอย ทุกข์นอ้ ยเพราะหยุด ทกุ ขห์ ลุดเพราะปล่อย ท่านจึงให้ข้อคิดว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็น ธรรมดา มีความพลัดพรากเป็นธรรมดา มองกันในลักษณะ คลาย สละ ปลง ภาษาท่านเรียกว่าจาคะ - สละส่ิงท่ีมันเป็น ขา้ ศึกแกค่ วามจรงิ ของใจ ในรูปแบบทเ่ี รียกวา่ การปรุงการแต่ง ถา้ มคี วามสงบ เรียกว่าเป็นผอู้ ยู่ในรูปแบบมีวหิ ารธรรม - ธรรม ของการเปน็ อยูข่ องผู้มีความสงบใจ เป็น อสังขตธรรม ธรรมที่ ไมม่ กี ารปรงุ แตง่ อย่ใู นรูปแบบ เห็นเปน็ เพียง ไม่ได้ยินดี ไมไ่ ด้ ยนิ รำ้ ย ปลดปล่อยจำกเคร่ืองผูกพนั เรามกี าย เรากก็ าหนดกาย ปรับความเข้าใจ ให้รสู้ กึ ร้แู จง้ เหน็ จริง ใน สามัญญะ ภาษาก็เรียกว่า วิปัสสนำ - ทาให้มันแจ้ง ฉะนั้น ผู้ปฏิบัติจึงควรสารวมสังวร ท่ีอายตนะ - ทางที่มันมี ส่วนของการผ่าน ผ่านเข้าผ่านออก ตาได้เห็นเกิดอะไรบ้าง หู ได้ฟังแล้วก็มีอะไรบ้าง เราคอยสังเกตเพราะสภาวะอันเป็น ส่วนหนึ่งของเครื่องบดบังน้ัน มันมีส่วนเก่ียวข้อง โลกธรรม ๖๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ ที่มาครอบงา เช่น ตาได้เห็นมันก็มีส่วนของความยินดี ความ ยินรา้ ย ผูเ้ หน็ โทษ เหน็ ภัยในวัฏฏสงสาร เรียกวา่ อเุ ปกขำธรรม - เป็น ธรรมชาติอันบริสุทธ์ิบ่งบอกถึงความรู้สึกในทางให้เกิดความ รอบรู้ ก็อาศยั ความมีการกาหนดรู้ นเ่ี อง การปฏิบัติธรรมเป็นการเกี่ยวข้องกับการดาเนินชีวิตจะอยู่ใน อิริยาบถไหน จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ท่านให้อยู่อย่างมี ความร้สู กึ เรียกวา่ รู้ตวั ทานองนี้ อารมณ์ท่ีทาให้เกิดความสงบใจ ท่านก็เอาในพ้ืนที่ท่ีเรามีอยู่น้ี แหละ คนท่ีเคยผ่านเข้าพิธีกรรมในการเปล่ียนนิสัย เรียกว่า กำรบวช - มนั ก็ตอ้ งเปลี่ยนนสิ ัย ท่านให้ข้อมูลในรูปแบบอาการท่ีมีอยู่ในร่างกายเรานี่ จะเป็น เกสำ โลมำ นะขำ ทันตำ ตะโจ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนท่ีมีอยู่ ในร่างกายท้ังน้ัน เรากาหนดดูอย่างน้ี เกิดความรู้สึกคลาย ความกาหนัด มีความสงบใจ มีกายก็สงัดกาย เรียกว่า กำย วิเวก จิตใจสะอาด อารมณ์สบาย อยู่อย่างความเป็นผู้มีวิหารธรรม ของการเปน็ อยูแ่ บบผู้ เห็นถกู - สมั มำทฏิ ฐิ ความเห็นถูก มักให้ข้อมูลในรูปแบบเครื่องเปรียบเทียบ เหมือนกับแสงสว่าง นัตถิ ปัญญำสมำ อำภำ แสงสว่างเสมอ ด้วยปญั ญาไม่มี จิตใจสูง คือ จิตใจท่ีมีส่วนของคุณความดี คุณความดีก็เหมือน คุณของโลก ๖๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ พระอริยเจ้าท่ีเราให้ความเคารพนั้น ท่านก็อยู่ในรูปแบบของ ความเป็นผู้มีคุณความดี เรียกว่า มีเมตตา เสียสละ ไม่ได้เห็น แกค่ วามทกุ ข์ยากลาบากในการทาประโยชน์ อาตมาถือว่าทุกคนมีความดีอยู่ มีส่ิงท่ีเป็นประโยชน์อยู่ เพียงแต่ว่าเรามา ปรับทิศทำงใหม่ ปรับควำมรู้สึกใหม่ คือ ปรับให้มันเข้าครรลองของ ควำมถูกต้องตำมควำมเป็นจริง เป็นคณุ ความดีที่ให้เกดิ ความสงบใจ เราฝึกกัน เราปฏิบัติกนั ความรู้สึกของความร้อนภายในอันมีส่วนของ รำคัคคิ โทสัคคิ โมหัคคิ เราไม่ส่งเสริม เราไม่เติมเช้ือ สภาพอันนั้น มันก็หมด ไปเองโดยปริยาย เพราะมันไม่มีเช้ือ เพราะเราไม่เห็นว่ามันมี คุณค่า ฉะนั้น พระพุทธองค์ท่านจึงบอกว่าภัยภายในน้ันควรเก็บไว้ใน พน้ื ที่อนั มดิ ชดิ อย่านาออก แต่ถ้าภัยภายนอก เราก็อย่าเอามา มีส่วนสะสม เราจะอยู่ในรูปแบบเรียกวา่ กลั่นกรอง ไตร่ตรอง ให้มันอยู่ในสภาพเรียกว่า มีคุณมีประโยชน์ ความเป็น ประโยชน์ของการอยรู่ ่วมกนั ในสังคม สังคมของเราก็จะเกิดความรู้สึกมีความสงบร่มเย็น ก็อาศัย รู้จัก รู้จัก ละส่ิงที่ควรละ รู้จักเลิกส่ิงที่ควรเลิก รู้จักส่งเสริม สิ่งทีค่ วรจะสง่ เสริม มโนธรรม ที่เรียกว่าอคุ ฆฏิตญั ญู วิปจติ ัญญู เนยยะ ปทปรมะ ว่าเห็นอุปนิสัยของคนเรานั้น มีลักษณะอยู่ ๔ ประเภท ประเภท ๑ นั้น ถือวา่ อินทรยี ์ซ่ึงเป็นสว่ นหน่ึงของการสะสมน้ัน พร้อมแล้ว ท่ีจะสลัด สละคืนทิ้งของหนัก ประเภท ๒ ก็พอมี ส่วนท่ีจะอบรม และก็มีส่วนเสริมด้วย มันก็พร้อม ประเภท ๓ ๖๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ ก็อาศัยมามีส่วนอบรมบ่มเพาะบ่อยๆข้ึน ก็รู้สึกว่ามันพอใจ สังเกตดูไม่ได้เช้ือเชิญ เมื่อมีกิจกรรม ท่ีทางเราได้กาหนดขึ้น ก็ มีส่วนมาโดยไม่ต้องบอกกล่าว และก็มาในส่วนให้ความรู้สึก ด้วย ในท่ีสุด เขาก็มีความเข้าใจ รู้จักละสิ่งที่ควรละ รู้จัก บาเพ็ญส่ิงที่ควรบาเพ็ญ มันก็เป็นความรู้สึกให้มีอินทรีย์ท่ีแก่ กล้า ในที่สุดก็เป็นความรู้สึกท่ีมีความภาคภูมิ มีความสุข ก็ อาศยั อยา่ งน้ี สังคมแบบพระสงฆ์ เรียกว่า ผู้มีความเป็นอยู่ในรูปแบบเห็น โทษเห็นภัยในวัฏฏสงสาร การเป็นอยู่แบบผู้ เรียกว่า มีสติ มี สัมปชัญญะ เพราะสติ ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมที่มี อุปการะมาก เราก็ส่งเสริมกัน เพราะความมีสตินั้นถือว่าเป็น ส่วนหนึ่งของคณุ ความดี เราฝึกฝนกันได้ อารมณ์ของกรรมฐานกพ็ ร้อมอยู่แลว้ เราจะอยู่ในพ้นื ทีไ่ หน อยู่ ในสถานที่ใด กค็ วรทีจ่ ะสานึกเรื่องอยา่ งน้ีให้มาก ๆ เพราะฐำน เป็นท่ีต้ังให้เกิดควำมสงบใจ จะเป็นสมถกรรมฐำน อุบายให้ เกิดความสงบใจ จะเป็นระบบอนุสติ ก็เป็นอาการให้เกิด ความรู้สกึ สงบใจ ถ้าจิตใจมีภูมิคุ้มกัน จิตใจมันสูง น้าท่วมไม่ถึง เราไม่ถูกเปรอะ เปื้อน น้าท่วมไม่ถึง ท่ีมันสูง อันนี้ก็เหมือนกัน อารมณ์ท่ีมันทา ใหเ้ กดิ ความร้สู ึกไม่สงบใจ มนั ก็ครอบงาไมไ่ ด้ เรากพ็ ลอยมีฐาน มีภมู ิคุม้ กัน เราก็เอามาใช้ เขาด่าเรา คือ เขาทดลอง ทดลองว่าเราจะมีปฏิกริยาใน รูปแบบให้เขามีความรู้สึก ถ้าเขาด่า เราก็บอกว่า สาธุ มัน ถูกต้อง เพราะไม่มีอะไร มันเป็นแต่เอาสมมติให้ก็เท่าน้ันเอง ๖๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ท่ี ๒ ถ้ามองย้อนเข้าไปอีก เขาด่า เขาก็ไม่สบายใจ เพราะเขามี ความมัวหมองทางด้านจิตใจ เราจะมองเขาในแง่ให้เกิด ความรู้สึก ว่าเขาถูกครอบงาด้วยสิ่งปกปิด เรียกว่าเป็นสภาวะ ท่มี ันไม่เป็นอสิ ระ เรากเ็ กดิ ความรสู้ กึ สงสาร มนั ก็เปน็ อารมณ์ดี เพราะความสงสาร หรือความเมตตาน้ัน พยุงให้เขามีส่วนเห็น ตัวเหน็ ตนของเขาดว้ ย ถ้าเราเอาไปให้คนอื่นเขาทาน เขากิน เขาก็มีความเดือดร้อน แต่ถ้าเขาไม่รับ อาหารก็ย้อนกลับมาหาเราอีก เรำเกิดควำม สังวรสำรวมไปในตัว มันก็กลำยเป็นธรรม เรียกว่า การเป็น ธรรมของผู้ปฏบิ ัตธิ รรม กินอาหาร ถา้ เรากินเรากร็ ูจ้ ักคณุ คา่ ของมัน และรู้วา่ ถา้ กินมาก มันกม็ ีโทษเหมือนกัน ให้อารมณ์ของกรรมฐานกำยำคตำสติ เวทนำนปุ ัสสนำสติ จิต ตำนุปัสสนำสติ และก็ธรรมำนุปัสสนำสติ เป็นส่วนหน่ึงของ การเป็นอย่แู บบผู้ที่เดนิ ตามรอยของผู้ทเี่ ห็นโทษเหน็ ภยั ในวัฏฏ สงสาร มันจะคลายความรู้สึกในรูปแบบความเป็นอิสระ มีก็ เหมอื นกับว่าวา่ งเปล่า ไม่มีอะไรผกู พนั และก็ทาใหเ้ กดิ สันติสุข วิมตุ ติธรรม นามาให้เป็นผู้มีอสิ ระ ๖๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ พระอำจำรยฟ์ ิลลปิ ำณะธัมโม วดั ปำ่ รตั นวัน ต.วังหมี อ.วงั เขยี ว จ.นครรำชสีมำ แสดงเม่ือวันอำทิตย์ที่ ๙ ธนั วำคม ๒๕๖๑ ณ ศำลำพระรำชศรทั ธำ วัดปทมุ วนำรำม รำชวรหำร นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสมั พุท ธสั สะฯ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสัมพทุ ธัสสะฯ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พุท ธสั สะฯ พุทธัง ธมั มัง สงั ฆัง นมสั สามิฯ ขอโอกาสหมู่คณะ พระเณรทุกท่านทุกรูป ขอเจริญ พร ศรัทธาญาติโยมท้ังหลาย พทุ ธบริษัทพวกเราที่ตัง้ ใจมาประพฤติ ๖๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เล่มที่ ๒ ปฏิบัติท่ีวัดปทุมวนารามในวันน้ี เพื่อเป็นบุญเป็นกุศลเพื่ออุทิศเป็น ราชกุศลต่อองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลท่ี ๙ น้ัน และรัชกาล ท่ี ๑๐ ด้วย เราก็ถือว่าบาเพ็ญบุญบาเพ็ญกุศลด้วยการประพฤติ ปฏิบัติในศีล สมาธิ และปัญญาถูกต้องตามคาส่ังสอนขององค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ อันน้ีเป็นส่ิงท่ีน่าสาธุ น่าอนุโมทนาในกุศลเจตนาของทุก ท่านทุกคนที่นั่งอยู่ ณ ที่น้ี และน่าอนุโมทนาที่คณะสงฆ์ท่ีวัดปทุม- วนารามได้จัดการประพฤติปฏิบัติอยา่ งน้ีข้ึนมา เอ่อ เป็นสิ่งท่ีสาคญั มาก เม่ือเราได้เข้ามา ณ ในสถานท่ีน้ี ก็ได้เห็นต้นไม้ ได้ทาสวน ธรรมชาติขึ้นมา เราก็รู้สึกช่ืนใจเพราะว่าเป็นจุดที่เย็นตาในกลาง เมือง เมื่อเราได้เห็นต้นไม้ที่ร่มเย็นเป็นสขุ ก็ทาใหเ้ กิดความร้สู กึ วเิ วก จากโลกภายนอกวัด และยิ่งเห็นศรัทธาญาติโยมท้ังหลาย มาหลาย หลายร้อยคน เสียสละเวลาของส่วนตัวให้มาเอาเวลานน้ั มาบูชาคณุ พระพทุ ธ คณุ พระธรรม และคณุ พระสงฆ์ เราก็อดความสาธุ ดีใจ ตื่นเต้น ภูมิใจแทนญาติโยม ไม่ได้ เพราะว่าแสดงถึงว่าเราเป็นผู้ที่แสวงหาปัญญา แสวงหา ความรู้ในชวี ติ พฒั นาตนเอง เราก็เขา้ มาเพ่ือพัฒนาตนเองนั้นท้ังกาย และท้ังจิต พัฒนาตนเองเพ่ือเจริญทางโลกและเจริญทางธรรม ก็ เป็นสิ่งท่ีเรียกว่าหาได้ยากในสามแดนโลกธาตุนี้ ทีนี้ อาตมาเองก็ได้ เล่าให้ท่านเจ้าคุณฟังว่า สมัยก่อนเคยมาวัดปทุมฯ เป็นวัดท่ี ๒ ท่ี เคยเข้ามาในประเทศไทย ใน ๔๐ ปีที่แล้ว ตอนยังเป็นผ้าขาวอยู่ เดินทางจากประเทศออสเตรเลียต้ังใจมาบวชในพระพุทธศาสนาก็ มาลงที่ดอนเมือง แล้วกน็ ่ังแทก็ ซ่ีมาลงท่ีวัดบวรฯ วดั บวรนเิ วศวิหาร กไ็ ดพ้ กั อาศยั ทวี่ ดั บวรฯ ถอื ศลี ๘ ท่ีนั่น เตรียมท่จี ะบวชอุปสมบทใน ๖๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ พระพุทธศาสนา บวชเป็นสามเณรและภิกษุในพุทธศาสนา ก็ได้ โอกาสตามพระมาท่ีวดั ปทุมวนารามนี้ มาเยี่ยมพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ที่รู้จักอยู่ ท่านพักอาศัยที่นี่ ก็เลยมา ๔๐ ปีท่ีแล้ว นั่งรถเมล์มาจาก หน้าวัดบวรฯ ก็เลยรู้สึกว่าสถานท่ีน้ี เป็นสถานท่ีที่เราคุ้นเคย สถานที่นี้เป็นสถานที่ที่เราถือว่าเป็นสถานที่โบราณ ท่ีศักด์ิสิทธิ์ท่ี มหากษัตริย์เคยสร้างข้ึนมาเพ่ือถวายแก่พระศาสนา และพ่อแม่ครู บาอาจารย์หลวงปู่ม่ัน หลวงปู่อุบาลีฯ เจ้าคุณอุบาลีฯ ก็เคยมาพัก อาศยั และกเ็ คยมาปฏบิ ตั ิ ณ ที่นี้ ก็เลยถือวา่ เปน็ ดินแดนศกั ดิส์ ิทธิ์ และเมื่อเราเข้าในแดนศักด์ิสิทธิ์แล้ว พวกเราทั้งหลายก็ จะต้องมีการเคารพสถานที่น้ัน ด้วยความน้อมจิตระลึกถึงวา่ เม่ือเรา เข้าที่น่ีแล้ว เราจะทากายให้ศักด์ิสิทธิ์ วาจาให้ศักดิ์สิทธิ์ จิตใจให้ ศักด์ิสิทธ์ิด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรม ก็เลยในวันน้ีเราจะแสดง ธรรม เรื่อง “การภาวนา” เพราะเราดูแล้ว ญาติโยมทั้งหลายก็เป็น ผู้สนใจ คาว่า “ภาวนา” ทางพระพุทธศาสนา เป็นคาท่ีกว้างขวาง มาก มีความหมายไม่เฉพาะน่ังสมาธิ เดินจงกรม พระพุทธเจ้าใช้คา ว่า “ภำวนำ” ในแนวที่ “ปรำรถนำตนเองให้เจริญ” การปรารถนาตนเองให้เจริญเพ่ือเป้าหมายอันดี อันงาม อันสุขสบาย เป้าหมายท่ีจะได้พาจากการพ้นทุกข์ การทาให้เจริญ เจรญิ ทางโลก เจริญทางธรรม ก็ต้องอาศัยการฝึกการหัด การอบรม ตนเอง การปฏิบัติพัฒนาตนเอง เราก็แบ่งแยกออกเป็น ๔ ประการ พระพุทธเจ้าบอกว่าประการที่ ๑ ก็ต้องกายภาวนา – ทาให้กาย เจรญิ ทาใหก้ ายเจริญ เมอ่ื เราเกดิ ขึ้นมาในโลกนี้ พ่อแม่เปน็ ผทู้ ่ีเลี้ยง กายเรา ดูแลกายของลูกให้เติบโต เอาอาหารที่จะได้เป็นเคร่ือง บรโิ ภค ทปี่ ลอดภยั ท่ีไม่มีโทษ ทีจ่ ะทาให้ลูกใหเ้ จรญิ ใหก้ ายสมบูรณ์ ๖๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ ในเมื่อเราทาใหก้ ายสมบรู ณน์ น้ั กพ็ อ่ แม่ครอู าจารย์ ผู้หวงั ดี ก็จะอบรมสั่งสอนเรา จูงเราให้เจริญด้วยกริยามารยาท ให้เป็นคนที่ รจู้ กั สงู ร้จู กั ต่า รู้จกั ควร รจู้ กั ไม่ควร ละ งดเวน้ สง่ิ ที่ไม่ควร ทาให้เรา รู้จักมารยาท รู้จักสังคม พัฒนาให้เป็นสุภาพสตรี สุภาพบุรุษ เพื่อ ทาใหก้ ายเจริญ เพ่อื เข้าสังคมได้ เพอื่ รู้จักสงู รู้จกั ต่า รจู้ ักดี รจู้ ักงาม น่ีล่ะ การพัฒนากายน้ี เราก็ถือว่าเป็นการสอนให้เราอยู่ในระบบ สังคมได้ อยู่ในครอบครัวได้ และเราก็ต้องทาให้กายเจริญ เจริญ ในทางทเ่ี ลี้ยงชีวติ ของเรา ใหถ้ ูกต้องดีงาม การเล้ียงให้กายเจริญน้นั พระพุทธเจ้าท่านให้เรา ให้มีกาย ให้เปน็ “สมั มาอาชโี ว” เปน็ การเลี้ยงกายให้ถูกต้อง เพ่ือไม่มโี ทษแก่ ตนเอง เพื่อไม่สร้างกรรมสร้างเวรแก่ตน และไม่มีโทษแก่ผู้อ่ืน ไม่ เบียดเบียนผู้อ่ืน ในการเล้ียงชีวิตของเรา นี่จะทาให้กายเจริญทาง โลก คือ หาอาชีพที่ไม่เบียดเบียน หาอาชีพท่ีเรียกว่า สัมมาอาชีโว เว้นจากส่ิงท่ีเบียดเบียนผู้อ่ืน สัตว์อื่นท้ังหลาย เมื่อเราทาอาชีพท่ี เป็นสัมมาอาชีโวน้ัน เรียกว่า เราก็พัฒนาตนเองโดยไม่สร้างกรรม สร้างเวร น่ีก็ทาให้กายเจริญทางโลกได้ ก็ต้องอาศัยความอดทน อาศยั ความเพียรพยายาม ต้องอาศัยความขยัน ต้องอาศัยความไหว พรบิ รวดเรว็ เพื่อแก้ปญั หาท่ีจะเกิดขึน้ ในชีวิตของเราได้ กายเจริญน้ัน มันก็ต้องอาศัยบารมี ๑๐ ประการท่ีจะทาให้ อยู่ในโลกดว้ ยความเจริญ เรากร็ ู้กันอย่วู ่า โลกน้ีมันจะชมความรู้ทาง โลก คนจบสูง ๆ เรียนสูง ๆ อยู่ก็ถือว่าเป็นคนเก่ง เด๋ียวนี้พวกญาติ โยมทงั้ หลายอยากจะให้ลูกเรียนเป็นดอกเตอร์ เพอื่ วา่ อยากให้เรียน สงู ๆ แตถ่ ้าหากว่าเรยี นเป็นดอกเตอร์ แต่ไมม่ ีคุณธรรม ไอคิวสงู แต่ อีคิวไม่มี ไอคิวสูงหมายถึงว่าเป็นคนฉลาด แต่อีคิวไม่มีแปลว่า ไม่มี ๖๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ท่ี ๒ คุณธรรม ท่ีจะประกอบความฉลาดน้ัน ก็จะทาให้เกิดโทษแก่กาย เกดิ โทษแกจ่ ติ ใจ เกดิ โทษแกช่ ีวติ แต่ถ้าหากว่า คนมีควำมเจริญในคุณธรรม เช่น เจริญใน บำรมี ๑๐ ประกำร เป็นคนท่ีมีควำมเอ้ือเฟอื้ สุนทรทำน เป็นคนมี ศีลมธี รรม เปน็ คนขยันหมั่นเพียร เป็นคนทม่ี ีควำมอดทน เป็นคน ที่ขยัน มีอธิษฐำนบำรมี มีควำมต้ังใจม่ันในกำรทำอะไรให้สำเร็จ มเี นกขัมมะบำรมี มีควำมสละ เสยี สละแกผ่ ู้อืน่ และสังคม ตวั งาน ตวั การ ตัวหน้าทนี่ ้นั มีความขันติ มีความพยายาม มีศีลดี ศีลงาม มี ความซื่อสัตย์สุจริต เป็นคนมีสัจจะบารมี มีคุณธรรมอย่างนี้ก็ทาให้ เจริญได้ อาจจะไมไ่ ด้จบเรยี นสงู กไ็ ด้ แต่วา่ มคี ณุ ธรรมเปน็ พืน้ ฐาน แต่ถ้าหากว่าเราจบเป็นดอกเตอร์ หรือลูกหลานจบเป็น ดอกเตอรแ์ ต่เปน็ คนข้ีเกียจขี้ครา้ นกไ็ ม่เจริญ เป็นคนท่ีไม่มศี ลี ธรรมก็ มีโทษ เป็นคนไม่ซ่ือสัตย์สุจริตมีโทษ อ้า! ให้คิดดี ๆ เราอยากได้ คนงานในบรษิ ทั เรา คนงานทที่ างานร่วมกันกับเราที่เป็นคนท่ีขโ้ี กรธ ข้โี มโห ไมม่ ีศีลไม่มธี รรม ไม่มคี วามซ่ือสัตยส์ ุจรติ เป็นคนข้เี กียจไหม ... เปล่า ไม่อยากได้ เราก็ต้องการคนท่ีมีศีลมีธรรม มีความดีงาม ความถกู ตอ้ ง มคี ณุ ธรรมอยู่ เม่ือเราต้องการอย่างน้นั เราก็เหน็ อยวู่ า่ ส่ิงท่ีที่จะทาให้เจริญในโลกนี้ ไม่ใช่ความรู้ ความฉลาดทางโลกอยา่ ง เดียว ก็ต้องมีศีลธรรม มีจริยธรรม มีคุณงามความดีด้วย น่ีจะทาให้ กายเจริญ กายเจริญจะทาให้เลี้ยงชีวิตถูกต้องดีงาม และต่อไป พระพุทธเจ้าบอกวา่ “สลี ภำวนำ” กต็ ้องทำให้เจริญทำงศลี ธรรม การเจรญิ ทางศลี ธรรม เรียกวา่ ภาวนาเหมือนกัน โยมวนั น้ี ก็ได้ต้ังใจสมาทานศีล ๕ นั้น ก็ทาให้เราได้ทาให้กายและวาจาของ เราเจริญ จากผู้ประมาทให้เป็นผู้ไม่ประมาท เป็นผู้ไม่ระมัดระวัง ๗๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ท่ี ๒ เร่ืองวาจาเป็นผู้ระมัดระวังส่ิงท่ีเราพูดด้วยปากของเรา ด้วยสิ่งที่เรา เขียนอยู่หรือรวมทั้งส่ิงที่เราลงในไลน์ เอ่อ วันน้ีมีญาติโยมมาถาม อาจารย์อยู่ว่า การเขียนอะไรทางไลน์น้ัน ทางมือถือผิดศีลได้ไหม – ได้ เพราะว่าเป็นการส่งความรู้ ความเข้าใจต่อกัน ระวัง เรากับ บุคคลอ่ืน ถ้าเราใช้ไลน์นั้นด้วยความเสียดสี ส่อเสียด หรือเพ้อเจ้อ น้ัน ก็ถือว่าผิดศีลได้ ก็เลยให้เราระมัดระวังในการใช้เทคโนโลยี ทัง้ หลาย น่ีกท็ าใหเ้ ราผดิ ศลี ได้เหมอื นกนั เราก็อยู่ในศีลในธรรมน้ัน เราก็จะพัฒนากาย เราจะพัฒนา วาจาให้เป็นผู้มีหิริ มีโอตตัปปะ เป็นพ้ืนฐาน มีหิริ มีโอตตัปปะเป็น พื้นฐำนของกำรมีศีลมีธรรม คือเรำมีควำมเกรงกลัวต่อบำป ทั้งหลำย มีควำมระมัดระวังต่ออกุศลท้ังหลำย ไม่กล้ำพูดในส่ิงที่ ที่ไม่ถูก ในสิ่งที่ไม่จริง ไม่กล้ำทำในสิ่งท่ีมีโทษแก่ตนเอง สร้ำง กรรม สร้ำงเวรกับใคร ไม่กล้ำเบียดเบียนใคร ไม่กล้ำสร้ำงเวรกับ ใคร นี่เรียกว่าเรามี “หิริ” มีความระวังตัวต่ออกุศลทั้งหลายทั้งปวง น้ัน เมื่อเรามีความระวังตัวนั้น มันก็จะได้มีสติสัมปชัญญะคุมการ กระทาของตน นัน่ เหมือนเราอยูต่ อ่ หน้าพระพุทธเจา้ ตลอดเวลา พระพุทธเจา้ ได้โปรดแสดงธรรมไวว้ ่า เรารู้ตนวา่ ทาอะไรอยู่ และพูดอะไรอยู่ เทวดาก็รู้เราเช่นเดียวกัน เราไม่ได้อยู่คนเดียวใน โลกนี้ ไม่ว่าเราอยู่ในห้อง อยู่คนเดียวในห้องนั้น อยู่บ้านตัวเอง ไม่มี ใครอื่นอยู่ด้วย แต่เทวดาท่านสามารถท่ีจะรู้เราได้ รู้การกระทาของ เราได้ ท่านสามารถที่จะรู้เราได้ ก็เลยเราไม่ได้ท่ีจะอยู่คนเดียว เทวดาเป็นพยานการกระทาของพวกเรา เทวดาเป็นผู้รู้การกระทา ของพวกเรา เม่อื เราสานกึ ระลกึ อย่างนนั้ เราก็จะมคี วามเกรงกลัว มี หิริ มีโอตตัปปะ ระวังมากขึ้น ก็น่ีแหละ เราก็ถือว่ามันก็เป็นสิ่งที่ดี ๗๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ เหมือนมีเทพเทวดาคุมเรา มีครอู าจารยค์ มุ เรา ตรวจเรา การกระทา ของเรา เราก็เลยมีความเกรงกลัวต่ออกุศลทั้งหลาย ไม่กล้าทาบาป ทาอกศุ ลได้ ด้วยกายและวาจา การทาให้ศีลธรรมมันเจริญ มันก็เป็นส่ิงท่ีเราค่อยๆ ปรารถนาอยู่ ตอนแรกเราอาจจะรักษาศีล ๕ อยู่ แต่ว่าทีหลัง วัน สาคัญ เช่น วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันออกพรรษา เข้าพรรษาอย่างนี้ เราก็มีความต้ังใจถือศีล ๘ ถือศีล ๘ เพ่ือเป็น เคร่ืองบูชาคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ – เป็นการปฏิบัติบูชา พระพุทธเจ้าได้ตรัสพระสูตรอยู่ ไว้ว่าถ้ามีมหากษัตริย์ มหากษัตริย์ ท่านอยากทาบุญใหญ่ อยากได้บุญ อยากได้กุศล อยากได้อานิสงส์ มากจากการทาบุญ ถ้ามหากษัตริย์องค์นั้นเอาทองท่ีเป็นแท่งๆ เท่ากับ ๑ โกฏิ แล้วไปบริจาคประชาชน ท่านได้บุญมาก หา ประมาณไม่ได้ ถ้าเอาเงินมา ๑ โกฏิ มาแจกประชาชน ก็ได้บุญ ถ้า เอาทองแดงแจกบริจาคไปไดบ้ ุญมหาศาลหาประมาณไม่ได้ ท่านเอา ชา้ ง ๑,๐๐๐ ตัว เอาวัว ๑,๐๐๐ ตวั เอาสัตว์มาพัน ๆ ตัวเอามาแจก ชาวบ้าน ท่านได้อานิสงส์บุญ ได้สร้างประโยชน์ ได้สร้างบุญกุศล มาก ดว้ ยการใหท้ าน แต่บุญท่ีจะเกิดขน้ึ แก่มหากษตั ริย์น้นั มันยังไม่ เท่ากับมหากษัตริย์ถอื ศลี ๕ ไมไ่ ด้ ถา้ มหากษตั รยิ น์ ้ันถือศีล ๕ นน้ั บุญยังมากกวา่ อานสิ งส์ยัง มากกว่าการทาบุญใหญ่น้ัน และท่านแสดงต่อไปว่าถ้ามหากษัตริย์ นั้นได้เจริญเมตตาภาวนา แม้แต่ขณะพริบตา แป๊บเดียว ขณะ พริบตานั้น ถ้าได้เจริญเมตตาโดยสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง แผ่ไป ๔ ทิศ ๘ ทิศ มหากษัตริย์น้ันจะได้บุญมากกว่าการทาบุญใหญ่นั้น และถ้าว่ามหากษัตริย์น้ันองค์น้ันได้พิจารณา อนิจจสัญญำ – ๗๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ท่ี ๒ พจิ ำรณำว่ำสังขำรทัง้ หลำยทั้งปวงไม่เที่ยงหนอ มีควำมเสอ่ื มเป็น ของธรรมดำ แม้แต่ขณะพริบตาอยู่ คิดแค่สั้น ๆ นิดเดียว อานิสงส์ ยังมากกว่าการทาบุญใหญ่น้ัน เพราะอะไร ทาไมพระพุทธเจ้าโปรด อย่างนนั้ แม้วา่ การทาบุญทาทานนัน้ พระพทุ ธเจ้าสรรเสริญอย่างย่ิง การให้ทานมันสาคัญ แต่ว่าไม่ได้พาให้พ้นจากนรกนะ บางคนใจ ใหญ่ ใจสปอร์ต ให้ทานอยู่ แต่ยังไม่ละบาปก็มี ยังทาบาปด้วยกาย และวาจา ยังทาอกุศลด้วยกายและวาจาอยู่ ก็เลยยังไม่พ้นจากนรก ได้ แต่ถ้าหากว่าเรารักษาศีล ๕ น้ัน มันก็เป็นทางที่จะทาให้มี อานิสงสเ์ กิดขนึ้ ข้อที่ ๑ ตายแล้วกจ็ ะต้องเกิดในตระกลู ท่ีดี เกดิ เป็น มนุษย์ และในตระกูลที่ดี ข้อท่ี ๒ ถ้าไม่ได้เกิดในตระกูลท่ีดี ก็เกิด เป็นเทวดา อ้า! ประสูติเป็นเทวดาอยู่ เสวยสุขในสวรรคโลกน้ัน แต่ ถ้าไม่ได้เกิดในตระกูลท่ีดีหรือเกิดเป็นเทวดานั้น ต้องนิพพาน มีแค่ ๓ อย่างนี้ เป็นอานิสงส์จากการมีศีล ๕ น้ันล่ะ จะปิดประตูนรก เพราะเราละบาปทง้ั หลายทัง้ ปวง การละบาปน้ันมันก็เร่ืองสาคัญมาก ๆ เราจะละบาปด้วย การสารวมกาย วาจาของเรา ไม่ล่วงละเมิดในศีล ๕ นั้น อันนั้นเปน็ เหตุให้ครูบาอาจารย์ท้ังหลายพูดแล้วพูดอีก พูดเรื่องศีล ๕ เพราะ อยากให้พวกศรัทธาญาติโยมทั้งหลายใหเ้ ป็นผู้ท่ีวา่ มีความสุขความ เจริญท้ังชาติน้ีและชาติต่อไป และจะทาให้ถึงกระแสของพระ นิพพานได้ ทาให้โภคทรัพย์เกิดข้ึน ทาให้เข้ากระแสของนิพพานได้ เราก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ในชาตินแ้ี ละก็ต่อไปด้วย ที่จะได้ บาเพ็ญคุณงามความดีด้วยกายและจิตใจของเราให้อยู่ในคุณงาม ความดตี อ่ ไป การทาให้ศีลทาใหเ้ จรญิ มันกท็ าให้เราพัฒนาตนเอง ๗๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ท่ี ๒ ถ้ำหำกว่ำบุคคลใดเจริญเมตตำภำวนำ เจริญเมตตำ ภำวนำนน้ั ถำ้ เจรญิ จนถงึ จิตใจมีเมตตำสม่ำเสมอมนั ก็ทำให้จิตใจ เบิกบำน จิตใจสว่ำงไสว จิตใจมีปีติสุข จิตใจเป็นอันเดียวกันกับ สัตว์โลกทั้งหลำย เป็นเอกัคคตำรมณ์ ไม่ได้แยกแยะผู้อื่นกับตัว เรำ เป็นอันเดียวกัน มีควำมเมตตำ ควำมหวังดี ต่อสรรพสัตว์ ทั้งหลำยทัง้ ปวงในสำมแดนโลกธำตนุ ี้ เมื่อเรามเี มตตานนั้ มันทาให้ ไปพรหมโลกได้ นี่เป็นเหตุท่ีมีอานิสงส์มากมีผลมาก แต่ถ้าเราเจริญ จิตตภาวนานั่นนะ คือ อนิจจสัญญา คือ พิจารณาว่าทุกสิ่งทุกอย่าง มันมีความไม่เท่ยี งหนอ ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งมคี วามเสื่อมเป็นของธรรมดา จะทาให้เป็นผู้ไม่ประมาท จะทาให้เกิดสติปัญญาข้ึนมา วิปัสสนา ข้ึนมา เห็นชัดเจนในสภาวธรรม รู้ตามความเป็นจริงได้ บรรลุเป็น พระอรหันต์ได้ ก็เลยน่ันเป็นเหตุท่ีมีอานิสงส์มาก มีผลมาก ก็เลย พวกเราท่านท้ังหลาย ที่เราจะทาให้ศีลเจริญ ก็เร่ืองสาคัญ เราก็ทา ใหจ้ ิตตภาวนา คอื จิตใจเจริญดว้ ย กายภาวนา สีลภาวนา ข้อท่ีสาม คือ จิตตภำวนำ ทำให้จิตใจของเรำเจริญ เรา จะทาให้จิตใจเจริญอย่างไร ข้อท่ี ๑ เราก็ต้องรู้สภาวะจิตของเรา มันเปน็ ยังไง ถ้าเรามาน้ันนะ เราก็ตอ้ งพยายามมาฝึกจิต อยำ่ งน้อย ให้เกิดควำมสงบ ทาไมเราจะต้องมาฝึกจิตให้เกิดความสงบ เพราะว่าเมื่อเราฝึกจิตให้เกิดความสงบ ข้อที่ ๑ ท่ีเราจะเห็นอยู่ว่า จิตใจของเรามันไม่สงบ เหมือนหลวงพ่อไม่มีโอกาสเหมือนโยมนะ โยมได้เปรียบเยอะเพราะอยู่ในประเทศไทย อยู่ใกล้วัด อยู่ใกล้ ศาสนา อาตมาอยู่ต่างประเทศ ไปเกิดประเทศออสเตรเลีย ไม่รู้จัก พุทธศาสนาเลย แต่ว่ามีบุญอยู่ได้อ่านหนังสือตอนอายุ ๒๐ เร่ือง ๗๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ท่ี ๒ พุทธศาสนา อ่านเล่มแรกแล้ว อ่านตลอดคืน อ่านถึงอริยสัจ ๔ ก็ เกิดศรทั ธา รูว้ ่าเมื่อจบเลม่ นน้ั อ่านตลอดคืน ร้วู า่ เป็นชาวพุทธแลว้ ศรัทธาในพุทธศาสนา ก็เลยก็อยากจะรู้เรื่องพุทธศาสนา สมัยนั้น ที่ประเทศออสเตรเลียหาธรรมะยาก พระก็ไม่มี ไม่รู้จะหา ชาวพุทธที่ไหนก็เลย ก็ได้ดูในสมุดโทรศัพท์อยู่ ก็เห็นว่ามีสมาคม พุทธอยู่ในบ้านเกิดอาตมาอยู่ที่แอดิเลด (Adelaide) ก็เลยไปท่ี สมาคมพุทธน้ัน ก็ไปเข้าไป วันแรกที่เข้าไปในสมาคมพุทธก็เห็นเขา เขียนศีล ๕ ในห้องประชุม ข้อที่ ๑ ปาณาติปาตา อทินนาทานา แล้วมีคาแปลเป็นภาษาอังกฤษ กาเม มุสา สุรา อ้าว เราก็อ่านคา แปล เป็นคร้ังแรกที่เราเคยเห็นศีล ๕ ทางพุทธศาสนา แต่อาตมามี บุญที่ว่าพ่อแม่เคยปลูกให้เคารพศีลอยู่แล้ว แต่วันแรกท่ีเห็นศีล ๕ ในพระพุทธศาสนา แลว้ อ่านแต่ละขอ้ เม่อื อา่ นทั้ง ๕ ข้อแลว้ ได้ถาม ตนเองว่าถ้าบุคคลใดในโลกนี้ ถือศีล ๕ น้ี เราจะเคารพว่าเป็นคนดี ไหม เราก็เลยตอบในใจว่า เออ ต้องเคารพเป็นคนดี ถ้าคนไหน น้ันน่ะถือศีล ๕ ก็ต้องเป็นคนดี ในสังคม ในโลก และสังคมจะ ยอมรับเปน็ คนดี ไมต่ อ้ งวา่ ประเทศไหน เขาต้องถือว่าเปน็ คนดี กไ็ ด้ ถามตนเองว่าเราอยากเป็นคนดีไหม เราก็เลยตอบอยากเปน็ คนดี ก็ เลยส่ังตนเองว่าถ้าอยากเป็นคนดี เราต้องถือศีลทง้ั ๕ ขอ้ นีต้ ลอดไป จากวันนี้ตลอดไป ก็เลยอธิษฐานศีล ๕ น้ันวันนั้น แล้วก็ พยายามรักษาตลอด บางครั้งกเ็ ผลอ กม็ ี แต่ว่าเรามีความตั้งใจ เม่ือ เผลอแล้วอธิษฐานอีก แต่ไม่เคยรับศีล ๕ จากพระไม่เคย มะยัง ภันเต ซะที ยงั ไม่เคยเหน็ หน้าพระเลย แต่เมอื่ เราเหน็ ด้วยปัญญาว่า ส่ิงอันนั้นดี สิ่งอันน้ันมีคุณ ส่ิงอันน้ันเป็นประโยชน์ต่อตนและผู้อื่น เราก็มีแสงสว่างเกิดข้ึนแก่เราว่า นี่แหละควรทา น่ีเรียกว่าเราน้อม ๗๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ เข้ามา ธรรมะท่ีเราเห็นอยู่ ธรรมะ ๔-๕ ข้อนี้ของพระพุทธเจ้า เรา น้อมเข้ามา โอปนยิโก น้อมเข้ำมำหำตนเอง เม่ือเราเห็นว่าดีงาม ใจของตนเองเราอธิษฐานเอา เราประพฤตปิ ฏบิ ตั ิเอา ไมต่ ้องมีคนมา ช้ีนา ไม่ต้องมีคนบอก ไม่ต้องมีคนสั่งให้ทา เราก็เห็นว่าอันนี้แหละ เป็นทางที่จะทาให้เจริญ แสงสว่างเกิดข้ึนในชีวิตได้ จะไปในทางดี นนั่ นะ มนั กเ็ ลยอธษิ ฐานอยู่ น่ี พวกญาติโยมทั้งหลายยง่ิ บุญมากกว่า เกิดเป็นชาวพุทธ เกิดในพุทธศาสนา พ่อแม่จูงเข้าวัด จูงมาใส่บาตร อยูต่ ้งั แต่เล็กตั้งแตน่ ้อย ยงั ไดฟ้ งั เทศน์ฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ โอ้ มีโอกาสมากมาย ก็ถือว่าเรามีบุญมาก มีอานิสงส์มาก เราก็เลยต้อง รักษาเอาไว้ ไม่ประมาทเร่ืองบุญ ไม่ประมาทเรื่องอานิสงส์บุญเก่า ไม่ประมาทเรือ่ งอานิสงส์บุญเก่าทไี่ ด้นามาถึงจุดอันนี้ ทีน้ี เมื่อเราจะทาให้จิตเจริญ อาตมาก็ได้เข้าไปที่สมาคม พุทธแล้ว อยากจะฝึกการนั่งสมาธิ เพราะอะไร เพราะเราก็เห็นว่า เราก็อยากให้โลกนี้สงบสุข อยากให้คนเมตตากัน ไม่เบียดเบียนกัน แตต่ นเองกย็ ังมีกิเลสตัณหา ยังมีโทสะบา้ ง ยังมคี วามไม่พอใจบา้ ง มี ความพอใจบ้าง มีความหลงบ้าง มีความเผลอบ้าง เอ๊ ถ้าเราไม่สงบ เรายังไม่มีเมตตาเสมอภาค เราจะให้คนอื่นถูกใจเราได้ยังไง เรายัง ไม่ถูกใจตัวเอง ก็เลยขอให้เขาสอนวิธีน่ังสมาธิอยู่ ตอนแรกก็น่ังไม่ เป็น แต่เราพยายามนั่งดูลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ทีนี้ อาจารย์ ท่ีสอนเป็นฆราวาส บอกว่าให้นับลม อาตมาก็น่ัง เอ๊ เราตอนแรกก็ คิดว่าเราเป็นนักวิทยาศาสตร์นะ เอ่อ เราก็เป็นผู้ท่ีสามารถที่จะคุม จิตของเราได้ แต่เวลาพยายามน่ังนับลม ๑-๑๐ โดยไม่ลืม โอ๊ย ใจ มันเผลอ ใจมันไปนี่ ไปน่ัน ก็เลยตกใจ ข้อท่ี ๑ การน่ังสมาธิ ทาให้ เราตกใจ ตกใจทาไม เพราะเราเห็นว่าเราไม่สามารถที่จะปกครอง ๗๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ จิตใจตัวเองได้ ทาไมจิตใจไม่สงบ ทาไมจิตมันอยากคิดเร่ืองนี้ คิด เรือ่ งน้นั แคด่ ูลมหายใจเข้า ลมหายใจออก และนับลมแค่ ๑-๑๐ ยัง ไม่ได้ ๑-๑๐๐ ก็ไม่ได้ มันขาดไป มันหายไป มันเผลอไป ก็เลย ส่ิง แรกท่ีเราจะรู้จากการฝึกจิต เราจะเห็นว่าจิตนี้จะเป็นส่ิงท่ีนา ความสุขหรือทกุ ข์แก่เรา ถ้าเราฝึกจิต เราจะต้องอยู่กับจิตนี้ตลอดกาล ท้ังชาตินี้ และชาติต่อไป ถ้าเราไม่ฝึกปฏิบัติจิต พัฒนาจิตใจน้ีให้มีสติ ให้มี สัมปชัญญะ ใหม้ สี มาธิ จติ นีจ้ ะพาไปทางไหน ไมร่ ู้ จะพาไปดไี ม่ดี ไม่ รู้ จะพาไปสุขหรือทุกข์ก็ไม่รู้ เราต้องให้เป็นผู้ปฏิบัติเพ่ือความรู้ ต่อไป ก็เลยเกิดความต่ืนตัว ตื่นตัวน้ันล่ะ ทาให้เกิดการพัฒนาจติ ใจ พวกญาตโิ ยมท้งั หลายต้องต่นื ตวั ตอ้ งตื่นตัวว่าจิตนเ้ี ป็นของอัศจรรย์ ของประเสริฐ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าจิตน้ีสามารถบรรลุธรรมได้ จิต น้ีสามารถท่ีจะเกิดพลังจิต - คือจิตบริสุทธิ์ จิตสะอาดได้ เกิดแสง สว่าง เกดิ สติปญั ญา รู้สง่ิ ทอ่ี ศั จรรยไ์ ด้ รู้เทวดา ร้สู ัตว์ในภพอนื่ ได้ นี่แหละ เราจะพัฒนาจิต ก็เป็นเร่ืองสาคัญ ก็เลยกาย ภาวนา สีลภาวนา แลว้ กม็ ีจิตตภาวนา พัฒนาจิตใจให้เจริญ ข้อที่ ๑ เราก็ตอ้ งพยายามฝึกให้มันสงบเพื่อท่ีจะไดล้ ะความวุ่นวาย ละความ เดือดรอ้ น ละความร้อนใจ ละความโลภ ความโกรธ ความหลงในจติ ในใจ ให้มันเย็นลง ให้มันสบาย ให้มันสงบ แต่ว่าต้องค่อยๆเป็น ค่อย ๆ ไป มันอาศยั การฝึกหดั ไมใ่ ช่วา่ จะไดเ้ ร็ว ๆ จะได้งา่ ย ๆ ต้อง อาศัยการฝึกหัด อาตมาฝึกหัดย่ิงลาบากกว่าโยม ไม่มีอาจารย์ ต้อง ทาเอาเอง ตอนเป็นฆราวาสอยู่ ตอนนั้นเป็นครูสอนชีววิทยาอยู่ ก่อนจะไปโรงเรียน น่ังสมาธิตอนตี ๔ คร่ึง ลุกทุกเช้า น่ังสมาธิ สรง น้า อาบนา้ ไป กน็ ่งั สมาธิ ตอนแรกนง่ั ๑๕ นาที มนั เจ็บมันปวด โอ๊ย ๗๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มที่ ๒ ไม่ไหว อ่า แต่ก็พยายามทุกวัน และตอนเย็นก็น่ังอีก ๑๕ นาทีกลับ จากทท่ี างาน เพ่ือคลายอารมณ์ คลายความรู้สึกออกไป ตอนเชา้ เรา ก็พยายามน่ังสมาธิดูลมหายใจ นับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก สบาย เพ่ือทาให้จิตเย็น จิตสบายเพื่อรับอารมณ์ท่ีจะเกิดข้ึนในวัน นั้น และในชีวิตประจาวัน ให้มีสติสัมปชัญญะในชีวิตประจาวัน ต่อเนื่อง สม่าเสมอ มันก็ขาดบ้าง ลอยบ้าง ธรรมดา แต่ให้มีความ พยายาม เม่ือเราฝึกอย่างน้ี มันก็ค่อย ๆ เป็นกาลัง เราเห็นอยู่ว่า ก่อนเรานั่งและหลังจากเราน่ัง จิตเป็นยังไง ก่อนเรานั่ง เราก็มี ความรู้สึก เอ๊! จิตมันไม่ค่อยสงบ มันเครียดหรือมันวนุ่ วาย หลังจาก เรานงั่ เอ๊ มนั ดขี ้ึน เราเหน็ วา่ มันดีข้ึนเลก็ ๆ นอ้ ย แตเ่ หน็ อานิสงส์ นี่ การดีขึ้นเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เป็นบุญแล้ว เป็นอานิสงส์แล้ว เป็นการ พฒั นาจิตใจให้เจริญ ก็เลยญาตโิ ยมท้ังหลายนี่ละ่ เราจะทายงั ไงที่จะ พัฒนาจิตใจเราให้เจริญ ข้อท่ี ๑ ข้อสาคัญ กว่าจะมาเทศน์ ณ ท่ีน้ี จะพูดแล้วพูดอีก หลังพูดเรื่องศีล ก็คือสติ สติให้ระลึกได้ สติให้รตู้ วั พร้อม และกส็ ตติ ้องบวกกับสัมปชญั ญะ สติคืออะไร เรารู้อยู่ สติคือความระลึกได้ ความระลึกได้ .. ระลึกในอะไร พระพุทธเจ้าจะให้เราระลึกเร่ืองกาย ระลึกเรื่อง เวทนา ระลึกเร่ืองจิต จิตของเรามันมีความรู้สึกอะไรยังไง เราระลึก ถึงธรรมารมณ์ เร่ืองธรรมะที่มันปรากฏอยู่ ว่าธรรมะอยู่ระดับไหน มนั เป็นนิวรณ์ ๕ ข้อ นาจติ ใจให้จติ สงบ เม่ือจิตมีปญั ญา มีแสงสวา่ ง หรือไม่ เมื่อเราเจริญทั้ง ๔ อย่างน้ีให้เป็นท่ีระลึกของเรา เราจะ พัฒนาใช้ในชีวิตประจาวัน อาจารย์ก็ไปอยู่กับหลวงพ่อชา พระ โพธิญาณเถร ที่วดั หนองปา่ พง ท่อี บุ ลราชธานี หลวงพ่อชาทา่ นก็จะ ๗๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เล่มที่ ๒ เนน้ เหมอื นครบู าอาจารย์กรรมฐานท้ังหมดล่ะ เนน้ เรอ่ื งสติมำก ทำ อะไรอยู่ ต้องมีสติอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่ำงต้องมีสติ พระก็จะลุกจะต้อง มีสติ พระจะเดินก็ต้องมีสติ พระจะถอดรองเท้ำก็ต้องมีสติ พระ จะเดินจะไม่ให้ทำเสียงดังก็ต้องมีสติ จะเปิดไฟก็ต้องมีสติ จะปิด ไฟ เปิดก๊อกน้ำก็ต้องมีสติ ปิดก๊อกน้า ทุกวันน้ีก็ไฟสวิตช์ สมัยก่อน ไม่มไี ฟหรอก จดุ เทยี น นา้ ไหลกไ็ มม่ ี ตอ้ งตักน้าเอา แต่ว่าเราก็ต้องมี สติการใช้ทุกส่ิงทุกอย่าง คือเราต้องรับผิดชอบ การมีสติในการใช้ ด้วยการกระทาอะไรก็เร่อื งสาคญั ญาติโยมท้ังหลาย เราจะฝึกสติอย่างไร เราก็ต้องเร่ิมต้น จากนาฬิกาปลุก ตอนเช้านาฬิกาปลุกแล้วจะต้องลุกไปทางาน ต้อง มีสติต้ังขึ้นมาว่านาฬิกาปลกุ แล้ว เพราะบางคร้ังกิเลสมันเข้ามาแล้ว ขอนอนต่อ เอ่อ เอาอีกนิดนึง น่าน กิเลสมา ความมักง่าย ข้ีเกียจก็ เข้ามา นิวรณ์ก็เข้ามา ความง่วงเหงาหาวนอนก็เข้ามา นี่ ต้องมีสติรู้ ว่า นี่เป็นเวลาที่จะต้องลุก เอ่อ อยากนอนต่อ เอ้อ นี่เป็นกิเลส สัมปชญั ญะ ตวั อบรมจิตใจ รวู้ ่านี่คือกเิ ลสนะ อย่าไปตามมันนะ มนั จะเกิดความมักง่าย ขี้เกียจข้ึนมา เราต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร อา้ ว เราลกุ เราลุกออกจากเตยี ง เอาขาขวาลงกับพนื้ หรอื ขาซา้ ยลง กับพ้ืน รู้ และเดินเข้าห้องน้าก่ีก้าว ได้นับไหม เคยนับไหม เวลาหวี ผมก่ีคร้ัง ให้รู้ แปรงฟันก่ีครั้ง ให้รู้ อ่า ให้สติรู้กับการแต่งกาย การ บริโภคอาหาร การขับรถ การรับโทรศัพท์ การทาอะไร ให้เรารู้ตัว พร้อม ให้ใจจดจ่อรับรู้ในส่ิงอันน้ัน ให้ใส่ใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ในการ กระทาสิ่งใดสิ่งหน่ึง ไม่ใช่ว่าใจลอยหรือใจใส่ใน ๓-๔ อย่าง นะ บางคร้ังรับโทรศัพท์ แล้วก็ทางาน แล้วฟังเพลงไปด้วย อันน้ี ก็ขาด สตอิ ยู่ ขาดสมั ปชัญญะอยู่ ไมม่ ีความตง้ั ใจม่นั ๗๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ท่ี ๒ เราก็ต้องฝึกใช้ชีวิตประจาวันมาฝึกอยู่ ถ้าหากว่าเราฝึกสติ อยู่ใช้ในชีวิตประจาวัน เวลาเรามานั่งสมาธิ ณ ที่ศาลาอันนี้ ตอน เย็นเราก็ฝึกสติอันนี้ตลอดเวลา เวลาเรามาน่ังสมาธิตอนเย็น สติท่ี เราฝึกแล้วก็จะเกิดข้ึน เพราะเป็นเหตุเป็นปัจจัยสร้างไว้แล้ว เราได้ สร้างบุญสร้างกุศลพัฒนาจิตใจใหเ้ จริญ ให้ภาวนาจิตให้เจริญตลอด วัน เออ่ แต่ถ้าหากเราปล่อยจิตไปตามกระแสอารมณ์ตลอดวัน แล้ว อยากได้รับความสงบที่วัดปทุมวนารามน้ัน เราเข้ามาเพื่อสงบ โอ้ย มันก็คิดเร่ืองงาน คิดเรื่องการ คิดเรื่องสิ่งท่ียังไม่ได้ทาเสร็จ มันคิด ทั่ว เพราะอะไร เพราะเราปล่อยจิตไปตามอารมณ์ตลอดกาล ก็เลย นั้นน่ะ การปฏิบัติที่เราเรียกว่าการพัฒนาจิตใจให้เจริญ พัฒนาชีวิต ให้เจริญต้องอาศัยความรู้ตัวพร้อมระลึกได้ในเวลาทุกเวลา ที่จริงผู้ ปฏิบัติธรรมไม่มีวันหยุดนะ ไม่มีวันพัก ไม่มีฮอลิเดย์นะ เราก็ต้อง ปฏิบัติเสมอ เพราะว่ากิเลสตัณหาก็ไม่มีวันพักเหมือนกัน ไม่มี วันหยุดหรอก ไม่มีฮอลิเดย์ เข้ามาเม่ือไรก็ได้ เราก็ไม่รู้มันจะเข้ามา แบบไหน ระดับไหนด้วย เราก็เลยต้องฝึกสติให้ระลึกได้ว่ากาลังทา อะไรอยู่ เรากาลังนงั่ สมาธกิ ็ตอ้ งให้มีสติอยู่กบั กายวา่ กายกาลังน่ังอยู่ อ่า สมมติว่าเรากาหนดรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก จะใช้คา บรกิ รรมพุทโธก็ได้ หรือจะรู้ “อำนำปำนสติกรรมฐำน” ให้เรามีสติ จ่อรู้ลมท่ีลมกาลังเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ออกไป รู้ว่าลมหายใจออก รู้ วา่ ลมหายใจเริ่มออก กลางลมหายใจออก ปลายลมหายใจออก รลู้ ม หายใจกาลังเข้า กลางลมหายใจเข้า ปลายลมหายใจเข้า รู้ รู้ลม หายใจออกต่อเนอ่ื งดว้ ยความสนใจ พระพุทธเจ้าตรัสว่า จิตที่สนใจ จิตน้ันสามารถท่ีจะอยู่กับ อารมณ์อันนั้นได้ ถ้าจิตไม่สนใจ ก็จะลอย จิตก็จะเผลอ จิตมันก็จะ ๘๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ ง่วงนอน มันจะดับ เพราะมันไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ ต้องสนใจในสิ่งที่เรา ทา สงั เกตดไู หม อ้าว เด็กลกู หลานเราเล่นเกมท้ังวนั เพราะมันสนใจ มันจดจ่อ แม่จะเรียกก็ไม่ได้ยิน เรียกกินข้าวก็ไม่ได้ยิน เรียกอาบน้า ก็ไม่ได้ยิน เพราะมันจดจ่อ มันสนใจ เราก็ทาให้จิตใจของเรามัน สนใจในข้อกรรมฐาน เราต้องเห็นวา่ ลมหายใจที่จะเข้ามานีเ้ ปน็ สิ่งท่ี งามที่สุด สะอาดที่สุด บริสุทธิ์ท่ีสุด มันให้ชีวิตแก่เรา มันต่อชีวิตเรา เป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุด เมื่อเรามีความสนใจในลมหายใจเข้าและ ลมหายใจออก โดยความพอใจในการรู้ลมหายใจเขา้ ลมหายใจออก จิตก็จะจดจอ่ ลมหายใจโดยอัตโนมตั ิ โดยความงา่ ย โดยไม่ต้องบงั คับ มัน เพราะมันมีความสนใจ เมื่อเรามีความสนใจน้ัน มันจะอยู่ง่าย ภาษาอังกฤษ อาจารย์เป็นพระฝรั่งก็ต้องพูดภาษาอังกฤษบ้าง ขอ อภัยถ้าไม่เข้าใจ ภาษาอังกฤษเรียกว่า ต้อง enjoy the process เข้าใจไหม enjoy the process แปลว่ำต้องมีควำมพอใจในกำร กระทำ ในกำรกระทำ กายนี้กาลังหายใจเขา้ กายนี้กาลังหายใจออก รู้ เรามีความ พอใจ มีความเอิบอ่ิม มีความจดจ่อ มีความสนใจ มีความใส่ใจรู้ลม หายใจเข้า ลมหายใจออก ถ้าเราไม่ enjoy the process คือบังคับ ให้รู้ จิตมันบังคับได้ช่ัวคราวแต่มันไม่อยู่นานดอกนะ ไม่อยู่นาน แต่ ถ้าหากว่าจิต เราทาให้มันสนใจและใส่ใจในการรู้ลมหายใจเข้า ลม หายใจออก สมาธิก็จะเกิดง่ายเพราะมันมีความซาบซึ้ง ปลื้มใจ ความภูมิใจอยู่ในการรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก นั่นล่ะ มันก็จะ จดจ่ออยู่กับลมหายใจได้นาน เมื่อเรารู้กับลมหายใจได้นานน่ันล่ะ กายก็จะเบา กายก็จะเบา มันจะมีความรู้สึกว่าเหมือนกายไม่ได้นั่ง ทีนี้ มันก็เบานั่นล่ะ แล้วก็จะเกิดปีติสุขเกิดขึ้น ปีติสุขเพราะเราก็จะ ๘๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เล่มที่ ๒ จดจ่ออารมณ์อันเดียว รู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกต่อเน่ืองนั้น ความปรุงแต่ง ความสนใจในส่ิงอื่นมันไม่สนใจแล้ว ไม่สนใจจะคิด อะไรอย่างอื่น ไม่สนใจที่จะรู้อะไรอย่างอ่ืน มันอยากจะรู้ลมหายใจ เข้าลมหายใจออกนี้ สตินี้แนบกับลมหายใจ เม่ือแนบกับลมหายใจ แล้ว ปีติสุขจะเกิดข้ึน ปีติสุขมันมี ๕ ประการนะ อธิบายให้ฟัง เพราะว่าบางคนอาจจะเคยสมั ผสั อยูแ่ ล้ว บางคนอาจจะยังไม่สมั ผสั แตก่ าลงั จะสมั ผสั อยู่ ถ้าทาตามที่ครบู าอาจารยส์ อนอยู่ ปีติสุขข้อท่ี ๑ ว่ามันแบบปีติสุขหยาบ ๆ ทาให้เหมือน ไฟช็อต กระโดดเหมือนคนเอาไฟมาจ้ีหลังเรา มันจะทาให้กระโดด ขึน้ บางคนจะตกใจอนั นี้คืออะไรนน่ั น่ะ เอ้! ใครมาจ้ีเรา ไมใ่ ช่ น้ีเป็น ปีติสุขอย่างหยาบคือเส้นประสาทของเรากาลังคลาย แล้วก็ทาให้ ไฟฟ้าในร่างกายมันกาลังวิ่งสะดวก มันก็เลยกล้ามเน้ือมันจะคลาย แบบรวดเร็ว แล้วมันก็เหมือนมีไฟช็อตในร่างกายนี้ น้ีแบบหยาบ อย่างน้อยก็บอกอยู่ว่าที่เรากาลังกาหนดรู้ลมหายใจ ถูกแล้ว อย่าไป สนใจในปตี ิสขุ น้ีเปน็ ผล ปีตสิ ุขที่ ๒ คือ เกิดความขนลุกซู่ โอ้! นี่ เหมือนพูดแบบเรา ดีใจ โอ้! ขนลุก น่ัน เราก็พูดอยู่ อันนี้ก็เกิดจากความยินดี เมื่อจิต ยินดีในกศุ ลธรรมกเ็ กิดขนลกุ ฟู่ ปีติสุขท่ี ๓ คือ เกิดความเย็นเหมือนฝนตก มันเย็นกายน่ี แหละ เหมือนฝนตกค่อย ๆ โดนแบบพรอย ๆ ลงมา มันก็เย็นตวั น้ี ความจิตใจยินดี มีความพอใจซาบซึ้ง อันนี้แหละ อันน้ีดีแล้ว จิตใจ เป็นบุญกุศลให้จดจ่อนะ อย่ำไปดูท่ีปีติสุข อย่ำไปดูท่ีผลมัน ให้ดู ต้นเหตุ ลมหำยใจเข้ำ ลมหำยใจออกเป็นต้นเหตุ เรำก็เจริญ ตน้ เหตนุ ้ัน ๘๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ท่ี ๒ ปีติสุขท่ี ๔ คือ มันจะมีความรู้สึกว่าร่างกายเริ่มหายไป บางคร้ังไม่รู้จักส่วนข้างล่างเลย รู้จักเฉพาะส่วนข้างบน บางคนจะ ตกใจอันน้ีคืออะไร หายจริงหรือเปล่าบางคร้ังก็ลืมตาขึ้น เพ่ือดูว่า กายมันหายมันเบา อันน้ีอย่าตกใจ อันน้ีล่ะ ถูกแล้ว แต่ปีติสุข สุดท้าย อันน้ีคือ จะลอยเหมือนสาลี คือเบามาก และร่างกายน้ีจะ ไม่มีขอบเขต เพราะจิตใจจดจ่อกับอารมณ์เดียว เหมือนหลวงพ่อ ถ้าอาตมาจดจ่อปลายไมค์อันนี้นะ .. จดจ่อปลายไมค์อันน้ี ไม่เห็น โยมนะ จดจอ่ ปลายไมคอ์ ันน้ี กเ็ หมือนเราหายไป กเ็ หมือนเราจดจ่อ ลมหายใจเข้าลมหายใจออก การรับรู้ของกายตัวเองมันจะหายไป ไม่ต้องรับรู้ เราไม่สนใจมัน เราจะจดจ่อในลมหายใจเข้าลมหายใจ ออก และมันจะมีความรู้สึก กายนี้ไม่มีขอบเขต ตัวรู้ก็จะรู้เท่ากับ ศาลาวิหารหลังน้ีได้ เหมือนเราเต็มศาลาหลังนี้ได้ อันน้ีเรียกว่า อัศจรรย์ อันน้ีเรียกว่าเราอยู่ท่ีประตูของอัปปนำสมำธิ จิตก็จะเข้า ประตูทีจ่ ิตรวมเป็นหนงึ่ ใกล้จะเขา้ ฌานไดแ้ ล้ว แต่วา่ สว่ นมากคนจะ เกิดอาการ ๒ อย่าง เวลาเกิดปีติสุข ข้อที่ ๑ คือ ตกใจ อื้อ อันนี้คืออะไร อื้อ เป็นผีหรือเปล่า นั่น กายหาย ตายหรือเปล่า น่ัน มันตกใจ เป็นทุกคน แต่ให้รู้ว่าเรา ถูกแล้ว การปฏิบัติของเราถูกแล้ว และข้อท่ี ๒ ท่ีจะเกิดขึ้น ไม่รู้ว่า อนั น้ีคือปีติสขุ จะเกิดความตืน่ เต้น อ้าว เกดิ ปตี สิ ุขตวั เบาลอยล่ะละ อู้ย! ดีใจแล้ว ใกล้จะถึงสมาธิแล้ว ตื่นเต้น ลืมข้อกรรมฐานของเรา เหตุท่ีเกิดปีติสุข เพราะเราจดจ่อตรงจุดน้ี ลมหายใจเข้าลมหายใจ ออก นะ ปีติสุขเป็นส่วนประกอบของการจดจ่อลมหายใจเข้าลม หายใจออก ให้สักแต่ว่ำ “รู้” เหมือนญาติโยมน่ังที่น่ี ฟังหลวงพ่อ พูด พัดลมก็เปิดก็ทาให้ร่มเย็นอยู่สุขสบายใช่ไหม แต่ถ้าหากว่าเรา ๘๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เล่มที่ ๒ เอาจิตใจไวท้ ี่ลม ท่ไี ม่ใชร่ า่ งกายน้ี เรากไ็ ม่ไดฟ้ ัง ไม่รคู้ วามทีห่ ลวงพ่อ อธิบายน้ี จิตใจลอยไปตามพัดลมนั้น ต่ืนเต้นความร่มเย็นเป็นสุข มันก็จะไม่ได้เข้าใจความท่ีหลวงพ่อพูดน้ัน เราก็เลยรู้อยู่ว่าให้จดจ่อ อยู่กับการฟังธรรมะน้ัน อันนั้นเป็นส่วนประกอบท่ีเกิดขึ้นในการน่ัง อยู่วิหารหลังนี้ สักแต่ว่ารู้ แต่อย่าไปตื่นเต้นกับมัน อย่าไปใส่ใจมัน ให้จดจ่อกับลมหายใจต่อ เมื่อเราจดจ่อกับลมหายใจต่อแล้วนะ จิตใจกจ็ ะเกดิ แสงสวา่ งขึ้นมา นะ นวิ รณ์ ๕ ถกู การระงับไป นิวรณ์ ๕ ถูกการระงับไป แสงสว่างปภัสรจิตก็จะเกิดขึ้น สว่างไสวมาก แล้วจิตก็จะเข้าอัปปนาสมาธิได้ นี่จิตต้ังม่ัน เม่ือ เข้าถึงอัปปนาสมาธิแล้ว ทุกขเวทนาไม่มี อกุศลไม่สามารถที่จะ เกิดข้ึน และไม่รู้จักกายน้ี ไม่สัมผัสกับกายแล้ว จิตจดจ่อเป็นอัน เดียวกันโดยอัตโนมัติของลมหายใจเข้าลมหายใจออก มันแนบกับ ลมหายใจโดยอัตโนมัติอยู่ ไม่ต้องบังคับแล้ว ไม่ต้องประคองจิต มัน จะอยู่ของมัน แนบมัน วิตก วิจำรณ์ ปีติ สุข เอกัคคตำก็เกิดขึ้น เราก็ปฏิบัติต่อ ย่ิงทาให้จิตละเอียด ทาให้จิตสงบ ย่ิงทาให้จิตเป็น สมาธิข้ึนมา ก็อธิบายแค่นี้ เด๋ียวเรื่องรายละเอียด เดี๋ยวอธิบาย เฉพาะรายบุคคล แต่ในวันนี้พูดถึงการให้จิตเข้าถึงประตูอัปปนา สมาธิอยู่ และจะต้องเข้าไปลึกน้ันอีกต่อไป แต่ว่ามันก็ใช้วิธีการให้ จิตจดจ่อรับรู้อารมณ์กรรมฐานที่เป็นกุศล พระพุทธเจ้าอนุญาตให้ เรามคี วามสุขในกุศลจิต แต่ไมอ่ นญุ าตให้มคี วามสุขในกามสุข ท่านก็ตรัสว่า ในพระสูตรว่า ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย กามสุข กามสุขท้ัง ๕ อย่าง กามสุขของกาย คือ ตา หู ล้ิน จมูก กายนี้เป็น สิ่งท่ีมีโทษมาก มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ท่านไม่อนุญาตพระสงฆ์แสวงหา กามสุข แต่ท่านอนุญาตให้พระสงฆ์แสวงหากุศลสุข สุขที่เกิดจาก ๘๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ท่ี ๒ กุศล สุขท่ีเกิดจำกกุศล ให้จาดี ๆ นะ เป็นกุญแจการภาวนา ถ้า ญาติโยมอยากจะรู้ว่าจะทาให้จิตตภาวนาเจริญยังไง ต้องจากุญแจ อยู่ท่ีไหน เหมือนโยมอยากจะเข้าบ้าน ถ้าลืมกุญแจ เข้าไม่ได้ โยม อยากจะกลบั บา้ นนน้ั ล่ะ ลืมกญุ แจรถ ไปไมไ่ ด้ เราต้องมกี ุญแจ กุญแจการภาวนาที่จะเข้าถึงสัมมำสมำธิ คือ ให้จิตจดจ่อ และมีกุศลธรรมให้เกิดขึ้นและมีความยินดีในกุศลธรรมน้ัน บางคน อาจจะคัดค้านอยู่ว่า เอ๊! ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้ไม่ยึดในความ ยนิ ดหี รือยนิ ร้าย อนั นนั้ ก็จริงอยู่ แตอ่ นั น้นั นะ่ เมอื่ มีสมาธแิ ล้ว ถ้ายัง ไม่มีสมาธิต้องให้ยินดีในกุศลธรรม เหมือนคนท่ียังไม่เจริญศีล ๕ ก็ ต้องเจริญศีล ๕ ก่อน ถึงจะทาให้จิตใจเป็นกุศล น่ีเราก็จะต้องมี ความพอใจในกุศลธรรม เป็นกุญแจที่จะเข้าถึงสมาธิได้ ให้ญาติโยม จดจา ความยินดีในกุศลธรรม หมายถึงว่า เราพอใจและสาธุการใน กุศลกรรมท่ีเป็นกุศล เช่น ญาติโยมมานั่งสมาธิ เห็นหมู่เพื่อน กัลยาณมิตรมานั่งกันหลายคน เอ้อ เราก็เกิดปีติสุข โอ้! สาธุ สาธุ นะ ชาวพุทธเรา อย่างมาปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา อย่างมาสนใจ มาปฏิบัติธรรม เออ อนุโมทนาด้วย สาธุ สาธุนั่น คือความยินดีใน กศุ ลธรรมทผ่ี อู้ น่ื ทา และตนเองทา สิ่งอนั นัน้ ละ เป็นกุศลธรรม เมื่อเรามีความยินดีนั้นจะทาให้จิตเป็นสมาธิได้ เม่ือเรามี ความยินดีในการแชร์และการให้ คือการทาบุญ เห็นตนเองทาบุญ หรือคนอ่ืนทาบุญก็สาธุด้วย ยินดีด้วย เกิดปีติสุขด้วย จิตเป็นสมาธิ อนั นต้ี ัง้ มน่ั ในบุญกุศล น่แี หละ ความยนิ ดีในกุศลธรรม ทาให้จิตสงบ ความยินดีในการมีศีล ๕ น่ี สีลานุสติกรรมฐาน เราก็สาธุอนุโมทนา ในบุญกุศลท่ีคนมีศีลก็ทาให้เกิดปีติสุข การยินดีในอานาปานัสสติ ๘๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ท่ี ๒ คือ ยินดีในลมหายใจเข้า ลมหายใจออก และจิตจดจ่อปุ๊ปมันก็อยู่ กบั อารมณ์นนั้ ทาให้สมาธิขึ้นมา และสมาธิมปี ระโยชน์อะไร สมาธิมีประโ ยช น์มาก มีอานิสงส์มาก มีผลมาก พระพุทธเจ้าสรรเสริญอยา่ งย่ิงว่าสมาธิกรรมฐานเป็นส่ิงที่มีอานสิ งส์ มากเพราะอะไร ข้อที่ ๑ เราได้ระงับนิวรณ์ ๕ ประการ ระงับโทสะ ระงับความโลเลสงสัย ระงับความง่วงเหงาหาวนอน เราระงับวิตก วิจารณ์ ความไม่พอใจ ความหงุดหงิด ความราคาญ เมื่อเราระงับ นิวรณ์อยู่นะ มันก็ระงับกามฉันทะด้วย กามราคะอยู่ เม่ือเราระงับ สิ่งอันน้ัน จิตใจเกิดอิสระเสรี ปราศจากส่ิงนั้น จิตบริสุทธิ์ จิตจะ สะอาด สามารถจะรตู้ ามความเปน็ จริงได้ และกายกับจิตมันแยกกนั เราจะเห็นว่ากายนี้ล่ะ มันสักแต่ว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์นั่นล่ะ เป็นส่วนประกอบแต่มันไม่สาคัญ อย่าไปห่วงเรื่องเฟอร์นิเจอร์มาก ไป เราต้องรักษาจิตใจ ตัวน้ันล่ะ สาคัญที่สุด เจริญจิตใจให้งาม เจริญจิตใจให้เจรญิ เจริญจิตใจใหม้ สี ติสัมปชญั ญะอยู่ มีปัญญาอยู่ น่ี ละ่ มนั ก็ทาให้เราจะเหน็ การแยกกายกบั จิต เราก็จะเห็นชัดเจนด้วย ว่า เม่ือเราปราศจากผัสสะท้ังหลาย เมื่อออกจากสมาธิแล้ว ผัสสะ เกิดขึ้น นี้เป็นทุกข์ เมื่อเราวางความนึกคิด เป็นสุข แต่เวลาต้องนึก คิดข้ึนมาใหม่ ก็ทุกข์ ทุกข์อยู่ เราก็จะเห็นการระงับสังขารท้ังหลาย ทั้งปวง เป็นทางพ้นทุกข์ คือ จะเห็นมรรค มันก็ทาให้วิปัสสนา เกิดขึ้น มันก็ทาให้เราพิจารณา น้อมออกมา แล้วก็พิจารณาถึงขันธ์ ๕ นั้น คือ กายกับจิตนี้ เรื่องกาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ น้ัน เราก็จะเหน็ สภาวธรรมเป็นกองทุกข์จริง ๆ กจ็ ะเกิดพลังที่จะละ ได้ ถ้าไม่เคยระงับไดช้ ่วั คราว กจ็ ะไม่มกี าลังทจี่ ะระงับมนั ได้เลย เรา ต้องระงับมันชว่ั คราวดว้ ยการเข้าสมาธิ บางอย่างก็ระงับไป เราก็จะ ๘๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มที่ ๒ เห็นว่าถา้ เราระงับท้ังหมด กจ็ ะเปน็ ทางท่จี ะพน้ จากทุกข์ได้ เราก็จะ เหน็ มรรคได้ นี่ล่ะ มันก็จะทาให้จิตตภาวนา – การทาให้จิตเจริญเป็น เรื่องสาคัญมาก ไม่ใช่หน้าที่ของพระ เป็นหน้าท่ีของทุกคน ที่จะทา ให้ชีวิตของเราสุขสบาย เจริญด้วยเมตตำธรรม เจริญด้วยสมำธิ ภำวนำ เจริญด้วยสติควำมรู้ตัวพร้อม และสุดท้าย พระพุทธเจ้า สอนให้เราปัญญาภาวนา ทาให้เจริญทำงปัญญำ ปัญญำภำวนำ ตามหลักพระพุทธศาสนาแปลว่าอะไร ก็แปลว่า ให้จับหลักอริยสัจ ๔ ให้ยึดหลักอริยสัจ ๔ มีหลายคนมาถามอาจารย์อยู่ ถามพระ ต่างประเทศว่าทาไมเราอยู่กับพระเดชพระคุณหลวงปู่ชาพระ โพธิญาณเถร ทาไมท่านมีลูกศิษย์ชาวต่างชาติเยอะ ท่านพูด ภาษาองั กฤษไม่ไดน้ ะ ไดแ้ ค่ ๒ คา Good Morning .. ไดไ้ หม เข้าใจ ไหม คือ สวัสดีตอนเช้า และ Do you want a cup of tea? .. Do you want a cup of tea? .. แปลว่า คุณต้องการน้าชาไหม อ่า ตอ้ งการฉนั น้าชาไหม เพราะท่านเคยไปประเทศอังกฤษและตอนไป อยู่ประเทศอังกฤษ ชาวอังกฤษชอบถวายน้าชา จะถามเราเรื่อยว่า .. Do you want a cup of tea? .. หลวงพ่อบอกว่ามันจาง่าย เพราะว่าเหมือนพระให้พร ปะ กัป ปะ ติ น่ันน่ะ ยถำ วำริวหำ อุปกปฺปติ ปะ กัป ปะ ที น้ันนะ ก็เลยท่านจาได้ ท่านได้ ๒ คา แต่ สามารถประกาศศาสนาในต่างประเทศได้ มันก็อัศจรรย์อยู่ เหมือนกัน หลายคนก็สงสัยเรื่องนี้ ท่านใช้วิชาอะไร คือ หลวงพ่อก็ ยอมรับว่าท่านมีบารมีหลายประการ จะให้อธิบายท้ังหมดก็ยาก ท่ี ท่านสามารถประกาศพระศาสนาแต่ว่าข้อท่ีสาคัญอยู่ว่าท่านจะเน้น เร่ือง “ปญั ญำ” ๘๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ท่ี ๒ ถ้าไปหาหลวงพ่อชา แล้วโยมเป็นทุกข์นะ หลวงพ่อชา หลวงพ่อไม่เคยจะพรมน้ามนต์ดอก ไม่เคยจะแจกเหรียญดอก ไม่ เคยเคาะหัวดอกนะ แต่ถ้ามาหาหลวงพ่อชา แล้วบอกหลวงพ่อว่า “เป็นทุกข์” ท่านจะจี้เลย เป็นทุกข์เพราะอะไร อยากได้ หรือ ไม่ อยากได้อะไร อ้าว ทาไมท่านจ้ีอย่างน้ี เพราะอะไร ท่านจี้ถึง “อริยสัจ” ท่านอยากให้เรา เห็นปัญญา ให้เกิดปัญญาเอง ถ้าท่าน เคาะหัวแล้ว ต่อไป โยมก็เกิดทุกข์อีก วิ่งมาหาหลวงพ่อ เคาะอีกนะ ขอเหรยี ญอีก ขอน้ามนตอ์ ีก หลวงพอ่ ก็เหน่ือย ลูกศิษยก์ โ็ ง่ ลกู ศิษย์ โงท่ ่านไม่เอา ทา่ นอยากได้ลกู ศิษย์ฉลาด อยากได้ลกู ศิษย์เกิดปัญญา ท่านสอนวิชาแก่เรา ท่านสอนวิชาเร่ืองรู้แก่เรา ให้เราฉลาดเพื่อแก้ ทุกข์ต่อไปได้ เม่อื เรามาถามหลวงพ่อวา่ วนั นม้ี ันทกุ ขจ์ ังเลย ไม่สบาย ใจ ท่านว่า ท่านจะถามเลยว่า ยึดอะไร เพราะอะไร เพราะทุกข์เกิด จากการยึด การยึดมั่นถือม่ัน ทุกข์สมุทัย ต้องมีเหตุ ท่านจะถามว่า เอ้า เหตุอะไรท่ีทาให้เป็นทุกข์ เหตุก็อยู่ที่เรา ไม่ได้อยู่ท่ีผู้อื่นนะ อ้า เราต้องโทษตัวเอง เหมือนญาติโยมมาหาหลวงพ่อนั้นนะ บางครั้ง นะ ภรรยาก็มาบ่นเรื่องสามีให้ฟัง อยากให้หลวงพ่อเทศน์ให้สามีฟัง ให้สามีมีธรรม สามีมาบ่นเร่ืองภรรยา ขี้บ่น อยากให้หลวงพ่อเทศน์ ให้ภรรยาฟัง อาตมาถามว่า แล้วใครเลือกคนน้ัน เราก็เลือกเขาอยู่ แลว้ ใหห้ ลวงพอ่ มาแก้น่ะ เราแก้ที่เรา ใหแ้ ก้ที่เราก่อน ใหเ้ ราเป็นคน ที่จิตใจสงบ จิตใจสบาย จิตใจเป็นสุข จิตใจเบิกบาน นี้ล่ะ เราแก้ท่ี เรานะ เราจะไปโทษเขายังไง เราจะไปโทษคนอื่นได้ไหม น่ัน เรา เป็นผู้เลือกเขา เราก็ต้องโทษตัวเอง เราเป็นทุกข์เพราะเราเกิดมา ไมใ่ ชท่ ุกข์เพราะเขา ไม่ใช่ทกุ ข์เพราะคนอ่ืน ไม่ใช่ทกุ ข์เพราะลูกน้อง ไม่ใช่ทุกข์เพราะผใู้ หญ่ ไม่ใชท่ กุ ขเ์ พราะคนนค้ี นนนั้ ๘๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เล่มที่ ๒ เราทุกข์เพราะเราเกิดมาในโลกนี้ นี่ก็เลยต้องแก้ท่ีเรา ต้อง น้อมกลับมาท่ีเรา ต้นเหตุก็อยู่ที่นี้ ถ้าเราไม่อยากเกิดมาในท่ีน้ี ก็ละ “ตัณหำอุปำทำน” จบเลย สบาย ไม่ต้องแบกไปอีก นี่ก็เลยหลวง- พ่อชา ท่านจะจี้ต้นเหตุของทุกข์ว่า เราอยากได้อะไร เพราะความ ทกุ ข์เกิดเพราะความอยาก อยาก .. เราอยากได้ หรือไมอ่ ยากได้ ถ้า เราละความอยากได้ หรือไม่อยากได้ ทุกข์ก็ดับ น่ัน นิโรธเกิดข้ึน แลว้ และวิธีการแกท้ กุ ข์นัน้ ด้วยวธิ ีไหน ไมย่ ึดมน่ั ถือมน่ั ใหป้ ล่อยวาง การเห็นโทษจากการยึดมั่นถือม่ันนั้น เม่ือเราปล่อยวางแล้ว ทุกข์ก็ ดับ เราปล่อยวางนั่นล่ะ ความอยากได้ ไม่อยากได้ หลวงพ่อชาท่าน จะสอนง่าย ๆ เช่น คร้ังหนึ่ง เดินในป่ากับหลวงพ่อ เดินตามถนนใน วัด วัดหนองป่าพง มีก่ิงไม้ใหญ่ มันก็หักจากต้นไม้ลงมา อยู่กลาง ถนน หลวงพ่อก็ ท่านก็พดู อังกฤษไม่ได้ เรากพ็ ดู ไทยได้นิดหนงึ่ ทา่ น ก็ชนี้ ัน่ นะกิ่งไม้ ใหเ้ ราจบั ขา้ งใดข้างหน่ึง ท่านก็ไปจบั ข้างหนง่ึ ยกขน้ึ จะโยนในป่า ท่านทาท่าให้โยนไปทางนู้น อ่า เราก็ยกข้ึนมา ท่าน ถามว่าหนักไหม เอ้ ท่านถามว่าหนักไหม มันก็พอเข้าใจความหมาย ได้ เพราะมันหนกั ภาษาไทย นีก่ แ็ สดงวา่ อนั น้หี นัก .. เรากไ็ ด้ ๒ คา แล้ว หนักไหม พอดีท่านก็นับ ๑ ๒ ๓ ก็ได้ อีกสามคา ๑ ๒ ๓ และ โยนไปในป่าแล้วท่านก็ถามว่าเดี๋ยวน้ีหนักไหม เอ่อ มันไม่หนัก เบา ท่านก็เลยสอนว่า เมอื่ เราละท้ิงทุกข์ มันเบา ถา้ เราละน้อย มันกเ็ บา น้อย ถ้าเราละมาก มันก็เบามาก ถ้ามันละเลย มันเบา มันสบายไป เลย น่ีคือท่ีท่านสอนสัจธรรมแบบง่าย ๆ แต่ว่าบางองค์ท่านก็ สอนตรง ๆ อาจจะโยมนั่งนาน แต่ก็จะเล่าให้ฟังว่าวิธีการสอนของ หลวงพ่อชา ไม่เหมือนองค์อ่ืน คือ ท่านสอนตรง ครั้งหน่ึงตอน ๘๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ท่ี ๒ อาตมาไปอยู่ใหม่ ๆ เพ่ิงบวชเป็นพระ ไม่กี่เดือน ไม่ก่ีวัน อย่างว่า คนมาจากต่างประเทศ เต็มด้วยกิเลสตัณหา มาหาหลวงพ่อชา มา บวชกับหลวงชา ขอให้ท่านสอนเมตตาโปรดเรา ให้แก้ทุกข์ แก้ปัญหา แก้กิเลสของเรา พอดีวันนั้นไปบิณฑบาต ไปบิณฑบาต แล้วก็ขากลับ มีพระรูปหนึ่ง ท่านเป็นพระขี้บ่น เราก็ เอ้อ เราก็เพิ่ง บวชใหม่ ท่านกบ็ น่ เรือ่ งพระองคน์ ้ี ไม่ถกู ใจพระองคน์ ้นั ไม่ถูกใจ เอ้ เราก็ไม่อยากฟัง เอ้ เราก็บวชในพุทธศาสนา เอ้ พระเราไม่น่าจะผดิ กันหนอ เราก็เลยไม่อยากคุยกับท่าน เดินหนี เราข้ึนนะ แต่ก็ พยายามไม่แสดงอาการ พอดีเดินกลับมาถึงวัด ก้มหน้า เราก็บ่นใน ใจ เอ!้ พระองคน์ ั้น ทาไมจับแต่ผิดผอู้ ืน่ นนั้ น่ะ ไมเ่ หน็ ความดีของหมู่ คณะ เขากพ็ ยายามดที ี่สดุ อยู่แลว้ ทาไมไมช่ ว่ ยเขา เอ้ เรากก็ ลบั เปน็ พระข้ีบ่นเหมือนกัน แต่มันไม่ออกทางปาก แต่มันอยู่ในใจ เอ่อ เหมือนโรคติดต่อนั้นนะ โรคติดต่อ พอดี เดินผ่านโบสถ์ และกุฏิ หลวงพ่อ พอดีหลวงพ่อท่านไปบิณฑบาตบ้านอีกหลังหน่ึงข้างหลัง ปกติท่านกลบั มาก่อน วนั นั้นไมเ่ หน็ ทา่ นน่งั ท่ีกุฏิ เรากก็ ม้ หน้า ยงั คิด เร่ืองพระองค์น้ัน พอได้ยินเสียงหลวงพ่อพูดขึ้นมา Good Morning เราก็มองข้ึนมา หลวงพ่ออยู่ห่างไกลแค่เมตรเดียว ไม่รู้มาจากไหน แล้วอยู่องค์เดียวด้วย ปกติต้องมีพระอุปัฏฐากติดตาม ท่านก็ย้ิมใส่ เบิกบาน เราก็ยกมือไหว้ท่าน ไม่เคยได้ยินท่านพูดภาษาอังกฤษมา ก่อน น่ีคร้ังแรก เอ่อ หลวงพ่อทักเราเป็นภาษาอังกฤษ Good Morning หลวงพอ่ ท่ีนี้ โอ้! เบิกบานทั้งวันเลย เอ่อ หลวงพ่อทักเรา หลวงพ่อ เมตตาเรา เร่อื งพระองค์น้ันลมื ไม่สน ได้อารมณใ์ หม่แล้ว ความดีใจ หลวงพ่อทักเรา พอดีกับเดินจงกรม น่ังสมาธิอยู่ ตอนเย็นประมาณ ๙๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ ๖ โมงเย็น ก็ไปทีก่ ุฏิหลวงปู่ แลว้ กเ็ คยฝกึ ถวายการนวดอยู่ นวดเท้า เป็น ตอนยังเป็นฆราวาสเราเคยฝึกกับหมอนวดอยู่บ้างก็เลย หลวง พ่อจะเปิดโอกาสให้เรานวดเท้าท่าน วันน้ัน ท่านนั่งเก้าอ้ีหวายอยู่ เราก็น่ังกับพ้ืนต่อหน้าท่าน เราก็ขอโอกาสนวดเท้าท่าน ท่ีน้ี มัน ๖ โมงเย็น เขาตีระฆัง ต๊อง ๆ ๆ เราก็ทาท่าจะลุก หลวงพ่อก็บอก อ่า อยู่นี่แหละ ทีนี้ พระครูบาอาจารย์หลายองค์ อ้ะ! ข้ึนโบสถ์นะ ทา วตั รเยน็ กนั นี้ หลวงพ่อชอบน่งั ในความมืดเลย ไมจ่ ุดเทียน เรากเ็ อ้อ เป็นคร้ังแรกที่อยู่ ๒ ต่อ ๒ กับหลวงพ่อองค์เดียว ปกติจะมีพระใน หนองป่าพง ๗๐ องค์ มีเยอะ ชีก็ ๕๐ ญาติโยมเป็นพัน ๆ ที่ไหลเข้า มา เป็นครง้ั แรก อยู่ ๒ ตอ่ ๒ กับท่าน เรากาลงั จะนวดเทา้ ท่าน ทีน้ี พระเริ่มสวดมนต์ท่ีโบสถ์ โย โส ภควำ โอ้โห! มันแบบมันเพราะ มาก และพระ ๗๐ รูป เสียงดัง เสียงลึก แหม อากาศก็กาลังเย็น และพระจันทร์ก็กาลังจะขึ้นเต็มดวง แหม เรามีความรู้สึกว่าเรา กาลังจะอยู่กับพระอรหันต์อยู่ กาลังถวายนวดแก่พระอรหันต์ โอโ้ ห บุญมาก อานิสงสม์ าก ฟงั พระสวดถึงพทุ ธคุณ ธรรมคุณ สังฆคณุ โอ้ สุขหนอ สุขหนอ พอได้คิดสุขหนอ สุขหนอ น้ันน่ะ หลวงพ่อเอาเทา้ มาถีบหน้าอกเลย หงายหลังเลย หัวฟาดกับพื้นน้ันนะ สะดุ้งเลยน้ัน นะ หลวงพ่อชี้หน้าเลย ดูสิ ตอนเช้า พระองค์หนึ่งพูดอะไรไม่ถูกใจ จิตเป็นอกุศล อีกองค์หน่ึงพูดแค่ Good Morning ดีใจท้ังวัน อย่ำดี ใจอย่ำเสยี ใจกับคำพูดของผูอ้ นื่ โอ้! เรายกมือไหว้ น้าตาไหลออกมา มนั ถูกของทา่ น ท่านรู้ ใจเราดีกว่าเรารู้ใจตัวเอง เราก็ยังไม่รู้ว่าเราดีใจเสียใจกับคาพูดของ ผู้อ่ืน เราหลงคาพูดของผู้อ่ืน ท่านยังโปรดเราด้วย ต้ังใจโปรด พระ ตั้ง ๗๐ รูป เห็นว่าพระฝรั่งหัวด้ืออย่างน้ีน่ะ เห็นกาลังตกนรกก็เลย ๙๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ พูด Good Morning ให้ขึ้นสวรรค์ .. ขึ้นสวรรค์แล้ว สอนเทวดา ไม่ได้หรอก ต้องถีบลงมาถึงแผ่นดินถึงสอนได้ และท่านก็รู้นิสัย อาตมา ถ้าไม่ทาอย่างน้ันก็คงจะลมื ถ้าหลวงพอ่ พูด เอ้อ ลกู เอย๋ มนั อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่าไปหลงคาพูดของผู้อื่น ลืมไปแล้ว ครูบา อาจารยเ์ ทศน์กีค่ ร้งั กค่ี รั้ง ทีน้ีนะ ลืมไปแล้ว ใชไ่ หม แต่ถ้าหลวงพ่อฝร่ังถีบเราล่ะ จาได้ ไม่ลืม นี่ หลวงพ่อฝร่ัง ไม่ไดถ้ ีบเรา แตเ่ อาเรอ่ื งการถบี ของหลวงพ่อฝรง่ั ให้ฟงั วา่ หลวงพ่อชา เคยถีบเรา ให้จดจาไว้ อย่ำไปหลงควำมดีใจเสียใจกับคำพูดของ ผู้อื่น เพราะเราหลงกันท้ังน้ันใช่ไหม - ใช่ ยอมรับ นี่แหละเป็นการ หลงอารมณ์ นี่แหละ ครูบำอำจำรย์ทำ่ นจะใช้อุบำยที่เป็นทำงสำย ตรงทีจ่ ะสอนเรำให้มำตั้งสติ ให้รู้ตัวพร้อม รู้เทำ่ ทันจติ ตลอดเวลำ เพ่ือดับทุกข์ เพื่อปล่อยทุกข์ บางคร้ังท่านจะมาเย่ียมในหมู่คณะท่ี นั่งในศาลาโรงฉัน ศาลาโรงฉัน เวลาท่านฉันด้วย ท่านเข้ามา ท่าน จะเดินตามลาดับ ถามว่า อ้า วันน้ีสบายดีไหม พระบางองค์ก็บอก วา่ ภาวนาดีหลวงพ่อ หลวงพอ่ กบ็ อก ฮึย้ ! มันไมแ่ น่ ไปถงึ องค์ทีส่ อง เป็นยังไง การภาวนา ใจดี สบายดีไหม .. ไม่เคยสบายหลวงพ่อ เฮ้อ จิตใจมันม่ัว .. ฮ้ึย! มันไม่แน่ ถามองค์ที่สามวันน้ีเป็นไง จิตใจเป็นไง .. มันเฉย ๆ .. ฮ้ึย! มันไม่แน่ ... ไม่แน่อีก เอ้ หลวงพ่อไปตามลาดับ ๗๐ องค์ มนั ไม่แน่ท้งั นั้นละ่ เออ น่ีทำ่ นสอนควำมเป็นจริง ดคู วำม ไม่แน่เป็นหลักสัจธรรม ควำมทุกข์เกิดข้ึนเพรำะควำมไม่แน่นอน เรำพ่ึงอำศัยอะไรไม่ได้ มันต้องมีควำมเส่ือมเป็นของธรรมดำ ควำมดีใจ ควำมเสียใจ มันไม่แน่ อย่ำไปหลงควำมดีใจ ควำม เสยี ใจ อันนีก้ ็ไมแ่ น่ มีควำมเปลีย่ นแปลงนะ มคี วำมเปลย่ี นแปลง ๙๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มท่ี ๒ ก็เลยนั้นล่ะ เหมือนโยม เวลาแต่งงานกัน เวลาแต่งงาน อาตมาอยากจะให้มีประเพณีใหม่ เวลาแลกแหวนกันนะ ให้ควรจะ แลกแหวนกัน ให้เข้าไปจารึกไว้ในแหวนว่า “ส่ิงอันน้ีจะ เปล่ียนแปลง” เวลาเราทุกข์ใจเรื่องสามี ให้เปิดออกดู สิ่งอันนี้จะ เปล่ียนแปลง สามีทุกข์ใจเรื่องภรรยา ก็ส่ิงอันนี้จะเปลี่ยนแปลง ให้ นั้นนะ เป็นตัวสอนนะ “อนิจจัง” ความไม่แน่ ตัวน้ีแหละ เป็นตัว หลักปัญญาที่เราจะต้องฝึก ทีนี้ มันจะไม่เกิดด้วยการลอยมา ไม่ได้ เกิดจากอินทร์พรหมเทพเทวดา อันนแ้ี หละเกิดจากการระลึกบ่อยๆ การอบรมจิตใจบ่อย ๆ ไม่ให้หลงว่า มันแน่นอน ไม่ได้หลงว่า โลกน้ี จะตามใจเรา เราก็ต้องดูทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่แน่ ใหเ้ รามคี วามพอใจ กับส่งิ ทมี่ อี ยูใ่ นปัจจุบัน มโี ยมคนหนึ่งถามหลวงปู่ หลวงป่ชู า บอกว่า หลวงพอ่ เฮอ้ มันเบ่อื มนั เบื่อโลกมากเลย งานกน็ า่ เบ่อื ลกู น้องก็ไม่ ทาตามเราบ้าง ทาผิดบ้าง คุมยากเหลือเกิน ไปบ้าน เข้าบ้าน ก็เบ่ือ เหมอื นกัน ลูกก็ไม่ฟงั ไมฟ่ ังพอ่ ภรรยากน็ า่ เบื่อ ข้ีบ่นอยอู่ ยา่ งนั้นล่ะ โอ้ น่าเบื่อ เพื่อนฝูงก็คุยแต่เรื่องเก่า เบ่ือ เบ่ือโลกหมดเลยหลวงพ่อ .. หลวงพ่อก็เลยบอก เอ้อ เด๋ียวจะสอนเร่ืองจิตตภาวนา วิธีการน่ัง สมาธิให้สบาย ก็ตอบว่า เคยน่ังสมาธิแล้ว พุทโธเหมือนกัน มันเบื่อ เบ่ือภาวนานั้นแหละ .. เปลา่ หลวงพอ่ จะสอนการภาวนาใหม่ อ้าว สอนยังไงหลวงพ่อ .. ให้ภาวนา เวลากลับบ้าน เห็น ภรรยา ให้ภาวนา พอแล้ว พอใจแล้ววว พอแล้ว พอใจแล้ววว สามคร้งั พอแล้ว พอใจแลว้ วว นะ ใหภ้ าวนาเรอื่ ย ๆ เวลาเห็นลกู พอแล้ว พอใจแล้ววว เห็นบ้านเห็นช่อง พอแล้ว พอใจแล้ววว อ่า นะ ไปที่ทางาน พอแล้ว พอใจแล้ววว ให้ลองดู เขาก็ไป เขา กลับมาอีกเดือนหนึ่ง อาตมาก็เจอ เขามากราบหลวงพ่อ หน้าเบิก ๙๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มที่ ๒ บานเลย เหมือนคนละคน เขาบอก โอ้ หลวงพ่อน้ันน่ะ การภาวนา นี้ พอแล้ว พอใจแลว้ วว เออ มันทาใหด้ ี แต่ก่อนเราก็มีแต่ความไม่ พอใจ มันกไ็ ม่ใช่นิพพทิ าของพระพุทธเจ้า เป็นโทสะอยทู่ ่ีไม่พอใจกับ ส่ิงท่ีมีอยู่ เพราะหลวงพ่อ ก็สอนอยู่ว่า นี่ มันไม่ใช่ นิพพิทาของ พระพุทธเจ้านะ อันนั้น เป็นกิเลสตัณหา มันไม่พอใจ ถ้าได้ภรรยา ใหม่ อาจจะ แหม แหม พอแล้ว เอ่อ ถ้าได้เงิน ถูกลอตเตอรี่ที่ ๑ อาจจะพอใจอยู่ มันไม่ใช่ พระพุทธเจ้าจะให้เท่าไร ให้อะไร ไม่เอา แล้ว มันอ่ิมแล้ว ก็เลย ความไม่พอใจของเราเป็นกิเลสตัณหา ไม่ นิพพิทาตามพระพุทธศาสนา เป็นโทสะอยู่ ให้เราภาวนาพอแล้ว พอใจแล้ว เพื่อเกิดความเอิบอ่ิม ความพอใจกับส่ิงท่ีมีอยู่ ถ้าเราย่ิง สร้างบุญสร้างกุศลต่อไป จิตก็ยิ่งสงบ นี่ ท่านก็เลย เขาก็เลยไป ภาวนา กลับมา ย้ิมแย้มแจ่มใสเบิกบาน นะ เพราะมันก็ระงับโทสะ อยู่ ระงับความไม่พอใจกับส่ิงที่มีอยู่ เรามองอะไรในทางที่มคี ุณ ไม่มี โทษ สิ่งอันน้ีมันจะทาให้จิตสงบ จิตสงบ ทีนี้การจะทาให้ จิตต- ภำวนำ เอ่อ พูดถึงไหน จะไป ๑๖.๓๐ แล้ว โอ้ อาจารย์เทศน์นาน ต้องขออภัยท่านเจา้ คุณนะ แหม กาลังเพลินอยู่ เห็นโยมมาน่ังเยอะ เลย มันก็เลยอดไม่ได้ อ้าว ก็เลย สรุป อ่า พระพุทธเจ้าจะให้เรา เจริญ เจริญทั้งชีวิตของเรา เจริญภาวนา ๔ ประการ กำยภำวนำ สีลภำวนำ จิตตภำวนำและปัญญำภำวนำ – ปัญญาภาวนานี้ เพื่อ แก้ตัณหา แก้อุปาทาน แก้ปัญหาท้ังหลายท้ังปวงในทุกข์ เพ่ือดับ ทุกข์ท้ังหลายทั้งปวง เพ่ือพ้นจากวัฏจักร วัฏสงสาร เพื่อแก้ตัณหา ท้ังหมดให้มาถึงนิพพานได้ น่ีเราก็ต้องใช้ปัญญาแก้ปัญหาในชีวิต พูดต่อนิดหนึ่งว่า เราบางคนก็เอาทุกข์มาเล่าให้ฟังว่ามีอุปสรรค ๙๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ มากมายในชีวิตอยู่ อาตมาก็โยม อ้าว ไปสวดพาหุง รู้จักสวดพาหุง ไหม บทพาหงุ นะ คาว่าพาหุงน้ัน พดู ถึงอปุ สรรคท่สี ัมมาสัมพุทธเจ้า เจอในชีวิตของท่าน ขนาดท่านตรัสรู้ถึงสัมมาสัมโพธิญาณ ไม่ใช่ว่า ท่านไม่มีปัญหาเร่ืองโลก เทวทัตพยายามฆ่าหลายครั้ง คนใส่ร้าย หลายคร้งั เรากม็ ีคนมาพยายามฆา่ เราก่คี รงั้ ยัง .. แต่ท่ำนแก้ปัญหำโดยอรรถโดยธรรม โดยควำมดีงำม ควำมถูกต้อง ควำมซื่อสัตย์สุจริตอยู่ น่ีแหละก็เลยเมื่อเรา เห็น พระพุทธเจ้าระงับปัญหาท้ังหลายด้วยอรรถด้วยธรรม ด้วยความดี งามความซื่อสัตย์สุจริตความถูกต้อง พวกเราก็ใช้เป็นหลักเกณฑ์ใน การแก้ปัญหาในชีวิต เราก็จะได้ระงับ ชีวิตนี้ เรื่องปัญหาท้ังน้ัน รา่ งกายมคี วามเส่ือมไปเปน็ ของธรรมดา กเ็ ลยมปี ญั หาเพราะสังขาร มีความเส่ือม แต่ว่าปล่อยวางในสังขารท้ังหลายท้ังปวง น่ีแหละ ความดบั ทกุ ขก์ ็เกดิ ข้นึ ถา้ เราดับมาก เรากจ็ ะไดส้ ขุ สบายมาก ถ้าเรา ดับได้ทั้งหมด เราก็จะสุขสบายได้ท้ังหมด ก็เลยขอให้พวกเรา ทั้งหลายให้เจริญในกรรมฐาน ในการภาวนาทั้ง ๔ ประเภท กำย ภำวนำ สีลภำวนำ จิตตภำวนำและปัญญำภำวนำ เพ่ือจะได้พ้น จากทุกข์ท้ังหลายทั้งปวง ก็ขอให้พวกเราตั้งอกตั้งใจทุกคนให้เจริญ บญุ บารมี และบญุ บารมีท่ีพวกเราทั้งหลายได้สร้างในวันนี้ ก็ขออุทิศ บุญกุศลนั้น และก็บุญกุศลจากการแสดงธรรมในคร้ังน้ี แก่เพื่อองค์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ และ รัชกาลที่ ๑๐ ให้ท่านได้รับ อานิสงส์ เป็นเหตุปัจจัย ให้ได้อยู่สุขอยู่สบาย อยูในภพใดภูมิใด อยู่ ณ ที่ไหน ก็ขอให้เป็นท่ีพึ่งที่อาศัยแก่พวกเราทั้งหลาย และพวกเรา ทั้งหลายจะตั้งอกต้ังใจประพฤติปฏิบัติเป็นเคร่ืองพุทธบูชา ธรรม ๙๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ที่ ๒ บูชา สังฆบูชาต่อไป ก็ได้แสดงธรรม ในโอกาสนี้พอสมควรแก่เวลา ขอยุติลงแตเ่ พยี งเทา่ นี้ ผุฏฐสั สะ โลกะธมั เมหิ จิตตงั ยัสสะ นะ กัมปะติ อะโสกัง วริ ะชัง เขมัง เอตมั มังคะละมุตตะมัง จิตของผู้ใดถกู โลกธรรมกระทบแลว้ จติ ไมห่ ว่ันไหว ไม่เศร้าโศก มีจติ ปราศจากกิเลสเพียงดังธุลี มีจิตอันเกษมสาราญ นเ้ี ปน็ อุดมมงคล แกน่ ธรรมหลวงพ่อฟิลลปิ ญำณธมั โม พระพุทธเจ้าใช้คาว่า “ภำวนำ” ในแนวที่ “ปรำรถนำตนเอง ให้เจริญ” เพ่ือเป้าหมายอันดี อันงาม อันสุขสบาย ท่ีจะได้พ้น ทุกข์ การทาใหเ้ จริญ ทัง้ ทางโลก ทางธรรม กต็ ้องอาศยั การฝึก การหัด การอบรมตนเอง การปฏิบัติพัฒนาตนเอง แยก ออกเป็น ๔ ประการ – กำยภำวนำ สีลภำวนำ จิตตภำวนำ และปญั ญำภำวนำ ข้อท่ี ๑ กำยภำวนำ ทาให้กายเจริญ เจริญด้วยกริยามารยาท รู้จักสูง รู้จักต่า รู้จักควร รู้จักไม่ควร รู้จักมารยาท รู้จักสังคม พัฒนาให้เป็นสุภาพสตรี สุภาพบุรุษ เพ่ือทาให้กายเจริญ เพ่ือ เขา้ สงั คมได้ เจริญในทางท่เี ลี้ยงชีวิตของเรา ใหถ้ ูกต้องดงี าม พระพุทธเจ้าท่านให้เรามีกายให้เป็น “สัมมำอำชีโว” เล้ียง กายให้ถกู ต้อง ไมม่ โี ทษแก่ตนเอง ไม่สรา้ งกรรมสร้างเวรแก่ตน และไม่มีโทษแก่ผู้อ่ืน ไม่เบียดเบียนผู้อ่ืน ก็ต้องอาศัยความ ๙๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๑ เล่มที่ ๒ อดทน ความเพียรพยายาม ความขยัน ไหวพริบรวดเร็ว เพื่อ แกป้ ัญหาท่จี ะเกิดขน้ึ ในชวี ิตของเราได้ คนท่มี ีความเจริญในคณุ ธรรม เช่น เจรญิ ในบารมี ๑๐ ประการ เป็นคนท่ีมีความเอ้ือเฟื้อสุนทรทาน เป็นคนมีศีลมีธรรม ขยันหม่ันเพียร อดทน ขยัน มีอธิษฐานบารมี มีความต้ังใจม่ัน ในการทาอะไรให้สาเร็จ มีเนกขัมมะบารมี มีความสละ มีขันติ มีความพยายาม มศี ลี ดี ศีลงาม ซือ่ สตั ยส์ จุ รติ มีสจั จะบารมี ข้อท่ี ๒ สีลภำวนำ ก็ต้องทาให้เจริญทางศีลธรรม ทาให้กาย และวาจาของเราเจริญ จากผู้ประมาทให้เป็นผู้ไม่ประมาท จากเป็นผู้ไม่ระมัดระวังเรื่องวาจาเป็นผู้ระมัดระวังส่ิงที่เราพูด ด้วยปากของเรา เราก็จะพัฒนากาย วาจาให้เป็นผู้มีหิริ โอตตปั ปะ เปน็ พื้นฐาน เกรงกลัวตอ่ บำปทั้งหลำย ระมัดระวัง ต่ออกุศลท้ังหลำย ไม่กล้าพูดในสิ่งท่ีท่ีไม่ถูก ไม่จริง ไม่กล้าทา ในสิ่งทม่ี โี ทษแก่ตนเอง สรา้ งกรรมเวรกบั ใคร เมื่อเรามีความระวังตัว มันก็จะได้มีสติสัมปชัญญะคุมกำร กระทำของตน เหมือนเราอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้าตลอดเวลา เรารู้ตนวา่ ทาอะไรอยู่ พูดอะไรอยู่ เทวดาก็รู้เราเชน่ เดยี วกัน กำรละบำป สาคัญมาก ๆ ละบาปด้วยการสารวมกาย วาจา ของเรา ไม่ล่วงละเมิดในศีล ๕ ทาให้เข้ากระแสของพระ นพิ พานได้ การทาใหศ้ ลี เจรญิ มันกท็ าให้เราพฒั นาตนเอง ถ้าบุคคลใดเจริญเมตตาภาวนา จนถึงจิตใจมีเมตตาสม่าเสมอ มันก็ทาให้จิตใจเบิกบาน สว่างไสว มีปีติสุข จิตใจเป็นอัน เดียวกันกับสัตว์โลกทั้งหลาย เอกัคคตารมณ์ ไม่ได้แยกแยะ ๙๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เลม่ ท่ี ๒ ผู้อ่ืนกับตัวเรา เป็นอันเดียวกัน มีความเมตตา ความหวังดี ต่อ สรรพสตั ว์ทงั้ หลายทัง้ ปวงในสามแดนโลกธาตุนี้ ข้อท่ี ๓ จติ ตภำวนำ การเจริญจติ ตภาวนา คือ อนจิ จสัญญา - พิจารณาว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันมีความไม่เที่ยงหนอ ทุกสิ่งทุก อย่างมีความเสื่อมเป็นของธรรมดา จะทาให้เป็นผู้ไม่ประมาท เกิดสติปัญญาข้ึนมา วิปัสสนาขึ้นมา เห็นชัดเจนในสภาวธรรม รู้ตามความเปน็ จรงิ ได้ บรรลเุ ป็นพระอรหันต์ได้ อาตมาก็ได้เข้าไปท่ีสมาคมพุทธแล้ว อยากจะฝึกการนั่งสมาธิ เพราะเราก็เห็นว่าเราก็อยากให้โลกน้ีสงบสุข อยากให้คน เมตตากัน ไม่เบียดเบียนกัน แต่ตนเองก็ยังมีกิเลสตัณหา มี โทสะ มีความไม่พอใจ มีความพอใจ หลง เผลอ ถ้าเราไม่สงบ เรายังไม่มีเมตตาเสมอภาค เราจะให้คนอ่ืนถูกใจเราได้ยังไง เรายังไมถ่ กู ใจตวั เอง ข้อท่ี ๑ การนั่งสมาธิ ทาให้เราตกใจ เพราะเราเห็นว่าเราไม่ สามารถท่ีจะปกครองจิตใจตัวเองได้ ทาไมจิตใจไม่สงบ ทาไม จิตมันอยากคิดเรื่องน้ี คิดเร่ืองน้ัน แค่ดูลมหายใจเข้า ลม หายใจออก ยังรักษาให้ต่อเนื่องไม่ได้ เราจะตอ้ งอยูก่ ับจิตนตี้ ลอดกาล ท้ังชาตนิ ้แี ละชาตติ ่อไป ถา้ เรา ไม่ฝึกปฏิบัติจิต พัฒนาจิตใจน้ีให้มีสติ ให้มีสัมปชัญญะ ให้มี สมาธิ จติ นี้จะพาไปทางไหน ไม่รู้ จะพาไปดี ไมด่ ี ไมร่ ู้ จะพาไป สุขหรือทุกข์ก็ไม่รู้ เราต้องเป็นผู้ปฏิบัติเพ่ือความรู้ต่อไป ก็เลย เกดิ ความตืน่ ตัว ตื่นตัวว่าจิตนเี้ ปน็ ของอัศจรรย์ ของประเสรฐิ พระพุทธเจ้าตรัส ไว้ว่าจิตน้ีสามารถบรรลุธรรมได้ จิตน้ีสามารถที่จะเกิดพลังจิต ๙๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๑ เล่มที่ ๒ - คือจิตบริสุทธ์ิ จิตสะอาดได้ เกิดแสงสว่าง เกิดสติปัญญา รู้ สิง่ ทอ่ี ัศจรรย์ได้ รูเ้ ทวดา รสู้ ตั ว์ในภพอ่นื ได้ กำยภำวนำ สีลภำวนำ แล้วก็มีจิตตภำวนำ ฝึกให้มันสงบ เพ่ือท่ีจะได้ ละความวุ่นวาย ละความเดือดร้อน ละความร้อน ใจ ละความโลภ ความโกรธ ความหลงในจิตในใจ ให้มันเยน็ ลง ให้มันสบาย ให้มันสงบ แต่ว่าต้องค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป มัน อาศัยการฝึกหัด สติคือควำมระลึกได้ พระพุทธเจ้าจะให้เราระลึกเรื่องกาย ระลึกเร่ืองเวทนา หลวงพ่อชาท่านก็จะเน้นเร่ืองสติมาก ทา อะไรอยู่ ต้องมีสติอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีสติ พระก็จะลุก จะต้องมีสติ พระจะเดินก็ต้องมีสติ พระจะถอดรองเท้าก็ต้องมี สติ “อำนำปำนสติกรรมฐำน” ให้เรามีสติจ่อรู้ลมที่ลมกาลัง เกิดข้ึน ต้ังอยู่ และก็ออกไป รู้ว่าลมหายใจออก รู้ว่าลมหายใจ เร่มิ ออก กลางลมหายใจออก ปลายลมหายใจออก ร้ลู มหายใจ กาลังเข้า กลางลมหายใจเข้า ปลายลมหายใจเข้า รู้ รู้ลม หายใจออกต่อเนอื่ งดว้ ยความสนใจ เราต้องเห็นว่าลมหำยใจท่ีจะเข้ำมำนี้เป็นสิ่งท่ีงำมท่ีสุด สะอำดท่ีสุด บริสุทธิ์ท่ีสุด มันให้ชีวิตแก่เรำ มันต่อชีวิตเรำ เป็นส่ิงท่ีมีคุณค่ำมำกท่ีสุด เม่ือเรามีความสนใจในลมหายใจ เข้าและลมหายใจออก จิตก็จะจดจ่อลมหายใจโดยอัตโนมัติ โดยความง่าย โดยไมต่ ้องบังคับมนั เพราะมันมีความสนใจ ๙๙
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160