Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือพลังแห่งวัยเยาว์

หนังสือพลังแห่งวัยเยาว์

Published by Plaifa Amornrattakun, 2019-06-26 14:25:35

Description: หนังสือพลังแห่งวัยเยาว์

Search

Read the Text Version

คุณภาพของการเรียน คนสมยั กอ่ นสว่ นใหญไ่ มไ่ ดเ้ ขา้ เรยี นชน้ั เดก็ เลก็ แตก่ เ็ รยี นชนั้ ประถม มธั ยม และอดุ มศกึ ษา ไดด้ ี สมยั นกี้ ารเรยี นชน้ั เดก็ เลก็ เปน็ เรอื่ งปกตธิ รรมดา และเชอ่ื กนั วา่ เดก็ สว่ นหนงึ่ นา่ จะเรยี นไดด้ ี กวา่ หากไมเ่ ขา้ เรยี นชนั้ เดก็ เลก็ และรกู้ นั วา่ คณุ ภาพของชนั้ เดก็ เลก็ แตกตา่ งกนั มาก มผี ลการวจิ ยั บอกวา่ ในสหรฐั อเมรกิ า ชั้นเด็กเลก็ ที่มีคุณภาพดี มีน้อยมาก ปจั จัยทม่ี ีผลต่อคณุ ภาพของชน้ั เดก็ เล็กมี ๒ กลมุ่ คือ (๑) ปจั จยั เชิงโครงสร้าง เชน่ จำ� นวนเด็กต่อชั้น มีผลนอ้ ยตอ่ คณุ ภาพ (๒) ปัจจัยเชิงกระบวนการ ได้แก่ความรู้ด้านพัฒนาการเด็ก และสไตล์สอนแบบ มีปฏิสมั พนั ธก์ บั เดก็ มีผลดตี อ่ คุณภาพการเรียนร้ชู ัดเจน เด็กจากครอบครัวที่มีเศรษฐฐานะดี กับเด็กจากครอบครัวท่ีมีปัจจัยเส่ียง มีช่องว่าง ของผลการเรยี นหา่ งกนั มาก ชอ่ งวา่ งนี้ลดลงไดร้ ้อยละ ๕๐ หากช้นั เดก็ เล็กมีคณุ ภาพสูง แต่ใน สภาพปจั จบุ นั ในสหรฐั อเมรกิ า ชอ่ งวา่ งนลี้ ดลงไดพ้ ยี งรอ้ ยละ ๕ โดยการศกึ ษาชนั้ เดก็ เลก็ สะทอ้ นวา่ การศึกษาชัน้ เด็กเล็กส่วนใหญ่คุณภาพต�ำ่ ๑.เด็กมโี อกาสไดพ้ ดู ฟงั ลักษณะของชั้น ๒.มีกระบวนการเรยี นรู้แบบ และโตต้ อบด้วยภาษาที่ซบั ซอ้ น เดก็ เลก็ คณุ ภาพสูง active learning ๓.มคี รูคณุ ภาพสงู ทีส่ อนแบบ ท่ีสรา้ งทักษะสังคมและ reflective teaching practice ทักษะทางอารมณ์ ๔.คนในครอบครัวของเด็ก มีสว่ นรว่ มจรงิ จงั 50

คณุ ภาพสงู ของห้องเรยี นในโครงการทดลอง เม่อื น�ำไปขยายผลในวงกว้าง จะไม่สามารถดำ� เนนิ การอย่างมีคุณภาพในระดับเดียวกับโครงการทดลองได้ นี่คือสัจธรรม และโดยท่ัวไป คุณภาพ ของกจิ กรรมขยายผลจะต่ำ� กวา่ อยา่ งมากมาย ปฏสิ ัมพนั ธ์ กับหนงั สอื และครู ปฏิสมั พนั ธ์ กับการงาน ปฏิสมั พันธ์ กบั เพือ่ น ถงึ จะมเี ด็กเยอะกเ็ อาอยู่คะ่ 51 ง่ายนดิ เดยี ว ปล่อยให้เดก็ มี ปฏิสมั พันธก์ บั สิง่ รอบตัวสิคะ

เป้าที่เลื่อนไหล การวัดผลกระทบต่อตัวเด็กจากการเรียนช้ันเด็กเล็ก ท�ำได้ยากมาก มีผลจากโครงการ ที่มีช่ือเสียงในสหรัฐอเมริกา เม่ือสี่สิบปีก่อน คือ Perry Preschool / High Scope program พบวา่ เดก็ ทเ่ี ขา้ โครงการนเี้ มอื่ โตขน้ึ มกี ารตง้ั ครรภว์ ยั รนุ่ นอ้ ยกวา่ ออกจากการเรยี นในระดบั มธั ยม น้อยกว่า ตกงานนอ้ ยกวา่ กอ่ อาชญากรรมน้อยกวา่ และเป็นโรคเร้ือรังน้อยกว่า เดก็ ท่ีไม่ได้เขา้ โครงการน้ี นอกจากน้นั เด็กท่ีเขา้ โครงการมีรายได้สูงกว่า เขาคำ� นวณอัตรา ROI (return on investment) ของโครงการ Perry Preschool, Chicago Parent Centers, และ Abecedarian study พบวา่ ROI เทา่ กับ ๗ เทา่ หรอื กว่า ๗ เทา่ ของ การลงทุน ตัวเลขนผี้ มไดย้ นิ คนอา้ งถึงบ่อยๆ ในประเทศไทย ส่งิ ท่ียังไมม่ คี วามรคู้ ือ การเรียนรรู้ ะดับเด็กเลก็ ควรจดั มากนอ้ ยเพยี งใด ตอ่ เดก็ กลมุ่ ใด การเรียนรู้เกิดที่ ไหน การเรียนรู้เกิดขึ้นในตัวเด็ก เอื้อโดยสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสม การเรียนรู้ไม่ได้มาจาก ทใ่ี ดๆ นอกตวั เด็กอย่างทมี่ กั เข้าใจผิดกัน นัน่ คือ ไม่ไดม้ าจากชน้ั เดก็ เลก็ ชั้นเด็กเล็กเปน็ เพียง สภาพแวดล้อมท่ีเอ้ือเทา่ นัน้ มผี ลการวิจยั ทบ่ี อกว่า เด็กท่ีได้รบั ประโยชน์ชดั เจนจากชน้ั เดก็ เล็ก คือเด็กจากครอบครวั กลุม่ เสยี่ ง ทด่ี อ้ ยเศรษฐฐานะ ส่วนเด็กจากครอบครวั ที่ดี ไม่จำ� เปน็ ต้องเข้า เรยี นชน้ั เดก็ เลก็ ก็ได้ เพราะสภาพแวดลอ้ มทบี่ า้ นกเ็ ออื้ ตอ่ การเรยี นรขู้ องเดก็ อยแู่ ลว้ ตรงนผี้ มขอ เถยี งวา่ สภาพแวดลอ้ มทบ่ี า้ นในปจั จบุ นั เดก็ ไมค่ อ่ ยมโี อกาสเลน่ กบั เพอื่ นวยั เดยี วกนั หากไมเ่ ขา้ ช้ันเดก็ เลก็ อาจขาดทกั ษะทางสงั คมกับเพ่ือนวยั เดียวกนั เช่น การแบง่ ปนั ของเลน่ การเล่นด้วย กนั การฟงั และพดู คยุ กับเพอ่ื นวยั เดียวกัน 52

มีค�ำของนักพัฒนาการเด็กเม่ือนานมาแล้วบอกว่า “สภาพแวดล้อมของเด็กเล็ก คือ หลกั สตู ร” ซง่ึ หมายความวา่ เดก็ เรยี นรไู้ ดจ้ ากทกุ สภาพแวดลอ้ ม เพราะการเรยี นรเู้ ปน็ ธรรมชาติ ของเดก็ จงึ ควรจดั สภาพแวดลอ้ มรอบตวั เดก็ ใหเ้ ออ้ื ตอ่ การเรยี นรทู้ ดี่ ี และครบถว้ นสำ� หรบั เดก็ เลก็ ที่น่าตกใจคือ มีเด็กเล็กจ�ำนวน หนึ่ง ที่มีพัฒนาการดี อยู่ในครอบครัวท่ี อบอุ่น แต่เม่ือเข้าโรงเรียน (ประถม และมัธยม) กลับเรียนไม่ได้ดี ไม่สามารถเรียนบรรลุผลตามศักยภาพ ของตนได้ และมีการเสนอว่า ปรากฏการณ์​นี้ยืนยันว่า ในช้ันเด็กเล็กควรเน้นการเล่น และ ความสนุกสนาน ไมค่ วรเนน้ การทำ� งานและวนิ ยั เข้มงวด 53

เด็กล่องหน ช้ันเด็กเล็กช้ันเลว เป็นตัวก่อความเครียดแก่เด็ก และมี การกลา่ วหาวา่ ในสหรฐั อเมรกิ า ชน้ั เดก็ เลก็ กลายเปน็ ธรุ กจิ นโยบายของมลรฐั หรอื ของชาตมิ อง ไมเ่ หน็ ตวั เดก็ กลบั มองไปท่ธี ุรกจิ ผู้เขียน (Erika Christakis) ไม่เหน็ ด้วยกับความคิดเห็นในย่อหน้าบน และ เชื่อว่าทุกคนปรารถนาดีต่อเด็ก ปัญหา อยู่ท่ีความไม่เข้าใจ ว่าเด็กเล็กเติบโต และเรยี นรูอ้ ย่างไร จริงๆ แล้วเด็กเล็กในปัจจุบัน สุขภาพดีและมีความสุขกว่าเด็กในยุค ใดๆ แต่เริ่มมีสัญญาณว่าปัญหาต่อ เด็กเล็กก�ำลังก่อตัว เช่น มีการเอา เป็นเอาตายกับการสอบเด็กอนุบาล ช้ั น เ ด็ ก เ ล็ ก ก ล า ย เ ป ็ น ช้ั น เ รี ย น วชิ าการ ค่าใชจ้ ่ายแพงขนึ้ มากมาย น่คี ือสญั ญาณของการเดนิ ผดิ ทาง 54

ระบบนิเวศ ของการเรียนรู้ (learning habitat) ระบบนิเวศทางสังคมที่เอ้ือต่อการเรียนรู้คือ ระบบสังคมท่ีเอ้ือต่อการเรียนรู้บูรณาการ ครอบคลมุ ทกุ ด้าน (comprehensive childhood habitat) ซึ่งหมายความว่าเปน็ พื้นทที่ ีเ่ อาใจใส่ มากกว่าพื้นท่ีลับสมอง (cognitive space) ในพน้ื ทดี่ งั กลา่ ว เดก็ ไดม้ โี อกาสสำ� รวจตรวจคน้ ทำ� ความรจู้ กั เขา้ ใจ และเชอื่ มโยงตนเอง กับข้อค้นพบเหล่านน้ั แตน่ า่ เสียดายท่พี ื้นที่เหลา่ นัน้ กำ� ลงั ถูกทำ� ลายโดยววิ ัฒนาการทางสังคม และความหวังดี (แต่เข้าใจผิด) ของผู้ใหญ่ ที่เข้าไปจัดการพ้ืนที่ดังกล่าวจนเด็กขาดความเป็นอิสระในการเรียนรู้ ของตน และถกู จดั ระบบการเรยี นรู้ จนพน้ื ท่ีเรยี นรูน้ นั้ ขัดกับธรรมชาตกิ ารเรยี นร้ขู องเดก็ วิจารณ์ พานิช ๕ เม.ย. ๖๑ 55

56

“...ระบบนเิ วศทางสงั คมที่เอ้ือตอ่ การเรยี นรู้คือ ระบบสงั คมท่เี ออื้ ตอ่ การเรียนรู้บูรณาการ ครอบคลุมทุกด้าน (comprehensive childhood habitat) ซ่ึงหมายความวา่ เป็น พื้นทีท่ ่ีเอาใจใส่ มากกวา่ พ้ืนทล่ี บั สมอง (cognitive space)...” “...แตน่ า่ เสียดายท่ีพ้นื ที่เหลา่ น้นั ก�ำลงั ถกู ทำ� ลายโดยววิ ัฒนาการ ทางสังคมและความหวงั ดี (แตเ่ ข้าใจผิด) ของผใู้ หญ่...” 57

58

º··Õèó àÃÕ¹ÃÙŒ 59

จ ในห้องสรี่เะหหลวี่ย่ามงคสกุณภับคาสพิดภแวา่าวพแดบจลบร้อไิงหมในปนลธรอรมมๆชาติ น ะจุดไฟใแนหต่งคัวเวดา็กมไอดย้มาากกกรวู้อ่ากยันา?กเห็ 60

พ้ืนท่ีเรียนรู้ ตีความจากบทท่ี ๒ ที่เช่ือว่า Goldilocks Goes to Daycare : Finding the Right Zone for Learning เด็กมคี วามชา่ งสงั เกตมากกว่าท่ีเราคดิ หากผใู้ หญ่เข้าไปรบั รู้ ชวนคยุ ชวนคดิ ชวนคน้ หา ความหมาย เดก็ จะไดเ้ รยี นรมู้ ากมาย สนกุ สนาน และมคี วามสขุ หนงั สอื บอกวา่ เดก็ เปรยี บประดจุ “intuitive scientist” ท่ีหากผู้ใหญ่รู้จักวิธีพูดคุยเชื่อมโยง เด็กจะค่อยๆ เข้าใจความเช่ือมโยง ของสรรพส่ิง 61

ความคาดหวังที่ผิด (ของผู้ใหญ่) หนังสือสาธยายสภาพแวดล้อมของศูนย์เด็กเล็ก (และโรงเรียนอนุบาล) ที่จัดขึ้น ตามจนิ ตนาการของผใู้ หญ่ วา่ เหมาะสมตอ่ การกระตนุ้ การเรยี นรขู้ องเดก็ และผมเดาวา่ อกี สว่ นหนงึ่ เพ่ือสร้างความประทับใจแก่พ่อแม่ท่ีไปส่งลูก ว่าโรงเรียนเต็มไปด้วยภาพฝาผนัง โปสเตอร์ และวัสดุประกอบการเรียนรู้ สำ�หรบั ใหบ้ ตุ รหลานของตนไดเ้ รยี น แต่นน่ั คือความเข้าใจทผ่ี ดิ สภาพแวดล้อมเทียมหรือปลอม สู้สภาพจริงของธรรมชาติ หรือชีวิตจริงไม่ได้ ภาพวาด ทิวทัศน์สวยงาม แตกต่างหลากหลายสภาพธรรมชาติ สู้นกท่ีร้องอยู่นอกหน้าต่างห้องเรียน ไม่ได้ ภาพผีเสื้อหรือผ้ึงที่ฝาผนัง สู้ผีเส้ือ ของจรงิ กระตุน้ หรือผ้ึงตัวจริงที่บินหรือตอมดอกไม้ ความสนใจได้ดีกว่า ในสวนไม่ได้ เพราะของจริงกระตุ้น ความสนใจของเด็กได้ดีกว่า และ ช่วยให้เด็กได้ฝึก “สัมผัสทั้งห้า” ท่ีน�ำไปสู่การกระตุ้นพัฒนาการ ของสมอง กระตุ้นการเชื่อมโยง ใยประสาทในสมอง ได้แก่ สร้างความรู้ใส่ตวั ไดฝ้ กึ ความเปน็ คนอยากรู้ ไม่ใชร่ บั ความรู้ อยากเห็น ฝึกส�ำรวจ จากภายนอก ฝึกผัสสะ ฝึกเชื่อมโยง ฝกึ แกป้ ญั หา ทเ่ี ปน็ พน้ื ฐาน ความส�ำเร็จในการเรียน วชิ าการ และความสำ� เร็จของชวี ติ 62 ในภายหนา้

ผลการวิจัยบอกว่า สภาพแวดล้อมเทียมดังกล่าว กลับมีผลลบต่อพัฒนาการเด็ก เพราะ เปน็ การจดั สถานทภ่ี ายใตก้ ระบวนทศั นท์ ผี่ ดิ คอื มองศนู ยเ์ ดก็ เลก็ และโรงเรยี นอนบุ าลเปน็ “สถานี เตมิ นำ�้ มนั ” หวงั ใสค่ วามรเู้ ขา้ ไปในสมองทว่ี า่ งเปลา่ ซง่ึ เปน็ กระบวนทศั นท์ ผ่ี ดิ โดยสนิ้ เชงิ ตอ่ สมอง เดก็ และตอ่ การเรยี นรู้ของเดก็ สมองเดก็ ไม่ได้ว่างเปล่า แต่เตม็ ไปดว้ ยหนอ่ ออ่ นของศกั ยภาพในการเรียนรู้ และเดก็ ช้นั เด็กเล็กและอนุบาลมีความรู้อยู่บ้างแล้ว ส�ำหรับใช้เป็น “ความรู้เดิม” (prior knowledge / met before) เป็นเคร่อื งดักจับความรใู้ หม่ และตอ่ ยอดความรู้ความเขา้ ใจให้เชอื่ มโยงและลกึ ย่ิงขึ้น นี่โรงเรียนอนุบาลหรือ เด๋ียวเตมิ สถานีเติมนำ้ �มนั กันแน่คะ เดย๋ี วเติม 63

การเรียนรู้ก็ไม่ใช่กระบวนการเอาความรู้จากภายนอกเทใส่สมองเด็ก ไม่ใช่การถ่ายทอด ความรู้ แต่เป็นการกระตุ้นให้เด็กสนใจ สังเกตเพ่ือเก็บข้อมูล น�ำมาตีความหาความหมาย เชือ่ มโยงกบั ความรูค้ วามเข้าใจเดมิ คอื เปน็ การสรา้ งความรูใ้ สต่ ัว ไมใ่ ชร่ บั ความร้จู ากภายนอก สภาพของการจัดสภาพแวดล้อมของศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาลส่วนใหญ่ จึงเป็น สภาพทขี่ ดั กัน ไม่เขา้ กนั ระหว่างความคาดหวงั ของผู้ใหญ่ กับธรรมชาตกิ ารเรียนรูข้ องเด็ก ที่ท้าทายต่อครูเด็กเล็กยิ่งกว่าน้ันคือ พื้นที่เรียนรู้ท่ีเหมาะสม และพัฒนาการตามปกติ ของเด็กแต่ละคนแตกต่างกัน และเด็กบางคนอาจแตกต่างจากเด็กทั่วไปมาก จนผู้ใหญ่และครู เขา้ ใจวา่ เดก็ ผดิ ปกติ จงึ มกี ารตตี ราเดก็ บางคนวา่ เปน็ โรค ADHD (Attention-Deficit, Hyperactive Disorder), โรคพัฒนาการด้านการท�ำงานร่วมกันของกล้ามเน้ือผิดปกติ (developmental coordination disorder), โรคพฒั นาการของการรบั รปู้ ระสาทสมั ผสั ผดิ ปกติ (sensory processing disorder) ถงึ กบั บรษิ ทั ยาในตา่ งประเทศสรา้ งสถานการณ์ใหม้ กี ารวนิ จิ ฉยั เดก็ กลมุ่ หนงึ่ ใหเ้ ปน็ โรค ADHD และได้รับยารกั ษาโรค กอ่ ผลรา้ ยตอ่ เดก็ จำ� นวนมาก* คุณค่าส�ำคัญที่สุดของศูนย์เด็กเล็กและโรงเรียนอนุบาล คือ พื้นที่ส�ำหรับฝึกปฏิสัมพันธ์ กับผู้อ่ืน และส่ิงท่ีผู้ใหญ่พึงตระหนักไว้เสมอคือ เด็กท่ีความประพฤติเลวร้ายรุนแรงอาจเป็นเด็ก ทสี่ มองเลศิ อยา่ งทส่ี ดุ เปน็ เดก็ ทถี่ กู ทำ� รา้ ยโดยหลกั สตู รทแี่ ขง็ ทอ่ื จบั เดก็ อยใู่ นกรงขงั วญิ ญาณเสรี ของเด็กเหล่าน้ีทนไม่ได้ เพราะเขาสนใจสภาพแวดล้อมตามธรรมชาตินอกห้องเรียนมากกว่า เดก็ เหล่านถี้ กู ทำ� รา้ ยโดยระบบการศกึ ษาท่ีอ้างการฝกึ วินยั ใหแ้ ก่เด็ก *ดู https://www.nytimes.com/2013/12/15/health/the-selling-of-attention-deficit-disorder.html 64

ออกมาปนี ตน้ ไม้ เล่นกนั เถอะ ใครก็ไดช้ ว่ ย เปดิ ประตูกรงให้ เดก็ ออกมาที ข้อเตือนใจพ่อแม่และครู เด็กเล็กคือ พัฒนาการเด็กไม่เป็น อย่าทำ�รา้ ยเดก็ เส้นตรง และพัฒนาการก้าวกระโดดในทักษะ ด้านหนึ่งอาจชะลอพัฒนาการด้านอ่ืน หรืออาจถึงกับเป็น พฒั นาการถอยหลงั สภาพเชน่ นอ้ี าจสงั เกตเหน็ วนั ตอ่ วนั เปน็ เรอื่ งปกตธิ รรมดา ไมค่ วรตนื่ ตกใจ 65

เน้นที่ประสบการณ์ของเด็ก หนังสือบอกว่า ในสหรัฐอเมริกา พ่อแม่ท่ีส่งลูกเข้าศูนย์เด็กเล็กหรือโรงเรียนอนุบาล ใชเ้ งนิ ถงึ หนง่ึ ในหา้ ของรายไดท้ ง้ั หมดเพอื่ การน้ี แตร่ นู้ อ้ ยมากวา่ ลกู ไดฝ้ กึ หรอื เรยี นรอู้ ะไรบา้ งทนี่ นั่ และแม้แต่ประสบการณ์ของเด็กที่บ้านของตัวเอง พ่อแม่ก็อาจไม่เข้าใจประสบการณ์จริงๆ ของลูก วา่ ได้ชว่ ยเอือ้ การเรียนรเู้ พือ่ พัฒนาการของเด็กอยา่ งไรบา้ ง คือผู้ใหญ่มีแนวโน้มจะมองเด็กจากมุมมองของผู้ใหญ่ ไม่พยายามและเรียนรู้ที่จะเข้าใจ เดก็ จากมุมมองของเด็ก หรือกลา่ วอกี นัยหน่งึ มปี ฏสิ ัมพันธ์กบั เด็กโดยยึดมมุ มองหรอื โลกทัศน์ ของเดก็ เป็นตัวต้ัง ไม่เอาผใู้ หญ่เปน็ ตัวตง้ั ขอบคุณครบั คณุ กบ เขาบอกว่า ตามปกติเด็กจะสนใจ บา้ นคณุ อยทู่ ่ีไหนครบั ชวี ติ ตอนเปน็ ผใู้ หญ่ แตน่ า่ เสยี ดายทผี่ ใู้ หญ่ มักไม่สนใจชีวิตตอนเป็นเด็ก โลกทัศน์ อยากเห็นจัง เช่นน้ีแหละที่น�ำไปสู่การจัดช้ันเรียนใน ช้ันเด็กเล็กแบบถ่ายทอดความรู้ (DI - Direct Instruction) ซึ่งเป็นวิธีจัดชั้น เรียนของเด็กเล็กทีผ่ ิด ปล่อยเด็ก วิธที ี่ถกู ต้อง คือทางสายกลาง ออกจากกรงขัง เปิดช่องให้เด็กได้เรียนสนองความ อยากรู้อยากเห็นของตน แต่ใน 66 ขณะเดียวกันก็เรียนรู้ฝึกฝนวินัยใน การอยูร่ ว่ มกบั ผู้อ่ืนดว้ ย

หลักการสำ�คัญ� ของการจัดการเรียนรู้สำ�หรับเด็กเล็ก หลักการส�ำคัญของการจัดการเรียนรู้ส�ำหรับเด็กเล็กคือ อย่าเน้นใช้หลักสูตรมาตรฐาน ตายตวั อยา่ เนน้ ใชต้ ำ� รามาตรฐาน ทเี่ นน้ พฒั นาความรู้ แตใ่ หเ้ นน้ จดุ ไฟแหง่ ความอยากรอู้ ยากเหน็ (curiosity) ของเด็กให้ลุกโพลง รวมท้ังเน้นความสร้างสรรค์ ให้โอกาสเด็กสร้างความหมาย และสร้างสรรคส์ งิ่ ทีต่ นสนใจ คอื ให้เนน้ เรยี นรู้จากการลงมือท�ำ เน้นฝกึ ความชา่ งสงั เกต กลา้ ทำ� หรือสร้างสรรค์ตามความท้าทาย กล้าคิดหาความหมายของส่ิงต่างๆ ตามการตีความของตน แม้จะแตกต่างจากการตีความของผู้อ่นื และเนน้ เรยี นรผู้ ่านปฏสิ ัมพันธ์กับผูอ้ ่นื เน้นการรูจ้ กั ฟัง ความเหน็ ของผู้อ่ืน และเน้นการมีอารมณข์ นั การเรียนรู้ผ่านปฏิสัมพันธ์ จะช่วยให้เด็กพัฒนา EF ของตนข้ึนมา EF (Executive Functions) เปน็ ทักษะด้านการควบคุมกำ� กบั ตนเอง มีทศิ ทางทางเปา้ หมายของตนเอง รจู้ ักรอ หรอื ผลดั กนั ใหโ้ อกาสกบั เพื่อน พลังคำ�ถาม และ การเสวนา ผเู้ ขยี น เลา่ เรอื่ งการไปสงั เกตการณว์ งเสวนาทค่ี รูWinnie สอนชนั้ เดก็ เลก็ อายุ ๔ ขวบ เรอื่ ง ปลามกี ระดูกหรือไม่ อ่านถ้อยคำ� เสวนา และวิธีที่ครูดำ� เนินการเสวนาแลว้ ผมนึกถงึ วธิ สี อนแบบ โสกราติก (Socratic teaching) ครูท�ำหน้าที่ตั้งเรื่อง จัดเอกสารประกอบการเรียน เร่ิมด้วยครูตั้งค�ำถาม แล้วฟัง ฟังให้ เข้าใจวิธีคิดของเด็ก ประเมินความรู้เดิม (prior knowledge) ของเด็ก ประเมินความก้าวหน้า ในการเรียนรู้ของเดก็ จากคำ� พูดและพฤตกิ รรม และตง้ั ค�ำถามหรือชวนเสวนาเพ่ือกระตนุ้ การคดิ 67

ในหนังสือระบุว่าเด็กทักท้วงที่เพ่ือนคนหน่ึงพลิกสารานุกรมส�ำหรับเด็กในหัวข้อที่ก�ำลังเสวนา เพือ่ ค้นหาหลกั ฐานประกอบการตอบ วา่ ทำ� ผดิ กตกิ า ทีต่ กลงกันไวว้ ่านกั เรยี นจะไมเ่ ปิดหนงั สือ หาค�ำตอบ ให้นักเรยี นคิดเอง ครู Winnie ชว่ ยอธิบายแก้ไขความขัดแย้งของเด็กในกรณนี ี้ วงเสวนาในกลุ่มเด็กกับครดู ังกล่าว คอื วงเรียนวธิ ีคดิ และฝึกใหค้ วามหมายของสง่ิ ต่างๆ ด้วยตนเอง เป็น “พื้นที่ทางสังคม” ของเด็ก เพื่อการเรียนรู้สู่พัฒนาการเด็ก โดยเป้าหมาย ส�ำคัญท่ีสุดของการเรียนคือ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) และสมรรถนะ และคุณลกั ษณะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ตัวอืน่ ๆ (เชน่ ทกั ษะการแก้ปญั หา ทักษะทางสงั คม ทกั ษะ ความร่วมมือ คุณลักษณะดา้ นความอยากร้อู ยากเห็น การริเรม่ิ ) ไม่ใช่สาระความรู้ ครแู ค่ต้งั คำ�ถาม แล้วก็ฟงั ใหเ้ ข้าใจ ผมขอเสนอว่า ครูเด็กเล็ก กระตุ้นการคดิ วธิ ีคิดของเด็ก ต้องได้รับการฝึกทักษะอย่างท่ีครู Winnie ท�ำ ไม่ใช่ทักษะการใช้ แบบเรยี นหรือตำ� ราสอนเด็ก ทั ก ษ ะ ที่ ค รู W i n n i e แสดงออกในวงเสวนาคือ ทักษะ การโค้ชเด็กให้คิดแบบภาพรวม (organic whole) คือเชื่อมโยง ประเด็นหรือเร่ืองเข้าเป็นภาพใหญ่ ที่เสมอื นมชี วี ติ งอกงามได้ ไมม่ อง ปลามกี ระดกู สิ่งต่างๆ แบบแข็งทื่อตายตัว ครู หรอื ไม่ Winnie คอยตรวจสอบคลังค�ำของ เด็กแต่ละคนที่กล่าวออกมา และท�ำหน้าท่ี กลา่ วยำ้� คำ� สำ� คญั คอยชว่ ยทำ� ใหก้ ารเสวนาดำ� เนนิ ไปตามเปา้ ไม่ออกนอกทาง รวมท้ังคอยช่วยย้�ำหรือท�ำให้ค�ำอธิบายที่ถูกต้อง 68 ของนกั เรียนชัดข้ึน เขา้ ใจไดง้ า่ ยข้ึน

สรุปว่า ครู Winnie ไม่สอนโดยตรง แต่ท�ำหน้าที่ “คุณอ�ำนวย” และ โค้ช โค้ชให้ศิษย์ ตวั นอ้ ยสรา้ งและสง่ั สม “ทกั ษะนกั วจิ ยั ” ทเี่ รยี กวา่ transferable skills คอื ทกั ษะนำ� ความรใู้ นบรบิ ท หน่ึงไปทดลองใช้ในอีกบริบทหน่ึง ซ่ึงก็คือทักษะการคิดน่ันเอง เด็กที่ผ่านการเรียนชั้นเด็กเล็ก แบบน้ี จะมคี วามเปน็ ตวั ของตวั เอง คดิ อกี ที คนทม่ี คี วามสามารถขนาดครู Winnie ควรไดร้ บั คา่ ตอบแทนทสี่ งู ครเู ดก็ เลก็ ของ ไทยที่พิสูจน์ตนเองว่ามีความสามารถสอนแบบโสกราติกได้อย่างดี ควรได้รับค่าตอบแทนเดือน ละไมต่ �่ำกวา่ ๔๐,๐๐๐ บาท (เงินเดือนเฉลีย่ ของครูไทยขณะนี้เดือนละ ๔๑,๐๐๐ บาท ยังไมร่ วม ค่าวิทยะฐานะ ... ข้อมูลนี้กล่าวโดย นพ. ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ ในการประชุมภาคีการ ศกึ ษาไทย ๒ เมษายน ๒๕๖๑ ทีธ่ นาคารไทยพาณชิ ย)์ เพือ่ ดงึ ดดู คนมีความสามารถและรกั เด็ก รกั งานจัดการเรยี นรแู้ ก่เดก็ เลก็ สำ� หรบั เป็นฐานสร้างพลเมอื งคุณภาพสงู สปู่ ระเทศไทย ๔.๐ ครบู อกให้คดิ เอง ครูคะ เขาแอบ ไม่ให้เปดิ หนังสือ เปิดหนงั สอื ตอบ ใช่ๆ ผิดกตกิ า เรากำ�ลังหารูป น่าสนใจมากจ้ะ ทเ่ี ราคดิ ไวน้ ะ่ แตต่ อนนเี้ ล่าความคดิ เกย่ี วกับปลา ครูตอ้ งคมุ วงสนทนา และรูปปลาทหี่ นูอยากจะหา ใหด้ ำ�เนนิ ไปตามเปา้ ให้เพ่ือนฟงั กอ่ นนะ ไม่ออกนอกทาง เด๋ียวคอ่ ยดูรูปกันทีหลังนะจ๊ะ 69

สิ่งจูงใจเด็กให้เรียนรู้ หลักสูตรชั้นเด็กเล็กมาตรฐาน ที่เน้นเตรียมความพร้อมในการเรียนโดยให้เด็กรู้จัก ตวั อกั ษร คำ� ทข่ี น้ึ ตน้ ดว้ ยตวั อกั ษรนนั้ ๆ และใหร้ จู้ กั ตวั เลข การบวกลบเลข มจี ดุ ออ่ นท่ีไมก่ ระตนุ้ ความสนใจอยากรอู้ ยากเหน็ ของเดก็ เพราะสงิ่ ทเี่ รยี นไมเ่ ชอื่ มโยงกบั เรอ่ื งราวทเ่ี หน็ ในชวี ติ ประจำ� วนั ไม่เชื่อมโยงกับความรู้เดิม (prior knowledge) ของเด็ก วิธีการเช่นน้ี ทั้งไม่ได้ผล และไม่มี ประสิทธภิ าพ เพราะเดก็ เรยี นเพราะถูกบังคับใหเ้ รียน เปน็ การเรียนแบบไรจ้ ดุ หมาย ตรงกนั ขา้ ม การเรยี นทม่ี เี ปา้ หมาย (สำ� หรบั เดก็ ) เชน่ ใหค้ ุกก้ี ๙ ช้ินแก่เด็ก ๓ คน บอกให้แบง่ เทา่ ๆ กนั เดก็ จะเรยี น วิธีหารได้ทันที แม้ให้ ๑๐ ช้ิน แล้วให้ แบ่งเท่าๆ กนั เดก็ ก็ท�ำได้ เด็กเรียนได้ดีกว่า และ ครคู รบั ผมอยากเรียน เรว็ กวา่ หากไดเ้ รยี นฝกึ ทกั ษะที่ 9 คืออะไร แบบหอ้ งโน้น ซบั ซ้อน (complex skills) เชน่ สิง่ ทเ่ี รยี นไมเ่ ช่อื มโยงกบั เรือ่ งราวท่ีเหน็ ในชวี ิต ความเข้าใจรูปทรง ทักษะการ ประจำ�วนั ชว่ ยเหลอื แบง่ ปนั กบั เพอื่ น และทกั ษะ ทางสังคมอื่นๆ หลังจากนั้น การเรียน ทกั ษะชน้ั เดยี ว (simple skills) เชน่ การจำ� ตัวอักษร ตัวเลข ที่เป็นการเรียนแบบ รับถ่ายทอดความรู้ (Direct Instruction) ขดี แลว้ จดุ ๆ จะทำ� ไดง้ า่ ย แตห่ ากเรม่ิ เรยี นโดยการเรยี น คอื อะไรคะ 70

ทักษะชัน้ เดยี ว จะไมช่ ่วยการฝกึ ทักษะเชิงซอ้ นในภายหลงั ในความเปน็ จรงิ การเรยี นของเดก็ ตอ้ งเปน็ แบบผสม คอื สว่ นใหญเ่ ปน็ การเรยี นแบบลงมอื ทำ� เพอ่ื เรยี นรสู้ งิ่ ทอ่ี ยากรู้ แตก่ ต็ อ้ งมกี ารเรยี นแบบรบั ถา่ ยทอดความรบู้ า้ ง เทา่ ทจี่ ำ� เปน็ เชน่ เรยี นวธิ ี แปรงฟนั ท่ีถูกวธิ ี วิธีล้างมือใหถ้ ูกวธิ ี ออกเสยี งคำ� ภาษาอังกฤษท่ีลงทา้ ยดว้ ย th ให้ถกู ตอ้ ง วธิ เี รยี นท่ตี อ้ งไม่ทำ� คือฝึกเดก็ ให้เรยี นทอ่ งจ�ำแบบนกแก้วนกขุนทอง เด็ก เรยี นร ู้� หลักสูตรที่ช่วยให้เรียนรู้ได้ดี คือ หลักสูตรแบบเน้นเรียนโดยเล่น วธิ ีหารไดด้ ีกว่า� และทดลองค้นคว้าเอง (play-based, ตัวเลขบนกระดาน exploratory curriculum) ประกอบกบั การเรยี นเป็นกลมุ่ แบบ Socratic method โอ๊ะ เหลืออกี ๑ ชน้ิ หกั แบง่ แล้วกันนะ คนละเทา่ น้ี ๓ ชนิ้ เอาคนละ พอดเี ลย ๑ชนิ้ ๑ช้ิน ๑ช้นิ แจกวนๆ ไป ได้คนละ ๓ เย้!!! 71

อย่าหลงหลักสูตรมาตรฐาน หลักสูตรแบบน้ีมหี นังสือประกอบการสอนทค่ี รูใชส้ อนเด็ก โดยการอ่านให้เดก็ ฟัง แลว้ ต้ัง คำ� ถามหรอื เสวนากบั เดก็ ทงั้ ชนั้ ทเ่ี รยี กวา่ sharedreading เปน็ วธิ ที มี่ จี ดุ ออ่ นในระดบั ปฏบิ ตั ขิ องครู คือ “สอนเพื่อสอบ” (teach to the test) เพอื่ สนองผูบ้ ังคับบญั ชาหรือหนว่ ยเหนอื วา่ ตนได้สอน ตามที่ผู้เชี่ยวชาญก�ำหนดไว้แล้ว เม่ือมีศึกษานิเทศก์มาทดสอบเด็กก็ทดสอบทักษะวิชาตามท่ี ก�ำหนดไว้ ช้ันเดก็ เลก็ แบบนี้ ท�ำลายเด็ก มากกวา่ มีคณุ ข้อจำ�กัดของการสอนแยกส่วน ช้ันเด็กเล็กในปัจจุบัน ติดกับดักของการเรียนแบบแยกส่วน (fragmented learning) ตรงกนั ขา้ มกบั การเรยี นรทู้ แ่ี ทจ้ รงิ ทตี่ อ้ งเรยี นแบบเชอื่ มโยงชน้ิ สว่ น ทเี่ รยี กวา่ เรยี นแบบองคร์ วม (holistic learning) การเรียนรู้ท่ีดี ต้องเรียนแบบเช่ือมโยงกับสภาพจริง หรือเรียกว่าเชื่อมโยงกับบริบท (context-based learning) หรือเช่ือมโยงกบั คณุ คา่ (value-based learning) หัวใจคือ สอนหรอื ฝกึ เด็กให้มที กั ษะขนั้ ตำ�่ (lower-level skills) กอ่ น แลว้ ค่อยๆ ฝึกทกั ษะ ท่ีสูงข้ึนๆ ในด้านการเรียนรู้ (high-level cognition) ผมมีความเห็นว่า “ทักษะขั้นต่�ำ” ในที่นี้ เปน็ ถอ้ ยคำ� ทก่ี อ่ ความเขา้ ใจผดิ ไดง้ า่ ย เชน่ ทกั ษะการเปน็ คนชา่ งสงั เกต ฝกึ ไดง้ า่ ยตอนเปน็ เดก็ เลก็ ถือเป็น “ทักษะข้ันต่�ำ” ในการฝึก แต่เม่ือเติบโตข้ึน ในทางปฏิบัติทักษะความช่างสังเกตนี้ ถือเป็นทักษะข้ันสงู สำ� หรบั ชีวิตท่ีประสบความสำ� เรจ็ 72

ฮะฮะฮะ ต๊ักแตน ทกั ษะการเปน็ สเี ขยี วแอบอยูบ่ นใบไม้ คนช่างสังเกต ฝกึ ไดง้ า่ ย เกอื บมองไม่เหน็ แหนะ ตอนเป็นเด็กเล็กคะ่ แตว่ ธิ จี ัดการศกึ ษาทที่ �ำกันมานานเปน็ รอ้ ยปี เนน้ การเรียนแบบแยกสว่ น ยิ่งศกึ ษาสงู ข้นึ ไปย่ิงเน้นทักษะแยกส่วน ทักษะแยกส่วนกลายเป็นทักษะขั้นสูง ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด ทักษะ ทส่ี ูงกว่าแยกส่วน คือทกั ษะสังเคราะห์ประกอบช้ินส่วนสู่องค์รวมทมี่ ีคณุ ค่าและความหมายทส่ี งู ลงทา้ ยกต็ อ้ งเรยี นแบบผสม คอื ทงั้ แยกสว่ นและรวมสว่ นเปน็ องคร์ วม การเรยี นแบบองคร์ วม คือการเรียนแบบเนน้ การทำ� กิจกรรม (activity-based learning) ดูกร็ ู้ แก้วน้ี จะสร้างปราสาททราย ร้อนแน่ๆ จะปั้นทรายเป็นลูกกลมๆ การเรยี นรทู้ ่ดี ี � ต้องใสน่ ้ำ�นะครับ ตอ้ งเรียนแบบเชอ่ื มโยง� 73 กับบริบทจรงิ

ฝึกเป็นโค้ช ทงั้ พอ่ แมแ่ ละครตู อ้ งฝกึ เปน็ โคช้ ใหแ้ กล่ กู หรอื ลกู ศษิ ย์ โดยตอ้ งทำ� สองอยา่ งคกู่ นั เขาใชค้ ำ� ที่ขนึ้ ตน้ ด้วยตวั c คอื calibrating กับ coaching Calibrate คือวดั หรือตรวจสอบน่นั เอง หลักการคอื เดก็ แตล่ ะคนมีพฒั นาการแตล่ ะดา้ น ไม่เหมือนกัน พ่อแม่และครูต้องรู้ว่าพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กไปถึงไหนแล้ว และช่วยโค้ช ตามสภาพนั้นๆ อย่าโคช้ ตามท่ีบอกไวแ้ บบมาตรฐานกลางในหนงั สือหรอื ต�ำรา หลักการของการจัดการเรียนในชั้นเดก็ เลก็ คอื ส่งเสริมการช่วยตวั เองของเด็ก ซง่ึ ในทาง ปฏิบัติคือ ต้องส่งเสริมตามระดับพัฒนาการของเด็กแต่ละคน เป็นรายคน เพ่ือลงรายละเอียด “พื้นทเ่ี รยี นรู้ทีเ่ หมาะสม” (right zone for learning) สำ� หรับเดก็ แต่ละคนแตกต่างกัน พลังของการสังเกต ๑. จดั วงเสวนา น่คี ือค�ำแนะนำ� ต่อพอ่ แม่และครู ในการทำ� หน้าท่ี เพ่ือกระต้นุ การคดิ ตั้งค�ำถาม ช่วยสนับสนุนให้เด็กค้นพบกิจกรรมท่ีมีความหมาย แล้วฟงั ให้เขา้ ใจวิธีคดิ ของเดก็ ต่อตนเอง โดย สนับสนุน เพ่ิมพลงั การสังเกต ๒. สงั เกต ประเมนิ ความร้เู ดิมของเด็ก/ ๓. ฝึกตง้ั ค�ำถามปลายเปิด ความก้าวหนา้ ในการเรียนรู้ของเดก็ กระต้นุ ใหเ้ ดก็ ไตรต่ รองสะท้อน จากคำ� พดู และพฤตกิ รรม คดิ สงิ่ ท่ตี นทำ� 74

หลกั การสำ� คญั เพอื่ เพมิ่ พลงั สงั เกตเดก็ คอื “ไมม่ คี วามจำ� ไมม่ คี วามตอ้ งการ” (no memory, no desire) คอื ไมเ่ อาตวั เองเปน็ ตวั ต้งั เอาพฤตกิ รรมของเด็กในปจั จบุ ันขณะเปน็ ตัวต้งั คำ� พูดหรอื คำ� ถามปลายเปิด ชว่ ยใหเ้ ดก็ แสดงความคดิ ของตนออกมาโดยไมม่ ีสิง่ ใดขวาง เช่น เด็กวาดรูปลงบนกระดาษด้วยดินสอสีเทียน ผู้ใหญ่ดูแล้วอุทานว่า หนูวาดรูปบ้านสวยจัง นเ่ี ปน็ คำ� พดู ปลายปดิ เปน็ คำ� ชมผสมการตคี วาม วา่ ทเ่ี ดก็ วาดเปน็ รปู บา้ น คำ� พดู ทป่ี ลายเปดิ สดุ ๆ คอื “อธบิ ายเรือ่ งรปู ทห่ี นวู าดใหเ้ พอื่ นๆ ฟงั หนอ่ ยได้ไหม” ผมตีความว่า ค�ำพูดหรือค�ำถามปลายเปิด เป็นตัวกระตุ้นให้เด็กไตร่ตรองสะท้อนคิด สิ่งท่ีตนท�ำ เป็นสุดยอดของการเรียนรู้ คือเด็กได้เรียนรู้จากการลงมือท�ำ (action) ตามด้วย การไตร่ตรองสะท้อนคดิ (reflection) วิจารณ์ พานิช ๗ เม.ย. ๖๑ 75

บวกๆ คดั ๆ กันไปแบบไมเ่ ขา้ ใจ ไมร่ ูว้ า่ เอาไปใชย้ ังไง คัด ก ๓ บรรทดั เม่ือไหร่ จะครบสักที 76

“...ชน้ั เดก็ เลก็ ในปจั จบุ นั ตดิ กับดักของการเรยี นแบบแยกสว่ น ตรงกนั ขา้ มกบั การเรยี นรู้ ทแี่ ทจ้ รงิ ท่ีตอ้ งเรียนแบบเชือ่ มโยงชนิ้ ส่วน ท่ีเรยี กวา่ เรยี นแบบองคร์ วม (holistic learning) การเรยี นรูท้ ีด่ ี ต้องเรยี นแบบเชือ่ มโยงกับสภาพจรงิ หรือเรยี กวา่ เช่ือมโยงกับบรบิ ท (context-based learning) หรือเช่ือมโยงกบั คุณค่า (value-based learning)...” 77

78

º··Õèô ¾Åѧ ¢Í§à´ç¡ 79

ล่า สร้าแเตช่เื่อรไาหจะมมวเอด่าง็ก.เ.หม. ็นีพพลลังังขเหองสงรเนดรั้น็กคไ์มดากกว่าที่เราคิด หากเราไม่มใีพห้เื้นด็กทแี่ ส ้อย่างไร 80 ดงออก

พลังสร้างสรรค์ของเดก็ ตคี วามจากบทท่ี ๓ ที่ช่ือว่า Natural Born Artists : The Creative Power of Childhood ผู้เขียน (Erika Christakis) เล่าการสนทนาของตนกับเด็กชายอายุส่ีขวบครึ่งชื่อ Trevor ทก่ี ลา้ มเนอ้ื มดั เลก็ พฒั นาชา้ แตพ่ ฒั นาการดา้ นการพดู ลำ้� หนา้ มาก การสนทนาเรม่ิ จากภาพวาด ที่ดูไม่รู้เร่ือง แต่เม่ือบอกให้อธิบาย Trevor ก็อธิบายยืดยาวเร่ืองไดโนเสาร์ ปนกันท่ีเรื่องจริง และเรื่องจากจนิ ตนาการ เปน็ การสะทอ้ นใหเ้ ห็นวา่ หากเปดิ ชอ่ งให้เด็กแสดงออก เดก็ มคี วามรู้ และพลังสรา้ งสรรค์มากกวา่ ทเี่ ราคิด ไดโนเสารม์ ี ตวั ทคี่ อยาวๆ หลายชนดิ นะครับ นก่ี ินพชื ครบั ผมจะเลา่ ให้ฟัง... โอ้โห ร้จู ริงน่ีนา ไดโนเสาร์ ใจดี เป็นเพือ่ น กบั เด็กๆ ครบั อ้อ...มจี นิ ตนาการ 81 ปนอยูด่ ว้ ย

เรียนจากไก่งวง วันขอบคุณพระเจ้าเป็นวันส�ำคัญของอเมริกา ต้องมีการกินเล้ียงไก่งวง และเป็น ธรรมเนยี มวา่ เดก็ เลก็ จะไดร้ บั มอบหมายใหท้ ำ� ชน้ิ งานศลิ ปะไกง่ วงกระดาษ จากการวาดมอื ตวั เอง โดยทาบมือกับกระดาษแล้วใช้ปากกาลากเส้นตามขอบน้ิวทั้งห้า แล้วตกแต่งให้เป็นไก่งวง โดยหวั แมม่ อื เปน็ หวั ไก่ เดก็ ในชนั้ เดก็ เลก็ มกี ารทำ� ไกง่ วงกระดาษในวนั ขอบคณุ พระเจา้ มาชา้ นาน จนกลายเปน็ ธรรมเนียม จนเกิดค�ำถามว่าเด็กได้อะไรจากการท�ำชิ้นงานนี้ เด็กที่ท�ำสวย ได้เรียนรู้มากกว่าเด็กท่ี ทำ� ไดไ้ มส่ วยใชไ่ หม น�ำไปสู่หลักของการเรียนรู้ว่า กระบวนการ (process) เดก็ ไม่ได้ สำ� คญั กว่าผลงาน (product) กลา่ วใหมว่ า่ อย่าหลงคิดวา่ เดก็ สะท้อนความคดิ ความหมาย ท่ที ำ� ช้นิ งานคุณภาพดี จะได้เรียนรคู้ รบถ้วนตามเป้าหมาย การให้เด็กอายุ ๔ ขวบท�ำช้ินงาน ตอ่ การเรียนรู้ แล้ววัดการเรียนรู้ที่คุณภาพของผลงาน เป็นวิธีจัดการเรียนรู้ท่ีผิดพลาด เพราะ เป็นการละเลยเป้าหมายที่ส�ำคัญกว่า ส�ำหรับการเรียนรู้ของเด็กเล็ก คือ การเรยี นรดู้ า้ นสงั คมหรอื ปฏสิ มั พนั ธ์ เดก็ ๆ ยงั ไม่เคยเจอ พวกเราชาวไก่งวงเลยฮะ 82

จ(vาiกsiวbัตleถุ สู่การเรียนแบบเห็นได้ชัด learning) การเรยี นแบบลงมอื ปฏบิ ตั ิ เปน็ การเรยี นรทู้ ด่ี ี แตก่ ย็ งั อาจมคี วามเขา้ ใจผดิ วา่ วดั ผลการเรยี น ได้จากผลงานจากการปฏิบัติของนักเรียน ในขณะท่ีผลการเรียนรู้ที่แท้จริงอยู่ที่ การอธิบาย ความหมายของการเรียนนั้น การใหเ้ ดก็ สะทอ้ นคดิ อธบิ ายความหมายของการเรยี นของตน อยา่ งท่ีTrevor อธบิ ายใหผ้ เู้ ขยี น ฟังในการสนทนา เป็นการท�ำให้ “มองเห็นการเรียนรู้” (learning visible) ท้ังท�ำให้เด็กมอง เห็นการเรียนรู้ของตน และครูมองเห็นการเรียนรู้ของศิษย์ ช่วยให้ครูหาทางเติมเต็มส่วนที่ขาด และส่งเสรมิ สว่ นท่เี ด็กชอบและถนดั ข้อผิดพลาดอย่างหน่ึงของผู้ใหญ่ในการเลี้ยงดูเด็กเล็กคือ ชมเด็กที่ท�ำสิ่งต่างๆ ได้เร็ว ชมวา่ หวั ไว เรยี นรเู้ รว็ ในขณะทต่ี ามหลกั การเรยี นรสู้ มยั ใหม่ ผใู้ หญต่ อ้ งชวนเดก็ ไตรต่ รองสะทอ้ น คิดคณุ ค่าของการทำ� สิง่ น้นั และวธิ ีการทตี่ นทำ� สง่ิ นั้น อย่างที่ผู้เขียนท�ำกับเดก็ ชาย Trevor ผมขอเพมิ่ เตมิ วา่ การชมเดก็ หวั ไว มสี ว่ นทำ� รา้ ยเดก็ โดยเราไมค่ าดคดิ เพราะเปน็ การสรา้ ง กระบวนทศั นห์ ยดุ นงิ่ (fixed mindset) ใหแ้ กเ่ ดก็ วา่ การจะทำ� อะไรไดส้ ำ� เรจ็ ขนึ้ กบั ความสามารถ ที่มีติดตัวเด็ก ในขณะท่ี กระบวนทัศน์พัฒนา (growth mindset) หรือความเช่ือในความมานะ พยายามไม่ยอ่ ทอ้ เป็นส่ิงที่มีคุณค่าทง้ั ตอ่ เดก็ และตอ่ ทุกคนตลอดชวี ติ (๑) (๑) เล้ยี งลูกยงิ่ ใหญ่ ๒๒. ฝกึ กระบวนทัศนพ์ ัฒนา https://www.gotoknow.org/posts/617868 83

ระบบการศกึ ษาชนั้ เดก็ เลก็ อาจถกู ทำ� ลายโดยความเขา้ ใจผดิ แบบ “วตั ถอุ ยเู่ หนอื ใจ”(matter over mind) คอื ตดั สนิ ผลการสอนของครทู ผ่ี ลงาน (ชน้ิ งาน) ของเดก็ ตามแบบการศกึ ษาในระบบ มาตรฐาน ซ่งึ ครตู อ้ งทำ� รายงานผลงานของตน (portfolio) เพื่อเป็นหลกั ฐานใหแ้ ก่ศกึ ษานเิ ทศก์ มผี ลให้ “ครทู งิ้ ศษิ ย”์ ใชเ้ วลาทำ� รายงาน แทนทจี่ ะใชเ้ วลาคยุ กบั ศษิ ย์ ใหเ้ ดก็ ไดไ้ ตรต่ รองสะทอ้ นคดิ ท�ำให้ “มองเหน็ ” การเรยี นรขู้ องตน และช่วยใหค้ รู “มองเห็น” การเรยี นรูข้ องเดก็ แตล่ ะคน พ่อแม่ก็ตอ้ งไม่หลงผิดอยกู่ บั ผลงานเป็นชนิ้ ๆ ของลูก ตอ้ งชวนลกู คุยเรอ่ื งผลงานของลูก เพ่ือท�ำความเขา้ ใจข้อเรยี นรู้ทีอ่ ยู่ในสมองของลกู ขอ้ เรยี นรูไ้ ม่ได้อยใู่ นวัตถุที่ลกู ท�ำ ส�ำนักพัฒนาการศึกษาเด็กเล็กที่เป็นผู้น�ำด้านการเรียนโดยให้เด็กแสดงออก หรือ “การเรยี นรแู้ บบมองเหน็ ” (visible learning) คอื สำ� นกั โรงเรยี น Regio Emilia ทอี่ ติ าลี (๒) และยงั มี แนวทางใหมๆ่ ในการจัด “วงจรเรียนรดู้ ้วยการคิดใครค่ รวญ” (reflective learning cycle) และ เวลานี้มีการพฒั นาเพิ่มเตมิ มีส�ำนัก High Scope (ใชก้ ระบวนการ plan - do - review) (๓) ส�ำนกั Tools of the Mind ใหเ้ ดก็ เขยี น “แผนการเลน่ ” (play plan) ก่อนเลน่ (๔) กลบั ไปทกี่ ารเรยี นรจู้ ากไกง่ วง แทนทจี่ ะทำ� ตามๆ กนั มาหลายสบิ ปี ในการใหเ้ ดก็ ทำ� ศลิ ปะ ไกง่ วงกระดาษ ครสู ามารถออกแบบการเรยี นรทู้ นี่ า่ สนใจกวา่ ตรงตามหลกั การเรยี นรขู้ องเดก็ เลก็ มากกวา่ เชน่ พาเดก็ ไปเรยี นรสู้ ภาพการเลย้ี งไกง่ วงทฟ่ี ารม์ ไกง่ วง หรอื เชญิ เจา้ ของฟารม์ ไกง่ วง มาเลา่ เรอ่ื งไกง่ วงใหเ้ ดก็ ฟงั และซกั ถาม อาจพาไปดกู ารเลยี้ งไกง่ วงของชาวบา้ นในชนบท ทำ� ความ รจู้ กั ไขข่ องไกง่ วง เปรยี บเทยี บกบั ไขไ่ กท่ เี่ ดก็ รจู้ กั ดี หรอื อาจเปรยี บเทยี บไขข่ องสตั วป์ กี ชนดิ ตา่ งๆ อาจศึกษาขนไกง่ วง สอ่ งดว้ ยกล้องจลุ ทรรศน์ เปรยี บเทียบกับขนนกอืน่ ๆ เป็นตน้ เป็นการเรยี น ร้ทู ่ีดกี ว่าใชต้ ำ� รามาตรฐานอยา่ งเทยี บกันไม่ตดิ แต่ครตู อ้ งท�ำการบ้านมาก (๒) https://en.wikipedia.org/wiki/Reggio_Emilia_approach (๓) http://www.rakluke.com/school-zone/11/56/1362/โรงเรยี นแนวคดิ การสอนแบบไฮสโคป-high-scope (๔) https://toolsofthemind.org/ 84

เรียนจากการฝีมือ โรงเรยี นตน้ แบบที่ใชก้ ารฝมี อื เปน็ กศุ โลบายสกู่ ารเรยี นรคู้ รบดา้ นของเดก็ เลก็ คอื โรงเรยี น กลุม่ วอลดอรฟ์ (Waldorf schools) (๕) เรียกหลกั สูตรแนว วอลดอรฟ์ ว่า deeply imaginative and story-driven curriculum ใชก้ ารสรา้ งชิ้นงานศลิ ปะเพื่อการเรียนรูอ้ ยา่ งเปน็ องคร์ วม แตอ่ ดุ มการณ์ และกศุ โลบายดงั กลา่ ว เมอื่ มกี ารนำ� ไปปฏบิ ตั กิ วา้ งขวาง มกั เพยี้ น ไปเนน้ ที่การอวดผลงาน ประกวดผลงาน คือเน้นเฉพาะท่ีผลงาน ท�ำให้ละเลยกระบวนการ เป็นการ ใหค้ วามสำ�คัญ ตกหลุม “วตั ถุเหนอื สมอง” (material over mind) กับกระบวนการเรยี นรู้ ทำ�ไมวนั ขอบคุณพระเจ้า ต้องกนิ ไก่งวงครบั ไกง่ วงบนิ โอ้โห... ไดไ้ หมครบั ไขฟ่ องใหญจ่ งั ให้เดก็ สะทอ้ น ความคิด = ครู มองเห็นการเรียนรู้ของเดก็ (๕) https://en.wikipedia.org/wiki/Waldorf_education 85

ปญั หาใหญ่ คอื ความต้องการ ของพอ่ แม่ เมือ่ ไหร่ แล้วลูกเรา จะสะกดคำ�ได้ จะสอบเข้า ป.๑ ที่โรงเรียนโนน้ ได้ยังไง ทำ�ไมลูก สงสยั ต้องพา ยังเขยี นไม่ไดส้ กั ที ไปเรียนพเิ ศษ ครูสอน บวกลบเลขหรือยงั 86

ลูกไม่ได้มีไว้อวด ปัญหาใหญ่ของโรงเรียนเด็กเล็ก คือ พ่อแม่ที่ต้องการให้ลูกสนองอัตตาความต้องการ ของตนเอง แทนท่ีจะเน้นใหล้ ูกไดม้ พี ฒั นาการอย่างถูกต้องเหมาะสม สง่ิ ทพี่ อ่ แมแ่ ละครพู งึ เอาใจใส่ คอื กระบวนการภายในสมองเดก็ ทเี่ รยี นรจู้ ากสภาพแวดลอ้ ม รอบตัว โดยการสร้างความหมายของส่ิงและเหตกุ ารณ์ที่พบเหน็ ข้ึนในสมอง เป็นชวี ิตในมิติที่ลกึ ภายในตวั เด็ก และน่ีคือหัวใจของการศกึ ษาแบบ child centered education ซงึ่ หมายถึงผู้ใหญ่ มีหน้าท่ีสนองต่อโลกทัศน์ของเด็ก เอาโลกทัศน์ของเด็กเป็นตัวต้ัง ไม่ใช่เอาโลกทัศน์ของผู้ใหญ่ เปน็ ตวั ตงั้ เพอื่ ใหเ้ กดิ การเรยี นรอู้ ยา่ งเปน็ ธรรมชาติ สง่ิ สำ� คญั คอื การสรา้ งสภาพแวดลอ้ มรอบตวั เดก็ ใหเ้ ออ้ื ตอ่ การพฒั นาทกั ษะทซี่ บั ซอ้ น ผา่ นการแสดงออกของเดก็ โดยผใู้ หญท่ ำ� หนา้ ทรี่ บั ฟงั เสวนา ดว้ ย และคอยสรา้ ง “หลกั สตู รสภาพแวดลอ้ ม” เพอ่ื การเรยี นรขู้ องเดก็ ตามหลกั การ สภาพแวดลอ้ ม คอื หลักสูตร (environment is curriculum) สงิ่ ทพ่ี งึ หลกี เลย่ี งคอื การเรยี นแบบทอ่ งจำ� การฝกึ เฉพาะดา้ น หนงั สอื ฝกึ เดก็ และแผน่ เอกสาร ฝกึ เดก็ เพราะเปน็ สง่ิ ตายตวั และเปน็ การเรยี นแบบชน้ั เดยี ว ไมเ่ ปน็ การเรยี นในมติ ทิ ล่ี กึ และซบั ซอ้ น 87

แก้เบื่อ เมอ่ื เด็กแสดงทา่ ทีเบอ่ื เรียน วธิ ีแกท้ ่ผี ิด คอื ครูเป็นผ้ทู �ำกิจกรรมเพอ่ื กระตนุ้ ความสนใจ ของเดก็ วธิ แี ก้ทถ่ี ูกตอ้ งคอื ใหเ้ ดก็ ทำ� กิจกรรม โดยครูต้องร้ขู น้ั ตอนการเรียนรูข้ องเดก็ อย่าหลงเขา้ ใจผดิ ว่าการเรียนแบบทำ� กิจกรรมแนว “เดก็ เปน็ ศนู ยก์ ลาง” หมายถึงใหเ้ ดก็ ลองผดิ ลองถูก หรอื ค้นคว้าเอาเองทงั้ หมด ตวั อย่าง บทเรยี นปัน้ รูปจากดนิ เขาแนะนำ� ให้ใชด้ ินเหนียวจริง ดกี วา่ ใชด้ นิ นำ�้ มนั เรม่ิ จากการสอนใหเ้ ดก็ ทำ� ความรจู้ กั ดินเหนยี ว ไดส้ มั ผสั ไดพ้ ิจารณา ไดร้ ้วู ่า ดินเหนียวแห้งได้ ได้รู้ว่าเม่ือเติมน้�ำ แลว้ ขยำ� ใหเ้ ขา้ กนั ดนิ เหนยี วออ่ นตวั ลง ได้รู้ว่าใช้น้�ำช่วยให้ดินเหนียวสองช้ิน ตดิ กนั ได้ ทำ� ความรจู้ กั เครอ่ื งมอื ท่ีใช้ ในการปน้ั ดนิ เหนยี ว ฝกึ ใชเ้ ครอ่ื งมอื แต่ละชนิ้ ฯลฯ ครูสนกุ อยู่คนเดยี วเลย 88

เดก็ ๆ ปั้นกนั สนุก ครูก็สนุกกบั การสังเกต วิธเี รยี นรขู้ องเด็กๆ ในหนังสือระบุว่า ช่วงเวลาท�ำความรู้จักดิน เหนยี วอาจยาว๑-๒สปั ดาห์โดยท่ี เปา้ หมายลกึ ๆ คอื การเรยี นรูว้ ิธีการ เรยี นรู้ ซงึ่ จะใชไ้ ดต้ อ่ การเรยี นรทู้ กุ เรอ่ื ง และเรียนรู้ที่จะเคารพต่อสิ่งของท่ีตนเข้าไปกระท�ำ หรือเข้าไปเรียนรู้ เด็กจะซึมซับข้ันตอน การเรียนรู้ วา่ ได้แก่ การสังเกต ตง้ั คำ� ถาม ส�ำรวจ ไตร่ตรอง และลองทำ� ซ�้ำวงจรเดมิ เด็กจะไม่เบ่ือ หากได้แสดงออก เด็กต้องการเคร่ืองมือและพื้นที่เพ่ือการแสดงออก เพ่ือการเรียนรู้ของตนเอง 89

ศิลปินตัวน้อย ส�ำนักพัฒนาเด็กเล็กสองส�ำนักเกิดข้ึนในประเทศอิตาลี ส�ำนักแรกให้ก�ำเนิดโดย Maria Montessori เน้นการจัดสภาพแวดลอ้ มเพื่อพัฒนาการเด็ก สำ� นักหลงั ก่อตงั้ โดย Reggio Emilia เน้นการเรียนจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ และการเรียนจากการแสดงออกทางศิลปะของ เด็ก เด็กใช้งานศิลปะในการค้นคว้าหาความรู้ โดยมองการแสดงออกทางศิลปะเป็นภาษาเพ่ือ การส่ือสาร หนึ่งชน้ิ งานศลิ ปะสือ่ ออกมาหลายภาษา หรอื เปน็ การส่อื สารทซ่ี บั ซ้อน งานศิลปะอาจเป็นงานแกะสลัก งานระบายสี งานทอ งานวาด งานก่อสร้าง งานปั้น งานตัดแปะ เป็นชอ่ งทางส่อื สารความฝนั ความหวัง และความกลวั ของเดก็ เปน็ การ “ส่งเสยี ง” บอกเรอื่ งราวท่ีไม่สามารถบอกไดด้ ว้ ยเสยี ง เดก็ ใช้ศิลปะ เปน็ ช่องทาง การเรยี นหรอื ฝกึ งานศลิ ปะ จงึ เปน็ รปู แบบหนง่ึ ของการศกึ ษา การสง่ เสียง ส�ำหรับใชส้ อื่ สารความคดิ และอารมณ์ ถอื เป็นมติ ิส�ำคัญมิตหิ นึง่ ของการเรียนรู้ เช่นเดียวกันกับการคิดอย่างมี วิจารณญาณ Vygotsky ปราชญด์ า้ นพฒั นาการ เด็ก กล่าวว่าการเล่นเป็นแหล่งของ การเรียนรู้ ผู้เขียนเช่ือว่า ศิลปะก็เป็น แหล่งของการเรยี นรู้เช่นเดยี วกนั ภาพของเด็ก กำ�ลังส่งเสยี งบอกอะไร 90

โอกาสสร้างหลักสูตรที่ ได้ผล ของดีๆ เมื่อมีผู้น�ำไปใช้ มักมีการอ้างช่ือเสียงของของดีน้ัน แต่เอาไปใช้แบบเพี้ยน เรือ่ งน้ีเปน็ จริงกับการศึกษาเดก็ เล็กแนว Reggio Emilia และแนวก้าวหนา้ อน่ื ๆ เชน่ วอลดอรฟ์ และ มอนเตสซอร่ี ทีเ่ พย้ี นคอื กลายเปน็ หลักสตู รมาตรฐานแขง็ ทอ่ื หลกั การสำ� คญั ของหลกั สตู รชนั้ เดก็ เลก็ ทถ่ี กู ตอ้ งคอื เคารพตวั ตนของเดก็ และเขา้ ใจระดบั พัฒนาการของเดก็ หรือกล่าวใหม่ว่า รจู้ ักเดก็ และเคารพเด็ก ผเู้ ขยี นอา้ งขอ้ เขยี นของRobertPianta คณบดคี ณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เวอรจ์ เิ นยี (๖) ดงั นี้ “การสอนท่ีไดผ้ ลในการศกึ ษาของเดก็ เลก็ เหมอื นกบั ประถมศกึ ษาตรงทตี่ อ้ งการสว่ นผสม ของ การสอน ปฏสิ มั พนั ธ์ การสื่อสารป้อนกลบั การพูดคุย และการกระตุ้น ... แตท่ ี่ไมเ่ หมอื น เดก็ โตคอื ครชู ้ันเด็กเลก็ ต้องตั้งใจและใช้ยุทธศาสตร์ผสานการสอนเข้ากบั กจิ กรรม ท่ีเปดิ ใหเ้ ด็ก ได้เลือกค้นหาและเล่น .... ที่อยู่ในพื้นที่ธรรมชาติท่ีสบายและคาดหวังได้ถูกต้อง ครูเด็กเล็ก เปน็ นกั ฉวยโอกาส ทร่ี จู้ กั พฒั นาการเดก็ และใชค้ วามสนใจและปฏสิ มั พนั ธ์ ในการสง่ เสรมิ พฒั นาการ ของศิษย์ ด้วยกระบวนการท่ีบางส่วนเป็นบทเรียนที่มีโครงสร้างก�ำหนดไว้ชัดเจน แต่ส่วนใหญ่ เปน็ บทเรยี นตามสถานการณ์ ...” (๖) https://pdfs.semanticscholar.org/d772/5f81a75e0b63cb9ba16b20d3a0fbdc9300c5.pdf 91

การโยนความรับผิดชอบไปไว้ที่ครูเท่าน้ัน จะหวังความส�ำเร็จได้ยาก หุ้นส่วนที่ส�ำคัญ ยงิ่ คอื พอ่ แมห่ รอื ผปู้ กครองเดก็ โดยพอ่ แมจ่ ะชว่ ยใหล้ กู ไดเ้ รยี นรใู้ นชน้ั เดก็ เลก็ ตรงตามหลกั การโดย (๑) เลกิ ถามลูกว่าวันนี้เรยี นอะไร (๒) สื่อสารกับผู้บริหารโรงเรียนว่าตนอยากเห็นร่องรอยของการเรียนรู้แบบไหน ท่ีอาจ ไม่เหน็ ชัดในชนั้ เรียน วิธีการอาจเร่มิ โดยเขา้ ไปดูเว็บไซต์ของโรงเรยี น หาข้อความทีม่ ีหลักฐาน วา่ ส่งเสรมิ การเรียนของเดก็ เลก็ เชน่ (ก) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างพ่ีเล้ียงกับเด็กท่ีใกล้ชิดและแสดงความรัก รวมทั้งมเี สียงหวั เราะบ่อยๆ มกี ารกอดกันบอ่ ยๆ วนั น้ีหนูเล่นกับใคร (ข) มกี ารสนทนากันตามธรรมชาติ ระหวา่ ง เล่นอะไรกนั จะ๊ ครกู ับนักเรียน (ค) โอกาสเรยี นรผู้ า่ น กระบวนการทางสังคมกับ เพ่ือนๆ ไม่ใชม่ ีแต่การสอน แบบถา่ ยทอดความรู้ เล่นทำ�กับขา้ วค่ะ หนกู บั เพื่อนชว่ ยกันตีไข่ แล้วครกู ท็ อดไข่ใหเ้ ด็กๆ อรอ่ ยค่ะ 92

(ง) ทมี ครทู ร่ี จู้ กั เดก็ แตล่ ะคน สามารถเชอื่ มโยงหลกั สตู รเขา้ กบั เปา้ หมายพฒั นาการเดก็ และความเปน็ จริงในชวี ติ ไม่ใช่แคจ่ ัดช้ันเรียนใหส้ นกุ เทา่ นนั้ (จ) วัสดใุ นช้ันเรียนท่ีสง่ เสรมิ การเล่นและคน้ ควา้ แบบปลายเปดิ ไม่ใชแ่ บบปลายปิด (ช) ตารางเรียนทเ่ี ปิดโอกาสใหเ้ ดก็ ไดท้ ำ� ส่ิงทเี่ ดก็ ท�ำไดเ้ องดว้ ยตนเอง พ่อแม่ควรตรวจสอบว่า สิ่งท่ีระบุในเว็บไซต์ กับที่เกิดข้ึนจริงในห้องเรียนตรงกันไหม หากพบวา่ ไมต่ รงกนั ควรตง้ั คำ� ถามจนไดค้ ำ� ตอบทพ่ี อใจ วา่ มคี วามยดื หยนุ่ อยา่ งไรในการดำ� เนนิ การ ตัวช่วยส�ำหรับพ่อแม่อยู่ในเว็บไซต์ของ National Association for the Education of Young Children (๗) การจัดการเรียนการสอนในชั้นเด็กเล็กท่ีเป็นแบบสนองพฤติกรรมในขณะนั้นของเด็ก เป็นเร่ืองยากมากในท่ามกลางความคาดหวังผิดๆ ของพ่อแม่ และระบบการศึกษาแบบแข็งทื่อ จะทำ� ไดก้ ต็ อ่ เมื่อพอ่ แม่ท�ำตวั เปน็ แนวรว่ มที่เข้มแขง้ ของโรงเรยี นและครู ทำ�อาหาร ตรงตามตารางกิจกรรม เปะ๊ เลยแม่ (๗) https://www.naeyc.org/ อยา่ ถามวา่ เรียน อะไรนะแม่ 93

การเลี้ยงดูที่บ้าน มผี ลการวจิ ยั บอกวา่ ไมว่ า่ โรงเรยี นเดก็ เลก็ จะดอี ยา่ งไร ผลตอ่ พฒั นาการเดก็ กย็ งั นอ้ ยกวา่ ปจั จยั ทางบ้าน อันไดแ้ ก่ พนั ธกุ รรม ครอบครัว และสภาพแวดล้อมนอกโรงเรียน สภาพการเปล่ียนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ ได้มีส่วนย้ายความรับผิดชอบในการให้ การศกึ ษาแกเ่ ดก็ เลก็ จากบา้ นไปยงั โรงเรยี นเดก็ เลก็ แตก่ ารคาดหวงั วา่ โรงเรยี นตอ้ งรบั ผดิ ชอบตอ่ พฒั นาการเดก็ ทั้งหมดเปน็ สิง่ ทผี่ ดิ การเรียนรู้ท่ีแท้จริงของเด็กเล็กไม่จ�ำเป็นต้อง คณุ ตาไมม่ ฟี นั เรยี นท่ีโรงเรยี น แตท่ ต่ี อ้ งมโี รงเรยี นหรอื ศนู ยเ์ ดก็ เลก็ ตอ้ งกินของนมิ่ ๆ กเ็ พราะความจำ� เปน็ ทางสงั คมและเศรษฐกจิ ทพี่ อ่ แมต่ อ้ งไปทำ� งาน การเรยี นรขู้ องเดก็ เลก็ ในสมยั ก่อน (รวมท้ังของตัวผมเอง) เกิดข้ึนที่บ้าน ในครอบครัว (ซึ่งเป็นครอบครัวขยาย ทำ�ยังไงนำ้ � จะไมห่ กนะ 94

เดก็ เรยี นได้ดที ี่สุด จากชวี ิตประจำ�วนั ออ๋ จับคูแ่ รก อ๋อ มนั ร้อน ใหต้ รงกันกอ่ น ใชไ่ หมคะ มีพ่ีน้อง และผู้ใหญ่หลายรุ่นอยู่ด้วยกัน) และใน ชมุ ชน (ซง่ึ คนมคี วามเออื้ อาทรตอ่ กนั และเอน็ ดเู ดก็ เปดิ โอกาสใหเ้ ดก็ มาเลน่ กบั ลกู ทบ่ี า้ น) รวมทงั้ เกดิ ขน้ึ จากการท�ำหนา้ ทเี่ ลยี้ งนอ้ ง และช่วยงานบา้ น เดก็ เลก็ ในสมยั กอ่ นเรยี นรจู้ ากการเลน่ เลน่ กับเพือ่ น หรือพนี่ อ้ ง มองในมุมหนึ่ง ส่ิงท่เี กดิ ข้นึ กบั เดก็ เลก็ ในปจั จบุ นั ทต่ี อ้ งไปเขา้ โรงเรยี น เปน็ แนวทาง ทผี่ ดิ แม่ฮะ ผ เมหไมดอื้กนลน่ินอ้แงปจละกอๆึ วิจารณ์ พานชิ ๘ เม.ย. ๖๑ 95

ออ๋ น่ีลกู รูจ้ กั สังเกต เปรยี บเทยี บความสงู นห่ี นเู อง น่ีไก่งวงตวั ใหญส่ ูงเทา่ เอว ของหนูเลย นีล่ งุ ไม่ใชแ่ คส่ ร้างสรรค์ คนเล้ยี งไกง่ วง ภาพสวยๆ นะคะ 96

“...ผลการเรยี นรทู้ ีแ่ ทจ้ รงิ อยู่ที่ การอธบิ ายความหมายของการเรยี นนั้น สงิ่ ท่พี อ่ แม่ และครู พงึ เอาใจใส่ คือ กระบวนการภายในสมองเด็ก ที่เรยี นรู้จากสภาพแวดล้อมรอบตวั พอ่ แม่กต็ อ้ งไม่หลงผิดอยูก่ ับผลงานเป็นชนิ้ ๆ ของลูก ตอ้ งชวนลกู คยุ เรือ่ งผลงานของลูก เพอ่ื ท�ำความเขา้ ใจขอ้ เรียนรู้ท่อี ยู่ในสมองของลูก ขอ้ เรยี นรู้ไมไ่ ด้อยู่ในวัตถุที่ลูกท�ำ...” 97

98

º··Õèõ äÃŒÁҵðҹ 99


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook