เรอื ส่งวิญญาณ เรอื พระราชพิธี จากอดีตถึงปัจจบุ นั อาจารย์ ดร.รงุ่ โรจน์ ภิรมยอ์ นุกลู ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รามคาํ แหง บทนํา จากกรอบความคดิ ทางด้านประวตั ิศาสตร์ของประเทศไทย ท่จี ะเรมิ่ ต้นทุกสงิ่ ทุก อยา่ งวา่ เกดิ ขน้ึ ในสมยั สโุ ขทยั ดงั นนั้ หวั เรอื รปู สตั วแ์ ละขบวนเรอื พระราชพธิ ี จงึ ถูกอุปโลกน์ วา่ ตอ้ งเกดิ ขน้ึ มาตงั้ แตค่ รงั้ สโุ ขทยั เป็นราชธานี แตผ่ เู้ ขยี นไมเ่ หน็ ดว้ ยกบั แนวคดิ น้ี เพราะ ประการแรก แม้ว่าในเอกสารเร่ือง “นพมาศ หรือตํารับท้าวศรีจุฬาลักษณ์” จะ กล่าวถงึ เรอื พระราชพธิ ขี องกรุงสุโขทยั ในเน้ือหาช่วงพระราชพธิ จี องเปรยี ง และพระราชพธิ ี อาศยชุ (กรมศลิ ปากร, ๒๕๐๘: ๖๑, ๘๖ – ๘๘) และดว้ ยเอกสารชน้ิ น้ีจงึ ทาํ ใหเ้ กดิ ความเช่อื วา่ เรอื พระราชพธิ มี มี าแต่ครงั้ กรุงสโุ ขทยั แต่เอกสารชน้ิ น้ีไมม่ เี น้ือหาสว่ นใด ทส่ี ามารถยนื ยนั ไดว้ า่ เป็นเอกสารทป่ี ระพนั ธข์ น้ึ ในสมยั สุโขทยั และลกั ษณะสาํ นวนภาษาทน่ี างนพมาศใช้ กส็ ะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ เป็นเร่อื งทแ่ี ต่ง ขน้ึ ในสมยั รตั นโกสนิ ทรเ์ ทา่ นนั้ (ดรู ายละเอยี ดใน นิธิ เอยี วศรวี งศ,์ ๒๕๒๗: ๓๓๕ – ๓๗๒) อกี ทงั้ สภาพภมู ศิ าสตรท์ เ่ี กย่ี วกบั เมอื งสโุ ขทยั ในเร่อื ง “นพมาศ หรอื ตํารบั ทา้ วศรจี ุฬาลกั ษณ์” กไ็ มต่ รงกบั สภาพความเป็นจรงิ ของเมอื งสโุ ขทยั ประการท่สี อง สภาพภูมศิ าสตร์ของเมอื งเก่าสุโขทยั มลี ําน้ําสายเล็กและคดเค้ยี ว รวมถงึ มสี ระน้ําขนาดไมใ่ หญ่มาก จงึ ถอื ไดว้ า่ เป็นขอ้ จาํ กดั ประการสาํ คญั ทท่ี าํ ใหเ้ มอื งสโุ ขทยั ไมส่ ามารถมขี บวนเรอื พระราชพธิ ขี นาดใหญ่ได้ ดงั นัน้ หาก “ขบวนเรอื พระราชพธิ ”ี หมายความถงึ “ขบวนเรอื ของราชสาํ นัก” แลว้ ราชสํานักใดๆ กต็ าม ทต่ี งั้ อยู่ใกลก้ บั ลําน้ําสายใหญ่ กค็ วรท่จี ะมขี บวนเรอื เกยี รตยิ ศแบบน้ี ดว้ ยเชน่ กนั โดยไมจ่ าํ เป็นวา่ จะตอ้ งจาํ กดั เป็นราชสาํ นกั หน่ึงราชสาํ นกั ใด ในบทความชน้ิ น้ี ผเู้ ขยี นมุง่ เน้นทจ่ี ะนําเสนอเร่อื งราวเกย่ี วกบั ความสบื เน่ืองของเรอื พระราชพธิ จี ากหลกั ฐานประวตั ศิ าสตรแ์ ละโบราณคดี ๙๙
โลงไมท้ อ่ี าํ เภอปางมะผา้ จงั หวดั แมฮ่ ่องสอน ชาวบา้ นเรยี กวา่ โลงผแี มน เรอื ศกั ด์ิสิทธ์ิ กบั โลงรปู งู ผคู้ นในเขตพน้ื ทร่ี าบลุ่มแม่น้ําและพน้ื ทร่ี าบชายฝัง่ ทะเลในเอเชยี อาคเนย์ ยอ่ มตอ้ ง ใชเ้ รอื เป็นพาหนะในการเดนิ ทางมาตงั้ แต่ยุคสมยั ก่อนประวตั ศิ าสตร์ แต่หลกั ฐานทเ่ี ก่ยี วกบั เรอื ทใ่ี ชเ้ ดนิ ทางในยคุ สมยั นนั้ ไมไ่ ดต้ กทอดลงมาถงึ ปัจจุบนั อยา่ งไรกต็ าม สุจติ ต์ วงษ์เทศ (๒๕๕๔: ๑๙ – ๒๐) ไดเ้ คยตงั้ ขอ้ สนั นิษฐานเกย่ี วกบั “โลงไม”้ ยุคก่อนประวตั ศิ าสตร์ ทพ่ี บตามถ้ําในเขตเทอื กเขาตะนาวศรี ดา้ นทศิ ตะวนั ตกของ ประเทศไทยวา่ มคี วามสมั พนั ธเ์ กย่ี วกบั เรอ่ื ง “เรอื ศกั ดสิ์ ทิ ธ”ิ์ ไวด้ งั น้ี “บรรพชนคนดกึ ดาํ บรรพ์ เชอ่ื วา่ คนเรามี “บา้ นเก่า” คอื ถน่ิ เดมิ อยใู่ นบาดาล เป็นหว้ ง น้ําใตด้ นิ โดยมงี ผู พู้ ทิ กั ษห์ ว้ งบาดาล ๑๐๐
เมอ่ื คนตายลง แต่บรรพชนคนดกึ ดาํ บรรพเ์ ขา้ ใจความตายต่างจากยคุ ปัจจบุ นั คอื คดิ วา่ ไมต่ าย แต่คนเรามขี วญั ประจาํ ตวั และขณะนนั้ ขวญั จะกลบั “บา้ นเก่า” สถู่ นิ่ เดมิ ในบาดาล คนยุคนัน้ เช่อื ว่าตอ้ งเชญิ ขวญั ดว้ ยงู ถงึ จะกลบั อย่างปลอดภยั จงึ เอาท่อนไมย้ าวมา ถากแต่ตามจินตนาการสมมติให้เป็นงู แล้วขุดเป็นรางวางศพเหมือนอยู่ในท้องงูพร้อม เครอ่ื งมอื เครอ่ื งใชเ้ อาไปใชใ้ น \"บา้ นเก่า\" จากนัน้ คนทงั้ ชุมชนยกหามแห่แหนไปวางเกบ็ ไวใ้ น สถานทศ่ี กั ดสิ ์ ทิ ธขิ์ องชมุ ชน เชน่ ถ้ํา ไม้ท่อนเหมือนงูน้ี นักโบราณคดีปัจจุบันเรียกว่าโลงไม้ใส่ศพ หรือโลงศพ แต่ ชาวบา้ นเรยี กวา่ เรอื “โลง” รปู พญานาค ในพพิ ธิ ภณั ฑข์ องวดั สาคนั จี ในเมอื งทวาย โลงใบน้ีไวร้ องศพเจา้ อาวาสของวดั จะเหน็ ไดว้ า่ โลงศพใบน้ียงั ทาํ ลกั ษณะเป็นรปู เรอื และนครกค็ อื งู อน่ึง เม่อื พจิ ารณาจากโลงไม้ หรอื เรอื ศกั ดสิ์ ทิ ธทิ์ ่มี ลี กั ษณะเป็นโลง ขุดจากไมต้ ้น เดยี ว ซ่งึ เป็นเทคนิคเดยี วกนั กบั การทําเรอื ทป่ี รากฏในทะเลสาบเขมร ทโ่ี จวตา้ กวนทไ่ี ดเ้ ขา้ ไปยงั เมอื งพระนครหลวง ในปี พ.ศ.๑๘๓๙ ไดจ้ ดบนั ทกึ ไว้ (P. Pelliot, ๑๙๕๔: ๓๒) และยงั เหมอื นกบั เทคนิคการทาํ เรอื ในลุม่ แมน่ ้ําเจา้ พระยาท่ี นิโกลาส์ แชรแวส และลาลแู บร์ ทเ่ี ขา้ ใน ๑๐๑
กรุงศรอี ยุธยารชั กาลสมเดจ็ พระนารายณ์ก็ไดก้ ล่าวว่า เรอื พระท่นี ัง่ และเรอื ของสามญั ชน ลว้ นทาํ มาจากซุงทอ่ นเดยี ว (สนั ต์ ท.โกมลบุตร, ๒๕๐๖: ๑๐๖–๑๐๘; ๒๕๑๐: ๑๘๕–๑๘๗) นอกจากพน้ื ในประเทศไทยแลว้ ยงั ปรากฏหลกั ฐานเกย่ี วกบั เรอื รูปนาคบนภาชนะ ดนิ เผาบรรจุกระดกู ทพ่ี บในถ้ํามานุงกลั ประเทศฟิลปิ ปินส์ (Robert B. Fox, ๑๙๗๐: ๑๑๒ - ๑๑๔) ซง่ึ สะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ แนวคดิ น้ีไดก้ ระจายอยทู่ วั่ ทงั้ ภมู ภิ าคเอเชยี อาคเนย์ รปู ทรงเรอื สมยั ก่อนประวตั ิศาสตรย์ งั ใช้สืบเนื่อง นอกจากหลักฐาน “โลงไม้” ท่ีสันนิษฐานว่าเก่ียวข้องกับ “เรือ” ในสมัยก่อน ประวตั ศิ าสตรแ์ ลว้ ยงั ปรากฏลวดลายรูปเรอื สมยั ก่อนประวตั ศิ าสตร์บนกลองมโหระทกึ ซ่งึ พบกระจายทวั่ ไปตงั้ แตต่ อนใตข้ องจนี ลงมาจนถงึ คาบสมทุ รมลายู (เมธนิ ี จริ ะพฒั นา, ๒๕๔๖: ๑๘๔ – ๑๘๕; Hà Thúc Cân, ๑๙๘๙: ๒๘, ๓๘) นอกจากน้ี ยงั พบเรอื ลกั ษณะเดยี วกนั บน ภาชนะสาํ รดิ ใส่กระดกู คนตาย ทป่ี ระเทศเวยี ดนาม (รายละเอยี ดดู สุจติ ต์ วงษ์เทศ, ๒๕๕๔: ๒๐-๔๑) ซง่ึ ตคี วามวา่ เป็น “เรอื ในพธิ กี รรมความตาย” ลายเสน้ รปู เรอื ทป่ี รากฏบนกลองมโหระทกึ ของวฒั นธรรมดองซอน (ทม่ี า: Hà Thúc Cân, ๑๙๘๙: ๑๐๗) ๑๐๒
สําหรบั กรณีเรอื ท่พี บบนกลองมโหระทกึ ยากท่จี ะตคี วามว่าเก่ยี วขอ้ งกบั เรอื แห่ง ความตายและกลองมโหระทกึ ใบน้ีจะเก่ยี วขอ้ งกบั ความตาย ทงั้ น้ีเพราะ จากหลกั ฐานท่ี ตกคา้ งในสมยั หลงั พบว่า ในบางพธิ กี รรมเพ่อื ความอุดมสมบูรณ์กเ็ ก่ยี วขอ้ งกบั เรอื ดว้ ย เช่น พระราชพธิ อี าสยุช และพระราชพธิ ไี ล่น้ํา ในสมยั กรุงศรอี ยุธยากม็ เี ก่ยี วขอ้ งกบั เรอื ดงั นัน้ มโหระทึกท่ีมีรูปเรือปรากฏอยู่ก็อาจจะเก่ียวข้องกับพิธีกรรมเพ่ือความอุดมสมบูรณ์ได้ เชน่ เดยี วกนั แต่อย่างไรกต็ าม เม่อื พจิ ารณาจากรูปแบบเรอื ท่ปี รากฏบนภาชนะสํารดิ และกลอง มโหระทกึ สมยั ก่อนประวตั ศิ าสตร์ จะพบวา่ มรี ปู ทรงคลา้ ยคลงึ กนั คอื ลกั ษณะหวั เรอื และทา้ ย เรอื เชดิ สงู ขน้ึ ซง่ึ หมายความวา่ รปู ทรงเรอื ดงั กลา่ ว น่าจะเป็นทร่ี จู้ กั กนั ดใี นภมู ภิ าคแถบน้ี นอกจากน้ีผู้เขียนยงั สนั นิษฐานต่อไปว่า รูปทรงเรือบนภาชนะสําริดและกลอง มโหระทกึ สมยั ก่อนประวตั ศิ าสตรย์ งั คงใชส้ บื เน่ืองลงมาจนถงึ ปัจจุบนั ดงั ปรากฏหลกั รปู เรอื ในฉากปนู ปัน้ สปุ ารคชาดก ทไ่ี ดจ้ ากเจดยี จ์ ุลปโทน จงั หวดั นครปฐม สมยั ทวารวดี ปัจจุบนั จดั แสดงอยู่ทพ่ี พิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดยี ์ และภาพสลกั ท่จี ณั ฑบิ ุโรพุทโธ ทเ่ี กาะ ชวา (พริ ยิ ะ ไกรฤกษ,์ ๒๕๑๗: ๑๗ – ๑๙, รปู ท่ี ๑๒ – ๑๓) และเรอื เอกไชยเหนิ หาว และเรอื เอกไชยหลาวทอง ในขบวนเรอื พระราชพธิ ี รวมถงึ จากภาพขา่ วผอู้ พยพชาวโรฮงิ ญากพ็ บว่า ยงั คงใชเ้ รอื ในลกั ษณะเชน่ น้ี ปนู ปัน้ สปุ ารคชาดกทไ่ี ดจ้ ากเจดยี จ์ ลุ ปโทน เรอื ผอู้ พยพชาวโรฮงิ ญา สมยั ทวารวดี ปัจจุบนั จดั แสดงอยทู่ ่ี ทม่ี า: http://www.matichon.co.th/news พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระปฐมเจดยี ์ _detail.php?newsid=1368518266 (เขา้ ถงึ เมอ่ื วนั ท่ี ๓ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๘) เรอื พระราชพิธี วิจิตรและใหญ่กว่าเรือสามญั ชน จากทไ่ี ดก้ ลา่ วไปขา้ งตน้ แลว้ วา่ รปู ทรงเรอื พระราชพธิ บี างทรง เป็นของทใ่ี ชส้ บื เน่ือง มาตงั้ แต่สมยั ก่อนประวตั ศิ าสตร์ นอกจากน้ียงั พบวา่ เรอื พระราชพธิ บี างทรงไดข้ ยายสดั สว่ น ๑๐๓
และเพม่ิ ความวจิ ติ รจากเรอื ทส่ี ามญั ชนใช้ ยกตวั อยา่ งเช่น “เรอื โขมด” หรอื บางครงั้ กเ็ รยี กวา่ “เรอื โขมดยา” ในพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถานฉบบั ปี พ.ศ.๒๕๔๒ ไดใ้ หค้ วามหมายของ เรอื โขมดไวว้ ่า “เรอื ขุดขน้ึ จากซุงทงั้ ตน้ ใหญ่กว่าเรอื กราบ รูปร่างค่อนขา้ ง เพรยี ว หวั และ ทา้ ยเรยี ว บนหวั และทา้ ยเรอื เสรมิ ไมต้ ่อเป็นโขนงอนเชดิ ขน้ึ ดา้ นขา้ งหวั เรอื เขยี นลวดลาย ดว้ ยน้ํายาสตี ่างๆ วางกระทงขวางลาํ สาํ หรบั คนนงั่ พายไดป้ ระมาณ ๕๐ คน เป็นเรอื ตามเสดจ็ ในการเสด็จพระราชดําเนินพยุหยาตราทางชลมารค หรอื เสด็จพระราชดําเนินลําลองใน กระบวนพยหุ ยาตราทางชลมารค ใชเ้ ป็นเรอื กนั หรอื เรอื พฆิ าตได”้ หากแต่ สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้ากรมพระยานรศิ รานุวดั ตวิ งศ์ ทรงมพี ระอธบิ ายไวว้ ่า “ซ่งึ เรยี ก “โขมดยา” ซง่ึ หมายความวา่ หวั ทาน้ํายา” (สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดาํ รงราชานุภาพ และ สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้ากรมพระยานรศิ รานุวดั ตวิ งศ,์ ๒๕๐๔ข: ๘๗) และ “เรอื ลกั ษณะน้ี เป็นเรอื ทไ่ี ด้ รบั มาจากเขมร” (สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้ากรมพระยานรศิ รานุวดั ตวิ งศ,์ ๒๔๙๓: ๗๖) เรอื ทย่ี งั ปรากฏการใชใ้ นชวี ติ ประจาํ วนั ในทะเลสาบเขมร (ทม่ี า: ทนงศกั ดิ ์ หาญวงศ)์ ภาพลา่ ง เรอื อเนกชาตภิ ุชงค์ ปัจจบุ นั จดั แสดงอยใู่ นพพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ เรอื พระราชพธิ ี ๑๐๔
ถา้ นําเรอื ทพ่ี บในทะเลสาบเขมรน้ีมาขยายสดั ส่วนแลว้ จะพบวา่ กค็ อื เรอื โขมดยาใน ขบวนเรอื พระราชพธิ ี และถา้ นําเรอื โขมดยามาขยายสดั ส่วนและเพมิ่ ความวจิ ติ รบรรจง กจ็ ะ กลายเป็น “เรอื อเนกชาตภิ ุชงค”์ ดงั นนั้ ขบวนเรอื พยหุ ยาตราทางชลมารคคอื การนําเรอื ทใ่ี ชใ้ นชวี ติ ประจาํ มาประยกุ ต์ สว่ นการทใ่ี นปัจจุบนั ไมพ่ บทรงเรอื โขมดในลาํ น้ําลาํ คลองอกี แลว้ คงจะเป็นเพราะเรอื ประเภท น้ีเป็นเรอื เกยี รตยิ ศของราชสาํ นัก และบางครงั้ มกี ารพระราชทานใหพ้ ระราชาคณะ (สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ และสมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้า กรมพระยานรศิ รานุวดั ตวิ งศ์, ๒๕๐๔ก: ๒๓๔) ผลจงึ ทาํ ใหส้ ามญั ชนนัน้ ไมส่ ามารถใชไ้ ด้ ภายหลงั เมอ่ื ผมู้ บี รรดาศกั ดไิ์ มใ่ ชเ้ รอื โขมด เพราะการคมนาคมทเ่ี จรญิ ขน้ึ และหมดสมยั นิยมไป จงึ ทาํ ใหเ้ รอื ทรงน้ีตกคา้ งอยใู่ นขบวนเรอื พระราชพธิ เี ทา่ นนั้ เรอื พระราชพิธี พฒั นามาจากเรอื ยาว เน่ืองจากหลกั ฐานเกย่ี วกบั เรอื พระราชพธิ มี คี ่อนขา้ งจาํ กดั ทงั้ น้ีเพราะชํารุดไปตาม กาลเวลา ประกอบกบั ไดร้ บั ความเสยี หายในช่วงสงครามโลกครงั้ ๒ ดงั นัน้ จงึ ทาํ ใหเ้ รอื พระ ราชพธิ บี างทรงไดถ้ ูกลมื เลอื นไป สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายเร่ืองเรือพระราชพิธีไว้ว่า “กระบวนแหเ่ สดจ็ ทางชลมารคใชเ้ รอื ยาวอยา่ งโบราณ (สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดาํ รงราชานุภาพ และสมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้า กรมพระยานรศิ รานุวดั ตวิ งศ,์ ๒๕๐๔ข: ๖๗) คําว่า “เรอื ยาวอย่างโบราณ” ตามพระอธบิ ายของสมเดจ็ ฯ กรมพระยาพระองค์นัน้ จะมลี กั ษณะเหมอื นเรอื ยาวทช่ี าวบา้ นใชเ้ ป็นเรอื แข่งหรอื ไม่ ยากทจ่ี ะวนิ ิจฉัย เพราะเรอื พระ ราชพธิ เี ป็นเรอื ทม่ี ขี นาดยาว อกี ทงั้ จากกระบวนทางชลมารคในปัจจุบนั กไ็ ม่พบเรอื ทรงเรอื ยาวแบบเรอื แขง่ แตป่ ระการใด แต่อย่างไรก็ตาม จากหลกั ฐาน “โขนเรอื พระราชพธิ ”ี ท่เี ก็บรกั ษาอยู่ในคลงั ของ พพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร พบวา่ หวั เรอื รปู หงสม์ กี ารแกะสลกั ลวดลายอยา่ งประณีต ซง่ึ ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ หวั เรอื ชน้ิ น้ีไมใ่ ชเ่ ป็นเรอื ของสามญั ชน แต่เป็นเรอื ของราชสาํ นกั อน่ึงเมอ่ื พจิ ารณาจากขนาดของหวั เรอื รูปหงษ์ทม่ี ขี นาดไม่ใหญ่มาก กจ็ ะสะทอ้ นให้ เหน็ วา่ เรอื มขี นาดความกวา้ งไมม่ าก อกี ทงั้ หวั เรอื ยงั ไมเ่ ชดิ ตงั้ ขน้ึ เหมอื นกบั หวั เรอื รปู สตั วล์ าํ อ่ืน แต่หวั ลําเรือเรียวพุ่งไปข้างหน้า ซ่ึงเรือพระราชพิธีลําน้ีมีสมบูรณ์ จึงน่าจะมีความ คลา้ ยคลงึ กบั เรอื ยาวทใ่ี ชแ้ ขง่ ในปัจจบุ นั ๑๐๕
โขนเรอื รปู หงส์ ปัจจุบนั เกบ็ รกั ษาในคลงั พพิ ธิ ภณั ฑสถาน เรอื พระทน่ี งั่ สพุ รรณหงษ์ ปัจจุบนั จดั แสดงอยใู่ น แหง่ ชาติ พระนคร พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ เรอื พระราชพธิ ี ดว้ ยเหตุน้ีจงึ เป็นการย้าํ ใหเ้ หน็ ว่า เรอื พระราชพธิ บี างทรงกค็ อื การนําเรอื ท่มี อี ยู่ใน ทอ้ งน้ําอยแู่ ลว้ มาเพม่ิ ความวจิ ติ รบรรจงมากยง่ิ ขน้ึ หวั เรือรปู สตั วม์ ีปรากฏมาก่อนกรงุ ศรีอยธุ ยา นอกจากน้ี ภาพลายเสน้ บนกลองมโหระทกึ พบว่า เรอื บางลํามหี วั เรอื รูปสตั ว์ ซ่ึง ปัจจุบนั ตกค้างอยู่ในเรอื พระราชพธิ ขี องราชสํานักกรุงรตั นโกสนิ ทร์ แต่จากหลกั ฐานทาง โบราณคดคี อื ทบั หลงั ท่ไี ด้จากปราสาทพมิ าย จ.นครราชสมี า อายุอยู่ในราวคร่งึ หลงั พุทธ ศตวรรษท่ี ๑๗ ปัจจุบนั จดั แสดงอยใู่ นพพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาตพิ มิ าย ภาพสลกั ทม่ี ุมระเบยี ง คดดา้ นทศิ ตะวนั ตกเฉียงเหนือของปราสาทนครวดั อายุราวครง่ึ หลงั ของพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๗ และภาพสลกั นูนต่ําท่รี ะเบยี งคดปราสาทบายนกพ็ บว่า ราชสํานักเมอื งพระนครหลวง อายุ ราวครง่ึ แรกของพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ กป็ รากฏหลกั ฐานหวั เรอื รปู สตั วด์ ว้ ยเชน่ เดยี วกนั เน่ืองจากเรอื หวั รูปสตั ว์ในวฒั นธรรมทะเลสาบเขมร ปรากฏแต่ในภาพสลกั นูนต่ํา เท่านัน้ ดงั นัน้ จงึ ไมส่ ามารถทจ่ี ะกล่าวถงึ รายละเอยี ดบางประการเช่น โครงสรา้ งเรอื เป็นตน้ แต่เม่อื พจิ ารณาจากภาพพบว่าเรอื ท่ปี รากฏท่ภี าพสลกั บนผนังระเบยี งคดปราสาทนครวดั และทป่ี ราสาทบายนจะเป็นเรอื ขนาดความกวา้ งพอสมควร อกี ทงั้ ฝีพายมที งั้ หนั หน้าไปทาง หวั เรอื และหนั หลงั ใหห้ วั เรอื ประติมากรรมรปู สตั วส์ าํ ริดประดบั เรอื แมว้ า่ หวั เรอื รูปสตั วใ์ นวฒั นธรรมทะเลสาบเขมรจะไมเ่ หลอื ใหศ้ กึ ษา แต่พบหลกั ฐาน ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งในคลงั ของพพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี ขนาดกวา้ ง ๓๑ เซนตเิ มตร สภาพชาํ รุดเลก็ น้อย ประวตั ริ ะบุวา่ เป็นสมบตั เิ ดมิ ของพพิ ธิ ภณั ฑ์ ๑๐๖
ทบั เลา่ เรอ่ื งรามายณะจากปราสาทพมิ าย อายุครง่ึ หลงั พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๗ ปัจจบุ นั จดั แสดงในพพิ ธิ ภณั ฑสถาน แหง่ ชาตพิ มิ าย ในภาพเป็นรปู บคุ คลสก่ี รซง่ึ เขา้ ใจวา่ เป็นพระรามแผลงสกี รเพอ่ื แสดงใหค้ นมาเฝ้าวา่ เป็น พระนารายณ์ แมว้ า่ สว่ นหวั เรอื ชาํ รดุ แตท่ ท่ี า้ ยเรอื ทาํ เป็นรปู หางสตั ว์ จงึ ทาํ ใหน้ ่าเชอ่ื วา่ หวั เรอื เป็นหวั รปู สตั ว์ หวั เรอื รปู นกทม่ี มุ ระเบยี งคด ดา้ นทศิ ตะวนั ตกเฉียงใต้ ประตมิ ากรรมสาํ รดิ รปู นก ทป่ี ระดบั สว่ นหวั เรอื ปราสาทนครวดั หรอื ทา้ ยเรอื ในคลงั พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ อุบลราชธานี ลักษณะของสําริดด้านหน้าเป็นรูปหัวนก เม่ือพิจารณาแล้วพบว่า มีลักษณะท่ี เหมอื นกบั รปู นกทป่ี ระดบั ฐานหน้าพระราชวงั หลวงเมอื งพระนครหลวง ทส่ี รา้ งขน้ึ ในสมยั พระ เจ้าชยั วรมนั ท่ี ๗ ดงั นัน้ ประติมากรรมสําริดช้ินน้ีจึงควรท่ีจะกําหนดอายุอยู่ในช่วงพุทธ ศตวรรษท่ี ๑๘ เน่ืองบรเิ วณส่วนล่างของประตมิ ากรรมสํารดิ ช้นิ น้ีมรี ู ซ่งึ ไวส้ ําหรบั สวมกบั ๑๐๗
วตั ถุอกี ชน้ิ ซง่ึ ผเู้ ขยี นสนั นิษฐานว่า ประตมิ ากรรมสาํ รดิ ชน้ิ น้ีมขี นาดเลก็ จงึ ควรทป่ี ระดบั ไวท้ ่ี บรเิ วณส่วนทา้ ยเรอื ไม่ใช่ประดบั ทห่ี วั เรอื เพราะจากภาพสลกั นูนต่ําหวั เรอื รูปสตั วม์ ขี นาด ใหญ่มาก อกี ทงั้ ทบ่ี รเิ วณท้ายเรอื ในภาพจําหลกั นูนต่ําท่รี ะเบยี งคดปราสาทบายนก็มกี าร ประดบั หวั รปู สตั วเ์ ชน่ เดยี วกนั เรอื ทร่ี ะเบยี งทป่ี ราสาทบายน (ทม่ี า: ธษิ ณา วรี เกยี รตสิ นุ ทร) ส่วนสาเหตุท่ีในทะเลสาบเขมรมีการทําหัวเรือรูปสัตว์เป็นรูปนกนัน้ ผู้เขียน สนั นิษฐานไว้ ๒ ประการ ประการท่ี ๑ ถา้ พจิ ารณาจากบวนแห่พระเจา้ สรู ยวรรมนั ท่ี ๒ ทร่ี ะเบยี งคดปราสาท นครวดั จะพบทบ่ี ุคคลในขบวนแห่ใส่เคร่อื งประดบั ศรี ษะเป็นรูปสตั วช์ นิดต่างๆ และมรี ูปหวั นกดว้ ยเช่นเดยี วกนั ซ่งึ เขา้ ใจว่าน่าจะเป็นลกั ษณะการจดั หมวดหม่คู นของในขบวนแห่ (M. Jacq – Hergoualc’h, ๑๙๗๙: ๑๐๙ – ๑๑๖) ดงั นัน้ จงึ อาจจะเป็นไปไดว้ ่า การประดบั รูปนกท่หี วั เรอื คอื การจดั หมวดหมู่ของ กระบวนเรือ หรอื อาจจะเป็น “โทเทม” (Totem) หรอื สญั ลกั ษณ์ประจําตระกูล/กลุ่มชนใน ทะเลสาบเขมร ๑๐๘
ประการท่ี ๒ เน่ืองจากตวั อย่างภาพสลกั นูนต่ําทป่ี ราสาทบายน มแี ต่หวั เรอื รูปนก เท่านัน้ จงึ อาจจะทําใหค้ ดิ ไดว้ ่า การประดบั สํารดิ รูปนกทห่ี วั เรอื หรอื ทา้ ยเรอื นัน้ เป็นเคร่อื ง แสดงฐานะของเรอื เหมอื นกบั ประตมิ ากรรมรปู หวั พญานาคสาํ รดิ ทป่ี ระดบั ปลายคานหามใน วฒั นธรรมทะเลสาบเขมรสมยั บายน ขบวนแหเ่ กยี รตยิ ศทร่ี ะเบยี งคดปราสาทนครวดั สงั เกตไดว้ า่ พลแหม่ เี ครอ่ื งประดบั ศรี ษะเป็นรปู นก เรอื พระราชพิธี สืบขนบจากทะเลสาบเขมร แมว้ ่าในปัจจุบนั หลกั ฐานเกย่ี วกบั เรอื พระราชพธิ ที เ่ี ก่าสุดจะมอี ายุเพยี งสมยั อยุธยา ตอนปลายช่วงพุทธศตวรรษท่ี ๒๒ – ๒๓ ปัจจุบนั จดั แสดงอยู่ในพพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ เจา้ สามพระยา แต่จากหลกั ฐานเรอื พระราชพธิ ใี นสมยั ตน้ รตั นโกสนิ ทร์ คอื หวั เรอื พระทน่ี งั่ ศรี ประภศั รไชย ยงั คงแกะรปู เหราเหมอื นกบั หวั เรอื ทป่ี รากฏทร่ี ะเบยี งคดปราสาทบายน ๑๐๙
โขนเรอื รปู ครฑุ สมยั อยธุ ยา จดั แสดงอยพู่ พิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ เจา้ สามพระยา เมอ่ื พจิ ารณาจากลายกรองศอ และทรงมงกุฎ เหมอื นพระพทุ ธรปู ทรงเครอ่ื งวดั หน้าพระเมรุ และพระพทุ ธรปู ทรงเครอ่ื งในเมรุ ดงั นัน้ จงึ พอชไ้ี ดว้ า่ ขนบเรอื พระราชพธิ บี างทรงนัน้ เช่นเรอื ไชย ในราชสาํ นักลุ่ม แม่น้ําเจ้าพระยาได้สบื ทอดมาจากวฒั นธรรมทะเลสาบเขมร หากแต่ได้มกี ารปรบั เปล่ยี น รปู แบบบางประการ กลา่ วคอื ๑. จากเดมิ หวั เรอื รูปสตั วใ์ นวฒั นธรรมทะเลสาบพบว่ามกี ารทําเป็นประตมิ ากรรม สาํ รดิ แต่ในลุม่ แมน่ ้ําเจา้ พระยาไมป่ รากฏวา่ มกี ารใชป้ ระตมิ ากรรมสาํ รดิ เป็นหวั เรอื ๒. จากภาพสลกั ทร่ี ะเบยี งปราสาทบายนพบว่า ในบางครงั้ จะมกี ารทําทา้ ยเรอื เป็น รปู สตั ว์ จากหลกั ฐานเรอื พระราชพธิ ที ต่ี กคา้ งในลุ่มแมน่ ้ําเจา้ พระยาทท่ี า้ ยเรอื กไ็ มป่ รากฏวา่ ทาํ ทา้ ยเรอื รปู สตั ว์ ๓. จากรูปทรงของเรอื ไชยพบว่า ไดย้ ดื ส่วนหวั เรอื และทา้ ยเรอื ใหส้ ูงขน้ึ กว่าเรอื ใน ภาพสลกั นูนต่ําทร่ี ะเบยี งคดปราสาทบายน หากแต่ยอดของหวั เรอื และทา้ ยเรอื ไชยไดท้ าํ เป็น ๑๑๐
รปู กนกซง่ึ สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้ากรมพระยานรศิ รานุวดั ตวิ งศ์ ทรงมพี ระอธบิ ายวา่ เรอื ทห่ี วั เป็นกง่ิ กนกตงั้ ข้นึ ไป เรยี กว่าเรอื กง่ิ (สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ และสมเดจ็ ฯ เจ้าฟ้า กรมพระยานรศิ รานุวดั ตวิ งศ,์ ๒๕๐๔ข: ๘๖) ด้วยเหตุน้ี จงึ ทําให้เช่อื ได้ว่า จากขอ้ ความในพระราชพงศาวดารได้กล่าวถึงการ แปลงเรอื ในรชั กาลสมเดจ็ พระเจ้าทรงธรรมว่า “ขณะนัน้ ฝีพายเอาดอกเลาปักปัถวเี รอื ชยั ทอดพระเนตรเหน็ ตรสั ว่างามดอี ยู่ ครนั้ เสดจ็ กลบั ถงึ กรุงสงั่ ใหแ้ ปลงปัถวเี รอื ชยั เป็นเรอื กงิ่ ” (กรมศลิ ปากร, ๒๕๑๑: ๔๒๔) น่าจะมคี วามคลาดเคลอ่ื น หากแต่กนกทต่ี งั้ ขน้ึ นนั้ น่าจะเป็น การแปลงรปู แบบมาจากรปู สตั วแ์ ทน ภาพซา้ ย หวั เรอื ทป่ี รากฏบนภาพสลกั นูนต่าํ ท่ี ระเบยี งคดปราสาทบายน (ทม่ี า: ธษิ ณา วรี เกยี รตสิ นุ ทร) ภาพขวา หวั เรอื พระทน่ี งั่ ศรปี ระภศั รไชย ปัจจบุ นั จดั แสดง ณ พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ เรอื พระราชพธิ ี อน่ึง ลกั ษณะความแตกต่างของเรอื พระราชพธิ ใี นลุม่ แมน่ ้ําเจา้ พระยากบั เรอื ในภาพ สลกั นูนต่ําท่ีระเบียงคดปราสาทบายน ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการเปล่ียนแปลงเม่ือใด หากแต่การเปลย่ี นแปลงเรอื พระราชพธิ คี รงั้ สาํ คญั เกดิ ขน้ึ ในรชั กาลสมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดิ แหง่ กรุงศรอี ยธุ ยา ๑๑๑
สมเดจ็ พระเจ้าจกั รพรรดิทรงแปลงเรอื พระราชพิธี อน่ึงพระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยาฉบบั หลวงประเสรฐิ ไดบ้ นั ทกึ ไวว้ ่า “ศกั ราช ๙๑๔ ฉลูศก (พ.ศ. ๒๐๙๕) ครงั้ นัน้ ให้แปลงเรอื แซเป็นเรอื ชยั และหวั สตั ว์ (กรมศลิ ปากร, ๒๕๑๕: ๔๕๗) สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดาํ รงราชานุภาพ เสนอวา่ แกเ้ ป็นเรอื รปู สตั วเ์ พอ่ื ใหต้ งั้ ปืนใหญ่ ไดท้ ห่ี วั เรอื ทส่ี าํ คญั รปู สตั วน์ นั้ ถา้ เป็นเรอื ดงั้ เป็นรปู เกณฑ์ ๑ คอื ครุฑ ๑ คู่ กระบ่ี ๒ คู่ อสรู ๒ คู่ เรอื เสนาบดแี ละเรอื ประตูเอารปู สตั วต์ ราตําแหน่งทาํ (สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดํารงราชานุ ภาพ และสมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้า กรมพระยานรศิ รานุวดั ตวิ งศ,์ ๒๕๐๔ข: ๒๙๖) เน่ืองจากพระราชพงศาวดารฉบบั น้ีเป็นฉบบั ความย่อ อกี ทงั้ พระราชพงศาวดาร ฉบบั ความพสิ ดารฉบบั อ่นื กไ็ มไ่ ดข้ ยายความเพมิ่ เตมิ แต่ประการใด ดงั นนั้ จงึ ไมท่ ราบไดว้ ่ามี การเปลย่ี นแปลงอย่างไร ถา้ จะว่าพระอธบิ ายของสมเดจ็ ฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ก็ น่าจะเป็นไปไดท้ งั้ น้ีเพราะในช่วงก่อนหน้ารชั กาลสมเดจ็ พระเจา้ จกั รพรรดิ ชาวตะวนั ตกเพงิ่ จะนําวทิ ยาการความกา้ วหน้าทางยทุ ธวธิ คี อื การใชป้ ืนไฟ ดงั นนั้ เรอื พระราชพธิ กี อ็ าจจะปรบั ในชว่ งระยะเวลาน้ีได้ เรอื ครุฑเหนิ เหจ็ ปัจจุบนั จดั แสดงทพ่ี พิ ธิ ภณั ฑสถาน เรอื เสอื ทยานชล (ทม่ี า: http://www3.navy.mi.th/index.php/today แหง่ ชาติ เรอื พระราชพธิ ี /detail/content_id/1641) อยา่ งไรกต็ าม ผเู้ ขยี นไดบ้ งั เกดิ ขอ้ กงั ขาเกย่ี วกบั พระอธบิ ายดงั กลา่ ว ทงั้ น้ีเพราะใน บนั ทกึ ของลาลแู บร์ และ แชรแวส ทเ่ี ขา้ มาในราชสาํ นักสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์ ไดพ้ รรณนา เก่ียวเรอื พระราชพธิ อี ยู่มาก แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามกี ารบรรยายว่าเรอื พระราชพธิ แี ละเรอื รบั ราชทตู มกี ารตดิ ปืนใหญ่ทห่ี วั เรอื เลย ๑๑๒
หวั เรือรปู สตั ว์ สมั ผสั กบั ตราลญั จกร ลกั ษณะความแตกต่างท่ีสําคัญระหว่างหัวเรือรูปสตั ว์ของราชสํานักอยุธยากับ ทะเลสาบเขมรคอื หวั เรอื รปู สตั วข์ องราชสาํ นกั ลุม่ แมน่ ้ําเจา้ พระยามคี วามหลากหลายกวา่ ในปัจจุบนั เราไม่อาจท่จี ะทราบไดว้ ่า ลกั ษณะความหลากหลายของหวั เรอื รูปสตั ว์ ของราชสาํ นกั อยธุ ยาเกดิ ขน้ึ เมอ่ื ใด หากแตใ่ นบนั ทกึ ของปินโต ไดก้ ล่าวถงึ เรอื ในพระบรมศพ สมเดจ็ พระไชยราชาไวว้ า่ “ในเรอื ลําใหญ่อกี ลําหน่ึงมเี จา้ แห่งรูปปั้นทงั้ หลาย ซ่งึ พวกเขาเรยี กว่างถู ้ําแห่งหลุม ลกึ แหง่ ถา้ งู รปู ปัน้ น้ีมรี ปู เป็นงปู ระหลาด ตวั ใหญ่เทา่ ถงั hosshead และบดิ เบย้ี วไป ๙ หยกั เม่อื เหยยี ดลําตวั ออกแลว้ จะยาวกว่า ๑๐๐ คบื หวั ตงั้ ตรงขน้ึ พ่นไฟ ซ่งึ ทําขน้ึ ออกมาทางตา ทางลําคอ และอก ซ่งึ ทําใหส้ ตั วป์ ระหลาดน้ีดูน่ากลวั และดูโกรธเกร้ยี ว ท่เี วทสี ูง ๓ ฟาธอม และปิดทองหรหู รา” (นนั ทา วรเนตวิ งศ,์ ๒๕๕๕: ๑๘) เรอื ครฑุ คชู่ กั ในสมดุ ภาพรว้ิ กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค (ทม่ี า: กรมศลิ ปากร) จากขอ้ ความทย่ี กมาดงั กลา่ วขา้ งตน้ พอทจ่ี ะชใ้ี หเ้ หน็ วา่ หวั เรอื ทบ่ี รรยายนัน้ เป็นหวั เรอื รปู พญานาคซง่ึ ไมป่ รากฏในภาพสลกั นูนต่าํ ทร่ี ะเบยี งคดปราสาทบายน และมมี าก่อนหน้า รชั กาลสมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดิ ๑๑๓
หวั เรอื รูปสตั วท์ ป่ี รากฏในลลิ ติ พยุหยาตราเพชรพวง ของเจา้ พระยาพระคลงั (หน) (๒๕๑๕: ๑๓๐, ๑๓๘) ซง่ึ ไดป้ ระพนั ธข์ น้ึ ในปี พ.ศ.๒๓๔๐ ไดร้ ะบุวา่ ขนุ นางทน่ี ัง่ ประจาํ เรอื รปู สตั ว์ สามารถถอดความไดด้ งั ต่อไปน้ี พระยามหาอํามาตย์ เรอื ราชสหี น์ ้อย พระธรรมไตร โลก เรอื คชสหี ์ สมหุ กลาโหม เรอื คชสหี ์ สมหุ นายก เรอื ราชสหี ์ พระยาเทพอรชุน เรอื เลยี งผา ใหญ่ พระยาราชนิกูล เรอื มา้ ใหญ่ หม่นื นรนิ ทร์เสนี เรอื เลยี งผาเลก็ หม่นื ศรสี หเทพ เรอื มา้ เลก็ ถา้ พจิ ารณาจากขนุ นางทน่ี งั่ ประจําหวั เรอื รปู สตั วใ์ นคาํ ประพนั ธช์ น้ิ ดงั กล่าวจะพบว่า มคี วามสมั พนั ธ์กบั ตราลญั จกรขุนนางทป่ี รากฏในพระไอยการพระธรรมนูญมาตราท่ี ๑๘ – ๓๑ ทบ่ี ญั ญตั ขิ น้ึ ในปี พ.ศ.๒๑๗๘ รชั กาลสมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททอง แต่อยา่ งไรกต็ าม เราก็ ไม่อาจทท่ี ราบไดว้ ่าก่อนหน้ารชั กาลสมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททอง จะมกี ารใชต้ ราลญั จกรใน ลกั ษณะน้ีหรอื ไม่ เรอื รว้ิ กระบวนเรอื ลาํ ทรง ในสมดุ ภาพรว้ิ กระบวนพยหุ ยาตราทางชลมารค (ทม่ี า: กรมศลิ ปากร) หากแต่สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ทรงมพี ระอธบิ ายตราลญั จกรของขุน นางมกี ่อนหวั เรอื รูปสตั ว์ แต่จะเกดิ ก่อนนานมากน้อยเพยี งใดไม่สามารถตอบได้ แต่อย่าง น้อยก็พอท่จี ะคาดการณ์ว่าในรชั กาลสมเดจ็ พระเจ้าปราสาททองจะต้องมหี วั เรอื รูปสตั ว์ท่ี สมั พนั ธก์ บั ตราลญั จกรขนุ นางแลว้ อน่ึง ในขบวนเรอื พระราชพธิ จี ะมเี รอื คู่ชกั หรอื เรอื สําหรบั จูงเรอื พระท่นี ัง่ ในสมุด ภาพจติ รกรรมขบวนพยหุ ยาตราเพชรพวง เขยี นรปู เรอื คชู่ กั มหี วั เรอื เป็นรปู ครุฑ พาหนะพระ ๑๑๔
นารายณ์ซ่งึ ผดิ กบั หวั เรอื รูปสตั วล์ ําอ่นื ซง่ึ ไม่ใช่สตั วพ์ าหนะของเทพเจา้ ผเู้ ขยี นสนั นิษฐานวา่ ทงั้ น้ีเพราะเรอื คู่ชกั จะต้องทําหน้าชกั จูงเรอื พระท่นี ัง่ ของพระเจา้ อยู่หวั ท่ถี ือกนั ว่าเป็นองค์ นารายณ์อวตาร โขนเรอื มงคลสวุ รรณ ปัจจบุ นั จดั แสดง เรอื พญาอนนั ตนาคราช ปัจจบุ นั จดั แสดง ณ พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ เรอื พระราชพธิ ี ณ พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ เรอื พระราชพธิ ี การเปลี่ยนแปลงขนบเรือพระราชพิธี สมยั อยธุ ยาตอนปลายรตั นโกสินทรต์ อนต้น จากหลกั ฐานทห่ี ลงเหลอื อยใู่ นปัจจุบนั ไมป่ รากฏเอกสารทก่ี ล่าวถงึ การเปลย่ี นแปลง ขนบของขบวนเรือพยุหยาตรทางชลมารคในช่วงปลายสมยั กรุงศรอี ยุธยาแต่ประการใด หากแต่ยงั ปรากฏรอ่ งรอยการเปลย่ี นแปลงหลงเหลอื อยบู่ า้ ง กลา่ วคอื ในสมุดภาพขบวนพยุหยาตราเพชรพวงซ่งึ เช่อื กนั ว่าเป็นขบวนเรอื พยุหยาตรทาง ชลมารคสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์ ขบวนเรอื พระทน่ี ัง่ ไม่มเี รอื รปู หวั สตั วแ์ ต่ประการใด ต่อมา ในกาพยเ์ ห่เรอื ของเจา้ ฟ้าธรรมธเิ บศร์ ไดก้ ลา่ วถงึ เรอื สพุ รรณหงษ์ ซง่ึ ในกาพยเ์ หเ่ รอื กไ็ มไ่ ด้ กลา่ ววา่ เป็นเรอื ลาํ ทรงหรอื ไม่ หากแตล่ ลิ ติ พยหุ ยาตราเพชรพวงของเจา้ พระยาพระคลงั (หน) (๒๕๑๕: ๑๓๕ – ๑๓๘) พบวา่ ในรว้ิ ของเรอื ลําทรงไดป้ รากฏเรอื ครุฑ และเรอื สุวรรณหงส์ ๑๑๕
อีกทงั้ พระราชพงศาวดารกรุงรตั นโกสินทร์ รชั กาลท่ี ๑ ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขํา บุนนาค) (๒๕๓๙: ๒๑๕) ไดก้ ลา่ วถงึ เรอื พระทน่ี งั่ ศรสี พุ รรณหงษยาวสบิ แปดวาพน้ื ดาํ ดงั นนั้ จงึ สนั นิษฐานวา่ น่าจะมกี ารเปลย่ี นแปลงหวั เรอื พระทน่ี ัง่ เป็นสตั วพ์ าหนะของ เทพเจา้ ในช่วงสมยั อยุธยาตอนปลาย ต่อมาในสมยั รชั กาลท่ี ๓ จงึ ไดส้ รา้ งเรอื มงคลสุบรรณ หวั เรอื เป็นรปู นารายณ์ทรงครุฑ และในสมยั รชั กาลท่ี ๔ จงึ ไดส้ รา้ งเรอื อนนั ตนาคราช ขบวนเรือพระราชพิธีไมใ่ ช่ขบวนเรือรบ ตามความอธบิ ายท่เี ก่ยี วกบั เรอื พระราชพธิ มี กั จะอธบิ ายว่าเป็นขบวนเรอื รบ โดย มกั จะอา้ งองิ จากพระราชพงศาวดารกรุงศรอี ยุธยา ยกตวั อยา่ งขอ้ ความทว่ี า่ “เสดจ็ ลงสพู่ ระท่ี นงั่ กนกรตั นวมิ านนาวา อนั รจนาดว้ ยกาญจนามณชี ชั วาลทงั้ คดู่ พู นั ลกึ อธกึ ดว้ ยเรอื จาํ นําทา้ ว พระยาสามนตราช ฝ่ายทหารพลเรอื นเรยี งประจาํ จบั ฉลากสลอนสลบั คบั คงั่ ตงั้ โดยกระบวน พยหุ ยาตรา พระโหราราชครธู บิ ดศี รพี ชิ าจารยก์ ล็ นั่ ฆอ้ งชยั ใหค้ ลายเรอื พระทน่ี ัง่ สุวรรณหงส์ อนั ทรงพระพุทธปฏมิ ากรทองนะคุณ บรรจุพระสารรี กิ ธาตุ ถวายพระนามสมญาพระชยั ไป ก่อนแลว้ เรอื กระบวนหน้าทงั้ ปวงโดยลาํ ดบั ” (กรมศลิ ปากร, ๒๕๑๑: ๑๙๒) จากขอ้ ความทย่ี กมาไม่อาจทจ่ี ะชไ้ี ดว้ ่า มกี ารใชเ้ รอื พระราชพธิ ใี นราชการทพั ทงั้ น้ี เพราะพระราชพงศาวดารเป็นเอกสารเฉลมิ พระเกยี รตยิ ศ ดงั นัน้ ขอ้ ความทแ่ี สดงพระบรม เดชานุภาพ ก็ย่อมต้องมกี ารพรรณนาอย่างวจิ ติ รบรรจง อกี ทงั้ ขบวนพยุหยาตราชลมารค สามารถตงั้ ขบวนในลาํ น้ําสายใหญ่ แต่ถา้ ไปในราชการทพั จรงิ จะสามารถเขา้ ไปในลาํ น้ําสาย เลก็ ไดห้ รอื ไม่ สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดาํ รงราชานุภาพ ไดท้ รงมพี ระอธบิ ายไวว้ า่ “สมเดจ็ พระนเรศวร มหาราชทรงเรอื เร็วไล่ตามเรือสําเภาพระยาจีนจนั ตุท่ีจะหนีไปเมอื งเขมร เสด็จไปทนั ท่ี ปากน้ําเจา้ พระยาทรงยงิ พระแสงปืนต่อสูก้ บั พวกพระยาจนี จนั ตุ จนเรอื สําเภาไดล้ มแล่นใบ ออกทะเล เรอื พระทน่ี งั่ จะตามออกไปไมไ่ ดจ้ งึ เสดจ็ กลบั อกี ครงั้ หน่ึงเมอ่ื ต่อสกู้ องทพั เชยี งใหม่ ทต่ี ําบลป่าโมกขน์ ้อย สมเดจ็ พระนเรศวรฯ กบั สมเดจ็ พระเอกาทศรถทรงเรอื พระองคล์ ะลํา ยงิ พระแสงปืนรบขา้ ศกึ ซง่ึ อยบู่ นบก สมเดจ็ พระเอกาทศรถเหน็ ลกู ปืนขา้ ศกึ ยงิ เรอื พระเชษฐา หนามาก จงึ เอาเรอื ลําทท่ี รงเองเขา้ บงั เรอื สมเดจ็ พระนเรศวร ความในเร่อื งพงศาวดารตอน ทว่ี า่ น้ีสอ่ ใหเ้ หน็ วา่ น่าจะมเี รอื เรว็ เป็นเรอื พระทน่ี งั่ สาํ หรบั ทรงเสดจ็ เขา้ รบพงุ่ เอง” อน่ึง สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้ากรมพระยานรศิ รานุวดั ตวิ งศ์กท็ รงมพี ระอธบิ ายไปในทศิ ทาง เดยี วกนั คอื “เรอื พระทน่ี ัง่ ซง่ึ ทรงอยใู่ นเวลาปกตนิ ัน้ ควรใชเ้ รอื ใหญ่ เพราะจะประทบั อยสู่ บาย แต่ถ้าเอาใชเ้ ขา้ รบดว้ ยแลว้ จะอุย้ อา้ ยไม่ทนั ท่วงที ทงั้ กดี ม่านอนั กนั้ ไวเ้ พ่อื ปกปิดรุงรงั เวลา เสดจ็ เขา้ ประจญศกึ จะตอ้ งเปลย่ี นเรอื พระทน่ี งั่ ทรง เป็นเรอื เพรยี วเรอื เรว็ ไลห่ นีไดค้ ลอ่ งแคล่ว\" ๑๑๖
(สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ และสมเดจ็ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานรศิ รานุวดั ตวิ งศ์, ๒๕๐๔ข: ๖๘, ๘๘ - ๘๙) นอกจากน้ีหลกั ฐานสมยั อยธุ ยาถงึ สมยั รตั นโกสนิ ทร์ ไมเ่ คยปรากฏหลกั ฐานวา่ มกี าร ใชเ้ รอื พระราชพธิ ใี นการออกรบแต่ประการใดดงั หลกั ฐานต่อไปน้ี ๑. จากขอ้ ความในเอกสารเร่อื ง ยวนพา่ ย เม่อื สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถเสดจ็ ยก ทพั เรอื เพอ่ื ทจ่ี ะขน้ึ ไปตเี มอื งเชลยี ง ในกล่าวถงึ เรอื หลายประเภท เชน่ เรอื แผดง เรอื โยง เรอื หุ้ม เรือห่อ เรือแห่ เรือคฤห เรือแคร่ เรือเคร่ือง เรือครัว เรือซา และเรือแซ (ราชบณั ฑติ ยสถาน, ๒๕๔๔: ๑๙๕ – ๙๗) ๒. จากขอ้ ความในพระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาไดก้ ล่าวว่า “พม่ายงิ ปืนมาถูกนายเรกิ คนหน่ึง ซ่ึงยนื รําดาบสองมอื อยู่หน้าเรอื ตกลง” (กรมศลิ ปากร, ๒๕๑๑: ๔๙๖) ถา้ พจิ ารณาจากขอ้ ความแสดงวา่ เรอื รบไมม่ หี วั เรอื เพราะไมเ่ ชน่ นัน้ นายเรกิ จะราํ ดาบ ทห่ี น้าเรอื ไดอ้ ยา่ งไร ๓. จากข้อความในคําให้การขุนหลวงวดั ประดู่ทรงธรรม (คณะกรรมการชําระ ประวตั ศิ าสตร,์ ๒๕๓๔: ๗ – ๘) ไดก้ ล่าวถงึ โรงเรอื ทต่ี งั้ อยนู่ อกกําแพงเมอื งกรุงศรอี ยธุ ยาได้ แบง่ เป็น โรงเรอื รบน้ําจดื โรงเรอื ทะเลใหญ่ และโรงเรอื พระทน่ี ัง่ ซง่ึ จะมเี รอื หวั รปู สตั วร์ วมอยู่ ดว้ ย จงึ หมายความวา่ คนครงั้ กรุงเก่าไดแ้ ยกเรอื พระทน่ี งั่ เรอื หวั รปู สตั วอ์ อกจากเรอื รบ ๔. จากขอ้ ความลลิ ติ เสดจ็ ไปขดั ทพั พม่าเมอื งกาญจนบุรี พระนิพนธ์ใน สมเดจ็ พระ บวรราชเจา้ มหาศกั ดพิ ลเสพ (๒๕๔๕: ๑๔๕ – ๑๕๑) ตอนทพ่ี รรณนาถงึ ขบวนทพั เรอื ไม่มี การกลา่ วถงึ เรอื หวั รปู สตั วแ์ ละเรอื ไชยในขบวนทพั ๕. ในลลิ ติ กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค พระนิพนธใ์ นสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานุชติ ชโิ นรส (๒๕๓๙: ๑๑๖.) ไดก้ ล่าวไวอ้ ยา่ งชดั เจนวา่ ขบวนพยหุ ยาตราทาง ชลมารคใชใ้ นงานกฐนิ ตามความดงั น้ี “ราชูทศิ ทานกฐนิ เสดจ็ ทางสนิ โธทก ตกแต่งพยุหยา ตรา ขบวนนาวาเรยี งเรยี บ” ๖. จากขอ้ ความในตอนทา้ ยพระราชพงศาวดารกรุงรตั นโกสนิ ทร์ รชั กาลท่ี ๓ และ รชั กาลท่ี ๔ ระบุว่า “แล้วโปรดให้ช่างทําเรอื พระท่ีนัง่ กราบ พระท่ีนัง่ ประกอบข้นึ ไว้เป็น เกยี รตยิ ศสาํ หรบั แผน่ ดนิ ” (เจา้ พระยาทพิ ากรวงศ,์ ๒๔๘๑: ๓๕๘) และ “แลว้ ทรงพระราชดาํ ริ ว่า พระเจ้าแผ่นดินท่ีล่วงมาแล้วก็ได้ทรงกระทําเรือพระท่ีนัง่ ข้นึ ไว้สําหรบั แผ่นดิน เป็น เกยี รตยิ ศทงั้ ๓ แผน่ ดนิ แลว้ ” เจา้ พระยาทพิ ากรวงศ์ (ขาํ บนุ นาค) ๗. เมอ่ื ตอนทเ่ี จา้ พระยาภูธราภยั (นุช บุณยรตั พนั ธุ)์ และเจา้ พระยามหนิ ทรศกั ดิ ธํารง (เพง็ เพญ็ กุล) เป็นแม่ทพั ปราบฮ่อ ไดม้ กี ารจดบนั ทกึ เก่ยี วกบั เรอื ของแม่ทพั ขณะเขา้ เฝ้าพระเจ้าอยู่หวั ไว้ว่า “ท่ีโขลนทวารนัน้ มีเรือกันยาดาดผ้าขาวบนหลงั คา ๒ ลํา” “เรือ เจา้ พระยามหนิ ทรศกั ดธิ าํ รงนัน้ เปนเรอื ยาวมกี นั ยาธรรมเนียม” (หนงั สอื Court ขา่ วราชการ ๑๑๗
เจา้ นาย ๑๑ พระองคท์ รงชว่ ยกนั แต่ง เลม่ ๑, ๒๕๓๙: ๔๗, ๕๐) ซง่ึ เป็นทน่ี ่าสงสยั วา่ ถา้ เรอื พระราชพธิ ยี กออกไปเอกสารชน้ิ น้ีกค็ วรทจ่ี ะบนั ทกึ ไว้ ขบวนเรือพระราชพิธีไม่ใช่ขบวนเสดจ็ พระราชดาํ เนินโดยทวั่ ไป โดยทวั่ ไปพระมหากษัตริย์จะไม่เสด็จพระราชดําเนินออกออกนอกพระราชฐาน นอกจากเสดจ็ พระราชดาํ เนินในงานพระราชพธิ ี เช่น ถวายผา้ พระกฐนิ เป็นตน้ ดงั นนั้ เราจะ มนั่ ใจไดอ้ ย่างไรว่าขบวนเสดจ็ พระราชดําเนินจะมลี กั ษณะเหมอื นกบั ขบวนเรอื พยุหยาตรา ทางชลมารค ทงั้ น้ีเพราะ ๑. การตงั้ ขบวนพยุหยาตราทางชลมารคอย่างถวายผา้ พระกฐนิ จะตอ้ งเกณฑไ์ พร่ พลจํานวนมากพอทม่ี าประจําในเรอื พระราชพธิ ี รวมถงึ ขุนนางทเ่ี ป็นนายเรอื ดงั นัน้ ถา้ จะมี การเสดจ็ พระราชดาํ เนินโดยทวั่ ไปกไ็ มน่ ่าทจ่ี ะตงั้ ขบวนใหญ่ขนาดน้ี ๒. หลกั ฐานเอกสารสมยั รชั กาลคราวเสดจ็ พระราชดาํ เนินพระราชวงั เดมิ ครงั้ ตงั้ กรม สมเดจ็ เจา้ ฟ้าจาตุรนตรศั มี ไดใ้ หร้ ายละเอยี ดว่า “พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั เสดจพระ ราชดําเนินทางชลมารค ทรงเรอื พระท่นี ัง่ กลบี สมุท พรอ้ มกระบวนหน้าหลงั มเี รอื กลองนํา เสดจ ฯ”และ “พระบาทสมเดจพระเจา้ อยหู่ วั เสดจพระราชดาํ เนินทางชลมารค ทรงเรอื พระท่ี นงั่ เก๋งทองทงั้ แท่ง” (“การตงั้ กรมสมเดจพระอนุชาธริ าชเจา้ ฟ้ากรมหลวง”, ๑๒๓๗: ๓๓๗ - ๓๓๙) จากขอ้ ความในพระราชกจิ จานุเบกษา ขบวนเสดจ็ พระราชดําเนินไม่ใช่ขบวนใหญ่ เทา่ กบั ขบวนพยหุ ยาตรชลมารคถวายผา้ พระกฐนิ เรอื พระราชพิธีเกี่ยวกบั เรื่องของน้ํา หลกั ฐานทเ่ี ก่าทเ่ี ก่าสดุ ทก่ี ลา่ วถงึ เรอื ในงานพระราชพธิ ี มาตราท่ี ๑๖๓ – ๑๖๕ ของ กฎมณเฑยี รบาล คอื พระราชพธิ อี าสยชุ พระราชพธิ จี องเปรยี งลดชดุ ลอยโคม และ พระราช พธิ ไี ลเ่ รอื คอื พระราชพธิ ใี นเดอื น ๑๑ เดอื น ๑๒ และเดอื นอา้ ย ถ้าพิจารณาจากสภาพทางภูมิศาสตร์และภูมิอากาศจะพบว่าในช่วงระยะเวลา ดงั กล่าวลุ่มแม่น้ําเจา้ พระยาในอดตี ยงั เป็นช่วงน้ํายงั เจงิ่ นองทวั่ ทอ้ งทุ่ง ขา้ วในนาพรอ้ มทจ่ี ะ เกบ็ เกย่ี ว ดงั นัน้ พธิ กี รรมในช่วงน้ีจงึ เป็นการทํานายเกย่ี วกบั ความอุดมสมบรู ณ์เพอ่ื พรอ้ มท่ี จะรบั สถานการณ์ในปีถดั ไป คอื พระราชอาสยุช (แขง่ เรอื ) และในขณะเดยี วกจ็ ะน้ําในทุ่งยงั ทว่ มอยู่ ดงั นัน้ จงึ มพี ธิ กี รรมขอขมาน้ํา ออ้ นวอนน้ําใหล้ ด และไล่น้ําใหล้ ดเพอ่ื จะไดเ้ กบ็ เกย่ี ว คอื พระราชพธิ ลี ดชดุ ลอยโคมและพระราชพธิ ไี ล่น้ํา (ปรานี วงษ์เทศ, ๒๕๔๘: ๔ – ๑๕, ๑๖๖ ๑๑๘
– ๑๙๓) เพราะฉะนนั้ เมอ่ื พระราชพธิ ที งั้ ๓ น้ีเกย่ี วขอ้ งกบั น้ําและประกอบพระราชพธิ ใี นลาํ น้ํา จงึ ตอ้ งนําเรอื พระราชพธิ อี อกมา พระราชพธิ อี าสยุชจากในคําใหก้ ารชาวกรุงเก่าไดใ้ หร้ ายละเอยี ดเกย่ี วพระราชพธิ นี ้ี ว่า “พระเจ้ากรุงศรอี ยุธยาทรงเรอื พระท่นี ัง่ กงิ่ ๑ ลํา พระอคั รมเหสที รง ๑ ลํา แข่งเรอื กนั แลว้ โปรดใหเ้ สนาอํามาตยท์ งั้ หลายแขง่ เรอื กนั โดยอนั ดบั ” (กรมศลิ ปากร, ๒๕๑๕ก: ๒๖๗) ส่วนในสมยั รตั นโกสนิ ทร์ไม่มกี ารประกอบพระราชพธิ นี ้ี (พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั , ๒๕๕๕: ๓๙๖) ดงั นัน้ ถา้ เช่อื ตามคาํ ใหก้ ารชาวกรุงเก่า ในพระราชพธิ อี าสยชุ ไม่ น่าจะมกี ารออกขบวนเรอื พยุหยาตราทางชลมารคแต่ประการใด เพยี งแต่ใหเ้ รอื พระราชพธิ ี ออกมาเป็นแขง่ เป็นคๆู่ พระราชพธิ ไี ล่น้ํา ในมาตราท่ี ๑๖๕ ของกฎมณเฑยี รบาลไดใ้ หร้ ายละเอยี ดว่า พระ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ พระราชดาํ เนินพรอ้ มพระอคั รมเหสี พระสนามลกู เธอหลานเธอไปถงึ ตําแหน่ง ทา้ ยบา้ นรนุ แสดงวา่ จะตอ้ งเสดจ็ เป็นขบวนพยหุ ยาตราทางชลมารค เรอื พระราชพธิ ขี นาดเลก็ อายรุ าวชว่ งรชั กาลท่ี ๔ - ๕ สนั นิษฐานวา่ น่าจะเป็นเรอื ทใ่ี ชใ้ นงานพระราชพธิ ลี อย พระประทปี ปัจจุบนั จดั แสดง ณ พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ เรอื พระราชพธิ ี สว่ นในสมยั รตั นโกสนิ ทรไ์ ดป้ ระกอบพระราชพธิ นี ้ีสองครงั้ คอื ใน ปี จ.ศ.๑๑๔๗ และ จ.ศ.๑๑๙๓ รายละเอยี ดของพระราชพธิ ใี นปี จ.ศ.๑๑๔๗ ไม่ปรากฏ ส่วนในปี จ.ศ.๑๑๙๓ ๑๑๙
สมเดจ็ กรมพระราชวงั บวรมหาศกั ดพิ ลเสพ เสดจ็ ขน้ึ ไปแทนพระองค์ มกี ระบวนเรอื ดงั้ เรอื กนั เรอื ตาม เหมอื นอยา่ งกระบวนกฐนิ (พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั , ๒๕๕๕: ๓๙) พระราชพธิ ลี อยโคม ในคาํ ใหก้ ารชาวกรุงเก่าไดใ้ หร้ ายละเอยี ดไวว้ ่า “เวลากลางคนื พระเจา้ กรงุ ศรอี ยธุ ยาเสดจ็ ลงลอยพระประทปี อุทศิ ถวายเป็นพทุ ธบชู า แลว้ เสดจ็ ลงเรอื พระท่ี นัง่ กงิ่ ประทบั ยนื บนเรอื พรอ้ มดว้ ยเรอื เสนาอํามาตย์อนั ประดบั ดว้ ยประทปี แห่เสดจ็ รอบ พระนคร๗ (กรมศลิ ปากร, ๒๕๑๐: ๒๖๗) ในสมยั รตั นโกสนิ ทรต์ งั้ แต่รชั กาลท่ี ๑ – ๕ ยงั ปรากฏธรรมเนียมนําเรอื พระราชพธิ มี าทอดทุน่ กลางลาํ น้ํา (พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั , ๒๕๕๕: ๑๗ – ๑๙) สว่ นรายละเอยี ดเก่ยี วกบั พระประทปี ทล่ี อยนัน้ ในเอกสารสมยั อยุธยาไม่ไดก้ ล่าวถงึ แต่ในหมายรบั สงั่ สมยั รชั กาลท่ี ๑ ไดก้ ล่าววา่ “(หลวง) พรหมพจิ ติ ร (หลวง) เพช็ วกรรมช่าง เขยี นซา้ ยขวา เอาเรอื รปู สตั ว์ เรอื หยวกกระทงดอกบวั ไปสง่ ณ เรอื พระทน่ี ัง่ ” (กรมศลิ ปากร ๒๕๑๕ข: ๘๗) ดงั นัน้ จงึ เป็นการแสดงใหเ้ หน็ วา่ ในพระราชพธิ ลี อยพระประทปี นอกจากมี ออกเรอื พระราชพธิ แี ลว้ ประทปี ทท่ี รงลอยกม็ กี ารประดษิ ฐเ์ ป็นรปู เรอื ซง่ึ ทงั้ หมดชวนใหน้ ึกถงึ ประเพณไี หลเรอื ไฟในพน้ื ทส่ี องฝัง่ โขง ขบวนเรอื พยหุ ยาตราปรบั เปล่ียนตามเส้นทาง พระราชพธิ ที ม่ี กี ารนําเรอื พระราชพธิ อี อกมาใชม้ ากทส่ี ุดคอื พระราชพธิ ถี วายผา้ พระ กฐนิ ทงั้ น้ีเพราะ พระเจา้ อยหู่ วั จะเสดจ็ พระราชดาํ เนินหลายวนั แต่อย่างไรก็ตามภูมศิ าสตร์ของกรุงรตั นโกสนิ ทร์มลี ําน้ําใหญ่ด้านทศิ ตะวนั ตกคอื แม่น้ําเจา้ พระยาเพยี งดา้ นเดยี วเท่านัน้ ดงั นัน้ ขบวนพยุหยาตรทางชลมารคในพระราชพธิ ี ถวายผา้ พระกฐนิ จงึ มไี ดแ้ ต่พระอารามทต่ี งั้ อยู่รมิ แม่น้ําเจา้ พระยาเท่านัน้ ดงั ปรากฏหลกั ใน เอกสารทก่ี ล่าวถงึ ขบวนเสดจ็ พระราชทานผา้ พระกฐนิ ใน ปี พ.ศ.๒๔๑๘ สมยั ตน้ รชั กาลท่ี ๕ ขบวนพยุหยาตราทางชลมารคถวายผา้ พระกฐนิ วดั อรุณราชวราราม วดั กลั ยาณมติ ร วดั โมลี โลกและวดั ราชสทิ ธาราม เป็นเรอื ขบวนพยหุ ยาตราประกอบดว้ ยเรอื พระราชพธิ หี ลายลาํ แต่ ขบวนเสดจ็ พระราชทานผา้ พระกฐนิ วดั เครอื วลั ย์ วดั นาคกลาง วดั พระยาทํา และวดั ชโิ นรส ในเอกสารระบุวา่ “แต่เปนเรอื สาํ ปัน้ เสยี มาก ดว้ ยในวนั น้ีเสดจ็ พระราชทานพระกฐนิ ในคลอง มอญ คลองมอญนัน้ เปนคลองเลก็ ” (หนังสอื Court ขา่ วราชการ เจา้ นาย ๑๑ พระองคท์ รง ชว่ ยกนั แต่ง เลม่ ๑, ๒๕๓๙ : ๑๔๐ – ๑๔๑ , ๑๖๑ – ๑๖๖) ๗ ในคําใหก้ ารชาวกรุงเก่าระบุว่า ลอยพระประทปี ในเดอื น ๑๑ จากขอ้ มลู ของ อาจารย์ ธรี ะวฒั น์ แสนคํา ไดใ้ ห้ ขอ้ มลู วา่ ทางอสี านลอยประทปี เล่นประทดั ชว่ งหลงั ออกพรรษา ๑๒๐
ดงั นัน้ จากข้อความตอนท้ายลิลิตกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค พระนิพนธ์ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานุชติ ชโิ นรส (๒๕๓๙: ๑๑๖) ทก่ี ลา่ วถงึ พระเจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี ๓ ถวายผา้ พระกฐนิ จํานวน ๔๗ วดั ซ่งึ ในเอกสารช้นิ น้ีไม่ไดร้ ะบุว่า ๔๗ วดั มวี ดั อะไรบา้ ง แตห่ ากทงั้ ๔๗ วดั ไมค่ วรทจ่ี ะใชข้ บวนพยหุ ยาตราตามทป่ี รากฏในลลิ ติ เรอ่ื งน้ีได้ ขบวนเรือพระราชพิธีลดลงปริมาณเพราะวิทยาการจากตะวนั ตก มกั จะกล่าวกนั ว่าขบวนเรอื พยุหยาตราทางชลมารคขาดการบํารุงดูแลช่วงหลงั การ เปลย่ี นแปลงการปกครองและไดร้ บั ความเสยี เป็นอย่างมากในช่วงสงครามโลกครงั้ ท่ี ๒ แต่ อย่างไรกต็ ามเรอื พระท่นี ัง่ ในขบวนเรอื พระราชพธิ ไี ดเ้ รม่ิ บทบาทลงในช่วงสมยั รชั กาลท่ี ๔ ทงั้ น้ีเพราะวทิ ยาการการตอ่ เรอื กลไฟจากตะวนั ตก และทางราชสาํ นักมองวา่ การต่อเรอื กลไฟ กเ็ ป็นเกยี รตยิ ศเหมอื นกบั การทําเรอื พระราชพธิ ตี ามแบบโบราณ ดงั นัน้ จะเหน็ ไดว้ า่ ในพระ ราชพงศาวดารกรุงรตั นโกสนิ ทร์ รชั กาลทฉ่ี บบั เจา้ พระยาทพิ ากรวงศ์ (ขาํ บุนนาค) (๒๕๐๗: ๒๐๘) ท่ไี ดก้ ล่าวไวว้ ่า “แผ่นดนิ พระบาทสมเดจ็ ฯ พระพุทธเลศิ หลา้ นภาลยั และแผ่นดนิ พระบาทสมเดจ็ ฯ พระนัง่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั เรอื กลไฟหามไี ม่ มแี ต่เรอื กําปัน่ บา้ นเมอื งเดยี๋ วน้ีก็ สมบรู ณ์กเ็ จรญิ ขน้ึ พอจะสรา้ งเรอื รบกลไฟขน้ึ ไวส้ าํ หรบั พระนคร และลาดตระเวนใหเ้ ป็นพระ เกยี รตยิ ศบา้ ง” ตอ่ มาเมอ่ื ความเจรญิ ทางดา้ นการเดนิ เรอื จากตะวนั ตกหลงั่ ไหลเขา้ มา ราชสาํ นักเรม่ิ ท่ีจะต้องปรบั ตวั ให้เขา้ กับตะวนั ตกให้มากข้นึ เพ่อื ความเป็นศวิ ไิ ลซ์ ความรวดเร็ว ความ สะดวกสบายในการคมนาคม ดงั นัน้ จงึ ไม่มกี ารต่อเรอื พระราชพธิ จี ํานวนมากเหมอื นกบั ครงั้ ตน้ กรุงหรอื ถา้ จะตอ่ ใหมก่ ต็ อ่ เพยี งลาํ สองลาํ เพอ่ื ใหเ้ ป็นเกยี รตยิ ศพอประมาณ แต่เรอื พระราช พธิ ขี องเดมิ กร็ กั ษาพอใหป้ ระกอบพระราชพธิ คี งเป็นพระเกยี รตยิ ศตามแบบจารตี เทา่ นนั้ สําหรบั กระบวนพยุหยาตราทางชลมารคท่ถี ือเป็นเกยี รตยิ ศครงั้ สุดทา้ ยในระบบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์คือ ขบวนเสด็จพระราชดําเนินคราวฉลองพระนคร ๑๕๐ ปี (ดู รายละเอยี ดกรมศลิ ปากร, ๒๕๒๔: ๑๖๑ – ๑๖๒) ต่อมาอกี ๒ เดอื นกเ็ กดิ การเปลย่ี นแปลง การปกครอง หลงั จากนัน้ เป็นต้นมาก็ไม่มขี บวนพยุหยาตราทางชลมารค จนกระทงั่ งาน ฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ จงึ ไดม้ กี ารจดั ขบวนพยุหยาตราทางชลมารคใหม่อกี ครงั้ และจะมี การจดั ถ่มี ากในช่วง ๒๕๐๒ – ๒๕๑๐ ซ่งึ ถอื ว่าเป็นการร้อื ฟ้ืนพระราชประเพณีในสมยั ก่อน เปลย่ี นแปลงการปกครองทข่ี าดหายไปกวา่ ๒๕ ปีซง่ึ ถอื วา่ เกอื บจะลมื เลอื นไปจากสงั คมแลว้ แต่ขบวนพยุหยาตราสถลมารคหลงั เปลย่ี นแปลงปกครองมจี ดั อยคู่ รงั้ เดยี วคอื คราว พระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษกรชั กาลปัจจุบนั มจี ดั แต่คราวเฉลมิ พระชนมพรรษา ๓ รอบ จดั เป็น ๑๒๑
ขบวนพยหุ ยาตราใหญ่ (พลตรี หมอ่ มทววี งศถ์ วลั ยศกั ด,ิ์ ๒๕๑๔: ๒๒) ดว้ ยเหตุความทรงจาํ เกย่ี วกบั ขบวนพยหุ ยาตราทางสถลมารคจงึ มนี ้อยมากในสงั คม ดงั นนั้ จงึ น่าทจ่ี ะพอเช่อื ไดว้ า่ ความรแู้ ละความเขา้ ใจเกย่ี วกบั เรอื พระราชพธิ ขี องยุค สมยั น้ี (พ.ศ.๒๕๕๘) น่าจะเกดิ ขน้ึ จากการรอ้ื พระราชประเพณใี นชว่ ง ปี พ.ศ.๒๕๐๒– ๒๕๑๐ เพยี งเทา่ นนั้ กิตติกรรมประกาศ ขอขอบพระคุณ อาจารยพ์ เิ ศษ เจยี จนั ทรพ์ งษ์ ผทู้ รงคุณวฒุ แิ ห่งกรมศลิ ปากร และอาจารย์ สุจติ ต์ วงษ์เทศ ทแ่ี นะนําขอ้ มลู ท่เี ป็นประโยชน์ รวมถงึ พพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี ท่ี เออ้ื เฟ้ือขอ้ มลู และใหค้ วามอนุเคราะหใ์ นการถ่ายภาพ รายการอ้างอิง กรมศลิ ปากร. นางนพมาศหรือตาํ รบั ท้าวศรีจฬุ าลกั ษณ์ กรุงเทพฯ: กรมศลิ ปากร, พมิ พใ์ นงาน พระราชทานเพลงิ ศพนางสะลไู ร ตุลยายนม, ๒๕๐๗. กรมศลิ ปากร. พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร, พมิ พเ์ ป็น อนุสรณ์ในงานบรรจศุ พคณุ พอ่ ไตล้ ง้ พรประภา, ๒๕๑๑. กรมศลิ ปากร. คาํ ให้การชาวกรงุ เก่า คาํ ให้การขนุ หลวงหาวดั และพระราชพงศาวดารกรงุ เก่าฉบบั หลวงหลวงประเสริฐอกั ษรนิต์ิ. กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๑๕ก. กรมศลิ ปากร. “ตําราแบบธรรมเนียมในราชสาํ นัก” ลทั ธิธรรมเนียมต่างๆ กรุงเทพ ฯ : กรม ศลิ ปากร, ๒๕๑๕ข. กรมศลิ ปากร. พระราชพิธีฉลองพระนครครบ ๑๕๐. กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๒๔. “การตงั้ กรมสมเดจพระอนุชาธริ าชเจา้ ฟ้ากรมหลวง” ราชกิจจานุเบกษา วนั อาทติ ย์ เดอื น ๓ ขน้ึ ๕ ค่าํ จ.ศ. ๑๒๓๗ : ๓๓๗. คณะกรรมการชําระประวัติศาสตร์. คําให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการชาํ ระประวตั ศิ าสตร,์ ๒๕๓๔. เจ้าพระยาพระคลงั (หน). “ลลิ ติ พยุหยาตราเพชรพวง” วรรณคดีเจ้าพระยาพระคลงั (หน) กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๑๕. เจา้ พระยาทพิ ากรวงศ์ (ขาํ ). พระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสินทร์ รชั กาลที่ ๓. กรงุ เทพ : กรม ศลิ ปากร.พมิ พแ์ จกเป็นท่รี ะลกึ ในงานพระราชทานเพลงิ ศพ ท่านผูห้ ยงิ วงษานุประพนั ธ์ ตาด สนิทวงศ์ ณ อยธุ ยา), ๒๔๘๑. ๑๒๒
เจา้ พระยาทพิ ากรวงศ์ (ขาํ ). พระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสินทร์ รชั กาลที่ ๔. กรุงเทพ: กรม ศลิ ปากร, พมิ พแ์ จกเป็นทร่ี ะลกึ ในงานพระราชทานเพลงิ ศพ นางอนงค์ เฑยี รฆราษ, ๒๕๐๗. นนั ทา วรเนตวิ งศ.์ “การทอ่ งเทย่ี ว การเดนิ ทางและการผจญภยั ของ เฟอรด์ นิ นั ด์ แมนเดซ ปินโต” รวมเรื่องแปลหนังสือและเอกสารประวตั ิศาสตร์ ชดุ ท่ี ๓ กรุงเทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๕๕. นิธิ เอยี วศรวี งศ.์ “โลกของนพมาศ” ปากไก่และใบเรอื กรงุ เทพฯ: อมรนิ ทรก์ ารพมิ พ,์ ๒๕๒๗. ปรานี วงษ์เทศ. ประเพณี ๑๒ เดือน ในประวตั ิศาสตรส์ งั คมวฒั นธรรม เพ่ือความอย่รู อดของ คน. กรงุ เทพฯ: ศลิ ปวฒั นธรรม, ๒๕๔๘. พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั . พระราชพิธีสิบสองเดือน. กรุงเทพฯ: หอรตั นชยั การ พมิ พ,์ ๒๕๕๕. พริ ยิ ะ ไกรฤกษ์. พทุ ธศาสนานิทานเจดียจ์ ลุ ปะโทน. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พพ์ ระจนั ทร,์ ๒๕๑๗. เมธนิ ี จริ ะวฒั นา. กลองมโหระทึกในประเทศไทย. กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๔๖. ราชบณั ฑติ ยสถาน. พจนานุกรมศพั ท์วรรณคดีไทยสมยั อยุธยา โคลงยวนพ่าย. กรุงเทพฯ: ราชบณั ฑติ ยสถาน, ๒๕๔๔. สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ และ สมเดจ็ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานรศิ รานุวดั ติวงศ์. สาส์น สมเดจ็ เล่ม ๒. กรงุ เทพฯ: องคก์ ารคา้ คุรสุ ภา, ๒๕๐๔ก. สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ และ สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้ากรมพระยานรศิ รานุวดั ติวงศ์. สาส์น สมเดจ็ เล่ม ๑๒. กรงุ เทพฯ: องคก์ ารคา้ คุรสุ ภา, ๒๕๐๔ข. สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟ้ากรมพระยานรศิ รานุวดั ตวิ งศ์. “พระวจิ ารณ์” ตาํ ราธรรมเนียมในราชสาํ นักครงั้ กรงุ ศรีอยุธยา. กรุงเทพฯ: กรมศลิ ปากร, สมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั ทรงพระกรุณาโปรด เกล้า ฯ ใหพ้ มิ พ์พระราชทานในงานพระศพ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจา้ ประภา พรรณพไิ ลย, ๒๔๙๓. สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาศกั ดพิ ลเสพ “ลลิ ติ เสดจ็ ไปขดั ทพั พม่าเมอื งกาญจนบุร”ี พระบวรราช นิพนธ์ เล่ม ๑. กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๔๕. สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานุชติ ชโิ นรส. ลิลิตกระบวนพยหุ ยาตราทางชลมารคและ สถลมารค. กรงุ เทพฯ: วดั พระเชตุพนวมิ ลมงั คลาราม, ๒๕๓๙. สนั ต์ ท.โกมลบุตร, แปล. ประวตั ิศาสตรธ์ รรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจกั รสยาม กรงุ เทพฯ: สาํ นกั พมิ พก์ า้ วหน้า, ๒๕๐๖. สนั ต์ ท.โกมลบุตร, แปล. ราชอาณาจกั รสยามโดย มร. เดอะ ลา ลูแบร.์ กรงุ เทพฯ: สาํ นกั พมิ พ์ กา้ วหน้า, ๒๕๑๐. สจุ ติ ต์ วงษ์เทศ. เรอื พระราชพิธีและเห่เรือมาจากไหน กรงุ เทพฯ: โพสต์ พบั ลชิ ชงิ , ๒๕๕๔. ๑๒๓
หมอ่ มทววี งศถ์ วลั ยศกั ด.ิ ์ “พระราชพธิ ปี ระจาํ ปีในรชั กาลปัจจุบนั ” ประเพณีในพระราชสาํ นัก (บาง เรื่อง) กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พพ์ ระจนั ทร,์ พมิ พฉ์ ลองพระคุณในงานพระราชทานเพลงิ ศพ หมอ่ มทววี งศถ์ วลั ยศกั ด,ิ ์ ๒๕๑๐. หนังสือ Court ข่าวราชการ เจ้านาย ๑๑ พระองคท์ รงช่วยกนั แต่ง เล่ม ๑ . กรงุ เทพฯ: สาํ นกั พระราชวงั , ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ มิ พพ์ ระราชทานในงานพระราชพธิ ถี วาย พระเพลงิ พระบรมศพ สมเดจ็ พระศรนี ครนิ ทราบรมราชชนนี, ๒๕๓๙. Hà Thúc Cân. The Bronze Dong Son Drums. S.l. : s.n., ๑๙๘๙. M. Jacq – Hergoualc’h. L’armement et l’organisation de l’armée Khmère. Paris: Universi taires de France, ๑๙๗๙. P. Pelliot. Mémoires sur les Coutumes du Cambodge de Tcheou Ta – Kouan. Paris: Librairie d’Amérique et d’Orient, ๑๙๕๔. Robert B. Fox. The Tabon caves: archaeological explorations and excavations on Palawan island, Philippines. Manila: National Museum, ๑๙๗๐. ๑๒๔
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126