คณะกัลยาณธรรม ร่วมกันจดั พมิ พห์ นังสอื กัณฑ์มหาชาติ เพือ่ เป็นธรรมทานแด่พุทธศาสนิกชน เสตขัอวยี องสยก่าาลงร ะ
เสขตอวั ยี องสยกา่าลงระ รเว่พมอื่ กเปนั น็จดัธครพณรมิ มะพทกห์าัลนนยแงัาสดณอื่พธกทุรณั รธมศฑาม์ สหนากิ ชชานติ Dhammaintrend รว่ มเผยแพรแ่ ละแบง่ ปันเป็ นธรรมทาน
พมิ พ์แจกเปน็ ธรรมทาน ขา้ พเจ้าทงั้ หลาย ขอต้ังจิตอทุ ิศผล บุญกุศลเหลา่ นแ้ี ผไ่ ปใหไ้ พศาล แด่มารดาและอาจารย์ ท้งั ลูกหลานญาตมิ ติ รสนทิ กัน คนเคยร่วมทำ� งานการท้ังหลาย มีสว่ นไดใ้ นกุศลผลของฉนั ทั้งเจ้ากรรมนายเวรและเทวัญ ขอใหท้ ่านได้กศุ ลผลนเ้ี ทอญ 2
คำ� อุทศิ ขา้ พเจา้ ทง้ั หลาย ขออุทศิ บุญกศุ ลจากการจัดพิมพห์ นงั สือ เพอื่ เผยแผพ่ ระธรรมะและศาสนา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ในคร้ังน้ี ให้แก่ บรรพบรุ ุษ และญาติ ทกุ ทา่ นทีไ่ ดล้ ว่ งลบั ไปแล้ว และเจา้ กรรมนายเวรทง้ั หลายของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจา้ ไดเ้ คยล่วงเกินท่านไว้ ตง้ั แตอ่ ดีตชาตจิ นถึงปจั จุบัน ท่านจะอยูภ่ พใดหรือภูมใิ ดก็ตาม ขอใหท้ า่ นไดร้ ับผลบญุ นี้ แลว้ โปรดอโหสิกรรมและ อนุโมทนาบญุ แกข่ า้ พเจ้า ดว้ ยอ�ำนาจบุญนดี้ ้วยเทอญ 3
ขอผลานิสงส์ ของการจัดเทศนม์ หาชาติ อนั เปน็ การเผยแผ่การบ�ำเพ็ญบารมีอนั ยิ่งใหญ่ ของพระโพธิสัตวก์ อ่ นที่จะมาตรสั รสู้ ัมมาสัมโพธญิ าณ จงเป็นพลวปัจจัย ใหพ้ ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจรญิ ด้วยจตรุ พธิ พรชัย พระชนมพรรษายง่ิ ยนื นาน ทรงพระเกษมสำ� ราญ มพี ระพลานามัยสมบูรณแ์ ข็งแรง ทรงเปน็ ฉตั รแกว้ รม่ เกลา้ ของพสกนกิ ร ตราบนานเท่านาน และขอประชาชน และประเทศไทย จงมแี ต่ความสงบสุข มีธรรมะเป็นเคร่อื งคุ้มครอง และต้ังปณธิ านในการดำ� เนนิ ชวี ิตไปสู่ความรแู้ จ้ง กา้ วล่วงไปจากสงั สารวัฏฏ์ เขา้ ถงึ มรรคผลนพิ พาน โดยทัว่ กนั เทอญ 4
เสขตอวั ียองสยกา่าลงระ สารบัญ ความเปน็ มา มหาเวสสนั ดรชาดก หน้า ปฐมเหตเุ วสสนั ดรชาดก เทศน์มหาชาต ิ ๗ คาถาพัน ๙ อานิสงส์คาถาพนั ๑๒ กณั ฑ์ที่ ๑ ทศพร ๑๕ กณั ฑท์ ่ี ๒ หิมพานต ์ ๑๕ กัณฑท์ ี่ ๓ ทานกัณฑ์ กัณฑท์ ี่ ๔ วนประเวศน์ ๑๘ กัณฑท์ ่ี ๕ ชูชก กณั ฑท์ ่ี ๖ จุลพน ๑๙ กณั ฑ์ที่ ๗ มหาพน ๒๐ กณั ฑท์ ่ี ๘ กุมาร กณั ฑ์ที่ ๙ มทั ร ี ๒๑ กัณฑ์ท่ี ๑๐ สักกบรรพ กัณฑท์ ี่ ๑๑ มหาราช ๒๒ กัณฑ์ท่ี ๑๒ ฉกษัตรยิ ์ ๒๓ กณั ฑท์ ี่ ๑๓ นครกัณฑ์ ๒๔ ตัวละครสะทอ้ นคณุ ธรรม ๒๕ ปาฐกถาธรรม โดยพระพรหมมงั คลาจารย์ ๒๖ ๒๗ ๒๘ ๒๙ ๓๐ ๓๑ ๓๓ 5
ความเป็นมา* มหาเวสสันดรชาดก เวสสนั ดรชาดกเปน็ คมั ภรี ธ์ รรมบทขทุ ทกนกิ ายซง่ึ บนั ทกึ ไวว้ า่ เปน็ พทุ ธดำ� รสั ทส่ี มเดจ็ พระบรมศาสดาตรสั แกภ่ กิ ษสุ งฆข์ ณี าสพสองหมน่ื รปู และมวลหมู่พระประยูรญาตินิโครธารามมหาวิหาร ในนครกบิลพัสดุ์ ในคราวเสด็จโปรดพระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดา และพระวงศ์ศากยะ เพราะปรารภฝนโบกขรพรรษ ใหเ้ ปน็ เหตุ จงึ ตรัสเวสสนั ดรชาดกในทนี่ ี้ เวสสนั ดรมหาชาติ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ� รง ราชานุภาพ โปรดประทานอธิบายว่า พุทธศาสนิกชนชาวไทยตลอดจน ประเทศใกล้เคียงนับถือกันมาแต่โบราณว่า เรอ่ื งมหาเวสสนั ดรชาดก สำ� คญั กวา่ ชาดกอนื่ ๆ ดว้ ยปรากฏบารมขี องพระโพธสิ ตั วค์ รบบรบิ รู ณ์ ในเรื่องมหาเวสสนั ดรชาดกทง้ั ๑๐ อยา่ ง จึงเรยี กกันว่า “มหาชาติ” และ พันเอกพระสารสาสน์พลขันธ์ (เยรินี) กล่าวไว้ พระโพธิสัตว์ ในก�ำเนิดพระเวสสันดรได้สร้างแบบอย่างของความเป็นมนุษย์ ผู้ก้าวถึงขั้นสูงสุดแห่งการด�ำเนินในทางวิวัฒนาการ อันน�ำไปสู่ ความเต็มเปี่ยมทางจริยธรรมและความรู้เหมาะแก่การข้ามพ้น โอฆะห้วงสุดท้าย ซึ่งจะแยกออกเสียได้จากการเกิดเป็นเทวดา เพราะ เหตุนี้ กำ� เนิดสุดทา้ ยจึงได้นามวา่ “มหาชาติ” การทเ่ี รยี ก มหาเวสสนั ดรชาดกวา่ “มหาชาต”ิ นพี้ ทุ ธศาสนกิ ชน ชาวไทยของเรานยิ มเรยี กขาน และเปน็ ทหี่ มายรกู้ นั มาแตส่ มยั กรงุ สโุ ขทยั ราชธานี เพราะปรากฏตามศลิ าจารกึ สมยั สโุ ขทยั หลกั ท่ี ๓ ทเ่ี รยี กวา่ จารกึ “นครชุม”ซ่ึงจารึกไว้เมื่อ พ.ศ.๑๙๐๐ ในรัชสมัยของพญาลิไท (พระมหาธรรมราชาท่ี ๑) มีกล่าวไว้ว่า “ธรรมเทศนาอันเป็นต้นว่า พระมหาชาติ หาคนสวดแหล่มิได้เลย” เช่นน้ีแสดงให้เห็นว่าการม ี เทศน์มหาเวสสันดรชาดกหรือมหาชาตินี้ นิยมเทศน์กันมานาน แตส่ มยั สโุ ขทยั เปน็ ราชธานเี ปน็ อยา่ งนอ้ ย แตบ่ างชมุ นมุ กเ็ รยี กวา่ มีเทศน์ มหาเวสสันดรบา้ งกเ็ รียกว่า เทศน์มหาชาติ ตามหลักฐาน ศิลาจารึกนี้แสดงวา่ การเทศน์มหาชาตหิ รอื มหา เวสสนั ดรชาดก พทุ ธศาสนกิ ชนชาวไทยนิยมเทศน์กันมานานแล้วจนถงึ กบั มผี ศู้ รทั ธาเลอ่ื มใสสละทรพั ยส์ รา้ งไวเ้ ปน็ ผกู ๆ หรอื จารกึ ไวเ้ ปน็ สำ� รบั ๆ *จราจกนหานโงัดสยอื พเทรศะนมม์หหาสาชุนาทตริ ฉโสลมอทง ต๒โฺ ๐ต๐ป.ปธี.ส๙ม(เพดร็จะพศรระีสมักหยาวสงมศณ์ อเดจตีา้ เกจา้รอมาพวราะสปวรดั มชาโิ นนุชริตสช) ิโนรส 7
สันนิษฐานตามหลักฐานการนิยมเทศน์มหาเวสสันดรน้ีคงมีมาก่อนสมัย พ่อขนุ ศรีอินทราทติ ย์ตัง้ อาณาจักรสโุ ขทัยเสียอกี ครน้ั ลว่ งมาถงึ สมยั รตั นโกสนิ ทรน์ ้ี พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลัยทรงพระกรุณาโปรดฯให้ประชุมนักปราชญ์ ราชบัณฑิต ใน กรุงรัตนโกสินทร์แต่งมหาชาติค�ำหลวงบางกัณฑ์ข้ึน เมื่อ พ.ศ.๒๓๕๘ เปน็ การแตง่ ซอ่ มแทนฉบบั ทแ่ี ตง่ ขน้ึ ในรชั กาลสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งขาดหายในสมัยเม่ือกรุงศรีอยุธยา มหาชาติค�ำหลวงจึงได้สมบูรณ์ สืบต่อมา นักปราชญ์ท่ีแต่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ท่ีปรากฏชื่อเสียง มีหลายท่านด้วยกัน เช่น พระเทพโมลี(กลิ่น) เจ้าพระยาพระคลัง(หน) สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรส และพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และยงั มผี แู้ ตง่ ไมป่ รากฏชอ่ื อกี หลายทา่ นไดแ้ ตง่ ไวเ้ ป็นร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก 8
ปฐมเหตุ* เวสสนั ดรชาดก พระพุทธองค์ สมัยเมื่อเสด็จละจากมหาวิหารเวฬุวัน ใกล้กรุง ราชคฤห์อันเป็นราชธานีแห่งมคธ สู่นครกบิลพัสดุ์ แขวงสักกชนบท เพื่อบ�ำเพ็ญญาตตั ถจรยิ าโปรดพระญาติ มพี ระเจา้ สุทโธทนะ พุทธบิดา เป็นประธาน อันพระกาฬุทายีเป็นผู้ส่ือสารและน�ำเสด็จไปประทับยัง นโิ ครธาคาม ไมห่ า่ งจากมหานคร ตามทศี่ ากยราชจดั ถวายตอ้ นรบั พรอ้ ม ด้วยหมู่ภิกษุบริวารเป็นอันมาก (๑ แสน) ยังความยินดีให้แผ่ไปทั่วทั้ง กบลิ พสั ด์ุ ในกาลนนั้ ความมหศั จรรยไ์ ดบ้ งั เกดิ ขนึ้ เปน็ เหตใุ หท้ รงประกาศ เรอ่ื ง เวสสนั ดรชาดก โดยปกตพิ ระตถาคตเจา้ เสดจ็ สู่ ณ ทใี่ ดกย็ อ่ มบงั เกดิ สคู่ วามสขุ สวัสดี ณ ที่นั้น เพราะอานุภาพค�ำส่ังสอนท่ีตรัสประทานด้วยพระ มหากรณุ า อปุ มาเหมอื นมหาเมฆหลง่ั โปรยสายฝนอนั เยน็ ฉ�่ำลงมายงั โลก ยงั ความอา้ วระอขุ องไอแดดไอดนิ ใหร้ ะยบั ชบุ ชพี พฤกษชาตทิ เี่ หยี่ วเฉาให้ ฟ้ืนส่คู วามชน่ื บานตระการดว้ ยดอกช่อและก้านใบฉะนนั้ แตส่ ำ� หรบั กบลิ พสั ด์ุ ดนิ แดนทที่ รงถอื พระกำ� เนดิ และเจรญิ วยั มา มวลพระญาตแิ ละราษฎร์ประชาหาได้ยนิ ดีตอ่ พุทธวสิ ัยธรรมานุภาพไม่ พระองคท์ รงอบุ ตั มิ าเปน็ ความหวงั ของคนทงั้ แวน่ แควน้ ทกุ คน พากันรอคอยอย่างกระหายใคร่จะชมพระบารมีจักรพรรดิราช แต่แล้ว ท่ามกลางความไม่นึกฝัน ทรงอยู่ในพระเยาวกาลเกศายังด�ำสนิท ไมป่ รากฏรอ่ งรอยความรว่ งโรยแหง่ สงั ขารแมส้ กั นอ้ ย ทงั้ สมบรู ณพ์ นู พรอ้ ม ทกุ อยา่ ง เทา่ ทส่ี มบตั ปิ ระจำ� วสิ ยั บรุ ษุ จะพงึ มี พระชายาทรงสริ โิ ฉมเปน็ เลศิ ซ�้ำเป็นโชคอันประเสริฐให้กำ� เนิดโอรสอันเป็นสิริแห่งวงศ์ตระกูลอีกเล่า พระองค์ก็ยังตัดเย่ือใยแห่งโลกีย์ เสด็จแหวกวงล้อมเหล่าน้ีออกสู่ ไพรพฤกษ์ ประพฤติองคป์ านประหนง่ึ พเนจรอนาถา สร้างความผดิ หวงั และวิปโยคแกค่ นท้ังแคว้นเป็นเวลานานปี ๖ ปี ทรงกระทำ� งานชวี ติ และสำ� เรจ็ กจิ โดยไดบ้ รรลอุ นตุ รสมั มา สมั โพธญิ าณ จากนนั้ กท็ รงใชไ้ ปเพอื่ งานสงเคราะหส์ ตั วโ์ ลก เสดจ็ เทยี่ ว แจกจา่ ยอบุ ายพน้ ทกุ ข์ ดว้ ยเทศนาสงั่ สอนจนชาวโลกยอมรบั และเทดิ ทนู ไวใ้ นฐานะองคศ์ าสดาเอก บดั น้ี พระพทุ ธองคเ์ สดจ็ คนื กลบั กบลิ พสั ดแ์ุ ลว้ แต่ชาวกบิลพัสดุ์มิได้ต้อนรับในฐานะศาสดา เขาพากันปีติต่อพระองค์ *จากหนังสือเทศนม์ หาชาตเิ ฉลมิ พระเกียรตสิ มเด็จพระนางเจ้าสริ ิกติ ์ิ พระบรมราชินีนาถ เนือ่ งในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา ๗๒ พรรษา 9
ในฐานะท่ีเคยเป็นขวัญจิตขวัญใจของเขาต่างหาก (จากหนังสือเร่ืองเพลง ศาสนา ของหลวงตาแพร เย่อื ไม)้ วนั แรกทเ่ี สดจ็ ถงึ ดนิ แดนแหง่ มารดร ทรงเหน็ วา่ ยงั ไมใ่ ชโ่ อกาส ท่ีจะประทานธรรมเทศนาแก่หมู่พระญาติ เพราะวันน้ีเป็นวันท่ีวิถี ประสาทและจิตใจตลอดท้ังร่างกายของเหล่าศากยะ เต็มไปด้วยอาการ ปิติตื่นเต้น และอิดโรยด้วยความยินดี และภารกิจไม่อยู่ในสภาพท่ีควร แก่การรองรับกระแสธรรม ทรงรอวันรงุ่ แตแ่ ลว้ ในตอนบา่ ยของวนั ตอ่ มา เมอื่ บรรดาศากยราชญาตปิ ระยรู พากันเสด็จไปเฝ้าที่นิโครธาราม ก็ทรงประจักษ์ว่า พระทัยของประยูร ญาติบางส่วน ยังไม่อยู่ในฐานะควรแก่การรับค�ำสั่งสอน เพราะมีญาติ วงศ์รุ่นสูงชันษาบางพระองค์แสดงอาการทรนงเป็นเชิงว่า “ข้าเกิด ก่อน” เจ้าชายสิทธตั ถะ จะแสดงความคารวะนบไหว้ หรอื สนพระทัยตอ่ พระพทุ โธวาทกเ็ กรงจะเสยี เชงิ ของผเู้ หน็ โลกมากอ่ น จงึ พากนั ประทบั อยู่ ห่างๆ ดว้ ยพระอาการเคอะเขนิ หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ตามซุม้ ไม้และฉากกนั้ ปลอ่ ยแตบ่ รรดากุมารกุมารีรุ่นเยาว์ชันษาใหไ้ ดเ้ ฝ้าอยา่ งใกลช้ ิด พระอาการอันกระด้างเคอะเขินของพระญาติรุ่นสูงอายุนั้น พระพทุ ธองคท์ รงสงั เกตวา่ เกดิ จากมลู เหตอุ นั จะเปน็ อปุ สรรคสกดั กน้ั ผลดี ที่จะพึงเกิดมีแก่เขาเสีย มูลเหตุอันจะปิดก้ันความงอกงามจ�ำเริญแก่ ดวงจิตนั้นก็คือ ทิฐิมานะ ความเห็นอันเป็นให้ถือตน ถ้าลงจับจิตสิงใจ ผใู้ ดเขา้ แลว้ กร็ งั แตจ่ ะทำ� ใหส้ ภาพจติ วปิ รติ ไป เสมอื นรากตน้ ไมท้ เ่ี ปน็ โรค แมฝ้ นจะฉำ�่ นำ�้ จะโชก แผน่ ดนิ จะฟอู ยดู่ ว้ ยรสปยุ๋ รากทป่ี ดิ ตนั เสยี แลว้ ดว้ ย อ�ำนาจเชื้อโรค ก็ย่อมไม่ดูดซับเอาโอชะเข้าบ�ำรุงล�ำต้น เกรียนโกร๋นยืน ตายไปในท่สี ดุ ฉันใด อนาคตของคนที่มจี ิตมากอยู่ดว้ ยมานะทิฐิกฉ็ ันนน้ั ทรงพจิ ารณาดงั น้ี จงึ เหน็ วา่ กจิ อนั ควรกอ่ นอน่ื คอื ท�ำลายความ กระด้าง ล้างความถอื ดเี สยี ดว้ ยอำ� นาจอิทธปิ าฏหิ ารยิ ์ ทรงกำ� หนดจติ เจริญฌาน มีอภิญญาเป็นภาคพ้ืนลอยข้ึนสู่ห้วงนภากาศเสด็จลีลาศ จงกรมไปมานา่ อศั จรรย์ เพยี งเทา่ นเ้ี อง ความคดิ ขอ้ งใจทวี่ า่ ใครอาบนำ้� รอ้ น ก่อนหลังกเ็ สื่อมสญู อนั ตรธาน พากันอาเศยี รคารวะแสดงถงึ การยอมรับ นับถืออย่างเต็มใจ เมื่อเสด็จลงท่ีประทับ ณ พุทธอาสน์ เบ้ืองนั้น ฝนอนั มหัศรรย์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมีมาก่อนก็ตกลง ความมหัศจรรย์ มีลักษณะดังน้ี - สีเมด็ น้�ำฝน แดงเร่ือ เหมอื นแก้วทับทมิ - ผ้ใู ดปรารถนาให้เปยี กก็เปยี ก ผู้ไม่ปรารถนา แมล้ ะอองก็ไม่สัมผัสผิวกาย - ไมเ่ ลอะเทอะขังนอง กอ่ ใหเ้ กิดโคลนตมอนั ปฏกิ ลู พอฝนหาย แผน่ ดนิ ก็สะอาด 10
- ตกลงเฉพาะในสมาคมพระญาติ ไม่มีผู้อืน่ อยู่ร่วมประชุมดว้ ย คตใิ นความมหัศจรรย์โดยอปุ มา มีดังน้ี ขอ้ ท่ี ๑ สขี องน้ำ� ฝน ไดแ้ ก่ สโี ลหติ แหง่ ความชนื่ ชมยนิ ดี วนั นเ้ี ปน็ วันท่ีศากยราชทั้งปวงรอคอย ก็สมหวังแล้ว เม่ือพระพุทธองค์เสด็จคืน กลับมา ใหเ้ ขาไดเ้ ห็นพระรูปพระโฉม จงึ พากนั ชนื่ บาน ผวิ พรรณกซ็ า่ น ดว้ ยสายเลือด อย่างทเ่ี รียกราศขี องคนมีบุญว่า ผวิ พรรณอมเลอื ดฝาด ข้อท่ี ๒ ความชมุ่ ชนื้ ของสายฝน กไ็ ดแ้ กพ่ ระธรรมเทศนาทพี่ ระ พทุ ธองคท์ รงประกาศออกไป มเี หตมุ ผี ลสมบรู ณด์ ว้ ยหลกั การ ถา้ ผใู้ ดตง้ั ใจ ฟังดว้ ยความเคารพ ธรรมกเ็ ขา้ สัมผสั จิตสำ� นกึ และสามารถจะปรบั ปรงุ จติ ของตนตามหลกั แห่งเหตผุ ลนัน้ จนกระท่งั จิตตง้ั อยใู่ นภาวะเยือกเยน็ เหมือนผิวกายต้องละอองฝน แต่ส�ำหรับบุคคลท่ีฟังสักแต่ว่าฟัง ธรรมะ นน้ั กจ็ ะไมก่ ระทบใจ เขา้ หูซ้ายทะลุหูขวา อปุ มาดว้ ยฝนไมเ่ ปียก ข้อท่ี ๓ ปกตธิ รรมเป็นของสะอาด ไมก่ ่อทุกข์โทษอันพึงรงั เกียจ แกใ่ ครๆ ไม่ว่ากาลไหนๆ ข้อท่ี ๔ พระพทุ ธจรยิ าครงั้ นี้ ทรงมงุ่ บำ� เพญ็ เฉพาะหมพู่ ระญาต ิ ศากยะลว้ นๆ เมื่อเหล่าศากยะ ผู้ได้รับความเย็นกายด้วยสายฝน เย็นใจด้วย กระแสธรรม และกราบบังคมลาพากันคืนสู่พระราชนิเวศแล้ว แต่น้ันก็ ย่างเข้าสู่เขตสนธยากาล แสงแดดอ่อนสาดฝ่าละอองฝนที่เหลือตกค้าง มาแตต่ อนบา่ ย ทำ� ใหเ้ กดิ บรรยากาศราวกบั จะกลายเปน็ ยามอรณุ ดอกไม้ ในสวนเรมิ่ เผยอกลบี อยา่ งอดิ เออ้ื นเหมอื นหลงเผลอ แมน้ กกบ็ นิ กลบั รวง รงั อยา่ งลังเล ภกิ ษทุ ง้ั หลายกำ� ลงั ชมุ นมุ สนทนาถงึ ฝนอนั มหศั จรรยแ์ ละสายณั ห์ อนั เฉดิ ฉาย ลงทา้ ยกพ็ ากนั เทดิ ทนู พทุ ธบารมที บี่ นั ดาลใหท้ กุ สง่ิ เปน็ ไปแลว้ อย่างพิศวงยิ่ง พระพุทธองคเ์ สด็จสู่วงสนทนา ของภกิ ษพุ ุทธสาวก เมื่อทรงทราบถึงมูลเหตุอุเทสแห่งการสนทนาน้ัน ก็ตรัสแย้มว่า ฝนน้เี รียกว่า ฝนโบกขรพรรษ ท่ตี กลงมาในปัจจบุ ันนี้ หาชวนอัศจรรย์ ไม่ แมใ้ นอดีตกาล เมือ่ ทรงอบุ ตั ิเกดิ เปน็ พระโพธิสตั ว์ นามว่า เวสสนั ดร กท็ รงบำ� เพญ็ บารมธี รรม จนเปน็ เหตใุ ห้ ฝนโบกขรพรรษ ไดต้ กลงมานนั่ สิ อศั จรรย์กวา่ ภิกษุทง้ั หลายตา่ งพากนั กราบทลู พระมหากรุณาให้น�ำเร่อื ง คร้ังน้ันมาแสดง ซ่ึงพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงเร่ืองราวพิสดาร แบ่งเป็น สบิ สามกัณฑพ์ ันพระคาถา 11
เทศนม์ หาชาติ* การเทศน์มหาชาติเป็นบุญพิธีท่ีนิยมจัดให้มีกันมาแต่โบราณ สนั นษิ ฐานวา่ มมี าแตส่ มยั กรงุ สโุ ขทยั เปน็ ราชธานี ดงั หลกั ฐานปรากฏตาม ความในศิลาจารึกสมัยสโุ ขทัยหลักท่ี ๓ หรอื “จารึกนครชุม” ซ่งึ จารกึ ไว้ ในสมยั พญาลไิ ท (พระมหาธรรมราชาท่ี ๑) เมือ่ พ.ศ. ๑๙๐๐ ว่า “ธรรม เทศนาอันเป็นต้นวา่ พระมหาชาติ หาคนสวดแหล่มิไดเ้ ลย” งานเทศนม์ หาชาตนิ ้ี นยิ มท�ำกันหลงั ออกพรรษาพ้นหน้ากฐนิ ไปแล้ว โดยทั่วไปนิยมจัดงานสองวัน คือ วันเทศน์เวสสันดรชาดกทั้ง ๑๓ กัณฑ์วันหนึ่ง และวันเทศน์จตุราริยสัจจกถา ท้ายเวสสันดรชาดก อีกวันหน่ึง ระยะเวลาจัดงานอาจท�ำในวนั ขึน้ ๘ ค�ำ่ กลางเดือน ๑๒ หรือ ในวันแรม ๘ ค่�ำก็ได้ ซึ่งในช่วงนี้น�้ำเริ่มลดและข้าวปลาอาหารก�ำลัง อุดมสมบูรณ์ จึงพรอ้ มใจกนั ทำ� บุญทำ� ทานและเล่นสนกุ สนานร่นื เริง แต่ในภาคอีสานน้ันนิยมท�ำกันในเดือน ๔ เรียกว่า “งานบุญ ผะเหวด” ซง่ึ เปน็ ชว่ งทเี่ สรจ็ จากการทำ� บญุ ลานเอาขา้ วเขา้ ยงุ้ ในภาคกลางบางท้องถ่ินทำ� กันในเดือน ๕ ตอ่ เดอื น ๖ ก็มี งาน เทศนม์ หาชาตนิ น้ั จะทำ� ในกาลพเิ ศษ จะทำ� ในเดอื นไหนกไ็ ดไ้ มจ่ ำ� กดั ฤดกู าล โดยมากเพอื่ เปน็ การหาเงนิ เขา้ วดั บางแหง่ นยิ มทำ� กนั ในเดอื น ๑๐ สว่ นทางดนิ แดนลา้ นนาทางภาคเหนอื จะเรยี กการเทศนม์ หาชาติ วา่ “การตง้ั ธรรมหลวง” ซง่ึ จะจดั ขน้ึ ในเดือนยเ่ี พง (ยเ่ี ป็ง) คือ วนั เพ็ญ เดอื น ๑๒ เรอ่ื งทนี่ ำ� มาใช้ในการเทศนม์ หาชาตนิ ้ัน เป็นเรือ่ งราวเกีย่ วกบั พระเวสสันดร อันเป็นพระชาติสุดท้ายของพระบรมโพธิสัตว์ ก่อนที่ จะมาประสูติเป็นเจา้ ชายสิทธตั ถะ และออกบวชจนตรสั รเู้ ปน็ พระสมั มา สมั พุทธเจา้ สว่ นการทเ่ี รยี ก มหาเวสสนั ดรชาดก วา่ “มหาชาต”ิ นน้ั เนอื่ งดว้ ย เวสสันดรชาดกนี้ เป็นเร่ืองใหญ่และยืดยาว ท่านจึงจัดรวมไว้ใน มหานิบาตชิ าดก คอื รวมเรือ่ งใหญ่ ๑๐ เรื่อง เรียกว่า ทศชาติ แต่เหตุท ่ี อีก ๙ เรื่องไม่เรียกว่ามหาชาติเช่นเดียวกับเวสสันดรชาดกน้ัน ข้อน้ี สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำ� รงราชานุภาพ ทรงอธิบายวา่ พุทธศาสนิกชนชาวไทย ตลอดจนประเทศใกล้เคียง นับถือกันมา แต่โบราณว่า เร่ืองมหาเวสสันดรชาดก ส�ำคัญกว่าชาดกอ่ืนๆ *จากหนังสือเทศน์มหาชาติมหากุศลเฉลิมพระเกียรติ ถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ.๒๕๕๐ จัดพิมพ์โดยมูลนิธิร่วมจิตต์น้อมเกล้าฯ เพื่อเยาวชน ในพระบรมราชินปู ถมั ภ์ 12
ดว้ ยปรากฏบารมขี องพระโพธสิ ตั วบ์ รบิ รู ณ์ ในเรอื่ งมหาเวสสนั ดรชาดก ทัง้ ๑๐ อยา่ ง คือ ๑. ทานบารมี ทรงบริจาคทรัพย์สิน ช้าง ม้า ราชรถ พระกุมารท้งั สองและพระมเหสี ๒. ศีลบารมี ทรงรักษาศีลอยา่ งเคร่งครัด ระหวา่ งทรงผนวชอยู่ ณ เขาวงกต ๓. เนกขัมมบารมี ทรงครองเพศบรรพชิตตลอดเวลาที่ประทับ ณ เขาวงกต ๔. ปญั ญาบารมี ทรงบำ� เพญ็ ภาวนามยั ปญั ญาตลอดเวลาทที่ รง ผนวช ๕. วิริยบารมี ทรงปฏบิ ัติธรรมมไิ ด้ย่อหย่อน ๖. สัจจบารมี ทรงล่ันวาจายกสองพระกุมารให้ชูชก เม่ือ พระกมุ ารหลบหนี ก็ทรงติดตามมาให้ ๗. ขันติบารมี ทรงอดทนต่อความยากล�ำบากต่างๆ ขณะ ท่ีเดินทางมายังเขาวงกต และตลอดเวลาท่ีประทับ ณ ท่ีนั่น แม้เมื่อ ทอดพระเนตรเห็นชูชกเฆ่ียนตีพระกุมารอย่างทารุณ พระองค์ก็ทรงข่ม พระทัยไวไ้ ด้ ๘. เมตตาบารมี เมอื่ พราหมณ์เมอื งกลิงคราษฎร์ มาทูลขอชา้ ง ปัจจัยนาเคนทร์ เพราะเมืองกลิงคราษฎร์ฝนแล้ง ก็ทรงพระเมตตา ประทานให้ และเมื่อชูชกมาทูลขอสองพระกุมาร โดยอ้างว่าตนได้รับ ความล�ำบากตา่ งๆ พระองคก์ ม็ เี มตตาประทานให้ดว้ ย ๙. อุเบกขาบารมี เม่ือทรงเห็นสองพระกุมารถูกชูชกเฆี่ยนตี วงิ วอนใหพ้ ระองคช์ ว่ ยเหลอื พระองคก์ ท็ รงบำ� เพญ็ อเุ บกขา คอื ทรงวางเฉย เพราะทรงเหน็ วา่ ไดป้ ระทานเป็นสทิ ธิข์ าดแกช่ ชู กไปแลว้ ๑๐. อธษิ ฐานบารมี คอื ทรงตง้ั มนั่ ทจี่ ะบำ� เพญ็ บารมเี พอื่ ใหส้ ำ� เรจ็ โพธิญาณเบ้ืองหนา้ แม้จะมีอุปสรรคก็มิได้ทรงยอ่ ท้อ จนพระอนิ ทร์ตอ้ ง ประทานความช่วยเหลือต่างๆ เพราะตระหนักในน�้ำพระทัยอันแน่วแน่ ของพระองค์ ดังน้ัน จึงเรียกพระชาติส�ำคัญนี้ว่า “มหาชาติ” ส่วนพันเอก พระสารสาสน์พลขันธ์ (เยรินี) กล่าวว่า พระโพธิสัตว์ในก�ำเนิด พระเวสสนั ดร ไดส้ รา้ งแบบอยา่ งของมนษุ ยผ์ กู้ า้ วถงึ ขนั้ สงู สดุ แหง่ การ ดำ� เนนิ ในทางววิ ฒั นาการ อนั นำ� ไปสคู่ วามเตม็ เปย่ี มทางจรยิ ธรรมและ ความรู้ เหมาะแก่การข้ามพ้นโอฆะห้วงสุดท้าย ซ่ึงจะแยกออกเสีย ได้จากการเกิดเป็นเทวดา เพราะเหตุน้ีก�ำเนิดสุดท้ายจึงได้นามว่า “มหาชาต”ิ คือเปน็ พระชาตทิ ี่บ�ำเพญ็ บารมขี ั้นสูงสดุ น่นั เอง 13
เวสสันดรชาดกน้ี คัมภีร์ธัมมบทขุททกนิกายกล่าวว่า เป็น พุทธด�ำรัสที่สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสแก่ภิกษุสงฆ์ขีณาสพสองหมื่น และมวลหมู่พระประยูรญาติทนี่ ิโครธารามมหาวิหาร ในนครกบิลพัสดุ ์ ในคราวเสด็จโปรดพระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดา และพระวงศ์ศากยะ เพราะปรารภฝนโบกขรพรรษให้เปน็ เหตุ จงึ ตรสั เวสสันดรชาดกในทน่ี ้ี ๑๓ กัณฑ์ ประกอบด้วย ทศพร หิมพานต์ ทานกัณฑ์ วนประเวศน์ ชูชก จลุ พน มหาพน กุมาร มทั รี สักกบรรพ มหาราช ฉกษัตรยิ ์ และ นครกัณฑ์ มหาชาติ ในสมัยปัจจบุ ันแบ่งเปน็ ๓ ลักษณะ คือ ๑. มหาชาติประยุกต์ ท่านพระครูพิศาลธรรมโกศล (หลวงตา แพรเยอื่ ไม)้ วดั ประยรุ วงศาวาส เป็นผู้คิดและให้คำ� ๆ น้ีเมอื่ ๓๐ กวา่ ปี มาแล้ว จุดมุ่งหมายก็เพอื่ ให้ผฟู้ งั ไดป้ ระโยชน์ คือ ฟังรูเ้ รื่อง เข้าใจ และ ได้สาระ ไม่งว่ งนา่ เบอื่ หนาย อกี ทงั้ ประหยัดเวลาในการแสดง ๒. มหาชาตทิ รงเครอื่ ง มี ๓ ลกั ษณะ คอื - มกี ารปจุ ฉา-วสิ ชั นา ถาม-ตอบ ในเร่ืองเทศน์ - มีการสมมติหนา้ ท่ี เชน่ องค์โน้นเปน็ พระเวสสนั ดร องค์นี้เปน็ พระนางมัทรี - ในเทศน์มีแหล่ ทง้ั แหลน่ อก แหล่ใน มิใช่ว่าแต่ทำ� นองประจ�ำ กณั ฑเ์ ทา่ นน้ั (แหลน่ อก หมายถงึ แหลน่ อกบทนอกเนอ้ื ความจากหนงั สอื เป็นการเพิ่มเติมเข้ามา แหล่ใน หมายถึง แหล่ในเรื่อง เน้ือความตาม หนังสือทีย่ อมรบั กนั เชน่ ฉบบั วชิรญาณ ฉบับกระทรวงศึกษาธิการ) ๓. มหาชาติหางเคร่ือง มีการแสดงประกอบที่เรียกว่า บุคลา ธิษฐาน มีเฉพาะฆราวาสล้วนๆ เช่น เอาชูชกมาออกฉาก แต่ปัจจุบัน ชาวบา้ นนยิ มหาลเิ กมาแสดง แล้วนมิ นต์พระมาเทศนป์ ระกอบ ความเชื่อ เชอ่ื กนั วา่ หากผใู้ ดไดฟ้ งั มหาชาตทิ งั้ ๑๓ กณั ฑจ์ บภายในวนั เดยี ว หรอื บชู าธปู เทียนดอกไมจ้ ำ� นวน ๑,๐๐๐ เท่ากบั จำ� นวนพระคาถา จะได้ พบกบั ศาสนาพระศรอี ารยิ ์ 14
คาถาพนั การเทศน์ “คาถาพัน” หมายถึง การเทศน์มหาชาติที่เป็น ภาษาบาลลี ว้ นๆ จ�ำนวน ๑,๐๐๐ พระคาถา ซ่งึ เปน็ ความรทู้ ่ีสืบตอ่ กนั มาว่า เป็นจ�ำนวนคาถาในเวสสันดรชาดก พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวง ชินวรสิรวิ ัฒน์ ได้นบั เทยี บจ�ำนวนคาถาในบทเทศน์คาถาพนั ทใ่ี ชเ้ ทศน์ กนั อยู่ กบั จ�ำนวนคาถาใน เวสสนั ดรชาดก และในทปี นีเวสสันดรชาดก ปรากฏว่าไมเ่ ท่ากัน ได้ทรงอธิบายว่า “...ทจ่ี รงิ จะมจี �ำนวนเทา่ ไรกไ็ มส่ �ำคญั แตไ่ ดค้ ดิ วา่ จะนบั กเ็ ลยลอง นบั ดู มีจ�ำนวนนบั ได้ ๘๕๒ คาถา กบั ๑ บท แตจ่ ำ� นวนทีเ่ ทศนอ์ ยบู่ ัดนี้ นับได้ ๑,๐๐๐ พระคาถาตรง ส่วนในทีปนีเวสสันดรชาดก แก้บท สหสสฺ ปฏิมณฺฑเิ ต นบั ได้ ๑,๐๐๔ คาถา อนั ทจ่ี ริงจำ� นวนมากเทา่ นี้ เปน็ อเนกสังขยา ควรแปลว่าประดับด้วยคาถาประมาณ ๑,๐๐๐ แม้จะเกิน ไปบ้าง ขาดไปบา้ งก็ไม่เปน็ ไร” อานิสงสค์ าถาพัน เมือ่ ครัง้ พระมาลัยเถรเจ้ารบั ดอกอุบลจากบรุ ษุ เขญ็ ใจแลว้ ไดน้ �ำ ขน้ึ ไปบชู าพระจฬุ ามณเี จดยี สถานในดาวดงึ สเ์ ทวโลก และมโี อกาสสนทนา กบั พระศรอี าริยเมตไตรย์ พระองคไ์ ด้ตรัสแกพ่ ระเถรเจ้าว่า ขอพระคณุ เจ้าได้บอกแก่มนุษย์ทั้งหลายว่า ผู้ใดใคร่อยากพบปะพระศรีอาริย์เจ้า ผนู้ นั้ พงึ งดเวน้ อนนั ตรยิ กรรม ๕ ประการ มฆี า่ มารดา บดิ า เปน็ ตน้ และ พงึ อตุ สาหะ หมนั่ กอ่ สรา้ งกองการกศุ ล มใี หท้ าน รกั ษาศลี เจรญิ ภาวนา และสดับตรับฟังพระธรรมเทศนามหาเวสสันดรชาดก อันประกอบ ด้วยคาถาพันหนึง่ กระทำ� สักการบชู าดว้ ยขา้ วตอกดอกไม้ต่างๆ และ ดอกไมธ้ ูปเทียนอยา่ งละพนั ตัง้ ใจฟังใหจ้ บเพยี งวันเดียวครบบรบิ ูรณ์ ทง้ั ๑๓ กัณฑ์ ดงั นแ้ี ลว้ จะไดพ้ บพระศรอี ารยิ ์พุทธเจ้าในอนาคตโดยแท ้ หากดับขันธ์แล้วก็จะได้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์เสวยทิพยสมบัติ อันมโหฬาร คร้ันถึงพุทธกาล พระศรีอาริย์พุทธเจ้า เทพบุตร เทพธิดา เหล่านั้น ก็จะได้จุติลงไปเกิดเป็นมนุษย์ คร้ันได้ฟังพระธรรมเทศนา กจ็ ักได้บรรลุมรรคผล มพี ระโสดาปัตติผล เป็นต้น เป็นพระอรยิ ะบคุ คล ในพระพุทธศาสนาดงั นี้ 15
เวสเทสศันนม์ดหราชชาาตดิ ก กณั ฑท์ ่ี ๑ ทศพร ๑๙ พระคาถา ปี่พาทย์ท�ำเพลงสาธุการ พระอินทร์ประสาทพร ๑๐ ประการแดพ่ ระนางผุสดี จตุ ิลงมาเกิดเปน็ พระราชมารดาพระเวสสนั ดร กัณฑท์ ่ี ๒ หมิ พานต์ ๑๓๔ พระคาถา ปพี่ าทยท์ ำ� เพลงตวงพระธาตุ พระเวสสันดรบรจิ าคช้างปัจจัยนาเคนทร์ ชาวเมอื งโกรธแค้นใหเ้ นรเทศไปอยู่ยงั เขาวงกต กณั ฑ์ที่ ๓ ทานกณั ฑ์ ๒๐๙ พระคาถา ป่ีพาทยท์ ำ� เพลงพระยาโศก พระเวสสนั ดรพระราชทานมา้ และราชรถ แก่พรามณท์ ต่ี ามมาขอนอกเมอื งเชตดุ รจนหมด กณั ฑ์ท่ี ๔ วนประเวศน์ ๕๗ พระคาถา ป่ีพาทย์ทำ� เพลงพระยาเดนิ สีก่ ษตั รยิ ต์ ้องเดินดง ตง้ั พระทัยม่งุ ตรงสเู่ ขาวงกต เพื่อจะทรงบ�ำเพญ็ พรตเป็นฤๅษี กัณฑ์ที่ ๕ ชูชก ๗๙ พระคาถา ปพี่ าทย์ทำ� เพลงเซน่ เหล้า นางอมติ ตดาใหช้ ูชกไปทูลขอพระกณั หาและชาลี กัณฑ์ที่ ๖ จุลพน ๓๕ พระคาถา ปีพ่ าทยท์ �ำเพลงคุกพาทย์ หรือเพลงรัวสามลา ชชู กชูกลกั พรกิ โกหกพรานเจตบตุ รว่า เป็นกลอ่ งใสพ่ ระราชสาส์นของพระเจ้ากรงุ สญชยั กณั ฑท์ ี่ ๗ มหาพน ๘๐ พระคาถา ปีพ่ าทย์ท�ำเพลงเชิดกลอง อจตุ ฤๅษีหลงเช่ือคารมของชชู กเฒ่าเจา้ เล่ห์ เลยบอกและช้ที างให้ไปสู่เขาวงกต กัณฑท์ ่ี ๘ กมุ าร ๑๐๑ พระคาถา ปพ่ี าทย์ท�ำเพลงโอดเชดิ ฉิง่ พระเวสสันดรประทานกันหาและชาลใี หแ้ ก่ชชู ก กัณฑ์ท่ี ๙ มทั รี ๙๐ พระคาถา ปพี่ าทย์ทำ� เพลงทยอยโอด พระอนิ ทร์ถ่วงเวลาพระนางมทั รไี มใ่ ห้ไปทนั เวลา กณั ฑ์ท่ี ๑๐ สกั กบรรพ ๔๓ พระคาถา ป่ีพาทย์ทำ� เพลงกลม หรอื เพลงเหาะ พระอินทรจ์ �ำแลงเปน็ พราหมณ์มาขอพระนางมัทรี และถวายคนื แลว้ ประสาทพร ๘ ประการ กณั ฑท์ ี่ ๑๑ มหาราช ๖๙ พระคาถา ป่ีพาทย์ท�ำเพลงกราวนอก พระเจ้าสญชัยไถ่ตวั สองกมุ าร แล้วยกทัพเชญิ พระเวสสันดร กลับมาครองราชสมบตั ิ กณั ฑ์ที่ ๑๒ ฉกษตั รยิ ์ ๓๖ พระคาถา ปพ่ี าทย์ท�ำเพลงตระนอน ทัง้ หกกษัตริยถ์ ึงวิสัญญภี าพสลบลง เมื่อได้พบหนา้ กนั พระอินทร์บันดาลฝนใหต้ ก กัณฑ์ที่ ๑๓ นครกณั ฑ์ ๔๘ พระคาถา ป่ีพาทย์ท�ำเพลงกลองโยน หกกษัตริย์นำ� พยหุ โยธาเสดจ็ กลับจากเขาวงกต พระเวสสนั ดรข้นึ ครองนครเชตุดรแทนพระราชบิดา 17
๑. กัณฑ์ทศพร เนอื้ ความโดยยอ่ อดีตกาลโพ้น ก่อนสมัยพุทธกาลนานหลายกัลป์ กล่าวถึงพระเจ้า กรุงสญชัย พระโอรสพระเจ้าสีวีราช แห่งกรุงสีพี ทรงอภิเษกสมรสกับ พระธิดาพระเจ้ากรงุ มทั ทราช พระนามวา่ ผสุ ดี ผูซ้ ่งึ ได้รบั พร ๑๐ ประการ หรือทศพร จากพระอนิ ทร์ เทพผเู้ ปน็ ใหญ่ ด้วยมูลเหตดุ งั น้ี พระนางผุสดี เม่ือส้ินพระชาติที่ทรงก�ำเนิดเป็นพระนางสุธรรมา และดว้ ยพระบารมีแก่กลา้ พระนางเสด็จส่สู วรรค์อุบตั ิเป็นเทพธิดาผุสดี เป็น พระอคั รมเหสแี หง่ พระอนิ ทรเทพครน้ั ถงึ คราตอ้ งทรงจตุ จิ ากสวรรค์พระอนิ ทรเทพ ประทาน พร ๑๐ ประการ ให้ตามท่พี ระนางมพี ระประสงค์ ดงั น้ี ๑. ไดบ้ งั เกิดในปราสาทแหง่ พระเจ้ากรุงสีพี ๒. มีพระเนตรดำ� ขลับประดจุ ตาลูกเนือ้ ทราย ๓. พระขนงด�ำสนิท ๔. ทรงพระนามว่า ผุสดี ๕. มพี ระโอรสทรงพระเกียรติยศย่งิ กษตั ริย์ท้งั ปวง และมีพระศรทั ธาในพระกศุ ลทั้งปวง ๖. เมือ่ ทรงพระครรภ์ อย่าให้พระครรภโ์ ย้นูนดงั สตรมี คี รรภท์ ่ัวไป ๗. พระถันงาม เวลาทรงพระครรภก์ ม็ ดิ �ำและหย่อนคลอ้ ย แม้กาลเวลาล่วงไป ๘. พระเกศาด�ำสนิทประดุจสปี กี แมลงคอ่ มทอง ๙. พระฉวลี ะเอยี ดงามเปน็ นวลละออง ดงั ทองคำ� ธรรมชาตปิ ราศจากราคี ๑๐. ขอใหท้ รงบารมี ทรงอำ� นาจไวช้ วี ิตนักโทษประหารได้ มิใช่เพียงพร ๑๐ ประการเท่านั้น ที่หนุนเน่ืองให้พระนางผุสดีได้เป็น พระพุทธมารดาในชาติกาลต่อมา ครั้งอดีตชาติ พระนางเคยเฝ้าถวาย แก่นจันทร์แดงเป็นพุทธบูชาแก่พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อม ทรงอธษิ ฐาน ต้ังพระปรารถนาให้ได้เป็นพระพุทธมารดาในอนาคตชาติด้วย ตัวละครสะท้อนคุณธรรม พระเจา้ กรงุ สญชัย-พระนางผสุ ดี ทรงเป็นแบบอยา่ งของผปู้ กครอง ท่ีดี ฟังเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน รู้จักผ่อนปรนเพื่อคล่ีคลายสถานการณ์ สาระนา่ รู้ สผู่ สู้ ดบั : ในมหาชาตเิ วสสนั ดรชาดก ๑๓ กณั ฑ์ ๑,๐๐๐ พระคาถา กัณฑ์ทศพร นับเป็นกัณฑ์แรก กัณฑ์ทศพร ประดับด้วยคาถา ๑๙ พระ คาถา เป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เพลงประจ�ำกัณฑ์ คือเพลง “สาธุการ” ประกอบกิริยาน้อมนมัสการรับพรทั้ง ๑๐ ประการของพระนางผุสดี ข้อคิดจากกัณฑ์ : การท�ำบุญจะได้ดังประสงค์ ต้องอธิษฐานจิต ตง้ั เปา้ หมายชวี ติ ทตี่ นปรารถนาไว้ ตง้ั มนั่ และบรบิ รู ณใ์ นศลี ไดแ้ ก่ การทำ� ความดี รักษาความดีนั้นไว้ และหมั่นเพิ่มพูนความดีให้มากย่ิงขึ้น 18
กัณฑ์ที่ ๑ ทศพร ภาพ : ฝีมือ ครูเหม เวชกร แดพ่ ระพนราะงอผนิ ุสทดรี พป์ รระะมทเาหนสพีแรห๑ง่ ก๐ษปัตรระยิ กก์ ารรงุ สญชยั และอัญเชิญพระโพธิสตั ว์ จตุ ใิ นพระครรภ์พระนางผสุ ดี
กัณฑท์ ี่ ๒ หมิ พานต์ ภาพ : ฝีมือ ครูเหม เวชกร พระเวสสันดร ประทานชา้ งปัจจัยนาเคนทร์ซ่งึ เป็นช้างคู่บา้ นคเู่ มือง ชาวเมใอืหงแ้ โกก่พรธรแาหค้นมณใหต์ เ้2น่า0งรเเมทอืศงไทปม่ีอายทู่ยังูลเขขอาวงกต
๒. กัณฑ์หิมพานต์ เน้ือความโดยย่อ เทพธดิ า “ผสุ ด”ี พระอคั รมเหสแี หง่ พระอนิ ทรเทพ ทรงจตุ จิ ากสวรรค์ ลงมาถือก�ำเนิดเป็นพระธิดากษัตริย์มัททราช มีพระนาม “ผุสดี” ดังทศพร ประการที่ ๔ ที่ทรงขอไว้ ทรงอภิเษกสมรสกับพระเจ้ากรุงสญชัยแห่งกรุงสีพี เมื่อมีพระโอรสนามว่า “เวสสันดร” ด้วยทรงประสูติในตรอกพ่อค้า ก็ทรงได้สมพระปรารถนาในทศพรประการที่ ๕ ด้วยพระกุมารเวสสันดรน้ัน ทันทีที่ประสูติจากพระครรภ์ ก็ทรงทูลขอทรัพย์บริจาคทันที และเม่ือ ทรงขนึ้ ครองราชยเ์ มอื่ พระชนมายไุ ด้ ๑๖ พรรษา กท็ รงสรา้ งทานศาลาขน้ึ ๖ แหง่ ส�ำหรับบริจาคทานแก่ผู้ยากไร้โดยถ้วนหน้า ในวนั ทพี่ ระเวสสนั ดรประสตู นิ นั้ ทรงไดช้ า้ งเผอื กขาวบรสิ ทุ ธ์ิ ทแ่ี มช่ า้ ง ชาตฉิ ทั ทนั ตน์ ำ� มาถวายไวใ้ นโรงชา้ ง ชาวสพี ขี นานนามชา้ งวา่ “ปจั จยั นาเคนทร”์ ด้วยเป็นช้างมงคลที่แม้ขับขี่ไปในท่ีใด ก็จะท�ำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล กาลต่อมา เมื่อเมืองกลิงคราษฎร์ เกิดข้าวยากหมากแพง ด้วยฝนฟ้า แล้งมิตกต้องตามฤดูกาล พระเจ้ากลิงคราษฎร์มิอาจทรงแก้ไขได้ แม้จะทรง รักษาอุโบสถศีลครบก�ำหนด ๗ วันแล้วก็ตาม จนต้องทรงแต่งต้ังพราหมณ์ ๘ คน ไปทูลขอช้างปัจจัยนาเคนทร์จากพระเวสสันดร พระเวสสันดร ก็ประทานให้ เปน็ เหตใุ หช้ าวเมอื งสพี ไี มพ่ อใจ ถงึ ขนั้ กราบทลู พระเจา้ กรงุ สญชยั ให้เนรเทศพระเวสสันดรออกจากบ้านเมืองไป พระเวสสนั ดร แมจ้ ะประทานชา้ งปจั จยั นาเคนทร์ จนตอ้ งถกู เนรเทศ ก็มิทรงย่อท้อที่จะบ�ำเพ็ญทาน ยังทรงทูลขอโอกาสบริจาคทานคร้ังใหญ่ ท่ีเรียกว่า “สัตตสดกมหาทาน” ก่อนจะทรงจากไป ทรงให้พระนางมัทรี บริจาคทรัพย์ถวายแด่ผู้ทรงศีล และให้พระนางทรงอยู่บ�ำรุงรักษา พระโอรสพระธิดา ท้ังทรงอนุญาตให้อภิเษกสมรสใหม่ได้ แต่พระนางมัทร ี ขอตามเสด็จไปพร้อมพระโอรสและพระธิดา และได้ทรงพรรณนาถึงความ สวยงามและน่าทัศนาของป่าหิมพานต์ถึง ๒๔ พระคาถา เพื่อให้เป็นท่ี ประจกั ษ์วา่ พระนางเต็มพระทัยโดยเสดจ็ มิได้ทรงเห็นเป็นเร่อื งทุกข์ทรมาน แตป่ ระการใด ตัวละครสะทอ้ นคุณธรรม พระเวสสันดร เป็นแบบอย่างของผู้เสียสละประโยชน์ส่วนตัว เพื่อ ประโยชนส์ ว่ นรวม ไมย่ ดึ ตดิ กบั อำ� นาจวาสนา บรบิ รู ณใ์ นพรหมวหิ าร ๔ ประการ ได้แก่ เมตตา กรุณา มทุ ติ า และอเุ บกขา สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : กัณฑ์หิมพานต์ ประดับด้วยคาถา ๑๓๔ พระคาถา เป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตพุ นวิมลสังคลาราม เพลงประจ�ำกัณฑ์ คอื เพลง “ตวงพระธาตุ” ประกอบกิรยิ าอวยทานของพระเวสสันดรท่ีทรงบริจาคทาน ขอ้ คดิ จากกณั ฑ์ : การทำ� ความดี มกั มอี ปุ สรรค ปญั หาเปน็ ทมี่ าแหง่ ความสำ� เรจ็ 19
๓. กัณฑท์ านกณั ฑ์ เน้ือความโดยย่อ เม่ือพระเวสสันดรทรงบริจาค สัตตสดกมหาทาน เป็นทาน ๗ ส่ิง (คอื ช้าง มา้ ววั รถ สตรี แมโ่ คนม ทาสชาย และทาสหญงิ ) สิ่งละ ๗๐๐ ตาม ท่ีทรงทูลขอพระเจ้ากรุงสญชัยพระราชบิดาแล้ว ทรงน�ำเสด็จพระนางมัทรี และสองพระกุมาร คอื พระชาลี พระกณั หา กราบทลู ลาพระราชบดิ า พระเจ้ากรุงสญชัยทรงทัดทาน มิให้นางมัทรีและพระนัดดาทั้งสอง ตามเสดจ็ ไปดว้ ย ครน้ั พระนางมทั รมี ทิ รงยนิ ยอมกท็ รงขอพระนดั ดาทงั้ สองไว ้ พระนางมัทรีก็ไม่ทรงยินยอมอีก ด้วยทรงตั้งพระทัยมั่นท่ีจะขอตามเสด็จ พระสวามไี ปพรอ้ มพระโอรสและพระธดิ า ทรงกราบทลู วา่ เมอ่ื เปน็ มเหสแี ลว้ ก็ถือพระองค์เปน็ ประดจุ ทาสทาสี ย่อมจงรักภักดีต่อพระสวามี ขอตามเสด็จ ไปปรนนิบัติประหน่ึงทาสติดตามรับใช้มิยอมให้พระสวามีไปตกระกำ� ล�ำบาก ทกุ ขย์ ากพระวรกายแตเ่ พยี งล�ำพงั สว่ นพระโอรสพระธดิ าเปน็ ประดจุ แกว้ ตา ดวงใจจะทอดทงิ้ เสยี กระไรได้ พระเจา้ กรงุ สญชยั ตอ้ งทรงเลกิ ทดั ทานในทสี่ ดุ เมอ่ื พระเวสสนั ดร ทรงกราบบงั คมทลู ลาพระชนกชนนแี ลว้ ทรงเบกิ แกว้ แหวนเงนิ ทอง บรรทกุ ราชรถเทยี มมา้ และทรงโปรยเปน็ ทานไปตลอดทาง แม้แต่รถทรง ม้าเทียมรถทรง ก็ประทานให้แก่พราหมณ์ที่มาทูลขอไป จนหมดสน้ิ แลว้ ทง้ั สองพระองคท์ รงอมุ้ พระโอรสและพระธดิ า ทรงพระดำ� เนนิ ไปส่มู รรคาเบอ้ื งหนา้ สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : กัณฑ์ทานกัณฑ์ ประดับด้วยคาถา ๒๐๙ คาถา เนื้อความเป็นของส�ำนักวัดถนน จังหวัดอ่างทอง มิได้ระบุช่ือผู้นิพนธ์ กณั ฑน์ ม้ี จี ำ� นวนพระคาถามากทส่ี ดุ ในจำ� นวนมหาชาตทิ ง้ั ๑๓ กณั ฑ์ เพลงประจำ� กณั ฑ์ คอื “พระยาโศก” ประกอบกริ ยิ าโศกสลดรนั ทดใจของพระบรมวงศานวุ งศ์ ทีพ่ ระเวสสันดรถกู เนรเทศออกจากเมอื ง ขอ้ คดิ จากกณั ฑ์ : พงึ ยอมเสยี สละความสขุ สว่ นตวั เพอื่ ประโยชนส์ ขุ ของสว่ นรวม ยามบญุ มเี ขากย็ ก ยามตำ่� ตกเขากห็ ยาม ชวี ติ มที งั้ ชนื่ ชมและขมขนื่ ทำ� ดจี ะให้ ถกู ใจคนทงั้ โลกเป็นไปไม่ได้ 20
กัณฑท์ ี่ ๓ ทานกณั ฑ์ ภาพ : ฝีมือ ครูเหม เวชกร พระเวสสนั ดร ประทานมา้ และราชรถแกพ่ ราหมณ์ ท่ีตามมาทลู ขอระหวา่ งทาง นอกเมอื งเชตุดรจนหมด
กณั ฑ์ที่ ๑ วนประเวศน์ ภาพ : ฝีมือ ครเู หม เวชกร เสดจ็ ถเงึ พอตอ่ืาง้ั จศพะรสรทมกี่ ะรทษทง่ีพัตยับรรมำ� ิยะ่งุเวพ์ตตษิอ้รญ็ งณงพสเดุกเู่รขนิรตารดเวมปงงเน็ นกฤรตๅมษิตี ถวาย
๔. กัณฑว์ นประเวศน์ เนื้อความโดยย่อ พระเวสสนั ดร พระนางมทั รี และสองพระกุมาร เสดจ็ โดยพระบาท เป็นระยะทางถงึ ๓๐ โยชน์ จงึ ลมุ าตุลนคร แคว้นเจตราษฎร์ ด้วยพระบารมี เทพยดาจึงทรงย่นระยะทางใหเ้ สด็จถงึ ตวั เมอื งภายในเวลาเพยี งวนั เดยี ว ทั้ง สี่พระองค์ได้ประทับแรมทแ่ี ควน้ เจตราษฎร์นี้ เมอ่ื กษตั รยิ เ์ จตราษฎรท์ รงทราบ ไดก้ ราบทลู ขอถวายความอนเุ คราะห์ ทุกประการ ทั้งเชิญเสด็จเสวยราชสมบัติแทนพระองค์ แต่พระเวสสันดร มิทรงรับ ด้วยผิดพระประสงค์ ทรงขอเพียงให้ช้ีทางไปเขาวงกต สถานที่ท่ี พระองคต์ งั้ พระทยั มนั่ จะประทบั รกั ษาพระจรยิ วตั รของนกั พรตโดยเครง่ ครดั สืบไป กษัตริย์เจตราษฎร์สุดที่จะโน้มน้าวพระทัยพระเวสสันดรได้ จ�ำต้อง ทำ� ตามพระประสงค์ ทรงทำ� ไดเ้ พยี งตามสง่ เสดจ็ จนสดุ แดนแควน้ เจตราษฎร์ และทรงตง้ั ใหพ้ รานเจตบตุ ร ถวายงานเปน็ ผพู้ ทิ กั ษร์ ะวงั ระไว มใิ หภ้ ยนั ตราย ใด ๆ แผว้ พาน และมิใหส้ ่งิ ใดหรอื ใครเขา้ ไปรบกวนความสงบได้ ณ เขาวงกต ทง้ั สพ่ี ระองคท์ รงประทบั ในพระอาศรมทพี่ ระอนิ ทรเทพ ทรงบญั ชาให้พระวิษณุกรรมเทพบตุ ร เนรมติ ไว้ให้พร้อมด้วยเครอ่ื งบรรพชติ บรขิ ารครบถว้ น พระเวสสนั ดร ประทบั ในพระอาศรมหนง่ึ โดยลำ� พงั พระนาง มทั รกี บั สองพระกมุ ารประทบั พกั พระอาศรมหนง่ึ ทงั้ สพ่ี ระองคท์ รงผนวชเปน็ พระฤาษี ต่างพระองค์ตา่ งทรงรกั ษาพระจริยวตั รของผูถ้ ือบวชโดยเครง่ ครัด สมดังพระหฤทยั ตงั้ ม่ันทุกประการ ตวั ละครสะท้อนคุณธรรม กษัตริย์เจตราษฎร์ เป็นแบบอย่างของมิตรที่มีน�้ำใจ พร้อมจะช่วย เหลือยามมติ รตกทุกขไ์ ดย้ าก สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : กัณฑ์วนประเวศน์ประดับด้วยคาถา ๕๗ พระคาถา เป็นพระนิพนธ์ ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตพุ นวมิ ลมังคลาราม เพลงประจ�ำกัณฑ์ คือ เพลง “พระยาเดิน” ประกอบกริ ยิ าเดนิ ปา่ ของ พระเวสสนั ดร พระนางมทั รี พระชาลี และพระกณั หา ข้อคิดจากกัณฑ์ : มิตรแท้ ย่อมไม่ทอดทิ้งเม่ือยามเพ่ือนทุกข์ ช่วยปลอบ ปลุกยามเพ่ือนอ่อนล้า ช่วยฉุดดึงยามเพ่ือนตกต�่ำ และช่วยชูค้�ำยามเพื่อน ขน้ึ สูท่ ส่ี ูง 21
๕. กัณฑ์ชชู ก เนื้อความโดยย่อ ในละแวกบ้านทุนวิฐ แคว้นกลิงคราษฏร์ มี ชูชก พราหมณ์เข็ญใจ เท่ยี วขอทานเขากิน เม่ือเกบ็ เงนิ ไดม้ ากถงึ ๑๐๐ กษาปณ์ กน็ ำ� ไปฝากเพอื่ น พราหมณ์ผวั เมียคหู่ นงึ่ ไว้ แล้วเทย่ี วตระเวนขอทานตอ่ ไป ชูชกหายไปนาน จนพราหมณ์ผัวเมียคิดว่าพราหมณ์ชูชก ไม่กลับ มาแลว้ ประกอบกบั เกิดขดั สนยากจนลง ชวนกนั ใชเ้ งินของชชู กกันหมด เมอื่ ชูชกกลับมาทวงไมม่ ีจะคนื ให้ จงึ ยกลูกสาวชื่ออมติ ตดา ใชห้ นี้แทน ชูชกได้นางอมิตตดาซึ่งนอกจากจะเป็นลูกท่ีดี คือ กตัญญูต่อพ่อแม่ ทดแทนพระคุณโดยยอมตัวเป็นของชูชกแล้วยังเป็นเมียท่ีประเสริฐ แม้ชูชก จะแก่คราวปู่ นางก็ปรนนิบัติชูชกเป็นอย่างดี มิได้ขาดตกบกพร่อง ท�ำให้ พราหมณห์ นมุ่ ในละแวกนน้ั ไมพ่ อใจนางพราหมณภี รรยาของตนตา่ งไปตอ่ วา่ ดา่ ทอทบุ ตภี รรยาตน นางพราหมณที ง้ั หลายโกรธแคน้ จงึ ไปรมุ ขบั ไล่ และดา่ วา่ นางอมติ ตดาอย่างรุนแรง นางทั้งเสยี ใจและอบั อายจนสดุ จะทน จึงรอ้ งบอก ชูชกว่า จะไม่ท�ำงานรับใช้สามีอีก ชูชกขอท�ำงานแทนนางก็ยอมไม่ได้ ด้วย เทอื กเถาเหล่ากอของนางไมเ่ คยใช้สามีตา่ งทาส ดว้ ยเทพยดาฟา้ ดนิ จะทรงใหก้ ารบำ� เพญ็ ทานบารมขี อง พระเวสสนั ดร เพ่ิมพูนขึ้นอีก จึงดลใจให้นางอมิตตดารู้เร่ืองของพระเวสสันดร และคิด ขอสองพระกุมารมาเป็นข้ารับใช้ โดยให้นางแนะชูชกไปขอสองพระกุมาร ชูชกจ�ำใจจากนางเดนิ ทางไปตามหาพระเวสสนั ดร จนกระทง่ั ไปถึงเขาวงกต เพราะเทพยดาดลใจให้หลงทางไป ชูชกพบพรานเจตบุตรและใช้อุบาย ลวงลอ่ จนพรานเจตบตุ รหลงเชอ่ื วา่ เปน็ ผถู้ อื พระราชสาสน์ พระเจา้ กรงุ สญชยั มากราบทลู เชญิ ทง้ั สพี่ ระองคเ์ สดจ็ กลบั กรงุ สพี ี จงึ ตอ้ นรบั ชชู กเตม็ ท่ี ทง้ั เตรยี ม เสบียงและยอมช้ีทางไปสพู่ ระอาศรมพระเวสสันดรแต่โดยดี ตวั ละครสะท้อนคณุ ธรรม ชูชก เปน็ ตัวอยา่ งของคนมัธยสั ถ์ รจู้ ักเก็บหอมรอมริบ รกั ครอบครวั แตม่ นี ิสยั เจ้าเล่ห์เพทุบาย เตม็ ไปด้วย โลภะ โทสะ และโมหะ ติดอย่ใู นกาม เขา้ ลักษณะ “ววั แกก่ ินหญ้าอ่อน” นางอมิตตดา เป็นตัวอย่างของลูกท่ีอยู่ในโอวาท กตัญญูต่อพ่อแม่ เปน็ ภรรยาที่ดขี องสามี แต่ไมม่ คี วามเปน็ ตัวของตัวเอง สาระนา่ รู้ ส่ผู ้สู ดบั : กณั ฑ์ชชู ก ประดับดว้ ยคาถา ๗๙ คาถา พระเทพโมลี วดั สงั ข์กระจาย เปน็ ผูน้ พิ นธ์ เพลงประจำ� กัณฑ์ คือ “เซ่นเหลา้ ” ประกอบ กริ ยิ ากนิ อยา่ งตะกละตะกลามของพราหมณช์ ชู ก ข้อคดิ จากกณั ฑ์ : อยา่ ฝากของมีคา่ ของส�ำคญั หรือของหวงแหนไวก้ บั ผ้อู ืน่ 22
กชัณชูฑท์ กี่ ๕ ภาพ : ฝีมอื ครเู หม เวชกร ชชูชากวบทา้วนงยเแงกชตินอูชกทมกต่ีฝิตพนื่ าตากดชอไามวมล้บติ เูกพญุตสดื่อชานาวชู กพใกลชรไับห้ดาบหนเ้ ม้ีแา้มยี นทณทนไ์ปี่ มร่มะจีเสะรใิฐห้
จกลุ ณั ฑพท์ ี่ น๖ ภาพ : ฝมี อื ครูเหม เวชกร โกหชกชู พกรชากูนลเจักตพบรุติกรวา่ เปน็ กล่องใส่พระราชสาสน์ ของพระเจา้ กรงุ สญชยั
๖. กัณฑจ์ ลุ พน เน้ือความโดยย่อ พรานเจตบุตรซ่ึงได้รับค�ำสั่งจากกษัตริย์เจตราษฏร์ให้ท�ำหน้าที่เป็น นายดา่ นประตปู า่ คอยหา้ มมใิ หผ้ ใู้ ดไปพบกษตั รยิ ท์ ง้ั สพี่ ระองค์ เวน้ แตร่ าชทตู เทา่ นนั้ รไู้ มท่ นั เลห่ เ์ หลย่ี มของชชู ก จงึ หลงเชอ่ื ใหท้ พ่ี กั อาศยั และเลยี้ งดจู นอม่ิ หนำ� สำ� ราญ คร้นั รงุ่ เชา้ ก็จดั เตรยี มเสบียงใหช้ ชู ก พรอ้ มทัง้ นำ� ชชู กไปยงั ต้นทางท่ี จะไปยงั เขาวงกต และช้บี อกเสน้ ทางทจี่ ะตอ้ งผา่ นว่า ตอ้ งผ่านเขาคนั ธมาทน์ อันอุดมด้วยไม้หอมนานาชนิด ถัดไปจะเห็นเขาสีเขียวคราม คือ เขาอัญชัน ซ่ึงอุดมไปด้วยไม้ผลและสมุนไพรชนิดต่างๆ เดินต่อไปอีกสักครู่จะถึงสถาน อมั พวนั ใหญ่ คอื ปา่ มะมว่ ง ถดั ไปเปน็ ปา่ ตาล ปา่ มะพรา้ วกบั ตน้ แปง้ จากนนั้ จะเป็นป่าไม้ดอกนานาพรรณท่ีมีกลิ่นหอมตระหลบไปทั้งป่า แล้วจะถึงสระ อันอุดมไปด้วยสัตว์นำ�้ หลากหลายชนิด มีขัณฑสกรที่เป็นนำ�้ ตาลที่เชื่อกันว่า เกิดทีใ่ บบวั และเป็นเครื่องยาอยา่ งดที ่หี าได้ยาก พรานเจตบตุ รยงั ไดแ้ นะทางทจี่ ะไปยงั อาศรมของพระอจั จตุ ฤๅษี เพอื่ ให้ชชู กถามถึงหนทางท่จี ะไปยังพระอาศรมของพระเวสสันดร ชชู กจ�ำเสน้ ทางท่ีพรานเจตบุตรบอกไว้ แลว้ อำ� ลาโดยท�ำประทักษิณ ๓ รอบ จากนั้นจงึ ออกเดินทางตอ่ ไป ตวั ละครสะท้อนคณุ ธรรม พรานเจตบุตร เป็นแบบอย่างของคนดี คนซื่อ แต่ขาดความ เฉลยี วฉลาด จงึ ถกู หลอกไดง้ า่ ย สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : จุลพน หมายถึง ป่าที่มีต้นไม้น้อยๆ หรือป่าโปร่ง กัณฑ์จุลพน ประดับด้วยคาถา ๓๕ พระคาถา เป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานชุ ติ ชโิ นรส วัดพระเชตุพนวิมลมงั คลาราม เพลงประจำ� กณั ฑ์ คอื “คกุ พาทย”์ หรอื “รวั สามลา” ประกอบกริ ยิ าการแสดง อทิ ธิฤทธิ์ หรอื การขม่ ขวัญ ซงึ่ พรานเจตบุตรไดแ้ สดงแกช่ ูชก ขอ้ คดิ จากกัณฑ์ : มอี �ำนาจ แต่หากขาดปัญญา ยอ่ มถกู หลอกได้งา่ ย 23
๗. กัณฑม์ หาพน เน้ือความโดยย่อ ชชู กเดนิ ทางผา่ นสถานทส่ี ำ� คญั ๆ ตามทพ่ี รานเจตบตุ รบอก จนกระทงั่ พบพระอัจจุตฤๅษี จงึ สอบถามทอ่ี ยขู่ องพระเวสสนั ดร พระอจั จตุ ฤๅษเี หน็ ทา่ ทแี ละพฤตกิ รรมของชชู กครง้ั แรกกล็ งั เล กลวั วา่ ชชู กจะมาขอพระชาลี พระกัณหาไปเปน็ ทาส หรอื ไม่กข็ อพระนางมัทรี จึงไม่ บอกทาง ชูชกแก้ตัวด้วยมธุรสวาจา ยกเหตุผลว่าจะมาเท่ียวขอให้เส่ือมเสีย พงศ์พราหมณ์ท�ำไม การมาครั้งนี้เพ่ือเย่ียมเยียนพระเวสสันดรจริงๆ ขอให้ ได้เห็นจะได้เป็นกุศล ทั้งยังอ้างว่าตั้งแต่พระเวสสันดรจากเมืองมา ตนยัง ไมไ่ ดพ้ บพระเวสสนั ดรเลยทำ� ใหพ้ ระอจั จตุ ฤๅษใี จออ่ น หลงเชอ่ื วา่ ชชู กมาดว้ ย เจตนาดี เม่ือเห็นว่าพระอัจจุตฤๅษีใจอ่อนหลงเชื่อแล้ว ชูชกจึงขอค้างแรมที่ อาศรมหนง่ึ คนื รงุ่ ขน้ึ พระอจั จตุ ฤๅษจี ดั หาผลไมใ้ หแ้ ละบอกทางไปพระอาศรม ของพระเวสสนั ดรอยา่ งละเอยี ด พรรณนาถงึ ปา่ เขา ฝงู สตั วร์ า้ ยตา่ งๆ ดว้ ยเปน็ ปา่ ใหญ่ สมกับท่เี รียกว่า ปา่ มหาพน ชูชกจดจ�ำค�ำแนะน�ำเส้นทางไว้แล้วอ�ำลา มุ่งหน้าเดินทางไปสู่ พระอาศรมของพระเวสสันดร ตวั ละครสะทอ้ นคณุ ธรรม พระอจั จตุ ฤๅษี เปน็ แบบอยา่ งของนกั พรตผฉู้ ลาด แตข่ าดเฉลยี ว หเู บา เชอื่ คนงา่ ย สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : มหาพน หมายถึง ป่าใหญ่ หรือไพรกว้าง กัณฑ์ มหาพน ประดับด้วยคาถา ๘๐ พระคาถา พระเทพโมลี (กล่ิน) วัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) เป็นผู้นิพนธ์ เพลงประจ�ำกัณฑ์ คือ เพลง “เชิดกลอง” ประกอบกริ ิยาเดนิ อยา่ งเร่งรีบของชูชก ข้อคิดจากกัณฑ์ : คนฉลาดแต่ขาดเฉลียว คนมีปัญญา แต่ขาดสติย่อม พลาดทา่ เสยี ทีได้ 24
กัณฑท์ ี่ ๗ มหาพน ภาพ : ฝมี อื ครเู หม เวชกร หลงเช่อื คารอมจัขจอุตงชฤชูๅษกี เฒ่าเจ้าเลห่ ์ เลยบอกและชที้ าง ให้ไปสู่เขาวงกต
กกัณุมฑท์าี่ ร๘ ภาพ : ฝมี ือ ครเู หม เวชกร ตรสั เรยี กพพรระะชเวาสลสีแนัลดะพร ระกณั หา ใหข้ ้นึ มาจากสระบวั ท่สี องพระกมุ ารลงไปซอ่ นตวั
๘. กัณฑก์ ุมาร เนื้อความโดยย่อ ชชู กเดนิ ทางไปยังอาศรมพระเวสสันดร ในเวลาจวนค่ำ� แต่ไมค่ ดิ จะ เข้าเฝ้าทูลขอสองพระกุมารในเวลานั้น ด้วยเกรงว่าพระนางมัทรีจะขัดขวาง ตามวิสัยผู้เป็นแม่ รอให้พระนางมัทรีเสด็จไปหาผลไม้ และพระเวสสันดร ประทบั อยโู่ ดยล�ำพังในวันรุ่งขึน้ จงึ ค่อยเข้าไปขอ ในคนื นน้ั พระนางมทั รที รงพระสบุ นิ ดว้ ยเทวดามาบอกเหตวุ า่ มบี รุ ษุ รา่ งกายกำ� ยำ� ผวิ ดำ� ถอื ดาบ ๒ มอื พงั ประตอู าศรมเขา้ ไปฉดุ กระชากพระนาง ควักพระเนตร ตัดพระพาหาสิ้นท้ังซ้ายขวา ท้ายสุดผ่าพระอุระ ควักดวง พระหทยั แลว้ หนไี ป พระนางทรงตระหนกั ดวี า่ ทรงฝนั รา้ ย จงึ กงั วลพระทยั ยง่ิ นักและไมว่ างพระทยั แมพ้ ระเวสสนั ดรจะทรงทำ� นายเล่ียงไปว่า เปน็ เพราะ ธาตุวิปริตและทรงปลอบพระนางให้ทรงหายหวาดกลัวและคลายกังวล ครั้นร่งุ เช้าพระนางกย็ งั คงเสดจ็ ไปหาผลไม้ดงั เช่นท่ีทรงปฏบิ ัติทกุ วนั ฝ่ายชูชกสบโอกาสดังคิด จึงเร่งเข้าเฝ้าพระเวสสันดร แล้วทูลขอ สองพระกุมาร แม้พระเวสสันดรจะทรงอาลัยพระโอรสพระธิดาเพียงใด ก็ต้องตัดพระทัยเพ่ือพระสัมมาสัมโพธิญาณ อันจะยังประโยชน์สุขให้แก่ มวลมนษุ ยย์ งิ่ กวา่ สขุ ของพระองคเ์ อง ทง้ั สองพระกมุ ารกเ็ ขา้ พระทยั ในเหตผุ ล ของพระบิดา จงึ ยอมเสด็จไปกับชชู ก “มาเถิดลูกรัก พ่อเอย! ลูกจงช่วยท�ำการสร้างสมความดีของพ่อ ให้เต็มเปี่ยมเถิด. ลูกจงช่วยรดหัวใจพ่อให้เย็น. จงท�ำตามค�ำพ่อ. จงช่วยเป็นเรืออันแข็งแรง ให้พ่อข้ามทะเลอันร้ายกาจไปให้ได้เถิด. พ่อจะข้ามฟากไปจากการต้องเกิด และช่วยให้เทวดาแลมนุษย์ทั้งหลาย ข้ามไปได้ด้วย.” จาก “น�้ำพระทัยพระเวสสันดร” โดย สิริวยาส
กกัณุมฑ์ทา่ี ร๘ ภาพ : ฝีมอื ครเู หม เวชกร ประทานกพณั รหะาเวแสลสะชันาดลรใี ห้แก่ชชู ก ชชู กเฆ่ียนตสี องพระกุมาร ตัง้ แต่ยังไมพ่ ้นพระอาศรม
ทงั้ สามพระองคต์ อ้ งทรงกลน้ั อาลยั พระเวสสนั ดรตอ้ งสะกดพระโทสะ ด้วยชูชก ลงมอื เฆ่ียนตสี องพระกุมาร ตั้งแต่ยงั ไม่ทนั พ้นพระอาศรม ก่อนจะทรงให้ชูชกน�ำสองกุมารไป ได้ทรงต้ังค่าตัวไว้ว่า หากมีผู้ใด ต้องการไถ่ตัวสองพระกุมารให้พ้นทาส พระชาลีนั้นทรงตั้งไว้พันต�ำลึงทอง พระกัณหาเป็นหญิงนอกจากทรัพย์พันต�ำลึงทองแล้ว ยังต้องประกอบด้วย ขา้ ทาสชายหญงิ ช้าง มา้ โคคาวี และโคอสุ ุภราชอกี อย่างละร้อย ตัวละครสะทอ้ นคณุ ธรรม พระชาลี - พระกณั หา เปน็ แบบอยา่ งของลกู ทด่ี ี เชอื่ ฟงั พอ่ แมม่ เี หตผุ ล ยอมรบั ในสงิ่ ทเี่ กดิ ขนึ้ แมว้ า่ จะตอ้ งเจบ็ ปวดและทกุ ขท์ รมาน จากการถกู ชชู ก เฆยี่ นตกี ต็ าม สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : ค�ำว่า “กุมาร” ในกัณฑ์นี้ หมายความถึง พระชาลี และพระกัณหา กัณฑ์กุมารประดับด้วยคาถา ๑๐๑ พระคาถา เจ้าพระยา พระคลงั (หน) เปน็ ผนู้ พิ นธ์ เพลงประจำ� กณั ฑค์ อื เพลง “โอดเชดิ ฉง่ิ ” ประกอบ กิริยาท่ีชูชกพาพระชาลีและพระกัณหา เดินทางเข้าไปในป่า และเฆี่ยนตีไป ตลอดทาง ขอ้ คดิ จากกณั ฑ์ : ความเป็นผรู้ จู้ กั กาละเทศะ รจู้ กั โอกาส รคู้ วามควรไม่ควร ไมผ่ ลผี ลามเขา้ ไปขอ รอจนพระมทั รเี ขา้ ปา่ จงึ เขา้ เฝา้ เพอื่ ขอสองกมุ าร ทำ� ให้ ชชู กประสบความสำ� เร็จในสงิ่ ทต่ี นปรารถนา สติป้องกันอันตรายทั้งปวงได้ ขันติป้องกันความหุนหันพลันแล่นได้ เปน็ เหตใุ หพ้ ระเวสสนั ดรไมป่ ระหารชชู กดว้ ยพระขรรค์ เมอื่ ถกู ชชู กประณาม และเฆี่ยนตพี ระโอรสและพระธดิ า ต่อเฉพาะพระพักตร์ “พ่อจ๋า...น่ากลัวว่า ตาแก่นี้จะมิใช่มนุษย์ แต่เป็นยักษ์แปลงปลอมมา ขอลูกไปเค้ียวกิน. เม่ือตะก้ีแกคร่าลูกไป พ่อดูเฉยอยู่ได้ ใจของพ่อเหมือนก้อนหินหรือพ่อจ๋า หรือว่าถูกเหล็กพืดรัดเอาไว้. ตาแก่ตีเราเท่าไร พ่อก็เฉย. ตาแก่น่ีเห็นแต่จะได้ทรัพย์อย่างเดียว หามีความเมตตาปรานีไม่ แกจึงตีเราหนักๆ เหมือนตีวัว. ถึงอย่างไรพ่อจงให้น้องกัณหาอยู่ที่นี่เถิด น้องกัณหายังเล็กเกินไป ไม่เคยทุกข์ พอไม่เห็นแม่ ก็เที่ยวว่ิงร้อง เหมือนวัวพลัดแม่.” จาก “น้�ำพระทัยพระเวสสันดร” โดย สิริวยาส 25
๙. กณั ฑม์ ทั รี เนื้อความโดยย่อ เมอ่ื ชชู กพาสองพระกมุ ารไปแลว้ พระอนิ ทรเทพทรงเกรงวา่ พระนาง มทั รี จะทรงเสดจ็ กลับจากปา่ เร็วกวา่ ปกติดว้ ยความกังวลที่ทรงฝันรา้ ย และ พระนางจะเสด็จตามทันสองพระกุมาร จึงทรงบัญชาให้เทพยดา ๓ องค์ แปลงกายเป็นสัตวร์ ้ายทนี่ ่ากลัวคือ เสอื โคร่ง เสือเหลือง และราชสีห์ นอน ขวางทางเสดจ็ กลับพระอาศรม จนค่�ำจึงหลีกทางให้พระนาง ครน้ั พระนางมทั รเี สดจ็ กลบั ถงึ พระอาศรม ไมท่ รงเหน็ สองพระกมุ าร ทรงตามหาไม่พบ ก็กันแสงอ้อนวอนทูลถามพระเวสสันดรถึงสองพระกุมาร พระเวสสนั ดรไมท่ รงตอบ และทรงแกลง้ กลา่ วต�ำหนทิ พ่ี ระนางทรงกลบั มดื ค่�ำ ให้พระนางเจ็บพระทัย จะได้คลายทุกข์โศกถึงสองพระกุมาร แม้พระนาง จะทรงอ้อนวอนสักเท่าใดก็ไม่ทรงตอบ จนพระนางน้อยพระทัย ทรงออก ตดิ ตามพระโอรสพระธดิ าท้ังราตรี ลุรุ่งอรุณวันใหม่ พระนางมัทรีจึงเสด็จกลับพระอาศรมด้วยความ อิดโรยอ่อนพระทัย อ่อนล้าพระก�ำลังถึงกับทรงสลบไป เม่ือพระเวสสันดร ทรงแก้ไขให้ทรงฟื้นแล้ว จึงทรงบอกความจริงว่า ได้ประทานพระโอรส พระธดิ าใหช้ ชู กไปแลว้ ทรงขอใหพ้ ระนางอนโุ มทนากบั “ปยิ บตุ รทาน” ดว้ ย อันจะส่งผลให้พระองค์เสด็จสู่พระสัมมาสัมโพธิญาณ พระนางมัทรีเม่ือทรง ทราบความจรงิ ก็ทรงบรรเทาโศกและทรงอนุโมทนาดว้ ย ตวั ละครสะทอ้ นคณุ ธรรม พระนางมัทรี เป็นแบบอย่างของภรรยาที่ดี ซื่อสัตย์และจงรักภักดี ตอ่ สามี รวมถงึ เปน็ แมท่ รี่ กั และเปน็ หว่ งลกู มาก เปรยี บลกู เปน็ เสมอื นแกว้ ตา ดวงใจ สาระนา่ รู้ สผู่ สู้ ดบั : กณั ฑม์ ทั รี ประกอบดว้ ยคาถา ๙๐ พระคาถา เจา้ พระยา พระคลัง (หน) เป็นผู้นิพนธ์ เพลงประจ�ำกัณฑ์ คือ เพลง “ทยอยโอด” ประกอบกิรยิ าคร�ำ่ ครวญหวนไหข้ องพระนางมทั รี เม่อื ตามหาพระโอรสและ พระธิดาไมพ่ บ ข้อคิดจากกณั ฑ์ : ไม่มคี วามรักใด ย่ิงใหญ่กวา่ ความรักของพ่อและแม่ 26
กณั ฑ์ท่ี ๙ มทั รี ภาพ : ฝีมือ ครเู หม เวชกร เทวดาแปลงเป็นราชสหี ์ เสือโครง่ และเสอื เหลือง ขวางทางพระนางมัทรี ที่พระเวสสันดมรใิ ปหรก้ ะลทับาไนปสทอนั งเพวลระากุมารแก่ชชู ก
กัณฑท์ ่ี ๑๐ สกั กบรรพ ภาพ : ฝมี อื ครเู หม เวชกร แปลพงเรปะน็ อพนิ รทารห์ มณ์ มาทลู ขอนางมทั รี จากพระเวสสนั ดร
๑๐. กัณฑ์สักกบรรพ เน้ือความโดยย่อ เมอ่ื พระเวสสนั ดรประทานสองพระกมุ ารใหช้ ชู กไปแลว้ พระอนิ ทรเทพ ทรงด�ำริว่า แม้นมีผู้มาทูลขอพระนางมัทรี พระเวสสันดรก็จะทรงยกให้อีก จะท�ำให้พระเวสสันดรขาดผู้ปรนนิบัติดูแล จึงทรงนิรมิตองค์เป็นพราหมณ์ แกเ่ ข้าไปทลู ขอพระนางมทั รี และเปน็ ดงั ที่ทรงคาด เมื่อพราหมณ์จ�ำแลงรับ พระนางมทั รมี าแล้ว จงึ กลบั ร่างเป็นพระอนิ ทรเทพถวายพระนางคืน พรอ้ ม ประทาน พร ๘ ประการ ตามทพ่ี ระเวสสนั ดรทรงแสดงพระประสงคค์ อื ๑. ให้พระบดิ าทรงรบั พระองค์ กลบั ไปทรงครองราชย์สมบัติดงั เดิม ๒. ใหพ้ ระองค์มีพระกรณุ าและพระปัญญา ที่จะไม่ต้องเข่นฆา่ แมผ้ ู้มี ทุจริตรา้ ยกาจ ๓. ใหพ้ ระองคท์ รงกอปรดว้ ยพระเมตตาและพระอำ� นาจ เปน็ ทพี่ งึ่ และ เป็นท่ีรักแก่ปวงชน ๔. ใหพ้ ระองคท์ รงพอพระทยั มน่ั คงอยแู่ ตพ่ ระชายาพระองคเ์ ดยี ว แม้ มสี ตรเี ปน็ ทรี่ กั มากเพยี งใด ขออยา่ ใหท้ รงลอุ ำ� นาจของสตรี จนเปน็ ทางท่ีทุจรติ ผิดตามมาได้ ๕. ใหพ้ ระโอรสได้ปกครองแผ่นดนิ ทรงอ�ำนาจดว้ ยธรรมปฏบิ ตั ิ ๖. ให้เกดิ ภกั ษาหารมากมีเพยี งพอทจ่ี ะบริจาคเปน็ ทานไดไ้ มข่ าด ๗. ให้มีทรัพย์สมบัติเป็นเครื่องอุดหนุนไทยธรรมทานการกุศลของ พระองค์ มีแต่เพิ่มพูนมิรู้หมดสิ้น เช่นเดียวกับน้�ำพระทัยในทาง กุศลของพระองค์ ๘. เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ไป ขอให้บังเกิดในสวรรค์ชั้นสูง มี พระบารมแี ละมิมีวันเสื่อมถอยลดลงจากพระบารมที ี่ทรงบำ� เพ็ญ สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : “สักกบรรพ” แปลวา่ ตอนท่ีว่าด้วย พระอินทร์ คือ ท้าวโกสนิ ทร์สักกรนิ ทร์เทวราช ผเู้ ปน็ จอมเทพบนสวรรคช์ ั้นดาวดึงส์ กัณฑ์สักกบรรพ ประดบั ดว้ ยคาถา ๑๓ พระคาถา เป็นพระนิพนธ์ ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพน วิมลมังคลาราม เพลงประจ�ำกัณฑ์ คือ เพลง “กลม” หรือเพลง “เหาะ” ประกอบกิริยาเหาะลงมา และการแปลงกายของพระอินทร์ ข้อคดิ จากกัณฑ์ : การทำ� ความดี แม้ไม่มีคนเห็น แตเ่ ทพยดาอารกั ษ์ยอ่ มรู้ ย่อมเห็น 27
๑๑. กณั ฑม์ หาราช เน้ือความโดยย่อ ชชู กตง้ั ใจพาสองพระกมุ ารกลบั ไปหานางอมติ ตดาทเ่ี มอื งกลงิ คราษฎร์ แตเ่ ทพยดาดลใจใหช้ ชู กเดนิ ทางผดิ กลายเปน็ เดนิ ทางเขา้ สกู่ รงุ สพี ขี องพระเจา้ กรงุ สญชยั ฝา่ ยพระเจา้ กรงุ สญชยั คนื กอ่ นทจ่ี ะไดพ้ บสองพระกมุ าร ไดท้ รงพระ สุบินนิมิตว่า มีบุรุษรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวน�ำดอกบัว ๒ ดอกมาถวาย ซ่ึง โหรหลวงทำ� นายวา่ จะมพี ระญาตใิ กลช้ ดิ ทพี่ ลดั พรากไปกลบั สพู่ ระนคร รงุ่ ขนึ้ ชชู กกม็ โี อกาสนำ� สองพระกมุ ารเขา้ เฝา้ พระเจา้ กรงุ สญชยั และ พระนางผุสดี ท้ังสองพระองค์ดีพระทัยย่ิงนัก พระราชทานส่ิงของไถ่องค์ พระนดั ดาทง้ั สองตามทพี่ ระเวสสนั ดรทรงกำ� หนดไว้ และทรงใหจ้ กั เลย้ี งชชู ก ดว้ ยอาหารคาวหวานมากมาย ชชู กบรโิ ภคเกนิ ขนาด จนไฟธาตไุ มอ่ าจเผาผลาญ ได้ อาหารไมย่ อ่ ย สดุ ทา้ ยกถ็ งึ แกจ่ กุ ตาย ทรพั ยท์ ไี่ ดร้ บั กถ็ กู รบิ เขา้ พระคลงั หลวง หลงั จากทป่ี ระกาศหาวงศาคณาญาตใิ หม้ ารบั แลว้ ไมม่ ผี ใู้ ดมารบั หลงั จากที่ พระเจา้ กรงุ สญชยั ทรงสดบั เรอื่ งราวจากพระนดั ดาทง้ั สอง ทตี่ อ้ งตกระกำ� ลำ� บากกบั พระชนกพระชนนี พระเจา้ กรงุ สญชยั กท็ รงเตรยี มยก พยหุ ยาตราไปรบั พระเวสสนั ดรกบั พระนางมทั รกี ลบั พระนคร ในวนั รบั เสดจ็ พราหมณช์ าวเมอื งกลงิ คราษฎร์ ๘ คน นำ� ช้างปจั จยั นาเคนทร์มาถวายคนื จงึ โปรดใหพ้ ระชาลที รงชา้ งปจั จยั นาเคนทร์ นำ� ขบวนสเู่ ขาวงกต สาระนา่ รู้ สู่ผสู้ ดบั : กณั ฑม์ หาราช ประดับด้วยคาถา ๖๓ พระคาถา เปน็ พระนิพนธ์ใน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม และกวอี กี ๒ ทา่ น คอื พระยาธรรมปรชี า (บญุ ) และขนุ วรรณวาทวิจิตร เพลงประจำ� กณั ฑ์ คอื เพลง “กราวนอก” ประกอบ กริ ยิ าการยกพล และเคลอ่ื นพลทพ่ี ระเจา้ กรงุ สญชยั ทรงยกไปรบั พระเวสสนั ดร และพระนางมทั รีกลบั เมอื ง ข้อคิดจากกัณฑ์ : คนดีตกน้�ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ย่อมได้รับการคุ้มครอง ปกปอ้ งในทกุ ทีท่ ุกสถาน 28
กัณฑ์ท่ี ๑๑ มหาราช ภาพ : ฝมี อื ครเู หม เวชกร เดนิ ทาชงอชู อกกพจาาพกรเขะชาวาลงกแี ตลกะลพับระไปกบัณา้ หนาของตน แต่เทพยดาดลใจให้หลงทาง เขา้ ไปเฝ้าพระเจ้ากรุงสญชยั
กณั ฑท์ ี่ ๑๒ ฉกษตั รยิ ์ ภาพ : ฝีมือ ครูเหม เวชกร นำ� ทางพรพะรเจะ้าชการลุงีแสลญะพชัยรแะกลณัะพหราะนางผุสดี ไปยังพระอาศรมทีป่ ระทบั ของพระเวสสนั ดรและพระนางมทั รี เม่ือกษตั รยิ ท์ ง้ั ๖ พระองคท์ รงพบกัน ตา่ งกันแสงจนสลบไป
๑๒. กัณฑ์ฉกษัตรยิ ์ เนื้อความโดยย่อ พระชาลที รงชา้ งปจั จยั นาเคนทรเ์ ปน็ ทพั หนา้ เสดจ็ ถงึ เขาวงกตกอ่ น เพอ่ื เตรยี มรบั เสดจ็ พระเจา้ กรงุ สญชยั เมอื่ พระเจา้ กรงุ สญชยั เสดจ็ ถงึ เขาวงกต ทรงพระดำ� รวิ า่ หากเสดจ็ เขา้ ไป พรอ้ มกนั ทกุ พระองค์ จะเปน็ เหตใุ หท้ กุ ขโ์ ศกสาหสั จนระงบั มไิ ด้ จงึ เสดจ็ เขา้ สู่ พระอาศรมแตพ่ ระองคเ์ ดยี วกอ่ น พอทเุ ลาโศกลงบา้ งแลว้ จงึ จะใหพ้ ระนางผสุ ดแี ละสองพระกมุ ารตาม เสดจ็ เขา้ ไป แมก้ ระนนั้ เมอื่ ทง้ั สามพระองคเ์ สดจ็ เขา้ ไปในพระอาศรม พระนางมทั รี ซ่ึงมิอาจทรงหวังได้เลยว่า จะได้พบสองพระกุมารอีก ครั้นได้ทรงพบกัน จงึ ตา่ งกนั แสงพไิ รรำ� พนั ทงั้ เศรา้ โศกและยนิ ดี จนขม่ พระทยั ไวม้ ไิ ด้ กส็ ลบสน้ิ สตสิ มปฤดี ณ ทน่ี น้ั ทง้ั สามพระองค์ ฝ่ายพระเจ้ากรุงสญชัย พระนางผุสดี และพระเวสสันดร ทอด พระเนตรเหน็ เชน่ นน้ั ทรงกลน้ั โศกมไิ ด้ กนั แสงแลว้ สลบสนิ้ สตสิ มปฤดไี ปเชน่ กนั เหลา่ พระสนมและขา้ ราชบรพิ ารกล็ ว้ นโศกศลั ย์ ลม้ สลบตามกนั ไป เหตคุ รงั้ นน้ั ทำ� ใหแ้ ผน่ พสธุ าไหวทว่ั ทง้ั พนื้ พภิ พ พระอนิ ทรเทพทรงทราบ จงึ ทรงแกเ้ หตวุ กิ ฤตทิ อี่ บุ ตั ขิ นึ้ ทรงดลบนั ดาลใหฝ้ นโบกขรพรรษตกลงมา ณ ทนี่ น้ั กษตั รยิ ท์ ง้ั ๖ พระองค์ และผคู้ นทงั้ หลายตา่ งฟน้ื คนื สตโิ ดยทว่ั กนั น่ันเป็นฝนโบกขรพรรษท่ีเคยตกมาสมัยก่อนพุทธกาล ที่สมเด็จ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั เลา่ โปรดพระอรหนั ตสาวก อนั เปน็ พระพทุ ธปรารภ เรอ่ื งพระเวสสนั ดร สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : ค�ำว่า “ฉ หรือ ฉะ” แปลว่า ๖ (หก) ฉกัษตริย์ จึงหมายถึง กษัตรยิ ์ ๖ พระองค์ กัณฑฉ์ กษัตรยิ ์ ประดับดว้ ยคาถา ๓๖ พระ คาถา เป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิต ชิโนรส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เพลงประจ�ำกัณฑ์ คือ เพลง “ตระนอน” ประกอบ กริ ยิ านอนหลบั ใหลของกษตั รยิ ์ ๖ พระองค์ เมอ่ื ไดท้ รง พบกัน ขอ้ คิดจากกณั ฑ์ : การให้อภัย สามารถลบรอยรา้ วฉานและความบาดหมาง ท้งั ปวง ก่อให้เกดิ สันตสิ ขุ แกส่ ่วนรวม
๑๓. กณั ฑน์ ครกณั ฑ์ เนื้อความโดยย่อ เมื่อเหตุท้ังปวงคลี่คลายลง ต่างพระองค์ต่างสงบพระทัยได้แล้ว พระเจา้ กรงุ สญชยั จงึ ขอใหพ้ ระเวสสนั ดรเสดจ็ กลบั ไปปกครองบา้ นเมอื งดงั เดมิ เหล่าข้าราชบริพาร และเหล่าชาวเมือง ที่ตามเสด็จพระเจ้ากรุงสญชัยมา ต่างก็กราบทูลวิงวอนร้องขอ ให้พระเวสสันดรทรงอภัยให้และกลับไปครอง สริ ริ าชสมบตั ดิ งั เดมิ พระเวสสนั ดรทรงใครค่ รวญไตรต่ รองเหตทุ คี่ วรจะเปน็ และทรงคำ� นงึ ถงึ พระพรทที่ รงขอจากพระอนิ ทรเทพวา่ ใหพ้ ระราชบดิ ารบั กลบั ไปครองสริ ริ าช สมบตั ิ จงึ ตดั สนิ พระทยั เสดจ็ กลบั พระนคร กษตั รยิ ท์ งั้ ๖ พระองค์ เสดจ็ กลบั กรงุ สพี พี รอ้ มขา้ ราชบรพิ ารและผตู้ าม เสดจ็ ทา่ มกลางเสยี งโหร่ อ้ งตอ้ นรบั ดว้ ยความปตี ยิ นิ ดขี องชาวเมอื งทรี่ กั เคารพ เทดิ ทนู พระองคเ์ ปน็ ยงิ่ ตวั ละครสะทอ้ นคณุ ธรรม ชาวเมอื งสพิ ี เปน็ ตวั อยา่ งของผรู้ กั ษาสทิ ธ์ิ ตามระบอบประชาธปิ ไตย เมอื่ ไมพ่ อใจกแ็ สดงความคดิ เหน็ คดั คา้ น และเรยี กรอ้ งใหม้ กี ารลงโทษ เมอ่ื พอใจ กย็ อมรบั และยตุ ิ พรอ้ มกบั รจู้ กั ขอโทษในสง่ิ ทไี่ ดก้ ระทำ� ผดิ ไป สาระน่ารู้ สู่ผู้สดับ : นครกณั ฑ์ เป็นกัณฑ์สุดท้ายของมหาชาติเวสสันดร ชาดก ถือว่า เป็นกัณฑ์สวัสดีมีชัย เพราะเป็นตอนท่ีพระเวสสันดร เสด็จ กลับเมือง กัณฑ์น้ีประดับด้วยคาถา ๔๘ พระคาถา เป็นพระนิพนธ์ ใน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพน วิมลมังคลาราม เพลงประจ�ำกัณฑ์ คือ เพลง “กลองโยน” ประกอบกิริยา การยกขบวนพยุหยาตราของ พระเวสสันดร พรั่งพร้อมด้วยขบวนอิสริยยศ อย่างสมพระเกียรติ ขอ้ คดิ จากกัณฑ์ : การท�ำความดี ย่อมได้รับผลดีตอบแทน การใชธ้ รรมะใน การปกครอง จะทำ� ให้บา้ นเมืองมแี ต่ความสงบและร่มเย็น 30
กัณฑท์ ่ี ๑๓ นครกณั ฑ์ ภาพ : ฝมี ือ ครูเหม เวชกร ขบวพนรพะยชุหายลาี แตลราะขพอรงะพกัณระหเวาสกสลนัับดครืนสพูก่ รระุงนสาีพงมี ทั รี และพระเจา้ กรุงสญชยั ทรงรับพระเวสสนั ดร กลบั คืนพระราชวัง
กณั ฑท์ ี่ ๑๓ นครกัณฑ์ ภาพ : ฝีมือ ครเู หม เวชกร ประกอบพระรมาุขชมพนิธตีบรรี มราชาภเิ ษก พระเวสสันดร เปน็ เจา้ นครสพี ี
สะท้อตนวั ลคะณุ ครธรรม พระเจ้ากรุงสญชัย พระนางผุสดี - เป็นแบบอย่างของ นักปกครองระบอบประชาธิปไตยท่ีมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ฟงั เสยี งประชาชนสว่ นใหญ่ รจู้ กั ผอ่ นผนั เพอื่ คลคี่ ลายสถานการณ์ ไมเ่ หน็ แก่พวกพ้อง แม้พระราชโอรสไม่แข็งขืนยามหน้าสิ่วหน้าขวาน น�้ำเชี่ยว ไม่เอาเรอื ขวาง ไมโ่ ตต้ ้านต่อกระแสอารมณ์พาล พระเวสสนั ดร - เปน็ แบบอย่างของผู้เสียสละประโยชนส์ ่วนตน เพอื่ ประโยชนส์ ว่ นรวม มงุ่ บำ� บดั ทกุ ขบ์ ำ� รงุ สขุ ของประชาชนเปน็ ทต่ี งั้ เปน็ แบบอย่างของบุคคลผู้ไม่ยึดติดกับอ�ำนาจวาสนา รู้ซ้ึงถึงโลกธรรมที่ว่า “ยามมียศเขาก็ยก ยามต่�ำตกเขาก็หยาม” ชีวิตมีขึ้นมีลงเหมือนน�้ำ ชอบกช็ ม ชงั ก็บรภิ าษ หาได้หว่ันไหวหรือลม้ เลกิ บ�ำเพ็ญบารมีไม่ พระนางมทั รี - เปน็ แมแ่ บบของภรรยาผเู้ ปน็ กลั ยาณมติ รของสามี สนบั สนนุ เปา้ หมายชวี ติ อนั ประเสรฐิ ทส่ี ามไี ดต้ ง้ั ไว้ ทรงคณุ ธรรมสำ� คญั คอื “ซ่อื ตรง จงรัก หนกั แน่น” ไมเ่ ป็นฉาบหลายฉิง่ ไม่เป็นหญิงหลายชาย พระชาลี พระกณั หา - เปน็ แบบอยา่ งของลกู ทเี่ ชอื่ ฟงั พอ่ แม่ เขา้ ใจ ในเจตนาแหง่ การประพฤตกิ รรม เพอ่ื ประโยชนข์ องคนหมมู่ ากของพอ่ คือ พระเวสสันดร นางอมิตตดา - เป็นแบบอย่างของลูกท่ีเชื่อฟังต้ังอยู่ในโอวาท ของพอ่ แม่ และแบบอย่างของภรรยาที่ปฏบิ ัตติ ่อสามตี ามคตินิยม ขณะ เดยี วกนั กเ็ ปน็ ตวั อยา่ งของคนทไ่ี มเ่ ปน็ ตวั ของตวั เอง ปลอ่ ยชวี ติ ใหเ้ ปน็ ไป ตามกระแสสังคมจนเกนิ ควร พ่อแม่ของอมติ ตดา - เป็นแบบอยา่ งของคนสุรุ่ยสุร่าย ประมาท ในการใช้จา่ ย สรา้ งหนสี้ นิ จนเวรกรรมตกแก่ลูก ชชู ก - เปน็ ตวั อยา่ งของคนทต่ี ดิ อยใู่ นกาม เขา้ ลกั ษณะวา่ “ววั แกก่ นิ หญา้ ออ่ น” ตอ้ งตกระก�ำในยามชรา เพราะ “รักสนกุ จงึ ต้องทกุ ขถ์ นัด” นางพราหมณี บ้านทุนวิฐ - เป็นตัวอย่างของชาวบ้านที่อิจฉา ริษยาผอู้ น่ื โดยไมค่ ดิ พิจารณาหาทางปรบั ปรุงตวั เอง พรานเจตบุตร - เป็นตัวอย่างของคนซ่ือ คนดี แต่ขาดความ เฉลยี วฉลาด จึงตกเปน็ เหยือ่ ของคนหลอกลวงมากเลห่ ์เหลย่ี มอยา่ งชชู ก พระอจั จตุ ฤๅษี - เปน็ ตวั อยา่ งของนกั ธรรมผฉู้ ลาด แตข่ าดเฉลยี ว หเู บา เชือ่ คนง่าย จนพลาดท่าเสียทชี ูชก กษัตริย์เจตราช - เป็นแบบอย่างของมิตรแท้ ท่ีพร้อมจะช่วย เหลือมิตรในยามยาก มีน้�ำใจ ไมท่ อดทงิ้ มติ รยามส้นิ ทรัพยอ์ บั วาสนา ชาวเมืองสีพี - เป็นตัวอย่างของผู้คลั่งไคล้ในกระแสค่านิยม ใชอ้ ารมณม์ ากกวา่ เหตผุ ล เปน็ ตน้ เหตใุ หเ้ นรเทศพระเวสสนั ดรออกจากนครสพี ี 31
ใหเรร้ ยีูจ้ กกั วบพ่ารรจิ “คะาบนเควาโทสรบาสมรนนัีา๑ณดม๐รีคเเ”ขวปาาทน็ เมขพ่ีชอยี ารดนตะทเพิสรนดุุทื่อทงธมปเ้าีคจยร้าวะไาเเดปภมท้็นทเพรเสรงียออ่ืบรนงำ� ขใมเจพอีคคง็ญวนกาใาไมนวรตอ้ใงั้หดม้ีตั่นชาฯตลิ ฯ เป็นตัวอยา่ งของการเสยี สละ เราอยดู่ ว้ ยการเสียสละแล้วกจ็ ะสบาย พ่อแมเ่ สียสละเพือ่ ลูก ลูกกม็ คี วามเสยี สละเพอ่ื พ่อแม่ ทุกครอบครวั เทมี่อ่ือกยมารู่ใีกนอายหรกู่เมสจ็บู่ ยี ะา้สมนลีแเะดตยีค่กววากราเมนั หสตน็ ุขำ� แบคกลว่ตาเดัวมกยี เจห็วรกาญิ นยั ไปเสยี สละตอ่ กัน พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)
Search