เม่ือธรรมดามาถงึ รู้ให้ทัน และทำาให้ถูก พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) สพพฺ ทานำ ธมฺมทานำ ชินาติ การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการใหท้ ัง้ ปวง
เม่อื ธรรมดามาถงึ รู้ใหท้ ัน และทำาใหถ้ กู © พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) พมิ พค์ รั้งแรก มกราคม ๒๕๕๔ พิมพค์ รั้งท่ี ธันวาคม ๒๕๕๕ จำานวน เลม่ (เนอื้ ความพมิ พ์คดั ลอกจากฉบับพมิ พค์ รงั้ แรก แทนตน้ แบบเดิมที่สูญหาย) (ข้อมูลสถติ กิ ารพิมพอ์ ยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมลู เก่า ตวั เลขทใ่ี ชเ้ ป็นจำานวนขัน้ ตา่ำ เทา่ ที่ปรากฏหลักฐานในปจั จุบนั ) พิมพ์เผยแผเ่ ป็นธรรมทาน โดยไม่มคี ่าลขิ สทิ ธิ์ หากทา่ นใดประสงคจ์ ัดพิมพ์ โปรดตดิ ตอ่ ขออนุญาตท่ี วดั ญาณเวศกวัน ต.บางกระทกึ อ.สามพราน จ.นครปฐม ๗๓๒๑๐ http://www.watnyanaves.net/ พิมพ์ท่ี Dhammaintrend รว่ มเผยแพรแ่ ละแบง่ ปันเป็ นธรรมทาน
อนโุ มทนา
สารบญั ระลกึ ถึงความตาย และวธิ ีปฏิบัติใหถ้ กู ตอ้ งต่อความตาย การบำาเพญ็ กศุ ลตามประเพณี....................................................................1 การบาำ เพญ็ กุศลเปน็ โอกาสทจ่ี ะไดก้ ระทำาความดงี าม.................................2 ความตายเปน็ สิง่ ที่ไม่นา่ พงึ ใจ.....................................................................3 ดคู วามตายเป็นเรอ่ื งธรรมดาของชีวิต.........................................................3 ความตายเปน็ เคร่อื งเตือนสตแิ กม่ นุษยป์ ุถชุ น.............................................4 วธิ ปี ฏบิ ัตทิ ถี่ กู ตอ้ งตอ่ ความตาย..................................................................5 ระลกึ ถึงความตายจติ ไม่ประมาท...............................................................5 พจิ ารณาความตายเพ่อื ใหร้ ู้ความเป็นจริงของชีวติ .....................................6 ขั้นตอนการปฏบิ ัติของมนุษยต์ อ่ เรอื่ งความตาย.........................................7 ชนดิ แหง่ ความประมาท..............................................................................8 เพยี รพยายามดว้ ยอาำ นาจคุณธรรม............................................................9 คติเกี่ยวกับการรเู้ ทา่ ทนั ธรรมดา................................................................9 การปรบั ตวั เอง........................................................................................10 การเฉยของมนุษย.์ ..................................................................................11 การเพลดิ เพลนิ ในความสขุ คือความประมาท...........................................12 ปรับปรงุ ตนเองให้เจรญิ คุณธรรมอยเู่ สมอ................................................14 อยดู่ ้วยการรู้เท่าทนั ธรรมดาของชวี ติ .......................................................15 นำาโอกาสและเหตุการณม์ าใชใ้ นการทำาใหเ้ กิดคณุ เกดิ ประโยชน์.............18
ความตายคือคตธิ รรมแห่งชีวิต และการบำาเพญ็ กศุ ลเพอื่ ราำ ลกึ ถึงผ้ลู ่วงลบั ไปแล้ว ประเพณที เ่ี ปน็ บญุ เปน็ กศุ ล.....................................................................20 ประโยชน์ของประเพณงี านศพ................................................................21 การทาำ บุญเกย่ี วกบั ความตาย..................................................................22 การทำาทาน..............................................................................................22 การรักษาศีล............................................................................................23 ทำากรรมดดี ้วยการรกั ษาศีล.....................................................................25 การภาวนา..............................................................................................26 เร่ืองนา่ ร้เู กีย่ วกบั พธิ ศี พ และพทุ ธภาษติ เก่ียวกับความตาย 1. การจดั พิธศี พ......................................................................................33 2. พธิ ีอาบน้ำาศพ.....................................................................................34 3. การสมาทานศีล..................................................................................35 4. การสวดพระอภิธรรม.........................................................................35 5. การฟังพระอภธิ รรม...........................................................................36 6. การแสดงธรรม...................................................................................37 7. การฟังธรรม.......................................................................................37 8. มาติกา...............................................................................................38 9. การฟังพระสวดมาตกิ า.......................................................................39 10. การทอดผา้ บังสกุ ลุ ..........................................................................39
11. การพิจารณาชกั ผ้าบังสกุ ุล...............................................................39 12. การกรวดนา้ำ ....................................................................................40 13. การทอดผ้าบังสกุ ุล..........................................................................41 14. การจุดไฟหรอื วางดอกไมจ้ ันทน์.......................................................41 อมฤตพจนา.............................................................................................42
ระลกึ ถงึ ความตาย และวิธีปฏิบัติให้ถูกต้องต่อความตาย นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพทุ ฺธสสฺ ฯ น เหว ตฏิ ฺํ นาสีนํ น สยานํ น ปตถฺ คํุ ตสฺมา อธิ ชีวติ เสเส กจิ ฺจกโร สิยา โร น จ มชฺเชติ ณ บัดน้ี อาตมภาพจกั แสดงพระธรรมเทศนา ประดบั สติปญั ญาของ ท่านสาธุชนทั้งหลาย เพ่ืออุทิศกุศลแก่ท่านผู้ได้ล่วงลับไปแล้ว นับกาลเวลา ผา่ นโดยลำาดับ การบาำ เพ็ญกศุ ลตามประเพณี อนั การบำาเพญ็ กศุ ลเช่นนี้ นบั วา่ เป็นการอนวุ ัตรตามประเพณี เนอื่ ง ด้วยพระพุทธศาสนาซึ่งปฏิบัติสืบต่อกันมา โดยท่ัวไปถือว่าเป็นการประกาศ คุณความดีของบุคคลทั้ง 2 ฝ่าย ท่ีมีความสัมพันธ์ต่อกัน กล่าวคือท่านผู้ ล่วงลับไปแล้วฝ่ายหนึ่ง และท่านที่ยังดาำ รงชีวิตอยู่และมาเป็นเจ้าภาพอีก ฝ่ายหน่ึง ในส่วนของท่านผู้ล่วงลับไปแล้ว การประกอบพิธีน้ีเป็นการ ประกาศถึงความดีของท่าน วา่ ท่านได้เคยกระทาำ ความดีงาม มีอุปการคุณ แก่ท่านท่ีดำารงชีวิตอยู่ โดยเฉพาะแก่ท่านผู้เป็นเจ้าภาพน้ัน จึงเป็นเหตุให้
2 เมอ่ื ธรรมดามาถงึ รู้ใหท้ นั และทาำ ให้ถกู ระลึกถึงคุณความดีน้ันหรืออุปการคุณนั้น แล้วขวนขวายกระทำากิจต่างๆ อันพึงทาำ เพอ่ื ระลึกถึงทา่ น อทุ ศิ สว่ นกุศลใหท้ า่ น ตามประเพณีนิยมทไ่ี ด้สืบ กันมาในสงั คมและตามหลักของพระศาสนา สว่ นในฝ่ายของเจ้าภาพท่ไี ด้มาประกอบพิธีน้ี กเ็ ป็นการประกาศถึง ความดีของท่าน วา่ เป็นผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรม เม่ือท่านผู้มีอุปการคุณ ซ่ึงได้ทาำ ความดีแก่ตนไว้ ได้ล่วงลับไปแล้ว ก็มิได้น่ิงอยู่เฉย ได้ขวนขวาย กระทาำ กิจที่ควรทำา มีความรำาลึกถึงท่าน และพยายามแสดงตอบแทน ใน เม่ือไม่สามารถจะกระทำาได้ดว้ ยประการอื่น เพราะท่านผู้มีพระคุณได้ล่วง- ลับไปแล้ว ก็กระทำาโดยวิธีการอุทิศกุศลตามประเพณีนิยมท่ีต้องด้วยหลัก พระพทุ ธศาสนา การบาำ เพญ็ กุศลเปน็ โอกาสทีจ่ ะไดก้ ระทาำ ความดงี าม แต่ทั้งน้ีก็มิใช่เป็นเพียงการแสดงความสัมพันธ์และความดีต่อกัน ระหวา่ งเจา้ ภาพกบั ทา่ นผู้ลว่ งลบั ไปเทา่ นนั้ การทพี่ ุทธศาสนิกชนแต่โบราณมา ได้ต้ังหลักให้มีพิธีกรรมเช่นน้ีข้ึน ก็ย่อมมุ่งหมายเพ่ือให้เป็นโอกาสท่ีจะได้ กระทำาความดีงาม ทาำ ส่ิงที่เปน็ ประโยชน์เป็นกุศลย่ิงๆ ข้ึนไปด้วย จุดหมาย สาำ คัญของพิธีน้ันก็อยู่ ณ ที่นี้ คือได้อาศัยโอกาสเช่นน้ี กระทำาสิ่งท่ีดีงาม เปน็ คุณเป็นประโยชนแ์ กต่ ัวเจา้ ภาพเอง และเป็นคณุ ประโยชนแ์ กส่ าธชุ นทงั้ หลายที่ได้เกยี่ วขอ้ งมาร่วมพิธดี ว้ ย สาำ หรับท่านที่ได้ล่วงลับไปแล้วนัน้ กจ็ ะ ไดร้ ับการอทุ ิศกุศลตามความเช่ือในพุทธศาสนาและประเพณี ให้ท่านได้รับ ผลแห่งบญุ กุศลท่ีเจา้ ภาพได้บำาเพญ็ เพ่อื ประโยชน์สุขของทา่ นในภพสบื ตอ่ ไป ส่วนทางเจ้าภาพก็ได้ประกอบการบุญการกุศล ได้เป็นโอกาสที่ญาติมิตรผู้ หวงั ดที ั้งหลาย จะไดม้ าทาำ บุญทาำ กศุ ลร่วมกันงอกงามในคุณความดียง่ิ ข้ึนไป
พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) 3 ความตายเป็นสงิ่ ทไี่ มน่ ่าพงึ ใจ ในทางพทุ ธศาสนานั้น ทา่ นให้หาโอกาสทกุ อย่างทจี่ ะกระทาำ สิ่งที่ ดีงาม คือเม่ือมีเหตุการณ์อันน่าพึงใจก็ตาม ไม่น่าพึงใจก็ตาม เกิดขึ้น พุทธศาสนิกชนจะได้ใช้โอกาสน้ี ทำาให้เกิดเป็นประโยชน์เป็นกุศลมากย่ิงๆ ข้ึนไป สาำ หรับในกรณีน้ี ความตายเป็นสิ่งที่ไม่น่าพึงใจ จัดว่าเป็นส่วน อนิฏฐารมณ์ เป็นการพลัดพรากจากกัน แต่ว่าวิสัยของพุทธศาสนิกชนแล้ว แม้จะประสบกับส่ิงท่ีเป็นอารมณ์อันไม่น่าพึงใจ มีเหตุการณ์อันทำาให้เกิด ความทุกข์ความโศกเศร้า แต่ก็ใช้เหตุการณ์ที่โศกเศร้านี้แหละทำาส่ิงท่ีเป็น กุศลเป็นคุณเป็นประโยชน์ย่ิงข้ึน ทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อ่ืน ตนเองก็ได้ บำาเพญ็ กุศลทำาความดใี นทานศีลภาวนามากย่ิงขึ้น ได้ช่วยบาำ เพ็ญประโยชน์ บำารงุ พระศาสนา จัดพิธีต่างๆ อันเป็นประโยชน์ ทจ่ี ะช่วยให้ทา่ นผู้มารว่ ม พธิ ีบาำ เพ็ญกศุ ล ไดร้ บั ความเจริญงอกงาม ฝกึ ฝนอบรมสตปิ ัญญาของตนเอง ดังเช่นที่ได้มีพระธรรมเทศนาเช่นน้ี ก็นับได้ว่าเป็นการนำาเอาโอกาสหรือ เหตกุ ารณ์นน้ั มาใชใ้ หเ้ ป็นประโยชน์อยา่ งหนึ่ง ดคู วามตายเป็นเรื่องธรรมดาของชวี ติ ที่กล่าวเม่ือกี้นี้ว่าความตายเป็นส่ิงท่ีไม่น่าพึงใจ อันนี้ก็เป็นการ กล่าวตามวิสัยของปุถุชนท้ังหลาย คือมนุษย์ปุถุชนน้ัน ย่อมวัดสิ่งท้ังหลาย ไปตามความถูกใจไม่ถูกใจของตนเอง ความตายนั้นเป็นส่ิงที่ไม่ถูกใจ เราก็ ไมช่ อบ สว่ นสง่ิ ใดทีเ่ ราถูกใจ เราก็ชอบ เราก็อยากให้เกดิ ให้มขี ึ้น แตถ่ า้ กลา่ ว ตามเหตผุ ลท่ีแทจ้ ริงแล้ว เร่อื งความตายนี้ทา่ นกจ็ ดั อยใู่ นคติของธรรมดา คอื เป็นเร่ืองธรรมดาอย่างหนึง่ มีเกิดก็ตอ้ งมตี าย คือเกิดมาแลว้ ก็ต้องตาย หรือ ท่ีตายก็เพราะได้เกิดมาแล้ว ความเกิดกับความตายนั้นเป็นของคู่กัน จะ
4 เมอื่ ธรรมดามาถงึ รใู้ หท้ ัน และทำาให้ถกู เลือกเอาเพียงอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ และเป็นไปตามกระบวนการเหตุผล หรือเป็นไปตามเหตุปัจจัย มีเกิดก็มีดับ หรือว่าส่ิงทั้งหลายมีความเกิดใน เบื้องตน้ มคี วามเปลี่ยนแปลงแตกสลายไปในที่สุด แต่กระน้ันกต็ าม ปุถุชน ทงั้ หลายก็ย่อมปรารถนาในส่วนทต่ี นถูกใจ อยากจะเลือกเอาอย่างเดียว คอื ตามปกติจะชอบพูดถึงความเกิด เมื่อมีความเกิดข้ึนก็มักจะกล่าวถึงหรือ ยินดีพูดถึงด้วยความชอบใจ มีความลิงโลดต่ืนเต้นกันต่างๆ แต่ส่วนความ ตายน้ันไม่อยากพูดถึงไม่อยากฟัง ตลอดจนว่าแม้แต่นึกถึงก็ไม่อยาก อันนี้ ตรงขา้ มกบั ในทางธรรม ความตายเปน็ เคร่อื งเตือนสตแิ กม่ นษุ ย์ปุถุชน ในทางธรรมน้ันท่านกลับชอบพูดถึงความตาย ท่านไม่ชอบพูดถึง ความเกดิ ทค่ี นทั้งหลายชอบหรอื ปรารถนา เพราะวา่ ความตาย ทา่ นพดู ขึ้น มาแล้วก็เป็นเคร่ืองเตือนสติแก่มนุษย์ปุถุชนท้ังหลาย ให้ได้ความคิดใน ธรรมะ แม้ในโอกาสใดท่านจะพูดถึงความเกิดบ้าง ท่านก็จะพูดถึงในแง่ที่ สัมพันธ์กับความตาย เป็นเคร่ืองเตือนสติเช่นเดียวกัน บางครั้งท่านถึงกับ พดู วา่ ถา้ จะกลวั ตายกค็ วรจะกลัวเกิด เพราะว่าในเมื่อเกิดขึ้นมาก็ต้องตาย ในเมื่อไม่อยากตายกต็ อ้ งไม่อยากเกิด การทีพ่ ดู อยา่ งน้ีก็เป็นวิธกี ารของท่าน ในการที่จะให้เปน็ อนุสติเตอื นใจมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อจะให้ประพฤติดีปฏิบัติ ชอบ เพราะว่ามนุษย์ท้ังหลาย เม่ือนึกถึงความเกิดแล้วมีความดีใจ ก็อาจ จะเกิดความมัวเมาประมาท แทนที่จะคิดเร่งขวนขวายในการทำากิจหน้าที่ ความดงี ามต่างๆ ก็อาจจะหนั ไปเพลดิ เพลินสนกุ สนาน หาแตค่ วามสขุ ความ ปรนเปรอตนเอง และก็ไม่อยากนึกถึงความตาย เพราะจิตใจสลดหดหู่ และทาำ ให้เกิดความท้อแท้ อันนี้ในทางธรรมถือว่าเป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้อง
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 5 ทางหลักธรรมทา่ นจงึ สอนใหร้ ะลึกถึงความตาย ท้งั นีเ้ ปน็ การพดู ทวนกระแส จิตของมนุษย์ แต่มุ่งเพื่อประโยชน์แก่มนุษย์นั่นเอง มุ่งจะให้ยอมรับความ จริง และเผชิญหน้าความจริง และแนะวิธีปฏิบัติให้ถูกต้องคือมิใช่กล่าว เพยี งให้ระลึกถึงความตาย แตท่ ่านให้ระลกึ ถงึ ความตายแลว้ แนะวิธีปฏิบตั ิท่ี ถกู ตอ้ งตอ่ ความตายดว้ ย วิธปี ฏบิ ัติท่ีถกู ต้องต่อความตาย มนุษย์ปุถุชนนึกถึงความตายอย่างไม่ถูกต้องอย่างไร และในทาง พระศาสนาสอนหรือแนะนาำ ให้ปฏิบัติให้ถูกต้องอย่างไร มนุษย์ปุถุชนนึกถึง ความตายอย่างไม่ถูกต้องคือมีความหวาดหว่ันพรั่นกลัว มีความสลดหดหู่ ท้อแท้ หรือจะขยายให้พิสดารต่อไปอีก ก็สัมพันธ์กับบุคคลท่ีตายน้ันที่ตน ระลึกถงึ ถ้าหากระลกึ ถงึ ความตายของบุคคลทต่ี นเองเกลยี ดชังหรอื ไม่พอใจ บคุ คลทเี่ ปน็ ศตั รู มนษุ ยป์ ุถุชนกจ็ ะมีความดใี จ แตถ่ ้าหากวา่ บุคคลทต่ี ายนั้น ไมเ่ กยี่ วขอ้ งกับตนเอง เปน็ บุคคลท่ัวๆ ไป ก็จะระลกึ ถึงดว้ ยความเฉย หรือ ว่าถ้าจะระลึกถึงตัวความตายนั้น ก็จะมีความหวาดหว่ันพรั่นใจหวาดเสียว หรือมีความสลดหดหู่ทอ้ แท้ รวมความว่า จิตมนุษย์ปุถุชนไม่สามารถต้ังอยู่ ในความดีความงามท่ีแท้จริงได้ แต่เอนเอียงไปในด้านต่างๆ ถึงแม้ถ้าไม่ เก่ียวกับบุคคลอ่ืน นึกถึงความตายของตนเอง ก็จะมีความหวาดกลัว ความหดหู่ทอ้ แท้ ดงั ไดก้ ลา่ วมาแลว้ ระลึกถึงความตายจิตไมป่ ระมาท ส่วนในทางพระศาสนาน้ัน ท่านสอนให้ระลึกถึงความตายเพ่ือเป็น เครือ่ งกระต้นุ เตือนใจตนเอง วา่ ความตายนน้ั เปน็ เรื่องธรรมดาของชวี ติ มนั
6 เม่อื ธรรมดามาถึง รู้ให้ทัน และทำาให้ถกู จะต้องเกิดมีขึ้น เป็นเร่ืองสืบต่อไปจากความเกิด ในเมื่อมันเป็นเรื่อง ธรรมดาก็ไม่ต้องไปกลัว แต่มีข้อที่น่าพิจารณาว่า ความตายนั้นซึ่งเป็นของ แน่นอน แต่จะมาถึงเม่ือไรไม่แน่ ชวี ิตของคนเราอาจจะส้ันหรืออาจจะยาว ไม่มีเครื่องกำาหนดให้มองเห็นได้ชัดเจน เพราะฉะนั้น จึงควรใช้เป็นเคร่ือง เร่งเรา้ ตนเองใหม้ ีความไม่ประมาท กล่าวคือ ชีวติ น้ีมีกิจหน้าท่ีอะไร ก็ควร เร่งรดั จดั ทาำ ชีวติ ของตนจะมคี า่ และความดงี ามอย่างไร กค็ วรเรง่ ขวนขวาย ประกอบกรรมท่ีจะให้เป็นอย่างน้ัน ให้ชีวิตของตนมีคุณค่า ให้อยู่อย่างมี ประโยชน์ และตายไปก็มีคุณค่าเหลือทิ้งไว้ เป็นประโยชน์แก่คนอื่นภาย หลังด้วย อันนเี้ ป็นคำาสอนทางพระศาสนา สาำ หรับใหร้ ะลึกถงึ ความตาย พจิ ารณาความตายเพอ่ื ให้รูค้ วามเปน็ จริงของชวี ติ ส่วนในอีกข้ันหน่ึงซึ่งเป็นขั้นสูงข้ึนไป ท่านก็สอนให้พิจารณาถึง ความตายนั้น ในฐานะเป็นคติธรรมดาดังได้กล่าวแล้ว แต่ความหมายของ คติธรรมดา คือให้รู้ความเป็นจริงของชวี ิต ว่ามีการเร่ิมต้นและสิ้นสุด เพื่อ จิตใจจะได้ไม่ถูกครอบงาำ บีบค้ัน ด้วยความทุกข์จากความพลัดพราก จาก การท่ีนึกถึงความตายของตนเอง เป็นต้น คือรู้เท่าทันความเป็นไปของ ธรรมดา แล้วก็มีจิตใจสบายดำารงอยใู่ นปกติได้เสมอ รำาลกึ ถึงความตายด้วย ความไม่หวาดหว่นั และเป็นอย่ดู ว้ ยปญั ญา คอื กระทำาสิ่งตา่ งๆ ด้วยความรู้ และเข้าใจธรรมดานั้น หมายความว่า อยู่ด้วยความรู้เหตุผล อะไรเป็นสิ่ง ควรทำาก็กระทาำ ไป อะไรเป็นสิ่งท่ีเป็นปัญหา ควรแก้ไข ก็กระทาำ ไปตาม เหตุปจั จยั อนั นกี้ เ็ ป็นคำาสอนข้ันสูงขึน้ ไปในทางพระศาสนา
พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 7 ขั้นตอนการปฏิบตั ิของมนษุ ยต์ ่อเรื่องความตาย สรุปว่าท่าทีการปฏิบัติของมนุษย์ต่อเรื่องความตายน้ี แสดงถึง ความเจริญงอกงามแหง่ จติ ใจของมนุษย์เป็น 3 ขน้ั ด้วยกัน คอื ข้ันที่ 1 มนุษย์ปุถุชนท่ัวไป ท่านว่าเป็นปุถุชนท่ียังมิได้สดับ คือ ยังไม่มีการศึกษา ก็จะระลึกนึกถึงความตายด้วยความหวาดหวั่นพรั่นกลัว เศร้าหดห่ทู อ้ แท้ ระย่อท้อถอย ขั้นที่ 2 สูงข้ึนไป เป็นอริยสาวกผู้มีการศึกษา ได้สดับแล้ว ก็ ระลึกถึงความตายโดยเป็นอนุสติ สำาหรับตักเตือนใจไม่ให้ประมาท เร่ง ขวนขวายปฏิบัติ ประกอบหน้าที่ คุณงามความดีให้ชีวิตนี้มีประโยชน์ มี คณุ ค่า ข้ันที่ 3 คือใหร้ ู้เท่าทันความตาย ซึ่งมีคติเนื่องอยู่ในธรรมดา จะ ได้มีชีวิตที่ปราศจากความทุกข์ ไม่ถูกบีบคั้นด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นพรั่น กลัวต่อความพลัดพรากเป็นต้น มีใจปลอดโปร่งโล่งสบาย และเป็นอยู่ด้วย ปญั ญาที่กระทาำ การไปตามเหตุผล ดว้ ยความรู้เท่าทนั เหตุปัจจยั เรื่องท่าทีปฏิบัติเช่นนี้ มิใช่เฉพาะต่อความตายเท่านั้น แม้ในเรื่อง ทัว่ ๆ ไป มนุษย์กจ็ ะปฏิบตั ดิ ้วยท่าที 3 ประการเหล่านี้ แต่ข้อสังเกตที่น่าจะ กล่าวถึงในที่นี้ก็คือ ในประการที่ 2 ซึ่งในที่นี้กล่าวถึงคำาสอนในทางพระ ศาสนา ว่าใหม้ นษุ ย์ขวนขวายเรง่ กระทาำ การต่างๆ โดยนาำ เอาการระลึกถึง ความตายนน้ั มาเป็นเครอื่ งเร่งเร้า มนษุ ยท์ ั่วไป ในการดาำ เนนิ ชวี ติ ประจำาวันนั้น ก็อาศัยสงิ่ ตา่ งๆ เป็น เครื่องเร่งเร้าตัวเองในการกระทำาการต่างๆ อยู่ตลอดเวลา แต่ว่าเครื่อง
8 เมอื่ ธรรมดามาถงึ รใู้ หท้ ัน และทาำ ใหถ้ กู เร่งเร้าของมนุษย์น้ันมิใช่เป็นเร่ืองคุณธรรมหรืออนุสติ อย่างเช่นในทาง พระพทุ ธศาสนาสอนไว้ หรอื มบี ้างกป็ นกนั ไปกับเครอื่ งเรา้ อย่างอ่นื เคร่ืองเร้าอย่างอ่ืนท่ีมีอยู่มาก เป็นไปโดยปกติธรรมดาน้ีมีอะไร เคร่ืองเร่งเร้าโดยท่ัวไปน้ันก็ได้แก่ส่ิงบีบค้ัน คือความทุกข์และกิเลสท่ีอยู่ ภายในจิตใจ คือมนุษย์นั้น ที่จะกระทาำ การต่างๆ มีความพยายามอะไรโดย มากน้ัน ต้องมีเครือ่ งเร่งเร้าข้ึนมา แต่เครื่องเร่งเร้านั้นคือ เครื่องบีบคั้นน้ัน เองคือมนุษย์ถูกบีบคั้นก็ดิ้นรนขวนขวายทำาการต่างๆ โดยมากไม่สามารถ กระทาำ การต่างๆ เพียงดว้ ยความรู้ความเขา้ ใจ ดว้ ยปัญญารูเ้ หตรุ ผู้ ลเท่าน้ัน แตต่ อ้ งอาศัยส่ิงบีบคั้นเข้ามาเช่น มีความกลัว หรือมีปัญหาเข้ามาเร่งรัดตน เอง โดยเฉพาะกค็ ือเรอ่ื งกิเลสภายในจิตใจ กเิ ลสก็คือความโลภ ความอยาก ได้ ก็เป็นเคร่ืองเร่งเร้าบีบคั้นในใจให้กระทำาการต่างๆ หรือเพราะโทสะ ความโกรธ ความชิงชงั ความต้องการทาำ ลาย ความขัดเคอื ง ความขดั แย้ง อย่างใดอย่างหน่ึงก็เป็นเหตุเร่งเร้าบีบค้ันในใจ ให้กระทาำ การเพียรพยายาม ดิ้นรนขวนขวาย และโมหะ แสดงออกมาในรูปของความกลัว ความหวาด ระแวงเป็นตน้ กเ็ ป็นเคร่ืองบีบคั้น ทำาใหด้ ิน้ รนขวนขวายทาำ การต่างๆ ชนิดแห่งความประมาท อันนี้เป็นเร่ืองของมนุษย์ปุถุชนที่เป็นไปโดยมาก แต่ถ้าหากว่าไม่มี กิเลสมาเป็นเครื่องเร่งเร้า ไม่มีเคร่ืองบีบค้ันมาบีบรัดตนเองแล้ว ปุถุชนก็มัก จะตกอยู่ในความนิ่งเฉยเฉื่อยชา ไม่ขวนขวายกระทาำ การต่างๆ การท่อี ยู่ใน ความน่ิงเฉย ไม่ประกอบกิจท่ีควรทาำ ไม่ละเว้นสิ่งท่ีไม่ควรกระทาำ นี้ คือ ลักษณะที่ท่านเรียกว่าความประมาท รวมความว่าเพราะอาำ นาจกิเลส จึง ทำาให้มนุษย์ด้ินรนขวนขวายทาำ การต่างๆ แต่ในเมื่อไม่มีกิเลสท่ีบีบค้ัน
พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 9 มนุษย์ก็ตกอยู่ในความประมาท ซึ่งก็คืออยู่ในอาำ นาจของกิเลสเช่นเดียวกัน แต่กิเลสในท่ีน้ีหมายถึงความติดในความสุข ความเพลิดเพลินที่มีอยู่สบาย แล้วก็เลยไมด่ ้ินรนกระทาำ การท่คี วรทำา เพราะฉะน้ันตกลงว่า ถ้าเป็นปุถุชน โดยสมบูรณ์แล้วก็จะอยู่ด้วยกิเลส ทำาการขวนขวายต่างๆ กด็ ้วยกิเลส อยู่ เฉยกด็ ้วยกเิ ลส ซง่ึ มศี ัพทเ์ ฉพาะ เรียกวา่ ความประมาท นี้เป็นขน้ั หนึง่ เพียรพยายามด้วยอาำ นาจคุณธรรม ในทางธรรมะตอ้ งการใหม้ นษุ ยด์ น้ิ รนขวนขวายดว้ ยอำานาจคณุ ธรรม ให้พยายามนำาคุณธรรมเขา้ มาแทน เข้ามาเป็นเคร่ืองเร่งเร้ากระตนุ้ เช่น เอา ความสำานึก เอาศรัทธา ความกรุณาอย่างเช่นการระลึกถึงความตายท่ีท่าน เรียกว่ามรณานุสติ เป็นต้น มาเป็นเคร่ืองกระตุ้นเร่งเร้าใจให้ขวนขวาย กระทำาการต่างๆ มิใช่กระทำาด้วย โลภะ โทสะ โมหะ และแม้ไม่มีความทุกข์ ไม่มีกิเลสเขา้ มาบีบค้ัน กใ็ หส้ ามารถขวนขวายกระทาำ สิ่งทดี่ ีงาม อนั เป็นการ กระทาำ ได้ด้วยคุณธรรมของตนเอง คือมีความไม่ประมาทได้เสมอ เพราะ ฉะนั้นลักษณะท่ีตา่ งกันในการขวนขวายกระทำาความเพียรของปุถุชนกับการ ปฏิบตั ิตามคำาสอนในทางพระศาสนากค็ ือ ฝา่ ยหนึ่งน้ันด้ินรนขวนขวายด้วย อาำ นาจของกิเลส ส่วนในทางธรรม ให้ด้ินรนขวนขวายเพียรพยายามด้วย อาำ นาจคุณธรรม นีเ้ ปน็ ขน้ั สอง คอื อาศยั การกระต้นุ เตือนเร่งเรา้ คติเกี่ยวกับการรู้เท่าทนั ธรรมดา สูงขึ้นไปอกี ขั้นหน่ึง กค็ ือขั้นรู้เท่าทันธรรมดา เร่ืองคติเก่ียวกับการ รเู้ ทา่ ทันธรรมดานี้ เมื่อนาำ มาสง่ั สอนแก่ปุถชุ นก็กอ่ ปัญหาขึน้ ไดอ้ กี คือมนุษย์ ปุถุชนน้ัน พอจะเห็น พอจะเช่ือ เข้าใจเร่ืองความเป็นไปตามธรรมดาได้
10 เมือ่ ธรรมดามาถงึ รใู้ ห้ทัน และทาำ ให้ถกู พอมองเหน็ ธรรมดาก็ปรบั ใจตนเองได้ ใจก็สบาย ท่เี คยมคี วามทกุ ข์อะไรตอ่ มิอะไรตา่ งๆ เช่น ความพลดั พรากจากคนหรือของซึง่ เป็นทร่ี ัก ความประสบ กบั สง่ิ ที่ไม่เป็นที่รักปรารถนาแล้วไม่ไดส้ มหวงั ตา่ งๆ ทเ่ี คยทาำ ให้ตนเองมีความ ทุกข์ เป็นเครอ่ื งบบี คัน้ ให้ด้นิ รนขวนขวายพยายามนน้ั พอได้รบั คาำ สอนทาง พระศาสนาให้รู้เท่าทันธรรมดาแล้วก็เลยเช่ือ มองเห็นตามก็เลยปรับใจได้ สบายใจ พอสบายใจก็เรียกว่าทุกข์น้อยลงหรือหมดทุกข์ แต่ปัญหาของ ปุถุชนกต็ ามมาอกี ปุถชุ นจะไม่ไดอ้ ยู่เพียงนั้น พอปรับใจได้ แล้วสบายใจก็ หยุด ไม่ด้ินรนขวนขวายที่จะกระทาำ กิจที่ควรทำากลับอยู่น่ิงเฉยเสีย ปัญหา ทีแ่ ท้จริงก็ไมไ่ ด้แกไ้ ข ต้นตอของปัญหาทแ่ี ทจ้ ริงก็มไิ ด้ขวนขวายจะศึกษาใหร้ ู้ และเขา้ ใจ เพื่อจะแก้ไขให้เรยี บรอ้ ย ตกลงก็เกดิ เปน็ โทษได้อกี เพราะฉะนั้น เร่ืองของมนุษย์ปุถุชนแล้ว แม้ได้รับคาำ สอนในทางธรรม ก็เป็นปัญหาเกิด ขึ้นได้เหมือนกันถ้าไม่รู้จักคอยฝึกพยายามที่จะดำารงอยู่ในความไม่ประมาท อยู่เสมอ ในที่นี้ มีข้อท่ีควรกล่าวแทรกเข้ามาเป็น 2 เรื่อง คือเรื่องการปรับ และการเฉย การปรบั ตัวเอง การปรบั มี 2 อยา่ ง คือ ปรบั ภายนอก กบั ปรบั ภายใน ปรับภายนอก หมายความว่า ส่ิงท้ังหลายที่เกิดเป็นปัญหาขึ้น วุ่นวายภายนอก แล้วเราจัดการแก้ไขให้เรียบร้อย ให้สงบลงได้ก็เรียกว่า ปรับภายนอก
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 11 อีกอย่างหนึ่งคือ ใจของตนเองท่ีวุ่นวายเกิดความทุกข์ความเดือด ร้อนปรับใจของตนเองได้ด้วยความรู้ความเห็นธรรมดา เรียกว่าการปรับใจ หรือการปรบั ภายใน มนุษย์ปุถุชนทั่วไปจะมุ่งไปท่ีการปรับภายนอก อะไรๆ ก็พยายาม จะไปแก้ภายนอกให้เข้ากับที่ตนเองต้องการ เสร็จแล้วระหว่างนั้นก็เกิด ความทุกข์ ความเดือดร้อนมาก เพราะส่ิงท้ังหลายไม่เป็นไปตามใจตัวเอง ทีนี้ พอได้รับคาำ สอนทางธรรมก็รู้จักหันเข้ามาปรับภายใน คือปรับใจของ ตนเองได้ ข้างนอกจะเป็นอย่างไรใจก็พอมีความสุข แต่ว่าถ้าหากไม่รู้จัก ความพอดีสมดุล ก็เกิดปัญหาได้ทั้งสองอยา่ ง คอื ปรบั แตภ่ ายนอกภายในไม่ ปรับก็มคี วามทุกข์มาก ถา้ ปรบั แต่ภายในใจ พอมคี วามสุข สว่ นขา้ งนอกไม่ ได้แก้ไขให้เรียบร้อยก็เกิดปัญหาต่อไป เร่ืองของปุถุชนก็มักจะวนเวียนอยู่ สองประการนี้ นี่คือเร่ืองของการปรับ เพราะฉะน้ัน จะต้องหาความพอดี ในระหวา่ งการปรบั สองอยา่ ง ถา้ กลา่ วโดยทวั่ ไปกต็ ้องปรบั ทง้ั สอง การเฉยของมนษุ ย์ เรื่องความเฉย ได้กล่าวว่าบุคคลเม่ือปรับใจตนได้ หรือส่ิงต่างๆ เป็นไปโดยเรียบร้อยไม่วุ่นวายก็เฉย ความนิ่งเฉยนี้ในทางพระศาสนากล่าว โดยยอ่ มสี องอยา่ ง อย่างหนึ่งคือ เฉยโดยไม่รู้ เฉยโง่ๆ ท่านเรียกว่าอัญญาณุเบกขา คือเฉยเร่ือยเปื่อย เฉยไม่รู้เรื่อง เฉยไม่เอาเร่ืองเอาราว คือไม่รู้ว่ามีเรื่อง อะไรเกิดขึ้นก็น่ิงเฉย หรือว่าเฉยโดยไม่เรียนรู้เร่ืองราวท่ีเป็นไป ไม่ได้เกิด
12 เม่ือธรรมดามาถึง ร้ใู ห้ทนั และทำาให้ถกู จากความรู้ความเข้าใจ อันนี้เป็นความเฉยที่เกิดจากโมหะ หาใช่เป็น คุณธรรมไม่ เป็นอุเบกขาชนดิ หนึ่ง แตเ่ ป็นอกศุ ลเรยี กวา่ อญั ญาณเุ บกขา อย่างที่สอง เป็นการเฉยอย่างถูกต้องตามหลักธรรมเป็นโสภณ- เจตสิก คือความเฉยท่ีเกิดจากความรู้ หมายความว่ารู้ว่าอะไรเป็นอย่างไร ควรจะทาำ อะไร เมื่อไร อยา่ งไร ก็เลยเฉยไว้ ไมต่ นื่ เตน้ โวยวาย รอทาำ ไปตาม ลำาดับจังหวะข้ันตอน อนั นีเ้ ป็นความเฉยที่ถูกตอ้ งในทางธรรมะ ปุถุชนโดยมากมักจะเฉยแบบท่ีหนึง่ คือเฉยไมร่ เู้ รอ่ื ง เฉยดว้ ยโมหะ หรืออัญญาณุเบกขา เฉยด้วยความไมร่ ้กู เ็ กิดโทษ ฉะน้ันต้องทาำ ความเข้าใจ แยกได้ระหว่างเร่ืองการปรับสองอย่าง และการเฉยสองอย่างนี้ ซ่ึงท้ังหมด น้ันก็เก่ียวดว้ ยความประมาทและความไม่ประมาท กลา่ วคือเมอื่ ปรบั ภายใน ได้ แต่ว่าไม่ขวนขวายทำาส่ิงท่ีควรทาำ ต่อไป ก็เฉยโดยไม่รู้หรือไม่หาความรู้ ไม่ใช่เฉยที่เป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจ ก็กลายเป็นความประมาท เรื่อง ประมาทเชน่ น้ีไม่เฉพาะปุถุชนเทา่ นั้น แม้แตพ่ ระอริยบคุ คลท่านก็กล่าววา่ ยัง ประมาทได้ ตราบใดที่ยังเป็นอริยบุคคลเบื้องต้น คือ ไม่บรรลุอรหัตตผล พระโสดาบัน พระสกิทาคามี เหล่านี้ล้วนประมาทได้ท้ังสิ้น มีแต่พระ อรหันต์เท่านั้นท่ีไม่ประมาท ท่านใช้คาำ ว่าพระอรหันต์เป็นผู้ที่ไม่สามารถจะ ประมาท การเพลิดเพลนิ ในความสุขคือความประมาท พระโสดาบันนั้น ท่านแสดงตัวอย่างไว้ว่า เมื่อได้บรรลุคุณธรรม เบื้องสูงแล้ว เกิดความพอใจ เคยมีความทุกข์มากมายก็ไม่มีความทุกข์ หรือทุกข์เหลือน้อยเหลือเกินแล้ว มีความสุขสบายเกิดขึ้นมาก ก็มีความ
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 13 พอใจว่าเราได้เพียรพยายามปฏิบัติธรรมมาได้บรรลุผลสำาเร็จเพียงนี้ มี คุณธรรมในตนแล้วอย่างนๆี้ ไดล้ ะกิเลสแล้วอยา่ งนๆ้ี ได้ประกอบดว้ ยธรรม วิเศษอย่างนี้ๆ ก็มีความพอใจเป็นเหตุให้หยุดเฉยอยู่สบายๆ พระพุทธเจ้า ตรัสเรียกว่า นี้เป็นผู้ประมาทแล้ว เพราะไม่ขวนขวายเร่งรัดตนเองในการ ทำาความเพียรเพ่ือคุณธรรมเบื้องสูงยิ่งขึ้นไป ส่วนพระอรหันต์เป็นผู้ไม่อาจ ประมาทเพราะอะไร เพราะมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาและไม่มีกิเลสที่จะเป็นเหตุ ให้ประมาท ได้กล่าวแล้วว่าคนที่ประมาทนั้นเพราะยังมีกิเลส คือจะด้วย ปรับใจตนเองได้ หรือด้วยเหตุการณ์ทั้งหลายยังไม่บีบค้ันก็ตาม ก็มีกิเลสที่ เป็นเหตุให้ติดในความสุข เพลินในความสบาย การท่ีเพลินติดในความสุข น่ันแหละ เป็นลักษณะของกิเลส คือเกิดจากกิเลส และเป็นตัวท่ีเรียกว่า ความประมาท ส่วนพระอรหันต์น้ันเป็นอยู่ด้วยปัญญา รู้เท่าทันธรรมดาและ กระทาำ การด้วยความรู้เท่าทันธรรมดานั้น เพราะฉะน้ัน ขั้นที่หนึ่ง ในใจ ของท่านเองก็ปรับได้ มีความสุขในทุกสถานการณ์ ข้ันท่ีสองในการปฏิบัติ ดำาเนินชีวิตของท่านก็คือปฏิบัติไปด้วยความรู้ว่าอะไรเป็นอย่างไร อะไรเกิด ขึน้ จากเหตปุ จั จยั อะไร อะไรจะกอ่ ให้เกดิ ปัญหาหรอื ไม่ ถา้ เป็นปัญหาก็ศกึ ษา หาเหตปุ ัจจัยและแก้ไขเสีย กท็ าำ ให้การปรับภายนอกดาำ เนินไปได้ หรือรู้จน กระทง่ั วา่ สง่ิ เหล่าน้ดี ำาเนนิ ไปไม่ได้ กเ็ ป็นไปตามเหตตุ ามปจั จยั เช่นเดยี วกัน นี้ก็เป็นเครื่องวัดความแตกต่างเป็นข้ันๆ ตั้งแต่ปุถุชนสูงขึ้นมาถึงอริยบุคคล แลว้ กระท่ังเปน็ พระอรหนั ต์ ทีน้ี กลับมากล่าวถึงด้านปุถุชนต่อไป สำาหรับปุถุชนนั้นเป็นอันว่า ต้องอาศัยส่ิงบีบคั้นเร่งเร้ามาช่วยให้ดิ้นรนขวนขวายกระทำาการต่างๆ แต่ เพราะเหตวุ ่าปุถุชนโดยท่ัวไปน้ัน คอยอาศัยเครื่องเร่งเร้าบีบคั้นที่เป็นอกุศล
14 เมอื่ ธรรมดามาถงึ รู้ใหท้ นั และทำาให้ถกู โดยอาศยั ความทุกข์บ้าง โดยอาศัยกิเลส คือความโลภ ความโกรธ ความ หลงบ้าง ในทางพระศาสนาเห็นว่าเป็นโทษ จึงได้แนะนำาในทางท่ีจะ ปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น คือนำาเอาคุณธรรมมาเป็นเคร่ืองเร่งเร้าตนเอง เอา ศรทั ธามาเป็นเครอื่ งเร่งเรา้ บ้าง เอามรณสติมาเปน็ เครอ่ื งเรง่ เรา้ บา้ ง กท็ าำ ให้ มนุษย์อยู่ด้วยความดีงามมากข้ึน กระทาำ ส่ิงท่ีดีงาม และกระทำาการท่ีเป็น ประโยชน์ตอ่ กันมากข้นึ ปรับปรุงตนเองใหเ้ จรญิ คณุ ธรรมอยู่เสมอ แต่อยา่ งไรกต็ าม มีข้อที่ควรจะระลึกไว้วา่ ตราบใดท่ีมนุษย์ยังต้อง ใช้วิธีเร่งเร้าบีบค้ันด้วยความทุกข์เป็นต้น แม้ตลอดด้วยคุณธรรมดังที่กล่าว มาเป็นเครอ่ื งมากระตนุ้ ตนใหข้ วนขวายทาำ การตา่ งๆ ตราบน้ันโลกมนษุ ย์กย็ งั ไม่มีความปลอดภัย หมายความว่า มนุษย์ยังไม่สามารถเป็นผู้อยู่ด้วย ปัญญาบรสิ ุทธ์อิ ยา่ งแทจ้ ริง การทต่ี ้องอาศยั ส่งิ เรง่ เร้ามาเร่งรัดกระตุน้ ตนเอง ใหก้ ระทำาการตา่ งๆ นั้น ย่อม (1) มีโอกาสที่จะเกิดความประมาทอยู่เสมอ หมายความว่าขาด เครือ่ งกระตุ้นเรง่ เร้าขน้ึ มาเม่ือไร ก็จะตกอยู่ในความประมาทอกี (2) การประกอบกรรมทาำ การต่างๆ ของมนุษย์ท่ีอยู่ด้วยเคร่ือง กระตนุ้ เร่งเร้าเช่นน้ัน จะมีความไม่พอดีอยู่เสมอ มากเกินไปบ้าง น้อยเกิน ไปบ้าง ไม่พอดีที่จะแก้ปัญหา เพราะทำาด้วยแรงแต่ขาดความรู้ หรือทาำ ตามความแรงไม่ทำาตามความรู้ เพราะฉะน้ัน ก็จะก่อให้เกิดปัญหาแก่ ตนเองบ้าง แกผ่ ูอ้ ื่นบา้ ง อยเู่ รือ่ ยไป
พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 15 ทางพระศาสนาจึงต้องให้มนุษย์ฝึกฝนตนเองให้เจริญงอกงามข้ึนไป ในคุณธรรมอยู่เสมอ คือ จะต้องให้พยายามเป็นอยู่ มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา คือเป็นอยูด่ ว้ ยรู้เขา้ ใจธรรมดา ความรู้เท่าทันธรรมดาแล้วประมาทหรือไม่น้ี แหละเป็นเครื่องวัดอย่างหน่ึงว่า บุคคลผู้น้ันได้บรรลุคุณธรรมสูงแค่ไหน กลา่ วงา่ ยๆ วา่ ตราบใดที่แม้จะไดร้ ู้เข้าใจธรรมะ รู้เขา้ ใจธรรมดาดีแล้ว แต่ ยังมีความประมาทอยู่ อันน้ีแสดงว่ายังไม่ได้บรรลุคุณธรรมเบื้องสูง อย่าง น้อยก็คือยังไม่ได้บรรลุอรหัตตผล อาจได้เป็นอริยบุคคลก็เป็นในชั้นต้นๆ ยาำ้ ความวา่ คนหมดกิเลสแล้ว รู้เทา่ ทนั ธรรมดาและทำาการดว้ ยความรูเ้ ท่าทนั ธรรมดาน้ัน แต่คนมีกิเลสรู้ตามเห็นตามธรรมดาหรือได้ความรู้เท่าทัน ธรรมดาแล้ว แต่ทาำ การด้วยเอาตัวสบายเป็นเกณฑ์ ถ้าตัวสบายแล้ว ก็ไม่ ขวนขวายไมค่ ิดทาำ ส่วนคนหมดกเิ ลสรูเ้ ท่าทนั ธรรมดา สบายใจแลว้ แตถ่ ้า ปญั หายงั มกี ็กระทำา มอี ะไรควรทำากท็ าำ เรอ่ื ยไป อยดู่ ้วยการรเู้ ทา่ ทันธรรมดาของชวี ิต รวมความว่าพระศาสนาน้ัน สอนมนุษย์ให้ฝึกตนเอง ให้เจริญ ก้าวหน้ายิ่งข้ึนไปเสมอ เจริญจากขั้นต้นให้ผ่านพ้นความเป็นปุถุชนที่มีแต่ ความสลดหดหู่ท้อแท้ใจ มาสู่ความเร่งเร้าตนเองให้ขวนขวายทำาความดี ตา่ งๆ ด้วยอาศัยคุณธรรมนำามาเป็นอนุสติเครื่องเตือนใจตนเอง และเจริญ ถงึ ข้ันสงู สดุ กค็ อื ให้อยดู่ ้วยความรู้เทา่ ทนั ธรรมดา และทาำ การดว้ ยปัญญาท่ี รู้เท่าทันธรรมดาน้ันตามเหตุปัจจัย ซ่ึงในวิธีการทั้งหมดนั้น สาำ หรับมนุษย์ ปุถุชน ทางพระศาสนาได้เน้นในประการที่สอง ซึ่งอยู่ในขั้นท่ามกลาง คือ การใช้คุณธรรมมาเป็นเครื่องเร่งเรา้ แตใ่ นกรณีของมรณสตินี้ ทำาให้เห็นว่า ท่านใช้ท้ังสองประกอบกันคือ ประการหน่ึงก็ให้ใช้ปัญญาพิจารณารู้เท่าทัน
16 เมือ่ ธรรมดามาถึง ร้ใู หท้ นั และทาำ ให้ถกู ธรรมดาดว้ ย ที่ว่าให้ร้วู า่ ความตายเป็นของธรรมดา เป็นของคู่กับความเกิด เกดิ แลว้ ตอ้ งมดี ับ เมือ่ เข้าใจแลว้ กท็ าำ ใจให้สบาย หายจากทกุ ขไ์ ด้ แตพ่ ร้อม กนั นั้นกใ็ ชว้ ธิ ีเรง่ เร้าด้วยคณุ ธรรมด้วยว่า ให้ระลึกไวว้ า่ ความตายนนั้ เป็นของ แนน่ อน แต่จะมาถงึ วันใดไม่แนน่ อน เพราะฉะน้ัน เม่ือยังมีชีวิตอยู่นี้ ให้เร่งขวนขวายทาำ กิจหน้าที่ความ ดีต่างๆ อันน้ีคือหลักท่ีเราเรียกว่ามรณสติ ซึ่งมรณสติเช่นนี้ ก็มาเข้ากับ แนวทางปฏิบัติทอ่ี าตมภาพได้ยกคำาสอนในพระไตรปิฎกมาตงั้ เปน็ นิกเขปบท คือบทหวั ข้อสำาหรบั อธิบายไว้ ทที่ ่านเตือนใหร้ ะลกึ ถงึ ความตายของชวี ติ และ มีความไมป่ ระมาท ดงั พระบาลวี า่ น เหว ตฏิ ฺํ นาสนี ํ น สยานํ น ปตถฺ คุํ แปลความวา่ “อายสุ งั ขารจะพลอยประมาทไปกบั มนุษยท์ ้ังหลายที่ ยืน เดิน น่ัง นอนอยู่ก็หาไม่” หมายความว่ามนษุ ยท์ ้ังหลายนี้อาจจะมีความ ประมาท ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่ขวนขวายทาำ ส่ิงท่ีควรทำาอยู่ ปล่อยเวลาผา่ น ไป แต่ในเวลาน้ัน ให้เข้าใจเถิดว่าอายุสังขารของเราหาได้ประมาทตามเรา ไปด้วยไม่ คอื อายุสังขารของเราเป็นไปตามหลักไตรลักษณ์ มีความไม่เที่ยง มีความทกุ ข์ทนอยู่ไม่ได้ และมคี วามเปน็ อนัตตา ไม่อยใู่ นอำานาจของเรา มัน เป็นอยู่ตลอดเวลา ก็เปลี่ยนแปลงของมันไปไม่หยุดยั้ง เม่ืออายุสังขาร เปลี่ยนแปลงไปตกอยู่ในคตธิ รรมดาอย่างนต้ี ลอดเวลา เราจงึ ไมค่ วรประมาท ไมค่ วรน่ิงเฉย ทา่ นจึงกลา่ วต่อไปอกี ว่า ตสมฺ า อธิ ชีวติ เสเส กจิ ฺจกโร สยิ า นโร น จ มชฺเชติ
พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 17 แปลความว่า เพราะฉะนั้น ในชีวิตท่ียังเหลืออยู่น้ี คนเราควร กระทาำ กิจหน้าท่ีของตนและไม่พึงประมาท อันน้ีคือการที่จะนาำ เอาความรู้ เท่าทนั ธรรมดานั้น มาใชใ้ นทางท่ีเป็นกุศล เป็นประโยชน์ ทางพระศาสนานั้น กล่าวถึงคติธรรมดาในทำานองเช่นน้ี ไม่เฉพาะ ความตายเท่านั้น ได้กล่าวแล้วว่า ความตายเป็นของคู่กับความเกิด และ พระศาสนานน้ั ไม่กลา่ วถงึ ความเกดิ มากนกั ถ้ากลา่ ว กม็ ักจะกล่าวในทางที่ เตือนสติมนุษย์อีกว่า ความเกิดน้ันนาำ มาหรือนำาไปสู่ความตาย ทั้งน้ีก็เพ่ือ ให้เกิดความขวนขวายไม่ประมาทเช่นเดียวกัน คือถ้าหากพระพุทธศาสนา จะกล่าวถึงความเกิดในทำานองเดียวกับท่ีสนองความต้องการของมนุษย์ ก็ จะเป็นเครื่องยัว่ ยมุ นษุ ยใ์ ห้มีความมัวเมาประมาทย่ิงขึ้น เพราะฉะน้ัน ทา่ น ไม่พยายามท่จี ะสนองความตอ้ งการนี้ แต่ทา่ นกล่าวในทางตรงข้าม เพื่อจะ เร่งเร้าใหเ้ ป็นไปในกระแสท่ีไหลไปส่คู ณุ ธรรม และทา่ นก็จะให้คติเพมิ่ เติมต่อ ไปอีก อยา่ งพทุ ธพจนใ์ นพระธรรมบทคาถาหน่งึ ทกี่ ลา่ วถึงมนษุ ยท์ เ่ี กดิ มา ก็ กล่าวถงึ ในทาำ นองที่วา่ ใหข้ วนขวายในการบาำ เพ็ญกุศลกรรมอีก ดงั บาลวี ่า ยถาปิ ปุปผฺ ราสิมฺหา กยริ า มาลาคุเฬ พหู เอวํ ชาเตน มจฺเจน กตตฺ พพฺ ํ กุสลํ พหุํ แปลความว่า ดอกไม้ท่ีสุมกันอยู่เป็นกองน้ี นายช่างท่ีฉลาด สามารถนาำ เอามาร้อยกรองเป็นพวงมาลัยที่สวยงาม มีคุณค่าได้ฉันใด ชีวิตคนเราที่ได้เกิดมานี้ ก็ควรจะใช้ประกอบกุศลกรรมความดีให้มากฉัน นนั้
18 เมอ่ื ธรรมดามาถึง รใู้ หท้ ัน และทำาให้ถกู เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสถึงความเกิด ก็หมายความว่าพระพุทธองค์ไม่ ได้ตรัสในทางที่สนองความต้องการให้เกิดความลิงโลด สนุกสนานดีใจ แต่ เตือนใจให้มีความไม่ประมาทเช่นเดียวกัน มองความเกิดก็มองในแง่ไม่ ประมาท ใช้ชีวิตน้ีทำากุศลทำาความดีให้มากหรือถ้าจะให้มองความตาย ก็ มองในแง่ทจี่ ะเร่งเรา้ ให้ทาำ ความดี ทาำ ประโยชน์เช่นเดียวกัน นาำ โอกาสและเหตุการณม์ าใชใ้ นการทำาใหเ้ กดิ คณุ เกดิ ประโยชน์ วันน้ี คณะท่านเจ้าภาพผู้เป็นญาติมิตรได้มาร่วมการบาำ เพ็ญกุศล อุทิศให้ท่านผู้วายชนม์ ด้วยระลึกคุณและมีจิตใจหวังดีปรารถนาประโยชน์ ต่อท่าน แต่คุณประโยชน์และพิธีกรรมนั้นก็มิได้จาำ กัดด้วยคุณค่าเพียง เท่านั้น มีคุณค่าขยายเพ่ิมพูนไปแก่ทุกคนท่ีได้มาร่วมพิธี ในทางที่เป็น เครื่องเจริญสติ เจริญปัญญาอีกด้วย อันนี้ก็เท่ากับความหมายที่อาตมภาพ ได้กลา่ วไว้ข้างต้นว่า พุทธศาสนิกชนน้ัน เม่ือมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหน่ึง เกิดขึ้น จะเป็นเหตุการณ์ท่ีน่าพึงพอใจก็ตาม ไม่น่าพอใจก็ตาม ก็สามารถ และพยายามนำาเอาโอกาสและเหตุการณ์น้ันมาใช้ในการทาำ ให้เกิดคุณ เกิด ประโยชน์ เกดิ กุศล มากยิ่งๆ ขึ้นไป ท่านผู้วายชนม์ได้ล่วงลับไปแล้ว แมต้ ามวิสัยของปุถุชน การตาย ยอ่ มเป็นธรรมดาทไ่ี มน่ ่าปรารถนา เป็นเหตุกอ่ ความทุกข์ ความโศกเศร้าแก่ บุคคลผู้เคารพนับถือ ผรู้ ักใคร่ แตใ่ นเม่อื เหตุการณ์ท่ไี ด้เกิดขึ้นแล้ว ได้เป็นไป แล้ว พุทธศาสนิกชนก็นาำ มาก่อให้เกิดคุณค่า เกิดประโยชน์ด้วยการบาำ เพ็ญ กุศลตามหลกั พระศาสนา
พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) 19 ดงั ปรากฏในท่ีเฉพาะหน้าน้ี ซ่ึงคุณประโยชน์เกิดข้ึนได้ก็ด้วยอนุสติ และบุญกิริยาต่างๆ หมายความว่า ความตายของผู้ล่วงลับน้ันไม่ได้เป็น ความตายทผ่ี า่ นไปเพยี งเฉพาะตวั ทา่ น แตย่ ังกอ่ คุณคา่ เป็นประโยชนแ์ ก่ผอู้ นื่ ที่รู้จักระลึกถึงความตายน้ัน ด้วยจิตใจท่ีถูก ดว้ ยทา่ ทีที่ชอบดว้ ย คอื ทำาให้ เกิดความไม่ประมาทเร่งขวนขวายทำาความดีงาม ตลอดจนความรู้เท่าทัน ธรรมดาท่ีจะทาำ ให้ระงับหายคลายจากความทุกข์ จากความโศกเศร้านั้น และเกิดคุณค่าด้วยการประกอบบุญกิริยาต่างๆ ที่เป็นเร่ืองของทาน ศีล ภาวนา ที่เป็นเร่ืองของทานน้ัน ก็ด้วยการให้การบริจาค การทาำ บุญถวาย ภัตตาหารพระ เป็นต้น ที่เป็นเร่ืองของศีลก็ด้วยความประพฤติท่ีถูกต้องดี งาม ไม่ล่วงละเมิด ไม่ทำาความผิดช่ัวร้าย อย่างน้อยก็ในระยะเวลาที่ ประกอบพิธีน้ี ก็ต้องอยู่ในความประพฤติท่ีดีงาม ท่ีชอบและเจริญด้วย ภาวนา คือการฝึกอบรมจิตใจและปัญญาของตนเอง ทาำ ให้จิตใจมีความ สงบ ความเยอื กเยน็ เปน็ จติ ภาวนา ฝกึ อบรมจิต ทำาให้เกดิ ความรู้ ความ เข้าใจในคตธิ รรมดา ร้เู ขา้ ใจเทา่ ทันความเกดิ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อันน้ีกเ็ ป็นปัญญาภาวนา หรือการอบรมปัญญา แม้จะเป็นส่วนเบื้องต้น ก็ เป็นคุณค่าท่ีเป็นประโยชน์ อยู่ในแนวทางของพระศาสนา เพราะฉะนั้น อาตมาภาพก็ขออนุโมทนาต่อคณะท่านเจ้าภาพและสาธุชนทั้งหลาย ท่ีได้ บำาเพญ็ กศุ ลในวนั น้โี ดยท่ัวกนั .
ความตายคอื คตธิ รรมแหง่ ชวี ิต และการบำาเพญ็ กศุ ลเพื่อรำาลึกถงึ ผลู้ ว่ งลับไปแล้ว ปญุ ฺญเมว โส สิกเฺ ขยฺย อายตคคฺ ํ สุขุทฺรยิ ํ ทานญจฺ สมจริยญฺจ เมตฺตจติ ฺตญฺจ ภาวเยตฯิ ณ โอกาสนี้ อาตมภาพจะแสดงพระธรรมเทศนาในปุญญกถา เพอื่ อนุโมทนากศุ ลบญุ ราศีในการทค่ี ณะท่านเจ้าภาพได้บำาเพ็ญกุศลทกั ขณิ า - นุปทาน เพอื่ อทุ ศิ แดท่ า่ นผูล้ ว่ งลบั ไปแลว้ วันน้ีจะไดม้ พี ิธฌี าปนกิจ คณะทา่ นเจา้ ภาพ อนั มีครอบครัวและญาติมิตรที่เคารพนับถือ ได้ มาร่วมกันจัดงานทาำ บุญโดยตลอดมาแต่เบื้องต้น ท่านท่ีเคารพนับถือทั้ง หลายน้ันได้มาร่วมพิธีกัน เป็นการให้กำาลังกายบ้าง กำาลังใจบ้าง หรือทั้ง กาำ ลังกายทั้งกำาลังใจบ้าง ทำาให้งานบาำ เพ็ญกุศลทักขิณานุปทานนี้ดาำ เนินมา ดว้ ยดี ประเพณที ่ีเป็นบุญเปน็ กุศล การบำาเพ็ญกุศลครั้งน้ี มองในรูปที่ปรากฏท่ัวไป ย่อมเห็นกันว่า เป็นการปฏิบัติตามประเพณีของชาวไทยผู้นับถือพระพุทธศาสนา คือถือ เป็นหลักปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลายาวนานแล้ว อันนี้นับเป็นส่วนของ ประเพณี
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 21 แต่ถ้ามองลึกลงไป ประเพณีน้ียังมีส่ิงที่เป็นรากฐานอันมีความ หมายลึกซึ้งในทางนามธรรม กล่าวคือเป็นพิธีเป็นประเพณีที่อิงอยู่กับหลัก คำาสอนในพระพุทธศาสนา เป็นการดำาเนินตามหลักธรรมของสมเด็จพระ สัมมาสมั พุทธเจ้า ที่ได้ตรสั สั่งสอนพทุ ธศาสนกิ ชนทัง้ หลายไว้ ให้ทาำ สง่ิ ที่เป็น บุญเป็นกุศลตามหลักพระพุทธศาสนาน้ัน ชาวพทุ ธเมื่อมีเหตุการณ์อันใดอัน หน่ึงเกิดขน้ึ จะปรารภเหตุการณ์นน้ั แลว้ ทาำ ส่ิงทีเ่ ป็นบญุ เปน็ กศุ ล เป็นความ ดีงาม ประโยชน์ของประเพณีงานศพ ในเร่ืองของความตายนี้ก็เช่นเดียวกัน เป็นเหตุการณ์สาำ คัญอย่าง หนง่ึ ของชีวติ แต่ลำาพังเรอื่ งการตายอย่างเดียวน้ัน ก็เป็นเร่อื งของท่านผู้เกดิ มาแล้วก็จากไปตามคติธรรมดา และเมื่อจากไปก็เป็นการล่วงลับไม่หวน กลับมาอกี ไมว่ า่ เราจะเรียกร้องอยา่ งไรก็ไม่สาำ เรจ็ ทำาอย่างไรๆ ก็ไม่มีผล แต่พุทธศาสนิกชนน้ัน ปรารภความตายอย่างนี้แล้วก็ทาำ สิ่งที่ดีงามเป็นบุญ เปน็ กศุ ล ซง่ึ ได้ผลเปน็ ประโยชน์เกิดขน้ึ กลา่ วคือ ประการที่หน่งึ กไ็ ดอ้ ุทศิ กุศลนนั้ แกท่ า่ นผลู้ ่วงลับไปแลว้ ดว้ ย ประการทส่ี อง ผู้ท่เี ป็นพี่นอ้ งและมติ รสหายเปน็ ตน้ กจ็ ะได้บาำ เพ็ญ คุณธรรมกลา่ วคอื กตัญญกู ตเวทติ าธรรม แสดงความรำาลกึ ถึง และตอบแทน พระคณุ ของท่านผ้ลู ว่ งลบั ไปแล้ว ซึ่งเป็นญาติและมติ รสหายของตน นอกจากน้ี ในสว่ นตวั ของผทู้ ท่ี าำ บญุ นน้ั เอง กเ็ ปน็ การสรา้ งความเจรญิ งอกงามในทางบุญทางกุศล สะสมบุญคือความดีไว้ในชีวิตของตนให้มากขึ้น ดว้ ย
22 เมอ่ื ธรรมดามาถึง รูใ้ ห้ทัน และทาำ ให้ถกู การทำาบญุ เก่ียวกบั ความตาย ว่าที่จรงิ แล้ว การปรารภเหตุการณ์คือความตายแล้วกระทำาบุญน้ัน มีทางทำาได้หลายประการด้วยกัน ในทางพระพุทธศาสนา ทา่ นกล่าวถึงบุญ ไว้ต่างๆ มากมายเหลือเกนิ แต่เมอื่ สรปุ แล้วก็มสี ามอยา่ ง คอื หนึง่ ทาน การให้ การบรจิ าค สอง ศลี ความประพฤตดิ ี ประพฤตชิ อบทางกาย วาจา สาม ภาวนา การฝึกอบรมจติ ใจ ความฝกึ อบรมเจรญิ ปัญญา รวมเป็นสามประการ ในการบาำ เพ็ญกุศล เพ่ือรำาลึกถึงผู้ล่วงลับไป แล้วน้ัน สามารถท่ีจะทำาบุญให้เกดิ ขึ้นไดท้ งั้ สามหมวด สามประเภทเหล่านี้ การทาำ ทาน ในประการท่หี นึ่ง คอื ส่วนทเ่ี ปน็ ‘ทาน’ นน้ั เปน็ สว่ นเบอ้ื งตน้ ท่ี เห็นได้ง่าย ปรากฏรายรอบทางวตั ถุ คอื เม่ือปรารภถึงท่านผู้ถึงแก่กรรมไป แลว้ เจ้าภาพกพ็ ากันทำาบุญทำากศุ ล นิมนต์พระสงฆม์ าถวายภัตตาหาร ถวาย เครื่องไทยธรรมต่างๆ อันน้ีก็เป็นส่วนเบ้ืองต้น เป็นพิธีกรรมส่วนสามัญท่ี กระทาำ กัน ซ่ึงเป็นการอทุ ศิ กุศลแก่ทา่ นผลู้ ว่ งลับไปแลว้ และเปน็ การเกอ้ื กลู ต่อพระศาสนา ให้กาำ ลังแก่พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติศาสนกิจ แต่ทานนั้นมิใช่หยุด เพียงเท่าน้ี ทา่ นผู้มีความดำาริชอบประกอบด้วยปัญญา พิจารณาเห็นเร่ือง ของชีวิต มาปรารภถึงความตายว่า คติธรรมดาของชีวิตคนก็คือ การเกิด แก่ เจบ็ และก็ตาย อยา่ งทก่ี ลา่ วกันวา่ คนท้ังหลายน้นั “มาก็มาแต่ตวั ไป ก็ไปได้แต่ตวั ”
พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 23 สิ่งท้ังหลายที่เราเรยี กวา่ เป็นสมบัติพสั ถานซ่ึงได้รวบรวมส่ังสมเอาไว้ น้นั จะมีมากมายเทา่ ใด กไ็ มส่ ามารถติดตามไปได้ เมอื่ พจิ ารณาเหน็ อย่างนแี้ ล้วกเ็ ป็นเหตุให้สามารถบรรเทาโลภะ คือ ความโลภ ความยดึ ตดิ ความอยากไดใ้ นสิง่ ทงั้ หลายให้นอ้ ยลง เมื่อบรรเทาความโลภให้นอ้ ยลงพร้อมทง้ั มัจฉริยะ คือความตระหนี่ ท่ีเป็นตัวเนื่องอยู่กับความโลภในทรัพย์สมบัติแล้ว ก็จะทำาให้สามารถ บาำ เพ็ญทาน คือ การให้ การบรจิ าค เพอื่ ชว่ ยเหลอื สงเคราะห์บา้ ง บูชาคณุ ความดีของบุคคลที่มีคุณความดีบ้าง ทาำ ทรัพย์สมบัตินั้นให้เป็นประโยชน์ จะนาำ มาใช้สอยเลี้ยงดบู ุคคลในความรับผิดชอบก็ได้ บำาเพ็ญประโยชน์ต่างๆ กไ็ ด้ ทรพั ยน์ น้ั ก็มปี ระโยชนม์ ากขน้ึ ท้ังหมดน้ีก็เป็นส่วนของทาน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้จากการปรารภ ถงึ คติชีวติ ในส่วนที่เป็นความตาย การรักษาศลี ในประการท่ีสองคือ ‘ศีล’ เราอาจจะปรารภถึงความตายดังที่ กล่าวเมื่อก้ีนี้ว่า คนเรานั้นเกิดมาก็มาแตต่ ัว ไปก็ไปแต่ตัว นอกจากนั้น ก็ ยังไมล่ ะท้ิงอะไรไว้ด้วย จะว่าละท้ิงก็ละท้ิงเพียงร่างกาย ซ่ึงร่างกายนั้นก็ไม่ คงอยู่ถาวร เพียงไม่ก่ีวันร่างกายนั้นก็เน่าเป่ือยผุพังไป กลายเป็นอย่างที่ เรยี กกันว่า ‘ธาตุส่ี’ แยกเป็น ดิน นำ้า ลม ไฟ กระจัดกระจายไป กล่าว ไดว้ า่ ไมม่ ีอะไรเหลอื หรออยเู่ ป็นรปู รา่ ง เป็นบุคคล อนั นเี้ ป็นสภาพภายนอก เปน็ เรอื่ งทางวตั ถุ ทางรปู กาย ไปแตต่ วั มาแตต่ วั แลว้ กไ็ ม่เหลือทิ้งอะไรไว้
24 เมอื่ ธรรมดามาถึง รใู้ หท้ นั และทำาใหถ้ กู แต่ถ้ามองลึกซ้ึงลงไปอกี ก็จะเห็นวา่ ความจรงิ นนั้ ยังมีอะไรท่ีท้ิงไว้และก็ยัง มีอะไรทต่ี ามไปอกี จะมองเห็นได้ตามคำาสอนของพระศาสนาว่า มาแต่ตัวไปแต่ตัวนั้น ก็ยังมีส่ิงที่ตามไปได้อย่างหน่ึงและเม่ือมามันก็มาด้วย สิ่งน้ันก็คือ ‘กรรมดี และกรรมชั่ว’ น่ันเอง เป็นส่ิงที่มาพร้อมกับเรา และเสร็จแล้วมันก็ตามตัว เราไปด้วย ถ้าเป็น ‘กรรมดี’ ก็เป็นบุญเป็นกุศล หรือเป็น ‘บุญกรรม’ ซ่ึงจะเปน็ ทีพ่ ง่ึ ของสัตวท์ ัง้ หลายสืบตอ่ ไป ดังพุทธพจน์ทว่ี า่ ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมิ ปติฏฺา โหนฺติ ปาณนิ ํ แปลว่า บุญเป็นท่ีพึ่งของสัตว์ทั้งหลายในปรโลก อันนี้เป็นส่วนที่ ตดิ ตามไป ในฝ่ายละทิ้งก็เช่นเดียวกัน คนท่ีละโลกน้ีไปแล้วน้ัน ยังละทิ้งสิ่ง หนึ่งไว้เบ้ืองหลัง ก็คือความดีความช่ัวที่ได้ทาำ ไว้ สิ่งใดที่ได้ทำาไว้แล้วก็ยัง จารึกอยู่ บางอย่างกอ็ อกผลเป็นวตั ถุ เชน่ ว่า ทา่ นผู้มีใจบญุ ใจกศุ ล ไดส้ รา้ งส่ิงทเ่ี ป็นสาธารณประโยชน์ไว้ สิ่งนั้นก็เป็นหลักฐานแสดงความดีย่ังยืนอยู่หรือที่เป็นนามธรรม ได้ทาำ ความ ดีเกื้อกูลอปุ การะไว้กับผู้อื่น เริ่มต้นต้ังแต่บุตรหลานเป็นต้นไป ความดีนั้นก็ ฝังอยู่จารึกอยู่ในดวงจิตดวงใจของบุตรหลานและท่านท่ีได้รับคุณประโยชน์ อันนก้ี เ็ ปน็ สิ่งทท่ี ิ้งไว้
พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 25 รวมความว่า สิ่งท่ีติดตามไปก็ดี สิ่งที่ละท้ิงไว้ก็ดี ก็ได้แก่ความดี ความช่ัว ผู้มีปัญญามาพิจารณาเห็นหลักดังท่ีกล่าวมาแล้วน้ี จึงคิดว่าควร จะดำารงชวี ติ ของตนให้อยู่ในแนวทางทีด่ ีงาม เพื่อว่าเม่ือถึงเวลาจากโลกนี้ไป ก็จะได้มีกรรมดีติดตัวไปและเหลือละท้ิงไว้ซ่ึงความดีนั้น อันเป็นประโยชน์ แก่คนเบ้ืองหลังให้คนท่ีอยู่เบื้องหลังได้จดจำารำาลึกถึงในทางท่ีดีงาม ยกย่อง นบั ถอื เป็นบุคคลท่นี า่ เคารพบชู ากนั สบื ตอ่ ไป ทาำ กรรมดดี ้วยการรักษาศีล การที่จะกระทำากรรมดีอย่างนี้ก็คือการดำาเนินชีวิตให้อยู่ในคลอง ธรรม ไดแ้ ก่เปน็ ผมู้ ีศลี ดำารงอยใู่ นศลี ทัง้ หลาย ตั้งตน้ แตศ่ ลี หา้ คอื งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสังหารชีวิตผู้อื่น ที่เรียกว่า ‘ปาณาติบาต’ งดเว้นจากการลว่ งละเมดิ ในทรพั ยส์ ินผอู้ ืน่ จากการลกั ขโมยแย่งชิง ทีเ่ รยี กว่า ‘อทนิ นาทาน’ งดเว้นจากการประพฤติผิดทางเพศ ที่เรยี กวา่ ‘กาเมสมุ ิจฉาจาร งดเว้นจากการเบียดเบียนผู้อื่นดว้ ยวาจา คอื การกล่าวเท็จ ทำาลาย ประโยชนข์ องเขา ทเี่ รียกวา่ ‘มสุ าวาท’ และงดเวน้ จากการดืม่ เครอ่ื งดองของเมาท่ีเป็นเหตใุ หห้ ลงลมื เสียสติ เป็นท่ีต้ังแหง่ ความประมาท ท่เี รียกวา่ ‘สรุ าเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานะ’
26 เมอ่ื ธรรมดามาถงึ รู้ให้ทนั และทำาให้ถกู ดังน้ี เป็นหลักสาำ คัญในฝ่ายหลีกพ้นความเสื่อม นอกจากนี้ ก็ ดำาเนินชีวิตในทางเก้ือกูลในการท่ีจะอยู่ร่วมกันด้วยดี ทำาให้สังคมน้ี มีความ สงบสุข อยา่ งนี้กเ็ ป็นคตอิ ย่างหนึ่ง ท่ีเราสามารถปรารภเร่ืองความตายแล้ว จะทาำ ให้เกดิ ประโยชน์แก่ชีวิตของตนและของผู้อื่นได้ ซ่ึงเป็นด้านท่ีเรียกว่า ศีล คือความประพฤติดีงาม หรือความประพฤติชอบทางกาย ทางวาจา และขั้นต่อไปในการปรารภถึงความตายน้ัน กจ็ ะสามารถทำาบุญข้ันสูงข้ึนไป อีกเรยี กวา่ ‘ภาวนา’ การภาวนา ภาวนา ก็คือการฝึกอบรมจิตใจ และฝึกอบรมปัญญา คือ ทำา จิตใจของเราน้ีให้มีความสงบ ปราศจากกิเลสเครื่องมัวหมอง ให้มีความสุข ให้ผ่องใส ตลอดจนกระท่ังให้เจริญด้วยคุณธรรม ความดีงามต่างๆ และ เจรญิ ดว้ ยปญั ญาทรี่ ู้เท่าทันความจรงิ ของส่งิ ท้งั หลาย ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ ตามคาำ สอนของพระพุทธเจ้าท่ีเก่ียวกับเรื่อง ของความตายอนั เป็นสว่ นภาวนาน้นั กค็ ือหลักท่ีเรยี กวา่ ‘มรณสติ’ แปลวา่ สตริ ะลกึ ถึงความตาย การระลึกถึงความตายน้ัน เป็นวิธีฝึกอบรมจิตใจอย่างหน่ึง แต่จะ ต้องทำาความเข้าใจให้ถูกต้อง ที่ว่าระลึกถึงความตายแล้วจะทาำ จิตใจของตน ให้เจริญงอกงามนั้น จะต้องระลึกโดยถูกต้องด้วย บางคนระลึกถึงความ ตายแล้วก็ไม่สบายใจ มีความหวาดกลัว จิตใจฟุ้งซ่าน กระวนกระวาย อย่างน้เี รียกว่าระลกึ ไมถ่ กู หลกั ระลึกแลว้ ก็เกิดโทษ
พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 27 การระลึกให้ถูกต้องนั้น ก็คือการระลึกอย่างรู้เข้าใจคติธรรมดา พจิ ารณาใหเ้ ห็นวา่ ชวี ิตของคนเราทั้งหลายนั้น เกิดมาแล้วดาำ รงอยู่ ในท่สี ดุ ก็ต้องจากไปด้วยความตาย มองเห็นอยู่โดยมีประจักษ์หลักฐานมากมาย อันน้ีเป็นธรรมดาของชวี ิต เมอ่ื เป็นธรรมดาของชวี ติ แล้วเราก็จะต้องยอมรับ ความจริง ยอมรบั ความจริงแลว้ โน้มเข้ามาสู่ชีวติ ของตวั เอง พจิ ารณาวา่ เรา ควรจะปฏิบัติอยา่ งไร เม่ือรู้เข้าใจคติธรรมดาของชีวติ ว่า มีความตายเป็นท่ี สน้ิ สุดแล้ว ประการแรกก็คือว่า ควรจะดาำ เนินชีวิตด้วยความไม่ลุ่มหลงมัวเมา สิ่งท้ังหลายที่เราเข้าไปเก่ียวข้องน้ี เราไม่สามารถยึดถือเป็นของตัวเองได้ อย่างแท้จริง มันไม่ใช่เป็นของเราจริงจังอะไร เป็นแต่ว่าสมมติกันข้ึนมา แล้วใชป้ ระโยชนไ์ ด้ เรากพ็ งึ ปฏบิ ตั ิให้ถกู ตอ้ งตามวตั ถุประสงค์ คอื ใชใ้ ห้เปน็ ประโยชน์แก่ชีวิตของตนเองบ้าง ของผู้อ่ืนบ้าง อย่าไปลุ่มหลงมัวเมายึดตดิ จนกระทั่งเกิดเป็นโทษแก่ตวั เอง เมื่อเวลาท่ีจะต้องพลัดพรากจากไป คนท่ี ไม่มีสติ ไม่เคยระลึกถึงหลักท่ีเรียกว่า ‘มรณสติ’ น้ี ก็จะมีความทุกข์มาก เพราะว่ามีความยึดติดเหนียวแน่นอยู่กับสิ่งท้ังหลาย รู้สึกว่าตนจะต้องถูก พรากไป ออกไปจากสิง่ เหลา่ น้นั ก็มีความบีบค้ันคับแคน้ จติ ใจ แต่สาำ หรับคนทร่ี ูเ้ ทา่ ทันคติธรรมดาแล้ว กว็ างใจได้ ทาำ ใจได้ จติ ใจ ก็สงบปลอดโปร่ง มีสติ แม้แต่เมื่อถึงเวลาท่ีจะจากโลกน้ีไป แต่ว่าไม่ต้อง พูดถึงเมื่อจากโลกนี้ไปหรอก แม้เมื่อเวลาท่ียังดำารงชีวิตอยู่นี้เอง ก็อยู่ด้วย ความไมล่ ุ่มหลงมวั เมาในสง่ิ ท้งั หลาย ปฏิบตั ติ อ่ สิ่งทั้งหลายตามวตั ถุประสงค์ ที่แท้จรงิ ในการทีจ่ ะมีจะครอบครอง จะเกีย่ วข้องกับสิ่งเหล่านัน้ ใหเ้ กิดคณุ เกดิ ประโยชน์ ไม่เกดิ โทษเกดิ ทกุ ข์เกินสมควร
28 เมื่อธรรมดามาถงึ รใู้ หท้ ัน และทาำ ให้ถกู ประการตอ่ ไป นอกจากไม่ลุ่มหลงมัวเมาแล้ว กจ็ ะเป็นผู้ไม่ประมาท เพราะเรอ่ื งของความตายน้มี ีหลักของความจริงอยูว่ า่ มนั จะตอ้ งมาถึงแกช่ วี ติ ทุกชวี ิตอยา่ งแน่นอน อันเป็นส่งิ ท่หี ลกี เล่ยี งไม่ได้ แต่ในความท่ีว่าแน่นอน จะต้องถึงแก่ความตายนั้น ก็มีความไม่ แนน่ อนทวี่ ่า เราไมส่ ามารถจะกำาหนดไดว้ ่ามนั จะมาถงึ เมอ่ื ใด จะกาำ หนดวา่ คนน้ีอายุน้อย ยังเด็กยังหนุ่มยังสาวจะยังอยู่ไปได้อีกนาน นั้นก็ไม่แน่นอน จะวา่ คนแก่จะต้องไปก่อนอันนั้นก็ไม่แน่เหมือนกัน บางคร้ังคนเด็กคนหนุ่ม คนสาวมีเหตุทำาให้ต้องจากไปก่อนก็มี คนบางคนท่ีว่าน่าจะอยู่ไม่ได้นาน บางทีก็กลับอยู่ไปนาน คนที่คิดว่าจะนานก็กลับจากไปก่อน อะไรเหล่านี้ เปน็ เรื่องทีไ่ มส่ ามารถกาำ หนดได้ ในเม่ือเรื่องเก่ียวกับชีวิตน้ี ไม่มีความแน่นอนดังกล่าวน้ี ท่านจึงให้ ดาำ เนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท คือต้องมองดูว่า เวลาท่ีผ่านไปนี้ เราจะ ต้องทำาประโยชน์ให้เกิดข้ึน ดาำ เนินชีวิตให้ดีงาม มีกิจมีหน้าท่ีอะไรก็เร่งทำา อย่าผดั ผ่อนเวลา อย่าให้เวลาผ่านไปเสียเปล่า เร่งขวนขวายทาำ ความดีงาม ทาำ ส่ิงท่ีเป็นบุญเป็นกุศลไว้ อย่างน้ีเรียกว่าดาำ เนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท นี่ก็เป็นประโยชน์อีกอย่างหน่ึงที่เกิดจากการปรารภถึงความตายด้วยหลัก การท่เี รียกวา่ ‘มรณสต’ิ นอกจากน้ัน ตามคติพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ ว่า คนเรานี้ท่ีเกิดมาได้มาพบปะกันบ้าง ต้องมาพบปะกันบ้างน้ัน ต่างคน ตา่ งกจ็ ะต้องแยกยา้ ยกันไปในที่สุด เรามเี วลาทีจ่ ะอยดู่ ้วยกันถึงจะนานหลาย ปีหลายสิบปี แต่ถ้าว่ากันจริงๆ แล้ว เวลาน้ันก็ไม่ยาวนานนัก แต่ในเวลาที่
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 29 ไม่ยาวนานนี้เอง คนเราเพราะอาศัยอำานาจกิเลส ก็เบียดเบียนแก่งแย่ง แข่งขันแย่งชงิ กันตา่ งๆ นานา ถ้าเรารูค้ ตธิ รรมดาของชวี ติ อยา่ งทก่ี ล่าวมาแลว้ วา่ เราอย่กู ันไปไมช่ ้า ไม่นานก็ตอ้ งแยกย้ายกันไปท้ังหมดน้ี เราก็ควรจะอยู่ดว้ ยความเมตตาปรานี เออ้ื เฟือ้ เกอื้ กลู ตอ่ กนั ท่านว่าในเวลาทผ่ี ู้ใดผหู้ นง่ึ ถึงแก่กรรมจากไป เราควรจะรู้เทา่ ทันว่า อันนั้นเป็นธรรมดา เมื่อถึงเวลาของท่าน ท่านก็ต้องจากไป และก็ทำาใจได้ ไม่มัวเศรา้ โศกอยถู่ ึงท่านผู้ล่วงลับ แตค่ วรหันกลับมาพิจารณานึกถึงคนท่ีอยู่ ร่วมกันนี่แหละ ว่าอย่ามัวไปเศร้าโศกถึงท่านผู้ล่วงลับไปเลย เรามาอยู่ร่วม กันในหมู่ผู้ท่ียังเหลืออยู่นี่แหละ ด้วยความเมตตาปรานีให้มีความสุขเถิด แล้วเมื่อถึงเวลาจากไปจะได้ไม่ต้องเศร้าโศกละห้อยหา จะได้สบายใจว่า เมอื่ ยามอยู่เรากอ็ ยกู่ ันดว้ ยดแี ลว้ ไม่ใชร่ อแต่ว่าถึงเวลาจากไปก็เศรา้ โศกกัน ที ตอนที่อยกู่ ลบั ละเลย ไม่ไดค้ ำานึงพจิ ารณา เพราะฉะน้ัน ตอนที่อยู่นี่แหละเป็นตอนสำาคัญ ท่านจึงว่าอย่ามัว เศรา้ โศกถึงผูท้ ่ีจากไปแล้ว ใหม้ คี วามเมตตาปรานีเก้อื กูลกนั ในหมผู่ ทู้ ย่ี งั อยู่นี้ น้กี ็เปน็ คตอิ นั หนงึ่ ท่ีเกิดขนึ้ ไดจ้ ากการพจิ ารณาหลักท่เี รียกว่า ‘มรณสต’ิ ดงั ที่ได้กล่าวมา อันนี้เป็นประโยชน์ในสว่ นท่ีเรียกว่า ‘จติ ตภาวนา’ คือ การ ฝึกอบรมจิตของตน ผู้ที่พิจารณาถึงความตายด้วยความรู้เท่าทันและนาำ จิต ไปได้ถูกทางอย่างน้ี ก็จะทำาให้จิตใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่านกระวนกระวาย ไม่มี ความหวาดกลัว นอกจากนั้น จิตยังจะเจริญก้าวหน้างอกงามในทาง คุณธรรมความดี เช่น มีกุศลเจตนาตั้งใจว่า ต่อไปนี้เราจะประพฤติดีงาม
30 เม่ือธรรมดามาถึง รใู้ หท้ ัน และทำาให้ถกู จะไม่ประมาท จะมีเมตตาไมตรีจิตต่อเพื่อนมนุษย์เป็นต้น เป็นคุณเป็น ประโยชน์ท้ังแกต่ นและแก่ผูอ้ ืน่ นอกจากนี้แล้ว ถา้ หากวา่ มีปญั ญา รูเ้ ท่าทนั ความจรงิ สูงย่ิงขนึ้ ไปอกี จนกระทั่งเห็นเร่ืองอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นความไม่เท่ียงแท้ ความ ดาำ รงคงทนอยไู่ ม่ได้ และความมิใช่เป็นตัวตน ถ้าเขา้ ใจถงึ ข้นั น้ีแล้วก็เปน็ หลัก ที่เรียกว่า ‘ไตรลักษณ์’ อาจจะทำาให้จิตใจของผู้น้ัน มีความหลุดพ้นเป็น อิสระ ปลอดโปร่งผ่องใสได้อย่างแท้จริง เพราะเป็นจิตที่รู้เท่าทันธรรมดา ของสง่ิ ท้งั หลาย ถ้ารู้ถึงข้ันนี้แล้ว และร้ทู ะลุปรุโปร่งเข้าใจแจ้งในชีวิต ก็จะ ถงึ กับบรรลคุ วามส้ินอาสวะ เปน็ พระอรหนั ตก์ ็ได้ เพราะฉะน้ันการพิจารณาปรารภความตายนั้น จึงสามารถนำามาใช้ ทาำ ประโยชน์ได้ทุกข้ันตอน ดังท่ีอาตมภาพกล่าวมา ต้ังต้นแต่การบำาเพ็ญ ทาน อนั เปน็ เรอ่ื งทางดา้ นกาย ทางด้านวตั ถุ ทปี่ รากฏภายนอก ตลอดจน กระทั่งให้เจริญงอกงามในทางจิตปัญญา จนกระทั่งบรรลุอรหัตตผลก็ได้ บรรลพุ ระนพิ พานกไ็ ด้ โดยนัยดงั ทีอ่ าตมภาพไดแ้ สดงพระธรรมเทศนามา ณ บัดน้ี คณะท่านเจ้าภาพได้ปรารภมรณกรรมของท่านผู้ล่วงลับ และมีจิตใจประกอบด้วยคุณธรรมต่างๆ ตามฐานะหน้าท่ีของตน มีความ กตัญญกู ตเวทีบ้าง มีญาตธิ รรมบ้าง สังคหธรรมบ้าง ได้มาร่วมบำาเพ็ญบุญ บาำ เพญ็ กุศลด้วยกัน เมื่อท่านผู้ล่วงลับไดร้ ู้ได้เข้าใจหยั่งเห็นถึงบุญกุศลความ ดีงามต่างๆ ท่ีคณะเจ้าภาพได้บาำ เพ็ญในโอกาสนี้ ท่านก็ย่อมมีจิตยินดี อนโุ มทนา การอนุโมทนาของท่านผู้ล่วงลับไปแล้ว ถือว่าเป็นสิ่งสำาคัญที่จะ ทำาให้บญุ น้ันสาำ เร็จผล เม่ือเข้าใจหลักเช่นนี้แล้ว ทา่ นผู้ยังมีชีวิตอยู่ ซ่ึงเป็น
พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 31 ผู้บำาเพ็ญกุศลน้ัน ก็จะต้องทาำ จิตใจของตนเองให้เป็นบุญเป็นกุศลด้วยเช่น กัน เพราะวา่ ด้วยจิตใจที่เป็นบุญเป็นกุศลนี่แหละ จะเป็นเครื่องช่วยทำาให้ ท่านผู้จากไป มีความอนุโมทนาได้ ยง่ิ เรามจี ติ ใจเป็นบุญเป็นกุศลมากเทา่ ไร ทางฝา่ ยผูล้ ว่ งลบั ไปก็ยงิ่ สามารถปลาบปลมื้ อนุโมทนาไดม้ ากข้ึนเพยี งน้นั เพราะฉะนั้น ถ้าเราได้ปรารภถึงมรณกรรม คือความตายแล้ว บำาเพ็ญบุญตามท่ีอาตมภาพได้กล่าวมา เป็นส่วนทานบ้าง เป็นส่วนศีล ความประพฤตดิ งี ามบ้าง เปน็ ส่วนภาวนาทาำ จิตใจของตนเองใหส้ งบ ผอ่ งใส บ้าง ทง้ั หมดน่ีแหละยิ่งเปน็ บุญเป็นกุศลมากเทา่ ไรก็เปน็ ประโยชน์เกื้อกูลแก่ ผู้ตายผู้ลว่ งลบั และแกต่ นเองมากขึน้ เทา่ น้นั เพราะฉะนั้น ในโอกาสนี้จึงเป็นช่วงเวลาท่ีท่านเจ้าภาพตลอดถึง ญาติมิตรผู้ที่มีความหวังดีทั้งหลาย จะพึงสาำ รวมจิตใจให้สงบผ่องใส และ รำาลึกถึงว่า กิจที่ตนควรจะทำาเพ่ือท่านผู้ล่วงลับจากไป อันเป็นหน้าท่ีน้ัน ตนได้กระทาำ แล้ว การราำ ลึกวา่ สิ่งทต่ี นควรทาำ ได้ทาำ แล้ว ก็เปน็ เหตุประการ หน่ึงที่จะทำาให้จิตใจของเราสงบผ่องใส หายความโศกเศร้าไปได้ และใน ส่วนที่เกี่ยวกับตนเอง เราก็ได้ทาำ จิตใจของเราให้เป็นจิตใจที่ดีงาม ระลึกถึง แตส่ ่งิ ที่เปน็ คุณธรรม ต้งั ใจในการทจี่ ะดาำ เนินชวี ติ ใหด้ งี ามย่ิงขนึ้ สบื ต่อไป ด้วยบุญด้วยกุศลเหล่านี้ รำาลึกด้วยจิตใจที่เป็นหนึ่งเป็นอันเดียวกัน ทุกคนท่ีมาน้ีมีจิตใจรวมกันเป็นเอกฉันท์ในการที่จะอุทิศกุศล แด่ท่านผู้ล่วง ลับไปแล้ว เม่ือรำาลึกเช่นนี้แล้วก็ต้ังใจแผ่จิตอุทิศกุศลให้แก่ท่าน ก็จะสาำ เร็จ เป็นปัตติทานมัยบุญกิริยา และในส่วนของท่านผู้ล่วงลับก็เป็นปัตตานุ- โมทนามยั สืบต่อไป
32 เมือ่ ธรรมดามาถึง รูใ้ ห้ทนั และทาำ ให้ถกู ในวาระน้ี อาตมภาพไดแ้ สดงพระธรรมเทศนาใน ปุญญกถา แสดง เรอ่ื ง ‘บุญ’ โดยปรารภเรือ่ ง ‘คติธรรมดาแห่งชีวติ คอื ความตาย’ อนั จะทาำ ให้ เกิดประโยชน์เป็นบุญ ความเจริญงอกงามในความดี ก็พอสมควรแก่เวลา ตอ่ แต่นี้ไปขอเชญิ คณะท่านเจา้ ภาพ จงไดต้ ั้งใจกรวดนาำ้ อุทิศกศุ ลส่งไปให้แก่ ผตู้ าย ดงั พระบาลีอนโุ มทนาที่อาตมภาพจะไดก้ ล่าวตอ่ ไป แสดงพระธรรมเทศนาพอสมควรแก่เวลา ยุติลงแตเ่ พยี งเท่านี้ เอวงั กม็ ี ดว้ ยประการฉะนี้.
เรอ่ื งนา่ รเู้ ก่ียวกบั พิธศี พ และพุทธภาษิตเกีย่ วกับความตาย ๑. การจดั พธิ ศี พ จัดพธิ ศี พอยา่ งไร จึงจะไดบ้ ญุ กศุ ลทง้ั เจา้ ภาพและแขก ? ปัจจุบันน้ี ความคลาดเคล่ือนและเลือนรางต่างๆ ได้เกิดข้ึนใน ความเข้าใจและการปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนเป็นอันมาก ตัวอย่างง่ายๆ คาำ ศัพท์ทางธรรมหลายคาำ ได้กลายความหมายไป ความหมายท่ีใช้อยู่ใน ปัจจุบนั ไมต่ รงกบั ความหมายเดิม เช่น ทรมาน แต่เดิมหมายถึง ทาำ ให้หายพยศ ทำาให้กลับใจจากความ ช่ัวร้าย หันมาในทางดี หรือเปล่ียนจากเข้าใจผิดมาเป็นเข้าใจถูก เช่นว่า พระพุทธเจ้าเสด็จไปทรมานชฎิลสามพี่น้อง เสด็จไปทรมานโจรองคุลิมาล เสด็จไปทรมานพรหมมิจฉาทิฐิ เป็นต้น แต่ปัจจุบันน้ี เราเข้าใจเป็นว่า ทรมาน หมายถงึ ทาำ ใหล้ าำ บากหรอื ได้รับความเจ็บปวดอยา่ งมากมายรุนแรง มานะ เดิมหมายถึงความถอื ตวั ซึ่งเปน็ กเิ ลสอย่างหนง่ึ อันจะต้องละ ปัจจุบนั เรามกั เขา้ ใจวา่ เปน็ ความเพยี รพยายาม และสอนกันใหม้ มี านะ นี้เป็น ตัวอย่างความคลาดเคล่ือนเก่ียวกบั ความเข้าใจในถ้อยคำา ซ่ึงมีหลักฐานใน คัมภีร์ให้สืบหาความหมายเดิมแท้ได้ แต่ประเพณีการปฏิบัติต่างๆ หลาย
34 เมื่อธรรมดามาถึง รใู้ ห้ทนั และทาำ ใหถ้ กู อยา่ ง ไมม่ ีบันทกึ เอกสารไว้ ได้แต่ทำาตามๆ กนั มาเม่อื คลาดเคลอ่ื นเลือนราง ไป ก็ไม่มีหลักฐานตรวจสอบ ทาำ ให้ชาำ ระสะสางได้ยากว่า เดิมนั้นท่านทาำ อยา่ งไร และมีความมุ่งหมายอย่างไรกันแน่ เม่ือเป็นเช่นน้ี ส่ิงที่จะทาำ ได้ก็ คือ เอาหลักใหญ่มาต้ังเป็นเกณฑ์ตรวจสอบ ให้การกระทำาแต่ละอย่าง เป็นการกระทาำ ท่ีทาำ แล้ว กุศลธรรมเจริญ อกุศลธรรมเส่ือม ไม่ใช่สักว่าทาำ หรือทาำ แล้วไดผ้ ลตรงกนั ข้าม กลายเป็นอกศุ ลธรรมเจริญ กศุ ลธรรมเส่อื ม ต่อไปน้ี จงึ ค่อยมาพจิ ารณาคาำ ถามท่ีต้ังข้นึ นั้นตอ่ ไป ๒. พธิ อี าบนา้ำ ศพ พิธีอาบน้าํ ศพ บางท่านก็ว่า “ขออโหสิกรรม” หรือ “ไปสู่สุคติ เถิด” หรือ “มามือเปลา่ ไปมือเปลา่ ” หรือ “ตายแลว้ เป็นสุข” ? พธิ ีอาบน้ำาศพ จะกล่าวคำาวา่ อยา่ งไร ขอใหน้ กึ ถงึ เมอ่ื ครง้ั พระพทุ ธ- เจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน คราวน้ันพระอนุรุทธเถระก็อยู่ที่นั่น พระอานน- ทเถระก็อยู่ พระอินทรก์ ็อยู่ แต่ละทา่ นไดก้ ลา่ วคำาแสดงธรรมสังเวชท่านละ คาถา กว็ า่ ไมเ่ หมอื นกันเลย เช่นวา่ อนจิ ฺจา วตสงฺขารา ฯลฯ นเ้ี ป็นคติให้ เห็นว่า ไม่จาำ เป็นต้องว่าคำาอะไรเป็นอย่างเดียวกัน แต่ให้กล่าวคำาอะไร ก็ตาม ท่ีเปน็ เครื่องเจริญกศุ ล เป็นความต้ังใจดีของผู้ตาย หรือเป็นคำาสอน ใจตนเองก็ได้ เพียงแต่อย่าให้เกิดจิตเป็นอกุศล เช่น โทสะ หรือ โมหะ เปน็ ตน้ หรอื สักว่าทำาเปลา่ ๆ เลือ่ นๆ ลอยๆ คาำ ที่ใหต้ วั อยา่ งมานน่ั สว่ นมากก็ ชว่ ยในการทาำ ใจได้แทบท้ังน้ัน
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) 35 ๓. การสมาทานศลี การสมาทานศีล ขณะรับศีลก็ตบยุงกันเปาะแปะ คุยกันบ้าง เสรจ็ แลว้ กด็ ื่มเหล้า เมายา เล่นการพนัน บางคนรบั ศีลแค่ส่ีข้อเว้นศลี ข้อ ท่ีห้า ? การสมาทานศีลมักจะมีพิธี พิธีน้ันเดิมเป็นการตระเตรียม เป็นวิธี การเพ่อื ชว่ ยให้การกระทาำ นน้ั เรียบร้อยหนักแน่นจริงจัง เชน่ จะสมาทานศลี เอง คือตั้งใจว่า กาำ หนดใจเอากับตัวเองว่ารักษาศีลก็ได้ แต่มีพิธีก็เพื่อให้ เปน็ การสาำ ทบั กบั ตวั เองให้หนักแน่นจริงจงั แต่เดี๋ยวนี้ คำาวา่ ‘พธิ ’ี กลาย ความหมายไปในทางตรงข้าม คือ กลายเป็นเร่ืองไม่จริงไม่จัง อย่างท่ีพูด กันว่า ทำาพอเป็นพิธี การสมาทานศีล เด๋ียวน้ีก็มักทาำ กันอย่างพอเป็นพิธี ซ่ึงก็คือ ไม่ได้สมาทานเลยน่ันเอง ตามตัวอย่างท่ีท่านเล่ามาน้ัน ก็คงมีแต่ พิธี แตไ่ ม่ไดม้ กี ารสมาทานศีลน่นั เอง เพราะสมาทานศีล ก็คือ เปล่งวาจา (หรอื ต้ังใจจรงิ จัง) ให้คาำ ม่ันวา่ จะรับเอาขอ้ ปฏบิ ัติน้นั ๆ ไปประพฤติบาำ เพ็ญ เมื่อไม่ต้ังใจรับก็ไม่มีการสมาทานศีลอย่างท่ีเล่ามา อาจจะเรียกว่าเป็นซาก ของการสมาทานศีล เมอ่ื ทราบเชน่ นแ้ี ล้ว กล็ องไปพิจารณาปรบั ปรงุ ชักชวนกันทำาให้พิธีกลับกลายเป็นเร่ืองจริงจังขึ้นมาอีก ก็จะเป็นบุญเป็น กุศล และเปน็ คุณแก่พระศาสนาเป็นอนั มาก ๔. การสวดพระอภธิ รรม การสวดพระอภิธรรม สวดกนั ๓-๔ จบ สวดภาษาบาลี ? การสวดพระอภิธรรม 3-4 จบเป็นภาษาบาลีน้ัน เกิดข้ึนอย่างไร ก็ยากจะสนั นษิ ฐาน อาจเป็นได้ว่า เวลานนั้ คนรู้ธรรมกันมากมายลกึ ซ้งึ และ
36 เม่ือธรรมดามาถงึ รูใ้ หท้ นั และทำาให้ถกู รูบ้ าลีกนั มากดว้ ย เม่ือมงี านศพจะต้องมานง่ั ชมุ นุมกนั นานๆ จะแสดงธรรม อะไรในหมผู่ ู้รกู้ จ็ ะจดื เลยเอาอภธิ รรมมาสวดเปน็ หวั ข้อนาำ เปน็ การซกั ซอ้ ม ทบทวนดว้ ยและอาจใชเ้ ปน็ บทต้ัง เมื่อพระสวดจบแล้วก็มาอภิปรายสนทนา กันในหัวข้อนั้นๆ ต่ออีกก็ได้ แต่สมัยน้ีคนไม่ค่อยรู้ธรรมและไม่รู้บาลีแล้ว พระก็ยังสวดไปตามเดิม ผลก็เลยกลายเป็นว่าไมร่ ู้เร่ือง พระที่สวดก็อาจจะ ไม่รู้เร่ือง คนฟังก็ไม่รู้เรื่อง ก็เลยทำากันพอเป็นพิธี บางวัดท่านรู้เท่าทัน หวังจะใหเ้ กิดประโยชน์แกผ่ ไู้ ปรว่ มงาน ทา่ นกป็ รับปรงุ เสยี ใหม่ โดยลดการ สวดลง อาจจะเหลือสวดจบเดียว (ยังรักษาพิธีไว้บ้าง) แล้วก็ให้พระมา เทศน์ให้ฟังหรือเทศน์ก่อน แล้วสวดสักจบเดียว อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ระวัง ให้ดี การเทศน์ก็จะกลายเป็นทำาพอเป็นพิธีไปเสียอีก ถ้าที่ใดพระผู้นาำ ดีเก่ง หรือมรรคนายกมีปญั ญาสามารถก็ปรับปรุงให้มสี าระขน้ึ ได้ แตก่ ็ไดเ้ ป็นเพียง นอ้ ยแห่งและชว่ั ระยะเวลา เรือ่ งนย้ี าก เพราะคนส่วนใหญ่ไปงานศพพอ เป็นมารยาท ไม่ได้สนใจธรรมหรอื จะหาคติจากพิธีศพ ฝ่ายพระก็คิดเพียง จัดพธิ ใี ห้เสรจ็ ๆ ไป นี่ก็เป็นซากการสวดพระอภธิ รรมอกี เหมอื นกนั ๕. การฟงั พระอภธิ รรม การฟงั พระอภธิ รรม ก็นง่ั ฟังพอเปน็ พธิ ี สว่ นมากฟังกนั ไมร่ ู้เรือ่ ง คุยกนั เสยี แหละมาก ? ข้อน้ีตอบแล้วในข้อ 3 ถ้าไม่ต้องการให้เป็นซาก หรอื ให้เหลอื แต่ ซาก ก็เร่งกระตอื รือร้นแก้ไขปรับปรุงกันเสีย เมือ่ ปรับปรุงได้ผลดีสักสอง สามแห่งแล้ว กอ็ าจจะนยิ มทำาตามกนั กว้างขวางออกไป
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) 37 ๖. การแสดงธรรม การแสดงธรรมนิยมมีเทศน์แจงปฐมสังคายนาทุกงาน พระท่านก็ สรรเสริญเจ้าภาพ ยกยอคนตายว่าสละทรัพย์บาํ รุงศาสนาท่ีไหนบ้าง ฯลฯ และก็มักบอกอานิสงส์วา่ เทศน์แจงนี้ได้บุญมากมาย เพราะมีต้ัง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เปน็ การสืบต่อพระศาสนา ? การแสดงธรรมโดยเฉพาะเทศน์แจงเป็นเทศน์ใหญ่ แต่เดิมอาจจะ เป็นโอกาสให้ได้แยกแยะแจกแจงเน้ือหาธรรมออกไปได้กว้างขวาง เพราะ เทศน์แจงคือเทศน์เรื่องสังคายนา ย่อมเกี่ยวกับธรรมวินัยทั้งหมดทั้งส้ิน คราวหน่ึงๆ จะจับเอาจุดไหนมาแยกแยะก็ได้ และอาจจะเป็นโอกาสท่ีจะ ชาำ ระสะสางความเช่ือถือ การประพฤติปฏิบัติ ท่ีผิดพลาดคลาดเคลื่อน แก้ไขกันให้ถกู ตอ้ ง สมชอ่ื วา่ สังคายนา แตป่ จั จุบนั ก็เหมือนกบั ข้อกอ่ นๆ คือ ทาำ กนั พอเปน็ พธิ ี ก็เลยมแี ต่ซากการเทศน์แจงอีกนนั่ แหละ เม่อื เหลอื แตซ่ าก ก็เลยต้องมาเอาดีกันตรงสรรเสริญผู้ตาย แต่ถ้าเน้ือหาธรรมที่แสดงหนัก แน่นดี การพูดถึงผู้ตายและเจ้าภาพก็เป็นเรื่องประกอบไปได้ ไม่เสียหาย โดยนยั น้ี จะจดั หรือไมจ่ ดั ก็พึงพิจารณาดสู าระเถิด ๗. การฟังธรรม การฟังธรรม คนมักเบื่อการฟังเทศน์ ก็ฟังกันพอเป็นพิธีมีไม่ก่ีคน จะมากเอาตอนทอดผ้าบังสุกุล เจ้าภาพก็ต้อนรับแขกเตรียมจัดชื่อคนที่จะ เชญิ ไปทอดผา้ ถา้ มี ส.ส. ผู้วา่ ฯ นายอาํ เภอ ตาํ รวจระดบั สวญ. มาดว้ ย เจา้ ภาพกม็ หี น้ามตี า ?
38 เม่อื ธรรมดามาถงึ รใู้ หท้ ัน และทำาให้ถกู การฟงั ธรรมกเ็ ข้ากบั คำาตอบที่ชี้แจงมาแลว้ ในขอ้ ก่อนๆ เม่ือตัวสาระ หมดไป หดหายไป เรากม็ าเอาดกี นั ตรงเกยี รตยิ ศชอื่ เสียง เรื่องอยา่ งที่เล่า มาวา่ เชญิ ผ้มู ีเกียรตมิ ากมายขึ้นทอดผา้ นนั้ นิยมทาำ กันมากในชนบทไมน่ านน้ี เอง ในกรงุ ไม่คอ่ ยทาำ เพราะคนมีเวลานอ้ ย แต่ในแงส่ าระก็ไม่ค่อยไดด้ ้วยกัน ทั้งในกรงุ และนอกกรุง เป็นแตว่ า่ ในชนบทมีเวลาทจ่ี ะใหแ้ ก่เรอ่ื งไมเ่ ปน็ สาระ มากกวา่ กเ็ ลยมีพิธยี าวกวา่ ทางแกน้ ั้นคือ เมื่อดึงความสาำ คัญในส่วนที่เป็นสาระกลับมาได้ ทาำ ส่ิงท่ีควรมีสาระให้กลับมีสาระขึ้นมาได้ เรื่องปลีกย่อยเหล่าน้ีก็ค่อยๆ ลดลง ไปเอง แต่เรื่องนี้ เหตุอีกอย่างหนึ่งที่ทำาให้แก้ไขยาก คือค่านิยมของสังคม ไทยทพ่ี อกพนู ขน้ึ มาวา่ ตอ้ งการเกียรติ หมดเทา่ ไรไมว่ า่ ขอใหไ้ ด้ช่ือเสียง ๘. มาตกิ า มาตกิ า นิยมนมิ นต์พระมากกวา่ อายคุ นตาย เพราะถือว่าลกู หลาน จะไดอ้ ายยุ ืน ถา้ นมิ นต์เจา้ คุณ พระครู มาได้มากๆ กถ็ อื ว่ามเี กยี รติ ? มาติกา เร่ืองนี้ก็เหมือนกับข้อก่อนๆ น่ันเอง คือ เหลือแต่ซาก มาติกา เม่อื เหลือแตซ่ ากแล้ว ส่ิงที่ไม่เปน็ สาระต่างๆ การถือหยมุ ๆ หยมิ ๆ ตา่ งๆ กต็ ามกนั ขนึ้ มาเองเปน็ ธรรมดา เพราะเมอ่ื หาสาระจากตวั หลกั ไมไ่ ดแ้ ลว้ กเ็ อาโชคลางเกยี รตชิ ือ่ เสียงใส่เขา้ พอใหร้ สู้ กึ วา่ ได้อะไรบ้าง พออ่นุ ๆ ภูมิๆ (มาติกา คือ หัวข้อสิกขาบท แต่ละหมวด เช่น กุสฺลา ธมฺมา อกสุ ฺลา ธมมฺ า อพฺยากตฺตา ธมฺมา ไดแ้ ก่ หมวด กศุ ล อกศุ ล อพั ยากฤต ฯลฯ ซึ่งตอ้ งขยายความต่อไป)
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) 39 ๙. การฟงั พระสวดมาตกิ า การฟังพระสวดมาติกา แขกก็นั่งพนมมือ ปากก็คุยกันไป เจ้า ภาพก็มัวยุ่งเร่ืองทอดผ้า จะเอาใครบ้าง ใครก่อนใครหลัง ใครจะเป็น ประธานจุดไฟ พระคงจะสวดให้คนตายฟัง เพราะก่อนสวด ต้องไปเคาะ โลงบอกทุกที ? ขอ้ นี้ก็ตอบเหมอื นขอ้ กอ่ นๆ ๑๐. การทอดผ้าบงั สกุ ุล การทอดผ้าบังสุกุล พิธีกรจะประกาศเรียกชื่อผู้มีเกียรติมาทอดชุด ละ ๔ คน จนเทา่ กบั จํานวนพระ ขณะทอดผ้า บางทา่ นกว็ า่ นามรูปํ อนจิ จฺ ํ หรือ มยามรติ พพฺ ํ ? ข้อนี้ก็ตอบเหมือนกับข้อก่อนๆ ส่วนที่ว่าขณะทอดผ้านั้นพึงถือคติ อยา่ งทต่ี อบในขอ้ 1 (คำาที่ยกตวั อยา่ งมา ถ้าเข้าใจความหมายก็ใช้ได้ ขอ อย่าเพียงว่าเป็นขลงั ๆ ไปกแ็ ลว้ กนั ) ๑๑. การพจิ ารณาชักผา้ บงั สุกลุ การพิจารณาชักผ้าบังสุกุล พระท่านว่า อนิจฺจา วตสงฺขารา ... เตสํ วูปสโมสุโข วรรคสดุ ทา้ ยสว่ นมากก็แปลกนั ว่า ตายแลว้ เปน็ สุข นา่ จะ ถูกเพราะวา่ เกย่ี วกับการตาย แต่ถ้าแปลอยา่ งน้กี ข็ ัดกบั มรณมปฺ ิ ทกุ ขํ อกี ? การพจิ ารณาชักผ้าบังสุกุล คาำ ท่ีพระว่าวรรคสุดท้าย ไม่ใช่แปลว่า ตายแล้วเป็นสุข แต่แปลว่า การดับทุกข์ได้เป็นสุข (แปลตามศัพทว์ ่า ความ
40 เมอื่ ธรรมดามาถึง รู้ให้ทัน และทาำ ใหถ้ กู สงบระงบั แหง่ สังขารท้งั หลายเป็นสขุ หมายความวา่ ตอ้ งเลกิ ปรงุ แตง่ ท้ังหมด ได้แก่ นพิ พาน ไม่ใช่เพียงตายอย่างที่เห็นๆ กัน) สังขารเป็นอนิจจังและ สังขารเป็นทุกขัง สงบระงับสังขารก็คือ สงบระงับอนิจจังและทุกขัง จึง เปน็ สขุ ๑๒. การกรวดนำ้า การกรวดนํ้า บางท่านวา่ “อิมินา ปุญฺญกมฺเมน” หรือ “ขออุทิศ สว่ นกศุ ลนใี้ ห้แก่ผูต้ าย” หรอื “ไม่ต้องกรวด ทําบญุ แลว้ ถึงเอง” หรอื “ไม่ ต้องกรวด ถึงกรวดก็ไม่ถึง” หรือ “ไม่ต้องกรวด เพราะญาติเขาไปเกิด แลว้ ” หรอื “ไมต่ อ้ งกรวด ญาติของเขาไม่ได้เป็นเปรต” ? การกรวดนา้ำ เป็นวิธีการตั้งจิตเป็นกุศลต่อผู้ตาย ราำ ลึกถึงด้วย จติ ใจท่ีสงบแน่วแน่เป็นสมาธิ เพราะตลอดพิธีเจ้าภาพไม่คอ่ ยมีเวลาหยุดนิ่ง โดยเฉพาะไม่ค่อยมีเวลาทำาใจสงบ เพราะมัวยุ่งโน่นนี่ กับการเตรียมของ และการรับคน จึงควรใช้เวลาน้อยๆ น้ีให้เป็นประโยชน์ อย่ามัวไปยุ่ง วุ่นวายว่า จะใช้คำาโน้นคำาน้ี จะกรวดน้ำา หรือไม่กรวด เด๋ียวจะเป็นซาก การกรวดนำ้าอีก จะว่าคำาอะไรก็ได้ ที่จะทาำ ให้จิตใจสงบเยือกเย็นแน่วแน่ และแผ่ความตั้งใจดีต่อผู้ตาย พร้อมทั้งคิดถึงคติท่ีพึงได้จากงานน้ัน หน้าท่ี ของเราคือต้ังใจดีต่อผู้ตาย และทำาใจให้เจริญกุศล เขาจะไปเกิดท่ีไหนหรือ ไม่ ไมเ่ ปน็ หน้าทที่ ีจ่ ะมาเถยี งกัน
พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) 41 ๑๓. การทอดผา้ บงั สุกุล การทอดผา้ บังสกุ ุล ผู้ท่ที อดเป็นกไ็ ด้บญุ การชักผ้าบงั สุกุล พระที่ พจิ ารณาเป็นกไ็ ด้บุญ เจ้าภาพจะไดบ้ ญุ หรอื ไม่ ? การทอดผ้าบังสุกลุ และการชักผ้าบังสุกุล ถ้าทำาใจเป็นก็ได้บุญทุก คน ถา้ ทาำ ไมเ่ ปน็ กไ็ ดแ้ ต่ซากทกุ คน โดยเฉพาะคนที่ทาำ ด้วยมือตวั เอง กเ็ ปน็ ธรรมดาที่จิตจะโน้มไปได้แรง เพราะจะทำาอะไรใจก็ย่อมมุ่งไปเร่ืองนั้น ก็ อาจจะได้ซากใหญ่ หรอื ได้บุญแรงกว่าคนอ่ืน เจ้าภาพทำาใจให้ถูกกุศลธรรม เจรญิ จติ ผอ่ งใสใจเบิกบาน กไ็ ด้บุญทกุ ทีไ่ ป ๑๔. การจดุ ไฟหรอื วางดอกไม้จนั ทน์ การจุดไฟหรือเวลาวางดอกไม้จันทน์ บางท่านก็ว่า “อรหํ จุตติ” (คนเก่าๆ) หรอื “อยเู่ ป็นทกุ ข์ ตายเปน็ สุข” หรอื “ไปสู่สุคติเถดิ ” หรือ “เรากต็ ายอยา่ งนี้ การตายเปน็ ของธรรมดา ไมล่ ว่ งพ้นไปได้” ฯลฯ ? การจุดไฟหรือเวลาวางดอกไม้จันทน์ ข้อนี้ตอบอย่างข้อ 1 คำาท่ี เขียนไปนน้ั ถา้ เขา้ ใจความหมาย วา่ ดว้ ยใจท่ตี ้ังเป็นกุศลตามความหมายนั้น ก็ใช้ได้ทุกคาำ แต่คำาว่า อรหำ จุติ คงคลาดเคลื่อนไป ไม่มีความหมาย จะ กลายเป็นว่าขลังๆ ไป ควรเอาข้อความท่ีเข้าใจและเป็นคติเพ่ือแสดงความ ตัง้ ใจดอี ย่างที่กลา่ วข้างตน้ .
อมฤตพจนา * ชวี ติ -ความตาย วโย รตตฺ นิ ทฺ ิวกขฺ โย วยั สน้ิ ไปตามคนื และวัน (๑๕/๑๗๓) ยำ ยำ ววิ หเต รตตฺ ิ ตทนู นตฺ สฺส ชีวติ ำ วนั คืนล่วงไป ชีวติ ของคนกพ็ รอ่ งลงไป จากประโยชน์ที่จะทำา (๒๖/๓๕๙) รตโฺ ย อโมฆา คจฉฺ นตฺ ิ วนั คนื ไมผ่ ่านไปเปล่า (๒๘/๔๓๙) * จากหนงั สือ อมฤตพจนา ของพระเทพเวที (ประยทุ ธ์ ปยุตฺโต) มลู นิธพิ ุทธธรรม จดั พมิ พ์ พ.ศ. 2532 หนา้ 201-213
พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 43 อจฺเจนตฺ ิ กาลา ตรยนฺติ รตตฺ ิโย วโยคุณา อนุปพพฺ ำ ชหนตฺ ิ กาลเวลาลว่ งไป วันคนื ผ่านพน้ ไป วยั กห็ มดไปทีละตอนๆ ตามลาำ ดับ (๑๕/๓๐๐) รปู ํ ชรี ติ มจจฺ านำ นามโคตฺตำ น ชรี ติ รูปกายของสัตว์ย่อมร่วงโรยไป แต่ชอื่ และโคตรไมเ่ สอื่ มสลาย (๑๕/๒๑๐) ทหราปิ จ เย วฑุ ฒฺ า เย พาลา เย จ ปณฑฺ ติ า อฑฺฒา เจว ทลทิ ทฺ า จ สพเฺ พ มจฺจปุ รายนา ท้งั เด็ก ทั้งผใู้ หญ่ ทง้ั คนพาล ท้ังบัณฑติ ท้งั คนมี ท้งั คนจน ลว้ นเดนิ หนา้ ไปหาความตายทั้งหมด (๑๐/๑๐๘) น มิยยฺ มานำ ธนมนเฺ วติ กญิ จฺ ิ เมอื่ ตาย ทรพั ย์สักนดิ กต็ ิดตามไปไม่ได้ (๑๓/๔๕๑)
Search