Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แนวกลางภาควันที่ 2.

แนวกลางภาควันที่ 2.

Published by pattaraporntaraphet, 2021-08-28 06:47:03

Description: แนวกลางภาควันที่ 2.

Search

Read the Text Version

ท 33101 (ภาษาไทย) อา่ นจบั ใจความ พันธกิจของภาษา ชว่ ยธารงสงั คม (แสดงไมตรีจติ ดว้ ยการทักทายกนั รวมถึงการกาหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ) แสดงความเป็นปจั เจกบุคคล (ลกั ษณะเฉพาะบคุ คลทง้ั ความคดิ คาพูด และการแสดงออก) โดย ในสถานการณ์หน่งึ ๆ บคุ คล อาจใชค้ าพูดท่ีดตู า่ งกัน เชน่ - เหนอื่ ยเหลอื เกนิ เดนิ ต่อไมไ่ หวแลว้ (ยึดตนเป็นทต่ี ั้ง) - เหน่อื ย ไดย้ นิ มย้ั ยังจะให้เดนิ ต่อไปอีก (ชอบตาหนผิ อู้ ื่น) - เหนือ่ ยจัง หยดุ พกั ก่อนมัย้ (ชอบชักชวน/เสนอแนะ) - ฉันวา่ พักสกั แปบ๊ นงึ แล้วคอ่ ยไปตอ่ ดมี ้ัยจะ๊ (อ่อนโยน รบั ฟังความเห็นผูอ้ ืน่ ) ชว่ ยใหม้ นษุ ยพ์ ัฒนา - เรียนรตู้ อ่ มาอีกทอดหน่ึง ประสบการณจ์ ากรนุ่ สรู่ ุ่น ความรู้แผ่ขยายกว้าง และใชภ้ าษา เพื่อการอภิปราย พัฒนาความรอู้ ย่างไมส่ ิน้ สดุ ชว่ ยกาหนดอนาคต - จาเป็นต้องใช้ภาษาท่ีชดั เจนและรัดกมุ เพ่อื ใหเ้ ข้าใจกาหนดการ เชน่  ครูตอ้ งเขียนแผนจดั การเรียนรู้ไว้เปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรให้ชัดเจน จึงจะสอนไ ด้  กาหนดการการไปทศั นศึกษาท่ีจงั หวดั นครปฐม  รฐั บาลตอ้ งร่างนโยบายอย่างชัดเจนเปน็ ทีเ่ ข้าใจของทกุ ฝ่าย ชว่ ยจรรโลงใจ - ค้าจุนใจให้ม่ันคง ใหค้ วามเพลิดเพลนิ แก่มนษุ ย์ เชน่ ภาพยนตร์ บทเพลง หากขาดแลว้ อาจทา ให้มนุษยไ์ รค้ วามสดชนื่ รนื่ รมย์ อิทธิพลทางภาษา ชืน่ ชอบคาท่ีมเี สียง/ความหมายคลา้ ยคลึงกบั สิ่งทีต่ นนยิ ม เช่น มะยม(นิยม) , ขนนุ (อุดหนนุ ) สิ่งเดยี วกันเมอ่ื เรยี กอยา่ งหนึง่ อาจจะพอใจ แตอ่ ีกอยา่ งไม่พอใจ เช่น ไม่ชอบใหเ้ รยี กว่า “คนใช้” แต่พอใจถ้าหา ก เรียกว่า “ลกู จา้ ง” หรือ ไม่ชอบให้เรยี ก “ประเทศดอ้ ยพฒั นา” แตช่ อบให้เรียก “ประเทศกาลงั พฒั นา” การเปลย่ี นแปลง ของภาษา เปล่ียนแปลงคา ทางเสยี ง - เฃ๋า → เขา้ , เข๋า → ข้าว , ระใบ → ระบาย ทางความหมาย - ความหมายของคาบางคาแคบเขา้ มขี อ้ จากัด กว้างกวา่ อกี คาหนง่ึ แคบเข้า เชน่ ไหล(สุโขทัย)= ไหล (ปจั จบุ นั ) + ใช้ร่วมกับปลา และ รศั มี เวน(สุโขทัย) = มอบให้ แต่ในปัจจบุ นั ใช้คู่ “คนื ” ใช้กับทีด่ นิ พยาบาล(สโุ ขทยั ) = พยาบาล(ปจั จบุ ัน) + ส่งิ ที่ไม่มชี ีวติ กว้างออก เชน่ เถือ่ น (ป่า - สุโขทัย) → เถอื่ น (ป่า/สง่ิ ไม่เจริญ - ปจั จบุ ัน) แนวกลางภาควนั ท่ี 2 BY PAT 1

ตา่ งกบั อกี คาหนึง่ จงั หวัด (เขต บริเวณ - อยุธยา) → จงั หวัด (หนว่ ยการปกครอง - เชน่ ปัจจบุ ัน) รับสง่ั (รบั คาสัง่ - อยธุ ยา) → รบั สง่ั (พดู บอก - ปัจจุบัน) เลิกใช้คาเดมิ และเปลยี่ นคาใหม่ เลิกใช้ เช่น ป่วยงาน , หมดหน้า เปลย่ี นใหม่ - ผ่านการนกึ เอาใหม่ เลยี นเสยี งคาเดมิ /ธรรมชาติ ธรรมชาติ - กริ่ง , จ้งิ จก , รถตุ๊กตกุ๊ คาเดมิ - รวม-รว่ ม , รดี -กรีด , เรียว - เพรียว , แปลก - แปลง ประกอบขนึ้ ใหม่ - เดก็ ๆ (ซ้า), ชาวนา (ประสม), กล้าหาญ (ซ้อน), ทัศนศกึ ษา (สมาส) เปลยี่ นแปลงประโยค ประโยคกรรมมีมากข้นึ เช่น คนรา้ ย ถกู ตารวจจับได้แล้ว (คาวา่ “ถูก”มกั ใช้ในความหมายไมด่ ี จึงใช้“ไดร้ บั ”แทน) ใช้สรรพนาม “มนั ” ขึ้นประโยค แตไ่ ม่นยิ มใช้คาวา่ “มนั ” ขนึ้ ประโยค มกั ใช้คาวา่ “เป็น” แทน มีคาบุพบทเพม่ิ ทาให้ประโยคยาวข้ึน เชน่ เราควรจะสนใจในเหตุการณท์ ่ีเกิดขน้ึ มีอาการนามมากขึ้น (เตมิ การ/ความ หน้ากริยาให้กลายเป็นนาม) เชน่ การสะดดุ หยดุ ของการค้าสง่ ผลเสียมากมาย นาส่วนขยายมาไว้ตน้ ประโยค เชน่ เกย่ี วกบั เรอ่ื งนี้ ฉนั ไม่มีความคิดเหน็ สาเหตกุ ารเปลยี่ นแปลง - ทางกายภาพ (เทคโนโลยี - เกิดศพั ท์บญั ญตั )ิ , ทางสงั คม (เกิดคาสแลง / คาคะนอง ขึน้ ) , อิทธิพลภาษาอ่นื - บาลี-สันสกฤตและเขมร จีน อังกฤษ , อิทธพิ ลภาษาถ่ิน ความคิดกบั ภาษา ในขณะทมี่ นุษยก์ าลังใชค้ วามคดิ นน้ั ย่อมใชภ้ าษาเป็นเครอื่ งมอื ในการคิดไปดว้ ย ถา้ ความสามารถในการคดิ ของผใู้ ดมีอย่อู ยา่ ง จากดั ความสามารถในการใชภ้ าษากจ็ ะพลอยถกู จากัดไปดว้ ย ภาพแสดงปฏกิ ริ ยิ าลกู โซร่ ะหวา่ งความคดิ กบั ภาษา ในรูป (ก) แสดงว่า ความคิดไม่ (ก) ถกู กาจดั พฒั นากวา้ งข้ึนไดเ้ รอ่ื ยๆ ความคดิ วงภาษากจ็ ะพัฒนาตามไปด้วย (ข) ภาษา สว่ นในรูป (ข) แสดงวา่ เมื่อวง ความคดิ ถูกจากัด วงภาษากถ็ กู จากดั ดว้ ย แนวกลางภาควันท่ี 2 BY PAT 2

วิธีคดิ วิเคราะห์ กอ่ นทีเ่ ราจะสามารถแยกสง่ิ ทเี่ ราจะพิจารณาออกเป็นสว่ น ๆ ได้ เราจาเป็นตอ้ งมหี ลกั ความรเู้ พียงพอท่ีจะ นามาใชใ้ น กระบวนการวเิ คราะห์ ขั้นตอนของวิธีคดิ เชิงวิเคราะห์สรุปได้ ดังนี้ ๑. กาหนดขอบเขตหรอื นยิ ามสิ่งท่ีเราจะวเิ คราะหใ์ ห้ชดั เจน ๔. ใชห้ ลักความร้นู ้ันให้ตรงกบั เร่ืองทีจ่ ะวิเคราะห์ ๒. กาหนดจดุ มุง่ หมายให้ชดั เจนว่าจะวเิ คราะห์เพ่ืออะไร ๕. สรปุ และรายงานผลการวเิ คราะหใ์ ห้เปน็ ระเบียบชดั เจน ๓. พิจารณาหลกั ความรู้ หรือทฤษฎที ่เี กี่ยวขอ้ ง วิธคี ิดสงั เคราะห์ การสังเคราะหม์ คี วามหมายไปทางรวมเข้าด้วยกัน โดยมจี ดุ หมายปลายทางอยทู่ สี่ ร้างสรรคส์ ง่ิ ใหมข่ ้ึน ขน้ั ตอนของวิธคี ดิ เชงิ สงั เคราะหส์ รปุ ได้ ดังน้ี ๑. ต้งั จดุ มุง่ หมายในการสงั เคราะหใ์ ห้ชดั เจน ๒. หาความรู้เกย่ี วกับหลกั การ ทฤษฎี หรอื แนวทางท่ีเหมาะสม ๓. ทาความเข้าใจสว่ นตา่ ง ๆ ที่จะนามาใชเ้ ป็นส่วนประกอบในการสงั เคราะห์ ๔. ใชห้ ลกั ความรใู้ นข้อ ๒. ใหเ้ หมาะแกก่ รณที จ่ี ะสงั เคราะห์ ๔. ทบทวนวา่ ผลของการสงั เคราะหส์ อดคล้องกบั ความมงุ่ หมาย หรอื ไม่เพียงใด วธิ ีคดิ ประเมนิ คา่ การพิจารณาแลว้ ตัดสินคณุ คา่ ของสงิ่ ใดส่งิ หนึง่ สงิ่ นัน้ อาจเป็นวตั ถุ ผลงาน การกระทา หรือกิจกรรมก็ได้ และในการตัดสินคุณคา่ ดังกลา่ วนี้ อาจบง่ ชี้ไปไดห้ ลายลกั ษณะและหลายชว่ งหลายระดบั ด้วยกัน วิธีคิดประเมนิ คา่ มแี นวปฏิบัติดงั นี้ ๑. ทาความเข้าใจหรอื ทาความรจู้ กั สง่ิ ทเ่ี ราจะประเมิน (วิเคราะห์) ใหช้ ัดเจนก่อน ๒. พจิ ารณาวา่ จะใช้เกณฑอ์ ะไรเปน็ เครอ่ื งตัดสนิ คณุ ค่าของสงิ่ ทเ่ี ราจะประเมนิ พรอ้ มกนั น้ตี ้องพิจารณาดว้ ยวา่ เกณฑ์นั้นมคี วาม พอดี เหมาะแกก่ ารประเมินอยา่ งมเี หตผุ ล ๓. ถา้ จะประเมนิ คา่ โดยไมใ่ ชเ้ กณฑ์ อาจเปรียบเทยี บกบั หลกั ฐานอ่ืนซึ่งมคี วามสมเหตุสมผลพอที่จะนามาเปรยี บเทยี บกันกไ็ ด้ และควรจะต้องกล่าวถงึ หลกั ฐานเหลา่ น้ันใหช้ ดั เจนดว้ ย ปัญหา คือ สภาพการณ์ทีท่ าความยงุ่ ยาก แบ่งเปน็ ๓ ประเภทกว้าง ๆ ๑. ปัญหาเฉพาะบุคคล ๒. ปัญหาเฉพาะกลุ่ม กลุ่มบุคคลในทนี่ ้ีอาจหมายถงึ กลมุ่ ผมู้ ผี ลประโยชนร์ ว่ มกัน กล่มุ ผอู้ าศัยในชมุ ชน ละแวกเดียวกัน ๓. ปัญหาสาธารณะ เป็นปญั หาท่ีมีผลกระทบถึงคนทกุ คน หรือคนสว่ นใหญ่ในสงั คมไม่โดยตรงกโ็ ดยอ้อม เช่น ปญั หา การจราจรติดขดั ในเมอื งใหญ่ ๆ ปญั หาน้าท่วม ปัญหาฝนแล้ง ปัญหาอาชญากรรม สาเหตุและสภาพแวดล้อมของปญั หา สภาพการณ์ใด ๆ กต็ ามท่นี าความเดือดร้อนมาสู่มนษุ ยจ์ นกลายเป็นปญั หาจะเกดิ ข้นึ เองไมไ่ ด้จะต้องมสี าเหตุมา กอ่ นเสมอ สาเหตุอาจมเี พยี งประการเดยี วหรอื หลายประการกไ็ ด้แล้วแต่กรณี สาเหตบุ างอย่างอาจสืบเนือ่ งมาจากสาเหตอุ ่นื สาเหตแุ ละสภาพแวดลอ้ มของปญั หาเปน็ สิง่ ทีเ่ ราจะต้องทราบให้ได้ เชน่ เดยี วกับการกาหนดรู้ตวั ปัญหาการแกป้ ญั หาข้อหนง่ึ ก็คือ ตอ้ งจบั สาเหตสุ าคัญให้ได้และรู้ สภาพแวดลอ้ มของปญั หานั้นด้วย แนวกลางภาควันที่ 2 BY PAT 3

เปา้ หมายและวิถีทางแกป้ ญั หา การแกป้ ญั หาเป็นงานทตี่ ้องใช้ความพยายาม บางปญั หาต้องใช้เวลานาน ใช้ทรัพยากรจานวนมาก มีความ อดทน กล้าหาญ จงึ จะบรรลเุ ปา้ หมายได้ ซึง่ วถิ ที างแกป้ ญั หา หมายถึงวิธีการใด ๆ ก็ตามที่จะนาไปสเู่ ป้าหมายทต่ี อ้ งการ ปัญหาสว่ นมากมีวถิ ที างแก้หลายทาง โดยปกตแิ ลว้ เราจะเลือกวิถที างท่ีมีอปุ สรรคน้อยท่ีสุดหรอื ไมม่ อี ปุ สรรคเลย จะเหน็ ได้วา่ การพจิ ารณาสาเหตุของปัญหานนั้ เราใช้วิธีคิด เชิงวเิ คราะห์ ส่วนการคดิ หาวถิ ีทางแก้ปญั หา เราใช้ วธิ คี ดิ เชงิ สังเคราะห์ และเม่อื เราจะเลือกวถิ ที างแกป้ ัญหาท่ีดีท่ีสดุ เรากใ็ ชว้ ธิ คี ดิ เชิงประเมินคา่ หลักสาคัญในการคิดเพอ่ื แก้ปญั หามีดังน้ี ๑. ทาความเขา้ ใจลกั ษณะของปญั หาและวางขอบเขตของปญั หา ๒. พิจารณาสาเหตุของปัญหา ๔. คดิ หาวถิ ีทางต่างๆ ในการแกป้ ัญหาเท่าท่จี ะเป็นไปได้ ๓. วางเป้าหมายในการแกป้ ญั หา ๕. เลอื กวิถที างแก้ปญั หาที่ดีทีส่ ดุ ทีจ่ ะทาให้บรรลถุ งึ เป้าหมายท่ีได้วางไว้ ขนุ ชา้ งขุนแผน (แนวแบบฝึกหัด) ผู้แตง่ ไมป่ รากฏนามผแู้ ต่ง ทม่ี าของเร่อื ง ขนุ ช้างขุนแผนเปน็ ตานานทเ่ี ลา่ สืบต่อกันมาในเมืองสุพรรณบรุ ี และกาญจนบรุ ีโดยเชอ่ื กนั วา่ เปน็ เรื่อง ที่เกดิ ขึน้ จรงิ ในแผ่นดนิ สมเดจ็ พระพันวษาแห่งกรงุ ศรอี ยธุ ยา โดยในตานานเลา่ เพยี งว่า นายทหารยศ ขนุ แผนผหู้ นึ่งได้ถวายดาบฟา้ ฟืน้ แดส่ มเดจ็ พระพนั วษา ซ่ึงใชว้ ิธีการถา่ ยทอดโดยการเล่าสบื สบื ต่อกันมา เปน็ นทิ าน เนอ้ื เร่ือง คุณคา่ ทีไ่ ดร้ ับ ด้านวรรณศลิ ป์ แสดงใหเ้ หน็ ถึงศิลปะการแตง่ เชน่ ๑. การพรรณนาให้เหน็ ภาพ ๒. สัมผสั อกั ษร ๓. ภาพพจน์ อุปมา อปุ ลักษณ์ สทั พจน์ คาถามเชิงวาทศลิ ป์ ด้านสงั คม แสดงให้เหน็ ภาพสงั คมสมัยก่อนๆเชน่ ๑. ความจงรกั ภักดตี อ่ พระมหากษตั รยิ ์ ๒. ความรกั ระหวา่ งแมแ่ ละลูก ๓. สะท้อนให้เหน็ ชีวิต วัฒนธรรม คา่ นยิ ม และความเชือ่ ๔. ความเช่ือในกฎแหง่ กรรม ด้านเนอื้ หา ในยุคสมยั หนึ่งๆมกั นิยมเร่อื งราวทเ่ี ข้ากับยคุ สมยั น้นั ๆ เร่ืองราวและเน้ือหาของวรรณคดจี ะไม่ ตายตัวแต่จะ เปลยี่ นไปตามสภาพการเปลย่ี นแปลงของสงั คม พัฒนาการของสังคมจะเป็นเคร่อื ง กาหนดเน้อื หาของวรรณคดี แนวกลางภาควนั ที่ 2 BY PAT 4

ขอ้ เขยี น ๑. เนื้อหาหน้า ๑๙๒ โดยใหข้ อ้ ความมาแลว้ วิเคราะหว์ ่าเปน็ แบบใด การอธิบาย คอื การทาใหบ้ คุ คลเขา้ ใจความจรงิ มหี ลากหลายวิธี คอื การชีแ้ จงตามลาดับขัน้ , ใชต้ ัวอยา่ ง , เปรยี บเทยี บ ความเหมือน/ความตา่ ง , ชีแ้ จงสาเหตแุ ละผลลัพธ์ , ใชน้ ยิ าม การบรรยาย คอื การเล่าเรอื่ ง การกล่าวถึงเหตกุ ารณท์ ่ตี อ่ เนอ่ื งกัน โดยการบรรยายใหค้ รบวา่ ใคร ทาอะไร ทไ่ี หน อย่างไร, บรรยายโดยเน้นเหตกุ ารณ์ตามลาดับ , บรรยายจากท้ายขนึ้ มา , เลอื กเฉพาะเหตกุ ารณส์ าคัญ การพรรณนา คอื การใหร้ ายละเอยี ดส่งิ ใดส่ิงหน่งึ ใหผ้ ้อู า่ นเห็นภาพชัดเจน โดยใชก้ ารแยกส่วนประกอบ , ชลี้ ักษณะเดน่ , ใชถ้ ้อยคา เช่น ๑) พอ่ ของผมอายุเกือบ ๗๐ ปีแลว้ คงไม่มเี วลามากนกั สาหรับการหันเหชีวติ ให้ตา่ งไปจากทเี่ ป็นอยู่หลงั จากอบรา่ อยู่กบั นา้ มันเคร่ือง เรือและละอองทะเลมากว่า ๔๐ ปี พอ่ ได้ขึ้นบกเป็นการถาวรเม่ือปกี ลายนี้ ………………………………………………………………………… ๒) หญิงชรารา่ งหงอ่ ม อาศัยกระทอ่ มเก่า ๆ กลางไร่ร้าง นางมผี มเหมอื นสีหมอกดอกเลา ใบหน้านนั้ ยน่ และแห้งเหี่ยว เว้นแตแ่ วว ตายังวาวแตก่ ร็ าวกะเวลาโพลเ้ พล้อายขุ ัยแปดสิบเศษ หลังนั้นคอ่ มลงมากแล้ว ……………………………………………………………………… ๓) ๓๗ คอื หมายเลขห้องฉัน ซึ่งเปน็ หอ้ งสุดท้ายอยชู่ ้ันบนแถบรมิ สดุ หนา้ ตา่ งมุ้งลวดสามบานเหนอื หวั เตียงนอนชนดิ ไม้ต่อแบบ หยาบ ๆ เป็นมมุ หน่ึงทฉ่ี นั ชอบเปน็ พเิ ศษ ……………………………………………………………………………… ๔) ในระยะเข้าพรรษา ไม่มีวันไหนครกึ คร้ืนเท่ากับวันพระซ่ึงชาวบา้ นร้านตลาดจะมาตกั บาตรทาบญุ ทว่ี ัดโดยพระท่านไม่ต้อง บิณฑบาต เมื่อถึงวันนี้บรรดาเด็กวดั ก็จะเอาบาตรกับตะลมุ่ ไปเรยี งเปน็ แถวท่ีบริเวณนอกชานศาลาการเปรียญ เหล่าผมู้ ีจติ ศรทั ธากจ็ ะ พากนั หอบข้าวหว้ิ แกงมาตักใส่ภาชนะทพี่ วกเราเตรยี มไว้ ………………………………………………………………………… ๕) อนจิ จา ! แสงเดอื นเพ็ญผ่องกระจ่างจบั พระพกั ตรอ์ ยเู่ ม่ือก้กี ็จางซดี ขมกุ ขมัวลง ท้องฟา้ สลวั มัวพยบั คร้มึ อากาศเยน็ เฉียบจบั หวั ใจ นา้ คา้ งหยดเผาะ ๆ เป็นหยาดนา้ ตาแหง่ สวรรค์ เกสรดอกรงั รว่ งพรูเปน็ สายธาราสรงพระพทุ ธสรีระ จักจ่ันเรไรสงดั เงยี บ ดไู มม่ แี กใ่ จจะ ทาเสยี งธรรมชาติ รอบข้างตา่ งสลดหมดความคะนองทุกสิ่งทกุ อย่าง …………………………………………………………………… ๒. ขุนช้างชนุ แผน ใหบ้ ทประพนั ธ์มา ใหแ้ ปล / วิเคราะหค์ ุณคา่ แนวกลางภาควนั ที่ 2 BY PAT 5

ว 30224 (เคมี 5) Zn (s) ปฏิกริ ิยารดี อกซ์ การทดลองท่ี 9.1 Zn (s) สจี างลง เกดิ โลหะ Cu2+ CuSO4 CuSO4 เกดิ สมการ Cu2+ (aq) + 2e  Cu (s) รีดักชนั ; ออกซเิ ดชนั ; Zn (s) Zn2+ (aq) + 2e รดี อกซ์ ; Zn (s) + Cu2+ (aq) Zn2+ (aq) + Cu (s) ตวั ออกซิไดส/์ รดี ิวซ์ ตวั ออกซิไดส์ คือ สารทไี่ ดร้ บั อเิ ลก็ ตรอนแลว้ เลขออกซเิ ดชนั น้อยลง (ตวั ถกู รดี ิวซ)์ เกิดในรดี กั ชัน ตัวรดี วิ ซ์ คอื สารที่ใหอ้ ิเลก็ ตรอนแก่เลขออกซิเดชนั เพิ่มขึ้น (ตัวถูกออกซิไดส)์ เกิดในออกซเิ ดชัน การเรยี งลาดับ หากจุ่มสารทม่ี ีความสามารถในการออกซิไดส์น้อยกว่าสารละลาย (E0 น้อยกวา่ ) จะเกดิ ปฏกิ ริ ิยา เชน่ A DCA B2+ B2+ D2+ D2+ เกดิ เกดิ เกดิ ไม่เกดิ แสดงว่าความสามารถในการออกซิไดส์คอื B2+ > A2+ > D2+ > C2+ B และ ความสามารถในการรีดิวซ์ คือ C> D> A> แนวกลางภาควันท่ี 2 BY PAT 6

ดลุ สมการรดี อกซ์ ……Cu2+ (aq) + ……NO (g) + ……H2O (ℓ ) เชน่ จงดลุ สมการ ……Cu (s) + ……HNO3 (aq) และ เมื่อเติมสารละลายโซเดยี มซัลไฟดล์ งในสารละลายของไดโครเมตไอออนซ่ึงมีสีส้มเป็นกรด สารละลายเปลย่ี นจากสีสม้ เป็นสีเขียวของโครเมยี ม (III) ไอออนและมีตะกอนสขี าวเกิดขน้ึ สกั คร่สู ขี าวเปลยี่ นเปน็ สเี หลืองออ่ นของกามะถัน จง เขียนสมการโดยใชค้ รง่ึ ปฏกิ ิรยิ า กัลวานกิ *แนะนาแบบฝึกหดั หนา้ 21 - 24 วาดหัวลูกศรให้ถกู ตอ้ ง (ลากทบั ) เขียนปฏิกิรยิ าออกซเิ ดชัน รีดกั ชัน และรีดอกซ์ พร้อมเขยี นแผนภาพเซลลก์ ัล วานกิ และคานวณคา่ E0 (ใช้ตารางในหนงั สือสสวท.) Zn (s) โวลตม์ เิ ตอร์ Cu (s) e e สะพานเกลือ ZnSO4 CuSO4 Oxidation ; …………………………………………………………… Reduction ; …………………………………………………………... Redox ; …………………………………………………………… แผนภาพ _________________________________________________________ E0cell = ………………………………… แนวกลางภาควันที่ 2 BY PAT 7

แผนภาพเซลล์กัลวานิก Sn4+ (aq) + 2Fe2+ (aq) พรอ้ มคานวณ E0 จงเขยี นแผนภาพ Sn2+ (aq) + 2Fe3+ (aq) ประเภทของกลั วานกิ 1. ปฐมภูมิ 1.1) เซลล์แหง้ (ถา่ นไฟฉาย) เพราะอเิ ลก็ โทรไลต์หนดื (จากแปง้ เปยี ก ผงคารบ์ อน และน้า) เพอ่ื ไม่ใหร้ ว่ั ออกมา มีสังกะสเี ป็นแอโนด แกรไฟต์เป็นแคโทด Anode ; Zn Zn2+ + 2e Cathode ; 2MnO2 + 2NH4+ + 2e Mn2O3 + H2O Redox ; Zn + 2MnO2 + 2NH4+ Zn2+ + Mn2O3 + H2O + 2NH3 1.2) แอลคาไลน์ ใช้เบส (KOH) เปน็ อิเล็กโทรไลตแ์ ทน NH4Cl Anode ; Zn + 2OH ZnO + H2O + 2e Cathode ; Redox ; 2MnO2 + H2O + 2e Mn2O3 + 2OH Zn + 2MnO2 ZnO + Mn2O3 2. ทุตยิ ภมู ิ 2.1) แบตเตอรีร่ ถยนต์ (หน้า 53 - 55) 2.2) เซลล์นกิ เกิล แคดเมยี ม Anode ; Cd + 2OH Cd(OH)2 + 2e Cathode ; 2NiO(OH) + 2H2O + 2e 2Ni(OH)2 + 2OH Redox ; Cd + 2NiO(OH) + 2H2O Cd(OH)2 + 2Ni(OH)2 2.3) เซลลล์ เิ ทยี ม - ไอออนพอลเิ มอร์ มีแท่งแกรไฟตเ์ ป็นขั้วแคโทด มแี อโนดเป็น LiMnO4 / LiCoO2 มีอเิ ลก็ โทรไลตเ์ ปน็ พอลิเมอร์ผสมกบั เกลือลิเทยี ม เก็บพลังงานไดย้ าวนาน ความนาแน่นพลังงานสงู อเิ ลก็ โทรไลต์ ให้ภาพการแยกสาร (หลอมเหลว) แล้วถามว่าขอ้ ใดถูกต้อง แนวกลางภาควนั ที่ 2 BY PAT 8

เช่น การแยก KI (s) แคโทด แอโนด Oxidation ; 2I (aq) I2 (s) + 2e K+ I Reduction ; K+ (aq) + e K (s) Redox ; 2 K+ (aq) + 2I(aq) 2 K (s) + I2 (s) สมการน้า Cathode ; 2H2O (l) + 2e H2 (g) + 2OH (aq) E0 =  0.83 V Anode ; 2H2O (l) O2 (g) + 4H+ (aq) + 4e E0 = 1.23 V กรณเี ลือกสารจากข้ัวแอโนด ให้เลอื กสารทมี่ ี่ E0 ต่ากวา่ สว่ นกรณเี ลอื กสารจากขัว้ แคโทด ใหเ้ ลอื กสารทม่ี ี คา่ E0 แต่ถา้ หากสารที่ตอ้ งเลือกมี Cl อยูด่ ว้ ย ให้เลือก Cl เสมอ เพราะเกิด Overvoltage เช่น แยกสาร NaCl (aq) Oxidation ; 2Cl (aq) Cl2 (s) + 2e E0 = 1.36 V  2H2O (l) O2 (g) + 4H+ (aq) + 4e E0 = 1.23 V Reduction ; Na+ (aq) + e Na (s) E0 =  2.71 V 2H2O (l) + 2e H2 (g) + 2OH (aq) E0 =  0.83 V  Redox ; 2Cl (aq) + 2H2O (l) Cl2 (s) + H2 (g) + 2OH (aq) แคโทด แอโนด การชบุ โลหะ Ag+ 1. นาของทจี่ ะชุบวางไว้ด้านแคโทดเสมอ 2. โลหะท่ีใชช้ ุบวางดา้ นแอโนดเสมอ AgNO3 3. จ่มุ ในสารละลายอิเลก็ โทรไลต์ท่มี ไี อออนเดยี วกับโลหะทใี่ ชช้ ุบ 4. กระแสไฟฟ้าต้องเป็นกระแสตรง Anode ; Ag (s) Ag+ (aq) + e ทาโลหะให้บริสุทธ์ิ Cathode ; Ag+ (aq) + e Ag (s) 1. นาโลหะบริสทุ ธไ์ิ ว้ด้านแคโทดเสมอ 2. โลหะไมบ่ ริสทุ ธ์ิวางด้านแอโนดเสมอ 3. จุ่มในสารละลายอเิ ล็กโทรไลต์ทีม่ ไี อออนเดยี วกับโลหะที่ใชช้ บุ เชน่ การทาให้ Cu บรสิ ทุ ธ์ิ แอโนด แคโทด Ag, Cu, Zn, Mg Cu (s) Cathode ; Cu2+ (aq) + 2e Cu (s) Anode ; Cu (s) Cu2+ (aq) + 2e      Zn (s) Zn2+ (aq) + 2e CuSO4      Mg (s) Mg2+ (aq) + 2e ตะกอน Ag แนวกลางภาควันที่ 2 BY PAT 9

ท้ังน้ี ท่ีเกดิ ตะกอนของ Ag ขึ้นนั่นเปน็ เพราะ E0Mg > E0Cu จึงไมท่ าปฏกิ ิรยิ ากบั CuSO4 ความแตกต่างระหวา่ งเซลลก์ ลั วานิก กบั เซลลอ์ เิ ลก็ โทรไลต์ เซลลก์ ลั วานกิ เซลลอ์ เิ ลก็ โทรไลต์ E0cell > 0 E0cell < 0 ขวั้ แอโนดเปน็ ลบ (ออกซเิ ดชัน) ขวั้ แอโนดเป็นบวก (ออกซเิ ดชัน) ข้วั แคโทดเป็นบวก (รีดกั ชัน) ข้ัวแคโทดเปน็ ลบ (รีดกั ชัน) G < 0 G > 0 การเอาสารใส่ถงั สารนัน้ ตอ้ งมี E0 สูงกวา่ ตัวถงั เสมอ ว 30261 (โลก ดวงดาว และอวกาศ) หนว่ ยที่ 1 โครงสรา้ งโลก นกั วิทยาศาสตรน์ าคลน่ื ไหวสะเทือนมาศกึ ษาโครงสร้างโลก แบง่ เป็น 2 ประเภทคอื 1. คลนื่ พนื้ ผวิ (Surface wave) 1.1. คลน่ื เลฟิ (L wave) เปน็ คลืน่ ทท่ี าให้อนุภาคของตัวกลางส่นั ในแนวราบ โดยมที ิศทางตง้ั ฉากกับการเคลอื่ นที่ของคลื่น 1.2. คลน่ื เรยล์ ี (R wave) เปน็ คลน่ื ทที่ าใหอ้ นุภาคตวั กลางส่ัน ม้วนตัวข้นึ ลงเป็นรปู วงรี ในแนวดง่ิ โดยมีทศิ ทางเดยี วกบั การเคลือ่ นท่ีของคล่ืน 2. คลนื่ ในตวั กลาง (Body wave) 2.1. คล่ืนปฐมภูมิ (P wave) เป็นคล่นื ตามยาวที่เกิดจากความไหวสะเทือนในตวั กลาง สามารถเคลอ่ื นที่ผ่านตัวกลางทกุ สถานะ โดยมีความเร็วประมาณ 6 – 7 กิโลเมตร/วินาที 2.2.คลื่นทุตยิ ภูมิ (S wave) เปน็ คลนื่ ตามขวางทเี่ กิดจากความไหวสะเทอื นในตวั กลาง ผา่ นได้เฉพาะตัวกลางทเ่ี ป็น ของแขง็ เท่านั้น ไม่สามารถเดินทางผา่ นของเหลว คลื่นทตุ ยิ ภมู มิ คี วามเร็วประมาณ 3 – 4 กิโลเมตร/วนิ าที การแบง่ โครงสรา้ งของโลก ชนั้ ลกั ษณะ ธาตทุ พี่ บ ความเรว็ ของ P และ S wave ทางกายภาพ (ใช้คล่ืนไหวสะเทือน) 1. ธรณภี าค หินแขง็ เพ่มิ ลด 2. ฐานธรณีภาค หนิ หนดื /แมกมา เพมิ่ ลด (S ผา่ นไมไ่ ด)้ 3. มโี ซสเฟยี ร์ ของแข็ง เพิม่ 4.แกน่ โลกชัน้ นอก ของเหลวหนดื Fe + Ni Fe + Ni แขง็ 5. แก่นโลกชน้ั ใน ของแข็ง ทางเคมี (พจิ ารณาตามองคป์ ระกอบ) 1. เปลือกโลก เป็นของแข็ง อณุ หภมู ิ ความดนั ความหนาแนน่ ต่าสดุ  ทวปี พบหนิ แกรนติ (ชน้ั ไซอัล) Si + Al Si + Mg  สมุทร พบหนิ บะซอลต์ (ชนั้ ไซมา) แนวกลางภาควันที่ 2 BY PAT 10

2. เนอื้ โลก รวมกับเปลือกโลก เรยี ก แผน่ ธรณีภาค Si + Al + Fe  บนสุด คอื ฐานธรณีภาค มีสมบัตพิ ลาสตกิ เปน็ กลมุ่ หนิ อลั ตราเมฟกิ เกดิ จากแร่โอลิ  บน คอื มีโซสเฟยี ร์  ล่าง วีน เป็นของแขง็ อุณหภมู ิ ความดัน ความหนาแน่นตา่ สุด 3. แก่นโลก เป็นของเหลวหนดื Fe + Ni S wave ผ่านไมไ่ ด้  ชัน้ นอก เปน็ ของแข็ง Fe + Ni แขง็  ช้ันใน แนวแบ่งเขตท้ัง 3 1. โมโฮโลวคิ ซิค คือ รอยตอ่ ระหว่างชนั้ เปลอื กโลก กบั ชนั้ เน้อื โลก 2. กูเท็นเบิรก์ คือ รอยตอ่ ระหวา่ งช้ันเน้ือโลก กบั ชั้นแก่นโลก 3. เลอห์มานน์ คอื รอยต่อระหว่างแกน่ โลกชั้นใน กบั แก่นโลกชั้นนอก ผทู้ ค่ี ิดทฤษฎที วีปเล่อื น คอื อลั เฟรด เวเกเนอร์ เสนอวา่ โลกเป็นแผ่นเดยี วกัน (พนั เจยี ) มมี หาสมทุ รพนั ทาลสั ซาลอ้ มรอบ การเคลอ่ื นที่ของแผ่นเปลือกโลก แยกกัน ทวีปแยก = เกดิ หุบเขาทรดุ / ทะเล สมทุ รแยก = เกดิ แนวเทือกเขา / สนั เขากลางมหาสมุทร ชนกนั สมุทร  สมทุ ร = เกาะภเู ขาไฟ / ร่องลึกใต้สมุทร (หนา+เย็นกว่ามุดเข้า) สมุทร  ทวปี = แนวภูเขาชายฝงั่ / รปู โคง้ (แผน่ สมทุ รมดุ ) เชน่ เทือกเขาแอนดีส ทวปี  ทวปี = เทือกเขาสงู (ชนแล้วดันตวั ข้ึน) เชน่ เทอื กเขาแอลป์ เฉอื นกัน เกดิ จากการพาความรอ้ น เกิดเป็นรอยเลือ่ นเฉือนระนาบขา้ ง หลกั ฐานที่เชอื่ วา่ แผ่นเปลอื กโลกเปน็ แผน่ เดยี วกนั รอยต่อทวปี - ต่อได้พอดี พนั เจียแบง่ เป็น ลอวเ์ รนเซยี (อเมรกิ าเหนือ + ยเู รเซีย) ชนกัน = หิมาลัย และ กอนด์วานา (แอนตารก์ ตกิ า, อเมรกิ าใต,้ แอฟริกา, ออสเตรเลยี อนิ เดยี ) กลุ่มหนิ และแนวภเู ขา - แตล่ ะทวีปต่อกันไดส้ นทิ หนิ ทีเ่ กดิ จากการสะสมตะกอนน้าแข็ง ธารน้าแข็งยุคมีโซโซอกิ มตี ะกอนอยใู่ นระดบั เดยี วกนั ซากดกึ ดาบรรพ์ มสี ิง่ ชีวิตบางจาพวกทอี่ ยู่ในลอวเ์ รนเซยี ปรากฏทก่ี อนดว์ านา ทง้ั ๆ มหาทวปี เคลอื่ นห่างกันแล้ว แนวกลางภาควันที่ 2 BY PAT 11

หนว่ ยที่ 2 ภยั พิบัตติ า่ ง ๆ แผ่นดนิ ไหวในไทยมกั เกดิ บรเิ วณภาคเหนอื - ตะวันตก เพราะอยู่ตดิ กบั พม่าซง่ึ มีรอยเล่ือนจากการชนกนั ของแผ่นอนิ เดยี และ ยเู รเซยี มาตราวดั ของแผ่นดนิ ไหวคอื ริกเตอร์ (วัดขนาด) และ เมอรค์ ัลลี (ความรุนแรง) ภเู ขาไฟส่วนมากในไทยพบท่ี จ.บุรีรัมย์ และแถบภาคอสี าน มถี งึ 5 แห่ง ภูเขาไฟมี 3 แบบ คือ รูปโล่ ลาดชนั นอ้ ย เกดิ จากแมกมาทีห่ นืดน้อย เชน่ หมเู่ กาะฮาวาย รปู กรวย เกดิ จากแมกมาท่หี นืดมาก ปากปลอ่ งยบุ เป็นแอง่ เชน่ แนวภเู ขาไฟฮาวาย นิวซแี ลนด์ รปู กรวยสลบั ชัน้ ตอ้ งดูภายใน เกดิ จากแมกมารวมกบั เถา้ แมกมาหนดื เพราะมีซิลกิ ามาก เชน่ ฟูจิ มายอน ภูเขาไฟในไทย - ภเู ขาไฟหินพนมรงุ้ , ภูเขาไฟหินหลุบ และภเู ขาไฟคอก, ภเู ขาไฟเขาองั คาร, ภเู ขาไฟกระโดง, ภเู ขาไฟไบร บัด (บรุ ีรัมย์), ภเู ขาไฟดอยผาดอกจาปาแดด และภเู ขาไฟดอยหนิ คอกผาฟู (ลาปาง) ธรณปี ระวัติ อายุทางธรณีวิทยา เปน็ อายุท่ีเกย่ี วกับการเกดิ ของโลก ทกุ อยา่ งทีอ่ ยใู่ ตผ้ วิ ดิน อายุเปรยี บเทยี บ เปน็ อายุหินเปรยี บเทยี บซง่ึ บอกว่าหนิ ใดมีอายมุ ากน้อยแทนการบอกเปน็ จานวนปี อายสุ ัมบรู ณ์ เป็นอายุของหินหรอื ซากดกึ ดาบรรพ์ ซง่ึ หาไดจ้ ากครึง่ ชวี ิตของธาตุกัมมันตรงั สีที่อยใู่ น หนิ หรือซากดกึ ดาบรรพ์ ซากดกึ ดาบรรพ์ดชั นี คอื ซากดึกดาบรรพ์ท่ถี กู ใชเ้ ป็นตัวกาหนดและระบุระยะเวลาทางธรณวี ิทยา เปน็ ซากดกึ ดาบรรพ์ ที่บอกอายไุ ด้แน่นอน เนอื่ งจากมวี วิ ัฒนาการทางโครงสร้างและรูปร่างอย่างรวดเรว็ มคี วามแตกต่างในแต่ละชว่ งอายุ อย่างเห็นเด่นชดั และปรากฏใหเ้ ห็นเพียงช่วงอายหุ น่งึ แล้วกส็ ญู พันธุ์ไป การศึกษาลาดบั ช้นั หนิ ทาใหเ้ กดิ เข้าใจเก่ียวกับธรณปี ระวตั ิในบรเิ วณน้ัน เนือ่ งจากหินตะกอนท่เี กดิ จากการ ตกตะกอนของอนิ ทรยี ว์ ตั ถแุ ละอนินทรยี ์วตั ถุสะสมกนั เกิดเป็นชน้ั ๆ ตกตะกอนต่อเน่อื งแข็งตวั กลายเป็นหนิ ตะกอน ซ้อนทับกนั แบ่งเปน็ การซอ้ นทบั กัน, เกิดตามแนวระนาบ, เอกรปู นยิ ม, การตัดขวาง, ถูกผนวกรวม, ไมต่ ่อเน่ือง โดยปกติช้ันหินจะเรยี งกนั ลกั ษณะ ดังรูป อายุนอ้ ย อายุมาก แนวกลางภาควันที่ 2 BY PAT 12

การคานวณครง่ึ ชีวติ เชน่ จากการทดลองพบวา่ เม่อื ตง้ั Cs – 137 ไว้ 120 วัน จะมี Cs – 137 เหลืออยู่ 300 กรัม ถา้ ครึ่งชีวติ ของ Cs – 137 เท่ากบั 30 วนั จงหาว่าเม่ือเรมิ่ ต้นทดลองมี Cs -137 อยู่เทา่ ใด (4800) ใหช้ ้ันหนิ และมซี ากดึกดาบรรพ์มาให้ (ดูรปู ในขอ้ สอบ) เช่น หากการค้นพบฟอสซิลในประเทศ ก. และ ข. เปน็ ดงั ตารางนี้ ใชก้ บั ประเทศ ก. เท่านนั้ a ประเทศ ก. ประเทศ ข. b 250 D c ชน้ั ชนดิ ฟอสซลิ ชน้ั ชนดิ ฟอสซลิ 500 C d 750 B e Apa t 1000 A ประเทศ ข. B q, r b w, y (ล้านปี) ประเทศ ก. C t, r c p D t, u d r, x ez ชั้นหินใดในประเทศ ข. ท่อี ยใู่ นชว่ ง 500 - 750 ล้านปกี อ่ น ________________ จากสภาพฟอสซิล อาจสันนิษฐานวา่ ส่งิ มชี วี ติ ใด ที่ยงั คงอยูจ่ นถึงปัจจบุ นั ท้งั ในประเทศ ก. และ ข. ก. p ข. r ค. t ง. q แนวกลางภาควนั ที่ 2 BY PAT 13

ท 30211 (หลกั ภาษาไทย) บทท่ี 1 ลักษณะภาษาไทย ภาษา หมายถงึ ถ้อยคาท่ีใชพ้ ดู /เขียนเพอ่ื การสอ่ื สารของชนกลุ่มใดกลุม่ หน่งึ ประเภทของภาษา ตามลกั ษณะ วจั นภาษา - ใช้ถอ้ ยคาในการสื่อสาร อวัจนภาษา - ไม่ใชถ้ อ้ ยคา เชน่ เทศ(สถานที่), กาล, เนตร, สมั ผสั , อาการ, วตั ถ,ุ ปร(ิ นา้ เสียง) ตามวธิ กี ารรบั สาร จักษุ - ใชด้ วงตารับสาร ได้แก่ ภาษาทา่ (ชาวอนิ เดยี ใต้สา่ ยหน้า คือ ยอมรบั ), ภาษาใบ,้ ภาษา, หนา้ ตา, ภาษาสญั ลกั ษณ์ โสต - ใช้หูรบั ฟงั เช่น ภาษาพูด เสียงสญั ญาณ สัมผัสทางภาษา คือ ภาษาของคนตาบอด (อกั ษรเบรลล)์ องคป์ ระกอบทางภาษา เสียง (เกดิ จากเปลง่ เสยี งแทนพยางค์และคา) พยางค์และคา (ประสมสระ พยัญชนะ และวรรณยกุ ต์) ประโยค (นาคามาเรยี งตามลกั ษณะ เป็นระบบไวยากรณ์) ความหมาย (เกดิ จากคาและประโยค) นยั ตรง - ตามตัว, เปรยี บเทยี บ(เชงิ อุปมา) เช่น หม,ู ปลาไหล นัยประหวัด - จากการสอ่ื สาร ใส่อารมณค์ วามร้สู กึ เขา้ ไปดว้ ย เช่น ฉันมนั ควายสิน้ ดี ท่คี บกบั เธอ ความเป็นมาของภาษา - เปน็ ภาษาไตดง้ั เดมิ แล้วพัฒนาจาก (อกั ษรขอม  เทวนาครี  พราหมี  เฟนีเซยี ) ตอ่ มาพระโหราธบิ ดีแต่งจินดามณีขน้ึ ต่อมาพระยาศรสี นุ ทรโวหาร แตง่ มลู บทบรรพกิจ จนถึงปี 2461 พระยาอุปกิตศิลปะสารแตง่ ตาราหลักภาษาไทย ใช้จนถึงปจั จบุ นั ลกั ษณะสาคญั ของภาษาไทย (ตดิ ตามที่ขอ้ เขียน) บทท่ี 2 เสียงและอกั ษรในภาษาไทย เสยี งในภาษาไทย (ตดิ ตามท่ีขอ้ เขยี น) เสียงแท้ (เสยี งสระ) ลกั ษณะของเสียงสระ - ลมผา่ นออกมาสะดวกไม่ถกู กกั ทางลม, ลน้ิ -รมิ ฝีปากทาใหเ้ สียงตา่ งกนั , ออกเสยี งได้ นาน, เป็นเสยี งกอ้ ง เสน้ เสียงสน่ั สะเทือน, มที ั้งเสยี งสั้นและยาว, ชว่ ยใหพ้ ยญั ชนะ ออกเสยี งได้ แนวกลางภาควันที่ 2 BY PAT 14

รูปและเสยี งสระ (หน้า 18) เสียงมี 21 รปู 32 เสียง สระเดย่ี ว ฐานเดียว = อะ, อา, อ,ิ อ,ี อ,ึ อ,ื อุ, อู (8) สองฐาน = เอะ, เอ, แอะ, แอ, โอะ, โอ, เอาะ, ออ, เออะ, เออ (10) สระประสม ได้แก่ เอยี ะ, เอยี , เอือะ, เออื , อวั ะ, อวั (6) สระเกนิ ไดแ้ ก่ อา, ไอ, ใอ, เอา, ฤ, ฤๅ, ฦ, ฦๅ หน้าท่ีของสระ - ช่วยอา่ นออกเสยี งพยัญชนะ โดยการคงรปู (นะ) , ลดรูป (ณ) , เปลี่ยนรูป (มัน) เสยี งแปร (พยญั ชนะ) ลักษณะของเสยี งพยญั ชนะ - ลมกระทบอวยั วะต่าง ๆ ในช่องปาก , มีทงั้ กอ้ งและไมก่ ้อง , ออกเสยี งลาพงั ไมไ่ ด้ ภาษาไทยมี 44 รูป 21 เสียง (ดพู ยัญชนะทีเ่ สยี งซา้ กนั ) หน้าท่ี เป็นพยญั ชนะตน้ - เดย่ี ว (44 รูป), ประสม (ควบแท,้ ควบไมแ่ ท้) อักษรนา - กลนื เสยี งพยญั ชนะ (อ นา ย , ห นา อกั ษรเดย่ี ว) , ออกเสยี ง 2 พยางค์ (ขยาด สนม - ติดเสยี ง ห และ ผดงุ ทบวง - ไมต่ ิดเสียง ห) ปดิ ทา้ ยพยางค์ มี 8 มาตรา เสยี งดนตรี (วรรณยกุ ต)์ ลักษณะของเสยี งวรรณยกุ ต์ - มรี ะดับเสียงสูงตา่ , ทาใหเ้ กดิ ความหมายต่างกนั , เปน็ เสยี งก้อง วรรณยกุ ต์มี 4 รูป 5 เสียง แยกเป็น 2 กลมุ่ คอื ระดบั (สามญั เอก ตร)ี และเปล่ยี นระดับ (โท จตั วา) หน้าที่ เพ่อื สรา้ งคาเพม่ิ ในภาษาไทย การผันเสียง - ทาใหแ้ บง่ เป็นไตรยางศ์ (พ้นื เสียงท่ยี ังไม่ได้ผัน) คือ อักษรสงู อกั ษรกลาง อักษรตา่ (เดยี่ ว + ค่)ู คาศัพทเ์ ขยี นตามคาบอก ขะมนั เขมน้ , ประณีต, คริสตกาล, สายสิญจน์, เบญจเพส, เผอเรอ, โควตา, เนอื งนติ ย์, แท็งก์นา้ , คลมุ เครือ, คลัตช,์ ไตฝ้ ุ่น, งบดุล, คลินิก, ไอศกรีม, คอรร์ ัปชนั , ราคาเยา, ประดิดประดอย, ผกู พัน, คฤหาสน์, ออฟฟศิ , เส้อื เช้ติ , เทคนิค, เซ็นชือ่ , เบรก, ผลัดเปลยี่ น, ผัดวันประกนั พรงุ่ , ประนปี ระนอม, พเิ รนทร,์ ทะเลสาบ ขอ้ เขยี น 1. ลักษณะคาในภาษาไทย 1.1) เปน็ คาโดด ความหมายสมบรู ณใ์ นตนเอง ใช้อิสระไมเ่ ปล่ยี นแปลงรปู ศัพท์  บ่งบอกเพศชดั เจน (ต่างจากภาษาวิภตั ตปิ จั จัยทเี่ ปลย่ี นรปู ศพั ทเ์ พือ่ บอกเพศ)  บอกพจน์ ไมเ่ ปลี่ยนรูปศพั ทเ์ พ่ือบอกจานวน  บอกกาล ใชก้ ลุ่มคาช่วยบอกเวลา แนวกลางภาควนั ท่ี 2 BY PAT 15

 บอกการก ไมเ่ ปลีย่ นรูปศพั ทเ์ พือ่ บอกการกระทา แตใ่ ชก้ ลุ่มคาช่วย 1.2) ส่วนมากมีพยางค์เดยี ว เกดิ หลายพยางคเ์ นื่องจากการลงอุปสรรค (ชดิ - ประชดิ ), กลายเสยี ง (หมากมว่ ง - มะม่วง) 1.3) มีตวั สะกดตรงตามมาตราตวั สะกด 1.4) มเี สยี งวรรณยกุ ต์ ทาใหร้ ะดบั เสยี ง - ความหมายเปลยี่ น 1.5) มกี ารสรา้ งคาเพื่อเพิ่มความหมาย โดย ประสม(แม่ทพั ), ซ้อน(ก่อสรา้ ง), ซ้า(อยู่ ๆ), สมาส(ราชการ), สนธิ(ราโชบาย), บัญญัต(ิ ตรรกศาสตร)์ , ทับศัพท์(กาแฟ), แผลง(เวลา-เพลา) 1.6) การเรยี งคาในประโยค สลบั ทค่ี วามหมายเปลยี่ น เช่น เพือ่ นผมขายรถแลว้ , ผมขายรถเพ่อื นแล้ว , เพอื่ นขายรถผมแลว้ 1.7) คาขยายอยหู่ ลงั คาท่ีถกู ขยายเสมอ ยกเวน้ คาแสดงจานวน เชน่ หมอคนเดยี วกพ็ อแลว้ , หลายคนไมช่ อบหนา้ เขา 1.8) มลี ักษณะนาม - ตามหลงั จานวน , ตามหลังคานาม 1.9) มีวรรคตอนในการเขยี น เชน่ เธอตก ลงไปด้วย , เธอตกลง ไปดว้ ย 1.10) มีระดบั ภาษา - พิธีการ, ทางการ, กึ่งทางการ, สนทนา, กนั เอง 2. การเกดิ เสยี ง - เสียงเกดิ จากลมทเ่ี คล่อื นจากปอดผ่านหลอดลม ลาคอ และกล่องเสยี ง แลว้ กระทบฐานกรณต์ า่ ง ๆ ในช่องปาก ไดแ้ ก่ ชอ่ งปาก จมกู เพดานออ่ น เพดานแข็ง ป่มุ เหงือก ลน้ิ ฟนั รมิ ฝีปาก โดยเสียงที่ออกมานนั้ ใชต้ ิดต่อสอ่ื สารกนั 3. เสียงมี 3 ชนดิ คอื  เสียงแท้ (สระ) - เปล่งจากลาคอโดยตรง ไม่ถูกสกดั กัน้ จากฐานใด ๆ เส้นเสยี งสะเทือนเกดิ เป็นเสยี งกอ้ ง  เสยี งแปร (พยญั ชนะ) - เปลง่ จากลาคอ ถกู สกัดกัน้ ด้วยฐานกรณต์ า่ ง ๆ เกดิ เป็นเสยี งกอ้ งและไม่ก้อง  เสยี งดนตรี (วรรณยกุ ต)์ - มีระดบั สูงตา่ เหมือนเสยี งดนตรี ทาใหเ้ กดิ ความหมายทีต่ า่ งกนั ออกไป อ 30205 (English for further education) อา่ นตามในชีท และ อตั ตา หิ อตั ตโน นาโถ (ตนแลเปน็ ทพี่ ่ึงแหง่ ตน) คาดการณว์ ่าให้เขยี นแนะนาตัวเอง  ขอให้ทุกคนสู้  แนวกลางภาควนั ที่ 2 BY PAT 16


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook