มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๕ วิชชำจะระณะสัมปันโน วิชชาจะระณะของพระพุทธเจ้า ท่านก็อาศัยวิชชา คือการประพฤติปฏิบัติ หลายจรณะมีอะไรบ้าง ต้องถามเจ้าประคุณ ลูกท่านหลานเธอทั้งหลาย จะรู้ว่าจรณะของ พระพุทธเจ้า การประพฤติปฏิบัติก่อนที่จะตรัสรู้ต้องอาศัยวิชชาจะ ระณะสัมปันโนเป็นคู่ในการประกอบการปฏิบัติ หายใจเข้าให้มี เฉพาะความรู้ต่อหน้า คนเรามีท้ังชีวติ และจิตใจอยู่รว่ มกัน ทั้งมีชีวิต และจิตใจอยู่ในคน ๆ เดยี ว ชีวิตคอื ลมเข้าออก ก็ถือวา่ มีชีวติ อยู่ได้ก็ เพราะลมเข้า-ลมออก แต่อย่าลืมว่าจิตใจก็ต้องประคับประคองให้ อยู่ด้วยกันรู้ด้วยกัน รู้ลมเข้า-ลมออก หรือว่าจะกาหนดบทใดหรือ บริกรรมท่ีครูบาอาจารย์มอบให้หรือเคยได้ยินได้ฟัง สอนให้เราได้ เห็นได้ปฏบิ ัติมาแล้ว พุท-ลมเข้า โท-ลมออก พุท-โธ พุท-โธ ก็ได้ เพื่อเป็นอุบาย เปน็ เคร่อื งระลึกสติจบั จติ จับใจให้มนั อยู่กบั หลัก หลกั คือพทุ โท หรือ ลมเข้าลมออกเป็นหลัก และก็พร้อมกับความรู้สึกอยู่เรื่อย ๆ สัมปชัญญะหรือว่าสติสัมปชญั ญะ มีทั้งหลักปักไว้ให้แน่นหนามั่นคง มีทั้งเชือกผูกล่ามดึงไว้ถึงจะด้ินรนขนานไหน จิตดวงนี้ ใจดวงนี้ ถ้า เราตั้งอกตั้งใจให้อยู่กับหลักในการปฏิบัติท่ีถูกต้องด้วยเชือกท่ีผูก ล่ามเอาไว้ ไม่ให้หนีจากสายตาแล้ว ถึงจะด้ือขนาดไหนดิ้นรนกวัด แกว่งขนาดไหน ถ้าหลักมันดีแล้ว เชือกมันเหนียวแน่นแล้ว มันก็ไม่ เหลอื วิสยั ย่อมสงบจนได้ จิตดวงน้ันใจดวงน้ัน ให้พวกเราต้ังอกต้ังใจ ฟงั ตั้งอกตั้งใจปฏบิ ัติ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสมั พทุ ธสั สะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสมั พุทธัสสะ ๕๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๕ อะเสวะนา จะ พาลานัง ปณั ฑิตานญั จะ เสวะนา ปูชา จะ ปูชะนยี านัง เอตัมมังคะละมตุ ตะมงั ฯ บัดน้ีอาตมาก็พาให้พวกเราทุกคน สาธุชนพุทธศาสนิกชน ทุกคนให้ต่อการประพฤติปฏิบัติ เพ่ือเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อัญชลีบูชา ปฏิบัติบูชา ด้วยกายด้วยวาจาและจิตใจ เป็น เครื่องบูชา เป็นเครื่องเทิดทูน เพ่ือเป็นบุญเป็นกุศล เพ่ิมพูนบุญราศี เพ่ือให้บารมีที่มีอยู่แล้ว มีมากขึ้น ๆ ทุกคนก็มีบารมีอยู่แล้ว แต่มัน จะมากน้อยก็แล้วแต่ผู้สร้างมาไม่เหมือนกันประพฤติปฏิบัติอยู่ก็ไม่ เหมอื นกนั ผลที่รับจะเทา่ เทียมกันท้ังหมดเทา่ กนั อยา่ งไร เปน็ เครื่อง รู้เป็นเคร่ืองแยกแยะ เป็นเครื่องแบ่งเพราะกรรมเป็นเคร่ืองแต่งให้ สัตว์มนุษย์ทั้งหลาย เป็นไปตามกรรมคือการประพฤติปฏิบัตมิ าแลว้ ไม่ต้องสงสัย ทุกคนเกิดมาในโลกด้วยผลกรรมท่ีกระทามาไม่ เหมือนกัน ทาดีทาช่ัว ทาบุญทาบาป ผลท่ีได้รับก็อย่างที่ผลเกิดข้ึน ว่า ใหเ้ ป็นมนุษยใ์ นโลก ความเป็นอยู่ วาสนาบารมี สติสมาธิ ปญั ญา ไม่เหมือนกัน ก็เพราะการกระทามาไม่เหมือนกัน ประพฤติปฏิบัติ อยู่ก็ไม่เหมือนกนั ความรูค้ วามฉลาด รปู ร่างกลางตวั ก็ไม่เหมอื นกัน นี้เชือ่ เลยวา่ เปน็ เพราะผลของกรรม กรรมเป็นคากลาง ๆ กุศลกรรมเป็นผลสร้างให้สัตว์มนุษย์ เลวร้ายไม่เหมือนกัน อกุศลกรรมทาให้มนุษย์สัตว์ดีชั่วไม่เหมือนกัน บุญและบาปเกิดจากเหตุเกิดจากการกระทา ด้วยกายแปลว่า กายกรรม พูดออกมาแปลว่าวจีกรรม ทาด้วยรูปมือร่างกลางตัว แปลว่ากายกรรม มโนกรรมคิดข้ึนมาในจิตในใจภายในนี้ที่เกิดข้ึน ทั้งบุญและบาป ดีหรือชั่ว ตรงนี้เป็นหลักเป็นสิงที่พระพุทธเจ้า ๕๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๕ ท้ังหลายเน้นเข้ามาสู่จุดนี้ อาตมาจึงได้ยกสุภาษิตข้ึนมาว่า มงคล สูตรขึ้นมาว่า อะเสวะนำ จะ พำลำนัง ปัณฑิตำนัญจะ เสวะนำ ปชู ำ จะ ปชู ะนียำนงั เอตมั มงั คะละมุตตะมัง ฯ เปน็ ต้น เพอ่ื จะให้ รู้จักเส้นทางของชีวิต ให้ถูกต้องตามทานองคลองธรรมที่เรา ปรารถนาหากนั ส่วนมากปรารถนาหาแตค่ วามดีความสบาย ความสุขความ สมบูรณ์ด้วยกันทั้งนั้น แต่ในทางของชีวิตทาไมต้องเจอทั้งดีและชั่ว ทาไมทงั้ ดแี ละไมด่ ี เขาก็ใหเ้ พราะท้งั ของเกา่ ของใหม่บวกกนั เข้าแล้ว ถ้าอันไหนมีอานาจมาก มันก็ให้ผลมาก อันไหนมีอานาจน้อยก็ค่อย ๆ ให้ผลสืบต่อกันไป ท้ังที่เราทามาในอดีตที่ผ่านมาแล้ว หรือทา มาแล้วอยู่ในปัจจุบันขณะนี้ ผลที่ได้รับในอนาคตกาลเบ้ืองหน้าก็ เหมือนกัน เพราะการเสวนา เสวะนำ จะ พำลำนัง ถ้าท่องเที่ยว เวียนว่ายตายเกิดในโลกียะไม่มีท่ีส้ินสุดยุติ ถ้าเที่ยวหาตามพละ ธรรม คำสั่งสอนของทำ่ นผู้รู้ มพี ทุ ธศาสนา เปน็ ตน้ คอื มรรคมีองค์ ๘ หรอื โพชฌงค์ ๗ ๘ ๙ หรอื โลกุตรธรรม ๙ เส้นทางท่ีจะเกิดขึ้นของพระพุทธ ท่ีเกิดข้ึนของพุทธ ๗ ๘ ๙ ๗ ก็คือ โพชฌงค์ ๗ ท่ีตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ทุก ๆ พระองค์ จะ เว้นเสียอย่างข้อหนึ่งข้อใดไม่ได้ จะไม่สมบูรณ์ ๘ เม่ือเดินทางแห่ง อริยะมรรค คือการประพฤติทางกายวาจาใจทั้ง ๘ อย่างให้ได้ ต้อง สมบูรณ์ทงั้ นน้ั หรอื ว่ามรรคมีองค์ ๘ ถา้ พดู ตามเสน้ ทางก็คอื ๘ เส้น ใหญ่ ๆ ถึงจะเส้นทางในโลกมีก่ีเส้น ถ้ำรวมแล้วก็มำเข้ำสู่มรรคมี องค์ ๘ จึงจะเป็นเส้นทำงที่หลุดพ้นจำกควำมหลง เพรำะเขำจะ เข้ำไปสู่ควำมบริสุทธิ์พุทโธจนได้ เส้นทางในโลกมันมีมากต่อมาก กับการประพฤติปฏิบัติ ลัทธิประเพณี ศาสนาใดในโลก ใครก็ว่าใคร ๕๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๕ เก่ง ใครประเสริฐท่ีสุด ประกาศว่า ถ้าประกาศหรือแสดงออกมา ทางกายทางวาจาและทางจิต คดิ ข้ึนมาทางใจ ถา้ ถูกตามมรรคมีองค์ ๘ ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ เป็นต้น จนถึงสัมมาสมาธิ จะเป็นทางท่ีนาไปสู่ ความสขุ ความเจริญ หรอื ว่า “เสวะนา จะ พาลานงั ” ถ้าเดินทางผิด คิดไม่ถูกตามธรรมนองครองธรรมแล้ว ผลต้องได้รับไม่สมปรารถนา ทีเ่ ราต้องการ ถ้า “ปัณฑิตำนัญจะ เสวะนำ” คบค้าสมาคมนักปราชญ์ บัณฑิต คิดตามทานองคลองธรรม พูดตามทานองคลองธรรม ประพฤติปฏิบัติตามเส้นทางท่านผู้รู้ผู้ฉลาด ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมแล้ว ก็ถือว่าเป็นผู้เจริญ ย่อมเป็นผู้เจริญไม่ตกต่า เพราะฉะนั้น ชีวิตทุกชีวิต ท้ังชีวิตและจิตใจต้องอาศัยซ่ึงกันและกัน ร่างกายก็เป็นชีวิตท่ีเราต้องพ่ึงพาอาศัยอยู่เหมือนกับบ้าน สร้าง ขน้ึ มาเกดิ ขน้ึ มา เป็นตวั เปน็ สัตว์ เป็นบุคคล หญงิ ชายร้ายดี กเ็ พราะ เป็นอานาจของบุญและบาป ดีช่ัว แต่ว่าจิตใจมาอาศัยบ้านที่ได้มา จากพ่อจากแม่ จากความเป็นอยู่ จากบ้านที่เรารักษา จากอาหาร การเป็นอยู่ ทุกวันนี้กค็ อื บา้ นท่เี ราดแู ล แตม่ ีจิต บา้ นหลงั นม้ี ีเจ้าของ อาศยั อย่คู อื จิตและใจ ทีเ่ ราอาศัยอยู่ ฉะนั้น บ้านกับเจ้าของบ้านต้องดูแลกันไป ให้เข้าใจตาม ความเป็นจริงของบ้าน อยู่ที่ไหน อยู่ในวัดนอกวัด อยู่ที่กิจการ ทางานตา่ ง ๆ ไปทไ่ี หนก็มีใจไม่ใช่เหรอ ฉะนัน้ การดแู ลหลอ่ เลี้ยงทั้ง ชีวิตและจิตใจ มันต้องไปพร้อมกนั ประคับประคองกนั ไป ถา้ ผ้ใู ช้รถ รถก็ต้องเติมน้ามันไม่ใช่เหรอ รถถึงจะไปได้ถึงจุดหมายปลายทาง น้ามันก็ต้องมีในถัง สตางค์ก็ต้องมีในกระเป๋าไม่ใช่เหรอ ผู้ท่ีเดินทาง ถ้าเป็นอย่างน้ัน ไปท่ีไหนก็สบายหายห่วงอบอุ่น ถ้าน้ามันมีในถัง ๕๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๕ สตางค์มีในกระเป๋า ไปที่ไหนอยู่ท่ีไหน ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทางก็ สบายอบอุ่น เพราะน้ามันมีในถัง สตางค์มีในกระเป๋า เปรียบเทียบ ให้ฟังว่า ใจเรามีบุญมีกุศลคือความฉลาด พร้อม ๆ ร่างกายก็พร้อม ดว้ ยกัน ตามสุขอนามยั ทถี่ กู ตอ้ งไมข่ าดตกบกพร่องมากเกินไป กำยดี จิตดี กำยดี ใจดี ประกอบหน้ำท่ีอะไรก็สำเร็จได้ ด่ังใจสมปรำรถนำ จากน้ัน เราก็มาพินิจพิจารณา คือภำวนำตำม สภำวะตำมควำมเป็นจริง ตามเรือนร่างของรูปของนามของกาย ของใจ ทุกอย่างคิดว่าเพราะเรา ตัวของเรา เรือนร่างของเรา อะไร เป็นเรา อะไรเป็นของ ๆ เราน้ี แนวทางศาสนาท่านจึงว่า เสวะนำ จะ พำลำนัง ปณั ฑิตำนัญจะ เสวะนำ การเป็นอยู่ในชวี ิตประจาวัน ก็ต้องศกึ ษาเหมอื นกนั การศกึ ษาโลก คดขี องโลก การเลย้ี งชพี มันไม่ มีทส่ี ้ินสุดยตุ หิ รอก ไปกนิ ไปหาไดม้ าใชไ้ ป กบ็ ่นว่ามันไมม่ ไี ม่พร้อมไม่ เตม็ กระเปา๋ สักที กเ็ พราะเราหามากินไปใชไ้ ปจับจา่ ยไป ยังไม่มีก็เช่า มาซื้อยืมมา ท้ังในชีวิตประจาวันก็จ่ายอยู่เป็นประจา แล้วมันจะทัน ต่อการจ่ายได้อย่างไร เพราะการได้มากับการจับจ่ายมันไม่ไป ด้วยกัน รู้จักหำ รู้จักเก็บ รู้จักรักษำ สำมอย่ำงให้ไปด้วยกัน ชีวิต น้ันจึงเป็นชีวิตที่อยู่ได้ เป็นชีวิตที่พอเพียง เป็นชีวิตที่เพียงพอ เป็นชีวิตที่รู้ถึงกำรได้มำซึ่งทรัพย์ กำรรู้จักรักษำทรัพย์ รู้จัก จับจ่ำยซึ่งทรัพย์ รู้จักหำ รู้จักเก็บ รู้จักใช้ คนนั้นจะเอำตัวรอด ครอบครัวนนั้ จะอย่รู อด ถ้าครอบครัวไม่รู้จักการหา การเก็บ การใช้แล้ว ถึงยังไงก็ เอาตัวไม่รอด อันนี้ความเป็นอยู่ของโลก ความเป็นอยู่ของชุมชนอยู่ ร่วมกัน จิตใจก็เหมือนกันถ้าต้องการความสุขความเจริญ ความสุข ในศีลในธรรมต้องเสวนากับท่านผู้รู้ พุทธศาสนาท่านสอนไว้ว่า ๕๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๕ อยา่ งไร กต็ ้องมาศึกษาประพฤตปิ ฏบิ ัติตามในชีวิตประจาวัน เพราะ ทุกชีวิตเกิดมำแล้วต้นช้ีตำยปลำยชี้เป็น รู้ไหมว่าต้นชี้ปลายตายชี้ เป็นเดินไปที่ไหนก็เกิด ความเกิดความช้ีปลายก็เกิดไปทางตายแล้ว เดินไปไหนใต้ฟ้าหรือบนพื้นแผ่นดิน ต้องมีความตายเป็นท่ีสุดทุก ชีวิตทุกคนในโลก จะประกาศตัวเองเด่นกล้าสามารถอาจเอ้ือม ขนาดไหน ก็ย่อมอยู่ในสายตาแห่งพญามัจจุราชแห่งความตาย ก็ ฝากพวกเราเอาไว้เพื่อเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติใน ชีวิตประจาวัน เสวะนำ จะ พำลำนัง ปัณฑิตำนัญจะ เสวะนำ พาลข้าง นอกก็มีเยอะแยะ จะไปคบค้าทาไมคนพาล พาลก็พาไปผิด บัณฑิต พาไปดี พาไปทางท่ีถูก พาลข้างนอกก็มีเยอะแยะ บัณฑิตข้างนอกก็ มีมากต่อมาก ก็เลือกทางปฏิบัติคบค้าสมาคม พาลภายในจิต พาล ภายในใจของเราก็มีมากต่อมาก ความคิดถ้าไม่ได้เลือกเฟ้น เห็นว่า มนั เปน็ พษิ เปน็ ภัยแลว้ ทาไปตามความคิด นกึ ไปตามความคิดความ อยากนาหน้า นาพาก็ถือว่าเป็นพาลภายในจิตสาคัญมาก พาให้ ครอบครัวของเราให้ตัวของเราไม่มีคุณภาพ ก็เพราะว่าเราตามแต่ พาลภายในไม่ได้ตามบัณฑิต ไม่ได้ตามแนวความคิดท่ีถูกต้องตาม ทานองคลองธรรม ทาไมรถถงึ มีการสรา้ งเบรกขน้ึ มา เขาฉลาด ทง้ั มี คันเรง่ มีเบรกห้าม มชี ะลอไว้ก็ได้ จะโคง้ จะเล้ียวจะตรงขาดไหน จะ แซงจะสวนได้ทั้งนั้น เกิดมาจากแนวความคิดของมนุษย์ทั้งน้ัน แต่ เอามาใช้ในตัวเองในชีวิตประจาวันไม่เป็น รู้จักในการใช้กับส่ิง ภายนอก แต่การใช้กับชวี ติ ประจาวนั ของตนเองไม่เปน็ แล้ว เอตัมมังคะละมุตตะมัง ฯ ราบรื่นเป็นมงคล มีแต่ความสุข ความเจริญ ราบรื่นในชีวิตอย่างเดียวเป็นได้อย่างไร เพราะชีวิตของ ๕๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๕ เราเป็นชีวิตท่ีลอ่ แหลมอยู่กับภัยอันตรายรอบด้าน เส้นทางของชีวิต จิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำงเลือกทำงจิตทำงใจยิ่งเป็นส่ิงท่ี สำคัญมำก เพรำะใจเป็นใหญ่เป็นเหตุเป็นประธำน ท่ีพูดให้ทำก็ มำจำกจิตจำกใจท้ังนั้น ฉะน้ัน ให้พวกเรำสังวรสำรวมวันนี้ให้ดี ให้เข้มงวดกวดขันกับตัวเอง เพรำะชีวิตทุกชีวิตในโลก ต้นช้ีตำย ปลำยช้ีเป็น มันเบ่ียงเบนเปลย่ี นแปลงไม่ได้ ทุกคนเกิดมาในโลกทกุ ชวี ติ ยอ่ มเปน็ อย่างน้ัน ถงึ จุดจบเมอ่ื ไหร่ก็เป็นเร่ืองของกรรม ของแต่ ละท่านของแตล่ ะคนแลว้ แตจ่ ะประคบั ประคองชีวิตของตนเอง ถึงเม่ือไรอย่างไร เห็นไหมเกิดที่หน่ึง ไปตายท่ีหนึ่งก็ยังมี เยอะแยะ เกิดที่บ้านก็ตายท่ีบ้านก็มีมากต่อมาก ไม่วา่ ครบู าอาจารย์ สามเณรเถรชี มีบารมีมากน้อยเหมือนกันในโลก อาตมาถึงว่าสูง เท่ำไรก็อยู่ใต้ฟ้ำ สูงศักด์ิศรีดีงำมเท่ำไรในโลกนี้ก็อยู่ใต้ฟ้ำ ก็เป็น อย่างนั้น สง่างามเท่าไร ดีเท่ำไรก็อยู่ใต้ทุกข์ ทุกคนเกิดมำมีทุกข์ ทั้งน้ัน อยู่ท่ีความขวนขวายช่วยเหลือตัวเองและคนอื่น พอมันทุกข์ มันอยู่กับอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ฉะนั้น อยู่เฉยไม่ได้มนุษย์สัตว์ เกิด มาต้องดน้ิ รน สุขสบายดีเท่าไหร่ก็อยู่ใต้ทุกข์ หาความสขุ ในวิสัยของ โลกคดโี ลก ในโลกียะมคี วามสุขเท่าไร ก็อยู่ใตอ้ นจิ จงั มนั ไม่เที่ยง กิน ดีเท่าไหร่ไม่นานมันก็หิว นั่งว่ามันสบายไม่นานก็เจ็บปวดร้าวแล้ว เดินว่ามันสะดวกสบายไม่นานก็เม่ือยล้าแล้ว เปลี่ยนอิริยาบถเป็น ประจาท้งั วัน หาอิริยาบถที่มันสบาย เพราะฉะน้ัน อิริยาบถเดียวไม่ได้มนุษย์น้ี ต้องยืนเดินน่ัง นอน ถ้าเป็นไปได้ต้องอย่างน้ัน แต่ว่ายืนด้วยควำมรู้เท่ำเท่ำทัน เดินด้วยเป็นผู้มีสติผู้มีปัญญำ น่ังนอนสอนตนเอง อย่ำงนั้นเป็น ชีวิตท่ีมีคุณค่ำ สูงเท่ำไรก็อยู่ใต้ฟ้ำทั้งน้ัน สง่ำงำมเท่ำไรก็อยู่ใต้ ๕๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๕ ทุกข์ มีควำมสุขควำมสบำยเท่ำไรกอ็ ยู่ใต้อนิจจัง มีเครื่องรำงของ ขลังมำกเท่ำไรก็อยู่ใต้กรรม เอามาปกปักรักษาเท่าไรมากต่อมาก เช่าหรือซ้ือมาพอกลับมาถึงก็ไปท่ีคาว่า ต้นชี้ตายปลายช้ีเป็น มันชี้ ไปแล้วเอาเคร่ืองรางของขลังมาปกปักรักษาแค่ไหน ผลสุดท้ายก็ อนจิ จำ วะตะ สังขำรำ อุปปำทะวะยะธัมมิโน เมื่ออุบัติขึ้นมำแล้วยอ่ มไมเ่ ท่ียง แต่จะเปลี่ยนแปลงไปช่ัว ระยะหน่ึง แล้วก็ดับไปสิ้นไป มีแล้วก็ดับไปมีแล้วก็หำยไป เพราะ ต้นมันช้ีไปทางตายแล้ว ปลายช้ีเปน็ คอื อะไร บน้ั ปลายชีวิตตั้งแต่เกิด รเู้ รยี นชวี ติ ตั้งแตร่ ้สู ภาวะกศ็ ึกษาหาความรคู้ คู่ ณุ ธรรม คบค้าบณั ฑิต นักปราชญ์นาพาไปสู่ความสุขความเจริญ ปลายชี้เป็นคือบ้ันปลาย ชวี ิตต้งั แตแ่ รกเกิดแลว้ จะพยายามให้ไปสู่ความสบาย มแี ต่ความสุข ความเจริญท้ังคดีโลกและคดีธรรม อันนี้เป็นของสาคัญมากสาหรับ ทุกชีวิต ทุกจิตใจต้องพัฒนา ต้องศึกษาและมาพัฒนาในความ เป็นอยู่ อย่าไปลุ่มหลงงมงายมาก ความเข้าจะชักชวนไปสู่ลัทธิน้ัน ลัทธนิ ี้ ลัทธใิ ด ๆ ก็อยู่ใต้ฟา้ ลทั ธิไหนสง่างามเท่าไรก็อยู่ใต้อนิจจังใต้ ทุกข์ สุขเท่าไรสบายเท่าไรก็อยู่ใต้อนิจจัง เหนียวแน่นเท่าไรก็อยู่ใต้ กรรม ผลสุดท้ายต้นช้ีตายปลายช้ีเป็น สาคัญอย่างยิ่งคือปลายช้ี เป็น บ้ันปลายชีวิตของเราจะเป็นอะไร ในวันนี้ขณะน้ี แล้วไปสู่ อนาคต ชั่วโมงข้างหน้า วันหน้า เดือนหน้า ภพหน้า ปราชญ์ท่าน สอนอย่างน้ัน ท่านสอนอย่างน้ัน เพราะท่านรู้แล้วในการประพฤติ ปฏิบัติของพระองค์อย่างพระพุทธเจ้า พระองค์ท่าน ท่านถึงจุดจบ พบความสุขที่แท้จริง ควำมสุขในโลกเป็นควำมสุขที่อยู่กับอนิจจัง เคร่ืองรางของขลงั มีมากเท่าไรเช่ามา ผลสุดท้ายก็อยู่ใต้กรรม ไม่หนี ๕๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๕ จากน้ัน สูงเท่ำไรก็อยู่ใต้ฟ้ำ สง่ำงำมเท่ำไรก็อยู่ใต้ทุกข์ สุขเท่ำไร สบำยเท่ำไรกอ็ ยใู่ ตอ้ นจิ จงั มันกแ็ คน่ ้ี ชวี ติ ทุกชวี ติ ฉะน้ัน อย่าไปเย่อหยิ่งจองหอง ลาพองตนเอง หลงลาภยศ สรรเสริญเยินยอมาก เพราะชีวิตทุกชีวิตมันชี้ไปทางตายแล้ว ได้ อะไรก็ได้อยู่ในสมมติไม่นานก็หลุดไป ได้มาแล้วระยะหนึ่งก็เสื่อม คุณภาพ เส่ือมคุณค่าไป เช่าเขามา ซื้อเขามา ทีแรกก็ดีอกดีใจ พอ เปลี่ยนแปลงเป็นไปสักช่ัวระยะหนึ่ง หมดคุณค่าหมดราคา โดยเฉพาะอย่างย่ิง ทั้งชีวิตจิตใจของเราก็เหมือนกัน อย่าคิดว่ามัน จะสูงทะลุฟ้า อย่าคิดว่าจะมีแต่ความสุขความสบายอย่างเดยี ว อย่า ไปหลงความสุขความสบายมันก็ไม่เท่ียง เพราะมันสุขด้วยอามิสสุข สุขเพราะอาศัยส่ิงปรุงแต่ง เยียวยารักษาหรือประคับประคองได้แค่ น้นั ถ้าลมเข้าไม่ออก ถ้าลมออกไม่เข้า น่ันแหละมีอะไรเกิด ขึ้นกับชีวติ ของเรา ทา่ นจึงว่าอย่ำลืมลมหำยใจ ควำมไม่ลืมแปลว่ำ คือเป็นผู้มีสติ มีสมำธิ มีปัญญำ ลมเข้ำก็รู้ลมออกก็รู้ ปรับปรุงให้ อยู่กับท่าสบาย ๆ เพราะทุกคน ทุกจิตทุกชีวิตต้องการความสบาย อยู่แล้ว เอาการระลึกนึกลมเข้า-ลมออก เอาเป็นเคร่ืองระลึกถึงสติ เพื่อให้เกิดสมาธิม่ันคงในการปฏิบัติของเรา เมื่อจิตเป็นสมาธิคือ เข้าถึงจิต มีอารมณ์อันเดียวไม่เกี่ยวข้องกับอะไร แม้การบริกรรมไม่ จดจ่อกับเรื่องอะไร ก็เพ่ือเข้าไปถึงจุดน้ัน ท่านจึงว่าจิตเข้ำไปสู่ใจ โดยเฉพำะแล้ว ผู้ปฏิบัติจะต้องสัมผัสด้วยตนเอง จะรู้ด้วยตนเอง เห็นด้วยตนเอง ทราบถึงตรึงใจด้วยตนเอง บางทีมีปิติอัศจรรย์ เพราะการชนะใจทาใจใหส้ ่คู วามสงบได้ ๕๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๕ จากน้ัน อัศจรรย์ก็คือคาส่ังสอนของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ ว่าท่านบังคับจิตบังคับใจของท่าน ผล เกิดข้ึนเกินคาดอย่างน้ีเองเหรอ แปลว่าผู้ปฏิบัติจะต้องรู้เองเห็นเอง เหมือนพระพุทธเจ้า ไม่มีใครเป็นผู้ตรัสรู้แทนพระองค์ท่าน ท่านก็ ค้นหาเป็นศาสดาของตนเอง เป็นอาจารย์ของตนเอง ผลสุดท้ายก็รู้ ช่องรู้ทางรู้จักการปฏิบัติ บังคับจิตเข้าสู่ความสงบด้วยการกาหนด ลมเข้า-ลมออก ในตารับตาราท่ีพวกเราได้ศึกษาได้ยินได้ฟังมา แต่ มายุคสมัยน้ีมันมีอะไรต่ออะไรหลายอย่างที่ครูบาอาจารย์สอน ก็ เพื่อเปน็ อารมณข์ องสติ เปน็ เคร่อื งระลกึ ของสติ สติก็คือจิต จิตมันกวัดแกว่งมันนึกมันคิด แม้น่ังอยู่ตรงนี้ มนั ไม่รูไ้ ปถึงไหน มันว่ิงอยูค่ นเดยี ว แม้อยู่ตรงนมี้ ันนกึ คนเดียว เท่ียว คนเดียวไปไกล ไม่รู้เอาอะไรเป็นอารมณ์ของมัน จิตดวงนี้ ถ้าเราไม่ เอาหลกั พระพุทธศาสนา คือสตสิ มาธิ สตสิ ัมปชญั ญะ ไม่มีอะไรท่ีจะ เหนอื จากสติ สมาธิ ท่ีจะจับจิตท่มี นั กวดั แกว่ง จับจิตที่มันนกึ ปรุงฟุ้ง ไปอยู่ ไมม่ ีหลับไม่มีนอน ไมม่ หี ลบั ไมม่ ฟี ืน้ นัง่ เงียบ ๆ สงบกาย สงบ วาจา แต่ใจน้ันมันยังไม่สงบ มันคิดมันนึก มันปรุงฟุ้ง แต่มันก็ ออกมาจากถา้ คือร่างกายเป็นท่อี ยขู่ องมัน จิตดวงน้ี ใจดวงนี้นึกคนเดียว เท่ียวคนเดียว ไปไกลไปกับ อารมณ์ดีร้ายท่ีอาตมาว่า ผู้ท่องเที่ยวก็คือใจดวงนี้ เท่ียวเอาธาตุเอา ขันธ์ เป็นธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ เปน็ เคร่ืองมือของมนั ไปท่ีไหนกไ็ ปเทย่ี วกับ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อาศัยอายาตนะ คือภายในภายนอกประจบสัมผัส กัน แปลว่าอายาตนะ ๖ มีกันทุกคน ใครไม่มีตา ใครไมม่ ีหู ตากต็ าดี ได้ หูก็หูดีได้ เห็นอะไรก็เห็น มาด้วยกันท้ังน้ัน แต่กลายเป็นอารมณ์ ทับถมจิตใจตัวเอง ไปกว้านหามาทับถมจิตใตตนเองให้ขุ่นมัว ใจที่ดี ๕๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๕ ก็กลายเปน็ ใจทม่ี ืดบอดไม่ฉลาด ย่ิงเห็นมากก็ยง่ิ โง่มาก ยง่ิ ได้ยนิ มาก ยิ่งรู้มากก็ย่ิงโง่มาก เพราะอะไร เพรำะเรำขำดสติเป็นเครื่อง กล่ันกรอง ขำดสมำธิคือรวมควำมรู้เข้ำมำสู่จุดเดียว แล้วก็ขำด ปัญญำ โดยเฉพาะอย่างย่ิง ปัญญา สัมมาทิฏฐิ สัมมาสมาธิ ขาด ปัญญาตรงนไี้ ม่ได้เลือกเฟน้ ไมไ่ ด้แยกแยะ จิตของเราจึงไปจับทุกอย่าง รู้ทุกสิ่ง รู้อะไรมามากต่อมาก เหน็ อะไรมามากตอ่ มาก แทนที่จะพอแล้ว แทนท่ีจะพรอ้ มแล้ว กลบั ไม่พอไม่พร้อม เพราะอารมณ์มันมีท้ังอารมณ์ดีและอารมณ์ร้าย เสียงเหมอื นกนั รูป รส กลน่ิ สมั ผัส มันมที งั้ ดีท้ังชวั่ มันปนกันทั้งรูป รส กล่ิน เสียงสัมผัสกับอารมณ์ แล้วกลับมาย้อมจิตกลับมาย้อมใจ ตนเอง จติ มนั ย้อมอารมณ์ทม่ี ันได้ยินทางหู ไดด้ ูทางตา มันเกดิ ข้ึน ที่ มันเศร้าหมองและผ่องใส กบั เจา้ ของทีม่ ันจะเลือกเว้นเห็นวา่ มันเป็น ภัยเป็นโทษ เพราะมันไปทอ่ งเท่ยี วกว้านเอา ถือเอา ถ้าเราไม่มคี วาม ฉลาดแยกแยะอย่างที่ว่า ไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ก็ไม่มีทาง เป็นวัฏจกั รหาทางออกใหต้ วั เองไมไ่ ด้ ถ้าไม่ได้ศึกษาตามแนวพุทธศาสนาท่ีท่านรู้จริง ๆ เห็น จรงิ ๆ พ้นจริง ๆ สุคะโตคือร้โู ลกอย่ำงแจ่มแจง้ รู้จรงิ ๆ แลว้ กพ็ ้น ไปจริง ๆ เสด็จไปดีจริง ๆ สุคะโตแปลว่ารู้โลกแล้วเสด็จไปดีแล้ว พวกเรามันไปไม่ดีก็เพราะห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่เห็นโทษ ไม่เห็นภยั ในโทษ คือท่ีตาได้เห็นมากต่อมาก หูได้ยินมากต่อมากก็กลับไปหลง ท้ัง ๆ ท่ีจิตคือใจเป็นนักรู้อยู่แล้วมีความรู้เป็นตัวของตัว แต่รู้ไม่จริง รไู้ มไ่ ดไ้ ปไมพ่ น้ กเ็ พราะว่าเจ้าตวั คือเรา ของกายของใจไม่รู้ตามความ เป็นจริง ไม่รู้เรื่องกาย ไม่รู้เร่ืองใจ ไม่รู้เร่ืองบ้านของตนเอง ไม่รู้รส ๖๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๕ ไม่รู้เรือนของตนเองที่เรามาอาศัยอยู่ ไม่รู้จักแยกแยะคิดพิจารณา ไม่รจู้ ักศกึ ษาตามแนวทางของทา่ นผู้รู้ จิตก็มีอยู่แล้ว คิดก็คิดได้แต่ไปคิดเร่ืองอื่น ความรู้ก็มีอยู่ แลว้ กลับรไู้ ม่จริง คิดไม่ได้ไปไมพ่ ้นก็เพราะว่าไม่มสี ติ ไมม่ ีสมาธิ ไม่มี ปัญญา เราไปถามไถ่ใคร ไปศึกษาปัญหาที่ค้างคาใจเราทุกคน บวช มามีศีลมีธรรม ก็มีปัญหาค้างคาใจแก้ไขตนเองไม่ได้ ก็เพราะตนเอง ไม่รู้จักการปฏิบัติของตนเอง ร่างกายคือรูปกายก็มีอยู่ จิตคือ ความคิด ใจคือความรู้ ก็มีอยู่ ตาก็เคยเห็นอะไรซ้า ๆ ซาก ๆ หูก็ได้ ยินอะไรได้ยินมาแล้ว เขาซื่อสัตย์ตามความเป็นจริง ได้ยินแล้วก็ได้ ยนิ ได้ยินแล้วไดย้ นิ อีก พรอ้ มที่จะได้ยนิ ถา้ หไู ม่หนวกตาไม่บอด ตา เหมือนกันเห็นอะไรต่อมิอะไรมาแล้ว เห็นอะไรอีกก็จะได้เห็น ผ่าน มาแลว้ กผ็ ่านไป นี่คือความจริงของจักษุ คอื ในตา อายาตนะมันเป็น อยา่ งน้ัน นคี่ ือความจรงิ ประตูท่ีเราได้รู้ได้เห็นได้เป็นมันพร้อมอยู่แล้ว แต่ผู้หลงคือ อะไร ไปหลงทต่ี า หไู ด้ยนิ ผรู้ กู้ ค็ ือใจต่างหาก ตากบั หูเขาไม่รู้ เขาไม่ หลง รูป เสียง กล่ิน รส เขาไม่รู้เขาไม่หลง เป็นเส้นทางเป็นประตูที่ ผ่านเฉย แต่เจ้าที่ไปรู้ไปหลงก็คือใจ คือจิตคือใจ ท่านจึงให้มี สติสัมปชัญญะ มีปัญญาประคับประคองแยกแยะ ตากับรูปเห็นกัน แล้ว ดีใจเสียใจเป็นเรื่องของอะไร เป็นเร่ืองท่ีทับถมกันในใจตนเอง กส็ ่งิ ท่ีเราไม่สังวรสารวม ระวงั ขจดั ความหลงด้วยความรู้ ดว้ ยความ ฉลาดไม่ใช่เหรอ ขจัดความมืดก็เพราะมีแสงไม่ใช่เหรอ เพราะมีไฟ ไม่ใช่เหรอ เปรียบเทียบให้ฟังแล้วนามาใช้ในชีวิตประจาวัน ก็คือ ขจัดความหลง มีสติปัญญา หลงอะไรหลงรูป หลงรูปตนเอง ไม่ใช่ หลงรูปคนอื่น ถ้าหลงรูปตนเองตามธรรมชาติแล้วก็ไม่หลงคนอื่น ๖๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๕ เข้าใจไหม รู้จิตหลงใจ หลงความคิดขึ้น อาศัยรูป เป็นต้น ท่ีตาได้ เห็น เมื่อมีควำมหลงเป็นพื้นฐำน ก็มีควำมโง่มีทุกข์ เป็นผล ตำมมำ ถา้ มคี วามรู้ความฉลาดหรือแสงสว่างอะไรผ่านมาผ่านไปก็รู้ แสงสว่างแปลว่าอะไร คือธัมโมปทีโป มีสติมีสมาธิมีปัญญาพร้อม ๆ กัน มันก็ขจัดความมืดอยู่เป็นนิจ ถ้ามีดวงไฟอยู่ในมือก็ไม่ดับ ไปท่ี ไหน มันขจัดความมืด ส่องแสงสว่างให้ราบรื่น ถ้าเราไม่เลือก ทางเดิน ไมเ่ ลอื กอารมณ์ท่ีเราคิด ไม่เลือกเฟน้ เห็นว่ามันเป็นพิษเป็น ภัย อะไรผ่านมาก็จับ อะไรผ่านมาก็เอาทุกอย่าง เหมือนกับน้า ที แรกมนั ก็ใส ถ้าไม่เอาของข่นุ ของสกปรกหยดลงไป นา้ กจ็ ะใสสะอาด จืดสนิทอยู่อย่างนั้น ถ้าคนปนเปื้อนสิ่งสกปรกขึ้นไปเม่ือไหร่ น้าก็ เปล่ียนแปลงทันทีเลย น้าเขาก็ไม่รู้หรอกว่าเขาสกปรกหรือใส สะอาด แต่ใจเป็นผูร้ ู้ กลับไม่รู้การรักษาตนเอง กลับไมร่ ู้จักแยกแยะ ไมร่ จู้ กั รักษาเยยี วยา ที่อาตมาว่า อะเสวะนำ จะ พำลำนัง ก็เพราะอันนี้เอง ปัณฑิตำนัญจะ เสวะนำ ไม่ได้ติดตามบัณฑิตนักปราชญ์หรือ สัตบุรุษเอามาเป็นแนวทางแห่งการปฏิบัติในชีวิตประจาวัน ใน ชีวิตประจาวัน มีตาก็ไม่สังวรไม่สารวมด้วยดี มีหูก็ไม่สังวรสารวมไม่ เลือกเฟ้น เป็นพิษเป็นภัยตรงน้ี ตรงน้ีเป็นประตูหน้าต่างท่ีจะนาเข้า มาซ่ึงความดีและความเลวร้าย ตาก็เหมือนกันเห็นแล้วก็ชอบอก พอใจยินดีเพลิดเพลิน แต่มันเป็นเพียงดอกไม้พญามาร บางทีแต่ง ขึ้นมาสวยสด แต่ตามจริงแล้วไม่ใช่ ประหนึ่งว่าเราหลงดอกไม้พญา มาร ก็อยู่ในสายตาพญามาร พญามัจจุราชคือความตาย แต่งแต้ม ต่อมิอะไร อยู่กับรูปเขาก็แต่งเอาไว้ อยู่กับกลิ่น เสียง รส สัมผัส ๖๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๕ อารมณ์ ทุกอย่างเขาก็แต่งเอาไว้ มีแต่ของดี ๆ รสอาหารหวานคาว เมื่อเข้าไปแลว้ มีแต่เมนดู ี ๆ มีแต่ของดีท้งั น้ัน รู้ไหมว่าเบ้ืองหลังท่ีเรารับประทานไปแล้วน้ัน อะไรเกิดข้ึน ทาไมไม่รู้ มันมีอยู่แล้วตามหลักธรรมชาติของรูปของนาม ของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์ อาหารหวานคาว หรืออะไรต่อมิ อะไร มันมที งั้ ดีทัง้ ชว่ั มันมีท้ังพิษสารพดั พษิ มนั มที ้งั ภยั ท่านวา่ กาม คุณก็ว่าได้หรือว่ากามโทษ ถ้ำเรำดีถ้ำเรำฉลำดก็เป็นกำมคุณ ทุก อย่ำงเป็นคุณเป็นประโยชน์เพรำะเรำฉลำด ถ้าเราโง่ทุกอย่างเป็น กามโทษ เป็นทุกอย่าง เป็นพิษเป็นภัย กายและจิตและใจของ ตนเอง ฉะนนั้ เราอย่ใู นสายตาของพญามจั จุราช เกิดมาแลว้ เขาชี้ไป ทางตายแล้ว ทาไมต้องประมาทนอนใจ ประหน่ึงว่ากาลังเดินเข้า หลักประหาร ประหนึ่งว่าไม่ได้เอาความตายมาขู่กันหรอก แต่ว่าถึง อย่างไรก็เป็นอย่างน้ัน ถึงแสดงอยู่หรือพูดอยู่เหมือนกัน ชีวิตทุก ชวี ิตย่อมเปน็ อย่ำงน้ัน ถงึ จุดจบดว้ ยกนั ทัง้ น้ัน แต่จิตใจของเรำอยู่ กบั ชีวิต อยู่กบั ควำมตำย อยกู่ บั อนจิ จงั ทุกขัง อนตั ตำ เมื่อพินิจพิจารณาตามสภาวะความเป็นจริงแล้ว มันเป็น เรื่องของรูปของนามของสังขาร เป็นเร่ืองของพญามัจจุราช ไม่พ้น กับคาว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย ผู้รู้ว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย ใครเป็นผู้รู้ ถ้า ไม่ใช่จิต ไมใ่ ชใ่ จ อันน้นั มันตายเป็นไหม เกิด แก่ เจ็บ ตาย เปน็ เร่อื ง ของอะไร เม่ือพินิจพิจารณารูปย่อมเป็นอย่างนั้น เสียงย่อมเป็น อย่างนน้ั เพราะอยา่ งน้ันเป็นเหตุเปน็ ปัจจัย ผลสุดทา้ ยหมดเหตุหมด ปัจจัยแล้วกด็ ับ เกดิ กบั ดับเป็นของคู่กนั สิ่งท่ีไม่เกิดไม่ดับคืออะไร มี อยู่ ทาอันน้ันมีอยู่ ผู้รู้ท่านผู้ฉลาดย่อมเข้าถึงจุดน้ัน อยู่ที่ตรงนั้น อยู่ ๖๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๕ ตรงไหน รูปน้ันหรือเป็นเรา นามนั้นหรือเป็นเรา เป็นของ ๆ เรา เป็นของ ๆ เขา พนิ ิจพิจารณา กเ็ ปน็ ความจริง ความจริงเป็นสิ่งท่ีลบไม่สูญ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ถึงจุดนั้นถึงจุดจบแล้ว สุคะโตเลยเพราะเห็นโลกอย่างแจ่มแจ้ง เม่ือ เห็นอย่างน้ัน เม่ือรู้อย่างนั้นใครอยากจะมาเกิดในโลก ถ้าสัญญามัน เท่ียงใครอยากจะมาเกิด สัญญาก็ไม่เที่ยงถึงอาศัยสัญญามารู้อะไรก็ จาได้ช่ัวขณะ สูงอายุไปแล้วความหลงความลืมก็เริ่มถ่ีเข้า ๆ ใช่ไหม รูปกระโดดโลดเต้นสมัยเป็นหนุ่มน้อย พอชราแล้ว รูปเรือนร่างเร่ิม เลือนลาง เริ่มผิด เร่ิมเพ้ียนไปแล้ว นั้นคือหน้าท่ีของสังขาร หน้าที่ ของรูปของน้า เหมือนที่เรามีนาฬิกาที่เราใส่ให้มันเดิน ทุกวินาที เหมือนกับว่าไม่เคยดับ นาฬิกาตรงกันข้ามเลย หมดถ่านเมื่อไหร่ก็ ดบั เมอ่ื น้นั ถ่านของชีวิตจิตใจของเราก็เหมือนกัน ชีวิตให้เรียนรู้เพ่ือ การปฏบิ ัติ เราอย่กู ับการปฏิบัติ ปฏิบตั ิกบั กายกบั จิตกบั ใจ ทกุ อย่าง มันก็อยู่พร้อมอยู่แล้ว อย่ดู ้วยกันอยู่แลว้ กลบั ไม่รู้ตามความเป็นจริง มีแต่หาส่ิงใดมาปกปิดกาบัง ให้เราหลงระเริงในชีวิต ทั้ง ๆ ท่ีถ่านที่ เราได้มาจากกุศลกรรม ทาให้มาเกิดในภพนี้ในชาตินี้ หมดถ่าน เม่ือไหร่ก็ถึงจุดจบ แต่ใจดวงนั้นไม่มีบุญไม่มีกุศล แล้วไปท่ีไหน เหมือนกับรถเจ้าของรถ บ้านเจ้าของบ้าน ถ้าบ้านมันซ่อมไม่ได้ เข้า อู่ไม่ออกแล้วเจ้าของบ้าน ไปอยู่ที่ไหน ถ้าเปรียบ จิตดวงนั้นใจดวง น้ัน มันเหมือนกับรูปเหมือนกับบ้าน เจ้าของบ้านไปอยู่ที่ไหน ถ้า เจ้าของบ้านโง่ มีบ้านแล้วประมาทน่ิงนอนใจ ถ้าบ้านมันร้างไปแล้ว ซ่อมไม่ได้แล้ว รถคันน้ันมันซ่อมไม่ได้แล้ว เข้าอู่ไม่ออกแล้ว เจ้าของ บ้านจะไปอยู่ที่ไหน ถ้าเจ้าของบ้านฉลาด มีน้ามันเต็มถัง มีสตางค์ ๖๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๕ เตม็ กระเปา๋ ไปแลกเอาคนั ใหส้ วยหรกู ว่าเก่า ดกี วา่ เดมิ ใช่ไหม ถา้ คน มีบุญย่อมเป็นอย่างน้ัน บุญและบาปเท่าน้ัน ทาให้มนุษย์ดีหรือช่ัว ทัง้ ปัจจบุ ันและอนาคต เรามีกายก็เป็นสมบัติอันเป็นกลาง เรามีวาจา มีจิตแล้วก็มี ใจ ก็เป็นสมบัติอันเป็นกลาง พร้อมท่ีจะส่ังสมอบรม พร้อมที่จะส่ัง สมความดี หรือว่าเพ่ือที่จะสร้างบารมีให้เกิดข้ึนดีข้ึนสูงข้ึน เหมือนกับพระโพธิสัตว์ทุก ๆ ท่าน พระโพธิสัตว์แปลว่าผู้ที่คิดอัน ยิ่งใหญ่ สร้างสัมพันธ์อันย่ิงใหญ่ แสวงหาสร้างบ้าน เป็นที่พักอัน ยิ่งใหญ่แก่มนุษย์ชนท้ังหลายในโลก เพื่อจะขนออกหนีจากวัฏจักร วัฏฏะวน ขนหนีจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย พระ โพธิสัตว์ท่านสร้างอย่างนั้น คิดอย่างน้ัน ท่านจึงถึงจุดจบ พ้นจริง ๆ ไปไดจ้ ริง ๆ ถ้าทางโลกุตรธรรม ถ้าเดินทางเส้นน้ันย่อมเป็นอย่างนั้น มนุษย์เป็นสัตว์ท่ีสูงสุด มีศีลมีธรรม เสียสละหน้าที่การงาน มา กระทาบาเพ็ญอย่างน้ีก็ถือว่า เป็นส่ิงที่เราควรจะศึกษา เป็นส่ิงท่ีเรา ควรจะอนุโมทนา ได้ชีวิตได้กาไรชีวิต ไม่เป็นหมันในชีวิต หาได้ยาก ในชีวิตอย่างนี้ เป็นชีวิตท่ีได้ศึกษาหาความรู้คู่คุณธรรม พอกลับไป บ้านลูกถาม พ่อแม่ถาม ไปวัดไปวาฟังศีลได้อะไร ก็ได้ความรู้ ความ ฉลาด ได้ลงมือปฏบิ ัติ ไม่ใชไ่ ด้ไปกินได้ไปหลบั ไดไ้ ปนอน ถา้ ได้แบบ น้ีก็ไม่ผดิ กบั มนุษย์กับสตั วท์ ้ังหลายได้ในโลก ความรู้ความฉลาด เพิ่มเติมเสริมตนเองในทางปฏิบัติใน ชีวิตประจาวัน รู้ว่าสิ่งนั้นพูดอย่างนั้นมันผิด คิดอย่างนั้นมันไม่ถูก ทาอย่างนั้นมันดี ทาอย่างนี้มันถูกมันผิด แปลว่ารู้จักเส้นทางปฏิบัติ ในชีวิต เมื่อชีวิตหาไม่ เราสะสมตักตวงซึ่งบุญกุศล คุณงามความดี ๖๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๕ ซึ่งบารมีเราพร้อมแล้ว ไปเมื่อไรก็พร้อม เพราะชีวิตเหมือนกับท่ีว่า ต้นมันช้ีไปทำงตำย ในท่ามกลางแห่งถึงตอนน้ันแล้ว เราได้อะไรใน กาไรของชีวิต ให้เกิดข้ึนมีข้ึน ถึงยังไงก็แก้ไม่ได้ ถึงจุดจบของชีวิตก็ ต้องเป็นอย่างน้ัน เพราะต้นมันชี้ไปทางตาย ปลายมันช้ีเป็น อันน้ี เป็นสิงสาคัญ เราอยากจะเป็นอะไร เราต้องทาให้เกิดข้ึนตั้งแต่ เด๋ยี วนี้ ขณะนตี้ า่ งหาก ไม่ใช่ว่าคอยพระเจ้าจะช่วยเหลือเกื้อกลู เม่อื นั้นเวลาน้เี ราคดิ ผิดแล้ว พระเจ้ากค็ อื ตวั ข้าพเจ้า พอ่ แม่เป็นคนสร้างลูกมา สร้างโลก มา จะว่าเปน็ พระพรหมผสู้ รา้ งโลกกไ็ ด้ ถา้ ทา่ นไม่มวี ิหาร คอื เมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขาแล้ว ไม่มีความเป็นกลางของลูกท้ังหลายแล้ว เล้ียงลูกโตทุกคนไหม ก็ถือว่าไม่ ก็ถือเป็นพระพรหมวิหาร พระ พรหมท่ีไหนผู้สร้างลูก ก็พ่อแม่ของเรา หรือเป็นพระอรหันต์ผ้ใู ห้ทุก อย่างในโลกก่อนคนใดในโลก ก็พอ่ แม่ เปน็ พระอรหันตใ์ นบ้าน เราก็ เชิดชูดูแลท่าน เรามีกายได้มาจากใคร มีกายด้วยความอ่อนน้อม ก็ กราบลงไปด้วยความอ่อนน้อม วาจาอ่อนหวานก็พูดจาด้วยความ อ่อนหวาน มีใจก็อ่อนโยน นั้นเราได้สมบัติจากพ่อจากแม่แล้ว ถ้า ประพฤติปฏิบัติอย่างน้ีแล้ว ก็ถือว่าเราพาพ่อพาแม่ มีความอ่อน น้อมถ่อมตน ศึกษาความรู้คู่คุณธรรม ไปที่ไหนก็พาพ่อพาแม่ สร้าง บุญสร้างกุศล สร้างคุณงามความดี แต่จิตใจของพ่อแม่ที่เราอาศัย สมบัติของท่านมาทามาค้าขาย มาหากาไรในชีวิต พ่อแม่ของเราจะ มีความภาคภูมิใจเท่าไรกับลูกที่จากโลกนี้ไปแล้ว ท่ีลูกยังรู้จักสร้าง คุณงามความดี เม่ือได้มากหรือได้มาแล้วกับการทามาหาเลี้ยงชีพ ก็คิดถึง คุณของท่าน เทิดทูนคุณของท่าน ไม่เพียงแต่เล้ียงลูกให้เติบโตอยู่ ๖๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๕ กับโลกเท่านั้น ยังจูงลูกให้รู้จักบาเพ็ญบุญ รู้จัก นะ รู้จัก โม รู้จัก พระพุทธศาสนา รู้จักนาพา รู้จักบุญและบาป ดีหรือชั่ว ใครเป็น ผ้สู อน ใครเปน็ ผู้นาพาถ้าไม่ใช่พ่อแม่ พ่อของเราเปน็ ท้งั พ่อท้ังแม่ ครู บาอาจารย์กเ็ ปน็ ท้ังพ่อทั้งแม่ ทั้งครูบาอาจารย์ด้วย เกิดมาทง้ั ทีชีวิต อาจจะหาอะไรอีกท่ีประเสริฐยงิ่ กวา่ น้ี จงึ มาเป็นสตั ว์ท่ีพร้อมแล้วทุก อย่าง เป็นสัตว์ท่ีพร้อมแล้วทุกส่ิง ที่จะขับเคล่ือนชีวิตของเราไปสู่ จดุ หมายปลายทาง มันสงู ตัง้ แต่ขณะทีเ่ รามชี ีวติ ใจมันสูง พระพุทธเจ้าก็เอาจิตใจอันน้ีปฏิบัติจนได้เป็นพระพุทธเจ้า ก็เอาชีวิตจิตใจเอาเรือนร่างปฏิบัติ จนได้เป็นพระพุทธเจ้า ก็อาศัย รูป ก็อาศัยร่าง อาศัยกาย อาศัยใจของพระองค์ พัฒนา ภาวนา ข้ึนมา จนได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นศาสดาผู้สอนทุกอย่างทุกคนใน โลก เม่ือท่านรู้แล้ว ตรัสรู้แล้ว ท่านก็ไม่หลงใหล เมื่อรู้แล้วจะหลง ทาไม รู้รูปอย่างที่อธิบายให้ฟัง เวทนามันก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มี แล้วหายไป สัญญาก็เหมือนกัน สังขารก็เหมือนกัน วิญญาณก็ เหมือนกัน ได้ยินอะไรแล้วมันไม่ดับ ไม่ผ่านไป ได้เห็นอะไรแล้วมัน ไม่ผ่านไปดับไป เรำอยู่กับอนิจจัง ทุกขัง อนัตตำ ทำไมควำมจริง อยู่กับเรำ ทำไมเรำถึงไม่รู้ ควำมรู้ก็มีอยู่แล้ว เรำมีสติสัมปชัญญะ มีสติปัญญำปฏิบัติขึ้นมำเป็นปัจจุบัน ๆ ก็เห็นทุกส่ิงทุกอย่ำงท่ี พระพุทธเจำ้ แสดงเอำไว้แล้ว กจ็ ะเปน็ เวทิตพั โพ วิญญูหิ การประพฤติปฏิบัติอย่างน้ีก็เป็นมงคลอันสูงสุดท่ีเราศึกษา หาความรู้คู่คุณธรรม จึงฝากการบ้านไว้ให้เรานาไปประพฤติปฏิบัติ ใหถ้ งึ คาว่า เอตัมมงั คะละมุตตะมัง ฯ อยูท่ ีไ่ หนกเ็ ป็นมงคลอันสูงสุด พร้อมที่จะหลุดพ้นความหลง พร้อมท่ีจะมุ่งหวังตั้งใจ เดินตาม เส้นทางแห่งความรู้ ความฉลาด ไม่เดินตามหลังของผู้หลง ไม่เดิน ๖๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๕ ตามหลังไปสู่ความมืด ไม่อยู่กับความมืด ต้องไปกับแสงสว่าง ผลิต คิดข้ึนมา ให้มีสติอยู่ทุกเมื่อ ให้มีสัมปชัญญะพร้อม ๆ ให้มีปัญญา เลือกเฟ้นเห็นว่ามนั เปน็ พิษเปน็ ภยั เอาแต่สิ่งท่ีมนั ดมี ปี ระโยชน์ ชวี ติ ของเราก็เป็นมงคลอันสูงสุด ถือว่าปฏิบัติเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อาจาริยบูชา เราเป็นผู้เทิดทูนพุทธศาสนาด้วยการปฏิบัติ ก็เห็นวา่ สมควรแกเ่ วลา เอว ก็มีด้วย ประการฉะนี้ ๖๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๕ พระครกู ติ ติปญั ญำคุณ (หลวงพ่อสวำท ปญั ญำธะโร) วดั โป่งจนั ทร์ ต.คลองพลู อ.เขำคิชฌกฏู จ.จนั ทบุรี แสดงเมื่อวนั อำทิตย์ ที่ ๑๑ สิงหำคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ณ ศำลำพระรำชศรทั ธำ วัดปทมุ วนำรำม รำชวรวหิ ำร นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสัมพทุ ธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสมั พุทธสั สะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธสั สะ สติสัมปะชาโนติ อิมัสสะ ธัมมะปะริยายสั สะ, อตั โถ สาธายสั มันเตหิ สกั กัจจัง ธมั ฺโม โสตพั โพติ มันนึกอะไรไม่ออก เดินผ่านมานี่ ญาติธรรมทุกคนมีแต่ผู้ ใครใ่ นธรรมทงั้ นนั้ เปน็ สิ่งท่ีน่าปลม้ื ใจและภูมใิ จ ต้งั แตอ่ าจารย์ถาวร ๖๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๕ ท่านมาทาท่ีนี่ให้เป็นที่สาหรับฝ่ายปฏิบัติข้ึน แล้วก็ไม่เคยมาอีก มา ครั้งนัน้ มาเห็นแปลนศาลาพระราชศรัทธาของในหลวง กเ็ ลยบอกว่า “ถาวร เราต้องการแปลนศาลาหลังนี้ อยู่ที่ไหนเอามา เราจะเอาไป ทาวัดโบสถ์” ท่านก็รีบหาให้ เรียกให้ผู้ก่อสร้างมา “ไปถ่ายมาให้ ท่านอาจารย์ ท่านต้องการ” วา่ งน้ั ไดใ้ นวันนัน้ เลย ไดแ้ ล้วกห็ อบไป หนีกลับเลย ไม่คุยกันอีกหรอก (หัวเราะ) ของ่าย ก็เราขอ ท่านก็ให้ ให้แล้วจะอยู่อีกทาไม กลัวท่านขอคืน เราก็ไม่ได้แปลน ได้แล้วก็รีบ หนี ก็เราเป็นพราหมณ์เมืองกลิงคราษฎร์ อีตาชูชกมาขอ ท่านอยู่ กรงุ สญชัย ขอได้ก็รีบหนี อยนู่ านไม่ได้ กค็ ิดอยา่ งนั้น แล้วมาฟังคาอาราธนา เขาเรียกพรหมอาราธนาธรรม ใช่ ไหม เคยเห็นพรหมหรือยัง พรหมเขาแปลว่าอะไร ลืมถามอาจารย์ มหา ถ้าพูดผดิ ไปกม็ ีอยู่ ๒ อาจารยม์ หาท่านจะชว่ ยอย่แู ล้ว มตี วั ชว่ ย อยู่ ๒ บอกท่านแล้วว่าถ้าพูดผิดก็ให้ทักข้ึนมาจะได้พูดใหม่ พ่อ พระแม่พระไม่ต่อว่า ไม่ตาหนิกันนะ ถึงอย่างไรก็ตั้งใจมาฟังแล้ว พรหมมีจริงไหม ถามญาติธรรม พ่อพระแม่พระเราน่ีแหละ พรหมมี จรงิ ไหม ตอบใหฟ้ ังหน่อย เราเคยได้คุยได้ถามพรหมแลว้ เหรอ นีค่ ุย กันนะ สติสัมปะชำโนติ มำเตือนสติและสัมปชัญญะให้รู้ตัวอยู่ อย่ำโคมลอย อย่ำถือแต่สัญญำอันเป็นควำมจำ ดูตำมหนังสือ อ่ำนตำมหนังสือ ถึงจะจำได้ท่องจำได้ยังเป็นของปลอมนะ เป็น สัทธรรมปฏิรูป ไม่ใช่ของแท้ น่ีเตือนเอาไว้ก่อน มาก็มาเตือนสติ เป็นญาติธรรม น่ีเป็นวัดหลวงใช่ม้ัย เป็นวัดปราชญ์ วัดบัณฑิต วัดท่ี สูง แล้วพวกเรานักปฏิบัติจะมาทาเล่นได้เหรอ เราเป็นมนุษย์ท่ี เสียสละ อยู่ครองเรือนก็ยังเข้ามาปฏิบัติกัน เสียสละการงานทุกสิ่ง ๗๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๕ อย่างจึงเข้ามาปฏิบัติ อาจารย์มหาท่านว่าบางคนก็ถือธุดงควัตร คา ว่า “ดง” ก็คือปา่ ไม้ แตจ่ ะดงแบบไหนไมร่ ู้ พูดเร่ืองพรหมให้เข้าใจกันก่อน พรหมแปลว่าอะไร ตอบได้ ไหม ถ้าเราไม่รู้แล้วเราจะปฏิบัติพรหมถูกต้องหรือ พรหมแปลว่า เคร่ืองรองรับหรือเคร่ืองปูลาดใช่ไหม แล้วทาไมจึงว่าพรหม อาราธนา พราหมณ์เขาถือพรหมใช่ไหม เขาก็มีคติของเขาดี เหมือนกัน บาปอันทาแล้วอาจลอยเสียด้วยพิธีเม่ืออาบน้า ถ้าอย่าง นัน้ พวกเฮาก็อาบน้าทกุ ม้ือ มันกจ็ ะสิมีแต่ความบริสุทธิ์ บ่มีความซ่ัว ต้ัวสั่น ปลามันอยู่ในน้า มันเล่นอยู่ในน้า มันก็บ่มีความผิดจั๊กทือตัว้ ส้ันเด้ (โอย พวกเราก็อาบน้าทุกวัน ก็มีแต่ความบริสุทธิ์ ไม่มีความ ช่วั ปลามนั อย่ใู นน้า มนั เลน่ อยใู่ นนา้ มันกไ็ มม่ ีความผิดอยา่ งน้นั ) ถา้ เราคิดอย่างสนุกสนานเพลดิ เพลนิ แตไ่ มใ่ ชน่ ะ พรหมมีอยู่ ๔ หน้า หนา้ ท่ี ๑ คอื อะไร พราหมณเ์ ขาบอกว่า เราเป็นผู้สร้างโลก พรหมเป็นผู้สร้างโลกใช่ไหม ท่ีเขาว่ากัน พรหม เป็นผู้นาไปถึงท่ี พรหมเป็นผ้บู นั ดาลให้ ทาไมเขาถึงพูดอย่างนั้น เขา พูดก็มีความจริงของเขา นี่ (ชี้ที่ตัวเอง) ถือพุทธ ไม่ใช่ถือพราหมณ์ ถา้ พรหมมีอยู่ ๔ หน้า ขา้ งหน้าก็หน้า ข้างหลงั กห็ น้า ข้างซา้ ยก็หน้า ข้างขวาก็หน้าอีก มี ๔ หน้าใช่มั้ยที่เขาทารูปเอาไว้ ทาไมมี ๔ หน้า หน้าท่ี ๑ คืออะไรจึงได้ช่ือว่าพรหม เข้าใจกันหรือเปล่า เคยได้ยิน กันแล้วใช่ไหม ถ้าเคยได้ยินแล้วก็ถือว่าวันน้ีเอามะพร้าวมาขายสวน ก็ได้ ที่นิมนต์พระมาพูดให้ฟังก็ถือว่าเอาพระมาผิดวัดก็แล้วกัน พรหมแปลว่าเครื่องรองรับ พรหมหน้าท่ี ๑ คืออะไร หน้าท่ี ๑ คือ ฝา่ เท้า จรงิ ไหม ๗๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๕ พรหมแปลว่าเครอื่ งรองรับโลก “เอถะ ปัสสะถิมัง โลกัง – สูเจ้ำทั้งหลำยจงมำดูโลกนี้” พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใช่ไหม ในหนังสือ “โลกน้ีเรำตถำคตกล่ำวว่ำคือตัวตนสกลกำยนี้เอง ไม่ใช่อ่ืนไกล” หน้าท่ี ๑ คือฝ่าเท้ารองรับโลกธาตุอันน้ี รองรับตัวเราไม่ใช่หรือ พรหมจึงนาไปถึงที่ได้ ถ้าไม่เช่ือก็เอาฝ่าเท้าเดินจงกรมดูสิ จะไปถึง พระนิพพาน ถ้าตั้งใจทา พรหมนาไปถึงที่ไหม หน้าที่ ๑ จึงหมายถงึ ฝ่าเท้าที่รองรับโลกธาตุอันน้ี (ช้ีที่ตัวเอง) ให้สาเร็จไปถึงมรรคผล นิพพานได้ จริงหรือเปล่า ครั้งพุทธกาลมีไหม พรหมนาไปถึงท่ีได้ พระหัตถบาลเดินจนเท้าแตกไม่ใช่หรือจึงได้สาเร็จพระอรหันต์ ก็ เพราะฝ่าเท้ารองรับโลกอันน้ี (ชี้ไปท่ีตัว) ให้ถึงที่ไม่ใช่หรือ พรหมจึง แปลวา่ เครอื่ งรองรับ รบั โลกธาตอุ ันน้ี (ช้ไี ปทต่ี วั ) พรหมหน้าท่ี ๒ คืออะไร หน้าที่ ๒ คือก้นสาหรับนั่ง ใคร เอาหน้าผากน่ัง เหมือนกับหน้าที่ ๑ เอาฝ่าเท้าเดิน หรือใครเอามือ เดิน ทาไมจึงบอกว่าพรหมเป็นหน้าที่ ๑ หน้ำท่ีของพรหมท่ี ๑ คือ หน้ำที่สำหรับเดิน ก้นน่ีเป็นหน้ำท่ี ๒ ของพรหม มีไว้สำหรับน่ัง ใครจะเอาศีรษะต้ังแทนสาหรับนั่งลงไป เอาก้นน่ังไม่ใช่หรือ องค์ สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าก็นั่งคู้บัลลังก์ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับ มือซ้าย ต้ังกายให้ตรง ดารงสติเฉพาะหน้า พิจารณาอัสสาสะ ปัสสาสะ รู้ตามความเป็นจริงสามารถเข้าถึงอริยสัจ ๔ ตรัสรู้เป็น พระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เพราะว่านั่งคู้บัลลังก์ ก้นจึงเป็น หน้าที่ ๒ เป็นหน้าของพรหม นาโลกอันน้ี (ช้ีไปที่ตัว) เข้าสู่นิพพาน จริงหรือเปล่า เขาทาหน้าท่ีถูกต้องแล้ว หน้าที่ ๑ คือฝ่าเท้าก็ทา หน้าท่ีเดนิ หนา้ ที่ ๒ คือ กน้ กท็ าหนา้ ที่สาหรบั น่ัง ๗๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๕ หน้าท่ี ๓ นึกอยู่ในใจว่าถ้าตอบกันก็คงจะเป็นหลังแน่นอน น่ีล่ะปราชญ์และบัณฑิต ตอนเดินเข้ามาถึงกลัว นึกอยู่ในใจว่าไม่ใช่ ธรรมดา หัวใจสั่นด๊ิก ๆ เลย มีแต่ปราชญ์และบัณฑิต นักสมาทาน นักเจริญภาวนา ผู้แสวงธรรมจริง ๆ โมทนาสาธุ อันท่ี ๓ ก็หลัง ถูกต้อง สำมำรถนำโลกอันนี้ (ชี้ไปที่ตัว) เข้ำถึงนิพพำนได้ พักผ่อนได้ไปได้ หลังก็ทำหน้ำท่ีนอน อย่าไปนอนเหมือนกระต่าย นอนขดหมอบลง แล้วหน้าท่ี ๔ คืออะไร หน้ำที่ ๔ เขำเรียกว่ำ มหำพรหม ก็คือฝ่ำมือ ทำไมเอำฝ่ำมือเป็นมหำพรหม เพรำะ มหำพรหมทำหน้ำที่เลี้ยงพรหมทั้ง ๓ จะทำอะไรก็เอำมือทำ จะ กินขา้ ว นา้ ผกั กเ็ อามือทาใชไ่ หม เอาใสป่ ากเลยี้ งพรหมเหล่าน้ี ทรง พรหมเอาไว้ จงึ เรยี กวา่ มหาพรหม คอื ฝ่ามอื ไม่ใช่หนา้ นีล่ ะ่ พรหม ช่ือว่าพรหมได้อย่างไร พรหมวิหารทาไมจึงมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พรหมข้อที่ ๑ หรือหน้าท่ี ๑ ก็เมตตาไม่ใช่หรือ เมตตำ คือควำมรักใคร่ ปรำรถนำให้ผู้อื่นมีควำมสุข กรุณำ คือ ควำมสงสำร คิดจะช่วยให้พ้นทุกข์ มุทิตำ คือควำมพลอยยินดี เม่อื ผอู้ น่ื ไดด้ ี อเุ บกขำ คอื ควำมวำงเฉย ไม่ดใี จ ไมเ่ สียใจเมื่อผู้อื่น ถึงควำมวิบัติ อันเป็นวิหำรธรรมของพรหม ญำติธรรม พ่อพระ แม่พระ อยำกจะเข้ำถึงพรหม วิหำรธรรม ธรรมเปน็ เครื่องอยู่ของ พรหม ทำสิ เขำ้ ถงึ พรหมโลกแน่ พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า “ดูก่อน พุทธบริษัท ๔ ถ้าพวก ท่านต้องการบญุ จงทาให้สาเร็จตอนมชี วี ิตอยู่ ต้องการกุศลกต็ ้องทา ใหส้ าเรจ็ ตอนมีชวี ิตอยู่ อยากไดส้ วรรค์ก็ตอ้ งทาให้สาเร็จตอนมีชีวิต อยู่ อยากเข้าสู่พรหมโลกก็ทาตอนมีชีวิตอยู่ อยากตรัสรู้อนุตตร สัมมาสมั โพธิญาณ เป็นอนุพทุ ธะก็ดี หรอื อยากเข้าสนู่ ิพพานอันเป็น ๗๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๕ ทางเดินก็ทาให้สาเร็จตอนมีชีวิตอยู่ แม้แต่เรา ตถาคตก็ทาอนุตตร- สัมมาสัมโพธิญาณสาเร็จแล้วจึงได้มาประกาศศาสนา ก็ตอนมีชีวิต อยู่” อยากเป็นพรหมก็ต้องทาให้สาเร็จเป็นพรหม เราเป็นมนุษย์ใช่ ไหม มนษุ ย์แปลวำ่ อะไร แปลว่ำสตั วใ์ จสงู สัตตา คือสัตว์ใหญ่, ปาณา คือสัตว์เล็ก, ภูตา คือภูตผี, ปุคคลา สัตว์บุคคล, อัตตะภะวะปะริยาปันนา สัตว์ท่ีมีอยู่ในตัวตน ของเราน้ี, อิตถีโย สัตว์เพศหญิง, ปุริสา สัตว์เพศชาย, อะริยา สัตว์ ประเสริฐ, อะนะริยา สัตว์ไม่ประเสริฐ, เทวา สัตว์เทวดา, มะนุสสา สัตว์ใจสูง, วินิปาติกา สัตว์ใจต่า มนุสสาแปลว่าสัตว์ใจสูง เราเป็น มนษุ ย์ อยา่ ทาตัวเองใหข้ าดทุน มนุษย์เปน็ ภพกลาง ๆ วันนี้มาช้ีแนะเตือนสติให้เข้าใจบ้าง มีแต่ความกังขาสงสัย เต็มหัวอกกันหมด ตั้งแต่พรหมก็ยังไม่รู้ พรหม ๔ หน้า หน้า ๑ คือ อะไร หน้า ๒ หน้า ๓ หน้า ๔ คืออะไรกย็ งั ไม่รู้ แต่กไ็ ปถอื เร่ืองพรหม วิหาร อันนั้นคือวิหารธรรม เครื่องปฏิบัติเข้าสู่หมู่พรหม ถ้าเรา ปฏิบัติตามพรหมวิหาร ๔ พวกเทพที่อยู่บนพวกพรหม จะช้ันไหนก็ ช่าง หากภมู ปิ ัญญาภมู ใิ จของเรามนั ละเอียดลงไปแลว้ ภูมชิ ัน้ นั้นเขา จะมาแห่ทันที เขาจะประกาศป่าวร้องเลยว่า นี่ พนายท้ังหลาย สหายเพ่ือนเราจะขึ้นมาแล้วจากโลกมนุษย์ เขาดีใจมาก เราเตรียม ไปแห่กับเขาสิ เพราะเขาจะหมดบุญแล้ว เขาจะมาอยู่กับพวกเรา แล้ว พวกพรหมเขาจะมาเอง นาราชรถมาแหแ่ หนมีแตรวงอะไรของ เขามาแห่ถ้าพวกเราไป ทำให้มันถึงสิ อยำกได้อยำกถึง เหมือน พระอริยเจ้ำในครั้งพุทธกำลก็พำกันปฏิบัติสำเร็จเป็นพระอรหนั ต์ ก็ตอนมีชีวิตอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วพวกเรำมำเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ขำ ๒ แขน ๒ ศีรษะ ๑ อำกำร ๓๒ เหมือนกัน ถ้ำเรำปฏิบัติ ทำจริง ๗๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๕ มันจะไม่ได้หรือ เรำทำกันจริงไหมล่ะ ถำมตัวเอง อย่ำไปถำมคน อนื่ ทาไมคร้งั พทุ ธกาล เมื่อไปฟงั เทศน์ขององคส์ มเด็จสัมมาสัม พุทธเจ้าแล้วจิตต้ังอยู่ในระดับพระโสดาแล้ว โสดำปัตติมรรค โสดำ ปัตติผล มีศรัทธาแก่กล้า ขออุปสมบท แล้วพวกเราเวลาฟัง ท่าน อาจารย์มหาก็แสดงธรรมให้ฟังอยู่แทบทุกวัน วันน้ี ก่อนหลวงปู่มา ท่านก็มาอธิบายธรรมะ แล้วพวกเราฟัง ก็เลยลืมถามว่าฟังมีอยู่ก่ี อย่าง ถ้าปากอาจารย์มหาหรือปากหลวงปู่พดู กเ็ อาหฟู ังใช่ไหม เอา ตาฟังเสียงได้ไหม ตาฟังเสียงได้หรือเปล่า ตาฟังเสียงที่พูดออกจาก ปากไม่ได้หรอก ใครจะเอาตาฟัง หูต้องฟังเสียงท่ีออกจากปาก ตาก็ ฟังได้อยู่แต่ฟังเสียงทิพย์ เคยฟังเสียงทิพย์กันไหม เคยได้ยินเสียง ทิพย์ไหม ได้ฟังกันทุกคน นึกถึงตัวเองเวลาเราจะไปไหน มีนัดคนที่ รจู้ ัก พบกนั ตรงนัน้ ตรงนี้ ผู้คนกอ็ ยู่มาก ต่างคนกต็ า่ งชะเงอ้ คอมองดู กัน เรานัดเขาแล้วทาไมไม่มา หรือเขาไม่พอใจ ต่างคนก็ต่างมีความ สงสัย พอเห็นกันปั๊บ ถ้าตะโกนเรียกคนมาก ๆ มันก็อาย ไม่ต้องเอา ปากเรียก ใช้มือเรียกเอา ชัดในหัวใจ เอามือพูด (โบกมือ) เอาตาฟัง ไม่ได้ใช้หูฟัง เสียงออกจากมือเป็นเสียงทิพย์ ใครจะไปกล้าตะโกน เรียกกนั ไม่อายชาวบ้านเขาหรอื น่ีพูดเรื่องพรหม ๔ หน้า แล้วก็พูดเรื่องการฟัง ๒ หัวข้อ แล้ว ให้ไปคดิ ให้มสี ติ และมีปญั ญารับรู้ แลว้ จะพูดเรอื่ งตอ่ ไป ทาไม จึงเรียกว่า โลกธาตุ (ช้ีไปที่ตัว) ตัวตน ทาไมพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “เอถะ ปัสสะถมิ งั โลกงั – สเู จ้าทั้งหลายจงมาดโู ลกน้ี” เม่ือชวนให้ พวกเรามาดูโลก ก็ไม่ได้บอกว่าให้มาหลงชม ให้มาบอกความจริง โลกอันน้ี ตัวตนสกลกายอันนี้ ให้เรามีสติสัมปชัญญะ พิจารณาหยั่ง ๗๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๕ ลงแหง่ ความเปน็ จรงิ มนั เปน็ คุณเปน็ โทษ เป็นประโยขน์ อย่ทู ต่ี วั ตน สกลกายโลกอันน้ี (ช้ีไปที่ตัว) พระพุทธเจ้าสอนตรงนี้ สอนให้เรามี สติสัมปชัญญะหย่ังลงตรงน้ี (ช้ีไปที่ตัว) จึงพูดเรื่องพรหมข้ึนมา จึง พูดเร่ืองการฟัง ฟังแล้วอย่ามาถือเอาเป็นความจริง เป็นของปลอม เป็นสัทธรรมปลอม ให้เราไปพิจารณา เกิดความจริงจึงจะเป็น สัทธรรมแท้ ไมใ่ ช่มาหลงเชอื่ อยา่ งงมงาย เขา้ ใจไหมท่ีพูดอยา่ งนี้ พระพุทธเจ้าสอนให้มาดูโลก โลกอันนี้ (ชี้ไปท่ีตัว) เต็มไป ด้วยกองสมมติ สมมติอย่างไร ในตัวเรา โลกอันน้ี มีแต่กองสมมติ ท้ังน้ัน ถ้าไม่มีสมมติจะเอาวิมุตติมาจากไหน ถ้าไม่โลกิยะไหนจะ ค้นพบได้ถึงโล-กุตตระ ก็เพราะโลกนี้ (ช้ีไปที่ตัว) คือตัวกองสมมติ น่ีเอง ทุกวันก็พำกันหลงโลก (ชี้ไปที่ตัว) หลงมำก่ีภพกี่ชำติกัน แล้ว มีใครจำได้ว่ำกี่ชำติแล้ว เวียนว่ำยตำยเกิดมำก่ีภพกี่ชำติกัน รู้แล้วหรือยัง รู้แต่ว่ำเกิดมำ แต่ไม่รู้ว่ำเกิดมำจำกไหน มำอยู่ใน ท้องแม่ แล้วก็ลอดก้นแม่ข้ึนมำ ก็ว่ำเกิดแล้วเป็นมนุษย์ มำจำก ภพไหนชำติไหน มืดมำใช่ไหม หรือว่ำหลับตำมำเกิด ก็ลืมตำมำ เกิดไม่ใช่หรือ มำเกิดเป็นมนุษย์สักครั้งหนึ่งแล้วจะให้สว่ำง กลับไปไม่ได้หรือ จะให้ขำดทุนเป็นมนษุ ย์ทำไม เกิดเป็นมนุษย์มัน ยำก แสนลำบำกมำก เรำมำเป็นมนุษย์แล้วทำไมถึงจะทำให้ ตวั เองตกจำกมนษุ ยไ์ ป ทำไมไมท่ ำให้สงู ขึ้น เจริญขนึ้ อะไรมันเจรญิ อะไรมันต่ากวา่ มนุษย์ กค็ งสงสัยกนั อีก บอก ให้ฟังเลย ต่ากว่ามนุษย์ก็คือ มะนุสสะเปโต สักแต่ว่าเป็นมนุษย์แต่ จิตใจเป็นเปรต ต่ากว่านั้นก็มี มะนุสสะติรัจฉำโน เป็นมนุษย์แต่ จิตใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต่ากว่าน้ันก็มี มะนุสสะอบำย เป็นภพที่มืด ถ้าสูงกว่ามนุษย์ล่ะ มะนุสสะเทโว กายเป็นมนุษย์แต่ใจเป็นเทวดา ๗๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๕ สูงกว่าน้ัน ก็ มะนุสสะพรหมโน ตัวเป็นมนุษย์แต่จิตใจเป็นพรหม ถึงมีวิหารพรหม ถ้าสูงกว่าน้ันก็ มะนุสสะโลกุตตระ พระอรหันต์ ก็ เข้านิพพานแล้ว เราจะให้ต่าหรือจะให้สูง เพียรให้มาก พยายามให้ มาก และกระทาให้มาก ในส่ิงที่ถูกต้องสิ่งท่ีดีงามสิ วันนี้พูดให้ฟัง แบบเลื่อน ๆ ลอย ๆ ไม่มีหลักแหลง่ ไมร่ ูว้ า่ จรงิ หรอื ไมจ่ รงิ พากนั ฟัง ก็เช่ือหมด ให้มาดูของจริง แต่กลับพากันมาหลงของจริง หลง อย่างไร กห็ ลงว่านต่ี ัวกู แล้วก็มแี ต่ของกู ตดิ หมด มาติดภพอยู่ตรงน้ี เอง เขาเรยี กว่าจติ เข้าไปถึงอปุ าทิ มาตดิ สะระณงั วันน้ีก็ พุทธัง สะระณัง คัจฉำมิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉำมิ สังฆัง สะระณัง คัจฉำมิ เห็นพระสงฆ์เป็นสรณะหรือยัง ถามแปลก เนอะ ก็หัวโล้นห่มผ้าเหลืองเป็นพระสงฆ์ ฉันก็มาฟังพระสงฆ์เทศน์ พระตรงนี้ก็ ๕ รูปแล้ว พระตั้งแต่ ๔ รูปก็เรียกว่าสงฆ์ใช่ม้ัย สงฆ์ แปลว่าผู้มีพวก ๔ น่ีคือพระสงฆ์ผู้เรียนคาสอน มาเพ่ืออธิบายและ ประกาศให้ฟัง แต่ท่ีหลวงปู่ถามคือสงฆ์ที่เป็นสรณะ ทุกคนก็มี พระสงฆ์เป็นสรณะ แต่พากันปฏิบัติอย่างไรถึงไม่รู้ว่าพระสงฆ์เป็น สรณะ ถ้าไม่รู้จัก สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ แล้วจะมีพรหมเกิดขึ้นมา หรือ ถ้าไม่เห็น ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ จะปฏิบัติ ทาความสะอาด ได้อย่างไร จะเข้าสู่นิพพานได้อย่างไร ถ้าไม่เห็นธรรม “ผู้ใดเห็น ธรรม ผู้นั้นเห็นเรำตถำคต ผู้ใดปฏิบัติธรรม ผู้นั้นปฏิบัติเรำ ตถำคต” ธรรมะที่เป็นสรณะอยู่ท่ีไหน เราก็แสวงหาธรรม แสวงหา โมกขธรรมมาตั้งแต่คร้ังพุทธกาล เห็นกันหรือยัง “พระสงฆ์” เห็น กันหรือยัง “พระธรรม” ที่เป็นสรณะอันแท้จริง ของใครของมัน เห็นหรือยัง “พระพุทธ” ใช่เหลือง ๆ (ชี้ไปท่ีพระพุทธรูป) ที่ต้ังอยู่น่ี ไหม ๗๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๕ ฟังนะ พระสงฆ์น่ี ในตัวตนสกลกายของเราคือตัวมหาภูต มหาภูต ๔ คือ ดิน น้า ไฟ ลม มาประชุมกัน ตัวเราคือ ธาตุ ๔ น้อม เข้าไปในตัวเอง ให้มีสตสิ มั ปชญั ญะ ถ้าเปน็ ดนิ น้า ไฟ ลม แล้วเป็น พระได้อย่างไร แผ่นดินที่เราเหยียบ เขาเรียกว่า พสุธา หรือพระ มหาปฐพี แปลว่า ดิน ดังน้ัน ดินก็เป็นพระแล้ว น้า คือพระมหานที ไฟ คือพระเพลิง ลม คือพระพาย ในโลกอันน้ีเต็มไปด้วยกองสมมติ สงฆ์ขา้ งนอกก็มีชื่อตา่ งกนั สมมติช่อื กม็ าจากมหาภตู ๔ มาจากธาตุ ๔ ดิน น้า ไฟ ลม เหมือนกัน จริงไหม ดูหลักธรรมชาติสิ รู้มั้ย ดิน น้า ไฟ ลม ก็คือพระ ธาตุทั้ง ๔ มาประชุมกันจึงเรียกว่า สงฆ์ เป็น สงฆ์เหมือนกัน ธาตุทั้ง ๔ ประชุมกันเข้า รวมกันเป็นกอง เรียกว่า กองธาตุ มีชื่อสมมติข้ึนต่าง ๆ มา จึงเรียกว่า ธรรม คือสิ่งที่ทรงไว้ อย่างนี้ เปน็ กฎของธรรมชาติ ใครเป็นคนประชุมธาตุ ใครเป็นคนบวชพระ พระอรหนั ต์ ๒ พระองค์ เป็นผู้ประชุมธาตุ พระบิดาและพระมารดา ธาตุดินเป็น พระคุณของพ่อ ในโลกธาตุอันนี้ “เอถะ ปัสสะถิมัง โลกัง – สูเจ้า ท้ังหลายจงมาดูโลกน้ี” เห็นไหมที่พระพุทธเจ้าชี้บอก ดูตัวเราเองสิ ไม่ใช่ไปดูคนอื่น เข้าใจไหม ดูของจริงอันนี้ (ชี้ไปท่ีตัว) ถ้าเราดูแล้ว ไม่เข้าใจเราจะปล่อยละวางได้อย่างไร ก็มาติดอยู่แค่โลกนี้ (ช้ีไปท่ี ตัว) มาหลงอยู่แค่น้ี เพลินอยู่แค่นี้ เวียนว่ายตายเกิดอยู่แค่น้ีหรือ เราตัองการมาดูของจริงไม่ใช่หรือ ธาตุดินเป็นของพ่อ ธาตุน้าเป็น ของแม่ ธาตุท้ัง ๒ จึงเป็นมหา มหาปฐพี พระมหานที ยิ่งใหญ่มาก สองธาตุน้ี คือธาตุตัวผู้และธาตุตัวเมีย เป็นรูป ส่วนไฟและลม เป็น นามเป็นธาตุอาศัย สี่ธาตุประชุมกัน ทูตมาประชุมกัน รู้จักคาว่าทูต ไหม เทวทูตน่ะ จะถามอกี วา่ เคยเห็นยมทูตยมบาลหรือยัง คงจะเคย ๗๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๕ เห็นกันแล้วใช่ไหม รู้จักกันใช่ม้ัย มียมโลก ก็มียมราชเป็นเจ้านาย ใหญ่ มยี มทตู และก็ยมบาล อยูท่ ไ่ี หน เอาไวก้ อ่ นเถอะ มาดูตวั ดวู ดั นี้ดกี วา่ ดกู ายวดั อันนี้คอื วดั สระปทมุ ใชไ่ หม มี ชื่อ มีโบสถ์ วิหาร ลาน พระเจดีย์ เรามาเข้าวัดนี้แล้วเราเคยดูวัดใน เราหรือยัง วัดในคือกายวัด วจีวัด มโนวัด ของเรา ถ้ามัวมาถามก็ เสียเวลามาก เม่ือไรจะจบสักที ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ เข้าหูซ้ายออกหู ขวาแล้วจะนาไปปฏิบัติได้อย่างไร เพราะมันฟังไม่จริง ทาไม่จริง ถ้า เราทาจริง มันจะได้ผลจริง กินข้าวถ้ากินแล้วกินอีก คาแล้วคาเล่า เด๋ียวก็เต็มท้องเองไม่ใช่หรือ ไปสงสัยทาไม เราคุยกัน คุยด้วยสัจ ธรรม คุยด้วยความเป็นจริง ไม่ได้คุยเพ่ือหลอกลวงกัน ให้เข้าใจกัน ส่ิงเหล่านี้ ดูวัดในเราเอง เขาเรียกว่ากายวัด วัดที่ควรปฏิบัติก็คือ กาย เข้าวัดในนี่สิ วัดนอกมีพระมาก วัดในก็มีพระมาก วัดในก็คือ สงฆ์ คอื ธาตุ ๔ แล้วธรรมล่ะ ธรรมคือกองสมมติทั้งหลำย ๘๔,๐๐๐ พระ ธรรมขันธ์ ที่พระพุทธเจ้ำบัญญัติขึ้นออกจำกตัวเรำทั้งหมด อยู่ กับตัวเรำ มำเป็นตัวตนเรำ ดูง่าย ๆ พิจารณาง่าย ๆ หลักการ ปฏิบัติ ไม่ใช่วิ่งปฏิบัติ อาจารย์นู่นดัง อาจารย์นู่นดี ทาไมไม่ดู อาจารย์ตัวเอง ผิดก็อาจารย์เรา (ชี้ไปท่ีตัว) ถูกก็อาจารย์เรา (ช้ีไปท่ี ตัว) ใครจะมารับผิดชอบแทน ใครจะมาถูกแทนเราได้ อาจารย์เรามี พร้อมหมดแล้วไม่ใช่หรือ วิ่งหาครูหาอาจารย์ที่ไหน สรณะก็คือตัว เรำเป็นสรณะ ไปว่ิงหำสรณะท่ีไหน ธำตุ ๔ มหำภูต ๔ คือสงฆ์ พ่อแม่ประชุมธำตุ ๔ ให้แลว้ เคยแปล “นะโม” ให้ฟัง ทุกส่ิงอย่างมีเหตุเป็นแดนเกิด ทั้งน้ัน นะโมก็มีเหตุเป็นแดนเกิดเหมือนกัน มีผู้บัญญัตินะโมขึ้น ๗๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๕ เหมอื นกัน คอื ๕ เทพเจา้ เป็นผูบ้ ัญญตั ิ นะโม–สาตาคริ ยี ะโข, ตสั สะ –อสุรินทร์ราหู, ภะคะวะโต–ท้าวจาตุมหาราชกิ า, อะระหะโต–ท้าว สักกะ, สัมมำสัมพุทธัสสะ–ท้าวมหาพรหม นี่คือเหตุเกิดของนะโม ๕ เทพเจ้ามาอวดฤทธ์ิ อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโตยัสสะสิโน เปล่งแสงรศั มมี าอย่างเฉยี บขาด หาขอบเขตประมาณไม่ได้ พอมาถึง องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แสงรัศมีของพวกเทพเหล่าน้ันเหลือ เท่ากับแสงหิ่งห้อย จะไปเทียบกับแสงพระจันทร์แสงพระอาทิตยไ์ ด้ หรือ อายพระพุทธเจ้าก็เลยกล่าวคนละคา ยักษ์ก็กล่าวคาเดียวว่า นะโม อสุรินทร์ราหูกล่าวคาว่า ตสั สะ ทา้ วจาตมุ หาราชิกากล่าวคา ว่า ภะคะวะโต ท้าวสักกะกล่าวคาว่า อะระหะโต ท้าวมหาพรหมก็ มากลา่ วคาว่า สมั มำสมั พทุ ธสั สะ ๕ เทพเจา้ มากล่าวคนละคา น่ีคอื เหตุเกิดของนะโม แตจ่ ัดไว้อันดบั ๓ นะ ไวท้ ่ี ๑ ที่ ๒ ไมไ่ ด้ แลว้ ที่ ๒ ล่ะ ถ้ามหาเปรียญเขาแปลนะโม เขาแปลได้ฉะฉานไพเราะ นะโม แปลว่าความนอบน้อม, ภะคะวะโต–ต่อพระผูม้ ีพระภาคเจ้า, ตัสสะ –พระองค์นั้น, อะระหะโต–เป็นพระอรหันต์, สัมมำสมั พุทธะ-ตรัสรู้ เองโดยชอบ อันนี้แปลตามหนังสือ แต่ถ้าว่าตามทางปฏิบัติ นะโม รอบท่ี ๒ หมายถึง พระพทุ ธเจ้า จดั อยใู่ นรอบที่ ๒ ไว้อนั ดบั ๑ ไมไ่ ด้ นะโมรอบท่ี ๑ หมำยถึงพ่อแม่ของเรำ ถ้าไม่มีพ่อไม่มแี ม่ แล้ว พระพุทธเจ้าจะได้มาเกิดหรอื มาตรสั ร้หู รอื ตวั ตนสกลกายได้มา จากพ่อแม่ คือพระอรหนั ต์ ๒ องค์ พระพุทธเจ้ามาอาศัยก้อนธาตุ กอ้ นธรรมนี้ มาอาศัยสรณะ คือ สงฆ์อันนี้ (ช้ีไปที่ตวั เอง) ท่ีพอ่ แม่ สรา้ งขน้ึ ผทู้ ี่สร้างตวั ตนสกลกายนี้ สรา้ งโลกอนั น้ี (ช้ไี ปทตี่ วั เอง) ตง้ั โลกขน้ึ มา ก็คือพ่อแม่เรา องคส์ มเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจา้ กต็ ้องมา อาศยั ธัมมัง สะระณัง คจั ฉำมิ สงั ฆัง สะระณัง คัจฉำมิ แล้ว ๘๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๕ พระพุทธเจ้า พุทธะ คือใคร ก็คือ จติ วญิ ญาณตัวเรา ตัวพทุ ธะคือตัว รู้ พทุ ธะก็คือจติ ใจเรา ไม่ใชอ่ ่ืนไกล มาถือสรณะ ๒ คอื มาถือ ธมั มัง สะระณงั คัจฉำมิ มาถือ สงั ฆัง สะระณัง คจั ฉำมิ มาอาศัยธรรม มา อาศัยสงฆเ์ ปน็ สรณะ พระพุทธเจา้ กอ็ าศัยอนั น้ี มารู้ของจริงนี้ มา เหน็ ของจริงอันนี้ จงึ ประกาศของจรงิ ให้โลกไดเ้ หน็ ได้รู้ มาเปดิ ให้มี แสงสวา่ งเกดิ ข้ึนให้ไดร้ ู้กนั รู้โลกอันนี้ เปิดโลกอันน้ี (ชไี้ ปทต่ี ัวเอง) ให้ มนั สวา่ งข้นึ ไม่ให้มดื มามืดไป มาเห็นของจริง ทาไมจึงจัดพระพุทธเจ้าเป็นที่ ๒ ทาไมไมจ่ ัดเปน็ ท่ี ๑ ถา้ ไม่ มีนะโมรอบแรก แล้วจะมีนะโมรอบทึ่ ๒ ได้อย่างไร นะโมรอบที่ ๒ ยังเป็นนามอยู่ พระพุทธเจ้ายังสมมติเป็นนามมาอาศัยมหาภูตอยู่ ลองกลับตัว “นะ” กับตัว “มะ” กันดูสิ จาก นะโม ก็เป็นมโน ใช่ ไหม จึงมาเป็นกองสมมติข้ึนมา ตัวเรำเข้ำมำอำศัยนะโม จึงเป็น มโนคือใจ เป็นตัวพุทธะ จริงหรือไม่จริง เพราะน้า - นะ เป็นของ แม่ โมหรือมะ เป็นของพ่อ ที่เรียกว่ำมหำปฐพี พระมหำนที มหำ ปฐพีเป็นธำตุดิน พระคุณของพ่อ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เย่ือในกระดกู ม้าม หัวใจ ตบั พังผืด ไสใ้ หญ่ ไสน้ อ้ ย อาหาร ใหม่ อาหารเก่า ของพ่อเรา ทั้งหมดอยู่ในธาตุอันน้ี โลกอันน้ี ในวัด อนั นี้ ทีเ่ รยี กวา่ กายวัด ของแม่ นา้ ดี เสลด หนอง เลอื ด เหงือ่ มนั ขน้ น้าตา น้ามัน น้ามูก น้าลาย น้าไขข้อ น้ามูตร เป็นของแม่เรา ธาตุ ทง้ั ๒ ตั้งขน้ึ ประชุมกันแล้วเป็นรูปธรรม แต่ต้องอาศัยนามธรรม คือ ไฟและลมเข้ามาอาศัย ธาตุ ๔ จงึ ตง้ั ขึ้น สงฆ์จึงเกดิ ข้ึนเพราะอย่างนี้ น่ีเขาเรียกว่า สงฆ์ในอันเป็นสรณะ คือพระคุณของพ่อของแม่ เพราะฉะน้ัน นะโมรอบท่ี ๑ หมายถึงพระคุณของพ่อของแม่ “นะ โม” แปลว่าความนอบน้อม รอบท่ี ๒ หมายถึงพระพุทธเจ้า รอบท่ี ๘๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๕ ๓ หมายถึงเทพเจา้ ท่ปี ราชญแ์ ละบัณฑิตเขาแปลไว้อย่างเพราะ มนั เรอื่ งของเขาทแ่ี ปลเอาไว้ ถ้าเราจะแปลนะโมรอบที่ ๑ ว่าเป็นพระคุณของพ่อของแม่ จะแปลอย่างไร “นะ” ก็แปลว่าธาตุน้า “มะ” ก็แปลว่าธาตุดิน นะโม – อันว่าน้าและดิน ตัสสะ – ของบิดามารดานั้น ภะคะวะโต – บิดาและมารดาเป็นผู้จาแนกธาตุน้าและธาตุดิน อะระหะโต แปลวา่ เสร็จสิน้ แล้ว กค็ อื จาแนกใหแ้ ลว้ จนส้ินและสาเร็จด้วยอาการ ๓๒ พร้อมสมบูรณ์ข้ึนมาแล้ว สัมมา แปลว่าโดยชอบ อยู่ในครรภ์ ของท่านจนส้ินแล้วทศมาส ๑๐ เดือนแล้วโดยชอบ สัมพุทโธ - จึง ได้เกิดข้ึนมาเป็นตัวเป็นตน จึงลอดก้นแม่มาเกิดเป็นตัวเป็นตน พ่อ แม่ลาบากหรือเปล่า กว่าพวกเราจะโตเป็นผู้ป็นคนข้ึนมา พ่อแม่รัก เราขนาดไหน เหลือบไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ไปไหนก็โอบอุ้มไป ไม่ รังเกียจจะขี้รดเยี่ยวรด พ่อแม่รักเรามาก ท้องฟ้าขาดดาวขาดเดือน ไม่ได้ พ่อแม่ก็เหมือนกัน ขาดลูกไม่ได้ ดีก็ลูก ไม่ดีก็ลูก ใครจะมาว่า ลูกไม่ดีไม่ได้ ลูกฉันดีสม่าเสมอ อย่ามาดูถูกลูกฉัน แต่คิดดูสิ ลูก ๆ ทุกวันเป็นอย่างไร เห็นแล้วเหน่ือยเหลือเกิน เห็นลูกเห็นหลานทุก วันน้ีแล้วก็เหน่ือยมาก นี่หรือลูกของมนุษย์ ลูกผู้มีสัตว์ใจสูงใน ๑๒ จานวนสตั ว์ ตัวตนสกลกำยธำตุขันธ์อันน้ีเป็นตัวตนของพ่อของแม่ ถ้ำเรำเอำไปทำในสิ่งท่ีไม่ดีข้ึนมำ ลองคิดดู จะเป็นบำปเป็นกรรม หรือเปล่ำหนอ เป็นกำรเนรคุณพ่อแม่หรือเปล่ำหนอ ทำไมจึงเอำ ของดไี ปทำในสิ่งทีไ่ มด่ ี ลองใคร่ครวญคดิ ดูว่ำจรงิ หรอื ไม่ สะระณัง ก็อยู่ที่ตัวเราใช่ม้ัย ธาตุ ๔ เป็นพระสงฆ์ เป็นสรณะที่พ่ีง เป็นก้อน ธรรม ก็คือก้อนธาตุก้อนธรรมธาตุทั้ง ๔ มาประชุมกัน เป็นธรรม ๘๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๕ เป็นกอง เขาเรยี กวา่ กองธาตุกองธรรมเป็นกองสมมติ อาการ ๓๒ มี พร้อมทั้งหมดเป็นธรรมเป็นท่ีพึ่ง เรามีสังฆังมีธรรมเป็นท่ีพึ่งก็พ่อแม่ เป็นคนใหไ้ มใ่ ช่หรอื แก้วสารพดั นกึ เอาแก้วสารพัดนึกทพ่ี ่อแม่ให้มา ไปทาให้เป็นมลทินให้แตกร้าวทาไม ถามตัวเองสิ พ่อแม่ให้ของดี มาแล้วไปทาใหเ้ ปน็ มลทนิ ทาไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาพิจารณาเห็นอันน้ี โอ้ โห พ่อและแม่มีพระคุณถึงขนาดน้ีเชียวหรือ ถ้าเราจะสรรเสริญ พระคณุ ของพ่อของแม่ ไมม่ ที ี่ส้ินสุดเลย “พระสมั มำสัมพุทธเจ้ำมำ ตรัสรู้แต่ละองค์ ๆ มำขนสรรพสัตว์เข้ำสู่นิพพำน เรำตถำคตไม่ สำมำรถสรรเสริญพระสัพพัญญูของพระสัมมำพระพุทธเจ้ำให้ ส้ินสดุ ได้ฉนั ใด เรำตถำคตกไ็ มส่ ำมำรถสรรเสริญพระคุณของบิดำ มำรดำให้ส้ินสุดได้ฉันน้ัน” ฟังดูสิที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ พ่อแม่มี พระคณุ มากถึงขนาดน้ี จึงบญั ญตั ิศีล ๕ ศลี ๘ ศีล ๑๐ ศลี ๒๒๗ ให้ วิรัติ ให้รักษาก้อนธาตุก้อนธรรมอันเป็นพระคุณของพ่อแม่ อย่า เนรคุณ อย่าเอาแก้วสารพัดนึกไปทาให้เป็นมลทิน อย่าไปทาให้ แตกร้าว ตัวเรานี่คือแก้วอันวิเศษสุด มันเป็นสรณะได้อย่างไร ดูให้ มันชดั ๆ ท่านบัญญัตศิ ลี เพื่อให้รักษา ธมั มงั สะระณังคจั ฉำมิ ถ้ำหำกสงฆ์คือมหำภูต ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม มำเป็นสรณะ มำเป็นก้อนธำตุก้อนธรรมเป็นตัวตนมำต้ังอยู่ในท้องแม่แล้ว ตัว พุทธะคือจิตวิญญำนก็เข้ำมำปฏิสนธิ จึงประกอบด้วย พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ คือจิตใจของเรามาเป็นผู้รู้ ผู้ต่ืน ผู้เบิกบาน มารู้ ธรรมรู้สงฆ์ รู้ตรงน้ี (ช้ีไปท่ีตัวเอง) ถ้าไม่รู้เห็นมหาภตู เหล่าน้ี จะเป็น พระไดอ้ ย่างไร จะสาเรจ็ ได้อย่างไร เวลาบวชอปุ ัชฌาย์อาจารย์บอก ตะจะปัญจะกะกัมมัฏฐำน กรรมฐานมีหนังเป็นที่ ๕ เกสำ โลมำ ๘๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๕ นะขำ ทันตำ ตะโจ -- ตะโจ ทันตำ นะขำ โลมำ เกสำ อุปัชฌาย์ รูปไหนไม่บอกมูลกัมมัฏฐานน้ีอุปัชฌาชย์นั้นวิบัติ ไม่สมเป็น อุปัชฌาย์ ขาดจากการเป็นอุปัชฌาย์ จะต้องสอนมูลกัมมัฏฐา หมายถึงฐานอันเป็นท่ีตั้งแห่งการงานก็คือตัวตนสกลกาย คือมาดู องค์สงฆ์อนั น้ี (ชไี้ ปที่ตวั เอง) สงั ฆงั สะระณงั คัจฉำมิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉำมิ เวลาเราเดินข้ึนมาบนศาลา เรา เอาขาเราเดินใช่ไหม ไม่ได้เอามือเดิน จะชี้สรณะให้ ชี้ข้อเดียวก็รู้ หมด จะเข้าใจเองถ้าต้ังใจฟัง สรณะแปลว่าที่พ่ึงใช่ม้ัย ธัมมัง สะ ระณัง คัจฉามิ ขาเราทาหน้าที่เดิน ขาจึงเป็นท่ีพ่ึง นาเรามาถึงที่ได้ ขึ้นมาบนศาลาได้ น่ีแหละตัว ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ขาเราเป็น ธรรมและเปน็ ท่ีพ่งึ ของเรา ตากเ็ ปน็ ธรรม ทาหนา้ ทีด่ ู ดูวา่ นนู่ ทางขึ้น บนั ไดอย่ทู างนู้น ใช้ตาดู ตาเราเอง อยูท่ เ่ี รา เดินขึ้นมาก็ขาเราเอง ที่ พึ่งของเราเอง ไปหาที่พึ่งที่ไหน ท่ีพึ่งก็คือสรณะ เพราะตาต้องทา หน้าท่ีดู หูก็ต้องทาหน้าท่ีฟัง จมูกก็ทาหน้าท่ีหายใจ ถ้าเราไม่เอา จมูกของเราหายใจจะไปยืมจมูกใครมาหายใจ เอาของเราไม่ใช่หรือ จมูกก็เป็นที่พ่ึงสาหรับตัวของเรา หูเป็นท่ีพ่ึงสาหรับฟังของเรา รู้ หรอื ยงั สรณะทนี ้ี ไปหาท่ไี หน สังฆัง สะระณัง คัจฉำมิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉำมิ พุทธัง สะระณัง คจั ฉำมิ พุทธังคอื ตัวใจของเรา รู้แลว้ ว่าอันนี้ (ช้ีไปท่ตี ัว) น่ี คือสรณะ เห็นไหม ผู้รู้ - พุทธะ ใจเรารู้ว่าอันนี้ (ช้ีไปที่ตัว) คือก้อน สรณะ โลกอันน้ีเต็มไปด้วยมหาภูตคือกองสมมติ พระพุทธเจ้ามา เห็นจงึ สมมตมิ าเปน็ กองเพ่ือให้รกั ษา นะโมรอบท่ี ๒ ถ้าจะแปล เขาจะแปลว่าอย่างไร นะโม อัน ว่าห้วงอมตะธรรม คือห้วงแห่งพระหฤทัยของพระพุทธเจ้าเต็มไป ๘๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๕ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ห้วงอมตะธรรม ธรรมท่ีเป็นอมตะก็คือ ดนิ น้า ไฟ ลม อนั เป็นธรรมชาติ จงึ เรียกรวมกนั ว่าเป็น มะ และ นะ ห้วงก็คือ นะ ธรรมก็คือ มะ ตัสสะ – ของพระพุทธเจ้าน้ันพระองค์ มาบัญญัติขึ้น ภะคะวะโต – ยังมาจาแนกก้อนธาตุก้อนธรรมอันน้ี (ชี้ไปท่ีตัวเอง) ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ อะระหะโต – ล้วนแต่เป็น ธรรมอันสิ้นอาสวขัย คาสอนของพระพุทธเจ้า สัมมำ - มีเทวดา มารและพรหม สมณพราหมณ์ มนุษย์ เป็นผู้สดับรับฟังและปฏิบัติ แล้วโดยชอบ สัมพุทโธ – ปฏิบัติเองย่อมบรรลุเอง ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ - วิญญูชนจะรู้เฉพาะตน ปฏิบัติได้เฉพาะตน เท่านั้น ปฏิบัติแทนกันก็ไม่ได้ บรรลุก็บรรลุเอง นั่งอยู่ด้วยกันนี่รู้ จิตใจกันเสียเมือ่ ไร บางคนกต็ ั้งใจฟังจนเข้าใจ บางคนก็ไมไ่ ดต้ ง้ั ใจฟัง เลย มีแต่ฟุ้งซ่านอยู่ ไปมองดูคนอ่ืน จิตใจก็ไปแล้ว ไปคิดถึงคนอื่น แล้ว เอ๊ะ เขาจะรู้เหมือนกูหรือเปล่า ตัวเองเป็นคนคิดยังจะไปถาม อีกว่าเขาจะคิดเหมือนกูหรือเปล่า ใครมันจะรู้จิตใจของใคร นั่งอยู่ ดว้ ยกนั น่ี ของใครของมัน ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เรารู้เฉพาะตัวเรา พระพุทธเจ้าจึงบัญญัติ “วิรัติ” ให้รักษา ถ้าเรายังไปคิดว่าคนนั้นจะ รู้ตามกู คนน้ีจะรู้ดีกว่ากู ศีลข้อปาณา ไปเบียดเบียนกันแล้ว ไม่อยู่ ในความสงบเป็นสมถะเลย ไปเบียดเบียนเขาทาไม ทาตัวเองให้ตก ไปแลว้ ตาหนเิ ขาทาไม เร่อื งของเขา ดูตวั เองสิ ถา้ เรายังระงับตวั เอง ไม่ได้ก็ถือว่ายังไปเบียดเบียนคนอื่นอยู่ นั่นคือศีลข้อปาณา ยังไม่พอ ถ้าอทินนา กูรู้แล้วเว้ยวนั นี้ กูรู้คนเดียว ของกูเป็นอย่างน้ี ของมึงจะ เหมือนของกูหรือเปล่า น่ันเห็นไหม อทินนาถือเอาแล้ว ผิดอีก พระพุทธเจ้าสอนให้วิรัติไม่ใช่หรือ ให้รักษาให้สงบระงับเอาไว้ อย่า ๘๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๕ ให้ฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ ที่สมาทานศีล ๕ กัน แค่ศีล ๒ ข้อก็มา เบียดเบียนกันแล้ว มาถือตัวถือตนว่ากูฟังได้ กูเข้าใจ แค่น้ีก็ศีลข้อที่ ๒ แล้วน่ะ มันผิดไปแล้ว จริงหรือไม่ให้พิจารณาเอง เทศน์มาก่ี ชั่วโมงแล้วเน่ีย โดนแล้วบ่ เอวังด้วยประการฉะน้ี ลงง่าย ๆ อย่าไป ลงยาก เอา้ รับพรกนั อิจฉิตงั ปตั ถิตงั ตมุ หงั ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ สพั เพ ปเู รนตุ สังกปั ปา จนั โท ปณั ณะระโส ยะถา มะณิ โชติระโส ยะถา ฯ สพั พีตโิ ย วิวัชชนั ตุ สพั พะโรโค วินสั สะตุ มา เต ภะวัตวันตะราโย สุขี ทีฆายโุ ก ภะวะ ฯ อะภิวาทะนะสลี สิ สะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วณั โณ สขุ งั พะลัง ฯ ๘๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๕ หลวงปสู่ งวน ยุตตะธัมโม วดั ธุดงคนิมิต ต.ปำกแพรก อ.เมือง จ.กำญจนบุรี แสดงเมอ่ื วนั อำทติ ย์ ที่ ๑๕ กันยำยน พ.ศ. ๒๕๖๒ ณ ศำลำพระรำชศรัทธำ วัดปทมุ วนำรำม รำชวรวหิ ำร หลังจากพระราชทานเพลิงหลวงปู่ม่ัน สมัยนั้นอาตมาบวช ได้แค่ ๒ พรรษา หลวงปู่จันทร์แรมไปจาพรรษาท่ีจังหวัด เพชรบรุ ี คหบดีชอ่ื คณุ นายวิลเลยี มส์นิมนต์หลวงปู่สงิ ห์ ขันตยาคโม ไปโปรดชาวเพชรบุรี สมัยนั้นกรรมฐานสหายหลวงปู่มั่นเน่ียยังไม่มี ใครรู้จัก ส่วนพระธุดงค์น่ะมีมาอยู่แล้ว อันนี้มันเป็นประเพณีมาแต่ นานแล้ว โดยเฉพาะภาคกลางท่ีออกพรรษาแล้วก็ออกธุดงค์กัน ไป ไหว้พระบาท พระฉาย แสวงหาบุญ เที่ยวธุดงค์ไปเรื่อย ๆ มันเป็น ประเพณีมาแต่เก่าก่อน จนเกิดหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ข้ึนมา ประวัติ ๘๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๕ ตอนน้ันก็ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่แต่ว่าท่านก็มาฟ้ืนฟูสายพระธุดงค์ข้ึนมา เรียกว่าสายธุดงค์หลวงปู่มั่น ยังไม่ชัดเจนเท่าไร อาจจะจาไม่แมน่ ก็ ได้เพราะอยู่กันคนละภาคกัน เท่าที่เล่ามาก็มาปฏิบัติธรรมออก ธุดงค์เหมือนกัน ท่านเอาหลักพระไตรปิฎกมาปฏิบัติ คือธุดงค์ ๑๓ เช่น อยู่โคนไม้ อยู่เรือนร้าง อยู่ท่ีว่าง แล้วก็มีอะไรอีกหลาย ๆ ท่ี แล้วก็เดินธุดงค์ ปฏิบัติตามแนว ตะจะปัญจะกะกรรมฐำน เกสา โลมา นขา ทันตา ตะโจ -- ตะโจ ทันตา นขา โลมา เกสา กรรมฐาน ท่ีอุปัชฌาย์สอน สาหรับผู้มาบวชในศาสนา ท่านก็ปฏิบัติไปลาพัง ด้วยตวั เอง ตอนท่ีท่านตรสั รอู้ ะไรนี่กม็ ีคนรุ่นหลังมาเล่า ท่านก็เผยแผ่ศาสนาในภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคกลางยัง มาไมถ่ ึง ช่วยกนั เผยแผ่กับหลวงปสู่ ิงห์ ขนั ตยาคโม นอกจากหลวงปู่ สิงห์แล้ว หลวงปู่ฝ้ัน มาตอนหลังมีหลวงปู่เทสก์ หลังจากถวายพระ เพลิงหลวงปู่มั่นแล้ว หลวงปู่เทสก์ท่านมาคานึงว่านักปฏิบัติธรรม ตามภาคตา่ ง ๆ มอี ยทู่ ่ีไหนบ้าง ท่านกเ็ ลยลาไปทางใต้ ก็มาแวะพักที่ เพชรบุรี วดั สนามพราหมณ์ ในเมือง พอออกจากวัดสนามพราหมณ์ ท่านก็ไปเร่ือย ๆ ไปถึงทางใต้ สมัยนั้น มีมหาช่ือมหาป่ิน ชาว นครปฐมก็ออกธุดงค์เหมือนกัน ก็แบบโบราณอย่างที่ว่ามาแล้วเนย่ี วา่ มกี ารออกธุดงคก์ นั ท่านเป็นนักเทศน์ ทา่ นก็เทศน์ไปเรื่อยๆ ทา่ น ไปเทศน์จนถึงทางใต้น่ันแหละ ถึงจังหวัดพังงา แตท่ ีท่ ่านแสดงธรรม มันแรงไปหน่อย เพราะสมัยน้ันพระย่อหย่อนในพระธรรมวินัย ก็ น่าจะให้อภัยอยู่นะในสมัยนั้นในเรื่องความย่อหย่อนนี่ เพราะ พระไตรปิฎกก็ยังไม่ได้แปล ยังอยู่ในภาษาบาลี แล้วพระท่ีรู้ภาษา บาลีก็น้อย ก็ว่ากันตามครูบาอาจารย์แนะนาให้ทา อย่างเช่นท่ีว่า มาแล้วนี่แหละเรอ่ื งออกธดุ งคอ์ ะไรต่ออะไร ฯลฯ ๘๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๕ ที่หลวงปู่ม่ันท่านมาปฏิบัติธรรมจนช่ือเสียงโด่งดัง ศาสนา เผยแผ่ออกไปในภาคอีสาน อาตมาเกิดทีหลัง ไม่ทัน อาตมามาบวช พรรษา ๒ ทา่ นถวายพระเพลิงหลวงปู่ม่ันเสร็จแล้ว สมยั น้นั หลวงปู่ สิงห์เป็นประธานในการถวายพระเพลิงศพหลวงปู่ม่ัน การภาวนาก็ เรียกว่าอยู่ในหลักภาวนาพุทโธ น่ังก็พุทโธ นอนก็พุทโธ เดินยืนนั่ง นอนก็พุทโธ เอาพุทโธเป็นหลัก ทาจิตให้สบาย ทาจิตให้นิ่งใน อารมณอ์ ันเดียว จนมีพระผู้ปฏิบตั ิตามได้เยอะเหมอื นกัน แตว่ า่ อนั นี้ มันมาจาก ร.๔ นะ ก่อนจะถึงหลวงปู่ม่ันเน่ีย ร.๔ ก่อน เกิดคณะ ธรรมยุตข้นึ มากอ่ น ขอพูดย้อนหลังไปนิดหน่ึง สมัย ร.๔ บวช ท่านบวชที่วัด มหาธาตุฯ กรุงเทพฯ เรานี่แหละ สมัยน้ันก็เรียนภาษาบาลี แปลภาษาบาลี หลวงปู่เทสก์ท่านมาแปลพระไตรปิฎก แปลเร่ือง วินัย ท่านก็อยู่ท่ีวัดมหาธาตุ พระสมัยนั้นการศึกษายังไม่ทั่วถึง ภาษาบาลีก็ยังไม่ได้แปลเป็นภาษาไทย ภาษาจากพระไตรปิฎกว่า อย่างหนึ่ง พระในวัดก็ปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง เอ๊ะ ทาไมไม่ตรงกัน ทา่ นกไ็ ปถามอุปชั ฌาย์ วา่ ทาไมพระปฏบิ ตั ิไมต่ รงตามพระวนิ ยั ทา่ น ก็บอกว่า ศาสนามันเสื่อมมาต้ังแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแตกแล้ว ก็ ปฏิบัติตามครูบาอาจารย์กันไป พระองค์ก็บอกว่าไม่ได้หรอก ไม่ได้ บญุ แลว้ ปฏิบัติไม่ตรงพระวินัยไมไ่ ดบ้ ญุ แลว้ ถ้าอย่างน้ันเราไปสึก ไปถืออุโบสถถือศีล ๘ จะได้บุญ มากกว่า ก่อนที่จะสึกก็ไปอธิษฐานในโบสถ์ว่า ศาสนาพุทธยังมีผสู้ ืบ ต่อสมบูรณ์ บริบูรณ์อยู่ไหม ที่ถูกต้องตามพระธ รรมวินัย พระไตรปิฎกยังมีอยู่ไหม ถ้ามีอยู่พระองค์ก็จะอยู่ต่อ ถ้าไม่มีก็จะลา สิกขา ขอให้พระผู้ที่บวชถูกต้องตามพระธรรมวินัยให้มาภายใน ๓ ๘๙
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๕ วันถึง ๗ วัน หลังจากนั้น ๓ วัน มีพระมอญข้ามมาจากฝ่ังโน้น ข้าม มาจากท่าพระจันทร์ล่ะม้ัง มาขึ้นที่วัดมหาธาตุฯ พระมาพระองค์ก็ ดใี จท่มี พี ระมา ก็ถาม โดยเฉพาะมอญเนี่ยเคร่งในวินยั อยู่แลว้ คือว่า พระสูตร-ไทย มอญ-วินัย พม่า-ปรมัตถ์ สมัยนั้นนะ ไทยเก่งเรื่อง พระสูตร มอญเชี่ยวชาญเร่ืองพระวินัย พม่าเชี่ยวชาญในเรื่อง อภิธรรม ก็เลยถาม พระมอญก็ตอบได้หมด ก็เลยรู้ว่าไม่ถูกต้อง ก็ เลยลาอุปัชฌาย์ไปอยู่ที่วัดราชาธิวาส (เดิมชื่อวัดสมอราย) ก็เป็นวัด ป่า พระอยู่กนั ไม่กี่รปู ทา่ นกไ็ ปอยู่ที่นนั่ พาพระมอญไปอยู่ดว้ ย แลว้ ก็ศึกษาพระธรรมวินัยกันใหม่ ปรับปรุงใหม่ แล้วก็ดูในพระไตรปิฎก ดูในสีมา พบลูกสีมา ดูสีมามันเล็ก อ้าว ไม่ตรงอีก สีมาต้องเท่ากับ หัวช้าง สีมาที่ถูกต้องเท่ากับหัวช้าง ไปขุดดูมันเล็ก อ้าว ก็ไม่ถูกต้อง อีก ก็เลยไปทาญัตติใหม่ บวชซ้า ไปต้ังเป็นแพอยู่กลางน้า พระก็ไม่ ครบ เอาพระมาสวดทับ เรียกกันว่าทา ทัฬหีกรรม แปลว่าสวดซ้า อีกคร้ังหนึ่ง เพื่อให้ถูกต้อง แล้วก็มีพระไปจากวัดมหาธาตุฯ อีก มี สมเด็จวันรัตฯ สมเด็จอะไรต่ออะไรไปอยู่ท่ีวัดราชาด้วยกันเน่ีย ก็ ครบองค์สงฆ์ ก็เลยฟน้ื ฟูการปฏบิ ตั ิธรรมวินยั ใหม่ แรก ๆ ก็ทากลุ่มเล็ก ๆ พออยู่ไป มีผู้ศรัทธาเลื่อมใสเพิ่ม ข้ึนมา เลยกลายเป็นหมู่คณะใหญ่ข้ึนมา ท่านก็อยู่เล็ก ๆ อยู่นั่น แหละ จนสิ้นรัชกาลที่ ๓ ร.๔ ก็ต้องลาสิกขามาเสวยราชย์ฯ ตอนที่ พระองค์บวชอยู่นั่น พระองค์แปลพระไตรปิฎกได้เปรียญ ๕ ประโยค ท่านรู้หมด เร่ืองพระไตรปิฎกท่านรู้ ท่านก็บวชใหม่ ท่าน ลาสกิ ขามาแล้วคณะน่ันก็ยังอยู่ จนถงึ ร.๕ ถึงมารบั รองว่าเป็นคณะ ใหม่ นิกายใหม่ เรียกว่าธรรมยุติกนิกำย นิกายเดิมเรียกว่า มหำนิกำย เพราะมีพระเพิ่มขึ้นไง กฎหมายก็ยังไม่รับรอง ก็เลย ๙๐
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๕ รับรอง เป็นนิกายใหม่ สืบมาจนทุกวันนี้ ก็ฟื้นฟูศาสนามาเร่ือย ๆ ตั้งแต่ ร.๔ มา แล้วก็สมเด็จมหาสมณเจ้าฯ มาแปลพระไตรปิฎก แต่งนักธรรมตรี โท เอก ขน้ึ มาใหเ้ รียน ใหร้ ู้ ให้ถกู ตอ้ งตามพระธรรม วินัย พระก็ปฏิบัติดีขึ้น เป็นที่ต้ังแห่งศรัทธาปสาทะญาติโยมข้ึนมา จนทุกวันนี้ อย่างท่ีเรานั่งอยู่น่ีมันเป็นวัดธรรมยุต ได้ข่าวว่า ร.๔ ก็ เคยมาจาพรรษาตรงน้ีเหมือนกนั ทกี่ ลา่ วมานค่ี ือเรอ่ื งนกิ ายสงฆใ์ นประเทศไทย การประพฤติ ปฏิบัตกิ ็ขยายเจรญิ ข้ึนมาเรื่อย ๆ จนถึงพวกเราทุกวนั นี้ การปฏิบัติ ธรรมก็ปฏิบัติตามครูบาอาจารย์บ้าง ครูบาอาจารย์สอนแล้วก็ทา ตามอย่างน้ัน โยมท่ีมาน่ีก็มาปฏิบัติธรรมตามคาสอนพระพุทธเจ้า มารวมเปน็ กลมุ่ เปน็ กอ้ น ก็นับว่าดีอยู่นะ ทาได้ยากอยู่ กเ็ รยี กวา่ คน ท่ีต้งั ใจประพฤตปิ ฏบิ ัตธิ รรมก็ยงั มีอยู่ ศาสนาก็ยงั อยู่ จรงิ ๆ เราไดเ้ กิดมาเปน็ มนุษย์แลว้ มบี ุญกศุ ลแล้ว ยิ่งเราได้ เกิดมาในประเทศไทยด้วย เกิดมาเป็นมนุษย์ กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลำโภ การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ยาก กิจฺฉ มจฺจำน ชีวิต การมีชีวิตอยู่ก็ ยาก กิจโฺ ฉ พทุ ธฺ ำนมปุ ฺปำโท การเกิดข้ึนของพระพทุ ธเจ้าแตล่ ะองค์ ก็ยาก เพราะต้องสร้างสมบุญบารมีใช่ไหม ท่ีว่าเกิดเป็นมนุษย์ยากก็ ลองดูอยา่ งปจั จุบนั แล้วกนั คนจะลน้ โลกอยู่แล้วแลว้ ก็เกดิ กัน ขนาด ควบคุมก็ยังควบคุมไม่อยู่เพราะความเกิดน่ีแหละ เม่ือเราเกิดเป็น มนุษย์แล้ว ได้ลาภอันประเสริฐไว้แล้ว ก็เอาความเป็นมนุษย์เข้ามา เปน็ มนษุ ยก์ ็เรียกไดว้ า่ ไดม้ นษุ ย์สมบัติ ไม่ใบ้ ไมบ่ า้ ไมบ่ อด ไม่หนวก มีอวยั วะสมบรู ณ์บรบิ รู ณ์ น่ีคือความเป็นมนุษย์ของเราสมบรู ณ์ กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลำโภ แล้วก็มีชีวิตอยู่ ไม่พิกลพิการ พอที่จะรองรับ ปฏิบัติธรรมวินัยได้ พระธรรมวินัยพระพุทธเจ้านี้จะ ๙๑
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๕ ใหเ้ จริญงอกงามไดก้ ต็ อ้ งมศี ีล ศลี ๕ นีแ่ หละ ศีล ๕ เรยี กว่ำมนุษย์ ธรรม ถ้ำไมม่ ีมนษุ ย์ธรรมกไ็ ม่มีท่ีตั้ง ศีล ๕ เป็นท่ตี ง้ั ของพระธรรม ฉะน้ัน ศีล ๕ จึงสำคัญท่ีสุด อย่างพระที่เข้ามาบวช ท่านจะถามว่า มนสุ โส สิ ท่านเปน็ มนษุ ย์หรอื ? ตอบว่า อามะ ภันเต ขา้ พเจา้ เปน็ มนุษย์ ศาสนาพทุ ธเหมาะสมสาหรับมนุษย์เท่านั้น มนุษยก์ บั ศลี ๕ นั่นแหละ ปาณาฯ อทินนาฯ กาเมฯ มุสาฯ สุราฯ ศีล ๕ ประการน้ี สาคัญ ทุกวันนี้ บ้านเมืองมันวุ่นวายเดือดร้อน เพราะความเป็น มนุษย์มันหมด มนุษย์ธรรมมันหมดไป มันเส่ือมลงไป ก็เลยวุ่นวาย ทุกวันน้ี ที่มีคนกลุ่มหนึ่งท่ีมาปฏิบัติธรรมในวันน้ี ก็โห .. น่าปลื้มใจ อยู่นะ แต่ว่าก็เป็นส่วนนิดเดียว หน่ึงในพันหน่ึงในล้านเท่าน้ันเอง ที่มาน่ี ท่านอุปมาไว้นะ เขาวัว กับขนวัว เขาวัวเป็นของมีค่า มีแค่ นิดเดียว ๒ เขาเท่าน้ันเอง ขนวัวเยอะ แต่ขายไม่ได้ราคา ไม่มีราคา อันนี้ก็ฉันใด คนที่ตั้งอยู่ในศีลในธรรมก็น้อยลง ๆ แล้วความเจริญ ในทางโลกก็เจริญขึ้นมา ทางวิทยาศาสตร์ก็เจริญข้ึนมา เม่ือ วิทยาศาสตร์เจริญขึ้นมา ศีลธรรมก็ตกต่าไปอีก สังเกตดูทุกวันนี้ มี อะไร มีแต่อุบัติเหตุบ้าง ฆ่ากันบ้าง ทาร้ายกันบ้าง แล้วก็ขาดตัวนี้ แล้วเราจะช่วยกันแก้อย่างไรล่ะ จะแก้อย่างไรให้ความเป็นมนุษย์ ของเรากลับข้ึนมาได้ เรียกว่า มันไม่มีมนุษย์ มันมีแต่คน คน แปลวำ่ ยุ่ง มนษุ ย์แปลว่ำประเสริฐ มันมแี ตค่ นนะ่ สิ มันก็ยุง่ ทกุ วนั นี้ คาว่าประเสรฐิ มนั ไมม่ ี ศีลธรรม ศีล ๕ ธรรม ๕ ข้อท่ี ๑ (ปำณำฯ) คู่กับเมตตำ ข้อท่ี ๒ (อทินนำฯ) คู่กับสันโดษ ข้อที่ ๓ (กำเมฯ) คู่กับควำม สำรวมในกำม ข้อที่ ๔ (มุสำฯ) คู่กับสัจจะ ข้อท่ี ๕ (สุรำฯ) คู่กับ ๙๒
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๕ สติ จะต้องมีศีล ๕ พระธรรมจึงจะตั้งข้ึนมาได้ เราก็ต้องพยายาม ประพฤติปฏิบัติตามคาสอนของพระพุทธเจ้า เอาคาสอนของ พระพุทธเจ้าเป็นหลักไว้ก่อน เอาตาราเป็นหลักไว้ก่อนนะ ถ้าเราไม่ มีตารา ไม่มีหลัก มันก็ไปไม่รอดเหมือนกัน ฉะนั้น ช่วยกันศึกษา สบื สานศาสนาพทุ ธไว้ ทีนวี้ ่าไง ไม่รู้จะพูดอะไร หมดแล้ว เออ มานงั่ สมาธิ วา่ เร่ืองสมาธิตอ่ ทุกวันนี้ แนวการปฏิบัติธรรมมีสองอย่าง หน่ึง สมถะ สอง วิปัสสนำ ท่ีว่า พุทโธ ๆ ๆ หายใจเข้า-พุท ออก-โธ ทาให้ใจน่ิงใน อารมณ์อันเดียวเรียกว่า สมถะ วิปัสสนา กาหนดรูปนาม เอารูป นามเป็นอารมณ์ คือใช้ขณิกกะเป็นอารมณ์ เม่ือศึกษาวิปัสสนา ก็ ศึกษาอารมณ์ ๕ อย่าง ตาคู่กับรูป หูคู่กับเสียง จมูกคู่กับกลิ่น ลิ้นคู่ กับรส กายคู่กับโผฐฐัพพะ ใจคู่กับอารมณ์ เรียกว่าวิปัสสนา กรรมฐาน ความเกิดดับของอารมณท์ ี่เราสัมผสั มนั เปน็ อย่างนที้ ุกวัน เกิดมาก็เป็นอย่างนี้แล้ว แล้วก็ต้องฝึกสติ ต้องมีสติ เอาสติเป็นหลัก อย่างพระบวชใหม่ก็สอนพิจารณาปฏิสังขโย เมื่อบริโภคปัจจัย ๔ เราพิจารณาโดยแยบคายแล้ว ถึงเสพจีวร เราพิจารณาแล้วถึงเสพ บิณฑบาต เราพิจารณาแล้วถึงเสพเสนาสนะ เราพิจารณาแล้วถึง เสพคิลานเภสัช ยาแก้ไข้ ต้องบริโภคด้วยสติ ต้องมีสติ เดินก็มีสติ นั่งก็มีสติ นอนก็มีสติ คู้เหยียดก็ต้องมีสติ เอำสติเป็นหลัก พยายามฝกึ สตไิ ว้ใหม้ าก ๆ หนอ่ ย เพราะสตินีส่ าคญั ท่สี ุด สติ เตส นิวำรณ สติเป็นเคร่ืองกั้นกระแส กระแสโลภ โกรธ หลง ถ้าขาดสติ ไม่ได้หรอก ท่ีมีเหตุประจาทุกวันน้ี เพราะ อะไรละ่ เพราะขาดสติตวั เดียว ท่เี ราท้งั หลายได้มารวมกันท่ีวัดปทุม ฯ น้ี เพื่อต้ังใจปฏิบัติธรรม ตามคาสอนของพระพุทธเจ้า คาสอน ๙๓
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วัดปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๕ ของพระพุทธเจ้านี้มี อำคำริยวนิ ัย กบั อนำคำรยิ วินยั อาคารยิ วนิ ัย ก็ศีล ๕ ที่เราสมาทานกนั ทุกวนั ๆ นี้ อนาคารยิ วนิ ัยก็ศีล ๘ ศีลแปลว่ำ ปกติ ปกติแล้วคนเรำไม่ฆ่ำกัน ไม่เบียดเบียน กัน ไม่ฆ่ำ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกำม ไม่พูดเท็จ ไม่ดื่ม สุรำเมรัย น่ีคือปกติ ถ้ำใครไปล่วงศีล ๕ นี่ผิดปกติ เรียกว่ำ ไม่มี ศลี ถ้าใครมีศลี กค็ ือมีปกติ เรยี กว่ามนุษย์ธรรม ความเปน็ มนษุ ย์ ถำ้ ขำดควำมเป็นมนุษย์ ธรรมะก็ต้ังอยู่ไม่ได้ บ้ำนเมืองก็เดือดร้อน ทา่ นพทุ ธทาสได้กล่าวไวว้ ่า “ศีลธรรมไมก่ ลบั มา โลกาจะวนิ าศ” อนั นกี้ ็เหมอื นกนั ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ ธรรมดาธรรมชาตกิ ็ ลงโทษเห็นมั้ยทุกวันน้ี น้าท่วม ไฟไหม้ ทุกอย่าง มันเกิดจากการ ขาดศลี ขาดธรรมน่แี หละ ทีน้ีจะทาอย่างไรล่ะเรา พยายามทาตัวให้ดี เอำกำยนี้เป็น หลักนะ เบื้องบนแต่พ้ืนเท้ำข้ึนมำ เบ้ืองต่ำแต่ปลำยผมลงไป มุ่งหวังจะสรรสร้ำง ทำใจให้อยู่ในอำรมณ์อันเดียว อดีตไม่เอำ อดีตล่วงแล้วเรำไม่เอำ อนำคตยังไม่ถึงก็ไม่เอำ เอำปัจจุบัน ทำ ปัจจุบันให้มันเกิดข้ึนมำได้ ก็มีคาพังเพยว่าไง ใจว่ำงเป็นบุญ ใจ วนุ่ เปน็ บำป ใจเป็นกลำงคือพระนิพพำน เรำกด็ ใู จของเรำแลว้ กัน นะ ดูใจของเรำ ใจมนั วำ่ งม้ยั ใจมันว่ำงหรือใจมนั วนุ่ ดูใจทกุ วนั น้ี ถำ้ ใจว่ำงก็ดีให้รักษำเอำไว้ ถำ้ ใจวุ่นเรำกต็ ดั ไป ทำใจให้เปน็ กลำง นะ หลวงปู่เทสก์ท่านบอกว่า ผู้ใดทำจิตให้เป็นกลำง ผู้น้ันจะพ้น จำกทุกข์ เน่ียมันเป็นกลางหรือยังทุกวันน้ี ถ้าเป็นกลางเม่ือไรก็ไม่ ทุกข์ ถ้าไม่เป็นกลางก็ทุกข์ ใช่ม้ัย เรามานี่ กว้ำงศอก ยำววำ หนำ คืบน่ีแหละ เป็นที่ต้ังแห่งพระธรรม เอำร่ำงกำยของเรำนี่แหละ ๙๔
มรดกธรรมศาลาพระราชศรัทธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มที่ ๕ เป็นท่ีตั้งแห่งพระธรรมไว้ ทุกคนมีอยู่ ทุกคนก็มี ร่างกายของเรานี่ แหละ กาย -- รูป เสียง กล่ิน รส เรยี กวา่ ธาตุ ๔ ธำตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ เรียกว่ำ รูป ส่วนเวทนำ สัญญำ สังขำร จิต ควำมคิดควำมนึก เรียกว่ำเป็นนำม ทุกวันนี้มีรูปกับ นาม ๒ อย่างเท่าน้ันเอง เราอยู่แค่นี้แหละ รูปกับนาม ร่างกายน้ี ดิน น้า ลม ไฟ เรียกว่ากายก็ได้ เรียกว่า รูป ก็ได้ ความคิดความนกึ เรียกว่านาม เรำจะสุขทุกข์ ไม่ใช่สุขท่ีกำย เรำสุขท่ีใจ ใจมันว่าง ก็สุข ใจมันวุ่นก็ทุกข์ ใช่ไหม ทุกวันนี้ มันว้าวุ่น ก็เพราะใจ พอใจให้ ได้ หลวงปูม่ ัน่ บอกว่ำ ไดส้ มบตั อิ ะไร ไม่เทำ่ ไดส้ มบัติคือใจ ใจเปน็ ท่ีต้งั แห่งสมบัติทง้ั ปวง น่ีพวกเรากม็ นี ะ มีมยั้ ล่ะ มกี ายมีใจทกุ คน ท่ี มีใจนี่จะทาอย่างไรให้ได้เป็นสมบัติ เราได้สมบัติแล้วเน่ีย ได้สมบัติ อะไรไม่เท่าได้สมบัติคือใจ ใจคือความคิดความนึก เราควบคุมให้ได้ เราจะได้ใจก็คือเราควบคุมให้ได้ ควบคุมใจให้ได้ เรำจะห้ำมใจ ไม่ให้คิดไม่ให้นึก มันหำ้ มไมไ่ ดห้ รอก ควบคุมได้ ควบคมุ ให้มันคิด ในเรื่องที่เป็นศีลเป็นธรรม คิดขึ้นมาแล้ว ใจมันว่าง ใจมันน่ิง ใจมัน เปน็ หนง่ึ อนั น้กี ็ได้แล้ว ไดใ้ จแล้ว ฝกึ เอาใจให้ได้ก่อน พึงเอาใจให้ได้ เอาแค่น้ีก็พอแล้วนะ ท่เี รามาน่ี มาเอาใจกันก็แลว้ กัน ถ้ำใจมันทุกข์ เอำไม่อยู่ เรำก็พิจำรณำ เบื้องบนแต่พ้ืน เท้ำขึ้นมำ เบื้องต่ำแต่ปลำยผมลงไป เบ้ืองขวำงสถำนกลำง คิด อยู่ในร่ำงกำยเรำนี่แหละ ควำมว้ำวุ่นมันก็จะสงบระงับลงไป มัน จะเย็นลงไป เม่ือใจสงบ เมื่อใจมีสติ ใจสงบก็เย็น เม่ือเย็นก็ว่าง ว่าง ก็ได้บุญแล้ว เท่าน้ีเอง เอากายเอาใจนี่เป็นหลักก็แล้วกันนะ เพราะว่ามันอยู่กับตัวเราอยู่แล้วนี่ เรำได้สมบัติอันน้ีมำแล้ว สมบัติ คือใจ เรำไดม้ ำแลว้ ทกุ คนไดม้ ำแล้ว เรำก็เอำอนั นมี้ ำหำกำไร เอา ๙๕
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวหิ าร ปี ๒๕๖๒ เล่มท่ี ๕ จากกายจากใจของเรา เอากายกบั ใจเปน็ กาไรของชวี ติ เกดิ แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีใครหนีพ้นเลย จะเก่งขนาดไหนก็หนีไม่พ้น แม้แต่ พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอกของโลกก็หนีไม่พ้นความแก่ ความตาย พระองคก์ ป็ รินพิ พานเชน่ เดยี วกัน เม่ือเราทั้งหลายได้มาบาเพ็ญบุญกุศลในวันน้ี เพ่ือมาไหว้ พระสวดมนต์ สมาทานศลี ศลี เราก็มีอย่แู ลว้ ศีล ๕ มีอยู่แล้ว ขำ ๒ แขน ๒ เป็น ๔ ศีรษะ ๑ เป็น ๕ เรำได้ศีล ๕ แล้วนี่ รักษำ ๕ อย่ำงนี้ไว้ ไม่ไปทำบำป ก็จะได้มีศีลทันที เราไปสมาทาน ยาจามิ ๆ แต่เราควบคุม ๕ อย่างนี้ไม่ได้ ก็ไม่มีศีล ข้ึนโรงขึ้นศาลทุกวันนี้ก็ เพราะเราควบคุมอวัยวะ ๕ อย่างน้ีไม่ได้ เพราะฉะน้ัน ตัวใจนี่ สาคัญ เอาใจไว้นะ หมดแล้ว ไม่พูดแล้ว หมดวัตถุดิบแล้ว เอาแค่นี้ ไม่มีอะไร แล้ว ขออธิบายธรรมะอย่างละเล็ก ๆ น้อย ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ มา เพ่อื เปน็ ธัมมสั สะวะนังไว้ ทีท่ ่านทัง้ หลายได้มาฟังนี้ เอาแค่นน้ี ะโยม นะ ใครมีปญั หาอะไรก็คุยมา เอวงั แก่นธรรม จริง ๆ เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว มีบุญกุศลแล้ว ยิ่งเราได้เกิด มาในประเทศไทยด้วย เกิดมาเป็นมนุษย์ กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลำโภ การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ยาก กิจฺฉ มจฺจำน ชีวิต การมีชีวิตอยู่ ก็ยาก กิจฺโฉ พุทฺธำนมุปฺปำโท การเกิดข้ึนของพระพุทธเจ้าแต่ ละองค์ ๆ กย็ าก เพราะต้องสร้างสมบุญบารมี พระธรรมวินัยพระพุทธเจ้านี้จะให้เจริญงอกงามได้ก็ต้องมีศีล ศีล ๕ นี่แหละ ศีล ๕ เรียกว่ำมนุษย์ธรรม ถ้ำไม่มีมนุษย์ธรรม ๙๖
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วดั ปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๕ ก็ไม่มีท่ีตั้ง ศีล ๕ เป็นท่ีตั้งของพระธรรม ฉะนั้น ศีล ๕ จึง สำคัญท่สี ุด ศีลธรรม ศีล ๕ ธรรม ๕ ข้อท่ี ๑ (ปำณำฯ) คู่กับเมตตำ ข้อท่ี ๒ (อทินนำฯ) คู่กับสันโดษ ข้อท่ี ๓ (กำเมฯ) คู่กับควำม สำรวมในกำม ข้อท่ี ๔ (มุสำฯ) คู่กับสัจจะ ข้อท่ี ๕ (สุรำฯ) คู่ กบั สติ จะต้องมศี ีล ๕ พระธรรมจึงจะตั้งข้ึนมาได้ ทุกวันนี้ แนวการปฏิบัติธรรมมีสองอย่าง หน่ึง สมถะ สอง วปิ ัสสนำ ที่วา่ พุทโธ ๆ ๆ หายใจเข้า-พุท ออก-โธ ทาให้ใจน่งิ ใน อารมณอ์ ันเดียวเรยี กวา่ สมถะ วิปสั สนา กาหนดรูปนาม เอารูป นามเปน็ อารมณ์ คือใช้ขณิกกะเป็นอารมณ์ แล้วกต็ อ้ งฝึกสติ ตอ้ งมีสติ เอาสตเิ ปน็ หลัก ...ต้องบรโิ ภคดว้ ยสติ ต้องมีสติ เดินก็มีสติ นั่งก็มีสติ นอนก็มีสติ คู้เหยียดก็ต้องมีสติ เอำสติเป็นหลัก พยายามฝึกสติไว้ให้มาก ๆ หน่อย เพราะสตินี่ สาคัญที่สุด สติ เตส นิวำรณ สติเป็นเครื่องก้ันกระแส กระแส โลภ โกรธ หลง คาสอนของพระพุทธเจ้านี้ มี อำคำริยวินัย กับ อนำคำริยวินัย อาคาริยวินัยก็ศีล ๕ ที่เราสมาทานกันทุกวัน ๆ นี้ อนาคาริย วินัยก็ศีล ๘ ศีลแปลว่ำ ปกติ ปกติแล้วคนเรำไม่ฆ่ำกัน ไม่เบียดเบียนกัน ไมฆ่ ำ่ ไมล่ ักทรพั ย์ ไมป่ ระพฤติผดิ ในกำม ไม่พูดเท็จ ไม่ดมื่ สุรำ เมรยั นี่คือปกติ ถำ้ ใครไปลว่ งศลี ๕ นี่ผิดปกติ เรยี กวำ่ ไม่มีศีล ถ้าใครมีศลี กค็ ือมีปกติ เรยี กว่ามนุษย์ธรรม ความเป็นมนุษย์ ถำ้ ๙๗
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ที่ ๕ ขำดควำมเป็นมนุษย์ ธรรมะก็ต้ังอยู่ไม่ได้ บ้ำนเมืองก็ เดือดรอ้ น ถา้ ใครมศี ลี ก็คือมีปกติ เรยี กว่ามนุษยธ์ รรม ความเป็นมนษุ ย์ ถำ้ ขำดควำมเป็นมนุษย์ ธรรมะก็ตั้งอยู่ไม่ได้ บ้ำนเมืองก็ เดอื ดร้อน ทา่ นพุทธทาสไดก้ ล่าวไว้ว่า “ศีลธรรมไมก่ ลบั มา โลกาจะวินาศ” อันน้ีก็เหมือนกัน ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ ธรรมดา ธรรมชาตกิ ็ลงโทษเหน็ มั้ยทุกวนั น้ี น้าทว่ ม ไฟไหม้ ทุกอย่าง มนั เกดิ จากการขาดศีลขาดธรรมนแี่ หละ ทีนี้จะทาอย่างไรล่ะเรา พยายามทาตัวให้ดี เอำกำยนี้เป็นหลัก นะ เบื้องบนแต่พ้ืนเท้ำขึ้นมำ เบ้ืองต่ำแต่ปลำยผมลงไป มุ่งหวังจะสรรสร้ำง ทำใจให้อยู่ในอำรมณอ์ ันเดียว อดีตไม่เอำ อดีตล่วงแล้วเรำไม่เอำ อนำคตยังไม่ถึงก็ไม่เอำ เอำปัจจุบัน ทำปัจจุบนั ให้มันเกดิ ขน้ึ มำได้ ก็มีคาพังเพยว่าไง ใจว่ำงเป็นบุญ ใจวุ่นเป็นบำป ใจเป็นกลำง คือพระนิพพำน เรำก็ดูใจของเรำแล้วกันนะ ดูใจของเรำ ใจ มันว่ำงม้ัย ใจมันว่ำงหรือใจมันวุ่น ดูใจทุกวันนี้ ถ้ำใจว่ำงก็ดี ให้รักษำเอำไว้ ถ้ำใจวุ่นเรำก็ตัดไป ทำใจให้เป็นกลำงนะ หลวงปู่เทสก์ท่านบอกว่า ผู้ใดทำจิตให้เป็นกลำง ผู้น้ันจะพ้น จำกทุกข์ เน่ียมันเป็นกลางหรือยังทุกวันน้ี ถ้าเป็นกลางเมื่อไรก็ ไม่ทุกข์ ถ้าไม่เป็นกลางก็ทุกข์ ใช่ม้ัย เรามานี่ กว้ำงศอก ยำววำ หนำคืบนี่แหละ เป็นท่ีต้ังแห่งพระธรรม เอำร่ำงกำยของเรำนี่ ๙๘
มรดกธรรมศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ปี ๒๕๖๒ เลม่ ท่ี ๕ แหละเป็นท่ีต้ังแห่งพระธรรมไว้ ทุกคนมีอยู่ ทุกคนก็มี ร่างกาย ของเรานี่แหละ กาย -- รูป เสียง กลนิ่ รส เรยี กวา่ ธาตุ ๔ ธำตุ ๔ ดนิ น้ำ ลม ไฟ เรยี กวำ่ รูป ส่วนเวทนำ สญั ญำ สังขำร จิต ควำมคิดควำมนึก เรียกวำ่ เปน็ นำม เรำจะสุขทุกข์ ไม่ใช่สุขท่ีกำย เรำสุขที่ใจ ใจมันว่างก็สุข ใจ มันว่นุ ก็ทกุ ข์ ใช่ไหม ทกุ วนั น้ี มันว้าวุ่น ก็เพราะใจ พอใจให้ได้ หลวงปู่มั่นบอกวำ่ ไดส้ มบัตอิ ะไร ไม่เท่ำไดส้ มบตั ิคอื ใจ ใจเปน็ ที่ตั้งแห่งสมบัติท้ังปวง นี่พวกเราก็มีนะ มีมั้ยล่ะ มีกาย มีใจ ทกุ คน ทีม่ ใี จน่จี ะทาอย่างไรใหไ้ ดเ้ ป็นสมบัติ เราจะไดใ้ จก็คอื เราควบคุมใหไ้ ด้ ควบคุมใจใหไ้ ด้ เรำจะห้ำมใจ ไม่ให้คิดไม่ให้นึก มันห้ำมไม่ได้หรอก ควบคุมได้ ควบคุมให้ มันคิดในเร่ืองที่เป็นศีล เป็นธรรม คิดขึ้นมาแล้ว ใจมันว่าง ใจ มันนิ่ง ใจมันเป็นหน่ึง อันนี้ก็ได้แล้ว ได้ใจแล้ว ฝึกเอาใจให้ได้ ก่อน พงึ เอาใจให้ได้ ถ้ำใจมันทุกข์ เอำไม่อยู่ เรำก็พิจำรณำ เบื้องบนแต่พื้นเท้ำ ขึ้นมำ เบื้องต่ำแต่ปลำยผมลงไป เบ้ืองขวำงสถำนกลำง คิด อยู่ในร่ำงกำยเรำน่ีแหละ ควำมว้ำวุ่นมันก็จะสงบระงับลงไป มันจะเย็นลงไป เม่ือใจสงบ เม่ือใจมีสติ ใจสงบก็เย็น เมื่อเย็นก็ วา่ ง วา่ งกไ็ ด้บุญแล้ว ๙๙
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122