Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การขยายพันธุ์พืช

การขยายพันธุ์พืช

Published by Thalanglibrary, 2019-12-17 00:45:34

Description: การขยายพันธุ์พืช

Search

Read the Text Version

การปอง ักนกํา ัจดโรคและแมลงศัต ูรมัน ํสาปะห ัลง คํานํา เอกสารคําแนะนํา เร่ือง “การขยายพันธุพืช” จัดทําขึ้นโดยปรับปรุง เพ่ิมเติมจากเอกสารที่มีอยูเดิมของกรมสงเสริมการเกษตร เพ่ิมเติมขอมูล ใหสอดคลองกับสถานการณปจจุบัน โดยมีกลุมเปาหมาย คือ เกษตรกร และบุคคลทั่วไป ที่มีความสนใจในการขยายพันธุพืช หวังเปนอยางยิ่งวา เอกสารคําแนะนําฉบับนี้ จะชวยใหผูศึกษามีความรูความเขาใจเบ้ืองตน ในการขยายพันธุพืช สามารถตอยอดหาความรูเพ่ิมเติมไดจากแหลงอ่ืน ๆ ตอไป หากมีขอผิดพลาดประการใดในเอกสารคําแนะนําฉบับน้ี คณะผูจัดทํา ตองขออภยั และรบั มาปรบั ปรงุ ในโอกาสตอ ไป กรมสง เสริมการเกษตร 2562

สารบัญ การขยายพนั ธุพชื หนา การขยายพนั ธุพ ืชแบบอาศัยเพศ 1 การขยายพนั ธุพ ืชโดยการเพาะเมลด็ 1 การเพาะเมลด็ พชื ในภาชนะหรอื แปลงเพาะ 2 การขยายพันธุพืชแบบไมอ าศัยเพศ 4 การขยายพนั ธพุ ชื โดยการติดตา ตอกง่ิ และทาบกงิ่ 14 การขยายพันธพุ ชื โดยการแบง และการแยก 16 การขยายพันธุพชื โดยการตอนกง่ิ 19 การขยายพนั ธุพชื โดยการตดั ชาํ 22 การขยายพนั ธุพืชโดยการเพาะเล้ยี งเนอื้ เยือ่ 24 วสั ดุปลูกท่ใี ชใ นการขยายพันธุพชื และปลกู พืช 25 สตู รการผสมวัสดุปลกู ท่ีนิยมในปจ จุบัน 26 พืชและวิธีขยายพนั ธุพืชท่นี ยิ มใชโดยทว่ั ไป 27 29 แหลง ซอ้ื ขายพนั ธไุ ม เอกสารอา งองิ

การปอง ักนกํา ัจดโรคและแมลงศัต ูรมัน ํสาปะห ัลง การขยายพันธุพืช การขยายพนั ธพุ ชื หมายถงึ การเพมิ่ จาํ นวนตน พชื ดว ยเทคนคิ วธิ กี ารตา ง ๆ เพอ่ื รกั ษา ตนพืชพันธุดีไวไมใหตนพืชเหลาน้ันสูญพันธุไป ไมวาจะเปนการขยายพันธุพืชแบบอาศัยเพศ หรอื แบบไมอ าศัยเพศ วิธีการขยายพันธุพืชแบบอาศัยเพศ เปนการรวมตัวตัวกันของเซลลสืบพันธุเพศผู และเซลลส บื พนั ธุเ พศเมีย วิธกี ารขยายพนั ธุแบบน้ี ไดแก การเพาะเมล็ด และการเพาะสปอร สวนการขยายพันธุพชื แบบไมอ าศัยเพศ เปนการขยายพันธุจากสว นตา ง ๆ ของพชื ทไ่ี มไ ดเ กดิ จากการรวมตวั ของเซลลสบื พนั ธุ วธิ ีการขยายพันธุแ บบน้ี ไดแ ก การตดิ ตา ตอกิ่ง ทาบกง่ิ ชํากงิ่ แยกกอ แยกหนอ แยกไหล การตอนกง่ิ การตัดชํา และการเพาะเลี้ยงเนอ้ื เยื่อ การขยายพนั ธพุ ืชแบบอาศัยเพศ ¡ÒâÂÒ¾ѹ¸Ø¾ª× â´Â¡ÒÃà¾ÒÐàÁÅç´ เมล็ดพันธุ หมายถึง เมล็ดที่สุกแกแลว และยังมีชีวิตสามารถเจริญเติบโต เปนตนใหมและสามารถใหผลผลิตได ลักษณะเมล็ดพันธุที่ดี ประกอบดวย 1. มีลักษณะ ตรงตามสายพันธุที่ไดรับการระบุไว 2. มีความงอกสูง 3. มีความแข็งแรงสูง 4. มีอายุ การเก็บรักษาทย่ี าวนาน 5. มีความบริสทุ ธิส์ ูงปราศจากสิ่งเจือปน การพักตวั ของเมล็ดหรอื เรง ความงอก ทางกายภาพ เเชมนลด็เปพลชื ือบกางหชมุ นเดมิ อลา็ดจไมมรีย ะอยมะใพหกั น ตาํ วั แซลง่ึ ะมอคี าวกาามศแซตึมกผตาา นงกหนั รไปอื มโดสี ยารเกยดิ บั จยาั้งกกลากั รษงณอกะ ภายในเมลด็ วธิ ีทําลายการพักตัวของเมล็ดหรอื เรงความงอก 1. การแชนําเย็นสลับนําอุน นิยมใชกับเมล็ดพันธุผัก โดยแชในนําอุน 50 องศาเซลเซียส 30 นาที และแชในนําเย็น 10 องศาเซลเซียส 6 ชว่ั โมง หอ ดว ยผา ขาวบางชบุ นาํ หมาด ๆ 12-24 ชว่ั โมง แลว จงึ นาํ ไปเพาะ 2. การใชความรอน อบแหง อุณหภมู ิ 35-45 องศาเซลเซยี สใหมีความชืน้ ตาํ 3. การบม ดว ยความเยน็ และความชน้ื โดยนาํ เมลด็ พชื เพาะในทราย/กระดาษ นาํ ไปเกบ็ ไวท อ่ี ณุ หภมู ิ 5-10 องศาเซลเซยี ส 5 วนั แลว นาํ มาเพาะตามปกติ 4. เกพาอ่ืรใแหกน ะาํเปแลลอืะอกาหกมุ าเมศลผด็า /นทเขาํ า ลไาปยไดเป ลนอื ยิ กมหใมุชกเ มบั ลเด็มบลดา็ งพสชื ว ทนเ่ี ปทลาํอื ใกหหเ กมุ ดิ เมรอลยด็ แหตนกา 1 กรมสงเสรมิ การเกษตร

5. การลดปรมิ าณสารยบั ยงั้ การงอกของเมล็ดโดยการลา งนาํ เชน เมลด็ พนั ธผุ ัก 6. การใชกรด โดยแชเมล็ดดวยกรดกํามะถันเขมขน 5 นาที เพื่อใหเปลือกออนนุม แลวลา งนํา้ อกี ครั้งกอ นนําไปเพาะ สําหรบั เมล็ดท่ีมีเปลอื กหมุ เมล็ดหนา 7. การใชสารเคมีอ่ืน ๆ เชน สารละลายโปตัสเซียมไนเตรท ไทโอยูเรีย ไฮโดรเจน เปอรออกไซด หรือสารจิบเบอเรลลิคแอซิด ท่ีมีความเขมขน 0.02 – 0.04% แทนนํ้าในการเพาะเมล็ด เชน เมลด็ พืชอาหารสัตว ขาวโอต ¡ÒÃà¾ÒÐàÁÅç´¾ª× ã¹ÀÒª¹ÐËÃ×Íá»Å§à¾ÒÐ เปนการเตรียมตนกลาเพื่อใชกอนปลูกลงแปลงหรือกระถาง เหมาะสําหรับ เมล็ดพืชท่มี ีราคาแพง เนือ่ งจากมโี อกาสสูญเสยี นอย แบง ออกไดเปน 1. การเพาะเมลด็ พืชในภาชนะเพาะ ไมดอกไมปนริยะมดใับชในภกาาชรนปะลทูกี่ใพชืชคปวรริมมาีนณํานหอนยักเเบชาน การปลูกผักสวนครัวหลังบาน การปลูก ไมแตกหักหรือผุพังงาย มีรูระบายนํา วัสดุท่ีใชควรมีลักษณะโปรง มีอากาศถายเทดี อุมนําไดนานพอสมควร ระบายนําไดงาย ไมเ ปน กรดหรอื ดา งจดั จนทาํ ใหไ มเ จรญิ เตบิ โต การเพาะเมลด็ พชื ในภาชนะเพาะ มวี ธิ กี ารดงั น้ี 1.1 ใสว สั ดทุ ร่ี องกน ภาชนะเพาะเพอื่ ระบายนาํ้ เชน เศษอฐิ หกั หรือเปลือกถ่ัวลิสง จากน้ันใสดินลงภาชนะใหต่ํากวาขอบ ภาชนะเล็กนอย ปรับหนาดินใหเรียบ หวานเมล็ดในภาชนะ ใเพหแานะเน ปพนอแปถรวะมหาณรือรหดวนาาํ นใทหั่ชวมุท้ังภาชนะ กลบดินทับเมล็ด 1.2 เม่ือเมล็ดงอก 7-10 วัน ยายตนกลาโดยใชแทงไม ที่ปลายไมแหลมมาก แทงลงในวัสดุเพาะขาง ๆ ตนกลา เพอ่ื ใหว สั ดเุ พาะหลวม ในขณะทอ่ี กี มอื คอ ย ๆ ดงึ ตน กลา ขน้ึ มา 1.3 เม่ือไดตนกลาแลว ใชแทงไมแทงลงก่ิงกลางถึงท่ีใส วัสดุปลูกใหลึกถึงกนกระถางหรือถุง จากน้ันนําตนกลา ใสลงในหลุมใหใบเลี้ยงอยูระดับผิววัสดุปลูก กลบหลุมแลว ใหนํ้าแบบฝอยละเอียดจนนํ้าไหลออกจากกนถุง จากน้ัน นาํ ตน กลา ไวใ นทร่ี ม เมอ่ื ตน กลา ตง้ั ตวั ได ใหร บี นาํ ออกรบั แสง เพ่ือไมใ หต น กลายดื ประมาณ 2 สัปดาหต นกลาจะมใี บจรงิ ประมาณ 6 ใบ ซ่ึงพรอมที่จะยายปลูกลงกระถางท่ีใหญขึ้น หรือลงแปลงปลกู ตอ ไป 2 การปอ งกันกําจัดโรคและแมลงกศาัตรขรยูมานั ยสพาํนั ปธะพุหชืลัง

การปอง ักนกํา ัจดโรคและแมลงศัต ูรมัน ํสาปะห ัลง 2. การเพาะเมล็ดพืชในแปลงเพาะ 2.1 เตรียมแปลงเพาะ เลือกดินที่มีความสมบูรณ กําจัดวัชพืชออกใหหมด วางแปลงเพาะใหหัวและทายของแปลงอยูในแนวทิศเหนือและทิศใต ขนาดความยาว 6 เมตร กวาง 1.20 เมตร ตากดินใหแหงเพ่ือใหแปลงเพาะไมมีโรคและแมลงศัตรูพืช ยอยดินใหละเอียด ใสปุยคอกใหเหมาะสมตามความสมบูรณและชนิดของดิน รดนํ้าใหชื้น จากน้นั ยอ ยดินใหท ั่วแปลง ขึน้ รูปแปลงสงู จากพน้ื ดนิ 15 – 20 เซนตเิ มตร 2.2 หวานเมล็ดในแปลงเพาะ นิยมหวานท่ัวแปลง ถาแปลงมีขนาดกวาง ใหแบงหวานทีละครึ่ง กรณีที่เมล็ดมีขนาดเล็กหรือยอยดินไมละเอียด ใหใชปุยคอกหวาน ใหทั่วแปลง จากนั้นรดน้ําเพ่ือใหปุยคอกลงไปอุดชองดิน ปองกันไมใหเมล็ดตกลงไป ตามซอกดนิ จึงหวา นเมล็ดบาง ๆ กอนแลว หวานทบั อีกครงั้ กลบดนิ ทับเมล็ด 2.3 ทํารมใหตนกลาในแปลงเพาะ ตั้งแตตนกลาเร่ิมงอกจนถึงระยะยายปลูก เพอื่ ปองกันสภาพแวดลอ มทีไ่ มเหมาะสมตอ การงอก โดยเฉพาะแสง 2.4 ดูแลรักษาตนกลา หลังจากที่งอกพนผิวดินใหตนกลารับแสงทันที ในระยะ ที่ตนกลายังเลก็ ใหน้ําเปนละอองพนหมอก 4 ช่ัวโมงตอครง้ั ครง้ั ละ 10 นาที 2.5 ในกรณีท่ีหวานเมล็ดหนาเกินไป เมื่อเมล็ดงอกจะเบียดเสียดกัน ใหยาย ตน กลา ไปปลูกชว่ั คราวในภาชนะเพาะทส่ี ามารถเคลือ่ นยา ยไดส ะดวกกอนยายลงแปลง 1) ใหรดน้ําในแปลงเพาะใหชุมกอนถอนตนกลา เพ่ือใหวัสดุปลูกออนนุม และระบบรากตน กลาไดร บั การกระทบกระเทอื นนอ ยท่ีสดุ 2) เตรียมวัสดปุ ลูกเชน เดียวกับการเพาะเมล็ด 3) ยายตนกลาลงปลูกในถุงเพาะชํา หรือยายลงแปลงปลูกที่เตรียมไว โดยใหใ บเล้ียงอยรู ะดบั ผิววัสดุปลกู 4) กอนการยายตนกลาควรทําใหตนกลาแข็งแรง โดยลดการใหน้ํา หรือใชโ พแทสเซยี มคลอไรด อัตราสวน 1:250 ละลายน้ํา รดตนกลา 7 – 10 วัน กอนยายปลูก เพื่อใหทนตอสภาพการขาดน้ําระหวาง ยายปลกู 5) หลงั ปลกู รดนํา้ ใหชมุ และทาํ รมชัว่ คราวจนกระทั่งตนกลาพชื ต้งั ตวั ได 6) การใหปุย โดยใชปุยผสมท่ีมีฟอสฟอรัส (P2 O5) สูง เชน ใชสูตร N : P : K = 10 : 52 : 17 อตั รา 2.3 – 2.7 กโิ ลกรมั ตอ นาํ้ 400 ลติ ร 3 กรมสง เสรมิ การเกษตร

การขยายพันธพุ ชื แบบไมอ าศยั เพศ ¡ÒâÂÒ¾¹Ñ ¸¾Ø ª× â´Â¡Òõ´Ô µÒ µ‹Í¡è§Ô áÅзҺ¡èÔ§ การขยายพันธุพืชโดยการติดตา ตอก่ิง และทาบก่ิง เปนการเชื่อมประสาน สว นของพืชพนั ธุด ี (SCION) คือ สวนของตนพืชท่ตี ออยูสว นบนทาํ หนาท่ีเปน ยอดของตนพชื นยิ มใชพ นั ธพุ ชื ท่ีดที ต่ี อ งการผลผลติ กบั ตน ตอ (STOCK) คอื สว นของตน พชื ท่ีตออยสู ว นลา ง ทําหนาท่ีเปนราก นิยมใชพันธุพืชท่ีทนทานตอสภาพแวดลอม โรค และศัตรูพืชตางๆ เพื่อการขยายพันธุหรือเพื่อเปลี่ยนพันธุ เปนวิธีที่ตองใชกิ่งพันธุจํานวนมาก และคอนขาง ใชเวลานานแตมีโอกาสสําเร็จสูง โดยการนําตาพันธุดีไปติดบนแผลของตนตอพืชเรียกวา การติดตา ก่ิงจะถูกตัดออกจากตนแมแลวนํามาติดหรือตอเรียกวา การตอกิ่ง แตก่ิงที่ใช ยงั ตดิ อยทู ต่ี นแมพ นั ธเุ รยี กวา การทาบก่ิง 1. การตดิ ตา เปน วิธีทใ่ี ชตาพนั ธุด ี ไปตดิ บนแผลของตน ตอพืช เปน วิธที ี่สะดวก รวดเร็ว รวมท้งั ยังเปนการนําก่ิงพันธุดีของแหลงหนึ่งไปทําการติดตาอีกแหลงหน่ึงไดเหมาะสําหรับ การขยายพันธพุ ืชท่จี ําเปนจํานวนมาก ๆ การติดตาตองอาศัยความชํานาญและประสบการณ เก่ียวกับติดตาจะไดผลดี วิธีการติดตาสามารถทําไดรวดเร็วกวาการตอก่ิงและประสบผล สําเร็จสูง การติดตาจึงประหยัดก่ิงพันธุดีมากกวาวิธีตอกิ่งเนื่องจากสามารถใหตนใหม ไดจ ํานวนมาก และแขง็ แรงกวา การตอ กง่ิ บางวิธีอีกดว ย วิธีการตดิ ตาแบง ออกเปน 5 วิธดี งั นี้ 1.1 การติดตารูปตวั ที (T budding) เปนวิธีท่ีใชกับพืชทั่วๆไป โดยการติดตาที่เปดปากแผลบนตนตอแบบตัว T ส่ิงท่ีตองคํานึงเม่ือทําการติดตาแบบนี้ คือ ตนตอที่ใชตองสมบูรณ เปลือกไมลอกงาย ไมเปราะหรือฉีกขาด และตาพันธุดีสามารถลอกแผนตาออกไดงายไมใหญโตเกินไป ควรมขี นาดเสน ผาศูนยก ลางประมาณคร่งึ นิว้ นยิ มติดตาของ กุหลาบ พุทรา และสม 1) การเตรียมแผนตา เฉือนแผนตาของกิ่งพันธุดีเปนรูปโล ความยาว 1 น้ิว ใหมีเน้ือไมติดออกมาเล็กนอย ใชมือจับขอบของ แผน ตาหรอื กา นใบทเี่ หลอื อยู อยา แตะหรอื จบั บรเิ วณเนอื้ เยอ่ื ดา นใน ลอกเอาเนื้อไมออกจากแผนตา ระวังอยาใหจุดเจริญของตาหลุด ออกมาดว ย 2) เลือกตําแหนงบนตนตอบริเวณปลอง กรีดเปลือกเปน แนวยาวลงมา 1 น้ิว และกรีดขวางแนวบนรอยแรกทางดานบน คลายรูปตวั ที ใชป ลายมีดและเปลอื กจากหวั ตัว T ใหเ ผยอออกมา สําหรบั สอดแผน ตาได การปองกันกาํ จดั โรคและแมลงกศาัตรขรยูมานั ยสพําันปธะพุหืชลงั 4

การปอง ักนกํา ัจดโรคและแมลงศัต ูรมัน ํสาปะห ัลง 3) สอดแผนตาเขาไปในแผลของตนตอที่เตรียมไว ดันแผนตาท้ังแผน ใหเขาไปอยูตรงกลางของตัว T ถามี สวนบนของแผนตายังเลยหัวตัว T ออกมาทับเปลือกตนตอ ตอ งใชม ีดตัดสว นเกินนัน้ ออก 4) การพันพลาสติก ควรพันจากดานลางขึ้นดานบน ใหทับตาหรือ เปดครอมตาไวก็ไดเพราะเปลือกตนตอปดทับ แผนตาไวจึงไมสูญเสียความช้ืนไดงายนักถาปดผาพลาสติก ทับตาไว ตองสังเกตในระยะที่ตาเริ่มมีการเจริญเติบโต ใหกรีดผาพลาสติกบริเวณตาใหสามารถเจริญออกมาได ใชเวลานานประมาณ 3 สัปดาห เมื่อแผนตาเชื่อมตอกับ ตนตอใหต ดั ปลายยอดของตน ตอเหนอื แผนตาออก 1.2 การติดตาแบบเพลท (plate budding) เปนวิธีการติดตาท่ีคลายการติดตาแบบตัว T แตขนาดตนตอใหญกวา แบบตัว T ประมาณ 1-1.5 น้ิว ท่ีสําคัญคือ ตนตอและตาพันธุดีตองลอกเน้ือไม ออกจากเปลือกไดงาย เหมาะสําหรับพืชท่ีมีนํ้ายาง เชน ยางพารา ขนุน หรือพืชที่สราง รอยประสานชา เชน มะขาม โดยมีการทาํ แผลบนตน ตอ 2 แบบ คือ การทําแผลบนตนตอแบบ ตัวเอชหรือสะพานเปด (H - Budding) โดย การกรีดเปลือกไมเ ปนแนวขนานกับลําตน 2 แนว จากน้ันกรีดตรงกลางขวางรอยแนวกรีดขนาน เผยอเปลือกไมดานบนข้ึน และสวนดานลางของ แผลเผยอลงคลายสะพานเปดสอดแผนตาจาก ก่ิงพันธุดี พันพลาสติกใสเชนเดียวกับการติดตา แบบตัว T เหมาะกับพืชท่ีมีเปลือกหนา เหนียว ตดิ ตายาก และมยี าง หรอื พชื รอยเชอ่ื มประสานชา การทําแผลบนตนตอแบบ ตวั ไอ (I – Budding) โดยการกรีดรอยบนตนตอ เปนรูปตวั I จากนั้นใชปลายมดี เผยอเปลือกออก ทางดานขาง สอดแผนตาจากกิ่งพันธุดีเขาไป ในรอยกรีด และตัดสวนบนของแผนตาออก เพื่อใหแ นน พอดีกบั ตนตอ 5 กรมสงเสริมการเกษตร

1.3 การตดิ ตาแบบแพทซ หรอื แผน ปะ (Patch Budding) เปนการติดตาอีกแบบหน่ึงโดยนําแผนตาพันธุดีปะไปบนรอยแผลของตนตอ ที่เตรียมไวเปนรูปตาง ๆ นิยมใชกับพืชท่ีมีขนาดกิ่งไมโตมากนัก มีที่เปลือกหนา เน้ือไม ยังออนอยู เปลือกลอนไดงาย เกิดรอยประสานเร็วและไมมีนํ้ายาง เชน ตนอะโวคาโด และชบา เปน ตน การติดตาวิธีนี้จะทําไดชากวาและคอนขา งยากกวาวิธแี บบตัว T 1) นิยมใชกับพืชที่ติดไดงายมีเปลือกหนาสามารถลอก เปลือกได เชน อะโวคาโด วอลนัท ขนาดของตนตอและกิง่ พันธุดี ใกลเคียงกนั มีเสนผา ศูนยก ลางประมาณ 1 นิ้ว เอาแผนเปลือก ตนตอออกทง้ั หมด 2) การเตรียมตนตอ กรีดเปลือกตนตอเปนรูปส่ีเหล่ียม ผนื ผา แกะเปลอื กออกทง้ั หมด อาจกรดี แผลไวโ ดยยงั ไมล อกเปลอื ก ออกมา ชว ยใหเ กิดการสรา งเน้ือเยื่อแคลลัสไวก อ นระยะหนง่ึ 3) การเตรียมแผนตา เฉือนแผนตาเปนรูปสี่เหลี่ยม ผนื ผา กรดี เปลอื กตน ตอใหม ขี นาดเทา กบั แผลของตน ตอทเี่ ตรยี มไว ควรใหสวมเขาไปขนาดพอดีกัน 4) การพันดวยพลาสติก ใหปดทับแผนตาทั้งหมด จะไดผลดีกวาครอมแผนตาไว เพ่ือชวยไมใหมีการสูญเสียน้ําจาก รอยแผลได 1.4 การตดิ ตาแบบชิพ (chip budding) นิยมใชกับพืชท่ีลอกเปลือกไมออกยาก ไมลอนหรือเปลือกไมบางและเปราะ พชื ท่ไี มม ีนํา้ ยาง เลอื กขนาดตน ตอประมาณคร่ึงน้วิ เหมาะสําหรับการติดตาองุน เงาะ และ ไมผ ลอื่นที่ลอกเปลอื กไมยาก มเี ปลอื กบางหรือตน อยูในระยะการพักตวั 1) การเตรยี มตนตอ เฉือนตนตอเขา ไปในเนอ้ื ไมใ หลกึ เลยแนวเน้ือเย่อื เจรญิ เขา ไป ใหแ ผลยาวลงมา 0.5-1.0 นว้ิ ตดั ปลายดา นลา งของรอยแผลใหจ รดกบั รอยทเ่ี ฉอื นไว เอียงทํามุม 45 องศา จากน้ันเฉือนข้ึนดานบนลึกตามแนวเดิมและตัดปลายดานบน เอียงทํามุม 45 องศาเชน กนั สาํ หรบั เปน สว นยดึ แผน ตาไว การปอ งกนั กาํ จัดโรคและแมลงกศาตัรขรยมู านั ยสพาํนั ปธะุพหชืลัง 6

การปอง ักนกํา ัจดโรคและแมลงศัต ูรมัน ํสาปะห ัลง 2) การเฉือนแผนตา ทําเชนเดียวกับขนาดของแผลที่เตรียมบนตนตอ ใหสวนของตาอยูตรงกลางแผนตา สอดแผนตาเขาไปทางดานขางของแผลพัน พลาสติก ปด ทับแผนตาทง้ั หมด 3) ประมาณ 10 วัน ใหสังเกตแผนตา ยังเขียวอยูใหกรีดพลาสติกบริเวณ แผนตาออกหลังจากนนั้ 30-35 วนั ตาจะแตกใบออ น 4) คว่ันเปลือกไมเหนือรอยแผล เพื่อตัดทอลําเลียงอาหารไมใหไปเล้ียงกิ่งเดิม แตใ หมาเล้ียงยังก่งิ ทตี่ ดิ ตาจากก่ิงพนั ธุด ี ท้ิงไว 10-15 วนั จึงตัดยอดเดิมแลวนาํ ไปลงปลูก 1.5 การติดตาแบบซอน (double working by budding) การตดิ ตาดว ยวธิ นี จ้ี ะใชก บั ตน ตอและตาไมส ามารถเขา กนั ได จาํ เปน ตอ งใชต ากลาง โดยทําการติดตาซ้ําสองครั้ง กลาวคือตองติดตากลางเสียกอน เมื่อตากลางเชื่อมติดกันกับ ตน ตอแลว จึงทาํ การติดตาพนั ธดุ ีอีกรอบ 7 กรมสง เสรมิ การเกษตร

การเฉือนตากลาง เฉือนแผนเน้ือเย่ือ เชนเดียวกับการเฉือนแผนตา เปนรูปโลแลวทิ้งไว จ า ก น้ั น เ ฉื อ น ใ ห ลึ ก ข น า น กั บ ร อ ย แ ผ น ต า เ ดิ ม เปน แผนบาง ๆ การเฉือนแผนตา เฉือนแผนตาของกิ่งพันธุดี เปน รปู โลเ ชน เดยี วกบั การตดิ ตาแบบตวั ที วางแผน ตา ที่ไดปะกบกับแผนของตากลาง แลวสอดเขาไป ในแผลที่เตรียมไวบนตนตอ พันผาพลาสติกใหปด มิดทบั แผนตาท้ังหมด 2. การตอ กง่ิ เปนวิธีการขยายพันธุท่ีใหไดตนพันธุดี ซ่ึงมีลักษณะสายพันธุเหมือนตนแม โดยกิ่งพันธุดีจะทําหนาท่ีเปนลําตนของตนพืชใหม สวนตนตอที่นํามาทาบติดกับก่ิงของ ตนพันธุดีจะทําหนาที่เปนระบบรากเพื่อหาอาหารใหกับตนพันธุดี สามารถแบงออกเปน 3 ประเภท การนํากิ่งพันธุดีมาตอกับราก (root grafting) เปนการนํากิ่งพันธุดี ตอกับรากพืช โดยท่ีรากพืชตองมีความแข็งแรง ปลอดโรคและสามารถหาอาหารไดเกง นยิ มใชก ับไมผลเมอื งหนาว เชน แอปเปล สาล่ี และหมอน เปนตน การตอนําก่ิงพันธุดีมาตอกับตนคอดิน (crown grafting) เปนการตอก่ิง พันธุดีกบั ตน ตอระดับใตด นิ เลก็ นอย มักใชกับทอ นพันธุที่มีอายุมาก เชน องนุ เปน ตน การตอยอด (top grafting) เปนการตอก่ิงพันธุดีกับตนตอระดับเหนือดิน เปน วธิ ีทใ่ี ชกนั อยา งแพรห ลายในปจ จุบัน การตอกงิ่ สามารถแยกยอยไดเปน 5 วิธี ดงั น้ี 2.1 การตอ ก่งิ แบบฝานบวบ ใชตอก่ิงไมเน้ือออนและยอดออนของไมเนื้อแข็ง ขนาดของก่ิงพันธุดีและ ตนตอควรมีขนาดใกลเคียงกันและมีลักษณะท่ีตอเรียบและตรงโดยการเฉือนก่ิงตนตอและ กิ่งพันธุดีใหเฉยี งเปนแนวยาว 1.0-1.5 น้วิ ประกบแผลท้งั สองก่งิ ใหเขา กันพอดี ตน ตอ กิง่ พันธดุ ี 8 การปองกนั กําจดั โรคและแมลงกศาตัรขรยมู าันยสพาํนั ปธะพุหืชลงั

การปอง ักนกํา ัจดโรคและแมลงศัต ูรมัน ํสาปะห ัลง 2.2 การตอ กงิ่ แบบเสียบเปลือก เปนวิธีท่ีนิยมใชตอยอดไมผลเกือบทุกชนิด เชน มะมวง มะนาว ขนุน ลองกอง และองนุ เปน ตน ไมป ระดบั เชน เฟอ งฟา ผกากรอง ไทรชอ นทอง และโกสน เปน ตน เนื้อไมจะไมถ กู ผาออก โอกาสสาํ เร็จสงู 1) ใชตนตอลักษณะตรง ตัดยอดออกบริเวณ ภาพตัวอยางกรณไี มป ระดับ ใตขอ 2 กรดี เปลือกลงมายาว 1-2 นว้ิ เผยอเปลอื ก ออกท้งั สองขางของรอยกรีด 3) เฉือนกิ่งพันธุดีเฉียงลงเปนปากฉลาม บากโคนแผลของรอยเฉือนใหเปนบาและ เฉือนปลายรอยเฉือนทางดานตรงขาม เล็กนอย 4) เสียบยอดพันธุดีใหรอยบากเขาหาตนตอ และใหบา น่งั บนหวั ตนตอพอดี 5) พนั ดว ยผา พลาสติก 2.3 การตอก่ิงแบบเสยี บขา ง เปนวิธีการตอก่ิงไมประดับท่ีอยูในกระถาง และเปลือกตนตอไมสามารถ ลอกหรือลอกยาก เชน โกสน เล็บครุฑ ชบา รวมทั้งไมผลบางชนิด เชน มะมวง ทับทิม ลองกอง เปน ตน 1) เลือกตนตอลักษณะตรง เฉือนตนตอเขาไป ในเนือ้ ไมเ ปนมุม 20-30 องศา 2 เปน แนวยาวลงไป 2-3 น้วิ 3) เฉอื นโคนกงิ่ พันธดุ เี ปนรปู ล่มิ ยาว 2 นวิ้ 4) เฉอื นดา นเปลอื กตรงขามออกเล็กนอย 5) เสียบก่งิ ในแผลทเี่ ตรยี มไวบ นตนตอ 6) พนั ดว ยผา พลาสตกิ 10-14 วนั สงั เกตยอด กง่ิ พนั ธดุ ยี งั เขยี ว ใชป ลายมดี กรดี พลาสตกิ ใส ประมาณ 30-35 วัน ยอดก่ิงพันธุจะแตก ใบออน ประมาณ 4-5 ใบ คว่ันเปลือกไม เหนือรอยแผล ตัดทอลําเลียงอาหารไมให เล้ียงกิ่งเดิม รออีก 15-20 วัน จึงตัดกิ่ง เดมิ ออก 9 กรมสงเสรมิ การเกษตร

2.4 การตอก่งิ แบบเสยี บลิ่ม วิธีการนี้เหมาะสําหรับการเสียบยอดโดยเฉพาะ ขนาดของก่ิงที่เหมาะสมจะ มีเสนผานศูนยกลางประมาณ 1 – 4 นิ้ว กง่ิ พนั ธุดคี วรเปน กง่ิ อายปุ ระมาณ 1 ป มักใชกบั พชื ทม่ี กี ารผลัดใบ เชน ทบั ทมิ เปนตน 1) ตัดยอดของตน ตอออก 2) ใชม ดี ผา ลงไปตรงกลางเสน ผา ศนู ยก ลางกงิ่ ของตนตอยาวประมาณ 2-3 นวิ้ 3) การเตรียมกง่ิ พันธดุ ี เฉอื นโคนก่ิงพนั ธุดี 4) ใหเฉียงลงทง้ั สองขามเปน รปู ลม่ิ 5) ควรเฉือนใหสันลิ่มดานหนึ่งหนากวาอีก ดา นหนึ่ง เพ่อื ใหเน้อื เยือ่ เจริญไดส มั ผัสแนบ กับเนอื้ เย่ือเจรญิ ของตน ตอ 6) ใชม ีดเผยอรอยผา ของตนตอออก 7) เสียบก่ิงพันธุดีท่ีเตรียมไวลงไป ถาขนาด ของกิ่งพันธุดีเล็กกวาตนตอใหวางก่ิงชิดไป ทางดานใดดานหน่ึงของตนตอ หรือตนตอ ที่ มี ข น า ด ใ ห ญ ม า ก ส า ม า ร ถ กิ่ ง พั น ธุ ดี ท้งั สองขางของรอยผากไ็ ด 8) พันดว ยผา พลาสตกิ ใหแนน 2.5 การตอ กิ่งแบบเขา ลิ้น วิธีนี้ใชตอก่ิงขนาดเล็ก ประมาณครึ่งนิ้ว และก่ิงตอง มีขนาดเทากัน ควรใชกิ่งตรงและเรียบเฉือนตนตอเฉียงข้ึน ใหเปนปากฉลาม ยาว 1-2 นิ้ว ผาตนตอเขาไปในเนื้อไม จากตําแหนงหนึ่งในสามจากปลายแผลลงมายาวเสมอ ถึงโคนแผลของรอยเฉือน นิยมใชกับตนตอที่มีรากแลว เพื่อตองการใชกิ่งพันธุดีสําหรับเปล่ียนเฉือนปลายกิ่งพันธุดี ใหเฉยี งเชน เดียวกบั ท่เี ตรียมไวก ับตนตอ ผา กิ่งพันธุไมเขา ไป ในเนอ้ื ไมจ ากตาํ แหนง หนง่ึ ในสามจากปลายแผลเขา มายาวเสมอ ถงึ โคนแผลของรอยเฉอื น สวมกง่ิ พนั ธดุ เี ขา ไปในลน้ิ ของตน ตอ ใหข ดั กนั และปลายของกง่ิ เสมอพอดกี นั พนั ดว ยผา พลาสตกิ การปอ งกันกําจัดโรคและแมลงกศาัตรขรยมู าันยสพาํนั ปธะุพหืชลงั 10

การปอง ักนกํา ัจดโรคและแมลงศัต ูรมัน ํสาปะห ัลง 3. การทาบกิ่ง เปนวิธที ใ่ี ชต ดิ ตาตอ ก่ิงตนพืช เพือ่ การขยายพนั ธุ หรือเพ่ือเปล่ยี นพันธุ โดยอาศัย การตดั ยอดของตนตอ สามารถจําแนกไดเ ปน 2 ประเภทดงั น้ี การทาบกิ่งแบบประกบ เปนวิธีที่ทอนพันธุและกิ่งพันธุยังมีรากและยอด ใชก บั ไมเ นอ้ื ออ น เชน มะขามเทศ มะมวง ขนนุ ทุเรยี น มะขาม เปน ตน 1) การทาบกิ่งแบบประกบ เลือกก่ิงพันธุดีและตนตอ ท่ีมีขนาดใกลเคียงกัน ใชมีดเฉือนก่ิงพันธุดี เปน รปู โลใ หแ ผลยาว ประมาณ 2-3 นว้ิ สว นเหนอื ตนตอ ตนตอ รอยเฉือนของกงิ่ พันธุดี ยาว 30-50 เซนติเมตร กงิ่ พันธุดี กง่ิ พนั ธดุ ี เฉือนตนตอเปนแผลขนาดเทากันบริเวณใกล กับสวนโคนกิ่งทาบกันใหสนิท พันดวยผา พลาสติก 2) การทาบกิ่งแบบเขาล้ิน บ ริ เ ว ณ ร อ ย เ ฉื อ น จ ะ ทํ า เปนล้ินโดยเฉือนเขาในเน้ือไมจากตําแหนง ตนตอ ตน ตอ หน่ึงในสามของก่ิงท้ังสองใหหงายข้ึนและ กิ่งพันธดุ ี กง่ิ พนั ธดุ ี คว่ําลง ทาบกิ่งท้ังสองใหล้ินสอดกันเพื่อทําให รอยประสานไมฉีกหักงายและเพ่ิมพ้ืนท่ีสัมผัส ของแนวเนื้อเย่ือเจริญ นอกจากน้ันยังทําให การพันผาพลาสติกทําไดสะดวก 3) การทาบกง่ิ แบบแกะเปลอื ก ใชกับพืชที่มีขนาดแตกตาง กันมากระหวางตนตอและก่ิงพันธุดีหรือพืชท่ีมี เปลือกของตนตอหนากวา ก่ิงพันธุดีตองมี ตน ตอ เปลือกลอนสามารถลอกออกไดเตรียมตนตอ ก่งิ พันธุด ี โดยกรีดเปลือกสองแนวขนานกันลงมากวาง เทากับขนาดของก่ิงพันธุดีใหยาว 3-4 นิ้ว แลวกรีดขวางดานบนและดานลางเพ่ือลอก เอาเปลือกออก เฉือนดานหัวและทายรอยแผลเขาไปในเน้ือไมเฉียงลง จรดกับแนว ท่ีกรีดขวางไวท้ังดานบนและลาง เฉือนก่ิงพันธุดีเปนแผลรูปโลยาวเทากับแผลท่ีเตรียมไว บนตน ตอนาํ กิ่งทงั้ สองมาทาบกันพันดวยผาพลาสติก 30-45 วนั แลว จึงควน่ั ก่งิ ตนตอเหนอื รอยตอและควัน่ กิ่งพันธุด ใี ตร อยตอ กอนตัดออกมา ใหยอดของก่งิ พนั ธดุ เี จรญิ เตบิ โตตอ ไป 11 กรมสง เสรมิ การเกษตร

การทาบก่งิ แบบเสยี บ เปนวิธีทาบกิ่งท่ีเปล่ียนแปลงมาจากการทาบก่ิงแบบประกบ โดยตัดยอด ของตนตอออกเม่ือประกบกับกิ่งพันธุดีเพ่ือลดการคายน้ํา นิยมใชกับพืชทั่ว ๆ ไป เชน มะมว ง ขนุน ทเุ รยี น มะขาม กระทอ น เปน ตน 1) การทาบกงิ่ แบบ Modified spliced approach graft เลือกตนตอขนาดเล็กกวาหรือเทากับกิ่งพันธุดี โดยเฉือนตนตอ เปนปากฉลามแผลยาว 2-3 นิ้ว เหลือตนตอไว 4-6 น้ิว สําหรับทาบเขากับกิ่งพันธุดี ท่ีเฉือนเปนรูปโลไว นํามาทาบรอยเฉือนเขาดวยกันใหสนิท พันดวยผาพลาสติก มดั ถงุ ตน ตอใหแ นนกบั กิง่ พันธดุ ี ก่ิงพันธดุ ี ตน ตอ 2) การทาบก่ิงแบบ Modified side graft ตัดยอดตนตอใหเหลือโคนยาว 4-6 น้ิว เฉือนเปนปากฉลาม แผลยาว 1 .5-2.0 นิ้ว และเฉือนดานตรงขามของรอยเฉือนเขาเน้ือไมเปนรูปลิ่ม แผลอาจ สั้นกวารอยแรกที่เตรียมไว เฉือนก่ิงพันธุดีเฉียงขึ้นใหลึกเขาไปในเนื้อไมหน่ึงในสามของ ขนาดก่ิงใหแผลยาว 1.5-2.0 น้ิว นําตนตอท่ีเตรียมไวมาเสียบเขาไปในก่ิงพันธุดี พันดวย ผาพลาสติกยึดก่งิ ไวใ หแ นน ก่งิ พนั ธดุ ี ตนตอ การปอ งกนั กาํ จดั โรคและแมลงกศาัตรขรยูมานั ยสพําันปธะพุหืชลัง 12

การปอง ักนกํา ัจดโรคและแมลงศัต ูรมัน ํสาปะห ัลง 3) การทาบกิ่งแบบ Modified side veneer graft ปฏิบัติเชนเดียวกับ modified side graft แตกตางกันที่การเตรียม ก่ิงพันธุดี หลังจากเฉือนก่ิงเฉียงเขาไปในเนื้อไมแลว ตัดสวนเปลือกท่ีเฉือนออกสองสวน เหลือไวหน่ึงสวนเท าน้ัน ใหตัดเฉียงเปนมุม 45 องศาแลวทาบกิ่งตนตอที่เตรียมไวกอนพัน ดว ยผา พลาสติก ก่ิงพันธดุ ี ตน ตอ 4) การทาบก่งิ แบบ Modified bark graft สําหรับการค้ํายันกิ่งพันธุดีท่ีตนใหญกวาตนตอ โดยกรีดกิ่งพันธุดีเปน รปู ส่เี หลย่ี มผนื ผากลบั หวั ลงในตําแหนง ทจ่ี ะนําตน ตอมาค้ําได เผยอเปลอื กของกง่ิ พนั ธุดอี อก เตรียมตนตอโดยตัดยอดตนตอเหลือโคนไวในระดับที่จะเสียบกิ่งเฉือนปลายกิ่งเปน ปากฉลาม ใหดานนอกสั้นกวาดานในเล็กนอย เสียบเขาไปในแผลท่ีเตรียมไวบนก่ิงพันธุดี แลวพันดว ยผา พลาสติก ก่งิ พนั ธุดี ตนตอ 5) การทาบก่ิงแบบ L-flab method เปนวิธีท่ีใชสําหรับคํ้ายัน โดยกรีดกิ่งพันธุดีเปนรูปตัว T หัวกลับแลว เผยอเปลือกออกดานขวาหรือซายเพียงดานเดียว เตรียมตนตอโดยเฉือนปลายก่ิงเปน ปากฉลามทง้ั สองดา นใหด า นนอกสน้ั กวา ดา นในเลก็ นอ ย แลว เสยี บเขา ไปในแผลบนกง่ิ พนั ธดุ ี แลว พันดวยผา พลาสตกิ กง่ิ พนั ธุดี ตน ตอ 13 กรมสง เสริมการเกษตร

¡ÒâÂÒ¾¹Ñ ¸¾Ø תâ´Â¡ÒÃầ‹ áÅСÒÃá¡ 1. การขยายพันธพุ ชื โดยการแบง เพ่ื อขยาย คือ กวาิธรีกตัดารแแบบงชงิ้นขึ้สนวอนยตูกาับงชๆ นิดขขอองงหสัววนซึ่งทอี่นาําจมจะาเขปยนารยาพกัหนรธือุ ลเชํานตนบพัลิเศบษ ขคอองพรมืช พันธุ ทวิ เบอร ไรโซม ซโู ดบัลบ เปนตน มรี ายล ะเอียดดงั น้ี 1.1 การแบงหวั บัลบ ผาหัวบัลบออก ย 8-12 ช้ินใ นแนว ตั้งใหมีสวนของฐานติดอยูทุกช้ิน แช ากั น เ ช้ือ ร า ใ1หน0ัววบ-สั 3ัลด0บปุ จลนะกู สาเทรชานี งวหพาัวทีงยมชออิ้นยสสใวหทนรมทาขย้ิึ้งนไบเวพรใอิเหวรไแณ ลหฐท งา น2นนํสา ปัิไยปดมาชใหํชา ขยายพนั ธุ วา นส่ีทศิ บัวดิน เปนตน 1.2 หกัวาครแอบรมง หควั ือคอสรมวนโคน ของแ กนตน ทขี่ ยายใหญข นึ้ หอ หมุ ดว ยใบทแ่ี หง เปน แผ น คอ รม ทม่ี ี นขขนยําาามยดาพใตหนััดญธแุไจ บดะงสเเงัปชเนนกชตแ้ินเกหเลลน็ ด็กตโิ าอๆเลมโสั อื่ดมยเผอีใือหากยมมุีตบาาอก ตนจิดสะอสี เยาป ูมนเาตพรนื่ถอ 1.3 การแบงทิวเบอร ทิวเบอร คือ โครงสรางของลําตนที่เปล่ียนแปลงไปมีลักษณะบวมโต ทําหนาท่ีเปนอวัยวะสะสมอาหารอยูใตดิน ทิวเบอรมีสวนตาง ๆ เหมือนลําตนแตบวม โตกวา ตาเรียงกันเปนระเบียบ มีขอชัดเจน แตละขอมีตา 1-2 ตา ขอเรียงเปนวง เชน มันฝรั่ง และอารติโชค เปน ตน แบง เปน 2 ชนดิ คอื ตน ท่ีเปน หัว และรากทีเ่ ปน หัว การปอ งกนั กาํ จัดโรคและแมลงกศาัตรขรยูมานั ยสพํานั ปธะุพหชืลัง 14

การปอง ักนกํา ัจดโรคและแมลงศัต ูรมัน ํสาปะห ัลง 1) การแบง ตนท่ีเปน หัว ทําไดโดยนําหัวมาแบงเปนชิ้นเล็ก ๆ ใหมีตาติดอยู 1-2 ตา ทาปูนแดงบริเวณแผล วางทิ้งไวให ปูนแดงแหง นําไปปกชําในทราย หรือทรายผสมถานแกลบ อัตราสวน 1:1 ใหเกิดรากและสรางตนใหม เชน บอนสี และดองดงึ เปน ตน ทม่ี า : มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช (2561) 2) การแบง รากท่เี ปน หัว ทําไดโดยนําหัวมาแบงเปนชิ้นเล็ก ๆ ใหมีตาติดอยู 1-2 ตา ทาปูนแดงบริเวณรอยแผล วางท้ิงไว ใหปูนแดงแหง ปกชําโดยใหตาโผลเหนือวัสดุปลูก จะได ตนใหมจากหัวจํานวนมาก เชน มันเทศประดับ มันเทศ ดาเลีย รกั เร เปน ตน 1.4 การแบง ไรโซม ทม่ี า : มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช (2561) ไรโซม คือ ลําตน แบบพเิ ศษท่ีแกนของตน เจริญ ทอดยาวไปบนดิน หรืออยูใตผิวดิน ประกอบดวยขอ ปลอง และตา สามารถตัดแบงหัวใหม ทาบาดแผลท่ีตัดดวยปูนแดง รอใหปูนแดงแหง นําไปชําลงในวัสดุปลูกเพื่อเพิ่มจํานวน เชน ขงิ แดง ขา พุทธรกั ษา กลว ย เปน ตน 2. การขยายพนั ธุพ ชื โดยการแยก ทม่ี า : มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช (2561) คือ การแยกสวนท่ีแกะออกจากกันไดของลาํ ตนพเิ ศษของพืชเพอ่ื ขยายพันธุ 2.1. การแยกออฟเซท็ เปนการแยกหัวลูกหรือออฟเซ็ทท่ีแตกออก มาจากหัวแม ซึ่งนํามาแยกเปนหัวยอย ๆ เพ่ือขยายพันธุ เพมิ่ จํานวนไดอยา งรวดเรว็ เชน ไอรสิ วานสีท่ ิศ ลลิ ล่ี เปนตน แตพ ชื บางชนดิ จะสรา งหวั ยอ ยชา จงึ ไมเ หมาะสมในการขยายพนั ธุ ดวยวิธนี ี้ 2.2 การแยกรนั เนอร (runner) หรือไหล ทม่ี า : มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช (2561) เปนสวนของตนใหม ท่ีเจริญจากซอกใบที่อยู บรเิ วณรอยตอ ระหวา งตน ตอคอดนิ และราก ทาํ การตดั แยกออก มากจากตนแม หรอื ใชว ิธีการวางบนวัสดปุ ลูก เม่อื รากออกแลว คอยแยกออกจากตน แมพ นั ธุ เชน สตรอวเบอรรี เปนตน 15 กรมสงเสรมิ การเกษตร

¡ÒâÂÒ¾¹Ñ ¸Ø¾ª× â´Â¡Òõ͹¡Ôè§ การตอนก่ิง เปนวิธีการที่ทําใหกิ่งพืชเกิดรากขณะท่ียังติดอยูกับตนแม กิ่งตอน ยังมีทอน้ําติดอยูกับตนแมไดรับน้ําและธาตุอาหารอยูตลอดเวลา ก่ิงและใบจึงสดอยู ตลอดจนกระทั่งเกิดราก การตอนกิ่งมักมีการรบกวนระบบการลําเลียงสารอาหารจากใบ ทอ่ี ยูส วนยอดมายงั สวนลําตน โดยการทาํ บาดแผล ทําใหบริเวณดังกลา วสรา งจุดกําเนิดราก และพฒั นาของราก สามารถดําเนินการได 3 วิธี คอื ทําแผลแบบคว่ันกิ่ง โดยคว่ันเปลือก เหมาะสําหรับพืชประเภทไมดอก ไมประดับ เชน กุหลาบ โมก และโกสน ไมผล เชน มะมวง ลําไย มะนาว สม ชมพู ฝรัง่ และลิ้นจี่ เปนตน 1) กรดี เปลือกก่ิงเปน วงแหวน 2 วง 2) ลอกเปลือกและขูดเยือ่ เจรญิ ออก 3) ใชขุยมะพราวหมุ ก่ิงตอนมัดใหแ นน ทาํ แผลแบบปาดกง่ิ ใชข ยุ มะพรา วหมุ กง่ิ ตอนมดั ดว ยเชอื กใหแ นน เหมาะสาํ หรบั พชื ทอ่ี อกรากงา ย เชน มะละกอ ชวนชม และลลี าวดี เปน ตน 1) ปาดก่งิ เขาไปเน้อื ไมเอียงเปนรูปปากฉลามประมาณ 1 ใน 3 ของเสน ผา ศนู ยก ลาง ความยาวแผล 1-2 นว้ิ 2) นําเศษไมสอดไวเ พ่ือไมใหร อยแผลตดิ กัน ทําแผลแบบกรีดก่ิง โดยใชใบมีดกรีดรอยแผลตามความยาวของกิ่ง ยาว 1-1.5 นว้ิ ลกึ ถงึ เน้ือไม 3-5 รอยรอบกง่ิ จากนั้นใช ขุยมะพราวหุมกิ่งตอนมัดดวยเชือกใหแนน เหมาะสําหรับ ดิง่ ออนที่ออกรากงา ย เชน หมากผูหมากเมยี โกสน เปนตน 1) ใชม ดี กรดี แผลตามยาวของกง่ิ 2) รอยแผลท่ีกรีดเสรจ็ เรียบรอย การตอนกิง่ แบงเปน ตอนใตด ิน และตอนบนอากาศ มี 5 วธิ ีการ ดงั นี้ 1. การตอนกิ่งแบบ Air Layering (อากาศ) ควรเลือกใชกิ่งท่ีมีอายุพอเหมาะในระยะที่ตนแมอยูในชวงที่มีการเจริญเติบโต ก่ิงท่ีมีอายุมากการเกิดรากจะไมดี ระยะเวลาท่ีเหมาะสมในการตอนกิ่งสังเกตไดจาก สามารถลอกเปลือกออกจากกิ่งไดงาย ควรเลอื กใชก ับพืชที่ออกรากไดง า ย เชน ไทร โกสน หนวดปลาหมึก เปนตน ก่ิงที่ตั้งตรงจะเกิดรากไดรอบกิ่งดีกวาก่ิงที่โนมเอียง ความยาวกิ่ง จากปลายยอด ประมาณ 8-12 น้ิวและมีใบอยูชวยในการสรางอาหาร และสงสารเรง การเกิดรากจากใบมายังบริเวณท่ีเกิดรากได เปนก่ิงท่ีไดรับแสงแดดเต็มท่ี ก่ิงท่ีอยูในที่รม ไมควรใชเ พราะออกรากนอยหรือชา หรือไมอ อกรากเลย การปอ งกนั กาํ จดั โรคและแมลงกศาตัรขรยูมานั ยสพํานั ปธะพุหืชลัง 16

การปอง ักนกํา ัจดโรคและแมลงศัต ูรมัน ํสาปะห ัลง 1) คว่ันกิ่งโดยรอบเพ่ือตัดการลําเลียงอาหาร ผานทอ อาหาร จากใบลงมาสูส ว นลางของรอยควนั่ ระยะหา งของรอยควัน่ เทา กับเสน รอบวงของกิ่งนั้น หรอื อยรู ะหวา ง 0.5-1.0 น้วิ 2) กรดี เปน แนวยาวเพอื่ ลอกเอาเปลอื กไมห รอื ทอ อาหารออก อาจใชอุปกรณอื่นชวยในการปฏิบัติงาน เชน ใชคีมบีบแลวหมุน เอาเปลอื กไมออก ชว ยใหทาํ งานไดสะดวกขึ้น 3) ขูดเบา ๆ ดวยสันมีดโดยขูดจากดานบนลงดานลาง รอบแกนลาํ ตน ที่ลอกเปลือกออกใหห มด รกั ษาความสะอาดบรเิ วณ รอยควนั่ ทางดา นบน ใชสารเรงรากกระตนุ การเกิดรากบรเิ วณเหนอื รอยคว่นั ทาํ การกรดี เปน แผลแนวตรง 2-3 แนว ยาว 1 เซนตเิ มตร บรเิ วณที่จะเกิดรากใหม ชวยใหร ากเจรญิ ออกมาสะดวกขนึ้ 4) นําวัสดุท่ีมีความชื้นมาหุมบริเวณรอยคว่ัน โดยใช สแฟกน่ัมมอสหรือขุยมะพราวที่มีความช้ืนพอเหมาะบรรจุใสถุง พลาสติกพอประมาณ มัดปากถุงดวยเชือกฟาง ไมควรใสมาก จนเกนิ ไป จะทาํ ใหไ มส ามารถหมุ กง่ิ ไดร อบ 5) กรีดถุงตามแนวยาวดานที่ใชหุมกิ่ง ดึงถุงท่ีใสวัสดุไว ใหหุมก่ิง โดยรอบมัดดวยเชือกฟางใหแนน อยาใหเคลื่อนยาย มฉิ ะนนั้ จะทําใหร ากใหมไ ดรับอันตรายได 6) สาํ หรบั พชื ทใี่ ชเ วลาในการเกดิ รากนานอาจใชด นิ เหนยี วหมุ โดยรอบรอยควั่นแลวใชกาบมะพราวที่แชน้ําไวชุมแลวมาหอไว อีกชั้นหน่ึง เพ่ือปองกันไมใหดินแหงหุมดวยพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง จงึ มดั ใหแนน ดวยเชือกฟาง 7) เม่ือเกิดรากปริมาณรากพอสมควรแลว จะใชระยะเวลา แตกตางกันไปตามชนิดของพืช สังเกตจากสีของรากเริ่มมีการ เปลี่ยนสีและมจี าํ นวนรากมากจงึ ตัดกงิ่ ออกจากตน แม 8) การเกบ็ รกั ษากงิ่ ตอนตองรดนํ้าก่ิงใหชุม หรือแชบ ริเวณที่ เกดิ รากไวใ นนาํ้ เวลาปลกู ตดั แตง กง่ิ ใบออกใหส มดลุ กบั ราก ควรยดึ ก่ิงใหแนนอยาใหกิ่งโยก การดูแลรักษาในระยะแรกควรรดนํ้า อยางสมํ่าเสมอ และเก็บรกั ษาไวใ นทร่ี มเงาสกั ระยะหนึงกอ น 17 กรมสงเสริมการเกษตร

2. เกกาดิ รเตมออ่ื นกกงิ่ ิ่งพแชื บทบก่ี าํ TลiงัpเจLรaญิ yเeต rบิ inโตg โนม แตะกบั พนื้ ดนิ แลว สว นยอดหรอื ปลายกง่ิ ยอนตั้งขึ้นใหม บรเิ วณทส่ี ัมผสั กับดนิ หรืดนิ ก ลบทับไวเ กิดเปนตน ใหม เชน ราสเบอรรี เปนตน โในหมลลึกงปไรดะง3มา.ยาใกณชเาชคกรนัรบตึ่งพอพหนืชืชนทกทึ่ิ่งี่งมี่เแขีลปบอํานตบงเขถนนSายiเาาmลวดื้อแpกยลlิ่งeะแ โก ดลL่ิงยaวสyใปาชeมาลrดาiวnรกดถิ่gง หรือไมยึดก่ิงไวกับพื้นกลบดวยดิน รอจ นก่ิงมีการ สฟรโ ลางเดรานกดรเกอดินเปเงน นิ ตไนหใลหมมาจ สงึ ตาวดั นอออยกปไประปแลปูก ง นอิยงมุนทาํ กับ 4. การตอนกง่ิ แบบ Compoun d Layering ใชกับพืชที่มีลําตนยาวและก ิ่งสามารถ โนมลงยึดไวกับดินเปนแบบหลาย ๆ ชวง ใ หก่ิงท่ีโผล สเหวนนือทด่ีถินูกมกีขลอบอทยับูดดววยยดสินําเจหรริญับเกปานรรเจากริญเกเิดปเนป ยนอตดนแใหลมะ จาํ นวนมาก เชน พลดู า ง ออมเงนิ ออมทอง ม ะลิ เปน ตน 5. อกาาจรเตรียอกนวกา่ิงกแาบรตบอนSกtิ่งoแoบlบสL ุมa yering ใชตอน กิ่งกับพืชท่ีมีก่ิงตั้งตรงโดยการปลูกตนแม ในแปลง แลวตัดใหเหลือโคนตนใกลระดับดิน จะเก ิดกิ่งใหม จํานวนมากบริเวณกิ่งที่ถูกตัด ใชดินหร ือวัสดุชื้น พพัูฒนโนคานเปกน่ิงตเหนลใาหนมั้นตไอวไ ปทํานใิยหมเทกิาํดกรบัากแขึ้อนปบเรปิเ วล ณกโุหคลนากบ่ิง โพรเทีย การปองกนั ก าํ จดั โรคและแมลงกศาตัรขรยูมานั ยสพําันปธะุพหืชลงั 18

การปอง ักนกํา ัจดโรคและแมลงศัต ูรมัน ํสาปะห ัลง ¡ÒâÂÒ¾ѹ¸Ø¾ª× â´Â¡Òõ´Ñ ªÒí การตัดชํา เปนการติดเอาสวนใดสวนหน่ึงของตน ใบ หรือรากไปเพาะเล้ียง ในสภาพที่เหมาะสมตอการเจริญเติบโต คือ สภาพท่ีมีความช้ืน แตไมแฉะ และไมมีแสง เพ่ือกระตุนใหเกิดการสรางรากและยอดขึ้นมาใหม หรือนําสวนของราก ลําตน ก่ิง หรือใบพืชจากตนแมพันธุ เหน่ียวนําใหเกิดรากและหรือยอดโดยใชสารเคมี กลวิธี และ การดดั แปลงสภาพแวดลอมใหเหมาะสม วิธกี ารตัดชาํ พชื แบงออก 3 วธิ ี ดังนี้ 1. การตัดชาํ ก่งิ เลือกใชกิ่งไดตามเนื้อไม คือ กิ่งออน กิ่งกึ่งออนกึ่งแก และกิ่งแก โดยมีรายละเอียดของแตล ะลักษณะความแตกตางของเนอื้ ไมด งั นี้ 1.1 การตดั ชาํ ก่งิ ออ น ควรตัดก่งิ ในตอนเชา วสั ดชุ าํ ท่ีดี คือ ทรายและขี้เถาแกลบ อัตราสวน 1:1 พืชที่นิยม ไดแก เขม็ ยโี่ ถ กุหลาบ ชมพู สม กระทอน เปนตน ควรเลือกก่ิงจากพืชที่ไดรับแสงแดดเต็มท่ี ไมมีลักษณะอวบอวนหรือผอมออนแอ ตัดกิ่งใหยาว 3-5 น้ิว มอี ยา งนอ ย 2 ขอ ตดั โคนกง่ิ ใตข อ เอาใบลา ง ๆ ออก ถา ใบใหญ และยาวใหตัดแผนใบออกเชนเดียวกับการเตรียมก่ิงกึ่งออน ก่ึงแก ตองระวังไมใหใบเห่ียวกอนออกราก อุณหภูมิใบพืช อยูประมาณ 21 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิของวัสดุชํา อยูประมาณ 23-27 องศาเซลเซียส 1.2 การตัดชํากิ่งก่ึงออนก่ึงแก วัสดุชําใชชนิดและ อัตราสวนเชนเดียวกับการตัดชํากิ่งออน พืชท่ีเหมาะสม ไดแ ก สม ชมพู องุน เฟอ งฟา ยีโ่ ถ ชบา เปน ตน นิยมใชกิ่งบริเวณใกลปลายยอด หรือสวนโคน ของก่ิง ตัดก่ิงชํายาว 3-6 นิ้ว เอาใบลางออก ถาใบมีขนาด ใหญและยาวใหตัดแผนใบออกหน่ึงในสามถึงครึ่งหน่ึง เพ่ือลด การคายนาํ้ อยา งไรกต็ ามใหม ใี บเหลอื อยกู บั กง่ิ นน้ั ใหผ ลสาํ เรจ็ ไดด กี วา กง่ิ ทไี่ มม ใี บตดิ อยเู ลย ใบยงั สามารถสงั เคราะหแ สงมาใช ในการเกดิ รากได กรมสง เสริมการเกษตร 19

1.3 การตดั ชํากงิ่ แก นิยมใชกับพชื ท่ีมเี น้ือแข็ง ไดแก มะกอก มะเดอ่ื องนุ หมอ น ทบั ทมิ พลบั หลวิ กหุ ลาบ มะลิ เฟอ งฟา โกสน เปน ตน เลือกกิ่งระยะตนพักตัวหรือกิ่งที่ไมมีใบติด อยูแลว คัดกิ่งท่ีสมบูรณบริเวณโคนของก่ิงท่ีมีอายุหนึ่งป กิ่งขนาดกลางจะใหการออกรากไดดีกวา เตรียมก่ิงโดยตัดกิ่ง ใหมีความยาวประมาณ 8 น้ิว ดานบนของก่ิงตัดชิดเหนือ ขอเปนแนวตรง ดานลางของกิ่งตัดเฉียงเปนมุม 45 องศา บริเวณใตขอ ปกชําในภาชนะท่ีใสวัสดุชําใหก่ิงเอียง 45 องศา ลกึ สองในสามของความยาวกง่ิ หรอื ใหม ตี าอยเู หนอื วสั ดชุ าํ 2-3 ตา การวางกง่ิ ใหเ อยี ง ทาํ ใหก ่ิงมีพนื้ ท่ีผิวสมั ผัสอยูในวสั ดไุ ดมาก 2. การตดั ชําใบ การตัดชาํ ใบสามารถแบงออกเปน 2 วธิ ี คอื การตดั ชําตวั ใบ และการตดั ชาํ ใบ ทม่ี ตี าติดกา นใบ โดยมรี ายละเอยี ดดงั นี้ 2.1 การตัดชําตัวใบ สามารถแบงไดเปน 3 แบบ คือ การตัดชําแผนใบ การตัดชาํ ใบทีม่ ีกานใบ และการตัดชาํ สวนใบ โดยมีรายละเอยี ดดังนี้ แบบท่ี1 : การตัดชําแผนใบ เปนการนําแผนใบไปวางเล้ียงในสภาพที่ เหมาะสมเพ่อื ชักนาํ การเกิดพืชตนใหม การเกดิ พืชตน ใหม มี 2 วธิ ี ดงั น้ี การตัดชําใบพวกที่เกิดราก ทม่ี า : มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช (2561) และยอดจากเนื้อเยื่อเจริญปฐมภูมิของใบ ทําได โดยการนําใบแกไปวางบนวัสดุชําที่มีความชื้นสูง รดน้าํ 1-2 สัปดาห บรเิ วณจักรขอบใบจะเกิดตนขนึ้ เมอื่ ตน โตสามารถแยกไปปลกู เปน พชื ตนใหมได การตัดชําใบพวกท่ีเกิดราก และยอดจากเน้ือเยื่อเจริญทุติยภูมิของใบ ใหตัด ใบแกเ ปนทอ น ๆ ยาว 6-10 เซนติเมตร นําไปชํา ในทรายผสมข้ีเถาแกลบอัตราสวน 1:1 ปกใบลึก 1 ใน 3 ของแผน ใบ หม่นั รดนาํ้ เพ่ือรักษาความชืน้ เม่อื แทงยอดใหมและรามากพอทาํ การยา ยปลกู ได เชน วา นลิน้ มงั กร เปน ตน การปอ งกันกําจัดโรคและแมลงกศาัตรขรยูมานั ยสพํานั ปธะุพหชืลัง 20

การปอง ักนกํา ัจดโรคและแมลงศัต ูรมัน ํสาปะห ัลง แบบที่ 2 : การตัดชําใบที่มีกานใบ เปนวิธีการตัดชําที่เหมาะกับพืชท่ีมี ขนาดเล็ก อวบนํ้า โดยเลือกใบที่คอนขางแก ขนาดปานกลาง ใบมีความสมบูรณ ทําไดโดยการตัดสวนโคนกานใบใหเหลือประมาณ 1-2 เซนติเมตร แลวนําไปชําในวัสดุชํา โดยปกใบใหม ดิ โคนกา นใบพอดี เชน อัฟริกนั ไวเลท็ เปน ตน แบบท่ี 3 : การตัดชําสวนใบ เหมาะกับพืชที่มีขนาดเล็ก อวบน้ํา ทําได โดยการตัดเสนใบของใบพืชแตไมใหแผนใบ ขาดจากกัน นําใบไปวางบนวสั ดุชาํ ท่อี ยใู นที่รม และช้ืน พืชตนใหมจะเกิดข้ึนบริเวณรอยตัด สามารถแยกไปปลูกเปนพืชตนใหมได เชน กลอ็ กซเิ นยี เปน ตน 2.2 การตัดชําใบที่มีตาติดกานใบ เปนการตัดชําโดยใหมีสวนของตา ติดไปกับโคนกานใบดวย ควรเลือกใบท่ีมีตาสมบูรณ แลวนําไปชําในวัสดุชําท่ีมีความลึก 1-2 เซนติเมตร วัสดุชําใชทราย หรือทรายผสมขุยมะพราว รดนํ้าใหมีความชื้นสมํ่าเสมอ พืชท่ขี ยายพนั ธุวิธนี ี้ ไดแก ยางอนิ เดยี โกสน มะนาว สม เบญจมาศ เปน ตน 3. การตัดชําราก วธิ กี ารตดั ชาํ จะเลอื กรากทม่ี ขี นาดใหญ เสนผานศูนยกลาง 0.5-1 เซนติเมตร โดยตัดให รากมคี วามยาวประมาณ 5 เซนตเิ มตร แลว นาํ ไปชํา ในวัสดุที่เปนทรายและขี้เถาแกลบ อัตราสวน 1:1 ควรใชรากที่มีอายุนอยและมีอาหารสะสม สามารถ ทําไดกับพืชหลายชนิด เชน สน แคแสด สายรุง สาเก เปนตน ทม่ี า : มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช (2561) 21 กรมสงเสริมการเกษตร

¡ÒâÂÒ¾¹Ñ ¸Ø¾ª× â´Â¡ÒÃà¾ÒÐàÅéÂÕ §à¹é×ÍàÂèÍ× เปนการขยายพันธุพืชแบบไมใชเพศวิธีหน่ึง ทําโดยการนําชิ้นสวนตาง ๆ ของพืช เชน ตาขาง ตายอด หนอออน ใบ เมล็ด มาเพาะเลี้ยงในอาหารสังเคราะหประกอบดวย เกลือแร น้ําตาล วิตามิน และสารควบคุมการเจริญเติบโต ภายใตสภาพแวดลอม ท่ีควบคุมได ปลอดจากเช้ือจุลินทรียใหพัฒนาเปนตนพืชท่ีสมบูรณ เปนวิธีการขยายพันธุพืช ที่มีประสิทธิภาพ สามารถผลิตพืชไดจํานวนมากในเวลาท่ีกําหนด ตนพืชสมบูรณแข็งแรง ปลอดโรคที่มีสาเหตุจากเช้ือไวรัส เช้ือรา และเช้ือแบคทีเรีย ที่อาจติดมากับตนพันธุ ตลอดจนการอนุรักษพันธุกรรมพืช และการปรับปรุงพันธุพืช พืชที่นิยมขยายพันธุดวยวิธีน้ี ไดแก ไมยืนตน เชน ยูคาลิปตัส ไผ สัก เปนตน พืชผัก เชน ขิง หนอไมฝรั่ง และ ปูเล เปนตน ไมผล เชน กลว ย สับปะรด สตรอวเ บอรร ี และสม เปน ตน ไมดอกไมป ระดบั เชน หนาวัว เบญจมาศ กลวยไม วานสี่ทิศ เยอบีรา เฮลิโคเนีย และฟโลเดนดรอน เปน ตน พชื กินแมลง เชน หยาดนาํ้ คา ง กาบหอยแครง และหมอ ขา วหมอแกงลงิ เปน ตน ขอ ดีของการเพาะเล้ียงเน้ือเยอื่ พืช 1) เพ่ิมปริมาณไดจํานวนมากในระยะเวลาสั้น มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนตน แมพันธุ ขยายพันธุพืชจํานวนมากในเวลาท่ีกําหนด ไดตนพืชท่ีสมํ่าเสมอเหมือน ตนเดิม 2) ตนพืชที่ไดมีความสมํ่าเสมอ เก็บเกี่ยวผลผลิตไดพรอมกัน เหมาะกับการผลิต เชิงการคา 3) เพ่ือผลติ พนั ธุพืชปลอดโรคไดต น พชื ปลอดเชือ้ ไวรสั และปลอดเช้อื แบคทีเรยี 4) เพ่ืออนรุ ักษแ ละเก็บรกั ษาพันธพุ ืช ปรับปรงุ พันธพุ ชื และการสรางพันธพุ ืชใหม ๆ การปอ งกนั กาํ จดั โรคและแมลงกศาัตรขรยูมาันยสพํานั ปธะพุหืชลัง 22

การปอง ักนกํา ัจดโรคและแมลงศัต ูรมัน ํสาปะห ัลง วิธกี ารเพาะเลย้ี งเนือ้ เย่อื พชื 1) คัดเลอื กช้นิ สวนพชื สว นของพชื แทบทกุ สวน ไมวาจะเปนสวนของลําตน ตา ดอก ราก เน้ือเย่ือ เซลล หรือ โปรโตพลาส สามารถนํามาเพาะเล้ียงเนื้อเย่ือใหเกิด เปนตนได ท้ังน้ีข้ึนอยูกับวัตถุประสงคท่ีทําการเพาะเล้ียง เน้อื เยอ่ื 2) การทําความสะอาด ช้ินสวนท่ีนํามาทํา การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อควรเปนช้ินสวนท่ีสะอาด ปราศจาก เช้ือจุลินทรียตาง ๆ ดังนั้นจึงตองนํามาฆาเช้ือดวยวิธีการ ฟอกฆา เชื้อ แลว ลา งดว ยน้าํ นง่ึ ที่ผา นการฆาเชอ้ื แลว 3) การตัดเนื้อเย่ือ ชิ้นสวนพืชที่ทําการฆาเช้ือ แลวนําเขาตูปลอดเชื้อ ตัดเปนชิ้นเล็ก ๆ วางลงบนอาหาร สงั เคราะหท ีผ่ านการฆาเชือ้ แลว 4) การบมเล้ียงเน้ือเยื่อ นําขวดอาหารท่ีมี ชิ้นสวนพืชวางบนชั้น ท่ีมีแสงสวาง 2,000 - 4,000 ลักซ วันละ 12 - 16 ช่ัวโมง ในหองที่ควบคุมอุณหภูมิ 25 - 28 องศาเซลเซียส จนกระทั่งชิ้นสวนของพืช มีการพฒั นาเปน ตน ท่สี มบรู ณ 5) การตัดแบงและเล้ียงอาหาร ตัดแบงชิ้น สวนพืช และเปล่ียนอาหารเพื่อเพิ่มปริมาณของตนพืช ทุก 1 - 2 เดือน ข้ึนอยูกับชนิดของพืช และระยะการ เจริญเติบโตทําการเปลี่ยนอาหารจนกระท่ังพืชเจริญเติบโต เปนตนท่สี มบรู ณ 6) การยายปลูกในสภาพธรรมชาติ นําตนพืช ท่ีมียอดและรากที่สมบูรณออกจากขวด ลางวุนที่ติดกับ รากออกใหห มด ผึ่งลมใหแหง แชนาํ้ ยาปอ งกนั กาํ จัดเชอื้ รา ปลูกในวัสดุท่ีโปรง สะอาด ระบายน้ําไดดี วางไวในที่รม และพรางแสง 60 เปอรเซ็นต 4 สัปดาห หรือจนกระทั่ง ตนพชื ตงั้ ตวั ได 23 กรมสง เสรมิ การเกษตร

วัสดุปลกู ทใ่ี ชในการขยายพนั ธพุ ชื และปลกู พชื ดิน ประกอบดวยแรธาตุ รอ็ ควลู เปน วสั ดทุ ไี่ ดม าจาก อาหารทพี่ ชื ตอ งการใชอ ยา งครบถว น การหลอมหนิ ชนดิ ตา ง ๆ ทีอ่ ณุ หภมู ิ อนิ ทรยี ว ตั ถเุ ปน สว นประกอบเนอื้ ดนิ 1,200 องศาเซลเซยี ส แลว นาํ มาปน ทส่ี ําคญั จนเปนเสนใย มีความสามารถดูด นํ้าไดปริมาณมาก มีการนํามาใช ทราย มีนํ้าหนักมาก ไมมี หลายรูปแบบ แรธ าตอุ าหาร มคี วามอดุ มสมบรู ณต า่ํ เกบ็ ความชนื้ ไดไ มด ี แตม คี วามอยตู วั เปลือกไมช้ินเล็ก ๆ และ สูง ระบายนํ้าไดดี ทรายท่ีใชท่ัวไป ข้ีกบ ราคาไมแพง นํ้าหนักเบา มีแบบทรายหยาบ เหมาะสําหรับ การสลายตัวชา อาจพบสารท่ีเปน นาํ มาใชผสมวสั ดปุ ลกู พิษออกมา ควรหมักไวดวยการ เติมปุยไนโตรเจน 10-14 สัปดาห พที ไดม าจากซากพชื ทขี่ น้ึ อยู กอนนาํ มาใช ในนํ้าในสภาพที่สลายตัวไมสมบูรณ เชน มอสพีท หรือพีทมอส อุมน้ํา พลาสติกสงั เคราะห หรือ ไดมาก 15 เทาของน้ําหนักแหง เม็ดโฟม สามารถนํามาใชชวยเพ่ิม มีความเปนกรดสูง มีธาตุอาหาร การระบายน้ําและอากาศ และ อยูนอ ยหรือไมม ีเลย ลดความหนาแนนของเครื่องปลูก มีนํ้าหนักเบา แตผสมใหเขากับ พมั มซิ ประกอบดว ยซลิ คิ อน วสั ดุอน่ื อยา งสมํา่ เสมอไดย าก ไดออกไซดและอะลูมิเนียมออกไซด เปนสวนมาก ชวยทําใหวัสดุชํา ปุย หมกั ไดมาจากอินทรยี  โปรงขน้ึ ระบายนํ้าไดดี วัตถุท่ีหมักสลายตัวแลวสวนใหญ ไดมาจากใบไม ชวยเพิม่ ฮวิ มสั ทําให สแฟกนั่มมอส นํ้าหนักเบา ดินอมุ นาํ้ ไดดีข้นึ อุมนา้ํ ไดส ูงถึง 10-20 เทา เปน วัสดุ ท่ีคอนขางสะอาด มีแรธาตุอาหาร ขุยมะพราว มีนํ้าหนักเบา นอ ย นยิ มนาํ มาใชป ลกู กลา ไมท เ่ี ลก็ ๆ อุมนํ้าไดมาก อยูในสภาพสะอาด หรือเก็บความช้ืนใหกับรากและก่ิง พอสมควร ถายเทอากาศดี ยืดหยุน ขณะทาํ การขนสง ตวั ดไี มอ ดั แนน งา ย มธี าตโุ พแทสเซยี ม อยูดวย ควรผสมปุยไนโตรเจน เวอรมิคูไลท เปนแรไมกา เมื่อใชง าน ท่ี ข ย า ย ตั ว เ พ่ิ ม ข้ึ น จ า ก ก า ร ผ า น ความรอน น้าํ หนกั เบา ไมล ะลายนาํ้ แกลบดบิ หรอื เปลอื กขา ว อมุ นาํ้ ได 3-4 แกลลอนตอ ลกู บาศกฟ ตุ น้ําหนักเบา หาไดงาย ราคาถูก ประกอบดวยธาตุแมกนีเซียมและ มีสภาพสะอาดพอสมควร มีการ โพแทสเซียมมาก ระบายน้ําและถายเทอากาศไดดี เพอรไ ลท เปน ซลิ กิ าสขี าวอม ถา นแกลบหรอื ขเ้ี ถา แกลบ เทาไดมาจากลาวาของภูเขาไฟ ผา น ไดจ ากการเผาแกลบดบิ มนี าํ้ หนกั เบา การบดและสภาพความรอ นสงู ขยาย สามารถอมุ นาํ้ ไดด ี มคี วามเปน ดา งสงู ตัวพองเหมือนฟองนํ้า มีนํ้าหนักเบา กอนนํามาใชจึงควรลางดางออก อมุ นาํ้ ได 3-4 เทา ไมม ธี าตอุ าหารพชื นิยมผสมกับทรายหยาบเปนวัสดุ สาํ หรบั ตดั ชาํ ไดด ี การปองกันกําจดั โรคและแมลงกศาัตรขรยมู านั ยสพาํนั ปธะุพหชืลัง 24

การปอง ักนกํา ัจดโรคและแมลงศัต ูรมัน ํสาปะห ัลง สูตรการผสมวัสดปุ ลูกท่ีนยิ มในปจ จุบัน วสั ดปุ ลูก พชื ท่ีเหมาะสม ดินรวน+ขุยมะพรา ว+ใบกามปูผุ+ เหมาะสาํ หรบั ไมใบท่ีชอบดินรว นซุย ระบาย กาบมะพรา วสับ+ปุยคอก นาํ้ ไดด ี เชน ฟโ ลเดนดรอน พลูดาง ซ่ึงเปน อัตราสว น 2:1:1:1:1 พืชอิงอาศัย สวนผสมในวัสดุปลูกจึงตองมี ความโปรง ดินใบกา มป+ู ปุยคอก+กาบมะพรา วสับ เหมาะสําหรบั กหุ ลาบ หรอื พชื ทีช่ อบดินรวน อตั ราสว น 1:1:2 หรือดินรวนปนทราย เพราะมีความโปรง ระบายนํา้ ไดด ี ดนิ รวน+ กาบมะพรา วสับ+ทราย+ เหมาะสําหรับพวงคราม หรือพืชกระถางท่ี ปยุ คอก อตั ราสว น 2:1:1:1 ชอบสภาพดินรว น น้าํ ไมขงั แฉะ ดนิ รวน+ กาบมะพราวสบั +ปยุ คอก เหมาะสําหรับเฟน (ดิน) เชน เฟนบอสตัน อตั ราสว น 1:1:4 เฟนฮาวาย วัสดุปลูกมีความโปรงเพื่อชวย ระบายนํ้าไดดี สแฟกนม่ั มอส+เพอรไ ลต เหมาะสําหรบั พชื กินแมลง วัสดปุ ลูกมีความ อตั ราสว น 1:1 โปรง แตเ กบ็ ความชน้ื ดี สามารถใชข ยุ มะพรา ว แทนสแฟกนม่ั มอสได ราคาจะถกู กวา แตส าร อาหารจะนอ ยกวา ดนิ ใบกามปู+ทราย+หนิ ภเู ขาไฟ+เพอรไ ลต+ เหมาะสําหรับแคคตัส ดินระบายน้ําไดดี ดนิ ญป่ี ุน อตั ราสว น 2:1:1:1:1 อุดมไปดวยสารอาหาร เพอ่ื ใชใ นการเตบิ โต และออกดอก ดินใบกา มป+ู ทราย+ถา นปน เหมาะสาํ หรบั ไมอวบนาํ้ ดนิ โปรง ระบายนํ้า อัตราสวน 2:3:1 ไดด ี คลา ยกบั แคคตสั แตต อ งการสารอาหาร นอยกวา แกลบดิบ+แกลบเผา+ขุยมะพรา ว+ เหมาะสาํ หรบั การปลกู ตน ออ นของพชื ตา ง ๆ ทรายแมน ้ํา อัตราสว น 1:1:1:1 ดินรว น+ใบไมผ +ุ ปุย หมัก อัตราสว น 1:1:1 เหมาะสาํ หรับการปลูกตนไมท ่วั ไป 25 กรมสงเสรมิ การเกษตร

พชื และวิธีขยายพนั ธพุ ืชทีน่ ยิ มใชโดยทัว่ ไป ตอนก่งิ กรรณิการ พวงแกว พวงแสด หมวกจนี โมก ชะอม มะนาว หนมุ าน ประสานกาย ฝร่งั ชมพู ลําไย สมโอ สนแผง ประยงค อโศกพวง เพาะเมลด็ เวอรบนี า ดาวเรือง ล้นิ มังกร พิทูเนีย ซัลเวยี ผีเสื้อ คะนา บวบ แคบาน แครอท ผักกาดหอม ผักชี แตงกวา พริกขี้หนู มะเขือเทศ ฟกทอง ทองพันชั่ง อัญชัน มะระขี้นก มะขามปอม ยอบาน หมอนอย หนุมานนัง่ แทน มะพรา ว มงั คดุ มะละกอ เงาะถอดรปู ตัดชํากิง่ บานบุรี ชบา เบญจมาศ เฟอ งฟา มะลิ กะเพรา ผักไผ พญาไรใ บ ชะพลู เพชรสงั ฆาต ดปี ลี พรกิ ไทย หญา หนวดแมว แกว มงั กร โกสน ครสิ ตม าส เข็มสามสี พลูดาง ไผฟลิปปนส เล็บครุฑ หนวดปลาหมึก วาสนา หมากผูห มากเมยี หลวิ ไตหวนั ตดั ชาํ ใบ กลอ็ กซีเนยี เปเปอโรเมยี ติดตา กุหลาบ แยกหนอ แคทลยี า กลวย สับปะรด บอนสี แยกกอ วานสท่ี ิศ ตะไคร ผักชฝี รัง่ หอมแดง กาบหอย เตยหอม วานหางจระเข เฟร น กา นดาํ เดหลใี บกลวย คลามา ลาย โปรง ฟา แยกเหงา ขิง แบง หวั มันฝร่ัง กระชายดํา ขมน้ิ แยกลําตน ใตด ิน บวั บก ทาบก่ิง มะขาม มะมว ง ทเุ รียน ขนนุ ตดิ ตา สม เขียวหวาน นอยหนา พุทรา องุน แยกไหล สตรอวเบอรรี เพาะเลย้ี งเน้ือเยื่อ กลวย สับปะรด การปอ งกนั กําจัดโรคและแมลงกศาตัรขรยูมาันยสพํานั ปธะพุหชืลัง 26

การปอง ักนกํา ัจดโรคและแมลงศัต ูรมัน ํสาปะห ัลง แหลง ซ้อื ขายพันธุไ ม ในปจ จบุ นั แหลง ซอื้ ขายพนั ธไุ มไ มไ ดม เี พยี งทต่ี ง้ั ในสถานทตี่ า ง ๆ ซงึ่ เปน แหลง ขาย ปลีก/สง พันธุไมท ี่สําคัญ ผซู ้อื /ผขู าย ยงั สามารถจดั หาพนั ธุไ มท ตี่ อ งการไดจ ากเครือขา ย อนิ เตอรเ นต็ ซึง่ ปจจบุ ันมอี ยหู ลากหลาย ทง้ั เวบ็ ไซตท่ีเปนของผขู ายโดยตรง และเว็บไซต ทท่ี ําหนา ทีเ่ ปน ตัวกลางในการประกาศซ้อื ขาย ซงึ่ ไดรวบรวมมาใหไวบ างสวน ดังน้ี ตัวอยางแหลง ซอื้ ขายพนั ธไุ ม ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตลาดตนไม ธญั ศิริ – คลอง 6 เลียบตามถนนรงั สิต – นครนายก มีทจี่ อดรถขางในตลาดแหงนี้ มีพื้นที่ใหญมาก ตลอดสองขา งทาง เตม็ ไปดว ยรา นขายตน ไม ตลาดตน ไมศรนี ครนิ ทร เนน เฉพาะไมประดบั ขนาดเลก็ ไปถงึ กลาง อกี ทง้ั ยังมีขายหญา และอปุ กรณจัดสวน ตลาดตน ไมราบ 11 แหลงซอ้ื ตนไมใ นพ้ืนทก่ี องทพั บก ใกลวงเวียนหลกั ส่ี เปน ตลาดทใี่ หญ ราคายอ มเยา ตลาดตนไม มีนบุรี เปนตลาดขายตน ไมท่ใี หญท ี่สดุ ในมนี บุรี สว นมากจะเนน ขาย พวกไมป ระดบั และอปุ กรณต กแตงสวน ตลาดนดั จตุจักร เนนไมด อก ไมป ระดับ ไมมงคล ไมหายากรวมไปถงึ ไมข นาดใหญ ของแตง สวน ตลาดบญุ ยง – ตลาดตน ไมบ างใหญ ถนนเสน กาญจนาภเิ ษก บางใหญ บางบวั ทองนนั้ มีรานคาตน ไม ยาวเกือบตลอดทั้งสาย รวมไปถงึ อปุ กรณทาํ สวนและตกแตงสวน 27 กรมสง เสรมิ การเกษตร

ตัวอยางแหลงซอ้ื ขายพนั ธุไมอ อนไลน https://www.nanagarden.com/ นอกจากตัวอยางแหลงซื้อขายพันธุไมที่ไดนําเสนอในเอกสารคําแนะนํา ฉบับนี้แลวนั้น ยังมีแหลงพันธุไมอีกหลายแหลงทั้งที่อยูในกรุงเทพฯ และปริมณฑล และตามจังหวัดตาง ๆ และผูสนใจยังสามารถจัดหาพันธุไมได โดยติดตอที่ ศูนยขยายพันธุพืชที่ 1 – 10 กองขยายพันธุพืช กรมสงเสริมการเกษตร ซึ่งตั้งอยู กระจายตามภูมิภาคตาง ๆ ของประเทศไทย สามารถติดตามขอมูลเพิ่มเติมไดที่ http://www.plantprop.doae.go.th การปอ งกนั กําจัดโรคและแมลงกศาัตรขรยูมานั ยสพํานั ปธะุพหชืลงั 28

การปอง ักนกํา ัจดโรคและแมลงศัต ูรมัน ํสาปะห ัลง เอกสารอา งอิง กรมสง เสรมิ การเกษตร. 2546. การเพาะเล้ยี งเน้ือเยื่อกบั การขยายพันธุพชื . กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พช ุมนมุ สหกรณก ารเกษตรแหงประเทศไทย จาํ กดั . กรมสง เสรมิ การเกษตร. 2556. องคค วามรูเพ่ิมประสิทธภิ าพการผลติ สูการ เปน Smart officer การขยายพันธุพ ชื . จวงจนั ทร ดวงพัตรา. 2529. เทคโนโลยเี มลด็ พนั ธ.ุ กรุงเทพมหานคร. นันทิยา วรรธนธภูต.ิ 2538. การขยายพนั ธพุ ืช. กรุงเทพมหานคร: ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตรศาสตร มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม สาํ นกั พมิ พโอเดียนสโตร. นนั ทิยา วรรธนธภูต.ิ 2553. การขยายพนั ธุพ ืช. กรงุ เทพมหานคร: ภาควิชาพชื สวน คณะเกษตรศาสตร มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม. สาํ นักพิมพโอ.เอส.พร้นิ ตงิ้ เฮาส. ประสาน ฉลาดคดิ . 2558. หลกั การผลติ พืช. คณะวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เทพสตรี. มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม. มปป. วิชาการขยายพันธพุ ชื . ภาควิชาพชื สวน คณะเกษตรศาสตร มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม เขา ถงึ ไดท ่ี http://web.agri.cmu.ac.th/hort/course/359301/ มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช. 2561. เอกสารการสอนชดุ วิชาการผลิตพืช. สาขาวิชา เกษตรศาสตรและสหกรณ มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช. วนั ชัย จนั ทรป ระเสริฐ. 2542. เทคโนโลยเี มลด็ พนั ธพุ ชื ไร. กรงุ เทพมหานคร: ภาควชิ าพืชไรนา คณะเกษตร มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร. สนนั่ ขาํ เลิศ. 2541. หลกั และวธิ ีการขยายพนั ธพุ ชื . กรงุ เทพมหานคร: ภาควชิ าพืชสวน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร สํานกั พมิ พรัว้ เขียว. อจั ฉรี พรพนิ จิ สุวรรณ. มปป. คูมอื การตรวจสอบคณุ ภาพเมลด็ พนั ธ.ุ กรงุ เทพมหานคร: สาํ นกั ควบคุมพืชและวสั ดกุ ารเกษตร กรมวชิ าการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ โรงพิมพชุมนมุ สหกรณก ารเกษตรแหง ประเทศไทย จาํ กัด. 29 กรมสง เสรมิ การเกษตร

การปองกนั กาํ จดั โรคและแมลงศัตรมู ันสาํ ปะหลงั

เอกสารคําแนะนําท่ี 4/2562 การขยายพันธุพ ชื พิมพคร้ังท่ี 2 : (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2543) จํานวน 5,000 เลม มีนาคม พ.ศ.2562 พิมพท ่ี : กลมุ โรงพมิ พ สํานักพัฒนาการถา ยทอดเทคโนโลยี จดั พมิ พ : กรมสงเสรมิ การเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ

เอกสารคาํ แนะนาํ ที่ 4/2562 การขยายพนั ธุพชื ท่ีปรกึ ษา อธิบดีกรมสง เสรมิ การเกษตร รองอธบิ ดกี รมสงเสริมการเกษตร นายสาํ ราญ สาราบรรณ รองอธิบดกี รมสงเสรมิ การเกษตร วา ทร่ี อ ยตรี ดร.สมสวย ปญ ญาสิทธิ์ ผอู ํานวยการสาํ นักพัฒนาการถายทอดเทคโนโลยี นางดาเรศร กติ ตโิ ยภาส ผูอาํ นวยการกองขยายพันธุพ ชื นางอญั ชลี สวุ จติ ตานนท ผอู ํานวยการกลุมตลาดและเงนิ ทนุ หมนุ เวียน นายวิชยั ตูแกว กองขยายพันธุพ ืช นางสาวอาภรณ อรณุ ศริ โิ ชค ประสานงาน/เรียบเรียง นายณฐั พล ชยั ยวรรณาการ นกั วชิ าการเกษตรปฏิบตั ิการ กลมุ ควบคมุ คุณภาพและโรงงาน กองขยายพันธุพืช คณะทํางาน ผอู าํ นวยการกลุมตลาดและเงินทนุ หมนุ เวียน นกั วชิ าการสงเสริมการเกษตรชํานาญการ นางสาวอาภรณ อรณุ ศริ โิ ชค นกั วชิ าการเกษตรปฏิบัตกิ าร นางสาวกานตรวี ศรีพวงผกาพันธุ นกั วิชาการสงเสริมการเกษตรปฏบิ ตั ิการ นายณัฐพล ชยั ยวรรณาการ นกั วิชาการสง เสรมิ การเกษตรปฏิบัติการ นายนาํ โชค บญุ มี นักวิชาการสงเสริมการเกษตร นางสาวแวววดี พทุ ธรกั ษา นางสาวอุบลวรรณ เพง็ เพงพิศ กองขยายพันธพุ ืช กรมสงเสริมการเกษตร บรรณาธิการ ผูอํานวยการกลมุ พัฒนาส่อื สงเสรมิ การเกษตร นกั วิชาการเผยแพรช ํานาญการ นางรจุ ิพร จารพุ งศ นางสาวอําไพพงษ เกาะเทียน กลุมพัฒนาสอ่ื สง เสริมการเกษตร สาํ นักพัฒนาการถา ยทอดเทคโนโลยี กรมสงเสรมิ การเกษตร ออกแบบ กลมุ โรงพมิ พ สํานักพฒั นาการถายทอดเทคโนโลยี กรมสงเสรมิ การเกษตร www.doae.go.th


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook