Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รูปแบบการจัดการเรียนรู้ สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์

รูปแบบการจัดการเรียนรู้ สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์

Published by kunchira_2542, 2021-11-17 08:20:00

Description: รูปเล่ม-ปรับแก้

Search

Read the Text Version

1 กำรศึกษำดูงำนและกำรฝึกปฏบิ ตั ดิ ำ้ นกำรสอน ระดับประถมศึกษำ จดั ทำโดย 1. นำงสำวกลุ จิรำ วิรชั คำรงค์ รหัสนสิ ติ 61105010039 2. นำยเขษมศกั ด์ิ แสงสรุ ยิ ์ รหัสนิสติ 61105010041 3. นำงสำวชญั ญำนุช มหำวรรณ รหัสนสิ ติ 61105010048 4. นำยณัฐกติ ต์ิ วิเศษศรี รหัสนสิ ิต 61105010051 5. นำงสำวธติ มิ ำ อินทรแ์ กว้ รหสั นิสิต 61105010054 6. นำงสำวบตุ รธิดำ เนตรนอง รหสั นิสิต 61105010064 7. นำงสำวปรำรชิ ำติ โพธคิ์ ำ รหัสนสิ ติ 61105010065 8.นำงสำวปิยะนุช โพธิสยั รหัสนสิ ิต 61105010068 เสนอ ผศ.ดร.กิตติชัย สธุ ำสิโนบล ภำคเรียนท่ี 1 ปีกำรศึกษำ 2564 มหำวทิ ยำลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ

ก คำนำ วชิ าสังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม เป็นศาสตร์ทส่ี าคญั ที่ชว่ ยใหผ้ ้เู รียนมีความรู้ความเข้าใจในการ ดารงชีวิตของมนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคม การปรับตัวตามสภาพแวดล้อมท่ีเปลี่ยนไปเข้าใจ การพัฒนาและ เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย การจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจากัดยอมรับในความแตกต่าง มีคุณธรรมและที่ สาคญั สามารถนาความรู้ไปปรบั ใช้ในการดารงชีวติ เปน็ พลเมืองดขี องประเทศชาตแิ ละสงั คมโลก รายงานฉบับนี้เปน็ ส่วนหนง่ึ ของรายวิชา ปถ 441 การสอนสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมสาหรับ ครูประถม ซ่ึง ผศ.ดร.กิตติชัย สุธาสิโนบล ได้มอบหมายให้คณะผู้จัดทาได้ศึกษาข้อมูลเก่ียวกับการปฏิบัติด้าน การสอนระดับชั้นประถมศึกษา มา 1 สาระท่ีตนเองสนใจแล้วรวบรวมเป็นรูปเล่มรายงานเพื่อเป็นแนวทางใน การจัดการเรียนการสอนและองค์ความรู้สาหรับบุคคลที่สนใจในเร่ืองดังกล่าวถ้ารายงานฉบับน้ี มีข้อผิดพลาด หรอื ไมถ่ กู ต้องประการใดต้องขออภัยมา ณ ท่นี ด้ี ว้ ย คณะผ้จู ัดทา

ข สำรบญั เรอื่ ง หน้ำ คำนำ........................................................................................................................................................ก สำรบัญ ....................................................................................................................................................ข วิธสี อนแบบจ๊กิ ซอร์ (Jigsaw) ...................................................................................................................1 ความหมายวธิ ีสอนแบบจ๊ิกซอร์ ................................................................................................................... 1 ทฤษฎ/ี แนวคิด............................................................................................................................................ 1 จดุ มุง่ หมาย................................................................................................................................................. 2 ลาดบั การสอน/กระบวนการเรยี นการสอน.................................................................................................. 3 ข้อดีและข้อจากัดของการจัดการเรยี นร้โู ดยใชเ้ ทคนิคจ๊ิกซอว์ ...................................................................... 4 ตวั อยา่ งแผนการจัดการเรียนรู้ .................................................................................................................... 5 วิธีกำรสอนแบบย้อนกลับ (Backward Design).....................................................................................13 ความหมายวธิ ีการสอนแบบย้อนกลับ........................................................................................................ 13 ทฤษฎี/แนวคิด.......................................................................................................................................... 13 จดุ มุง่ หมาย............................................................................................................................................... 14 ลาดบั การสอน/กระบวนการเรยี นการสอน..................................................................................................... 14 ตวั อย่างแผนการการจัดการเรียนรู้............................................................................................................ 15 กำรจดั กำรเรียนรู้แบบบรู ณำกำร (Integrated Learning Management)...........................................22 ความหมายของการจดั การเรียนรูแ้ บบบรู ณาการ ...................................................................................... 22 ทฤษฎี/แนวคดิ ........................................................................................................................................... 22 ลักษณะการจดั การเรียนรู้แบบบูรณาการ.................................................................................................. 25 ประเภทของการสอนแบบบูรณาการ......................................................................................................... 25 รปู แบบของการบรู ณาการ (Model of integration)................................................................................ 26 การสร้างบทเรียนแบบบรู ณาการ .............................................................................................................. 27

ค การสอนบรู ณาการตามรูปแบบท่ี 3 (Multidisciplinary Instruction) และรูปแบบท่ี 4 (Transdisciplinary Instruction)............................................................................................................................................. 29 ตัวอยา่ งแผนการจัดการเรยี นรู้ .................................................................................................................. 30 กำรจัดกำรเรยี นรวู้ ิธสี อนแบบสืบเสำะหำควำมรู้ (Inquiry Method : 5E).............................................36 ความหมายของวธิ ีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ .......................................................................................... 36 ทฤษฎี/แนวคดิ ........................................................................................................................................... 36 จุดมุง่ หมาย............................................................................................................................................... 37 รูปแบบการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Method : 5E)............................................................. 38 ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้ .................................................................................................................. 40 กำรจดั กำรเรียนรเู้ ชิงรกุ (Active learning) ..........................................................................................49 ความหมายของการจัดการเรียนรู้เชิงรกุ (Active Learning)..................................................................... 49 ทฤษฎ/ี แนวคิด ........................................................................................................................................... 49 ลักษณะของการจัดการเรียนรู้เชิงรกุ (Active Learning).......................................................................... 49 ลักษณะกิจกรรมที่เปน็ การเรียนรู้เชงิ รุก (Active Learning).................................................................... 50 จุดมงุ่ หมาย............................................................................................................................................... 50 ลาดับการสอน/กระบวนการเรียนการสอน................................................................................................ 51 ตัวอยา่ งแผนการจดั การเรยี นรู้ .................................................................................................................. 52 บรรณำนกุ รม..........................................................................................................................................61

1 วิธีสอนแบบจิก๊ ซอร์ (Jigsaw) ควำมหมำยวธิ ีสอนแบบจ๊กิ ซอร์ วิธีสอนแบบจ๊ิกซอร์ เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบหน่ึง มีวิธีการ หลัก ๆ ได้แก่ การจัดกลุ่ม การศึกษาเน้ือหาสาระ การทดสอบ การคิดคะแนน และระบบการให้รางวัล เพื่อ สนองวัตถุประสงค์เฉพาะ ซึง่ ใชห้ ลกั การ เรยี นรแู้ บบร่วมมือ 5 ประการ และมีวัตถปุ ระสงค์มุ่งตรงไปในทิศทาง เดียวกัน คือเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเร่ืองที่ศึกษาอย่างมากที่สุดโดยอาศัยการร่วมมือกัน ช่วยเหลือ กัน และแลกเปลี่ยนความรู้กันระหว่างกลุ่มผู้เรียนด้วยกัน ความแตกต่างของรูปแบบแต่ละรูปแบบจะอยู่ที่ เทคนิคในการศกึ ษาเนอื้ หาสาระ และวธิ ีการเสริมแรงและการให้รางวัลเป็นประการสาคัญ ทฤษฎ/ี แนวคดิ Aronson ได้เสนอเทคนิคการต่อบทเรียน ซ่ึงการเรียนแบบน้ีบางทีเรียกว่า การเรียนแบบต่อชิ้นส่วน หรือ การศกึ ษาเฉพาะสว่ นสมาชิกในกลุ่มมี 3 – 6 คน โดยสมาชกิ แต่ละคนจะรวมกนั เปน็ สมาชิกของกลุม่ บ้าน (Home group) แบ่งงานและหน้าท่ีกัน จากน้ันสมาชิกแต่ละคนท่ีได้รับมอบหมายให้ไปศึกษาเนื้อหาเรื่อง เดียวกนั จะมารวมกันเป็นสมาชิกกลุ่มเชย่ี วชาญ (Expert group) แล้วสมาชกิ กลุ่มบา้ นทกุ คนกลบั มาที่กลุ่มของ ตน เริ่มสอนและถ่ายทอดความรู้ส่ิงที่ตนได้ไปศึกษาร่วมกับสมาชิกกลุ่มเชี่ยวชาญมาจนสมาชิกแต่ละคนเข้าใจ จากนน้ั ประเมนิ ผลเป็นรายบคุ คลและนาคะแนนมารวมเป็นคะแนนกลมุ่ 1. ลักษณะการเรยี นรู้ 1.1 เป็นวธิ กี ารทีแ่ บง่ ผเู้ รียนเปน็ กลุ่ม คละความสามารถและเพศ 1.2 ทกุ กล่มุ จะได้รับมอบหมายให้ทากจิ กรรมเดียวกนั โดยผู้สอนให้เนื้อหา1 เรอ่ื ง สาหรับ 1 กลุ่ม และแบ่ง เนอ้ื หาออกเปน็ หัวข้อย่อยเท่ากบั จานวนสมาชกิ ในแต่ละกลุ่มเพ่ือใหแ้ ต่ละคนในกลมุ่ ศึกษาเฉพาะในหัวข้อน้นั ๆ คนละ 1 หวั ข้อ โดยผู้เรียนแต่ละคนจะเปน็ ผู้เช่ียวชาญเฉพาะเรอื่ งทต่ี นเองได้รับมอบหมาย โดยสมาชกิ ที่อยูต่ ่าง กลุม่ ทไ่ี ด้รบั มอบหมายในหัวข้อเดยี วกันนัน้ จะร่วมกนั ศึกษา เรยี กว่า กล่มุ ผเู้ ชี่ยวชาญ (Expert group) จากนัน้ จงึ นาส่ิงท่ไี ดเ้ รียนรู้ในหวั ขอ้ เร่ืองของตนเองไปเสนอแก่สมาชกิ ในกลมุ่ เพ่ือให้เพื่อนในกลุ่มได้รู้เนื้อหาครบทุก หัวขอ้ 1.3 หลงั จากจบบทเรยี นแล้วมีการทดสอบรายบุคคลตามเนื้อหาทุกหัวข้อและนาคะแนนของสมาชิกแตล่ ะ คนมารวมกันเปน็ คะแนนกลมุ่ 2. เทคนคิ การเรียนรู้แบบตัดต่อภาพมี 2 แบบ 2.1 เทคนิคการตอ่ ภาพแบบดั้งเดิม (Jigsaw) ทพ่ี ฒั นาโดยเอรอนสนั (Aronson)

2 2.2 เทคนคิ การต่อภาพแบบ 2 (Jigsaw II) ทพี่ ัฒนาโดยสลาวนิ (Slavin) ซึง่ เปน็ เทคนิคการต่อภาพแบบท่ี 2 ผู้สอนเตรียมการจัดกจิ กรรมน้อยกว่าสลาวนิ (Slavin) เทคนิคการต่อภาพแบบด้ังเดิมทีเ่ อรอนสนั (Aronson) คดิ คน้ ข้ึนนน้ั คลา้ ยกับเทคนิคการต่อภาพแบบที่ 2 ที่พัฒนาโดยสลาวิน (Slavin) เกอื บทุกประการ ยกเว้น เน้อื หาท่ีอา่ น โดยเทคนิคการต่อภาพแบบดั้งเดิมนนั้ สมาชิกทกุ คนในกล่มุ ได้เนือ้ หาเดียวกันแต่เนน้ เน้ือหาการ อา่ นคนละจุด สว่ นเน้อื หาสาหรับเทคนคิ การตอ่ ภาพแบบท่ี 2 จะถูกตดั ออกเปน็ สว่ นๆเทา่ จานวนผเู้ รยี นในกลุ่ม ดังนน้ั แตล่ ะคนในกลมุ่ จะได้เน้ือหาไมซ่ า้ กันทาให้สมาชิกแต่ละคนเปน็ ผ้เู ช่ยี วชาญมคี วามรู้ทผ่ี อู้ ่ืนไมม่ ผี ้เู ช่ยี วชาญ มคี วามสาคญั ตอ่ กลุม่ ในการให้ความร้มู ากขึ้นกวา่ และใช้เวลานอ้ ยกว่าเทคนิคการต่อภาพแบบดง้ั เดมิ เนอื่ งจาก ขอ้ ความท่แี ต่ละคนอา่ นน้ันถูกตดั ทอนเป็นส่วน ๆ และแต่ละส่วนเป็นเพียงส่วนหน่ึงของข้อความทงั้ หมดเทคนิค การตอ่ ภาพแบบที่ 2 ใชไ้ ด้ดีกับเน้อื หาการสอนวิชาประเภทสังคมวทิ ยา วรรณคดี วทิ ยาศาสตร์บางเน้ือเร่ือง และวิชาอ่นื ๆ ทเ่ี นน้ การเขา้ ใจเกย่ี วกบั มโนทัศน์ (Concept) มากกวา่ การจา วัสดุทีใ่ ช้กับเทคนิคการต่อภาพ แบบท่ี 2 โดยอาจจะใชข้ ้อความในบทเรยี นหนึง่ บท หนึง่ เรื่อง หรือข้อเขยี นอืน่ ๆ ท่ีมีเน้ือหาเชงิ บรรยายหรอื เลา่ เรื่อง โดยผเู้ รียนทีร่ ่วมเรยี นในกิจกรรมน้จี ะแบง่ เปน็ กลุ่มสมาชกิ ในกลุ่มจะคละกนั ผ้เู รียนแต่ละคนจะไดร้ ับ การมอบหมายให้อ่านเน้ือเรือ่ งทกี่ าหนด และได้รับหวั ข้อเร่ืองสาหรบั ผ้เู ช่ยี วชาญที่จะต้องศึกษาเร่ืองราวอยา่ ง ละเอยี ด เม่ือผ้เู รยี นแต่ละคนทาการอา่ นเน้ือเร่ืองทร่ี ับผิดชอบจบหวั ข้อเดียวกันของแต่ละกลุม่ และสามารถท่ี จะอภปิ รายหวั ข้อเหลา่ น้ันได้ ชว่ งนอี้ าจใชเ้ วลาประมาณ 30 นาที จากนน้ั ผเู้ ชี่ยวชาญแตล่ ะคนกลับไปยงั กลุ่ม อธิบายส่ิงท่ตี นศึกษาและเร่ืองทต่ี นรู้ให้สมาชิกคนอน่ื กลมุ่ บ้านฟัง เพ่ือให้ผเู้ รียนทุกคนนั้นสามารถตอบข้อสอบที่ จะออกไดค้ รอบคลมุ เน้อื หาทุกหวั ขอ้ ทสี่ มาชกิ แตล่ ะคนรับผิดชอบ คะแนนทผี่ เู้ รียนไดจ้ ะนามารวมเปน็ คะแนน ของกลมุ่ ดังนนั้ ผู้เรยี นทุกคนตอ้ งศึกษาหวั ข้อของตนเองให้ดี เพ่อื จะชว่ ยใหเ้ พ่ือนรว่ มกลุ่มทาคะแนนสอบได้ดี ดว้ ยหวั ใจสาหรับของเทคนคิ ต่อภาพแบบท่ี 2 คือ การพ่งึ พาซงึ่ กนั และกัน ผเู้ รยี นทกุ คนต้องพึ่งพาความรจู้ าก ผู้อ่นื เพื่อทีจ่ ะทาข้อสอบไดด้ ี จดุ มงุ่ หมำย มอบหมายใหผ้ ้เู รียนแต่ละกลุ่มศกึ ษา คน้ คว้าคนละหวั ข้อ ซ่งึ ผเู้ รียนแต่ละคนจะเป็นผเู้ ชี่ยวชาญเฉพาะเร่ือง ทตี่ นไดร้ ับมอบหมายใหศ้ ึกษาจากกล่มุ สมาชิกต่างกลมุ่ ทไี่ ด้รับมอบหมายในหวั ขอ้ เดยี วกันกจ็ ะทาการศึกษา คน้ ควา้ รว่ มกนั จากนัน้ ผเู้ รียนแตล่ ะคนจะกลับเข้ากลมุ่ เดมิ ของตนเพอื่ ทาหนา้ ท่ีเป็นผู้เชี่ยวชาญอธิบายความรู้ เนื้อหาสาระทต่ี นศึกษาให้เพ่ือนร่วมกลุ่มฟัง เพือ่ ใหเ้ พื่อนสมาชิกท้ังกล่มุ ได้รู้เน้ือหาสาระครบทกุ หวั ขอ้ ย่อยและ เกดิ การเรยี นร้เู น้ือหาสาระทงั้ เร่อื ง

3 ลำดบั กำรสอน/กระบวนกำรเรยี นกำรสอน กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบจก๊ิ ซอร์ ( Jigsaw ) กิจกรรมท่คี รูผู้สอนมอบหมายใหส้ มาชิกในกลมุ่ แต่ละกล่มุ ศึกษาเนื้อหาท่กี าหนดให้ สมาชกิ แต่ละคนจะถูกกาหนดโดยกลุ่ม ใหศ้ ึกษาเนอื้ หาคนละตอนท่ี แตกตา่ งกัน ผู้เรียนจะไปทางานร่วมกับสมาชิกกลุ่มอ่นื ๆ ท่ีไดร้ บั มอบหมายใหศ้ ึกษาเนื้อหาท่ีเหมอื นกัน หลงั จากทีท่ ุกคนศึกษาเน้ือหานน้ั จนเข้าใจแล้ว จึงกลบั เข้ากลุม่ เดมิ แล้วเลา่ เร่ืองที่ตนศกึ ษาใหส้ มาชกิ คนอน่ื ๆ ในกลุม่ ฟัง โดยเรียงตามลาดบั เร่อื งราว เสร็จแลว้ ให้สมาชิกในกลุ่มคนใดคนหนง่ึ สรปุ เน้อื หาของสมาชิกทุกคน เข้าด้วยกัน ครผู ู้สอนอาจเตรียมขอ้ สอบเก่ยี วกับบทเรยี นนนั้ ไว้ ทดสอบความเข้าใจเนื้อหาทีเ่ รยี นในชว่ งสดุ ทา้ ย ของการเรียน ขั้นตอนการการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ 1. จดั ผ้เู รียนเข้ากล่มุ คละความสามารถ ( เก่ง-กลาง-อ่อน ) 2. ครจู ัดแบ่งเนอ้ื หาที่จะเรียนเป็นเนอื้ หายอ่ ย ๆ เท่ากับจานวนสมาชกิ ในกลมุ่ ของ นักเรียนอาจจดั ทาเปน็ บทเรียนหน้าเดียวกไ็ ด้ 3. ให้นักเรียนที่อ่านหัวข้อเรื่องเดียวกันมารวมเป็นกลุ่มชั่วคราว หรือกลุ่มผู้ชานาญเพ่ือร่วมกันอภิปราย ซักถาม และทากิจกรรมร่วมกันให้มีความรู้ความเข้าใจในหัวข้อเร่ืองน้ันที่ชัดเจนยิ่งขึ้น (อาจใช้ใบงานเพ่ือ แนะนาการทากิจกรรมของกลุ่มน้กี ็ได้ 4. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มวางแผนให้สมาชิกในกลุ่มรับผิดชอบในการศึกษาหัวข้อย่อยของเน้ือหา คนละ 1 หวั ข้อ ให้เวลาในการอ่านตามความยาวของเนือ้ หา(แต่ไม่ควรให้เวลามากเกนิ ไป) 5. นักเรียนกลมุ่ ผเู้ ชยี่ วชาญ วางแผนมอบหมายภารกิจทกี่ ลมุ่ จะต้องทา เช่น - ใครเป็นประธาน - ใครอา่ นคาสงั่ คาช้แี จง คาถาม - ใครจดบนั ทึกข้อมลู - ใครหาคาตอบ / เหตุผล /คาอธบิ าย - ใครสรปุ / ตรวจสอบคาถาม 6. นักเรียนกลุ่มผเู้ ชยี่ วชาญแยกตัวกลับไปกลุม่ เดมิ ของตน(กลมุ่ ประจา) แล้วผลัดกันอธิบายความรทู้ ่ีได้จาก การทากรรมในหัวข้อ 5 ใหเ้ พื่อนฟัง 7. นักเรียนทุกคนในกลุ่มทาแบบทดสอบย่อยเพื่อวัดความรู้ความเข้าใจทุกหัวข้อย่อย แล้วนาคะแนนของ สมาชกิ กลุ่มแต่ละคนรวมกันเป็นคะแนนของกลุ่ม

4 8. ประกาศยกย่องชมเชยกลุ่มนักเรียนท่ีมีค่าเฉลีย่ สงู ที่สุด อาจปิดประกาศท่ีบอรด์ หรอื บนั ทกึ เป็นสถิติเพื่อ มอบรางวัลต่อไป กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบจ๊ิกซอร์ ( Jigsaw ) เป็นเทคนิคการสอนรูปแบบหน่ึงของการ เรียนการสอนแบบร่วมมือ เทคนิคการสอนน้ีเป็นการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนในหอ้ งเรียนที่ชว่ ยผู้เรียนให้ ประสบความสาเร็จไปพร้อมๆกัน การเรยี นการสอนตามเทคนิคน้ีจะแบง่ นักเรียนออกเป็นกลุ่ม และให้นกั เรียน แต่ละคนของกลุ่มศึกษาเน้ือหาสาระของแต่ละส่วน เพื่อให้นาเน้ือหาสาระที่ศึกษามาประกอบกันเป็นความรู้ เร่ืองหน่ึงๆได้ ซง่ึ เปรียบเสมือนการตอ่ จิ๊กซอว์ ขอ้ ดแี ละข้อจำกัดของกำรจัดกำรเรยี นรโู้ ดยใชเ้ ทคนิคจ๊ิกซอว์ ขอ้ ดี 1. ผเู้ รียนมีความเอาใจใส่ รับผิดชอบตวั เองและกลุ่มรว่ มกับสมาชกิ อ่นื 2. ส่งเสริมใหผ้ ูเ้ รยี นมคี วามสามารถต่างกนั ได้เรียนรรู้ ่วมกัน 3. ส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนผลัดเปล่ยี นกนั เป็นผนู้ า 4. ส่งเสริมใหผ้ ูเ้ รยี นได้ฝึกและเรยี นรู้ทกั ษะทางสังคมโดยตรง ข้อจำกัด 1. ผูเ้ รยี นขาดความเอาใจใส่และรับผดิ ชอบจะสง่ ผลให้ผลงานกลุ่มและการเรียนรู้ ไม่ประสบความสาเร็จ 2. วธิ ีการท่ีผู้สอนจะตอ้ งใชเ้ วลาในการเตรียมการและต้องดูแล ชว่ ยเหลือ เอาใจใส่ใน กระบวนการเรียนรู้ของผเู้ รียนอย่างใกล้ชิด

5 ตัวอย่ำงแผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 สหกรณ์ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 4 เรื่อง การประยกุ ต์หลกั การของสหกรณ์มาใช้ในชีวิตประจาวนั ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5 เวลาเรียน 1 ชว่ั โมง มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชี้วดั มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ส 3.1 เขา้ ใจและสามารถบริหารจดั การทรัพยากรในการผลิตและการบริโภค การใชท้ รัพยากรที่มีอยจู่ ากดั ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพและคุม้ คา่ รวมท้งั เขา้ ใจหลกั การของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการดารงชีวติ อยา่ งมีดุลยภาพ ตวั ชี้วดั ส 3.1 ป.5/3 อธิบายหลกั การสาคญั และประโยชนข์ องสหกรณ์ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายการประยกุ ตห์ ลกั การของสหกรณ์มาใชใ้ นชีวิตประจาวนั (K) 2. เสนอแนวทางการปฏิบตั ิในการประยกุ ตห์ ลกั การของสหกรณ์มาใชใ้ นชีวติ ประจาวนั (P) 3. เห็นความสาคญั ของการประยกุ ตห์ ลกั การของสหกรณ์มาใชใ้ นชีวติ ประจาวนั เพอื่ ใหอ้ ยูร่ ่วมกนั ไดอ้ ยา่ งมีความสุข (A) สาระสาคญั ความเสมอภาคกนั ทางสังคม การใชห้ ลกั ประชาธิปไตย การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ การปกครอง และพ่งึ พากนั เอง การใหก้ ารศึกษา การร่วมมือและช่วยเหลือกนั เป็นหลกั การของสหกรณ์

6 สาระการเรียนรู้ การประยกุ ตห์ ลกั การของสหกรณ์มาใชใ้ นชีวติ ประจาวนั สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1. ใฝ่ เรียนรู้ 2. มุ่งมนั่ ในการทางาน คาถามสาคญั หลกั การของสหกรณ์สามารถนาไปใชใ้ นสถานท่ีหรือโอกาสใดไดบ้ า้ ง

7 การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ •ข้•นั ส•ังเ•กต• ร•วบ•ร•วม•ข้•อม•ูล•(G•at•he•ri•ng•) 1. นกั เรียนร่วมกนั ทบทวนความรู้เรื่องหลกั การของสหกรณ์วา่ มีอะไรบา้ ง โดยนกั เรียน บอกหลกั การของสหกรณ์มาคนละ 1 ขอ้ โดยเขียนคาตอบเป็นแผนภาพความคิดบนกระดาน การเปิ ดรับสมคั รโดยความสมคั รใจ ปราศจากการกีดขวางทางเช้ือชาติ ศาสนา และเพศ การใชห้ ลกั ประชาธิปไตย การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ บริหารองคก์ ร ร่วมลงทุนและรับผลประโยชน์ หลกั การของสหกรณ์ สมาชิกปกครองและพ่งึ พากนั เอง ส่งเสริมความรู้ทางดา้ นวชิ าการ พฒั นาความรู้ความเขา้ ใจ การสร้างความร่วมมือที่ดี ระหวา่ งสหกรณ์และช่วยเหลือกนั ระหวา่ งสมาชิก 2. นกั เรียนร่วมกนั ศึกษาและรวบรวมขอ้ มูลเก่ียวกบั เรื่อง การประยกุ ตห์ ลกั การของสหกรณ์มาใช้ ในชีวติ ประจาวนั จากหนงั สือเรียนและแหล่งการเรียนรู้อ่ืนเพ่มิ เติม

8 •ข(G•้ันaค•tิดh•eวrเิ •คinรg•า)ะ•ห์•แล•ะส•รุป• ค•วา•ม•รู้ •(P•ro•ces•sin•g)• 3. นกั เรียนแบ่งกลุ่มออกเป็ น 4 กลุ่ม ร่วมกนั เสนอแนวทางการประยกุ ตห์ ลกั การของสหกรณ์มาใช้ ตามสถานการณ์ใหเ้ พ่ือนฟัง ดงั น้ี กลุ่มท่ี 1 การประยกุ ตห์ ลกั การของสหกรณ์มาใชใ้ นหอ้ งเรียน กลุ่มที่ 2 การประยกุ ตห์ ลกั การของสหกรณ์มาใชใ้ นโรงเรียน กลุ่มที่ 3 การประยกุ ตห์ ลกั การของสหกรณ์มาใชใ้ นครอบครัว กลุ่มที่ 4 การประยกุ ตห์ ลกั การของสหกรณ์มาใชใ้ นชุมชน 4. นกั เรียนแต่ละกลุ่มร่วมกนั วเิ คราะห์ผลของการนาหลกั การของสหกรณ์มาประยกุ ตใ์ ช้ ในชีวติ ประจาวนั โดยใชแ้ ผนภาพความคิด แลว้ สรุปเป็นความคิดรวบยอด ดงั ตวั อยา่ ง การประยุกต์หลกั การของสหกรณ์มาใช้ในห้องเรียน ผลทเ่ี กดิ ขึน้ ใหส้ มาชิกในหอ้ งเรียนมีส่วนร่วม สมาชิกในหอ้ งเรียนอยรู่ ่วมกนั ในการทากิจกรรม ใชห้ ลกั ประชาธิปไตย อยา่ งมีความสุข ในการตดั สินใจร่วมกนั ผลทเี่ กดิ ขึน้ การประยุกต์หลกั การของสหกรณ์มาใช้ในโรงเรียน สมาชิกในโรงเรียนเกิดความรัก การทากิจกรรมใด ๆ จะตอ้ งใหส้ มาชิก ความสามคั คีกนั และอยรู่ ่วมกนั มีส่วนร่วมในการตดั สินใจ อยา่ งมีความสุข การประยุกต์หลกั การของสหกรณ์มาใช้ในครอบครัว ผลทเี่ กดิ ขึน้ ช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั ในครอบครัว สมาชิกทุกคนในครอบครัว อยรู่ ่วมกนั อยา่ งมีความสุข การประยุกต์หลกั การของสหกรณ์มาใช้ในชุมชน ผลทเ่ี กดิ ขึน้ มีความร่วมมือร่วมใจกนั เพือ่ สร้างความเขม้ แขง็ สมาชิกในชุมชนอยรู่ ่วมกนั ในชุมชน อยา่ งมีความสุข

9 5. นกั เรียนร่วมกนั วเิ คราะห์ประโยชน์ของการประยกุ ตห์ ลกั การของสหกรณ์มาใช้ ในชีวติ ประจาวนั โดยใชแ้ ผนภาพความคิดแลว้ สรุปเป็นความคิดรวบยอด ดงั ตวั อยา่ ง ทาใหเ้ กิดจิตสานึกรับผดิ ชอบ ตอ่ ส่วนรวม รู้จกั การทางานร่วมกบั ผอู้ ่ืน ประโยชน์ของการประยกุ ต์ รู้จกั การเสียสละใหผ้ อู้ ่ืน หลกั การของสหกรณ์มาใช้ ทาใหส้ งั คมสงบสุข เกิดความรัก ความสามคั คี รู้จกั การช่วยเหลือตนเอง ในชีวติ ประจาวนั ในกลุ่ม ทาใหม้ ีความรู้สึกและเขา้ ใจท่ีดี ระหวา่ งกนั 6. นกั เรียนคิดประเมินเพอ่ื เพมิ่ คุณค่า แลว้ สรุปเป็นความคิดรวบยอด โดยใชค้ าถาม ดงั น้ี • หลกั การของสหกรณ์สามารถนามาใชใ้ นสถานท่ีหรือโอกาสใดไดบ้ า้ ง (ตวั อยา่ งคาตอบ การทางานกลุ่ม เพราะจะทาใหท้ ุกคนทางานกลุ่มไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ เกิดความรักและสามคั คีกนั )

10 • •ข้นั •ป•ฏบิ• ตั •แิ ล•ะส• ร•ุปค•ว•าม•รู้ห•ล•งั ก•าร•ปฏ• บิ •ัต•ิ (A•p•ply•in•g a•nd• C•o•ns•tru•ct•in•g t•he• K•no•w•le•dg•e)• •7.• นกั เรียนยกตวั อยา่ งบุคคลที่มีการประยกุ ตห์ ลกั การของสหกรณ์มาใชใ้ นชีวติ ประจาวนั มา 1 บุคคล โดยตอบคาถามลงในแบบบนั ทึก แลว้ สรุปเป็นความคิดรวบยอด ดงั ตวั อยา่ ง แบบบนั ทกึ เกย่ี วกบั บุคคลทมี่ ีการประยุกต์หลกั การของสหกรณ์มาใช้ในชีวติ ประจาวนั • บุคคลที่มีการประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั การของสหกรณ์ (นายสมบูรณ์ ผใู้ หญบ่ า้ นบา้ นศรีคุณ) • แนวทางการประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั การของสหกรณ์ (ใชห้ ลกั ประชาธิปไตยในการปกครองดูแลลูกบา้ น ใหล้ ูกบา้ นทุกคนมีส่วนร่วม ในการทากิจกรรมต่าง ๆ ของหมูบ่ า้ น) • การปฏิบตั ิดงั กล่าวก่อใหเ้ กิดผลอยา่ งไร (หมู่บา้ นเกิดการพฒั นา สมาชิกในหมูบ่ า้ นเกิดความเขม้ แขง็ ช่วยพฒั นาหมูบ่ า้ น ใหเ้ จริญรุ่งเรือง) • นกั เรียนจะนาแบบอยา่ งของบุคคลดงั กล่าวมาเป็นแบบอยา่ งในการดาเนินชีวิตประจาวนั อยา่ งไร (ใชห้ ลกั ประชาธิปไตยในการทางานกลุ่มร่วมกบั เพ่ือน ไม่ใชค้ วามคิดเห็นของตนเอง เป็นหลกั )

11 8. นกั เรียนตรวจสอบความถูกตอ้ งเรียบร้อยของผลงาน หากพบขอ้ ผดิ พลาดใหป้ รับปรุงแกไ้ ข ใหด้ ียง่ิ ข้ึน 9. นกั เรียนร่วมกนั สรุปสิ่งท่ีเขา้ ใจเป็นความรู้ร่วมกนั ดงั น้ี ความเสมอภาคกนั ทางสงั คม การใชห้ ลกั ประชาธิปไตย การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ การปกครองและพ่ึงพากนั เอง การใหก้ ารศึกษา การร่วมมือและช่วยเหลือกนั เป็นหลกั การของสหกรณ์ • ข•้นั •สื่อ•ส•าร•แล•ะน•า•เสน• อ•(A• p•pl•yin•g•th•e •Co•m•m•uni•ca•tio•n•Sk•ill•) 1•0. นกั เรียนออกมานาเสนอผลงานใหเ้ พ่อื นฟังหนา้ ช้นั เรียน กิจกรรมน้ีสร้างเสริมทกั ษะศตวรรษที่ 21 ดา้ นการสื่อสาร 11. นกั เรียนร่วมกนั อภิปรายสรุปเก่ียวกบั วธิ ีการทางานใหเ้ ห็นการคิดเชิงระบบและวธิ ีการทางาน ที่มีแบบแผน •ข้นั• ป•ระ•เม•ิน•เพ•่ือเ•พม่ิ• ค•ุณ•ค่า•บร•ิก•าร•สัง•คม•แ•ละ•จิต• ส•าธ•าร•ณะ• (•Se•lf-•Re•gu•la•tin•g•) 12. นกั เรียนแนะนาใหส้ มาชิกในครอบครัวและคนในชุมชนนาหลกั การของสหกรณ์มาประยกุ ตใ์ ช้ ในการดาเนินชีวิตประจาวนั 13. นกั เรียนประเมินตนเอง โดยเขียนแสดงความรู้สึกหลงั การเรียนและหลงั การทากิจกรรม ในประเด็นต่อไปน้ี • สิ่งท่ีนกั เรียนไดเ้ รียนรู้ในวนั น้ีคืออะไร • นกั เรียนมีส่วนร่วมกิจกรรมในกลุ่มมากนอ้ ยเพยี งใด • เพอ่ื นนกั เรียนในกลุ่มมีส่วนร่วมกิจกรรมในกลุ่มมากนอ้ ยเพยี งใด • นกั เรียนพอใจกบั การเรียนในวนั น้ีหรือไม่ เพียงใด • นกั เรียนจะนาความรู้ท่ีไดน้ ้ีไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์แก่ตนเอง ครอบครัว และสงั คมทว่ั ไป ไดอ้ ยา่ งไร จากน้นั แลกเปล่ียนตรวจสอบข้นั ตอนการทางานทุกข้นั ตอนวา่ จะเพิ่มคุณค่าไปสู่สังคม เกิดประโยชนต์ อ่ สังคมใหม้ ากข้ึนกวา่ เดิมในข้นั ตอนใดบา้ ง สาหรับการทางานในคร้ังต่อไป

12 สื่อการเรียนรู้/แหล่งการเรียนรู้ 1. หนงั สือเรียน รายวชิ าพ้นื ฐาน สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5 ของสถาบนั พฒั นาคุณภาพวชิ าการ (พว.) 2. แหล่งการเรียนรู้ท้งั ภายในและภายนอกโรงเรียน การประเมนิ การเรียนรู้ 1. ประเมินความรู้ เรื่อง การประยกุ ตห์ ลกั การของสหกรณ์มาใชใ้ นชีวติ ประจาวนั (K) ดว้ ยแบบทดสอบ 2. ประเมินกระบวนการทางานกลุ่ม (P) ดว้ ยแบบประเมิน 3. ประเมินคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ ดา้ นใฝ่ เรียนรู้ มุง่ มน่ั ในการทางาน (A) ดว้ ยแบบประเมิน แบบประเมนิ ตามสภาพจริง (Rubrics) แบบประเมินกระบวนการทางานกล่มุ รายการการประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ กระบวนการ 432 1 ทางานกล่มุ มีการกาหนดบทบาท มีการกาหนดบทบาท มีการกาหนดบทบาท ไมม่ ีการกาหนด บทบาทสมาชิก สมาชิกชดั เจน สมาชิกชดั เจน เฉพาะหวั หนา้ และไม่มีการช้ีแจง เป้าหมาย สมาชิก และมีการช้ีแจงเป้าหมาย มีการช้ีแจงเป้าหมาย ไม่มีการช้ีแจงเป้าหมาย ตา่ งคนตา่ งทางาน การทางาน อยา่ งชดั เจนและ อยา่ งชดั เจน มีการปฏิบตั ิงานร่วมกนั ปฏิบตั ิงานร่วมกนั ปฏิบตั ิงานร่วมกนั อยา่ งร่วมมือร่วมใจ แตไ่ ม่มีการประเมิน ไมค่ รบทุกคน พร้อมกบั การประเมิน เป็ นระยะ ๆ เป็ นระยะ ๆ

13 วิธีกำรสอนแบบย้อนกลับ (Backward Design) ควำมหมำยวิธีกำรสอนแบบย้อนกลบั วิชยั วงษ์ใหญ่ (2552 : ออนไลน์) กลา่ วว่า การออกแบบการเรียนรู้ ยอ้ นกลับ หมายถึง การวางแผน การจัดการเรยี นรู้ มุง่ เน้นทผี่ ูเ้ รยี นมคี วามรู้ ความเขา้ ใจฝงั ลึก (deep knowledge) โดยกาหนดผลการเรียนรู้ ท่ี คาดหวังจากมาตรฐานการเรียนรู้ ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ หรือคาอธิบายรายวิชาของหลักสูตร เพ่ือกาหนด พฤติกรรมที่พึงประสงค์และเป็นแนวทางในการกาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ การออกแบบการวัดและ ประเมินผล รวมท้ังการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างเป็นขั้นตอน กระชับ เกิดประสบการณ์การ เรยี นได้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรกู้ ารวดั และประเมินผล ทฤษฎี/แนวคดิ Backward Design เป็นกระบวนการออกแบบการจัดการเรียนรู้ เป็นแนวคิดของ Grant Wiggins และ Jay Mc Tighe ซ่ึงคิดค้นเมื่อปี ค.ศ. 1998 เป็นกระบวนการออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่กาหนด เปา้ หมายการเรียนรู้ มีการกาหนดหลักฐานหลังจากน้ันจงึ ออกแบบการจดั ประสบการณ์เรียนรู้ เพ่อื ให้ผเู้ รยี นมี ความรู้ มที กั ษะและแสดงความสามารถ ตามหลกั ฐานทีเ่ ปน็ ผลจากการเรยี นรู้ของผู้เรียนท่ีกาหนดไว้ Grant Wiggins และ Jay Mctighe ได้ให้แนวทางการออกแบบหน่วยการเรียนรู้แบบย้อนกลบั สาหรบั 1 หน่วยการเรียนรไู้ ว้ 3 ขน้ั ตอน ดังน้ี ขั้นตอนท่ี 1 การกาหนดความรู้ความสามารถของผู้เรียนที่ต้องการให้เกิดขึ้น (Identify desired results) หมายถงึ การกาหนดเป้าหมายการเรียนรู้ ซ่งึ เป็นข้อความทร่ี ะบชุ อื่ ผลลพั ธ์ รอ่ ยรอย หลกั ฐาน ช้ินงาน หรือผลผลิต ในระดับท่ียอมรับได้เป็นการกาหนดเป้าหมายสาคัญ (established goals) ซ่ึงต้องระบุให้ชัดเจน ทง้ั ดา้ นความรู้วา่ ผูเ้ รียนจะมีความรู้อะไรบา้ ง (content หรอื knowledge) ดา้ นทกั ษะซ่งึ ผู้เรียนควรทาส่ิงใดได้ ในระดับใด (performance หรือ process) และด้านเจตคติมีผู้เรียน ควรมีความรู้สึกท่ีดีต่อสิ่งท่ีเรียนอย่างไร (attitude หรอื attribute) ข้ันตอนท่ี 2 กาหนดการแสดงออกของผู้เรียนที่เป็นหลักฐานท่ีชัดเจน และยอมรับได้ว่าผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถตามท่ีกาหนดไว้ (Determine acceptable evidence of learning) หลังจากผู้เรียนได้ความรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่กาหนดให้แล้ว คาถามสาหรับครูผู้ออกแบบ หน่วยการเรียนรู้ ต้องหาคาตอบให้ได้สาหรับ ขน้ั ตอนนี้ คอื ครูผ้สู อนจะรู้ได้อยา่ งไรวา่ ผูเ้ รยี นมีความรู้ความเขา้ ใจตามมาตรฐาน หรือผลการเรียนร้ทู คี่ าดหวัง ของหน่วยการเรียนรู้ท่ีกาหนดไว้ การแสดงออกของผู้เรียน ควรมีลักษณะอย่างไร ซ่ึงจะยอมรับได้ว่า ผู้เรียนมี ความรู้ ความเข้าใจ ข้ันตอนที่ 3 ออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้ และการจัดการเรียนการสอน ( Learning Experience and Instruction) หลังจากครผู ู้สอนได้กาหนด “ความเขา้ ใจทคี่ งทน” และกาหนดหลกั ฐานการ

14 แสดงออกของผู้เรียนท่ีแสดงให้เห็นว่า ผู้เรียนมีความรู้และทักษะที่สาคัญ และมีความเข้าใจที่คงทนแล้ว ครผู สู้ อนควรออกแบบการจัดการเรียนรู้ หรือจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ โดยกาหนดกจิ กรรมต่างๆ ใหผ้ ้เู รยี น ปฏิบัติ จุดม่งุ หมำย การออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ (Lesson Plan) ด้วยกระบวนการ Backward Design ครูผู้สอนเร่ิมต้นจากการกาหนดเป้าหมายการเรียนรู้ที่ต้องการ ให้ผู้เรียนบรรลุ และกาหนดร่องรอย หลักฐาน ท่แี สดงให้เห็นว่าผ้เู รียนบรรลุเปา้ หมายทก่ี าหนด โดยใชว้ ธิ กี ารประเมินทีห่ ลากหลาย จากน้นั ครูผู้สอนออกแบบ กิจกรรมการเรียนรู้ ตามลาดับขั้นตอนท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้เนื้อหาสาระทักษะกระบวนการต่างๆ และ เกดิ ความเข้าใจท่ีคงทน ซ่ึงผเู้ รยี นสามารถนาไปใช้ในสถานการณต์ ่างๆ หรือสามารถนาไปใช้ในชีวิตจริงได้ และ เกิดความเข้าใจที่คงทน ครูผู้สอนสามารถเลือกใช้รูปแบบการเรียนการสอนสาหรับการจัดประสบการณ์การ เรียนรไู้ ดห้ ลากหลายรปู แบบ ลำดบั กำรสอน/กระบวนกำรเรยี นกำรสอน วงิ กนิ ส์และแมค็ ไทธ์ (Wiggins and McTighe. 1998) ได้พัฒนารปู แบบการจัดการเรียนรู้ ยอ้ นกลบั แสดงขน้ั ตอนการจดั การเรยี นรู้ การกาหนดเป้าหมายของการเรียนรู้ ทีต่ อ้ งการให้เกิดขึ้นกบั ผเู้ รียน จากน้ันจึงวเิ คราะห์ย้อนกลับมาสจู่ ดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ การออกแบบการวัดและประเมินผล ประกอบดว้ ย 3 ขนั้ ตอน ดังนี้ 1. กาหนดความรู้ ความสามารถหรือผลลพั ธข์ องการเรยี นรู้ ท่ีต้องการให้เกิดขึ้นกับผเู้ รยี น 2. กาหนดพฤติกรรมหรอื หลักฐานทสี่ าคัญทีแ่ สดงให้ เห็นว่าผู้ เรยี นได้ บรรลุผลการเรยี นรูต้ ามทก่ี าหนด 3. ออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู้และการวัดและประเมินผลใหส้ อดคลอ้ งกับจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้

15 ตัวอยำ่ งแผนกำรกำรจดั กำรเรยี นรู้ กล่มุ สาระการเรียนรู้ สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม รายวชิ า สงั คมศึกษา ระดบั ช้ัน ประถมศึกษาปี ที่ 5 ภาคเรียนท่ี 2 เวลาเรียน 1 คาบ สาระท่ี 3 เศรษฐศาสตร์ เร่ือง เศรษฐกิจพอเพยี ง ข้นั ท่ี 1 กาหนดเป้าหมายหลักของการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ส 3.1 เขา้ ใจและสามารถบริหารจดั การทรัพยากรในการผลิตและการบริโภค การใชท้ รัพยากรที่มีอยูจ่ ากดั ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพและคุม้ คา่ รวมท้งั เขา้ ใจหลกั การของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการดารงชีวติ อยา่ งมีดุลยภาพ ตวั ช้ีวดั ส 3.1 ป.5/2 ประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคิดของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งในการทากิจกรรมต่าง ๆ ในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน สาระการเรียนรู้ 1. หลกั การของเศรษฐกิจพอเพียง 2. การประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคิดเศรษฐกิจพอเพยี งในการทากิจกรรมต่าง ๆ ในครอบครัว โรงเรียน และชุมชน 3. การผลิตสินคา้ และบริการในชุมชน สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการส่ือสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1. ใฝ่ เรียนรู้ 2. อยอู่ ยา่ งพอเพียง ข้นั ท่ี 2 กาหนดหลกั ฐานหรือร่องรอยของการเรียนรู้ ภาระงาน : ชิ้นงาน/การแสดงออกของผู้เรียน : ชิ้นงานที่ 25 เร่ือง เศรษฐกิจพอเพียง การประเมินการเรียนรู้ : 1. ประเมินความรู้ เรื่อง หลกั การของเศรษฐกิจพอเพยี ง การประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคิดเศรษฐกิจพอเพยี ง ในการทากิจกรรมตา่ ง ๆ ในครอบครัว โรงเรียนและชุมชน การผลิตสินคา้ และบริการ (K) ดว้ ยแบบทดสอบ

16 2.ประเมินกระบวนการทางานกลุ่ม (P) ดว้ ยแบบประเมิน 3.ประเมินชิ้นงาน เรื่อง เศรษฐกิจพอเพยี ง (P) ดว้ ยแบบประเมิน 4.ประเมินคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ดา้ นใฝ่ เรียนรู้ อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง (A) ดว้ ยแบบประเมิน ข้นั ที่ 3 การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนหรือประสบการณ์การเรียนรู้ การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ข้นั สังเกต รวบรวมข้อมูล (Gathering) 1.นกั เรียนอ่านพระราชดารัสเก่ียวกบั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 แลว้ ร่วมกนั สนทนา โดยการตอบคาถาม 2.นกั เรียนสงั เกตภาพเกี่ยวกบั การทาเกษตรแบบผสมผสาน เช่น การเล้ียงไก่บนบ่อปลา แลว้ ร่วมกนั สนทนา โดยการตอบคาถาม 3.นกั เรียนร่วมกนั สนทนาเกี่ยวกบั สินคา้ และบริการที่ผลิตในชุมชน โดยการตอบคาถาม 4.นกั เรียนร่วมกนั ศึกษาและรวบรวมขอ้ มูลเกี่ยวกบั เร่ือง เศรษฐกิจพอเพียง จากหนงั สือเรียน และแหล่งการเรียนรู้อื่นเพิ่มเติม ข้ันคดิ วเิ คราะห์และสรุปความรู้ (Processing) (Gathering) 5. นกั เรียนร่วมกนั วเิ คราะห์และสรุปหลกั การปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยใชแ้ ผนภาพความคิด แลว้ สรุปเป็นความคิดรวบยอด 6. นกั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง แลว้ สรุปเป็นความคิดรวบยอด โดยการตอบคาถาม 7. นกั เรียนร่วมกนั วเิ คราะห์ผลที่เกิดข้ึนจากการปฏิบตั ิ และไม่ปฏิบตั ิตามหลกั ปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง โดยใชแ้ ผนภาพความคิด แลว้ สรุปเป็นความคิดรวบยอด 8. นกั เรียนอ่านขา่ วบุคคลท่ีนาหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งมาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการดาเนินชีวติ แลว้ ร่วมกนั แสดงความคิดเห็น โดยการตอบคาถาม 9. นกั เรียนแบ่งกลุ่มออกเป็ น 3 กลุ่ม เสนอแนวทางการประยุกตใ์ ชแ้ นวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ดงั น้ี • กลุ่มท่ี 1 นาเสนอการประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคิดเศรษฐกิจพอเพียงในครอบครัว • กลุ่มที่ 2 นาเสนอการประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคิดเศรษฐกิจพอเพยี งในโรงเรียน • กลุ่มที่ 3 นาเสนอการประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคิดเศรษฐกิจพอเพียงในชุมชน โดยนกั เรียนสรุปบนั ทึกนาเสนอแนวทางการประยกุ ตแ์ นวคิดเศรษฐกิจพอเพียงใหเ้ พือ่ นฟัง หนา้ ช้นั เรียน 10. นกั เรียนร่วมกนั สรุปการนาหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยกุ ตใ์ ชใ้ นครอบครัว โรงเรียน และชุมชน เป็นแผนภาพความคิดบนกระดานแลว้ สรุปเป็นความคิดรวบยอด

17 11. นกั เรียนร่วมกนั วเิ คราะห์ผลของการนาหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปประยกุ ตใ์ ช้ โดยใชแ้ ผนภาพความคิด แลว้ สรุปเป็นความคิดรวบยอด 12. นกั เรียนแบง่ กลุ่มออกเป็ น 2 กลุ่ม สารวจตามรายการดงั ต่อไปน้ี • กลุ่มท่ี 1 สารวจทรัพยากรในชุมชนที่สามารถนามาผลิตเป็ นสินคา้ และบริการได้ • กลุ่มที่ 2 สารวจผลิตภณั ฑท์ ่ีมีอยใู่ นชุมชนวา่ มีอะไรบา้ ง มีการผลิตอยา่ งไร มีความสาคญั ตอ่ ชุมชนอยา่ งไร จากน้นั ใหแ้ ตล่ ะกลุ่มออกมานาเสนอหนา้ ช้นั เรียน จบการนาเสนอนกั เรียนร่วมกนั แสดงความ คิดเห็น โดยการตอบคาถาม 13. นกั เรียนร่วมกนั เสนอแนวทางการนาหลกั การของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาใชใ้ นการผลิตสินคา้ และบริการ โดยใชแ้ ผนภาพความคิด แลว้ สรุปเป็นความคิดรวบยอด 14. นกั เรียนร่วมกนั วิเคราะห์ผลของการนาหลกั การของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง มาใชใ้ นการผลิตสินคา้ และบริการในชุมชน โดยใชแ้ ผนภาพความคิดแลว้ สรุปเป็ นความคิดรวบยอด 15. นกั เรียนเขียนเครื่องหมาย ✓ลงใน หนา้ ขอ้ ความท่ีถูกตอ้ ง เขียนเครื่องหมาย  หนา้ ขอ้ ความท่ีไม่ถูกตอ้ งเกี่ยวกบั เศรษฐกิจพอเพยี ง 16. นกั เรียนร่วมกนั วเิ คราะห์สถานการณ์ และเสนอแนวทางแกไ้ ขตามหลกั ปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพยี ง 17. นกั เรียนคิดประเมินเพ่ือเพิ่มคุณค่า แลว้ สรุปเป็นความคิดรวบยอด โดยการตอบคาถาม ข้นั ปฏิบัตแิ ละสรุปความรู้หลงั การปฏบิ ตั ิ (Applying and Constructing the Knowledge) 18. นกั เรียนแบ่งกลุ่มจดั ทารายงานเกี่ยวกบั แนวคิดและหลกั การปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 19. นกั เรียนเสนอแนวทางการปฏิบตั ิตนเพื่อนาหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งไปประยกุ ต์ ใชใ้ นการทากิจกรรมตา่ ง ๆ ในครอบครัว โรงเรียน และชุมชนมา 1 แนวทาง บนั ทึกลงในชิ้นงานที่ 25 เร่ือง เศรษฐกิจพอเพยี ง 20. นกั เรียนยกตวั อยา่ งโดยการวาดภาพสินคา้ และบริการที่ผลิตในชุมชนมา 1 ตวั อยา่ ง และตอบคาถามลงในแบบบนั ทึก 21. นกั เรียนทากิจกรรมเสริมทกั ษะความรู้ทา้ ยหน่วยการเรียนรู้ 22. นกั เรียนตรวจสอบความถูกตอ้ งเรียบร้อยของผลงานและชิ้นงาน หากพบขอ้ ผิดพลาด ใหป้ รับปรุงแกไ้ ขใหด้ ียง่ิ ข้ึน 23. นกั เรียนร่วมกนั สรุปสิ่งท่ีเขา้ ใจเป็นความรู้ร่วมกนั ดงั น้ี เศรษฐกิจพอเพยี งเป็นปรัชญาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช- บรมนาถบพติ ร รัชกาลที่ 9 ท่ีทรงช้ีแนะแนวทางการดาเนินชีวติ แก่พสกนิกรชาวไทย เพ่อื ใหส้ ามารถ พ่ึงพาตนเองได้ และอยรู่ ่วมกนั ในสังคมอยา่ งมีความสุข โดยไม่เบียดเบียนผอู้ ื่น

18 ข้นั สื่อสารและนาเสนอ (Applying the Communication Skill) 24. นกั เรียนออกมานาเสนอผลงานและชิ้นงานใหเ้ พ่ือนฟังหนา้ ช้นั เรียน 25. นกั เรียนร่วมกนั อภิปรายสรุปเกี่ยวกบั วธิ ีการทางานใหเ้ ห็นการคิดเชิงระบบและวธิ ีการทางาน ท่ีมีแบบแผน ข้นั ประเมนิ เพ่ือเพมิ่ คุณค่าบริการสังคมและจิตสาธารณะ (Self-Regulating) 26.นกั เรียนเผยแพร่ความรู้เก่ียวกบั แนวคิดและหลกั การปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงใหผ้ ทู้ ี่สนใจ ไดศ้ ึกษา โดยการบอกเล่า การจดั ป้ายนิเทศ 27.นกั เรียนแนะนาใหส้ มาชิกในชุมชนนาหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยกุ ตใ์ ช้ ในการผลิตสินคา้ และบริการเพอ่ื ใหไ้ ดต้ น้ ทุนในการผลิตสินคา้ 28.นกั เรียนประเมินตนเอง โดยเขียนแสดงความรู้สึกหลงั การเรียนและหลงั การทากิจกรรม ในประเด็นต่อไปน้ี • ส่ิงท่ีนกั เรียนไดเ้ รียนรู้ในวนั น้ีคืออะไร • นกั เรียนมีส่วนร่วมกิจกรรมในกลุ่มมากนอ้ ยเพยี งใด •เพือ่ นนกั เรียนในกลุ่มมีส่วนร่วมกิจกรรมในกลุ่มมากนอ้ ยเพียงใด • นกั เรียนพอใจกบั การเรียนในวนั น้ีหรือไม่ เพยี งใด • นกั เรียนจะนาความรู้ที่ไดน้ ้ีไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์แก่ตนเอง ครอบครัว และสังคม ทว่ั ไปไดอ้ ยา่ งไร จากน้นั แลกเปลี่ยนตรวจสอบข้นั ตอนการทางานทุกข้นั ตอนวา่ จะเพ่ิมคุณค่าไปสู่สงั คม เกิดประโยชน์ต่อสงั คมใหม้ ากข้ึนกวา่ เดิมในข้นั ตอนใดบา้ ง สาหรับการทางานในคร้ังต่อไป สื่อการเรียนรู้/แหล่งการเรียนรู้ 1. หนงั สือเรียน รายวชิ าพ้นื ฐาน สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5 ของสถาบนั พฒั นาคุณภาพวชิ าการ (พว.) 2.พระราชดารัสเกี่ยวกบั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิ- พลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 3.ภาพเกี่ยวกบั การทาเกษตรแบบผสมผสาน 4.ตวั อยา่ งขา่ วเกี่ยวกบั บุคคลที่นาหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ 5.ตวั อยา่ งสถานการณ์เก่ียวกบั การปฏิบตั ิตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง 6.แหล่งการเรียนรู้ท้งั ภายในและภายนอกโรงเรียน

19 แบบบนั ทกึ สรุปผลการเรียนรู้สาหรับผู้เรียน ชื่อ-นามสกุล _______________________________ เลขท่ี _________ ช้นั ___________ วนั ท่ี _________________________ เดือน _______________________ พ.ศ. ___________ คาชี้แจง นกั เรียนบนั ทึกสรุปผลการเรียนรู้จากหน่วยการเรียนรู้น้ี นกั เรียนยงั ไมเ่ ขา้ ใจเร่ืองใดอีกบา้ ง นกั เรียนมีความรู้สึกอยา่ งไร นกั เรียนไดร้ ับความรู้เร่ืองใดบา้ ง ที่เกี่ยวกบั หน่วยการเรียนรู้น้ี หลงั จากที่เรียนหน่วยการเรียนรูน้ ้ีแลว้ จากหน่วยการเรียนรูน้ ้ี ซ่ึงตอ้ งการใหค้ รูอธิบายเพมิ่ เติม ___________________________ ___________________________ _____________ _____________ ___________________________ _____________ ___________________________ ___________________________ _____________ _____________ ___________________________ _____________ ___________________________ ___________________________ _____________ _____________ ___________________________ จนากั ก_เร_หีย_นน_่ว_จยะ_กส_า_ารม_เรา_ียร_นถ_รน_ูน้ า้ีคไปวาใมชรป้ ู้ครวะาโมยเชขนา้ ใ์ จ _______ห_น__่ว_ย_ก__าร__เร_ีย__น_ร_ู้ท__ี่ _2___ ___________________________ ใน_ช_ีว_ติ _ป_ร_ะ_จ_า_ว_นั _ไ_ด_อ้ _ย_า่ ง_ไ_ร_บ_า้_ง_______ _______เ_ศ__ร_ษ_ฐ_กจิ พอเพยี ง น_ก_ั _เร_ีย_น_ไ_ด_ท้ _า_ก_ิจ_ก_รรมอะไรบา้ ง ใ_น_ห__น_่ว_ย_ก_าร_เ_ร_ีย_น_ร_ู้น_้ี ____________ _____________ ___________________________ ________________________________________ ___________________________ _____________ _____________ ______________ ____________________________________ _____________ _ผ_ล_ง_าน__ท_ี่น_กั _เร_ีย_น_ช__อ_บ_แ_ล_ะ_ต_อ้ _ง_ก_าร____ _____________ _ค_ดั _เล_ือ__ก_เป_็ น__ผ_ล_ง_านดีเด่น ___________________________ ___________________________ _____________ ____________________________________ _จ_าก__ห_น_่ว_ย_ก_าร_เร_ีย_น_ร_ู้น_้ีค__ือ_ผ_ล_ง_าน_ใ_ด_บ__า้ ง_ _เพ_ร_า_ะ_อ_ะ_ไ_ร_____ ___________________________ _____________ ______________________________________________________ ___________________________ ___________________________ ________________________________________ ________________________________________ _________________¬___________________________ ________________________ _____________ ___________________________ ___________________________ _____________ ________________________________________ _____________ ___________ ______________________________________________________ __________________________ ___________________________ _____________ ___________________________ ________________________________________ _____________

20 ได_้ ___________ แบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-Test) คะแนน คะแนนเตม็ 10 คะแนน ช่ือ ______________________________________________ เลขท่ี _______ ช้ัน ______ นักเรียนใช้ดนิ สอระบายลงใน หน้าคาตอบทถี่ ูกต้องให้เตม็ วง 1. นกั เรียนจะปฏิบตั ิตนตามหลกั เศรษฐกิจพอเพยี งไดอ้ ยา่ งไร 1 รับประทานอาหารนอกบา้ นทุกคร้ัง 2 เลือกซ้ือเส้ือผา้ ที่ทนั สมยั อยเู่ สมอ 3 เลือกซ้ือสินคา้ ท่ีสามารถผลิตเองได้ 4 ประดิษฐก์ ระปุกออมสินจากวสั ดุเหลือใชใ้ นบา้ น 2. ขอ้ ใดเป็นวตั ถุประสงคห์ ลกั ของเศรษฐกิจพอเพียง 1 เพอ่ื ให้รู้จกั ช่วยเหลือผูอ้ ่ืน 2 เพอ่ื ใหบ้ ุคคลมีฐานะร่ารวยข้ึน 3 เพื่อใหไ้ ดร้ ับความเคารพนบั ถือจากผอู้ ่ืน 4 เพอ่ื ใหบ้ ุคคลสามารถพ่ึงพาตนเองได้ โดยไม่เบียดเบียนผอู้ ื่น 3. ขอ้ ใดไม่ใช่หลกั การของเศรษฐกิจพอเพยี ง 1 มีเหตุผล 2 มีภูมิคุม้ กนั ท่ีดี 3 มีความอยดู่ ีกินดี 4 มีความพอประมาณ 4. การปฏิบตั ิตนตามหลกั เศรษฐกิจพอเพียงควรเริ่มตน้ จากใคร 1 พอ่ แม่ 2 ตนเอง 3 ญาติพ่ีนอ้ ง 4 ครูอาจารย์ 5. ขอ้ ใดเป็นการนาหลกั เศรษฐกิจพอเพยี งมาประยกุ ตใ์ ชใ้ นครอบครัว 1 ใชส้ ินคา้ ราคาแพงอยเู่ สมอ 2 ผลิตพลงั งานไฟฟ้าข้ึนใชเ้ องในครอบครัว 3 นาสินคา้ ท่ีไมม่ ีคุณภาพออกจาหน่ายเพ่ือสร้างรายได้ 4 ปลูกผกั สวนครัวในบริเวณบา้ นเพื่อไวร้ ับประทานเอง

21 6. ในโรงเรียน นกั เรียนควรปฏิบตั ิตนตามหลกั เศรษฐกิจพอเพียงอยา่ งไร 1 ปิ ดกอ๊ กน้าใหส้ นิททุกคร้ังเม่ือไมใ่ ชง้ าน 2 นาหนงั สือในหอ้ งสมุดไปเกบ็ ไวอ้ า่ นที่บา้ น 3 เปิ ดไฟฟ้าทุกดวงในห้องเรียนทิ้งไวเ้ ป็นประจา 4 ซ้ือขนมท่ีขายในสหกรณ์โรงเรียนประจา 7. การปฏิบตั ิตนตามหลกั เศรษฐกิจพอเพียงมีประโยชนต์ รงกบั ขอ้ ใดมากท่ีสุด 1 ส่งเสริมใหส้ มาชิกในครอบครัวใชจ้ ่ายฟ่ ุมเฟื อย 2 พฒั นางานทางดา้ นอุตสาหกรรมใหเ้ กิดข้ึนในทอ้ งถิ่น 3 เสริมสร้างการดาเนินชีวติ ใหอ้ ยบู่ นสายกลางและไมป่ ระมาท 4 พฒั นาแนวทางการนาเทคโนโลยที ่ีทนั สมยั มาประยกุ ตใ์ ชใ้ หม้ ากข้ึน 8. ขอ้ ใดเป็นการนาหลกั เศรษฐกิจพอเพยี งมาใชใ้ นชีวติ ประจาวนั 1 ซ้ือสินคา้ ทุกชนิด 2 ซ้ือสินคา้ ท่ีอยากได้ 3 ลดการซ้ือสินคา้ ที่ไม่จาเป็น 4 ใชเ้ งินใหม้ ากกวา่ เงินท่ีไดร้ ับ 9. การประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั เศรษฐกิจพอเพียงในชุมชน ขอ้ ใดเหมาะสมท่ีสุด 1 อนุรักษท์ รัพยากรในชุมชนโดยไม่นามาใช้ 2 ใชท้ รัพยากรท่ีมีอยอู่ ยา่ งจากดั ในชุมชนใหค้ ุม้ คา่ 3 นาทรัพยากรที่มีอยา่ งจากดั ในชุมชนไปขายตา่ งชาติ 4 นาสินคา้ ที่มีคุณภาพจากตา่ งประเทศเขา้ มาขายในชุมชน 10. “หน่ึงตาบล หน่ึงผลิตภณั ฑ์” ก่อใหเ้ กิดประโยชน์แก่ชุมชนอยา่ งไร 1 สร้างรายไดใ้ หแ้ ก่ชุมชน 2 สร้างหน้ีสินใหแ้ ก่ชุมชน 3 ปลูกฝังใหค้ นในชุมชนเป็นคนดี 4 พฒั นาชุมชนให้เจริญกา้ วหนา้ ดา้ นเทคโนโลยี

22 กำรจดั กำรเรียนร้แู บบบรู ณำกำร (Integrated Learning Management) การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ (Integrated Learning Management) เป็นการสอนท่ีเชื่อมโยง ความรู้ความคิด รวบยอด หรือทักษะเข้าด้วยกัน เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้โดยองค์รวม ท้ังด้านพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทักษะ พิสัย ซึ่งสอดคล้องตามแนวการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 23 ที่เน้นความสาคัญทั้งความรู้คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้และบูรณาการตามความเหมาะสม ซึ่ง เปน็ ไป ตามสภาพจรงิ ของสงั คม การเรียนรแู้ บบบูรณาการเป็นการจัดการเรยี นการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ เป็นการเรยี นรทู้ เี่ ช่ือมโยงเนื้อสาระทั้งหลายเข้าดว้ ยกนั อยา่ งมีความหมาย และสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิต จริง อีกทงั้ การบูรณาการหลักสตู รยังเปน็ วิธกี ารสรา้ งการศกึ ษาใหม้ ีความหมายยง่ิ ขึ้นด้วย ควำมหมำยของกำรจดั กำรเรยี นร้แู บบบรู ณำกำร การสอนแบบบูรณาการ หมายถึง การจัดการเรียนรู้โดยการเชื่อมโยงเน้ือหาความรู้ที่เกี่ยวข้องจาก ศาสตร์ต่างๆ ของรายวิชาเดียวกันหรือรายวิชาต่างๆ มาใช้ในการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนา ความคดิ รวบยอดของศาสตรต์ า่ งๆ มาใชใ้ นชวี ติ จริงได้ สาหรับการจัดการเรียนรู้แบบบูรณา การ (Integrated Learning Management) หมายถึง กระบวนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ตามความสนใจ ความสามารถ โดยเช่ือมโยงเนื้อหาสาระของศาสตร์ ต่างๆ ทเ่ี ก่ยี วข้องสัมพนั ธ์กนั ใหผ้ เู้ รียนเปล่ียนแปลงพฤติกรรม สามารถนาความรู้ ทักษะและเจตคติไปสร้างงาน แก้ปัญหาและใชใ้ นชีวิตประจาวนั ไดด้ ว้ ยตนเอง ทฤษฎี/แนวคดิ การเรียนการสอนแบบบูรณาการสามารถตอบสนองต่อความสามารถของผู้เรียนซ่ึงมีหลายด้าน เช่น ภาษา คณติ ศาสตร์ การมองพ้ืนท่ีความคล่องของร่างกาย และความเคลื่อนไหวดนตรี สงั คมหรือมนุษย์สัมพันธ์ และความรู้และความเข้าใจตนเอง ซ่ึงรวมเรียกว่า“พหุปัญญา” (Multiple Intelligences) และสนองตอบต่อ ความสามารถทจ่ี ะแสดงออกและตอบสนองทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) ศาสตราจารย์โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) นักจิตวิทยา มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เป็นผู้หน่ึง ทพี่ ยายามอธบิ ายให้เห็นถึงความสามารถทห่ี ลากหลาย โดยคดิ เป็น “ทฤษฎพี หปุ ัญญา” (Theory of Multiple Intelligences) เสนอแนวคิดว่า สติปัญญาของมนุษย์มีหลายด้านที่มีความสาคัญเท่าเทียมกัน ขึ้นอยู่กับว่าใคร จะโดดเด่นในด้านไหนบ้าง แล้วแต่ละด้านผสมผสานกัน แสดงออกมาเป็นความสามารถในเร่ืองใด เป็น ลกั ษณะเฉพาะตัวของแตล่ ะคนไป

23 ในปี พ.ศ. 2526 การ์ดเนอร์ ได้เสนอว่าปัญญาของมนุษย์มีอยู่อย่างน้อย 7 ด้าน คือ ด้านภาษา ด้าน ตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ ด้านมิติสัมพันธ์ ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ด้านดนตรี ด้านมนุษยสัมพันธ์ และด้านการเข้าใจตนเอง ต่อมาในปี พ.ศ. 2540 ได้เพิ่มเติมเข้ามาอีก 1 ด้าน คือ ด้านธรรมชาติวิทยา เพ่ือให้ สามารถอธิบายได้ครอบคลุมมากขึน้ จึงสรปุ ได้ว่า พหปุ ญั ญา ตามแนวคดิ ของการ์ดเนอร์ในปจั จบุ ันมปี ัญญาอยู่ อย่างน้อย 8 ด้าน ดังนี้ 1. ปัญญาด้านภาษา (Linguistic Intelligence) คือ ความสามารถในการใช้ภาษารปู แบบตา่ งๆ ตง้ั แต่ ภาษาพื้นเมือง จนถึงภาษาอ่ืนๆ ด้วย สามารถรับรู้ เข้าใจภาษา และสามารถสื่อภาษาให้ผู้อ่ืนเข้าใจได้ตามท่ี ต้องการ ผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น ก็มักเป็น กวี นักเขียน นักพูด นักหนังสือพิมพ์ ครู ทนายความ หรือ นกั การเมอื ง 2. ปัญญาด้านตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์ ( Logical-Mathematical Intelligence) คือ ความสามารถในการคิดแบบมีเหตุและผล การคิดเชิงนามธรรม การคิดคาดการณ์ และการคิดคานวณทาง คณิตศาสตร์ ผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น ก็มักเป็น นักบัญชี นักสถิติ นักคณิตศาสตร์ นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ นักเขียนโปรแกรม หรือวิศวกร 3. ปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ (Visual-Spatial Intelligence) คือ ความสามารถในการรับรู้ทางสายตาได้ ดี สามารถมองเห็นพื้นที่ รูปทรง ระยะทาง และตาแหน่ง อย่างสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน แล้วถ่ายทอดแสดงออก อย่างกลมกลืน มีความไวต่อการรับรู้ในเร่ืองทิศทาง สาหรับผู้ที่มีปัญญาด้านนี้โดดเด่น จะมีทั้งสายวิทย์ และ สายศลิ ป์ สายวิทย์ มักเป็นนักประดิษฐ์ วิศวกร ส่วนสายศิลป์มักเป็นศิลปินในแขนงต่าง ๆ เช่น จิตรกร วาดรูป ระบายสี เขยี นการต์ ูน นกั ปน้ั นกั ออกแบบ ชา่ งภาพ หรอื สถาปนิก เป็นต้น 4. ปัญญาด้านร่างกายและการเคล่ือนไหว (Bodily Kinesthetic Intelligence) คือ ความสามารถใน การควบคมุ และแสดงออกซึ่งความคดิ ความร้สู ึก โดยใชอ้ วัยวะส่วนต่างๆ ของรา่ งกาย รวมถงึ ความสามารถใน การใช้มือประดิษฐ์ ความคล่องแคล่ว ความแข็งแรง ความรวดเร็ว ความยืดหยุ่น ความประณีต และความไว ทางประสาทสัมผัส สาหรับผู้ท่ีมีปัญญาด้านน้ีโดดเด่น มักจะเป็นนักกีฬา หรือไม่ก็ศิลปินในแขนง นักแสดง นัก ฟอ้ น นกั เต้น นกั บัลเล่ย์ หรือนักแสดงกายกรรม 5. ปญั ญาด้านดนตรี (Musical Intelligence) คือ ความสามารถในการซึมซับ และเข้าถึงสุนทรยี ะทาง ดนตรี ทั้งการได้ยิน การรับรู้ การจดจา และการแต่งเพลง สามารถจดจาจังหวะ ทานอง และโครงสร้างทาง ดนตรีไดด้ ี และถา่ ยทอดออกมาโดยการฮมั เพลง เคาะจังหวะ เล่นดนตรี และร้องเพลง สาหรับผทู้ ีม่ ีปัญญาด้าน นโี้ ดดเดน่ มักจะเปน็ นกั ดนตรี นักประพันธ์เพลง หรอื นักร้อง

24 6. ปัญญาด้านมนุษยสัมพันธ์ (Interpersonal Intelligence) คือ ความสามารถในการเข้าใจผู้อื่น ทั้ง ด้านความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ และเจตนาที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน มีความไวในการสังเกต สีหน้า ท่าทาง น้าเสียง สามารถตอบสนองได้อยา่ งเหมาะสม สรา้ งมิตรภาพได้ง่าย เจรจาตอ่ รอง ลดความขัดแย้ง สามารถจงู ใจผู้อื่นได้ ดี เป็นปัญญาด้านท่ีจาเป็นต้องมีอยู่ในทุกคน แต่สาหรับผู้ท่ีมีปัญญาด้านนี้โดดเด่น มักจะเป็นครูบาอาจารย์ ผู้ให้คาปรึกษา นักการฑูต เซลแมน พนักงานขายตรง พนักงานต้อนรับ ประชาสัมพันธ์ นักการเมือง หรือนัก ธุรกิจ 7. ปัญญาด้านการเข้าใจตนเอง (Intrapersonal Intelligence) คือ ความสามารถในการรู้จัก ตระหนักรู้ในตนเอง สามารถเท่าทันตนเอง ควบคุมการแสดงออกอย่างเหมาะสมตามกาลเทศะ และ สถานการณ์ รู้ว่าเม่ือไหร่ควรเผชญิ หน้า เม่ือไหร่ควรหลีกเล่ียง เม่ือไหร่ต้องขอความช่วยเหลือ มองภาพตนเอง ตามความเป็นจริง รู้ถึงจุดอ่อน หรือข้อบกพร่องของตนเอง ในขณะเดียวกันก็รู้ว่าตนมีจุดแข็ง หรือ ความสามารถในเรอื่ งใด มีความรู้เท่าทันอารมณ์ ความร้สู ึก ความคดิ ความคาดหวัง ความปรารถนา และตัวตน ของตนเองอย่างแท้จริง เป็นปัญญาด้านที่จาเป็นต้องมีอยู่ในทุกคนเช่นกัน เพื่อให้สามารถดารงชีวิตอย่างมี คณุ คา่ และมีความสุข สาหรับผู้ที่มีปัญญาดา้ นนโี้ ดดเดน่ มักจะเป็นนักคิด นักปรัชญา หรอื นักวจิ ยั 8. ปัญญาด้านธรรมชาติวิทยา (Naturalist Intelligence) คือ ความสามารถในการรู้จัก และเข้าใจ ธรรมชาติอย่างลึกซึ้ง เข้าใจกฎเกณฑ์ ปรากฏการณ์ และการรังสรรค์ต่าง ๆ ของธรรมชาติ มีความไวในการ สังเกต เพื่อคาดการณ์ความเป็นไปของธรรมชาติ มีความสามารถในการจัดจาแนก แยกแยะประเภทของ สิ่งมีชีวิต ท้ังพืชและสัตว์ สาหรับผู้ที่มีปัญญาด้านน้ีโดดเด่น มักจะเป็นนักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย หรือนักสารวจธรรมชาติ ทฤษฎีน้ีได้ถูกนาไปประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายในกระบวนการส่งเสริมการเรียนรู้ต่างๆ เพ่ือให้มี ประสิทธิภาพสูงสุด โดยเนน้ ความสาคัญใน 3 เรอื่ งหลกั ดังนี้ 1. แต่ละคนควรได้รับการสง่ เสรมิ ให้ใชป้ ัญญาด้านทีถ่ นดั เปน็ เครอื่ งมอื สาคัญในการเรยี นรู้ 2. ในการจดั กิจกรรมส่งเสริมการเรยี นรู้ ควรมีรูปแบบท่หี ลากหลาย เพอ่ื ใหส้ อดรับกบั ปัญญา ทม่ี อี ยู่หลายดา้ น 3. ในการประเมินการเรียนรู้ควรวัดจากเคร่ืองมือท่ีหลากหลาย เพื่อให้สามารถครอบคลุม ปญั ญาในแตล่ ะด้าน ทฤษฎีพหุปัญญาของการ์ดเนอร์ ชี้ให้เห็นถึงความหลากหลายทางปัญญาของมนุษย์ ซ่ึงมีหลายด้าน หลายมุม แต่ละด้านก็มีความอิสระในการพัฒนาตัวของมันเองให้เจริญงอกงาม ในขณะเดียวกันก็มีการบูรณา การเขา้ ด้วยกนั เตมิ เตม็ ซ่งึ กันและกัน แสดงออกเปน็ เอกลักษณ์ทางปัญญาของมนุษยแ์ ตล่ ะคน

25 ลกั ษณะกำรจัดกำรเรียนรู้แบบบูรณำกำร นักการศึกษาหลายท่านได้กลา่ วถึงลกั ษณะของการจัดการเรียนรู้แบบบรู ณาการไว้ว่าเปน็ การเชื่อมโยง วชิ าหรอื ศาสตรต์ ่างๆ เข้าดว้ ยกนั เพอื่ ให้เกดิ การเรียนรู้ทีล่ กึ ซงึ้ มีลักษณะใกล้เคยี งกับชวี ติ จรงิ มากขึน้ ได้แก่ 1. บูรณาการระหว่างความรู้และกระบวนการเรียนรู้ ปัจจุบันเน้ือหาความรู้มีมากมายที่จะต้องเรียนรู้ หากไม่ใช้วิธีการเรียนรู้ท่ีทันสมัยมาใช้จะทาให้เรียนรู้ไม่ทันตามเวลาที่กาหนดได้ จึงต้องมีการนาวิธีการจัดการ เรียนรู้ใหม่ๆ มาใช้ เช่น การสอนโดยวิธีการบอกเล่า การท่องจาจะทาให้ได้ปริมาณความรู้หรือเนื้อหาสาระไม่ เพียงพอกับสงิ่ ทต่ี อ้ งเรยี นรู้ จึงตอ้ งเลือกใชก้ ระบวนการเรยี นรู้ใหม่ๆ ท่ีเหมาะสม 2. บรู ณาการระหวา่ งพฒั นาการความรแู้ ละทางจิตใจ การเรียนรทู้ ่ดี ีนัน้ ผู้เรียนตอ้ งมีความอยากรู้อยาก เรียนด้วย ดังน้ันการให้ความสาคัญแก่เจตคติ ค่านิยม ความสนใจและสุนทรียภาพแก่ผู้เรียนในการแสวงหา ความรู้ กอ่ ให้เกิดความซาบซง้ึ กอ่ นลงมอื ศึกษาซงึ่ เป็นการจูงใจใหเ้ กดิ การเรยี นร้ไู ดเ้ ปน็ อยา่ งดี 3. บูรณาการระหว่างความรู้และการกระทา การเรียนรู้ท่ีสามารถนาความรู้สู่การปฏิบัติได้นั้นถือเป็น การดีมาก ดังน้ันการให้ความสาคัญระหว่างองค์ความรู้ที่ศึกษากับการนาไปปฏิบัติจริงโดยนาความรู้ไป แก้ปัญหาในสถานการณ์จรงิ 4. บูรณาการระหว่างส่ิงที่เรียนรู้ในโรงเรียนและชีวิตประจาวัน การตระหนักถึงความสาคัญแห่ง คุณภาพชวี ติ เมือ่ ผ่านการเรยี นรแู้ ล้วตอ้ งมคี วามหมายและคณุ ค่าต่อชีวิตของผเู้ รยี นอยา่ งแทจ้ ริง 5. บูรณาการระหว่างวิชาต่าง ๆ เพ่ือให้เกิดความรู้ เจตคติ และการกระทาท่ีเหมาะสมกับความ ต้องการ ความสนใจของผู้เรยี นอย่างแท้จรงิ ตอบสนองตอ่ คณุ ค่าในการดารงชวี ติ ของผเู้ รียน ประเภทของกำรสอนแบบบรู ณำกำร ประเภทของการสอนแบบบรู ณาการมี 2 แบบ ดงั นี้ 1. การบูรณาการภายในกลุ่มวิชาหรือสาขาวิชาเดียวกัน โดยกาหนดหัวเร่ือง (Theme) ขึ้น แล้ว บรู ณาการขอบข่ายวชิ าตา่ ง ๆ ในการสอนตามหวั เรอ่ื งนั้น 2. การบูรณาการระหว่างวิชา เป็นการเชื่อมโยงหรือรวมศาสตร์ต่าง ๆ ต้ังแต่ 2 สาขาวิชาข้ึนไป ภายใต้หัวเร่ือง (Theme) เดียวกัน เป็นการเรียนรู้โดยใช้ความรู้เข้าใจและทักษะในศาสตร์หรือความรู้ในวิชา ต่าง ๆ มากกว่า 1 วิชาขึ้นไป เพื่อการแก้ปัญหา หรือ แสวงหาความรู้ความเข้าใจในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง การ เชื่อมโยงความรู้และทักษะระหว่างวิชาต่าง ๆ จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งไม่ใช่เพียงผิวเผิน และมี ลักษณะใกล้เคยี งกบั ชีวิตจริงมากขนึ้

26 รูปแบบของกำรบูรณำกำร (Model of integration) การจดั การเรียนรแู้ บบบูรณาการทพี่ บโดยท่ัวไปมีอยู่ 4 แบบ 1. การบูรณาการแบบสอดแทก (Infusion) การเรียนรู้แบบนี้ผู้สอนจะนาเน้ือหาของวิชาต่างๆ มาสอดแทรกในรายวิชาของตนเองเป็นการวาง แผนการสอนและทาการสอนโดยผ้สู อนเพียงคนเดียว ขอ้ ดี 1. ผู้สอนคนเดียวบริหารทง้ั เน้ือหาวชิ า กจิ กรรมการเรียนร้แู ละเวลาทีใ่ ชโ้ ดยสะดวก 2. ไม่มีผลกระทบกบั ผสู้ อนผ้อู ื่นและการจดั ตารางสอน ข้อจากัด 1. ผู้สอนคนเดียวอาจไม่มคี วามชานาญในเน้อื หาวชิ าบางเรอื่ ง 2. เน้อื หาวชิ าและกจิ กรรมการเรยี นรู้ทจี่ ดั อาจซ้าซอ้ นกบั ของวิชาอืน่ 3. ผู้เรยี นจะมีภาระงานมากเพราะทกุ รายวิชาจะต้องมอบหมายงานให้ 2. การบูรณาการแบบขนาน (Parallel) การเรียนรู้แบบน้ีผู้สอนต้ังแต่ 2 คนข้ึนไปต่างคนต่างสอนวิชาของตนเองแต่จะมาวางแผน ตัดสินใจ ร่วมกันว่าจะจัดแผนการเรียนรู้และจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยมุ่งสอนในหัวเรื่อง (Theme) ความคิดรวบยอด (Concept) และปญั หา (Problem) เดียวกนั ในส่วนหน่ึง ขอ้ ดี 1. ผสู้ อนแต่ละคนยังคงบรหิ ารทั้งเน้อื หาวชิ า กจิ กรรมการเรียนรู้ เวลาโดยสะดวก 2. ไม่มีผลกระทบกับผู้สอนผอู้ ่ืนและการจดั ตารางสอน 3. เน้อื หาวชิ า กจิ กรรมการเรียนลดการซา้ ซ้อนลง ช่วยใหเ้ กดิ การทางานร่วมกัน ข้อจากัด 1. ผ้สู อนยงั คงต้องรับภาระเนื้อหาวชิ าทีไ่ มช่ านาญ 2. ผเู้ รียนยังมภี าระงานมากเพราะทกุ รายวชิ าจะต้องมอบหมายงานให้ 3. การบรู ณาการแบบสหวทิ ยาการ (Multidiscipline) การเรียนรู้แบบนี้คล้ายกับแบบคู่ขนาน ผู้สอนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปต่างคนต่างสอนวิชาของตน จัด กิจกรรมการเรียนรู้ของตนเองเป็นส่วนใหญ่ มาวางแผนการสอนร่วมกันในการให้งานหรือโครงการที่มีหัวเรื่อง แนวคิดหรอื ความคดิ รวบยอดและปญั หาเดยี วกนั ขอ้ ดี 1. สนับสนุนการทางานร่วมกันของทั้งผู้สอนและผู้เรียน ลดความซ้าซ้อนของ กิจกรรม 2. ผสู้ อนทกุ คนและผู้เรียนมเี ป้าหมายรว่ มกนั ทช่ี ัดเจน 3. ผเู้ รียนเหน็ ความสาคัญของการนาความรู้ไปใช้กับงานอาชีพจรงิ ขอ้ จากดั 1. มีผลกระทบตอ่ การจัดตารางสอนและการจดั แผนการเรยี น 4. การบูรณาการแบบข้ามวิชา (Transdisciplinary)

27 การเรียนรู้แบบน้ีผู้สอนในรายวิชาต่างๆ จะมาร่วมกันสอนเป็นคณะ ร่วมกันวางแผน กาหนดหัวเรื่อง ความคิดรวบยอดและปญั หาเดียวกัน ขอ้ ดี 1. สนับสนุนการทางานร่วมกันของท้ังผู้สอนและผู้เรียน ลดความซ้าซ้อนของ กิจกรรม 2. ผ้สู อนทุกคนและผเู้ รยี นมีเปา้ หมายร่วมกันทช่ี ดั เจน 3. ผู้เรยี นเหน็ ความสาคัญของการนาความรู้ไปใชก้ ับงานอาชีพจรงิ ข้อจากดั 1. มผี ลกระทบต่อการจดั ตารางสอนและการจัดแผนการเรยี น 2. ผูส้ อนตอ้ งควบคุมการเรียนใหท้ นั ตามกาหนด กำรสรำ้ งบทเรยี นแบบบูรณำกำร การสอนตามรปู แบบที่ 1 (Infusion Instruction) และรปู แบบท่ี 2 (Parallel Instruction) มี 2 วธิ ี คอื วธิ ีท่ีหนึง่ เลือกหัวเร่ือง (Theme) ก่อนแลว้ ดาเนินการพฒั นาหัวเร่ืองให้สมบูรณ์ มีกาหนด วตั ถปุ ระสงค์ของกจิ กรรมใหช้ ดั เจน กาหนดแหล่งข้อมูลหรือทรพั ยากรทจ่ี ะใช้ในการค้นควา้ และเรียนรแู้ ละ พัฒนากจิ กรรมการเรยี นการสอนและอนื่ ๆ ตามลาดบั วิธีทสี่ อง เลือกจดุ ประสงคร์ ายวิชาจาก 2 รายวชิ าขึน้ ไปก่อน แล้วนามาสร้างเป็นหัวเรื่อง (Theme) ท่ี ร่วมกันระหวา่ งจุดประสงค์ที่เลอื กไว้กาหนดแหลง่ ข้อมลู หรือทรัพยากรที่ใช้ในการค้นคว้าและเรยี นรแู้ ละพัฒนา กจิ กรรมการเรียนการสอนและอนื่ ๆ ตามลาดับ มีรายละเอียดดังตอ่ ไปนี้ วธิ ที ่ี 1 เลือกหวั เรอ่ื งก่อน ข้นั ท่ี 1 เลอื กหัวเรือ่ ง (Theme) โดยวธิ ีต่อไปนี้ 1. ระดมสมองของครแู ละนกั เรียน 2. เนน้ ท่กี ารสอดคลอ้ งกบั ชวี ิตจริง 3. ศกึ ษาเอกสารต่าง ๆ 4. ทาหวั เร่อื งให้แคบลงโดยคานงึ ถึงความสัมพนั ธเ์ ก่ยี วข้องกับชวี ติ จริงความสะดวก ในการเช่ือมโยงระหว่างวชิ าความรู้ และความสนใจของนักเรียน ขน้ั ท่ี 2 พัฒนาหวั เรื่อง (Theme) ดังนี้ 1. เขียนวตั ถุประสงค์โดยกาหนดความรู้และความสามารถทต่ี อ้ งการ จะให้เกดิ แก่ ผู้เรียน เขียนวัตถุประสงคใ์ นลักษณะทจี่ ะช่วยใหเ้ กดิ ความเช่ือมโยงระหวา่ งวชิ า กาหนด วตั ถปุ ระสงคใ์ หช้ ดั เจนเพื่อนาไปสู่กจิ กรรม

28 2. กาหนดเวลาในการสอนให้เหมาะสมกับกาหนดเวลาต่าง ๆ ตามปฏทิ นิ ของ โรงเรยี น เช่น จาสอนเมือ่ ใด ใช้เวลาเทา่ ไร ยืดหยนุ่ ได้หรอื ไม่ ต้องใชเ้ วลาออกสารวจหรอื ทา กิจกรรมนอกห้องเรียนหรอื ไม่ ฯลฯ 3. จองเครอื่ งมือเคร่ืองใชท้ ี่จาเปน็ ในการกระทากจิ กรรม ขน้ั ที่ 3 ระบุทรพั ยากรทีต่ ้องการ ควรคานึงถึงทรัพยากรท่ีหาไดง้ ่าย แล้วตดิ ต่อแหลง่ ทรพั ยากร ขนั้ ท่ี 4 พฒั นากิจกรรมการเรียนการสอน ดังน้ี 1. พฒั นากิจกรรมทชี่ ่วยใหเ้ กิดความเช่ือมโยงกับเนื้อหาวิชาอืน่ 2. ตัง้ จุดมงุ่ หมายของกจิ กรรมใหช้ ัดเจน 3. เลือกวธิ ที คี่ รูวชิ าตา่ ง ๆ จะทางานรว่ มกนั เพื่อเชื่อมโยงความสมั พันธร์ ะหวา่ งวชิ า 4. เลอื กวิธีการสอนที่จะใช้ 5. สร้างเอกสารแนะนาการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม 6. สิ่งที่ครคู วรจะต้องเตรียมล่วงหนา้ อาจประกอบดว้ ยส่งิ ต่อไปน้ี - ใบความรู้ - ใบงาน - แบบบนั ทึก (ซึง่ อาจเปน็ แบบทค่ี รูออกแบบให้เลย หรืออาจเป็นแบบ บนั ทึกทน่ี ักเรยี นจะต้องชว่ ยกันออกแบบกไ็ ด้) - ส่ือและอปุ กรณ์อืน่ ๆ - แบบประเมิน ขน้ั ท่ี 5 ดาเนนิ การตามกจิ กรรมการเรียนการสอนท่เี ตรยี มไว้โดย - พยายามปฏิบตั ิตามแผนท่ีวางไว้ แต่อาจปรบั กจิ กรรมตามความสนใจของ นักเรียน - ดาเนินการให้เปน็ ไปตามวัตถปุ ระสงค์ตลอดหนว่ ยการเรยี น - ร่วมมอื กับครูคนอื่น มีการพบกันเปน็ ระยะเพ่อื ตรวจสอบความก้าวหนา้ ข้ันที่ 6 ประเมินความก้าวหน้าของนักเรียน โดยครูควรกระทาตลอดเวลาเพ่ือประโยชน์ใน การปรับปรุงงานครูอาจให้นักเรียนประเมินผลตนเองก็ได้ครูควรใช้วธิ ปี ระเมินผลท่ีหลากหลายและให้ สอดคล้องกบั สภาพท่ีเป็นจริง เชน่ สงั เกตวธิ ีการและขน้ั ตอนในการปฏิบตั ิกิจกรรมของนักเรียนตรวจ ผลงาน ทอสอบประเมินจากการนาเสนอรายงานหรือผลงานของนกั เรียน ประเมนิ จากการนทิ รรศการ ของนกั เรยี น การสัมภาษณ์นกั เรยี น ฯลฯ

29 ขน้ั ท่ี 7 ประเมินกิจกรรมการเรียนการสอน โดยครสู ารวจจดุ เด่น - จุดดอ้ ยของกิจกรรม แล้ว บันทกึ ไว้เพอ่ื นาไปปรับปรุง ข้ันที่ 8 แลกเปลีย่ นข้อมลู ระหวา่ งครูด้วยกนั เพ่ือนาไปใช้ในการพัฒนากิจกรรมในคร้งั ต่อๆไป วธิ ีทสี่ อง เลอื กจุดประสงค์การเรียนรู้ก่อน ขน้ั ที่ 1 เลือกจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้จาก 2 รายวิชาขนึ้ ไปทจ่ี ะนามาบรู ณาการกันโดยจะต้อง พิจารณาวา่ จุดประสงคน์ น้ั ๆ เกี่ยวขอ้ งกนั หรอื ไม่ และเกีย่ วขอ้ งกนั อย่างไร ถ้าหากมีความสมั พนั ธ์เก่ยี วกนั หรือ ไปดว้ ยกันได้ จงึ นามาบูรณาการกนั ขัน้ ท่ี 2 นาจุดประสงคด์ งั กล่าวในขน้ั ตอนที่ 1 มาสร้างเปน็ หวั เรอ่ื ง (Theme) ทร่ี ว่ มกนั ระหวา่ ง จุดประสงค์ทเี่ ลือกไว้ ข้นั ท่ี 3 ระบุทรัพยากรที่ต้องการ ขน้ั ที่ 4 พฒั นากิจกรรมการเรียนการสอน ขน้ั ท่ี 5 ดาเนินการตามกจิ กรรมการเรยี นการสอนท่ีเตรยี มไว้ ขัน้ ที่ 6 ประเมนิ ความก้าวหน้าของนักเรียน ข้นั ที่ 7 ประเมินกิจกรรมการเรยี นการสอน ขน้ั ท่ี 8 แลกเปลยี่ นข้อมูลระหวา่ งครูด้วยกัน รายละเอยี ดของกิจกรรมในขั้นตอนต่าง ๆ มรี ายละเอยี ดคลา้ ยคลงึ กบั วิธีทห่ี นง่ึ แตกต่างกนั แค่การ สลบั ลาดับขั้นเทา่ นน้ั กำรสอนบรู ณำกำรตำมรปู แบบที่ 3 (Multidisciplinary Instruction) และรปู แบบท่ี 4 (Transdisciplinary Instruction) เน้นท่ีงานหรือโครงการที่เก่ียวข้องกับเนื้อหามากกว่า 1 สาขาวิชาข้ึนไปที่จะให้นักเรียนปฏิบัติหรือ ศกึ ษา ดงั น้ันวิธกี ารสรา้ งบทเรียนแบบบูรณาการในขั้นที่ 4 “การพัฒนากจิ กรรมการเรียนการสอน” จึงเปน็ การ กาหนดงานหรอื โครงการ (Project) ท่ีจะใหน้ ักเรียนทา ทั้งน้ีเพราะการสร้างงานหรอื โครงการเป็นวิธที ี่ดวี ิธีหนึ่ง ในการสร้างบทเรยี นแบบบูรณาการเพราะสามารถเกยี่ วข้องกับเนื้อหาหลาย ๆ สาขาวิชาได้

30 ตัวอย่ำงแผนกำรจดั กำรเรยี นรู้ หนว่ ยกำรเรยี นรทู้ ี่ 4 ธนำคำร แผนกำรจัดกำรเรยี นรทู้ ี่ 4 เรื่อง ดอกเบ้ยี เงินฝำก และดอกเบ้ยี กยู้ มื ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 5 เวลาเรยี น 1 ช่วั โมง มำตรฐำนกำรเรยี นร้แู ละตวั ช้ีวัด มำตรฐำนกำรเรยี นรู้ มาตรฐาน ส 3.2 เขา้ ใจระบบและสถาบนั ทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ความสมั พนั ธ์ทางเศรษฐกจิ และความจาเปน็ ของการรว่ มมือกันทางเศรษฐกิจในสงั คมโลก ตวั ช้วี ัด ส 3.2 ป.5/1 อธบิ ายบทบาทหน้าท่ีเบื้องต้นของธนาคาร จดุ ประสงค์กำรเรียนรู้ 1. อธบิ ายลกั ษณะสาคญั ของดอกเบ้ยี เงนิ ฝาก และดอกเบ้ียกู้ยืม (K) 2. วเิ คราะหล์ กั ษณะสาคัญของดอกเบยี้ เงินฝาก และดอกเบ้ียกยู้ มื (P) 3. เหน็ ความสาคญั ของการศึกษาเรยี นรู้การทาธรุ กรรมของธนาคาร (A) สำระสำคัญ ดอกเบี้ยเงินฝาก เปน็ ผลตอบแทนของธนาคารที่ให้แกผ่ ้ฝู ากเงิน และดอกเบยี้ กู้ยืม เป็นผลตอบแทน ทีธ่ นาคารได้รับจากผกู้ ูเ้ งนิ สำระกำรเรียนรู้ ดอกเบยี้ เงนิ ฝาก และดอกเบ้ยี กู้ยมื

31 สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1. ใฝ่ เรียนรู้ 2. มุ่งมน่ั ในการทางาน คาถามสาคญั นกั เรียนจะนาความรู้เกี่ยวกบั การหาอตั ราดอกเบ้ียเงินฝาก และดอกเบ้ียกยู้ มื ไปใชป้ ระโยชน์ ในชีวติ ประจาวนั อยา่ งไร การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ •ข้•ันส•ังเ•กต• ร•วบ•ร•วม•ข้•อม•ูล•(G•at•he•ri•ng•) 1. นักเรยี นร่วมกนั ทบทวนความรเู้ ดิมเกย่ี วกับการฝากเงนิ โดยใช้คาถาม ดงั นี้ • การฝากเงินคอื อะไร (ตวั อย่างคาตอบ คือ การนาเงินไปฝากไวก้ ับธนาคาร) • การฝากเงินมปี ระโยชน์ตอ่ ผฝู้ ากอยา่ งไร (ตัวอยา่ งคาตอบ ทาให้ได้รับดอกเบี้ยเงนิ ฝาก) 2. นกั เรยี นร่วมกันศึกษาและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่อง ดอกเบี้ยเงนิ ฝากและดอกเบี้ยกยู้ ืม จากหนังสือเรยี นและแหล่งการเรียนรูอ้ ืน่ เพม่ิ เตมิ • (ขนG•้นักั aเค•รtดิhยี •eวนrเิร•คin่วรgม•า)กะ•ันหแ์แ•สล•ดะงส•ครวุป•าคม•วคา•ดิ มเ•รหู้ ็น•(เPก•rี่ยoว•cกesับ•sดin•อgก)•เบย้ี เงินฝาก และดอกเบย้ี เงนิ กู้ แล้วสรปุ เป็น 3. ความคิดรวบยอด โดยใชค้ าถาม ดงั น้ี • ดอกเบ้ียเงินฝากมีลักษณะอย่างไร

32 (ตวั อย่างคาตอบ ดอกเบ้ยี เงินฝากเป็นเงนิ ที่ธนาคารจา่ ยเป็นผลตอบแทนแก่ผู้ฝากเงินกบั ธนาคาร มี 2 บัญชี คอื ดอกเบ้ียเงนิ ฝากออมทรัพย์ และดอกเบยี้ เงนิ ฝากประจา) • ดอกเบี้ยกูย้ ืมมลี ักษณะอยา่ งไร (ตัวอยา่ งคาตอบ เปน็ เงินทธี่ นาคารให้บคุ คล ธรุ กจิ หรอื องค์กรต่าง ๆ กู้ยมื โดยธนาคารจะไดร้ บั ผลตอบแทนในรูปแบบดอกเบ้ียกูย้ ืมเป็นผลกาไรของธนาคาร) 4. นกั เรียนร่วมกันวิเคราะห์ข้อความที่กาหนดให้ แลว้ ตอบคาถามเก่ียวกับอัตราดอกเบ้ียเงินฝาก และอัตราดอกเบย้ี เงนิ กู้ แลว้ สรุปเป็นความคิดรวบยอด โดยใชค้ าถาม ดังน้ี 4.1 อตั ราดอกเบีย้ เงินฝาก 1.25% ต่อปี มีความหมายว่าอย่างไร (ตัวอยา่ งคาตอบ ฝากเงิน 100 บาท ในเวลา 1 ปี ไดด้ อกเบีย้ 1.25 บาท) 4.2 อตั ราดอกเบย้ี เงนิ กู้ 3% ตอ่ ปี มคี วามหมายวา่ อยา่ งไร (ตวั อย่างคาตอบ ก้ยู ืมเงนิ 100 บาท ในเวลา 1 ปี เสยี ดอกเบ้ยี 3 บาท) 5. ตัวแทนนกั เรียนอธิบายความรู้เพ่มิ เตมิ เกี่ยวกบั การคดิ ดอกเบ้ยี ให้เพื่อนฟงั ดังนี้ อตั ราดอกเบีย้ หมายถงึ ดอกเบ้ยี ทีเ่ กดิ จากเงินตน้ หน่งึ หนว่ ยตอ่ หน่วยเวลาของการกยู้ ืมเงนิ โดยทว่ั ไปนยิ มใชห้ น่วยเงนิ เป็นบาท และเวลาเปน็ ปี เช่น อัตราดอกเบ้ียเงนิ กู้ 8% ต่อปี หมายถงึ ในการกยู้ ืมเงิน ต้น 100 บาท ในเวลา 1 ปี ต้องชาระดอกเบี้ย 8 บาท การคดิ อตั ราดอกเบ้ียมวี ิธีการคดิ ดังนี้ ดอกเบ้ีย  เงินต้น = ดอกเบี้ยรายปี 100 6. นกั เรียนร่วมกันวิเคราะหส์ ถานการณ์ท่ีกาหนดให้ แลว้ ช่วยกันแกโ้ จทย์ปญั หาเรอื่ ง การหาดอกเบ้ยี เงินฝากในเวลา 1 ปี พร้อมช่วยกนั แสดงวิธีทาบนกระดาน แลว้ สรปุ เปน็ ความคดิ รวบยอด ดังตวั อยา่ ง สสิมา ฝากเงนิ 10,000 บาท กับธนาคารแห่งหนง่ึ ธนาคารให้อตั ราดอกเบยี้ 1.75% ตอ่ ปี เมื่อฝากครบ 1 ปี ถอนเงนิ ทั้งหมด จะได้เงินรวมเท่าไร วธิ ที ำ อตั ราดอกเบี้ย 1.75% ต่อปี หมายความวา่ ฝากเงิน 100 บาท เวลา 1 ปี ไดด้ อกเบย้ี 1.75 บาท ฝากเงิน 10,000 บาท เวลา 1 ปี ได้ดอกเบ้ยี 11.0705  10,000 = 175 บาท

33 ดงั นน้ั จะได้เงนิ รวม 10,000 + 175 = 10,175 บาท 7. นกั เรยี นคดิ ประเมนิ เพื่อเพิม่ คุณคา่ แลว้ สรปุ เปน็ ความคิดรวบยอด โดยใชค้ าถาม ดงั นี้ • นักเรยี นจะนาความรเู้ กยี่ วกบั การหาอัตราดอกเบ้ียเงินฝาก และดอกเบี้ยเงินกู้ ไปใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ิตประจาวันอย่างไร (ตวั อยา่ งคาตอบ นาไปใช้คานวณหาดอกเบย้ี เงนิ ฝากเมอื่ นาเงนิ ไปฝากธนาคาร และคานวณหาอตั ราดอกเบย้ี เงนิ กู้ เมอื่ จาเป็นตอ้ งกู้ยมื เงนิ เพือ่ จะได้ไม่ถกู เอาเปรียบ) • •ข้นั •ป•ฏบิ• ัต•แิ ล•ะส• ร•ุปค•ว•าม•รู้ห•ล•ังก•าร•ปฏ• บิ •ตั •ิ (A•p•ply•in•g a•nd• C•o•ns•tru•ct•in•g t•he• K•no•w•le•dg•e)• •8.• นักเรยี นแบง่ กลุ่ม กลมุ่ ละ 3 คน ร่วมกันเขยี นโจทย์ปัญหาเกย่ี วกับการหาดอกเบ้ยี เงนิ ฝาก หรือดอกเบย้ี เงนิ กูม้ า 1 ปญั หา พรอ้ มแสดงวธิ ีการหาอัตราดอกเบีย้ ลงในชอ่ งวา่ ง แล้วตอบคาถาม ดังตัวอย่าง • ตวั อยา่ งโจทยป์ ัญหา (อรอุมากยู้ มื เงินจากสถาบนั การเงินแห่งหน่ึง เป็นเงิน 20,000 บาท โดยตอ้ งเสียดอกเบ้ีย ในอตั รา 10% ตอ่ ปี เม่ือครบกาหนด 1 ปี ตอ้ งนาเงินตน้ และดอกเบ้ียมาชาระที่ธนาคาร เป็นจานวนเงินเทา่ ไร) • วธิ ีการหาอตั ราดอกเบ้ียเงินฝากหรืออตั ราดอกเบ้ียเงินกู้ (วธิ ีทา อตั ราดอกเบ้ีย 10% ต่อปี หมายความวา่ กยู้ มื เงิน 100 บาท เวลา 1 ปี จ่ายดอกเบ้ีย 10 บาท กูย้ มื เงิน 20,000 บาท เวลา 1 ปี จา่ ยดอกเบ้ีย 11000  20,000 = 2,000 บาท ดงั น้นั จะตอ้ งจ่ายเงินรวม 20,000 + 2,000 = 22,000 บาท) กจิ กรรมนีส้ ร้างเสรมิ ทกั ษะศตวรรษท่ี 21 ดา้ นการคดิ อย่างมวี ิจารณญาณ

34 9. นักเรยี นตรวจสอบความถูกต้องเรยี บร้อยของผลงาน หากพบขอ้ ผิดพลาดใหป้ รบั ปรงุ แกไ้ ข ให้ดยี ิ่งขึ้น 10. นกั เรียนสรปุ สิ่งทเ่ี ขา้ ใจเป็นความร้รู ่วมกนั ดังนี้ ดอกเบ้ยี เงินฝาก เป็นผลตอบแทนของธนาคารที่ให้แกผ่ ฝู้ ากเงิน และดอกเบ้ียก้ยู ืม เป็นผลตอบแทนทีธ่ นาคารได้รับจากผกู้ ูเ้ งิน • ข•้นั •สื่อ•ส•าร•แล•ะน•า•เสน• อ•(A• p•pl•yin•g•th•e •Co•m•m•uni•ca•tio•n•Sk•ill•) 1•1. นักเรยี นแต่ละกลุ่มออกมานาเสนอวิธีการหาอตั ราดอกเบยี้ ของกลุ่มให้เพ่ือนฟังหนา้ ช้ันเรยี น กจิ กรรมนส้ี รา้ งเสริมทกั ษะศตวรรษที่ 21 ดา้ นการส่ือสาร 12. นักเรียนร่วมกันอภิปรายสรุปเก่ียวกับวิธกี ารทางานใหเ้ ห็นการคดิ เชงิ ระบบและวธิ กี ารทางาน ที่มีแบบแผน •ข้ัน• ป•ระ•เม•ิน•เพ•ื่อเ•พมิ่• ค•ุณ•ค่า•บร•ิก•าร•สัง•คม•แ•ละ•จิต• ส•าธ•าร•ณะ• (•Se•lf-•Re•gu•la•tin•g•) 13. นักเรยี นนาวธิ ีการคานวณหาอัตราดอกเบยี้ เงนิ ฝาก และอัตราดอกเบ้ยี เงนิ กู้ไปเลา่ แสดง วธิ กี ารหาให้ผ้ปู กครองฟังและดู เพอื่ จะได้คานวณหาอตั ราดอกเบีย้ ดว้ ยตนเองได้อย่างถูกตอ้ ง ไม่ถูกผอู้ น่ื เอาเปรยี บ 14. นักเรียนประเมินตนเอง โดยเขียนแสดงความรู้สึกหลงั การเรยี นและหลังการทากิจกรรม ในประเด็นต่อไปนี้ • สิ่งทีน่ ักเรียนไดเ้ รียนรใู้ นวันนค้ี อื อะไร • นกั เรยี นมีสว่ นร่วมกจิ กรรมในกลุม่ มากนอ้ ยเพยี งใด • เพ่ือนนักเรียนในกลุ่มมสี ่วนร่วมกิจกรรมในกลุ่มมากน้อยเพยี งใด • นกั เรียนพอใจกบั การเรียนในวันนหี้ รือไม่ เพยี งใด • นักเรียนจะนาความรู้ท่ีไดน้ ้ีไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชนแ์ ก่ตนเอง ครอบครวั และสังคมท่ัวไป ไดอ้ ยา่ งไร จากนั้นแลกเปลย่ี นตรวจสอบขน้ั ตอนการทางานทกุ ข้นั ตอนว่าจะเพิ่มคุณค่าไปสู่สังคม เกดิ ประโยชน์ต่อสงั คมให้มากขึน้ กวา่ เดิมในขั้นตอนใดบา้ ง สาหรับการทางานในคร้งั ตอ่ ไป

35 ส่ือการเรียนรู้/แหล่งการเรียนรู้ 1. หนงั สอื เรยี น รายวชิ าพ้นื ฐาน สงั คมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ของสถาบนั พัฒนาคุณภาพวชิ าการ (พว.) 2. แหล่งการเรียนร้ทู ั้งภายในและภายนอกโรงเรยี น การประเมนิ การเรียนรู้ 1. ประเมนิ ความรู้ เรอื่ ง ดอกเบี้ยเงินฝากและดอกเบีย้ กู้ยืม (K) ด้วยแบบทดสอบ 2. ประเมินกระบวนการทางานกลุ่ม (P) ดว้ ยแบบประเมิน 3. ประเมนิ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ ด้านใฝ่เรยี นรู้ มุ่งมั่นในการทางาน (A) ด้วยแบบประเมิน แบบประเมนิ ตามสภาพจริง (Rubrics) แบบประเมินกระบวนกำรทำงำนกลุ่ม รำยกำรกำร ระดับคณุ ภำพ ประเมนิ 4321 กระบวนการ ทางานกลมุ่ มกี ารกาหนดบทบาท มีการกาหนดบทบาท มกี ารกาหนดบทบาท ไม่มีการกาหนด สมาชิกชัดเจน สมาชกิ ชดั เจน เฉพาะหัวหน้า ไม่มี บทบาทสมาชกิ และมีการชแ้ี จง มกี ารชีแ้ จงเป้าหมาย การชแ้ี จงเป้าหมาย และไม่มกี ารชี้แจง เปา้ หมายการทางาน อย่างชดั เจนและ อยา่ งชัดเจน เปา้ หมาย สมาชิก มีการปฏบิ ตั ิงาน ปฏิบัตงิ านร่วมกัน ปฏิบตั ิงานร่วมกนั ตา่ งคนตา่ งทางาน รว่ มกนั อยา่ งร่วมมือ แต่ไม่มีการประเมนิ ไมค่ รบทกุ คน รว่ มใจพรอ้ มกับการ เป็นระยะ ๆ ประเมินเป็นระยะ ๆ

36 กำรจดั กำรเรียนรู้วิธีสอนแบบสบื เสำะหำควำมรู้ (Inquiry Method : 5E) ควำมหมำยของวิธสี อนแบบสบื เสำะหำควำมรู้ การสืบเสาะหาความรู้ คือ การถามคาถามท่ีสงสัยและเป็นปัญหา ที่สามารถสืบค้นหาคาตอบได้ และสื่อสารคาตอบออกมาได้ เกี่ยวข้องกับกระบวนการเรียนร้ทู ี่หลากหลาย คือ การถามคาถาม ออกแบบการ สารวจข้อมูลการสารวจข้อมูล การวิเคราะห์ การสรุปผล การคิดค้นประดิษฐ์ การแลกเปล่ียนความคิดเห็น และส่ือสารคาอธิบาย การสืบเสาะหาความรู้เป็นกระบวนการที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ศึกษาอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ซงึ่ วางอยู่บนพนื้ ฐาน ของหลกั ฐานหรือเหตผุ ลต่างๆ และอกี ความหมายคือเปน็ กระบวนการทนี่ ักเรียนใช้ในการ ค้นคว้า หาคาตอบอย่างมีระบบเพื่ออธิบายเหตุการณ์ต่างๆ ท่ีต้องการศึกษากระบวนการสืบเสาะหาความรูใ้ น ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในการจัดการเรียนการสอน ผู้สอนสามารถเลือกจัดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ผ่าน กระบวนการต่างๆ ในการสืบเสาะหาความรู้ตามบริบทของผูส้ อน ผู้เรียน โรงเรียน และแหล่งการเรียนรู้ที่มีอยู่ ตามความเหมาะสมโดยครูเป็นผู้สนับสนุนให้นักเรียนได้สารวจปรากฏการณ์ต่างๆและกระตุ้นให้นักเรียนสร้าง ความเขา้ ใจ ทางวทิ ยาศาสตร์ได้อย่างถกู ต้อง ทฤษฎี/แนวคิด กำรสืบเสำะหำควำมรู้ เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่ใช้ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ (Constructivism) ซึ่งกล่าวไว้ว่าเป็นกระบวนการที่นักเรียนจะต้องสืบค้น เสาะหา สารวจตรวจสอบ และ คน้ คว้าดว้ ยวธิ กี ารตา่ งๆ จนทาใหน้ กั เรยี นเกดิ ความเข้าใจ และ เกิดการรับรูค้ วามร้นู ัน้ อยา่ งมีความหมาย จึงจะ สามารถสร้างเป็นองค์ความรู้ของนักเรียนเอง และเก็บเป็นข้อมูลไว้ในสมองได้อย่างยาวนาน สามารถนามาใช้ ได้เมื่อมีสถานการณ์ใดๆ มาเผชิญหน้า แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการเรียนการสอนแบบ Inquiry Cycles (5Es) มดี ังน้ี 1. ปรัชญาวทิ ยาศาสตรแ์ นวใหม่ คือ ความรวู้ ิทยาศาสตร์ เป็นความรทู้ เี่ กดิ จากการสรรสรา้ งของแต่ละ บุคคล ซ่ึงมีอิทธพิ ลมาจากความรู้เดมิ และสิง่ แวดลอ้ มหรือบรบิ ทของสงั คม 2. แนวคิดของเพียเจต์ (Piaget) เกี่ยวกับพัฒนาการทางสติปัญญาและความคิด คือ การที่คนเรามี ปฏิสมั พันธ์กับสิ่งแวดล้อมต้ังแต่แรกเกิด และการมปี ฏิสัมพันธ์อยา่ งต่อเนื่องระหวา่ งบุคคลกับส่ิงแวดลอ้ มน้ีมีผล ทาใหร้ ะดบั สตปิ ญั ญา และความคดิ มีการพัฒนาขน้ึ อย่างต่อเนื่องอย่ตู ลอดเวลา กระบวนการท่ีเกย่ี วข้องกับการ พฒั นาทางสติปญั ญาและความคิดมี 2 กระบวนการ คือ การปรบั ตวั (adaptation) และการจัดระบบโครงสร้าง (organization) การปรบั ตัวเป็นกระบวนการที่บุคคลหาหนทางทจี่ ะปรบั สภาพความไมส่ มดลุ ทางความคดิ ให้

37 เข้ากับสิ่งแวดล้อมท่ีอยู่รอบๆ ตัว และเม่ือบุคคลัมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว โครงสร้างทาง สมองจะถูกจัดระบบใหม้ ีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม มีรปู แบบของความคดิ เกิดข้ึน กระบวนการปรับตัว ประกอบดว้ ยกระบวนการทส่ี าคัญ 2 ประการ คือ1) กระบวนการดูดซมึ (assimilation) หมายถึง กระบวนการ ที่อินทรีย์ซึมซาบประการณ์ใหม่ เข้าสู่ประสบการณ์เดิมที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกัน แล้วสมองก็รวบรวมปรับ เหตกุ ารณใ์ หมใ่ หเ้ ขา้ กับโครงสร้างของความคดิ อันเกิดจากการเรยี นรู้ทม่ี ีอยู่เดิม 2) กระบวนการปรับขยายโครงสร้าง (accomodation) เป็นกระบวนการท่ีต่อเน่ืองมาจาก กระบวนการดูดซึม คือภายหลังจากท่ีมีการซึมซาบของเหตุการณ์ใหม่เข้ามา และปรับเข้าสู่โครงสร้างเดิมแล้ว ถ้าปรากฎว่าประสบการณ์ใหม่ทร่ี ับเข้ามามีสมบัติเหมือนกับประสบการณ์เดิม ประสบการณ์ใหม่จะถูกซึมซาบ และปรับเข้าหาประสบการณ์เดิม คือ ทาให้ประสบการณ์เดิมมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น แต่ถ้าไม่สามารถปรับปรับ ประสบการณ์ใหม่ท่ีได้รบั การซึมซาบเข้ามา ให้เข้ากับประสบการณ์เดิมได้ สมองก็จะสร้างโครงสรา้ งใหม่ขึ้นมา เพ่ือปรบั ให้เข้ากบั ประสบการณ์ใหม่น้ัน 3. ทฤษฎีการเสริมสร้างความรู้ (constructivism) ซ่ึงเชื่อกันว่านักเรียนทุกคนมีความรู้ความเข้าใจ เก่ียวกับบางสิ่งบางอย่างมาแล้วไม่มากก็น้อย ก่อนที่ครูจะจัดการเรียนการสอนให้เน้นว่าการเรียนรู้เกิดข้ึนด้วย ตัวของผู้เรยี นรู้เอง และการเรียนร้เู รื่องใหมจ่ ะมพี ืน้ ฐานมาจากความร้เู ดมิ ดงั นัน้ ประสบการณเ์ ดิมของนักเรียน จึงเป็นปัจจัยสาคัญต่อการเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง กระบวนการเรียนรู้ (process of learning) ที่แท้จริงของ นักเรียนไม่ได้เกิดจากการบอกเล่าของครูหรือนักเรียนเพียงแต่จดจาแนวคิดต่างๆ ท่ีมีผู้บอกให้เท่าน้ัน แต่การ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามทฤษฎี constructivism เป็นกระบวนการท่ีนักเรียนจะต้องสืบค้น เสาะหา สารวจ ตรวจสอบ และค้นคว้าด้วยวิธีการต่างๆ จนทาให้นักเรียนเกิดความเข้าใจและเกิดการรับรู้ความรู้นั้นอย่างมี ความหมาย จึงจะสามารถสร้างเป็นองค์ความรู้ของนักเรียนเอง และเก็บเป็นข้อมูลไว้ในสมองได้อย่างยาวนาน สามารถนามาใช้ได้เม่ือมีสถานการณ์ใดๆ มาเผชิญหน้า ดังน้ัน การท่ีนักเรียนจะสร้างองค์ความรู้ได้ ต้องผ่าน กระบวนการเรยี นรูท้ ่หี ลากหลายโดยเฉพาะอย่างย่ิงกระบวนการสบื เสาะความรู้ (Inquiry Process) จดุ ม่งุ หมำย การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน (The 5 E’s of Inquiry-Based Learning) เป็นรูปแบบของ การเรียนรู้รูปแบบหนึ่ง ที่เน้นให้นักเรียนมีประสบการณ์ตรงในการเรียนรู้ โดยการแสวงหาและศึกษาค้นคว้า เพื่อสร้างองคค์ วามร้ขู องตนเอง โดยใช้กระบวนการทางวิทยศาสตร์ ซึง่ มีครูผู้สอนคอยอานวยการและสนับสนุน ทาใหผ้ ูเ้ รยี นสามารถค้นพบความรหู้ รอื แนวทางแก้ปัญหาได้ตวั เอง และสามารถนามาใชใ้ นชวี ิตประจาวัน ซง่ึ ถือ ว่าเป็นกจิ กรรมท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรียนไดน้ าความรู้ หลักการ แนวคดิ หรือทฤษฎีทางวิทยาศาสตรไ์ ปเช่อื มโยงกับ

38 ประเดน็ ปัญหาท่ผี ูเ้ รยี นสนใจศกึ ษา คน้ คว้า และลงมือปฏิบัติ ดว้ ยตนเอง ตามความสามารถและความถนัดของ ตนเองอย่างเป็นอิสระ ทาให้ การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอนน้ี นับได้ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการ เรยี นรู้ทเ่ี นน้ ผูเ้ รียนเป็นสาคัญ โดยมีจดุ มงุ่ หมายหลกั สองประการ คือ 1. ใช้เทคนิคการเรียนรู้จากการต้ังคาถาม (inquiry) ในส่ิงท่ีตนไม่รู้หรือสงสัย สืบค้นความรู้จากการ นาไปปรบั ใช้กับกรณีศึกษาในลักษณะเรยี นรู้จากการปฏิบัติ (learning by doing) อันเปน็ เทคนิค การเรียนรู้และการฝึกอบรมแบบ active learning ผู้เรียนสามารถนาประสบการณ์ของตนเองมา เป็นโจทย์ในการศึกษาเรียนรู้ซ่ึงนอกจากจะช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจกับสิ่งท่ีเกิดกับตนเอง แลว้ ยังชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นจดจาการเรียนรู้ทไี่ ด้รบั อยา่ งแมน่ ยาอีกดว้ ย 2. เปน็ รูปแบบการเรียนรู้ตามธรรมชาตทิ ่เี ด็กๆ ถามพอ่ แม่ในสิง่ ท่ีตนสงสยั ใคร่รู้ (patter recognition) การเรียนร้แู บบ 5E model จึงไม่ใช่การพยายามใหผ้ ู้เรียนเรยี นรูส้ ิ่งต่างๆ ด้วยเทคนคิ วิธใี หม่ แต่เปน็ การจาลอง ธรรมชาติการเรยี นรทู้ ผี่ เู้ รียนเคยไดใ้ ช้ในสมัยทต่ี นยงั เป็นเด็ก การท่ีผู้สอนใช้วธิ ดี ังกลา่ วในการสร้างการเรียนรจู้ ึง เปน็ การใชธ้ รรมชาติของมนษุ ยม์ าใชพ้ ฒั นาผู้เรยี นดว้ ยตัวของผูเ้ รยี นเอง รปู แบบกำรสอนแบบสืบเสำะหำควำมรู้ (Inquiry Method : 5E) รูปแบบการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ของสถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท, 2546) ประกอบดว้ ยข้นั ตอนทส่ี าคัญดังนี้ 1) ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engagement) เป็นการนาเข้าสู่บทเรียนหรือเร่ืองที่สนใจซึ่งเกิดขึ้นจากความสงสัย หรืออาจเริ่มจากความสนใจของตัว นักเรียนเองหรือเกิดจากการอภิปรายภายในกลุ่ม เร่ืองที่น่าสนใจอาจมาจากเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนอยู่ในช่วงเวลา นั้น หรือเป็นเร่ืองที่เช่ือมโยงกับความรู้เดิมที่เพิ่งเรียนรู้มาแล้ว เป็นตัวกระตุ้นให้นักเรียนสร้างคาถาม กาหนด ประเด็นที่ศึกษา ในกรณีท่ีไม่มีประเด็นใดที่น่าสนใจ ครูอาจให้ศึกษาจากส่ือต่างๆ หรือเป็นผู้กระตุ้นด้วยการ เสนอด้วยประเดน็ ขนึ้ มาก่อน แตไ่ มค่ วรบังคับให้นักเรียนยอมรับประเดน็ หรอื คาถามทค่ี รูกาลงั สนใจเป็นเร่ืองท่ี จะใช้ศกึ ษา เม่ือมีคาถามที่น่าสนใจและนักเรียนส่วนใหญ่ยอมรับให้เป็นประเด็นท่ีต้องการศึกษา จึงร่วมกันกาหนด ขอบเขตและแจกแจงรายละเอียดของเรื่องที่จะศึกษาให้มีความชัดเจนมากขึ้น อาจรวมทั้งการรับรู้ ประสบการณ์เดิม หรือความรู้จากแหล่งต่าง ๆ ที่จะช่วยให้นาไปสู่ความเข้าใจเรื่องหรือประเด็นท่ีจะศึกษามาก ขน้ึ และมีแนวทางที่ใช้ในการสารวจตรวจสอบอย่างหลากหลาย 2) ขน้ั สารวจและค้นหา (Exploration) เมือ่ ทาความเข้าใจในประเด็นหรือคาถามทีส่ นใจจะศึกษาอยา่ งถ่องแท้แลว้ กม็ ีการวางแผนกาหนดแนวทาง สาหรับการตรวจสอบตัง้ สมมตฐิ าน กาหนดทางเลือกทีเ่ ปน็ ไปได้ ลงมือปฏิบัตเิ พ่ือเก็บรวบรวมขอ้ มูล ข้อสนเทศ

39 หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ วิธีการตรวจสอบอาจทาได้หลายวิธี เช่นทาการทดลอง ทากิจกรรมภาคสนาม การใช้ คอมพิวเตอร์เพ่ือช่วยสร้างสถานการณ์จาลอง (Simulation) การศึกษาหาข้อมูลจากเอกสารอ้างอิงหรือจาก แหล่งขอ้ มลู ตา่ ง ๆ เพ่อื ให้ได้มาซึ่งข้อมูลอย่างเพียงพอทีจ่ ะใชใ้ นข้ันต่อไป 3) ขัน้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation) เม่ือได้ข้อมูลอย่างเพียงพอจากการสารวจตรวจสอบแล้ว จึงนาข้อมูลข้อสนเทศท่ีได้มิเคราะห์ แปลผล สรปุ ผลและนาเสนอผลท่ีได้ในรูปต่าง ๆ เชน่ บรรยายสรปุ สรา้ งแบบจาลองทางคณิตศาสตร์ หรือรูปวาด สร้าง ตาราง ฯลฯ การค้นพบในข้ันน้ีอาจเป็นไปได้หลายทาง เช่น สนับสนุนสมติฐานท่ีต้ังไว้ โต้แย้งกับสมมติฐาน ท่ีตั้งไว้ หรือไม่เก่ียวข้องกับประเด็นที่ได้กาหนดไว้ แต่ผลท่ีได้จะอยู่ในรูปใดก็สามารถสร้างความรู้และช่วยให้ เกดิ การเรียนรู้ได้ 4) ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) เป็นการนาความรู้ที่สร้างขึ้นไปเช่ือมโยงกับความรู้เดิมหรือความคิดท่ีได้ค้นคว้าเพิ่มเติมหรือนาแบบจาลอง หรือข้อสรุปท่ีได้ไปใช้อธิบายสถานการณ์หรือเหตุการณ์อื่น ๆ ถ้าใช้อธิบายเรื่องต่าง ๆ ได้มากก็แสดงว่า ข้อจากัดน้อย ซึง่ จะช่วยใหเ้ ชื่อมโยงกบั เรื่องต่าง ๆ และทาให้เกิดความรกู้ ว้างขวางขึ้น 5) ขนั้ ประเมนิ (Evaluation) เป็นการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ ว่านักเรียนมีความรู้อะไรบ้าง อย่างไร และมากน้อย เพียงใด จากขั้นน้ีจะนาไปสกู่ ารนาความรู้ไปประยุกตใ์ ช้ในเรื่องอ่ืน ๆการนาความรู้หรอื แบบจาลองไปใช้อธิบาย หรือประยุกต์ใช้กับเหตุการณ์หรือเร่ืองอื่น ๆ จะนาไปสู่ข้อโต้แย้งหรือข้อจากัดซ่ึงจะก่อให้เกิดประเด็นหรือ คาถาม หรือปัญหาท่ีจะต้องสารวจตรวจสอบต่อไป ทาให้เกิดเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ จึง เรียกว่า Inquiry cycle กระบวนการสืบเสาะหาความรู้จึงช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ทั้งเนื้อหาหลักและ หลักการ ทฤษฎี ตลอดจนลงมือปฏิบัติ เพื่อให้ได้ความรู้ซงึ่ จะเปน็ พนื้ ฐานในการเรียนต่อไป การเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน จึงนับได้ว่า เป็นการเรียนการสอนท่ีเน้นองค์ความรู้ทักษะ ความเช่ียวชาญและสมรรถนะท่ีเกิดกับตัวผู้เรียน ซ่ึงทาให้ผู้เรียนสามารถนาไปใช้ประโยชน์ในการดาเนิน ชวี ิตทา่ มกลางการกระแสที่เปล่ยี นแปลงในยคุ ปัจจุบนั ได้

40 ตวั อยำ่ งแผนกำรจดั กำรเรยี นรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 การผลติ สินค้าและบริการ แผนกำรจัดกำรเรยี นรทู้ ่ี 1 เรื่อง ปัจจยั การผลติ สินค้าและบริการ ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 5 เวลาเรียน 1 ชัว่ โมง มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วดั มาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ส 3.1 เข้าใจและสามารถบรหิ ารจัดการทรพั ยากรในการผลติ และการบริโภค การใชท้ รพั ยากรที่มีอย่จู ากัดได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพและคุ้มค่า รวมท้ังเขา้ ใจหลกั การของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการดารงชีวติ อย่างมีดุลยภาพ ตวั ชีว้ ดั ส 3.1 ส 3.1 ป.5/1 อธิบายปัจจัยการผลิตสนิ ค้าและบรกิ าร จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายปจั จยั การผลติ สินคา้ และบรกิ าร (K) 2. จาแนกประเภทปจั จยั การผลิตสนิ ค้าและบริการ (P) 3. เห็นความสาคัญของการศึกษาเรียนร้กู ระบวนการผลติ สินค้าและบรกิ าร (A) สาระสาคญั การผลิตสินค้าและบริการจาเป็นต้องอาศยั ปัจจัยการผลติ เพื่อให้ไดส้ ินคา้ และบริการทมี่ ีคณุ ภาพ ตรงตามความตอ้ งการของผ้บู ริโภค

41 สาระการเรียนรู้ ปัจจัยการผลติ สนิ ค้าและบริการ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1. ใฝเ่ รียนรู้ 2. มงุ่ มน่ั ในการทางาน คาถามสาคญั ถา้ นกั เรยี นเปน็ ผผู้ ลิตสินค้าและบริการ นักเรยี นจะเลอื กผลิตสนิ ค้าและบริการชนดิ ใด เพราะเหตใุ ด

42 การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ •ข้•นั ท•่ี 1• ก•ระ•ต•ุ้นค•ว•าม•สน• ใจ• •(E•ng•ag•e)• 1. นกั เรยี นสงั เกตภาพสนิ ค้าและบรกิ ารท้ังหมด 6 ภาพ แลว้ ตอบคาถาม ดังนี้ ภาพท่ี 1 ภาพที่ 2 ภาพที่ 3 ภาพที่ 4 ภาพที่ 5 ภาพท่ี 6 • ภาพท่เี ห็นมภี าพอะไรบ้าง (ผลไม้ คนกาลงั ข้ึนรถโดยสารประจาทาง ชดุ นกั เรยี น คนกาลงั ตดั ผม การรักษาพยาบาล และยารกั ษาโรค) • ภาพใดบา้ งเป็นสินค้า (ภาพที่ 1 ภาพท่ี 3 และภาพที่ 6) • ภาพใดบ้างเป็นบริการ (ภาพที่ 2 ภาพที่ 4 และภาพที่ 5)

43 • นกั เรียนเข้าใจความหมายของสนิ คา้ และบริการว่าอย่างไร (ตัวอย่างคาตอบ สนิ ค้า คือสิ่งทผี่ ลิตขน้ึ เพ่ือนามาใชป้ ระโยชนต์ ามความต้องการ บรกิ าร คอื สิ่งอานวยความสะดวกและสรา้ งความพงึ พอใจใหก้ ับผ้ใู ชบ้ ริการ) 2. นกั เรียนรว่ มกนั ศึกษาและรวบรวมขอ้ มูลเกีย่ วกบั เร่ือง ปจั จัยการผลติ สนิ ค้าและบริการ จากหนงั สอื เรยี นและแหล่งการเรยี นรู้อ่นื เพ่มิ เติม •ข•้นั ท• ่ี 2• ส• า•รว•จค•้น•หา• (•Ex•p•lor•e)• • • • • • 3. นกั เรยี นร่วมกนั แสดงความคิดเหน็ เกี่ยวกับความหมายและประเภทของปจั จยั การผลิตสนิ ค้า และบรกิ าร แลว้ สรุปเปน็ ความคิดรวบยอด โดยใชค้ าถาม ดังนี้ • ปจั จัยการผลิตคืออะไร (ทรัพยากรต่าง ๆ ที่นามาใช้ในกระบวนการผลติ เพื่อทาให้เปน็ สินค้าและบริการ • ปจั จัยการผลติ แบง่ ออกเปน็ กี่ประเภท อะไรบา้ ง (แบง่ ออกเปน็ 4 ประเภท ได้แก่ ทีด่ นิ แรงงาน ทุน ผู้ประกอบการ) • ทีด่ นิ เป็นปัจจัยการผลิตสนิ คา้ และบรกิ ารอยา่ งไร (ตัวอย่างคาตอบ เป็นสถานท่ีสาคญั ใช้เปน็ ที่ผลติ สนิ ค้าและบรกิ าร) • แรงงานเป็นปจั จยั การผลติ สนิ ค้าและบริการอย่างไร (ตวั อยา่ งคาตอบ ไดแ้ ก่ จานวนคนที่ทาหนา้ ที่ใช้แรงกาย ความรู้ความสามารถ เพื่อทาการผลิต สินค้าและบรกิ าร) • ทนุ เปน็ ปัจจยั ในการผลติ สนิ ค้าและบรกิ ารอย่างไร (ตวั อยา่ งคาตอบ ทุน หมายถงึ เงนิ หรือวัตถุดบิ เชน่ อปุ กรณเ์ ครือ่ งมือการผลติ โรงงาน หรอื ทรพั ยากรท่ีใช้สาหรบั ทาการผลิตสินคา้ และบริการ) • ผ้ปู ระกอบการเปน็ ปัจจยั ในการผลติ สินค้าและบริการอย่างไร (ตวั อย่างคาตอบ เป็นผู้จัดการกระบวนการผลติ สินคา้ และบริการทัง้ หมด ทั้งทด่ี นิ แรงงาน และทุน ทาให้เกดิ สนิ ค้าและบริการต่าง ๆ ) 4. นกั เรียนร่วมกนั วเิ คราะห์บัตรคาเกี่ยวกบั ปจั จัยการผลติ สินคา้ และบริการ แล้วใหน้ ักเรียนรว่ มกัน วเิ คราะหว์ ่าเปน็ ปัจจัยการผลิตประเภทใด โดยจาแนกลงในแผนภาพความคิด แลว้ สรปุ เป็นความคดิ รวบยอด ดงั ตวั อย่าง ร้านซ่อมรถ ผลไม้ ช่างตดั ผม เจา้ ของร้านหนงั สือ พนกั งานธนาคาร เจา้ ของบริษทั สวนผลไม้ ถุงกระดาษ

44 ปัจจัยการผลติ ทดี่ ิน แรงงาน ทุน ผ้ปู ระกอบการ ร้านซ่อมรถ พนกั งานธนาคาร ถุงกระดาษ เจา้ ของบริษทั สวนผลไม้ เจา้ ของร้านหนงั สือ ช่างตดั ผม ผลไม้ 5. นกั เรียนแบง่ กลุ่มร่วมกันยกตัวอย่างการผลติ สนิ คา้ และบรกิ ารทม่ี ีอยู่ในท้องถน่ิ มากลมุ่ ละ 2 ตัวอยา่ ง พร้อมวเิ คราะห์ข้ันตอนการผลิตและผลการผลิต โดยใช้แผนภาพความคิด แลว้ สรปุ เป็น ความคดิ รวบยอด ดังตัวอย่าง 1 การผลติ สินค้าในท้องถน่ิ ปัจจัยการผลติ สินค้า ทด่ี นิ แรงงาน ทุน ผ้ปู ระกอบการ • ท่ีต้งั ร้านขาย • กาลงั กาย • กลว้ ย • มะพร้าว • แมค่ า้ กลว้ ยทอด ของแม่คา้ • น้ามนั • แป้ง • ผทู้ ี่จดั ซ้ือวสั ดุ อุปกรณ์ • กระทะ • ถุง และวางแผนการขาย ข้นั ตอนการผลติ 1. นามะพร้าว แป้ง มาผสมกนั แลว้ นากลว้ ยท่ีผา่ คร่ึงแลว้ ไปชุบ 2. นากลว้ ยลงทอดในกระทะ 3. นากลว้ ยท่ีทอดแลว้ ใส่ถุง กผลลว้ ยผทลอติ ด

45 2 การผลติ บริการในท้องถิน่ ปัจจัยการผลติ บริการ ทด่ี ิน แรงงาน ทุน ผ้ปู ระกอบการ • ที่ต้งั ร้านตดั ผม • เจา้ ของร้านตดั ผม • ช่างตดั ผม • กรรไกรตดั ผม • ปัตตะเล่ียน • หวี • เกา้ อ้ี • กระจก • ผา้ คลุม • ผา้ ขนหนู ข้นั ตอนการให้บริการ ตดั ผมใหก้ บั ผรู้ ับบริการ ผลผลติ ผรู้ ับบริการไดร้ ับบริการ ตามความตอ้ งการ 6. นกั เรียนคดิ ประเมนิ เพ่อื เพ่ิมคุณคา่ แล้วสรปุ ความคิดรวบยอด โดยใชค้ าถาม ดงั น้ี • ถา้ นกั เรียนเป็นผผู้ ลิตสินคา้ และบริการ นกั เรียนจะเลือกผลิตสินคา้ และบริการชนดิ ใด เพราะเหตุใด (ตัวอยา่ งคาตอบ ผลิตกระเปา๋ สานจากยา่ นลิเภา เพราะมีตน้ ทุนในการผลิตตา่ สามารถผลิตเองได้ ทีบ่ ้าน ใช้แรงงานจากสมาชิกในครอบครวั )

46 • •ข้นั •ท•่ี 3•อ•ธิบ•าย•ค•วา•มร•ู้ (•Ex•p•lai•n)• • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • • •7.• นกั เรยี นสังเกตภาพแล้ววเิ คราะห์ปจั จยั ทใ่ี ช้ในการผลติ ลงในแผนภาพความคิด ช้ินงานท่ี 24 เรอ่ื ง ปจั จัยการผลิตสนิ คา้ และบรกิ าร 8. นักเรียนรว่ มกนั ตรวจสอบความถูกต้องเรยี บร้อยของช้ินงาน หากพบข้อผิดพลาดให้ปรับปรงุ แกไ้ ข ให้ดีย่งิ ขึน้ 9. นักเรียนรว่ มกนั สรุปส่งิ ที่เขา้ ใจเปน็ ความรูร้ ่วมกนั ดังน้ี การผลิตสนิ ค้าและบริการจาเปน็ ต้องอาศยั ปัจจัยการผลิต เพื่อให้ไดส้ ินค้าและบริการทม่ี ีคณุ ภาพ ตรงตามความตอ้ งการของผู้บริโภค • ข•้นั •ที่•4 •ขย•าย•ค•วา•มเ•ข้า•ใจ• (•Ex•pa•nd•)• • • • • • • • • • • • 10. นกั เรยี นออกมานาเสนอชิ้นงานให้เพื่อนฟังหน้าชัน้ เรียน กิจกรรมน้ีสร้างเสริมทกั ษะศตวรรษที่ 21 ดา้ นการสื่อสาร 11. นักเรยี นร่วมกันอภิปรายสรปุ เกยี่ วกบั วิธกี ารทางานให้เหน็ การคดิ เชิงระบบและวธิ ีการทางาน ท่มี ีแบบแผน •ข้นั• ท•ี่ 5• ต•รว•จ•สอ•บ•ผล• (•Ev•al•ua•te•) • • • • • • • • • • • • • • • • • 12. นักเรยี นนาความรู้เกีย่ วกับปัจจยั การผลติ สินคา้ และบริการไปเผยแพรแ่ ก่บคุ คลอนื่ โดยจัดปา้ ยนเิ ทศหรอื จัดทาเป็นแผน่ พบั ความรู้ 13. นักเรียนประเมินตนเอง โดยเขียนแสดงความรูส้ ึกหลังการเรยี นและหลงั การทากจิ กรรม ในประเดน็ ต่อไปน้ี • ส่งิ ทน่ี ักเรยี นไดเ้ รียนรใู้ นวนั นี้คอื อะไร • นักเรยี นมีส่วนรว่ มกิจกรรมในกลุ่มมากนอ้ ยเพยี งใด • เพ่ือนนกั เรยี นในกลมุ่ มสี ่วนร่วมกิจกรรมในกลมุ่ มากน้อยเพียงใด • นกั เรยี นพอใจกบั การเรยี นในวันนหี้ รือไม่ เพียงใด


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook