Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แรงงานบนเส้นทางรัฐสวัสดิการ

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวัสดิการ

Published by Thalanglibrary, 2020-11-09 04:06:51

Description: แรงงานบนเส้นทางรัฐสวัสดิการ

Search

Read the Text Version

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 1]

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 2] แรงงานบนเส้นทางรัฐสวัสดกิ าร แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดิการ พิมพ์ครังแรก: กันยายน 2556 จํานวน 1,000 เล่ม บรรณาธิการ: เจษฎา โชติกิจภิวาทย์, วิทยากร บุญเรือง จดั พิมพ์โดย: โครงการส่งเสริมการพฒั นาศกั ยภาพองค์กรปกครองส่วน ท้องถินในการแก้ไขปัญหาผู้ด้อยโอกาสทางสงั คม (ภายใต้การสนบั สนุนของสหภาพยโุ รป) เทศบาลตาํ บลทากาศเหนือ 273 หมทู่ ี 2 บ้านแพะยนั ต์ ต.ทากาศ อ.แมท่ า จ.ลาํ พนู 51170

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 3] คาํ นํา การพฒั นาชนบททีผ่านมา เป็ นผลให้ชีวิตชนบทเปลียนแปลงไปในหลายๆ ด้าน เช่น การ สือสาร การศึกษา การบริโภค ฯลฯ รวมทงั การทํามาหากิน ทีมิอาจบอกได้ว่าคนชนบททํา อาชีพภาคเกษตรกรรมเพียงอย่างเดียวได้ ผู้คนในชนบทได้มีการประกอบอาชีพนอกภาค เกษตรกรรมด้วยซงึ มกั เป็ นแรงงานนอกระบบ จงึ จกั ทําให้คนชนบทมีชีวติ อยรู่ อด ขณะทคี นหนมุ่ สาวก็เข้าสปู่ ระตโู รงงานมากขนึ หรือไปทํางานหาอาชีพอืนๆ นอกพืนทีบ้านเกิด เมอื งนอนรวมทงั งานในตา่ งประเทศ แตส่ ว่ นใหญ่ก็เป็ นผ้ใู ช้แรงงานในภาคสว่ นตา่ งๆ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้แรงงานเหล่านีก็มกั ถกู เอารัดเอาเปรียบ ไม่ได้รับความเป็ นธรรม ยงั ไร้ ซึง หลกั ประกนั ทางสงั คม ไมม่ คี วามมนั คงในชีวติ อยา่ งทคี วรจะเป็ น การจัดพิมพ์หนงั สือเล่มนีขึน ก็เพือเป็ นการเปิ ดมมุ มองถึงชีวิตผู้ใช้แรงงาน และเป็ นเอกสาร ประกอบในการจดั สมั มนาอบรมของโครงการสง่ เสริมการพฒั นาศกั ยภาพขององค์กรปกครอง สว่ นท้องถินในการแก้ไขปัญหาผ้ดู ้อยโอกาสทางสงั คม ซงึ ได้รับทนุ สนบั สนนุ จากสหภาพยโุ รป ( อียู ) จึงขอขอบคณุ มา ณ โอกาสนี. ยทุ ธเดช ขนาดกําจาย นายกเทศบาลตาํ บลทากาดเหนอื อําเภอแมท่ า จงั หวดั ลาํ พนู

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดิการ [หน้า 4] บทบรรณาธิการ การพฒั นาเศรษฐกิจสงั คมไทยทผี า่ นมา เป็ นผลให้ ปัจจบุ นั สงั คมไทยเป็ นสงั คมทนุ นิยมทีแยก ไมอ่ อกจากระบบทุนนิยมโลก ซงึ สงั คมไทยมีผ้ใู ช้แรงงานเป็ นคนกลมุ่ ใหญ่สดุ ประมาณเกือบ 40 ล้านคน แยกเป็ นแรงงานในระบบอตุ สาหกรรมจํานวนกวา่ 10 ล้านคน แรงงานนอกระบบ ทงั ภาคเกษตรและนอกภาคเกษตรจํานวนกวา่ 24 ล้านคน รวมทงั มีแรงงานข้ามชาติกวา่ อีก 3 ล้านคน ในหนงั สอื เลม่ นี ได้พดู ถงึ พฒั นาการของมิติแรงงาน และการจ้างงานและปัญหาความมนั คง ในการทํางานภายใต้ความเปลียนแปลงทุนนิยมโลกในยุคหลงั สายพานการผลิต (Post- Fordism) ขอบเขตสากล ในบทความของเสาวลกั ษณ์ ชายทวีป ทังนีการต่อสู้เพือความยุติธรรมของแรงงาน และ ความมันคงของชีวิต โดยเฉพาะการมี หลักประกันทางคุณภาพชีวิตพืนฐานในฐานะ “มนุษย์” มิใช่ “ปัจจัยการผลิต” มิใช่ “เครืองจักร” มิใช่ “สินค้า” ของระบบทุนนิยม ซึงมีทางเลือกหลายระดบั ในหนงั สือเล่มนี บทความของ วรวิทย์ เจริญเลิศ ได้เสนอทางออกบนเส้นทาง “รัฐสวสั ดกิ าร” และยงั ได้กลา่ วถงึ พฒั นาการทางประวตั ิศาสตร์ระบบประกนั สงั คมระดบั สากล การต่อส้ขู องแรงงาน และการ สร้างหลกั ประกนั ในสงั คมไทยด้วย ในขณะทีบทความของ สชุ าติ ตระกูลหูทิพย์ ได้หยิบยกรูปธรรมของแรงงานในสงั คมไทย โดย กลา่ วถึงแรงงานในและนอกระบบทีเชือมโยงกบั ภาคการผลิตอตุ สาหกรรมและภาคการผลิต อนื ๆ นอกจากนีแล้ว ภายใต้ระบบทนุ นิยมโลก แรงงานไทยยงั ได้เคลือนตวั ไปทํางานนอกประเทศ ไทยด้วยในบทความของ พชั ณีย์ คําหนกั ซงึ ได้ชีให้เห็นถงึ ปัญหาการค้าแรงงานไทยไปทํางาน ต่างประเทศ แรงงานไทยแม้จะมีรายได้จากการทํางาน แต่ก็สญู เสียสทิ ธิผลประโยชน์อย่าง

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 5] มากทงั ทเี ป็ นตวั เงินและไมเ่ ป็ นตวั เงิน ในขณะทีนายจ้างในต่างประเทศ ในประเทศและบริษัท จดั หางานได้กําไรเป็ นจํานวนมหาศาลในการสง่ ออกและจ้างแรงงานไทย อยา่ งไรก็ตาม ผลกระทบด้านลบของระบบทนุ นิยมทีไร้ความเป็ นธรรมต่อแรงงาน ยงั ได้สร้าง โศกนาฎกรรมตอ่ มนษุ ยชาติ นบั เป็ นปัญหาเชิงโครงสร้าง ซงึ บทความอกี ชินของ วรวิทย์ เจริญ เลิศ ได้นําเสนอบทเรียนและทางออกจากกรณีโรงงานผลิตต๊กุ ตาของเด็กเลน่ ซึงปี นีครบรอบ 20 ปี ของโศกนาฏกรรมเคเดอร์ ซงึ นบั ได้ว่าเป็ นโศกนาฏกรรมทีร้ายแรงในประวตั ิศาสตร์ของ การพฒั นาอตุ สาหกรรมไทย รวมทงั บทความของ เกรียงศกั ดิ ธีระโกวิทขจร ทีได้กลา่ วถึง นโยบายรัฐ รูปแบบของทนุ และ ภมู ิศาสตร์ของการตอ่ สู้ ทีสําคญั การเคลอื นไหวของแรงงานทีน่าสนใจยิง กรณีศกึ ษาคนงาน อตุ สาหกรรมเหลก็ อเมริกนั ในอีกด้านหนงึ ถึงแม้โลกาภิวฒั น์ทางเทคโนโลยีจะเอือประโยชน์ ตอ่ ฝ่ ายทนุ แตโ่ ลกาภิวฒั น์ทางเทคโนโลยีก็เอือประโยชน์ให้กบั ฝ่ ายแรงงาน (ในลกั ษณะทีอาจ ช่วยจํากดั อํานาจตอ่ รองของทนุ ) เชน่ เดียวกนั ในอีกด้านหนึง แรงงานก็หาได้ยอมจํานนต่อการเอารัดเอาเปรียบจากระบบทุนนิยม ได้มี พฒั นาการการจดั ตงั ในรูปแบบทสี อดคล้องกบั ระบบทนุ นิยมทีเป็ นจริงในปัจจุบนั ซึงบทความ ของ วิทยากร บญุ เรือง ได้เขียนถึงการจดั ตงั แรงงานนอกระบบ บทบาทองค์กรแรงงานระดบั สากล โดยยกตวั อย่างถึงคนงานหญิงประเทศอินเดียและทีอืนๆ ทีน่าสนใจในการนํามาพลิก แพลงใช้กบั ขบวนการแรงงานนอกระบบประเทศไทยได้ ซึงถึงทีสุดแล้ว เรืองคุณภาพชีวิตของแรงงานจะดีขึนได้อย่างไร ก็ยังต้องพิจารณาถึง ความสมั พันธ์ทางอํานาจในสงั คมไทยด้วยเช่นกัน หากกล่าวแบบสุดๆ แล้ว แรงงานต้อง ผลกั ดันให้สงั คมไทยเป็ นรัฐสวัสดิการ หมายถึงว่า จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน ตามที อาจารย์ป๋ วย อึงภากรณ์ เคยชีทางไว้ ปัจจัยพืนฐานของชีวิตรัฐต้องทําหน้าทีดแู ลประชาชน ครบวงจร ถ้วนหน้า และเทา่ เทียม

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 6] แน่นอนว่ารัฐไทยต้องมีนโยบายการเก็บภาษีทีก้าวหน้า คนรวยเหลอื ล้นทุกคนต้องเสียภาษี มรดก ภาษีทดี ิน มิใช่เพยี งภาษีบริโภคอยา่ งทีเป็ นอยู่ ต้องมีนโยบายลดงบประมาณไมจ่ ําเป็ น เพือนาํ งบประมาณมาสร้างรัฐสวสั ดิการซงึ สงั คมไทยต้องมีประชาธิปไตยสมบรู ณ์ด้วยเช่นกนั ในท้ายทสี ดุ . เจษฎา โชติกจิ ภวิ าทย์ วิทยากร บญุ เรือง บรรณาธิการ

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 7] สารบัญ แรงงานและการจ้างงานในยคุ หลงั -สายพานการผลติ หน้า 8 ไทยบนเส้นทางเดนิ สรู่ ัฐสวสั ดกิ าร หน้า 25 แรงงานใน-นอก ระบบ: สถานการณ์ปัญหาทรี อการแก้ไข หน้า 37 เมือกฎหมายขาดสภาพบงั คบั สทิ ธิแรงงานก็ถกู ละเมดิ หน้า 56 20 ปี ของโศกนาฏกรรมเคเดอร์: ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ปัญหาและทางออก หน้า 75 หน้า 82 ทนุ ข้ามชาตแิ ละยุทธศาสตร์การรณรงค์: กรณีศกึ ษาคนงานอตุ สาหกรรมเหลก็ อเมริกนั หน้า 92 การจดั ตงั แรงงานนอกระบบ: บทเรียนจากตา่ งประเทศ

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 8] แรงงาน และกา รจ้ างง านในยุ ค หลัง-สายพานการผลติ เสาวลกั ษณ์ ชายทวีป ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั แมโ่ จ้ บทนํา ในช่วงกลางของศตวรรษที 20 แรงงานในประเทศอตุ สาหกรรมหลายแหง่ มีหลกั ประกนั ในเรือง ของความมันคงในการทํางาน ทังในทางกฎหมายและสญั ญาจ้าง เป็ นการจ้างงานทีได้ มาตรฐาน ซงึ ได้กลายเป็ นพืนฐานของการจ้างงานทีได้มาซงึ สิทธิและความชอบธรรม รวมทงั การประกนั สงั คม การจ่ายค่าชดเชย ความคุ้มครองกรณีทีไม่ได้รับความเป็ นธรรมจากการ ทํางาน ตลอดจนถึงสิทธิในการเจรจาต่อรอง รูปแบบการจ้างงานดงั กล่าวเป็ นผลทีเกิดขึน ภายใต้ความสาํ เร็จของการผลติ อตุ สาหกรรมในระบบสายพานการผลติ (Fordism) ซงึ เป็ นการ ผลติ ขนาดใหญ่ การรวมศนู ย์ในแนวดงิ ภายใต้เทคโนโลยีการทาํ งานในองค์กร แบบ scientific management หรือ Taylorism เป็ นระบบการบริหารจดั การทปี ระยกุ ต์วิธีทางวิทยาศาสตร์เข้า กบั ทางวิศวกรรมการผลติ และการบริหารจัดการ เน้นประสิทธิภาพการทํางานและผลิตภาพ ของแรงงานให้เกิดผลผลติ การผลติ แบบสายพานการผลติ เป็ นตวั อยา่ งทแี สดงให้เห็นถึงความสาํ เร็จและการจดั ระเบียบ ของการผลติ ทีเป็ นตวั แบบการพฒั นาทีมเี สถียรภาพเป็ นอยา่ งดีของระบบทนุ นิยม ในด้านของ การพฒั นาเศรษฐกิจในระดบั มหภาคแล้ว การสะสมทนุ ในยคุ ของการผลติ แบบสายพานจดั วา่ เป็ นการปรับโครงสร้ างทีเกิดขึนคู่ขนานกันของเทคโนโลยีการผลิต การจัดระเบียบใน กระบวนการผลิตและแบบแผนการบริโภคของแรงงานรับจ้าง สูงสดุ อย่างไรก็ตาม การ เปลยี นแปลงทางด้านเทคโนโลยีและภาวะเศรษฐกิจโลกทีเกิดขนึ ในช่วงทีผา่ นมาสง่ ผลต่อการ

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 9] เปลยี นแปลงรูปแบบการจ้างงานทีกล่าวมาแล้ว จากรูปแบบการจ้างงานทีเคยมีหลกั ประกัน ความมนั คง มสี วสั ดกิ ารและการค้มุ ครองตามกฎหมายกลายเป็ นงานทีขาดหลกั ประกนั ความ มันคงในการทํางาน ภายใต้สญั ญาจ้างทีไม่ยืนยาว ภาวะดังกล่าวเกิดขึนภายใต้ความ เปลยี นแปลงทีถกู ขบั เคลอื นโดยพลวตั ทางการผลติ ของทนุ นิยมทีมีการปรับโครงสร้างทางการ ผลิตแบบใหม่ Samir Amin นกั เศรษฐศาสตร์ชาวอียิปต์กลา่ วไว้ว่า การการพฒั นาของ วิทยาศาสตร์ในปัจจุบันและการปฏิวัติทางเทคโนโลยี (โดยเฉพาะในมิติของเทคโนโลยี สารสนเทศ) และการขบั เคลือนของสงั คมเศรษฐกิจผนวกกบั แรงผลกั ดนั จากพลงั ทางสงั คม (โดยเฉพาะอยา่ งยงิ ภาคสว่ นทมี อี ิทธิพลอยา่ งมากของทนุ จากบรรษัทข้ามชาติ) ได้นําไปสกู่ าร เปลยี นแปลงอย่างมากในองค์กรการผลิตและโลกของการจ้างงาน (Samir Amin,2008:xv) บทความนีมีวตั ถปุ ระสงค์เพอื นาํ เสนอมติ ิของแรงงาน และการจ้างงานและปัญหาความมนั คง ในการทํางานภายใต้ความเปลียนแปลงทุนนิยมโลกในยุคหลังสายพานการผลิต (Post- Fordism) แรงงานในการผลติ แบบสายพาน (Fordism) ระบบการผลิตแบบสายพาน (Fordism) ทีคิดค้นขึนโดย เฮนรี ฟอร์ ด ส่งผลให้เกิดการ เปลียนแปลงอย่างสาํ คญั ต่อการผลติ อตุ สาหกรรม เฮนรี ฟอร์ด เป็ นวิศวกรของบริษัทเอดิสนั ในเมืองดีทรอย ได้ศึกษาและพฒั นาเครืองยนต์ทีใช้เชือเพลิงจากนํามนั จนกระทงั สามารถ พฒั นารถยนต์สลี ้อคนั แรกสาํ เร็จในปี 1896 โดยมีชือว่า Ford Quadricycle ต่อมา ในปี 1903 ฟอร์ดได้ตัง \"บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์\" ร่วมกับเพือน ๆ และในปี 1896 ฟอร์ด ได้นําระบบ สายพานมาใช้ในการผลติ โดยให้อปุ กรณ์ไหลไปตามสายพานและให้คนงานประกอบรถยนตท์ ี ละสว่ น การประยกุ ต์การผลติ แบบสายพานใช้กบั การผลิตรถยนต์ทําให้ผลติ รถยนต์หนงึ คนั ใช้ เวลาเพียงชงั โมงครึง โรงงานของฟอร์ดผลิตรถยนต์ ฟอร์ดโมเดลที (T-model) ซึงเป็ นทีรู้จกั อยา่ งรวดเร็วในเวลาตอ่ มาในฐานะทเี ป็ นผลผลติ ของระบบการผลติ ทีทนั สมยั บนสายพาน ทงั นี อาจจําแนกลกั ษณะทีเรียกวา่ เป็ นตวั แบบของระบบการผลติ แบบสายพานออกมาเป็ น 4 ระดบั ประกอบด้วย

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 10] 1. ระดบั ของกระบวนการผลิตและการใช้แรงงานในการผลิต เป็ นการผลิตเพือตลาดการ บริโภคขนาดใหญ่ด้วยเทคโนโลยีบนสายพานการผลิตทีต้องใช้แรงงานกึงฝี มือของ แรงงานจํานวนมากในระบบการผลติ เป็ นแรงงานทีอยใู่ นระดบั กลางระหวา่ งแรงงานฝี มือ และแรงงานไมม่ ีฝี มอื ซงึ ความชํานาญการในเฉพาะอยา่ ง 2. ระดบั ของการสะสมทนุ ทีสร้างความเติบโตให้กบั เศรษฐกิจระดบั มหาภาค การผลติ แบบ สายพานเป็ นการผลติ มีมีความคงทีของวงจรการเติบโตขยายตวั บนพืนฐานของการผลิต เพอื ตลาดการบริโภค การเพมิ ขนึ ของผลผลติ และการเพมิ ขนึ ของรายได้ทีเชือมโยงอย่กู บั ผลติ ภาพ การเพมิ ขนึ ของความต้องการบริโภคทขี นึ อยกู่ บั การเพิมค่าจ้าง ผลกําไรเพิมขึน ทีเกิดจากการใช้ศกั ยภาพอยา่ งเต็มความสามารถ รวมทงั การลงทุนทีสงู ขึนเพือพฒั นา อปุ กรณ์และเทคโนโลยีการผลติ 3. ระดบั ของการจดั ระเบยี บทางสงั คมเศรษฐกิจ ระบบสายพานการผลิตเป็ นการแยกความ เป็ นเจ้าของและการควบคมุ ในองค์กรการผลติ ขนาดใหญ่ออกจากกนั ด้วยระบบการแบง่ งานทีมีการกระจายงานทีเป็ นความเชียวชาญเฉพาะอย่างแต่รวมศนู ย์เพือการควบคุม (เป็ นการแบง่ งานตามระบบเทเลอร์ หรือ Taylorist division of labour) 4. ระดบั ของการจัดระเบียบและองค์กรในสังคม การผลิตแบบสายพานนําไปสู่การเกิด ลกั ษณะของการบริโภคทีมีทีมีลกั ษณะเป็ นมาตรฐานเดียวกนั การผลิตสินค้ามวลชนลง เข้าสหู่ น่วยครอบครัวเชิงเดียว รวมทงั การจดั หาสินค้ามาตรฐาน และการบริการเพือ มวลชนโดยรัฐ ซึงรัฐเองก็มีบทบาทสําคัญในการจัดการความขัดแย้งระหว่างทุนกับ แรงงาน (Ash Amim ,1977: 9-10, Jessob,1997:253-254) ระบบสายพานการผลติ เป็ นระบบทีมีการแยกความเป็ นเจ้าของสถานประกอบการ และการ จัดการควบคุมในบรรษัทขนาดใหญ่ ความสําเร็จจากการทีมีผลิตภาพสงู เนืองด้วยมีการ ควบคมุ แรงงานทีเข้มงวด ในการผลิตบนระบบสายพาน (assembly line) โดยแรงงานจะถกู ฝึ กทกั ษะให้ชํานาญงานเฉพาะอย่างบนเทคโนโลยีสายพานการผลิต ซึงทําให้ลดต้นทนุ การ ผลติ ในการฝึกทกั ษะฝี มืออยา่ งอืน ความสมั พนั ธ์ของการจ้างงานในระบบ Fordism ขึนอยกู่ บั สหภาพแรงงาน และการเจรจาตอ่ รอง ซงึ รัฐเข้ามามบี ทบาทสาํ คญั ในการจดั การความขดั แย้ง

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 11] ระหวา่ งทนุ กบั แรงงาน สหภาพแรงงานเองก็ให้ความสําคญั และยอมรับอํานาจในการบริหาร จดั การและการควบคมุ แรงงานของนายจ้าง ค่าจ้างเป็ นดชั นีชีวดั ถึงความเติบโตของผลผลิต การพฒั นาเศรษฐกิจทนุ นิยมภายใต้ระบบ Fordism มีลกั ษณะโดยทวั ไปเป็ นแบบแผนการจดั รูปองค์กรทางสังคม ซึงเป็ นแบบแผนในการบริโภคแบบขยายของหน่วยครอบครัวทีเป็ น ครอบครัวเดยี ว สงั คมในรูปแบบของการผลติ แบบสายพานจึงเป็ นสงั คมอตุ สาหกรรมเมืองของ ความสมั พนั ธ์แบบการจ้างงาน การขยายการผลติ แบบสายพานมีเสถียรภาพและสร้างความ เจริญเติบโตให้กบั ทนุ นยิ มอตุ สาหกรรมในขณะทแี รงงานได้รับคา่ จ้างสงู มีสวสั ดิการดี ภายใต้ ความมีเสถียรภาพและความมนั คงทีได้รับการเกือหนนุ จากกฎเกณฑ์ ระเบียบตา่ งๆในระดบั สากล การขยายตวั ของระบบสายพานการผลติ ในช่วงหลงั สงครามโลกครังทีสองได้หลอมรวม ชีวิตการทํางาน แบบแผนการบริโภค การใช้เวลาวา่ ง การผลติ ในระบบโรงงาน ซึงเป็ นรูปแบบ การใช้ ชีวิตในสังคมอุตสาหกรรมทีมีการขยายตัวของการบริโภคสินค้ าอุตสาหกรรม แพร่กระจายทวั ไปในสงั คมโลก ตามแบบแผนการผลิตและการบริโภคของสงั คมตะวนั ตก ในช่วงเศรษฐกิจรุ่งเรืองจนกระทงั ถงึ ช่วงทศวรรษที 1970 ความสาํ เร็จในการค้นพบระบบสายพานการผลติ เป็ นจุดเปลยี นสําคญั ของระบบการผลติ โลก นําไปสู่การขยายตวั ของการผลิตสินค้าเพือการบริโภคของมวลชนเป็ นจํานวนมาก ระบบ Fordism ได้สร้างความเข้มแขง็ ให้กบั ระบบทนุ นิยมอตุ สาหกรรมในประเทศสหรัฐอเมริกาอยา่ ง มากในช่วงหลงั สงครามโลกครังทสี อง และสร้างความเจริญเตบิ โตให้กบั อตุ สาหกรรมยานยนต์ ในประเทศอตุ สาหกรรมอาทิ ญีป่ นุ เกาหลี เป็ นต้น ความสาํ เร็จนีไมเ่ พียงแตเ่ ป็ นการปฏิวตั ิการ ผลิตเชิงอตุ สาหกรรมเท่านนั แต่มีอิทธิพลอยา่ งมากกบั วฒั นธรรมสมยั ใหม่ และการขยายตวั ของชนชนั กลาง นกั ทฤษฎีสงั คมหลายคนได้เรียกประวตั ิศาสตร์เศรษฐกิจและสงั คมช่วงนีว่า เป็ น ‘แบบฟอร์ด’ (Fordism) อย่างไรก็ตาม ในขณะทีการผลิตแบบสายพานทีมีการรวมศนู ย์การทํางานและมีการจ้างงาน เต็มรูปแบบ มีหลกั ประกันการทํางานและแรงงานมีรายได้คงที ซึงเป็ นการจ้างงานตาม มาตรฐานทีเป็ นธรรมสําหรับแรงงานและเป็ นโมเดลของการพฒั นาอตุ สาหกรรมทีจะนําไปสู่ การกระจายรายได้ทางเศรษฐกิจแก่แรงงาน แตใ่ นด้านหนงึ การเติบโตขยายตวั ของเศรษฐกิจ

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 12] ในสงั คมอุตสาหกรรมได้นําไปสู่มิติทีซ่อนเร้ นของความสมั พนั ธ์ในการจ้างงานและปัญหา แรงงานในระยะต่อมา ในด้านของกระบวนการทางสังคม กล่าวได้ว่าการผลิตในระบบ สายพาน นาํ ไปสกู่ ารหลอมรวมของความกลมกลนื กนั ทางสงั คมอย่างทีไม่เคยปรากฏมาก่อน ในประวตั ิศาสตร์ ซึงลกั ษณะดงั กล่าวอยู่บนฐานของการพฒั นาทีคู่ขนานกนั ไปของวิถีการ สะสมทนุ และการผลิตกบั วิถีการใช้ชีวิตแบบชนชันกลาง-แรงงาน ในมิติของชีวิตทางสงั คม การผลติ ในระบบโรงงานบนสายพานการผลติ ทีทนั สมยั สนองตอบตอ่ ความต้องการบริโภคของ มวลชนขนาดใหญ่ นํามาส่กู ารเปลียนแปลงลกั ษณะวิถีชีวิตและการบริโภคของแรงงาน ใน ปริมณฑลการบริโภคแรงงานก็เป็ นผ้บู ริโภคเชน่ เดียวกบั มวลชนอืนๆในสงั คม แต่ในปริมณฑล การผลิตของโรงงาน แรงงานเป็ นผู้ทําการผลิตทีได้ค่าจ้างตอบแทนจากการใช้แรงงาน การ ขยายตวั ของการผลิตเพือตอบสนองตลาดขนาดใหญ่ทําให้ราคาสนิ ค้าถกู ลง คา่ จ้างทีแท้จริง (real wage) จึงเพิมขึน ค่าจ้างทีแท้จริงคือการเปรียบเทียบค่าจ้างกบั ราคาสนิ ค้าชนิดอืน ซึง หมายความว่าแท้จริงแล้วค่าจ้างของแรงงานไม่ได้เพิมขึนมาก ในขณะเดียวกันแรงงานก็ เสยี เปรียบในกระบวนการผลิตแบบสายพานเพราะการลดชวั โมงทีจําเป็ นในการทํางานทีจะ เรียนรู้ทกั ษะความชํานาญงาน การทํางานเฉพาะอย่างบนสายพาน คนงานเองมีฐานะเป็ น ส่วนย่อยๆหนึงในระบบการผลิต ทีขาดการเรียนรู้งานในภาพรวม รวมทังขาดโอกาสทีจะ พฒั นาศกั ยภาพในฐานะมนษุ ย์ขนึ มานอกเหนือไปจากสว่ นหนงึ ของงานทีทํา หลังจากที เฮนรี ฟอร์ด นําเทคโนโลยีระบบสายพานกับเทคนิคการบริหารจัดการแบบ วิทยาศาสตร์ หรือ ทีเรียกว่าระบบเทเลอร์ (Taylorism) มาทดลองใช้ที Highland Park, Michigan plant ในปี 1913 หลงั จากนนั มานาน Ford Motor ก็ประสบกบั ปัญหาการลาออก เป็ นจํานวนมากของพนกั งานในสายการผลิต คนงานทีเข้ามาใหม่ก็ลาออก สาเหตสุ ําคญั เกิด จากความรู้สกึ เบอื หนา่ ยและเมือยล้าจากการทํางานแบบเดียวซาํ ๆ กนั ทงั วนั จากการทคี นงาน แตล่ ะคนต้องทํางานอยู่ประจําในตําแหนง่ ผลิตของตนในสายการผลิตและต้องปฏิบตั ิหน้าที แบบเดิมๆ ซําไป เรือยๆ กบั ชินสว่ นรถยนต์ทีถกู ส่งผ่านมาถึงปฏิบตั ิการของตนบนสายพาน และยงั ต้องทํางานในสว่ นรับผดิ ชอบให้เสร็จทนั กบั เวลาทีกําหนดไว้อีกด้วย

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 13] แรงงานยุคหลังสายพานการผลิต (Post-Fordism) และการจ้างงาน การสะสมทุนภายใต้ การผลิตขนาดใหญ่ทีเน้ นการการผลิตแบบขยายเพือการบริ โภคของ มวลชนในยคุ ฟอร์ด ได้สอ่ เค้าถงึ ปัญหาทเี กิดขนึ ในช่วงต้นทศวรรษที 1970 ทงั จากการกระต้นุ ให้เกิดการบริโภคอยา่ งมากเกินขอบเขต เกิดภาวะผลผลติ ล้นเกิน ไมส่ ามารถระบายสนิ ค้าได้ การแขง่ ขนั ในตลาดโลกทเี พมิ สงู ขนึ สง่ ผลให้แตล่ ะประเทศต้องแสวงหาวิธีการคงกําไรและการ ลดต้นทนุ การผลติ ตลอดจนถึงการควบคมุ ค่าจ้างและการต่อรองของแรงงาน การผลติ แบบ สายพานเกิดปัญหาหลายประการ อาทิ ปัญหาในด้านความเข้มงวดไม่ยืดหยนุ่ ของระบบการ ผลิตและกระบวนการใช้แรงงาน ความยุ่งยากในการควบคุมแรงงาน และการลงทนุ ในการ ผลติ ขนาดใหญ่ทตี ้องใช้เงินลงทนุ จํานวนมาก (David Harvey,2006: 68-70) ปัญหาในวิกฤต ของการสะสมทนุ ในช่วงกลางทศวรรษที 1970 เป็ นช่วงหวั เลียวหวั ตอ่ ของการเปลยี นแปลงใน โครงสร้ างการผลิตทีสง่ ผลต่อการเปลยี นแปลงอย่างสําคญั ในประวตั ิศาสตร์สงั คมเศรษฐกิจ โลก หลายประเทศเผชิญปัญหาภาวะชะงกั งนั ทางเศรษฐกิจ ปัญหาเงินเฟ้ อและการวา่ งงานที เพิมสงู ขึน ในช่วงเวลาดงั กล่าวได้มีการเปลียนทงั ด้านการผลิต แนวคิดใหม่ในการพฒั นา เศรษฐกิจ รวมทงั ความสมั พนั ธ์ทางสงั คมด้วย การเปลยี นแปลงของการผลติ แบบทนุ นิยมจากรูปแบบเดมิ ทอี ยบู่ นฐานการผลติ แบบสายพาน และโครงสร้ างองค์กรการผลิตภายใต้ระบบโรงงานมาสกู่ ารผลิตแบบใหม่ทีมีความยืดหยุ่น สง่ ผลอยา่ งสาํ คญั ตอ่ การจ้างงาน การเปลยี นแปลงทีกลา่ วนปี รากฏให้เห็นทงั ในด้านการผลติ ที มีมกี ารกระจายการผลติ ออกมานอกระบบโรงงานและการจ้างงานแบบยืดหยนุ่ หลายรูปแบบ อาทิ การจ้างงานชวั คราว การจ้างงานแบบเหมาชว่ ง เป็ นต้น การจ้างแรงงานโดยแท้จริงแล้วก็ เป็ นความสมั พนั ธ์ทางสงั คมและเป็ นกิจกรรมทางสงั คมในรูปแบบหนึง เว้นเฉพาะในเรือง เกียวกับกระบวนการผลิตบนระบบสายพานการผลิตสินค้ าและบริการเท่านัน แต่ใน ระดบั พืนฐานของปฏิบตั ิการด้านการผลิตแสดงถึงนยั ของความสมั พนั ธ์แบบแรงงานรับจ้างที ประกอบด้วยความสมั พนั ธ์ทางสงั คมในแนวดิงระหว่างนายจ้างกบั ลกู จ้าง และแนวระนาบ ระหวา่ งคนงานด้วยกนั เอง โดยในความสมั พนั ธ์ทางสงั คมเหลา่ นีประกอบด้วยความสมั พนั ธ์ที เชือมโยงกนั ของกล่มุ รวมทงั สถาบนั ต่างๆ ทีอยู่นอกสถานประกอบการ ยงั ไม่รวมถึงความ

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดิการ [หน้า 14] แตกต่างทางสงั คมของคนกลุ่มต่างๆ ในมิติของเพศสภาพ ชาติพันธ์ุและอายุ รวมทังมิติ ทางด้านภมู ศิ าสตร์ของแรงงาน อาทิ พืนที ระยะหา่ งทางกายภาพและการทาํ งาน เป็ นต้น มีการอธิบายลกั ษณะของยคุ หลงั สายพานการผลิตหลายประการ กลา่ วคือการลดขนาดการ ผลติ ทีเน้นตลาดเฉพาะ การแขง่ ขนั ในตลาดโลกทําให้มกี ารจ้างงานแบบเหมาช่วง การจ้างงาน ชัวคราวเพิมมากขึน การเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศทีง่ายทําให้สามารถติดตามสถานการณ์ เกียวกบั ระบบตลาด เช่นราคาและความต้องการ ได้ง่าย กระบวนการโลกาภิวฒั น์และความ ยืดหยุ่นในการผลิตส่งผลให้ต้องมีการจ้างงานแบบเหมาช่วงมากขึน ความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยนี าํ ไปสจู่ ดุ เปลยี นทใี ห้ความสาํ คญั ตอ่ นวตั กรรมและความรู้ซงึ ได้กลายมาเป็ นปัจจยั สําคัญในการแข่งขนั ในยุคหลงั สายพานการผลิต เป็ นระยะทีมีการปรับในโครงสร้ างและ องค์กรการผลิต จากยคุ ฟอร์ดซึงถือได้วา่ เป็ นยคุ ทีทนุ นิยมประสบความสาํ เร็จอย่างสงู ในการ พฒั นาไปสสู่ งั คมอตุ สาหกรรม การเปลยี นผา่ นเข้าสรู่ ะยะใหมข่ องทนุ นยิ มจึงมีพืนฐานของการ พัฒนาเศรษฐกิจภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์ทีความเชือมโยงของกิจกรรมทังหลายทีเป็ น กระบวนการของการวิจยั และพฒั นา การออกแบบ ภาคการผลติ และการกระจายถกู ผนวกเข้า เป็ นกระบวนการทมี คี วามเชือมโยงตอ่ เนอื งกนั ภายใต้การพฒั นาเทคโนโลยีสารสนเทศ ความรู้ และนวตั กรรม ยคุ หลงั สายพานการผลติ จงึ เป็ นยคุ ของการเปลยี นผา่ นไปสยู่ คุ ใหมข่ องการสะสมทนุ ซงึ มคี วาม แตกต่างของระบบทางการเมืองและการจดั ระเบียบทางสงั คม มีการอธิบายถึงยคุ ใหมห่ ลาย ลกั ษณะทงั ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ทางด้านสงั คมทีมีการขยายตวั ของการบริโภคทีเข้าถึง ทกุ มิตขิ องชีวติ ปัจเจกบคุ คล ในด้านการผลติ หลงั ยคุ สายพานการผลติ เป็ นการผลติ แบบใหมท่ ี มีความยืดหยุ่น มีการกระจายการผลิตและการจดั องค์กรการผลิตในรูปแบบใหม่ ซึงมีการ อธิบายว่าเป็ นระยะของการสะสมทุนแบบยืดหยุ่น เดวิด ฮาร์วี (David Harvey) นัก มานษุ ยวิทยาสายมาร์กซสิ ต์ชาวองั กฤษทชี ว่ งหลงั มาได้หนั เหความสนใจมาในแนวภมู ิศาสตร์ อธิบายถึงลกั ษณะของการสะสมทนุ ในยคุ นีวา่ มีการปรากฏขนึ ของการผลิตแบบใหม่ แนวทาง ใหมใ่ นการจดั ให้บริการทางการเงิน การตลาดแบบใหม่ และทมี ากไปกวา่ นนั คืออตั ราเร่งทมี าก ขนึ ทางการค้า เทคโนโลยีและนวตั กรรมองค์กร ซงึ จะนําไปสกู่ ารก้าวกระโดดของแบบแผนการ

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 15] พฒั นาทีไมเ่ ทา่ ทนั กนั ในภาคสว่ นตา่ งๆ และในแต่ละภมู ิภาค (Harvey,2006:70-71) ยคุ ใหม่ เป็ นยุคที ฮาร์วีอธิบายว่ามีการอดั แน่นของเวลาและสถานที (time-space compression) กลา่ วคอื เทคโนโลยที างการสอื สารทีสะดวกรวดเร็วชว่ ยยน่ ระยะเวลาและเชือมพืนทขี องหนว่ ย ทางสงั คมเข้าด้วยกนั การพฒั นาทางเศรษฐกิจขบั เคลอื นไปได้อยา่ งรวดเร็วบนฐานของการค้า และการลงทนุ ทีการตดั สนิ ใจ การเปลยี นแปลงและเคลอื นย้ายเกิดขนึ ได้งา่ ย การผลติ แบบยดื หยนุ่ ในยคุ หลงั สายพานการผลติ เป็ นจดุ เปลยี นสาํ คญั ในช่วงหนงึ ของทนุ นิยม ความยืดหยุ่นเป็ นการปรับตวั ทีเกิดจากปัญหาการผลิตในยคุ ฟอร์ด การเปลียนผา่ นไปสกู่ าร สะสมทนุ ในยคุ ใหมท่ ีมคี วามยดื หยนุ่ มีลกั ษณะสาํ คญั หลายมิตไิ ด้แก่ 1. ความยืดหยุ่นในตลาดแรงงาน เพราะมีการว่างงานสูง เปิ ดช่องโอกาสสําหรับ ตลาดแรงงานจากตา่ งประเทศ นําไปสภู่ าวการณ์ออ่ นแอของสหภาพแรงงาน 2. เน้นการผลติ ขนาดเลก็ ตรงข้ามกบั ลกั ษณะของ fordism ทมี ีผลกําไรจากขนาด แตใ่ นการ ผลิตแบบยืดหยุ่นมีการจ้างเหมาช่วงและจ้างงานชัวคราว จึงมีหน่วยผลิตขนาดเล็ก กระจายอยมู่ าก รวมทงั การเกิดตลาดทมี ลี กั ษณะเฉพาะของสนิ ค้า 3. มีการจดั ระบบการผลิตใหม่ อาทิ การผลิตแบบ just in time (JIT) หรือแบบทนั เวลาพอดี ซงึ เป็ นกลยทุ ธ์ในการผลติ ทีพฒั นาระบบธรุ กิจ การบริหารการผลิตและการเพิมผลผลติ ที โรงงานอตุ สาหกรรมจะผลติ สนิ ค้าและมกี ารจดั สง่ สนิ ค้าเมอื มีการขายเท่านนั ซงึ แตกต่าง จากการผลติ ทีเป็ นเดมิ ในยคุ ฟอร์ดทีผลติ จํานวนมากเพือขาย (mass production) ซงึ ทํา ให้มตี ้นทนุ สงู นอกจากนนั มีการผลิตด้วยเทคโนโลยีแบบใหม่ อาทิ การใช้ระบบอตั โนมตั ิ และการใช้หนุ่ ยนต์ เป็ นต้น การผลิตแบบใหม่นีทําให้ลดต้นทนุ ในการผลติ และการจดั สง่ สนิ ค้า 4. ในด้านการบริโภค มกี ารเปลยี นแฟชนั อยา่ งรวดเร็ว หลากหลาย มีรูปแบบของวฒั นธรรม ทถี กู ทาํ ให้เป็ นสนิ ค้าทหี ลากหลาย ความเติบโตของอตุ สาหกรรมบริการ ก้าวกระโดดจาก การผลติ สนิ ค้าไปสกู่ ารผลติ ในเชิงกิจกรรม การหมนุ กลบั ของช่วงเวลาการบริโภค เช่นการ ปรับข้อมลู ทีทนั สมยั เกียวกบั ความผนั แปรของแนวโน้มในตลาดเพิมความสาํ คญั มากขนึ

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดิการ [หน้า 16] 5. เป็ นช่วงใหม่ของการควบแน่นของเวลาและสถานที ‘time and space compression’ ของเศรษฐกิจแบบทนุ นิยม กลา่ วคือช่วงเวลาในแนวราบของการตดั สินใจระหว่างโลก สว่ นตวั กบั สาธารณะหดสนั ลง ในขณะทีการสอื สารผา่ นดาวเทียมและการลดคา่ ใช้จ่ายใน การเดินทางได้เพิมความเป็ นไปได้ในการแพร่กระจายให้เกิดการคิดและการปฏิบตั ิให้ รวดเร็วทนั ใดกว้างไปในพืนทีต่างๆ การควบแน่นของเวลาและสถานทีจึงกระชับหน่วย ทางสงั คมเข้าหากนั อยา่ งเข้มข้นมากขนึ ในยคุ หลงั สายพานการผลติ ชีวิตและการทํางานของแรงงานจะเป็ นเช่นไร? มิติดงั กลา่ วเป็ น เรืองทสี มั พนั ธ์กบั สงั คมและวฒั นธรรม โดยทวั ไปเมือกลา่ วถึงยคุ หลงั สายพานการผลิต มกั จะ เกียวข้องกบั มิติทางด้านเศรษฐกิจและการเปลียนแปลงของหน่วยทีเกียวข้องเป็ นหลกั เช่น สถาบนั การเงิน แรงงาน เป็ นต้น ในขณะทกี ารอธิบายถงึ มิตกิ ารเปลยี นแปลงทางสงั คม การใช้ ชีวิตและการบริโภคมกั จะกลา่ วถึงว่าเป็ นยคุ หลงั สมยั ใหม่ (post-modernism) อย่างไรก็ตาม จากสภาพการเปลยี นแปลงของสงั คมปัจจุบนั ทําให้เห็นได้วา่ สองปริมณฑลทงั ทางการผลิต และการบริโภคนนั ไมเ่ พียงแตเ่ กิดขนึ และมภี าพเป็ นหนงึ เดียวกนั เท่านนั แตย่ งั ไมอ่ าจพิจารณา แยกจากกนั ได้อีกต่างหาก การขบั เคลอื นของพลงั ทางเศรษฐกิจในยคุ ใหม่มีการใช้ชือเรียกที ต่างกนั Jessob (2006: 21-279), Amin (2006: 1-39) เรียกว่าเป็ นยคุ ของ Post-Fordism David Harvey เรียกว่าเป็ นยคุ ของการสะสมทุนแบบยืดหยุ่น (flexible accumulation) (Harvey,2006: 70)ลกั ษณะชีวิตในยคุ หลงั สายพานการผลิตเป็ นชีวิตสมยั ใหม่ทีเกิดขึนใน ปริมณฑลการบริโภคของชีวิตในภาคเมือง มีความซบั ซ้อนในการเอาประโยชน์ของทุนนิยม ผ่านการตลาดทีแยกย่อยหลายส่วนของการผลิตทนุ ทางเชิงสญั ญะ โดยผ่านสินค้าบันเทิง ฟ่ มุ เฟือยทมี เี ป้ าหมายในกลมุ่ ชนชนั กลางและสงู ด้วยแรงจงู ใจในการเพมิ สถานภาพทางสงั คม ในสว่ นของแรงงานทเี ป็ นทงั ผ้ผู ลติ และผ้บู ริโภคก็ถกู กระต้นุ และดึงเข้าสกู่ ระแสของการบริโภค แบบมวลชน ลกั ษณะประการสาํ คญั ของยคุ หลงั สายพานการผลติ ได้แก่ความยืดหย่นุ ทงั ในกระบวนการใช้ แรงงานและการจ้างงาน ความยืดหยุ่นด้านแรงงานมักจะหมายถึงศักยภาพในการบริหาร จดั การปรับความเหมาะสมของจํานวนแรงงาน คา่ จ้างและการใช้แรงงานในการผลิตแตล่ ะวนั

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 17] การจ้างงานในยคุ หลงั สายพานการผลิตเป็ นเช่นไร ภายใต้การเปลียนแปลงในโครงสร้างการ ผลติ ดงั ทไี ด้กลา่ วมาแล้ว การจ้างงานในองค์กรอตุ สาหกรรมเป็ นโครงสร้างทียดื หยนุ่ ทีเกิดภาพ คู่ขนานในปริมณฑลของการผลิต และการบริโภค อํานาจของความยืดหยุ่นและการ เคลอื นไหวทไี ปได้เร็วเพิมแรงกดดนั ของนายจ้างในการควบคมุ แรงงานซึงนบั วนั จะออ่ นแอลง จากผลของการปรับโครงสร้ างการรวมศูนย์การผลิตและการว่างงานทีเพิมสงู ขึน แรงงานใน ระบบทีอย่ภู ายใต้การจ้างงานตามกฎหมายถูกลดทอนลงโดยลกั ษณะเดียวกนั ของการปรับ โครงสร้ างการสะสมทุนแบบยืดหยุ่นทีเกิดขึนในส่วนภูมิภาคซึงไม่ได้เป็ นไปตามแบบแผน ดงั เดมิ ของการจ้างงานในภาคอตุ สาหกรรม กลา่ วคอื เป็ นการจ้างงานในระบบทีอย่ภู ายใต้การ รวมศนู ย์การผลิตขนาดใหญ่ การสะสมทนุ แบบยืดหยุ่นมีลกั ษณะทีเกิดขึนในโครงสร้ างของ การวา่ งงานทสี งู การลดทอน การปรับใหมข่ องทกั ษะการทํางาน การจ้างงานภายใต้โครงสร้าง ขององค์กรอตุ สาหกรรมการผลติ และการบริโภคจึงมคี วามแตกตา่ งของรูปแบบการจ้างงาน ซงึ มีความยืดหยนุ่ ทีสามารถเปลียนแปลงและเคลือนย้ายได้ง่าย ในตลาดแรงงานเองมีการปรับ โครงสร้างใหม่ จากภาวะการแขง่ ขนั และความออ่ นแอของขบวนการสหภาพแรงงาน นายจ้าง จงึ มีโอกาสใช้การจ้างงานแบบชวั คราว สญั ญาจ้างระยะสนั มากขนึ ในยคุ หลงั สายพานการผลติ ทีความสมั พนั ธ์ทางสงั คมทเี ป็ นความสมั พนั ธ์การจ้างงานแบบทนุ นิยมเป็ นหลกั กลา่ วคือ เป็ นความสมั พนั ธ์ระหวา่ งนายจ้างกบั ลกู จ้าง ภมู ิภาคตา่ งๆสว่ นใหญ่ ของโลก ประชากรในวยั ทํางานมีสดั สว่ นเกินกวา่ ครึงหนงึ ของประชากรทงั หมด (ตารางที 1) แตใ่ นช่วงเปลยี นผา่ นของการสะสมทนุ แบบใหม่ องค์ประกอบของความสมั พนั ธ์ทางการผลติ ชนชนั และความแตกตา่ ง ความไมเ่ ทา่ เทยี มกนั ทางสงั คมดํารงอยู่ ถึงแม้ในช่วงทีผ่านมามีการ กระจายความมงั คงั และความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอยา่ งมากก็ตาม ในปี 2006 ประมาณ การวา่ ประชากรโลก 3 พนั ล้านคนอยภู่ ายใต้ความสมั พนั ธ์แบบการจ้างงานทีมรี ายได้หลกั เป็ น ค่าตอบแทนจากกการทํางาน โดยเป็ นแรงงานหญิง ชายทีมีฝี มือ ไร้ ฝี มือ มีการศึกษา หลากหลายระดบั ทํางานในภาคเศรษฐกิจทแี ตกตา่ งกนั ทงั ภาคเกษตร อตุ สาหกรรมและภาค บริการ (ข้อมลู จากสถิติของ ILO,2007) แรงงานเหลา่ นีกระจดั กระจายอย่ใู นพืนทีทกุ แหง่ ทงั ในเมืองและในพืนทหี า่ งไกล ซงึ สภาพและเงือนไขการทาํ งานมคี วามผนั แปรและแตกตา่ งกนั ไป

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 18] ในแต่ละสภาพเงือนไข แต่สิงทีเป็ นพืนฐานร่วมกันคือการขายแรงงานและศกั ยภาพในการ ทํางานเพือให้ได้มาซึงค่าตอบแทนในการดํารงชีพ นอกจากนนั ในภาคของการจ้างงานใน ปัจจบุ นั ยงั เผชิญปัญหา ความมนั คงและสวสั ดกิ ารในการทาํ งานทีลดทอนคณุ ภาพการใช้ชีวิต ภายใต้โครงสร้างทางเศรษฐกิจทีหนว่ ยการผลิตลดขนาดลง และภายใต้ทุนนิยมระยะใหม่ที หนว่ ยผลติ มกี ารกระจดั กระจาย ในโลกของแรงงานปัจจบุ นั จึงเกิดคาํ ถามใหมม่ ากมายในเรือง ของการโครงสร้างการผลติ การจ้างงานและแรงงาน ( Bieler,2008). ในตลาดแรงงานจึงอาจมีแบบแผนของการจ้างงานทีมีความแตกต่างของแรงงาน 2 กลุ่ม ประกอบด้วย 1. กลมุ่ แรงงานหลกั เป็ นกลมุ่ ทีอยสู่ ว่ นกลางทีมีการจ้างงานเต็มรูปแบบ มสี ถานภาพทมี นั คง ทํางานถาวรและอยใู่ นสว่ นกลางขององค์กร เป็ นกลมุ่ ทีมีความมนั คงในการทํางาน ได้รับ สวสั ดิการและการเลอื นระดบั ตามเป้ าหมายขององค์กร 2. กลมุ่ แรงงานรอบนอก เป็ นกลมุ่ ทีมีการเคลือนย้ายเข้าออกงานบ่อย ในกล่มุ นีจําแนกได้ เป็ น 2 กลมุ่ ยอ่ ยทแี ตกตา่ งกนั ได้แกก่ ลมุ่ ทีมีการจ้างงานเต็มเวลา เป็ นแรงงานทงั ทีมีฝี มือ ทพี ร้อมทจี ะทํางานได้ และทมี ที กั ษะน้อย เป็ นกลมุ่ ทีมีการเข้าออกงานบอ่ ย กลมุ่ ชายขอบ กลมุ่ ทีสอง เป็ นกลมุ่ ทีมกี ารจ้างงานแบบยืดหยนุ่ รวมไปถึงงานชวั คราว งานรับเหมาช่วง งานทีรับทําเฉพาะอย่าง งานในลกั ษณะนีเป็ นงานทีมีความมนั คงน้อยกว่าแบบแรกใน กลมุ่ ของแรงงานรอบนอก ความยืดหยุ่นของการจ้ างงานอาจถูกมองว่ามีผู้ทีทังได้รับประโยชน์และเสียประโยชน์ กล่าวคือมีความอิสระ เลือกทํางานได้ตามทีสนใจและไม่มีข้อผูกมัด ในส่วนของนายจ้าง แนน่ อนวา่ ได้ประโยชน์ทงั ในการลดต้นทนุ การผลติ ลดภาระการดแู ลเรืองสวสั ดิการ อยา่ งไรก็ ตาม ภาวะการจ้างงานปัจจุบนั การจ้างงานแบบชัวคราว แบบเหมาช่วง และการทํางานใน ภาคทีเป็ นเศรษฐกิจนอกระบบมีตัวเลขทีสูงขึน นอกจากนันแนวโน้มในการจ้างงานกลุ่ม แรงงานหลกั ทีมีการจ้างงานเต็มรูปแบบ มีสวสั ดิการทีมนั คง มีแนวโน้มลดลง ในขณะทีการ เปลยี นรูปแบบการผลติ ทีลดขนาดลง และการจ้างงานแบบเหมาช่วง เปิ ดโอกาสให้ระบบธุรกิจ

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 19] ขนาดเล็กเติบโตขึน มีหน่วยผลิตและธุรกิจย่อยๆ เกิดขึนอย่างหลากหลาย ดังจะเห็น ปรากฏการณ์เหล่านีในหลายประเทศ อาทิ ไทย เวียดนาม ฟิ ลปิ ปิ นส์ เป็ นต้น ภาคเศรษฐกิจ เหลา่ นีมีสว่ นคําจนุ ตอ่ ระบบเศรษฐกิจใหญ่ ทวา่ มีแรงงานมากน้อยเพียงใดทีได้ประโยชน์หรือ ใครเป็ นกลมุ่ ทีได้ประโยชน์ภายใต้รูปแบบของเศรษฐกิจดงั กลา่ ว นอกจากนนั ในภาคของการจ้างงานหากพิจารณาสถานการณ์การจ้างงานโลกในปัจจบุ นั จะ เห็นวา่ ในขณะทีเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มวา่ กําลงั จะฟื นตวั ขึนเห็นได้จาก การคาดการณ์ของ IMF คาดวา่ ปี 2012 เศรษฐกิจโลกจะขยายตวั ร้อยละ 3.3 (ILO,2011) แตต่ ลาดแรงงานโลก กลบั มีการวา่ งงานสงู ขนึ อยา่ งไมห่ ยดุ ยงั ข้อมลู ขององค์การแรงงานระหวา่ งประเทศชีให้เหน็ ว่า ในปี 2010 มีคนวา่ งงาน 205 ล้านคน หรือ 6.2 % ของจํานวนประชากรในวยั ทํางานของโลก การวา่ งงานในกลมุ่ วยั ทาํ งาน (อายุ 15-24 ปี ) ลดลงเลก็ น้อยจาก 79.6 ล้านคนในปี 2009 เป็ น 77.7 ล้านคนในปี 2010 แตก่ ็ยงั เป็ นสดั สว่ น 12.6 % หากพิจารณาในภมู ิภาคต่างๆของโลก (ตารางที 3) จะเหน็ วา่ การวา่ งงานในประเทศทีพฒั นาอตุ สาหกรรมมาก่อน เช่นในยโุ รป อตั รา การวา่ งงานยงั สงู ขนึ มาโดยตลอด เพิมจาก 6.7 % ในปี 2000 เป็ น 8.8% ในปี 2011 (ตาราง ที 2) สภาพการณ์ดังกล่าวเป็ นภาวะของปัญหาการจ้างงานทีคงอยู่ถึงแม้ตัวเลขมูลค่าทาง เศรษฐกิจจะมีแนวโน้มฟื นตวั ขึน การว่างงานในเชิงโครงสร้ างนียังเป็ นสิงทีดํารงอยู่ภายใต้ โครงสร้างการผลติ ทีกระจดั กระจาย ทา่ มกลางการเกิดขนึ ของหนว่ ยผลติ ทีหลากหลาย อนั เป็ น ลกั ษณะการผลติ แบบยืดหยนุ่ ทีมีสภาวะการว่างงานไว้ให้เกิดการแข่งขนั เปลียนการเข้าออก การจ้างแรงงานทมี คี ลอ่ งตวั ตามลกั ษณะของความต้องการแรงงาน การปรับตวั ของแรงงานหลังยคุ สายพานการผลติ ทางออกของแรงงานภายใต้สภาวการณ์ดงั กล่าวจะเป็ นอย่างไร แรงงานในยคุ หลงั สายพาน การผลติ จะตอ่ รองและปรับตวั ตอ่ ความยดื หยนุ่ ของการผลติ และการจ้างงานได้อยา่ งไร ภายใต้ โครงสร้างของการพลงั การขบั เคลอื นของเศรษฐกิจยคุ ใหมท่ ที งั องค์กรการผลติ ปรับลดขนาด มี การหมนุ เวยี น เน้นความคลอ่ งตวั ใช้เทคโนโลยีระดบั สงู ภาวะการจ้างงานทีขาดความมนั คง และหลกั ประกนั ทางด้านสขุ ภาพ การปรับตวั ของแรงงานตอ่ สภาวการณ์ดงั กลา่ วอาจเกิดขึน

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 20] หลายระดบั ซึงในสภาพทีเรียกได้ว่ามีการกระจดั กระจายของการผลิตและการขาดกลไกที ควบคุมให้เกิดประโยชน์ต่อแรงงาน การมีหน่วยงานหรือสถาบนั ดงั เดิมทีมีอํานาจและเป็ น หนว่ ยงานกลางเช่น รัฐเข้ามาดแู ลจงึ เป็ นสงิ ทีจําเป็ นในการค้มุ ครองแรงงาน ทงั นีในระบบเดิม ทมี อี ยแู่ ล้ว อาทิ การมีหนว่ ยงานไตรภาคี ทีต้องมีความเข้าใจสภาพปัญหาและความเข้มแข็ง ในการแก้ไขปัญหาให้ครอบคลมุ ทกุ มิติของการจ้างงาน การแก้ไขปัญหาภายใต้สถานการณ์ ของความยืดหยนุ่ มีแนวทางการแก้ไขปัญหาได้แก่ - ด้านการต่อรองของแรงงาน มีการผลกั ดนั ให้เกิดการรวมกลมุ่ ของแรงงานและตอ่ รอง ซงึ เกิดขนึ หลายระดบั ได้แก่ - ระดบั สถานประกอบการ - ระดบั สาขาอตุ สาหกรรมเดียวกนั - ระดบั สงั คม การต่อรองในระดับต่างๆ ต้องครอบคลุมปัญหาของแรงงานในระบบการจ้างงานที ยืดหยุ่นทุกมิติ โดยเฉพาะในความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้ างกับลูกจ้ าง รวมทังการ กําหนดให้มีสถาบนั หรือหนว่ ยงานในการดําเนินงานเกียวกบั ปัญหาเกียวกบั การจ้างงาน ภายใต้เศรษฐกิจแบบยืดหยนุ่ - ด้านการจ้างงาน การผลกั ดนั ให้เกิดการรับรองในการจ้างงานทีอยู่นอกระบบให้ได้รับ การดแู ล มีหลกั ประกนั การทาํ งานทีมนั คงและการได้รับสวสั ดิการทดี ีในการทาํ งานยงั เป็ น ประเด็นสําคญั รวมทงั การค้มุ ครองเรืองคา่ ตอบแทนและชวั โมงการทํางาน ทงั นีในหลาย ประเทศทีพยายามแก้ไขปัญหาทีเกิดจากความยืดหยนุ่ ของการจ้างงานได้นําเสนอโมเดล ทีเรียกวา่ ‘flexicirity’ ซึงเป็ นการผสมผสานระหวา่ งความยืดหย่นุ (flexibility) และความ มนั คง (security) ซึงในกลุ่มประเทศทีเชือว่าความยืดหยุ่นในตลาดแรงงานเป็ นสิงที จําเป็ นสาํ หรับการเพิมขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ ได้นําเอาแนวคิด flexicurity แต่ ต้องคํานงึ ถึงความมนั คงด้วย ในกรณีของประเทศฟิ นแลนด์ ได้ใช้การดําเนินงานในแนว

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดิการ [หน้า 21] flexicurity มาใช้ในการเสริมสร้างและการวิจยั และพฒั นา รวมทงั การพฒั นานวตั กรรมใน ภาคเอกชน ในขณะเดียวกันในประเทศเนเธอร์แลนด์ มีการนําเอาโมเดล flexicurity มาใช้โดย พยายามควบคุมความสมดลุ ระหว่างการการเพิมขึนของการจ้างงานทีไม่ได้มาตรฐาน เช่นการจ้างงานชวั คราว งานรับเหมาช่วง โดยการพฒั นาระบบการคุ้มครองทางสงั คม เชน่ การเพิมคา่ จ้างขนั ตาํ การสง่ เสริมสทิ ธิในการเข้าถึงหลกั ประกนั สงั คม ระบบบํานาญ เป็ นต้น.

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 22] Source: ILO Global Employment Trends 2011 Source: ILO Global Employment Trends 2011

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดิการ [หน้า 23] Source: ILO Global Employment Trends 2011

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 24] เอกสารอ้างองิ Ash Amin (1997) ‘ Post-Fordism: model,fantasies and phantoms of transition’ in Post- Fordism: a reader. Blackwell:Oxford. Andreas Bieler et al. (2008). Labour and the challenges of globalization. London: Pluto Press, 2008. David Harvey, The Condition of Postmodernity: An Inquiry into the Conditions of Cultural Change (Oxford; Blackwell, 1989). ILO, Global Employment Trends,2007. ILO, Global Employment Trends, 2011 Jessob, Bob ( 2006 ). ‘Post-Fordism and the state’. Post-Fordism: a reader. Oxford: Blackwell. Samir Amin (2008). Forward : rebuilding the unity of the labour front’ in Andreas Bieler et al. (2008). Labour and the challenges of globalization. London: Pluto Press, 2008. Kumar K. (1995) From post-industrial to post-modern society . - ch.3 : Fordism and post-fordism, Blackwell.

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 25] ไทยบนเส้นทางเดนิ สู่รัฐสวัสดกิ าร รศ.ดร.วรวิทย์ เจริญเลิศ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ ในประวตั ิศาสตร์ รูปแบบของงาน (form of work) เป็ นการผสมผสานกันระหว่างแรงงาน ภายใต้ความสมั พนั ธ์แบบพึงพิงกบั แรงงานอิสระ แรงงานอิสระ (independent labour) ได้ กลายมาเป็ นลกั ษณะสาํ คญั ในสงั คมปัจจบุ นั โดยเข้ามาแทนทีแรงงานทาส และ “แรงงานทีถกู พนั ธนาการ” เชน่ การใช้แรงงานเพอื ไถ่หนี (bondage labour) ซึงการใช้แรงงาน”แบบบงั คบั ” “กึงบงั คบั ” แต่ “แรงงานอิสระ” หรือ “ผู้ประกอบอาชีพอิสระแบบดงั เดิม” มีความสําคญั ลด น้อยลงนบั ตงั แตก่ ารพฒั นาอตุ สาหกรรมและการขยายตวั ของแรงงานรับจ้างภาคอตุ สาหกรรม และบริการ ในปัจจบุ นั “แรงงานรับจ้าง” ได้กลายเป็ นรูปแบบหลกั ของการใช้แรงงานในสงั คม สมัยใหม่ จากงานวิจัยทีเกียวข้องกับ “สงั คมของคนทํางาน” (salaried societies) ของ Aglietta และ Brender (1984) พบวา่ “แรงงานรับจ้าง” (wage labour) มีกว่าร้อยละ 80 ของ การจ้างงานทงั หมดในประเทศพฒั นาแล้ว ประมาณร้อยละ 10 เป็ น “ผ้ปู ระกอบอาชีพอิสระ สมัยใหม่” เช่น ผู้ประกอบวิชาชีพและผู้เชียวชาญ ในการศึกษาทางสังคมศาสตร์ เช่น เศรษฐศาสตร์ สงั คมวิทยา มีความเห็นว่า “แรงงานรับจ้าง” ได้กําเนิดมาจากสญั ญาจ้าง (labour contract) ซงึ เป็ นรากฐานของตลาดแรงงานในสงั คมปัจจบุ นั ในยุโรป การคุ้มครองทางสงั คมได้ถูกผูกโยงกับสถานภาพการเป็ นแรงงานรับจ้าง (wage labour) และการค้มุ ครองทางสงั คมก็ได้สนบั สนนุ ให้แรงงานรับจ้างได้พฒั นาไปเป็ นต้นแบบ ของการทํางานทีมีการปกป้ องและคุ้มครอง มีกฎหมายสากลรองรับอยู่ เช่น อนุสญั ญาของ ILO ในเรืองมาตรฐานแรงงานหลกั เพอื สง่ เสริมการทํางานทีมีคณุ คา่ (Decent work) กลา่ วได้ วา่ รัฐสวสั ดิการเป็ นรูปแบบการคุ้มครองทางสงั คมในระดบั สงู ทีสดุ ทีรัฐเข้าทําการแทรกแซง กลไกตลาดเพือทําให้เกิดการพฒั นาสงั คมควบคไู่ ปกบั การพฒั นาเศรษฐกิจ ประเทศในยโุ รป ได้พฒั นาเข้าสรู่ ัฐสวสั ดิการโดยสมบูรณ์แบบ และการเข้าถึงสวสั ดิการโดยรัฐกลายเป็ นเรือง

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดิการ [หน้า 26] “สทิ ธิทางสงั คม” ก็ภายหลงั สงครามโลกครังที 2 ซงึ ต้องใช้เวลามากกวา่ 3 ศตวรรษ นบั ตงั แต่ ศตวรรษที 17 ทีมีการออกกฎหมายคนจนเพือสงเคราะห์แรงงานทีลม่ สลายจากชนบทจาก กระบวนการล้อมรัวทีดิน (enclosure movement) การคุ้มครองแรงงานในอังกฤษ เช่น Factory Act ในปี 1883 การกําหนดข้อห้ามในการใช้แรงงานเด็ก จํากดั ชวั โมงการทํางานและ การออกระเบียบเพือค้มุ ครองสขุ ภาพความปลอดภยั ในการทํางาน ในเยอรมนั นี Bismark ได้ นําระบบประกันสงั คมเข้ามาใช้เป็ นครังแรกในยุโรป (1883) โดยจัดให้มีการรักษาพยาบาล และให้สทิ ธิประโยชน์ทเี ป็ นตวั เงินเพอื ทดแทนการสญู เสยี รายได้ระหวา่ งการเจ็บป่ วย (โดยเก็บ เงินสมทบจากนายจ้างและลกู จ้าง) มีการขยายการให้บริการด้านอืนๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว เช่น การบงั คบให้มีประกนั อบุ ตั ิเหตใุ นการทํางาน ปี 1888 และการประกนั ชราภาพ เมืออายุ เกิน 70 ปี (จดั โดยรัฐ) ในปี 1889 นโยบายสงั คมของเยอรมนั ได้แผ่อิทธิพลไปยงั ประเทศอืน ๆ เช่น ในออสเตรีย (1888) อิตาลี (1883) สวเี ดนและเนเธอร์แลนด์ในปี 1901 ในอังกฤษ การต่อส้ขู องชนชันล่างและแนวคิดสงั คมนิยม ได้มีอิทธิพลต่อการพัฒนาระบบ ค้มุ ครองทางสงั คมมากกว่าทีจะมาจากการทีรัฐจดั ให้ มีการพึงสงั คมเพือน และธนาคารเพือ การออมเพือใช้ในการจัดสวสั ดิการ มีการทดแทนการบาดเจ็บจากการทํางานโดยการออก กฎหมายในปี 1887 ทีบงั คบั ให้นายจ้างต้องค่าชดเชยในกรณีทีเกิดอบุ ตั ิเหตใุ นการทํางาน นายจ้างต้องรับผดิ ชอบตอ่ ความเสยี หายนนั ในปี 1908 องั กฤษได้นําโครงการบํานาญมาใช้เพือบรรเทาความเดือดร้ อนของคนจนทีเป็ น ผู้สงู อายุ โดยผู้ทีได้รับสิทธิประโยชน์ไม่ต้องจ่ายเงินสมทบแต่ต้องผ่านเกณฑ์การตรวจสอบ คุณสมบัติของผู้สมควรได้รับความช่วยเหลือ (income-test basis) ในปี 1911 มีการ ประกนั สงั คมสาํ หรับการเจ็บป่ วยและการวา่ งงาน และช่วงหลงั วิกฤติเศรษฐกิจตกตําทวั โลกปี 1930 การประกนั การวา่ งงานได้ถกู นาํ มาใช้ทวั ไปในยโุ รป ในประเทศฝรังเศส ภาคเอกชนและโดยเฉพาะ “สังคมร่วมด้ วยช่วยกัน” (mutual-aid societies) ได้สร้างระบบบําเหน็จบํานาญขึนมา ในปี 1898 มีกฎหมายรับรองให้นายจ้างรับ

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 27] ผิดจ่ายเป็ นตวั เงินสําหรับลกู จ้างทีประสบอุบตั ิเหตใุ นการทํางาน ส่วนในปี 1910 มีการใช้ ระบบบาํ นาญแบบออกเงินสมทบสาํ หรับแรงงานในภาคอตุ สาหกรรม และภาคเกษตรกรรม ในระหว่างปี 1930- 1940 มีการให้เงินสงเคราะห์ช่วยเหลือครอบครัวทีมีรายได้ตํา เป็ น นโยบายได้ถกู นํามาใช้ทวั ยโุ รปเพือเสริมรายได้จากการทํางาน ปี 1942 ในองั กฤษ แนวคิดของ Lord Beveridge ได้กลายเป็ นเสาหลกั ของการค้มุ ครองทาง สงั คมโดยเน้นความรับผิดชอบของรัฐบาลทีจะต้องรักษาระบบการจ้างงานเต็มที จัดเงิน ช่วยเหลอื ครอบครัวสําหรับเด็กทกุ คนหลงั บตุ รคนแรก การดแู ลสขุ ภาพแบบครบวงจรสําหรับ ประชาชนทุกคน โครงการประกันสงั คมระบบเดียวโดยรัฐเป็ นผู้บริหาร และโครงการสงั คม สงเคราะห์ระดบั ชาติ รายงานของ Beveridge ได้ถกู นาํ ไปปฏบิ ตั หิ ลงั วกิ ฤติเศรษฐกิจ 1930 ชว่ งระหวา่ งปี 1945 ถงึ 1973 เป็ นช่วงเศรษฐกิจมีการเติบโตสงู ได้มีการขยายประกนั สงั คมสู่ ประเทศอนื ทคี รอบคลมุ ประชากรจํานวนมาก และครอบคลมุ ความเสยี งทกี ว้างขนึ ทีสาํ คญั คือ การเชือมโยงบํานาญกบั อตั ราเงินเฟ้ อในระบบเศรษฐกิจ ขยายสวสั ดิการครอบคลมุ ไปถึงเรือง ทุพพลภาพ การให้เงินช่วยเหลือครอบครัวขันตําและการให้การคุ้มครองสุขภาพสําหรับ พลเมอื งทกุ คนในประเทศ ถ้าจะกลา่ วถึงกรอบคดิ การค้มุ ครองทางสงั คม สามารถจดั ให้ความสาํ คญั เป็ นลาํ ดบั ชนั ได้ดงั นี รัฐสวสั ดิการ (คําทีคล้ายกนั คือ รัฐในมิติของสงั คม ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดในมิติสงั คม) › การคุ้มครองทางสงั คม (คําทีคล้ายกันคือ สงั คมสวัสดิการ › ความมนั คงทางสงั คม (คําที คล้ายกนั คือ การประกนั สงั คม › สงั คมสงเคราะห์ (คาํ คล้ายกนั คือ โครงขา่ ยนิรภยั สงั คม)

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดิการ [หน้า 28] รัฐสวสั ดิการ การค้มุ ครองทางสงั คมและความมนั คงทางสงั คม เป็ นหลกั คิดใหญ่ๆ 3 แนวคิด ของ “ความเป็ นสงั คม” รัฐสวสั ดิการ (Welfare State) คือ รัฐในมิติทางสงั คม การทีรัฐเข้าไปกํากบั ระบบเศรษฐกิจ แบบตลาดเพอื สร้างการเตบิ โตเศรษฐกิจและความยตุ ิธรรมในสงั คมผา่ นการใช้นโยบายคา่ จ้าง สูง การพัฒนาทักษะแรงงานและการจัดสวัสดิการโดยรัฐ ประเทศเนเธอร์แลนด์และ สแกนดิเนเวียในช่วงทีพรรคสงั คมประชาธิปไตยเป็ นรัฐบาล มีรูปแบบของรัฐสวสั ดิการที เข้มแข็งสดุ คือ รัฐจะเป็ นผู้จัดสวสั ดิการให้กบั ทกุ คนตลอดห้วงชีวิต “จากครรภ์มารดาสเู่ ชิง ตะกอน” การค้มุ ครองทางสงั คม (Social Protection) มีวตั ถปุ ระสงค์หลกั เพอื ลดความยากจน และการ สร้ างหรือเสริมรายได้ เป็ นมิติหนึงของรัฐสวสั ดิการ เช่น การใช้ระบบภาษีแบบก้าวหน้าเป็ น เครืองมอื ในการกระจายรายได้เพอื นาํ มาเป็ นคา่ ใช้จา่ ยในการสร้างหลกั ประกนั ทางสงั คม และ การให้สิทธิประโยชน์อืน ๆ ทีไม่ได้มาจากการออกเงินสมทบ เช่น การจัดสวสั ดิการแบบให้ เปล่า เช่น เงินสงเคราะห์ครอบครัวขันตํา การจัดให้บริการสาธารณะแบบให้เปล่า เช่น การศกึ ษาขนั พืนฐาน การให้บริการสขุ ภาพถ้วนหน้า การขนสง่ และโครงการบ้านพกั อาศยั การ

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดิการ [หน้า 29] ให้เงินทดแทนการว่างงานและโครงการชราภาพ รัฐในมิติทางกฎหมาย คือ การให้การ คุ้มครองตามกฎหมายแรงงานในเรืองเกียวกบั ค่าจ้าง สวัสดิการ วนั ลาวันหยุด สภาพการ ทาํ งาน ฯลฯ และขยายการค้มุ ครองสคู่ รอบครัวคนงาน ความมันคงทางสงั คม (Social Security) คําทีคล้ายกัน คือ “การประกันสงั คม” จะมี ความหมายแคบกว่าการคุ้มครองทางสงั คม ความมนั คงทางสงั คม เป็ นมาตรการทีออกทาง กฎหมาย เพือสนบั สนนุ รายได้ของบุคคล หรือ ครอบครัว เมือแหล่งทีมาของรายได้นนั ขาด ตอนหรือหมดสินลง หรือในกรณีพิเศษ เมือเกิดภาระคา่ ใช้จ่ายสงู ยกตวั อยา่ งเช่น การเลียงดู บตุ ร หรือ การใช้จ่ายเพือดแู ลสขุ ภาพ อาจจะมกี ารสนบั สนนุ โดยให้สิทธิประโยชน์ในรูปตวั เงิน สําหรับผู้ประกันตนทีเจ็บป่ วย หรือ ทพุ พลภาพ ว่างงาน สญู เสียคู่สมรส คลอดบตุ ร มีภาระ เลียงดูเด็กเล็ก หรือ เกษียณจากการทํางาน สิทธิประโยชน์ในระบบความมันคงสังคม ครอบคลมุ ตงั แตก่ ารให้เป็ นตวั เงินหรือสงิ ของเมอื เกิดความจําเป็ นทางด้านการรักษาพยาบาล การฟื นฟู การดแู ลคนป่ วยทีบ้าน ความช่วยเหลือทางกฎหมาย หรือ ค่าทําศพ ความมนั คง สงั คมสามารถจดั ให้มีได้ในกรณีทีมีคําสงั จากศาล ( เช่น การทดแทนเมือเกิดอบุ ตั ิเหตุ) โดย นายจ้าง (เช่น การประกนั ของเอกชน) โดยรัฐบาลสว่ นกลาง หรือ ท้องถิน หรือ โดยองค์กรกึง รัฐ หรือ องค์กรอิสระ สงั คมสงเคราะห์ (Social Assistance) หรือ ประชาสงเคราะห์ เป็ นโครงการทีไมม่ ีการเก็บเงิน สมทบ มีเป้ าหมายป้ องกนั คนจนหรือกลมุ่ คนทีมฐี านะเปราะบางในสงั คมไมใ่ ห้ตกไปอยใู่ ต้เส้น ความยากจน เช่นเดียวกนั โครงขา่ ยนิรภยั สงั คม (Social Safety-net) เป็ นการให้ค้มุ ครองขนั ตําในสงั คมสมยั ใหม่ทีมกั จะถูกนํามาใช้ในห้วงวิกฤติเศรษฐกิจโดยมีเป้ าหมาย “สร้างรายได้ ลดคา่ ใช้จ่าย” เชน่ การสร้างงานสาธารณะ การรวมกลมุ่ ผลติ เพือเข้าถงึ แหลง่ เงินกู้ดอกเบียตํา มกี ารแจกคปู องอาหาร การอดุ หนนุ คา่ ไฟฟ้ า ระบบขนสง่ มวลชน ฯลฯ กลา่ วได้ว่า การให้ “ขนั ตํา” เป็ นแนวคิดทีคดั ค้านการแทรกแซงของรัฐในระบบเศรษฐกิจ แต่สนบั สนุนบทบาทของ ภาคเอกชนในการบรรเทาความเดือดร้ อนของประชาชนมากกว่าการจัดให้เป็ นบริการ สาธารณะ หรือ การโอนเงินแบบให้เปลา่ การให้สวสั ดิการ “ขนั ตํา” มกั จะถกู นํามาใช้ในห้วง วิกฤตเศรษฐกิจเพอื สนบั สนนุ กลไกการทํางานของระบบตลาดและป้ องกนั มิให้ “ผ้เู ปราะบาง”

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดิการ [หน้า 30] ในสงั คมต้องตกไปอยภู่ ายใต้เส้นความยากจน และสามารถยกเลกิ ได้อยา่ งรวดเร็วเมอื เกิดการ ฟืนตวั ทางเศรษฐกิจมากกวา่ การพฒั นาสวสั ดกิ ารเหลา่ นนั ให้เป็ นสทิ ธิสงั คม (Social rights) ในประเทศไทย รูปแบบของงานมีลกั ษณะคล้ายกับประเทศอุตสาหกรรมอืนๆ กล่าวคือ ผู้ ประกอบอาชีพอิสระมีแนวโน้มลดลงอย่างตอ่ เนืองขณะทีแรงงานรับจ้างมีการขยายตวั อย่าง รวดเร็วในช่วง 40 ปี ทผี า่ นมานบั ตงั แตเ่ ริมต้นนโยบายการพฒั นาอตุ สาหกรรม แตใ่ นสงั คมไทย ผ้ปู ระกอบอาชีพอิสระยงั คงมีสดั สว่ นทีสําคญั ในกําลงั แรงงาน กลา่ วได้ว่าเป็ นลกั ษณะพิเศษ ของสงั คมไทยทีภาคเกษตรกรรมไม่ได้ถกู ทําให้ลม่ สลายลงอย่างรวดเร็วจากการพฒั นา กว่า ร้อยละ 50 ของกําลงั แรงงานยงั คงประกอบอาชีพในภาคเกษตรกรรม แตภ่ ายในทศวรรษหน้า อาจกล่าวได้ว่า แรงงานรับจ้างจะกลายเป็ นรูปแบบของงานทีเป็ นรูปแบบหลกั ในสงั คม ผู้ ประกอบอาชีพอิสระ จะมีจํานวนลดลงด้วยสาเหตุการถดถอยการจ้างงานในภาคเกษตร (farming) เพราะในภาคเกษตรกรรม เป็ นสาขาใหญ่ทีประกอบด้วยแรงงานอิสระทีประกอบ อาชีพเป็ นเกษตรกร แต่ภาคเกษตรกรรมก็กําลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนแรงงานและ ประชากรผ้สู งู อายุ สว่ นปัจจยั ทีนํามาส่กู ารขยายตวั ของแรงงานรับจ้างคือ การขยายตวั การ จ้างงานในภาคอตุ สาหกรรมและบริการรวมทงั การจ้างแรงงานในภาคเกษตรอนั เป็ นแนวโน้ม ระยะยาว นบั ตงั แต่รัฐบาลใช้นโยบายเร่งรัดการส่งออกในปี 2528 เป็ นต้นมา ถึงยคุ วิกฤติ เศรษฐกิจในปี 2540 และปี 2550 สามารถสรุปแบบแผนการวิวฒั นาการ “รูปแบบของงาน” ได้ วา่ มีการเปลยี นจากการจ้างงานในภาครัฐสกู่ ารจ้างงานภาคเอกชนสบื เนืองจากนโยบายการ แปรรูป จาก “แรงงานรับจ้าง” สกู่ ารจ้างงานใน “พืนทีสีเทา” หรือ พืนทีทีอยรู่ ะหวา่ ง “แรงงาน รับจ้าง” กบั “ผ้ปู ระกอบอาชีพอิสระ” ทําให้เกิดการจ้างงานทีไม่เป็ นไปตามมาตรฐานแรงงาน (atypical form of work) เช่น การจ้างคนงานเหมาคา่ แรง การจ้างงานตามสญั ญาจ้างงาน ระยะสัน การจ้ างงานชัวคราว ฯลฯ ซึงมีสาเหตุมาจากการแข่งขันลดต้นทุนแรงงานใน ภาคอตุ สาหกรรม รวมทงั การ Outsource ทผี ลกั ให้ผ้ปู ระกอบอาชีพอิสระเข้าไปอย่ใู น “พืนทีสี เทา” หรือ เป็ นการใช้แรงงานเพือผลิตสินค้า หรือ บริการแต่เป็ นความสมั พนั ธ์ภายใต้การ รับจ้างทําของ โดยไมผ่ า่ นเข้าสกู่ ารจ้างงานในระบบแรงงานรับจ้าง จากการศกึ ษาววิ ฒั นาการรูปแบบของงานในประเทศไทย สามารถสรุปทวั ๆ ไปได้ดงั นี

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 31] ๐ ผู้ประกอบอาชีพอิสระจะยงั คงความสําคญั อยู่มากในระบบเศรษฐกิจไทยแต่ก็มีแนวโน้ม ลดลงมาโดยตลอด ๐ มีการขยายตวั ของแรงงานรับจ้างเนืองจากการขยายตวั ของภาคอตุ สาหกรรมและบริการ ๐ การจ้างงานในภาครัฐและรัฐวิสาหกิจมีแนวโน้มลดลงสบื เนืองมาจากนโยบายแปรรูปของรฐั ๐ มีการนําระบบการจ้างงานยืดหย่นุ เข้ามาใช้อย่างแพร่หลาย ทําให้แรงงานหลดุ จากการ ค้มุ ครอง จากกฎหมายแรงงานและสวสั ดิการ เช่น แรงงานเหมาค่าแรง ผ้รู ับงานมาทําทีบ้าน ฯลฯ การเปลยี นแปลงรูปแบบของงานในปัจจุบนั ยอ่ มมีนยั ยะสาํ คญั ต่อระบบค้มุ ครองแรงงาน ทํา ให้การพฒั นาการค้มุ ครองทางสงั คมเป็ นสงิ ทียากขนึ รวมทงั การบงั คบั ใช้กฎหมายแรงงานก็จะ มีประสิทธิภาพด้อยลง ทีผ่านมาในประวัติศาสตร์ การคุ้มครองทางสงั คมถูกผูกโยงกับ สถานภาพการเป็ นแรงงานรับจ้าง (wage labour) และการค้มุ ครองทางสงั คมก็ได้สนบั สนนุ ให้ แรงงานรับจ้างได้พฒั นาไปเป็ นต้นแบบของการทํางานทีมีการปกป้ องและค้มุ ครองใน “สงั คม คนทาํ งาน” (salaried society) ด้วยการทาํ ให้ระบบแรงงานรับจ้างเจือจางลงผา่ นกลยทุ ธ์การ จ้างงานยืดหยุ่นเพือลดต้นทุนแรงงาน (flexibility) ดงั นัน เป้ าหมาย การจัดองค์กรและ เครืองมือของสวสั ดิการสงั คมจึงถกู ทาํ ให้เจือจางลง การจดั สวสั ดกิ ารโดยรัฐอาจจะไม่สามารถ ตอบสนองความต้องการทางสงั คมของประชาชนสว่ นใหญ่ได้ แต่อาจกลบั กลายเป็ นวา่ มีคน สว่ นน้อยเท่านนั ทีสามารถเข้าถึงแต่คนสว่ นใหญ่ไม่สามารถทําได้เพราะไมม่ ีสถานภาพของ “ลกู จ้าง” ตามกฎหมายแรงงาน อนั จะนํามาสกู่ ารขยายตวั ของช่องว่างและความขดั แย้งทาง สังคม ดังนัน เพือป้ องกันกระบวนการกลายเป็ นสินค้าของพลงั แรงงานโดยกลไกตลาด (marketization) รัฐจะต้องแสดงความเข็มแข็งโดยทําให้เกิดการค้มุ ครองการใช้แรงงานผ่าน การแก้และบงั คบั ใช้กฎหมายแรงงานอยา่ งมีประสทิ ธิภาพและการจดั ให้มีสวสั ดิการแบบถ้วน หน้า การแขง่ ขนั เพอื ลดต้นทนุ แรงงานโดยใช้กลยทุ ธ์การจ้างงานยืดหย่นุ เช่น การจ้างคนงาน เหมาค่าแรง กดค่าจ้างและลดสวสั ดิการ จะนํามาส่ภู าวะตกตําของภาคอุตสาหกรรมเพราะ เป็ นการทําให้ระบบแรงงานสมั พนั ธ์กลายเป็ นนอกระบบ (informalization of labour relation)

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดิการ [หน้า 32] ซงึ ตา่ งกบั ระบบการ Outsource เพอื แสวงหาความชํานาญในการผลติ จากหน่วยการผลติ อืน ซงึ ในหน่วยการผลิตนีแม้จะเป็ นธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก แต่ก็มีการจ่ายค่าจ้างสงู มี สวสั ดกิ ารสงู และการใช้แรงงานทีมที กั ษะมกี ารพฒั นาฝี มือแรงงาน เมือพิจารณารูปแบบของงานในประเทศไทย การเปลียนแปลงไปสู่ “สงั คมค่าจ้าง” อัน ประกอบด้วยแรงงงานรับจ้างจะเป็ นกําลงั แรงงานสว่ นใหญ่ซงึ เป็ นแนวโน้มในรยะเวลาอนั ใกล้ ดงั นนั การจดั สวสั ดิการสาํ หรับสงั คมไทยจะต้องเน้นการพฒั นาเศรษฐกิจเพือสร้างการเติบโต ควบคไู่ ปกบั การพฒั นาการค้มุ ครองทางสงั คมตอ่ ผ้ใู ช้แรงงานในภาคอตุ สาหกรรมและบริการ ขณะเดยี วกนั ก็ต้องนาํ “ผ้ปู ระกอบอาชีพอสิ ระ” กลมุ่ ผ้ทู อี ยใู่ นพืนทีสเี ทา เช่น ผ้รู ับงานมาทําที บ้านทงั ผ้ทู ีรับงานมาโดยตรงจากโรงงาน หรือ ผา่ นกลมุ่ /คนกลาง แต่ขณะเดียวกนั จะต้องทํา ให้ประชาชนกลมุ่ อืนได้รับการจดั สวสั ดิการ “ขนั ตํา” ในระบบประกนั สงั คม เช่น แรงงานใน ภาคเกษตรกรรม ฯลฯ ซึงเป็ นหน้าทีของรัฐทีจะต้องทําให้เกิดขึนภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบ ตลาด การพฒั นาไปสคู่ วามเป็ นรัฐสวสั ดกิ าร คอื การทรี ัฐเข้าแทรกแซงเพอื กํากบั ระบบเศรษฐกิจแบบ ตลาดเพอื ทาํ ให้เกิดความเป็ นธรรมในการกระจายรายได้และการเตบิ โตของตลาดภายใน การ ใช้นโยบายค่าจ้างสงู การใช้ฐานภาษีรวมทงั การออกเงินสมทบเพือสร้ างกองทนุ ให้มีความ มนั คงเพือนํามาใช้ในการจัดสวัสดิการแบบถ้วนหน้า แต่การบริหารกองทนุ อาจจะเน้นการ กระจายอํานาจโดยให้ชมุ ชน หรือ ท้องถินเข้ามามสี ว่ นร่วมในการจดั สวสั ดิการ ในประเทศไทย สามารถจดั การค้มุ ครองทางสงั คมวา่ อยใู่ นระดบั กลาง โดยทีเห็นได้ชดั คือ การ พยายามให้การค้มุ ครองด้านสขุ ภาพอย่างถ้วนหน้า ระบบประกนั สขุ ภาพในปัจจุบนั สะท้อน ให้เห็นว่า ประเทศไทยได้ให้ความสําคัญกับการสร้ างระบบการคุ้มครองสขุ ภาพ เป็ นการ ทํางานทีสงั สมกนั มาเป็ นชนั ๆตลอดช่วง 30 ปี ทีผา่ นมา ก่อนปี 1990 มีการจัดสวสั ดิการให้กบั ข้าราชการโดยเฉพาะการรักษาพยาบาล และคุ้ม ค้มุ ครองไปถึงครอบครัวและระบบบํานาญสําหรับข้าราชการหลงั เกษียณออกจากงาน ในปี 1990 การจดั ประกนั สขุ ภาพเริมเป็ นระบบและมรี ูปแบบทที นั สมยั ขนึ โดยเฉพาะการออก พ.ร.บ.

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดิการ [หน้า 33] การประกนั สงั คมในปี 1990 ในปี 2001 มีการนําโครงการบตั รสขุ ภาพสาํ หรับคนจน ก่อนทีจะ ถกู แทนทีด้วยโครงการหลกั ประกนั สขุ ภาพถ้วนหน้าในปี 2002 ซึงกลายมาเป็ นโครงการ 30 บาท และบตั รทองในเวลาต่อมา นบั เป็ นครังแรกทีมีการลดจํานวนคนทีไม่ได้รับการค้มุ ครอง ระหว่างปี 1991 ถึงปี 1996 สืบเนืองมาจากโครงการประกนั สงั คม การลดจํานวนครังที 2 (second reduction) เกิดขึนเมือมีโครงการบตั รประกนั สขุ ภาพมาใช้ในปี 2001 สว่ นการลด จํานวนคนทไี มไ่ ด้รับการค้มุ ครองครังที 3 เกิดขนึ ในปี 2003 จากโครงการ 30 บาทรักษาทกุ โรค หรือ บัตรทอง กล่าวได้ว่า ในปัจจุบัน คนไทยเกือบทุกคนอยู่ภายใต้การคุ้มครองสุขภาพ (ยกเว้นชนกลุ่มน้อยทีไม่มีบัตรประชาชน แรงงานข้ามชาติทีไม่มีบตั ร/หนังสือเดินทาง) โดย ได้รับการค้มุ ครองสขุ ภาพประเภทใดประเภทหนึง – โดยประมาณร้ อยละ 20 ของแรงงานที ได้รับค่าตอบแทนเป็ นเงินเดือนหรือค่าจ้าง (ภาคเอกชนและภาครัฐ) และร้ อยละ 80 เป็ นผู้ ประกอบอาชีพอิสระ หรือ บุคคลไม่ได้ทํางาน หรือ เข้าสกู่ ําลงั แรงงานด้วยเหตผุ ลต่างๆ เช่น ผ้หู ญิงทีมีภาระเลยี งลกู ผ้พู กิ าร หรือ เด็กทีอยรู่ ะหวา่ งการศึกษา (inactive) ทีนา่ สนใจคือ การ ประกนั สขุ ภาพของเอกชนกลบั ไมไ่ ด้ลดความสาํ คญั ลงแตอ่ ยา่ งใดทงั ๆ ทมี ีการขยายการจดั การ ค้มุ ครองสขุ ภาพโดยภาครัฐในช่วง 10 ปี ทีผ่านมา เพราะประชาชนบางสว่ นโดยเฉพาะชนชนั กลาง แม้จะมีการประกันสขุ ภาพอยู่แล้วแต่ขณะเดียวกนั ก็มีการซือประกนั เอกชนด้วยทงั นี อาจจะเป็ นเพราะวา่ ประชาชนยงั ไมส่ ามารถเข้าถึงได้อย่างอยา่ งแท้จริง เช่น ต้องใช้ระยะเวลา ในการนดั พบแพทย์หรือรอคอยการให้บริการ ปัญหาด้านคณุ ภาพของบคุ คลากรทางการแพทย์ หรือ เวชภณั ฑ์ ฯลฯ ระบบการคุ้มครองสุขภาพทัง 3 ระบบใหญ่ คือ สวัสดิการรักษาพยาบาลข้ าราชการ ประกนั สงั คมสําหรับแรงงานในภาคเอกชน และบตั รทอง หรือ 30 บาท ซงึ ครอบคลมุ ร้อยละ 60 ของประชาชนทีไม่ยงั มีการประกันสขุ ภาพในปี 1991 และเพิมเป็ นร้อยละ 99 ในปี 2011 คอื ใช้เวลาไมถ่ ึงหนงึ ทศวรรษในการขยายการค้มุ ครองเนืองจากมีการพฒั นาอย่างรวดเร็วของ โครงการหลกั ประกนั สขุ ภาพถ้วนหน้า และทงั 3 โครงการค้มุ ครองสขุ ภาพสะท้อนสถานภาพ ของงาน และประเด็นปัญหาทีแตกตา่ งกนั

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดิการ [หน้า 34] (1) โครงการสวสั ดิการรักษาพยาบาลข้าราชการพลเรือนครอบคลมุ ประชากรทํางานทีเป็ น ข้าราชการและบคุ คลในครอบครัว มีการใช้จ่ายเงินในการรักษาพยาบาลต่อหวั สงู เพือ ค้มุ ครองข้าราชการทีมีจํานวนไม่ถึง 2 ล้าน ขณะทีสมาชิกสว่ นใหญ่เป็ นประชากรในวยั สงู อายแุ ละมกั จะประสบการเจ็บป่ วยด้วยโรคเรือรังเป็ นสว่ นใหญ่ แต่การจัดสวสั ดิการ รักษาพยาบาลให้กบั ข้าราชการ เริมลดความสาํ คญั ลงเพราะการลดลงของการจ้างงานใน ภาครัฐ (2) โครงการประกันสงั คม มาตรา 33 ซึงครอบคลมุ ไปถึงประชาชนทีทํางาน คือ แรงงาน รับจ้าง หรือ แรงงานในระบบ แต่ไม่ครอบคลมุ ไปถึงสมาชิกในครอบครัว มีผู้ประกนั ตน ประมาณ 10 ล้านคน หรือ ประชากรประมาณ 1 ใน 3 ของกําลงั แรงงานแต่ประชากรใน กลมุ่ ของแรงงานรับจ้าง (wage earners) ซงึ มีอายนุ ้อยกว่ากลมุ่ ผ้ปู ระกอบอาชีพอิสระ และผ้ทู ไี มท่ ํางาน (inactive) มคี วามโน้มเอยี งทจี ะประสบโรคทีไมเ่ รือรัง อบุ ตั เิ หตแุ ละเป็ น โรคเรือรังน้อยมากกวา่ แรงงานกลมุ่ อืนๆ (3) โครงการหลกั ประกันสขุ ถ้วนหน้า ซึงคุ้มครองผู้ทํางาน (ผู้ประกอบอาชีพอิสระ) และ ประชาชนทีไมท่ าํ งานและให้สทิ ธิประโยชน์เฉพาะการรักษาพยาบาล แตผ่ ้ปู ระกอบอาชีพ อิสระ ซึงอยู่ในกลุ่มอายุปานกลางๆ และมีอายุมากกว่าแรงงานรับจ้างโดยเฉลีย มี แนวโน้มทีจะเป็ นโรคเรือรัง การเจ็บป่ วยด้วยโรคเรือรังจะกลายเป็ นบ่อเกิดของความ เหลอื มลาํ ทางสงั คม แตโ่ ครงการประกนั สขุ ภาพตา่ งๆ ก็มีความเชือมโยงกนั เช่นโครงการหลกั ประกนั สขุ ภาพถ้วน หน้า มีสมาชิกมากกวา่ ทีควรจะเป็ น ขณะทีประกนั สงั คมมีสมาชิกน้อยกวา่ ควรจะเป็ นในทาง ทฤษฎี ในกรณีทีสถานประกอบการขนาดเล็กไม่แจ้งลกู จ้างทงั หมดเข้าประกันสงั คม สถาน ประกอบการเหลา่ นี จะสามารถประหยดั ร้อยละ 1.5 ของเงินสมทบของลกู จ้าง และร้อยละ 1.5 ของเงินสมทบสว่ นของนายจ้าง ทีจะต้องจ่ายให้ประกนั สงั คม การไมแ่ จ้งหรือขึนทะเบียนใน ประกันสงั คม จะทําให้นายจ้างสามารถประหยดั เงินได้ประมาณ ร้อยละ 4 ของระดบั ค่าจ้าง (โดยทวั ไปคือ ค้าจ้างขนั ตาํ ) ซงึ เป็ นการลดต้นทนุ แรงงานทีสําคญั โดยไมก่ ระทบค่าจ้างแท้จริง ของคนงาน หรือ ไมต่ ้องใช้วธิ ีเพมิ ผลติ ภาพแรงงาน กองทนุ ประกนั สงั คมจึงสญู เสียรายรับการ

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดิการ [หน้า 35] เก็บเงินสมทบในสว่ นทีสาํ คญั สว่ นนีไป เพราะสถานะประกอบการขนาดเลก็ มีจํานวนมากและ ประกอบเป็ นร้อยละ 37 ของการจ้างงานทงั หมด ถ้าสมมติฐานทีเป็ นจริง หมายความว่าการ ดํารงอย่ขู องโครงการหลกั ประกันสขุ ภาพถ้วนหน้ามีผลกระทบในทางตรงข้าม โดยทําให้เกิด การหลบเลยี งคา่ ใช้จ่ายด้านการค้มุ ครองทางสงั คมและความรับผิดชอบทางกฎหมาย และการ ทีสถานประกอบการขนาดเลก็ ผลกั ให้คนงานมาใช้โครงการหลกั ประกนั สขุ ภาพแทนการเข้าสู่ ระบบประกนั สงั คมตามกฎหมาย จึงเป็ นการใช้จา่ ยการรักษาพยาบาลด้วยระบบภาษีซงึ สร้าง ภาระตอ่ ระบบการเก็บภาษีของรัฐ ในระยะยาวแล้ว การทํางานทีมีความมันคงจะมีแนวโน้มหลัก สามารถเห็นได้จากการ เคลอื นย้ายแรงงานสกู่ ารเป็ นแรงงานรับจ้างเพมิ ขนึ เมอื เทยี บกบั ผ้ปู ระกอบอาชีพอสิ ระจากการ เตบิ โตของภาคอตุ สาหกรรมและบริการ สาํ หรับการสร้างระบบการค้มุ ครองสขุ ภาพ ก็น่าจะมี แนวโน้มในทิศทางเดียวกนั คือ จากหลกั ประกนั สขุ ภาพถ้วนหน้าสกู่ ารประกนั สงั คมเป็ นหลกั โดยมาตรา 40 ก็เป็ นวิธีการทีจะนําประชากรทีไม่มีสถานภาพของ “ลกู จ้าง” ตามกฎหมาย แรงงานเข้าสโู่ ครงการประกนั สงั คมโดยเฉพาะกลมุ่ ผ้รู ับงานไปทําทีบ้าน แรงงานในภาคเกษตร รวมถงึ เกษตรกรในระบบเกษตรพนั ธะสญั ญา โดยหลกั การแล้ว โครงการประกนั สงั คม จะต้อง ปรับให้สิทธิประโยชน์ให้สูงขึนสําหรับแรงงานในระบบ เช่น ขยายการประกันสังคมเพือ ค้มุ ครองสขุ ภาพของสมาชิกในครอบครัว ปรับเพิมเงินทดแทนรายได้ในกรณีของการวา่ งงาน และลาป่ วย แต่เนืองจากแรงงานในระบบเป็ นกลมุ่ บคุ คลทีมีอายนุ ้อยกว่าแรงงานในกลมุ่ อืน เช่น ผ้ปุ ระกอบอาชีพอสิ ระ มแี นวโน้มทจี ะเป็ นโรคเรือรังน้อยกวา่ แตก่ ็มกั จะประสบอบุ ตั ิเหตทุ งั จากการทํางานและการเดินทางมาทํางาน รัฐจึงมีความจําเป็ นทีจะต้องให้การคุ้มครอง โดยเฉพาะการเข้าถึงกองทนุ เงินทดแทนรวมทงั การนําเอาอบุ ตั ิเหตใุ นการเดินทางมาทํางาน เข้าสกู ารค้มุ ครองในระบบประกนั สงั คม ขณะเดยี วกนั ก็ต้องปรับปรุงการให้สทิ ธิประโยชน์ของ ประกนั สงั คม มาตรา 40 สิงทีต้องคํานึงคือ “ผ้ปู ระกอบอาชีพอิสระ” ทีอยใู่ นพืนทีสีเทาแม้จะ เป็ นแรงงานอิสระแต่ก็พึงพิง เพราะวิถีการผลิตของแรงงานกลมุ่ นี ต้องขึนตอ่ และถกู กําหนด โดยระบบใหญ่ หรือ “ทุน” เป็ นกลุ่มแรงงานทีมีอายุมากกว่าแรงงานในระบบ มีลักษณะ กระจายตวั สงู และการศึกษาตํา ถ้าจะบรู ณาการแรงงานเหลา่ นีเข้าสกู่ ารประกันสงั คมผ่าน มาตรา 40 จะต้องเพิมการให้สทิ ธิประโยชน์ เช่น เงินทดแทนรายได้ระหวา่ งการเจ็บป่ วย การ

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดิการ [หน้า 36] ค้มุ ครองชราภาพ (บาํ เหน็จ/บาํ นาญ) สทิ ธิในการเบิกคา่ ยานอกบญั ชีแห่งชาติเพราะคนกลมุ่ นี จะเป็ นผ้ใู ช้บริการรักษาพยาบาลตามบตั รทอง หรือ โครงการ 30 บาทและมกั จะประสบการ เจ็บป่ วยด้วยโรคเรือรัง รวมทังการเสริมด้วยมาตรการการป้ องกนั เช่น การสง่ เสริมสขุ ภาพ และ เพิมการประชาสมั พนั ธ์เรืองการประกนั สงั คมตามมาตรา 40.

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 37] แรงงานใน – นอก ระบบ: สถานการณ์ ปัญหาทีรอการแก้ไข สชุ าติ ตระกลู หทู พิ ย์ สมาคมสง่ เสริมสทิ ธิแรงงาน “ข้อมลู จากสาํ นกั งานสถิติแหง่ ชาติในปี พ.ศ. 2555 ระบไุ ว้วา่ จํานวนผ้มู ีงานทําในประเทศไทย ทงั สนิ 39.6 ล้านคน เป็ นผ้ทู ํางานทีไมไ่ ด้รับความค้มุ ครองและไมม่ ีหลกั ประกนั ทางสงั คมจาก การทํางานหรือเรียกว่าแรงงานนอกระบบ 24. 8 ล้านคน หรือร้อยละ 62.6 และทีเหลือเป็ น แรงงานในระบบ 14.8 ล้านคน หรือร้อยละ 37.4” จากข้อมูลดงั กล่าวจะเห็นได้ว่ามีการแบง่ ประเภทของผู้มีงานทําในประเทศไทยออกเป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ด้วยกันคือ 1.) แรงงานในระบบ 2.) แรงงานนอกระบบ ซงึ ทงั 2 ประเภทมี ความแตกตา่ งกนั ทงั ในแงข่ องปัญหาหา การค้มุ ครองทางกฎหมาย และการเข้าถึงหลกั ประกนั ทางสงั คม ซงึ ผ้เู ขียนขอนําเสนอเป็ นประเภทไป ดงั นี แรงงานในระบบ อาจจะอธิบายอย่างง่าย ๆ ว่า “เป็ นแรงงานทีได้รับความคุ้มครองทาง กฎหมาย และมีหลกั ประกนั สงั คม” ซงึ อาจจะแยกออกได้เป็ น 3 กลมุ่ ใหญ่ ๆ ได้แก่ 1) กลมุ่ ข้าราชการ ลกู จ้างประจํา ของราชการสว่ นกลาง ราชการสว่ นภมู ภิ าค และราชการสว่ น ท้องถิน ถือได้วา่ เป็ นกลมุ่ ทไี ด้รับการค้มุ ครองและดแู ลอยา่ งดที ีสดุ 2) กลมุ่ ลกู จ้างรัฐวิสาหกิจซึงได้รับการค้มุ ครองตามกฎหมายแรงงานรัฐวิสาหกิจสมั พนั ธ์ปี 2543 (ซงึ ยกเลกิ พระราชบญั ญตั แิ รงงานรัฐวสิ าหกิจสมั พนั ธ์ ปี 2534) 3) กลมุ่ ลกู จ้างทีได้รับความค้มุ ครองตามกฎหมายทเี กียวข้องกบั แรงงาน

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดิการ [หน้า 38] ผ้เู ขียนจะนําเสนอเฉพาะแรงงานในระบบในกลมุ่ ที 3 นีเท่านนั เนืองด้วยค่อนข้างเป็ นกลมุ่ ใหญ่ โดยปัจจบุ นั มอี ยปู่ ระมาณ 9 ล้านกวา่ คน (ตามสถิตขิ องสาํ นกั งานประกนั สงั คม) อาจจะ ถือได้ว่าเป็ นแรงงานทีค่อนข้างมีหลกั ประกันมันคงทังเรืองการคุ้มครองสิทธิต่าง ๆ ตาม กฎหมายคุ้มครองแรงงาน มีการส่งเสริมการรวมกลุ่มและการเจรจาต่อรองตามกฎหมาย แรงงานสมั พนั ธ์ นอกจากนียงั มีหลกั ประกนั ทางสงั คมในกรณีเจ็บป่ วยทงั จากการทํางานและ นอกการทํางานงาน รวมถึงการทดแทนในด้านอนื ๆ ตามกฎหมายประกนั สงั คม และกฎหมาย กองทุนเงินทดแทน นอกจากนียงั ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายค่าจ้างขนั ตําด้วย ซึงใน ปัจจบุ นั ก็ได้รับคา่ จ้างขนั ตํา 300 บาท ตามนโยบายของรัฐบาลปัจจบุ นั ถึงแม้วา่ แรงงานในระบบกลมุ่ นีจะได้รับการค้มุ ครองทางกฎหมายและมหี ลกั ประกนั ทางสงั คม หลายประการ แตก่ ็ใชว่ า่ จะไมม่ ปี ัญหาเลยก็หาไม่ ผ้เู ขียนได้ลงพืนทเี ก็บข้อมลู แรงงานในระบบ หลายแหง่ ด้วยกนั พบวา่ แรงงานในระบบกลมุ่ นีก็ยงั ต้องเผชิญกบั ปัญหาตา่ ง ๆ มากมาย ซงึ พอ สรุปให้เหน็ ภาพรวม ได้ดงั นี 1. รูปแบบการจ้างงานทีหลากหลาย ในปัจจบุ นั มี รูปแบบการจ้างงานทีนายจ้างนิยมทําสญั ญากบั คนงานมีความหลากหลายมาก ยงิ ขนึ ได้แก่ 1. การจ้างงานทีมีกําหนดระยะเวลา ตงั แต่ 1 เดือน 2 เดือนหรือ 3 เดือน ทีนายจ้างมกั ต่อ สญั ญาให้กบั คนงานเรือยๆ พบว่า คนงานบางคนทํางานกบั สถานประกอบการเป็ นเวลาเกิน กว่า 1 ปี แตก่ ็ยงั คงอยู่ภายใต้สญั ญาจ้างงานระยะสนั ทีได้รับการต่อสญั ญาใหม่อย่างไม่มี กําหนด 2. การจ้างแรงงานทีเป็ นนกั ศึกษาฝึ กงาน จากการสํารวจพบว่า สถานประกอบการบางแห่ง จ้างนกั ศกึ ษาฝึกงานจากสถาบนั การศกึ ษาโดยจ่ายคา่ จ้าง สวสั ดกิ าร เหมือนกบั พนกั งานทวั ไป แต่ “คนงาน” เหลา่ นี ไมไ่ ด้มีสถานภาพเป็ นพนกั งานโดยตรง จึงไมส่ ามารถเรียกร้องสวสั ดิการ ตา่ ง ๆ ในฐานะของพนกั งานประจํา หรือไมส่ ามารถสมคั รเป็ นสมาชิกสหภาพแรงงานได้

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดิการ [หน้า 39] การจ้างงานลกั ษณะนีถือเป็ นการละเมิดสทิ ธิและเอาเปรียบคนงานรูปแบบหนึง เนืองจากการ จ้างงานระยะสนั และมีกําหนดระยะเวลาแน่นอนนัน เปิ ดช่องให้นายจ้างสามารถเลิกจ้าง คนงานได้โดยไมต่ ้องบอกกลา่ วลว่ งหน้าตามทีกฎหมายกําหนด นอกจากนี ผ้ถู กู เลิกจ้างก็ไม่ สามารถเรียกร้ องค่าชดเชยได้ เนืองจากกฎหมายกําหนดให้ลูกจ้างทีทํางานติดต่อกันเป็ น ระยะเวลา 120 วนั ขนึ ไปเทา่ นนั มสี ทิ ธิได้รับคา่ ชดเชย ยิงไปกว่านนั ในทางปฏิบตั ิ นายจ้างยงั ฉวยโอกาสนํารูปแบบการจ้างงานทีมีการทดลองงาน มาใช้อยา่ งผดิ กฎหมาย ถึงแม้กฎหมายได้กําหนดให้การจ้างงานแบบทดลองงานเป็ นการจ้าง งานทไี มม่ กี ําหนดระยะเวลาและนายจ้างต้องบอกกลา่ วกบั คนงานลว่ งหน้าหากมีการเลกิ จ้าง เกิดขึน แต่สิงทีพบคือ นายจ้างจะคํานวณระยะเวลาการทํางาน รวมระยะการบอกกล่าว ลว่ งหน้าไว้ไมใ่ ห้เกิน 120 วนั เพอื หลกี เลยี งการจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมาย 2. การใช้มาตรา 75 ในกฎหมายคุ้มครองแรงงานฯ อย่างขัดต่อกฎหมาย พระราชบญั ญตั คิ ้มุ ครองแรงงาน มาตรา 75 แก้ไขฯ ฉบบั ที 2 พ.ศ. 2551 “กําหนดให้นายจ้างที มคี วามจําเป็ นต้องหยดุ กิจการทงั หมดหรือบางสว่ นเป็ นการชวั คราว ต้องจ่ายเงินให้กบั ลกู จ้าง ไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ 75 ของคา่ จ้างตลอดระยะเวลาทนี ายจ้างมไิ ด้ให้ลกู จ้างทํางาน และจะต้อง ทาํ การแจ้งให้ลกู จ้างและพนกั งานตรวจทราบลว่ งหน้าไมน่ ้อยกวา่ 3 วนั ทําการ” ในทางปฏิบัติ นายจ้างจํานวนมากให้คนงานบางคนหรือบางกลุ่มหยุดงานชัวคราวอย่าง สมําเสมอ โดยละเลยข้อกําหนดตา่ งๆ โดยเฉพาะการขออนุญาตจากเจ้าหน้าที หรือในบาง กรณี ก็ขอร้องให้คนงานตกลงหยดุ งานชวั คราวในลกั ษณะสมคั รใจ เพอื แลกเปลยี นกบั การจา่ ย คา่ จ้างซงึ ตํากวา่ ทีกฎหมายกําหนด อาทิเช่น เสนอว่าจะจ่ายให้ร้อยละ 50 ของคา่ แรง โดยให้ เหตผุ ลกบั คนงานวา่ บริษัทกําลงั ประสบปัญหาเศรษฐกิจ ทงั นี พบกลวธิ ีของนายจ้างหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ 1) นายจ้างบางรายนํามาตรา 75 มาใช้เพือกดดนั ให้คนงานบางส่วนลาออกจากสถาน ประกอบการ ยกตวั อย่างบริษัทแห่งหนึง ใช้มาตรา 75 ประกาศหยุดงานบางส่วนเป็ น

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดิการ [หน้า 40] ประจํา ซงึ คนงานทีถกู สงั ให้หยดุ งานชวั คราวมกั เป็ นคนงานกลมุ่ ทีมีอายกุ ารทํางานนาน และได้รับคา่ จ้างสงู ผลกระทบทเี กิดขนึ กบั คนงานกลมุ่ นี คือ ไมส่ ามารถแบกรับภาระของ คา่ ใช้จ่ายในครอบครัวเมือได้รับคา่ ตอบแทนเพียง 75% อย่างสมําเสมอได้ จึงตดั สินใจ ลาออกเพือหางานใหมใ่ นทสี ดุ (โดยทนี ายจ้างไมต่ ้องจา่ ยคา่ ชดเชย) ทงั นี เป็ นทีนา่ สงั เกต ว่าสถานประกอบการแห่งนียงั รับพนกั งานใหม่เข้าทดแทนพนกั งานทีลาออกไปทงั ทีอ้าง เหตผุ ลเรืองปัญหาขาดทนุ ในการหยดุ งานบางสว่ นชวั คราว ข้อสนั นิษฐานของคนงานก็คอื สถานประกอบการเหลา่ นีต้องการทจี ะกดดนั คนงานทมี ีคา่ แรงสงู ออก และรับคนงานทีได้ เพียงคา่ แรงขนั ตําเข้าทาํ งานแทน 2) สถานประกอบการบางแห่งประกาศหยุดงานบางส่วนตามมาตรา 75 พร้ อมกับเปิ ดให้ พนกั งานมาแสดงความสมคั รใจเข้าร่วมการหยดุ งานตามมาตรา 75 ดงั กลา่ ว โดยมสี ถาน ประกอบการแหง่ หนงึ นํากลวิธีแบบนีมาใช้ในช่วงวนั หยดุ สงกรานต์ ปี 2555 โดยบริษัท กําหนดให้พนกั งานทีไม่สมคั รเข้าร่วมโครงการต้องมาทํางานปกติหลงั งานช่วงวนั หยดุ สงกรานต์ 3) พบกรณีทีนายจ้างใช้มาตรา 75 กลนั แกล้งคนงานทีทาํ การรวมกลมุ่ ในสถานประกอบการ เพือบีบให้ลกู จ้างยอมยตุ ิการรวมกล่มุ หรือลาออกในทีสดุ กลวิธีแบบนีของนายจ้างถือ เป็ นการละเมิดสทิ ธิในการรวมกลมุ่ ของคนงาน โดยมเี ป้ าหมายเพือลดทอนความเข้มแข็ง ของกลมุ่ คนงานหรือสหภาพแรงงาน 3. การทาํ ลายสหภาพแรงงานโดยการเลิกจ้าง การทําลายสหภาพแรงงานโดยเลิกจ้างแกนนํานนั เกิดขึนมานานแล้ว และเป็ นปัญหาหรือ อุปสรรคทีสําคัญมากต่อการรวมตัวของคนงาน เนืองจากพระราชบญั ญัติแรงงานสมั พันธ์ พ.ศ.2518 ไม่ได้คุ้มครองผู้เริมก่อการจดั ตงั สหภาพแรงงาน โดยเฉพาะในระหว่างเริมจัดตงั เอาไว้

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดิการ [หน้า 41] ในหลายสถานประกอบการ พบว่าปัญหาสําคัญทีคนงานเผชิญเมือเริมรวมกลุ่มกันจัดตัง สหภาพแรงงานคอื แกนนาํ สหภาพแรงงานมกั จะถกู เลกิ จ้าง ในบางกรณี แกนนาํ เหลา่ นีถกู เลกิ จ้างทันทีทีนายจ้างรับรู้เกียวกับการกระทําทังทียงั อยู่ในระหว่างเตรียมการจัดตังสหภาพ แรงงาน ทงั นี เทคนิคหรือวธิ ีการทีนายจ้างนํามาใช้เพือบนั ทอนความพยายามในการรวมตวั ของคนงาน หรือทําให้สหภาพแรงงานออ่ นแอนนั อาจเปลยี นแปลงไปตามช่วงเวลา อยา่ งเช่นทีได้กลา่ วถึง ไปแล้ว วา่ สถานประกอบการหลายแห่งในปัจจบุ นั นิยมนํามาตรา 75 มาใช้กดดนั ให้คนงานที ทาํ การรวมกลมุ่ หรือแกนนําสหภาพแรงงานลาออกจากสถานประกอบการ นอกจากนี รูปแบบ การจ้างงานทไี มม่ นั คงเชน่ สญั ญาระยะสนั การจ้างเหมาคา่ แรง การจ้างเหมาชว่ งก็เป็ นวธิ ีการ ทีสง่ ผลตอ่ การรวมกลมุ่ ของคนงานโดยตรง เนืองจากนายจ้างสามารถใช้สญั ญาจ้างเหลา่ นีใน การแบ่งแยกคนงานประจําออกจาก “คนงานระยะสนั ” หรือ “คนงานชัวคราว” และทําให้ คนงานสญั ญาจ้างเหล่านีขาดแรงจูงใจในการรวมกลุ่มกับคนงานประจํา หรือสมคั รเป็ น สมาชิกของสหภาพแรงงานในกรณีทีมสี หภาพแรงงานอยใู่ นสถานประกอบการอยกู่ อ่ นแล้ว 4. การละเมิดสทิ ธิการลาของคนงานประเภทต่างๆ - การลากจิ พบวา่ มีสถานประกอบการทียงั ปฏบิ ตั ิไมถ่ กู ต้องตามกฎหมายค้มุ ครองแรงงาน โดยเฉพาะการ เลือกปฏิบตั ิกบั คนงานสญั ญาจ้างระยะสนั กลา่ วคือ สถานประกอบการบางแห่งได้กําหนด ระเบียบสาํ หรับการลากิจของคนงานประจํา แตกต่างจากคนงานสญั ญาจ้างและคนงานจ้าง เหมาคา่ แรงทงั ทไี มไ่ ด้มีระบเุ อาไว้ในกฎหมายแตอ่ ยา่ งใด - การลาป่ วย กฎหมายค้มุ ครองแรงงาน มาตรา 32 บญั ญัติไว้วา่ “ใหล้ ูกจ้างมีสิทธิลาป่ วยไดเ้ ท่าทีป่ วยจริง การลาป่ วยตงั แต่สามวนั ทํางานขึนไปนายจ้างอาจใหล้ ูกจ้างแสดงใบรบั รองแพทย์...” แตพ่ บวา่ สถานประกอบการสว่ นใหญ่กําหนดระเบยี บโดยพลการวา่ คนงานจะต้องแสดงใบรับรองแพทย์

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 42] เป็ นหลกั ฐานการลาป่ วยในทุกกรณี รวมถึงกรณีทีมีการลาป่ วยเพียงวนั เดียวก็ตาม หากไม่มี ใบรับรองแพทย์แสดงเป็ นหลกั ฐาน ให้ถือวา่ เป็ นการขาดงาน ระเบยี บหรือข้อบงั คบั ของสถานประกอบการในลกั ษณะดงั กลา่ วจงึ ถือวา่ ขดั กบั มาตรา 32 ของ พระราชบญั ญตั คิ ้มุ ครองแรงงาน ทงั ทีกฎหมายเปิ ดโอกาสให้คนงานสามารถลาป่ วยได้โดยไม่ ต้องแสดงใบรับรองแพทย์ หากลาป่ วยน้อยกวา่ 3 วนั อยา่ งในกรณีทีเจ็บป่ วยเล็กน้อย เช่น ปวดหวั เป็ นไข้ ทีไมจ่ ําเป็ นต้องไปพบแพทย์ คนงานทีให้สมั ภาษณ์แสดงความคิดว่าระเบียบดงั กล่าวไม่เป็ นธรรมอย่างยิง เพราะทําให้ คนงานต้องสญู เสยี ต้นทนุ ของเวลาเดินทางไปคลินิกหรือโรงพยาบาลและต้นทนุ ของค่าตรวจ รักษาเพือขอใบรับรองแพทย์โดยเกินความจําเป็ น เนอื งจากอาการป่ วยเลก็ น้อยนนั ในบางครัง แคท่ านยาและพกั ผอ่ นเพียง 1-2 วนั ก็อาการดีขึน สามารถไปทํางานได้ ระเบียบหรือข้อบงั คบั ดงั กลา่ วของสถานประกอบการจึงขดั ตอ่ กฎหมายทีสะท้อนข้อเท็จจริงและพยายามผอ่ นปรน ให้กบั คนงาน ในกรณีเจ็บป่ วย - การลาพักร้อน ในกรณีของวนั หยดุ พกั ผ่อนประจําปี หรือทีเรียกกนั ว่า “วนั ลาพกั ร้ อน” นนั ถึงแม้กฎหมายได้ กําหนดสทิ ธิการลาของคนงานเอาไว้ชดั เจน แตใ่ นทางปฏิบตั ิ กลบั พบวา่ คนงานไมส่ ามารถใช้ สทิ ธิในการลาหยดุ พกั ผอ่ นประจําปี ได้ตามกฎหมาย เนืองจากสถานประกอบการสว่ นใหญ่ได้ กําหนดเงือนไขเพิมเติมวา่ คนงานจะต้องแสดงเหตผุ ลประกอบเพือให้นายจ้างพิจารณาอนมุ ตั ิ การลาพกั ผอ่ นประจําปี แตล่ ะกรณี คนงานแสดงความคิดว่าระเบียบทีเพิมเติมขึนนีไม่สมเหตสุ มผลเนืองจากขดั กบั สามญั สํานกึ วา่ การลาหยดุ พกั ผ่อนประจําปี นนั เป็ นการลาเพือหยดุ พกั จากการทํางานเป็ นระยะเวลานาน ซงึ เป็ นสทิ ธิของคนงานและไมจ่ ําเป็ นต้องแสดงเหตผุ ลเพือให้นายจ้างอนมุ ตั ิ ทีสาํ คญั ระเบียบ ดังกล่าวยงั ขดั กับกฎหมายทีได้กําหนดสิทธิในการลาหยุดพักผ่อนประจําปี ของคนงานซึง นายจ้างมีหน้าทีเพยี งแจ้งให้คนงานทราบวนั หยดุ หรือตกลงวนั หยดุ ประจําปี กบั คนงานเทา่ นนั

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 43] นอกจากนี ยังพบว่าสถานประกอบการบางแห่งใช้เทคนิคการต่อสญั ญาจ้างให้กับคนงาน สญั ญาจ้างระยะสนั เชน่ สญั ญามีอายุ 4 เดอื น เมอื ครบกําหนดจะตอ่ สญั ญาให้อีก 4 เดือนไป เรือยๆ เพือป้ องกันไม่ให้คนงานเหล่านีได้รับสิทธิการลาพกั ผ่อนประจําปี เหมือนกับคนงาน ประจํา การทําสญั ญาจ้างงานระยะสนั แบบต่อสญั ญาได้ไม่สนิ สดุ นีจึงถือเป็ นการนําช่องโหว่ ของกฎหมายมาใช้ละเมดิ สทิ ธิคนงาน 5. การละเมิดสิทธิเกียวกับการทาํ งานล่วงเวลา การทาํ งานในวันหยุดและ ชัวโมงการทาํ งาน - การบงั คบั ให้คนงานทาํ งานล่วงเวลาและทาํ งานในวันหยดุ พระราชบญั ญัติคุ้มครองแรงงาน มาตรา 24 และ 25 ระบุเกียวกับการให้ลกู จ้างทํางาน ลว่ งเวลา หรือทํางานในวนั หยดุ เอาไว้ชดั เจนว่า “นายจ้างต้องได้รบั ความยินยอมจากลูกจ้าง เป็นคราว ๆ ไป” อยา่ งไรก็ตาม ในทางปฏิบตั ิ สถานประกอบการหลายแห่งยงั บงั คบั ให้ลกู จ้าง ทํางานลว่ งเวลา หรือทํางานในวนั หยดุ เป็ นประจํา วิธีการหรือเทคนิคทีพบบอ่ ยทีสดุ คือ ขอให้ ลกู จ้างทํางานลว่ งเวลาหรือทํางานในวนั หยุด โดยอ้างว่าเป็ นเพียงการขอความร่วมมือจาก ลกู จ้าง ไม่ใช่การบงั คบั แต่ถ้าหากลกู จ้างไม่ยอม “ให้ความร่วมมือ” ในการทํางานลว่ งเวลา หรือทํางานในวนั หยดุ ตามทบี ริษัทร้องขอ ก็จะถกู ลงโทษโดยไม่ให้ทํางานลว่ งเวลาหรือทํางาน ในวนั หยดุ อีกเป็ นระยะเวลาหนงึ อาจจะ 1 หรือ 2 สปั ดาห์ บางกรณีอาจเป็ นเดือน ยิงไปกว่า นัน นายจ้างยังนําประเด็นนีไปพิจารณาประกอบการปรับขึนเงินเดือนประจําปี และการ พจิ ารณาเงินโบนสั ประจําปี ของลกู จ้างอีกด้วย การบงั คบั ให้คนงานทํางานล่วงเวลาหรือทํางานในวนั หยดุ ประจําปี โดยอ้างว่าเป็ นการขอ ความร่วมมือของนายจ้างลกั ษณะนี ถือเป็ นการใช้อํานาจในทางมิชอบของนายจ้างปฏิเสธ สิทธิของคนงานทีจะสมัครใจยินยอมทํางานลว่ งเวลา ในความเป็ นจริง ลกู จ้างไม่สามารถ ปฏเิ สธการทํางานลว่ งเวลาทีนายจ้างต้องการได้ เนืองจากรายได้ของคนงานเกือบครึงมาจาก การทํางานล่วงเวลาและทํางานในวนั หยุด ความเกรงกลวั ของคนงานทีจะถูกลงโทษและ สญู เสยี รายได้ในอนาคตทาํ ให้ลกู จ้างไมส่ ามารถปฏิเสธ “การขอความร่วมมือ” นี เทคนิคนีจึง

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 44] สร้ างปัญหาให้กับคนงานอย่างมาก เพราะคนงานเองก็ไม่สามารถร้ องเรียนหรือเอาผิดกับ นายจ้างทีบงั คบั ให้ทํางานลว่ งเวลาหรือทํางานในวนั หยดุ ได้โดยง่าย เพราะเป็ นเรืองยากทีจะ พิสจู น์หรือนําหลกั ฐานมาแสดงให้เหน็ วา่ นายจ้างได้บงั คบั ให้ลกู จ้างทาํ งานลว่ งเวลา - การเปลียนแปลงวันหยุดโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ตามกฎหมายแล้ว เมอื นายจ้างได้กําหนดและประกาศวนั หยดุ ตามประเพณีแล้ว หากนายจ้าง ต้องการให้ลูกจ้างมาทํางานในวนั ดงั กล่าว ก็ให้ถือว่าเป็ นการทํางานในวันหยุด นายจ้าง จะต้องจ่ายคา่ จ้างให้กบั ลกู จ้างตามทีกฎหมายกําหนดเกียวกบั การทํางานในวนั หยดุ และการ ทํางานลว่ งเวลาในวนั หยดุ ปัญหาทเี กิดขนึ คอื นายจ้างมกั หลกี เลยี งการจา่ ยคา่ จ้างสาํ หรับการ ทาํ งานในวนั หยดุ โดยใช้วธิ ีการยกเลกิ วนั หยดุ ทีได้ประกาศไปก่อนหน้าให้เป็ นวนั ทํางาน และ เปลยี นแปลงให้วนั อืนทไี มต่ ้องการให้คนงานมาทํางานเป็ นวนั หยดุ แทน การใช้วิธีการทีเห็นแก่ ตวั แบบนีของนายจ้างเป็ นการบิดเบือนกฎหมายและเอาเปรียบคนงาน เพราะแทนทีคนงานจะ ได้เงินเพิมมากขนึ ตามทีสมควรจะได้รับจากการทํางานในวนั หยดุ ก็ได้คา่ ตอบแทนเทา่ กบั การ ทาํ งานในวนั ปกติ - การเปลียนแปลงเวลาในการทาํ งานอย่างไม่ถกู ต้อง มาตรา 9 ของพระราชบญั ญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบบั ที 2) พ.ศ. 2551 ได้เปลียนแปลง ข้อกําหนดเรืองเวลาในการทํางานเพือประโยชน์ของคนงานมากขึน อย่างไรก็ตาม สถาน ประกอบการหลายแห่งกลับฉวยโอกาสปรับสภาพการจ้างเพือประโยชน์ของตน โดยอ้าง กฎหมายมาตรานี มสี ถานประกอบการแหง่ หนงึ เคยกําหนดเวลาทาํ งานคือ ตงั แตว่ นั จนั ทร์ถึงวนั เสาร์ แตภ่ ายหลงั จากการประกาศใช้กฎหมายฉบบั ใหม่ ก็ได้ปรับเปลียนเวลาการทํางานจากเดิม 6 วนั เป็ น 5 วนั ตงั แต่จนั ทร์ถึงวนั ศกุ ร์ และนําเวลาการทํางานของวนั เสาร์มาเพิมเวลาทํางานในแตล่ ะวนั ขึนอีกวนั ละ 1 ชม. ในกรณีนี นายจ้างได้ทําผิดกฎหมาย 2 เรืองคือ เรืองแรก ยกเอาเวลา ทาํ งานทงั วนั คือ 8 ชม. มารวมกบั เวลาทํางานปกติทีมีอยู่ ทงั ทีกฎหมายเปิ ดโอกาสให้ทําได้ใน

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 45] กรณีทีเวลาทํางานในวนั นนั นอ้ ยกว่าแปดชวั โมงเท่านนั เรืองทีสอง กฎหมายยงั กําหนดเอาไว้ วา่ หากเวลาการทาํ งานทรี วมแล้วเกินกวา่ 8 ชม. นายจ้างต้องจา่ ยคา่ ตอบแทนไม่นอ้ ยกว่าหนึง เท่าครึงของอตั ราค่าจ้างต่อชวั โมงในวนั ทํางานตามจํานวนชวั โมงทีทําเกิน สิงทีเกิดขึนคือ นายจ้างกลบั ถือวา่ เวลาการทํางานทงั หมดเป็ นเวลาทาํ งานปกติ และไมจ่ า่ ยคา่ ลว่ งเวลา ให้กบั คนงาน ประเด็นนีเป็ นเรืองของการนํากฎหมายมาใช้อย่างไม่ถกู ต้อง ซงึ คนงานเชือว่านายจ้างเข้าใจ กฎหมายเป็ นอยา่ งดี แตพ่ ยายามใช้กฎหมายเป็ นข้ออ้างในการเปลยี นสภาพการจ้าง เพือเอา เปรียบคนงาน เพราะเหน็ วา่ คนงานไมม่ ีความรู้ความเข้าใจกฎหมายดีพอ 6. การละเมดิ สทิ ธิของคนงานหญิง พบวา่ สถานประกอบการหลายแหง่ มีการละเมิดสิทธิของคนงานหญิงทีตงั ครรภ์โดยไม่ปฏิบตั ิ ตามทีกฎหมายกําหนดไว้ในลกั ษณะตา่ งๆ ได้แก่ - เลกิ จ้างคนงานหญิงทีตงั ครรภ์ โดยเฉพาะในระหวา่ งทีคนงานหญิงอยใู่ นช่วงทดลองงาน คือ ก่อนทีจะครบ 120 วนั ทงั ทีกฎหมายห้ามมิให้มีการเลกิ จ้างแรงงานหญิงทีตงั ครรภ์ วิธีการที สถานประกอบการนาํ มาใช้คือ เลกิ จ้างคนงานทนั ทีทพี บวา่ กําลงั ตงั ครรภ์ โดยระบเุ หตผุ ลวา่ ไม่ ผ่านทดลองงาน ซึงถือเป็ นการละเมิดสิทธิคนงานอย่างร้ ายแรง แต่กรณีนีก็ยงั ไม่สามารถ ดาํ เนนิ การกบั นายจ้างได้ เนืองจากนายจ้างระบเุ หตใุ นการเลกิ จ้างวา่ ไมผ่ า่ นทดลองงาน - ไมจ่ ดั สถานทีทํางานให้กบั พนกั งานทีตงั ครรภ์อยา่ งเหมาะสม - ให้พนกั งานหญิงทีตงั ครรภ์ทํางานในกะกลางคืนและทํางานลว่ งเวลา ซงึ ขดั ต่อมาตรา 39 ของพระราชบญั ญัติคุ้มครองแรงงานทีห้ามนายจ้างให้ลกู จ้างซึงเป็ นหญิงมีครรภ์ทํางานใน ระหว่างเวลา 22.00- 06.00 น. ทํางานลว่ งเวลา ทํางานในวนั หยดุ หรือทํางานทีอาจเสยี งตอ่ อนั ตรายตามทีกฎหมายกําหนด

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดิการ [หน้า 46] - ใช้มาตรา 75 หยดุ งานบางสว่ นกบั คนงานหญิงทีตงั ครรภ์ ซงึ เป็ นการกระทําทขี ดั ตอ่ กฎหมาย และขดั ต่ออนสุ ญั ญาไอแอลโอ และอนุสญั ญาว่าด้วยการขจดั การเลือกปฏิบตั ิตอ่ สตรีในทกุ รูปแบบ (CEDAW) 7. ปัญหาในการปรับค่าจ้างขันตาํ 300 บาท ผลจากการปรับค่าจ้างขนั ตํา 300 บาท นนั พบว่าเกิดปัญหาตามมาหลายประการ ได้แก่ มี การตัด หรือลดสวสั ดิการในบางสว่ นลง เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าชํานาญงาน ค่าวุฒิ การศึกษา ค่าตําแหน่ง ค่าเช่าบ้าน มีการลด หรืองด การทํางานลว่ งเวลา และการทํางานใน วนั หยดุ ทําให้คนงานมีรายได้ลดลง (เนืองจากทีผา่ นมารายได้ของคนงานไม่น้อยกวา่ 1ใน 3 ของรายได้ทงั หมดมาจากการทํางานลว่ งเวลา และการทํางานในวนั หยดุ ) มีการปรับเปลียน การปรับเงินขนึ ประจําปี ของบริษัทจาก ปกติจะมกี ารปรับขนึ เงินประจําปี ให้กบั คนงานในอตั รา 3, 5 , 6 มาเป็ น 1, 2 , 3 แทน และบางบริษัทไม่มีการปรับค่าจ้าง หรือ โบนสั ประจําปี อย่างที เคยทําทุกปี บางบริษัทนําเครืองจักรมาทํางานแทนคนงาน โดยโยกย้ายคนงานไปทํางานใน ส่วนอืน ๆ ทีไม่เกียวข้องกบั การผลิต เช่นการทําความสะอาดโรงงาน การทาสีโรงงาน บาง บริษัทมีการหยดุ งานเป็ นบางสว่ นเป็ นระยะ บางบริษัทมกี ารปรับเปลยี นระบบการทํางาน เวลา ในการทํางาน และบางบริษัทมีการเลิกจ้างพนักงานบางส่วน เพือเป็ นการลดภาระทีต้อง จา่ ยเงินเพมิ จากการขนึ อตั ราคา่ จ้างขนั ตาํ นอกจากนียงั พบว่าถึงแม้บริษัทสว่ นใหญ่ปรับคา่ จ้างให้กบั พนกั งานตามประกาศปรับอตั รา คา่ จ้างขนั ตาํ 300 บาท แตก่ ็ไมม่ ีการปรับค่าจ้างให้คนงานเก่า หรือปรับไม่มากนกั (ไม่ได้ปรับ ตามส่วนต่าง) จะปรับเฉพาะพนกั งานทีค่าแรงยังไม่ถึงเท่านัน จึงมีหลายบริษัททีคนงาน เรียกร้องให้มีการปรับให้กบั คนงานเกา่ ซงึ ก็มีหลายบริษัททีสามารถตอ่ รองได้เป็ นผลสาํ เร็จ แต่ สว่ นใหญ่ก็ไมป่ ระสบผลสาํ เร็จ ยกเว้นใน บริษัททมี ีสหภาพแรงงาน ทมี ขี ้อตกลงสภาพการจ้าง ให้มีการปรับคา่ จ้างตามสว่ นตา่ ง สง่ ผลให้คนงานทกุ คนใน บริษัทได้รับการปรับคา่ จ้างขนึ แต่ปัญหาทีเกิดขึนดงั กลา่ วไม่ได้เป็ นผลมาจากการปรับค่าจ้างขนั ตํา 300 บาททงั สิน โดยมี บริษัทจํานวนมากทีอาศยั สถานการณ์การปรับอตั ราค่าจ้างขนั ตํา เอาเปรียบคนงานมากขึน

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดิการ [หน้า 47] โดยการตดั ลด สวสั ดิการของคนงานลง หรือฉวยโอกาสในการบีบคนงานเก่าทีมีคา่ แรงสงู ให้ ออกจากงานโดยไมต่ ้องจ่ายคา่ ชดเชย ปัญหาตา่ ง ๆ ทีกลา่ วมาข้างต้นคือปัญหาทีแรงงานในระบบยงั ถกู ละเมิดสทิ ธิอย่ใู นปัจจุบนั นี โดยรัฐบาลต้องปรับปรุงแนวทางในการสง่ เสริมระบบอตุ สาหกรรมทีเห็นแก่การพฒั นาคณุ ภาพ ชีวติ ของคนงานควบคไู่ ปด้วย และเพอื การพฒั นากฎหมายให้สง่ เสริมการรวมกลมุ่ ของคนงาน ดงั นี 1. ให้รัฐบาลมแี นวทางทีชดั เจนในการแก้ไขปัญหาการจ้างงานแบบยืดหยนุ่ เนืองจากสง่ ผล ให้เกิดการจ้างงานในรูปแบบทีหลากหลายและเอาเปรียบแรงงานได้ง่ายมากขึน โดยอาจ ให้เริมมีการศึกษาอย่างจริงจงั ถึงผลกระทบจากการจ้างงานในรูปแบบทีหลากหลาย ที สง่ ผลกระทบตอ่ ความมนั คงในการทาํ งาน และผลกระทบตอ่ การรวมกลมุ่ ของคนงาน 2. รัฐบาลต้องให้การรับรองอนสุ ญั ญาฉบบั ที 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคม และฉบบั ที 98 วา่ ด้วยการรวมตวั และสทิ ธิในการเจรจาตอ่ รองร่วม ซงึ เป็ น 2 ใน 8 ของอนสุ ญั ญาหลกั ของ ILO ทีถือกนั ว่าเป็ นสิทธิมนษุ ยชนขนั พืนฐานทีทกุ ประเทศจะต้องเคารพและดแู ลให้ มกี ารปฏิบตั ิตามอยา่ งเคร่งครัด เพราะสทิ ธิดงั กลา่ วเป็ นประตดู า่ นแรกของการทีจะทําให้ คนทาํ งานทงั หลายสามารถ เข้าถึงสทิ ธิอืนๆ ได้จริง และจะสามารถทําให้สงิ ทเี รียกวา่ งาน ทีมีคณุ คา่ และเป็ นธรรมเกิดขนึ จริง เพอื นาํ มาสกู่ ารแก้ไขกฎหมายเรืองการรวมกลมุ่ และ การเจรจาตอ่ รองให้สอดคล้องกบั สถานการจ้างงานในปัจจุบนั ของประเทศไทย และเพือ แก้ไขปัญหาการละเมดิ สทิ ธิแรงงาน 3. รัฐบาลต้องมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายทีเกียวข้องกับผู้ใช้แรงงานให้สอดคล้องกับ สถานการณ์การจ้างงานในปัจจุบนั โดยกระบวนการแก้ไขกฎหมายต้องเน้นการมีสว่ น ร่วมจากผ้ใู ช้แรงงานในทกุ ระดบั 4. รัฐต้องให้ความรู้เกียวกบั กฎหมายทีเกียวข้องกบั แรงงานอย่างครอบคลมุ ทวั ถึง และใน ขณะเดียวกันก็ต้องมีมาตรการทีเข้มงวดในการจัดการกบั นายจ้างทีอาศยั ช่องว่างทาง

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 48] กฎหมาย หรืออาศยั ช่องวา่ งทีลกู จ้างไมร่ ู้กฎหมาย มาเป็ นเครืองมือในการเอาเปรียบหรือ ละเมิดสทิ ธิผ้ใู ช้แรงงาน แรงงานนอกระบบ แรงงานนอกระบบ เป็ นแรงงานอีกกลมุ่ หนึงซึงถือวา่ เป็ นแรงงานกลมุ่ ทีใหญ่ทีสดุ ในประเทศ ไทย ในปัจจบุ นั มอี ยปู่ ระมาณ 24.8 ล้านคน มีผ้ใู ห้คําจํากดั ความของ “แรงงานนอกระบบ” ไว้ วา่ “คือ ผ้ใู ช้แรงงานทีทาํ งานโดยไม่มีสัญญาการจ้างงานทีเป็ นทางการ หรือไม่มีนายจ้าง ตามความหมายของกฎหมายแรงงาน ไม่ได้ทํางานอยู่ในสถานประกอบการของ นายจ้าง ไม่มีค่าจ้างหรือค่าตอบแทนทีแน่นอน หรือเป็ นผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือ เป็ นผู้ทีทํางานชัวคราว แรงงานนอกระบบจึงเป็ นแรงงานทีไม่ได้อย่ใู นกรอบ ความ คุ้มครองของกฎหมายคุ้มครองแรงงาน กฎหมายประกันสังคม ทาํ ให้ไม่มีหลักประกัน ความมันคงใดๆ ในการทํางาน ไม่ว่าจะเป็ นเรืองงานทีมันคง ค่าตอบแทนแรงงานที เป็ นธรรม สุขภาพความปลอดภยั ในการทํางาน และความมันคงในการดาํ รงชีวิตเมือ เข้าสู่วยั ชรา ” ลกั ษณะอาชีพของแรงงานนอกระบบ ก็ค่อนข้างหลากหลายมาก เช่น ผ้รู ับงานไปทําทีบ้าน ผ้รู ับเหมาช่วงงานอตุ สาหกรรมไปทาํ ทีบ้าน คนงานทีทํางานไม่ประจํา ลกู จ้างชวั คราว ลกู จ้าง ชวั คราวตามฤดกู าล และลกู จ้างทที าํ งานไมเ่ ตม็ เวลา ลกู จ้างในโรงงานห้องแถว และคนงานที ทํากิจการของตนเองอยู่ทีบ้าน และโรงงานทีไม่มีการจดทะเบียน นอกจากนียงั หมายรวมถึง แรงงานอิสระทีทํางานเพือความอยู่รอด เช่น หาบเร่ริมถนน คนขดั รองเท้า คนเก็บขยะ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง แทก็ ซี และแรงงานรับใช้ในบ้าน เป็ นต้น ทีผ่านมาสงั คมขาดระบบข้อมูลของแรงงานนอกระบบ ทําให้แรงงานเหลา่ นีเข้าขา่ ย “ไม่มี ตวั ตน” สง่ ผลให้แรงงานเหลา่ นีมเี งือนไขการจ้างงานทีไมเ่ ป็ นธรรม มีรายได้ไมแ่ นน่ อน ขาดการ ค้มุ ครองทงั ทางด้านแรงงานและหลกั ประกนั ทางสงั คม ต้องเผชิญความเสยี งในทางเศรษฐกิจ

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 49] และสงั คมทีรุนแรงและบอ่ ยครังกว่าแรงงานในระบบ ในขณะทีมีความสามารถในการจดั การ ความเสยี งน้อยทีสดุ แรงงานนอกระบบในประเทศไทยอาจแบ่งออกเป็ น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กล่มุ ที 1. แรงงานนอกระบบภาคการผลิต เป็ นแรงงานนอกระบบกล่มุ ใหญ่กลมุ่ หนึง คือ แรงงานทีทําการผลิตสินค้า หรือทํางานอยู่ทีบ้านของตนเอง ปัจจุบนั ผู้ทําการผลิตทีบ้าน กระจายตวั อยทู่ วั ไปในห้องแถวตรอกซอกซอย ชมุ ชนแออดั ในเมือง และชมุ ชนชนบททีรายได้ จากเกษตรกรรมไมส่ ามารถจะยงั ชีพครอบครัวเกษตรกร แรงงานนอกระบบกลมุ่ ผ้ทู ําการผลิต ทีบ้านประกอบด้วย 1. ผ้รู ับงานไปทําทีบ้าน (Sub Contracted Workers) เกิดจากการจ้างงานทีนายจ้างใน ภาคอตุ สาหกรรมพยายามลดต้นทุนการผลิต เพือเพิมความสามารถในการแข่งขนั ใน ระบบเศรษฐกิจการค้าเสรี ด้วยการอาศัยช่องว่างการคุ้มครองของพระราชบัญญัติ ค้มุ ครองแรงงานปี 2541 จ้างแรงงานให้ทําการผลิตในบางขนั ตอน หรือทกุ ขนั ตอน การ ประกอบชินสว่ น ตลอดจนการบรรจุหีบห่อ อยู่ภายนอกสถานประกอบการด้วยค่าจ้าง แรงงานราคาถกู งานทีผ้รู ับงานไปทําทีบ้านกําลงั ทําอย่นู นั มีมากมายหลายประเภท ทงั การเยบ็ เสอื ผ้า ผลติ เครืองหนงั ทาํ รองเท้า ดอกไม้พลาสติก เจียระไนพลอย และอนื ๆ 2. ผ้ผู ลิต เพือขาย (Self Employed) คือ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ทีผลิตสินค้าขึนจากภมู ิ ปัญญาทกั ษะความสามารถของตนเอง นาํ ไปจําหนา่ ย ทเี รารู้จกั กนั ดีในฐานะผ้ผู ลติ สนิ ค้า หนึงตําบล หนงึ ผลติ ภณั ฑ์ (OTOP) หรือวิสาหกิจชมุ ชน บางครังผ้ผู ลิตเพือขายก็อาจจะ รับคําสงั ซือ (order) มาจากผ้ปู ระกอบธุรกิจการขาย หรือธุรกิจการผลติ ทมี ขี นาดใหญ่กวา่ ผ้ผู ลติ เพือขายมีทงั ทีเป็ นปัจเจกบคุ คล และทีเป็ นกลมุ่ ซงึ ในหลายกรณีพบว่าในบคุ คล คนเดียวกนั กลมุ่ อาชีพกลมุ่ เดียวกนั มีการเปลยี นแปลงสถานภาพไปมาระหว่างผ้รู ับงาน ไปทาํ ทีบ้านกบั ผ้ผู ลติ เพอื ขาย คอื เมอื ไมม่ ีงานสง่ มาจากโรงงาน หรือผ้วู ่าจ้าง ก็จะผลิตไว้ เพอื ขาย

แรงงานบนเส้นทางรัฐสวสั ดกิ าร [หน้า 50] กลมุ่ ที 2. แรงงานนอกระบบภาคบริการ เชน่ ลกู จ้าง และพนกั งานบริการตามร้านอาหาร หาบ เร่และแผงลอย คนเก็บขยะ คนรับซือของเก่า หมอนวดแผนโบราณ คนขบั รถมอเตอร์ไซด์ รับจ้างและรถแท็กซีสาธารณะ คนทํางานบ้าน เป็ นต้น กลมุ่ ที 3. แรงงานนอกระบบภาคเกษตร หมายถึงลกู จ้างภาคเกษตร และเกษตรกรพนั ธะ สญั ญา เป็ นต้น ปัญหาของแรงงานนอกระบบ จากการศึกษารวบรวมของหลายหนว่ ยงานทงั ภาครัฐและเอกชน พบว่าปัจจุบนั แรงงานนอก ระบบต้องเผชิญกบั ปัญหามากมาย ซงึ พอสรุปได้ดงั นี 1. ไม่เป็ นทีรับรู้ของสงั คม (invisible) เนืองจากสงั คมไทยขาดระบบข้อมลู ของแรงงานนอก ระบบ ทําให้แรงงานเหลา่ นีเข้าขา่ ย “ไมม่ ตี วั ตน” สง่ ผลให้แรงงานเหลา่ นีมีเงือนไขการจ้าง งานทีไม่เป็ นธรรม มีรายได้ไม่แน่นอน ขาดการคุ้มครองทังทางด้านแรงงานและ หลกั ประกนั ทางสงั คม ต้องเผชิญความเสียงในทางเศรษฐกิจและสงั คมทีรุนแรงและ บ่อยครังกว่าแรงงาน ในระบบ ในขณะทีมีความสามารถในการจดั การความเสียงน้อย ทีสดุ 2. ไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เนืองจากกฎหมายสําคญั ๆ ด้าน แรงงานคือ คือ พ.ร.บ.ค้มุ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 พ.ร.บ. ประกนั สงั คม พ.ศ. 2533 พ.ร.บ.ความปลอดภยั ในสถานประกอบการ พ.ร.บ.แรงงาน สมั พนั ธ์ และกฎหมายฉบบั อนื ๆ ทีมอี ยลู่ ้วนแตค่ รอบคลมุ เฉพาะแรงงานในระบบ แรงงาน นอกระบบจงึ ไมไ่ ด้รับการค้มุ ครองจากกฎหมายเหลา่ นี 3. คา่ ตอบแทนไมเ่ ป็ นธรรมและรายได้ไมแ่ นน่ อน แรงงานนอกระบบสว่ นใหญ่ไมไ่ ด้รับคา่ แรง ขนั ตํา และมีรายได้ไมแ่ นน่ อน แม้จะทาํ งานในลกั ษณะและมีคณุ ค่าเดียวกนั กบั ทีผลิตอยู่


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook