Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยการเรียนรู้ที่ 1

หน่วยการเรียนรู้ที่ 1

Published by NITTIKA NUANHOM, 2019-09-03 02:04:52

Description: หน่วยการเรียนรู้ที่ 1

Search

Read the Text Version

แผนการจัดการเรยี นรู้ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี ๑ พระรตั นตรยั ระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ ๕ รายวชิ าสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม รหสั วิชา ส ๓๒๑๐๑ กลุ่มสาระการเรยี นรูส้ ังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม จดั ทาโดย นางสาวณัฐธิกา นวลหอม นักศึกษาฝกึ ประสบการณว์ ิชาชพี ครู โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๓๑ ตาบลช่างเคงิ่ อาเภอแม่แจม่ จังหวดั เชียงใหม่ สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สานักงานการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ ๑ กลุม่ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๕ หน่วยการเรียนร้ทู ่ี ๑ พระรัตนตรัย เรอ่ื ง พระพุทธศาสนา ภาคเรียนท่ี ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๒ เวลาเรยี น ๒ ช่ัวโมง/สปั ดาห์ หนว่ ยกิต ๑ (นน./นก.) ผสู้ อน นางสาวณฐั ธิกา นวลหอม โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ เวลา ๒ ชว่ั โมง ๑. สาระสาคญั พระพุทธศาสนาเน้นการพัฒนา ศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง มีลักษณะเป็นประชาธิปไตย สามารถ วิเคราะหไ์ ดจ้ ากกิจกรรมและพธิ กี รรมตา่ งๆ ในหมู่สงฆ์ ๒. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชีว้ ัดช้นั ป/ี ผลการเรยี นรู้/เปาู หมายการเรียนรู้ มาตรฐานการเรยี นรู้ ส ๑.๑ รู้และเข้าใจประวตั ิ ความสาคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ ตนนบั ถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึดม่ันและปฏิบัติตามหลักธรรม เพื่อการอยู่รวมกันอย่าง สนั ตสิ ุข ตวั ช้ีวัดชน้ั ป/ี ผลการเรยี นรู้ ส ๑.๑ ม.๔-๖/๕ วิเคราะห์การพัฒนาศรัทธาและปัญญาท่ีถูกต้องในพระพุทธศาสนาหรือ แนวคิดของศาสนาท่ีตนนบั ถอื ตามทกี่ าหนด ส ๑.๑ ม.๔-๖/๖ วเิ คราะห์ลกั ษณะประชาธปิ ไตยในพระพุทธศาสนา หรือแนวคิดของศาสนา ท่ตี นนบั ถอื ตามทก่ี าหนด ๓. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ๓.๑ ด้านความรู้ : Knowledge - อธบิ ายความสาคญั ของพระพทุ ธศาสนาทเ่ี นน้ การพฒั นาศรัทธาและปัญญาท่ีถกู ตอ้ งได้ - วเิ คราะหล์ ักษณะประชาธปิ ไตยในพระพทุ ธศาสนาได้ ๓.๒ ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ : Process นกั เรยี นมที กั ษะกระบวนการทางานกลมุ่ ๓.๓ ดา้ นคณุ ลักษณะทพี่ ึงประสงค์ : Attitude นักเรียนมีความสนใจใฝุเรียนรู้ และมีทัศนคติที่ดีต่อการศึกษารายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม

๔. สมรรถนะสาคญั ของนักเรยี น ๔.๑ ความสามารถในการสอ่ื สาร ๕. คุณลกั ษณะของวิชา - ความรับผดิ ชอบ - ความรอบคอบ - กระบวนการกลมุ่ ๖. ชิน้ งาน/ภาระงาน ๖.๑ ชนิ้ งาน ๑) ใบกจิ กรรมที่ ๑.๑ เรื่อง การดาเนินชวี ิตบนหลักธรรม ๒) ใบงานที่ ๑.๑ เรื่อง ลกั ษณะประชาธปิ ไตยในพระพทุ ธศาสนา ๖.๒ ภาระงาน ๑) นักเรยี นทากิจกรรมกลุ่ม ๒) นกั เรียนนาเสนอ ๗. กิจกรรมการเรยี นรู้ ชว่ั โมงที่ ๑ เร่อื ง พระพุทธศาสนาเนน้ การพัฒนา ศรทั ธาและปญั ญาทถ่ี กู ตอ้ ง นกั เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรูท้ ่ี ๑ เรื่อง พระรัตนตรัย จานวน ๑๐ ข้อ ๑๐ คะแนน ขนั้ นาเขา้ สูบ่ ทเรียน ๑. ครูกล่าวทักทายนักเรยี น พรอ้ มท้ังแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ จากน้ันครู ถามนักเรยี นวา่ เมอ่ื พูดถงึ พระพุทธศาสนา นักเรียนคดิ ถึงสิง่ ใดเป็นอนั ดบั แรก เพอื่ เชอ่ื มโยงเข้าสเู่ นอื้ หา ข้ันสอน ๒. นกั เรียนแบ่งกลุ่ม ออกเป็น ๔ กลุ่ม ตามความสมัครใจ โดยให้นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกัน แสวงหาความรู้ เร่ือง พระพุทธศาสนาเน้นการพัฒนาศรัทธา และปัญญาที่ถูกต้อง โดยศึกษาความรู้ จากหนงั สอื เรียน ใบความรู้ และห้องสมุด ๓. นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมารับใบกิจกรรมที่ ๑.๑ เร่ือง การดาเนินชีวิตบน หลกั ธรรม กระดาษชารท์ และตวั อย่างขา่ วหน้าช้ันเรียน ๔. นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มรว่ มกันทาใบกจิ กรรมที่ ๑.๑ เร่ือง การดาเนินชวี ติ บนหลักธรรม ๕. นกั เรียนแตล่ ะกล่มุ ออกมานาเสนองานหน้าชน้ั เรียนและใหก้ ลุ่มที่เหลือตั้งคาถาม เพ่ือถาม กลมุ่ ที่นาเสนอกลุม่ ละ ๑ คาถาม ขั้นสรุป ๖. ครแู ละนกั เรยี นชว่ ยกันสรุปความสาคัญของพระพุทธศาสนาท่ีเน้นการพัฒนาศรัทธาและ ปญั ญา พรอ้ มเปดิ โอกาสใหน้ ักเรยี นซกั ถามในประเด็นท่นี กั เรยี นสงสัยหรอื ไม่เขา้ ใจ

ช่ัวโมงที่ ๒ เรอื่ ง ประชาธปิ ไตยในพระพทุ ธศาสนา ขั้นนาเขา้ สู่บทเรยี น ๑. นกั เรียนเล่าถึงประสบการณเ์ ดมิ เกย่ี วกบั หลกั การสาคัญของประชาธปิ ไตยท่นี กั เรยี นเคย เรยี น ๒. ครูอธิบายเช่ือมโยงให้นักเรียนเข้าใจว่า พระพุทธศาสนานั้น มีลักษณะสอดคล้องกับ หลักการประชาธิปไตย ดงั คากลา่ วของอาจารยส์ ุชพี ปัญญานุภาพ นักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา ว่า “พระพุทธศาสนาเป็นตัวอย่างแห่งลัทธิประชาธิปไตยที่เก่าแก่ท่ีสุดของโลก มีหลักการและ วิธกี ารอันทนั สมยั มาจนทุกวันนี้” ขนั้ สอน ๓. นักเรียนกล่มุ เดมิ ศึกษาความรเู้ รอ่ื ง ลักษณะประชาธปิ ไตยในพระพุทธศาสนา จากหนังสือ เรยี น หนังสือค้นคว้าเพิม่ เติม หอ้ งสมดุ และแหล่งข้อมลู สารสนเทศ ๔. นักเรียนแต่ละกลุ่มนาความรู้ที่ได้จากการศึกษามาสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้กันและ ชว่ ยกันทาใบงานท่ี ๑.๒ เรือ่ ง ลักษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา ซ่ึงนักเรียนแต่ละกลุ่มจะ สงั เคราะหค์ วามรู้ทอี่ ่านออกมาเปน็ ประเด็นสาคญั แล้วเขียนเป็นแผนผังความคดิ ๕. ครูสุ่มเรียกนักเรียน ๒-๓ กลุ่ม นาเสนอผลงานหน้าช้ันเรียนและให้กลุ่มอ่ืนท่ีมีผลงาน แตกตา่ งออกไปไดน้ าเสนอ ข้ันสรปุ ๖. ครูและนักเรยี นช่วยกันสรุปลักษณะประชาธปิ ไตยในพระพทุ ธศาสนา พรอ้ มเปดิ โอกาสให้ นกั เรยี นซักถามในประเดน็ ทนี่ ักเรียนสงสยั หรอื ไมเ่ ข้าใจ ๘. สื่อการเรยี นการสอน / แหล่งเรยี นรู้ ๘.๑ สอ่ื การเรียนการสอน ๑) แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ ๑ เรื่อง พระรัตนตรยั ๒) หนังสือเรียน พระพทุ ธศาสนา ม.๕ ๓) ใบความรู้ เรือ่ ง พระพุทธศาสนาเนน้ การพัฒนา ศรัทธาและปัญญา ๔) ใบกจิ กรรมที่ ๑.๑ เรอ่ื ง การดาเนนิ ชวี ติ บนหลักธรรม ๕) ตวั อย่างขา่ ว ๖) ใบงานท่ี ๑.๑ เรือ่ ง ลักษณะประชาธปิ ไตยในพระพุทธศาสนา ๘.๒ แหลง่ เรียนรู้ ๑) ห้องสมดุ ๒) แหล่งขอ้ มลู สารสนเทศ - http://www.oknation.net/blog/print.php?id=262742 - http://www.tddf.or.th/tddf/dharma/readart.php?id=00081

๙. การวัดผลและประเมนิ ผล วธิ ีการ เครื่องมือ เกณฑ์ ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วย ประเมินตามสภาพจริง หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 การเรียนรู้ที่ 1 ตรวจใบกิจกรรมที่ 1.1 ใบกจิ กรรมที่ 1.1 ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ ตรวจใบงานที่ 1.1 ใบงานที่ 1.1 ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ ประเมินการนาเสนอผลงาน แบบประเมินการนาเสนอผลงาน ระดบั คุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ สังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม แบบสงั เกตพฤติกรรมการทางาน ระดบั คณุ ภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ กลุ่ม สงั เกตความสามารถในการ แบบประเมินสมรรถนะสาคญั ระดบั คุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ สอ่ื สาร ของนกั เรยี น สงั เกตความมีวินัย ใฝเุ รียนรู้ และ แบบประเมินคุณลักษณะอันพึง ระดบั คุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ มุ่งมนั่ ในการทางาน ประสงค์ ๑๐. จุดเนน้ ของโรงเรียน การบรู ณาการปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงและกิจกรรมสวนพฤกษศาสตร์ โรงเรยี นปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง ปรัชญาเศรษฐกจิ ครู ผู้เรยี น พอเพยี ง พอดีด้านเทคโนโลยี พอดีด้านจติ ใจ ความพอประมาณ รจู้ กั ใชเ้ ทคโนโลยมี าผลิตสือ่ ทเ่ี หมาะสมและ มีจิตสานึก ท่ีดี เอ้ือ อ าท ร ความมเี หตผุ ล สอดคลอ้ งเนอ้ื หาเปน็ ประโยชน์ต่อผ้เู รยี นและ ประนีประนอม นึกถึงประโยชน์ พฒั นาจากภมู ปิ ัญญาของผ้เู รยี น ส่วนรวม/กลุ่ม - ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความ ไม่หยุดน่ิงที่หาหนทางในชีวิต ถูกต้อง สุจริต แม้จะตกอยู่ในภาวะขาดแคลน หลุดพ้นจากความทุกข์ยาก (การ ในการดารงชวี ิต ค้นหาคาตอบเพื่อให้หลุดพ้นจาก - ปฏิบัติตนในแนวทางท่ีดี ลด เลิก สิ่งย่ัว ความไมร่ ้)ู กิเลสให้หมดสิ้นไป ไม่ก่อความช่ัวให้เป็นเครื่อง ทาลายตัวเอง ทาลายผู้อื่น พยายามเพิ่มพูน รกั ษาความดี ท่ีมอี ยู่ใหง้ อกงามสมบูรณ์ยง่ิ ขน้ึ

มภี ูมคิ มุ้ กนั ในตัวท่ีดี ภมู ิปัญญา : มีความรู้ รอบคอบ และ ภมู ิปัญญา : มีความรู้ รอบคอบ และ เงื่อนไขความรู้ เงอ่ื นไขคุณธรรม ระมดั ระวัง ระมดั ระวัง สรา้ งสรรค์ ภมู ธิ รรม : ซ่ือสตั ย์ สุจริต ขยันอดทน ภูมธิ รรม : ซอ่ื สตั ย์ สจุ ริต ขยนั อดทน ตรงต่อเวลาและแบง่ ปัน ตรงต่อเวลา เสียสละและ แบง่ ปัน ความร อบรู้ เรื่ อง พ ระ รัตนตรัย ท่ี ความรอบรู้ เร่ืองพระรัตนตรัย เก่ียวข้องรอบด้าน ความรอบคอบท่ีจะนา กรณีท่ีเกิดงาน ปริมาณที่เก่ียวข้อง ความรู้เหล่าน้ันมาพิจารณาให้เช่ือมโยงกัน การคานวณสูตรท่ีต้องใช้ สามารถนา เพอื่ ประกอบการวางแผน การดาเนินการจัด คว า มรู้ เหล่ านั้ น มา พิ จ าร ณ าใ ห้ กจิ กรรมการเรยี นรใู้ หก้ ับผู้เรยี น เช่ือมโยงกัน สามารถประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจาวนั มคี วามตระหนกั ใน คุณธรรม มคี วาม มีความตระหนักในคุณธรรม มี ซอื่ สตั ยส์ จุ รติ และมีความอดทน มคี วาม ความซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน เพียร ใช้สตปิ ัญญาในการดาเนินชีวิต มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการ ดาเนนิ ชีวิต กิจกรรม ครู ผู้เรยี น สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน ตน้ ไม้ทีพ่ ระพุทธเจา้ ประสตู ิ ต้นไม้ที่พระพุทธเจา้ ประสตู ิ ตรสั รู้ ต้นไม้ท่ีพระพทุ ธเจ้าประสตู ิ ตรสั รู้ ปรนิ ิพพาน ตรสั รู้ ปรินิพพาน ปรนิ พิ พาน - ประวตั แิ ละความเป็นมาของ - อธิบายชนิดของต้นไม้ - ร ะ บุ ช นิ ด ข อ ง ต้ น ไ ม้ แ ล ะ ต้นไม้ท่ีพระพทุ ธเจ้าทรง ประสูติ ตรสั รู้ และปรนิ พิ าน และประวัติความเป็นมา ประวัตคิ วามเป็นมาของต้นไม้ ของต้นไม้ท่ีพระพุทธเจ้า ท่ีพระพุทธเจ้าทรงประสูติ ทรงประสูติ ตรัสรู้ และ ตรสั รู้ และปรนิ ิพาน ปรนิ ิพาน

๑๑. ขอ้ เสนอแนะ □ ใช้สอนได้ □ ควรปรบั ปรงุ ......................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ความคดิ เหน็ อืน่ ๆ ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ลงชอื่ ………..………….......………….……… (นายนิกร ไชยบุตร) ครพู เ่ี ล้ียง วนั ท่.ี .......เดือน....................พ.ศ. ๒๕๖๒

๑๒. บนั ทึกหลังการจดั การเรยี นรู้ ๑๒.๑) ผลทเ่ี กดิ ขึน้ กับนักเรยี น ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ ๕ ดา้ นความรู้ จานวนนักเรยี นทผ่ี า่ นเกณฑ.์ .....................คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ................... จานวนนกั เรยี นทไ่ี ม่ผ่านเกณฑ.์ .................คน คดิ เปน็ ร้อยละ................... ด้านทกั ษะกระบวนการ จานวนนกั เรียนที่ผ่านเกณฑ.์ .....................คน คิดเป็นร้อยละ................... จานวนนักเรยี นทไ่ี ม่ผ่านเกณฑ.์ .................คน คิดเปน็ รอ้ ยละ................... ดา้ นคณุ ลักษณะท่พี ึงประสงค์ จานวนนักเรยี นที่ผา่ นเกณฑ.์ .....................คน คดิ เปน็ ร้อยละ................... จานวนนกั เรียนทไ่ี มผ่ ่านเกณฑ์..................คน คดิ เป็นร้อยละ................... ด้านสมรรถนะผู้เรยี น จานวนนกั เรยี นทผ่ี ่านเกณฑ์......................คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ................... จานวนนกั เรยี นทไ่ี มผ่ ่านเกณฑ์..................คน คิดเปน็ ร้อยละ................... ๑๒.๒) ปญั หาและอุปสรรค ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๑๒.๓) แนวทางการแก้ปญั หา ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ (ลงชอื่ )……………………………….…………… (นางสาวณัฐธกิ า นวลหอม) ผูส้ อน วันท่ี........เดือน....................พ.ศ. ๒๕๖๒

๑๓. ความเหน็ ของหัวหน้ากลุม่ สาระ/สายชัน้ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ (ลงชื่อ)……………………………….…………… (นายนิกร ไชยบุตร) หัวหนา้ กลุ่มสาระ/สายช้ัน วนั ท่ี........เดอื น....................พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑๔. ความเหน็ ของฝุายวิชาการ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ (ลงช่อื )……………………………….…………… (นางสาวรตั ตกิ าล ยศสุข) หัวหน้าฝาุ ยวชิ าการ วันท.่ี .......เดือน....................พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑๕. ความเห็นของผู้อานวยการโรงเรียน ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ (ลงชือ่ )……………………………….…………… (นางวลิ าวัลย์ ปาลี) ผอู้ านวยการโรงเรยี น วนั ที.่ .......เดือน....................พ.ศ. ๒๕๖๒

ใบความรู้ เรื่อง พระพุทธศาสนาเน้นการพฒั นา ศรัทธาและปัญญา หลักคาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลักความจริงท่ีพระพุทธองค์ได้ทรงค้นพบโดยมิได้ ทรง สร้างสรรค์ข้ึนเอง และมิได้ทรงรับคาสั่งสอนมาจากเทพเจ้าหรือพระเจ้าองค์ใดทั้งสิ้นดังที่ กล่าวแล้วนั้น พระพทุ ธศาสนาจงึ นับว่าเป็นศาสนาทีต่ ่างไปจากศาสนาอื่นๆอย่มู าก หลกั คาสอน ทีส่ นบั สนนุ ความจรงิ ดังกล่าว นี้ คือ หลักคาสอนเร่อื ง ศรทั ธาและปัญญา ศรทั ธา ศรัทธา คือ ความเชื่อ ศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นความเชื่อท่ีประกอบด้วยปัญญาหรือเหตุผล ซ่ึง เรียกวา่ ศรัทธาเพื่อปัญญา แม้ว่าพระพุทธเจ้าจะทรงสอนให้คนมีศรัทธา แต่ศรัทธาของพระองค์นั้นต้องผ่าน การพิจารณาไตร่ตรองด้วยปัญญาให้รอบคอบเสียก่อน ดังที่ทรงสอนชาวกาลามะแห่งเกสปุตตนิคม ในแคว้น โกศล วา่ อย่าเพง่ิ ปลงใจเช่ือเพยี งเพราะฟังตามๆกันมา เพยี งเพราะถือปฏิบตั ิกันสืบๆมา เพียงเพราะข่าวเล่าลือ เพียงเพราะการอ่านตาราหรือคัมภีร์ เพียงเพราะการให้เหตุผลแบบตรรกะ เพียงเพราะการอนุมานเอาตาม อาการท่ีปรากฏ เพียงเพราะเห็นว่าเข้ากันได้ตรงตามทฤษฎีหรือความคิดเห็นของตน เพียงเพราะเห็นว่ามี รปู ลักษณะน่าเช่อื ถือและเพยี งเพราะถอื วา่ สมณะหรือนักบวชผู้น้เี ป็นครขู องเรา แต่เม่ือใดได้ใช้ปัญญาพิจารณา โดยรอบคอบแล้วและเห็นว่าสิ่งทที่ าลงไปนน้ั ไมท่ าใหต้ นเองและผ้อู ื่นเดือดร้อน อกี ทง้ั นักปราชญ์ไม่ติเตียนก็จง ทาสง่ิ น้นั แตห่ ากสิ่งใดเม่อื ทาลงไปแล้วตนเองและผ้อู ืน่ เดอื ดรอ้ น นกั ปราชญต์ เิ ตยี นก็จงอยา่ ได้ทาสง่ิ น้นั เลย หลักคาส่งั สอนของพระพุทธเจ้านั้นมีข้อสังเกตประการหนึ่ง คือ หากทรงสอนเร่ืองศรัทธาไว้ในท่ีใดก็ จะทรงสอนปญั ญากากับไว้ในท่ีนน้ั ด้วย น่ันกห็ มายความว่า ทรงสอนให้ใช้ ศรัทธาท่ีประกอบด้วยปัญญาเสมอ ไป ตัวอยา่ งเช่น ในหลักคาสอนหมวด พละ ๕ (ธรรมอนั เป็นกาลงั ) ประกอบด้วย ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา หรือใน อริยทรัพย์ ๗ (ทรัพย์ภายในอันประเสริฐ) ประกอบด้วย ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ พหุ สจั จะ จาคะ และปัญญา การพฒั นาศรทั ธา ศรทั ธา แปลว่า ความเช่อื ศรทั ธาในพระพุทธศาสนานั้นจะต้องเป็นความเช่ือมั่นใน คุณงามความดีท่ีประกอบด้วยเหตุผล ผิดจากน้ีแล้วไม่นับว่าเป็นศรัทธา ยกตัวอย่าง มีคนมาบอกว่า ถ้าอยาก เรยี นหนังสือเก่งสอบไดค้ ะแนนดีเรียนจบแล้วได้ทางานที่ก้าวหน้า ประสบความสาเร็จในชีวิต ให้ท่องคาบทใด บทหน่ึงวันละรอ้ ยครัง้ เราเช่อื และทาตาม ความเช่ืออย่างนไ้ี ม่จดั วา่ เปน็ ศรทั ธาเพราะไมม่ ีเหตุผล คนที่ต้องการเรียนหนังสือเก่งแต่แค่ ท่องคาถา ไม่สนใจอ่านหนังสือ แทนที่จะเรียนเก่ง สอบได้คะแนนดี ก็จะกลับสอบตกได้ง่ายๆ แต่ถ้าใครพูดว่าถ้าอยาก ประสบความสาเร็จดังกล่าวข้างต้นนั้นต้องขยันหม่ันเพียร ศึกษาหาความรู้ ต้ังใจฟังครูอาจารย์สอน ฟังแล้ว นามาคดิ พจิ ารณาเพอ่ื ความเข้าใจยง่ิ ข้ึน เร่ืองใดยงั ไม่เขา้ ใจหรือเข้าใจไม่กระจ่างก็ซักถาม เม่ือได้ความรู้ถูกต้อง

แนน่ อนแลว้ ให้จดบนั ทกึ กนั ลืม ผ้มู วี ิญญาณแหง่ “ผู้ใฝรุ ู้” เช่นนปี้ ระสบความสาเร็จในการเรียนแน่นอนเราเช่ือ และกระทาตามน้ี ความเชอื่ อย่างนี้จัดเปน็ ศรัทธาท่ีพึงประสงค์ได้ แม้ว่าจะเป็นศรัทธาในเรื่องธรรมดาสามัญก็ ตามเพราะความเชื่อเช่นน้ีมีครบองค์ประกอบ ๒ อย่าง คือ อยู่บนพื้นฐานของเหตุและผลและสิ่งท่ีเชื่อและ กระทานั้นเป็นสิ่งทด่ี งี ามหรือเป็นไปเพ่อื ความดีงามแหง่ ชวี ิต ศรัทธาท่ีควรพฒั นา มลี กั ษณะ ๓ ประการ ได้แก่ ๑) เชื่อม่ันในความดีของมนุษย์ หมายถึง เช่ือมั่นว่ามีหลักแห่งความดีงามของมนุษย์และความดีงามนั้น เป็นไปตามเหตปุ ัจจยั มใิ ชม่ ีขึ้นเองโดยบงั เอญิ เชอื่ ม่ันว่าความดีงามน้ันสามารถสร้างขึ้นมาได้หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ว่ามนษุ ยเ์ รามีศักยภาพจะพัฒนาคนให้บรรลุถึงความดีงามน้ันได้ด้วยความพากเพียรของตนเอง มิใช่ด้วยการ ออ้ นวอนขอร้องขอให้ส่งิ ศักดสิ์ ิทธ์ิใดๆ บนั ดาลให้เป็นไป โดยมีพระพุทธเจ้าทรงทาให้เป็นตัวอย่าง และเช่ือม่ัน ว่ามีกลุ่มบุคคลท่ีปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธองค์แล้วได้บรรลุถึงความดีงามน้ันจริงๆ ปรากฏเป็นสักขี พยาน ๒) เชื่อมน่ั ในกฎแหง่ การกระทาและผลของการกระทา หมายถึง เชือ่ มั่นวา่ ไม่มีส่ิงใด เกิดข้ึนลอยๆ โดยไม่ มีเหตุปัจจัยให้เกิด เมื่อกระทาอะไรลงไปแล้วย่อมจะมีผลของการกระทานั้นตามมาไม่โดยทางตรงก็ทางอ้อม ยกตัวอยา่ ง สมศักด์ิเปน็ เด็กขยันเรียน ขยนั ทาการบ้าน ทบทวนตาราอย่เู สมอ การกระทาของสมศกั ด์ินี้เป็นเหตุ สมศักดย์ิ อ่ มได้รบั ผลของการกระทาแน่นอน โดยตรงกค็ อื “ไดค้ วามเปน็ คนขยนั ” ได้ความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ ไม่เคยรไู้ มเ่ คยเข้าใจ ผลโดยอ้อมก็คือสมศักดิ์อาจสอบได้คะแนนดี ครูอาจารย์ เพื่อนๆ หรือคนอ่ืนๆ ที่รู้ก็อาจ ชื่นชม สมศักดิ์ (พงึ เข้าใจว่า คนขยัน เรียนดี มีความรูค้ วามเข้าใจวชิ าที่เรยี น ไม่จาเปน็ จะต้องสอบได้ คะแนนดี ก็ได้เพราะการสอบของเขาข้ึนอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ครูผู้ตรวจให้คะแนนหรือ เคร่ืองตรวจคะแนนผล ของการเรยี นจงึ ถือเปน็ ผลโดยอ้อมของการเรียนด)ี ๓) เช่ือมั่นว่ามนุษย์ต้องรับผิดชอบต่อการกระทาและผลของการกระทานั้น ข้อนี้สืบ เน่ืองมาจากข้อ ๒) คือ ถา้ คนเช่ือว่ากระทาอะไรลงไปแล้วไมว่ า่ ดีหรอื ชัว่ ย่อมได้รบั ผลของการกระทาน้นั ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมจะ ทาให้เป็นคนระมัดระวังตนอย่างดี มีความละเอียด รอบคอบ โดยเผลอทาอะไรตามอานาจความอยากความ ต้องการเพราะเขาเช่ือว่าถ้าทาอะไร ไม่ดีลงไปเขาจะต้องรับผลของการกระทาน้ัน คนท่ีเช่ือม่ันอย่างนั้นย่อม เป็นคนมีความรับผิดชอบสูง คือ รับทั้งผิด รับท้ังชอบ อันจักเกิดข้ึนจากการกระทาของตน ไม่เหมือนคน สว่ นมากที่ยนิ ดรี บั เฉพาะ “ชอบ” ไม่ยอมรับ “ผิด” คนท่ีคดิ เสมอว่าตนเองจะต้องรบั ผิดชอบต่อการกระทาของ ตนเองจะไม่ทาความเสียหายง่ายๆ เพราะเขาคิดล่วงหน้าไปไกลว่า ถ้าทาลง ไปแล้วคนอื่นเขารู้เข้าเขาจะว่า อย่างไร เกยี รติยศ ชอ่ื เสียงของเราจะมเิ สยี หายหรือตายไปแล้ว จะมติ กนรกหรอื อย่างน้ีเป็นต้น เขาจึงพร้อมจะ ปรบั ปรงุ แก้ไขพฤตกิ รรมของตนเองให้ดีขนึ้ เสมอ จะเหน็ วา่ ศรัทธาในพระพุทธศาสนาต้องมีปัญญากากับด้วยเสมอ ซึ่งต่างจากศาสนาอ่ืนบางศาสนาที่จะ สอนให้ศรัทธาอย่างเดียว คือ ถ้าพระคัมภีร์สอนไว้อย่างน้ีก็จะต้องเช่ือตามโดยไม่มีข้อแม้ ถ้าหากไม่เช่ือถือว่า เป็นคนบาป แต่สาหรับพระพุทธศาสนา แม้แต่การสอนหลักธรรมของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็ไม่ได้ทรง บงั คบั ให้เชอื่ ตามทีพ่ ระองคส์ อน พระองค์ทรงแนะนาใหพ้ ิจารณาไตรต่ รองด้วยเหตดุ ว้ ยผลและเหน็ ดว้ ยเสียก่อน แล้วจึงเชือ่

ปัญญา การพฒั นาปัญญา ปัญญา แปลวา่ รทู้ ั่วถึง หมายความวา่ ความรใู้ นเรอื่ งใดถ้ารูไ้ ม่ทว่ั ถึงไม่ทะลุปรุโปร่ง ไมร่ อบดา้ น ไม่นบั เป็นปัญญาที่แท้ ความรมู้ อี ยู่ ๒ ประเภท คือ ความรู้ท่ีมีมาต้ังแต่เกิด (สหชาติปัญญา) และมี ความรทู้ ีม่ ขี นึ้ ดว้ ยการศกึ ษาเล่าเรียนและฝึกฝน (โยคปญั ญา) อย่างแรกเป็นความรพู้ ้นื ฐานท่ที ุกคนพึงมีมากบ้าง น้อยบ้างแล้วแต่บุคคล บางคนก็มีความรู้พิเศษท่ีคนอื่นไม่มีซึ่งภาษาไทยเรียกว่า “พรสวรรค์” เช่น มี ความสามารถวาดภาพได้งดงาม ทั้งๆ ที่ไม่ได้เรียนมาจากใครเลย แต่กรณีอย่างน้ีมีน้อยความรู้ประเภทหลังน้ี ท่านั้นที่ต้องการเน้นในท่ีน้ีเพราะความรู้ความฉลาดเป็นเร่ืองที่ฝึกฝนอบรมกันได้ เรียกว่า “พรแสวง” คือ แสวงหาเอาภายหลังได้ดังพระบาลีรับรองไว้ว่า “ปัญญามีได้เพราะการฝึกฝนพัฒนาปัญญาเสื่อมไปเพราะไม่ ฝกึ ฝนพฒั นา” ปญั ญาหรอื ความร้ทู ่ีควรพฒั นามี 3 ลักษณะ ซ่ึงขออธบิ ายพร้อมยกตวั อย่างประกอบ ดงั ต่อไปน้ี ๑) ปัญญารู้จักความเสื่อม (อปายโกศล) หมายถึง รู้ว่าอะไรคือความเสื่อม และอะไร คือเหตุทาให้เกิด ความเส่ือม การร้เู พยี งแงใ่ ดแงห่ นงึ่ ยงั ไม่ถอื ว่าเป็นอปายโกศล เช่น บางคนเงนิ เดอื นไมพ่ อจา่ ย ชกั หนา้ ไมถ่ งึ หลัง เป็นหนี้สินมากมาย เขารู้ว่าเขามีปัญญา มีความทุกข์ เขาคิดว่าความทุกข์ที่เขาได้รับน้ีเพราะเจ้านายจ่าย เงนิ เดือนใหเ้ ขาน้อยเกินไปจึงไมพ่ อใช้จา่ ย แตเ่ ขาหารู้ไมว่ ่าสาเหตุแท้จริงก็คือการท่ีเขาใช้จ่ายเงินฟุมเฟือยและ ไม่รู้จักประหยัดอดออม การรู้จักแต่ความเสื่อมแต่ไม่รู้ลึกไปถึงสาเหตุแห่งความเสื่อมอย่างน้ียังไม่พอจะต้อง พิจารณา จนทราบสาเหตทุ ่ีแท้จรงิ ของความเสื่อมด้วย ๒) ปัญญารูค้ วามเจริญ (อายโกศล) คอื รู้วา่ อะไรคือความดี ความเจริญที่แท้และก็รู้ด้วยว่าอะไรคือสาเหตุ ให้เกิดความดีความเจริญน้ันคนที่รู้ว่าความร่ารวย ความมีหลักฐานมั่นคงเป็นความดีระดับโลกอย่างหนึ่งที่ มนษุ ย์ปุถุชนพงึ มีพงึ ได้ แตค่ ดิ ไปว่าการจะรา่ รวยมหี น้ามีตาในสังคมนั้นจะต้องเปน็ นักฉวยโอกาส รูจ้ ักเอารัดเอา เปรยี บคนหรือขายของหนีภาษหี รอื สงิ่ เสพตดิ เป็นตน้ อย่างนีไ้ ม่เรยี กวา่ เปน็ อายโกศลเพราะรู้แต่อะไรคือความ เจรญิ แตส่ าเหตุให้ลุถงึ ความเจริญด้วยโภคทรัพย์น้ันไม่ถูกต้อง จริงอยู่คนทุจริตคดโกงน้ันร่ารวยได้และร่ารวย เรว็ ดว้ ย แต่มิใช่สาเหตุทแี่ ท้จริงเพราะผดิ กฎหมายและศีลธรรม การรู้ว่าอะไรคือความเจริญ อะไรคือสาเหตุให้ เกิดความเจรญิ อย่างแท้จริงเป็นปัญญาประการท่ี ๒ ๓) ปัญญารจู้ กั วธิ กี ารละเหตแุ ห่งความเสอื่ มและสร้างเหตุแห่งความเจริญ (อุปายโกศล) คือ รู้ทั้งสองด้าน เรียกว่า “รู้ครบวงจร” คนที่รูจ้ ักความเส่อื มและเหตุแหง่ ความเส่ือม อาจเพียงระมัดระวังไม่ทาความชั่วเท่าน้ัน แตอ่ าจไม่ทาความดีหรือสร้างสรรค์ประโยชน์อะไร ให้แกต่ นและสังคมก็ได้และในบางกรณีอาจระวังตัวมากจน กลายเป็นโทษกไ็ ด้ ยกตวั อยา่ ง ขา้ ราชการระดบั สงู รูว้ ่าการเซ็นอนุมัติอะไรง่ายๆ อาจทาให้ผิดพลาดถึงข้ันออก จากงานหรอื ติดคกุ ได้ จงึ ระมดั ระวังไมย่ อมเซ็นอนมุ ัตอิ ะไรงา่ ยๆ แมแ้ ตเ่ รือ่ งท่ีเป็น “กิจวัตรประจาวัน” จึงอาจ ทาให้งานลา่ ช้าเกดิ ความเสยี หายแก่ราชการได้ในบางเรอื่ งบางกรณี ในทางตรงกันขา้ ม ถ้ามองแตใ่ นแงค่ วามเจรญิ และเหตุแหง่ ความเจริญอยา่ งเดียวก็อาจทาให้ไม่ระมัดระวัง เพราะคดิ แตจ่ ะไดป้ ระโยชนก์ ็ได้ ยกตวั อย่างเช่น ชาวนาชาวสวนเห็นท่ีดินราคาแพงข้ึนคิดว่าเป็นโอกาสได้เงิน มหาศาล จึงขายไร่นาท่ีเป็นมรดกตกทอดมานานได้เงินหลายสิบล้านบาท แรกๆ ก็แบ่งขายแต่เม่ือเห็นว่าได้ ราคาดมี าจงึ ขายจนหมดเพราะไม่มีความรู้ ในการบริหารเงินจานวนมากขนาดน้ี จึงเอาเงินไปซื้อรถป๊ิกอัพบ้าง รถจักรยานยนตบ์ ้าง แจก ลูกหลานคนละคันสองคน ซ้ือวัตถุอานวยความสะดวกบารุงบาเรอชีวิตมากมาย ไม่ นานเงินที่ได้จากการขายไร่นาก็ร่อยหรอหมดไป ในท่ีสุดก็มาเช่านายทุนทากินบนท่ีดินดั้งเดิมของตนน้ันเอง

อยา่ งนเ้ี รียกว่ามองแตผ่ ลท่จี ะได้ มองเห็นแต่ความเจริญด้านเดียว ไม่รู้จักมองด้านเสื่อม ซึ่งอาจจะมีผลตามมา ได้ผู้ทฉ่ี ลาดแทจ้ ริงจะตอ้ งมีปญั ญาทั้ง ๓ ประการ คือ ๑. รทู้ างเสอื่ มและผลของทางเสื่อม รทู้ างเจรญิ และผลของทางเจรญิ ๒. รอู้ ุบายหรือวิธแี ก้และปอู งกันความเส่อื ม ๓. ร้วู ิธีสรา้ งความเจริญและรักษาความเจริญให้คงอยู่ ตลอดถึงสง่ เสรมิ ใหเ้ จรญิ ย่ิงๆ ขน้ึ ไปอีกด้วย พระพุทธศาสนาเน้นว่าศรัทธาท่ีถูกต้องจะต้องเป็นความเช่ือในความดีงามของมนุษย์ เชื่อม่ันในการ กระทาของตนเอง ศรัทธาที่ถูกต้องจะต้องไม่ใช่ความเช่ือ “ฝังหัว” อย่างมืดบอด ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หาก เป็นไปเพื่อให้เกิดปัญญา รู้ผิดชอบชั่วดี รู้ทางเสื่อมทางเจริญ และรู้วิธี ละทางเสื่อมสร้างสรรค์ทางเจริญ พระพทุ ธศาสนาเกิดขึน้ ทา่ มกลางสภาพสังคมในอินเดียทเ่ี ต็มไปด้วยปัญหาว่นุ วายนานปั การ ขณะที่คาสอนหรือ แนวคิดใดๆ กย็ ังไม่สามารถชว่ ยแก้ปัญหาความคับข้องใจของผู้คนในสังคมอินเดียขณะน้ันได้ พระพุทธศาสนา จึงเปน็ ส่งิ แปลกใหม่ในสังคมอนิ เดยี เป็นแรงดงึ ดูดใหผ้ คู้ นหันมาศึกษาและยอมรบั นับถอื พระพุทธศาสนากันเป็น จานวนมาก แม้วา่ คาสอนของพระพุทธศาสนาจะแตกต่างจากหลักคาสอนของศาสนาอื่นๆหรือลัทธิความเชื่อ อ่ืนๆ ทใี่ น อนิ เดียนับถอื กันมากอ่ นหน้านน้ั กต็ าม ทง้ั นเ้ี พราะพระพุทธศาสนาน้ันปฏิเสธความเชื่อเร่ืองพระเจ้า แลว้ สอนให้มนุษย์พิจารณาสรรพส่ิงที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงตามธรรมชาติ พิจารณาหาสาเหตุและผลลัพธ์ ของการกระทา นอกจากน้ีลักษณะเดน่ ของพระพทุ ธศาสนาท่ี ทาใหผ้ ้คู นหันมานับถอื กนั มากมายนั้น คือ การมี ทฤษฎีทเ่ี ปน็ สากล มขี ้อปฏิบตั ทิ ่ยี ดึ หลกั ทางสายกลางและมุ่งเนน้ การพัฒนาศรทั ธาทีถ่ กู ตอ้ งหรืออาจจะกล่าวได้ วา่ พระพทุ ธศาสนาเปิดโอกาสให้มนุษย์ใช้ปัญญาพิจารณาตัดสินทุกๆ สิ่งตามความจริงด้วยตนเอง ไม่มีโอกาส กาหนดกฎเกณฑข์ บู่ ังคบั ใดๆ เมอ่ื มนุษย์พิจารณาความเห็นความจรงิ ตามคาสอนในพระพุทธศาสนาแล้ว จึงหัน มาศรทั ธาและนบั ถอื พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลักในการดาเนินชวี ติ สบื ทอดมาจนปัจจบุ ันนนั่ เอง นักเรยี นควรรู้ การพัฒนาปญั ญาหรือการเจริญปัญญาใหง้ อกงามสามารถทาได้ ๓ ทาง คือ สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจาก การฟัง ประโยชน์หลัก คือ ทาให้เข้าใจสิ่งท่ีเราไม่เคยรู้มาก่อนหรือเข้าใจส่ิงนั้นชัดเจนย่ิงขึ้น จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิด ประโยชน์หลัก คือ การเกิด ความรู้ความเข้าใจท่ีถูกต้องชัดเจนข้ึนในส่ิงที่เรารับฟังมา และภาวนามยปัญญา ปญั ญาเกดิ จากการลงมือทา ประโยชนห์ ลกั คอื ความรู้ความเข้าใจในส่ิงที่ได้รับพิจารณา อยา่ งสมบูรณ์ จากการลงมือปฏิบตั ิด้วยตนเอง

ใบกิจกรรมที่ ๑.๑ เร่ือง การดาเนินชีวิตบนหลกั ธรรม คาชี้แจง ให้นักเรยี นศกึ ษาค้นควา้ เรือ่ งพระพทุ ธศาสนาเน้นการพัฒนา ศรทั ธาและปัญญา พรอ้ มอธิบายหัวข้อ ตา่ งๆ ในแบบกจิ กรรมดงั ตอ่ ไปนี้ จากนนั้ เขยี นคาตอบลงในกระดาษที่ครูแจกให้ ๑. ใหน้ กั เรียนตอบคาถามหรือเขียนคาอธบิ ายสัน้ ๆ ๑.๑ พระพุทธศาสนามีทฤษฎีทีเ่ ป็นสากล หมายความว่าอย่างไร ๑.๒ พระพทุ ธศาสนามีข้อปฏบิ ตั ทิ ย่ี ึดทางสายกลาง หมายความว่าอยา่ งไร ๑.๓ การพฒั นาศรทั ธาและปญั ญาท่ีถูกตอ้ งตามหลกั พระพุทธศาสนานนั้ มีลกั ษณะสาคญั อย่างไรจงอธิบาย ๒. ให้นักเรยี นนาข้อมลู ขา่ วสารมาวเิ คราะห์ตามหวั ข้อทกี่ าหนด ๒.๑ ชอื่ ข่าว ๒.๒ ปัญหาสาคญั ของข่าวคอื อะไร ๒.๓ สาเหตทุ ่ีทาใหเ้ กดิ ปญั หานน้ั ได้แก่อะไรบา้ ง ๒.๔ ควรนาหลกั ธรรมใดมาเปน็ แนวทางการแก้ปัญหา อธิบายพร้อมยกตวั อย่างประกอบ ๒.๕ ผลที่คาดวา่ จะไดร้ ับคืออะไร อธิบายพรอ้ มยกตวั อย่างประกอบ

ตวั อย่างข่าว ม.1 เครียดฆา่ ตัว! สอบตก 10 วชิ า พ่อใจสลายอึง้ เจอ จม.ลกู เขียนโวยครตู จี นไมเ้ รยี วหกั เม่อื วันที่ 20 มี.ค. ร.ต.อ.เรืองสิทธิ์ นาวีรัตนวิทยา รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.บ่อวิน จ.ชลบุรี รับแจ้ง เหตมุ เี ดก็ ชายผกู คอตาย ภายในบา้ นพัก ต.บ่อวนิ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี จึงประสานแพทย์เวร แล้วรุดไปตรวจสอบ พร้อมตารวจฝาุ ยสบื สวนและหน่วยกภู้ ยั เพย้ี วเยีย้ งไท้ ศรรี าชา ท่ีเกดิ เหตเุ ป็นบา้ นพักชน้ั เดียว บริเวณห้องครัวหลังบ้าน พบศพด.ช.เอ (นามสมมติ) อายุ 14 ปี สวมชุด กีฬาสีน้าเงิน ใช้เชือกไนล่อนสีขาวแขวนคอกับคาน ใกล้ศพมีเก้าอ้ีพลาสติกสีแดง 1 ตัววางอยู่ หน่วยกู้ภัยจึงนา รา่ งลงมาใหแ้ พทยช์ นั สูตร ระบุเสยี ชีวติ มาไมต่ า่ กวา่ 2 ช่ัวโมง ตรวจสอบตามร่างกายไม่พบร่องรอยการถูกทาร้าย นอกจากน้นั ยงั พบกระดาษเขยี นข้อความ มีใจความระบุว่า “ไปเรยี นมกั จะมีคนประจบสอพลอหลอกลวง และครู ตบี ่อยมากจนไมห้ กั เกลยี ดทุกคน ยกเวน้ เพ่ือนรัก” เจ้าหน้าที่จึงเกบ็ ไว้เป็นหลักฐาน สอบสวนผูเ้ ปน็ พอ่ อายุ 40 ปซี ่งึ เสียใจรอ้ งไห้อยู่ตลอดเวลา ให้การว่า ลูกเรียนอยู่ช้ันม.1 กาลังจะข้ึนม.2 เปน็ เด็กเรียนไม่เก่ง แตว่ า่ ไม่เคยเกเร ไปเรียนอยู่สม่าเสมอ กลบั มามกั จะช่วยทาความสะอาดที่บ้าน แต่มาวันนี้ลูก ตอ้ งไปแกผ้ ลการเรยี น 10 วชิ าท่ีโรงเรียน ซึง่ ตนก็ไม่คดิ วา่ ลกู จะตัดสินใจทาแบบนี้ และรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่ เกดิ ข้นึ ซ่งึ ได้ติดตอ่ ไปยังครูผูฝ้ ึกสอน แต่ก็ได้ข้อมูลว่าคณะครูได้ไปอบรมที่ต่างจังหวัด จากนั้นเจ้าหน้าท่ีนาศพส่ง ชันสตู รท่ีโรงพยาบาลแหลมฉบัง กอ่ นสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป ท่ีมา : https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_864620 สบื ค้นเมื่อวนั ท่ี 18 เมษายน 2562

ตัวอย่างขา่ ว ด.ช. 14 ปี ยิงตัวตาย! อกหักผูห้ ญิงทิ้ง ขโมยปนื พ่อจอ่ ขมับดบั เกิดเหตุสลดใจ เมื่อนักเรียนชาย ม.2 ที่หาดใหญ่ อายุแค่ 14 ปี อกหักจากผู้หญิงที่ไปหลงรัก กลับบ้าน ปดิ ห้องเงียบ ก่อนที่คนในบ้านจะสะดงุ้ กลางดึก เมื่อมเี สยี งปนื ดงั ข้นึ ไปดพู บว่าใชป้ ืนจ่อขมับฆ่าตัวตายแล้ว เขียน จม.ทิง้ ไว้ 2 ฉบบั ขอโทษแม่ และตดั พอ้ ฝุายหญิง... เมอื่ เวลาส่ีทมุ่ วันที่ 18 ก.ค. ที่ผา่ นมา ร.ต.ท.กาพล ภทั รพงค์พนั ธ์ รอ้ ยเวร สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ได้รับ แจง้ เหตคุ นยิงตวั ตาย ท่ีบ้านพัก ต.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จงึ รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จากน้ันรุดไปตรวจสอบ พร้อมด้วย พ.ต.อ.สุรพงศ์ กิตติธิรางกูร หัวหน้าสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ สภ.หาดใหญ่ พ.ต.ต.วราพงษ์ หะยีหวัง สวป. ชดุ สบื สวน และเจา้ หนา้ ที่มูลนิธิทง่ เซ่ยี เซีย่ งตงึ๊ หาดใหญ่ ที่เกดิ เหตุเปน็ บ้านปูนสองช้นั ในห้องนอนชั้นสองพบศพ ด.ช.หนุ่ย (นามสมมติ) อายุ 14 ปี เสียชีวิต ใน ชดุ เส้อื ยดื แขนสน้ั สเี หลอื ง กางเกงวอร์มขายาวสีน้าเงิน ท่ีขมับขวามีบาดแผลถูกกระสุนปืนยิงเข้า 1 นัด นอนจม กองเลือดเสยี ชีวิตอย่บู นเบาะนอนภายในห้อง ตรวจขา้ งศพพบ อาวุธปนื ขนาด 9 มม. ตกอยู่ปลายเทา้ 1 กระบอก และปลอกกระสุนปืนขนาดเดียวกัน อีก 1 ปลอก โทรศพั ท์มือถอื เสียบชาร์จไฟอยู่ 1 เครื่อง นอกจากน้ี ยังพบจดหมายมีข้อความถึงแม่ 1 ฉบับ บอก เสียใจ และขอโทษต่อครอบครวั โดยเฉพาะแม่ และถึงแฟนสาว 1 ฉบบั มีข้อความ ทานองตัดพ้อน้อยใจแฟนที่ไม่ สนใจผตู้ าย ตารวจจึงเกบ็ ไว้เปน็ หลักฐาน จากการสอบสวนญาตทิ ราบวา่ ผตู้ ายนกั เรียนช้ัน ม.2 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.หาดใหญ่ ก่อนเกิดเหตุ ได้ กลับเขา้ บา้ นมาแลว้ เกบ็ ตวั เงยี บ ญาติคิดว่าคงนอนหลับไปจึงไม่ได้สนใจ กระท่ังดึกจึงได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ญาตพิ ากนั ว่งิ ไปดู พบวา่ ใช้ปืนจอ่ ขมับลนั่ ไกปลิดชวี ิตตวั เองเป็นศพไปแลว้ จงึ แจ้งตารวจมาพลกิ ศพ เบ้ืองตน้ คาดวา่ ผตู้ าย อาจไปหลงรักหญิงสาวนกั เรยี นรว่ มโรงเรียนคนหนงึ่ ตามประสาวัยรนุ่ แต่ฝุายหญิง ไม่เลน่ ด้วย หรืออาจจะคบกันแล้ว มาบอกเลิกตัดความสัมพันธ์ จึงทาให้ผู้ตายอกหัก คิดมาก และด่วนตัดสินใจ เน่ืองจากยังเป็นเด็ก จึงเขียนจดหมายลาตายท้ิงไว้ ถึงครอบครัวและผู้หญิงที่ตน รัก แล้ว ไปขโมยปืนของ ผู้ปกครองมายิงตัวตายดงั กล่าว หลงั พลกิ ศพแล้ว ญาตไิ มต่ ดิ ใจถึงสาเหตกุ ารตาย ทางเจ้าหนา้ ที่จึงได้มอบศพให้ไป ทาพธิ ที างศาสนาตอ่ ไป. ที่มา : https://www.thairath.co.th/content/512702 สืบค้นเม่อื วนั ที่ 18 เมษายน 2562

เฉลยใบกจิ กรรมที่ ๑.๑ เร่ือง การดาเนนิ ชีวิตบนหลักธรรม คาชแ้ี จง ใหน้ ักเรียนศกึ ษาคน้ คว้าเร่ืองพระพทุ ธศาสนาเนน้ การพัฒนา ศรัทธาและปัญญา พรอ้ มอธิบายหัวข้อ ตา่ งๆ ในแบบกจิ กรรมดังตอ่ ไปนี้ จากนัน้ เขยี นคาตอบลงในกระดาษทคี่ รแู จกให้ ๑. ให้นกั เรยี นตอบคาถามหรอื เขียนคาอธบิ ายสนั้ ๆ (๔ คะแนน) ๑.๑ พระพทุ ธศาสนามีทฤษฎที เี่ ปน็ สากล หมายความว่าอยา่ งไร ทฤษฏที ่ีเปน็ สากลของพระพทุ ธศาสนา คอื อรยิ สจั ๔ หรือหลักความจรงิ อันประเสริฐ ดังน้ี ๑) สอนวา่ ชวี ติ และโลกนีม้ ีปญั หา ๒) สอนว่าปัญหามสี าเหตุ มิได้เกิดขน้ึ ลอยๆ ๓) สอนวา่ มนษุ ยส์ ามารถแก้ปัญหาด้วยตนเอง ๔) สอนว่าการแก้ปญั หานัน้ ต้องใช้ปัญญาและความพากเพยี ร ๑.๒ พระพทุ ธศาสนามีข้อปฏบิ ตั ทิ ย่ี ึดทางสายกลาง หมายความวา่ อย่างไร ขอ้ ปฏิบัติทีย่ ึดทางสายกลางของพระพทุ ธศาสนา คือ มัชฌมิ าปฏปิ ทา ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ 8 ดังนี้ ๑) ความเห็นชอบ (สมั มาทิฐิ) ๒) ความดาริชอบ (สัมมาสังกปั ปะ) ๓) เจรจาชอบ (สัมมาวาจา) ๔) การกระทาชอบ (สัมมากัมมนั ตะ) ๕) การเลย้ี งชพี ชอบ (สมั มาอาชวี ะ) ๖) พยายามชอบ (สมั มาวายามะ) ๗) ระลึกชอบ (สัมมาสต)ิ ๘) ต้งั ใจมั่นชอบ (สัมมาสมาธ)ิ ๑.๓ การพฒั นาศรัทธาและปญั ญาที่ถูกตอ้ งตามหลกั พระพุทธศาสนานนั้ มลี ักษณะสาคัญอยา่ งไรจงอธบิ าย ศรทั ธาจะนาไปสกู่ ารพัฒนา มีลกั ษณะ ๓ ประการ ดังน้ี ๑) เชื่อมั่นในความดีงามของมนุษย์ เช่น เชื่อมั่นในความดีงามของพระพุทธเจ้า และ เชื่อว่าบุคคลที่ ปฏิบตั ิตามแนวของพระพุทธองค์แล้วจะบรรลถุ ึงความดงี ามนนั้ จริงกจ็ ะ ปฏบิ ัตติ าม ๒) เช่อื มน่ั ในกฎแห่งการกระทาและผลของการกระทา เช่น เชือ่ ว่าถ้าขยันเรียนและ ขยนั อา่ นหนงั สือก็ ยอ่ ไดร้ บั ความรูจ้ ากเรอ่ื งทอ่ี า่ น ๓) เชื่อมั่นว่ามนุษย์ต้องรับผิดชอบต่อการกระทาและผลของการกระทาน้ัน เช่น เมื่อ มีความเช่ือว่า กระทาอะไรไปแล้วย่อมไดร้ บั ผลของการกระทา ก็จะทาใหร้ ูจ้ กั ระมดั ระวังตวั การพัฒนาปัญญา มี ๓ ลักษณะ ดังน้ี ๑) ปัญญารู้จักความเส่ือม (อปายโกศล) หมายถึง รู้ว่าอะไรคือความเส่ือม อะไรคือเหตุให้เกิดความ เสือ่ ม เช่น รวู้ ่าเงินเดอื นไมพ่ อจ่าย รู้สาเหตวุ ่าฟมุ เฟอื ย ใช้จา่ ยไม่ ประหยัด ๒) ปญั ญารจู้ ักความเจรญิ (อายโกศล) หมายถงึ รวู้ า่ อะไรคือความดีความเจริญท่ีแท้จริงและรู้สาเหตุที่ ทาใหเ้ กดิ ความดีความเจริญน้ัน เช่น รู้ว่าตนมีตาแหน่งหน้าท่ีการงานดี รู้สาเหตุว่ามีความขยันปฏิบัติ หนา้ ทดี่ ว้ ยความเอาใจใส่รบั ผิดชอบ

๓) ปญั ญารจู้ ักวิธีการละเหตแุ ห่งความเส่ือมและสร้างเหตุแห่งความเจริญ (อุปาย โกศล) หมายถึง รู้ทั้ง สองด้าน คือ รู้ท้ังความเส่ือมและเหตุแห่งความเสื่อมและรู้ทั้งความดี และสาเหตุที่ทาให้เกิดความดี และความเจรญิ เช่น ร้วู า่ การขเ้ี กียจไมข่ ยันทางานจะทาให้ นายจ้างรังเกียจและรู้ว่านายจ้างชอบคนท่ี มีความซ่ือสัตย์ ตรงต่อเวลาก็พยายามปฏิบัติให้ ได้ตามที่นายจ้างต้องการก็จะทาให้มีความเจริญใน การทางาน ๒. ให้นักเรยี นนาข้อมลู ขา่ วสารมาวิเคราะหต์ ามหวั ขอ้ ทก่ี าหนด (๖ คะแนน) ๒.๑ ชอื่ ขา่ ว ๒.๒ ปัญหาสาคัญของขา่ วคืออะไร ๒.๓ สาเหตทุ ท่ี าให้เกดิ ปญั หาน้ัน ไดแ้ กอ่ ะไรบ้าง ๒.๔ ควรนาหลักธรรมใดมาเป็นแนวทางการแก้ปัญหา อธิบายพร้อมยกตวั อย่างประกอบ ๒.๕ ผลทค่ี าดว่าจะไดร้ ับคอื อะไร อธิบายพรอ้ มยกตวั อย่างประกอบ (พิจารณาตามคาตอบของนกั เรยี น โดยให้อยู่ในดลุ ยพินิจของครูผู้สอน)

ใบงานท่ี ๑.๑ เรอื่ ง ลักษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรียนเขียนแผนผังความคิดแสดงลักษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา ลกั ษณะประชาธปิ ไตย ในพระพทุ ธศาสนา

เฉลยใบงานท่ี ๑.๑ เรื่อง ลกั ษณะประชาธปิ ไตยในพระพทุ ธศาสนา คาช้ีแจง ใหน้ ักเรียนเขยี นแผนผงั ความคดิ แสดงลักษณะประชาธปิ ไตยในพระพทุ ธศาสนา การทาสงั ฆกรรม พระสงฆ์ การมมี ตเิ ป็นเอกฉนั ทใ์ นการ ต้องยดึ ถอื ประโยชน์สว่ นรวม ตรวจสอบคณุ สมบตั ผิ มู้ าขอ เป็นทตี่ งั้ บวชในพธิ อี ุปสมบท การยอมรบั ผลของการประชุม พระพทุ ธองคเ์ คารพมตสิ งฆ์ เมอื่ ตนมธี รุ ะต้องออกจาก ทปี่ ระชมุ ลกั ษณะประชาธิปไตย ในพระพทุ ธศาสนา ภกิ ษุทกุ รปู จะตอ้ งเขา้ ประชุม พระสงฆม์ คี วามสาคญั กว่า ตามหน้าที่ พระศาสดาในฐานะปัจเจกชน การตดั สนิ ปัญหาในทปี่ ระชุมสงฆ์ กจิ กรรมของพระสงฆท์ กุ รปู ใหถ้ อื เอาเสยี งขา้ งมาก ต้องถอื วา่ เป็นเรอื่ งสาคญั เช่น การประชมุ ทาอุโบสถสงั ฆกรรม

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๒ กลุ่มสาระการเรยี นรูส้ ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ช้ันประถมศึกษาปที ี่ ๕ หน่วยการเรียนรูท้ ่ี ๑ พระรัตนตรัย เรอื่ ง พระพุทธศาสนากบั หลกั วทิ ยาศาสตร์ ภาคเรียนที่ ๑ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๒ เวลาเรยี น ๒ ชว่ั โมง/สัปดาห์ หน่วยกิต ๑ (นน./นก.) ผูส้ อน นางสาวณัฐธิกา นวลหอม โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ ๓๑ เวลา ๒ ชว่ั โมง ๑. สาระสาคัญ พระพุทธศาสนามีหลักการสาคัญท่ีมีทั้งความสอดคล้องและความแตกต่างกันกับหลัก วทิ ยาศาสตร์ ส่วนวิธี การคิดของพระพุทธศาสนานัน้ มีความสอดคล้องกบั วธิ ีคิดแบบวิทยาศาสตร์ ๒. มาตรฐานการเรียนรู/้ ตัวชวี้ ัดชัน้ ปี/ผลการเรียนรู้/เปาู หมายการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรยี นรู้ ส ๑.๑ รแู้ ละเข้าใจประวัติ ความสาคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาท่ี ตนนบั ถอื และศาสนาอ่ืน มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึดม่ันและปฏิบัติตามหลักธรรม เพื่อการอยู่รวมกันอย่าง สนั ติสุข ตวั ชว้ี ดั ชัน้ ปี/ผลการเรยี นรู้ ส ๑.๑ ม.๔-๖/๗ วเิ คราะหห์ ลักการของพระพุทธศาสนากับหลกั วทิ ยาศาสตร์หรือแนวคิดของ ศาสนาทต่ี นนบั ถอื ตามท่กี าหนด ๓. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ๓.๑ ดา้ นความรู้ : Knowledge - วิเคราะห์ความสอดคล้องและความแตกต่างของหลักการของพระพุทธศาสนากับหลัก วิทยาศาสตร์ได้ - เปรียบเทยี บวธิ คี ิดแบบวทิ ยาศาสตร์กบั วิธคี ดิ ของพระพทุ ธศาสนาได้ ๓.๒ ดา้ นทักษะ/กระบวนการ : Process นักเรยี นมีทักษะกระบวนการทางานกลมุ่ ๓.๓ ดา้ นคุณลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์ : Attitude นักเรียนมีความสนใจใฝุเรียนรู้ และมีทัศนคติท่ีดีต่อการศึกษารายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ๔. สมรรถนะสาคัญของนกั เรยี น ๔.๑ ความสามารถในการคิด - ทักษะการวิเคราะห์

๕. คณุ ลกั ษณะของวชิ า - ความรบั ผิดชอบ - ความรอบคอบ - กระบวนการกลมุ่ ๖. ชิน้ งาน/ภาระงาน ๖.๑ ช้ินงาน ๑) ใบงานท่ี ๑.๒ เรอ่ื ง หลักการของพระพุทธศาสนากับหลกั วทิ ยาศาสตร์ ๒) ใบงานท่ี ๑.๓ เรอื่ ง การคิดตามนยั แหง่ พระพุทธศาสนาและการคิดแบบวทิ ยาศาสตร์ ๖.๒ ภาระงาน ๑) นกั เรยี นทากจิ กรรมกลมุ่ ๒) นกั เรยี นนาเสนอ ๗. กิจกรรมการเรยี นรู้ ขนั้ นาเขา้ สูบ่ ทเรยี น กระตนุ้ ความสนใจ ๑. ครูใหน้ ักเรยี นเล่าเหตกุ ารณต์ า่ งๆ ท่แี สดงถึงความเช่ือของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่นักเรียน เคยพบเจอในชีวิตประจาวนั ใหเ้ พอ่ื นในห้องฟงั แลว้ ให้นักเรียนช่วยกันแสดงความคิดเห็นว่าเหตุการณ์ ที่นกั เรยี นเลา่ มาน้ัน เหตุการณใ์ ดทสี่ อดคลอ้ งกับหลกั การทางวิทยาศาสตร์ ๒. ครูอธิบายเชื่อมโยงให้นักเรียนเข้าใจว่า หลักการสาคัญของวิทยาศาสตร์คือเชื่อในเหตุผล กอ่ นจะเชอื่ อะไรนั้นจะต้องมีการพิสูจน์ให้เห็นจริง มีหลักฐานมายืนยัน ถ้ามีข้อสงสัยอะไรต้องพิสูจน์ จนได้คาตอบท่ีแท้จริง ซ่ึงหลักการของพระพุทธศาสนามีส่วนท่ีสอดคล้องกับหลักวิทยาศาสตร์และมี สว่ นที่แตกตา่ งกบั หลกั วิทยาศาสตร์ พร้อมยกตวั อย่างประกอบ เพือ่ ให้นกั เรียนเขา้ ใจชดั เจนมากยง่ิ ขึน้ ๓. นักเรียนตอบคาถามกระตุ้นความคดิ - นกั เรียนคิดว่า การที่นาผ้าสีเหลืองไปพันรอบต้นไม้แล้วบอกว่าเป็นการบวชต้นไม้นั้น เป็น หลกั การของพระพุทธศาสนาหรือไม่ อธิบายเหตุผล (พิจารณาตามคาตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ใน ดุลยพินิจของครูผ้สู อน) ขัน้ สอน สารวจคน้ หา ๔. ครใู หน้ กั เรยี นกลมุ่ เดิม (จากแผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ ๑) ร่วมกันศกึ ษาความรู้เร่ืองหลักการ ของพระพุทธศาสนากับหลักวิทยาศาสตร์ จากหนังสือเรียน หนังสือค้นคว้าเพ่ิมเติม ห้องสมุด และ แหลง่ ขอ้ มลู สารสนเทศ ในหัวข้อตอ่ ไปน้ี ๑) ความสอดคลอ้ งกนั ๒) ความแตกต่าง

อธบิ ายความรู้ ๕. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มจับคู่กันเป็น ๓ คู่ ให้แต่ละคู่ช่วยกันทาใบงานที่ ๑.๒ เรื่อง หลักการของพระพุทธศาสนากบั หลักวิทยาศาสตร์ ๖. นกั เรียนแต่ละคนู่ าผลงานของคตู่ นเองมาอธิบายแลกเปล่ยี นกับเพ่ือนอีกคู่หน่ึงภายในกลุ่ม แลว้ ชว่ ยกันตรวจสอบความถูกต้องของคาตอบ แลว้ หลอมรวมเป็นผลงานของกล่มุ ๗. ครูสุ่มตัวแทนกลุ่มนาเสนอผลงานในใบงานที่ ๑.๒ กลุ่มละ ๑ หัวข้อ แล้วให้กลุ่มอ่ืนที่มี ผลงานแตกต่างกนั ออกไปนาเสนอเพมิ่ เตมิ ๘. นักเรยี นตอบคาถามกระตนุ้ ความคดิ - หลกั การของพระพุทธศาสนามคี วามคล้ายคลึงกบั หลักวิทยาศาสตร์อย่าไร (การเชื่อในส่ิงใด จะต้องมเี หตผุ ลและพสิ ูจนไ์ ด้) ขยายความเขา้ ใจ ๙. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาความรู้เพิ่มเติมเรื่อง การคิดตามนัยแห่ง พระพทุ ธศาสนาและการคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์ จากหนังสือเรียน และศึกษาใบความรู้ เรื่อง วิธีคิดตาม หลักพุทธธรรม (โยนิโสมนสิการ) แล้วช่วยกันทาใบงานท่ี ๑.๓ เรื่อง การคิดตามนัยแห่ง พระพทุ ธศาสนาและการคิดแบบวทิ ยาศาสตร์ ๑๐. นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอผลงานในใบงานท่ี ๑.๓ หน้าชั้นเรียน ครูและเพ่ือนนักเรียน ตรวจสอบความถูกตอ้ ง และแสดงความคดิ เหน็ เพม่ิ เตมิ ๑๑. นกั เรยี นตอบคาถามกระตุ้นความคดิ - วิทยาศาสตร์เน้นควบคุมธรรมชาติ แต่พระพุทธศาสนาจะเน้นการควบคุมในเรื่องใด (การ ควบคมุ จติ ใจ และการอย่รู ว่ มกนั อย่างสงบสุข) ตรวจสอบผล ๑๒. ครูตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของนักเรียนจากการทาใบงานที่ ๑.๒ - ๑.๓ และจาก การนาเสนอผลงานของนกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ ข้ันสรปุ ๑๓. ครูและนักเรยี นช่วยกนั สรปุ ลักษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา พร้อมเปิดโอกาส ให้นกั เรียนซกั ถามในประเดน็ ที่นกั เรียนสงสยั หรอื ไม่เข้าใจ ๘. ส่ือการเรียนการสอน / แหล่งเรยี นรู้ ๘.๑ ส่ือการเรยี นการสอน ๑) หนังสือเรยี น พระพุทธศาสนา ม.๕ ๒) หนงั สือเรยี นเพม่ิ เติม ๓) ใบความรู้ เรือ่ ง วธิ คี ิดตามหลกั พทุ ธธรรม (โยนโิ สมนสิการ) ๔) ใบงานที่ ๑.๒ เรื่อง หลักการของพระพทุ ธศาสนากบั หลกั วิทยาศาสตร์ ๕) ใบงานที่ ๑.๓ เรอ่ื ง การคิดตามนัยแหง่ พระพทุ ธศาสนาและการคดิ แบบวิทยาศาสตร์

๙. การวดั ผลและประเมนิ ผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ ตรวจใบงานที่ 1.2 ใบงานที่ 1.2 ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ ตรวจใบงานที่ 1.3 ใบงานที่ 1.3 ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ ประเมินการนาเสนอผลงาน แบบประเมินการนาเสนอผลงาน ระดับคณุ ภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ สงั เกตพฤติกรรมการทางาน แบบสังเกตพฤติกรรมการทางาน ระดบั คณุ ภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ กลุ่ม กลุ่ม สังเกตความสามารถในการคิด แบบประเมินสมรรถนะสาคญั ของ ระดบั คณุ ภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ วิเคราะห์ นักเรยี น สงั เกตความมีวินยั ใฝเุ รียนรู้ แบบประเมินคณุ ลักษณะอนั พึง ระดบั คณุ ภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ และมุ่งมน่ั ในการทางาน ประสงค์ ๑๐. จุดเนน้ ของโรงเรยี น การบูรณาการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและกิจกรรมสวนพฤกษศาสตร์ โรงเรียนปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง ปรชั ญาเศรษฐกจิ ครู ผเู้ รยี น พอเพยี ง พอดีด้านเทคโนโลยี พอดีด้านจิตใจ ความพอประมาณ รจู้ ักใชเ้ ทคโนโลยมี าผลิตสอื่ ทีเ่ หมาะสมและ มีจิตสานึก ที่ดี เอื้อ อ าท ร ความมเี หตผุ ล สอดคลอ้ งเน้ือหาเป็นประโยชน์ต่อผเู้ รยี นและ ประนีประนอม นึกถึงประโยชน์ พฒั นาจากภูมิปญั ญาของผู้เรียน สว่ นรวม/กลุ่ม - ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความ ไม่หยุดนิ่งท่ีหาหนทางในชีวิต ถูกต้อง สุจริต แม้จะตกอยู่ในภาวะขาดแคลน หลุดพ้นจากความทุกข์ยาก (การ ในการดารงชวี ติ ค้นหาคาตอบเพ่ือให้หลุดพ้นจาก - ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดี ลด เลิก ส่ิงย่ัว ความไม่ร้)ู กเิ ลสให้หมดสิ้นไป ไม่ก่อความชั่วให้เป็นเคร่ือง ทาลายตัวเอง ทาลายผู้อ่ืน พยายามเพ่ิมพูน รกั ษาความดี ที่มีอย่ใู หง้ อกงามสมบรู ณย์ งิ่ ขนึ้

มภี ูมคิ มุ้ กนั ในตัวท่ีดี ภมู ิปัญญา : มีความรู้ รอบคอบ และ ภมู ิปัญญา : มีความรู้ รอบคอบ และ เงื่อนไขความรู้ เงอ่ื นไขคุณธรรม ระมดั ระวัง ระมัดระวัง สร้างสรรค์ ภมู ธิ รรม : ซ่ือสตั ย์ สุจริต ขยนั อดทน ภูมธิ รรม : ซ่อื สตั ย์ สุจรติ ขยันอดทน ตรงต่อเวลาและแบ่งปนั ตรงต่อเวลา เสยี สละและ แบง่ ปัน ความร อบรู้ เรื่ อง พ ระ รัตนตรัย ที่ ความรอบรู้ เร่ืองพระรัตนตรัย เก่ียวข้องรอบด้าน ความรอบคอบท่ีจะนา กรณีท่ีเกิดงาน ปริมาณที่เก่ียวข้อง ความรู้เหล่าน้ันมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน การคานวณสูตรที่ต้องใช้ สามารถนา เพอื่ ประกอบการวางแผน การดาเนินการจัด คว า มรู้ เ หล่ าน้ั น มา พิ จ าร ณ าใ ห้ กจิ กรรมการเรยี นรใู้ หก้ ับผ้เู รยี น เชื่อมโยงกัน สามารถประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจาวนั มคี วามตระหนกั ใน คุณธรรม มคี วาม มีความตระหนักในคุณธรรม มี ซอื่ สตั ยส์ จุ รติ และมีความอดทน มีความ ความซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน เพียร ใช้สตปิ ัญญาในการดาเนนิ ชวี ติ มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการ ดาเนินชวี ิต กิจกรรม ครู ผเู้ รยี น สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน ตน้ ไม้ทีพ่ ระพทุ ธเจา้ ประสตู ิ ตน้ ไม้ที่พระพทุ ธเจ้าประสตู ิ ตรสั รู้ ต้นไม้ท่ีพระพทุ ธเจ้าประสตู ิ ตรสั รู้ ปรนิ ิพพาน ตรสั รู้ ปรนิ พิ พาน ปรนิ พิ พาน - ประวตั แิ ละความเป็นมาของ - อธิบายชนิดของต้นไม้ - ร ะ บุ ช นิ ด ข อ ง ต้ น ไ ม้ แ ล ะ ต้นไม้ท่ีพระพทุ ธเจ้าทรง ประสูติ ตรสั รู้ และปรนิ พิ าน และประวัติความเป็นมา ประวัติความเปน็ มาของต้นไม้ ของต้นไม้ท่ีพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าทรงประสูติ ทรงประสูติ ตรัสรู้ และ ตรสั รู้ และปรนิ พิ าน ปรนิ ิพาน

๑๑. ขอ้ เสนอแนะ □ ใชส้ อนได้ □ ควรปรบั ปรงุ ......................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ความคิดเหน็ อ่ืนๆ ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................... ลงชอื่ ………..………….......………….……… (นายนกิ ร ไชยบตุ ร) ครพู เ่ี ลี้ยง วันท.่ี .......เดอื น....................พ.ศ. ๒๕๖๒

๑๒. บันทึกหลังการจัดการเรยี นรู้ ๑๒.๑) ผลทเ่ี กดิ ขึ้นกับนักเรยี น ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ ๕ ด้านความรู้ จานวนนกั เรียนที่ผา่ นเกณฑ.์ .....................คน คิดเป็นร้อยละ................... จานวนนกั เรยี นที่ไมผ่ า่ นเกณฑ์..................คน คดิ เปน็ ร้อยละ................... ดา้ นทักษะกระบวนการ จานวนนกั เรยี นท่ผี า่ นเกณฑ์......................คน คดิ เป็นรอ้ ยละ................... จานวนนกั เรียนทีไ่ ม่ผา่ นเกณฑ.์ .................คน คิดเป็นร้อยละ................... ดา้ นคณุ ลกั ษณะทีพ่ ึงประสงค์ จานวนนักเรียนทผ่ี ่านเกณฑ์......................คน คิดเปน็ ร้อยละ................... จานวนนกั เรียนท่ีไม่ผ่านเกณฑ.์ .................คน คดิ เปน็ ร้อยละ................... ด้านสมรรถนะผเู้ รียน จานวนนักเรียนที่ผ่านเกณฑ.์ .....................คน คดิ เปน็ ร้อยละ................... จานวนนักเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ.์ .................คน คิดเป็นรอ้ ยละ................... ๑๒.๒) ปัญหาและอุปสรรค ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ๑๒.๓) แนวทางการแก้ปัญหา ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ (ลงชอ่ื )……………………………….…………… (นางสาวณฐั ธิกา นวลหอม) ผู้สอน วันท่ี........เดอื น....................พ.ศ. ๒๕๖๒

๑๓. ความเหน็ ของหวั หนา้ กล่มุ สาระ/สายชน้ั ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ (ลงชื่อ)……………………………….…………… (นายนกิ ร ไชยบุตร) หวั หน้ากลุ่มสาระ/สายชั้น วนั ท.ี่ .......เดือน....................พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑๔. ความเห็นของฝาุ ยวชิ าการ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ (ลงช่อื )……………………………….…………… (นางสาวรัตตกิ าล ยศสุข) หวั หนา้ ฝาุ ยวิชาการ วนั ท่ี........เดอื น....................พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑๕. ความเห็นของผู้อานวยการโรงเรยี น ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ (ลงช่อื )……………………………….…………… (นางวลิ าวลั ย์ ปาลี) ผอู้ านวยการโรงเรียน วนั ที่........เดือน....................พ.ศ. ๒๕๖๒

ใบความรู้ เร่อื ง วิธคี ดิ ตามหลักพทุ ธธรรม(โยนิโสมนสกิ าร)  ความหมายของวิธีคิดแบบโยนโิ สมนสิการ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้อธิบายความหมายของโยนิโสมนสิการไว้ว่า โยนิโส มนสกิ าร คือ การคิดอยา่ งถูกวิธี คิดอยา่ งมีระเบียบ คิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง เป็นข้ันตอนสาคัญในการ สร้างปญั ญาที่บริสทุ ธิ์ เป็นอิสระ ทาให้ทุกคนช่วยตนเองได้ และนาไปสู่จุดมุ่งหมายของพุทธธรรมอย่าง แท้จริง (พระพรหมคณุ าภรณ.์ 2546 : 669-676)  ความสาคัญ วิธีคิดแบบโยนิโสมนสกิ าร เปน็ วิธคี ิดทีม่ จี ดุ มงุ่ หมายที่จะสกัดหรือกาจัดอวิชา (ความไม่รู้) และ บรรเทาตัณหา (ความอยาก) โดยตรง กล่าวคือ ผู้ที่รู้จักคิดแบบโยนิโสมนสิการย่อมจะมีความรู้ความ เข้าใจในสง่ิ ต่างๆ ตามความเป็นจริง เป็นผู้ที่คิดเป็น คิดอย่างมีเหตุผล ซึ่งจะเป็นทางที่เข้าถึงความจริง ท้ังหลาย ทาให้รู้จักใช้ส่ิงท้ังหลายให้เป็นประโยชน์ ถ้าบุคคลทุกคนคิดเป็นก็ย่อมคิดในส่ิงที่ถูกต้อง ไม่ ปลอ่ ยใจให้หลงใหลเพลิดเพลนิ ในวฒั นธรรมจากภายนอกทีห่ ล่ังไหลเข้ามา ซึ่งในสภาพการณ์ปัจจุบันมี การพฒั นาเทคโนโลยีในทุกดา้ น ตลอดทั้งเปน็ ยคุ ข้อมูลข่าวสาร ความเจริญทางด้านวัตถุเป็นส่ิงเร้าย่ัวยุ ให้คนหลงใหลไปกับความยั่วยวนต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา ถ้าบุคคลคิดเป็นก็ย่อมเกิดปัญญา ไม่ปล่อยใจให้ เพลิดเพลินหลงใหลในความสาเร็จต่างๆ ในโลกสมมุติ กลับเห็นคุณและโทษของมัน มีปัญญาในการ สลัดส่ิงไม่ดีออกไป อีกท้ังรู้จักคิดที่จะดารงชีวิตให้ตั้งอยู่ในทิศทางที่เหมาะสม ส่งผลต่อความสุขสงบ ของชีวิตและถ้าทุกคนในสังคมยึดถือแนวคิดแบบโยนิโสมนสิการ ก็ย่อมส่งผลต่อความสงบสุข ความ เปน็ ระเบียบเรียบรอ้ ยของสังคมตลอดไป  องคป์ ระกอบ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยตุ โฺ ต) ได้ประมวลวิธีคิดแบบโยนิโสมนสกิ ารออกเปน็ 10 วิธี ดงั นี้ (พระพรหมคุณาภรณ.์ 2546 : 676-727) 1. วิธีคิดแบบสบื สาวเหตปุ จั จัย 2. วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ 3. วิธีคิดแบบสามญั ลักษณ์ หรือวิธคี ิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา 4. วิธีคิดแบบอริยสจั จ์ หรือวิธคี ิดแบบแก้ปญั หา 5. วิธีคิดตามหลักการและความมุ่งหมาย หรือวิธคี ิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ 6. วิธีคิดแบบคณุ โทษและทางออก 7. วิธีคิดแบบคุณค่าแท้-คุณค่าเทียม

8. วิธีคิดแบบอุบายปลกุ เร้าคุณธรรม หรือวิธคี ิดแบบปลุกเรา้ คณุ ธรรม (แบบกศุ ลภาวนา) 9. วิธีคิดแบบเปน็ อยกู่ บั ปัจจบุ นั 10. วิธีคิดแบบวิภัชชวาท หรือวิธคี ิดแล้วแสดงออกเปน็ วิภัชชวาท (พดู จาแนก)  แนวทางการฝกึ คิดแบบโยนโิ สมนสิการ ในการฝึกแบบโยนิโสมนสิการทั้ง 10 วิธีน้ัน ครูผู้สอนสามารถฝึกให้นักเรียนรู้จักคิดได้หลาย ลกั ษณะ เช่น จากการยกตวั อย่างประกอบ การวิเคราะห์จากภาพ จากนิทาน จากเหตุการณ์ในปัจจุบัน ฯลฯ ดงั ตัวอย่างต่อไปนี้ 1. วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจยั คือ พิจารณาเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ทีเ่ ป็นผล กล่าวคือ การพิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขนึ้ จากการกระทาต่างๆ แล้วสืบค้น สบื สาวไปถึงสาเหตุที่ทาให้เกิดผลน้ัน อาจทาโดยการหาความสัมพันธ์หรือการตั้งคาถามแล้วหาคาตอบ เมื่อหาคาตอบที่แท้จริงแล้วย่อม สามารถสืบสาวไปถึงวิธีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ให้รู้จักสภาวะที่แท้จริง หรือพิจารณาปัญหา หา หนทางแก้ไข ดว้ ยการค้นหาสาเหตแุ ละปจั จยั ต่างๆ ทีส่ ัมพนั ธ์ส่งผลสบื ทอดกนั มา ตัวอย่างคาถามทีฝ่ กึ ใหค้ ิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย ทาไมนักเรยี นจึงขดี ฝาผนงั ห้องเรียน เพราะสนุกที่ไดข้ ีดเขียน ทาไมจึงมคี วามสนกุ ต่อการขดี เขียน เพราะได้ทาตามใจตนเอง ทาไมนกั เรยี นจึงทาอะไรตามใจตนเอง เพราะไม่มรี ะเบียบวินยั ทาไมนกั เรยี นจึงไม่มรี ะเบียบวินยั เพราะไม่เห็นความสาคัญของระเบียบวินยั ทาไมนักเรยี นจึงไม่เห็นความสาคญั ของระเบียบวินัย เพราะไม่มผี ู้ชนี้ า เมอ่ื สบื สาวไปพบสาเหตุท่ีแทจ้ รงิ แล้วก็ต้องแก้ไขปัญหาที่สาเหตุ คือ ต้องมีผู้ชี้นาสร้างความตระหนักแก่ นักเรียนเพ่ือให้เหน็ ความสาคญั ของการมรี ะเบียบวินัย - เพราะครูชี้นาด้วยการจัดกิจกรรมสร้างความตระหนักแก่นักเรียนเพื่อให้เห็นความสาคัญของการมี ระเบียบวินยั นกั เรียนก็จะเห็นความสาคัญของการมีระเบียบวินยั นกั เรยี นกจ็ ะเห็นความสาคัญ ของการมีระเบียบวินัย - เพราะนักเรียนเห็นความสาคญั ของการมีระเบียบวินยั นักเรยี นจึงไม่ทาอะไรตามใจตนเอง - เพราะนกั เรียนไมท่ าอะไรตามใจตนเอง นกั เรยี นจึงไม่ขดี เขียนฝาผนงั ห้องเรียน - เพราะนกั เรียนไมข่ ีดเขียนฝาผนงั ห้องเรียน จึงไม่มรี อยขีดเขียนสกปรกบนฝาผนงั ห้องเรียน การแกป้ ัญหาเมอ่ื มีรอยขีดเขียนฝาผนงั ห้องเรยี นน้ันจะต้องสบื สาวไปหาสาเหตทุ แ่ี ท้จริง แล้วแก้ปัญหาที่ สาเหตุ เมอ่ื แกป้ ัญหาไดแ้ ลว้ คอื ผลการคดิ แบบสบื สาวเหตุปัจจัย

2. วิธีคิดแบบแยกแยะสว่ นประกอบ หรือกระจายเน้อื หา เปน็ การคิดที่มุ่งให้มองและให้รู้จัก ส่งิ ท้ังหลายตามสภาวะของมนั เองอีกแบบหนึ่ง ในทางธรรมมักใช้พิจารณาเพือ่ ให้เห็นความไมม่ ีแก่นสาร หรือความไมเ่ ป็นตวั ไม่เป็นตนทีแ่ ท้จริงของส่งิ ท้ังหลาย วิธีคิดแบบน้ีจะฝึกให้คิดแบบแยกแยะองค์รวมของสิ่งต่างๆ และยังมีการคิดวิเคราะห์จัดประเภท หมวดหมู่ขององค์ประกอบนั้น กล่าวคือ เมื่อแยกแยะส่วนประกอบออกก็เห็นภาวะที่องค์ประกอบ เหล่านั้นอาศัยกันและขึ้นต่อเหตุปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไม่เป็นตัวของมันเองโดยแท้จริงยิ่งกว่าน้ัน องค์ประกอบและเหตุปัจจัยต่างๆ เหล่าน้ันล้วนเป็นไปตามกฎธรรมดา มีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ไม่ เที่ยงแท้ ไม่คงที่ ไม่ย่ังยืน ซึ่งการคิดแบบนี้จะทาให้เห็นความไม่มีแก่นสารหรือความไม่เป็นตัวตนที่ แท้จริงของสง่ิ ท้ังหลายให้หายยึดติดถอื ม่ันในสมมตุ ิบญั ญตั ิ 3. วิธีคิดแบบสามัญลักษณ์ หรือวิธีคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา คือ มองอย่างรู้เท่าทันความ เป็นไปของส่ิงท้ังหลาย ซึ่งจะต้องเป็นอย่างน้ันๆ ตามธรรมดาของมันเอง ในฐานะที่มันเป็นส่ิงซึ่งเกิด จากเหตุปัจจัยต่างๆ ปรุงแต่งขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็จะต้องดับไป ไม่เที่ยงแท้ ไม่คงที่ ไม่ยั่งยืน ไม่คงอยู่ ตลอดไป เป็นอนิจจัง ผู้ที่สามารถคิดแบบสามัญลักษณ์ได้ มักเป็นผู้ที่มีสติ ไม่วู่วาม มองทุกส่ิงว่าเมื่อ เกิดขนึ้ ได้ก็เปลีย่ นแปลงได้ดับสูญได้ ไม่มีใครจะครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างได้ตลอดไป บุคคลที่คิดเช่นนี้ จะเปน็ ผไู้ มป่ ระมาท มีสติ ภาพที่ 1 ภาพที่ 2 หญงิ สาวในภาพที่ 1 เป็นสาวสวยแตต่ ่อไปอีก 30 ปีข้างหน้าความสาวสวยก็จะหมดไป มีความแก่ชรา มาแทนที่ หญงิ สาวในภาพที่ 2 ในอดตี 30 ปีทีแ่ ลว้ กเ็ ป็นหญงิ สาว และมีความสวยในอดตี จากท้ัง 2 ภาพนีจ้ ะเห็นว่าหญงิ ทั้ง 2 คนไม่สามารถทาให้ร่างกายคงอยู่ในสภาพที่ต้องการได้ สังขารจึง ไมเ่ ที่ยงแท้

ผู้ที่คิดเป็นตามแบบสามัญลักษณ์จะมีสติ ไม่หลงตนเอง ไม่หลงในคาสรรเสริญเยินยอในส่ิงที่ ตนมีอยใู่ นปจั จุบนั เช่น เดยี วกบั ผู้ที่มียศถาบรรดาศักดิ์สงู ในปัจจบุ ันกย็ ่อมไม่จีรัง สักวันหนึ่งในภายภาค หน้าก็อาจเส่อื มลงไป ดังนี้ ส่งิ ทีค่ วรเพียรกระทากค็ ือคณุ ความดที ี่จะมีอยู่ติดตวั ตลอดไป ตัวอยา่ งคาถาม - หญงิ สาวในภาพที่ 1 จะคงสภาพความสาวอยู่ไดต้ ลอดไปหรือไม่ เพราะอะไร - หญงิ ชราในภาพที่ 2 ในอดตี เมือ่ 30 ปีทีแ่ ลว้ จะมีสภาพร่างกายอย่างไร - เมื่อดูภาพที่ 1 และภาพที่ 2 แล้ว ทาให้ได้แง่คิดในเรื่องความเปล่ียนแปลงของชีวิตและร่างกาย อย่างไร - นักเรยี นได้ขอ้ คิดหรอื สติจากการเปรยี บเทียบภาพที่ 1 และภาพที่ 2 อย่างไร 4. วิธีคิดแบบอรยิ สัจจ์ หรือวิธคี ิดแบบแก้ปญั หา มีลกั ษณะ 2 ประการ คือ 4.1) คิดตามเหตุและผล หรือเป็นไปตามเหตุและผล สืบสาวจากผลไปหาเหตุแล้วแก้ไขที่ ต้นเหตุ 4.2) ต้องกาหนดรู้ และทาความเข้าใจปัญหาให้ชัดเจน แล้วคิดแก้ไขสาเหตุของปัญหาให้ ตรงจุด ตรงเรื่อง ตรงความมุ่งหมาย ไม่ฟูุงซา่ นออกไปเรื่องอืน่ และต้องเปน็ การแก้ไขทีป่ ฏิบัตไิ ด้จริง ตวั อยา่ ง ในภาพนี้มีปัญหา คือ อากาศบริเวณรอบๆ โรงงานเป็นพิษ สาเหตุจากโรงงานปล่อยควันพิษ ออกจากโรงงาน ผู้คนบริเวณนีต้ ้องการอากาศบริสุทธิ์ จึงต้องให้โรงงานจัดหาเครื่องกรองอากาศเพื่อ ไมใ่ ห้มลพิษเกิดขนึ้ ปญั หา ทีเ่ กิดขนึ้ ในภาพ คือ ควนั พิษที่ลอยอยทู่ วั่ ไป สาเหตุ คือ โรงงานปลอ่ ยควนั จากการผลติ สนิ ค้าออกไปโดยไมม่ ีการกรองอากาศ ความตอ้ งการหมดปัญหา คือ ต้องการให้อากาศบรเิ วณนั้นบรสิ ุทธ์ิ วิธีการดาเนนิ การ คือ ให้โรงงานสร้างเครื่องกรองอากาศหรือฟอกอากาศไมใ่ ห้เป็นพิษ วิธีคิดนีถ้ ้าเทียบกบั ขั้นตอนของอริยสจั จ์ คือ

ทกุ ข์ - ปัญหา คือ อากาศเปน็ พิษ สมทุ ัย - สาเหตุจากโรงงานปลอ่ ยควนั พิษ นิโรธ - ต้องการดับปญั หา คือ ต้องการให้อากาศบรสิ ทุ ธ์ิ มรรค - วิธีการแก้ปัญหา คือ ให้โรงงานจดั หาเคร่อื งฟอกอากาศ ตัวอย่างคาถาม (1) ปญั หาในภาพนีค้ ืออะไร (3) การดบั ปัญหาในภาพคืออะไร (2) สาเหตขุ องปญั หา คืออะไร (4) มีวิธกี ารแก้ปญั หาอย่างไร 5. วิธีคิดตามหลักการและความมุ่งหมาย หรือวิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ คือ พิจารณา ให้เข้าใจความสมั พันธ์ระหว่างธรรมกับอรรถหรือหลักการกับความมุ่งหมาย เมื่อจะลงมือปฏิบัติธรรม หรือทาการตามหลักการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้ได้ผลตรงตามความมุ่งหมาย ไม่เป็นการกระทาที่ เคล่อื นคลาดเล่อื นลอยหรืองมงาย ตวั อย่าง หมู่บ้านชนบทในอดตี ทีก่ ารคมนาคมไมส่ ะดวก ระหว่างหมู่บ้านมีคลองค่ันทาให้การเดินทางไป มาหาสกู่ นั ไมส่ ะดวก ดังนั้นชาวบ้านจึงต้องชว่ ยกันสร้างสะพานให้คนเดนิ ข้าม จุดมุ่งหมายของการสร้าง สะพานคือต้องการสร้างให้คนเดิน ดังนั้นหลักการคือการสร้างสะพานไม้ก็เพียงพอแล้ว แต่ต่อมาเมื่อ หมู่บ้านเจริญขนึ้ มีการปลกู สร้างเป็นหมู่บ้านใหญ่ มีการติดต่อกันอยเู่ สมอและมรี ถยนต์แล่นผ่านไปขาย ของ แต่ไม่สามารถเดินทางระหว่างหมู่บ้านได้ ดังน้ันชาวบ้านจึงต้องการให้ทางราชการมาช่วยสร้าง สะพานคอนกรีตเพื่อให้รถยนต์แลน่ ผ่าน กล่าวคือ จดุ มงุ่ หมายเปลี่ยนไปคือต้องการสร้างสะพานเพื่อให้ รถยนต์แล่น หลักการก็ต้องสร้างสะพานคอนกรีตเพื่อจะได้ให้รถยนต์แล่นผ่านไปได้ กล่าวได้ว่า หลักการกับความมุ่งหมายจะมคี วามสมั พันธ์เชื่อมโยงกนั การเป็นนักเรียน หลักการของนักเรียนคือต้ังใจศึกษาเล่าเรียน จุดมุ่งหมายก็คือได้รับ ประกาศนียบัตรหรือปริญญาบัตร หรือได้รับความรู้และประสบการณ์จากการศึกษาเล่าเรียนผู้ที่มีวิธี คิดแบบหลักการและความมุ่งหมาย ยอ่ มปฏิบตั ิงานได้สาเรจ็ ลลุ ่วงไปด้วยดี

ตัวอยา่ งคาถาม - จุดมงุ่ หมายของการสร้างสะพาน คืออะไร - หลกั การสาคัญทีม่ งุ่ ไปสู่จดุ มุ่งหมาย คืออะไร 6. วิธีคิดแบบคุณ โทษและทางออกเป็นการมองสิ่งท้ังหลายตามความเป็นจริง เน้นการยอมรับ ความจรงิ ตามทีส่ ิ่งนั้นๆ เปน็ อยทู่ ุกแง่ทกุ ด้านทั้งดา้ นดี (เปน็ คณุ ) ดา้ นเสยี (เป็นโทษ) เมื่อมองเห็นทั้งด้าน ดดี า้ นเสยี แล้ว ทางออกคืออะไรหรือเป็นอยา่ งไร ตวั อย่าง จากภาพน้าตก ถ้าคิดในแง่ดวี ่า น้าตกมีประโยชน์ต่อมนุษย์ มนุษย์ใช้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเล่นน้า อย่างมีความสุขและถ้ากระแสน้าแรงมากก็สามารถนามาใช้เป็นพลังงานไฟฟูาได้ แต่ถ้าคิดในแง่เสียคือ มีนกั ท่องเที่ยวทีไ่ ปเล่นน้าบริเวณนั้นได้รับอุบัติเหตุ ถูกกระแสน้าเชี่ยวกรากพาไหลกระแทกตกหน้าผา ทาให้เสยี ชีวิตอยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อคิดท้ังสองด้านทั้งด้านเป็นคุณและเป็นโทษแล้ว ด้านเป็นคุณมีมากกว่าและถ้า นกั ท่องเทีย่ วตอ้ งการไปเล่นน้า ทางออกกค็ ือตอ้ งเลอื กบริเวณที่กระแสน้าไม่เชี่ยวกราก เพื่อปูองกันภัย จากอบุ ัตเิ หตุ การพิจารณาความคิดดว้ ยวิธีนี้ย่อมเป็นการใช้สติปัญญาที่รู้เท่าทัน ปรับตัวเองให้เขากับ สถานการณ์ที่มีปญั หาได้อยา่ งเหมาะสม ตวั อยา่ งคาถาม - น้าตกมีคณุ อย่างไร - น้าตกมีโทษอย่างไรอย่างไร และถ้าต้องการเลน่ น้าตกควรปฏิบัตอิ ย่างไร 7. วิธีคิดแบบคุณค่าแท้ - คุณค่าเทียม วิธีคิดแบบสกัดหรือบรรเทาตัณหาเป็นขั้นฝึกหัดขัด เกลากิเลสหรือตัดทางไม่ให้กิเลสเข้ามาครอบงาจิตใจแล้วชักจูงพฤติกรรมต่อๆ ไป คนที่มีวิธีคิดแบบ คณุ ค่าแท้ มกั เป็นคนใช้ปัญญาพิจารณาอย่างรอบคอบ สามารถตัดสินใจได้ถูกต้อง

ตัวอยา่ งที่ 1 หญงิ สาวที่ต้องการเปน็ พนักงานต้อนรบั บนเคร่อื งบิน ถ้าเธอคิดแบบคุณค่าแท้ เธอจะสามารถ คิดไดว้ ่า การที่เธอเป็นพนักงานต้อนรับนั้น เพราะเธอต้องการแสดงความสามารถทางด้านภาษาและ มารยาทงามของหญิงไทยให้เป็นที่ประจักษ์ว่า หญิงไทยมีความสามารถถึงแม้ว่าจะต้องทางานหนัก บรกิ ารลกู ค้าทุกระดับตลอดเวลา ต้องเดินเสิร์ฟอาหาร เครื่องด่ืม วันละหลายๆ ครั้ง ความคิดนี้จัดว่า เปน็ คณุ ค่าแท้ แต่ถา้ เธอคิดว่าการเป็นพนกั งานต้อนรับบนเครื่องบินน้ันโก้หรู มีเครื่องแบบสวยงาม แต่ พอไปทางานเข้าจริงๆ เธอรับงานหนกั ไม่ได้ การคิดแบบนเี้ ป็นการคิดแบบคณุ ค่าเทียม ตัวอยา่ งคาถาม (1) คุณค่าแท้ของการเปน็ พนักงานต้อนรับบนเคร่อื งบิน คืออะไร (2) คุณค่าเทียมของการเปน็ พนกั งานต้อนรับบนเครอ่ื งบิน คืออะไร (3) ผู้ที่เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินควรจะคิดแบบคุณค่าแท้อย่างไร ส่งผลต่อการ ปฏิบตั งิ านอย่างไร ตวั อยา่ งที่ 2 นาฬิกาเรือนนี้มีตัวเลขบอกเวลา และมีตัวเรือนที่สวยงาม ซึ่งนาฬิกาแต่ละเรือนจะได้รับการ ออกแบบที่แตกต่างกัน เพื่อให้เป็นทีต่ ้องการของตลาด

ตวั อย่างคาถาม - คณุ ค่าแท้ของนาฬิกาเรอื นนี้ คืออะไร - คุณค่าเทียมของนาฬิกาเรอื นนี้ คืออะไร - ถ้านกั เรยี นจะซือ้ นาฬิกาข้อมือจะเลอื กซ้ือนาฬิกาที่มลี ักษณะอย่างไร สอดคลอ้ งกบั คุณค่าแท้ อย่างไร 8. วิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรม หรือวิธีคิดแบบปลุกเร้าคุณธรรม (แบบกุศลภาวนา) เปน็ วิธีคิดที่รู้จักนาเอาประสบการณ์ที่ผ่านมาคิดปรุงแต่งไปในทางที่ดี เป็นประโยชน์ เป็นกุศล เป็นวิธี คิดในแนวสกดั กั้นหรือบรรเทาและ ขดั เกลาตณั หา เป็นข้อปฏิบัติระดับต้นๆ สาหรับส่งเสริมความเจริญ งอกงามแห่งกศุ ลธรรม การคิดในทางที่เป็นกุศลจะช่วยให้บุคคลเกิดกาลังในที่จะทางานตามหน้าที่ทา ความดที ี่เกิดประโยชน์อยเู่ สมอ สง่ ผลต่อการแสดงออกมาเปน็ พฤติกรรมในการสร้างสรรค์ ตวั อยา่ งที่ 1 จากภาพเป็นการแสดงความชื่นชมและให้กาลังใจแก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเพียรพยายาม อดทน สมควรเปน็ แบบอย่างที่ดี การให้กาลังใจสามารถทาได้หลายรปู แบบ เช่น การประกาศยกย่องให้ ปรากฏการมอบส่ิงของเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการทางานหรือการดารงชีพ เป็นต้น ผู้ที่ได้พบเห็น เหตกุ ารณ์หรือแสดงออกดังกล่าว ย่อมเกิดความรสู้ กึ ตระหนักรู้และเหน็ ความสาคัญของการกระทาที่ดี และคิดอยากจะปฏิบัติตาม บุคคลทีค่ ิดเช่นน้ันจดั เป็นผู้ที่มคี วามคิดแบบอุบายปลุกเร้าคณุ ธรรม ตวั อยา่ งคาถาม - การกระทาของบคุ คลในภาพแสดงออกเก่ยี วกับอะไร - บคุ คลในภาพมีการกระทาสอดคลอ้ งกับคุณธรรมในเร่อื งใด - นกั เรยี นมองภาพแลว้ จะมีความร้สู ึกอย่างไร

ตัวอยา่ งที่ 2 คนชราในภาพได้รบั การดูแลช่วยเหลือจากผู้ที่มีความเมตตาเอื้อเฟื้อและจากสมาคมต่างๆ อยู่ เสมอบางคร้ังกไ็ ด้รบั ส่งิ ของประเภทอาหาร เครอ่ื งนุ่งห่ม ยารักษาโรค แต่ส่ิงที่คนชราในบ้านพักคนชรา ต้องการกค็ ือ กาลงั ใจ ความอบอุ่นและการดูแลเอาใจใส่ ดังน้ันผู้ที่มีวิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรม เมื่อเหน็ ข่าวภาพข่าวการช่วยเหลอื ดังกล่าว ก็คิดทีจ่ ะช่วยเหลอื บ้าง แล้วมาพิจารณาว่าจะสามารถช่วย ได้โดยวิธีใดบา้ ง ตัวอยา่ งคาถาม - การกระทาของบุคคลในภาพนีแ้ สดงออกเกี่ยวกบั อะไร - การกระทาของบุคคลในภาพนีส้ ง่ ผลดีอยา่ งไร - ถ้าบุคคลในสังคมส่วนใหญ่มีการแสดงออกในทานองเดียวกับบุคคลในภาพนี้จะส่งผลดี อย่างไร - นกั เรยี นรู้สึกอย่างไรต่อภาพนี้ 9. วิธีคิดแบบเปน็ อยู่กับปัจจบุ ัน ความคิดชนิดที่อยู่กันปัจจุบันเป็นการคิดในแนวทางความรู้ หรือคิดด้วยอานาจปัญญา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นอยู่ในขณะนี้หรือเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วหรือเป็น เรื่องของกาลภายภาคหน้า ก็จัดเข้าในการอยู่กับปัจจุบันท้ังนั้น ผู้ที่มีวิธีคิดแบบนี้จะมีสติรู้ทัน กระบวนการมองสภาวะต่างๆ อยู่ตลอดเวลา รู้จักใช้ประโยชน์ของบทเรียนในอดีตทาภารกิจปัจจุบัน และสามารถวางแผนในอนาคตได้ ตวั อยา่ งที่ 1

กลุ่มเกษตรกรกลุ่มนีป้ รับปรงุ วิธกี ารทางการเกษตรเปน็ เกษตรแบบผสม มีท้ังทานา ทาสวนผัก สวนครัวหลายประเภทพวกเขาพยายามพัฒนาอาชีพของเขาให้ดีที่สุดเพราะเคยได้รับบทเรียนในอดีต เคยทานาจานวนหลายร้อยไร่ แต่เมื่อประสบปัญหาภัยแล้วฝนไม่ตกตามฤดูกาล ราคาข้าวตกต่า พวก เขาจึงหันมาทาการเกษตรแบบผสม ทาให้ไดร้ ับผลผลิตพอยังชีพ พอมีพอกินและพวกเขาก็คิดวางแผน ในอนาคตว่าจะยดึ แนวเกษตรแบบผสมต่อไป แต่จะปรับปรุงวิธีการขายผลผลิตโดยรวมตัวกันเป็นกลุ่ม เกษตรกร เพื่อให้ได้ราคาสินค้าดีขึ้น กล่าวได้ว่ากลุ่มเกษตรกรกลุ่มนี้ได้รับบทเรียนจากอดีตมาเป็น แนวคิดในการประกอบอาชีพในปัจจุบันและสามารถวางแผนในอนาคต เพื่อให้ได้ราคาผลผลิตทาง การเกษตรดขี นึ้ ตวั อย่างคาถาม - เกษตรกรในภาพนี้ มีการดาเนินกิจกรรมเกีย่ วกบั อาชีพอย่างไร - ลกั ษณะของการปลูกพืชในภาพนี้ มีความเดน่ ชดั ในเรื่องใด - ในอดตี การเพาะปลกู พืชในบรเิ วณนนี้ ่าจะมีลกั ษณะอย่างไร - นกั เรยี นคาดว่า ในอนาคตเกษตรกรในภาพนคี้ วรจะมีการพัฒนาดา้ นการเกษตรอย่างไร ตัวอยา่ งที่ 2 ชายผู้มีอาชพี รับจ้างแจวเรือสง่ ผู้โดยสารข้ามฟากจะตอ้ งคิดหาวิธีการแจวเรือตัดคุ้งน้าข้ามฟาก ให้ได้อยา่ งปลอดภัย เพื่อส่งผู้โดยสารขึ้นฝ่ังที่ตลาด ชายผู้นี้จะต้องมีสติรู้เท่าทันถึงวิธีการแจวเรือผ่าน เสน้ ทางทีก่ ระแสน้าไม่ เชี่ยวกราก ในอดีตชายผู้นี้อาจจะเคยแจวเรือผ่านเส้นทางน้าวนทาให้เรือ ลม่ สง่ ผลให้ผู้โดยสารเดอื ดร้อน เขานาอดตี มาเป็นบทเรียนทาให้การทางานในปัจจุบันประสบผลดีและ เขาก็สามารถวางแผนในอนาคตได้ว่าเขาจะปรับปรุงวิธีการใช้เรือพาผู้โดยสารข้ามฟากให้ดีขึ้นได้ อย่างไร ตวั อย่างคาถาม - ชายผู้นีจ้ ะสามารถแจวเรือถึงฝ่ังไดอ้ ย่างปลอดภยั นั้น เขาจะตอ้ งฝึกสติอยา่ งไร

- ชายผู้นี้จะสามารถวางแผนนาเรือเข้าสู่ฝั่งได้ตามจุดมุ่งหมายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และมีความ ปลอดภัยอย่างไร 10. วิธีคิดแบบวิภัชชวาท หรือวิธคี ิดแล้วแสดงออกเป็นวิภัชชวาท (พูดจาแนก) วิภัชชวาทไม่ใช่ วิธีคิดโดยตรง แต่เป็นวิธีพูดหรือแสดงหลักการแห่งคาสอนแบบหนึ่ง อย่างไรก็ตามการคิดกับการพูด เปน็ กรรมทีใ่ กลช้ นิดกนั ที่สดุ ก่อนที่จะพดู ก็ต้องคิดก่อน สิง่ ที่พูดล้วนสาเรจ็ มาจากความคิดท้ังส้ิน วิธีคิด แบบวิภชั ชวาทเป็นวิธคี ิดวิเคราะห์ในลกั ษณะต่างๆ ต่อไปน้ี 10.1) จาแนกสภาวะต่างๆ ออกเป็นด้านๆ ตามที่เป็นอยู่จริง แบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ จาแนกไปทีละดา้ น ทีละประเดน็ และจาแนกทีละดา้ นจนครบทุกประเด็น แล้วจึงจาแนกดา้ นอื่นต่อไป ตัวอย่างเช่น เราจะเลือกส.ส.สังกัดพรรคการเมืองใดมาเป็นผู้แทนก็ต้องคิดจาแนกรายละเอี ยดของ ข้อมูลเกี่ยวกบั พรรคทีเ่ ขาสงั กัดนั้นในแต่ละด้าน เช่น ระเบียบวิสัย ความซื่อสัตย์ ผลงานที่ปรากฏ เป็น ต้น แล้วจึงตดั สินใจเลอื ก ตัวอย่างคาถาม ผู้สมคั รหมายเลข 1 มีคณุ ลกั ษณะสาคัญอย่างไร มีผลงานเด่นชัดในเรื่องใดบ้าง มีข้อบกพร่อง ในเรื่องใด เป็นคนดีมีคุณธรรมเป็นแบบอย่างในเรื่องใด มีการกระทาที่แสดงว่ามีความรับผิดชอบต่อ สังคมอย่างไรบ้าง เมื่อจาแนกท้ังส่วนดที ุกดา้ น สว่ นเสยี ทุกด้านแล้ว นามาช่ังใจด้วยเหตุและผลดูว่า ควรจะเลือก ผู้สมัครหมายเลข 1 หรือไม่ เป็นต้น 10.2) จาแนกโดยสว่ นประกอบ เปน็ วิธคี ิดเช่นเดยี วกบั แบบแยกแยะส่วนประกอบ 10.3) จาแนกโดยลาดบั ขณะ เป็นการแยกแยะวิเคราะห์ปรากฏการณ์ตามลาดับความสืบ ทอดแห่งเหตปุ จั จัย ซอยออกไปเป็นแต่ละขณะๆ ให้มองเห็นตัวเหตุปัจจัยที่แท้จริง ไม่ถูกลวงให้สับสน ตัวอย่างเช่น การประเมินสถานการณ์เหตุการณ์บ้านเมืองไทย ด้านการเมืองกา รปกครอง ด้าน เศรษฐกิจในปัจจบุ นั เป็นต้น ตวั อยา่ งคาถาม - การเลอื กตั้ง ส.ส.ในคร้ังนี้กับครั้งก่อน มีประชาชนให้ความสนใจไปใช้สิทธิเลือกต้ังใกล้เคียง กนั หรือไม่ อธิบายเหตผุ ลประกอบ - ตลาดสง่ ออกสินค้าลาไยปีนีด้ กี ว่าปีก่อนหรือไม่ - โจรปลน้ ร้านทองแล้วฆ่าเจ้าของร้านตายน้ัน เนื่องมาจากสาเหตุใด 1) จาแนกโดยความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย มีวิธีการคิดเช่นเดียวกับวิธีคิดแบบสืบสาวเหตุ ปจั จยั ๒) แบบจาแนกโดยเงือ่ นไข ตวั อย่าง นกั เรยี นมาขออนญุ าตคณุ ครูของดการเรียนในช่ัวโมงนี้เพื่อซ้อมเชียร์กีฬาสี คุณครูจะ อนุญาตโดยมีเงื่อนไขว่า

- การไปซ้อมเชียร์น้ันต้องไม่ส่งเสยี งดังรบกวนผู้อื่น - การไปซ้อมเชียร์นั้นจะต้องมีหวั หน้ารบั ผิดชอบ - นกั เรยี นต้องทาแบบฝึกหดั ส่งครูภายในเวลาที่กาหนด ตวั อยา่ งคาถาม - ถ้าครูอนุญาตให้นักเรียนไปซ้อมเชียร์กีฬาสีในชั่วโมงเรียนของครู นักเรียนจะต้องปฏิบัติตน อย่างไร - ถ้าครอู นุญาตให้ไปซ้อมเชียร์กฬี าสี นกั เรยี นจะต้องทางานชดเชยดา้ นการเรียนอย่างไร 10.6) วิภัชชวาทโดยการตอบปัญหา เป็นการคิดจาแนกแยกแยะแล้วชี้แจงผู้ถามตาม ประเด็นต่างๆ จนผู้ถามเข้าใจแจ่มแจ้ง ตวั อย่าง คลื่นสึนามิทาลายชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยในบริเวณจังหวัดภาคใต้ของไทย เช่น พังงา ภูเก็ต กระบ่ี ฯลฯ การตอบปัญหาของผู้ถามซึ่งอาจถามมาเป็นประเด็นใหญ่ ผู้ตอบสามารถจาแนกแยกแยะเป็น ประเดน็ ย่อย แลว้ ตอบคาถามตามประเดน็ เพ่ือใหผ้ ู้ถามเข้าใจ ตัวอยา่ งคาถาม การเกดิ สึนามทิ าให้เกิดความเสียหายแกป่ ระเทศไทยอยา่ งไร การชแี้ จงคาถาม เชน่ คลื่นสึนามิทาความเสียหายแก่บริเวณท่ีเกิด คือ แถบจังหวัดพังงา ตรัง กระบี่ ภูเก็ต ระนอง ความ เสยี หายทเ่ี กดิ ข้ึนมีหลายด้าน เช่น ดา้ นชีวิตและทรัพย์สิน ด้านการประกอบอาชีพ ด้านสุขภาพจิต ด้านปัญหา สังคมท่เี กิดจากเดก็ กาพรา้ บดิ ามารดา หรือคนชราขาดผ้อู ุปการะเล้ียงดูเนอื่ งจากบุตรเสยี ชีวิต สรปุ ไดว้ ่า วธิ คี ิดตามหลกั พทุ ธธรรมหรือวธิ ีคิดแบบโยนิโสมนสิการ จัดไดว้ ่าเป็นการคิดที่ใช้ปัญญาและ ทาให้ปัญญาเจริญงอกงามยิง่ ขึ้น นาไปสูก่ ารแกป้ ญั หา เปน็ ทางแหง่ ความดบั ทุกข์และทาให้เกิดการศึกษาต่อไป นบั ได้ว่าเป็นการใชค้ วามคิดอย่างถูกวิธี เป็นส่วนสาคัญของการศึกษาหรือพัฒนาตนในด้านการพัฒนาปัญญา ทาให้สามารถดาเนินชีวติ ไปในทางทีด่ งี ามและพงึ่ พาตนเองได้ ดังนัน้ ครผู ู้สอนควรจัดการเรียนการสอนที่จะส่งเสริมกระตุ้นเร้าให้นักเรียนได้ฝึกฝนวิธีคิดแบบโยนิโส มนสกิ ารอยูเ่ สมอ ซงึ่ สามารถฝกึ ใหน้ กั เรียนได้บูรณาการ วธิ คี ิดหลายๆ แบบของโยนิโสมนสิการเช่ือมโยงเข้าไป ด้วยกันได้ ทาให้นักเรียนรู้จักคิดอย่างมีระเบียบ มีสติสัมปชัญญะ มองทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง รู้จัก คน้ หาความจรงิ ก่อนทจี่ ะตัดสนิ ใจบนพื้นฐานของความทีถ่ ูกต้อง ด้วยวิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ และเม่ือคิดถูก ก็ย่อมตดั สนิ ใจกระทาการท่ถี ูกตอ้ งได้ประโยชนอ์ ย่างแทจ้ รงิ ทม่ี า : สุคนธ์ สินธพานนท์ และคณะ. 2550. พัฒนาทักษะการคดิ พิชิตการสอน. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ เลีย่ งเชียง.

ใบงานท่ี ๑.๒ เรื่อง หลักการของพระพทุ ธศาสนากบั หลักวทิ ยาศาสตร์ คาชี้แจง ให้นักเรียนเปรียบเทียบหลักการของพระพุทธศาสนากับหลักวิทยาศาสตร์ ในส่วนที่มีความ สอดคล้อง และในส่วนทม่ี คี วามแตกต่าง ๑. ด้านความสอดคลอ้ ง หลักการของพระพุทธศาสนา หลกั วทิ ยาศาสตร์ ๑) ด้านความเชอ่ื ๒) ด้านความรู้

๒. ดา้ นความแตกตา่ ง หลกั การของพระพทุ ธศาสนา หลักวทิ ยาศาสตร์ ๑) มงุ่ เขา้ ใจ ปรากฏการณ์ ธรรมชาติ ๒) ต้องการรู้กฎ ธรรมชาติ ๓) การยอมรับโลกแห่ง สสาร ๔) มุ่งเอาความจรงิ มาตีแผ่

เฉลยใบงานที่ ๑.๒ เร่ือง หลักการของพระพุทธศาสนากับหลกั วิทยาศาสตร์ คาช้ีแจง ให้นักเรียนเปรียบเทียบหลักการของพระพุทธศาสนากับหลักวิทยาศาสตร์ ในส่วนที่มีความ สอดคลอ้ ง และในส่วนท่มี ีความแตกต่าง ๑. ด้านความสอดคลอ้ ง หลกั การของพระพุทธศาสนา หลกั วิทยาศาสตร์ ๑) ดา้ นความเชอ่ื - มีคาสอนว่า จะเชื่ออะไร แคไ่ หน จะเชอื่ อะไรตอ้ งมีการพิสูจน์ เชอื่ ใน จะต้องพิสจู นด์ ้วยตนเองโดยอาศัยสติ เหตุผล ปัญญาและเหตผุ ล - สอนเรอ่ื งศรทั ธา เพื่อเป็นเครอื่ งจูงใจ ใหค้ นเข้าไปทดสอบความจริง หลกั ธรรม ศรทั ธาจะต้องมีปญั ญากากบั ๒) ด้านความรู้ ความรู้ท่ไี ดจ้ ากประสบการณ์ คือ ตา หู ยอมรับความรู้ท่เี รม่ิ ตน้ จากประสบการณ์ จมูก ล้ิน กาย ได้ประสบความรู้สึกนึก ท่ีได้พบเห็นสิ่งต่างๆ แล้วอยากรู้และ คิดบางอย่างด้วย เช่น รู้สึกดีใจ รู้สึก แสว ง หาคาอ ธิ บาย มีก าร ทดสอ บ เสยี ใจ ประสบการณจ์ ากความทุกข์ ประสบการณ์และการทดลอง

๒. ดา้ นความแตกตา่ ง หลกั การของพระพทุ ธศาสนา หลกั วิทยาศาสตร์ ๑) มงุ่ เขา้ ใจ มุ่งสอนให้เป็นคนดีหรือเป็นคนโดย ต้องการรวู้ ่า อะไรเป็นสาเหตุ อะไรเป็น ปรากฏการณ์ สมบรู ณ์ เปน็ วถิ ชี วี ิตของมนุษย์มากกว่า ผลทต่ี ามมา ธรรมชาติ กฎเกย่ี วกบั ส่งิ ไร้ชีวติ ๒) ตอ้ งการรกู้ ฎ เน้นให้คนควบคุมภายในจิตใจตัวเอง เนน้ การควบคุมธรรมชาติภายนอก ธรรมชาติ ให้มีจิตใจดีงาม สันติสุขที่แท้จริงจึงจะ มุ่งปรบั ธรรมชาติ เกิดขนึ้ ๓) การยอมรับโลกแหง่ สัจธรรมสูงสุด (นิพพาน) เป็นสภาวะท่ี ยอมรับโ ลกแห่งสสาร ที่รับรู้ด้ว ย สสาร ประสาทสัมผัสของมนุษย์ปุถุชนท่ีเต็ม ประสาทสัมผัสที่ 5 ว่ามีจริง โลกท่ีพ้น ไปด้วยกิเลสตัณหา ไม่สามารถจะรับรู้ จากนั้นวิทยาศาสตรไ์ มย่ อมรับ ได้ ๔) ม่งุ เอาความจริง เน้นเรอื่ งศีลธรรม ความดี ความชวั่ ส น ใ จ เ พี ย ง ค้ น ค ว า ม จ ริ ง ม า ตี แ ผ่ ใ ห้ มาตีแผ่ มุ่งให้มนุษย์มีความสุขเป็นลาดับขั้น ประจักษ์ ไมส่ นใจเร่ืองศีลธรรม ความดี เรื่อยๆ จนถึงความสงบสุขอันสูงสุด คือ ความชั่ว นิพพาน

ใบงานที่ ๑.๓ เรือ่ ง การคิดตามนัยแหง่ พระพทุ ธศาสนาและการคิดแบบวทิ ยาศาสตร์ คาชีแ้ จง ใหน้ ักเรียนรว่ มกนั วเิ คราะหใ์ นหวั ขอ้ ท่กี าหนด ๑. การคิดของพระพทุ ธเจา้ วิธีใดท่ีมีความสอดคล้องกบั กระบวนการคิดแบบวิทยาศาสตร์ จงอธิบายพร้อม ยกตวั อยา่ ง

๒. นักเรียนคิดว่า วธิ ีคิดทางพระพุทธศาสนาวิธีใดที่สามารถนาไปใช้ในการคิดในขั้นตอนต่างๆ ของวิธีการทาง วิทยาศาสตรบ์ ้าง จงอธิบาย พรอ้ มยกตัวอย่าง

เฉลยใบงานท่ี ๑.๓ เร่อื ง การคดิ ตามนัยแหง่ พระพทุ ธศาสนาและการคดิ แบบวิทยาศาสตร์ คาช้ีแจง ให้นักเรยี นร่วมกนั วิเคราะหใ์ นหัวขอ้ ที่กาหนด ๑. การคิดของพระพุทธเจ้าวิธีใดท่ีมีความสอดคล้องกับกระบวนการคิดแบบวิทยาศาสตร์ จงอธิบายพร้อม ยกตวั อยา่ ง การคดิ แบบอรยิ สัจจ์ คือ คิดตามเหตุผล สืบสาวหาเหตุแล้วแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ สอดคล้องกับขั้นตอน ของวธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ เชน่ ข้นั ที่ ๑ ต้งั ปญั หา / กาหนดปัญหา ทรงเห็นว่าทกุ ข์เปน็ ปญั หา จะต้องหาคาตอบเพอื่ แก้ปัญหา ขัน้ ท่ี ๒ ตัง้ สมมตฐิ าน / ต้ังคาตอบชัว่ คราว ทรงตง้ั คาตอบช่วั คราว เจา้ ลัทธสิ านักต่างๆ อาจให้คาตอบได้ ขน้ั ท่ี ๓ รวบรวมข้อมูล ทรงรวบรวมขอ้ มลู เสด็จไปตามสานกั ต่างๆ ลองทรมานกาย อดอาหารตามลัทธิสานักต่างๆ ขน้ั ท่ี ๔ วิเคราะหข์ อ้ มูล ทรงวเิ คราะห์ข้อมูลในการใช้พระวรกายในการบาเพ็ญเพียรทางกาย โดยใช้พระวรกายของ พระองค์เก็บข้อมูล และวเิ คราะหค์ วบคู่กันไป แสดงถึงคาสอนของสานักต่างๆ มิใช่คาตอบท่ี ถกู ต้อง ขน้ั ท่ี ๕ ตรวจสอบสมมตุ ฐิ าน ถา้ คาตอบชั่วคราวนัน้ ถกู ก็รบั เปน็ คาอธิบายหรอื เปน็ ทฤษฎไี ว้ จนกวา่ จะมขี ้อมูลใหม่มา หักล้าง ถา้ คาตอบชั่วคราวน้ันผิด ก็ปรับปรุงหาคาตอบใหม่ เมื่อพระองค์ทรงเห็นว่า คาตอบ ชั่วคราวท่ตี ้งั ไวน้ ั้นผิด พระองค์ก็เปล่ียนแปลงวิธีการ โดยหันมาทดลองการบาเพ็ญเพียรทาง จิตแทนจนประสบความสาเร็จ ไดต้ รสั รู้ความจรงิ อนั เป็นคาตอบที่ถูกต้องเกี่ยวกับปัญหาเร่ือง ความทุกข์ ข้ันที่ ๖ ขน้ั สรุป นาคาอธบิ ายในขนั้ ที่ 5 ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการแก้ปญั หา ทรงนาคาตอบทไี่ ด้ไปเผยแพรแ่ ก่ ชาวโลกเพ่อื แกป้ ญั หาเรอ่ื ง ความทกุ ข์ ให้แกม่ วลมนษุ ย์ (พิจารณาตามคาตอบของนกั เรียน โดยให้อยใู่ นดุลยพินจิ ของครูผู้สอน)

๒. นักเรยี นคดิ ว่าวธิ คี ิดทางพระพุทธศาสนาวิธีใดที่สามารถนาไปใช้ในการคิดในขั้นตอนต่างๆ ของวิธีการทาง วทิ ยาศาสตรบ์ า้ ง จงอธิบาย พรอ้ มยกตวั อย่าง ตอบตามความคดิ ของนักเรียน เชน่ - วิธีคดิ แบบแยกแยะองค์ประกอบ นาไปใชใ้ นขน้ั ที่ ๑ คอื ต้งั ปญั หาหรือกาหนดปญั หา - วธิ คี ิดแบบแยกแยะองคป์ ระกอบ นาไปใช้ในขนั้ ท่ี ๒ คือ การตั้งสมมุติฐาน/ตัง้ คาตอบชั่วคราวและใน ขั้นที่ ๓ รวบรวมข้อมูล และในขั้นท่ี ๔ วิเคราะห์ข้อมูล - วิธีคิดเชื่อมโยงหลกั การและความมงุ่ หมาย นาไปใชใ้ นข้ันท่ี ๒ คือ การต้งั สมมุติฐาน / ต้ังคาตอบ ชว่ั คราว - วิธีคดิ แบบคณุ โทษและทางออก นาไปใช้ในข้นั ท่ี ๔ วเิ คราะหข์ อ้ มลู ข้นั ที่ ๕ ตรวจสอบสมมุตฐิ าน และในขัน้ ที่ ๖ ขน้ั สรปุ - วธิ ีคดิ แบบคุณค่าแท้ คุณค่าเทยี ม นาไปใชใ้ นขั้นท่ี ๔ วิเคราะห์ขอ้ มูล - วิธีคดิ แบบปลกุ เร้าคณุ ธรรม นาไปใช้ในข้นั ที่ ๑ คือ ตงั้ ปญั หาหรอื กาหนดปญั หา - วธิ ีคดิ แบบเป็นอยใู่ นปจั จุบนั นาไปใชใ้ นขั้นท่ี ๓ รวบรวมข้อมลู ขน้ั ท่ี ๔ วิเคราะห์ขอ้ มลู ข้นั ที่ ๕ ตรวจสอบสมมุติฐาน และในขั้นที่ ๖ ข้ันสรปุ - วิธคี ิดแบบวภิ ชั ชวาทใช้จาแนกประเด็นและแง่มมุ ตา่ งๆ สามารถนาไปใช้กบั วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ ต้ังแตข่ ัน้ ที่ ๑ – ๖ (พจิ ารณาตามคาตอบของนักเรียน โดยใหอ้ ยใู่ นดุลยพนิ ิจของครผู ูส้ อน)

แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี ๓ กล่มุ สาระการเรยี นรสู้ ังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ช้ันประถมศึกษาปที ี่ ๕ หน่วยการเรยี นรู้ท่ี ๑ พระรัตนตรัย เรือ่ ง ความสาคัญของพระพทุ ธศาสนาและพุทธประวตั ิ ภาคเรยี นที่ ๑ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๒ เวลาเรยี น ๒ ชวั่ โมง/สัปดาห์ หน่วยกิต ๑ (นน./นก.) ผ้สู อน นางสาวณฐั ธกิ า นวลหอม โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ เวลา ๒ ชั่วโมง ๑. สาระสาคัญ การศึกษาประวัติพุทธสาวก พุทธสาวิกา ชาดก และศาสนิกชนตัวอย่าง ย่อมทาให้ได้ข้อคิด เพอ่ื นาไปฝึกฝน พัฒนาตนเอง พ่ึงพาตนเอง และเปน็ แบบอยา่ งในการดาเนินชีวิต ๒. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัดช้นั ปี/ผลการเรียนรู/้ เปูาหมายการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรยี นรู้ ส ๑.๑ ร้แู ละเขา้ ใจประวตั ิ ความสาคญั ศาสดา หลกั ธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาท่ีตนนับถือ และศาสนาอน่ื มีศรทั ธาท่ถี ูกตอ้ ง ยดึ ม่ันและปฏิบัตติ ามหลักธรรม เพ่อื การอยู่รวมกนั อยา่ งสันติสขุ ตวั ชวี้ ดั ชั้นปี/ผลการเรยี นรู้ ส ๑.๑ ม.๔-๖/๘ วิเคราะหก์ ารฝึกฝนและพฒั นาตนเอง การพึ่งตนเอง และการมุ่งอิสรภาพใน พระพุทธศาสนา หรือแนวคิดของศาสนาทต่ี นนบั ถือตามทกี่ าหนด ส ๑.๑ ม.๔-๖/๑๔ วิเคราะห์ข้อคิดและแบบอย่างการดาเนินชีวิตจากประวัติสาวก ชาดก เรื่องเลา่ และศาสนิกชนตัวอยา่ งตามท่กี าหนด ๓. จุดประสงค์การเรยี นรู้ ๓.๑ ดา้ นความรู้ : Knowledge - วิเคราะห์การฝึกฝนและพัฒนาตนเอง การพึ่งตนเอง และการมุ่งอิสรภาพในทาง พระพทุ ธศาสนาได้ - อธิบายประวัตพิ ุทธสาวก พทุ ธสาวกิ า ชาดก ศาสนกิ ชนตวั อยา่ ง ท่สี ามารถนาไปเปน็ แบบอยา่ งในการ ๓.๒ ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ : Process มีทกั ษะกระบวนการทางานกลมุ่ ๓.๓ ดา้ นคณุ ลกั ษณะทีพ่ งึ ประสงค์ : Attitude มีความสนใจใฝุเรียนรู้ และมที ศั นคติท่ดี ีต่อการศึกษารายวชิ าสงั คมศกึ ษา ศาสนาและ วัฒนธรรม

๔. สมรรถนะสาคญั ของนักเรยี น - ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ ๕. คุณลักษณะของวิชา - ความรบั ผิดชอบ - ความรอบคอบ - กระบวนการกลุ่ม ๖. ช้นิ งาน/ภาระงาน ๖.๑ ภาระงาน ๑) นกั เรียนทากิจกรรมกลุ่ม ๗. กิจกรรมการเรยี นรู้ ชัว่ โมงท่ี ๑ เรอ่ื ง พระพทุ ธศาสนาเนน้ การฝกึ หัดอบรมตน ข้นั นาเข้าสบู่ ทเรยี น ๑. ครูให้นักเรียนดูภาพคนงานกาลังทางานในโรงงาน ภาพนักเรียนกาลังทากิจกรรมต่างๆ ภาพชาวนากาลงั ทานา แมค่ ้า พ่อค้า กาลังขายสนิ คา้ ๒. นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นโดยการตอบคาถาม (การที่บุคคลในภาพจะดาเนิน กิจกรรมจนประสบความสาเร็จน้ันจะต้องมีหลักการสาคัญเป็นแนวทางในการปฏิบัติอย่างไรบ้าง จงอธบิ ายเหตผุ ล) ๓. ครูอธบิ ายเชื่อมโยงเขา้ กับเนอื้ หาใหน้ ักเรียนเข้าใจว่า พระพุทธศาสนาเน้นการฝึกหัด การ อบรมตนและการพ่ึงพาตนเอง พระพุทธศาสนามุง่ อิสรภาพ ขัน้ สอน ๔. นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น ๔ กลุ่ม เพ่ือเล่นเกม โดยกติกามีอยู่ว่าให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม แบง่ หน้าทก่ี ันภายในกลมุ่ ซง่ึ จะประกอบดว้ ยคนยกมอื คนตอบคาถาม และคนหาคาตอบ ๕. นักเรียนร่วมกันศึกษาความรู้เรื่องพระพุทธศาสนาเน้นการฝึกหัดอบรมตน จากหนังสือ เรียน หนังสือค้นคว้าเพ่ิมเติม และกรณีศึกษากลุ่มละ ๒ กรณี จากนั้นให้นักเรียนยกมือตอบ คาถาม โดยครูจะให้สญั ญาณในการยกมือตอบคาถามเพอื่ แลกกับคะแนน ขั้นสรุป ๖. ครแู ละนักเรยี นชว่ ยกนั สรปุ ลักษณะประชาธปิ ไตยในพระพุทธศาสนา พร้อมเปิดโอกาสให้ นกั เรียนซักถามในประเด็นทน่ี ักเรียนสงสยั หรอื ไม่เข้าใจ ชวั่ โมงท่ี ๒ เร่ือง ประวตั พิ ทุ ธสาวก พุทธสาวกิ า ชาดก ศาสนิกชนตวั อย่าง ข้ันนาเขา้ สบู่ ทเรยี น ๑. ครูถามนักเรยี นวา่ พทุ ธสาวก พุทธสาวิกา ที่นักเรียนรู้จักมีใครบ้าง ท่านมีคุณธรรมอันเป็น แบบอยา่ งในเรอ่ื งใด นกั เรยี นเคยปฏิบตั ิตนตามคณุ ธรรมอนั เป็นแบบอย่างของท่านในเร่ืองใด และผล ทไ่ี ดร้ ับคอื อะไร ๒. ครอู ธิบายคาตอบของนกั เรียนใหเ้ ชอ่ื มโยงเขา้ กับเนือ้ หาท่เี รียน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook