Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือปฏิบัติสำหรับการดำเนินการป้องกันและจัดการการรังแกกันในโรงเรียน

คู่มือปฏิบัติสำหรับการดำเนินการป้องกันและจัดการการรังแกกันในโรงเรียน

Published by Thalanglibrary, 2020-06-12 21:36:52

Description: คู่มือปฏิบัติสำหรับการดำเนินการป้องกันและจัดการการรังแกกันในโรงเรียน

Search

Read the Text Version

คู่มือปฏบิ ตั ิสำ�หรับการด�ำ เนินการป้องกัน 1 และจัดการการรังแกกนั ในโรงเรยี น

ค่มู ือปฏิบตั สิ �ำ หรับการด�ำ เนินการ เอกสารน้ีเผยแพร่เป็นเอกสารสาธารณะ ไม่อนุญาตให้จัดเก็บ ถ่ายทอด ไม่ว่าด้วยรูปแบบหรือวิธีการใดๆ ด้วยกระบวนการ ป้องกันและจดั การการรงั แกกันในโรงเรยี น ทางอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ การถา่ ยภาพ การบนั ทกึ การส�ำ เนา หรอื วธิ กี ารอนื่ ใด เพอ่ื วตั ถปุ ระสงคท์ างการคา้ หนว่ ยงานหรอื บคุ คลทมี่ คี วามสนใจ สามารถ ISBN : 978-974-296-895-3 ตดิ ตอ่ ขอรับการสนับสนุนเอกสารไดท้ ี่ พิมพค์ รั้งท่ี 1 แผนงานพัฒนานวัตกรรมเชิงระบบเพื่อการสร้างเสริม สุขภาพจิต บรรณาธิการ โทรศัพท์ 0 5390 8300 ต่อ 73190 โทรสาร 0 5312 1094 หรือ แพทย์หญิง โชษิตา ภาวสุทธไิ พศฐิ ดาวนโ์ หลดขอ้ มลู ไดท้ ี่ www.jitdee.com นางสาวจนั ทร์ชนก โยธินชชั วาล นางสาววมิ ลวรรณ ปญั ญาว่อง สนบั สนนุ โดย ส�ำ นกั งานกองทนุ สนับสนุนการสรา้ งเสริมสขภาพ (สสส.) แผนงานพฒั นานวตั กรรมเชิงระบบเพ่อื การสรา้ งเสรมิ สุขภาพจิต กรมสุขภาพจติ กระทรวงสาธารณสุข พมิ พ์ เผยแพร่ และสงวนลิขสิทธโ์ิ ดย สถาบันสขุ ภาพจติ เด็กและวัยร่นุ ราชนครนิ ทร์ 75/1 ถนนพระรามท่ี 6 แขวงทุง่ พญาไท เขตราชเทวี กทม. 10400 โทรศพั ท์ 02-248-8999 โทรสาร 02 248-8998 e-mail : [email protected] พมิ พค์ รง้ั ท่ี 1 : สงิ หาคม 2561 จ�ำ นวนที่พิมพ์ : 500 เล่ม ออกแบบ/พิมพท์ ี่ : บรษิ ัท บยี อนด์ พบั ลสิ ชิ่ง จำ�กัด 2 คูม่ ือปฏบิ ัติส�ำ หรบั การดำ�เนินการป้องกัน และจัดการการรังแกกนั ในโรงเรยี น

ค�ำ แนะน�ำ การใช้ค่มู ือ คู่มือปฏิบัติสำ�หรับการป้องกันและการจัดการการรังแกกันในโรงเรียน คู่มือฉบับนี้ได้พยายามเสนอตัวอย่างกิจกรรมที่ครูสามารถนำ�ไปใช้หรือปรับ ฉบับน้ี เป็นคู่มือสำ�หรับโรงเรียน ครูและบุคลากรในโรงเรียน โดยเฉพาะ ประยกุ ตใ์ ชไ้ ด้ และไดแ้ ยกสว่ นเนอื้ หาส�ำ หรบั ผบู้ รหิ าร เดก็ และผปู้ กครองเพอื่ โรงเรียนระดับประถมศึกษา ซึ่งมักเป็นช่วงเวลาของการเร่ิมต้นปัญหาการ ให้ได้ท�ำ ความเข้าใจ และมแี นวทางใหค้ วามรว่ มมอื กับครูในโรงเรียน รังแกกันที่จะทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อโรงเรียนไม่มีการจัดการที่เหมาะสม การใช้คู่มือควรเริ่มต้นศึกษาบทท่ี 1 เพื่อทำ�ความเข้าใจความหมาย จากการส�ำ รวจสถานการณใ์ นปจั จบุ นั หลายขอ้ มลู ตรงกนั วา่ สถติ กิ ารรงั แก ของคำ�ว่า “รังแกกัน” ตามคำ�นิยามสากล แนวทางการดำ�เนินการ กันมีแนวโน้มสูงขึ้นและมีความรุนแรงข้ึน ส่วนหน่ึงเป็นเพราะเพ่ิมช่องทาง ซ่ึงหากจะดำ�เนนิ การใหส้ �ำ เรจ็ ครทู ุกคน รวมถงึ บุคลากรทุกระดบั ในโรงเรียน การรงั แกกนั ทางโลกออนไลน์ (Cyber-bullying) เด็กจ�ำ นวนมากในปจั จุบนั ควรทำ�ความเข้าใจ เพ่ือมีการปรับความเข้าใจ และทัศนคติต่อประเด็น มีความรู้สึกไม่ปลอดภัยในการอยู่ในโรงเรียน หรือมีปัญหาการเข้าสังคมใน เร่ืองการรังแกกันในโรงเรียนให้ถูกต้องตรงกันเสียก่อน อาจใช้ตัวอย่างของ โรงเรียน รวมถึงไม่ได้รับการช่วยเหลือเมื่อถูกรังแก หรือได้รับการช่วยเหลือ โรงเรียนท่ีจัดการการรังแกกันได้ดีจนเกิดเป็นวัฒนธรรมความปลอดภัย ที่ไม่เหมาะสมทำ�ให้การรังแกกันรุนแรงขึ้นหรือเรื้อรังขึ้น ความสำ�คัญต่อการ ในโรงเรียน ซ่ึงเป็นการป้องกันปัญหาอย่างย่ังยืน และศึกษากิจกรรมการ ปอ้ งกนั การรงั แกกนั คอื การปอ้ งกนั การใชค้ วามรนุ แรงในระยะยาว (Violence ป้องกันการรังแกกันในโรงเรียน ทักษะที่จำ�เป็นสำ�หรับครู การจัดการปัญหา prevention) เมอื่ มกี ารรังแกกนั และการสอื่ สารกับผปู้ กครอง ดังนั้น การทำ�ความเข้าใจในเร่ืองการรังแกกันให้ถูกต้องของบุคลากรใน โรงเรียนทง้ั ผ้บู ริหารและครูในโรงเรยี น จงึ เป็นส่ิงจำ�เป็นอยา่ งมาก นอกจากนี้ คมู่ ือปฏบิ ัติส�ำ หรบั การดำ�เนนิ การปอ้ งกนั ก3 และจัดการการรงั แกกนั ในโรงเรยี น

คำ�นยิ ม “คู่มือปฏิบัติสำ�หรับการดำ�เนินการป้องกันและจัดการการรังแกกัน กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมุ่งหวังให้คู่มือฉบับน้ีเกิดประโยชน์ ในโรงเรียน” ฉบับน้ีจัดทำ�ข้ึนสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่พบปัญหา สูงสุดสำ�หรับผู้บริหาร ครู และบุคลากรในโรงเรียน สำ�หรับทำ�ความเข้าใจ สุขภาพจิตเด็กวัยเรียนมีสถิติปัญหาสุขภาพจิตจากปัญหาการรังแกกันมาก ในเรื่องการรังแกกัน และน�ำ ไปประยุกต์ปรบั ใชต้ ามบรบิ ทและสภาพแวดลอ้ ม ขน้ึ และมแี นวโนม้ ทร่ี นุ แรงขนึ้ เพอ่ื เปน็ แนวทางในการปฏบิ ตั แิ กโ่ รงเรยี นตา่ งๆ ของโรงเรียน เพ่ือให้ปัญหาการรังแกกันได้รับการป้องกันและแก้ไข ช่วยให้ ศกึ ษาและน�ำ ไปปรบั ใช้ คมู่ อื ไดร้ วบรวบเนอ้ื หาทส่ี อ่ื สารใหเ้ ขา้ ใจไดง้ า่ ยส�ำ หรบั โรงเรยี นเปน็ สถานทป่ี ลอดภยั และสง่ เสรมิ ตอ่ การพฒั นาศกั ยภาพและการเรยี น ครูและบุคลากรในโรงเรียน พร้อมตัวอย่างกิจกรรมที่คุณครูสามารถนำ�ไป ร้ขู องเดก็ นักเรียนทุกคนอยา่ งแท้จรงิ ปรับใช้กบั เดก็ ไดจ้ รงิ เป็นหน่ึงในผลงานท่ีเป็นความตั้งใจในการป้องกันและแก้ไขปัญหา สุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น ของสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ (นาวาอากาศตรีนายแพทยบ์ ญุ เรอื ง ไตรเรืองวรวัฒน์) อธบิ ดกี รมสขุ ภาพจติ คูม่ อื ปฏิบตั ิสำ�หรบั การดำ�เนินการป้องกัน ค5 และจดั การการรงั แกกันในโรงเรยี น

ค�ำ น�ำ การแกล้ง หรือการหยอกล้อกันในวัยเด็ก มิใช่แค่เรื่องธรรมดาอีกต่อไป ในการจัดทำ� “คู่มือปฏิบัติสำ�หรับการดำ�เนินการป้องกันและจัดการการ ปัจจุบันได้กลายเป็นสาเหตุหน่ึงของการทำ�ร้ายตนเอง ฆ่าตัวตายในเด็กวัย รังแกกันในโรงเรียน” ทีมวิชาการได้ทบทวนข้อมูลวิชาการท้ังจากในและ เรียน ปัญหารูปแบบการรังแกกันที่หลากหลายข้ึน เช่น การทำ�ร้ายร่างกาย นอกประเทศ ถอดบทเรียน และประสบการณ์การดำ�เนินงานจากโครงการ ข่มขู่ เรียกทรพั ย์ แต่การรังแกกันทีพ่ บบ่อยกวา่ คือ การแย่งเพ่ือน ปล่อยขา่ ว และหน่วยงานต่างๆที่ได้ดำ�เนินการเกี่ยวข้องกับการป้องกันการรังแกกันใน ลอื ปฏเิ สธการเขา้ กลมุ่ ท�ำ ใหเ้ พอ่ื นเปน็ ตวั ตลก ปญั หาการรงั แกกนั ในโรงเรยี น โรงเรยี น ถอดองคค์ วามรทู้ งั้ หมดมาเรยี บเรยี ง พฒั นากจิ กรรมใหส้ อดคลอ้ งกบั ของไทยมคี วามชกุ สงู ถงึ รอ้ ยละ40 มเี หตกุ ารณก์ ารลาออกจากโรงเรยี น การฆา่ บรบิ ทโรงเรียนไทย และได้ทดลองดำ�เนินการในโรงเรยี นไทยทม่ี ีบริบทต่างกนั ตัวตาย เขา้ สังคมไมไ่ ดข้ องเด็กทีเ่ ปน็ ผลจากการรงั แกกันมากขึน้ 2 โรงเรียน จนสรปุ เปน็ คู่มือฉบบั น้ี เพอ่ื ใหเ้ ปน็ แนวทางปฏบิ ตั สิ �ำ หรบั โรงเรียน ด้วยความตระหนักถึงปัญหาน้ี สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น ทจี่ ะด�ำ เนนิ การปอ้ งกนั และจดั การการรงั แกกนั ในโรงเรยี น และเชอื่ มโยงกบั กบั ราชนครนิ ทร์ จงึ ด�ำ เนนิ จดั ท�ำ โครงการวจิ ยั พฒั นาโปรแกรมปอ้ งกนั การรงั แกกนั ระบบดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น หรอื การดแู ลสขุ ภาพกายใจเดก็ นกั เรยี นทด่ี �ำ เนนิ ในโรงเรียน โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก แผนงานพัฒนานวัตกรรมเชิงระบบ การอยู่จนพฒั นาเปน็ โรงเรียนทีม่ วี ัฒนธรรมความปลอดภัยได้ เพื่อการสร้างเสริมสุขภาพจิต สำ�นักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม สขุ ภาพ (สสส.) (นางมธรุ ดา สุวรรณโพธ์ิ) หัวหนา้ โครงการป้องกนั การรังแกกันในโรงเรยี น 4ข คู่มือปฏบิ ตั สิ ำ�หรบั การดำ�เนนิ การปอ้ งกัน และจัดการการรงั แกกนั ในโรงเรยี น

สารบญั บทท่ี 1 แค่ไหนทเ่ี รียกว่า “รังแกกัน” 1 บทท่ี 2 วฒั นธรรมความปลอดภยั ในโรงเรยี น 25  การรงั แกกันคืออะไร 1  กระบวนการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในโรงเรียน 25  รูปแบบของการรงั แกกัน 2  การเสริมสร้างวัฒนธรรมการรายงานเมอ่ื พบเห็น 27  รงั แก – ก้าวร้าว – ล้อเลน่ ตา่ งกนั อยา่ งไร 4 การรังแกกันในโรงเรียน  เมื่อไหรท่ กี่ ารล้อเลน่ ...กลายเป็นความรุนแรง 5  ตวั อย่างโรงเรียนทีม่ วี ัฒนธรรมความปลอดภยั ในโรงเรียนชัดเจน 27  ปัจจัยเสย่ี ง ท่สี ่งผลตอ่ การรังแกกนั 7  ผลกระทบจากการรงั แกกัน 8  การระบุเด็กทีร่ งั แก และ เด็กทถี่ กู รังแก 9 บทท่ี 3 การใหค้ วามรู้ ความเขา้ ใจ 29  ใครจะมีส่วนกับการรังแกกนั บา้ ง 10 ทัศนคติทถี่ กู ต้องตอ่ การรงั แกกัน  บุคลากรในโรงเรียน เก่ียวขอ้ งอยา่ งไรกบั การรงั แกกนั  ผ้ปู กครอง มสี ่วนเกยี่ วข้องกันการรงั แกกนั อย่างไร 11  สง่ิ ทคี่ วร (Do) 31  การแกป้ ัญหาการรงั แกกนั แบบทงั้ โรงเรยี น 11  ส่ิงที่ไม่ควร (Don’t) 31 (Whole school approach) 14  เอกสารที่แนะน�ำ ในการสอนทศั นคตทิ ี่ถกู ต้องตอ่ การรงั แก 32  นโยบายตอ่ ต้านการรงั แกกนั ในโรงเรยี น  ตัวอย่างกจิ กรรม ส�ำ หรับเด็กประถมศึกษาตอนต้น 33 แบบ “ทั้งโรงเรยี น” (Whole school policy) 16  วธิ ดี ำ�เนนิ กจิ กรรม รจู้ กั และเขา้ ใจ ไม่รงั แกกนั 34  แบบประเมนิ กลยุทธก์ ารปอ้ งกนั ความรุนแรงในโรงเรยี น  ตวั อย่างกจิ กรรมสำ�หรบั เดก็ ประถมศึกษาตอนปลาย 35 20  วิธดี ำ�เนินกิจกรรม คนละบทบาท 36 6ง คู่มือปฏบิ ัติสำ�หรับการดำ�เนินการปอ้ งกนั และจัดการการรังแกกันในโรงเรียน

บทท่ี 4 ทศั นคตขิ องบุคลากรตอ่ การรังแกกันในโรงเรียน 37  ส่งิ ท่ีควร (Do) 37 บทที่ 6 การจดั การชนั้ เรยี น (Classroom Management) 55  ส่งิ ทไ่ี มค่ วร (Don’t) 38  ลกั ษณะของครทู ม่ี สี ว่ นสง่ เสรมิ วฒั นธรรมการรงั แกกนั ในโรงเรยี น 39  กจิ กรรมเพ่ือปรับทัศนคติ 40  การสร้างวินยั เชิงบวก 55  กิจกรรมท่ี 1 หนา้ ต่างแห่งโอกาส 41  กจิ กรรม รักฉนั รักเธอ 56  กิจกรรมท่ี 2 ฟงั ดว้ ยใจ 43  กจิ กรรม สรา้ งนางฟา้ 57  กิจกรรมท่ี 3 Power walk (ก้าวเดนิ แห่งอำ�นาจ) 45  กลไกของกลมุ่ ทีม่ อี ทิ ธิพลตอ่ การรังแกกัน 57  กิจกรรมที่ 4 ปรอทความรนุ แรง 47  กิจกรรม เขา้ ใจกนั มากข้ึน 59  กิจกรรมท่ี 5 เชอื กฟางประชาธิปไตย 49 บทท่ี 7 ทกั ษะชีวิต พื้นฐานในการป้องกันการรังแกกัน 61 บทที่ 5 การสร้างความสมั พันธร์ ะหวา่ งครูกับนักเรยี น 51  การป้องกัน แก้ไขปัญหาการรงั แกกนั (Problem Solving) 63  กจิ กรรม ปัญหามีทางแก ้ 64  พื้นฐานส�ำ หรบั การสอนด้วยความเอาใจใส่ 52  การควบคมุ อารมณ์ (Emotional Control) 65 (Authoritative Teaching Style)  กิจกรรม ชือ่ อารมณข์ องฉนั 65  ส่ิงทค่ี วร (Do) 52  การส่งเสริมใหเ้ ด็กมีความเข้าใจและเหน็ ใจผ้อู ืน่ (Empathy) 66  สง่ิ ท่ไี มค่ วร (Don’t) 52  กิจกรรม ชือ่ ใจเขาใจเรา 67  ตัวอย่างวธิ กี ารสร้างความสมั พันธ์ท่ีดีกับนกั เรยี น 53  ตัวอย่างกจิ กรรมท่สี ามารถใช้ในชั่วโมงโฮมรูม 54 คู่มอื ปฏิบัติส�ำ หรบั การด�ำ เนนิ การป้องกนั 7จ และจัดการการรงั แกกันในโรงเรยี น

สารบญั (ต่อ) บทท่ี 8 การประสานความร่วมมอื กบั ผู้ปกครอง 69 บทท่ี 10 แนวทางการจดั การปญั หาเม่อื พบการรงั แกกัน 79 เพอื่ ป้องกนั และแก้ไขการรังแกกันในโรงเรียน  ลกั ษณะท่พี บในเดก็ ผูถ้ กู รงั แก ผู้รังแก และผูเ้ หน็ เหตุการณ ์ 79  ความรู้ และเนือ้ หาส�ำ คญั ทีผ่ ู้ปกครองควรได้รับ 69  หลกั สำ�คัญในการจดั การปัญหาหรือจัดกจิ กรรม 80  ขอ้ ควรระวัง 70 เมอื่ พบการรงั แกกัน 80  แหลง่ ขอ้ มูลส�ำ หรบั ประชาสมั พันธแ์ ละสือ่ สารกับผู้ปกครอง 70  การจดั การปญั หาเม่อื พบการรกั แกกันแล้ว 83  แผนการดูแลและจัดกจิ กรรมส�ำ หรับผถู้ กู รังแก 83 บทที่ 9 เด็กทมี่ ีความตอ้ งการพเิ ศษ 71 1. การให้การปรกึ ษารายบคุ คล 84 2. เสรมิ ทกั ษะการแกไ้ ขปญั หา (Problem solving skills) 85  การจดั กจิ กรรมในการช่วยเหลือเด็กพเิ ศษ 71 กจิ กรรม “ถา้ ถูกรังแก เราจะทำ�อย่างไร 85  แนวทางในการจดั กจิ กรรม 71 3. เสรมิ ทักษะการเห็นคณุ คา่ ในตนเอง (Self-Esteem) 86  ส่ิงท่ีสามารถฝกึ ใหเ้ ดก็ มคี วามร้สู กึ เก่ยี วกบั ตนเอง 86 ในทางท่ดี ีข้ึนกว่าเดิม 86  สง่ิ ที่ควร (Do) 87  สิง่ ทไ่ี ม่ควร (Don’t) 88  กจิ กรรม “การเห็นคณุ ค่าในตนเอง” 89  วธิ ีจัดการกบั ผ้รู ังแกผู้อ่นื 90 1. แนวทางการจดั การ 2. เสริมทกั ษะการจัดการความโกรธ (Anger management) ช ค่มู อื ปฏบิ ตั สิ �ำ หรับการดำ�เนินการปอ้ งกัน และจัดการการรังแกกันในโรงเรียน



1บทที่ การเขา้ ใจวา่ การรงั แกกนั (bullying) คอื อะไร คอื สว่ นทสี่ �ำ คญั ทจ่ี ะท�ำ ใหค้ รเู ขา้ ใจวา่ พฤตกิ รรมใดของ เด็กที่ครู ควรมีส่วนในการจัดการหรือป้องกัน ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือ ครูมักคิดว่า “เป็นการเล่นกัน ควาวมัฒปนลธรอรดม ภัย ธรรมดา” “เป็นเร่ืองของเด็กๆ ไม่เกี่ยวกับครู” “ให้เด็กจัดการปัญหากันเอง” เพราะการรังแกกัน มหี ลายรปู แบบ สง่ ผลใหก้ ารรงั แกกนั รนุ แรงขน้ึ หรอื เรอื้ รงั จนเกดิ ผลกระทบทางจติ ใจและพฤตกิ รรมระยะยาว ในโรงเรียน กบั เดก็ ท้ังท่เี ปน็ ผู้ถูกรงั แกและผู้รังแก การรงั แกกนั คอื อะไร เหนอื กวา่ การรังแกตามนยิ ามสากล มีลกั ษณะดงั นี้ ทำ�รา้ ย ซํ้าๆ • เปน็ พฤติกรรมทที่ ำ�ร้ายคนอื่น การรงั แก เปน็ พฤตกิ รรรมทท่ี �ำ ใหเ้ ดก็ ทเ่ี ปน็ ผถู้ กู รงั แกเกดิ ความเจบ็ ปวด ค่มู อื ปฏบิ ตั สิ ำ�หรับการด�ำ เนนิ การป้องกนั ตอ่ รา่ งกาย เกดิ ผลกระทบทางจติ ใจ รสู้ กึ กลวั ทกุ ข์ หรอื กระทบตอ่ การเขา้ สงั คม และจดั การการรงั แกกนั ในโรงเรยี น หรือการเรียน ทำ�ลายชื่อเสียง หรือแย่งทรัพย์สิน หรือก่อให้เกิดความรู้สึก ไม่ปลอดภัยในโรงเรียน โดยอาจเกิดโดยความต้ังใจหรือไม่ตั้งใจของเด็กผู้รังแก ก็ได้ • ผูร้ ังแกมีอ�ำ นาจเหนือกวา่ ผู้ถกู รังแก การรังแกกันมักเกิดขึ้นโดยมีพ้ืนฐานมาจากผู้รังแกมีอำ�นาจบางอย่าง เหนือกว่าอีกฝ่าย เช่น รูปร่างใหญ่กว่า แข็งแรงกว่า อายุมากกว่า ฉลาดกว่า มีกลุ่มเพ่ือนมากกว่า ฐานะดีกว่า ฐานะทางสังคมสูงกว่า หรือมีความแตกต่าง ทางศาสนา เชื้อชาติ เพศ เด็กที่มักพบเป็นเป้าหมายของการถูกรังแกคือ เด็กเพศหลากหลาย เด็กพิการและเด็กท่ีมีความต้องการพิเศษ หรือเด็กที่มี รูปลกั ษณ์แตกตา่ งจากเพอ่ื น 1

รปู แบบของการรงั แกกนั รูปแบบการรงั แกกนั พฤติกรรม ตัวอยา่ งพฤตกิ รรม การรงั แกกนั แบบเผชิญหนา้ การรังแกกนั ทางร่างกาย - ตบตี ชกต่อย เตะ ถบี หรือทางตรง (face-to-face ผลกั ถ่มนาํ้ ลาย bullying; direct bullying) - ขโมยของ และท�ำ ลาย • รูปแบบของการรังแกกันที่พบมากที่สุด คือ การ  มีพฤตกิ รรมรังแก ทรพั ยส์ นิ รงั แกกนั ทางวาจา เชน่ พดู ลอ้ เลยี น ลอ้ ชอ่ื รองลงมา อย่างชดั เจน ตอ่ หนา้ - เดก็ ผู้ชายแกลง้ เดก็ ผู้หญิง คอื ทางความสมั พนั ธ์ (เชน่ ไมค่ บ ตดั ออกจากกลมุ่ )  ผู้ใหญส่ ังเกตเห็น เชน่ เปดิ กระโปรง ทางร่างกาย และทางสังคมออนไลน์ (Evans, ไดง้ ่ายท่ีสุด et. al., 2014) • ผู้ชายมีพฤติกรรมรังแกผู้อ่ืนมากกว่าผู้หญิง แต่ การรังแกกันทางวาจา - ตง้ั ฉายา เรียกชือ่ บุพการี ผูห้ ญงิ มักใชว้ ิธีรังแกแบบไม่เปิดเผย มากกว่าผูช้ าย - พดู ถงึ ในทางเสยี หายหรอื (CESE, 2017) ท�ำ ใหอ้ บั อาย - พูดล้อเลยี นจดุ อ่อนหรอื ปมด้อย เชน่ รูปลกั ษณ์ สีผิว เพศ เพศสภาพ - พูดเสียดสีท�ำ ใหข้ ายหน้า - พดู ด่าหยาบคาย พดู ข่มขู่ คกุ คาม 2 ค่มู อื ปฏบิ ตั ิสำ�หรบั การด�ำ เนนิ การป้องกนั และจดั การการรังแกกันในโรงเรยี น

รูปแบบการรงั แกกนั พฤตกิ รรม ตัวอย่างพฤตกิ รรม การรงั แกกันเกดิ ข้ึนมากในช่วงอายุใด • การรังแกกันจะพบได้มากที่สุดและ การรังแกกนั แบบไม่เปดิ เผย การรงั แกกันทางสังคม - ตบตี ชกตอ่ ย เตะ ถบี ผลกั ถม่ นาํ้ ลาย รุนแรงที่สุดในช่วงท่ีเด็กเปล่ียนผ่านจากช้ันประถม (covert bullying; indirect หรอื ความสัมพนั ธ์ - ขโมยของ และท�ำ ลายทรัพย์สนิ ศึกษาไปสู่มัธยมศึกษา และมีแนวโน้มลดลงในชว่ ง bullying) - เด็กผชู้ ายแกลง้ เด็กผูห้ ญงิ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย (CESE, 2017)  เปน็ การรงั แกกันที่ปกปดิ การรังแกกันทางวาจา เช่น เปดิ กระโปรง • จ า ก ก า ร ศึ ก ษ า ค ว า ม ชุ ก ข อ ง ก า ร ไม่ให้ผู้ใหญร่ ับรู้ รังแกกันในระดับประถมศึกษาตอนปลายและ  แมพ้ ฤติกรรมเหล่านี้ - การสอ่ื สารผา่ นโลกออนไลนท์ ท่ี �ำ ให้ มัธยมศึกษาตอนต้นในหลายประเทศ พบว่ากลุ่ม จะไมร่ ุนแรง แต่สง่ ผล ผอู้ น่ื หงดุ หงดิ ใจ คกุ คาม หรืออับอาย เด็กมีประสบการณ์ที่เก่ียวข้องกับการรังแกกัน กระทบทร่ี นุ แรง - การใชอ้ เี มล โทรศัพท์ ส่งขอ้ ความ (เหยอ่ื คนทร่ี งั แก และทั้งสองบทบาท) อยรู่ ะหวา่ ง ต่อเหยื่อมาก หรือหนา้ เพจทางอนิ เทอร์เนต็ รอ้ ยละ 20-30 (CESE, 2017; Evans, et. al., 2014) ทีค่ ุกคาม ทำ�รา้ ย ท�ำ ใหอ้ บั อาย หรือทำ�ใหเ้ สอื่ มเสียช่อื เสยี ง เสียความสมั พนั ธ์ หรือทำ�ให้ ไมก่ ล้าเข้าสงั คม - การปลอ่ ยข่าวลอื เหยียดหยาม ดถู กู ใสร่ า้ ย วา่ รา้ ย ผอู้ น่ื ทางสอ่ื สงั คมออนไลน์ - การแชรข์ ้อมลู ภาพถา่ ย หรอื วิดโี อ สว่ นตัวของผู้อืน่ - ขม่ ขวู่ า่ จะท�ำ ร้ายผู้อ่นื ผา่ น ทางออนไลน์ คมู่ อื ปฏบิ ัตสิ ำ�หรบั การดำ�เนนิ การป้องกัน 3 และจัดการการรงั แกกันในโรงเรียน

รงั แก – ก้าวรา้ ว – ล้อเลน่ ต่างกันอยา่ งไร กา้ วร้าว เพราะเด็กยังไม่เข้าใจว่าการรังแกกัน การล้อเล่น หรือความก้าวร้าว การล้อเล่น เป็นไปได้ทั้งพฤติกรรมทางบวกและลบ การล้อเล่น แตกตา่ งกนั อย่างไร เดก็ หลายคนอยู่บ้านไมไ่ ด้มีเดก็ ในวยั เดียวกัน ไม่มีทักษะ ทางลบถอื เปน็ การรงั แกแบบหนงึ่ การเลน่ การเขา้ สังคมทีเ่ หมาะสม ครจู งึ เปน็ ผู้ทมี่ บี ทบาทสำ�คัญในการช่วยให้ เดก็ เกิดความเข้าใจ ซงึ่ ยิง่ เด็กเข้าใจตัง้ แต่อายุน้อยเทา่ ไรกย็ ิ่งดีเท่าน้ัน การล้อเลน่ ทางบวก การลอ้ เลน่ ทางลบ รงั แก - สรา้ งความสนทิ สนม ใกลช้ ดิ - ท�ำ ให้อีกฝ่ายอบั อาย - คนถูกแกลง้ ไมร่ ูส้ กึ แย่ ไมก่ ลา้ เข้ากลุ่ม การรังแก ท้ังทางกาย วาจา สื่อสังคมออนไลน์ และช่องทางอ่ืนๆ การ - มักใชก้ ับคนที่สนทิ สนม หรอื วิพากษ์วจิ ารณ์ รงั แกอาจเปน็ ลกั ษณะการใชพ้ ฤตกิ รรมกา้ วรา้ วทผ่ี รู้ งั แกตง้ั ใจท�ำ รา้ ยใหอ้ กี ฝา่ ย - ช่วยให้สนิทกนั มากขน้ึ - คนถูกลอ้ เล่นรู้สกึ แย่ เจบ็ ปวด หรืออาจดูเหมอื นไม่ไดใ้ ชค้ วามกา้ วร้าว เชน่ การนินทาวา่ ร้าย ปล่อย ขา่ วลอื ไมร่ บั เขา้ กลมุ่ ท�ำ งาน ยใุ หเ้ พอื่ นมองไมด่ ี รวมไปถงึ พฤตกิ รรมรงั แกผา่ น - มักท�ำ กบั คนท่ไี มส่ นิท สอ่ื สงั คมออนไลน์ เช่น การโพสตข์ ้อความหรือภาพลอ้ เลียน - ท�ำ ให้ความสมั พันธ์แยล่ ง กา้ วรา้ ว พฤติกรรมก้าวร้าว อาจมาจากความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ทางตรงหรือทาง อ้อมก็ได้ พฤติกรรมก้าวร้าวแสดงออกทางกาย วาจา สังคม ความสัมพันธ์ ซงึ่ สง่ ผลกระทบกบั รา่ งกาย จติ ใจ ภาวะอารมณ์ และสขุ ภาพจติ ของผถู้ กู รงั แก 4 คมู่ ือปฏบิ ัติส�ำ หรบั การดำ�เนนิ การป้องกัน และจดั การการรังแกกนั ในโรงเรยี น

เมอื่ ไหร่ที่การล้อเลน่ ...กลายเป็นความรุนแรง กจิ กรรม จบั คู่พฤตกิ รรม และความหมาย ทที่ ่านเห็นว่า ตรงกนั มากที่สดุ • การล้อเก่ียวกับรูปลักษณ์ภายนอก เป็นการล้อเล่นที่สร้างความเจ็บ รังแก A การลอ้ เกยี่ วกบั รปู ลกั ษณภ์ ายนอก หรอื เรอื่ งอนื่ ๆ ทที่ �ำ ให้ ปวดกับคนท่ีถูกล้อได้มากและเกิดบ่อยในสังคมไทย เนื่องจากมีการยอมรับ กา้ วรา้ ว คนท่ถี กู ล้อ รู้สกึ แย่ ทกุ ข์ใจ หรอื อบั อายจากการถกู ลอ้ ในสังคม และคนที่ถูกล้อมักไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ โดยเฉพาะเม่ือเกิดกับ เดก็ ๆ หากไม่มีผ้ใู หญ่ช่วยจัดการ มักจะสง่ ผลระยะยาวกับเดก็ ทีถ่ ูกล้อเลยี น พฤตกิ รรมกา้ วรา้ วทผ่ี กู้ ระท�ำ ตง้ั ใจท�ำ รา้ ยใหอ้ กี ฝา่ ยเจบ็ ปวด • การล้อเลน่ จะกลายเปน็ รังแกเม่ือคนทีถ่ ูกล้อ รสู้ ึกแยห่ รอื ทุกข์ใจจาก หรืออาจดูเหมือนไม่ได้ใช้ความกา้ วร้าว เชน่ การสร้าง การถกู ล้อ B ความเดอื ดรอ้ นทางสงั คมและความสัมพนั ธ์ เชน่ การ นนิ ทาวา่ รา้ ย ปลอ่ ยข่าวลือ กันไม่ใหเ้ ขา้ กลุ่ม รวมไปถึง เมื่อไหรท่ ่ีการล้อเล่น...กลายเป็นการรงั แก กระท�ำ ผา่ นสือ่ สงั คมออนไลน์ คนล้อมีพลงั / คนถูกลอ้ การกระท�ำ ด้วยความต้ังใจหรือไมต่ ้งั ใจ ทางตรงหรอื อำ�นาจมากกว่า รสู้ ึกแยห่ รือเจ็บปวด ลอ้ เลน่ ทางอ้อมกไ็ ด้ ซ่งึ อ่านแสดงออกทางกาย วาจา สงั คม ทางบวก C ความสัมพนั ธ์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบกบั รา่ งกาย จิตใจ ภาวะอารมณ์ และสขุ ภาพจติ ของผเู้ กี่ยวขอ้ ง ล้อเล่น D การลอ้ เล่นทีม่ ักใชก้ ับคนที่สนิทสนม ช่วยให้สนทิ กนั มาก ทางลบ ขึ้น โดยคนถกู ลอ้ ไมร่ ูส้ ึกแย่ คนลอ้ ตงั้ ใจ การล้อนั้น เฉลย ท�ำ รา้ ยหรือทำ�ให้ เกดิ ข้ึนซา้ํ ๆ รงั แก ค่กู ับ B, ก้าวรา้ ว คู่กับ C, ล้อเลน่ ทางบวก คกู่ ับ D และลอ้ เลน่ ทางลบ คกู่ บั A อีกฝ่ายรู้สึกแย่ ดังน้ัน *** การลอ้ เลน่ ทางลบ หากเกิดซาํ้ ๆ ถือเปน็ การรังแกแบบหนึ่ง*** คมู่ อื ปฏิบัติส�ำ หรับการด�ำ เนนิ การปอ้ งกนั 5 และจดั การการรงั แกกนั ในโรงเรียน

การแยกความต่าง ลอ้ เลน่ กา้ วร้าว รังแก ระหว่าง ลอ้ เลน่ กา้ วรา้ ว และรังแก ประเด็นค�ำ ถาม ลอ้ เลน่ ก้าวรา้ ว รงั แก เด็กทัง้ สองฝ่ายมีสว่ น ในพฤติกรรมนใี้ ชห่ รอื ไม่ ค่อนขา้ งใช่ ไมน่ ่าใช่ ไม่ ทัง้ สองฝา่ ย เทา่ เทียมกนั คนหน่ึงมพี ฤตกิ รรม คนหนึ่งรงั แก เดก็ ทง้ั สองดูมีความสุขรว่ มกัน หรอื ารมณก์ า้ วรา้ ว อกี คนเปน็ เหยือ่ หรือไม่ ค่อนขา้ งใช่ ไม่ ไม่ ท้งั สองมีความสมั พนั ธท์ ่ดี แี ละใกล้ชิด คนหนง่ึ มพี ฤติกรรม ก้าวรา้ วรุนแรง คนหนึ่งรสู้ กึ แย่เศร้า หรือบาดเจ็บ พฤติกรรมนี้สนุกสนานหรือไม่ ค่อนขา้ งใช่ ไมน่ า่ ใช่อาจกอ่ ให้เกดิ ไม่ ทง้ั สองคนสนุกร่วมกนั ความบาดหมาง หรอื น่าอับอาย ผู้รงั แกมกั ต้ังใจให้อีกฝา่ ยเกิดความกลวั เรือ่ งแบบน้เี คยเกิดข้ึนกับเด็ก ใช่ เป็นไปได้ ใช่ แตล่ ะคนมาก่อนหรือไม่ เกิดเมอื่ มคี วามคนุ้ เคยกนั อาจเกดิ ครงั้ เดยี วก็ได้ การรังแกมักเกิดข้นึ ซํา้ ๆ เดก็ แต่ละคนมีพลังหรืออำ�นาจ ไม่ เป็นไปได้ ใช่ ท่ตี า่ งกนั หรือไม่ แสดงถึงความสนิทสนมและความรกั มกั เกิดในความสัมพันธ์ทไี่ มส่ นทิ กัน การรงั แกกนั มฝี า่ ย ท่ไี ดเ้ ปรยี บ/เสียเปรียบเสมอ 6 คมู่ อื ปฏบิ ัตสิ �ำ หรับการด�ำ เนินการปอ้ งกัน และจัดการการรงั แกกนั ในโรงเรยี น

ปจั จัยเส่ยี งทส่ี ่งผลต่อการรังแกกนั เด็กบางคนมีความเสย่ี งท่ีจะกลายเป็นผู้รังแกและผูถ้ กู รังแกมากกวา่ เดก็ ท่วั ๆไป ทั้งน้ี อาจไม่มีปัจจัยใดท่ี * เดก็ ท่มี ลี ักษณะพิเศษ (exceptional บ่งชี้ถึงความเส่ียงตอ่ การรังแกท่ชี ดั เจน แตอ่ าจข้นึ อยู่กบั ปจั จัยหลายๆ ดา้ น ท้ังตัวเดก็ เอง ครอบครัว เพือ่ น child) หมายถึง เด็กท่ีมีลักษณะบาง โรงเรียน และประสบการณใ์ นโรงเรยี นเดมิ (Pepler & Craig, 2000) อย่างทแ่ี ตกต่างจากเด็กส่วนใหญโ่ ดย ทั่วไป เชน่ สตปิ ัญญา พฒั นาการ ปจั จยั ผ้รู งั แก ผถู้ กู รังแก การเรียนรู้ ตวั อยา่ งเช่น เดก็ พิการ ตัวเด็ก - เด็กเล้ียงยาก ปรบั ตวั ยาก - เด็กข้ีกงั วล ขกี้ ลวั เด็กพัฒนาการลา่ ชา้ เดก็ ออทสิ ตกิ - มปี ญั หาสมาธสิ ้ัน จดจ่อไดไ้ ม่นาน - ปัญหาการปรับตวั หรอื ขาดทักษะทางสงั คม เด็กที่โตในครอบครัวที่มีการเล้ียงดูของ ครอบครัว - ซน อยไู่ มน่ ิ่ง - แยกตัว ไมเ่ ข้าสงั คม พ่อแม่แบบใช้อำ�นาจ (Authoritarian เพื่อน - มปี ญั หาการเรียน ขาดเรยี นบอ่ ย - เดก็ ท่มี ลี กั ษณะพิเศษ* parenting style) ที่เข้มงวดและมีการ - มีความกา้ วร้าวในครอบครวั - ผูป้ กครองทป่ี กปอ้ งมากเกินไป ลงโทษรุนแรง ส่งผลกระทบให้เด็กมัก - การเลี้ยงดูทีไ่ ม่เหมาะสม (overprotective parents) ขาดความมน่ั ใจ ไมก่ ลา้ ตัดสินใจ ซง่ึ เป็น - ความเครียดในครอบครัว - ความเครียดในครอบครัว ความเสีย่ งตอ่ การถูกรงั แกไดง้ ่าย หรือ - เพ่อื นก้าวรา้ วรุนแรง - เพื่อนปฏิเสธ ไมใ่ หเ้ ข้ากลมุ่ กลายเป็นเด็กท่ีใช้ความรุนแรงกับเพ่ือน - เพื่อนปฏเิ สธ ไม่ใหเ้ ขา้ กลมุ่ - ไม่มเี พ่ือน แยกตัว ทโ่ี รงเรียน - เดก็ ชายขอบ เดก็ ชมุ ชนแออดั เดก็ ชนกลมุ่ นอ้ ย - เดก็ ชายขอบ เดก็ ชมุ ชนแออดั เด็กชนกลมุ่ นอ้ ย โรงเรยี น - โรงเรียนเพิกเฉยตอ่ พฤตกิ รรมรุนแรงและ - ขาดการรับร้พู ฤติกรรมการรังแก รงั แกกันในหมนู่ ักเรยี น - ขาดการสอื่ สารกบั เด็กท่ถี ูกรังแก - เดก็ ท่รี ังแกผอู้ ื่นไม่ถกู จดั การอยา่ งสมาํ่ เสมอ - เด็กทถี่ ูกรังแกไม่รู้สกึ วา่ โรงเรยี น - ใชว้ ิธีจดั การท่ีทำ�ใหเ้ ดก็ แปลกแยกจากคนอ่ืน จะช่วยได้ หรอื โรงเรียนไมเ่ ปดิ โอกาส หรือดเู ป็นตวั ตลก ใหเ้ ดก็ ท่ีถูกขอความช่วยเหลอื คู่มอื ปฏบิ ตั สิ ำ�หรับการด�ำ เนินการป้องกนั 7 และจัดการการรังแกกันในโรงเรยี น

ผลกระทบจากการรงั แกกนั เด็กที่เก่ียวข้องกับการรังแกกัน ไม่ว่าจะเป็น ผู้ท่ีถูกรังแก ผู้รังแก หรือเป็นท้ังสองบทบาท มีแนวโน้มท่ีจะมีปัญหาสุขภาพจิตมากกว่าเด็กท่ัวไป (Evans, et.al., 2014) โดยปัญหาสขุ ภาพจติ ท่ีพบบ่อยจากการรงั แกกัน ดงั ตารางตอ่ ไปน้ี ผรู้ ังแก ผ้ถู ูกรงั แก • ปญั หาพฤติกรรม เช่น ต่อตา้ นสงั คม เกเร • ปัญหาทางอารมณ์จติ ใจ ผู้ถูกรังแกอย่างต่อเน่ือง มีแนวโน้มที่จะ • กา้ วร้าว • วติ กกงั วล เ ช่ื อ ว่ า ส่ิ ง ท่ี เ กิ ด ข้ึ น น้ั น อ ยู่ น อ ก เ ห นื อ ก า ร • กระทำ�ผิดกฎโรงเรยี น ผดิ กฎหมาย • มอี าการทางกายที่มาจากปญั หาอารมณ์จิตใจ ควบคุมของตัวเอง ตัวเองไม่สามารถแก้ไข • มีประสบการณม์ แี ฟนก่อนวยั อันควร (somatization) อะไรได้ และส้ินหวัง (Radliff, Wang & • พฤติกรรมคกุ คามทางเพศ • มีพฤติกรรมแยกตัว Swearer, 2015) ซ่ึงหากคนรอบข้าง เช่น • ปัญหาการเรยี น ออกจากโรงเรยี น • ตกเป็นเหยอื่ การคุกคามทางเพศ พอ่ แม่ ครู ไมย่ นื่ มอื ชว่ ยเหลอื จะยง่ิ ท�ำ ใหเ้ ดก็ เกดิ • ปัญหาทางอารมณจ์ ติ ใจ เชน่ วติ กกังวล • กา้ วร้าว ความรสู้ กึ หมดหวงั และซมึ เศรา้ น�ำ ไปสคู่ วามคดิ • ตกเปน็ เหย่ือของการรงั แก • เพือ่ นๆ มองว่าเป็นคนท่ีนา่ แกล้ง ไม่อยากมีชีวติ อยู่ หรือคดิ ฆา่ ตัวตายได้ • มภี าพลักษณ์/ ฉายาที่ไม่ดีในหมูเ่ พ่อื น หรือถกู แกล้งงา่ ยๆ • มีปัญหาสุขภาพจิตต่อเนอ่ื งจนถึงวัยผูใ้ หญ่ • มปี ญั หาที่โรงเรียน เชน่ ไมไ่ ปโรงเรียน ไม่มีสมาธิในการเรยี น ออกจากโรงเรียน ผู้ถูกรังแกอย่างตอ่ เนื่อง มีแนวโนม้ ท่จี ะเชอื่ ว่าสิง่ ท่เี กดิ ขึน้ น้ันอยนู่ อกเหนอื การควบคุมของตัวเอง ตวั เองไมส่ ามารถแกไ้ ขอะไรได้ และสนิ้ หวงั (Radliff, Wang & Swearer, 2015) ซงึ่ หากคนรอบขา้ ง เชน่ พอ่ แม่ ครู ไมย่ น่ื มอื ชว่ ยเหลอื จะยงิ่ ท�ำ ใหเ้ ดก็ เกดิ ความรสู้ กึ หมดหวงั และซมึ เศรา้ น�ำ ไปสคู่ วามคดิ ไมอ่ ยาก มชี ีวิตอยู่ หรือคิดฆ่าตัวตายได้ 8 ค่มู ือปฏบิ ตั ิสำ�หรับการดำ�เนนิ การปอ้ งกัน และจดั การการรังแกกนั ในโรงเรียน

การระบเุ ด็กทรี่ ังแก และ เดก็ ทถ่ี กู รงั แก การดูแลช่วยเหลือเด็กท่ีเก่ียวข้องกับการรังแกกัน สามารถพิจารณาจาก ค�ำ ถามง่ายๆ ดังนี้  การรงั แก หรอื การถกู รงั แก รนุ แรง หรอื ไม่ (สถานการณน์ น้ั กอ่ ใหเ้ กดิ ความบาดเจบ็ ทางกาย หรือการพดู ท่กี ้าวร้าวรุนแรง)  การรงั แกหรอื การถกู รงั แก เกดิ ขนึ้ บอ่ ย หรอื ไม่(สถานการณน์ นั้ เกดิ ขนึ้ ในชวี ิตประจ�ำ วนั ของเด็กบ่อยๆ หรอื ไม่)  การรงั แก หรอื การถกู รงั แก เกดิ ขนึ้ หลายแหง่ หรอื ไม่ (สถานการณน์ นั้ เกิดขนึ้ ในหลายๆ ท่ี เชน่ บา้ น โรงเรยี น ชุมชน)  การรังแก หรอื การถกู รังแก เกิดข้นึ เรื้อรัง หรือไม่ (ปญั หานี้เกดิ ขึ้น มายาวนานหรือไม่ เชน่ ต้ังแต่เดก็ เลก็ อนบุ าล) รนุ แรง เสยี่ งนอ้ ย  ถ้าการรงั แกกันไมถ่ กู จัดการ เดก็ จะเขา้ ใจวา่ การรงั แกกันเป็นเรือ่ งท่ี บอ่ ย เสยี่ งปานกลาง ทำ�ได้ ผู้ใหญ่ยอมรับ และเด็กที่เป็นผู้รังแกจะกล้าท่ีจะรังแกมากข้ึน เสี่ยงสงู หลายท่ี โดยไม่กลัวผลทีต่ ามมา  ผรู้ งั แก เรยี นรวู้ า่ การใชอ้ �ำ นาจและความกา้ วรา้ ว น�ำ ไปสกู่ ารเปน็ หวั โจก เพื่อนๆ ก็จะเรียนร้ทู ี่จะยอมตามหัวโจกเพอ่ื จะไดร้ ู้สึกปลอดภยั  ผถู้ กู รงั แก เรยี นรวู้ า่ ไมม่ ใี ครชว่ ยเหลอื สนิ้ หวงั สมยอม และถกู เพอื่ นๆ มองในทางลบ เพื่อนๆ เองกเ็ รียนรวู้ ่าเดก็ เป็นตัวปัญหา เร้ือ รัง ค่มู อื ปฏบิ ตั สิ �ำ หรบั การดำ�เนินการปอ้ งกนั และจดั การการรังแกกันในโรงเรยี น 9

ใครบ้างทม่ี ีสว่ นเก่ยี วข้องกับการรังแกกนั เพอ่ื น มสี ว่ นตอ่ การรงั แกกนั อยา่ งไร บุคลากร เพือ่ น เพอ่ื น มบี ทบาทส�ำ คญั มากในสถานการณก์ ารรงั แกกนั ไมว่ า่ จะเปน็ ผรู้ ว่ ม ในโรงเรยี น รงั แก ผู้ช่วยเหลือ คนดู และผู้เข้าไปยับย้ังการรงั แก  เพอ่ื น ถอื เป็นผทู้ ีม่ ีสว่ นสง่ เสรมิ ให้เกดิ การรงั แกกนั โดยไม่ร้ตู ัวได้ เช่น เด็ก การท�ำ เฉย ไม่เขา้ ไปชว่ ย ผรู้ ังแก/ผ้ถู กู รงั แก  กลุ่มเด็กทั่วไปผู้เห็นเหตุการณ์มีส่วนสำ�คัญในการสร้างวัฒนธรรม ทว่ี า่ การรังแกกนั เป็นเรอ่ื งธรรมดา ยอมรับได้ หรอื กระทงั่ เปน็ เร่ืองบนั เทิง ผ้ปู กครอง สังคม  เพื่อนเปรียบเหมือนเป็นผู้ชมในละครของการรังแกกัน เพราะ ความก้าวรา้ วมักดงึ ดูดให้ผูช้ มรูส้ กึ ตื่นเตน้ และนา่ สนใจ งานวิจัยพบว่า ...  ผู้รังแก จะย่ิงได้รับการเสรมิ พลงั เมอ่ื เพื่อนๆ สนใจ ยอมเขา้ เป็นพวก • เดก็ และวยั รนุ่ สว่ นใหญ่ ไมช่ อบและรสู้ กึ ไมด่ เี มอื่ พบเหน็ การรงั แกกนั เลียนแบบพฤติกรรม เคารพย�ำ เกรง และไม่มีใครต่อต้าน • แตม่ ีเพียงส่วนน้อย ท่จี ะเขา้ ไปหา้ ม หรือพยายามยตุ กิ ารรังแก  ผู้ถูกรังแก จะย่ิงรู้สึกถูกตอกยํ้าบทบาทความเป็นเหยื่อ เม่ือเพื่อนๆ • การรังแกกนั ส่วนใหญ่ พบเหน็ ไดใ้ นช่วงพัก ที่สนามเดก็ เล่น ขาดความเหน็ อกเหน็ ใจ ไมม่ ใี ครชว่ ย และรสู้ กึ ว่าเพ่อื นๆ ไม่ชอบ  เพ่ือนท่ีเข้าข้างกับผู้รังแก อาจเพราะความคุ้นชินและกลายเป็น คนก้าวร้าวไปด้วย อาจรู้สึกว่ามีคนคุ้มครองและมีสถานะทางสังคมสูงข้ึน ความสัมพนั ธข์ องกลมุ่ ผ้รู งั แกจะเหนียวแนน่ ข้ึนผา่ นการรวมตัวเพอื่ โจมตีผูอ้ ื่น  เพอื่ นท่เี ขา้ ข้างผถู้ ูกรงั แก มีความเสีย่ ง เพราะอาจกลายเป็นเหยื่อถกู รงั แกเปน็ รายต่อไป 10 คมู่ ือปฏิบัตสิ ำ�หรับการดำ�เนนิ การป้องกัน และจัดการการรงั แกกนั ในโรงเรยี น

บคุ ลากรในโรงเรยี น เกยี่ วขอ้ งอยา่ งไรกบั การรงั แกกนั ผู้ปกครอง มสี ่วนเกี่ยวขอ้ งกันการรังแกกันอย่างไร ครู มีบทบาทสำ�คญั อย่างมากในการสรา้ งวฒั นธรรมในหอ้ งเรียน มกี าร เด็กที่ถูกรังแกส่วนใหญ่เล่าให้พ่อแม่/ผู้ปกครองฟัง แต่เด็กท่ีรังแกผู้อ่ืน ศึกษาพบว่า ครูท่ีแสดงออกว่าพยายามช่วยเหลือและจัดการไม่ให้มีการ มีส่วนน้อยท่ีบอกให้ผู้ปกครองรับรู้ พ่อแม่ผู้ปกครองอาจเป็นตัวส่งเสริมให้ รังแกกันในห้องเรียนมีส่วนช่วยส�ำ คัญ ในขณะท่ี ครูท่ีเพิกเฉยหรือไม่แสดง เกิดการรังแกกนั ในโรงเรียนได้ หากมีวิธีการเลย้ี งดู ความเชอ่ื ทไี่ มถ่ กู ตอ้ ง ดังนี้ ท่าทีเข้าไปช่วยเหลือเด็กที่ถูกรังแก ซ่ึงเป็นการส่งเสริมการรังแกกัน  การรังแกกนั เปน็ เรื่องปกติ เปน็ สว่ นหน่ึงของการเติบโต ในทางออ้ ม (CESE, 2017)  เดก็ ทรี่ งั แกคนอ่ืน จะเลิกท�ำ ไปเองเมอื่ โตข้นึ  วิธีท่ดี ีทส่ี ุด คือการปล่อยใหเ้ ดก็ ไดแ้ ก้ปัญหาดว้ ยตวั เอง เด็กควรได้ ยงิ่ ครแู ละผ้ใู หญใ่ นโรงเรียน เรียนรู้วา่ คนเราตอ้ งชว่ ยตวั เอง ไมส่ อดส่องและเขา้ ไปขดั ขวาง  ถา้ ลูกฉนั สู้กลับสกั ครั้ง การรังแกกันกจ็ ะไม่เกิดอกี การรังแกกนั จะย่งิ เกดิ บ่อยข้นึ  ฉนั ไม่แจง้ ทโ่ี รงเรยี น เพราะลูกขอรอ้ งใหเ้ ก็บเป็นความลบั เพราะกลัวว่าสถานการณจ์ ะยงิ่ แย่ลง ครสู ว่ นใหญจ่ ะเขา้ ไปจัดการ หากเหน็ วา่  ลกู ฉันไมม่ วี ันไปรังแกผอู้ ่นื เด็กรังแกกันที่ชดั เจน แตย่ งั มีการรังแกกนั ทผี่ ูใ้ หญ่ไมเ่ ห็นชัดเจน เชน่ ทางวาจา ความสมั พันธ์ สังคม ออนไลน์ ท่พี บบ่อยกว่า และเรือ้ รังกวา่ คมู่ อื ปฏบิ ตั ิสำ�หรบั การด�ำ เนนิ การปอ้ งกัน 11 และจดั การการรังแกกันในโรงเรยี น

แนวทางการเลย้ี งดูท่อี าจสง่ เสริมให้เกดิ การรงั แกกนั กิจกรรม ผปู้ กครอง มสี ่วนเกย่ี วขอ้ งกนั การรังแกกันอยา่ งไร ลกั ษณะ เดก็ ผู้รังแก เด็กผถู้ ูกรังแก วิธีการ จงกาเครื่องหมาย  ในข้อท่ีเป็นความเชื่อท่ีไม่ถูกต้อง และกา การเลีย้ งดู เครอื่ งหมาย  ในข้อทค่ี วามเช่อื ถกู ตอ้ งเหมาะสม ของพ่อแม่ - มีตวั อยา่ งของการใชพ้ ลงั - ไมส่ ง่ เสริมใหเ้ ดก็ รูจ้ กั ผปู้ กครอง อ�ำ นาจและความก้าวรา้ ว ชว่ ยเหลอื ตัวเอง  หรือ  ผู้ปกครอง มสี ่วนเกยี่ วขอ้ งกันการรังแกกันอย่างไร ในบ้าน - ไมส่ ง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ เขา้ สงั คม และ - ไม่มีการตัง้ กฎเกณฑ์หรอื มีความสมั พันธ์ท่ดี กี ับเพอ่ื น 1. การรังแกกันเปน็ เรื่องปกติ เป็นสว่ นหนง่ึ ของการเติบโต ขอบเขตของพฤติกรรม - ปกปอ้ งและควบคุมลกู ทีเ่ หมาะสม (set limit) มากเกินไป จนเดก็ ขาดทกั ษะ 2. การตอบโต้ความรนุ แรง ด้วยความรนุ แรง เช่น สกู้ ลบั - ไม่ห้ามหรือจดั การ ในการคิดตดั สนิ ใจและ ไม่ใชก่ ารแก้ปญั หาความรุนแรงทแี่ ทจ้ รงิ เมือ่ เด็กรงั แกคนในบา้ น แกป้ ัญหาดว้ ยตัวเอง 3. บ่อยครัง้ การทพี่ อ่ แมห่ รอื ครู เข้าไปช่วยแกป้ ญั หาความขดั แยง้ จะชว่ ยให้เกดิ การแก้ปญั หาท่ีดีกว่าการปล่อยให้เดก็ จดั การ ความขัดแย้งด้วยตัวของเขาเอง 4. เด็กท่รี งั แกคนอ่ืน จะเลิกท�ำ ไปเองเมอื่ โตข้นึ 5. ผู้ใหญไ่ ม่ควรเขา้ ไปยุ่งเวลาเด็กมาฟอ้ ง เพราะการฟอ้ งยิ่งจะ สร้างปญั หามากขน้ึ เดีย๋ วถา้ เกดิ ปญั หาจริงๆ เด็กกจ็ ะมาบอกเอง ในชมุ ชนและสงั คม รวมถงึ โลกออนไลน์ ยงั เปน็ แหลง่ รวมตวั อยา่ งของ 6. ท้ังเดก็ ผู้รังแก และเด็กผถู้ ูกรงั แกอาจมสี ่วนยวั่ ยุใหเ้ กดิ การใช้ความรุนแรงและอำ�นาจในการแก้ปัญหา ท่ีอาจเป็นตัวกระตุ้น การรงั แกเกดิ ขน้ึ ให้เด็กเลียนแบบได้ เช่น สื่อต่างๆ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ ละคร เกม สงคราม นักการเมอื ง 7. ความขัดแย้งในเด็ก สะทอ้ นถงึ การเล่นหยอกลอ้ และต่อสู้กนั ซ่งึ ไมไ่ ดม้ ีอันตรายทแ่ี ท้จริง ดงั นนั้ ผูใ้ หญ่ไมต่ ้องเข้าไปยุ่งเกยี่ ว 8. ฉนั ไมแ่ จ้งที่โรงเรยี น เพราะลกู ขอร้องใหเ้ กบ็ เป็นความลบั เพราะกลัววา่ สถานการณจ์ ะยงิ่ แยล่ ง 12 ค่มู ือปฏิบตั สิ ำ�หรบั การด�ำ เนินการปอ้ งกัน 9. ดูจากภายนอก ก็รวู้ ่า เดก็ คนไหนจะไปรงั แกผู้อื่น และจดั การการรังแกกันในโรงเรียน หรอื เป็นผูถ้ ูกรงั แก

กิจกรรม ผู้ปกครอง มสี ว่ นเกีย่ วขอ้ งกนั การรังแกกนั อย่างไร ผู้ปกครอง มีสว่ นเก่ยี วขอ้ งกันการรังแกกันอย่างไร ผูป้ กครอง มสี ่วนเก่ียวขอ้ งกันการรงั แกกนั อยา่ งไร 1. การรังแกกนั เปน็ เร่อื งปกติ เป็นสว่ นหนง่ึ ของการเติบโต 6. ทั้งเด็กผูร้ งั แก และเดก็ ผ้ถู ูกรังแกอาจมสี ว่ นยวั่ ยุใหเ้ กดิ การรงั แกเกดิ ขนึ้ คำ�ตอบ ผิด เนือ่ งจากการรังแกกันไม่ใชเ่ รอ่ื งปกติ ส่งผลกระทบด้านลบต่อ คำ�ตอบ ถูกตอ้ ง การพฒั นาการ อารมณ์ จิตใจ และสงั คมของบุคคล และส่งผลเสียในระยะยาว 7. ความขัดแย้งในเด็ก สะท้อนถึงการเล่นหยอกล้อและต่อสู้กัน ซ่ึงไม่ได้ ไดอ้ ยา่ งรุนแรง มอี ันตรายที่แท้จรงิ ดงั น้ันผ้ใู หญ่ไม่ตอ้ งเขา้ ไปยุ่งเก่ยี ว 2. การตอบโตค้ วามรนุ แรง ดว้ ยความรนุ แรง เชน่ สกู้ ลบั ไมใ่ ชก่ ารแกป้ ญั หา คำ�ตอบ ผดิ เนื่องจาก ความขดั แย้งในเด็ก หากไมไ่ ดร้ บั การชีแ้ นะ วธิ แี กไ้ ข ความรุนแรงท่แี ทจ้ รงิ ทเ่ี หมาะสมเดก็ จะไม่เกดิ ทักษะการจัดการความขัดแยง้ ทด่ี เี ม่อื โตข้นึ ค�ำ ตอบ ถูกต้อง 3. บอ่ ยครง้ั การทพ่ี อ่ แมห่ รอื ครู เขา้ ไปชว่ ยแกป้ ญั หาความขดั แยง้ จะชว่ ยให้ 8. ฉันไม่แจ้งท่ีโรงเรียน เพราะลูกขอร้องให้เก็บเป็นความลับเพราะกลัวว่า เกิดการแก้ปัญหาท่ีดีกว่าการปล่อยให้เด็กจัดการความขัดแย้งด้วยตัว สถานการณ์จะย่งิ แยล่ ง ของเขาเอง คำ�ตอบ ผิด เน่ืองจาก ความหวาดกลัวทีป่ ิดก้ันวิธกี ารเจรจาเพื่อแกป้ ญั หา ค�ำ ตอบ ถูกต้อง เปน็ การท�ำ ให้ปัญหายงั คงอยู่ โดยไมไ่ ดร้ บั การแกไ้ ข 9. ดูจากภายนอก กร็ ู้วา่ เดก็ คนไหนจะไปรงั แกผูอ้ นื่ หรอื เปน็ ผูถ้ กู รังแก 4. เด็กทรี่ ังแกคนอืน่ จะเลกิ ท�ำ ไปเองเมอ่ื โตขน้ึ คำ�ตอบ ผิด เนื่องจาก บุคลกิ ลกั ษณะเพยี งภายนอกของเดก็ อาจจะอธิบาย ค�ำ ตอบ ผดิ เนอ่ื งจาก เดก็ ทรี่ งั แกผอู้ น่ื มคี วามเสยี่ งทจี่ ะคงรปู แบบพฤตกิ รรม การเกดิ การรงั แกกนั ไมไ่ ดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ เนอื่ งจากการจะรบั มอื กบั การรงั แกกนั เปน็ การรงั แกผู้อนื่ ไปจนโต และสัมพนั ธก์ บั ปัญหาสขุ ภาพจิตในวัยผู้ใหญ่ ทกั ษะท่ีต้องผา่ นการฝกึ ฝนอยา่ งต่อเน่ือง ดังนน้ั จงึ จ�ำ เปน็ ต้องใช้การสงั เกต และ 5. ผ้ใู หญไ่ มค่ วรเข้าไปยงุ่ เวลาเด็กมาฟอ้ ง เพราะการฟอ้ งยิ่งจะสรา้ งปญั หา พดู คยุ ร่วมด้วย มากข้นึ เดย๋ี วถา้ เกดิ ปัญหาจรงิ ๆ เด็กก็จะมาบอกเอง คำ�ตอบ ผดิ เนือ่ งจากการฟ้อง เปน็ การร้องขอความช่วยเหลอื รูปแบบหนึง่ ดงั นน้ั ผู้ใหญ่พงึ พจิ ารณา วธิ ีการจดั การในแต่ละกรณี คมู่ อื ปฏบิ ัตสิ ำ�หรบั การด�ำ เนนิ การปอ้ งกนั 13 และจดั การการรงั แกกันในโรงเรยี น

การแกป้ ัญหา การแก้ปญั หารงั แกกนั “ท้ังโรงเรยี น” การรังแกกันแบบทั้งโรงเรียน เปน็ วธิ ีการท่ีได้ผลดที ี่สุดใน (Whole school approach) การป้องกนั และแก้ไขปัญหา การแกป้ ญั หาการรงั แกกนั แบบทงั้ โรงเรยี น (Whole school approach) การรงั แกกนั คือการดึงทุกคน เข้ามาร่วมด้วยช่วยกันสร้างโรงเรียนที่ปลอดภัยและน่า ในโรงเรยี น อยู่ โรงเรียนท่ีสามารถป้องกันปัญหาการรังแกกัน และมีการจัดการอย่างมี ประสทิ ธภิ าพเมือ่ เกดิ การรังแกกันขึ้น ค�ำ วา่ “ทงั้ โรงเรยี น” นน้ั หมายความตงั้ แตผ่ บู้ รหิ าร ครู บคุ ลากร และเดก็ ทกุ คนในโรงเรยี น รวมไปถึงผ้ปู กครองและคนท่อี าศยั อยู่ในชุมชนใกล้เคยี ง ทำ�ไมต้องทำ� “ทั้งโรงเรยี น”?  เพราะการรังแกกัน ไม่ใช่แค่เรื่องของเด็กสองฝ่าย (ผู้รังแกกับผู้ถูก  เพราะวิธีนี้จะช่วยให้เด็กเรียนรู้ เร่ืองความสัมพันธ์ท่ีดีต่อกัน และ รงั แก) ดังนัน้ การแกไ้ ขแค่เด็กท้งั สองเพียงอยา่ งเดยี วจึงไมเ่ พยี งพอ การจัดการการรังแกกัน ในแนวทางที่ตรงกัน ทุกท่ีทุกเวลา ท้ังที่  เพราะปญั หาการรังแกกนั เกี่ยวโยงไปถงึ ทัง้ เพือ่ น ครู พอ่ แม่ ชุมชน โรงเรยี น ทบี่ า้ น ทสี่ นามเดก็ เลน่ สนามกฬี า รวมถงึ ในชมุ ชนใกลเ้ คยี ง และสงั คม เป็นการเสริมสร้างวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน  เพราะการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ต้องอาศัยการ และปลอดการรงั แกกัน เปล่ียนแปลงอย่างเป็นระบบ ท้ังระบบ 14 คู่มือปฏิบตั ิสำ�หรบั การดำ�เนินการป้องกนั และจัดการการรังแกกนั ในโรงเรยี น

องคป์ ระกอบของการปอ้ งกนั การรังแกกันแบบ “ทง้ั โรงเรยี น”  ผู้บริหาร บคุ ลากร นกั เรยี น  เด็ก/วัยรนุ่  ครู ในโรงเรียน ทกุ คน  เจ้าหน้าท่/ี  ผู้รังแก พนักงานทุกคน  ผถู้ ูกรังแก  พ่อ แม่ ผู้ปกครอง  สาธารณสขุ ผู้ปกครอง  ต�ำ รวจ  ผใู้ หญ่ท่ใี กลช้ ิด ชุมชน  หนว่ ยงาน กับเด็ก ท่ีเก่ียวขอ้ ง นั ก เ รี ย น จ ะ เ ป ล่ี ย น ทั ศ น ค ติ แ ล ะ ผ้บู รหิ ารโรงเรยี น ตอ้ งให้ความส�ำ คญั กบั ปัญหาการรังแก พฤตกิ รรมได้ กต็ อ่ เมอื่ ผใู้ หญใ่ นโรงเรยี น กนั และเปน็ ผู้นำ�ในการแกไ้ ขปัญหาน้ี เปลี่ยนแปลงเปน็ ตัวอย่างก่อน ทกุ คน (ผรู้ งั แก ผูถ้ กู รังแก เพอื่ นๆ ครู เจ้าหน้าทใี่ นโรงเรียน ผู้ปกครอง ผบู้ ริหาร ชมุ ชน) รบั รแู้ ละเข้าใจบทบาทหนา้ ท่ขี องตนเอง ต้องเกิดการเปลยี่ นไปดว้ ยกัน ท้ังผูร้ งั แก ผูถ้ ูกรงั แก เพ่ือนๆ ครู เจา้ หน้าท่ใี นโรงเรยี น ผู้ปกครอง และชุมชน คมู่ ือปฏบิ ัติสำ�หรับการด�ำ เนินการปอ้ งกนั 15 และจดั การการรังแกกันในโรงเรยี น

นโยบายต่อตา้ น นโยบายทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพ ตอ้ งมีองค์ประกอบดังนี้  มีการประกาศเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น “ประกาศเป็น การรังแกกันแบบท้งั โรงเรยี น โรงเรยี นปลอดการรงั แกกนั ” และสอ่ื สารยา้ํ เตอื นเปน็ ระยะๆ  มกี จิ กรรมทเ่ี พม่ิ ความตระหนกั เกย่ี วกบั การรงั แกกนั เชน่ การ (Whole school policy) รณรงค์การไม่รังแกกนั สปั ดาห์การรณรงคท์ ุกปกี ารศกึ ษา  มีคณะกรรมการขับเคล่ือนนโยบายโรงเรียน มีตัวแทนจาก การประกาศนโยบายต่อต้านการรังแกกันแบบ “ท้ังโรงเรียน” ถือเป็น ทกุ คนทเ่ี ก่ียวข้อง กญุ แจส�ำ คัญในการขับเคลอื่ นการจดั การการรงั แกกันในโรงเรยี น  แจง้ บคุ ลากรในโรงเรยี นทกุ คนใหท้ ราบโดยทวั่ กนั และปฏบิ ตั ิ นโยบาย เป็นการแสดงออกให้นักเรียนและครูทราบว่าโรงเรียนให้ ไปในแนวทางเดยี วกัน ความสำ�คัญและเอาจริง ทำ�ให้เป็นความรับผิดชอบของทุกคนในโรงเรียน  มกี จิ กรรม รูปธรรมทชี่ ่วยกนั ด�ำ เนินการทัง้ ครู นกั เรยี น เปน็ การตกลงร่วมกนั ในเร่อื งการรังแกกันในโรงเรียน และผูป้ กครอง คณะกรรมการขบั เคลื่อนนโยบายในโรงเรียน ควรประกอบดว้ ยตวั แทน  ผบู้ รหิ ารติดตาม ตอ้ งมัน่ ใจวา่ ทกุ คนในโรงเรียนเขา้ ใจ จากทกุ คนทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ไมว่ า่ จะเปน็ ผบู้ รหิ าร ครู เจา้ หนา้ ทใี่ นโรงเรยี น นกั เรยี น และปฏิบตั ติ ามนโยบาย ผู้ปกครอง รวมไปถึงผู้น�ำ ชุมชนใกล้เคียง และบุคลากรภายนอกที่อาจมีส่วน เกย่ี วข้องกบั การรงั แกกัน เช่น ตำ�รวจ บคุ ลากรสาธารณสุข นกั จติ วิทยา ทงั้ น้ี ข้ึนอยู่กับบรบิ ทและสภาพแวดล้อมของแต่ละโรงเรียน 16 คมู่ ือปฏบิ ัติสำ�หรบั การดำ�เนินการปอ้ งกนั และจัดการการรงั แกกนั ในโรงเรยี น

นโยบาย ควรมีวัตถุประสงค์ท่ีชัดเจนสำ�หรับโรงเรียน ประกอบด้วย  นิยามของการรงั แกกัน  การจัดการเมอ่ื เกิดการรงั แกกัน  ประเภท และความรุนแรง  พัฒนารูปแบบการจดั การเม่อื เกดิ การรงั แกกัน ผลที่เด็กจะไดร้ บั  การระบุปัญหา คัดกรองกล่มุ เส่ียงและกลุ่มมปี ญั หา  ก�ำ หนดผู้รบั ผดิ ชอบในการดำ�เนนิ การเมอื่ เกิดเหตุ และติดตามผล  มิตขิ องการรังแกกนั ที่ครอบคลุม  มีกลยุทธใ์ นการดแู ลทั้งเด็กทีถ่ กู รังแก และผ้รู งั แก เช่น เดก็ -เด็ก เดก็ -ผูใ้ หญ่ ผู้ใหญ่-เด็ก  กำ�หนดวา่ เม่ือใดท่ผี ้ปู กครองควรเข้ามามสี ว่ นร่วม  กลยุทธก์ ารป้องกนั การรังแกกัน  การน�ำ นโยบายไปใช้  เสรมิ สรา้ งความตระหนัก และทศั นคติในการสง่ เสริมพฤติกรรมดี  การเปลี่ยนแปลง จ�ำ เป็นต้องอาศัยการบรหิ ารจัดการ  สอนนักเรยี นใหห้ ลกี เล่ียงการรังแกกัน และการมีส่วนร่วมในโรงเรยี น  สง่ เสริมความสัมพันธ์ท่ีดตี ่อกนั และกัน  ต้องอาศยั เวลา และทรัพยากรทมี่ อี ยู่  ครแู ละบุคลากรในโรงเรียนสามารถจัดการความขัดแย้งใหเ้ ปน็  จำ�เปน็ ตอ้ งมีการจดั ฝกึ อบรมสำ�หรบั บคุ ลากรในโรงเรยี น นกั เรียน ความสมานฉนั ทไ์ ด้ ผ้ปู กครอง และชมุ ชน  การรายงานเมอ่ื พบการรงั แกกนั  การประเมินผล  ขั้นตอนการรายงานการรังแกกัน สำ�หรบั นักเรยี น  มขี อ้ มลู และกลยทุ ธใ์ นการตดิ ตามประสิทธผิ ลของนโยบาย และบุคลากรในโรงเรียน การป้องกัน และการจดั การปัญหา  มรี ะบบการสอ่ื สาร บันทึก และติดตามท่ดี ี  มกี ารประเมนิ สถานการณจ์ ากเด็กนกั เรยี นในโรงเรยี นเป็นระยะๆ คมู่ อื ปฏบิ ตั ิส�ำ หรับการดำ�เนินการปอ้ งกัน 17 และจัดการการรังแกกันในโรงเรียน

แนวทางพัฒนาเป็นโรงเรียนปราศจากการรงั แกกันได้ ควรด�ำ เนนิ การตามล�ำ ดบั ดงั น้ี 04 05 05 04 ครูเรียนรู้การทดลองสอน และช่วยนักเรียนในการเรียนรู้ว่าการ การติดตาม วัดผลลัพธ์ของ รงั แกกนั คอื อะไร การสงั เกตพฤตกิ รรมการรงั แกกนั ในแตล่ ะรปู แบบ การน�ำ โปรแกรมไปใช้ โดยองิ รวมทัง้ การรบั มือเมือ่ เกดิ การรังแกข้นึ ทักษะทด่ี ใี นการเปน็ เพอื่ น กับข้อมูลพื้นฐานที่ประเมิน ทักษะสำ�หรับคนท่ีเห็นหรืออยู่ในเหตุการณ์ และโรงเรียน ในขั้นแรก มีการวางแผนระบบส่งต่อในกรณีท่ีมีผลกระทบรุนแรงที่ครู ผู้ดูแลห้องเรยี นจัดการไมไ่ ด้ หรอื การเช่ือมโยงกับระบบการดูแล ชว่ ยเหลอื นักเรยี น หรือมีการจัดการในโรงเรียนอยา่ งเป็นระบบ 03 03 ฝึกอบรมครแู ละบคุ ลากรในโรงเรยี น รวมทง้ั ผปู้ กครอง ใน 02 การจดั การกบั การรงั แกกนั ทง้ั การปอ้ งกนั กอ่ นเกดิ เหตกุ ารณ์ ประกาศเป็นนโยบายท่ีชัดเจนของโรงเรียน (การฝึกทักษะชีวิต ทักษะสังคมให้นร.ทักษะการจัดการชั้น ในการต่อต้านการรังแกกันในโรงเรียน 02 เรียน) และการรับมือการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างเด็ก ทกุ รปู แบบและท�ำ พนั ธสญั ญารว่ มกนั ระหวา่ ง และพฤติกรรม เมื่อมีเหตุการณ์การรังแกกันทั้งในห้องเรียน ผู้บริหารโรงเรียนและครู ที่เกี่ยวข้องกับ บริเวณโรงเรยี น และบนโลกออนไลน์ ด�ำ เนนิ การ 01 01 ประเมนิ สถานการณเ์ บอื้ งตน้ ในโรงเรยี น ทงั้ ระดบั ความรนุ แรง และรปู แบบทพี่ บของการ รงั แก ความถ่ี จ�ำ นวน การตอ้ งการสง่ ตอ่ มาปรกึ ษากบั ครแู นะแนวหรอื นกั จติ วทิ ยาโรงเรยี น รวมทั้งประเมินความตอ้ งการของนกั เรยี น ในเรือ่ งความปลอดภยั ในโรงเรยี นเพ่อื เป็นฐาน ขอ้ มูลสำ�หรบั ออกแบบมาตรการ และการติดตามผล 18 คู่มือปฏิบัตสิ �ำ หรับการดำ�เนินการปอ้ งกัน และจดั การการรังแกกันในโรงเรยี น

ระบบการจัดการการรังแกกนั ในโรงเรียน แบบ “ท้งั โรงเรยี น” หลกั การพน้ื ฐาน เมือ่ เกิดการรงั แกกนั โรงเรยี น  นักเรียนทกุ คนตอ้ งปลอดภยั ในโรงเรยี น  การรังแกกันเป็นความสมั พนั ธท์ ่พี ฒั นามา กฎ ระนบโบยกบาารยรายงาน ฝึกอบบรคุ มลาคกวราทมกุรแู้คลนะใแนนโรวงทเรายีงปนฏบิ ตั ิ ส่ิงแโรวงดเรลียอ้ นมปใลนอโรดงภเรยั ียน เป็นเวลานาน ดงั น้ัน การจดั การจงึ ตอ้ งใช้เวลา และตอ่ เน่ือง ห้องเรียน ช่วงพกั / สนามเดก็ เลน่ ผูป้ กครอง  เน้นการสร้างวัฒนธรรมที่เห็นอกเห็นใจกัน - ให้ความรู้ ทศั นคติ - มีครคู อยดแู ลชว่ งพกั - ให้ความรู้ และเข้าใจ และต่อต้านการรังแกกัน มากกว่าการจัดการ - กฎของห้องเรียน - มีกิจกรรม และอปุ กรณ์หลากหลาย กฎ/นโยบายโรงเรียน แบบลงโทษ ต�ำ หนิ - ส่งเสรมิ ความสมั พนั ธด์ ี - มพี นื้ ทใ่ี ห้ทำ�กิจกรรม - เพ่ิมการส่ือสารกบั ครู  ย่ิงการรังแกกันรุนแรงและบ่อยครั้งเท่าใด ผลที่ ความเห็นใจกนั และกนั - มปี ระชมุ ผปู้ กครอง ตามมากย็ ง่ิ รา้ ยแรงเทา่ นน้ั ตอ้ งจดั การผลกระทบ ทเ่ี กดิ ข้ึนดว้ ย ระบบการรายงาน เมอ่ื พบเหน็ การรังแกกนั  ไม่อนุญาตให้คนท่ีมีพลังหรืออำ�นาจเหนือผู้อื่น แสดงออกในทางกา้ วรา้ ว คุกคามผู้อน่ื ผูร้ งั แก ผถู้ ูกรงั แก  กลุ่มผู้รังแก ควรได้รับผลของการกระทำ� - ได้รับผลตามกฎของโรงเรยี น - ได้รับการดูแลช่วยเหลอื “ทั้งกลุ่ม” เน่ืองจากการร่วมกันรังแกเป็นกลุ่ม - แก้ไขความผิดของตน - บนั ทกึ เหตกุ ารณ์และติดตาม มคี วามรนุ แรงท่ีต่างจากผรู้ งั แกคนเดียว - ให้ความรู้และดแู ลช่วยเหลอื - ประเมินความรุนแรงของปัญหา  ผู้ใหญ่ควรเขา้ ไปขัดขวางการรังแกกนั - แจง้ ผ้ปู กครอง - ให้ความชว่ ยเหลอื และความปลอดภยั เพ่ือช่วยให้เดก็ ที่ถกู รงั แก/ผู้ที่ดอ้ ยกวา่ มอี ำ�นาจ - บันทกึ เหตกุ ารณ์และติดตาม - รับรวู้ า่ ผู้รงั แกไดร้ ับผลอยา่ งไร ที่สมดลุ - ประเมนิ ปัญหา - แจ้งผูป้ กครอง - ส่งเสริมจุดแขง็ และทักษะทางอารมณ์ - สง่ เสริมจดุ แข็ง และทักษะทางอารมณ์ และสังคมท่ีเหมาะสม และสงั คมทีเ่ หมาะสม คู่มอื ปฏบิ ตั สิ �ำ หรับการด�ำ เนินการป้องกัน 19 และจัดการการรงั แกกันในโรงเรยี น

แบบประเมนิ กลยทุ ธก์ ารป้องกันความรุนแรงในโรงเรียน แบบประเมินน้ี ทำ�ขึ้นเพ่ือให้ท่านประเมินกลยุทธ์ในการป้องกันการ ส�ำ หรบั ผบู้ ริหารโรงเรียน และคณะขบั เคลอ่ื นนโยบาย รังแกกันในโรงเรียนของท่าน ผลจากการประเมินน้ีจะเป็นข้อมูลท่ีสำ�คัญใน การพัฒนานโยบายและระบบการป้องกันการรังแกกันแบบ “ทั้งโรงเรียน” ชีแ้ จง : ให้ใส่เคร่อื งหมาย  ในช่องทต่ี รงความคดิ เห็นของท่านมากท่สี ุด เพ่ือให้ลดการรังแกกันในโรงเรียนของท่าน และมีแนวทางในการจัดการการ รังแกกันอย่างมีประสทิ ธภิ าพ 1. สำ�รวจข้อมลู เดิมทโ่ี รงเรียนมอี ยู่  โรงเรยี นมกี ารรวบรวมขอ้ มูลที่เก่ยี วขอ้ ง (เช่น เรื่องเลา่ จากนักเรียน รายงานเหตุการณ์การรังแกกัน การส่งต่อผู้ให้การปรึกษาใน  ขอ้ มลู ท่โี รงเรยี นมีอยู่ สะทอ้ นถึงการให้ความส�ำ คัญกบั ปญั หา โรงเรียน/ ครูแนะแนว ฯลฯ ) เพ่ือทำ�ความเข้าใจผลกระทบและ การรงั แกกนั ของนกั เรียนหรือไม่? การตอบสนองต่อการรงั แกกันในโรงเรียนหรือไม?่  ใช่  ไม่ใช่  ไมท่ ราบ  ใช ่  ไมใ่ ช ่  ไม่ทราบ  มีการสอบถามนกั เรยี น บุคลากรในโรงเรียน และครอบครวั ของ นักเรียนเก่ยี วกับการรังแกกนั สถานการณ์ และความคดิ เห็น หมายเหตุ ................................................................................................ เก่ยี วกับการตอบสนองต่อการรงั แกกนั ของโรงเรียนหรอื ไม่ ..................................................................................................................  ใช่  ไมใ่ ช ่  ไมท่ ราบ .................................................................................................................. ................................................................................................................... 20 คมู่ อื ปฏบิ ตั ิส�ำ หรบั การด�ำ เนนิ การป้องกัน และจดั การการรงั แกกนั ในโรงเรียน

2. การเตรียมความพร้อมในการป้องกันและตอบสนองต่อการ  โรงเรยี นมกี ารสง่ เสรมิ การอยรู่ ว่ มกนั และการเคารพในความแตกตา่ ง รงั แกกันในโรงเรยี น รวมทั้งสื่อสารข้อมูลท่ีเกี่ยวข้องกับการต่อต้านการรังแกกัน  มีนโยบายทชี่ ดั เจนเกีย่ วกบั การปอ้ งกันการรงั แกกัน/ การต่อต้าน อยา่ งสมาํ่ เสมอหรือไม่? การรังแกกันหรือไม?่  ใช่  ไม่ใช ่  ไมท่ ราบ  ใช่  ไม่ใช ่  ไม่ทราบ  โรงเรียนของท่านได้รู้กระบวนการทางกฎหมายในการจัดการการ  มีกระบวนการในการตอบสนองต่อเหตกุ ารณ์การรังแกท่เี กิดขึน้ ท่ี รังแกกัน และมีกลไกท่ีจะช่วยให้โรงเรียนสามารถดำ�เนินการทาง ชัดเจนส�ำ หรับบคุ ลากรในโรงเรียนหรือไม่ กฎหมายได้อยา่ งเหมาะสมหรอื ไม่? (เช่น ความสมั พันธ์กบั ตำ�รวจ)  ใช ่  ไม่ใช่  ไม่ทราบ  ใช่  ไม่ใช ่  ไมท่ ราบ  มีหลักสูตรท่ีสอนทักษะท่ีจำ�เป็นในการพัฒนาความสัมพันธ์ทาง  โรงเรียนของท่านรู้แนวทางการต่อต้านการรังแกกันในโรงเรียนที่มี สังคมและการจดั การกบั ความขัดแย้งหรอื ไม?่ ขอ้ มลู งานวจิ ยั รองรบั ลา่ สดุ และน�ำ ไปสกู่ ารปฏบิ ตั ใิ นโรงเรยี นหรอื ไม?่  ใช่  ไมใ่ ช่  ไมท่ ราบ  ใช ่  ไมใ่ ช่  ไมท่ ราบ  โรงเรียนเห็นความส�ำ คัญของการส่งเสริมวฒั นธรรมการอย่รู ่วมกนั  บุคลากรในโรงเรียนได้รับมอบหมายให้มีบทบาทในการจัดการ และเคารพซึง่ กันและกันหรือไม?่ ชั้นเรียนเพ่ือป้องกันการรังแกกันเชิงรุกและสามารถตอบสนอง  ใช่  ไมใ่ ช ่  ไมท่ ราบ เบอ้ื งตน้ ตอ่ การรังแกกันหรอื ไม?่  โรงเรียนได้เปิดโอกาสให้ครอบครัวของนักเรียนมีส่วนร่วมในการ  ใช่  ไม่ใช่  ไม่ทราบ ส่งเสริมความสัมพันธ์ดีในโรงเรียน และสนับสนุนการต่อต้าน หมายเหตุ ................................................................................................ การรงั แกกนั ในโรงเรียนหรอื ไม?่ ..................................................................................................................  ใช่  ไม่ใช่  ไมท่ ราบ .................................................................................................................. ................................................................................................................... คมู่ อื ปฏบิ ตั ิสำ�หรบั การดำ�เนนิ การป้องกัน 21 และจดั การการรงั แกกนั ในโรงเรยี น

3. ข้อมูลทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับการรังแกกันของโรงเรียน  มีการมอบหมายหน้าท่ีความรับผิดชอบให้บุคลากรในโรงเรียนในการ  โรงเรียนมีการส่ือสารและโต้ตอบต่อการรังแกกันท่ีชัดเจนและ สอดส่องดูแลพฤติกรรมของนักเรียนทั้งในช่วงเวลาพักและ สมา่ํ เสมอหรอื ไม่ (เชน่ ความปลอดภยั หรอื การตอ่ ตา้ นการรงั แกกนั ) เปลีย่ นคาบเรียนหรือไม่?  ใช่  ไมใ่ ช่  ไม่ทราบ  ใช ่  ไมใ่ ช่  ไมท่ ราบ  โรงเรียนมีความพยายามในการส่งเสริมวัฒนธรรมการเคารพ  บุคลากรในโรงเรียนได้เข้าร่วมอบรมหรือเรียนรู้ท่ีช่วยให้รับรู้ถึง ซ่งึ กนั และกันทัว่ ทงั้ โรงเรียนหรือไม?่ สัญญาณเริ่มต้นของการรังแกกันและการตอบสนองได้อย่างมี  ใช ่  ไม่ใช ่  ไม่ทราบ ประสทิ ธภิ าพหรอื ไม่?  มีการติดตามดแู ลความสมั พนั ธ์ตา่ งๆ ทัว่ ทัง้ โรงเรยี นหรอื ไม่?  ใช่  ไมใ่ ช ่  ไมท่ ราบ  ใช ่  ไมใ่ ช ่  ไมท่ ราบ  นักเรียนได้รับข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งท่ีพวกเขาสามารถทำ�ได้เพื่อป้องกัน  มีระบบรายงานปัญหาการรังแกและการตอบสนองต่อปัญหา การรงั แกกนั และไดท้ ราบวธิ รี บั มอื เมอ่ื เกดิ เหตกุ ารณก์ ารรงั แกกนั หรอื ไม?่ ท่ีเกดิ ข้ึนหรือไม่?  ใช ่  ไมใ่ ช่  ไมท่ ราบ  ใช่  ไมใ่ ช่  ไมท่ ราบ  พ่อแม่ ผู้ปกครองของนักเรียนได้รับทราบข้อมูลเก่ียวกับบทบาท  โรงเรยี นมกี ระบวนการรจู้ กั และคดั กรองนกั เรยี นทอ่ี ยใู่ นกลมุ่ ทม่ี คี วาม ของตนเองในการป้องกันการรังแกกันในโรงเรียนและทราบวิธีรับมือ เส่ียงต่อการรังแกกัน เช่น นักเรียนท่ีมีประวัติเกี่ยวข้องกับรังแกกัน เมอ่ื เกดิ เหตุการณ์การรงั แกกนั หรือไม?่ เดก็ ชนกลมุ่ นอ้ ยหรอื ตา่ งชาติ นกั เรยี นทมี่ คี วามพกิ ารทางดา้ นรา่ งกาย  ใช ่  ไมใ่ ช่  ไมท่ ราบ นักเรียนที่มีความหลายหลายทางเพศ (LGBTI : เช่น กลุ่มคนรัก เพศเดียวกัน กลมุ่ รกั ขา้ มเพศ เพศทสี่ าม ฯลฯ) หรือไม?่  ใช ่  ไมใ่ ช่  ไม่ทราบ หมายเหตุ ................................................................................................ .................................................................................................................. .................................................................................................................. ................................................................................................................... 22 ค่มู อื ปฏบิ ตั สิ �ำ หรบั การดำ�เนินการปอ้ งกัน และจดั การการรงั แกกนั ในโรงเรยี น

การประเมนิ ผล พฤติกรรมดีของผเู้ ห็นเหตกุ ารณ์ การประเมนิ ผล เปน็ ขนั้ ตอนทสี่ �ำ คญั ในการก�ำ กบั ตดิ ตามการเปลยี่ นแปลง เปน็ การเสรมิ สรา้ งวฒั นธรรมโรงเรยี นปลอดภยั และตอ่ ตา้ นการรงั แก ของโรงเรยี นหลงั จากน�ำ นโยบายและระบบลงไปใชจ้ รงิ เปน็ กญุ แจส�ำ คญั ในการ กนั มคี วามส�ำ คญั มากโดยเฉพาะในชว่ งแรกของการเปลย่ี นแปลง โดยปรบั ขับเคลื่อนให้โรงเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงประจักษ์ ต้องมีการกำ�หนด ทศั นคตทิ งั้ ของครู นกั เรยี น และบคุ ลากรในโรงเรยี น ใหม้ ที ศั นคตทิ ดี่ ใี นการ เป้าหมายที่ต้องการวัด และระบบการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง อาจติดตาม รายงานตามระบบทกุ คร้ังท่ีพบเหน็ เหตุการณก์ ารรงั แกกัน ทง้ั น้ี โรงเรยี น เดือนแรก หรือตดิ ตามเป็นภาคเรียน หรอื ปีการศกึ ษา ตอ้ งสร้างความรู้สึกปลอดภัยและความเช่อื มนั่ ว่าการรายงานจะไม่ท�ำ ให้ ประเดน็ เปา้ หมายในการวดั ประสทิ ธผิ ลของระบบการปอ้ งกนั และจดั การ ตวั เองเดอื ดร้อน หรือตกเปน็ เหยือ่ ของการรังแกไปดว้ ย การรังแกกันในโรงเรียน ท่ีนิยมใช้เพื่อเป็นตัวชี้วัดและติดตามผล ดังตัวอย่าง - การรายงานเหตกุ ารณก์ ารรงั แกกนั ทง้ั นกั เรยี น ครู และบคุ ลากร ต่อไปน้ี (Barbero, et.al., 2016; Ttofi & Farrington, 2011) โรงเรียน - การเข้าไปขดั ขวางการรงั แกกนั การรังแกกนั - การช่วยเหลอื นกั เรียนท่ีถกู รังแก - จำ�นวนครั้งของการรังแกกนั ในทกุ รปู แบบ (ทางตรง เช่น กาย วาจา และทางออ้ ม เชน่ ความสมั พนั ธ์ ทางออนไลน์) ทศั นคติท่มี ีตอ่ การรังแกกนั - ระดบั ความรุนแรงของการรังแกกนั ในโรงเรยี น - ทัศนคติท่ถี ูกตอ้ งต่อการรงั แกกัน - ทัศนคติตอ่ ต้านการรังแกกันในโรงเรยี น การถูกรงั แก - จ�ำ นวนครงั้ ทเ่ี ดก็ ถกู รงั แก ในทกุ รปู แบบ (ทางตรง เชน่ กาย วาจา ความพึงพอใจของนกั เรียน และทางออ้ ม เช่น ความสมั พนั ธ์ ทางออนไลน์) - ความรสู้ กึ สบายใจและเป็นสุข (well being) ต่อชวี ติ ในโรงเรียน - จ�ำ นวนเด็กท่ถี กู รังแก - ความเชอื่ มน่ั ในครูและผใู้ หญใ่ นโรงเรยี น เชน่ เชอื่ ว่าเมื่อมปี ญั หา แลว้ ครูจะยนิ ดชี ่วยเหลอื - ความพึงพอใจต่อโรงเรยี น ปัญหาสุขภาพจิตของนกั เรยี น เช่น ภาวะซมึ เศรา้ ฆ่าตัวตาย - ตัวอย่างแบบประเมนิ ด้านสขุ ภาพจติ เดก็ และวัยร่นุ ค่มู อื ปฏบิ ตั สิ ำ�หรับการด�ำ เนนิ การปอ้ งกัน 23 และจัดการการรังแกกนั ในโรงเรยี น

แบบประเมินดา้ นสุขภาพจติ ในเดก็ และวยั รุ่น ตัวอยา่ งแบบประเมินดา้ นสขุ ภาพจิตในเดก็ และวัยรุ่น - แบบประเมนิ จดุ แขง็ จดุ อ่อน ในกรณที พ่ี บเดก็ ทอ่ี าจมคี วามเสย่ี งตอ่ การถกู รงั แกกนั และมแี นวโนม้ ทจ่ี ะ (Strengths and Difficulties Questionnaire: SDQ) มปี ญั หาทางดา้ นสขุ ภาพจติ ครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา อาจใชแ้ บบประเมนิ - แบบประเมนิ ภาวะซึมเศรา้ ในวยั รนุ่ (PHQ-A) หรือแบบคัดกรองที่มีมาตรฐานทางวิชาการ เพื่อช่วยประกอบการทำ�ความ - แบบคัดกรองภาวะซึมเศร้าในเดก็ (CDI) เข้าใจเด็กรายบุคคล และประกอบการวางแผนการช่วยเหลอื เด็ก รวมทั้งผลที่ - แบบส�ำ รวจพฤตกิ รรมเด็ก (Thai Youth Checklist: TYC) ไดจ้ ากแบบประเมนิ นนั้ ยงั สามารถน�ำ ไปใชใ้ นการสอ่ื สารกบั ผปู้ กครองเดก็ และ บคุ ลากรสาธารณสุขได้อีกดว้ ย แหลง่ ขอ้ มูลท่ที ่านสามารถดาวน์โหลดแบบประเมนิ หรือใช้แบบประเมนิ online www.thaiteentraining.com www.dmh.go.th/test/ 24 คมู่ อื ปฏิบตั สิ �ำ หรบั การดำ�เนนิ การป้องกัน และจัดการการรังแกกนั ในโรงเรยี น



2บทท่ี คอื พฤติกรรม การแสดงออก ทศั นคติของคนในโรงเรียนท่ีแสดงถงึ การใหค้ วามส�ำ คัญกับความปลอดภยั ของทกุ คนในโรงเรียนจนเป็นส่วนหน่ึง ซ่ึงประกอบดว้ ย การมีนโยบายชัดเจน ให้ความส�ำ คญั เปน็ อันดบั ต้นๆ ควาวมัฒปนลธรอรดม ภัย และตอ่ เน่ืองเรอ่ื งความปลอดภยั ในโรงเรียน โรงเรียนที่เป็นตัวอย่างท่ีดีในด้านวัฒนธรรมความปลอดภัยจะพบว่า ทั้งโรงเรียนต้ังแต่ผู้บริหาร ครู ในโรงเรียน เจา้ หนา้ ที่ ภารโรง นกั เรยี น ผปู้ กครอง มคี วามตระหนกั ใหค้ วามส�ำ คญั มสี ว่ นรว่ มในการสรา้ งบรรยากาศ สอด แทรกอยูต่ ามกิจกรรมต่างๆจนเป็นกิจวตั รประจำ�วัน มกี ารจดั การพนื้ ท่ี และการปฏบิ ตั ิต่อกนั ท่ีดที ง้ั ระหว่าง ผู้บริหาร-ครู คร-ู ครู คร-ู เจ้าหน้าท่ี/ผปู้ กครอง ครู-นักเรยี น นกั เรยี น-นักเรยี น นกั เรยี น-เจา้ หนา้ ท่ที ุกระดบั โรงเรยี นตอ้ งสง่ เสรมิ วฒั นธรรมการรายงานเมอ่ื มกี ารรงั แกกนั สง่ิ แวดลอ้ มทป่ี ลอดภยั ในโรงเรยี น หมายถงึ การใหค้ วามส�ำ คญั ว่าเป็นส่ิงไม่ผิด เม่ือนักเรียนรายงานครูแล้วจะปลอดภัย ทง้ั สถานทใ่ี นโรงเรยี น นอกโรงเรยี น หรอื รวมถงึ พน้ื ทส่ี อ่ื สงั คม ไม่เดือดร้อนจากการช่วยเหลือเพอ่ื น ออนไลนท์ เ่ี ดก็ ๆ ใช้ เน้นการสื่อสารให้เด็กทุกคนเมื่อพบเห็นการรังแกกัน ไม่ปล่อยผ่าน ผลสำ�รวจส่วนใหญ่พบว่า การรังแกกันมักเกิดข้ึนบริเวณลับตา เช่น มกี ารชว่ ยเหลอื เพอื่ น มชี อ่ งทางแจง้ ครไู ดห้ ลากหลาย เผอื่ ส�ำ หรบั กรณเี ดก็ ทไ่ี ม่ ในห้องนาํ้ มมุ ซอกหลบื บริเวณสนามเด็กเล่น หนา้ โรงเรียน ชว่ งเวลาทีไ่ มม่ ีครู กลา้ บอกดว้ ยตวั เอง หรอื กรณกี ารรงั แกกนั บนโลกออนไลน์ ครตู อ้ งไมป่ ระจาน หรอื ผู้ใหญ่ดแู ล แตก่ ารรงั แกกนั ทางวาจา กล่ันแกลง้ มกั เกิดขน้ึ ได้ทุกสถานที่ เดก็ ไมป่ า่ วประกาศใหเ้ ดก็ เกดิ ความอบั อาย มกี ารสอื่ สารรบั ฟงั เดก็ คกู่ รณที นั ที ในขณะท่ีการรังแกกันทางส่ือสังคมออนไลน์สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา มกั เกดิ รนุ แรงขน้ึ อยา่ งมากชว่ งประถมปลายหรอื เขา้ สวู่ ยั รนุ่ ครผู ดู้ แู ลจงึ ควรมี เด็กๆ แกนน�ำ ที่คอยชว่ ยสอดส่องในพืน้ ที่หรอื ช่วงเวลาท่ีไม่มีผู้ใหญ่ดแู ล ค่มู อื ปฏิบตั สิ �ำ หรบั การดำ�เนนิ การป้องกัน 25 และจดั การการรังแกกันในโรงเรียน

โรงเรยี นตอ้ งสง่ เสรมิ วฒั นธรรมการรายงานเมอ่ื มกี ารรงั แกกนั  ผู้บริหารโรงเรียน และครูมีการทบทวน กำ�หนดบทบาทหน้าท่ี วา่ เปน็ สง่ิ ไมผ่ ดิ เมอ่ื นกั เรยี นรายงานครแู ลว้ จะปลอดภยั ความรบั ผดิ ชอบชัดเจน ทบทวนการจดั การสงิ่ แวดล้อม และพื้นทใี่ นโรงเรยี น ไมเ่ ดอื ดรอ้ นจากการชว่ ยเหลอื เพอ่ื น ซงึ่ รวมถงึ พน้ื ทหี่ นา้ โรงเรยี น เพอื่ ลดโอกาสการรงั แกกนั โดยเฉพาะเวลาพกั และ เน้นการสื่อสารให้เด็กทุกคนเม่ือพบเห็นการรังแกกัน ไม่ปล่อยผ่าน หลังเลิกเรียน มีระบบจัดการทั้งระดับห้องเรียน ระหว่างห้องเรียน และ มีการช่วยเหลือเพ่ือน มีช่องทางแจ้งครูได้หลากหลาย เผื่อสำ�หรับกรณีเด็ก ทง้ั โรงเรยี น มีการประเมินผลแบบให้กำ�ลงั ใจและสรา้ งพลงั การมสี ่วนร่วม ท่ีไม่กล้าบอกด้วยตัวเอง หรือกรณีการรังแกกันบนโลกออนไลน์ ครูต้อง  สร้างการมีส่วนร่วมในเกิดการสอดส่อง ดูแล ช่วยเหลือกันและกัน ไม่ประจานเด็ก ไม่ป่าวประกาศให้เด็กเกิดความอับอาย มีการส่ือสารรับฟัง ในโรงเรยี น การกระตนุ้ ใหค้ รทู กุ คนและเจา้ หนา้ ทโี่ รงเรยี นตอ้ งมหี นา้ ทดี่ แู ลชวี ติ เด็กคู่กรณีทนั ที เดก็ นกั เรยี น นอกเหนือจากการสอน  โรงเรยี นใหค้ วามส�ำ คญั กบั การสง่ เสรมิ ศกั ยภาพ ทกั ษะของครใู นการ กระบวนการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย จดั การชนั้ เรยี นเชงิ บวก การสอ่ื สารเชงิ บวก ทกั ษะการฟงั อยา่ งตงั้ ใจ การสงั เกต ในโรงเรียน ปญั หานกั เรยี นเปน็ รายบคุ คล การสง่ เสรมิ ทกั ษะอารมณแ์ ละสงั คม การจดั การ อารมณแ์ ละความเครียดการเปดิ ใจรับฟังกนั ของครู  มีการประกาศนโยบายต่อต้านการรังแกกันในโรงเรียน ส่งเสริม  มกี จิ กรรมตอ่ เนอ่ื งจนเปน็ กจิ วตั รประจ�ำ วนั ทช่ี ว่ ยใหเ้ ดก็ คนุ้ เคยกบั การ สภาพแวดลอ้ มทป่ี ลอดภยั ของโรงเรยี น การใหค้ ณุ คา่ กบั คนทกุ คนเปน็ ชมุ ชนที่ พูด สะท้อนอารมณ์ความรูส้ ึก การเปน็ เพอ่ื นทดี่ ี เช่น กลา้ บอกเพอื่ น ปกปอ้ ง อยู่รว่ มกนั อย่างสนั ตแิ ละมีการเนน้ ยา้ํ ความส�ำ คัญกับครู เจ้าหน้าที่ ผูป้ กครอง บอกครเู ม่ือมกี ารรงั แกกนั , การพดู ขอบคุณ-ขอโทษระหวา่ งเพื่อน เดก็ กบั ครู และนกั เรยี นเป็นระยะๆ  การมกี จิ กรรมรณรงคใ์ นโรงเรยี นเพอ่ื สรา้ งความตระหนกั ความส�ำ คญั อยา่ งน้อยทกุ ปีการศกึ ษา ซึ่งอาจจะมีการจัดเป็นอาทติ ย์กิจกรรมการส่งเสริม ความปลอดภยั ในโรงเรยี น โดยใหน้ กั เรยี นมสี ว่ นรว่ ม เชน่ การถา่ ยรปู ท�ำ หนงั สนั้ การแสดง ทำ�ป้ายรณรงค์ เวทีแลกเปล่ียน โดยมุ่งเน้นประสบการณ์ผู้รังแก ผถู้ กู รังแก และผู้อยใู่ นเหตุการณ์ 26 คูม่ อื ปฏบิ ตั สิ ำ�หรบั การด�ำ เนนิ การปอ้ งกนั และจัดการการรงั แกกนั ในโรงเรยี น

การเสริมสร้างวัฒนธรรมการรายงาน ตัวอยา่ งโรงเรียนทม่ี วี ฒั นธรรมความปลอดภยั เมอื่ พบเห็นการรังแกกันในโรงเรยี น โรงเรยี นทอสี (โรงเรียนแนววถิ พี ทุ ธ)  เด็กไทยส่วนใหญ่นิ่งเฉย ไม่กล้าบอกครูเม่ือพบเห็นการรังแกกัน เพราะรสู้ กึ ไมป่ ลอดภยั กลวั ถกู รงั แกไปดว้ ย กลวั เดอื ดรอ้ น กลวั ถกู ครปู ระจาน โรงเรยี นใหค้ วามส�ำ คญั กบั การมสี ว่ นรว่ มของผปู้ กครอง มกี ตกิ ากบั เดก็ หรือทำ�โทษ หรอื ครูท�ำ ใหเ้ ดก็ กลายเป็นเป้ารงั แก รสู้ ึกพง่ึ พาผใู้ หญไ่ มไ่ ด้ และผปู้ กครองชดั เจน แกป้ ญั หาโดยไมป่ ระจานเดก็ ไมใ่ ชค้ วามรนุ แรง เชอ่ื วา่  เด็กไม่เข้าใจว่าพฤติกรรมใดคือการรังแกกัน และเมื่อพบการรังแก ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างครูกับเด็กดี ครูพร้อมจะฟังเด็ก เด็กก็จะให้ กันตวั เค้าเองควรทำ�อยา่ งไร ความรว่ มมือกบั ครู ที่นไี่ มม่ บี ทลงโทษ แต่ใชว้ ินยั เชิงบวก ใหเ้ ด็กไดม้ ีเวลา  การปอ้ งกนั การรงั แกกนั ใหส้ �ำ เรจ็ ตอ้ งท�ำ ใหท้ กุ คนในโรงเรยี นรสู้ กึ วา่ พกั ไปจัดการอารมณต์ นเอง (Take a brake) ให้อสิ ระกบั เด็กออกไปนอก ตนเองเป็นส่วนหนึง่ ท่ีจะชว่ ยหยดุ ปัญหา และเม่อื พบเห็นไมป่ ล่อยผ่าน หอ้ งเรียน เชน่ “ถา้ หนพู รอ้ ม ให้กลับมา แต่ยงั ต้องอยใู่ นสายตาคร”ู คณุ ครู  มีการสื่อสารเน้นยํ้าว่า การรายงานผู้ใหญ่เมื่อพบเห็นการรังแกกัน เน้นเทคนิคการส่ือสารกับเด็กให้ได้ผล การเป็นตัวอย่าง ใช้เหตุผล ไม่ใช้ เป็นส่ิงท่ีจะช่วยให้ลดการรังแกกันได้ ไม่ใช่การฟ้อง การเอาหน้า ครูช่ืนชม อารมณ์ ไมใ่ ชอ้ �ำ นาจกับเดก็ รับฟงั เดก็ ทัง้ สองฝ่าย ยงั ไมร่ บี ตดั สิน นักเรียนที่มีความกล้าหาญในการปกป้อง ช่วยเหลือเพื่อน โรงเรียนในคุณค่า ครปู ระจ�ำ ชนั้ และครทู กุ คนมหี นา้ ทด่ี แู ลเรอื่ งชวี ติ ของเดก็ ครเู ปน็ ตวั อยา่ ง กับเด็กนักเรียนท่ีมีการช่วยกันรายงานและป้องกันการรังแกกันในโรงเรียน ในการรบั ฟงั น�ำ เดก็ ๆ คดิ ไมท่ �ำ ใหเ้ ดก็ เสยี หนา้ หรอื เจบ็ ปวด เมอื่ เปดิ วงพดู คยุ ไมว่ า่ ในรูปแบบใด ตอ้ งไมใ่ ชอ้ ารมณ์ พดู ดว้ ยเหตผุ ล พดู เปน็ เหตกุ ารณส์ มมติ “ถา้ เพอื่ นรงั แก...  ช่องทางการรายงานเม่ือพบเห็นการรังแกกันควรมีการกำ�หนดไว้ พวกเราชว่ ยกนั คดิ แกป้ ญั หา...” รวมถงึ คนทเี่ ปน็ ผรู้ งั แกจะตอ้ งมสี ว่ นรว่ มใน ให้ชัดเจน และติดประกาศหรือสื่อสารให้นักเรียนรับทราบโดยท่ัวกันอย่าง การแกป้ ัญหา ให้เดก็ ประเมินตนเอง พฤตกิ รรมดขี ีน้ หรือแยล่ ง 3 สัปดาห์ น้อยทุกปกี ารศกึ ษา ช่องทางควรหลากหลาย เช่น การเขียนใบขอ้ ความ การ ต่อครั้ง และมกี ารสื่อสารกบั ผปู้ กครองเปน็ ระยะๆ ถ้าการรังแกเกดิ ขน้ึ เกนิ บอกครูและผู้ใหญท่ กุ คนโดยตรง การแจง้ ทางe-mail หรือกล่องข้อความบน 3 คร้งั ครูประจำ�ช้นั จะส่งใหค้ รทู ่ีดูแลระบบชว่ ยเหลือนักเรยี นจดั การ อินเทอร์เนต็ หรือกล่องใส่ขอ้ ความ การแจ้งนกั เรียนแกนนำ� คู่มือปฏิบัติส�ำ หรับการดำ�เนินการปอ้ งกัน 27 และจัดการการรังแกกันในโรงเรียน

มีการส่ือสารกนั เองท่ีดีระหวา่ งครกู ่อน หลักคือ ครูต้องเป็นกัลยาณมิตร โรงเรยี นร่งุ อรณุ (โรงเรยี นแนววถิ พี ทุ ธ) กัน ครตู ้องเป็นกลั ยาณมิตรกบั เดก็ และผู้ปกครอง เม่อื ท�ำ จนเป็นวฒั นธรรม ทเี่ ด็กเหน็ ครปู ฏบิ ตั ติ ่อกนั อยา่ งไร ผู้ใหญ่ปฏบิ ตั ิต่อเด็กอยา่ งไร เดก็ ก็จะเร่ิมท�ำ ครูต้องเข้าใจ ธรรมชาติของเด็กจะมีความสุ่มเสี่ยง ครูต้องอยู่ใกล้ชิด ตาม ต้นเทอมทางโรงเรียนมีพิธีกรรม มีการปวารณากันให้ครูตักเตือนกันได้ ไม่มหี อ้ งพักครูแยก ครูต้องรู้พื้นฐานของเดก็ บุคลิกของเดก็ แบบไหน เช่น ครกู ต็ ้องปวารณากับเด็ก เม่ือครูท�ำ ผิด กใ็ หเ้ ดก็ ๆบอกได้ และสนิ้ เทอมก็จะมี เดก็ มปี ญั หาอารมณร์ นุ แรง เลน่ รนุ แรงกบั เพอื่ นในเหตกุ ารณเ์ ดก็ จะคมุ ตวั เอง การขออโหสกิ รรมกนั ไม่ได้ ครูจะต้องรู้ล่วงหน้าดูแลใกล้ชิด เราพยายามสร้างให้ครูและเด็ก มกี ารเปดิ พนื้ ทใี่ หเ้ ดก็ ๆ ไดอ้ อกความคดิ เหน็ หลายครงั้ ความคดิ เหน็ ของเดก็ เกิดมโนสำ�นึก โดยสอดแทรกเข้าไปอยู่ในแผนการเรียน เด็กจะเรียนรู้ กบั ครไู มต่ รงกนั ตอ้ งอธบิ ายเหตผุ ลหนา้ ท่ี และสง่ิ ตา่ งๆ ทเ่ี ดก็ ตอ้ งท�ำ ใชว้ งกลม จากตน้ แบบ วธิ กี ารแสดงออกของผใู้ หญ่ ผใู้ หญใ่ ชก้ ารตดั สนิ ปญั หาแบบไหน กลั ยาณมติ รใหเ้ ดก็ พดู ครฟู งั เดก็ ฟงั ครพู ดู เขา้ ใจขนั้ ตอน ความรสู้ กึ จะเขา้ ใจ เน้นการจัดการเรียนการสอน ต้องให้เด็กเรียนรู้จากการกระทำ�ของตนเอง กันมากขึน้ ไม่ตีตราเด็ก หลีกเลี่ยงคำ�ลบ เมื่อเกิดปัญหานำ�ปัญหาให้เด็กช่วยกัน ครตู ้องหาวิธดี ึงพลังทางลบของเด็ก มาทางทบ่ี วก ใหเ้ ดก็ มองข้อดตี นเอง วเิ คราะห์ สะทอ้ น แกป้ ญั หารว่ มกนั เดก็ โตกม็ หี นา้ ทใ่ี หช้ ว่ ยดแู ลนอ้ ง มพี นื้ ท่ี มองข้อดีเพื่อน ยอมรับความแตกต่าง โรงเรยี นใหค้ ณุ คา่ กับการท่ีเด็กมีน้าํ ใจ มีการจัดการในโรงเรยี นให้เด็กรูส้ กึ ว่าถา้ มอี ะไรเกดิ ข้ึน จะมคี นช่วย “มกี ารขอบคณุ ขอโทษ ชื่นชมกนั ทุกเย็น (วงกลมกลั ยาณมิตร) มเี วลา ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์การรังแกกันต้องฝึกให้เด็กสะท้อนความรู้สึก และให้เด็กคนอื่นสะท้อนความรู้สึก ถ้าเกิดขึ้นบ่อย จะเปิดประเด็นในวง ใหเ้ ดก็ ไดเ้ คลียร์กัน ให้เดก็ เร่ิมตงั้ แตอ่ นุบาล ฝกึ พาเด็กคิดเชือ่ มโยง ให้เพอื่ นๆ ทุกคนร่วมสะท้อน และใหเ้ ดก็ ทงั้ ผู้กระท�ำ และผถู้ ูกรงั แกรบั ฟงั เม่ือมีปญั หาตอ้ งเผชิญปัญหา ถา้ เกิดปญั หาสำ�หรบั ใครคนใดคนหน่ึง เด็กเล็กๆ และเด็กพิเศษ มักจะมีปัญหารังแกกัน เพราะยังส่ือสารได้ไม่ดี บอกความต้องการไม่เป็น เข้าหาไม่เป็น เด็กบางคนบอกความรู้สึกไม่ได้ ตอ้ งถอื เป็นเรือ่ งของทุกคน” ไมร่ แู้ ละแตล่ ะอารมณ์จะจัดการอยา่ งไร “ครูตอ้ งท�ำ ให้เดก็ รู้สึกวา่ อยู่โรงเรยี นเหมอื นอยู่บ้าน แมอ่ ยู่กบั ลูก ความสมั พันธท์ ่ีดีระหว่างครกู ับนักเรียนจะช่วยลดปญั หาระหวา่ งเดก็ ” 28 คู่มอื ปฏิบัติส�ำ หรับการด�ำ เนนิ การปอ้ งกนั และจดั การการรงั แกกนั ในโรงเรยี น



3บทที่  เทคนิคส�ำ คญั ในการสร้างทศั นคติท่เี หมาะสมกับเด็กวยั เรียน คอื การประยุกต์การสอนมาใช้ในชั้นเรียน และชีวิตประจำ�วัน ร่วมกับการจัด การใหค้ วามรู้ ความเข้าใจ กิจกรรมเฉพาะในการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับระดับชั้นเรียน โดยครูจะต้อง มหี ลกั การและความเขา้ ใจพืน้ ฐานประเด็นดงั ต่อไปน้ี ทศั นคติทถ่ี กู ตอ้ ง  การก�ำ กบั พฤตกิ รรมเดก็ ในระดบั ทเ่ี หมาะสม ไมค่ วบคมุ บงั คบั หรือปล่อยปละจนเกินไป โดยหลักสำ�คัญของการกำ�กับ ต่อการรงั แกกัน พฤติกรรมเด็กทดี่ ีครูจะตอ้ งไม่ใชค้ วามรนุ แรงเปน็ ต้นแบบ  เด็กเรียนรู้ผ่านต้นแบบท่ีดี เช่น การรับผิดชอบหน้าที่  ทัศนคตมิ ผี ลต่ออารมณ์ และการแสดงออกความรูส้ กึ ออกมาให้เหน็ ในห้องเรียน/โรงเรียนของเพ่ือนนักเรียน และครูหรือ เป็นพฤติกรรมซ่ึงมีความแตกต่างตามแต่ละบุคคล ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับปัจจัยใน บคุ ลากรอ่ืนๆในโรงเรียน หลายด้าน เชน่ การเลีย้ งดูจากครอบครวั โรงเรียน และสังคมรอบตวั รวมถึง  ลดการตอบสนองในทางท่ีไม่เหมาะสม เช่น เด็กแสดงออก พน้ื ฐานอารมณ์ของเด็กแตล่ ะคน พฤติกรรมท่กี ้าวร้าว จะต้องไมต่ ามใจ อาจไดร้ ับการเพิกเฉย  การทจ่ี ะชว่ ยใหเ้ ดก็ มที ศั นคตทิ ถี่ กู ตอ้ งตอ่ การรงั แกกนั พนื้ ฐานส�ำ คญั หรอื ลงโทษ ตัดสิทธพิ ิเศษ ตามกติกาทศี่ ักด์สิ ิทธิ์ คือเด็กต้องมีความรู้ ความเข้าใจวา่ พฤตกิ รรมใดคอื การรังแก ก่อนทีจ่ ะนำ�ไป  การเสริมแรงบวก ใชค้ ำ�ชมเชย รางวลั สทิ ธิพเิ ศษตา่ งๆ สู่การมีทัศนคติท่ีถูกต้องว่า “การรังแกกันไม่ใช่เรื่องปกติ และยอมรับไม่ได้ ในโรงเรยี นหรอื ไมว่ า่ ไปท�ำ ทใี่ ด” ทง้ั นี้ ความเขา้ ใจและทศั นคตขิ องเดก็ มรี ะดบั ที่แตกต่างกันไปตามช่วงวัยและพัฒนาการเฉพาะของเด็กแต่ละคน ท้ังน้ี พบว่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษมักมีความเสี่ยงสูง เช่น เด็กสมาธิสั้น มักมีพฤติกรรมเล่นแรง ชอบแหย่ ขาดทักษะการเล่น หรือเด็กบกพร่อง ทางสติปัญญา เด็กออทิสติกมักเป็นเด็กท่ีเป็นเป้าหมายของการถูกรังแก จากเดก็ อ่ืนๆ คู่มอื ปฏิบตั สิ ำ�หรับการด�ำ เนินการป้องกนั 29 และจัดการการรงั แกกันในโรงเรยี น

 การส่ือสารกับเด็กเพื่อปลูกฝังทัศนคติให้เด็กเพื่อการป้องกัน  ครชู ว่ ยใหเ้ ดก็ เขา้ ใจและมที ศั นคตทิ ถ่ี กู ตอ้ งตอ่ การรงั แกกนั ในชนั้ เรยี น การรังแกกัน สามารถสรุปเป็นประโยค สั้นๆ กระชับ ดังต่อไปน้ี (โดย: ไดอ้ ย่างไร พญ.จริ าภรณ์ อรุณากรู )  ครูตอ้ งมคี วามรู้ ความเขา้ ใจที่ถูกตอ้ งเกี่ยวกบั การรังแกกันก่อน  การแกลง้ รังแก ไมใช่เรือ่ งปกติ ยอมรบั ไม่ได้  ครูสามารถสอดแทรกความรู้ หรือเปิดประเด็นการพูดคุย  การแกล้ง รังแก อาจส่งผลต่อเพือ่ นถึงชีวติ ได้ ในห้องเรียนเกี่ยวกับการรังแกกันในช่ัวโมงโฮมรูม (Home  ยอมรบั วา่ ทกุ คนมคี วามแตกตา่ งกนั ทงั้ ดา้ นรปู รา่ ง หนา้ ตา room) หรือบรู ณาการในชั่วโมงการเรยี นการสอน ความคดิ ความเชอ่ื พฤตกิ รรมไมม่ ใี ครดที กุ อยา่ งและไมม่ ใี คร  ครูและนักเรียนร่วมกันตั้งข้อตกลงหรือกติกาที่จะไม่ยอมรับ แย่ทุกอย่าง การรังแกกันในชั้นเรียน/โรงเรียน โดยมีข้อตกลงให้ชัดเจนว่า  ทกุ คนมคี วามเทา่ เทยี มกนั (เดก็ เลก็ ตอ้ งเนน้ การท�ำ ใหเ้ ดก็ เมอื่ มพี ฤตกิ รรมจะจัดการหรือด�ำ เนินการอยา่ งไร ร้สู ึกวา่ ครูไม่ล�ำ เอียง ไม่เลอื กท่รี กั มกั ท่ีชงั )  ครูสอดส่องพฤติกรรมนักเรียนที่มีความเสี่ยง ทั้งในและ  การละเมิดสิทธิผู้อ่ืนถือเป็นความผิด (เด็กเล็กต้องใช้คำ� นอกชั้นเรียน เปิดช่องทางให้นักเรียนสามารถเข้ามาปรึกษา ทงี่ า่ ย เชน่ การท�ำ ใหเ้ พอ่ื นเจบ็ เพอ่ื นเสยี ใจ หยบิ ของเพอ่ื น) แจง้ ปัญหาเกย่ี วกบั พฤติกรรมการรงั แกกัน  การเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เอาใจเขามาใสใ่ จเราเปน็ สิ่งสำ�คัญ  ครมู วี ธิ จี ดั การปอ้ งกนั พฤตกิ รรมไดอ้ ยา่ งเหมาะสม เชน่ การเรยี ก  การดูแลคุ้มครองความปลอดภัยเป็นหน้าท่ีของทุกคน มาพูดคุยส่วนตัว การให้เวลานอก (Time out) ออกไปจาก ช่วยกันในโรงเรียน ห้องเรยี นเมือควบคมุ ตนเองไมไ่ ด้  ครูเปิดโอกาสและรับฟัง ให้เด็กได้แสดงความคิดเห็นเก่ียวกับ คู่มือปฏิบตั สิ �ำ หรบั การดำ�เนนิ การป้องกัน การรงั แกกันในโรงเรียน และจดั การการรงั แกกันในโรงเรยี น  ในการทำ�กิจกรรมครูต้องไม่เจาะจงตัวบุคคลหรือพูดชื่อเด็กที่ มีพฤติกรรมการรงั แกผู้อ่นื  ควรมีกรณีตัวอย่างที่เป็นสื่อวิดีโอความรู้หรือภาพ เร่ือง การ รงั แกกนั เพอ่ี ใหเ้ หน็ เดก็ เหน็ ผลกระทบการรงั แกกนั ทม่ี ตี อ่ เพอ่ื น  ครูสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในขณะทำ�กิจกรรมทั้งในและ นอกหอ้ งเรยี น เพอ่ื จะสามารถหยบิ ยกพฤตกิ รรมทไ่ี มพ่ งึ ประสงค์ มาตักเตอื นหรอื คอยชแ้ี นะได้  ครูให้รางวัลหรือกล่าวชมเชยเมื่อนักเรียนแสดงพฤติกรรมท่ี เหมาะสมเพอื่ สง่ เสริมให้เดก็ สรา้ งพฤตกิ รรมทดี่ ยี ่งิ ขนึ้ ไป 30

สงิ่ ที่ควร (Do) สิ่งท่ไี ม่ควร (Don’t)  ควรมกี ารทวนซา้ํ ความเขา้ ใจหรอื จดั กจิ กรรมกบั นกั เรยี นทกุ เดอื น/  ไมค่ วรเพง่ เลง็ หรอื ตตี รา หรอื จดั การเฉพาะเดก็ ทมี่ พี ฤตกิ รรมรงั แก สปั ดาห/์ เทอม/อย่างต่อเนือ่ ง ควรเน้นใหค้ วามรู้ สรา้ งทัศนคตใิ นภาพรวมแกเ่ ด็กทกุ คน  ควรเนน้ ยาํ้ ในประเดน็ ท่ี วา่ เดก็ ทกุ คนอาจเปน็ ผรู้ งั แก หรอื ถกู รงั แก  กจิ กรรมการสอน เร่ืองการรังแกกนั ควรเป็นกจิ กรรมท่ีเหมาะสม แตเ่ ราชว่ ยกนั ปรบั เปลยี่ นได้ กบั ชว่ งอายุ เชน่ หากเปน็ เดก็ เลก็ อาจสอนผา่ นหนุ่ เชดิ ตกุ๊ ตา ถา้ เปน็  ครสู ามารถใช้เนื้อหาที่เกย่ี วขอ้ งใช้ในการท�ำ ความเข้าใจ และสรา้ ง เด็กโตข้ึนอาจปรับเป็นสื่อที่หลากหลายมากขึ้น เช่น สื่อหนังสั้น ทัศนคตทิ ี่ถกู ตอ้ งในการเรียนปกตใิ นชน้ั เรยี น เชน่ ใชแ้ ปลบทความ ภาพ เสยี ง วดิ โี อ การแสดง ละคร หรือบทบาทสมมติ การโตว้ าที ภาษาองั กฤษทเ่ี นอื้ หาเกีย่ วกับการรงั แกกัน หรือ น�ำ ข้อมูล ตวั เลข เนน้ การฝกึ คดิ วเิ คราะห์ เปดิ พนื้ ทรี่ บั ฟงั ความคดิ เหน็ การเรยี นภาค สถิติเกี่ยวกับการรังแกกันมาใช้เรียนในวิชาคณิตศาสตร์และช่วย ปฏบิ ตั ิ การท�ำ งานเปน็ กลมุ่ หรอื เลน่ เปน็ เกม หรอื เปน็ โจทยช์ นิ้ งาน พดู คุยสอดแทรกในประเดน็ ดงั กลา่ ว ให้เด็กแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นการรังแกกันในโรงเรียน อาจเป็นภาพ หรือจัดบอร์ดนิทรรศการ หรือเล่นละคร เพื่อสร้าง ความตระหนักในโรงเรียน คมู่ ือปฏิบตั ิส�ำ หรับการดำ�เนนิ การปอ้ งกัน 31 และจัดการการรังแกกนั ในโรงเรยี น

เอกสารท่ีแนะน�ำ ในการสอนทัศนคติ การเสรมิ สร้างทักษะทสี่ �ำ คญั ในการปอ้ งกนั ปญั หา ท่ถี ูกตอ้ งตอ่ การรังแก การรงั แกกันหรอื การใช้ความรุนแรง 3 ดา้ น ได้แก่ ทา่ นสามารถปลกู ฝงั ความเขา้ ใจทถี่ กู ตอ้ งเรอื่ งการรงั แกกนั ใหน้ กั เรยี น ได้ ความฉลาดทางอารมณ์ ความฉลาดทางสังคม ความฉลาดทางศลี ธรรม อย่างไรบ้าง ลองเช็ค  หนา้ ขอ้ ทที่ า่ นประยกุ ตใ์ ชไ้ ด้ Emotional Quotient Social Quotient Moral Quotient  จดั กจิ กรรมการสอน เรอื่ งการรงั แกกนั ใหเ้ หมาะสมกบั ชว่ งอายุ เชน่ หากเปน็ เดก็ เลก็ อาจสอนผา่ นหนุ่ เชดิ ตกุ๊ ตา ถา้ เปน็ เดก็ โตขน้ึ อาจปรบั • รู้จกั อารมณต์ ัวเอง • รสู้ ถานการณร์ อบตวั • ความฉลาดทาง เปน็ สอื่ ทห่ี ลากหลายมากขนึ้ เชน่ สอ่ื หนงั สน้ั ภาพเสยี งวดิ โี อการแสดง • จัดการกบั อารมณ์ วา่ อะไรก�ำ ลงั จะเกดิ ขน้ึ ศีลธรรม จรยิ ธรรม ละคร หรือบทบาทสมมติ การโตว้ าที เน้นการฝกึ คดิ วเิ คราะห์ เปิด ไมส่ บายของตนเองได้ และรับรู้อารมณ์ • ความประพฤตดิ ี พื้นท่ีรับฟังความคิดเห็น การเรียนภาคปฏิบัติ การทำ�งานเป็นกลุ่ม • ควบคุมอารมณต์ าม คนรอบข้าง รูจ้ กั ผดิ ชอบ หรอื เลน่ เปน็ เกม หรอื เป็นโจทยช์ ้นิ งานใหเ้ ด็กแสดงความคิดเห็นต่อ ความต้องการและแสดง • เข้าใจวา่ คนอน่ื รสู้ ึก มีความซอื่ สตั ย์ ประเด็นการรังแกกันในโรงเรียน อาจเป็นภาพ หรือจัดบอร์ด ออกมาเปน็ พฤตกิ รรม อยา่ งไรและทำ�ไม นทิ รรศการ หรอื เลน่ ละคร เพ่ือสรา้ งความตระหนกั ในโรงเรยี น ทเี่ หมาะสม จงึ ร้สู ึกเชน่ น้ัน  มีการทวนซํ้าความเข้าใจหรือจัดกิจกรรมกับนักเรียนทุกเดือน/ • ยดื หยุ่น ปรับเปล่ียน สปั ดาห/์ เทอม/อยา่ งตอ่ เน่ือง ให้เขา้ กับสถานการณ์  เนน้ ยา้ํ ในประเดน็ ที่ วา่ เดก็ ทกุ คนอาจเปน็ ผรู้ งั แก หรอื ถกู รงั แก แตเ่ รา หรอื เพื่อใหบ้ รรลุ ชว่ ยกันปรับเปลี่ยนได้ เป้าหมาย  ครูสามารถใช้เน้ือหาท่ีเก่ียวข้องใช้ในการทำ�ความเข้าใจ และสร้าง ทัศนคติที่ถูกต้องในการเรียนปกติในชั้นเรียน เช่น ใช้แปลบทความ ภาษาอังกฤษที่เนือ้ หาเก่ียวกับการรงั แกกัน หรือ น�ำ ขอ้ มลู ตวั เลข สถติ ิเกย่ี วกับการรงั แกกนั มาใช้ในวิชาคณติ ศาสตร์  เมื่อพบเด็กท่ีมีพฤติกรรมรังแก ควรเน้นให้ความรู้ สร้างทัศนคติ ในภาพรวมแก่เดก็ ทกุ คน โดยไมเ่ พง่ เลง็ เฉพาะรายน้นั 32 คมู่ อื ปฏิบตั สิ ำ�หรับการด�ำ เนนิ การปอ้ งกนั และจดั การการรงั แกกนั ในโรงเรียน

ตัวอย่างกิจกรรม 2. ตารางคำ�ตอบ ออนไลน์ การเลน่ ปกติ สำ�หรับเด็กประถมศึกษาตอนตน้ พฤติกรรมการรงั แกกนั กาย วาจา สังคม กิจกรรม ร้จู ักและเข้าใจ ไม่รังแกกนั วัตถปุ ระสงค ์ เขา้ ใจพฤตกิ รรมความรนุ แรง เป็นภาพ อุปกรณ์ เป็นภาพ เป็นภาพ เปน็ ภาพ เด็กผหู้ ญิง 1. บัตรภาพพฤติกรรม 10 ภาพ ประกอบดว้ ย เดก็ ผชู้ าย ถูกล้อเกยี่ ว เป็นการเล่น ชอบแกล้งดงึ กบั บุคลิกภาพ เกา้ อ้ีดนตรี ผมเด็กผู้หญิง เด็กผู้หญงิ เด็กผหู้ ญงิ ภายนอก เช่น ถูกเพ่ือนนนิ ทา ไม่มีใคร อ้วน โง่ ฯลฯ ใหเ้ ข้ากลุ่มด้วย วา่ ร้าย ใน Facebook เป็นภาพ เดก็ ชาย เป็นภาพ เปน็ ภาพ เป็นการเล่น เด็กโตใช้ก�ำ ลงั ถูกเพ่อื น เดก็ หญงิ ถูก เด็กผหู้ ญงิ อีกาฟักไข่ กระชากคอเสอ้ื ลอ้ เลยี นว่า เพ่อื นกีดกนั ถูกเพือ่ น เด็กรุน่ น้อง อว้ นเหมือน ไมใ่ หเ้ ข้ากลุ่ม โพสต์ดา่ ปลาวาฬ ตอ้ งทำ�งาน ใน line คนเดียว คู่มือปฏิบัติส�ำ หรบั การดำ�เนินการปอ้ งกนั 33 และจัดการการรงั แกกันในโรงเรยี น

วิธีดำ�เนินกิจกรรม วิธกี ารทำ�กิจกรรม 1. ผู้สอนแบ่งนักเรียนออกเปน็ กลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน และแจกบตั รภาพ ข้ันน�ำ : 1. ชแี้ จงวตั ถปุ ระสงคข์ องการท�ำ กจิ กรรม “รจู้ กั และเขา้ ใจ ไมร่ งั แกกนั ” พฤตกิ รรมกล่มุ ละ 1 ชดุ และตารางใสค่ �ำ ตอบ 2. ผสู้ อนใหน้ ักเรยี นชว่ ยกนั ยกตวั อย่างของพฤติกรรมรงั แกกนั 2. ใหแ้ ต่ละกลุ่มนำ�บตั รภาพพฤตกิ รรมไปตดิ ในตารางคำ�ตอบ 3. ผสู้ อนชวนนักเรยี นพดู คุยเก่ยี วกับลกั ษณะพฤติกรรมของแต่ละภาพ พร้อมเฉลยคำ�ตอบ ขน้ั ด�ำ เนนิ การ : 1. ผสู้ อนน�ำ ตวั อยา่ งบตั รภาพใหน้ กั เรยี นดู และตอบค�ำ ถามตามประเดน็ ดังตอ่ ไปนี้ ขน้ั สรุป : - ภาพนเี้ ป็นพฤติกรรมการเล่นหรือรงั แกกนั 1. ผู้สอนเลือกบัตรภาพพฤติกรรมมา 2-3 ภาพ และชักชวนพูดคุย - ใครเป็นผู้รังแกหรือผู้ถูกรังแก พร้อมกับให้เด็กสะท้อนความรู้สึก ตามประเดน็ ตอ่ ไปน้ี ของการเป็นผรู้ งั แกหรือ ผถู้ ูกรังแก - ภาพน้ีเป็นพฤตกิ รรมการเลน่ หรอื รงั แกกนั - ภาพนี้เป็นการรังแกประเภทใด - ใครเปน็ ผรู้ ังแกหรอื ผูถ้ ูกรงั แก - ภาพนเ้ี ปน็ การรงั แกประเภทใด 34 คู่มอื ปฏบิ ตั สิ ำ�หรับการดำ�เนนิ การปอ้ งกัน และจดั การการรังแกกนั ในโรงเรียน

ตวั อยา่ งกจิ กรรม เหตกุ ารณท์ ี่ 3 นักเรียนหญิงชั้น ป.4 ซึ่งเป็นเด็กท่ีเรียนช้า มักสอบได้ลำ�ดับ ส�ำ หรับเด็กประถมศึกษาตอนปลาย ท้ายของห้อง ถูกกลุ่มเพื่อนปฏิเสธไม่ให้เข้ากลุ่มทำ�กิจกรรมร่วมกัน ในหลายวชิ า กิจกรรม คนละบทบาท เหตกุ ารณ์ที่ 4 วัตถุประสงค ์ เข้าใจพฤติกรรมความรุนแรง นกั เรยี นชายชน้ั ป.6 น�ำ มอื ถอื ขน้ึ มาถา่ ยรปู เพอ่ื นหญงิ รว่ มชน้ั ขณะท�ำ อุปกรณ์ กจิ กรรมแตน่ ง่ั ไมเ่ รยี บรอ้ ยจนเหน็ กางเกงชน้ั ใน แลว้ น�ำ ภาพนนั้ ไปโพส 1. บตั รสถานการณก์ ารรังแก ในสังคมออนไลน์ พร้อมขอ้ ความลอ้ เลียน บตั รสถานการณ์การเล่นปกติ เหตกุ ารณ์ท่ี 1 เหตุการณท์ ่ี 5 นกั เรยี นชายรนุ่ พี่ ชน้ั ป.5 จ�ำ นวน 5 คน ใหเ้ พอื่ นนกั เรยี นชายรว่ ม กลมุ่ นกั เรยี นชน้ั ป.5 จบั กลมุ่ กนั เลน่ กจิ กรรม “โอนอ้ ยออก” โดยมี ชน้ั ไปหลอกนกั เรยี นชาย ป.4 คนหนง่ึ มารมุ ท�ำ รา้ ยในหอ้ งนา้ํ ชายทอ่ี ยู่ กฎวา่ ผแู้ พจ้ ะถกู ลงโทษ โดยการลมุ คดั มะกอก จากเพอ่ื นทช่ี นะ หลังโรงเรยี น และหลงั จากนน้ั เด็กชายช้นั ป.4 คนนี้มกั ถูกรีดไถเงนิ อยู่ เปน็ ประจ�ำ หมายเหตุ ทกุ คนในกลมุ่ ตอ้ งมสี ว่ นรว่ มในการแสดงบทบาทสมมติ เหตกุ ารณท์ ี่ 2 กลมุ่ นกั เรยี นหญงิ ชน้ั ป.5 จับกล่มุ กนั ยนื แซวนักเรียนในชัน้ เรยี น ทีด่ สู ุภาพเรียบร้อยและมกั ถูกล้อเลยี นอยเู่ ป็นประจ�ำ ว่าเป็นเพศทส่ี าม คมู่ อื ปฏบิ ัติส�ำ หรับการด�ำ เนินการป้องกัน 35 และจดั การการรงั แกกนั ในโรงเรยี น

วธิ ดี ำ�เนนิ กิจกรรม ขน้ั น�ำ : 3. แต่ละกลุ่มแสดงบทบาทสมมติ กลุ่มละ 5-10 นาที หลังจากนั้นให้ 1. ชแ้ี จงวตั ถุประสงค์ของการทำ�กิจกรรม “คนละบทบาท” ตอบคำ�ถามตามประเด็นใน ข้อ 2 ขั้นดำ�เนินการ : 4. ผู้สอนใหน้ ักเรยี นสะท้อนความร้สู กึ ของบทบาททต่ี นเองไดร้ บั 1. ผู้สอนแบ่งกลุ่ม 5-6 คน และให้ตัวแทนแต่ละกลุ่มจับฉลาก - ผรู้ งั แก บัตรสถานการณ์ - ผถู้ ูกรังแก 2. ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ วางแผนในการแสดงบทบาทสมมติทไ่ี ด้ 5 นาที พร้อม - ผู้พบเหน็ เหตกุ ารณ์ กับวเิ คราะห์สถานการณต์ ามประเดน็ ดังตอ่ ไปน้ี ข้นั สรุป : - ภาพนี้เป็นพฤตกิ รรมการเล่นหรอื รังแกกนั 1. ผสู้ อนสรุปเก่ียวกบั ความแตกตา่ งของการรังแกและการเลน่ กัน - ใครเปน็ ผู้รังแกหรือผถู้ ูกรงั แก - ภาพน้ีเปน็ การรงั แกประเภทใด 36 คู่มือปฏิบตั ิส�ำ หรบั การดำ�เนินการปอ้ งกนั และจัดการการรังแกกนั ในโรงเรียน



4บทท่ี การป้องกันการรงั แกกนั ในโรงเรยี นนนั้ มคี วามสำ�คญั ทีจ่ ะตอ้ งใหท้ ุกคน ในโรงเรยี นเข้าใจว่าการรังแกกนั คอื “ปัญหา” การสรา้ งความรว่ มมอื และการท�ำ ความเขา้ ใจ ตทอ่ศั นกคาตรขิ อรงงั บแคุ ลกากกรนั ของบคุ ลากรทกุ ระดับในโรงเรยี น ควรมกี ารจัดเวทพี ูดคุย และท�ำ ความเขา้ ใจต่อการรังแกกนั ในโรงเรียน ในโรงเรียน ใหต้ รงกัน กิจกรรมทสี่ มควรและไม่สมควรทำ�ในการปรับทัศนคตบิ ุคลากรในโรงเรียนมดี ังต่อไปนี้ ประเทศแคนาดา สงิ่ ทีค่ วร (Do) 42%ของผ้รู ังแก และ 46% ของผู้ถกู รงั แก - สร้างความมั่นใจวา่ เปน็ สิทธขิ องเด็กนักเรียนทุกคนที่จะรู้สกึ ปลอดภยั ในโรงเรยี น - สรา้ งความรสู้ กึ มสี ว่ นรว่ มในสงั คมของเดก็ ซง่ึ เปน็ ความรบั ผดิ ชอบของครทู กุ คนทจี่ ะท�ำ ให้ บอกครูเก่ยี วกับปญั หา โรงเรยี น เกิดขึน้ เมอ่ื มีครเู ขา้ มาจดั การ การรังแกกนั ใน - เนน้ การสรา้ งแรงเสรมิ เชงิ บวกใหก้ ับนกั เรยี นทม่ี พี ฤติกรรมทด่ี ี ช่วยดแู ลเพ่ือน ชว่ ยป้องกนั ห้องเรยี นและ การรังแกกันในสนามเด็ก การรงั แกเพ่ือท่จี ะส่งผลตอ่ พฤตกิ รรมของเด็กคนอื่น เล่น จะลดสถติ ิการรังแกกนั ไดม้ าก - เปิดโอกาสใหค้ รูรว่ มกันสะทอ้ นประสบการณข์ องตนเองเกี่ยวกบั ปญั หาการรงั กัน ครู ความสำ�เร็จและล้มเหลวในการจดั การปญั หา - เนน้ ความส�ำ คญั ของบทบาทครใู นการเสรมิ แรงใจใหน้ กั เรยี น การปอ้ งกนั ตวั เอง การปฏเิ สธ นักเรยี น - สร้างความตระหนกั ในปญั หาและความร้เู ก่ียวกบั ปัญหาการรงั แกกัน - ครเู ปดิ โอกาสใหน้ กั เรยี นแลกเปลย่ี นเรอื่ งความปลอดภยั ในโรงเรยี นและความทกุ ขจ์ ากการ ถกู รงั แก รวมถงึ ปญั หาทางอารมณ์ ความเครยี ดเรอ่ื งเพอื่ นในหอ้ งเรยี น/กจิ กรรมวชิ าตา่ งๆ - สะทอ้ นใหน้ กั เรยี นทกุ คนเหน็ ถงึ ผลกระทบของการเพกิ เฉย การมสี ว่ นรว่ มใหร้ งั แกกนั รนุ แรง และการนิง่ เฉยเมอื่ พบเหน็ การรังแกกนั ค่มู อื ปฏบิ ตั ิสำ�หรบั การด�ำ เนนิ การปอ้ งกนั 37 และจัดการการรังแกกันในโรงเรยี น