Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 20200612-ลอยกระทง

20200612-ลอยกระทง

Published by Thalanglibrary, 2020-06-16 01:59:20

Description: 20200612-ลอยกระทง

Search

Read the Text Version

ประเพณีลอยกระทงกรงุ กมั พชู า รองศาสตราจารย์ ดร.ศานติ ภกั ดีคาํ ภาควชิ าภาษาไทยและภาษาตะวนั ออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ ประเพณลี อยกระทงมชี อ่ื เรยี กในภาษาเขมรวา่ “บอ็ ณแฎตปรอตปี (บณฺแฎตปรฺ ทปี )” เขยี นเป็นภาษาเขมรว่า “បែណដ្ ត្របទីប” โดยคําวา่ “បែណ្ដ ត” แปลว่า “ลอย” คําว่า “្របទីប” แปลว่า “ประทปี ” แปลรวมกนั แปลว่า “ลอยประทปี ” ถอื เป็นประเพณีทส่ี ําคญั ประเพณีหน่ึง ของประเทศกมั พูชา ปัจจุบนั จะจดั ขน้ึ ร่วมกบั ประเพณีบุณยอ์ มตูก (ประเพณีแข่งเรอื ) และ ประเพณซี อ็ มเปียะเปรยี ะแค (ไหวพ้ ระแข) ปัจจุบนั คนไทยอาจจะรูจ้ กั ประเพณีของกมั พชู าทงั้ ๓ ประเพณีน้ีรวมๆ กนั ไปในช่อื “เทศกาลน้ํา” ตามทแ่ี ปลมาจากภาษาองั กฤษวา่ The Water Festival ซง่ึ จดั มขี น้ึ ในระหวา่ ง วนั ข้นึ ๑๔ ค่ํา เดอื น ๑๒ ไปจนถงึ วนั แรม ๑ ค่ํา เดอื น ๑๒ ของทุกปี รวมเวลาในการจดั ประเพณนี ้ีทงั้ หมด ๓ วนั อยา่ งไรกต็ าม การลอยประทปี ไมใ่ ชป่ ระเพณใี หมแ่ ต่เป็นประเพณสี าํ คญั ของกมั พชู า ท่ีปรากฏหลักฐานมาตงั้ แต่สมยั พระนคร สมยั หลงั พระนคร สบื มาจนถึงสมยั ปัจจุบนั มี รายละเอยี ดดงั น้ี การลอยประทีปและประเพณีเดือน ๑๒ สมยั พระนคร หลกั ฐานเก่ยี วกบั ประเพณีลอยประทปี ของกมั พูชาท่เี ก่าแก่ท่สี ุดน่าจะได้แก่ ภาพ สลกั ศลิ าทร่ี ะเบยี งคดของปราสาทบายน ชนั้ ท่ี ๑ ตรงมุมทศิ ตะวนั ออกเฉียงใต้ ในเขตเมอื ง นครธม จงั หวดั เสยี มเรยี บ (เสยี มราฐ) ประเทศกมั พชู า ภาพสลกั น้ีน่าจะเกย่ี วขอ้ งกบั ประเพณีลอยประทปี สมยั พระนคร โดยน่าจะมอี ายุอยู่ ในราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๘ เพราะไมท่ ราบปีทส่ี รา้ งแน่ใจ แต่สรา้ งในสมยั ของพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.๑๗๒๔-๑๗๖๒) ภาพสลกั ดังกล่าวเป็นภาพสตรีฝ่ ายใน ทรงเครอ่ื งอยา่ งนางกษตั รยิ ถ์ อื กระทงทท่ี าํ เป็นรปู ดอกบวั กาํ ลงั บชู าและลอยไปตามกระแสน้ํา แสดงใหเ้ หน็ วา่ ในเวลานนั้ ประเทศกมั พชู าน่าจะมปี ระเพณลี อยกระทงแลว้ ๔๙  

ภาพสลกั หนิ เล่าเรอ่ื งการลอยกระทงลอยประทปี ทป่ี ราสาทบายน ประเทศกมั พชู า ดา้ นล่างเป็นเหล่านางสนมชาววงั นงั่ เรยี งแถวถอื กระทงไปลอยทท่ี า่ น้ํา ดา้ นบนเป็นกษตั รยิ ท์ รงประทบั อยใู่ นเรอื พรอ้ มพระมเหสแี ละนางสนม ภาพสลกั ขา้ งต้นอาจสมั พนั ธ์ประดบั ประทปี โคมไฟในประเพณีเดอื น ๑๒ (เดอื น กตั ตกิ ) ดงั ปรากฏหลกั ฐานในหนังสอื “บนั ทกึ วา่ ดว้ ยขนบธรรมเนียมประเพณขี องเจนิ ล่า” ซง่ึ เขยี นโดยโจวตา้ กวน (Zhou Daguan) ทตู ชาวจนี เดนิ ทางเขา้ มาอยใู่ นเมอื งพระนครระหวา่ ง พ.ศ.๑๘๓๙-๑๘๔๐ ตรงกบั รชั กาลพระเจา้ ศรนี ทรวรมนั ในบนั ทกึ ของเขาไดก้ ลา่ วถงึ พระราช พธิ เี ดอื นสบิ สอง (กตั ตกิ ) ความวา่ “...คนเหลา่ น้ีถอื เอาเดอื น ๑๐ ของจนี เป็นเดอื นแรกของปีใหม่ เดอื นนนั้ ชอ่ื วา่ เกยี เต๋อ เบ้อื งหน้าพระราชวงั เขาปลูกรา้ นใหญ่ไว้ ๑ รา้ น บรรจุคนไดพ้ นั กว่าคน ตามประทปี โคมไฟ และประดบั ประดาดว้ ยดอกไม้ ขา้ งหน้ารา้ นนัน้ ห่างออกไป ๒๐ จา้ ง ใชไ้ มต้ ่อกนั เป็นรา้ นสูง รปู ลกั ษณะคลา้ ยกบั นงั่ รา้ นทใ่ี ชใ้ นการสรา้ งสถปู มคี วามสงู ๒๐ กวา่ จา้ งเหน็ จะได้ แต่ละคนื เขาจะปลกู รา้ นสามสร่ี า้ นหรอื หา้ หกรา้ น บนรา้ นเหล่านัน้ เขาเอาดอกไมไ้ ฟ แลประทดั ไปวางไว้ ซง่ึ ในการน้ีทางจงั หวดั ต่างๆ ในความปกครองและตามบา้ นเรอื นของขุน นางเป็นผรู้ บั ภาระคา่ ใชจ้ า่ ย พอตกค่าํ กก็ ราบทลู เชญิ พระเจา้ แผน่ ดนิ เสดจ็ พระราชดาํ เนินทอดพระเนตร เขากจ็ ุด ดอกไมไ้ ฟและประทดั ขน้ึ ดอกไมไ้ ฟนนั้ แมจ้ ะอยหู่ า่ งนอกระยะ ๑๐๐ ล้ี กม็ องเหน็ ไดท้ วั่ ทุกคน สว่ นประทดั ใหญ่เทา่ กบั ปืนใหญ่ยงิ ศลิ า เสยี งดงั สะเทอื นไปทวั่ ทงั้ นคร ๕๐  

พวกขุนนางและเจา้ นายแต่ละคนได้รบั แจกเทยี นเล่มใหญ่และหมาก สน้ิ ค่าใชจ้ ่าย เป็นอนั มาก พระเจา้ แผน่ ดนิ ทรงเชญิ พวกราชทตู ไปชมดว้ ยเหมอื นกนั เป็นอยดู่ งั น้ีครง่ึ เดอื นก็ ยตุ .ิ ..” (เฉลิม ยงบุญเกิด, ๒๕๔๓: ๒๕ – ๒๖) อยา่ งไรกต็ าม ในบนั ทกึ ของโจวตา้ กวนกลบั กล่าวเพยี งเร่อื งของการประดบั ประทปี โคมไฟและการเล่นดอกไมไ้ ฟเท่านัน้ แต่ไม่ไดก้ ล่าวถงึ การลอยประทปี หรอื การลอยกระทง อาจเป็นเพราะเขาอาจไม่ได้บนั ทกึ ไว้ หรอื ประเพณีอาจมกี ารเปล่ยี นแปลงไปในสมยั ทเ่ี ขา เดนิ ทางมาถงึ เหล่านางสนทกาํ นลั กาํ ลงั ถอื กระทงไปลอยทท่ี า่ น้ําจากภาพสลกั ทป่ี ราสาทบายน ประเพณีลอยประทีปสมยั หลงั พระนคร ประเพณีลอยประทปี ของกมั พชู ายงั ปรากฏหลกั ฐานใหเ้ หน็ ไดใ้ นสมยั หลงั พระนคร ซ่งึ ร่วมสมยั กบั สมยั อยุธยาและรตั นโกสนิ ทรข์ องไทย กล่าวคอื ปรากฏหลกั ฐานการกล่าวถงึ ประเพณีลอยประทปี ในพระราชพธิ ขี องกมั พูชาสมยั สมเดจ็ พระศรสี ุรโิ ยพรรณ แต่ประเพณี ลอยประทปี ในยคุ นนั้ ระบวุ า่ จดั ขน้ึ ในเดอื น ๑๑ (อสั สยชุ ) ดงั น้ี ๕๑  

“...ขา้ งพทุ ธศาสตรน้ี ครนั้ เดอื น ๑๑ ขา้ งแรม สงั่ ใหเ้ จา้ พนกั งานแต่งขนมสรรพผลไม้ ใส่กระจาดใหญ่ ๕ กระจาดๆ นัน้ มกี ระโจมหลงั คาใส่เรอื ขนานใหญ่ไปทอดไวป้ ระจําท่า นัย หน่ึงจงึ ใหน้ ํามาซง่ึ ฝ้ายดอกทาํ พมุ่ ปักเป็นดอกไม้ ๕ พมุ่ แลว้ ใสเ่ รอื ขนานทอดเคยี งกนั กบั เรอื ขนานกระจาดนนั้ มกี ระโจมประดบั พุม่ เป็นอนั ดี กบั ทงั้ เคร่อื งสกั การบูชาขา้ วตอกดอกไมส้ ําหรบั จบพระหตั ถ์นมสั การพระพุทธบาทพระเจา้ กลางมหาสมทุ รและนาคพภิ พ ครนั้ จบพระหตั ถ์แลว้ เพลาพลบค่าํ เจา้ พนักงานจุดบชู า และใหน้ างพระคงคาลอยไป ถวายพระพุทธบาทพระเจา้ ณ กลางพระมหาสมุทรและนาคพภิ พ แลว้ ใหเ้ จา้ พนักงานตาม รกั ษากวา่ จะรุง่ แลว้ เกบ็ ไว้ ครนั้ ณ วนั แรม ๗ ค่ําเพลาเชา้ กษตั รยิ ท์ งั้ ๒ พระองค์ลงเรอื พระทน่ี ัง่ แห่ไปถงึ เรอื ขนานกระจาด และเรอื ฝ้ายนนั้ แลว้ ใหห้ ยุดกระบวนไว้ แลว้ ใหถ้ อยเรอื ขนานกระจาดและเรอื ฝ้ายเล่อื นเขา้ มาหน้าพระท่นี ัง่ แล้วทรงจบพระหตั ถ์ แลว้ สงั่ ใหเ้ จ้าพนักงานแห่นําไปถวาย พระสงั ฆราชทงั้ ๕ วดั เมอ่ื ขณะเสดจ็ ทรงถวายพระกฐนิ นนั้ แต่เรอื ฝ้ายนนั้ เพลาค่าํ ใหบ้ ชู าแลว้ ลอยไป แลว้ เสดจ็ กลบั ส่พู ระราชวงั สงั่ เจา้ พนักงานใหต้ กแต่งเคร่อื งอฐั บรกิ ขารกบั ผา้ ๕ ไตรไวเ้ ป็นพระ มหากฐนิ จะเสดจ็ พระราชดาํ เนินไปทางสถลมารค ตงั้ พยหุ บาตรกระบวน แห่เป็นการใหญ่ไว้ ใหพ้ รอ้ มทุกพนกั งาน ครนั้ ไดศ้ ุภวารฤกษ์แรม ๘ ค่ําเพลาเชา้ สมเดจ็ พระราชโองการเสดจ็ ทรงชา้ งพระท่ี นัง่ กระโจมทองจาํ ลองล้าํ อลงกฎกําหนดถงึ พระอาราม ทรงถวายพระมหากฐนิ ทงั้ ๕ วดั แลว้ เสดจ็ กลบั มาสพู่ ระมนเทยี รมหาปราสาทนนั้ ...” (กรมศลิ ปากร, ๒๔๘๑: ๕๕-๕๗) เช่นเดยี วกบั ราชพงศาวดารกรุงกมั พูชา กล่าวถึงประเพณีลอยประทีปในรชั กาล สมเดจ็ พระหรริ กั ษรามาอศิ ราธบิ ดี (พระองค์ด้วง) ว่าเป็นพระราชพธิ ที ่จี ดั ข้นึ ในเดอื น ๑๑ ดงั น้ี “...ในเดอื น ๑๑ (ก) วนั เพญ็ ข้นึ ๑๕ ค่ํา วนั ออกพระวสั สา ทรงให้ลอยประทปี ไป ถวายพระเขย้ี วแกว้ ทพ่ี ภิ พนาค ๓ วนั แลมกี ารพายเรอื แขง่ ดว้ ย (ข) เสดจ็ ทรงพระราชดาํ เนิน ไปทอดพระกฐนิ ตามพระอารามหลวงโดยลาํ ดบั ...” (กรมศลิ ปากร, ๒๕๑๓: ๓๑๑) สอดคล้องกบั นิราศนครวดั พระนิพนธ์สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ทรง บนั ทึกไว้ว่าในเดือน ๑๑ รชั กาลสมเด็จพระศรีสวสั ดิ์ ประเทศกมั พูชามพี ระราชพิธีลอย ประทปี ดงั ความในพระนิพนธว์ า่ “...ในพงศาวดารกรุงกมั พชู าวา่ มพี ธิ ลี อยประทปี ๓ วนั และมกี ารแขง่ เรอื ไมเ่ กย่ี วแก่ พระสงฆ์ พระจงึ ไมเ่ ล่า พระเล่าแต่เร่อื งเสดจ็ กฐนิ ว่าเดยี๋ วน้ีเสดจ็ ทอดแต่ ๔ วดั สมเดจ็ พระ ๕๒  

ศรสี วสั ดเิ์ สดจ็ ไปรถยนต์ ใหก้ ระบวนไปคอยรบั อยู่ทว่ี ดั ไม่ไดแ้ ห่พยุหยาตราเช่นครงั้ สมเดจ็ พระนโรดม...” (สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดาํ รงราชานุภาพ, ๒๕๑๗: ๕๗) ประเพณีลอยประทีปกรงุ กมั พชู าในยคุ ปัจจบุ นั หลกั ฐานเก่ียวกบั ประเพณีลอยประทีปของกมั พูชาในสมยั ปัจจุบนั นัน้ ปรากฏใน หนังสอื พระราชพธิ ที วาทศมาสของขุนอุดมปรชี า เป็นนักวชิ าการในพุทธศาสนบณั ฑติ ของ กมั พชู า ผเู้ ชย่ี วชาญวฒั นธรรมกมั พชู าไดอ้ ธบิ ายวา่ พธิ ลี อยประทปี จดั เป็นพระราชพธิ เี ดอื น ๑๒ ซ่งึ มี ๓ พระราชพธิ ี คอื พระราชพธิ พี ายเรอื ลอยประทปี และไหวพ้ ระแข โดยพระราช พธิ พี ายเรอื จะเป็นการพายกนั ในช่วงกลางวนั ส่วนลอยประทปี และไหวพ้ ระแข (พระจนั ทร์) จะทํากนั ในช่วงเวลากลางคนื ซ่งึ การลอยประทปี ของกมั พูชาจะใชเ้ ป็นลกั ษณะของการลอย เรอื การลอยเรอื ประทปี ของกมั พชู าในแมน่ ้ําโขง (ทม่ี า: http://www.youthcambodia.com/general-news/11649) สาํ หรบั พธิ กี ารลอยประทปี ของกมั พชู าในปัจจุบนั นัน้ ปรากฏรายละเอยี ดในหนังสอื พระราชพธิ ที วาทศมาสของขนุ อุดมปรชี า ใหร้ ายละเอยี ดไวด้ งั น้ี “วนั ท่ี ๑ คอื วนั ขน้ึ ๑๔ ค่าํ เดอื นกตั ตกิ ๕๓  

...เวลา ๑๙ นาฬกิ า คอื กลางคนื ๑ ทมุ่ จุดประทปี ชวาลาในพระราชตาํ หนกั แพ และ เรอื กาํ ปัน่ ในเวลาเดยี วกนั นัน้ ลอยประทปี ซ่งึ ตกแต่งรูปภาพต่างๆ บรรดาประทปี เหล่านัน้ ประทีปของพระมหากษัตริย์มีตรามงกุฎเป็นสัญลักษณ์ ประทีปของท่ีว่าการรัฐมนตรี กระทรวงธรรมการมรี ปู สมี าเป็นสญั ลกั ษณ์ ประทปี ของทว่ี า่ การรฐั มนตรกี ระทรวงยุตธิ รรมมี รปู ตราชูเป็นสญั ลกั ษณ์ เป็นตน้ ลว้ นแลว้ แต่ตงั้ บนเรอื บนกําปัน่ เลก็ ๆ ประดบั ประดาไปดว้ ย ไฟฟ้าสตี ่างๆ มเี รอื ลําหน่ึงลากจูงประทปี เหล่านัน้ มารวมกนั อยู่ท่หี น้าพระราชตําหนักแพ ก่อน เวลาออกย่างแห่ตามแม่น้ํา ประทปี พระมหากษตั รยิ ์ซ่ึงอยู่ขา้ งหน้าสุดแอบเขา้ ไปใกล้พระ ตาํ หนกั แพ แล้วพระราชาทรงจุดประทปี นัน้ โดยพระองค์เอง โดยพระชุดชนวนด้ามยาว ซ่ึง ออกญาพระเสดจ็ จางวางสงั ฆการถี วายทรง ประทปี ซ่งึ พระราชาทรงจุดนัน้ เป็นเทยี นขผ้ี ้งึ บรสิ ทุ ธิ์ขนาดเลก็ ๆ เรยี กวา่ เทยี นราว ซง่ึ ปิดเรยี งรายอยทู่ ร่ี างประทปี มจี าํ นวน ๕๐๐ เลม่ พระมหากษตั รยิ ท์ รงจุด ๓ เล่ม แลว้ สมเดจ็ พระมหากษตั รยิ านี พรอ้ มทงั้ สมเดจ็ พระ อุปยวุ ราชทรงจดุ องคล์ ะ ๓ เลม่ แลว้ พระราชวงศานุวงศท์ รงจุด และนาหมน่ื ใหญ่ๆ ซง่ึ อยคู่ ลั ใกลพ้ ระกรุณาจดุ ตอ่ ๆกนั ไปจนครบเทยี นราว ๕๐๐ เลม่ เสรจ็ แลว้ เรอื โยงประทปี นัน้ ออกหนั หน้าไปดา้ นเหนืออย่างชา้ ๆ ลอยไปตามแม่น้ํา กําพงฉนัง ถึงหน้าวดั พนมยายเพญ็ แล้วกลบั ลงตามน้ําคนื มาถึงหน้าพระราชตําหนักแพ กลบั ขน้ึ ทวนน้ําไปอกี ขน้ึ ลง ๓ ครงั้ จนถงึ เวลา ๒๒ นาฬกิ า คอื กลางคนื ๔ ทุม่ จงึ หยดุ ...” ส่วนในวนั ข้นึ ๑๕ ค่ํา เดือน ๑๒ และวนั แรม ๑ ค่ํา เดือน ๑๒ ยงั คงมีการลอย ประทปี ในเวลากลางคนื เช่นเดยี วกบั ในวนั แรก หมายความว่าพธิ ลี อยประทปี นัน้ จะจดั เป็น จาํ นวน ๓ วนั ดว้ ย มลู เหตทุ ี่จดั พิธีลอยประทีปของกมั พชู า ในหนังสอื พระราชพธิ ที วาทศมาส ของขุนอุดมปรชี าอกี เช่นกนั ไดอ้ ธบิ ายถงึ สาเหตุ ของการจดั พธิ ลี อยประทปี ไวค้ ลา้ ยกบั ของไทยวา่ “...พุทธบรษิ ทั ชาวเขมรจงึ ทําพธิ ลี อยประทปี ในคนื เพญ็ บูรณมเี ดอื นอาสยุช (เดอื น ๑๑) พระราชาทรงทําพระราชพธิ ลี อยประทปี ในคนื ขน้ึ ๑๔-๑๕ ค่ํา และแรม ๑ ค่ําเดอื น กตั ตกิ (เดอื น ๑๒) บชู าพระเขย้ี วแกว้ ในนาคพภิ พ พระพทุ ธบาทในแมน่ ้ํานมั ทา และทอ่ี ่นื ๆ ดงั ท่ีได้กล่าวมาแล้ว ด้วยเช่ือว่าเป็นการกุศล และเป็นพระราชกุศลใหญ่ซ่ึงได้ผลอย่าง ประเสรฐิ เพอ่ื ความสขุ ความเจรญิ รุง่ เรอื งแก่ตน แก่พระองค์ และแกป่ ระเทศชาต.ิ ..” ๕๔  

จากขอ้ ความขา้ งต้นกก็ ารลอยประทปี ทําเพ่อื การบูชาพระเขย้ี วแก้ว และพระพุทธ บาทในแมน่ ้ํานมั มทานที ซง่ึ สะทอ้ นถงึ การไดร้ บั อทิ ธพิ ลวธิ คี ดิ ตามความเชอ่ื ของศาสนาพทุ ธ บทสรปุ จากทก่ี ล่าวมาแสดงใหเ้ หน็ วา่ ในประเทศกมั พชู ากม็ ปี ระเพณีซ่งึ มลี กั ษณะคลา้ ยกบั ประเพณลี อยกระทงของไทยเช่นกนั แต่เรยี กวา่ พธิ ลี อยประทปี ซง่ึ เป็นประเพณที จ่ี ดั ร่วมกบั ประเพณแี ขง่ เรอื และประเพณไี หวพ้ ระแข ในประเพณเี ดอื น ๑๒ ตามจนั ทรคติ ประเพณีน้ีน่าจะมกี ารจดั ขน้ึ ในประเทศกมั พชู าตงั้ แต่ในกมั พชู าโบราณสมยั พระนคร เป็นอย่างน้อย ดงั ปรากฏในภาพสลกั ทร่ี ะเบยี งปราสาทบายน และปรากฏในบนั ทกึ ว่าดว้ ย ขนบธรรมเนียมประเพณีของเจนิ ล่า ซ่งึ ไดม้ กี ารจดั ประเพณีน้ีสบื เน่ืองต่อมาจนถงึ สมยั หลงั พระนคร เช่น ทป่ี รากฏในราชพงศาวดารกรุงกมั พูชา โดยประเพณีดงั กล่าวน้ียงั คงมกี ารจดั สบื เน่ืองต่อมาอยา่ งยงิ่ ใหญ่จนถงึ ปัจจบุ นั รายการอ้างอิง เฉลมิ ยงบุญเกดิ , แปล. บนั ทึกว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีของเจินละ. กรงุ เทพฯ: มตชิ น, ๒๕๔๓. กรมศลิ ปากร. ราชพงษาวดารกรงุ กมั พชู า. พระนคร: แพรพ่ ทิ ยา, ๒๕๑๓. กรมศลิ ปากร, ประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๗๑. พระนคร: กรงุ เทพบรรณาคาร, ๒๔๘๑. สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดาํ รงราชานุภาพ, นิราศนครวดั . กรงุ เทพฯ: คลงั วทิ ยา, ๒๕๑๗. ๕๕  

๕๖  

“ตะซาวงไ์ ดง”์ จดุ ไฟตามประทีปในพมา่ สิทธิพร เนตรนิยม นกั ปฏบิ ตั กิ ารวจิ ยั สถาบนั วจิ ยั ภาษาและวฒั นธรรมเอเชยี มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล ไทยและพม่า (เมียนมาร์) นอกจากจะมีเขตแดนประชิดติดกันถึงสองพนั กว่า กโิ ลเมตรแลว้ ไทยกบั พม่ากย็ งั มตี น้ รากทางวฒั นธรรมทถ่ี ูกกําหนดขน้ึ จากปัจจยั หลายอยา่ ง ร่วมกนั ไม่ว่าจะเป็นฤดูกาล ทรพั ยากรธรรมชาติ การเขา้ มาของความรู้ และแนวคดิ ทาง ศาสนา ทงั้ หมดข้างต้นมีส่วนทําให้วถิ ีชีวติ ค่านิยม รวมถึงประเพณี พธิ ีกรรมทงั้ หลาย คลา้ ยคลงึ กนั เป็นสว่ นใหญ่ หากสบื รากเหงา้ เหล่านัน้ ไดก้ จ็ ะทราบว่าเราเป็นเครอื ญาตกิ นั ไม่ ในทางชาตพิ นั ธุก์ ใ็ นทางวฒั นธรรม ซง่ึ หน่ึงในนนั้ ทส่ี าํ คญั กค็ อื พธิ กี รรมการจุดไฟตามประทปี หรอื ทเ่ี รยี กในภาษาพมา่ วา่ “ตะซาวงไ์ ด-มที นู -ปแฺ ว” วนั เพญ็ ดวงประทีป และสายน้ํา ในชว่ งเดอื นพฤศจกิ ายนนนั้ ทงั้ ไทยและพมา่ ต่างมปี ระเพณที เ่ี กย่ี วขอ้ งอยกู่ บั ฤดกู าล วนั เพญ็ ศาสนา ดวงไฟ และสายน้ําคลา้ ยๆ กนั จะต่างกต็ รงจาํ นวนนับของเดอื นทถ่ี ูกสมมติ ไวใ้ นแต่ละทอ้ งถนิ่ เท่านัน้ กล่าวคอื วนั เพญ็ เดอื นแปดของพม่า มปี ระเพณีจุดไฟตามประทปี เพ็ญเดือนสิบสองของไทย ก็มีประเพณีลอยกระทง ส่วนวนั เพ็ญเดือนย่ขี องล้านนา ก็มี ประเพณียเ่ี ป็ง ซง่ึ ทงั้ หมดถูกจดั ขน้ึ ในช่วงเวลาเดยี วกนั คอื วนั เพญ็ ขน้ึ ๑๕ ค่ํา ตรงกบั เดอื น พฤศจกิ ายน๑ ในระหว่างเดอื น ตุลาคม ถงึ พฤศจกิ ายน จะเป็นช่วงเดอื นแปดของพม่าทเ่ี รยี กว่า “ตะซาวงโ์ มง-ละ” (   ) ในช่วงเวลาน้ีจะมปี ระเพณีสําคญั ทเ่ี ก่ยี วเน่ืองกนั อยู่ ๒ งาน ได้แก่ “กะเทง-ปแฺ ว” ( ⌧) หรือ “งานกฐิน” และ “ตะซาวง์ได-มีทูน-ปแฺ ว”                                                             ๑ การนบั วนั เพญ็ ขน้ึ ๑๕ ค่าํ ของไทยจะนบั เรว็ กว่าพมา่ ไปหน่ึงวนั เช่น วนั เพญ็ ขน้ึ ๑๕ ค่าํ ของไทยตรงกบั วนั เสาร์ ของพมา่ จะเป็นวนั อาทติ ย์ ๕๗  

(   ⌧) หรอื “งานจุดไฟตามประทปี ” ท่จี ะถูกจดั ขน้ึ ในวนั สุดทา้ ยของ เทศกาลกฐนิ ๒ ในวนั เพญ็ ขน้ึ ๑๕ ค่าํ เดอื นตะซาวงโ์ มงของพมา่ วนั เพญ็ เดอื นตะซาวงโ์ มง หรอื “ตะซาวงโ์ มง-ละปิญ”์ (    ⌧) เป็น วนั ท่ีถูกกําหนดข้นึ ด้วยความรู้ทางด้านดาราศาสตร์จากอินเดีย เม่ือดาวฤกษ์อนั มชี ่ือว่า “กรติ ตกิ า” ๓ เคลอ่ื นยา้ ยเขา้ สรู่ าศพี ฤษภ และชว่ งเวลาเปลย่ี นผา่ นจากปลายฤดฝู นเขา้ สตู่ น้ ฤดู หนาว ซง่ึ เป็นชว่ งเวลาทอ่ี ากาศสดชน่ื เยน็ สบายขา้ วในนาเรมิ่ ออกรวงตงั้ ทอ้ ง ภาพสญั ลกั ษณ์เดอื นตะซาวงโ์ มงมรี ปู ผางประทปี กบั สาวชาววงั จดุ ประทปี ในอดีตช่วงเวลาน้ีของพม่ากําหนดให้มปี ระเพณีสําคญั ๔ งานผสมผสานกันทงั้ ศาสนาพราหมณ์ และพทุ ธ โดยในสว่ นของพธิ เี กย่ี วกบั พรามหณ์คอื การบชู าพระนารายณ์ใน เกษียรสมุทรตามคตศิ าสนาพราหมณ์ดงั มบี นั ทกึ ไวใ้ นเร่อื ง “กลอนสบิ สองราศี บทกวแี ห่ง เมอื งองั วะ” วา่ เดอื นตะซาวงโ์ มงน้ีถอื เป็นเวลาทพ่ี ระวษิ ณุทรงต่นื บรรทม จงึ มกี ารจุดไฟตาม ประทปี เป็นเทวบชู า สว่ นในพธิ พี ุทธคอื การทอผา้ จุลกฐนิ ทเ่ี รยี กวา่ “มะโต-ตงิ่ กาน” () และ มกี ารถวายกฐนิ ดว้ ย (อูอ่าวงจ์ ,ี ๑๙๖๕: ๒๓-๒๔) ซง่ึ ปัจจุบนั ยงั นิยมทาํ กนั อยู่ โดยเฉพาะงาน จุลกฐนิ ในคนื เพญ็ ทม่ี หาเจดยี ช์ เวดากอง เจดยี ส์ าํ คญั ของชาวพม่า-มอญ ซ่งึ จดั เป็นงานใหญ่ ในทุกปีทพ่ี มา่ (นฤมล ธรี วฒั น์ และคณะ, ๒๕๕๑: ๑๕๓) โดยพธิ จี ุลกฐนิ คอื การทอและยอ้ ม ผา้ สาํ หรบั ทาํ จวี รถวายพระใหเ้ สรจ็ สน้ิ ภายในวนั เดยี ว เพอ่ื ใหท้ นั กาํ หนดการรบั ผา้ ในเทศกาล ตามพทุ ธบญั ญตั ิ สว่ นกฐนิ กค็ อื การนําผา้ จวี รไปถวายพระในชว่ ง ๓๐ วนั หลงั จากออกพรรษา                                                             ๒ เทศกาลกฐนิ ของพมา่ จะเรมิ่ มาตงั้ แต่วนั แรม ๑ ค่าํ เดอื นตะดงี จุด๊ หรอื ชว่ งเดอื นกนั ยายน ถงึ ตุลาคม มาจนถงึ คนื วนั เพญ็ ขน้ึ ๑๕ ค่าํ เดอื นตะซาวโมง ๓ สนั สกฤต เขยี นว่า “กฤตกิ า” น. ดาวฤกษ์ท่ี ๓ มี ๘ ดวง เหน็ เป็นรูปธงสามเหล่ยี ม มหี างเรยี วยาว ดาวธง สามเหลย่ี ม หรอื ดาวลกู ไก่ กเ็ รยี ก ๕๘  

พรอ้ มทงั้ บรวิ ารกฐนิ อนั ประกอบดว้ ยสงิ่ ของ ปัจจยั เงนิ และอาหารไปถวายพระพรอ้ มกนั นัน้ ดว้ ย ชาวพมา่ มาทาํ พธิ จี ดุ ไฟตามประทปี ทม่ี หาเจดยี ช์ เวดากอง (ทม่ี า: http://oothandar.blogspot.com//2011/11/blog-post_2142.html) ในทน่ี ้ีขอเปรยี บเทยี บกบั ของไทยสกั เลก็ น้อย กล่าวคอื เมอ่ื พจิ ารณาถงึ วตั ถุประสงค์ ของพธิ กี ารและช่วงฤดเู ปลย่ี นผ่าน กเ็ หน็ จะสอดคลอ้ งตอ้ งกนั กบั พระราชพธิ จี องเปรยี งตาม ประทปี ในราชสํานักสมยั อยุธยา ท่มี กี ารจุดประทปี ชกั โคม “น้ํามนั เปรยี งพระโคตามบูชา สมเดจ็ พระพทุ ธเจา้ ...” ใหส้ วา่ งไสวรอบกรุงมกี าํ หนด ๑๕ วนั และมจี ุลกฐนิ ในวนั ๑๕ ค่าํ อกี พธิ หี น่ึง (กรมศลิ ปากร, ๒๕๕๘: ๑๓, ๒๗, ๔๑) ดงั นัน้ จะเหน็ ไดว้ า่ ประเพณมี คี วามสอดคลอ้ ง กนั บางอยา่ ง พธิ ดี งั กล่าวไดร้ บั การปฏบิ ตั สิ บื ทอดมาจนถงึ รชั กาลท่ี ๔ แห่งกรุงรตั นโกสนิ ทร์แลว้ ถูกเปลย่ี นชอ่ื เป็นพระราชพธิ ี “จองเปรยี งลดชุดลอยโคม” ซง่ึ ในกฏมณเฑยี รบาลกลา่ วถงึ “พธิ ี จองเปรยี ง ลดชุดลอยโคมลงน้ํา” (กรมศลิ ปากร, ๒๕๕๘: ๔๑) ซง่ึ น่าจะเป็นตน้ เคา้ ของงาน ลอยกระทงของไทยในทกุ วนั น้ี สาํ หรบั ทางภาคเหนือของไทยในช่วงเวลาเดยี วกนั จะมกี ารจดั ประเพณี “ยเ่ี ป็ง” ซ่งึ มณี พยอมยงค์ กล่าวว่า “เดอื นย่เี หนือ เป็นฤดูท่ลี ูกหลานจะไดท้ ําบุญให้แก่บรรพชน ส่ง ๕๙  

เคร่อื งสงั เวยไปตามสายน้ําเพ่อื บูชาพระนารายณ์ในเกษียรสมุทร บรรพชน รอยพระบาท ดว้ ยการลอยโขมด (มอญเรยี กวา่ พฮี ะมด) หรอื ลอยกระทง” แต่สว่ นใหญ่ชาวลา้ นนาเม่อื ก่อนมกั นิยมจุดไฟ ตามประทปี แขวนโคมกนั มากกวา่ ท่ี จะจดั ใหม้ กี ารลอยประทปี ลงน้ํา ซ่งึ เป็นเร่อื งเฉพาะถน่ิ เช่น การล่องสะเปา หรอื ลอยสาํ เภา ของชาวลําปาง และบางทเ่ี ช่นลําพูนเรยี กว่าลอยโขมด (พฮี ะมด) ทบ่ี างครงั้ มกี ารอ้างองิ ว่า เป็นการลอยกระทงทม่ี มี าตงั้ แต่ในสมยั หรภิ ุญไชย (มณี พยอมยงค,์ ๒๕๓๓: ๑๖; มลู นิธิ ธนาคารไทยพาณชิ ย,์ ๒๕๔๒: ๕๘๕๐) ตอ่ มาเมอ่ื ไดร้ บั อทิ ธพิ ลการลอยกระทงแบบกรุงเทพฯ จึง เ ร่ิม ไ ด้หัน มา นิ ย ม ล อ ย ก ร ะ ท ง แ บ บ ท่ีทุ ก ค น เ ห็น กัน อ ยู่ใ น ปั จ จุบันผ่าน ส่ือ ท าง ด้า น ก า ร ทอ่ งเทย่ี ว สาวชาวพมา่ กาํ ลงั จดุ ไฟตามประทปี ในตะเกยี งดนิ เผาทฐ่ี านของเจดยี ช์ เวดากอง (ทม่ี า: http://oothandar.blogspot.com//2011/11/blog-post_2142.html) งานจดุ ประทีปโคมไฟภายใต้เรอ่ื งเล่าของพทุ ธศาสนา ตามความเช่อื ของชาวพม่า มูลเหตุของเทศกาลจุดไฟตามประทปี ในวนั เพญ็ เดอื น ตะซาวงโ์ มงนัน้ ไดถ้ ูกอธบิ ายตามพระสูตรในพระพุทธศาสนาบทหน่ึงทช่ี ่อื เป็นภาษาพม่าว่า “ต่ามะญะบ่ะละ” () หรอื มชี ่อื เป็นภาษาบาลวี ่า “สามญั ญผล” ซ่งึ เป็นเหตุการณ์ ตอนท่พี ระพุทธเจ้าไดท้ รงเทศน์โปรดพระเจา้ อชาตศตั รู ณ ป่ ามะม่วงของหมอชวี กโกมาร ภจั จช์ านกรงุ ราชคฤห์ ในวนั อุโบสถขน้ึ ๑๕ ค่าํ ๔                                                             ๔ http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=09&A=1072&Z=1919 ๖๐  

เลา่ โดยยอ่ คอื ดว้ ยเหตุทพ่ี ระเจา้ อชาตศตั รทู รงมพี ระทยั แช่มช่นื กบั บรรยากาศความงามของ แสงจนั ทรใ์ นคนื วนั เพญ็ แลว้ ทรงดํารกิ บั เหล่าอํามาตยว์ า่ คนื น้ีจะเสดจ็ ไปฟังธรรมกบั นักบวช สํานักไหนดี สุดท้ายหมอชวี กถวายคําแนะนําให้ไปเฝ้าพระพุทธเจา้ ซ่งึ ประทบั อยู่ ณ สวน มะม่วงของตนนอกกรุงราชคฤห์ พระเจา้ อชาตศตั รจู งึ เสดจ็ ไปเขา้ เฝ้าพระพุทธเจา้ ในยามค่ํา ทาํ ใหเ้ หล่าเสนาอํามาตยท์ งั้ หลายไดจ้ ุดไฟตามประทปี ในขบวนและเสน้ ทางเสดจ็ เป็นทส่ี วา่ ง ไสว จากนนั้ เป็นตน้ มาจงึ เป็นเหตุใหเ้ กดิ ประเพณจี ุดไฟตามประทปี มาจนทุกวนั น้ี นอกเหนือไปจากการจดุ ไฟตามประทปี แลว้ ในชว่ งเทศกาลตะซาวงไ์ ด-มที นู -ปแฺ ว ชาวพมา่ ยงั ทาํ การทาํ โคมลอย ขนาดใหญค่ ลา้ ยบอลลนู อกี ดว้ ย ซง่ึ คลา้ ยกบั การลอยโคมไฟทางลา้ นนา (ทม่ี า: http://www.tourstoburma.com/burma-festivals/) ดงั นัน้ ดว้ ยเหตุทพ่ี ระพุทธเจา้ ทรงแสดงธรรมสามญั ผลสูตร ทว่ี ่าดว้ ยเร่อื งการบวช และขอ้ วตั รปฏบิ ตั ขิ องสมณะทด่ี แี ก่พระเจา้ อชาตศิ ตั รู ชาวพม่าจงึ เรยี กวนั น้ีว่า “ต่ามะญะบ่ะ ละ-อะขา่ -ดอ่ -เนะ” () หรอื “วนั เวลาแหง่ สามญั ญผล” ดว้ ย๕ สําหรบั ทางลา้ นนานัน้ เร่อื งเล่าใต้เงาพุทธศาสนาท่วี ่าดว้ ยเหตุแห่งการจุดไฟตาม ประทปี นัน้ มณี พยอมยงค์ ได้กล่าวว่ามาจากตํานานนายทุคตะเขญ็ ใจถวายประทปี จาก                                                             ๕ http://www.mmcollection.info/2012/11/blog-post_27.html ๖๑  

น้ํามนั หมเู พอ่ื บชู าพระพทุ ธเจา้ ในวนั เพญ็ ดว้ ยอนิสงคจ์ งึ ทาํ ใหไ้ ดเ้ ป็นเศรษฐี (มณี พยอมยงค,์ ๒๕๓๓: ๑๔) ถ้าเช่อื ตามคมั ภรี ์ทางศาสนาแลว้ อาจเป็นไปไดว้ ่าประเพณีการจุดไฟตามประทปี ของพมา่ และลา้ นนาคงมที ม่ี าจากความเชอ่ื ในพระพทุ ธศาสนาและตกทอดมาจนถงึ ปัจจบุ นั ทิ้งท้ายและสรปุ อาจเป็นไปไดว้ า่ งานวนั เพญ็ เดอื นแปดของพม่า วนั เพญ็ เดอื นสบิ สองของไทย หรอื วนั เพญ็ เดอื นยข่ี องลา้ นนาเป็นประเพณที เ่ี กดิ ขน้ึ จากการรบั ชดุ ความรจู้ ากอนิ เดยี ผา่ นศาสนา พราหมณ์ และพุทธ ดว้ ยการกําหนดเอาการเคล่อื นยา้ ยของดาวฤกษ์ กบั ช่วงเปล่ยี นผ่าน ฤดกู าลจากปลายฝนตน้ หนาวเป็นหมดุ หมายในการประกอบพธิ กี รรม โดยใชก้ ารจุดประทปี บชู าพระเป็นเจา้ หรอื พระศาสดาในศาสนาของตนดว้ ยเปรยี ง หรอื น้ํามนั ก่อนเป็นอนั ดบั แรก ก่อนจะพฒั นาไปเป็นการแขวนโคม และลดชุดลอยโคมลงไป ในน้ํา แลว้ ถูกพฒั นามาเป็นการลอยกระทง ซง่ึ นิยมกนั มากในภาคกลาง สว่ นลา้ นนาแต่เดมิ ก็ มกี ารลอ่ งสะเปา (สาํ เภา) ซง่ึ คลา้ ยกบั การลอยกระทง แต่ไมน่ ิยมกนั มาก ยงั คงนิยมการจุดไฟ ตามประทีปมากกว่า แต่ต่อมารบั อิทธิพลภาคกลางมากข้ึนจึงพฒั นางานลอยกระทงให้ ยงิ่ ใหญ่ แตก่ ไ็ มท่ ง้ิ การจุดประทปี โคมไฟ สําหรบั พม่าไม่นิยมการจุดประทปี ลอยลงไปในน้ํา หรอื ลอยกระทงอย่างไทย แต่ ยงั คงประเพณีเดมิ คอื การจุดไฟตามประทปี เพ่อื บูชาพระพุทธเจา้ เอาไว้ พร้อมกบั เร่อื งเล่า ภายใตก้ รอบของพทุ ธศาสนาทย่ี งั คงเป็นทร่ี บั รขู้ องสงั คมสบื มา อย่างไรกด็ ี ในชุมชนทอ้ งถน่ิ บางแห่งของพม่ากม็ พี ธิ กี รรมคลา้ ยๆ การลอยกระทง ของไทยดว้ ย เช่น ชุมชนชาวทวาย ในแควน้ ตะนาวศรที างภาคใตข้ องพมา่ มกี ารลอยบาตร ดนิ เผาใสอ่ าหาร และจุดประทปี ใสเ่ อาไวเ้ พอ่ื บชู าพระอุปคุต โดยทําในชว่ งเชา้ ตรู่ของวนั ออก พรรษา สําหรบั สาเหตุทต่ี อ้ งมกี ารลอยบาตรในแม่น้ํานัน้ กเ็ พราะเช่อื ว่าพระอุปคุตจําพรรษา อยใู่ นเมอื งบาดาล (ใตน้ ้ํา) ซง่ึ นิยมลอยกนั ในแมน่ ้ําทวาย ดงั นัน้ ฤดูกาล วนั เพญ็ ศาสนา ดวงไฟ และสายน้ําจงึ นําใหเ้ ราคอื ไทย และพม่ามา เป็นเพ่อื นร่วมรากวฒั นธรรมเดยี วกนั บนประเพณีทม่ี ที งั้ ความเหมอื นและคลา้ ยคลงึ กนั เรา กบั เขาจงึ เป็นญาตชิ ดิ สนิทกนั ในทางวฒั นธรรมไมม่ ากกน็ ้อย รายการอ้างอิง นฤมล ธรี วฒั น์ และคณะ. มองพม่าผา่ นชเวดากอง. เชยี งใหม:่ ซลิ คเ์ วอรม์ , ๒๕๕๑. ๖๒  

ออู า่ วงจ์ .ี อิงวะ-มโย้-พ้วย แส่นะ-หย่าตี่-หล่ตู ่า        , สาํ นกั พมิ พฮ์ นั ตาวดี ยา่ งกุง้ , ๑๙๖๕. กรมศลิ ปากร. ตาํ ราพระราชพิธีเก่า และตาํ ราทวาทศพิธี. กรงุ เทพฯ: หจก.ทวพิ ฒั น, ๒๕๕๘. มณี พยอมยงค.์ ประเพณีสิบสองเดือนล้านนา เล่ม ๒ . เชยี งใหม:่ ส.ทรพั ยก์ ารพมิ พ,์ ๒๕๓๓. มณี พยอมยงค.์ ประเพณีสิบสองเดือนล้านนา รวมเล่ม. เชยี งใหม:่ ส.ทรพั ยก์ ารพมิ พ,์ ๒๕๓๓. มลู นิธธิ นาคารไทยพาณิชย.์ สารานุกรมวฒั นธรรมไทย ภาคเหนือ เล่ม ๑๑. กรุงเทพฯ: สยาม เพรส แมเนจเมน้ ท,์ ๒๕๔๒. ๖๓  

๖๔  

ลอยสะเปา ลอยประทีป ยี่เป็งล้านนา อาจารย์ พิพฒั น์ กระแจะจนั ทร์ ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร์ คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ทางภาคเหนือเรยี กประเพณีลอยกระทงว่า “ย่เี ป็ง” เพราะคําว่า “ย”่ี แปลว่า สอง ส่วน “เป็ง” คอื เพญ็ หมายถงึ พระจนั ทร์ โดยเดอื นยเ่ี หนือตรงกบั เดอื นพฤศจกิ ายน คอื เป็น ประเพณเี ดอื นสอง โดยในเดอื นยจ่ี ะมปี ระเพณที ส่ี าํ คญั หลายอยา่ งไดแ้ ก่ ลอยกระทง (สะตวง) ล่องสะเปา ตามประทปี โคมไฟ ปล่อยโคมลอย และตงั้ ธรรมหลวงเทศน์มหาชาติ ซ่งึ ในแต่ละ ทอ้ งทข่ี องทางภาคเหนือจะมคี วามแตกต่างในเร่อื งความเช่อื และรายละเอยี ดของประเพณีท่ี แตกตา่ งกนั ไป ทงั้ น้ีเป็นผลมาจากถนิ่ ทอ่ี ยอู่ าศยั ภมู ปิ ระเทศ ชาตพิ นั ธุ์ และประวตั ศิ าสตร์ อย่างไรกด็ ี ทุกวนั น้ีประเพณีย่เี ป็งหรอื ลอยกระทงในเมอื งเชยี งใหม่และอกี หลาย จงั หวดั ทางภาคเหนือถอื ว่ามชี ่อื เสยี งในหมู่นักท่องเท่ยี วทงั้ ชาวไทยและต่างประเทศอย่าง มาก แต่น้อยคนนักจะทราบท่มี าท่ไี ปอย่างแท้จรงิ ของประเพณีลอยกระทงมคี วามเป็นมา อยา่ งไร ลอยกระทงล้านนาคือ ลอยกระทงกรงุ เทพฯ คําว่า “กระทง” เป็นภาษาไทยภาคกลาง เพราะทางภาคเหนือคําว่ากระทงจะออก เสยี งว่า “สะตวง” ดงั นัน้ จงึ มเี คา้ ว่าประเพณีน้ีคงมาจากภาคกลาง ในสารานุกรมวฒั นธรรม ไทยภาคเหนือ ตพี มิ พเ์ มอ่ื พ.ศ.๒๕๔๒ ไดอ้ ธบิ ายวา่ สนั นิษฐานกนั วา่ ผทู้ เ่ี รมิ่ การลอยกระทง ในเชียงใหม่เป็นคนแรกน่าจะเป็นพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ในพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี ๕ โดยลอยกระทงจากกรุงเทพฯ คงเรม่ิ ลอยกนั ในช่วงราว พ.ศ.๒๔๖๐-๒๔๗๐ หลงั จากทพ่ี ระราชชายาเจา้ ดารารศั มกี ลบั ไปใชช้ วี ติ อยทู่ เ่ี ชยี งใหม่ เลา่ กนั วา่ กระทงสมยั พระองคเ์ ป็นการจุดเทยี นบนกาบมะพรา้ วทาํ เป็นรปู เรอื เลก็ หรอื รูปหงส์ และใชท้ ่องไมป้ อทําเป็นรูปเรอื แต่ก็ไม่เป็นทน่ี ิยมทวั่ ไป เพราะชาวลา้ นนายงั นิยม การประดบั ประทปี โคมไฟตามบ้านเรอื น ทําซุ้มประตูป่ า และมกั จดั “ตงั้ ธมั ม์หลวง” หรือ เทศน์มหาชาตใิ นวนั “เพญ็ เดอื นย”่ี ตามประเพณดี งั้ เดมิ ๖๕  

ความเปล่ยี นแปลงครงั้ สําคญั เรมิ่ ต้นข้นึ เม่อื นายทมิ โชตนา เป็นนายกเทศมนตรี เมอื งเชยี งใหมเ่ มอ่ื พ.ศ.๒๔๙๐ ตรงกบั สมยั จอมพล ป.พบิ ลู สงคราม เป็นนายกรฐั มนตรี ไดม้ ี นโยบายส่งเสรมิ การท่องเท่ยี วเชยี งใหม่จงึ ได้มกี ารจดั ประเพณีลอยกระทงและมกี ารเฉลมิ ฉลองบรเิ วณถนนท่าแพโดยเฉพาะบรเิ วณหน้าพุทธสถาน จงึ ทาํ ใหป้ ระเพณีลอยกระทงแบบ กรุงเทพฯ เป็นทร่ี จู้ กั กนั มากขน้ึ การลอยกระทงแบบกรุงเทพฯ ท่ีจงั หวดั เชยี งใหม่มขี ้นึ อย่างจริงจงั เม่ือมกี ารตงั้ สาํ นักงานการท่องเทย่ี วแห่งประเทศไทยจงั หวดั เชยี งใหมเ่ มอ่ื พ.ศ.๒๕๑๒ โดยจดั ใหม้ กี าร ลอยกระทงสองวนั คอื ในวนั ยเ่ี ป็ง หรอื วนั เพญ็ เดอื นย่ี ซง่ึ ตรงกบั ขน้ึ ๑๕ ค่าํ ตรงกบั เดอื นสบิ สองของภาคกลาง จะมกี ารลอยกระทงขนาดเลก็ และในวนั แรม ๑ ค่าํ กจ็ ะมกี ารลอยกระทง หรอื ประกวดกระทงขนาดใหญ่ โดยเรมิ่ กนั ทห่ี น้าเทศบาลเมอื งเชยี งใหม่ไปถงึ สะพานนวรฐั สง่ ผลทาํ ใหป้ ระเพณลี อยกระทงเป็นทแ่ี พรห่ ลายและยอมรบั กนั โดยทวั่ ไป (มลู นิธธิ นาคารไทย พาณชิ ย,์ ๒๕๔๒: ๕๘๕๒) ลอยกระทงเชยี งใหมใ่ นปัจจบุ นั (ทม่ี า: http://www.chaoprayanews.com/2012/11/22/เทย่ี วประเพณยี เ่ี ป็งเช/) ลอยขาทนียโภชนียาหาร ลอยกระทง ในสมยั หริภญุ ไชย บ่อยครงั้ มกั มกี ารอธบิ ายว่าลอยกระทงล้านนามตี ้นกําเนิดมาจากวฒั นธรรมมอญ สมยั หรภิ ุญไชย โดยอา้ งองิ มาจากหลกั ฐานสาํ คญั ๓ เล่มไดแ้ ก่ ชนิ กาลมาลปี กรณ์ มลู ศาสนา และจามเทววี งศ์ ซง่ึ ทงั้ หมดเขยี นขน้ึ ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ ทงั้ สามเล่มมเี น้ือความใกลเ้ คยี ง กนั ในนนั้ มเี รอ่ื งเลา่ ทเ่ี ลา่ ยอ้ นกลบั ไปในสมยั หรภิ ุญไชย ซง่ึ เมอื งน้ีเป็นเมอื งโบราณทส่ี รา้ งขน้ึ เมอ่ื ราว ๑,๒๐๐ ปีกอ่ น หรอื ก่อนหน้าการสรา้ งเมอื งเชยี งใหม่ โดยกษตั รยิ อ์ งคแ์ รกเป็นผหู้ ญงิ ๖๖  

มชี ่อื ว่าพระนางจามเทวี ในบรรดาตํานานทงั้ สามเล่ม ตํานานจามเทววี งศใ์ หร้ ายละเอยี ดและ เลา่ สนุกทส่ี ดุ ในตอนทเ่ี กย่ี วกบั เหตุการณ์ทเ่ี กย่ี วกบั การลอยกระทง สรปุ ยอ่ ตามน้ี เจดยี ก์ ่กู ุดทว่ี ดั จามเทวสี รา้ งในสมยั หรภิ ุญไชย (ทม่ี า: http://wan-nam.com/songkran-lamphun/) ภายหลงั พระเจ้ากมลราชเสด็จสวรรคต (ราวปี พ.ศ.๑๔๖๐) ได้เกิดโรคระบาด รา้ ยแรงขน้ึ ในเมอื งหรภิ ุญไชย ชาวเมอื งจงึ พากนั หนีออกจากเรอื นของตนเองไปอาศยั เมอื ง สธุ รรมนคร (คอื เมอื งสะเทมิ ในประเทศเมยี นมารป์ ัจจุบนั ) เมอ่ื ไปถงึ พระเจา้ พกุ ามราชไมไ่ ด้ ดแู ลชาวหรภิ ุญไชยเทา่ ใดนกั ทาํ ใหช้ าวเมอื งตา่ งหากนั หนีจากเมอื งสธุ รรมนคร ไปอาศยั อยทู่ ่ี เมอื งหงสาวดี เมอ่ื ไปถงึ พระเจา้ หงสาวดไี ดพ้ ระราชทานเสอ้ื ผา้ สงิ่ ของ เคร่อื งประดบั ขา้ วเปลอื ก ขา้ วสาร และเคร่อื งบรโิ ภค รวมถงึ บา้ นเรอื นใหอ้ ย่อู าศยั เป็นอยา่ งดี ทําใหช้ าวหรภิ ุญไชยรกั ใคร่พระเจ้าหงสาวดเี ป็นอย่างมาก และต่างคุ้นเคยกนั รวดเรว็ เพราะชาวเมอื งหงสาวดพี ูด ภาษาเดยี วกนั กบั ชาวหรภิ ุญไชย เมอ่ื ครบ ๖ ปี โรครา้ ยในเมอื งหรภิ ุญไชยไดส้ งบลง ชาวหรภิ ุญไชยทค่ี ดิ ถงึ บา้ นจงึ พา กนั เดนิ ทางกลบั ยกเวน้ คนแก่ชราและทม่ี คี รอบครวั ไดอ้ าศยั อยทู่ เ่ี มอื งหงสาวดตี ่อไป ดงั นัน้ เพอ่ื เป็นการราํ ลกึ ถงึ บรรพบุรุษญาตพิ น่ี ้องทอ่ี ยทู่ างเมอื งหงสาวดี ชาวหรภิ ุญ ไชยจะ “ลอยขาทนียโภชนียาหาร” (แปลว่าของเคย้ี วและของกนิ ) ตามน้ําลงไปขา้ งใต้ เพ่อื ๖๗  

อุทศิ ใหก้ บั ญาตทิ งั้ หลาย บางคนเวลาทล่ี อยอาหารถงึ กบั รอ้ งไหจ้ นกลบั มาถงึ บา้ น (พระโพธิ รงั ส,ี ๒๕๑๖: ๑๙๒-๑๙๕) ในตํานานไดก้ ล่าววา่ ประเพณีการลอยขาทนียโภชนียาหารน้ีไดป้ ระพฤตปิ ฏบิ ตั กิ นั จนถงึ ทกุ วนั น้ีคอื ในสมยั ทเ่ี ขยี นตาํ นานขน้ึ เมอ่ื ราว ๖๐๐ ปีกอ่ น ในขณะทห่ี ลกั ฐานประเภทเอกสารทเ่ี ก่ากวา่ พงศาวดารโยนกอยา่ งมากคอื ตาํ นานมลู ศาสนา ซง่ึ แต่งขน้ึ ก่อน พ.ศ.๒๐๕๙ เล่าวา่ ภายหลงั จากทพ่ี ระยากมลราชสวรรคต ครงั้ นัน้ ปรากฏวา่ “ผหี า่ ” ลงเมอื งหรภิ ุญไชย ชาวเมอื งทงั้ หลายหนีไปอยเู่ มอื งสธุ รรมนคร (สธุ รรมวด)ี ซง่ึ คอื เมอื งสะเทมิ เขตเมอื งมอญ (รามญั ) บรเิ วณปากแมน่ ้ําสาละวนิ ในปัจจบุ นั หลงั จากนนั้ เป็นตน้ มา ชาวเมอื งหรภิ ุญไชยน้ีครนั้ ถงึ ฤดขู า้ วใหม่ เขากจ็ ะเอาขา้ วใหม่ ใสแ่ พล่องลงไปหาป่ยู า่ เขาทุกปีๆ นัน้ แล (พระพุทธพุกาม และพระพุทธญา, ๒๕๑๙: ๒๕๔- ๒๕๕) สว่ นตํานานชนิ กาลมาลปี กรณ์แต่งขน้ึ เมอ่ื พ.ศ.๒๐๖๐-๒๐๗๑ โดยพระรตั นปัญญา เถระ เป็นภาษาบาลี ไดร้ บั การแปลเป็นภาษาไทยโดยแสง มนวทิ ูรพมิ พค์ รงั้ แรกเม่อื พ.ศ. ๒๕๐๑ ถอื เป็นหนงั สอื เลม่ แรกทร่ี ะบวุ า่ ชาวหรภิ ุญไชย “ลอยกระทง” ดงั คาํ แปลวา่ “...เม่อื พระเจา้ กมั พลครองราชสมบตั อิ ยนู่ นั้ อหวิ าตกโรคไดเ้ กดิ ขน้ึ เป็นระยะเวลา ๖ ปี ชาวเมอื งทงั้ หมดไม่สามารถจะมีชีวติ อยู่ได้ จึงหนีไปยงั สุธรรมนคร แต่ครนั้ แล้วก็ถูก กษตั รยิ ์เมอื งปุณณากามรบกวนรงั แก ชาวหรภิ ุญไชยทงั้ หมดในสุธรรมนครจงึ หนีไปเมอื ง หงสาวดี เม่อื อหวิ าตกโรคในหริภุญไชยนัน้ สงบลงแล้ว คนทงั้ หมดก็กลบั มายงั หรภิ ุญไชย เพราะเหตุน้ีจงึ กล่าวกนั วา่ แต่ก่อนชาวหรภิ ุญไชยทงั้ ปวงไดท้ าํ พธิ ลี อยกระทงเครอ่ื งสกั การะ ทกุ ๆ ปี” (พระรตั นปัญญาเถระ, ๒๕๔๐: ๒๗๔) เมอ่ื นําเน้ือความภาษาไทยทแ่ี สง มนวทิ รู แปลขา้ งตน้ ไปตรวจสอบกบั ตน้ ฉบบั ภาษา บาลพี บว่าไม่มกี ารกล่าวถึง “พธิ ลี อยกระทง” แต่อย่างใด ดงั นัน้ การตีความว่ามกี ารลอย กระทงจงึ ไมถ่ ูกตอ้ ง อาจเป็นเพราะในขนั้ ตอนการแปลไดใ้ ชห้ นังสอื พงศาวดารโยนกทเ่ี ขยี น ขน้ึ ในสมยั รชั กาลท่ี ๕ ช่วย เรอ่ื งน้ีใหข้ อ้ คดิ วา่ นกั ประวตั ศิ าสตรก์ ่อนทจ่ี ะตคี วามใดๆ จะเป็น ตอ้ งตรวจสอบเอกสารชนั้ ตน้ ดว้ ยเพอ่ื ใหข้ อ้ มลู เกดิ ความถกู ตอ้ ง ไม่มีลอยโขมดมีแต่ลอยฮีหะมด ถา้ ถามคนในภาคเหนือวา่ รจู้ กั พธิ ลี อยโขมดไหม หลายคนจะตอบวา่ ไมร่ ูจ้ กั แต่หาก ไดเ้ ปิดหนังสอื ว่าดว้ ยการลอยกระทงทางภาคเหนือมกั มกี ารกล่าวถงึ “ลอยโขมด” ว่าเป็นตน้ เคา้ ของการลอยกระทง ๖๘  

แนวคดิ ดงั กล่าวเรม่ิ ตน้ จากในพงศาวดารโยนก แต่งโดยพระยาประชากจิ กรจกั ร ใน สมยั รชั กาลท่ี ๕ ไดเ้ ขยี นวา่ เมอ่ื พ.ศ.๑๔๙๐ ในสมยั พระยาจุเลระราช กษตั รยิ น์ ครหรภิ ุญ ไชย ทเ่ี กดิ โรคระบาดนนั้ ภายหลงั เมอ่ื ชาวหรภิ ุญไชยเดนิ ทางกลบั มาถงึ เมอื งหรภิ ุญไชยแลว้ ชนทัง้ หลายต่างต้องการระลึกถึงหมู่ญาติท่ีอยู่ท่ีเมืองหงสาวดี ครัน้ ถึงกําหนดปีเดือน ชาวเมอื งหรภิ ุญไชยกจ็ ะแต่งเคร่อื งสกั การะไปบูชาโดยทางน้ําเรยี กว่า “ลอยโขมด” (คอื ลอย ไฟ) จงึ เป็นประเพณลี อยประทปี สบื มา” (พระยาประชากจิ กรจกั ร, ๒๕๐๔: ๒๒๒-๒๒๔) หลงั จากนัน้ ก็มนี ักประวตั ิศาสตร์ท้องถ่ินล้านนาหลายคนอ้างตาม ตวั อย่างเช่น สงวน โชตสิ ขุ รตั น์ ไดเ้ ขยี นไวใ้ นหนงั สอื ประเพณไี ทยภาคเหนือพมิ พค์ รงั้ แรกเมอ่ื พ.ศ.๒๕๐๙ กล่าวว่า “อนั ประเพณีลอยกระทง หรอื ท่เี รยี กในหนังสอื ตํานานโยนก และจามเทววี งศ์ว่า ประเพณลี อยโขมด คอื ลอยไฟ” (สงวน โชตสิ ขุ รตั น์, ๒๕๕๓: ๙๗-๑๐๑) ดงั นนั้ จงึ น่าสงสยั วา่ ความจรงิ แลว้ “ลอยโขมด” คอื อะไร? นายจนั ทร์ เขยี วพนั ธุ์ ชาวมอญบา้ นหนองดู่ อาํ เภอป่าซาง จงั หวดั ลาํ พนู ผใู้ หข้ อ้ มลู เกย่ี วกบั การลอยฮหี ะมด ชาวมอญท่บี า้ นหนองดู่และบ้านบ่อคาว (เดมิ เป็นหมู่บา้ นเดยี วกนั ) อําเภอป่ าซาง จงั หวดั ลําพูน เป็นชาวมอญทพ่ี ูดภาษามอญใหม่ ไม่เหมอื นกบั มอญโบราณสมยั หรภิ ุญไชย ได้อธิบายว่าชาวมอญในภาษามอญไม่ได้เรยี กว่า “ลอยโขมด” เพราะคําว่า “โขมด” ไม่มี ความหมายในภาษามอญ แต่คาํ วา่ “โขมด” ไปพบในภาษาเขมรแปลวา่ “ผ”ี ๖๙  

ชาวมอญบา้ นหนองด่แู ละบ่อคาวมปี ระเพณที เ่ี รยี กว่า “ฮี หะมด” คาํ วา่ “ฮ”ี ถา้ เขยี น ดว้ ยตวั อกั ษรมาตรฐานมอญจะออกเสยี งวา่ “พ”ี หรอื “ผ”ี แปลวา่ “ลอย” คาํ วา่ “หะมด” หรอื “ฮะมต” แปลว่า “ไฟ” (ในภาษามอญบางทอ้ งถนิ่ ออกเสยี งเป็น “พฮี โมต”) แปลเป็นไทยตรง กบั คาํ วา่ “ลอยประทปี ” หรอื “ลอยไฟ” ลกั ษณะของ “ฮี หะมด” จะเป็นกาบกลว้ ยสช่ี น้ิ นํามาทาํ เป็นกระทงรปู สเ่ี หลย่ี ม เอาไม้ แทงใหก้ าบกลว้ ยเกาะกนั ตรงกลางจะเอาใบตองสดปดู า้ นใน เพอ่ื ใชส้ าํ หรบั วางอาหาร ผลไม้ บางคนกเ็ อาเงนิ ใส่ไปดว้ ย และวางผางประทปี ลอยในแมน่ ้ําปิงช่วงหวั ค่ําของคนื วนั เพญ็ ขน้ึ ๑๕ ค่าํ เดอื นยข่ี องทุกปี เป้าหมายของการลอย “หะมด” ดงั้ เดมิ กเ็ พอ่ื เป็นการไหวบ้ รรพบุรุษ ทล่ี ่วงลบั ไปแล้ว แต่ต่อมากเ็ ป็นการขอขมาพระแม่คงคาไปพรอ้ มกนั ด้วย (สมั ภาษณ์ นาย จนั ทร์ เขยี วพนั ธุ,์ ๒๕๕๘) เป็นไปไดว้ า่ คนไทยภาคกลางคอื พระยาประชากจิ กรจกั รเมอ่ื ฟังคาํ วา่ “หะมด” คงฟัง เป็น “โขมด” และนําตํานานเร่อื งชาวหรภิ ุญไชยลอยขาทนียโภชนียาหารไปใหบ้ รรพบุรุษมา ตคี วามวา่ ลอยฮหี ะมดเป็นการลอยกระทงซง่ึ เป็นไปตามความคุน้ เคยคาํ ศพั ทข์ องคนไทยภาค กลาง ข้อสันนิษฐานข้างต้นสอดคล้องกับท่ีสิงฆะ วรรณสัย ผู้เช่ียวชาญภาษาและ วฒั นธรรมลา้ นนา ไดใ้ หค้ วามเหน็ วา่ ลอยกระทงในอดตี นนั้ เป็น “การลอยขา้ วน้ําโภชนาหาร” ไมเ่ รยี กวา่ เป็นการลอยโขมด หรอื กระทงแต่ประการใด” (สงิ ฆะ วรรณสยั , ๒๕๒๑: ๖๗) ลอยกระทงแบบล้านนา ดว้ ยการทป่ี ระเพณีลอยกระทงจากกรุงเทพฯ แพร่กระจายขน้ึ มาทางภาคเหนือเป็น ระยะเวลานาน จงึ คอ่ ยๆ สง่ ผลทาํ ใหค้ นรุน่ ไมก่ ส่ี บิ ปีทผ่ี า่ นมาเรยี กการนํา “สะตวง” ไปลอยน้ํา วา่ เป็นการ “ลอยกระทง” กนั สว่ นคาํ วา่ สะตวงกถ็ ูกใชใ้ นความหมายถงึ กระทงทใ่ี ชใ้ นพธิ กี รรม ต่างๆ เช่น สะตวงทใ่ี ชใ้ นการใส่อาหารและเคร่อื งสกั การะในพธิ ขี น้ึ ทา้ วทงั้ ส่ี หรอื ใชส้ ําหรบั การสะเดาะเคราะห์ เป็นตน้ ดงั นนั้ ถา้ ถามคนทม่ี อี ายุไมม่ ากกจ็ ะบอกวา่ ลอยกระทงกค็ อื ลอย กระทง ไมใ่ ชล่ อยสะตวง เรอ่ื งน้ีสะทอ้ นใหเ้ หน็ วา่ ประเพณีต่างๆ สามารถมกี ารเปลย่ี นแปลงไปไดเ้ มอ่ื มกี ารรบั วฒั นธรรมใหม่เขา้ มา บา้ งค่อยๆ ผสมผสานกบั ประเพณีเดมิ บา้ งกล็ มื เลอื นไปว่าประเพณี ดงั้ เดมิ เป็นอยา่ งไร ถอื เป็นเรอ่ื งปกตขิ องวฒั นธรรมประเพณที ย่ี อ่ มมกี ารเปลย่ี นแปลงอยเู่ สมอ เพราะวฒั นธรรมเป็นสง่ิ ทม่ี ชี วี ติ ในทน่ี ้ีจะขอเลา่ ถงึ ประเพณลี อยกระทงของคนมอญ และคนเมอื ง ๗๐  

จากการสมั ภาษณ์นายจนั ทร์ เขยี วพนั ธุ์ อายุ ๗๕ ปี ชาวมอญทบ่ี า้ นหนองดู่ เลา่ ให้ ฟังว่า ในภาษาของชาวมอญบา้ นหนองดู่-บ่อคาว เรยี กการลอยกระทงว่า “ฮี หะมด” หรอื แปลตรงตวั ว่า “ลอยประทปี ” บางทกี เ็ รยี ก “ลอยหะมด” พธิ นี ้ีจะทาํ กนั ในวนั เพญ็ เดอื นย่ี ขน้ึ ๑๕ ค่าํ โดยในวนั นนั้ ชาวบา้ นจะพากนั ไปทาํ บุญตกั บาตรทว่ี ดั ตงั้ แต่เชา้ เมอ่ื ไปถงึ วดั อาหาร สว่ นหน่ึงจะถวายพระ และอกี สว่ นหน่ึงจะแบง่ ใสไ่ วใ้ น “สะเปา” หรอื เรอื สาํ เภาทท่ี างวดั ไดท้ ํา จดั เตรยี มไว้ ล่องสะเปายเ่ี ป็งทว่ี ดั สนั ตกิ าราม (รอ่ งนอด) ต.เวยี งกาหลง อ.เวยี งป่าเป้า จ.เชยี งราย (ทม่ี า: นายวชิ ญา มาแกว้ ) เมอ่ื ตกเยน็ ชาวบา้ นจะกลบั มารวมกนั ทว่ี ดั อกี ครงั้ พรอ้ มทงั้ นํากระทงมาดว้ ย จากนนั้ พระสงฆจ์ ะเทศนาธรรมในโบสถ์วหิ าร มกี ารจุดธูปเทยี นบูชาและเม่อื พลบค่ํากจ็ ะพากนั แห่ กระทงเลก็ พรอ้ มกบั ลากเรอื สาํ เภาไปทแ่ี ม่น้ําปิง เมอ่ื ถงึ ทา่ น้ํา “ป่จู ารย”์ หรอื ผนู้ ําพธิ กี รรมจะ กล่าวนําทําพธิ ลี อยโดยการกล่าวขอขมาพระแม่คงคา หลงั จากนัน้ กจ็ ะทําการปล่อยกระทง เลก็ พรอ้ มกบั เรอื สาํ เภา โดยวตั ถุประสงค์ ๒ ประการหลกั ของการลอยสะเปาและกระทงคอื ประการแรกเป็น การราํ ลกึ ถงึ บรรพบุรษุ ในตระกลู ของตนเอง ประการทส่ี องคอื เป็นการขอขมาพระแมค่ งคา ๗๑  

ลกั ษณะของกระทงแบบโบราณทเ่ี รยี กว่า “สะตวง” นัน้ จะเป็นการเอากาบกลว้ ยมา ต่อเป็นรปู สเ่ี หลย่ี ม และเอาใบตองวางตรงกลาง ดา้ นในมกี ารใสอ่ าหารคาวหวาน ผลไม้ เงนิ สตางคแ์ ละดอกไมธ้ ปู เทยี นวางไวภ้ ายในกระทงน้ีจะทาํ กนั ทกุ บา้ นทกุ ครอบครวั ปัจจบุ นั การลอยกระทงและลอยสะเปาไดแ้ ยกทาํ เป็น ๒ วนั คอื กระทงเลก็ จะลอยใน วนั ขน้ึ ๑๕ ค่าํ และสะเปาจะลอยในวนั แรม ๑ ค่าํ ต่างจากอดตี ทจ่ี ะลอยทงั้ กระทงและสะเปา ในวนั ขน้ึ ๑๕ ค่าํ วนั เดยี วกนั (สมั ภาษณ์ นายจนั ทร์ เขยี วพนั ธ,ุ์ ๒๕๕๘) ในส่วนของประเพณีลอยกระทงของคนเมืองนัน้ นายนิพนธ์ อ้ายไชย อดีตครูท่ี จงั หวดั เชยี งราย วยั ๖๘ ปีไดเ้ ล่าใหฟ้ ังว่าสมยั ก่อนยอ้ นไปหลายสบิ ปีลอยกระทงของทาง เชยี งรายไม่เหมอื นกบั ในสมยั น้ีท่ที ําเพ่อื แข่งขนั ประกวดประชนั เอาความสวยงามโดยใน สมยั กอ่ นนนั้ เป็นเรอ่ื งของประเพณพี ธิ กี รรม อกี ทงั้ ในสมยั กอ่ นคนทางเชยี งรายจะเรยี กกระทง วา่ “สะตวง” แต่ในปัจจุบนั คนทวั่ ไปจะมองวา่ สะตวงเป็นของทใ่ี ชใ้ นพธิ กี รรมเช่นพธิ ไี หวท้ า้ ว ทงั้ ส่ี เป็นตน้ ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั เชยี งใหมล่ อยสะตวงขอขมาแมน่ ้ําปิง สะตวงหรอื กระทงแบบดงั้ เดมิ ในลา้ นนา (ทม่ี า: http://www.disaster.go.th/dpm/index.php? (ทม่ี า: http://www.chiangraifocus.com/forums option=com_content&task=view&id=28193&Itemid=9) /index.php?topic=286210.0 นายนิพนธ์ อ้ายไชย อธิบายต่อว่าวตั ถุประสงค์ของการลอยกระทงนัน้ มีอยู่ ๕ ประการหลกั ดงั น้ี ประการแรก เป็นการแสดงออกความกตญั ญูและส่งอาหารและสง่ิ ของใหก้ บั บรรพ บรุ ษุ หรอื ผมู้ พี ระคณุ ประการทส่ี อง เพอ่ื เป็นการลอยสงิ่ ทเ่ี ลวรา้ ยสงิ่ ไม่ดอี อกไปบางครงั้ จงึ เรยี กวา่ “ลอย เคราะห”์ ประการท่สี าม เป็นความเช่อื ในการบูชาพระพุทธเจา้ และพระพุทธบาททแ่ี ม่น้ํานัม มทานที ตามความเชอ่ื ทางศาสนา ๗๒  

ประการทส่ี ่ี เป็นการลอยเพอ่ื ขอขมาบชู าพระแมค่ งคา ประการสดุ ทา้ ย เพอ่ื ลอยอธษิ ฐานของครู่ กั ใหม้ คี วามรกั ทย่ี งั่ ยนื ตลอดไป จะเห็นได้ว่าวตั ถุประสงค์ของการลอยข้างต้นมกี ารปะปนกันระหว่างความเช่ือ ทอ้ งถน่ิ คอื ผี และความเชอ่ื ทางพระพทุ ธศาสนา แตก่ ท็ ง้ิ รอ่ งรอยความเชอ่ื ดงั้ เดมิ คอื ผเี อาไว้ พธิ ลี อยกระทงจะเรมิ่ ในวนั เพญ็ เดอื นย่ี โดยตอนเชา้ ชาวบา้ นจะมาทําบุญตกั บาตร ฟังเทศน์ฟังธรรมทว่ี ดั โดยจะมกี าร “ตงั้ ธมั มห์ ลวง” คอื การฟังพระธรรมเทศนาเร่อื งใหญ่หรอื เร่อื งสาํ คญั เรม่ิ กนั ตงั้ แต่ตี ๔-๕ ธมั มห์ ลวงทใ่ี ชเ้ ทศน์มกั จะเป็นกณั ฑเ์ วสสนั ดรชาตกอนั เป็น พระชาติสุดท้ายของพระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ เป็นต้น (สัมภาษณ์ นายนิพนธ์ อ้ายไชย, ๒๕๕๘) ประเพณตี งั้ ธมั มห์ ลวงน้ีเปรยี บเทยี บกบั ทางภาคกลางคอื ประเพณฟี ังเทศน์มหาชาติ (มลู นิธธิ นาคารไทยพาณชิ ย,์ ๒๕๕๒: ๒๓๔๐) ในชว่ งกลางวนั ชาวบา้ นจะนําเอาอาหารไปใสใ่ น “สะเปา” หรอื เรอื สาํ เภา ซง่ึ ปัจจุบนั ไดท้ ําเป็นกระทงขนาดใหญ่แทนแลว้ เม่อื ถงึ เวลาเยน็ ชาวบา้ นกจ็ ะไปทว่ี ดั กนั อกี รอบหน่ึง เพ่อื ฟังเทศมหาชาติท่ยี งั สวดค้างอยู่ไม่จบเพราะเป็นเร่ืองยาว ชาวบ้านจะนําสะตวงหรือ กระทงมาจากบา้ นดว้ ยเมอ่ื ถงึ เวลาพลบค่าํ ชาวบา้ นจะบชู า “ผางประทปี ” ซง่ึ เป็นถว้ ยภาชนะ ดนิ เผาขนาดเลก็ ไส้เทียนลงไป และมไี ส้เทยี นรูปสามแฉกเรยี กว่า “ตีนกา”ซ่ึงมที ่ีมาจาก ตาํ นานเรอ่ื งกาเผอื ก จากนนั้ พระจะเทศน์ธรรมอานิสงสป์ ระทปี ชาวบา้ นจะนําผางประทปี วาง ลงไปในสะตวงทท่ี าํ จากกาบกลว้ ย พรอ้ มทงั้ ธปู และภายในสะตวงจะมกี ารใสว่ างอาหารต่างๆ และขา้ วลงไปดว้ ย มบี า้ งทว่ี างเงนิ แตน่ ้อยคนทจ่ี ะทาํ เม่อื ถงึ เวลาพลบค่ําชาวบา้ นมาพรอ้ มกนั ทางวดั จะปล่อยโคมไฟขนาดใหญ่ ขบวน จงึ เรม่ิ เคล่อื นโดยมสี ะเปาหรอื กระทงต้นนําหน้าชาวบา้ นถอื กระทงเลก็ เดนิ ตามไปยงั ท่าน้ํา เม่อื พระทําการสวดมนต์เสรจ็ กจ็ ะทําการปล่อยสะเปา จากนัน้ ชาวบา้ นจงึ ปล่อยกระทงเลก็ ตาม เป็นอนั เสรจ็ พธิ ี (สมั ภาษณ์ นายนิพนธ์ อา้ ยไชย, ๒๕๕๘) สว่ นประเพณีลอยกระทงทางเชยี งใหม่ จากการสมั ภาษณ์นายอนิ สม เขยี วแกว้ อายุ ๕๘ ปี เป็นคนเมอื งท่อี ําเภอสารภี ไดเ้ ล่าใหฟ้ ังว่าตงั้ แต่เดก็ ถงึ ปัจจุบนั ก่อนหน้าวนั ลอย กระทง ๑-๒ วนั จะเรยี กว่า “วนั ดา” คอื วนั ทใ่ี ชต้ ระเตรยี มการทํากระทง โดยคณะศรทั ธา (ชาวบา้ น) ทม่ี ฝี ีมอื ในการทํากระทงจะไปรวมตวั กนั ท่วี ดั เพ่อื ช่วยกนั ทํากระทงของหมู่บา้ น เรยี กวา่ “กระทงตน้ ” หรอื กระทงใหญ่ เมอ่ื ถงึ วนั เพญ็ ขน้ึ ๑๕ ค่าํ เดอื นย่ี หรอื ทเ่ี รยี กวา่ “ยเ่ี ป็ง” ช่วงกลางวนั ชาวบา้ นจะไป ทว่ี ดั พรอ้ มนําอาหาร จะมเี คร่อื งฟักแฟงแตง ขา้ ว พรกิ ใส่ลงไปในกระทงใหญ่ เพ่อื ใชล้ อย กระทงในตอนเย็น การทํากระทงใหญ่น้ีก็เพ่ือใช้สําหรบั การลอยเคราะห์โศกของคนทัง้ หมบู่ า้ น และลอยเพอ่ื ใหอ้ าหารไปถงึ โลกหน้า ๗๓  

เม่อื ถงึ เวลาเยน็ จะมพี ธิ แี ห่กระทง ชาวบา้ นจะนํากระทงเลก็ หรอื ในภาษาคําเมอื ง เรยี กว่า “กระทงน้อย” มาเขา้ ขบวน กระทงน้อยของชาวบา้ นจะทําเป็นกระทงหยวกกลว้ ย และภายในใสผ่ างประทปี ไวภ้ ายใน ซง่ึ ผางประทปี น้ีจะเป็นถว้ ยดนิ เผาขนาดเลก็ มดี า้ ยขนาด ใหญ่วางตรงกลางเรยี กวา่ “ไสต้ นี กา” และเอาเทยี นไขเทดา้ นใน แตถ่ า้ บางคนไมม่ ผี างประทปี กจ็ ะใชเ้ ทยี นแทง่ แทนกไ็ ด้ ชาวบา้ นจะแหก่ ระทงใหญ่นําหน้าออกจากวดั ชาวบา้ นจะเดนิ แหก่ ระทงเลก็ ตามเป็น ทวิ แถว เพ่อื ไปยงั ท่าน้ํา เมอ่ื ไปถงึ ท่าน้ําก่อนทจ่ี ะปล่อยกระทง พระหรอื ทท่ี างเหนือเรยี กว่า “ตุเจา้ ” จะเทศนาเสยี ก่อน เมอ่ื เทศน์เสรจ็ พระจะบอกวา่ ปล่อยกระทงลงได้ ชาวบา้ นกจ็ ะนํา กระทงใหญ่ลอยในน้ําก่อน แลว้ ตามดว้ ยกระทงน้อย เป็นอนั เสรจ็ พธิ ี วตั ถุประสงคข์ องการลอยกระทงมี ๓ ประการหลกั คอื ประการแรก เป็นการขอขมา (ขอสมุ า) แมน่ ้ําคงคา ประการทส่ี อง เป็นการสะเดาะเคราะห์ ความไม่สบายกายสบายใจออกไป คนทาง เหนือเรยี กว่า “ส่งเคราะห์ส่งนาม” ทงั้ น้ีเพ่อื ใหส้ ง่ิ ดๆี เขา้ มาแทน ในอดตี บา้ งกม็ กี ารตดั เลบ็ ตดั ผม วางไปในกระทงดว้ ยกม็ ี ประการท่สี าม เพ่อื เป็นการลอยส่งทาน (ตาน) (สมั ภาษณ์ นายอนิ สม เขยี วแก้ว, ๒๕๕๘) จากท่กี ล่าวมาจะเหน็ ได้ชดั ว่าวตั ถุประสงค์ของการลอยกระทงภาคเหนือกบั ภาค กลางมที แ่ี ตกต่างกนั อยา่ งชดั เจนประการหน่ึงคอื ทางภาคเหนือลอยกระทงใหก้ บั บรรพบุรุษ ทล่ี ว่ งลบั ไปแลว้ และถอื เป็นการทาํ บุญทาํ ทานอยา่ งหน่ึงจงึ ไดม้ กี ารใสอ่ าหารไวใ้ นกระทงดว้ ย แต่ภาคกลางมวี ตั ถุประสงคห์ ลกั เน้นการขอขมาต่อพระแม่คงคา และยงั เป็นไปเพอ่ื การลอย เคราะหล์ อยทุกขไ์ ปดว้ ย ผเู้ ขยี นเองกจ็ าํ ไดว้ า่ สมยั ก่อนเมอ่ื ๓๐ ปีทแ่ี ลว้ เวลาลอยกระทงทแ่ี ม่ น้ําท่าจนี จะมบี างคนท่ตี ดั ผม เลบ็ มอื และเงนิ ลงไปในกระทงดว้ ย ทงั้ น้ีเพ่อื ใหเ้ คราะหก์ รรม ลอยไปพรอ้ มกบั กระทงและทาํ บญุ ดว้ ย อาจพอจะสรุปได้ว่าดงั้ เดิมจริงๆ แล้วประเพณีการลอยกระทงอาจมรี ากเหง้าท่ี สมั พนั ธก์ บั การบชู าผที งั้ ผบี รรพบรุ ุษและผแี มน่ ้ํา ลอยสะเปา ลอยเรือให้ทาน ในหวั ขอ้ ทแ่ี ลว้ ไดม้ กี ารกล่าวถงึ วา่ ในประเพณีลอยกระทงดงั้ เดมิ นัน้ มกี ารลอยสะเปา ด้วย ซ่ึงนับเป็นเอกลกั ษณ์อย่างหน่ึงของประเพณีลอยกระทงทางล้านนาเช่นทางจงั หวดั ลําปางจะมปี ระเพณีล่องสะเปาทจ่ี ดั อย่างสวยงาม แต่ในบางทอ้ งทเ่ี ช่นชาวบา้ นในเขตลุ่มน้ํา ๗๔  

องิ จงั หวดั เชยี งรายก็จะอธบิ ายว่าการลอยสะเปาทําเพ่อื อุทศิ ส่วนบุญกุศลใหก้ บั ผูต้ ายเป็น สาํ คญั จะเหน็ ไดว้ า่ ประเพณที างลา้ นนามคี วามหลากหลายพอควร ในสารานุกรมวฒั นธรรมไทย ภาคเหนือ ไดอ้ ธบิ ายประเพณีลอ่ งสะเปาวา่ ลอ่ งสะเปา หรอื ล่องสะเพานัน้ “นอกจากจะหมายความว่านําสําเภาล่องไปตามลําน้ําแล้ว ยงั หมายถงึ กจิ กรรมทางวฒั นธรรมทค่ี ลา้ ยกบั ประเพณีลอยกระทง พบว่ามอี ยู่ทจ่ี งั หวดั ลําปาง เพยี งแต่ ไมท่ ราบวา่ ประเพณนี ้ีมปี ระวตั คิ วามเป็นมาอยา่ งไร เพราะโดยปกตแิ ลว้ ในเทศกาลยเ่ี ป็งหรอื เพญ็ เดอื นยต่ี รงกบั วนั เพญ็ เดอื นสบิ สองนัน้ ทางล้านนาจะมปี ระเพณีตงั้ ธมั ม์หลวงและจุด ประทปี โคมอยแู่ ลว้ พธิ ลี ่องสะเปาหรอื ลอยกระทงแบบลําปางน้ี เป็นประเพณีท่สี ําคญั ทางศาสนาอย่าง หน่ึง วดั บางแหง่ จะถอื โอกาสจดั งานเทศน์มหาชาติ (ตงั้ ธมั มห์ ลวง) พรอ้ มกนั ไปดว้ ย จะมกี าร ตกแต่งสถานทอ่ี ยา่ งสวยงาม มตี น้ กลว้ ย ตน้ ออ้ ย ทางมะพรา้ ว ธงทวิ ต่างๆ ประดบั สว่ นของ ในพธิ ลี อ่ งสะเปานนั้ จะมกี ารทาํ สะเปาขนาดใหญ่บรรจุผลไม้ ขนม มาใส่ไว้ พรอ้ มทงั้ ประทปี ธปู เทยี นจุดกนั สวา่ งไสว สะเปาทว่ี ดั สนั ตกิ าราม (รอ่ งนอด) ต.เวยี งกาหลง อ.เวยี งป่าเป้า จ.เชยี งราย (ภาพของนายวชิ ญา มาแกว้ ) เม่อื ได้เวลาอาจารย์วดั (มคั ทายก) จะนําไหวพ้ ระ รบั ศลี ฟังเทศน์แบบลา้ นนาช่อื อานิสงส์ประทีปตีนกาแล้วจะมีโอกาสกล่าวถวายเคร่ืองสกั การะบูชาแด่องค์สมเด็จพระ สมั มาสมั พุทธเจ้า พร้อมกับการขอขมาลาโทษต่อพระแม่คงคาอันมีพระคุณต่อบรรดา ๗๕  

สงิ่ มชี วี ติ ทงั้ หลาย ต่อจากนัน้ กจ็ ะนําสะเปานัน้ แห่ไปลอยในแม่น้ํา บางคนกม็ กี ระทงเลก็ ไป ลอยด้วยกนั ส่วนหน่ึงถือเป็นการลอยทุกข์โศก โรคภยั เสนียดจญั ไรต่างๆ เพ่อื ความสุข ความเจรญิ แกต่ วั เองและครอบครวั สบื ต่อไป” (มลู นิธธิ นาคารไทยพาณชิ ย,์ ๒๕๔๒: ๕๘๕๐) ในพธิ จี ะมคี ํากล่าวบูชาลอยกระทงเป็นภาษาบาลี แต่ในท่นี ้ีขอกล่าวถงึ เน้ือท่แี ปล เป็นภาษาไทยแลว้ คอื “ขา้ พเจา้ ขอบชู ารอยพระพุทธบาท ซ่งึ ประดษิ ฐานอยเู่ หนือหาดทราย ณ ฝัง่ แมน่ ้ํานัมมานทดี ว้ ยประทปี น้ี ขอใหก้ ารบูชารอยพระพุทธบาทของพระผมู้ พี ระภาคเจา้ ด้วยประทปี น้ี จงเป็นไปเพ่อื ประโยชน์สุขชวั่ กาลนานเทอญ (โดย ประดิษฐ์ สรรพช่าง)” (มลู นิธธิ นาคารไทยพาณชิ ย,์ ๒๕๔๒: ๕๘๕๐-๕๘๕๑) เป็นไปไดว้ า่ ประเพณลี อยสะเปาในฐานะทเ่ี ป็นการลอยกระทงนัน้ ยงั คงสบื ทอดต่อมา อยา่ งเหนียวแน่นทจ่ี งั หวดั ลาํ ปาง ในขณะทจ่ี งั หวดั อน่ื ๆ ชมุ ชนอน่ื ๆ มกี ารกลายไปบา้ งแลว้ สงิ ฆะ วรรณสยั (พ.ศ.๒๔๖๓-๒๕๒๓) ไดเ้ ล่าว่า “ขา้ พเจา้ ขอยนื ยนั ว่า สมยั โบราณ นัน้ ไม่ได้ลอยกระทงเหมอื นปัจจุบนั น้ีคือ ไม่ใช่มแี ต่กระทงกบั เทียนไฟเท่านัน้ เขาสร้าง กระทงเป็นเรอื น เป็นสะเภา แลว้ บรรจุสง่ิ ของ เสอ้ื ผา้ ขา้ วปลาอาหาร ขนมนมเนย ของกนิ ของใชแ้ ละเงนิ ลงไปในเรอื นหรอื สําเภานัน้ จากนัน้ จุดประทปี หรอื เทยี นใหพ้ ราวสว่าง แลว้ ปลอ่ ยใหเ้ ล่อื นลอยไหลไปตามกระแสน้ํา เมอ่ื ประมาณ ๔๐ ปีทผ่ี ่านมาน้ี เวลานนั้ ขา้ พเจา้ ยงั เป็นเดก็ ชอบไปคอยกระทงอยทู่ างทา่ ทศิ ใตน้ ้ําเมอ่ื กระทงผา่ นมากพ็ รอ้ มกบั เพอ่ื นๆ อกี หลาย คน ว่ายน้ําเขา้ ไปยอ้ื แย่งเอาสง่ิ ของท่เี ขาใส่ไวใ้ นกระทงนัน้ และพบสงิ่ ของเป็นดงั ทก่ี ล่าวไว้ ขา้ งบนเสมอ” (สงิ ฆะ วรรณสยั , ๒๕๒๑: ๖๗) ขอ้ เขยี นของสงิ ฆะนนั้ เป็นการเปรยี บเทยี บรปู แบบกระทงในสมยั ทเ่ี ขยี นบทความขน้ึ เมอ่ื ปี พ.ศ.๒๕๒๑ สงิ ฆะเกดิ เมอ่ื พ.ศ.๒๔๖๓ ถา้ ยอ้ นกลบั ไป “เมอ่ื ประมาณ ๔๐ ปีทผ่ี า่ นมา น้ี” จงึ น่าจะความทรงจาํ เมอ่ื ราวปี พ.ศ.๒๔๗๐ เศษ ดงั นนั้ แสดงวา่ เมอ่ื ราว พ.ศ.๒๔๗๐ ยงั ไมม่ กี ารลอยกระทงแบบกรุงเทพฯ นายนิพนธ์ อา้ ยไชย เล่าใหฟ้ ังวา่ ในอดตี นัน้ ในประเพณีลอยกระทง วนั เพญ็ เดอื นย่ี จะมพี ธิ ลี อยสะเปาด้วย โดยสะเปามลี กั ษณะเป็นเรอื ทํากนั ท่วี ดั ถือเป็นของระดบั ชุมชน ไมไ่ ดท้ าํ กนั ทบ่ี า้ น ถอื เป็นประเพณที ส่ี ะทอ้ นการรว่ มแรงและความสามคั คขี องชมุ ชน คําว่า “สะเปา” มาจากคําว่า “สําเภา” หมายถึงเรอื โดยจะทําจากไมไ้ ผ่สานและ กระดาษทาํ เป็นรูปเรอื สาํ เภาวางไวบ้ นแพ ซ่งึ สะเปาน้ีจะทําก่อนหน้าวนั งานลอยกระทง เม่อื ถงึ วนั ลอยกระทง ชาวบา้ นจะนําสง่ิ ของต่างๆ ไดแ้ ก่ ขา้ ว ผลหมากรากไม้ ของใช้ นํามาใสใ่ น เรอื เพอ่ื เป็นการใหท้ าน เพอ่ื ใหส้ งิ่ ของและอาหารไปถงึ ยงั ผทู้ ล่ี ่วงลบั และยงั เป็นการใหท้ าน กบั คนเป็นทอ่ี ยปู่ ลายน้ําดว้ ย ๗๖  

ในอดตี นัน้ การลอยสะเปาจะลอยในวนั ขน้ึ ๑๕ ค่าํ ลอยพรอ้ มกบั กระทงเลก็ แต่ใน ปัจจุบนั จะลอยกระทงในวนั ขน้ึ ๑๕ ค่าํ และลอยสะเปาในวนั แรม ๑ ค่าํ (คอื อกี ๑ วนั ถดั มา หลงั จากลอยกระทง) (สมั ภาษณ์ นายนิพนธ์ อา้ ยไชย, ๒๕๕๘) สาํ หรบั ทางจงั หวดั ลาํ ปางนนั้ จากการสมั ภาษณ์นางยพุ นิ วรรณะประเวชน์ อายุ ๔๔ ปี ไดเ้ ลา่ วา่ ในวนั กอ่ นวนั ลอยกระทงหรอื เรยี กวา่ “วนั ดา” ทางวดั จะจดั ทาํ สะเปา กระทง และ โคมไฟ เมอ่ื ถงึ วนั ลอยกระทง ชาวบา้ นจะไปวดั กนั ตงั้ แต่ ๖ โมงเชา้ เพอ่ื นําอาหารและสง่ิ ของ ตา่ งๆ ไปถวายพระ เรยี กวา่ “ไปตาน” เพอ่ื อุทศิ ใหก้ บั คนทล่ี ว่ งลบั นอกจากน้ีชาวบา้ นจะเตรยี มกบั ขา้ วหน่ึงชุด เพอ่ื นําไปทาํ พธิ ี “ตานสะเปา” (ใหท้ าน เรอื สําเภา) ของท่ใี ส่ลงไปในสะเปาจะมปี ระทปี ซ่ึงเรยี กว่า “ประทปี ตนี กา” ขา้ ว ขนม น้ํา กรวยดอกไม้ (สวยดอกไม)้ และเอาเงนิ ใสไ่ ปดว้ ย หลงั จากใส่ของต่างๆ เสรจ็ ชาวบา้ นจะฟัง เทศน์ฟังธรรมประทปี จากนัน้ เอาผางประทปี ไปวางไวท้ ห่ี น้าพระพรอ้ มจุดเทยี น เม่อื พระให้ ศีลให้พรเสร็จแล้วก็จะกลบั บ้านกนั หลงั จากนัน้ ตอนเท่ียงจะมากนั ท่ีวดั อีกทีมาฟังธรรม ประทปี เสรจ็ แลว้ จงึ กลบั บา้ น เม่อื ถงึ เวลาเยน็ ก่อนออกจากบา้ นมาวดั ชาวบา้ นจะจุดประทปี และเทยี นรอบบา้ น โดยวางทห่ี วั บนั ได ๒ อนั และรอบรวั้ บา้ น เพอ่ื เป็นการบูชาไฟ เพอ่ื ใหเ้ กดิ แสงสวา่ งนําทาง ชวี ติ ใหพ้ บเจอแตส่ ง่ิ ทด่ี งี าม จากนนั้ กจ็ ะนํากระทงเลก็ ไปทว่ี ดั คนเฒา่ คนแก่จะลากเอาสะเปานําหน้าไปก่อน เมอ่ื ถึงท่าน้ําก็จะนําสะเปาและกระทงลอยพร้อมกนั การลอยสะเปาน้ีจะเรยี กว่า “ล่องสะเปา” วตั ถุประสงคข์ องการลอยกระทงและสะเปากเ็ พ่อื เป็นการปล่อยทุกขป์ ล่อยโศก โรคภยั หรอื สง่ิ ทไ่ี มด่ ใี หผ้ า่ นพน้ ไป รวมถงึ เป็นการขอพรใหม้ แี ต่สง่ิ ดๆี เขา้ มาในชวี ติ อกี ทงั้ ยงั เป็นการทาํ ทานใหก้ บั ผลู้ ว่ งลบั อกี ดว้ ย (สมั ภาษณ์ นางยพุ นิ วรรณประเวชน์, ๒๕๕๘) นอกจากพน้ื ทต่ี ่างๆ ขา้ งตน้ แลว้ ปัจจุบนั หลายหม่บู า้ นในเขตเชยี งใหม่เช่นบา้ นววั ลาย บา้ นเจด็ ยอด บา้ นสนั ป่าขอ่ ย วดั เกตุ ฯ นิยมทําสะเปากนั ทว่ี ดั โดยจะทําเป็นสะเปารูป เรอื ลําใหญ่วางบนแพไมไ้ ผ่ พรอ้ มนําขา้ วของเคร่อื งใชต้ ่างๆ ใส่ในสะเปา เม่อื ถงึ เวลาหวั ค่ํา ของวนั ยเ่ี ป็งจงึ พากนั หามสะเปาลงไปลอยทแ่ี ม่น้ําปิง และทําพธิ เี วนทานทท่ี ่าน้ํา เม่อื ปล่อย สะเปาไปไดส้ กั พกั มกั จะมคี นยากดกั เอาของในสะเปา ซ่งึ ถอื ว่าเป็นการบรจิ าคทานรูปแบบ หน่ึง ในขณะทช่ี าวมอญบา้ นหนองด่-ู บอ่ คาวเลา่ ว่าในอดตี จะมกี ารลอยสะเปาเช่นกนั โดย การลอยสะเปานัน้ จะออกเสยี งเป็นภาษามอญว่า “ฮะเจยี ก เก่งิ ” คําว่า “ฮะเจยี ก” แปลว่า “ลาก” คาํ วา่ “เกง่ิ ” แปลวา่ “เรอื ” โดยก่อนหน้าวนั ลอยกระทง ชาวบา้ นและวดั จะรว่ มมอื กนั ทาํ “เกงิ่ ” หรอื เรอื สาํ เภาจาํ ลอง เรอื สาํ เภาน้ีโดยมากแลว้ ผสู้ งู อายจุ ะเป็นคนทาํ เพราะรวู้ ธิ กี ารเป็น อย่างดี โดยจะทาํ การตดั ไมไ้ ผ่ทาํ เป็นแพ และขน้ึ โครงเรอื จากนนั้ ใชท้ างมะพรา้ วผา้ ซกี แลว้ ๗๗  

เอามาประกอบเป็นผนังเรอื ดา้ นในเรอื จะทาํ การจกั สานปเู ป็นพน้ื เพอ่ื ใชว้ างถวายเคร่อื งเซ่น ไหว้ อกี ทงั้ มกี ารประดบั ตกแต่งเรอื ดว้ ยธงทวิ ปกตจิ ะทาํ ลว่ งหน้าประมาณ ๒ วนั จากนนั้ จะ วางเรอื ไวท้ ห่ี น้าโบสถ์ และจะมกี ารปักไมว้ างเป็นราวไวข้ า้ งเรอื ไวจ้ ดุ ประทปี บชู า ในชว่ งเชา้ ของวนั รุ่งขน้ึ ชาวบา้ นจะพากนั ไปทาํ บุญทว่ี ดั ฟังเทศน์ฟังธรรม โดยจะมี การแบ่งขา้ วปลาและอาหารส่วนหน่ึงไปไวท้ เ่ี รอื สําเภาจําลอง ในช่วงเยน็ จะฟังเทศน์กนั ใน โบสถ์ จดุ ธปู เทยี นบชู าเรอื สาํ เภา วตั ถุประสงคข์ องการทาํ เรอื สาํ เภากเ็ พอ่ื ถวายเป็นพทุ ธบชู า พระธรรม และพระเถระทส่ี าํ คญั สองรปู ในความเช่อื ของชาวมอญคอื พระโสณะและพระอุตต ระ นายจนั ทร์ เขยี วพนั ธุ์ เล่าว่าประเพณีน้ีคล้ายกบั มอญในประเทศพม่า (สมั ภาษณ์ นาย จนั ทร์ เขยี วพนั ธุ,์ ๒๕๕๘) ดงั นัน้ อาจสรุปไดว้ ่าในประเพณีลอยกระทงของทางภาคเหนือนัน้ มกี ารลอยสะเปา หรอื ลอยเรอื สาํ เภาเป็นสว่ นประกอบทส่ี าํ คญั ดว้ ย ไมใ่ ชเ่ ฉพาะการลอยกระทงเพยี งอยา่ งเดยี ว โดยวตั ถุประสงคข์ องการลอยสะเปากเ็ พอ่ื การอุทศิ สว่ นบุญสว่ นกุศลใหก้ บั คนทล่ี ่วงลบั ไปแลว้ และยงั เป็นการทําบุญทําทานไปพรอ้ มกนั อาจตคี วามไดด้ ว้ ยว่าสะเปาก็คอื เรอื ท่ที ําหน้าท่ี เชอ่ื มโลกปัจจุบนั เขา้ กบั โลกวญิ ญาณหรอื โลกหน้า โดยมแี มน่ ้ําเป็นเสน้ ทางเชอ่ื มต่อ ภายหลงั จากการรบั นับถือพระพุทธศาสนาจงึ ได้อธบิ ายว่าเป็นการบูชาพระแม่คงคา และเป็นการ ทาํ บุญ ยี่เป็งไหว้สาพระธาตเุ จ้า นอกจากประเพณีลอยกระทงท่ีกล่าวมาแล้ว ในบางท้องท่ีของภาคเหนือยังมี ประเพณีลอยกระทงเฉพาะท้องถ่ินท่ีสบื ทอดกนั มาแต่โบราณ ท่วี ดั พระธาตุลําปางหลวง จงั หวดั ลาํ ปาง มปี ระเพณลี อยกระทงทม่ี ที ม่ี าจากตาํ นานแมก่ าเผอื ก ดงั น้ี ตามตํานานเล่าขานของชาวบา้ นชุมชนลาํ ปางหลวงเล่าว่า เมอ่ื ครงั้ อดตี กาลมแี มก่ า เผอื กไปวางไข่ ๕ ฟองทค่ี บไมต้ น้ ไทรใหญ่รมิ ฝัง่ แมน่ ้ํา ขณะทแ่ี มก่ าไดอ้ อกไปหาอาหารชว่ ง นนั้ เกดิ พายใุ หญ่ของเดอื นพฤษภาคม ทาํ ใหไ้ ขก่ าเผอื กทงั้ ๕ ฟองไดต้ กลงไปในแมน่ ้ําและได้ ลอยไปคา้ งตามสถานทต่ี า่ งๆ และไดแ้ ตกออกเป็นทารกทงั้ ๕ ตนไดแ้ ก่ ไก่ ววั เต่า พญานาค และเณร หลงั จากทงั้ ๕ พระองคเ์ ตบิ ใหญ่จงึ ออกบวชเป็นฤๅษี พรอ้ มทงั้ มคี วามปรารถนาท่ี อยากจะพบหน้ามารดาของตน จงึ ตงั้ จติ อธษิ ฐานว่าหากขา้ พเจ้าไดต้ รสั รูเ้ ป็นพระพุทธเจ้า ขอใหข้ า้ พเจา้ ไดพ้ บหน้ามารดา ๗๘  

วดั พระธาตุลาํ ปางหลวง จงั หวดั ลาํ ปาง (ทม่ี า: http://www.chiangmaitouronline.com/) ฝ่ายแมก่ าเผอื กไดต้ ายไปเกดิ บนสวรรค์ ไดย้ นิ เสยี งลกู ของตนอธษิ ฐานทอ่ี ยากจะพบ หน้ามารดาแม่กาเผอื กจงึ เฝ้ามองดลู ูกทบ่ี วชเป็นฤๅษที งั้ ๕ พระองค์บนโลกมนุษย์ แม่กา เผอื กจงึ เสดจ็ ลงมายงั โลกมนุษยแ์ ลว้ แปลงกายเป็นมนุษยม์ าหาฤๅษที งั้ ๕ พระองค์ พรอ้ มทงั้ กล่าวว่าหากคดิ ถึงแม่ อยากเหน็ หน้าแม่ ก็จงฟัน่ ด้ายเป็นรูปตีนกา พร้อมทงั้ ใส่ข้ผี ้งึ แล้ว นําไปลอยลงทแ่ี มน่ ้ํา” (พจนา เอกบตุ ร, ๒๕๕๖: ๘๘-๘๙) จากคาํ บอกเล่าดงั กล่าวเป็นมลู เหตุทก่ี ่อใหเ้ กดิ ประเพณียเ่ี ป็งไหวส้ าพระธาตุเจา้ ขน้ึ ในชุมชนลําปางหลวง เพ่อื ระลกึ และบูชาพระพุทธบาทแม่กาเผอื กของพระพุทธเจ้าทงั้ ๕ พระองค์ กระทาํ สบื มาจนถงึ ทุกวนั น้ี (พจนา เอกบุตร, ๒๕๕๖: ๘๘-๘๙) ตํานานขา้ งตน้ สะทอ้ นถงึ ความเช่อื ทอ้ งถนิ่ ทม่ี มี าก่อนทจ่ี ะรบั พระพุทธศาสนา จงึ ทํา ใหม้ กี ารอธบิ ายไปวา่ ลกู ของแมก่ าเผอื กไดก้ ลายเป็นพระพทุ ธเจา้ ๕ พระองค์ ซง่ึ คงหมายถงึ ผนู้ ําของชนพน้ื เมอื งทไ่ี ดบ้ วชเป็นฤๅษี สําหรบั พระพุทธเจา้ ๕ พระองค์นัน้ โดยทวั่ ไปจะ หมายถงึ พระกกุสนั ธพุทธเจา้ พระโกนาคมพุทธเจา้ พระกสั สปพุทธเจา้ พระโคตมพุทธเจา้ (พระพทุ ธเจา้ องคป์ ัจจบุ นั ) และพระเมตไตยพทุ ธเจา้ ในวนั ขน้ึ ๑๕ ค่าํ วนั ลอยกระทง ตงั้ แต่เชา้ ชาวบา้ นจะพากนั มาทาํ บุญตกั บาตร สรง น้ําพระธาตุสรงน้ําองคพ์ ระเจา้ แกว้ และปิดทอง จากนนั้ จะตอ้ นรบั พระจากวดั ไหล่หนิ วดั ศาลา วดั แมท่ ะ และวดั เกาะคา ต่อดว้ ยกจิ กรรมประกวดแห่ขบวนครวั ตานวดั พระธาตุลาํ ปางหลวง ๗๙  

ในชว่ งเยน็ จะเป็นกจิ กรรมลอยกระทงทบ่ี รเิ วณหนองสะระ หรอื สระน้ําหน้าวดั พระธาตุลาํ ปาง หลวง ซง่ึ ถอื เป็นหนองน้ําศกั ดสิ์ ทิ ธิ์พรอ้ มปลอ่ ยปปู ลา และโคมลอย เพอ่ื ลอยเคราะหบ์ าป ขอ ขมาบชู าเทพเจา้ ตามความเช่อื และบชู าพระพุทธบาทในหาดทรายแมน่ ้ํานัมมทานทจี ากนัน้ จะเป็นกิจกรรมร่ืนเริงเช่น ฟ้อนรํา ร้องเพลง จุดประทีป จุดพลุไฟ เป็นต้น ทํากันอย่าง สนุกสนาน ผางประทปี มไี สเ้ ทยี นเป็นสามแฉกจงึ เรยี กวา่ “ตนี กา” (ทม่ี า: http://thainews.prd.go.th/website_th/news/news_detail/TNART5711040010018) โคมไฟ โคมลอย บชู าฟ้า ในประเพณีลอยกระทงของทางล้านนามกี ิจกรรมหลายอย่าง หน่ึงในนัน้ คือการ ปลอ่ ยโคมลอย โดยในวนั ลอยกระทงจะมโี คมหรอื ทท่ี างเหนือเรยี กวา่ “ว่าว” อยู่ ๒ ลกั ษณะ คอื โคมทใ่ี ชป้ ล่อยกลางวนั เรยี กว่า “โคมรม” หรอื “โคมควนั ” และอกี ชนิดหน่ึงเรยี กวา่ “โคม ไฟ” โคมรมหรอื เรยี กสนั้ ๆ ว่า “ว่าว” จะใชป้ ล่อยในเวลากลางวนั มขี นาดใหญ่มาก ทํา จากกระดาษหลากสหี ลายแผ่นต่อกนั วดั และชาวบา้ นจะเป็นคนจดั การทําขน้ึ ปล่อยที ๒-๔ ลูก ปล่อยลอยขน้ึ สู่ทอ้ งฟ้าดว้ ยความรอ้ นลกั ษณะเดยี วกบั บอลลูน เช่อื กนั ว่าเป็นการปล่อย ความทุกขโ์ ศก สงิ่ ไมด่ ตี ่างๆ ออกไป นอกจากน้ียงั เป็นการทาํ ทานดว้ ย เพราะชาวบา้ นนิยม ๘๐  

แขวนสงิ่ ของ เงนิ หรอื มกี ารเขยี นขอ้ ความทร่ี ะบุวา่ ผเู้ กบ็ โคมไดส้ ามารถนําไปขน้ึ รางวลั จากผู้ ปลอ่ ยโคมได้ (สดุ ารา สจุ ฉายา, ๒๕๔๐: ๓๐๘) ในเวลากลางคนื ก่อนทข่ี บวนแห่สะเปาและกระทงเลก็ จะเคล่อื นออกจากวดั ทางวดั และชาวบา้ นจะจุดโคมไฟ สมยั ก่อนโคมไฟจะมขี นาดใหญ่ โครงทาํ จากไมไ้ ผ่ ทป่ี ากโคมจะมี การเอาทอ่ นไมพ้ นั ดา้ ยเป็นกอ้ นกลมชุบน้ํามนั ยางหรอื น้ํามนั ขโ้ี ลจ้ นชุ่มแขวนตดิ กบั ปากโคม เม่อื รมควนั และความรอ้ นไดท้ ่จี ะจุดไฟทท่ี ่อนไมน้ ัน้ ก่อนปล่อยโคมขน้ึ สู่อากาศ โคมลอยจะ ลอยสูงขน้ึ ไปเร่อื ยๆ คลา้ ยกบั ดวงดาว เช่อื กนั ว่าการปล่อยโคมไฟน้ีกเ็ พ่อื เป็นการบูชาพระ เกศแกว้ จฬุ ามณบี นสรวงสวรรค์ (สดุ ารา สจุ ฉายา, ๒๕๔๐: ๓๐๘) อย่างท่กี ล่าวในอดตี โคมไฟมขี นาดใหญ่ นายอนิ สม เขยี วแกว้ เล่าว่ามขี นาดใหญ่ ประมาณ ๔-๕ คนโอบ ทําใหส้ ามารถลอยไดส้ งู และเม่อื ดบั กจ็ ะไมต่ กลงมาบนบา้ นคนแลว้ ก่อให้เกิดเพลงิ ไหม้ ต่างจากสมยั น้ีท่โี คมมขี นาดเล็กทําให้เม่อื ตกลงมาแลว้ เกดิ เพลงิ ไหม้ นอกจากน้ีในปัจจุบนั เพอ่ื ป้องกนั ไมใ่ หเ้ คร่อื งบนิ ตกจงึ ไดม้ กี ารกําหนดระยะเวลาปล่อยโคมใน พน้ื ทใ่ี กลก้ บั สนามบนิ ดว้ ย สรปุ ไม่มใี ครทราบแน่ชดั ว่าประเพณีลอยกระทงของล้านนาเรม่ิ ต้นเม่อื ไหร่ เท่าท่พี บ หลกั ฐานอาจเป็นไปไดว้ ่าประเพณีการลอยกระทงเรมิ่ ต้นในสมยั หรภิ ุญไชยจากการ “ลอย ขาทนียโภชนียาหาร” หรอื การลอยอาหารใหก้ บั บรรพบุรุษและญาติ ซง่ึ ใกลเ้ คยี งกบั ประเพณี ลอยสะเปาและลอยกระทงแบบโบราณ ถ้าเป็นเช่นนัน้ จรงิ ลอยกระทงทางเหนือจงึ อาจมตี น้ กาํ เนิดคนละอยา่ งกบั ทางกรงุ เทพฯ หรอื ทเ่ี ชอ่ื กนั มาตลอดวา่ ในสมยั สโุ ขทยั ในลา้ นนาแต่ละจงั หวดั เท่าทผ่ี เู้ ขยี นเกบ็ ขอ้ มูลทงั้ ในจงั หวดั เชยี งใหม่ ลําพนู ลําปาง และเชยี งราย จะเหน็ ไดว้ า่ มรี ายละเอยี ดของประเพณีทแ่ี ตกต่างกนั แต่ทม่ี ลี กั ษณร่วมกนั กค็ อื ในประเพณยี เ่ี ป็งจะมกี ารทาํ สะเปา หรอื กระทงตน้ ซง่ึ เป็นหน้าทข่ี องวดั หรอื ชุมชน สว่ นในแต่ ละบา้ นจะทํากระทงเลก็ ซ่งึ ในอดตี เรยี กว่าสะตวง สนั นิษฐานว่าดงั้ เดมิ จรงิ ๆ แลว้ ทงั้ สะเปา และกระทงลอยเพ่อื เป็นการรําลกึ ถงึ บรรพบุรุษ ทําใหม้ กี ารใส่ขา้ วปลาอาหารและขนมลงไป ในนัน้ กล่าวได้ว่าเป็นการลอยเพ่อื อุทศิ ให้กบั คนตายหรอื ผี และคนในสมยั โบราณเช่อื ว่า แม่น้ําคงเป็นเสน้ ทางไปส่โู ลกหน้าจงึ ไดท้ ําสะเปาหรอื เรอื สาํ เภาเพ่อื ใหเ้ ดนิ ทางไปสู่โลกหลงั ความตาย แมน่ ้ําจงึ กลายเป็นพน้ื ทศ่ี กั ดสิ์ ทิ ธแิ์ ละเป็นดนิ แดนของคนตายไปดว้ ย ภายหลงั จากการรบั วฒั นธรรมอนิ เดยี โดยเฉพาะพระพุทธศาสนามาอย่างน้อยเม่อื ๑,๓๐๐ ปีทแ่ี ลว้ ทงั้ จากละโวแ้ ละเมอื งมอญ จงึ ทาํ ใหเ้ กดิ การอธบิ ายความหมายของประเพณี เพมิ่ เตมิ เขา้ ไปผสมกบั ความเช่อื ดงั้ เดมิ คอื เป็นการลอยกระทงเพ่อื “ขอสุมา” พระแม่คงคา ๘๑  

และเป็นพทุ ธบชู า บา้ งผสมเขา้ กบั ตาํ นานทอ้ งถน่ิ เช่นตาํ นานแมก่ าเผอื กจงึ เกดิ ประเพณยี เ่ี ป็ง ไหวส้ าพระธาตุเจา้ ขน้ึ ซง่ึ สะทอ้ นการดดั แปลงประเพณีใหเ้ ขา้ กบั ความเช่อื ทอ้ งถน่ิ ทม่ี อี ยู่ จงึ ทาํ ใหป้ ระเพณใี นแตล่ ะจงั หวดั แตล่ ะชมุ ชนในภาคเหนือมคี วามแตกต่างกนั ในปัจจุบนั ดว้ ยการประชาสมั พนั ธด์ า้ นการท่องเทย่ี วและวฒั นธรรมลอยกระทงจาก กรุงเทพฯ ทแ่ี พรก่ ระจายไปยงั เชยี งใหมเ่ มอ่ื หลายสบิ ปีก่อนกท็ าํ ใหค้ นทางลา้ นนารุน่ ใหมต่ ่าง เช่ือว่าลอยกระทงล้านนามตี ้นกําเนิดจากสุโขทยั ผสมผสานไปกบั คําอธิบายของท้องถ่ิน ดงั นัน้ จะเหน็ ได้ว่าการทบทวนความรู้ทางประวตั ิศาสตร์เก่ียวกบั การลอยกระทงทงั้ จาก เอกสารทางประวตั ิศาสตร์และจากการสมั ภาษณ์ท่ีเรียกว่าประวตั ิศาสตร์บอกเล่า (Oral history) คอื วธิ กี ารอยา่ งหน่ึงทช่ี ่วยทาํ ใหเ้ ขา้ ใจประเพณดี งั้ เดมิ ก่อนทจ่ี ะเปลย่ี นแปลงและลบ หายเลอื นไปจากความทรงจาํ ของคนรนุ่ ใหม่ รายการอ้างอิง ประคอง นิมมานเหมนิ ท์ และทรงศกั ดิ ์ ปรางคว์ ฒั นากุล, บรรณาธกิ าร. ลานนาไทยคดี. เชยี งใหม่: ศนู ยห์ นงั สอื เชยี งใหม,่ ๒๕๒๗. พจนา เอกบุตร. ชมุ ชนลาํ ปางหลวงกบั การจดั การมรดกวฒั นธรรม: กรณีศึกษางานประเพณี ย่ีเป็ งไหว้สาพระธาตเุ จ้า อาํ เภอเกาะคา จงั หวดั ลาํ ปาง. วทิ ยานิพนธศ์ ลิ ปศาสตรมหา บัณ ฑิต ส า ข า วิช า ก า ร จัด ก า ร ศิล ป ะ แ ล ะ วัฒ น ธ ร ร ม , บัณ ฑิต วิท ย า ลัย มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม,่ ๒๕๕๖. พระพทุ ธพกุ าม และพระพทุ ธญาณ. ตาํ นานมลู ศาสนา. กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๑๙. พระโพธริ งั ส.ี จามเทวีวงศ์ พงศาวดารเมืองหริภญุ ไชย. กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๑๖. พระยาประชากจิ กรจกั ร. พงศาวดารโยนก ฉบบั หอสมุดแห่งชาติ. พระนคร: รุ่งเรอื งรตั น์, ๒๕๐๔. พระรตั นปัญญาเถระ. ชินกาลมาลีปกรณ์. กรงุ เทพฯ: กรมศลิ ปากร, ๒๕๔๐. มลู นิธธิ นาคารไทยพาณิชย.์ สารานุกรมวฒั นธรรมไทย ภาคเหนือ เล่ม ๑๑. กรุงเทพฯ: สยาม เพรส แมเนจเมน้ ท,์ ๒๕๔๒. สงวน โชตสิ ขุ รตั น์. ประเพณีไทยภาคเหนือ. กรงุ เทพฯ: สดุ ารา สจุ ฉายา, บรรณาธกิ าร. เชียงใหม่. กรงุ เทพฯ: สารคด,ี ๒๕๔๐. สมั ภาษณ์ นายจนั ทร์ เขยี วพนั ธุ,์ อายุ ๗๕ ปี.บา้ นเลขท่ี ๑๑๓ ม.๑ บา้ นหนองดู่ ตําบลบา้ นเรอื น อําเภอป่าซาง จงั หวดั ลาํ พนู , สมั ภาษณ์วนั ท่ี ๙ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๘. ๘๒  

นายนิพนธ์ อา้ ยไชย, อายุ ๖๘ ปี. บา้ นเลขท่ี ๑๔๘ ม.๑๐ บา้ นสนั สลี ตําบลรอบเมอื ง อาํ เภอเมอื ง จงั หวดั เชยี งราย, สมั ภาษณ์วนั ท่ี ๑๐ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๘. นางยพุ นิ วรรณประเวชน์, อายุ ๔๔ ปี. บา้ นเลขท่ี ๙๓ ม.๔ บา้ นมอ่ นหนิ แกว้ ตาํ บลวงั พรา้ ว อาํ เภอ เกาะคา จงั หวดั ลาํ ปาง, สมั ภาษณ์วนั ท่ี ๑๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๘. นายอนิ สม เขยี วแกว้ , อายุ ๕๘ ปี. บา้ นเลขท่ี ๖๑ ม.๑ บา้ นตําหนกั ตาํ บลดอนแกว้ อําเภอสารภี จงั หวดั เชยี งใหม,่ สมั ภาษณ์วนั ท่ี ๑๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๘. ๘๓  

๘๔  

เรอื ไฟ ลอยกระทงอีสาน เรอื่ งเล่าจากความทรงจาํ อาจารย์ ธีระวฒั น์ แสนคาํ มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาลยั สงฆเ์ ลย ในภาคอีสานหรอื ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือผู้คนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพนั ธุ์ลาว เขมร และชนเผ่าต่างๆ อาศยั กระจายอยู่ในพ้นื ท่ี ๒๐ จงั หวดั ซ่ึงทุกวนั น้ีต่างก็มีการจดั ประเพณีลอยกระทงข้นึ ในทุกแห่งหนตําบล โดยส่วนใหญ่จะมอี งค์กรปกครองส่วนทอ้ งถนิ่ และหน่วยงานอ่นื ๆ เช่น สถานศกึ ษา วดั และองคก์ รประชาสงั คมเป็นเจา้ ภาพจดั งาน สงิ่ ท่ี ชวนคดิ ชวนสงสยั กค็ อื กระทงเป็นประเพณีดงั้ เดมิ ของคนในอสี านหรอื ไม่ หรอื เป็นประเพณี ใหมท่ เ่ี พงิ่ จะทาํ ขน้ึ บทความน้ี ผเู้ ขยี นซง่ึ เป็นชาวอสี านโดยกําเนิดพยายามทจ่ี ะนําเสนอเร่อื งราวทเ่ี ป็น เร่อื งเล่าเกย่ี วกบั “กระทง” และการ “ลอยกระทง” ทป่ี รากฏอยู่ในภาคอสี าน จากคาํ บอกเล่า ของกลุ่มเครอื ญาตผิ เู้ ขยี นและคนรจู้ กั มกั คุน้ ทม่ี ภี ูมลิ าํ เนากระจายอย่ใู นพน้ื ทห่ี ลายจงั หวดั ใน ภาคอสี าน อาจจะไมเ่ ป็นการนําเสนอแบบละเอยี ดลุ่มลกึ ในแบบวชิ าการมากนัก เพราะเน้น กระบวนการศกึ ษาแบบประวตั ศิ าสตร์บอกเล่า แต่ก็คงสะท้อนให้เห็นภาพบรบิ ทต่างๆ ท่ี เกย่ี วขอ้ งไดใ้ นระดบั เบอ้ื งตน้ อนั จะเป็นฐานขอ้ มลู สาํ หรบั ผทู้ ส่ี นใจศกึ ษาคน้ ควา้ ไดท้ าํ การต่อ ยอดขอ้ มลู ใหช้ ดั เจนตอ่ ไป กระทงของคนอีสาน จากการเก็บข้อมูลและสมั ภาษณ์เครือญาติท่ีเป็นผู้สูงอายุและภูมปิ ัญญาท้องถิ่น หลายคน ทําใหท้ ราบว่าในภาคอสี านกม็ กี ารทํากระทงอยู่แลว้ แต่กระทงทช่ี าวอสี านทําขน้ึ นัน้ มคี วามแตกต่างจากกระทงของชาวภาคกลางทท่ี ําขน้ึ เพ่อื นํามาลอยน้ําในวนั ขน้ึ ๑๕ ค่ํา เดอื นสบิ สอง กล่าวคอื กระทงของชาวอสี านทท่ี าํ ขน้ึ เพอ่ื ใชใ้ นงานประเพณีหรอื พธิ กี รรมมี ๒ แบบสาํ คญั คอื ๑. กระทงส่ีเหลี่ยม กระทงแบบน้ีจะนําเอากาบกล้วยมาประดิษฐ์เป็นกระทง สเ่ี หลย่ี ม ใชก้ าบกลว้ ยรองทาํ เป็นพน้ื กระทงดว้ ย ดา้ นในแบง่ เป็นชอ่ ง ๙ ชอ่ ง แตล่ ะชอ่ งบรรจุ ขา้ วดํา (ขา้ วสุกมาคลุกกบั น้ําผสมผงถ่าน) ขา้ วแดง (ขา้ วสุกคลุกกบั น้ําหรอื ผงสแี ดง) บาง ๘๕  

แห่งจะมขี า้ วขาวและขา้ วเหลอื งดว้ ย อาหารคาวทท่ี ําจากเน้ือสตั ว์ อาหารหวานต่างๆ หมาก พลูและบุหร่ี ดา้ ยดําดา้ ยแดง ดา้ ยขาว ใส่ใหค้ รบ ๙ ช่อง ตดั กาบกลว้ ยทําเป็นรูปบุคคลชาย หญิง ๑ คู่ ท่ีขอบและมุมกระทงกาบกล้วยจะประดับด้วยธงกระดาษสีต่างๆ ตัดเป็นรูป สามเหลย่ี มขนาดเลก็ ๆ กระทงแบบน้ีจะทาํ ขน้ึ เพอ่ื ใชใ้ นพธิ กี รรมสะเดาะเคราะหต์ ่อชะตา เมอ่ื ผปู้ ระกอบพธิ ี กลา่ วคาถาและผกู แขนผสู้ ะเดาะเคราะหด์ ว้ ยสายสญิ จน์ ต่อจากนัน้ จะนําเอากระทงไปทง้ิ ไวท้ ่ี ทางสามแพรง่ หรอื รมิ ทางนอกหมบู่ า้ น ๒. กระทงสามเหลี่ยมหรือกระทงหน้าววั เป็นกระทงกาบกลว้ ยรูปสามเหลย่ี ม ใชก้ าบกลว้ ยรองทําเป็นพน้ื กระทงดว้ ย ภายในกระทงชาวบา้ นจะนําขา้ วดํา ขา้ วแดง หมาก พลู บุหร่ี อาหารคาว-หวาน พรกิ เกลอื ดอกไมแ้ ละเทยี นอย่างละ ๑ คู่ รวมทงั้ มกี ารตดั ผม และเลบ็ ของคนในครอบครวั ใสใ่ นกระทงดว้ ย กระทงสเ่ี หลย่ี ม และกระทงสามเหลย่ี มทช่ี าวอสี านใชใ้ นพธิ กี รรม (ทม่ี า: http://www.prapayneethai.com/พธิ เี ฮด็ เวยี ก-สะเดาะเคราะห์ และ http://www.oknation.net/blog/somchoke101/2013/06/04/entry-1)) กระทงสามเหล่ยี มน้ีจะทําขน้ึ ในช่วงพธิ ที ําบุญเบกิ บ้านหรอื ทําบุญกลางบ้าน ซ่ึง มกั จะจดั ขน้ึ หลงั งานสงกรานตใ์ นช่วงเดอื นหา้ หรอื เดอื นหก บางแห่งกท็ าํ กระทงหน้าววั ใชใ้ น พธิ ปี ัดรงั ควน ในพธิ ที าํ บุญพระสงฆจ์ ะพรมน้ําพระพุทธมนต์ใส่กระทง แลว้ ชาวบา้ นจะนําไป ทง้ิ นอกหมบู่ า้ น ชาวบา้ นเช่อื วา่ เป็นการทง้ิ เคราะหท์ ง้ิ โศกออก เพอ่ื ใหเ้ กดิ สริ มิ งคลแก่ตนเอง และครอบครวั นอกจากน้ี การนําใบตองหรอื ใบไมข้ นาดใหญ่มาทาํ เป็นเป็นรปู กรวยทรงสเ่ี หลย่ี มก็ เรยี กว่า “กระทง” เช่นกนั กระทงแบบน้ีจะไม่นิยมนํามาใชเ้ ป็นอุปกรณ์หลกั ในการประกอบ พธิ กี รรม (ยกเวน้ บางแห่งท่นี ํามาใช้ในการใส่หมากพลูและบุหร่)ี แต่จะนิยมนํามาทําเป็น ภาชนะใส่อาหารหรือสง่ิ ของขนาดเล็กท่ีไม่ต้องการความคงทนหรอื ใช้งานเพยี งชวั่ คราว เทา่ นนั้ ๘๖  

ไหลเรือไฟ-ลอยผาสาด: ลอยกระทงของชาวอีสานในวนั ออกพรรษา การใชว้ สั ดุหรอื สง่ิ ของทําเป็นสง่ิ ประดษิ ฐ์ขน้ึ มาเพ่อื ลอยน้ําในลกั ษณะคลา้ ยๆ กบั การลอยกระทงท่ีทําด้วยต้นกล้วยและใบตองนัน้ ในภาคอีสานก็มีการทํามาช้านานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ชุมชนทอ่ี ยู่ตดิ กบั แม่น้ําใหญ่ เช่น แม่น้ําโขงและแม่น้ํามูล เป็นตน้ แต่ไม่ เรยี กวา่ “กระทง” และจะทาํ พธิ ลี อยน้ําในคนื วนั ออกพรรษาหรอื วนั ขน้ึ ๑๕ ค่าํ เดอื นสบิ เอด็ คุณตาสิงห์ ไชยคีนี (อายุ ๗๔ ปี) ชาวเชียงคาน จงั หวดั เลย เล่าว่าในช่วงออก พรรษาชาวบา้ นท่อี ยู่รมิ แม่น้ําโขงจะเอาต้นกล้วยทงั้ ต้นมาต่อกนั ใช้ไมเ้ สยี บให้ยาวต่อกนั วางขนานกนั สองแถว กวา้ งห่างกนั พอประมาณ แลว้ ปักเสาบนหยวกกลว้ ยเป็นระยะๆ บน ปลายเสาจะทําเป็นเรอื หรอื รูปพระยานาค และมผี า้ ขร้ี ้วิ ชุบน้ํามนั ยางจุดบนปลายไมข้ า้ งๆ วางเป็นระยะๆ หรอื ไม่กใ็ ช้จุดดว้ ยไต้ ตวั หยวกกลว้ ยเท่ากบั เป็นทุ่น ซ่งึ เรยี กว่า “เรือไฟ” สว่ นใหญ่ชาวบา้ นจะมารวมกนั ทําเป็นคุม้ วดั แลว้ ลากไปรมิ แมน่ ้ํา ตอนเยน็ กจ็ ะพากนั ลงเรอื หรอื ไปชุมนุมอยรู่ มิ น้ํารอ้ งรําทาํ เพลงอย่างสนุกสนาน พอไดเ้ วลากลางคนื กจ็ ะจุดไตแ้ ละลาก กระทงไปปลอ่ ยไวก้ ลางน้ํา ในเรอื ไฟจะมกี ารนําอาหารคาว-หวาน เสอ้ื ผา้ และของใชใ้ สล่ งไป ดว้ ย เมอ่ื ปลอ่ ยลอยไปจนเลยเขตหมบู่ า้ นหรอื คมุ้ วดั ตนแลว้ กจ็ ะกลบั บา้ น เรอื ไฟในแบบปัจจบุ นั ในแมน่ ้ําโขง (ทม่ี า: http://travel.thaiza.com/เชยี งคาน-ชวนเทย่ี วงานผาสาดลอยเคราะห-์ ออกพรรษา-ไหลเรอื ไฟ/324455/) พระครูสงั ฆรกั ษ์จนั ดี สุจนฺโท (อายุ ๔๘ ปี) ผชู้ ่วยเจา้ อาวาสวดั ทุ่งศรเี มอื ง จงั หวดั อุบลราชธานี เล่าวา่ การทําเรอื ไฟในแม่น้ํามลู นัน้ ไม่ทราบความเป็นมาแน่ชดั แต่มกี ารทํามา นานแลว้ การทาํ เรอื ไฟทเ่ี ป็นกจิ กรรมของชุมชนอยา่ งจรงิ จงั น่าจะเกดิ ขน้ึ ในสมยั ทพ่ี ระราชรตั ๘๗  

โนบล (พมิ พ์ นารโท) อดตี เจา้ คณะจงั หวดั อุบลราชธานี และอดตี เจา้ อาวาสวดั ทุ่งศรเี มอื ง (เป็นเจา้ อาวาสวดั ทุ่งศรเี มอื ง พ.ศ. ๒๕๐๒) ใหค้ ุม้ วดั ต่างๆ ทําการประกวดไหลเรอื ไฟ จน กลายเป็นงานประจาํ ปีโดยมภี าครฐั และทอ้ งถนิ่ ใหก้ ารสนบั สนุน การไหลเรอื ทางภาคอสี านน้ี ส่วนมากจะทํากนั ในจงั หวดั ท่อี ยู่รมิ แม่น้ําโขง ไดแ้ ก่ เลย หนองคาย บงึ กาฬ นครพนม มุกดาหาร อํานาจเจรญิ และอุบลราชธานี และมกั จะลอย กนั ในวนั ขน้ึ ๑๕ ค่าํ เดอื นสบิ เอด็ หรอื วนั ออกพรรษา สว่ นใหญ่มกั จะเอาตน้ กลว้ ย ไมไ้ ผห่ รอื วสั ดุอ่ืนใดท่ีลอยน้ําได้มาทําเป็นรูปเรือท่ีมีหวั ท้ายยกสูงข้ึน บางลําก็ทําเป็นรูปหงส์หรือ พญานาคแลว้ แต่จะประดษิ ฐค์ ดิ คน้ ขน้ึ มา จากนัน้ กจ็ ะตกแต่งใหส้ วยงาม ประดบั ดว้ ยโคมไฟ ต่างๆ กอ่ นจะมพี ธิ ไี หลเรอื ไฟ ชว่ งเชา้ มกั จะมกี ารทาํ บุญตกั บาตร ถวายภตั ตาหารในวนั ออก พรรษา กลางวนั กจ็ ะตกแตง่ เรอื และละเลน่ ต่างๆ อยา่ งสนุกสนาน ตอนเยน็ จะมกี ารสวดมนต์ รบั ศลี ฟังเทศน์ บางวดั กจ็ ะมกี ารเวยี นเทยี นดว้ ย จากนัน้ ตอนค่ํากจ็ ะพากนั นําเรอื ลงน้ํา จุด ไฟและปลอ่ ยไหลเรอื ไฟไหลไปตามกระแสน้ํา เรอื ไฟแบบโบราณประดบั ตกแต่งไมม่ าก โครงเป็นไมไ้ ผ่ ประดบั ดว้ ยดวงประทปี (ทม่ี า: http://tatsanuk.blogspot.com/2015/10/2558.html) ปัจจุบนั มกี ารทาํ เรอื ไฟทม่ี นั่ คงแขง็ แรงมากและใชไ้ ฟหรอื อุปกรณ์ไฟฟ้าวทิ ยาศาสตร์ มากขน้ึ กลา่ วคอื ใชห้ ลอดไฟวทิ ยาศาสตรป์ ระดบั ตกแตง่ แทนตะเกยี ง เทยี น ขไ้ี ต้ และผา้ ชบุ ๘๘  

น้ํามนั เพ่ือให้สามารถส่องแสงได้เป็นเวลานาน เน้นตอบสนองความต้องการของกลุ่ม นกั ทอ่ งเทย่ี วมากขน้ึ นอกจากน้ี ในบางชุมชนกจ็ ะมกี าร “ลอยผาสาด” ในวนั ออกพรรษา เช่นทอ่ี ําเภอ เชยี งคาน จงั หวดั เลย นอกจากการไหลเรอื ไฟแล้ว ชาวบา้ นกจ็ ะมกี ารลอยผาสาดดว้ ย ผา สาดนัน้ ทํามาจากกาบกลว้ ย มกี ารทาํ ฐานใหเ้ ป็นรูปสเ่ี หลย่ี มจตั ุรสั ตกแต่งดว้ ยกรวยใบตอง และดอกไม้ ส่วนดอกไมท้ ใ่ี ชต้ กแต่งนัน้ เป็นขผ้ี ง้ึ หรอื เทยี น โดยในสมยั ก่อนการตกแต่งดว้ ย ดอกไมน้ ัน้ จะไม่มดี อกไมท้ ่มี สี สี นั สวยงาม คนโบราณจะนํามะละกอมาแกะสลกั เป็นดอกไม้ แลว้ นําไปชุบน้ําเทยี น จากนัน้ นําไปชุบน้ํา สลบั ไปมาจนกว่าจะหลุดออกจากกนั แลว้ นํามา ตกแตง่ ตามกรวยใบตอง ผาสาดขนาดเลก็ และผาสาดขนาดใหญ่ทอ่ี าํ เภอเชยี งคาน จงั หวดั เลย (ทม่ี า: http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9560000131842&Html=1&CommentRe fer ID=24049509&CommentReferNo=2&TabID=3& และ https://www.facebook.com/dinothon?fref=photo) โดยผาสาดทเ่ี ชยี งคานนัน้ จะมี ๒ ขนาดดว้ ยกนั คอื ขนาดเลก็ เรยี กวา่ “ผาสาดลอย เคราะห”์ และขนาดใหญ่เรยี กวา่ “ผาสาดสะเดาะเคราะห”์ ซง่ึ ผาสาดขนาดเลก็ มกั จะใชก้ บั การ ลอยเคราะหท์ วั่ ไป เช่น รูส้ กึ ไมด่ ี คดิ ว่าตวั เองจะมเี คราะห์ กจ็ ะลอยผาสาดโดยการใสเ่ สน้ ผม หรือใส่เล็บของตัวเองลงไป ส่วนผาสาดสะเดาะเคราะห์จะใช้สําหรบั คนท่ีมเี คราะห์ใหญ่ ๘๙  

เจบ็ ป่วยเจยี นตายหรอื ชะตาขาดกจ็ ะมกี ารทําพธิ สี ะเดาะเคราะหจ์ ากหมอสตู รหรอื พราหมณ์ ซง่ึ เป็นผนู้ ําในการประกอบพธิ ี กอ่ นทจ่ี ะมกี ารนําไปลอ่ ยในแมน่ ้ํา อาจกล่าวไดว้ ่า ผาสาดลอยเคราะห์มลี กั ษณะใกลเ้ คยี งกบั กระทงในภาคกลางมาก ทส่ี ุด หากแต่ไม่มกี ารประดบั ตกแต่งใหม้ สี สี นั สดใส วสั ดุทใ่ี ชก้ จ็ ะเป็นกาบกลว้ ยและใบตอง เป็นหลกั อยา่ งไรกด็ ี ผาสาดลอยเคราะหแ์ ละผาสาดสะเดาะเคราะหก์ ไ็ ม่ไดม้ ขี อ้ จํากดั ว่าตอ้ ง ลอยเฉพาะวนั ขน้ึ ๑๕ ค่าํ เดอื นสบิ เอด็ เท่านัน้ หากแต่สามารถทําไดต้ ลอดทงั้ ปี บางชุมชนก็ จะงดเวน้ เฉพาะในชว่ งเขา้ พรรษา งานลอยกระทงในภาคอีสาน คุณย่าอ่อน แสนคํา (ย่าของผูเ้ ขยี น อายุ ๙๘ ปี) ภูมลิ ําเนาเดมิ อยู่ทต่ี ดิ แม่น้ําชใี น เขตจงั หวดั มหาสารคาม ภายหลงั ไดย้ า้ ยครอบครวั มาอยอู่ ําเภอศรบี ุญเรอื ง จงั หวดั อุดรธานี (ปัจจุบนั ข้นึ กบั อําเภอนากลาง จงั หวดั หนองบวั ลําภู) คุณย่าเล่าว่าไม่เคยลอยกระทงเลย รจู้ กั ลอยกระทงกใ็ นช่วงทม่ี ลี กู หลานไปทาํ งานกรุงเทพฯ และไปเรยี นในตวั เมอื ง ซง่ึ กระทงท่ี ใชล้ อยน้ํานัน้ กไ็ มเ่ หมอื นกบั กระทงของชาวอสี านทท่ี าํ ขน้ึ ในงานประเพณีหรอื พธิ กี รรมต่างๆ กระทงทค่ี ณุ ยา่ อ่อนคนุ้ เคยนนั้ ไมส่ ามารถเอาไปลอยน้ําได้ ในขณะทค่ี ุณตาบุญรอด หอมทอง (อายุ ๗๙ ปี) ชาวอุบลราชธานี ใหข้ อ้ มลู ว่า เดมิ นัน้ ไม่เคยเหน็ การลอยกระทงแบบปัจจุบนั แต่เคยเหน็ การไหลเรอื ไฟ ซ่งึ ตดั ตน้ กลว้ ยเป็น ท่อนใหญ่หลายตน้ สําหรบั ลอยน้ํา แลว้ ทําเป็นโครงไมไ้ ผ่ไวด้ า้ นบน และมกี ารจุดเทยี นหรอื ตะเกยี งวางไวเ้ ป็นแถวๆ ก่อนทจ่ี ะปล่อยใหล้ อยน้ําในช่วงวนั ออกพรรษา ลอยเคราะห์ลอย โศกตา่ งๆ ใหไ้ หลไปกบั แมน่ ้ํามลู คุณครูวเิ ชยี ร แสนคาํ (พ่อของผเู้ ขยี น อายุ ๕๖ ปี) และคุณครูบุญเพง็ แสนคํา (แม่ ของผเู้ ขยี น อายุ ๕๒ ปี) ซง่ึ มภี ูมลิ ําเนาเดมิ ในเขตจงั หวดั อุดรธานี (ปัจจุบนั แยกเป็นจงั หวดั หนองบวั ลาํ ภ)ู เลา่ วา่ ตอนเป็นเดก็ ไมเ่ คยไดย้ นิ หรอื รจู้ กั งานลอยกระทงมาก่อน ตอนไปเรยี น วทิ ยาลยั ครูอุดรธานี (ในช่วงปี พ.ศ.๒๕๒๐-๒๕๒๔) ก็ไม่เคยมีการจดั ข้นึ ในวทิ ยาลยั ครู อุดรธานีและในตวั เมอื งอุดรธานี เม่อื บรรจุเป็นข้าราชการครูแล้ว ในราวปี พ.ศ.๒๕๒๕- ๒๕๒๗ จงึ ได้ยนิ ว่ามกี ารจดั งานลอยกระทงข้นึ ในตวั เมอื งอุดรธานีและในตวั อําเภอต่างๆ โดยมหี น่วยงานราชการในทว่ี า่ การอาํ เภอเป็นผจู้ ดั งานในวนั ขน้ึ ๑๕ ค่าํ เดอื นสบิ สอง สอดคลอ้ งกบั คําบอกเล่าของคุณลุงพรม แสนคาํ (ลุงของผเู้ ขยี น อายุ ๗๔ ปี) ชาว อาํ เภอเชยี งยนื จงั หวดั มหาสารคาม ทเ่ี ลา่ วา่ ตอนจดั งานลอยกระทงใหมๆ่ ทางอาํ เภอจดั ขน้ึ ท่ี หนองเชยี งยนื มกี ารประกาศเชญิ ชวนใหร้ าษฎรทํากระทงจากต้นกลว้ ยและใบตองไปร่วม ลอยกระทง ทส่ี าํ คญั คอื ยงั มกี ารจดั ราํ วงชาวบา้ นรว่ มดว้ ย และคาํ บอกเลา่ ของจา่ สบิ เอกมงคล ทองเหลอื ง (อายุ ๔๙ ปี) ชาวนครราชสมี า กใ็ หข้ อ้ มูลว่าแต่ก่อนไม่เคยรูจ้ กั งานลอยกระทง ๙๐  

พอไดม้ ารบั ราชการทหารแลว้ จงึ ไดย้ นิ วา่ มกี ารจดั งานและไดม้ โี อกาสไปลอยกระทงแบบทจ่ี ดั ขน้ึ อยใู่ นปัจจุบนั จากขอ้ มลู ดงั กล่าวทําใหเ้ หน็ วา่ งานลอยกระทงทม่ี กี ารจดั ขน้ึ ในวนั ขน้ึ ๑๕ ค่าํ เดอื น สบิ สองแบบปัจจุบนั ในภาคอสี านนัน้ เรม่ิ มกี ารจดั ขน้ึ ในช่วงหลงั ปี พ.ศ.๒๕๒๐ น้ีเอง โดยมี หน่วยงานราชการเป็นผจู้ ดั งานแลว้ เชญิ ชวนใหร้ าษฎรไปร่วมงานและทาํ กระทงไปลอยน้ําท่ี ทา่ น้ําหรอื ในหนองน้ําทม่ี กี ารจดั งาน ต่อมารปู แบบการจดั งานลอยกระทงกเ็ ขา้ มาถงึ ชุมชนหม่บู า้ นต่างๆ เรมิ่ แรกมกั จะมี การจดั งานลอยกระทงขน้ึ ทว่ี ดั เน่ืองจากวดั ตามชุมชนส่วนใหญ่มกั ตงั้ อย่ตู ดิ กบั ลําน้ําหรอื มี หนองน้ําขนาดใหญ่อยู่ภายในวดั การจดั งานกจ็ ะมกี ลุ่มผูน้ ําชุมชนหรอื กลุ่มแม่บา้ นเป็นคน เตรยี มงานและจดั งาน ตกแต่งทา่ น้ําสาํ หรบั ลงลอยกระทง ภายหลงั กม็ กี ารจดั งานลอยกระทง ในสถานศกึ ษาทม่ี สี ระน้ําอยภู่ ายในพน้ื ทบ่ี า้ ง โดยมกี ารทํากระทงแบบต่างๆ ขน้ึ มาจําหน่าย ทงั้ กระทงใบตองและกระทงทท่ี ําจากโฟม เพ่อื ใหค้ นร่วมงานไดซ้ ้อื และนําไปลอย แต่การจดั งานลอยกระทงในชุมชนส่วนใหญ่มกั จะจดั ขน้ึ เพ่อื จําหน่ายกระทงหาทุนใช้จ่ายในกจิ กรรม ต่างๆ ทม่ี วี ตั ถุประสงคข์ องกลุ่มผจู้ ดั งานทช่ี ดั เจน บางแห่งกจ็ ะอาหารแบบซ้อื บตั รกนิ เล้ยี ง และมมี หรสพและการแสดงต่างๆ เพอ่ื ดงึ ดดู ความสนใจจากผคู้ นในชุมชนใกลเ้ คยี งดว้ ย และ การจดั งานลอยกระทงหลายแห่ง บางปีอาจจดั ขน้ึ ไม่ตรงกบั วนั ขน้ึ ๑๕ ค่ํา เดอื นสบิ สอง แต่ อาจจะจดั งานกอ่ นหรอื หลงั วนั ดงั กลา่ วเลก็ น้อยกม็ ี ระยะหลัง การจัดงานลอยกระทงในระดับชุมชนหมู่บ้านเร่ิมไม่ค่อยปรากฏ เน่ืองจากมกี ารจดั งานลอยกระทงระดบั ตําบลหรืออําเภอข้นึ โดยมีองค์กรปกครองส่วน ทอ้ งถิน่ เป็นผูจ้ ดั งานและเป็นเจ้าของงบประมาณในการดําเนินการ และจะเลอื กจดั งานรมิ หนองน้ําใหญ่หรอื หนองน้ําสําคญั ของตําบล โดยใหแ้ ต่ละหม่บู า้ นในตําบลเขา้ มาร่วมงาน มี การประกวดขบวนแห่กระทงและนางนพมาศจากแต่ละหมู่บา้ น ตลอดจนการประกวดการ ประดษิ ฐก์ ระทงประเภทสวยงามและความคดิ สรา้ งสรรค์ และกจิ กรรมอ่นื ๆ อกี มากมาย แต่ ละตําบลจะมกี ารจดั กิจกรรมมากหรือน้อยข้นึ อยู่กบั งบประมาณท่ีได้รบั อนุมตั ใิ นลกั ษณะ โครงการทาํ นุบาํ รุงศลิ ปวฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ ทาํ ใหแ้ ต่ละหมบู่ า้ นไมค่ อ่ ยมกี ารจดั งานลอยกระทง การรวมกลุ่มทาํ เรอื ไฟแบบคุม้ วดั เรมิ่ สญู หายกลายเป็นการทาํ ในลกั ษณะหมบู่ า้ น บางอาํ เภอ มกี ารจดั งานลอยกระทงประจาํ ปีกจ็ ะใหท้ กุ ตาํ บลเขา้ มารว่ มงาน คนร่วมงานลอยกระทงสว่ นใหญ่มกั จะเป็นกลุ่มวยั กลางคนลงมา โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ กลมุ่ เดก็ และเยาวชน ทไ่ี หนจดั งานลอยกระทงยงิ่ ใหญ่และน่าสนใจกจ็ ะไปรว่ มงานลอยกระทง ท่นี ัน่ หมู่บ้านไหนท่ไี ม่มกี ารจดั งานลอยกระทงก็แทบจะไม่เหน็ คนออกมาลอยกระทงใน แหล่งน้ําใกลเ้ คยี งเลย ทงั้ น้ี อาจเป็นเพราะว่าการลอยกระทงวนั ขน้ึ ๑๕ ค่ํา เดอื นสบิ สองนัน้ ไมไ่ ดเ้ ป็นประเพณที อ่ี ยใู่ นความเชอ่ื หรอื วฒั นธรรมของชาวอสี านมาแต่เดมิ กเ็ ป็นได้ ๙๑  

วฒั นธรรมของชาวอสี าน ในประเพณี ๑๒ เดอื น หรอื ทเ่ี รยี กวา่ “ฮตี สบิ สอง” นัน้ ใน เดอื นสบิ สองจะมงี านบุญประเพณีของทอ้ งถนิ่ อยู่แลว้ นัน่ กค็ อื “บุญกฐนิ ” ถอื เป็นประเพณี สําคญั ท่ที ุกวดั จะต้องมกี ารจดั งานบุญกฐนิ ข้นึ ในวนั ใดวนั หน่ึง ในช่วงตงั้ แต่วนั แรม ๑ ค่ํา เดอื นสบิ เอ็ด จนถงึ วนั ขน้ึ ๑๕ ค่ํา เดอื นสบิ สอง จงึ อาจเป็นสาเหตุท่ที ําใหผ้ ูส้ ูงอายุไม่ไดใ้ ห้ ความสําคญั กบั งานลอยกระทง ต่างไปจากการไหลเรอื ไฟหรอื ลอยผาสาดในช่วงวนั ออก พรรษา ความเปลี่ยนแปลง แต่อยา่ งไรกด็ ี งานลอยกระทงกถ็ อื เป็นงานประเพณีสาํ คญั ในเดอื นสบิ สองในความ รบั รขู้ องชาวอสี าน แทนทง่ี านประเพณบี ุญกฐนิ ไปแลว้ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ครงั้ หน่ึงผเู้ ขยี น เคยถูกเชญิ ไปเป็นผทู้ รงคุณวุฒใิ นการทาํ แผนกจิ กรรมวฒั นธรรมประจําปีของเทศบาลตําบล แห่งหน่ึงในจงั หวดั เลย เจ้าหน้าท่ฝี ่ ายแผนงานบอกว่าทําแผนกิจกรรมตาม “ฮตี สบิ สอง” เพ่อื ใหส้ อดคลอ้ งกบั วฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ ปรากฏว่าเดอื นสบิ สองกลายเป็น “งานลอยกระทง” แทนบุญกฐนิ ผเู้ ขยี นไดท้ กั ทว้ งและแสดงความเหน็ ในทป่ี ระชุมนัน้ เจา้ หน้าทฝ่ี ่ายแผนงานซง่ึ เป็นชาวอสี านโดยกาํ เนิดแสดงอาการตกใจ และกล่าววา่ ไมท่ ราบจรงิ ๆ วา่ ในฮตี สบิ สองมงี าน บญุ กฐนิ เป็นประเพณปี ระจาํ เดอื นสบิ สอง เพราะตนเองคดิ วา่ เป็นงานลอยกระทงมาโดยตลอด สิ่งเหล่าน้ีถือว่าเป็นพลวตั ทางวฒั นธรรมในท้องถิ่นอีสานท่ีเริ่มเปล่ียนแปลงไป ท่ามกลางความเปลย่ี นแปลงเชงิ วฒั นธรรมและนโยบายในระดบั ประเทศท่ตี อบสนองความ ต้องการด้านต่างๆ ของผูค้ นในทอ้ งถิ่นและคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะดา้ นการท่องเท่ยี วท่มี ี อทิ ธพิ ลตอ่ วฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ เป็นอยา่ งมาก สมั ภาษณ์ พระครสู งั ฆรกั ษจ์ นั ดี สจุ นฺโท, อายุ ๔๘ ปี ผชู้ ว่ ยเจา้ อาวาสวดั ทุง่ ศรเี มอื ง จงั หวดั อุบลราชธานี. พระสริ ริ ตั นเมธ,ี อายุ ๔๕ ปี. รองเจา้ คณะจงั หวดั เลย วดั โพนชยั จงั หวดั เลย. นายสงิ ห์ ไชยคนี ี, อายุ ๗๔ ปี. ชาวอาํ เภอเชยี งคาน จงั หวดั เลย. นางอ่อน แสนคาํ , อายุ ๙๘ ปี. ชาวอาํ เภอนากลาง จงั หวดั หนองบวั ลาํ ภ.ู นายบุญรอด หอมทอง, อายุ ๗๙ ปี. ชาวอาํ เภอเมอื ง จงั หวดั อุบลราชธานี. นายวเิ ชยี ร แสนคาํ , อายุ ๕๖ ปี. โรงเรยี นบา้ นภพู ระโนนผกั หวาน จงั หวดั หนองบวั ลาํ ภ.ู นายบุญเพง็ แสนคาํ , อายุ ๕๒ ปี. โรงเรยี นบา้ นภพู ระโนนผกั หวาน จงั หวดั หนองบวั ลาํ ภ.ู นายพรม แสนคาํ , อายุ ๗๔ ปี. ชาวอาํ เภอเชยี งยนื จงั หวดั มหาสารคาม. นายมงคล ทองเหลอื ง, อายุ ๔๙ ปี. สาํ นกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารประถมศกึ ษานครราชสมี าเขต ๒. นายปกรณ์ ปุกหตุ , อายุ ๒๓ ปี. นกั ศกึ ษาสาขาวชิ าประวตั ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั อุบลราชธานี. ๙๒  

ลอยกระทงสโุ ขทยั จากคาํ บอกเล่าของชาวสโุ ขทยั สพุ จน์ นาครินทร์ นกั ประวตั ศิ าสตรท์ อ้ งถนิ่ ชาวสโุ ขทยั บทความน้ีจะเน้นการอธบิ ายดว้ ยขอ้ มลู ประวตั ศิ าสตรบ์ อกเลา่ เป็นหลกั โดยจากการ สบื คน้ เอกสารโบราณทงั้ จดหมายเหตุ ใบบอก ประกอบคาํ สมั ภาษน์จากผทู้ รงคุณวฒุ สิ งู วยั ใน ทอ้ งถนิ่ สามารถแบ่งการลอยกระทงได้ ๒ ความหมาย กล่าวคอื อย่างแรกคอื กระทงลอย เคราะห์ มาจากคตคิ วามเชอ่ื ทอ้ งถน่ิ ดงั้ เดมิ และอยา่ งทส่ี อง คอื ประเพณลี อยกระทง ในวนั ขน้ึ ๑๕ ค่าํ เดอื น ๑๒ ในทน่ี ้ีจะเป็นการเลา่ ถงึ ขอ้ มลู จากคาํ บอกเลา่ ของชาวเมอื งสโุ ขทยั ดงั น้ี สาํ หรบั กระทงลอยเคราะห์ หรอื แบบดงั้ เดมิ นนั้ ไดข้ อ้ มลู มาจากนางบงั เอญิ ทุยจนั ทร์ อายุ ๖๗ ปี ประธานวฒั นธรรมตําบลเมอื งเก่า อําเภอเมอื ง จงั หวดั สุโขทยั เป็นคนพน้ื ถน่ิ ดงั้ เดมิ ทบ่ี า้ นเมอื งเก่าสุโขทยั ไดเ้ ล่าถงึ ลกั ษณะของกระทงแบบดงั้ เดมิ ว่า “กระทงกาบกลว้ ย ทอ้ งถน่ิ เมอื งเก่า มลี กั ษณะคลา้ ยเรอื โปงประกอบจากกาบกลว้ ยเยบ็ ปิดหวั ทา้ ย สว่ นดา้ นขา้ ง นิยมเยบ็ ตดิ ดว้ ยกาบกลว้ ยแกะสลกั และฉลุลวดลาย ดา้ นบนวางดว้ ยหยวกกลว้ ยขนาดเลก็ เพ่อื ตดิ กลบี ใบตองทําเป็นแท่นวางตะคนั หรอื เชงิ เทยี นหวั ทา้ ยปักดอกบวั บูชา หรอื งานรอ้ ย กระแตไต่ไม้ หรอื ดอกไมท้ พ่ี อหาได”้ (สมั ภาษณ์ นางบงั เอญิ ทุยจนั ทร,์ ๒๕๕๘) นางบงั เอญิ ทุยจนั ทร์ นนั้ มบี า้ นอยทู่ างดา้ นทศิ เหนือของวดั ตระพงั ทองไปทางเหนือ ห่างเพยี ง ๒๐ วา ไดเ้ ล่าตามทแ่ี ม่ของตนคอื นางโห้ ดวงคาํ (พ.ศ.๒๔๕๖-๒๕๑๑) ไดเ้ ล่าไว้ กอ่ นทจ่ี ะเสยี ชวี ติ ความวา่ “แหลง่ น้ําตระพงั ทองมคี วามลกึ กวา่ ทอ่ี ่นื เกบ็ น้ําไดด้ ี ชาวบา้ นจาก บา้ นกลว้ ย บา้ นขวาง บา้ นนา จะมาตกั น้ําจากทน่ี ่ี ใสต่ ุ่มบรรทุกเกวยี น ลากกนั ไป สมยั ก่อน เขาหา้ มหวงน้ํา ไม่เช่นนัน้ น้ําจะแหง้ และเมอ่ื ถงึ วนั เพญ็ เดอื น ๑๒ คนทอ่ี าศยั กนิ น้ําตระพงั ทอง เขาจะมาลอยกระทง ขอสมาน้ํากนั แต่ไม่ไดม้ กี ารจดั เป็นงาน ไม่มมี หรสพ จะมกี ็แต่ พวกหนุ่มๆ มารอ้ งเพลงเกย้ี วสาวเทา่ นัน้ สว่ นกระทงนัน้ ทําเป็นตงั้ แต่อายุ ๑๔ แลว้ (พ.ศ. ๒๔๗๐)” สําหรบั กระทงอกี แบบหน่ึงท่เี ป็นรากของประเพณีลอยกระทงอย่างในปัจจุบนั นัน้ ผเู้ ขยี นไดส้ มั ภาษณ์นางบุญยนื เผอื กพุม่ อายุ ๖๘ ปี ปัจจุบนั อาศยั อยทู่ บ่ี า้ นปากแคว อําเภอ ๙๓  

เมอื ง จงั หวดั สุโขทยั ไดค้ วามวา่ นางบุญยนื ถอื เป็นผมู้ ฝี ีมอื ทางดา้ นงานใบตองสบื ต่อจากผู้ เป็นยายคอื นางเฟ้ือ นาครนิ ทร์ (พ.ศ.๒๔๒๔-๒๕๑๓) ไดเ้ ล่าใหฟ้ ังว่า “ตา ลพ นาครนิ ทร์ เป็นพ่อค้าวานิชรูปงามทําอาชีพล่องเรือค้าขายข้นึ ล่อง สุโขทยั – กรุงเทพ ได้พบรกั กบั นางเอกละครฝ่ายในทก่ี รุงเทพ จงึ พากนั ล่องเรอื กนั กลบั สโุ ขทยั ราวปี พ.ศ.๒๔๕๐ ในการน้ี ยายเฟ้ือ ไดฝ้ ีมอื งานใบตองชาววงั ตดิ ตวั มาดว้ ย นางบงั เอญิ ทุยจนั ทร์ กบั กระทงกาบกลว้ ยแบบดงั้ เดมิ ตอ่ มาไดแ้ สดงฝีมอื อวดแก่ลกู หลาน ทงั้ งานกระทงกลบี ใบตอง บายศรปี ากชาม และ ใบศรทาํ ขวญั นาค จนขน้ึ ชอ่ื วา่ ฝีมอื ไมเ่ ป็นรองชาวผดู้ เี มอื งสวรรคโลก ซง่ึ มฝี ีมอื ดเี ชน่ กนั งาน กระทงใบตองรูปทรงอย่างชาววงั จงึ ได้แพร่มาถึงสุโขทยั ตงั้ แต่ราว พ.ศ.๒๔๕๐ แลว้ เป็น อย่างน้อย ส่วนรูปทรงกระทงพ้นื ถน่ิ เดมิ นัน้ คอื กระทงกาบกลว้ ยทรงเรอื โปง กระทงกลบี ใบตองชาววงั จงึ เป็นแบบอย่างใหช้ าวธานี (เมอื งสุโขทยั ) ทาํ ตามอยา่ ง ดว้ ยฝีมอื ชนั้ ครขู อง ๙๔  

ยายเฟ้ือ นาครนิ ทร์ จงึ มลี กู หลาน และลกู ศษิ ย์ มาครอบครเู ป็นศษิ ยจ์ าํ นวนมาก” (สมั ภาษณ์ นางบญุ ยนื เผอื กพมุ่ , ๒๕๕๘) ลกั ษณะของกระทงแบบดงั้ เดมิ ทาํ เป็นรปู เรอื สาํ หรบั ทายาทคนสดุ ทา้ ยทย่ี งั คงสบื ต่อฝีมอื ไดแ้ ก่ คุณยา่ ทองหยด สุนันทวนิช สว่ น การลอยกระทงลงแม่น้ํายมนัน้ มกี ารปฎบิ ตั มิ าชา้ นานแล้วท่รี มิ แม่น้ําในคนื เพญ็ เดอื น ๑๒ โดยไมม่ มี หรสพ (สมั ภาษณ์ นางบญุ ยนื เผอื กพมุ่ , ๒๕๕๘) บนั ทกึ ของนายใส น้อยถงึ อดตี ไวยาวจั กร วดั พระพายหลวง ผูม้ ชี วี ติ อยู่ระหว่าง พ.ศ.๒๔๖๔-๒๕๓๘ ไดเ้ ขยี นบนั ทกึ เรอ่ื งราวสาํ คญั ในทอ้ งถนิ่ ตาํ บลเมอื งเก่าไวใ้ หล้ กู หลานจน กลายเป็นมรดกความทรงจําทส่ี ําคญั นําคดั มา ความว่า “ท่านเจา้ คุณโบราณ (วตั ถาจารย์) ๙๕  

(ทมิ )๖ ไดม้ าบูรณะวดั ตระพงั ทอง เม่อื พ.ศ.๒๔๗๐ เป็นการใหญ่ ต่อมาอกี ราวสองปีท่านได้ นําเอารอยพระพทุ ธบาทมาจากบนยอดเขาพระบาทใหญ่เอามาไวว้ ดั ตระพงั ทอง ตงั้ แต่นัน้ จงึ มกี ารจดั งานประจาํ ปีขน้ึ เป็นสองระยะดว้ ยกนั คอื จดั เดอื น ๔ ขน้ึ ๖ ค่าํ เป็นงานสกั การะรอย พระพุทธบาท ส่วนอีกระยะงานหน่ึงก็คอื วนั เพญ็ ข้นึ ๑๕ ค่ํา เดือน ๑๒ จดั เป็นงานลอย กระทงให้แก่ผู้ท่มี าตกั น้ําตระพงั ทองและบูชารอยพระพุทธบาทด้วยเป็นงานเล็กๆ ต่อมา ไดร้ บั ความนิยมเพม่ิ ขน้ึ จนในปี ๒๔๗๖ เจา้ คุณโบราณไดจ้ ดั งานขน้ึ อยา่ งมโหฬาร มเี ห่เรอื หงส์ มกี ารแสดงกายกรรมโหนสลิงข้ามต้นมะขามใหญ่ มกี ารกวนข้าวทพิ ย์ แข่งขนั กีฬา ฟุตบอล” (ใส น้อยถงึ , ๒๕๕๒: ๗) ทา่ น้ําวดั ตระพงั ทอง สถานทจ่ี ดั งานลอยกระทงในอดตี ตระพงั ทองเป็นสระน้ําทม่ี นี ้ําเกอื บโดยตลอดดงั เหน็ ไดจ้ ากหนังสอื เร่อื ง “เทย่ี วเมอื ง พระรว่ ง” พระราชนิพนธใ์ นรชั กาลท่ี ๖ ครงั้ เมอ่ื ยงั ดาํ รงพระยศเป็นมกุฎราชกุมารไดเ้ สดจ็ ยงั เมอื งเก่าสุโขทยั เมอ่ื พ.ศ.๒๔๕๑ มเี น้ือความวา่ “ไดอ้ าศยั ใชน้ ้ําในสระแห่งหน่ึงอยใู่ กลท้ พ่ี กั ในชนั้ ตน้ ยงั ไดอ้ าศยั น้ําในตระพงั วนั หลงั ๆ ถึงตอ้ งขุดบ่อในสระน้ําอกี ชนั้ หน่ึงเพ่อื ใหน้ ้ําขงั ” (พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั , ๒๔๙๖: ๑๒๑)                                                             ๖ ท่านเจ้าคุณโบราณในท่ีน้ีก็คือ พระโบราณวตั ถาจารย์ หรือ พระราชประสิทธิคุณ (ทิม ยสทินฺโน) อดตี เจา้ คณะจงั หวดั สโุ ขทยั ๙๖  

นอกจากเร่อื งของการลอยกระทงทเ่ี กดิ ขน้ึ ในตระพงั แลว้ ในบนั ทกึ ของนายใส น้อย ถงึ ยงั ไดจ้ ดบนั ทกึ เอกสารสาํ คญั จากใบบอก ซง่ึ สะทอ้ นวา่ เมอื งเก่าสโุ ขทยั มกี ารทง้ิ รา้ งไปของ ผคู้ นชวั่ คราว ดว้ ยเหตุของการเทครวั กลา่ วคอื “ชาวบา้ นเมอื งเก่าถูกเทครวั ไปอยทู่ บ่ี า้ นธานี (ตลาดสุโขทยั ในปัจจุบนั ) ในปี พ.ศ.๒๓๒๙ องคพ์ ระศรศี ากยมุณี ถูกชลอลงไปกรุงเทพ เม่อื พ.ศ.๒๓๕๑” ดงั นนั้ อาจทาํ ประเพณลี อยกระทงขาดหายไปจากเมอื งเกา่ สโุ ขทยั นนั่ เอง ผางประทปี เก่าพบทส่ี โุ ขทยั ลอยกระทงในยคุ เปล่ียนผา่ น ในปี พ.ศ.๒๕๑๙ นาย นิคม มุสคิ ามะ ผูอ้ ํานวยการแผนงานอุทยานประวตั ศิ าสตร์ สุโขทยั ไดร้ เิ รม่ิ จดั งานลอยกระทงขน้ึ เป็นครงั้ แรก โดยไดย้ า้ ยการจดั งานลอยกระทงเดมิ ของ วดั ตระพงั ทองเขา้ ไปจดั ภายในอุทยานประวตั ศิ าสตรท์ งั้ หมด โดยมรี ปู แบบการจดั งานคอื ปัก ตะเกียงในตระพงั และประดบั ตะเกียงจํานวนมากบนโบราณสถาน มรมหรสพ ทงั้ ลิเก ภาพยนตร์ วงดนตรี ตอ่ มาในปี พ.ศ.๒๕๓๔ การทอ่ งเทย่ี วแหง่ ประเทศไทยใหก้ ารสนับสนุนกจิ กรรมลอย กระทงทาํ ใหม้ กี ารจดั กจิ กรรมภายในงานเพม่ิ ไดแ้ ก่ พธิ เี ผาเทยี น โดยตคี วามเอาคาํ ว่า “เผา เทยี น” จากศลิ าจารกึ หลกั ท่ี ๑ พ่อขุนรามคําแหง มาจดั เป็นพธิ กี รรม จุดเทยี นเป็นกจิ กรรม ๙๗  

ใหม่ อีกทงั้ ยงั มมี ีมหรสพ ลิเก รําวง ดิสโก้เธค ปิดวกิ โดยผู้รบั เหมาจดั งานเป็นเจ้าของ เครอ่ื งดม่ื รายใหญ่รายหน่ึง จนถงึ ปัจจุบนั รปู แบบของงานเปลย่ี นแปรไปบา้ งตามกระแสสงั คม อย่างน่าเป็นห่วง เพราะคุณค่าความหมายท่ีแท้จริงนั้น ไม่ค่อยมีผู้ไดได้รับรู้มากนัก ท่ีสําคัญด้วยคือ โบราณสถานตอ้ งรองรบั ผคู้ นจาํ นวนมาก ซง่ึ อาจกอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายได้ ทิ้งท้าย งานประเพณีลอยกระทงเผาเทยี นเล่นไฟจงั หวดั สุโขทยั ถอื เป็นงานท่ยี งิ่ ใหญ่ของ จงั หวดั และเป็นสง่ิ ท่ีภาคภูมใิ จของคนในท้องถ่ิน จากการส่งเสรมิ ของทางภาครฐั ร่วมกบั ทอ้ งถน่ิ เพ่อื ส่งเสรมิ การท่องเทย่ี ว ในแต่ละปีสามารถดงึ ดูดเมด็ เงนิ ไดจ้ าํ นวนมาก จากยอด นกั ทอ่ งเทย่ี วเรอื นแสนแออดั กนั ในหมโู่ บราณสถาน จนเป็นภาพทน่ี ่าทง่ึ ต่นื ตะลงึ ผสมความ ห่วงกงั วลแก่หมู่โบราณสถาน จนวนั น้ีลูกหลานสุโขทยั จงึ ต้องสบื ค้นเร่ืองราวต้นเค้าแห่ง ประเพณแี หง่ ทอ้ งถน่ิ น้ีอกี ครงั้ จนถึงวนั น้ีภูเขาขุนน้ําเหือดหาย สายธารผาดแห้ง ขาดสาย หยุดไหล ขาดช่วง ตระพงั น้ําโบราณแห้งน้ําแล้ว แต่วนั น้ีตะคนั เก่าโบราณยงั พอหลงเหลอื ให้ลูกหลานศกึ ษา ความหมาย “เผาเทยี น เลน่ ไฟ” อกี ครงั้ รายการอ้างอิง พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั . เท่ียวเมืองพระรว่ ง. พระนคร: งานพระราชทานเพลงิ ศพ นายกาํ ธร เทพหสั ดนิ ณ อยธุ ยา, ๒๔๙๖. ใส น้อยถงึ . บนั ทึกส่วนบคุ คลนายใส น้อยถึง. สโุ ขทยั : พมิ พเ์ ป็นอนุสรณ์งานฌาปนกจิ ศพคุณแม่ จรงุ กลน่ิ ปรชี าชาญ, วนั ท่ี ๓๐ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๒. สมั ภาษณ์ นางบุญยนื เผอื กพุ่ม, อายุ ๖๘ ปี. บ้านเลขท่ี ๔๑/๒ ม.๑ ตําบลปากแคว อําเภอเมอื ง จงั หวดั สโุ ขทยั . สมั ภาษณ์เมอ่ื วนั ท่ี ๑๖ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๘. นางบงั เอญิ ทุยจนั ทร,์ อายุ ๖๗ ปี. ตาํ บลเมอื งเก่า อําเภอเมอื ง จงั หวดั สโุ ขทยั . สมั ภาษณ์เม่อื วนั ท่ี ๑๖ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๘. ๙๘  


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook