Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ติดเก่ากับตึกเก่า: ตึกแบบสยามใหม่

ติดเก่ากับตึกเก่า: ตึกแบบสยามใหม่

Published by Thalanglibrary, 2021-11-21 07:32:02

Description: หนังสือ "ติดเก่ากับตึกเก่า" เป็นคู่มือท่องเที่ยวแหล่งเรียนรู้ทางด้านสถาปัตยกรรมในเขตเกาะรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งมากมายที่เป็นทั้งโรงเรียน กระทรวงต่างๆ ไปรษณีย์ สุสาน ฯลฯ แต่ละอาคารมีประวัติความเป็นมาและเรื่องราวที่แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย

Search

Read the Text Version

ชวนคณุ รวมสำรวจสถาปตยกรรมในเกาะรัตนโกสนิ ทรไปดว ยกนั ตึกแบบสยามใหม

สยามใหม่่ ศิิวิิไลซ์์สายฝรั่่�ง Siam under Westernization ครนั้ ถงึ รัชกาลท่ี ๔ แหง่ กรุงรัตนโกสนิ ทร์ มหาอำ�นาจจากดินแดนฝ่ังตะวันตกทยอย ตบเท้าเขา้ มาเจรญิ สมั พันธไมตรีกบั ราชอาณาจักรทางฝ่งั ตะวนั ออกไกลเชน่ เรา สยามท่ชี าวพระนครเหน็ และเปน็ อยกู่ ็พบกับความเปล่ียนแปลงครั้งใหญ่ การเปดิ การค้าเสรกี บั ฝรง่ั ทำ�ใหเ้ ราได้เรยี นรวู้ ทิ ยาการแปลกใหมข่ องอกี ซีกโลกหนง่ึ เราเร่ิมสนใจในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีท่นี �ำ มาซงึ่ ความเจริญกา้ วหนา้ ทกุ อย่างเป็นของใหมส่ ำ�หรบั ชาวสยาม อยา่ งเช่นนาฬิกา ไปจนถงึ การทหารแบบใหม่ การแพทย์แบบใหม่ การผลติ สนิ คา้ แบบใหม่ การทำ�แผนท่แี บบใหม่ การดดู าวแบบใหม่ และการศกึ ษาแบบใหม.่ ..ไมเ่ ว้นแมแ้ ต่ตึกรามบ้านช่องก็เช่นกัน ภูมิทศั น์ของเมืองบางกอกได้มีการเปลีย่ นแปลงอยา่ งค่อยๆ เป็น คอ่ ยๆ ไป ระเบยี บโลกอยา่ งใหม่น้ีเอง ทไี่ ด้เข้ามาทดแทนความเชือ่ เร่อื งสณั ฐานจักรวาลแบบจารีต ด้ังเดมิ ซงึ่ เราก็ไมห่ ยุดท่จี ะท�ำ ความคนุ้ เคยและเรยี นรูว้ ัฒนธรรมต่างถ่ินเหล่าน้มี ากยิง่ ขน้ึ จนลว่ งเข้าสูร่ ชั สมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว การปฏริ ปู อย่างก้าว กระโดดจึงเกิดข้ึน สยามประเทศเหอ่ ฝร่งั อย่างจริงจงั ! เจา้ นายโปรดประทบั ในวงั แบบใหม่ อาคารสถานทรี่ าชการกส็ รา้ งกันแบบใหม่ มีการใชส้ อยในกิจกรรมที่เราไม่ค้นุ เคย มีโรงคะเด็ต โรงสกลู โรงกษาปณ์ โรงพิมพ์ เป็นกระทรวง เป็นมิวเซยี ม เปน็ สถานตี �ำ รวจ โลกใหม่ของสยามจงึ ศิวิไลซ์สวยงามตระการตา... น่าตื่นตาตื่นใจเปน็ ยง่ิ นกั In the reign of King Rama IV in the mid 19th century, Western countries began to arrive in Siam to establish a relationship, resulting in significant changes. Siam was exposed to new knowledge from another side of the world, and began to take an interest in modern science and technology to bring advancement to the kingdom, from modern clocks to modern military, as well as modern medicine, manufacturing, mapping, astronomy, education, and architecture. The cityscape of Bangkok gradually changed, and in the reign of King Rama V, the transformation was rapid as Siamese people were more into all things Western. 76

หอนาฬิิกา I Clock Tower หอนาฬิกาพระทีน่ ั่งภวู ดลทัศไนย C01 C 01 Clock Tower D ถือวา่ เป็นหอนาฬิกาหลงั แรกของสยามท่ีสรา้ งขึน้ ในสมยั In front of Wat Pho, Sanam Chai Rd. A รชั กาลท่ี ๔ ออกแบบและกอ่ สรา้ งโดยพระองค์เจ้าชมุ สาย T กรมขนุ ราชสีหวิกรม (พระราชโอรสในรัชกาลท่ี ๓) เจ้ากรม A ช่างสบิ หม่ใู นขณะนนั้ อนั เป็นชว่ งเวลาท่ีสยามเริ่มเปิดประตู รับศิลปะวิทยาการและอปุ กรณเ์ ครอื่ งมอื เคร่ืองใชไ้ ฮเทคตา่ งๆ 77 เขา้ มา หอนาฬิกาพระที่น่ังภูวดลทศั ไนย เปน็ อาคารก่ออฐิ ถอื ปูน สงู ๕ ชน้ั รูปทรงเดยี วกับหอกลอง ดา้ นบนสุดตดิ ตั้งนาฬกิ า ทั้งสี่ด้าน เพ่อื ใชบ้ อกเวลาเช่นเดียวกบั การตกี ลองบอกทมุ่ โมง ซ่ึงเป็นเครือ่ งมอื บอกเวลาในสมัยนนั้ และดว้ ยความที่นาฬกิ า เป็นของลำ้�สมัย การทำ�หอนาฬิกาใหเ้ ปน็ รปู แบบเดียวกบั หอ กลอง จงึ แสดงนัยยะถงึ ความก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยีของชาว สยามนน่ั เอง ทสี่ �ำ คัญด้วยความสงู ของหอนาฬกิ าภวู ดลทัศไนยนี้ ท�ำ ให้ หอนาฬกิ ากลายเปน็ จุดหมายตาท่ีส�ำ คญั ของพระนครในสมัย ทเี่ ราเรมิ่ คลง่ั เทคโนโลยีเลยทเี ดียว จวบจนปลายรชั กาลที่ ๕ หอนาฬิกาภวู ดลทศั ไนยไดร้ ือ้ ลงพรอ้ มกบั หมูพ่ ระทีน่ ั่งอภเิ นาวนเิ วศน์ สว่ นหอนาฬิกาท่เี รา เห็นอยู่ในปัจจบุ ันบรเิ วณริมถนนสนามไชย ตรงขา้ มกับวดั โพธิ์ น้นั ไดส้ ร้างข้ึนมาใหม่ในยคุ น้ี โดยยังคงรปู แบบเดิมไว้ แต่ย้าย ตำ�แหนง่ มาตัง้ เคียงอย่กู บั หอกลองทส่ี รา้ งขึน้ ใหม่ด้วยเชน่ กนั เพ่อื เป็นอนสุ รณ์ ทง้ั หมดน้ีออกแบบโดย ดร.สเุ มธ ชุมสาย ณ อยุธยา สถาปนกิ ระดับต�ำ นานท่ีฝากผลงานไวห้ ลายชนิ้ บน เกาะรตั นโกสินทรแ์ ห่งน้ี ซึ่ง ดร. สุเมธ เอง ก็เป็นโหลนของ กรมขนุ ราชสหี วกิ รมผสู้ ร้างหอนาฬกิ าเดิมนใ้ี นครั้งแรกเร่มิ Clock Tower: This was Siam’s first clock tower, located inside the Grand Palace. It was built in the 1850s in King Rama IV’s era when Siam started receiving Western knowledge. It was shaped similar to a drum tower, as both were intended for telling the time. Later, it was dismantled in the reign of King Rama V. The Clock Tower that you see now was rebuilt following the old design, and relocated to Sanam Chai Road near the Drum Tower.

สวนพฤกษศาสตร์ I Botanical Garden สวนสราญรมย์ C02 K05 พืน้ ท่สี เี ขียวผนื น้อยทแ่ี ทรกตัวอยทู่ า่ มกลาง 1 อาคารโบราณสถานในยา่ นเมอื งเก่า เป็นสวน สาธารณะท่ีดึงให้เราชาวเกาะออกมาเดนิ ทอดนอ่ ง 2 กันในทุกวนั น้ี เดิมคือพระราชอทุ ยานของพระราชวงั G10 สราญรมย์ท่ีอย่ใู กล้กัน สร้างขึ้นในสมยั รชั กาลที่ ๕ โดยมีผรู้ อบรดู้ า้ นพฤกษศาสตร์อยา่ งนายเฮนร่ี อาลา 3 บาศเตอร์ (ต้นตระกูลเศวตศลิ า) เปน็ ผู้ดูแลตกแตง่ ราชอทุ ยานใหร้ ม่ รนื่ สวยงาม Saranrom Park: Formerly a botanical garden part of แรกเรม่ิ น้ันพระราชอทุ ยานมีแนวคิดของสวน Saranrom Palace, it was designed by Henry Alabaster, พฤกษศาสตรแ์ ละสวนสัตวแ์ บบฝร่งั ในสมัยวิคตอ- King Rama V’s British consultant and a botanical เรยี น ซ่ึงเป็นที่รวบรวมพันธไ์ุ ม้นานาชาติ และเปน็ expert. Alabaster was appointed by King Rama V to สถานท่หี ย่อนพระทัยของเจา้ นายในสมัยทก่ี าร oversee this project, a Victorian-style botanical garden ใชช้ ีวิตแบบฝร่ังเป็นเรอื่ งชคิ ๆ เกร๋ๆ การตกแตง่ and zoo with various types of plants, designed for ประกอบไปดว้ ย สระนำ้� มีน�ำ้ พุ มีกรงเลีย้ งสัตว์ leisure. In the reign of King Rama VI, it was used to อยา่ งกรงนก สระจระเข้ และตน้ ไม้นอ้ ยใหญ่ ตลอด host winter banquets. จนสวนดอกไม้ กลว้ ยไม้ โดยเฉพาะกุหลาบแดงท่ี โปรดปรานเปน็ พิเศษ นอกจากนแ้ี ล้วในสมัยรัชกาล ท่ี ๖ สวนสราญรมยย์ งั เปน็ ทส่ี ำ�หรบั จดั งานฤดูหนาว อกี ดว้ ย แนวคดิ เร่อื งสวนสาธารณะหรอื แหลง่ หย่อนใจ ของคนเมอื ง สำ�หรบั ใชท้ �ำ กจิ กรรมกลางแจ้งน้นั เป็นเร่ืองใหม่ทเ่ี มอื งใหญๆ่ ในชาติตะวนั ตกลว้ นให้ ความสำ�คัญ อนั จะเห็นไดจ้ ากการเกิดขนึ้ ของสวน สาธารณะและสวนพฤกษศาสตรอ์ ย่างมากมายใน สมัยน้ัน ซง่ึ ราชสำ�นักสยามเองกไ็ ด้รับแนวความคดิ นม้ี าด้วยเช่นกนั แตก่ ย็ งั ไมเ่ ปิดเปน็ ที่สาธารณะให้ ชาวประชาทั่วไปไดใ้ ชก้ ัน D C 02 Saranrom Park A Charoen Krung Rd. T 4.30am-9.00pm A 78

1 อาคารทวปี ัญญาสโมสร 3 ประตูเหล็กหล่อ หรืออาคารเรอื นกระจก ประตูเหลก็ หลอ่ เปน็ ของนอกนำ�เขา้ จากยโุ รป ที่ เปน็ ตกึ แบบฝร่งั ชัน้ เดยี ว กรุกระจกประดับลวด ในยุคน้ันสวนสาธารณะตามยโุ รปและอเมรกิ า ต่างก็ ลายไมฉ้ ลุ สร้างขึน้ ในสมยั ปลายรัชกาลที่ ๕ เลยี น มีประตูเหลก็ หลอ่ แบบน้กี นั แทบทกุ ท่ี แต่ท่ไี ม่เหมอื น แบบเรอื นกระจกสไตลว์ คิ ตอเรยี นทใี่ ชร้ วบรวมพนั ธไ์ุ ม้ ใครคอื นอกจากจะมีลวดลายพันธ์ุพฤกษาสวยงาม เมอื งรอ้ น ซง่ึ มักสร้างกันตามสวนพฤกษศาสตร์ของ ตามเทรนดใ์ นสมยั วิคตอเรียนแล้ว ทบ่ี รเิ วณก่ึงกลาง เมอื งฝรงั่ ผิดแตไ่ มไ่ ด้มีวตั ถปุ ระสงค์เพอ่ื ใชเ้ ปน็ เรอื น ประตูจะมีตราแผ่นดนิ ในสมยั รัชกาลที่ ๕ ดว้ ยน่ันเอง กระจกอย่างของเมอื งนอก แต่กลบั ใช้เป็นสโมสร แบบตะวนั ตกของเจา้ นายและขา้ ราชการชั้นสงู เป็น Cast Iron Gate: Imported from Europe, the gate แหล่งพบปะสมาคมของเหลา่ ผดู้ ีปัญญาชนคนรนุ่ featured Siamese coat of arms at the center. ใหมใ่ นสมัยน้นั เพือ่ แลกเปล่ยี นทศั นะและแนวคดิ กนั ท้ังยงั เป็นสถานท่เี ล่นกีฬาในรม่ มีโรงละคร และห้อง อ่านหนังสอื อีกด้วย The Greenhouse: Built following the concept of Victorian-style greenhouses, this one was not used for keeping plants, but as a Western-style club for the elite to mix and mingle, play cards, read books, and act in plays. 2 ศาลากระโจมแตร สรา้ งข้ึนในสมัยรชั กาลท่ี ๖ ใชเ้ ปน็ ทีบ่ รรเลง แตรวงของทหาร ยามมงี านในพระราชอทุ ยาน Bandstand 79

ทอ้ งพระโรงแบบฝรัง่ I Throne Hall พระทีน่ ัง่ จักรีมหาปราสาท C03 รชั กาลท่ี ๕ จงึ โปรดเกลา้ ฯ ให้ ถือเปน็ การแหกขนบในการกอ่ สร้างอาคารพระที่นงั่ ภายในพระบรม สรา้ งพระทน่ี ่ังจกั รีมหาปราสาท มหาราชวงั อย่างแท้ทรู ดว้ ยวา่ พระที่นัง่ ใหม่องคน์ มี้ ีรา่ งเป็นฝรง่ั แต่มี เป็นแบบผสมผสานระหวา่ งตวั หวั อยา่ งไทย สรา้ งอยูบ่ นพนื้ ที่ระหว่างพระท่ีนง่ั อมรนิ ทรวนิ จิ ฉยั ด้าน ตึกอย่างตะวันตก และหลงั คา ตะวนั ออก และพระท่ีนั่งดสุ ิตมหาปราสาท ด้านตะวนั ตก ตรงจุดท่ีเคย เคร่ืองยอดทรงมณฑปตามจารตี เป็นเก๋งจนี และกรงนกเดิม เดมิ ถงึ แมว้ ่าไดส้ ั่งซ้อื เหลก็ เพ่อื นายจอห์น คลูนิส (John Clunis) สถาปนกิ ชาวองั กฤษจาก มาใช้ในการก่อสรา้ งโครงหลังคา สิงคโปร์ ไดร้ บั การว่าจ้างให้มาออกแบบพระที่น่ังท้องพระโรงองค์ใหม่ แลว้ กต็ าม องคส์ ำ�คญั นี้ในสมัยต้นรชั กาลท่ี ๕ อันเป็นช่วงเวลาแรกเร่มิ ท่ีตกึ แบบ ฝร่งั ไดร้ ับการออกแบบและก่อสรา้ งโดยนายช่างฝรง่ั ตัวจรงิ เสยี งจรงิ Chakri Maha Prasat Throne Hall: Designed by a British architect ฝรั่งสวมชฎา John Clunis from Singapore, who was commissioned to design this พระที่นัง่ จักรีมหาปราสาท เปน็ ตกึ แบบฝร่งั ขนาดใหญ่ ๓ ชัน้ ใช้ significant throne hall in 1875 ระยะเวลาในการก่อสร้างกินเวลายาวนานถึง ๗ ปิ เดมิ ทอี อกแบบให้ in King Rama V’s era, the throne เปน็ หลังคาโดมกลม แตส่ มเด็จเจา้ พระยาบรมมหาศรสี รุ ิยวงศ์ (ชว่ ง hall took seven years to complete. บนุ นาค) ผ้สู �ำ เร็จราชการ ไดก้ ราบบังคมทลู เรื่องธรรมเนยี มการสร้าง Despite being a Western-style พระมหาปราสาท ทล่ี ว้ นสรา้ งเปน็ เรือนยอดท้งั สน้ิ ซึ่งถือเปน็ เอกสทิ ธ์ิ building, it features a Thai-style เฉพาะพระมหามณเฑียรภายในพระบรมมหาราชวังเท่านนั้ roof and the iconic three spires, a signature of the Royal Palace. D C 03 Chakri Maha Prasat Throne Hall Currently, the roof gable features A The Grand Palace, Na Phra Lan Rd. the coat of arms of King Rama V, T 8.30am-3.30pm which is a Western-style design. A 02 623 5500 / 02 623 5499 www.royalgrandpalace.th 80

มีพื้นทใ่ี ชส้ อยหลักอยู่ที่ช้นั ๒ ส่วนที่หนา้ บันประดษิ ฐานตราแผน่ ดนิ ในสมยั รชั กาลท่ี ๕ ซงึ่ มุขกลางเปน็ สว่ นทอ้ งพระโรงใหญ่ เป็นตราแบบฝรงั่ แสดงถึงพระราชอำ�นาจเหนือประเทศราชย์ มขุ ทางดา้ นซ้าย หรือมขุ ทางทิศตะวันออก เปน็ ทงั้ สาม อันไดแ้ ก่ ลา้ นนา (ช้างสามเศียร) ลา้ นช้าง ห้องรับแขก (ชา้ งเผอื ก) และมลายู (กรชิ ) มขุ ทางด้านขวา หรอื มุขทางทศิ ตะวันตก เปน็ หอ้ งทรงงาน หรือออฟฟิศหลวง มขุ กลาง มีลักษณะแบบประตชู ัย คือ ช่องประตู ตรงกลางกว้างประมาณสองเทา่ ของประตดู ้านขา้ ง ท้งั สอง และมีโคง้ รูปครง่ึ วงกลมที่ด้านบนประตู ส่วนปีกทีเ่ ช่ือมมุขท้งั สองด้าน (มขุ กระสนั ) เป็นห้องโถงใหญ่สำ�หรับรับรองแขก ออกแบบให้มี ระเบียงทางเดนิ เป็นตัวเชอ่ื มห้องตา่ งๆ เขา้ ดว้ ยกัน ตา่ งจากการวางผังในหมู่พระมหามณเฑียรที่สร้าง ข้ึนมาในสมยั รชั กาลท่ี ๑ ท่แี ตล่ ะหอ้ งจะเรยี งต่อกนั ไปโดยไมม่ ีทางเดินเชอ่ื ม ซ้มุ ประตหู นา้ ตา่ งชน้ั สองประดับลายปนู ป้นั ตรา แผ่นดิน และพระราชลญั จกรจลุ มงกฎุ ผนงั ช้ันลา่ งปัน้ ปนู เดนิ เส้นเป็น 81 ชอ่ งสี่เหลย่ี มเลยี นแบบการก่อหนิ

มิวเซียม I Museum หอคองคาเดยี C04 โดยเปิดใหป้ ระชาชนเข้าชมได้เปน็ ครง้ั คราว เรียก ต้ังอยู่บรเิ วณพื้นทส่ี ว่ นหน้าของพระบรมมหาราช งานเอกซฮิบิเชน (Exhibition) ถือเป็นอาคารตน้ วัง หนา้ ประตูพิมานไชยศรี N07 กอ่ สร้างขึน้ ในสมัย กำ�เนดิ พพิ ธิ ภัณฑ์ของไทยเลยกว็ ่าได้ ตน้ รัชกาลที่ ๕ ถือได้วา่ เป็นตึกฝรัง่ หลังแรกๆ ใน สยามเลยกว็ า่ ได้ กระทัง่ ปี ๒๔๓๐ หลังจากมีการยบุ ตำ�แหน่งวัง หอคองคาเดียเป็นตกึ แบบฝรง่ั ชน้ั เดยี ว ประดบั หน้าลงแลว้ จึงได้ยา้ ยของออกจากหอคองคาเดียไป ด้วยเสาลอยตวั หวั เสาเป็นแบบดอริค มีซมุ้ โคง้ ไว้ท่ีพระราชวงั บวรสถานมงคลแทน ครง่ึ วงกลมตอ่ เนือ่ งกนั ไปโดยรอบ ภายในเป็นพน้ื ท่ี ระเบียงล้อมรอบหอ้ งตรงกลาง จวบจนปัจจุบันน้ีหอคองคาเดยี ได้เปลย่ี นหนา้ ที่ แรกเรมิ่ เดิมทใี ช้เป็นสโมสรและทป่ี ระชุมของ การใช้งานไปอย่างหลากหลาย เคยเป็นทต่ี ้ังของหอ ทหารมหาดเล็ก ตามท่ีทรงทอดพระเนตรมาจาก พระสมดุ วชิรญาณ (ตอ่ มาพฒั นาเปน็ หอสมุดแหง่ เมอื งปตั ตาเวีย (เมืองจาการ์ตา ประเทศอินโดนเิ ซีย ชาต)ิ และตอ่ มาได้เปลย่ี นช่อื เป็น “ศาลาสหทยั ในปัจจุบัน ซงึ่ ขณะน้ันเป็นเมืองท่าอาณานิคมของ สมาคม” ซ่งึ หลายคนคงค้นุ หูชื่อนอ้ี ยู่บ่อยๆ เพราะ ดทั ช)์ และเรยี กอาคารสโมสรน้วี า่ “หอคองคาเดยี ” มักไดย้ ินตามข่าวในพระราชสำ�นกั ว่าใช้เป็นทจ่ี ัด ตามชอื่ ทีใ่ ช้เรยี กในปตั ตาเวยี ด้วย เลี้ยงพระราชอาคันตกุ ะ หรอื ลงนามถวายพระพร ตอ่ มาไดเ้ ปลีย่ นเป็นหอ้ งเกบ็ รวบรวมและจัด เน่ืองในวโรกาสตา่ งๆ แสดงเครื่องราชบรรณาการตา่ งๆ รวมทงั้ สงิ่ ของ โบราณและศิลปวัตถุ เพื่อแสดงความศวิ ไิ ลซข์ อง Concordia Pavilion: The Concordia Pavilion in the ราชสำ�นกั สยาม ตามแนวคดิ ของชาตอิ าณานคิ ม Grand Palace was built in 1870 in King Rama V’s era, ตะวนั ตก จงึ ต่อเตมิ ใส่ประตูหน้าตา่ งขึน้ ที่ระเบยี ง following the design of a building in Batavia (then a ให้เปน็ หอ้ งหบั ปิดมิดชิด เรียกกันว่า “หอมวิ เซียม” Dutch port city, currently Jakarta, Indonesia). It used to be a clubhouse for royal cadets, and was later turned into a museum housing royal tributes. Today, it is used to welcome royal guests. D C 04 Concordia Pavilion A The Grand Palace, Na Phra Lan Rd. T 8.30am-3.30pm A 02 623 5500 / 02 623 5499 www.royalgrandpalace.th 82

สุุสาน I Cemetery สุสานหลวง วัดราชบพิธ C05 เรื่องเล่าชาวเกาะ ตงั้ อยู่รมิ คลองคูเมอื งเดมิ ทางด้านทิศตะวนั ตก ของวัดราชบพธิ สร้างขึน้ เพือ่ เปน็ สถานท่บี รรจุ สุสานไทย สไตล์ฝร่ัง พระสรรี ธาตุของพระบรมวงศานวุ งศแ์ ละราชสกุลใน การน�ำ พระสรีรธาตุมาประดษิ ฐานในสุสานหลวง สายรัชกาลที่ ๕ โดยก่อสร้างเปน็ อนสุ าวรียเ์ พ่อื ระลกึ ถึงพระมเหสีและเจ้าจอมมารดาแตล่ ะท่าน วัดราชบพิธเช่นน้ี ถอื เปน็ ของใหมต่ ามแนวความคิด แบบตะวันตก เลียนแบบการท�ำ แทน่ หนิ ประดบั หลมุ Royal Cemetery at Wat Ratcha Bophit: Built to ฝงั ศพอยา่ งสุสานฝร่ัง ซง่ึ ตามธรรมเนยี มแล้วคนไทย keep relics of royal family members in King Rama V’s มกั นยิ มบชู าอัฐขิ องบรรพบุรษุ ด้วยการบรรจลุ งในโกฐ bloodline, as well as monuments for his royal consorts ขนาดเล็กแล้วตง้ั บูชาไวบ้ นหง้ิ ทบี่ ้าน ไม่กบ็ รรจุไวท้ ี่ and concubines, the cemetery features four pagodas ฐานเจดีย์ หรือฐานพระพทุ ธรปู ตามระเบยี งคต decorate with gold mosaic tiles to represent four ของวัด of his main royal consorts. Other monuments have different architectural designs, both Thai and Western. ขณะทหี่ ากเปน็ เจา้ นายจะบรรจอุ ฐั ิในพระโกฐ The earlier ones feature gothic elements and sharp ทองคำ�ขนาดเลก็ ประดิษฐานไวใ้ นหอพระนาก spires like Christian churches, while later ones feature วัดพระแกว้ ส่วนเจ้านายเชอ้ื พระวงศช์ นั้ สูงจะ Neo-Byzantine elements, also with an obelisk made ประดิษฐานไวท้ ช่ี ้นั บนของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท of carved marble, as popularly used for European tombstones. The tradition of keeping relics inside these C 05 Royal Cemetery at Wat Ratcha Bophit D monuments followed a Western cemetery concept. 2 Fueang Nakhon Rd. A 6.00am-6.00pm T 02 222 3930 A WatRajabopit2412 83

5 10 ภายในสุสานหลวงประกอบดว้ ยอนุสาวรียม์ ากมาย แตห่ ลกั ๆ ก็ 1 คอื พระเจดีย์สีทอง ๔ องค์ เรียงต่อกนั ที่สร้างขน้ึ ส�ำ หรบั พระภรรยา เจา้ ทง้ั สี่ อันมีช่อื เรยี กอย่างคล้องจองกนั วา่ “สนุ นั ทานุสาวรีย์” “รงั ษี 11 วฒั นา” “เสาวภาประดิษฐาน” และ “สุขมุ าลนฤมิตร์” 2 83 3 61 2 4 1 “สนุ นั ทานุสาวรีย์” องค์ทางซา้ ยสุด สร้างพระราช 7 ทานแด่สมเดจ็ พระนางเจ้าสุนนั ทากมุ ารรี ัตนพ์ ระบรม 9 ราชเทวี (พระนางเรอื ล่ม) ทท่ี ิวงคตไปแล้ว 2 “รงั ษีวฒั นา” สำ�หรับ สมเด็จพระนางเจา้ สวา่ งวฒั นา 13 พระบรมราชเทวี 13 3 “เสาวภาประดิษฐาน” ส�ำ หรับ สมเดจ็ พระนางเจา้ เสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี 4 และทางขวาสุดองคส์ ดุ ทา้ ย “สขุ มุ าลนฤมิตร”์ เพอ่ื รำ�ลกึ ถงึ พระนางเจา้ สขุ มุ าลมารศรี พระราชเทวี 4 12 โดยเจดียท์ ั้งส่อี งค์มีลักษณะทค่ี ล้ายคลึงกนั คือ เปน็ อาคารทม่ี ี หลังคาเปน็ เจดยี ์ทรงระฆงั ประดับดว้ ยกระเบ้ืองโมเสกสีทอง อันเปน็ 1 เจดีย์ สุนนั ทานุสาวรยี ์ พระราชนยิ มในสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ ก็ว่าได้ ด้วยเจดยี ์ทส่ี รา้ งในสอง 2 เจดีย์ รงั ษวี ฒั นา รัชกาลน้ี เชน่ พระศรรี ัตนเจดยี ์ ในวัดพระแก้ว พระเจดียว์ ัดบวรนเิ วศ 3 เจดยี ์ เสาวภาประดิษฐาน และแม้แตพ่ ระเจดียว์ ดั ราชบพธิ นเ้ี อง ลว้ นแล้วแต่มีรูปแบบเดียวกัน 4 เจดีย์ สขุ มุ าลนฤมิตร์ ทัง้ หมด กล่าวคือ เปน็ เจดียท์ รงระฆงั ปูกระเบ้ืองโมเสกสีทอง 5 โบสถโ์ กธิค เจ้าจอมมารดาแส (๑) 6 โบสถ์โกธิค เจ้าจอมมารดาพรอ้ ม (๑๗) หากลองสังเกตท่ซี ุ้มทางเขา้ พระเจดีย์แตล่ ะองค์ จะเหน็ ช่อฟ้ารูปนก 7 โบสถ์โกธคิ เจ้าจอมมารดาเน่ือง (๒๔) เจ่า สว่ นหางหงสก์ ท็ �ำ เป็นหวั นกเจ่าเช่นกัน แตเ่ ปน็ นกเจา่ เบือน คือ 8 อนสุ าวรีย์ พระองคเ์ จา้ อศิ รยิ าภรณ์ (๑๒) หนั หนา้ เบอื นมาหาเราอย่างเชน่ นาคเบอื น (ซง่ึ เปน็ ลักษณะของหาง 9 อนุสาวรีย์ เจา้ ดารารัศมี (๒๑) หงสแ์ บบพิเศษ มอี ยเู่ ฉพาะที่หน้าบนั พระทนี่ ง่ั ดสุ ิตมหาปราสาท A03 10 เจา้ คุณพระประยรู วงศ์ และพระที่นงั่ อาภรณพ์ โิ มกขป์ ราสาท A04 ในพระบรมมหาราชวงั ) 11 พระองค์เจ้าสายสวลภี ริ มย์ 12 เจ้าจอมมารดาอ่วม 84 13 พระองค์เจ้าโกมลเสาวมาล

ส่วนอนสุ าวรยี ์อื่นๆ ภายใน อนสุ าวรยี ์นายเฮนรี สสุ านหลวง ตา่ งก็มีรปู แบบ อาลาบาศเตอร์ สถาปัตยกรรมทห่ี ลากหลายกนั ไป ไม่ซ้ำ�แบบทง้ั ไทยและเทศ อนสุ าวรียน์ ายเฮนรี อาลาบาศเตอร์ ตน้ ตระกลู โดยยุคแรกทีส่ รา้ งนนั้ จะเน้น เศวตศลิ า ตั้งอยภู่ ายใน ไปทแี่ บบโกธคิ คือ มียอดสงู แหลม สุสานโปรเตสแตนท์ อยา่ งโบสถ์ฝร่ัง (เจา้ จอมมารดาแส ถนนเจรญิ กรงุ มรี ปู แบบ ๑, เจ้าจอมมารดาพรอ้ ม ๑๗, เจ้า เปน็ สถาปตั ยกรรมแบบ จอมมารดาเนือ่ ง ๒๔) สนั นษิ ฐาน โกธิค ซง่ึ รัชกาลที่ ๕ ว่า นายโจอาคมิ แกรซี ช่างฝรัง่ คน โปรดเกล้าให้สรา้ งในชว่ ง ดงั ในตน้ รัชกาลท่ี ๕ เป็นผอู้ อกแบบ เวลาทไ่ี ล่เล่ียกบั อนสุ าวรยี ์ เจ้าจอมมารดาทัง้ สาม ส่วนอนสุ าวรียร์ ุ่นถดั มา ทส่ี ร้างในช่วงกลางรัชสมยั จะเป็น ศลิ ปะฝรัง่ รูปแบบนีโอไบแซนไทน์ พระองคเ์ จ้าอิศรยิ าภรณ์ ๑๒ (ภาพซ้าย) เจา้ ดารารัศมี ๒๑ (ภาพขวา) วิหารนอ้ ย เป็นตึกฝร่งั ช้นั เดยี ว ตั้งอยูร่ ิมรั้วด้าน เหนอื ส�ำ หรบั ระลึกถึงเจ้าคุณ พระประยูรวงศ์ พระสนมเอก ภายในประดษิ ฐานพระพุทธรปู ยนื ปางห้ามญาตขิ นาดเทา่ ตวั เจ้าคณุ พระประยรู วงศ์ ขณะเดยี วกนั ยงั มอี นสุ าวรยี ์ สว่ นที่อยูด่ ้านใน ส่วนพระอนสุ าวรีย์พระองค์ ทไ่ี มเ่ ขา้ พวกกบั คนอน่ื ในสสุ าน สดุ ของสสุ านหลวง คือ เจา้ โกมลเสาวมาล พระธดิ า หลวงแห่งนี้ นน่ั ก็คืออนสุ าวรยี ์ อนุสาวรยี ห์ มายเลข ๓๔ ในรัชกาลที่ ๕ (หมายเลข พระภรรยาเจา้ อีกพระองค์ เปน็ อนสุ าวรียข์ องเจ้า ๒๒) มีลกั ษณะพิเศษ คอื เป็น หน่งึ คือ พระอรรคชายาเธอ จอมมารดาอว่ ม และราช ประติมากรรมหินอ่อนรูปเสา พระองค์เจา้ สายสวลีภริ มย์ ซง่ึ สกุลกิติยากร ทมี่ รี ปู รา่ ง โอเบลิสก์ (Obelisk: เสาแบบ เป็นพระมารดาของกรมหลวง แปลกตาน่าสนใจ ดว้ ย อยี ิปต์ ทีเ่ ปน็ เสาสเ่ี หลี่ยมยอด ลพบุรรี าเมศวร์ ทสี่ ร้างเป็น กอ่ สรา้ งเปน็ เขาหินและ เปน็ ทรงพรี ะมดิ ซึ่งในยุโรปสมยั ปรางค์เขมรแบบพระปรางค์ มีเจดยี ต์ ั้งอยูบ่ นยอด ซ่ึง นั้น นยิ มนำ�มาประดบั หลุมศพ) สามยอด จงั หวดั ลพบรุ ี อัฐิของคณุ พุ่ม เจนเซ่น ก็ โดยแกะสลักใหม้ ผี ้าคลุมคาอยู่ บรรจุอยทู่ ่ีนี่ ที่ยอดเสา คาดว่าเป็นของนอก น�ำ เข้าจากต่างประเทศ 85

โรงทหาร I Barrack โรงทหารหน้าเม่อื แรกสรา้ ง สังเกตว่าท่ีมุขกลาง ยงั ไมม่ รี ะเบียงด้านหนา้ ด้วยตอ่ เตมิ ขนึ้ มาภายหลงั โรงทหารหน้า C06 มุขตรงกลางเป็นหน้าจว่ั แบบวหิ ารกรีก สร้างขนึ้ ในสมยั ตน้ รชั กาลท่ี ๕ ปัจจุบนั คอื อาคารทที่ �ำ การกระทรวง ประดบั ตราราชวัลลภ กลาโหม นับเปน็ ตึกฝรัง่ ยคุ แรกๆ ของสยามทีเ่ รม่ิ มสี ถาปนกิ ฝร่ังตวั จรงิ เสยี งจริงเขา้ มาเปน็ ผอู้ อกแบบกอ่ สรา้ งอาคาร มปี ระตเู ขา้ -ออก ขนาบข้างซา้ ย-ขวา ดว้ ยจ�ำ นวนของเหล่าทหารหนา้ ทีม่ มี ากถึง ๒๐,๐๐๐ คน มหี นา้ ท่ี ของมุขกลาง รกั ษาพระนคร และออกไปประจ�ำ การตามหัวเมืองต่างๆ ตลอดจนเป็น กำ�ลงั พลในยามศึก ทำ�ให้ทหารทงั้ หมดนต้ี า่ งอย่อู ย่างกระจดั กระจาย ชายคากดุ แบบอาคารฝรง่ั ท�ำ ใหก้ ันแดด การสรา้ งกรมทหารท่ีเปน็ กิจลักษณะขึน้ น้ี จึงได้ใชเ้ ป็นอาคารบัญชาการ กนั ฝนไม่ได้ และทีพ่ ักของทหาร ตลอดจนใช้เกบ็ เสบียง พาหนะ และอาวุธตา่ งๆ รวมถึงเพอ่ื ให้สะดวกตอ่ การรวมพลเพ่อื ฝกึ หัดอกี ดว้ ย เสาดา้ นหน้ามขุ กลาง ใชห้ ัวเสาแบบเรยี บ โรงคะเดต็ ทหารหนา้ เป็นตึกสามชน้ั มีลกั ษณะทางสถาปตั ยกรรม ที่เรยี กกนั วา่ ดอริก ซง่ึ เป็นระเบียบท่ีมักใช้กับ แบบพาลลาเดยี น (Palladian) คอื ผงั เปน็ รปู สเี่ หลี่ยมจตุรัส มรี ะเบยี ง อาคารทางทหารโดยเฉพาะ เดนิ ไดโ้ ดยรอบ โอบล้อมลานโล่งภายในส�ำ หรับใช้เปน็ ท่ฝี กึ ทหาร รปู แบบ สไตลน์ ้ีถอื เปน็ ต้นฉบับของคา่ ยทหารในยุคนน้ั แมก้ ระท่งั คา่ ยทหารทาเก หากลองสงั เกตดูเสาตดิ ผนัง จะพบวา่ เสา บาชิ ทโ่ี ตเกียว ซง่ึ สรา้ งขึน้ ร่วมสมยั กันน้นั ก็มีรปู แบบนเี้ ชน่ เดียวกนั ที่ช้ันล่างจะมขี นาดใหญส่ ุด ไล่ไปจนถงึ ชัน้ สาม จะมขี นาดเล็กสดุ The Royal Barrack: Built in 1884 in the beginning of King Rama V’s era, this building served as a command center and residence for soldiers. แต่เดมิ มุขตรงกลางยงั ไมม่ รี ะเบียงดา้ น It featured a square plan surrounding an inner court. It was used for หน้า ตอ่ มาภายหลงั มกี ารต่อเติม และมีปูน military training and was designed by Joachim Grassi, an Italian architect ปัน้ ทำ�เปน็ ผ้าหอ้ ยท่ีพนกั เฉลียง of Austrian nationality, who had designed many buildings in King Rama V’s era. Currently, this building is the Ministry of Defense Headquarters. D C 06 Ministry of Defense A 7 Sanam Chai Rd. T 8.30am-4.30pm Mon-Fri, By Appointment only A 02 224 0717 www.mod.go.th 86

เร่ืองเล่าชาวเกาะ รศ.ดร. กุณฑล ิทพ ์ย พา ินช ัภกด์ิ นายโจอาคิม แกรซี โรงทหารหนา้ เปน็ อาคารรนุ่ ราว คราวเดียวกับศุลกสถาน โรงภาษรี ิม แม่น�้ำ เจา้ พระยา จะเหน็ ว่ามีลกั ษณะ คล้ายคลึงกัน คอื เป็นอาคารสมมาตร มุขตรงกลางมหี นา้ จวั่ นัน่ เพราะออกแบบโดยสถาปนิกคน เดียวกนั คอื นายโจอาคิม แกรซี (Joachim Grassi) ชาวออสเตรยี เชื้อ สายอิตาลี นายชา่ งใหญ่มอื ทองในสมยั ต้นรชั กาลท่ี ๕ ผู้สรา้ งวังเจ้านายและ อาคารสาธารณะตา่ งๆ อีกหลายแหง่ เช่น วังบูรพาภริ มย์ วังวรวรรณ คุก มหนั ตโทษ และศลุ กสถาน สถาปััตยกรรมแบบพาลลาเดีียนเป็็นอย่่างไร? สถาปัตยกรรมแบบพาลลาเดยี นเปน็ รูปแบบท่ไี ด้ต้นเคา้ มาจากสถาปตั ยกรรม ของกรกี -โรมนั ทีส่ ถาปนกิ สมยั เรอเนสซองส์ อย่าง แอนเดรยี พาลลาดโิ อ (Andrea Palladio) ใช้ในการออกแบบคฤหาสนใ์ นอติ าลี การวางผงั อาคารใชร้ ปู สเ่ี หลยี่ มจตั รุ ัสลอ้ มรอบสนามตรงกลางแบบสมมาตร ช่วยให้ รับแสงสวา่ งไดม้ ากขึ้น สว่ นการประดบั ตกแตง่ ใช้ลวดลายแบบกรกี และโรมัน ภาพถ่ายทางอากาศโรงทหารหน้า โรงทหารหนา้ ท่มี ีแผนผังเปน็ ผงั เป็นรูปส่เี หลย่ี มจัตุรสั โอบลอ้ ม แบบพาลลาเดยี น ลานโลง่ ภายใน ผงั อาคารโอบล้อมลานโล่ง ภายใน ออกแบบโดย โจอาคมิ แกรซี ในสมัยต้นรชั กาลท่ี ๕ โรงกษาปณ์สิทธิการ C11 กม็ ีแผนผัง เปน็ แบบพาลลาเดียนเช่นกนั ออกแบบโดย นายคาร์โล อัลเลอกรี ในสมยั ปลายรชั กาลท่ี ๕ 87

โรงเรียนนายรอ้ ย I Cadet School โรงเรยี นนายทหารสราญรมย์ C07 Saranrom Military School: Built หรอื อาคารสำ�นกั งานเดมิ ของกรมแผนที่ทหาร ตั้งอยูด่ ้านข้างของ in 1892 in King Rama V’s era in โรงคะเด็ตทหารหนา้ หรอื กระทรวงกลาโหมในปจั จุบัน สร้างขน้ึ ในสมัย the precinct of Saranrom Palace, กลางรชั กาลท่ี ๕ บนพนื้ ที่ส่วนหนง่ึ ของพระราชวงั สราญรมย์ เพ่อื ใช้ the school was used to train cadets. เป็น “คะเด็ดสกลู ” หรอื โรงเรียนนายทหาร The school was later moved to ตอ่ มาในปลายรชั สมัย เม่อื โรงเรยี นคบั แคบ จงึ ได้ย้ายไปตัง้ นอก another area later in King Rama เมืองที่ถนนราชดำ�เนินนอก ในชือ่ “โรงเรียนนายรอ้ ยทหารบก” แลว้ ใช้ V’s reign. Classrooms were on the เปน็ กรมเสนาธิการทหารบก จนราว ๒๔๗๔ กรมแผนทไ่ี ด้ยา้ ยเขา้ มาใช้ ground floor and dorm rooms were อาคารหลงั นี้แทน จนไดร้ วมกจิ การเข้ากบั กรมแผนทท่ี หารบก และเพงิ่ on the upper floor. It was designed ยา้ ยออกไปเม่อื ปี ๒๕๖๒ นเี่ อง by an Italian architect named Stefano สมัยเปน็ คะเดด็ สกูลน้นั ช้นั ล่างเปน็ ห้องเรยี นส�ำ หรับนักเรยี นนาย Cardu, one of the first foreign รอ้ ย สว่ นชัน้ บนใช้เป็นหอพกั architects to work in Siam. The มีมขุ อยดู่ ว้ ยกนั ถึง ๕ มขุ (ปกติจะมเี พียง ๓ มุข คอื มขุ กลาง และ distinctive feature of this building มุขหวั -ท้าย เท่านนั้ ) โดยส่วนท่ีเพิ่มเขา้ มาคอื มขุ ท้ังสองขา้ งประตทู ี่ is the pediments on the roof, a ขนาบขา้ งมุขกลาง signature of Cardu. ที่มขุ กลางและมุขหวั ท้าย ประดับกระบังท่หี นา้ มขุ ด้วยตราแผน่ ดิน ในสมยั รชั กาลท่ี ๕ The Royal Thai Survey Depart- สว่ นมขุ ประตู หนา้ บนั ประดับตราลญั จกรรชั กาลที่ ๕ รปู พระเกยี้ ว ment recently moved out of this และชา้ งสามเศยี ร building in 2019. D C 07 Saranrom Military School A Kalayana Maitri Rd. T Not Open to the Public A 88

อาคารหลังนอ้ี อกแบบโดยสถาปนกิ ชาวอติ าลี ช่ือนายสเตฟาโน คาร์ดู (Stefano Cardu) โดยการ ใชก้ ระบงั หนา้ ตกแต่งอาคารนี้ มลี กั ษณะคล้ายคลึง กบั ตกึ สนุ ันทาลัย (ภายในโรงเรยี นราชนิ )ี C08 จึงมี ความเป็นไปไดว้ ่าคารด์ อู าจจะเป็นผู้ออกแบบด้วย ก็เปน็ ได้ เร่ืองเล่าชาวเกาะ รูปด้านแบบพระราชวัง คือ สถาปตั ยกรรมแบบคลาสสกิ ท่ีมีผังอาคาร แมนเนอริสม์ (Mannerism) เป็นรปู ตวั E คอื ลักษณะของมุขทเ่ี น้นสว่ นตวั อาคารหรอื มมี ขุ กลาง และมุขหัว-ท้าย ซา้ ย-ขวา เชอ่ื มดว้ ย หลังคา ดว้ ยแผงหนา้ บันประดบั ลวดลาย ซง่ึ เปน็ อาคารไปตลอดแนวยาว ทน่ี ิยมในยุโรปชว่ งคริสตศตวรรษที่ ๑๗ (หรือใน โดยมขุ ทย่ี ืน่ ออกมาจะเนน้ ใหเ้ ปน็ จุดเดน่ ด้วย ราวสมัยอยธุ ยาตอนปลาย ช่วงรชั สมยั พระเจ้า หลงั คาหนา้ จั่วแบบวิหารกรกี ทรงธรรม และพระเจา้ ปราสาททอง) ดังตวั อยา่ ง บ้างกม็ ีเสาลอยข้ึนไปรับหลงั คา สว่ นผนงั ด้าน กระบงั หนา้ ทีโ่ รงเรียนทหารสราญรมย์แห่งนี้ และท่ี ล่างของอาคารมักฉาบปูนเดินเสน้ เลยี นแบบการ ตึกสนุ ันทาลยั อกี แห่ง เรียงหินโชวแ์ นว โรงแรมโอเรียนเต็ล นายสเตฟาโน คาร์ดู ชา่ งฝรัง่ ชาวอิตาลี ทีค่ นไทยสมัยนัน้ ขนานนามว่า นายกาดู หรือนายกาโด เป็นสถาปนิกชาวต่างชาตยิ ุคบุกเบิก ท่เี ขา้ มาท�ำ งานใน สยามตงั้ แตต่ น้ รัชกาลท่ี ๕ มีผลงานเป็นตกึ ฝร่งั รนุ่ แรกๆ ในสยาม เช่น พระราชวังสราญรมย์ หอนาฬิกาตกึ ไปรษณ-ี ยาคาร โรงแรมโอเรียนเต็ล โรงเรียนทหารสราญรมย์ โดยซิกเนเจอร์ของนายคารด์ ู คอื การออกแบบอาคารให้ มหี นา้ บันหรอื กระบงั หน้า ประดับลวดลายปนู ปน้ั เปน็ ตรา แผน่ ดิน หรอื พระราชลญั จกร (ในท�ำ นองเดยี วกันกบั หน้า จวั่ พระที่นงั่ ในวังทป่ี ระดบั ด้วยรูปแกะสลักนารายณ์ทรง ครุฑ) ซึง่ เรียกกนั วา่ แบบแมนเนอรสิ ม์นน่ั เอง 89

โรงเรียนสตรี I Seminary โรงสกูลสนุ นั ทาลัย C08 The Royal Seminary: Built in สร้างขนึ้ ในสมัยตน้ รชั กาลท่ี ๕ บนพื้นท่รี ิมแมน่ ำ้�นอกก�ำ แพงเมือง 1882 in the early years of King ด้านหนา้ ปอ้ มมหาฤกษ์ บริเวณที่เรยี กกันว่าปากคลองตลาด Rama V’s era, located by the river, ช่อื อาคารกบ็ อกอยูว่ ่า สุนนั ทาอาลัย กม็ คี วามหมายตรงตวั ดังช่อื the Royal Seminary was dedicated คอื สรา้ งข้นึ เพ่อื เป็นอนุสรณใ์ หก้ บั สมเด็จพระนางเจา้ สนุ ันทากมุ ารรี ตั น์ to King Rama V’s royal consort พระบรมราชเทวี ทท่ี วิ งคตไปดว้ ยอบุ ัตเิ หตเุ รอื พระทีน่ ่ังลม่ ขณะเสด็จฯ Queen Sunanda who passed away ประพาสบางปะอิน in an accident. Initially, it was a แรกดำ�เนินการใช้เปน็ สถานศกึ ษาส�ำ หรับกุลธดิ า เป็นที่ฝกึ หดั ครู school for daughters of the elite และที่ตงั้ ของกระทรวงธรรมการ (กระทรวงศกึ ษาธกิ ารในปัจจุบนั ) and also housed the Ministry of จนกระทง่ั ในปลายรัชสมัย สมเดจ็ พระศรพี ัชรินทราบรมราชินี ได้ Education. In 1906, towards the กราบบงั คมทูลขอพระราชทานพน้ื ที่ตึกสนุ นั ทาลัยเพือ่ ต้ังเป็นโรงเรยี น end of King Rama V’s era, Queen ราชินี และไดเ้ ปิดให้มีการเรียนการสอนมาอย่างตอ่ เนอื่ งจนถงึ ทกุ วนั นี้ Saovabha asked His Majesty to set ตึกสนุ นั ทาลัยเปน็ อาคาร ๒ ช้นั up a girls’ school in this building, ชน้ั บนเปน็ ห้องโถงกว้าง มีระเบียงยาวตลอดขนานไปกบั แมน่ �้ำ titled Rajini School (Queen’s มีหอ้ งมุขตรงกลางย่นื ออกมาทดี่ า้ นหนา้ และยงั มีห้องที่มขุ หลังอกี school), which is still operating ดว้ ย today. It is assumed that the ชั้นล่างใชเ้ ป็นหอ้ งเรียน ส่วนชน้ั บนใชเ้ ปน็ หอ้ งประชุม architecture was designed by จะเห็นได้วา่ ความสูงของเพดานท่ชี ้นั บนนั้น สูงกว่าชน้ั ลา่ งมาก ซ่ึง Stefano Cardu because of the เป็นลกั ษณะของอาคารแบบคลาสสกิ น่ันเอง pediment on the top of the front facade, which is considered Cardu’s D C 08 The Royal Seminary signature. A 444 Maha Rat Rd. T Not Open to the Public The large dome on the roof A 02 221 1501 was rebuilt following the original www.rajini.ac.th/ design after it had been removed 90 since the weight was causing the building to crumble.

สนุ นั ทาลยั อนสุ าวรียน์ �ำ้ พุ ฟอนตานา เพาลา เม่ือรื้อหลังคาโดมลงแลว้ ทก่ี รุงโรม ออกแบบโดยสถาปนกิ ฟลามโิ น พอนซิโอ ในปี ๒๑๕๕ มุขกลางด้านหน้า มขี นาดสดั ส่วนอยา่ งประตชู ยั มีรปู แบบเป็นสถาปตั ยกรรมประตูชยั ชอ่ งประตูโคง้ ตรงกลางมคี วามกวา้ งประมาณสองเท่าของดา้ นขา้ ง ทีม่ กี ระบังหน้าลกั ษณะคลา้ ยคลึงกบั มุข ซงึ่ เป็นระเบยี บแบบแผนเดยี วกบั มุขกลางดา้ นหนา้ ของพระทนี่ ง่ั จกั รี หนา้ ของอาคารสุนันทาลยั มหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง หน้าบันทำ�เปน็ กระบังหนา้ ทฐ่ี านเขียนว่า Royal Seminary เร่ืองเล่าชาวเกาะ ประดบั ลายปูนปั้นตราแผ่นดนิ ท่ีกลางหน้าบัน ด้วยการออกแบบทม่ี ีกระบงั หนา้ ท�ำ ให้สนั นษิ ฐานวา่ นายสเตฟาโน ดีดตึกยกอาคารปูน คารด์ ู อาจเป็นผู้ออกแบบอาคาร ดว้ ยเป็นเอกลักษณอ์ ันโดดเดน่ ของ ร้หู รอื ไม?่ ในปี ๒๕๔๙ คราวบูรณะ นายชา่ งฝร่งั ผนู้ ้ี ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบแมนเนอรสิ ม์ ลกั ษณะแบบ อาคารคร้ังใหญ่ เม่อื โรงเรยี นมอี ายุ เดยี วกบั มขุ หนา้ ของโรงเรยี นทหารสราญรมย์ (ตกึ กรมแผนทท่ี หาร ครบหน่งึ ศตวรรษนั้น ไดม้ ีการดดี ตึก เดมิ ) C07 สนุ ันทาลยั ขน้ึ ให้สงู กว่าระดบั ถนน ท่บี ริเวณมุขหนา้ ผนังชนั้ ล่างมคี วามหนามากถงึ ๑ เมตร เพือ่ ใช้รับ นบั เปน็ ปรากฏการณ์ยกอาคารกอ่ น�้ำ หนักหลงั คากระโจมด้านบน ท่ตี ง้ั อย่ดู ้านหลังกระบงั หน้า อิฐถอื ปูนแหง่ แรกของประเทศไทย หลังคากระโจมน้มี ารื้อออกในสมยั ต่อมา (คาดว่ารือ้ ในชว่ งระหว่าง เลยก็วา่ ได้ รัชกาลท่ี ๖ และ ๗) เพ่อื ลดน�้ำ หนกั ของหลังคาท่ที ำ�ให้อาคารทรุดตัว ดังจะเหน็ ไดใ้ นภาพถ่ายเก่าวา่ เป็นหลงั คาทรงป้นั หยาธรรมดา เมอ่ื ปราศจากโดมแลว้ ตอ่ มาหลงั คาโดมได้รบั การก่อสร้างตอ่ เตมิ ใหก้ ลบั คนื มาดงั เดิมใน ช่วงปี ๒๕๔๗-๕๐ นีเ้ อง เม่ือคราวฉลองครบรอบ ๑๐๐ ปีโรงเรียน ราชนิ ี 91

โรงเรียนรัฐ I Public School ตึกยาว โรงเรยี นสวนกุหลาบวิทยาลัย C09 เรื่องเล่าชาวเกาะ ชอื่ ของโรงเรียนสวนกุหลาบวทิ ยาลัยนนั้ มที ่มี าจากทีต่ ้ังของ โรงเรยี น เดมิ อยู่ท่ีพระต�ำ หนกั “สวนกหุ ลาบ” ดา้ นทา้ ยพระบรม ตึกยาวริมร้ัว มหาราชวงั อันเปน็ ตำ�หนกั ทเ่ี จา้ ฟา้ จุฬาลงกรณ์ประทบั ก่อนจะขน้ึ แรกสร้าง ตึกเรียนมีระเบียงทางเดิน ครองราชยเ์ ปน็ รชั กาลที่ ๕ โดยโรงเรียนแห่งใหม่นี้สอนหนังสือให้กบั ยาวไปตลอดอาคาร ทงั้ ดา้ นนอกทต่ี ดิ บุตรหลานเจ้านายและข้าราชการ ตามหลกั สูตรการศกึ ษาแบบใหม่ คือ ถนนตรีเพชรและดา้ นใน มกี ารสอบวดั ผล ที่เรียกกันวา่ การไล่หนงั สือ ขึ้นเป็นครัง้ แรกในสยาม แต่ในปี ๒๔๗๕ เม่อื มีงานฉลอง ๑๕๐ ปี ตอ่ มาโรงเรยี นได้ขยายตัวและระหกระเหินย้ายสถานท่ไี ปอีกหลาย กรุงรัตนโกสินทร์นนั้ รชั กาลที่ ๗ ทรง แหง่ จนทา้ ยทส่ี ุดในปีแรกของรัชสมยั รัชกาลที่ ๖ จงึ ได้มาลงหลักปัก โปรดให้สรา้ งพระบรมราชานุสาวรยี ์ ฐานท่ีตึกสร้างใหม่ ตรงข้ามพระอโุ บสถวัดราชบรู ณะ ซึ่งอยูท่ างดา้ นใต้ ของรชั กาลท่ี ๑ และสะพานพทุ ธสำ�หรับ ของพระนคร ขา้ มแม่นำ้�เจ้าพระยาไปยงั ฝ่ังธนบรุ ี ซ่งึ การกอ่ สรา้ งตกึ โรงเรยี นแห่งใหมน่ ี้มีมาตงั้ แต่สมยั ปลายสมัยรชั กาล เปน็ แนวแกนทต่ี อ่ มาจากถนนตรีเพชร ที่ ๕ แล้ว ในพ้ืนทีฝ่ ัง่ ตะวนั ตกของวดั ราชบรู ณะ ซง่ึ มถี นนตรเี พชรคน่ั พอดี ท�ำ ใหต้ อ้ งขยายถนนตรเี พชรที่เดมิ กลาง โดยกรมโยธาธิการเป็นผู้ออกแบบตกึ สว่ นกระทรวงธรรมการ เปน็ เพยี งถนนสายยอ่ ยแคบๆ ให้กลาย (กระทรวงศึกษาธกิ ารในปจั จบุ นั ) เปน็ ผเู้ ชา่ ทีว่ ดั และออกเงินกอ่ สร้าง เปน็ ถนนใหญท่ ่มี ขี นาดกว้างขวางขึ้น อาคารเอง การขยายถนนจงึ ท�ำ ใหต้ อ้ งรน่ พื้นที่ เขา้ ไปในร้วั โรงเรียนสวนกุหลาบ กิน Long Building, Suankularb School: Suankularb School was a Western- บริเวณท่ีเปน็ บันไดและระเบียงดา้ นท่ตี ิด style school which used modern curricula, with final exams at the end of กับถนน จึงเหลือแตต่ ัวอาคารซง่ึ กลาย each academic year. The school had been moved from location to location, มาเปน็ กำ�แพงของโรงเรยี นด้านถนน before settling down here. The new school building was built in 1910, ตรีเพชรแทน designed by the Department of Public Works. The 2-story building is 216 ส่วนระเบยี งด้านหลงั ทีห่ นั หน้าเขา้ yards long, and is therefore known as the Long Building. The building is สนาม ไดป้ รับให้เป็นด้านหน้าของตึก slightly curved, if you look at it through the long corridor. แทน โดยมกี ารต่อเติมบนั ไดกลางขน้ึ ใหม่ทีด่ ้านน้ี D C 09 Long Building, Suankularb School A 88 Tri Phet Rd. T Not Open to the Public A 02 221 6701 www.sk.ac.th 92

ตึกเรยี นเป็นแบบฝรั่ง ๒ ชน้ั สรา้ งขนานไปกบั ถนนตรเี พชร มคี วามยาวมากถงึ ๑๙๘ เมตร แต่ละ ช้ันมีห้องเรียนเรียงตอ่ กันไปถงึ ๑๙ ห้อง ทช่ี นั้ สองจะเห็นช่องหน้าตา่ งเรยี งต่อกนั ๕ ชอ่ ง ตรงน้จี ะเป็นหอ้ งเรียนใหญ่ สลับกบั ระเบียงทางเดนิ ๖ ชอ่ งของหอ้ งเรยี นเลก็ (๒ ห้อง) สลบั กนั ไปเช่นน้ี ตลอดความยาวของอาคาร ดา้ นในเปน็ ระเบียงทางเดินยาวไปตามแนวซุม้ โค้ง เชอ่ื มหอ้ งเรยี นแตล่ ะห้องไปตลอดอาคารทงั้ สอง ชั้น ตัวระเบียงหนั หน้าเข้าสสู่ นามฟุตบอล ภายใน โรงเรยี น จงึ เหมาะสำ�หรับใชเ้ ปน็ อฒั จรรย์ดูกฬี าจาก หน้าห้องเรียนได้ ช่องทางเข้าโรงเรียนทำ�เปน็ หลังคาจัว่ มีหนา้ บัน ประดบั ตราสญั ลักษณ์โรงเรยี น ซงึ่ เปน็ สว่ นท่ตี อ่ เติม ขึ้นมาภายหลัง ทำ�ให้รปู ด้านของตกึ ยาวไม่สมมาตร ผิดแผกไปจากขนบการสร้างอาคารแบบคลาสสกิ ตึกยาว...โค้งน้อยๆ แต่โค้งนะ กีีฬาฮ่่าไฮ้้ จุดเด่นของตกึ ยาวใชว่ ่าอยู่ที่ความยาวของอาคารเท่านนั้ แต่ ...กฬี า กีฬา เป็นยาวเิ ศษ ฮา่ ไฮ.้ ..ฮ่าไฮ.้ .. ตวั ตกึ ทีเ่ ห็นยงั มีความโค้งนอ้ ยๆ ไมไ่ ด้สรา้ งขึน้ มาแบบเสน้ ตรง รหู้ รอื ไม่? เพลงกราวกีฬาทมี่ ที อ่ นฮคุ อยา่ งอาคารท่ัวไป...เพราะอะไรกันนะ?!! ตดิ หูนี้ น่นั กเ็ พราะอาคารสร้างขน้ึ ขนานไปกบั ถนนตรเี พชร ซงึ่ เปน็ มีตน้ กำ�เนิดมาจากกฬี าสีของโรงเรียน ถนนท่ีโค้งออ่ นๆ ดว้ ยถนนตรีเพชรช่วงน้ี เป็นส่วนต่อขยาย สวนกุหลาบ ท่ีตัดใหม่ลงมาจากถนนพาหรุ ดั เช่ือมต่อไปยงั ถนนจักรเพชร แตง่ โดยเจ้าพระยาธรรมศักด์มิ นตรี หากตัดถนนเป็นเส้นตรง แนวถนนจะไปทับก�ำ แพงแกว้ ของ (สนั่น เทพหสั ดิน ณ อยธุ ยา) หรอื ‘ครู พระอุโบสถวดั ราชบูรณะ ทำ�ให้ต้องตัดถนนให้ค่อยๆ โคง้ เขา้ ไป เทพ’ อดตี เสนาบดีกระทรวงธรรมการ เลียบกบั กำ�แพงวัด และเป็นผู้น�ำ กฬี าฟตุ บอลเข้ามาเผยแพร่ เราจะเห็นความโคง้ นไ้ี ดช้ ดั ๆ กต็ ่อเม่อื มองลอดระเบยี งดา้ น ในสยามโดยใหเ้ ลน่ กันตามโรงเรียนด้วย ในของตึกยาวออกไปนน่ั เอง 93

เรอื นจำ� I Prison คกุ มหันตโทษ C10 ในอดตี การลงโทษผกู้ ระทำ�ผิด จะแบง่ ทคี่ ุมขัง ออกเป็น ๒ ประเภท คือ “คุก” “ตะราง” ตง้ั แต่ ๖ เดอื นข้ึนไป น้อยกว่า ๖ เดอื น ตงั้ อย่หู น้าวัดโพธิ์ หรอื ขังนกั โทษที่มิใชโ่ จรผรู้ า้ ย “คกุ ” ส�ำ หรบั ผู้ต้องโทษตัง้ แต่ ๖ เดือนขึ้นไป ตงั้ “คกุ ใหม”่ หรือคุกมหันตโทษนี้ ตง้ั อยบู่ นถนน อย่บู ริเวณหนา้ วดั พระเชตพุ นฯ มหาไชย ภายในก�ำ แพงพระนครดา้ นทิศตะวนั ออก ดา้ นข้างตดิ คลองหลอด และอยดู่ ้านหลังวดั สทุ ศั น์ สว่ น “ตะราง” ใช้คมุ ขงั ผูท้ ม่ี โี ทษน้อยกว่า ๖ เดอื น หรอื ขงั นักโทษทีม่ ิใช่โจรผรู้ ้าย เม่อื แรกเปิด มีนักโทษยา้ ยไปคมุ ขังมากถงึ ๑,๐๐๐ คน เม่อื สยามเรยี นรูว้ ิทยาการอยา่ งตะวนั ตก รัชกาล ท่ี ๕ จึงทรงให้มกี ารปรบั ปรงุ รูปแบบการจองจ�ำ ใหม่ นบั ไดว้ ่าคกุ แหง่ ใหมน่ ีม้ บี ริเวณกว้างขวางและทนั ดว้ ย โดยให้สร้างคกุ ใหม่ที่แขง็ แรงแนน่ หนา และจัด สมัยกว่าเรือนจ�ำ เกา่ หนา้ วัดโพธเ์ิ ปน็ อย่างมาก ระเบยี บใหถ้ กู ต้องตามมาตรฐานตะวันตก อาคารสำ�คญั ของคกุ มหนั ตโทษ ประกอบด้วย แรกเร่มิ มีการไปศึกษารูปแบบคุกจากสิงคโปร์ ตกึ ฝรั่ง ๓ หลงั อยู่ในพน้ื ทีด่ ้านนอกของเรอื นจ�ำ ตดิ (ในสมัยนั้นอยูภ่ ายใตอ้ าณานคิ มของอังกฤษ) และ ถนนมหาไชย ใชส้ �ำ หรบั เปน็ ทีท่ ำ�การเรือนจ�ำ โดย ไดเ้ ลอื กรูปแบบของเรอื นจำ�บริกซต์ นั (Brixton) มอี าคารแฝดคู่หน่ึง สร้างขนาบขา้ งทีป่ ระตทู างเขา้ ทปี่ ระเทศองั กฤษ ซง่ึ เป็นเรอื นจ�ำ ทม่ี คี วามมนั่ คง หลัก ในระดบั สูงสุดมาใช้ เรียกวา่ “คุกกองมหนั ตโทษ” พร้อมกบั ใหส้ รา้ งตะรางขน้ึ มาใหมด่ ว้ ย (ตรงบรเิ วณ อาคารศาลฎกี า ข้างสนามหลวงในปัจจุบัน) เรยี กวา่ “กองลหโุ ทษ” โดยคุก เป็นสถานทค่ี มุ ขังนักโทษท่ี ได้รับการพจิ ารณาคดแี ล้ว ส่วนตะราง คือ ท่ีคมุ ขงั จำ�เลยท่อี ยใู่ นระหว่างการรอพจิ ารณาคดขี องศาล เรือนจำ�บริกซ์ตนั (Brixton) ท่ปี ระเทศองั กฤษ ข้นึ ชอ่ื ในฐานะคุกทม่ี ีความม่นั คงในระดบั สูงสุด (Maximum Security) 94

แต่ละหลังเปน็ ตกึ ๒ ชั้น มหี ลังคาปนั้ หยา ประดับประดาเพียงเล็ก The New Prison: Built in 1891 น้อย เนน้ ความเรยี บงา่ ยเพื่อให้สอดคลอ้ งกับการใชง้ านเปน็ หลกั โดย in King Rama V’s era, the New อาคารแฝดเป็นตึกทส่ี รา้ งขึ้นมาก่อน ออกแบบโดย นายโจอาคิม แกร Prison followed the concept of a ซี (Joachim Grassi) สถาปนิกชาวออสเตรียเชอ้ื สายอติ าลี ซึ่งเข้ามา prison in Singapore which at the ทำ�งานรบั เหมาก่อสร้างในสยาม และได้รับความนยิ มอยา่ งสูงในสมยั time was a British colony. Located ตน้ รัชกาลท่ี ๕ ซง่ึ โรงทหารหนา้ หรอื กระทรวงกลาโหมในปจั จบุ ัน C06 on the eastern side of the capital, กเ็ ปน็ ผลงานอันโดดเด่นของนายช่างฝรงั่ ผ้นู ี้เช่นกัน the New Prison was designed by one of the most sought after West- คุกกองมหนั ตโทษ ภายหลังได้เปล่ียนช่ือเปน็ เรือนจำ�พิเศษกรงุ เทพ ern architects of the time, Joachim และทา้ ยทีส่ ดุ ไดย้ ้ายผู้ตอ้ งขังออกไปในปี ๒๕๓๔ ก่อนจะปรับปรุงพน้ื ท่ี Grassi. The three buildings are ใหเ้ ปน็ “สวนรมณีนาถ” สวนสาธารณะซึง่ เปดิ ใหใ้ ชง้ านในปี ๒๕๔๒ located outside the fence served as the prison’s offices, and today ตกึ เกา่ ทง้ั สามไดร้ บั การอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นาใหเ้ ปน็ พพิ ธิ ภณั ฑร์ าชทณั ฑ์ the area inside the prison has แสดงประวตั คิ วามเป็นมาของกรมราชทัณฑ์ และการลงโทษแบบต่างๆ been renovated into a public park. ปจั จุบนั อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาเป็นศนู ยก์ ารเรียนรู้ระหวา่ งประเทศ The buildings are now restored ด้านกระบวนการยตุ ธิ รรม พรอ้ มเปิดใหเ้ ขา้ ชมได้ในอีกไม่นานนี้ and developed as the Justice and Criminal Discovery Museum. 95

โรงกษาปณ์ I Coin Mint โรงกษาปณ์สทิ ธิการ C11 ตรงกลางดา้ นหนา้ เป็นอาคาร หลกั สูง ๒ ชั้น ใช้เปน็ สำ�นักงาน อาคารสวยคลาสสกิ เชน่ นี้ ใครเลยจะคดิ วา่ แท้จริงแลว้ ... มันคือ โรงงาน! มีหลังคาจว่ั แบบวหิ ารกรีก และประดบั ตราแผน่ ดินในสมยั ใชแ่ ล้ว...ทีน่ ่เี ป็นโรงงานจริงๆ แตเ่ ป็นโรงงานผลติ เหรียญ รัชกาลที่ ๕ เงนิ สำ�หรับใช้จา่ ยภายในประเทศ ตง้ั อยรู่ มิ คลองคเู มอื งเดิม ดา้ นเหนือของพระนคร สร้างข้นึ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ แทน อาคารปกี โดยรอบเปน็ อาคาร โรงกษาปณ์เดมิ ท่ตี ง้ั อยู่ภายในพระบรมมหาราชวัง ชนั้ เดยี ว ใชเ้ ป็นสว่ นของโรงงาน โดยโรงงานแหง่ ใหม่น้ไี ด้ติดตัง้ เครอ่ื งจักรใหม่ส�ำ หรับผลิตเงินเหรยี ญ มหี ลังคาจว่ั ซอ้ น ๒ ช้นั เพื่อ น�ำ เข้าจากเมอื งเบอร์มิงแฮม (Birmingham) ประเทศอังกฤษ ท�ำ ให้ ให้มชี อ่ งสำ�หรับระบายอากาศ มกี �ำ ลังผลติ ได้ถงึ วันละ ๑๐๐,๐๐๐ เหรยี ญ นบั ได้วา่ เป็นโรงงานขนาด ระหว่างชัน้ หลังคา ใหญใ่ จกลางพระนครเลยทีเดยี ว จุดเดน่ ของโรงกษาปณแ์ ห่งนี้ ตวั อาคารออกแบบโดย นายคารโ์ ล อัลเลอกรี (Carlo Allegri) คอื โครงหลงั คาของส่วนโรงงานที่ วศิ วกรชาวอิตาลแี ห่งกระทรวงโยธาธิการ เปน็ เหลก็ ยึดแนวทแยง (Truss) มดี ั้งหลงั คากลาง และคำ้�ยนั แนว แผนผงั อาคารเป็นรูปสี่เหลยี่ ม มลี านโล่งตรงกลางส�ำ หรับไวห้ อ ทแยง นับวา่ เป็นความกา้ วหน้า เหล็กเก็บน�้ำ โดยมอี าคารลอ้ มรอบ (เป็นแผนผงั แบบท่เี รยี กกนั วา่ “ อย่างหนึ่งในการกอ่ สรา้ งสมัยนั้น พาลลาเดียน” คลา้ ยกบั โรงทหารหนา้ หรือกระทรวงกลาโหม C06 ที่ ซ่ึงช่วยทำ�ให้มีช่วงหลังคาท่ีกวา้ ง สรา้ งขึ้นก่อนหน้าน้ันเปน็ ระยะเวลาหลายปี) ขึ้นถึง ๙.๖๕ เมตร โดยไมจ่ ำ�เปน็ ตอ้ งมเี สามารองรับ The Royal Mint: Constructed in 1902 towards the end of King Rama V’s era, it was designed by Italian engineer Carlo Allegri under the ถงึ แมจ้ ะเปน็ โรงงาน แตก่ ็ไม่ Department of Public Works, to serve as a new mint responsible for the วายทีจ่ ะตกแตง่ ประดบั ประดา production of Thai coins, replacing the old one inside the Grand Palace. ดว้ ยรายละเอียดฟรงุ้ ฟร้งิ ทัง้ สัน Its roof span is 11 yards wide and does not require supporting columns. หลงั คาและเชงิ ชาย ตกแต่งดว้ ย Currently, the building is home to the National Gallery. เหลก็ แผน่ ฉลลุ าย เลียนแบบเชงิ ชายไมข้ นมขงิ D C 11 National Gallery A 4 Chao Fa Rd. ปจั จุบันเปน็ ท่ีตง้ั ของพพิ ิธ T 9.00am-4.00pm Wed-Sun ภัณฑสถานแหง่ ชาติ หอศลิ ป์ A 02 281 2224 ท่เี รามกั เรยี กกันตดิ ปากว่า “หอศิลป์เจ้าฟา้ ” 96

กอ่ นจะสรา้ งสะพาน พระปนิ่ เกลา้ ในปี ๒๕๑๔ ดา้ นหน้าโรงกษาปณเ์ ป็น คลองคเู มอื งช้นั ในมาก่อน ทเี่ รียกว่า คลองโรงไหม เรื่องเล่าชาวเกาะ บน: สะพานผา่ นภิภพลลี า นายคาร์์โล อััลเลอกรีี ลา่ ง: สะพานผา่ นฟ้าลลี าศ นัับเป็น็ นายช่า่ งฝรั่�งอีีกคนหนึ่�ง ที่�เข้า้ มาทำำ�งานในสยามช่ว่ งจังั หวะเวลาอััน เหมาะสมเป็็นอย่่างยิ่�ง ด้้วยเป็็นยุคุ หัวั เลี้�ยวหััวต่อ่ ของงานก่่อสร้า้ ง อัันเกิดิ จาก การก่่อตั้�ง “กรมโยธาธิกิ าร” ขึ้�น เพื่�อเป็็นหน่่วยงานที่่�ดููแลรัับผิิดชอบในการ ออกแบบก่่อสร้้างอาคารต่่างๆ ของรัฐั แทนการจัดั จ้้างบริิษััทรับั เหมาเอกชนของ สถาปนิกิ และวิิศวกรอิสิ ระจากตะวันั ตก นายคาร์โล อลั เลอกรี (Carlo Allergri) วิศวกรหนุ่มจากอิตาลีเดินทางมา แสวงโชคในสยามช่วงกลางรชั กาลท่ี ๕ โดยท�ำ งานใหก้ ับบรษิ ทั รับเหมากอ่ สร้าง ของนายโจอาคมิ แกรซี (Joachim Grassi) ท่มี ีเช้อื สายอติ าลีเช่นกนั ซึง่ ขณะ น้นั บริษทั ของนายแกรซีเป็นทนี่ ยิ มอย่างมาก ดงั จะเห็นไดจ้ ากผลงานออกแบบ กอ่ สร้างวงั เจ้านายและอาคารของรฐั ทั้งหลายทีม่ อี ยใู่ หเ้ ห็นเปน็ ประจกั ษ์พยาน จ�ำ นวนมาก กระทงั่ กรมโยธาธกิ ารก่อตงั้ ข้ึนมาพอดี ในปี ๒๔๓๒ นายอัลเลอกรีจงึ ไดเ้ ปล่ียน มารับราชการทน่ี แี่ ทน ในต�ำ แหน่งวศิ วกร ผ้รู ับผิดชอบตรวจและควบคมุ งาน ออกแบบกอ่ สรา้ งในทกุ ๆ โปรเจกต์ของกรมโยธาธกิ าร และนายชา่ งฝร่งั ผู้น้เี อง กเ็ ปน็ ผอู้ อกแบบสะพานตา่ งๆ ในพระนคร โดยน�ำ โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก ช่วงยาว เขา้ มาใชใ้ นการสร้างสะพานขึน้ เปน็ ครัง้ แรกในสยาม อาทิ สะพานผ่าน ภิภพลลี า ผ่านฟ้าลลี าศ กล็ ้วนเป็นผลงานของเขาท้งั สน้ิ นอกจากนี้แล้วเขายงั เปน็ วศิ วกรค�ำ นวณโครงสร้างอาคารแทบทกุ หลงั ของ กรมโยธา รวมไปจนถึงพระที่นัง่ อนนั ตสมาคมหลงั ใหม่ดว้ ย 97

โรงพิิมพ์์ I Print Shop โรงพิมพ์บำ� รุงนุกลู กิจ C12 ตวั อาคารกอ่ อฐิ ถือปูน สงู ๒ ช้ัน ผัง อาคารเป็นส่เี หลี่ยม ยาว ๑๒ ชว่ งเสา โรงพมิ พ์บ�ำ รุงนุกูลกิจตง้ั อยู่ในยา่ นสก่ี ๊กั เสาชิงช้า บนถนนบ�ำ รงุ เมือง มีประตูเข้า ๒ ทาง ถนนการค้าสายส�ำ คัญสายหนงึ่ ของพระนครในยคุ นัน้ เหน็ เป็นอาคาร รปู ด้านสมมาตรแบบอาคารคลาสสิก เก่าแบบน้ี ใครจะคิดว่าเคยเป็นโรงพมิ พ์มากอ่ น แถมยังเป็นโรงพิมพ์ การตกแตง่ แบบเรยี บงา่ ย เนน้ การใชง้ าน เอกชนท่ีเปดิ ด�ำ เนินงานมาตัง้ แต่สมยั กลางรชั กาลที่ ๕ อีกตา่ งหาก เปน็ สำ�คัญ แตก่ ระนัน้ กย็ ังมกี ารประดบั ลกู ไม้เชิงชายอยูบ่ า้ ง ทว่ี ่าเปน็ โรงพมิ พเ์ อกชนนน้ั ด้วยเป็นกจิ การของหลวงด�ำ รงธรรม หลงั คาทรงป้ันหยาซ่ึงเป็นแบบมาตรฐาน สาร (มี ธรรมาชวี ะ) ปลดั กรมอัยการ ซงึ่ ภายหลังไดอ้ อกจากราชการ ของตึกฝรงั่ ในยุคนั้น ส่วนวสั ดมุ ุงหลงั คา เพอื่ มาดำ�เนนิ ธรุ กิจโรงพิมพอ์ ย่างเตม็ ตัว ใชก้ ระเบอื้ งซเี มนต์ อันเป็นวัสดอุ ย่างใหม่ ด้วยเชน่ กัน การพมิ พ์ถอื เป็นเร่อื งใหมใ่ นสมัยนนั้ ถงึ แม้หมอบลดั เลย์ มิชชัน- นารีชาวอเมริกา จะน�ำ แท่นพมิ พเ์ ข้ามาในสยามตงั้ แตส่ มยั รัชกาลที่ ๔ แลว้ ก็ตาม งานพมิ พจ์ ดั ว่าเป็นเครอ่ื งมอื ให้ชาวสยามได้เรยี นรู้สง่ิ ใหมๆ่ กว้างขวางขนึ้ ซ่งึ พวกเราก็ต่ืนตวั กบั หนังสือและสิ่งพมิ พ์เปน็ อยา่ งมาก โรงพมิ พแ์ หง่ นร้ี ับบรกิ ารพมิ พ์หนังสอื หลากหลายประเภท ทง้ั หนังสือของหลวง หนังสืองานศพ หนงั สือธรรมะ หนังสอื เรียน รวมไป จนถึงหนงั สือราชกจิ จานุเบกษาต่างๆ ด้วย โดยเรมิ่ แรกทต่ี งั้ แทน่ พมิ พแ์ ละเปดิ กจิ การนนั้ มีออเดอร์เข้ามามาก ยงิ่ กว่าโรงพิมพ์อื่นๆ แตต่ ่อมาเมือ่ เข้าสูร่ ัชกาลหลงั ๆ ก็มโี รงพิมพ์เปิด ใหมข่ ึน้ เป็นจำ�นวนมาก งานท่นี ่ีจึงค่อยๆ ลดลงไปในทสี่ ดุ โรงพิมพบ์ ำ�รงุ นุกูลกิจไดเ้ ปดิ ดำ�เนินงานมาอย่างยาวนานจนกระทงั่ Bamrung Nukunkit Print Shop: ถงึ รุน่ ท่ี ๔ ซึง่ เปน็ เหลนของหลวงด�ำ รงธรรมสาร และได้ปดิ ตัวลง Opened in 1895 in King Rama V’s era, it was a leading printing house located on Bamrung Mueang Road, อย่างเงยี บๆ เมื่อราว ๓๐ ปที ีแ่ ลว้ จบต�ำ นานโรงพมิ พท์ ่ีเกา่ แกท่ ส่ี ดุ ใน a business district at the time. The ประเทศไทยไป business continued into the family’s fourth generation, and was later ปัจจุบันตึกเกา่ หลังนี้ได้รับการดแู ลรักษาไว้ และมโี ครงการอนุรักษ์ท่ี closed down around 30 years ago. จะฟื้นคืนอดตี อนั รุ่งโรจนข์ องอาคารแห่งนี้ใหก้ ลบั มามชี ีวติ ชีวาขน้ึ มาอกี ครงั้ ...โปรดติดตามกันตอ่ ไป... 98

กรมทหารมหาดเลก็ รกั ษาพระองค์ C13 เร่ืองเล่าชาวเกาะ ดเู หมือนหลกั กโิ ลเมตรที่ศูนย์ของถนนเจรญิ กรุง จะนับจากกรม ทหารมหาดเลก็ รกั ษาพระองคแ์ หง่ น้ี เปน็ ตึกฝรั่งแสนโก้ ตรงวงเวยี น ชม แชะ ชิม หน้าวดั โพธ์ิ ทีส่ รา้ งข้นึ ในปลายสมัยรชั กาลที่ ๖ บนที่ดนิ อันเคยเป็นคกุ ท่ีพิพิธภัณฑ์รัชกาลที่ ๖ เก่าหน้าวดั โพธิ์ ก่อนทจี่ ะกลายมาเปน็ สวนเจ้าเชตุ และใชเ้ ป็นท่ีทำ�การ น้อยคนนักจะร้วู า่ ทต่ี กึ กรมการรักษา ของทหารราชวัลลภรกั ษาพระองค์ในเวลาต่อมา ภายหลังจงึ เปลี่ยน ดนิ แดนแห่งนม้ี พี พิ ิธภณั ฑซ์ ่อนอยดู่ ว้ ย เป็นทีต่ ้ังของหนว่ ยบัญชาการรักษาดินแดนอย่างในทุกวนั น้ี นัน่ คือ พิพิธภัณฑร์ ัชกาลที่ ๖ ตึกสองช้ันสร้างขนานไปกับถนนเจรญิ กรุง มีจดุ เดน่ ท่ีทางเข้าตรง หากมาถึงให้แจง้ ท่ีป้อมทหารดา้ นหนา้ มมุ ถนนทำ�เป็นมขุ สงู ๓ ชนั้ ยื่นออกมา โดยโถงทางเข้ามเี สาขนาดใหญ่ ว่าจะมาดูพิพธิ ภัณฑ์ แล้วสาวเทา้ ลอด รองรบั หน้าบนั จั่วแบบวหิ ารกรีก ประดับด้วยตราแผ่นดนิ พร้อมกบั ระบุ อุโมงค์ทางเขา้ ไปดา้ นในไดเ้ ลย ปที สี่ ร้าง คอื ปี ๒๔๖๖ ทช่ี ้นั สองจดั แสดงเปน็ เรือ่ งราวพระ หวั เสาระเบยี บไอโอนคิ (ลวดลายมว้ นกน้ หอย หรือเขาแกะ) ตวั เสา ราชกจิ ในพระมงกุฎเกล้าเจา้ อยู่หัว มี เซาะร่องตามแนวด่งิ รองพระบาทสีแดงที่ทรงตอนประกาศ หากลองสังเกตทอ่ี าคารดา้ นถนนเจรญิ กรงุ จะเห็นหวั เสาทชี่ นั้ สอง สงครามเขา้ รว่ มรบกับฝา่ ยสมั พนั ธมติ ร มหี ูช้างทำ�เปน็ ลวดลายรูปก้นหอยขน้ึ ไปยนั รับกนั สาด ถอื เปน็ ราย ในสงครามโลกคร้ังท่ี ๑ เมอ่ื ปี ๒๔๖๐ ละเอียดการออกแบบทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะของอาคารแหง่ นี้ ช้ันสามเป็นไฮไลท์ ดว้ ยรวบรวมฉลอง พระองคเ์ ครอ่ื งแบบตา่ งๆ อกี ทง้ั พระ The Royal Guard Regiment: Constructed in 1923 in King Rama VI’s มาลา ฉลองพระบาท ทีอ่ นุรกั ษแ์ ละจัด era on the area that used to be an old prison in front of Wat Pho. It is a แสดงไว้เป็นอยา่ งดเี ยยี่ ม พลาดไม่ได้ คอื Western-style building with a portico at the corner of the roads, featuring พระสนับเพลาทค่ี ว้านตรงขอบเอวเพ่ือ the Siamese seal on the pediment. Currently, it is the Territorial Defense เลย่ี งแผลจากการผา่ ตดั พระอนั ตะติง่ Command Center. Inside, there is King Rama VI’s Museum which displays a (ไสต้ ่งิ ) และหลายคนคงอดอมยม้ิ ไม่ได้ collection of King Rama VI’s wardrobes in a perfect condition. You can step เมื่อได้เหน็ รองพระบาทหนังแกะผกู โบว์ out on the balcony to enjoy the spectacular view of the Grand Palace. สีชมพูโอลด์โรส นอกจากน้ยี งั มหี ้องทรง งานจริงของพระองคอ์ ีกด้วย ที่ส�ำ คญั ถือเป็น The Must ส�ำ หรับ โปรแกรมนเ้ี ลยกว็ า่ ได้ อยา่ ลืมเปดิ ออก ไปที่ระเบียงดา้ นนอก คณุ จะได้เหน็ ววิ มมุ สูงของทา้ ยพระบรมมหาราชวงั ได้ อยา่ งเตม็ ตา ชมววิ กนั เสร็จ อยา่ ลมื แชะ รูปเก็บไว้ แลว้ ลงไปชมิ กาแฟกอ่ นกลบั กันที่ “อรรถรสคาเฟ่” บริเวณช้ันล่าง จะ มีน้องๆ พลทหารหวั เกรยี นคอยชงลาเต้ ให้ทุกคนได้จิบกันด้วยจ้า แตท่ ั้งนท้ี ง้ั น้ันพิพธิ ภณั ฑ์รชั กาลท่ี ๖ เปดิ แค่วนั จันทร์ถงึ ศกุ รเ์ ท่าน้นั เดอ้ C 12 Bamrung Nukunkit Print Shop C 13 The Royal Guard Regiment D 79-83 Bamrung Mueang Rd. Charoen Krung Rd. A 8.30am-4.30pm Mon-Fri T 02 221 1733-4 A www.tdc.mi.th/index.html 99

สถานีตำ� รวจ I Police Station สถานตี �ำรวจนครบาลพระราชวัง C14 Phra Ratchawang Metro Police บริเวณพนื้ ทส่ี ามเหลี่ยมชายธง หัวมมุ ล่างสุดของเกาะรตั นโกสินทร์ Station: Formerly a palace ground, ช้ันในน้ัน เปน็ ท่ีตั้งของสถานีตำ�รวจนครบาลพระราชวงั ซ่งึ เป็นพน้ื ที่ the original construction was เดิมของวังกรมหมืน่ มาตยาพิทักษ์ พระโอรสในรชั กาลที่ ๓ ตอ่ มา demolished in King Rama VI’s era มีเจ้านายองคอ์ ่ืนๆ สบั เปลี่ยนมาครองวงั นีจ้ นถึงรชั กาลที่ ๖ จึงได้ and rebuilt as a police station รอ้ื วงั ลง และสร้างเปน็ สถานตี ำ�รวจถนนสนามไชยขึ้นมาแทน in 1915, designed by Italian หากกลา่ วถงึ กิจการตำ�รวจสมัยใหมแ่ บบฝรง่ั จะวา่ ไปก็เรม่ิ มมี าใน architect Mario Tamagno under สยามต้งั แตส่ มัยรัชกาลท่ี ๔ แล้ว เรียกกันวา่ พลตระเวน สว่ นสถานี the Department of Public Works. ต�ำ รวจนครบาลแหง่ น้ี ยา้ ยมาจากบริเวณทา่ เตียน ตัวอาคารสร้าง It is a one-story building with a ในสมยั เดยี วกบั อาคารกระทรวงพาณชิ ย์ท่ีอยู่ด้านหลงั C15 และยงั load-bearing wall system and ออกแบบโดยสถาปนกิ คนเดยี วกัน นัน่ คือ นายมาริโอ ตามานโญ reinforced concrete structures, นายชา่ งชาวอิตาลแี ห่งกรมโยธาธกิ าร แตส่ ถานีตำ�รวจแห่งนี้ได้ a new construction technique at ออกแบบไวก้ อ่ นอาคารกระทรวงพาณชิ ย์ราว ๗ ปี the time. รปู แบบของอาคารเปน็ ชน้ั เดยี ว มีโถงกลาง ที่ปลายปีกทัง้ สองด้าน มีระเบยี งรูปคร่ึงวงกลม เน่อื งจากเป็นยุคที่เทคโนโลยีการก่อสรา้ งสมยั ใหมอ่ ยา่ งคอนกรีต เสรมิ เหลก็ เริ่มเขา้ มาแล้ว อาคารนจ้ี งึ มกี ารใช้ ค.ส.ล. ร่วมกับระบบ โครงสรา้ งแบบก�ำ แพงรับน�ำ้ หนกั ซงึ่ เป็นเทคนคิ ฝรัง่ แต่ดั้งเดิม ซุ้มเหนอื หนา้ ตา่ งเปน็ ปนู ป้ันรปู เทพธิดาแบบฝร่งั ดังจะเหน็ ไดท้ ่ซี มุ้ ระเบยี งของอาคารกระทรวงพาณชิ ยเ์ ช่นกัน (มวิ เซยี มสยามในปัจจุบนั ) D C 14 Phra Ratchawang Metro Police Station A 79 Maha Rat Rd. T 24 hrs. A 02 224 5050 policepk.siam2web.com 100

อาคารสำ� นักงาน I Office Building อาคารกระทรวงพาณิชย์ C15 C 15 Museum of Siam D เดมิ พ้นื ท่ีตรงน้ีเป็นวงั เก่า ๔ วัง ทเี่ รยี กรวมกันวา่ กลมุ่ วังท้ายวัด 4 Sanam Chai Rd. A พระเชตพุ นฯ เป็นทป่ี ระทบั ของพระเจา้ ลกู ยาเธอในรัชกาลที่ ๓ ร่นุ แรก 10.00am-6.00pm Tue-Sun T ทอี่ อกมาครองวัง หลังจากนนั้ กม็ ีพระองคเ์ จ้าอกี หลายองค์สับเปลีย่ น 02 225 2777 A หมนุ เวยี นกันมาครองวงั ท้ังส่นี ้ี www.museumsiam.org จวบจนรัชกาลท่ี ๖ ทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหก้ อ่ ตัง้ กระทรวงพาณชิ ยข์ ้ึน museumsiamfan 101 เม่ือปี ๒๔๖๓ เพื่อแกไ้ ขภาวะเศรษฐกิจตกตำ่� และยา้ ยมาอยู่ท่ีตึกฝรัง่ สร้างใหมห่ ลังนีใ้ นปี ๒๔๖๕ ตวั อาคารออกแบบโดยนายมารโิ อ ตามานโญ สถาปนกิ ชาวอิตาลี จากกรมโยธาธกิ าร ผูอ้ อกแบบสถานตี ำ�รวจนครบาลพระราชวงั C14 ท่ี อยถู่ ดั ไปดว้ ย อาคารหลังน้นี ับไดว้ ่ารบั ใช้กระทรวงพาณชิ ยม์ าเปน็ เวลานาน จน กระทัง่ ย้ายไปทีแ่ หง่ ใหมท่ ่สี นามบินน้ำ�ในปี ๒๕๓๒ ก่อนจะอนุรกั ษแ์ ละ พัฒนาใหเ้ ปน็ อาคารจัดแสดงนทิ รรศการของมวิ เซียมสยามอย่างเชน่ ในปัจจบุ ัน The Ministry of Commerce Building: Formerly a cluster of four palaces behind Wat Pho, in the reign of King Rama VI, the Ministry of Commerce was established in 1920 and moved here in 1922. It was designed by Italian architect Mario Tamagno. The 3-story building featured a load-bearing wall system with reinforced concrete structures, so the walls were only a foot thick. The building has been restored and developed into Museum of Siam today. The distinctive feature is the stairwells at the center, which use the walls to hold the weight of each step, so they do not require any supporting columns.

ลักษณะเดน่ ของอาคารรว่ มร่นุ ในยุคนก้ี ค็ อื กนั สาดคอนกรตี เสรมิ เหล็กทย่ี ืน่ ออกมาจาก ตัวอาคารเพื่อใช้บังแดด จะเหน็ ไดว้ า่ อาคารกระทรวงพาณชิ ย์นนั้ ตงั้ หนั ทีส่ �ำ คัญการใชค้ อนกรตี เสรมิ เหลก็ ยังช่วยท�ำ ให้ หน้าเขา้ หามุมถนน ซึ่งเปน็ แนวนยิ มของการวางผงั ผนงั อาคารบางลงดว้ ย คือมีความหนาแคเ่ พียง อาคารในสมัยน้นั ๓๐-๔๐ ซม. เทา่ นน้ั ซ่ึงหากเปน็ โครงสร้างกำ�แพง รับนำ้�หนกั แล้ว ผนังอิฐจะหนาถึง ๗๐-๘๐ ซม. เลย ผังอาคารเป็นรปู ตัว E เน้นทีม่ ขุ กลางและมขุ หัว ทเี ดียว ท้าย ตามขนบของอาคารคลาสสิกแบบฝร่งั การเข้ามาของคอนกรตี เสริมเหล็กนี้ จงึ เป็นการ ดว้ ยเปน็ อาคารที่ทำ�การของหน่วยงานราชการ สง่ สญั ญาณให้รู้ว่า ...ในไมช่ า้ อาคารท่ีกอ่ สร้างตอ่ อันเน้นประโยชน์ใชส้ อยเป็นหลกั จงึ ไม่มกี ารประดับ จากนไ้ี ปจะมีลกั ษณะทเี่ รียบง่ายขึ้น และไมม่ ีการ ประดาตกแตง่ อะไรเป็นพเิ ศษ ประดบั ลวดลายมากมายอยา่ งท่ีเคยเป็นมา โครงสรา้ งอาคารเป็นผนงั รบั น�้ำ หนัก ซง่ึ ฐานรากของอาคารเปน็ คอนกรีตเสริมเหลก็ เปน็ เทคนคิ แบบโบราณของตกึ ฝรง่ั ผสมกบั รองรับผนัง คอนกรีตเสริมเหล็ก เทคนคิ ล�้ำ สมัยในยคุ น้นั ใตพ้ นื้ อาคารชนั้ ลา่ งปูด้วยแผน่ คอนกรตี ขนาด และเน่อื งจากโครงสร้างคอนกรตี เสรมิ เหลก็ ไม่ ใหญร่ ปู โค้งทัว่ ท้ังพนื้ ท่ี เพื่อป้องกนั ความช้ืนจากดนิ อาจประดับลวดลายปูนปนั้ ลงบนพื้นผวิ เพราะอาจ ซมึ เขา้ สพู่ ้นื ไม้ชัน้ ล่างได้ ถือเปน็ เทคนิคการกอ่ สร้าง หลุดรอ่ นได้ จึงท�ำ ให้อาคารดเู รยี บง่ายกวา่ ตกึ ฝรั่งใน ท่นี �ำ มาประยุกต์ใชก้ ับอาคารในภมู อิ ากาศร้อนช้ืน สมัยรัชกาลท่ี ๕ ท่ีสร้างขึ้นมาก่อนหน้าน้ี อยา่ งประเทศไทย 102

โถงบันไดกลางภายในตกึ เปน็ ไฮไลท์ ส�ำ คญั ของอาคารแหง่ นี้ ด้วยใช้ก้านคอนกรตี เสริมเหล็กย่นื ออกมาจากผนงั อาคารเปน็ โครงสร้างรบั บันไดแต่ละขั้น นำ้�หนกั เวลา ขึ้นลงบันไดจึงถา่ ยไปลงท่ผี นัง โดยไม่จำ�เป็น ต้องทำ�เสาข้ึนมารบั โครงสร้างบันไดใหร้ ก หูรกตาเลยแม้แตน่ อ้ ย โถงบันไดกลางจงึ ดู โปร่งโลง่ สามารถมองทะลถุ งึ กันไดต้ ลอด บริเวณนจ้ี ึงนับวา่ เป็นอกี จุดหนงึ่ ทท่ี กุ คนต้องมาเช็คอนิ และแชะภาพลงโซเชยี ล มีเดยี กัน...ฉะนั้นหากใครไมม่ ภี าพตรงนี้ ถอื ว่ามาไม่ถงึ นะ จะบอกให้ ! เร่ืองเล่าชาวเกาะ ค.ส.ล. ส.บ.ม. การใช้ “คอนกรีตเสริมเหล็ก” เปน็ นายมารโิ อ ตามานโญ Mario Tamagno โครงสร้างของอาคาร เรม่ิ แพรห่ ลาย สถาปนิกชาวอติ าลอี กี ผหู้ นึ่งท่เี ปน็ ก�ำ ลงั ส�ำ คัญในการปรับภูมิ อย่างยง่ิ ในสมัยรชั กาลท่ี ๖ ถอื เปน็ เทคโนโลยีการกอ่ สรา้ งแบบใหม่ ที่มา ทศั น์เมอื งบางกอกใหด้ ศู วิ ิไลซข์ นึ้ ทดแทนโครงสร้างแบบผนังรับน�้ำ หนัก นายมารโิ อ ตามานโญ (Mario Tamangno) เดินทางเขา้ มา ส่งผลใหอ้ าคารเปลี่ยนโฉมหนา้ ไปจาก เดิม กลา่ วคอื ค.ส.ล. ท�ำ ให้มีผนังท่บี าง รบั ราชการที่กรมโยธาธกิ าร ในสยาม เม่ือปี ๒๔๔๓ สมยั ปลาย ลง และชว่ ยให้สรา้ งอาคารท่มี โี ถงหรือ รชั กาลท่ี ๕ ภายใต้สญั ญาทีย่ าวนานถงึ ๒๕ ปี ขณะนั้นเองเขา พ้นื ท่ภี ายในที่โล่งกว้างกว่าเดมิ ได้ เปน็ เพียงเดก็ หนุ่มจบใหม่ในวัย ๒๓ ปเี ท่านน้ั แตก่ ็ไดส้ รา้ ง นอกจากน้ี สยามเรายังสามารถ ผลงานมากมายจนเป็นที่ประจกั ษ์ ในช่วงเวลาที่สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกเฟอ่ื งฟู ผลติ พอร์ตแลนด์ซเี มนต์ ไดต้ ัง้ แต่ อยา่ งเตม็ ที่ ณ พระนครแหง่ น้ี ปี ๒๔๕๖ แลว้ (ตน้ รชั กาลที่ ๖) ซ่งึ ผลงานทโ่ี ดดเดน่ ของเขา มกั ปรากฏในเขตเมืองใหม่ คือ นอกเกาะเมอื งออกไป ก็คือ ปูนซีเมนต์ทั่วไปท่เี ราเห็นกนั และในบรเิ วณชานเมอื งอย่างพระทนี่ ง่ั ดสุ ติ (ลานพระบรมรปู ทรงมา้ ) ตวั อย่างเชน่ อย่บู อ่ ยๆ ตามงานกอ่ สรา้ งอาคาร พระที่น่ังอมั พรสถาน พระทีน่ ง่ั อภิเษกดุสติ วังปารุสกวนั วังบางขนุ พรหม และ คอนกรตี เสรมิ เหล็กต่างๆ ท่ีมีลกั ษณะ พระทน่ี ่งั อนันตสมาคม เป็นตน้ เป็นผงปูนสีเทา กอ่ นน�ำ ไปใชต้ อ้ งผสม ตอ่ มาในสมยั รัชกาลที่ ๖ กย็ ังมีผลงานการออกแบบ ได้แก่ วงั มะลวิ ลั ย์ D06 บา้ น กบั หินหรือทรายกอ่ นนน่ั เอง พษิ ณุโลก บ้านนรสิงห์ กระทรวงพาณิชย์ (มิวเซียมสยามในปจั จุบนั ) สถานีต�ำ รวจ พระบรมมหาราชวัง และหอ้ งสมดุ เนลสนั เฮย์ส เป็นตน้ 103 สว่ นตกึ ที่ให้เช่าสำ�หรับทำ�การค้า ซง่ึ ต้งั อยูใ่ นบรเิ วณเกาะเมือง ทีเ่ ขารบั ผดิ ชอบ ก็มี “อาคารบกี รมิ ” ทีแ่ ยกสามยอด L04 เมอื่ สมัยปลายรัชกาลท่ี ๕ และ “ตลาดม่ิงเมอื ง” ท่ถี นนพาหุรดั L06 ในปลายรัชกาลท่ี ๖ ซ่งึ อาคารขนาดใหญ่ทง้ั สองแหง่ นไ้ี ดร้ ้อื ลงไป แลว้ กระทัง่ ในสมยั ต้นรชั กาลท่ี ๗ นายมาริโอ ได้จากแผน่ ดนิ สยามกลบั ไปยังบ้านเกิด เหลอื ไวแ้ ตเ่ พียงผลงานท่ที งิ้ ไว้ให้ดูต่างหนา้ อยา่ งมากมายจรงิ ๆ

ตึกฝรั่ง วังเจ้านาย Western-style Palaces ข้ึนชื่อวา่ เป็นผนู้ ำ�เทรนด์...ยอ่ มไม่ตามใครอยแู่ ล้ว เพราะฉะน้ันจงึ ไมน่ ่าแปลกใจเลยว่า คนกล่มุ แรกๆ ทเี่ ริ่มเรยี นร้แู ละรู้จกั ปรับตวั เขา้ หา วัฒนธรรมตะวันตก จะเป็นชนชน้ั น�ำ ของสยาม โดยเฉพาะเจา้ นายหนุม่ หวั กา้ วหนา้ ทัง้ หลาย ต่างพากนั ตบเท้าเกบ็ กระเป๋าเข้ามาประทบั ในตึกฝร่งั กนั ให้คึกคกั ท่ามกลางกระแสวฒั นธรรมตะวันตกทรี่ ุกคืบเข้ามาอย่างช้าๆ วังเจา้ นายสไตล์ฝร่งั ในสมัยนนั้ จึงผุดขึ้นกนั ราวกับดอกเหด็ แตท่ ่หี ลง เหลอื ใหเ้ หน็ ในเกาะรัตนโกสินทรส์ ว่ นใหญม่ กั เป็นตำ�หนกั ของเจา้ นายใน สายรชั กาลท่ี ๔ (พระเจา้ น้องยาเธอของรชั กาลที่ ๕) อยา่ งเชน่ วงั บูรพา ภิรมย์ L02 วังวรวรรณ D03 วงั สมมตอมรพนั ธุ์ D04 และวงั มะลวิ ลั ย์ D06 ครั้นเจา้ นายรุ่นต่อมา (เหล่าพระโอรสของรชั กาลที่ ๕) เสด็จกลบั จากการศึกษาต่อต่างประเทศ พ้ืนท่เี กาะเมืองก็แออดั ไปดว้ ยวงั เจ้านาย ร่นุ เก่าเสียแลว้ ทำ�ใหต้ ้องออกไปปลกู สร้างวงั กันในพืน้ ที่เมืองใหม่นอก เขตพระนครกัน อย่างเชน่ วงั ปารสุ กวนั วงั บางขนุ พรหม วงั ลดาวลั ย์ และ วงั เทเวศน์ The first group of people who became acquainted and adapted to Western influences was the Siamese elite, especially the progressive gentlemen. They were interested in Western-style architecture and had their new residences built accordingly. As Western influences crept in little by little, many Western- style palaces emerged. Some of the remaining ones include Burapha Palace, Narathip Palace, Palace of Prince Svasti Pravat, and Palace of Prince Kritakara. 104

พระท่นี ั่งอศิ เรศราชานสุ รณ์ D01 Itsaret Mansion: The mansion พระท่ีนง่ั สไตล์ยุโรปน้ีสรา้ งขึ้นใหม่ เมอ่ื คราวพระบาทสมเด็จพระปิ่น was a private residence of King เกล้าเจา้ อยู่หัวได้บวรราชาภิเษกเปน็ กษัตรยิ ์ท่ีวงั หน้า แล้วเสดจ็ ฯ มา Pinklao, King Rama IV’s viceroy ประทับทพ่ี ระราชวังบวรสถานมงคลแหง่ นเ้ี ปน็ การถาวร หลงั จากท่ีวงั and also the second king. It was หนา้ ไดร้ ้างผู้ครองมานานร่วม ๒๐ ปี one of the first Western-style พระปน่ิ เกล้าฯ ทรงเรยี กพระที่นัง่ องค์นี้วา่ “พระที่น่งั วงจันทร”์ buildings in Siam. At the time, ตามพระนามของพระธดิ า พระองคเ์ จา้ วงจันทร์ ต่อมาเม่อื พระปนิ่ the buildings were designed and เกลา้ ฯ สวรรคต จงึ ได้เปล่ยี นชื่อเป็น “อศิ เรศราชานุสรณ์” เพื่อเปน็ constructed by Thai and Chinese อนสุ รณแ์ ด่ “กรมขุนอิศเรศรงั สรรค์” ตามพระนามเดิมของพระองค์ craftsmen. Despite being a West- พระที่นง่ั อิศเรศราชานุสรณ์ ถอื วา่ เป็นพระทนี่ ่งั แบบฝร่งั องคแ์ รกๆ ern-style, two-story bungalow, the ท่ีสรา้ งข้ึนในสยามกว็ า่ ได้ ดว้ ยเป็นยุคบุกเบกิ ทเี่ รม่ิ รับอารยธรรมจาก use of space was not different from ยโุ รป ตลอดจนพระปิ่นเกลา้ ฯ เองก็เป็นเจา้ นายหัวกา้ วหน้าท่ีทรง a traditional Thai house, where the โปรดปรานการใช้ชีวติ สมยั ใหมอ่ ยา่ งชาวตะวนั ตก นอกจากนี้แลว้ dwellers would reside only on the พระทน่ี ั่งองค์นี้ยงั เคยใชเ้ ปน็ ทีต่ ้อนรบั แขกบา้ นแขกเมืองอยา่ ง เซอร์ upper floor. จอห์น เบาวร์ ิง ราชทูตองั กฤษ ครั้งมาเยอื นสยามในปี ๒๓๙๘ อีกดว้ ย ในยุคแรกของการกอ่ สร้างอาคารแบบตะวันตกในสยามน้นั ใชฝ้ ีมือ D01 Itsaret Mansion D ของช่างไทยและชา่ งจนี เป็นหลัก ด้วยยงั ไม่มกี ารว่าจ้างนายช่างฝรัง่ ให้ National Museum Bangkok, A เข้ามาทำ�หน้าท่ี การกอ่ สรา้ งตึกฝรงั่ ในสมยั น้ีจึงเป็นงานก๊อปทท่ี ำ�ให้ Na Phra That Rd. T ออกมาคลา้ ยกับอาคารต้นฉบบั แบบตะวันตก โดยจ�ำ องค์ประกอบเพยี ง 9.00am-4.00pm A แค่รูปรา่ ง และการประดบั ประดามาใชเ้ ท่าน้นั ไม่ไดท้ �ำ หน้าท่โี ครงสรา้ ง Wed-Sun except public holidays จรงิ อยา่ งสถาปัตยกรรมตน้ แบบ 02 224 1370 105 นอกเหนือจากนี้แลว้ ยังมีตึกฝรั่งร่วมรุ่นที่แผ้วถางทางมาด้วยกนั www.virtualmuseum.finearts.go.th/ ได้แก่ หมู่พระท่ีนั่งอภิเนาวน์ เิ วศ ในวงั หลวง (ปัจจบุ ันรือ้ ลงหมดแลว้ ) bangkoknationalmuseums วังสราญรมย์ (หลังเกา่ ) และเขาวงั หรือพระนครคีรี ที่เพชรบุรี ซ่ึงสรา้ ง nationalmuseumbangkok ขึ้นมาไล่เลี่ยกันในสมยั รัชกาลที่ ๔ นเี้ อง

แนวคดิ การใชพ้ นื้ ทีเ่ ป็นแบบฝรั่ง มกี ารแบง่ หอ้ งตามประโยชนใ์ ช้สอย รับแขก เสวย บรรทม แนวคดิ การใช้พืน้ ทแ่ี บบไทย มพี ื้นท่ีสว่ นกลางใชส้ อยอเนกประสงค์ พระทนี่ งั่ อศิ เรศราชานสุ รณ์มีลกั ษณะเปน็ เรอื น ชั้นบนมีระเบียงทางเดินหนา้ หอ้ ง โดยแต่ละหอ้ ง อย่างบงั กะโล หรือบา้ นท่ีพวกฝรั่งเจ้าอาณานิคม จะเปดิ เขา้ ส่รู ะเบียงนี้ สร้างอยอู่ าศยั กันในเขตร้อน มลี ักษณะเป็นตกึ ๒ ชัน้ ชั้นล่างเปน็ ท่ีพกั ของเหลา่ มหาดเล็ก ส่วนช้ันบนจะ แนวคิดการใช้พน้ื ที่เป็นแบบฝรั่ง มกี ารแยกห้อง เปน็ ทีป่ ระทบั เปน็ สัดสว่ นชัดเจนตามประโยชน์ใช้สอย เชน่ หอ้ ง เสวย หอ้ งรับแขก หอ้ งพระบรรทม ห้องแต่งพระองค์ การแบง่ พนื้ ทีใ่ ชส้ อยดงั กลา่ วสะทอ้ นให้เหน็ วา่ พรอ้ มหอ้ งสรง ตลอดจนหอ้ งหนังสอื และทรงพระ ถงึ แม้จะทรงปรับมาประทับเรือนฝรั่ง ๒ ชั้นแลว้ อกั ษร ตา่ งไปจากเรอื นไทยท่ีมีการใชส้ อยอเนก ก็ตาม แตร่ ปู แบบการใชพ้ ้นื ท่ีกย็ งั คงเป็นเชน่ จารีต ประสงคภ์ ายในพนื้ ท่ีเดยี วกัน โดยไมใ่ คร่จะแบง่ หอ้ ง เดิม ไมต่ ่างจากการประทับต�ำ หนักแบบเรือนไทยยก ไปตามหน้าทใี่ ชง้ าน ใตถ้ ุนสงู ท่ใี ชช้ ีวติ อยบู่ นเรือนชั้นบนแต่เพยี งอย่าง เดยี ว ระหวา่ งห้องไมม่ ีธรณปี ระตู ซ่ึงขัดกับประเพณี การสร้างเรือนอยา่ งไทย ทนี่ ่าสังเกต คอื ทางขน้ึ อาคารเปน็ บันไดก่ออฐิ ถอื ปูนอยภู่ ายนอกพระทน่ี ่ัง ด้วยคตไิ ทยแตโ่ บราณ การตกแตง่ ใชเ้ ครอ่ื งเรือนแบบฝรัง่ ท้ังโคมไฟ ถอื วา่ การขึ้นทางใต้ถนุ เรือนเป็นเรอ่ื งอัปมงคล ระย้า และพระแทน่ บรรทมสเี่ สาสไตลว์ คิ ตอเรยี น ที่แน่นอนคือต้องสง่ั มาจากเมอื งนอกเท่านนั้ หลงั คาเปน็ ทรงจวั่ ลาดชันนอ้ ยกวา่ หลงั คาจ่วั แบบไทย และถงึ แม้จะเปน็ ตึกแบบฝร่งั แตก่ ย็ งั คง ที่ผนังดา้ นบนท�ำ เป็นลกู กรงโปร่งเพือ่ ระบาย ขนบการใช้หนา้ บนั เปน็ พื้นทีแ่ สดงสญั ลักษณ์ของ อากาศ นับได้วา่ เปน็ การประยุกตใ์ ห้เขา้ กับสภาพ ผู้ครอบครองอยู่ อย่างท่หี นา้ จั่วของพระทนี่ ั่งอศิ เรศฯ ภมู อิ ากาศแบบร้อนช้นื ได้เป็นอย่างดี น้ีกป็ ระดับด้วยปนู ป้ันรูปปน่ิ ประดิษฐานบนพานแว่น ฟา้ ซง่ึ เป็นพระลัญจกรประจ�ำ พระองคข์ องเจา้ ฟา้ จุฑามณี หรอื พระป่ินเกล้า (จฑุ ามณี คอื ปิ่นปักจุก หรือมวยผม ซึ่งกค็ ือความหมายของคำ�วา่ ปน่ิ เกล้า นน่ั เอง) 106

พระราชวงั สราญรมย์ D02 เร่ืองเล่าชาวเกาะ พระราชวังสราญรมย์ เร่ิมก่อสร้างเม่ือปี ๒๔๐๙ ในปลายสมยั รัชกาลท่ี ๔ เพ่อื ใชเ้ ป็นท่ปี ระทบั หลังทรงสละราชสมบัตใิ หพ้ ระโอรส ดเู หมอื นเจ้านายสยามจะรูจ้ กั WFH แลว้ ออกแบบโดย เฮนรี อาลาบาศเตอร์ (ต้นตระกลู เศวตศลิ า) โดยมี หรือ Work from Home กันมาช้านาน เจ้าพระยาบุรษุ รัตนราชพัลลภ (เพ็ง) เป็นผคู้ วบคุมการก่อสรา้ ง แต่ยัง แล้ว เพราะตา่ งใชว้ ังที่ประทบั เปน็ ท่ีทรง มทิ นั แล้วเสรจ็ กส็ ้ินรัชกาลเสียกอ่ น งานไปดว้ ยในตวั หรอื มที อ้ งพระโรงเป็น พอข้ึนรชั กาลท่ี ๕ โปรดเกลา้ ฯ ให้เปน็ วังทปี่ ระทบั ช่วั คราวของ ด่งั ออฟฟศิ หลวงนั่นเอง พระเจ้าน้องยาเธอหลายพระองค์ ทโ่ี ตพอจะออกจากวงั หลวง แตว่ งั ส่วนพระองค์ยงั กอ่ สรา้ งไม่แล้วเสร็จ อยา่ งเจา้ ฟ้าภาณุรงั ษสี วา่ งวงศ์ แต่ “วังสราญรมย”์ ถือได้ว่าเปน็ ตกึ กเ็ คยประทบั อยทู่ ่ีวงั สราญรมย์น้หี ลายปี ระหวา่ งที่รอให้วงั บูรพาภิรมย์ ส�ำ นกั งานของกระทรวงแหง่ แรกๆ ของ ซึ่งเป็นทปี่ ระทับสว่ นพระองคแ์ ล้วเสรจ็ สยามเลยก็วา่ ได้ ท่มี กี ารแยกสถานที่ นอกจากนแี้ ลว้ ยงั ใชเ้ ป็นสถานทีร่ ับรองราชอาคันตุกะจากตา่ งแดน ทำ�งานกบั บ้านออกจากกนั และเปน็ ส�ำ นักงานกระทรวงตา่ งประเทศดว้ ย ทีส่ �ำ คญั คอื พระบรม โอรสาธริ าช เจา้ ฟา้ มหาวชิราวธุ สยามมกุฎราชกมุ าร ก็เคยมาประทบั โดยพระองค์เจา้ เทวญั อุไทยวงศ์ ทนี่ ่ใี นช่วงเวลาหนึ่งก่อนขึน้ ครองราชย์ จนทา้ ยท่ีสุดไดเ้ ปลี่ยนมาเป็น กรมหลวงเทวะวงศว์ โรปการ เสนาบดี อาคารสำ�นักงานของกระทรวงการตา่ งประเทศอยา่ งเต็มตวั ในสมัย กระทรวงการตา่ งประเทศขณะนั้น จะไป รัชกาลท่ี ๖ ทรงงานทก่ี ระทรวงซงึ่ ต้งั อยทู่ ีว่ งั สราญ- อาคารวงั สราญรมยจ์ ึงถือได้วา่ รบั ใช้กระทรวงบวั แก้วมาเปน็ เวลา รมย์ แลว้ จึงกลบั มาประทับทีว่ ังสว่ น ยาวนาน ก่อนทจี่ ะไดย้ า้ ยออกไปต้งั อย่ทู ่ีใหม่ตรงหวั มมุ สแ่ี ยกศรีอยธุ ยา พระองค์ ณ วังสะพานถา่ น ในปี ๒๔๓๕ นับเปน็ พระราชวงั ยุคแรกๆ ในสยาม ที่สร้างแบบตะวันตกช่วง ถอื ว่าเปน็ ธรรมเนียมปฏิบัติคร้ังแรกที่ รัชกาลที่ ๔ ที่ยงั ไมไ่ ด้มกี ารว่าจ้างนายช่างฝร่งั ท่ีเป็นสถาปนิกจรงิ ๆ มีการแยก “บา้ น” กับ “ทที่ ำ�งาน” ออก เขา้ มาออกแบบก่อสรา้ งแต่อย่างใด ต่อมามีการปรับปรงุ ใหญ่ในสมัย จากกนั รัชกาลที่ ๕ อกี หลายหน คราวนี้เองทไี่ ดม้ สี ถาปนกิ ฝรง่ั ตัวจริงเสยี งจริง เขา้ มาฝากผลงานอยู่ด้วยกันหลายคน ดังน้ันพระราชวังสราญรมยท์ ่ี Saranrom Palace: Built in เราเห็นกันอยใู่ นปัจจุบนั จงึ ลว้ นเป็นผลงานการกอ่ สรา้ งยคุ หลังในสมยั 1866 in King Rama IV’s era, the รชั กาลที่ ๕ ทั้งส้ิน one that we see today has been renovated several times in the reign of King Rama V. It was designed by foreign architects to be used as a temporary residence for young princes whose actual palaces were not yet completed. It was also used to welcome royal guests and as an office for the Ministry of Foreign Affairs. D02 Saranrom Palace D Sanam Chai Rd. A Not Open to the Public T 02 221 015 / 02 222 1035 A 107

ตกึ ทีย่ าวไปตลอดแนวถนนสนาม มุขกลาง มหี นา้ บนั เปน็ โค้งเสยี้ ว ไชยน้ี แทจ้ รงิ แลว้ คือ ดา้ นข้างของ วงกลม ประดับตราอาร์มแผ่นดิน อาคาร ในสมยั รัชกาลที่ ๕ (พระมหาพชิ ยั มงกฎุ ประดษิ ฐานเหนอื ชา้ งสามเศยี ร สว่ นด้านหน้าของพระราชวังจรงิ ๆ ขนาบข้างดว้ ยคชสีห์และราชสหี ์) นน้ั คือ ด้านสกดั หรอื ด้านแคบของ อาคาร ทีห่ ันหน้าเขา้ สทู่ ำ�เนยี บองค- มขุ หวั -ทา้ ย มีหน้าบันเป็นจว่ั มนตรใี นปัจจุบนั สามเหลีย่ มแบบวิหารกรกี ประดับ ตราพระเกย้ี ว ซ่งึ ก็คือตราลัญจกร สว่ นดา้ นยาวของอาคารทห่ี ันหน้า ของรัชกาลที่ ๕ นน่ั เอง เข้าสถู่ นนสนามไชยน้ัน เปน็ อาคาร ด้ังเดิมท่ีสร้างขึ้นมาตั้งแตแ่ รก จะเห็น อาคารสร้างเป็นรปู สีเ่ หลยี่ มลอ้ ม ได้ว่าผังอาคารเป็นรูปตัว E (เรยี กวา่ รูป รอบลานโล่งตรงกลาง มีระเบียงโดย ด้านแบบพระราชวงั ) มีมุขย่ืนออกมา รอบและกั้นหอ้ งไปตามแนวระเบียง ตรงกลาง และมีมุขหัว-ทา้ ย ทปี่ ลาย นี้ ชว่ ยใหม้ ีการถา่ ยเทอากาศ และรับ ทง้ั สองขา้ งของอาคาร แสงสว่างได้ดี เรื่องเล่าชาวเกาะ สว่ นดา้ นอนื่ ๆ ทีโ่ อบล้อมลานโล่ง ตรงกลางนัน้ ไดถ้ กู รอ้ื ถอนออกไปจน พระบรมราชานุสาวรีย์ หมด แลว้ จงึ มกี ารก่อสรา้ งต่อเติม รัชกาลที่ ๔ ขนึ้ มาภายหลังในคราวซ่อมแซมใหญ่ สร้างขึ้นเนอื่ งในโอกาสครบ ๒ ศตวรรษแห่ง สมยั ปัจจุบันนเี้ อง ปพี ระราชสมภพในพระจอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัว เมอื่ ปี ๒๕๔๗ และก่อสร้างแล้วเสรจ็ ปี ๒๕๕๒ ประดษิ ฐานอยู่ตรงน้ีเนอื่ งจากวังสราญรมย์ สรา้ งข้นึ ในสมัยพระองค์ 108

แนวถนนแพร่งนรา แผนทปี่ ี ๒๔๓๐ ก่อนตดั ถนน วงั วรวรรณ D03 แผนทปี่ ี ๒๔๕๐ เป็นวงั ทป่ี ระทบั ของพระองคเ์ จ้าวรวรรณากร แสดงต�ำ แหน่ง กรมพระนราธปิ ประพนั ธพ์ งศ์ พระโอรสในรัชกาลที่ ๔ วังวรวรรณที่ สร้างขึ้นในสมยั ตน้ รัชกาลท่ี ๕ อันเปน็ ชว่ งเวลาท่ี พระต�ำ หนัก เจา้ นายสยามหัวสมัยใหมใ่ นยุคนน้ั นิยมสร้างวงั แบบ โดนเฉือนปกี ขวา ฝร่ังกัน เมื่อมกี ารตดั ออกแบบโดยนายช่างฝรั่งเซเลปคนดงั ทมี่ งี านชุก ถนนแพรง่ นรา สดุ ในยคุ นน้ั น่นั คอื นายโจอาคมิ แกรซี ผู้ออกแบบ วงั บรู พาภริ มย์ โรงทหารหน้า (กระทรวงกลาโหม) การตัดถนนนี้ผ่าเข้าไปยังตวั พระตำ�หนัก ท�ำ ให้ ศลุ กสถาน (โรงภาษี) และคกุ มหันตโทษ เปน็ ตน้ ตอ้ งรือ้ อาคารบางส่วนลง ได้แก่ ปีกขวาท้ังหมด ดว้ ยเปน็ เจ้านายนักพฒั นาอสังหาริมทรพั ยห์ ัว คงเหลอื ไวแ้ ตส่ ่วนมขุ กลางทเ่ี ปน็ พ้ืนท่ที ้องพระโรง ก้าวหนา้ กรมพระนราธิปประพนั ธ์พงศไ์ ด้ทรงให้ กับปกี ซา้ ย ตดั ถนนสาธารณะตรงเขา้ มาในพืน้ ที่วงั เพือ่ เชื่อม ระหว่างถนนตะนาวทีด่ ้านหนา้ วัง กบั คลองคเู มอื ง ภายหลงั ถนนตดั ใหม่นี้จงึ เรียกกนั วา่ ถนน “แพรง่ ด้านหลงั อกี ทั้งต้องการใชพ้ นื้ ที่เพ่อื สรา้ งตึกแถวรมิ นรา” ซ่ึงมาจาก “นรา” ธิปประพันธ์พงศ์ นัน่ เอง สองฝง่ั ถนนไวส้ ร้างรายได้เกบ็ ค่าเชา่ อกี ดว้ ย F07 กรมพระนราธปิ ประพนั ธ์พงศป์ ระทับอยู่ทีว่ งั วร Narathip Palace: Built in early King Rama V’s era วรรณนจี้ นสนิ้ พระชนม์ ต่อมาภายหลังเปลยี่ นแปลง as a residence for Prince Narathip, it was designed by การปกครองได้ใช้เปน็ หน่วยงานของรฐั จนถงึ ราวปี Joachim Grassi. Later, a road was constructed within ๒๕๐๐ โรงเรยี นตะละภัฏศึกษาได้ย้ายมาเช่าตกึ น้ี the palace premise, with shophouses for rent, so the และเปิดการเรยี นการสอนจนกระทั่งปิดตัวลงในปี right wing was demolished, leaving only the left wing ๒๕๓๖ and the central hall. The new road was named Phraeng Nara to honor the Prince. The gingerbread-style wood- D03 Narathip Palace D en balcony overlooking the road was constructed later. 63 Phraeng Nara Rd. A Not Open to the Public T A 109

Wheaton College Archives, the University of Illinois at Urbana-Champaign ตำ�หนกั เดมิ เปน็ ตกึ ฝรง่ั กอ่ อฐิ ถือปูน หนั หนา้ ไปยงั ถนนตะนาว โดย ตวั อาคารสมมาตรกันท้ังซา้ ย-ขวา มมี ขุ กลางและบันไดทางข้ึนท่ดี า้ น นอกของอาคาร บรเิ วณมุขกลางด้านหนา้ มีกระบังรปู ครง่ึ วงกลมทส่ี ่วนหลังคา เมื่อมีการร้อื ปีกขวาของวังเพอื่ ตัดถนน ไดม้ ีการตอ่ เติมใหมข่ นึ้ อีกหลายคร้ัง จะสังเกตเห็นว่าเปน็ ยคุ ใดไดง้ า่ ย ดว้ ยมรี ปู แบบทาง สถาปัตยกรรมที่ตา่ งกนั ไปตามแต่ละยคุ สมัย กล่าวคือ ระเบยี งทางเดินไมภ้ ายนอกที่มีหลงั คาคลุมบริเวณช้นั สอง ที่หัน ออกส่ถู นนแพร่งนรา ประดับดว้ ยไม้ฉลุสวยงาม ตามความนิยมในสมยั ปลายรัชกาลท่ี ๕ ส่วนท่อี าคารดา้ นหน้ามีหน้าบันโคง้ เป็นอาคารเครือ่ งไม้ ต่อเตมิ ขึน้ มาในสมัยรัชกาลที่ ๖ ิพ ิพธภัณฑ์การแพท ์ยศิริราช เรื่องเล่าชาวเกาะ ตึึกเสาวภาคย์์ ดร.ยุว ัรต ์น เหมะ ิศล ิปน ศิิริิราชพยาบาล 110 ตึกเสาวภาคย์ ภายในศิริราชพยาบาล สร้างข้นึ ในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกบั วงั วรวรรณ โดยสถาปนิกคนเดียวกัน และมีรปู แบบท่ี คลา้ ยคลงึ กนั เปน็ อยา่ งมาก นน่ั คอื มี หน้าบนั และซมุ้ ระเบยี งโค้ง ตลอดจน มีบนั ไดทางข้นึ ภายนอกอาคารเชน่ กัน ปจั จบุ ันอาคารได้รอ้ื ถอนลงแลว้

แผนทีป่ ี ๒๔๕๐ แสดงต�ำ หนกั ใหญ่ ต�ำ หนกั บรวิ ารของหม่อมเจา้ มงคลประวัติ และสะพานสมมตอมรมารค วัังกรมพระสมมตอมรพัันธุ์์� D04 เร่ืองเล่าชาวเกาะ เหน็ ช่องทางเข้าแลว้ อยา่ เพง่ิ ตกใจ เพราะหากค่อยๆ ย่างเทา้ ผา่ น ซอกหลืบเล็กๆ นเ้ี ขา้ ไป จะพบวา่ มีของดซี อ่ นอยู่ นัน่ คือต�ำ หนักเก่าที่ สะพานสมมตอมรมารค แทรกตวั อย่อู ย่างลึกลบั ใจกลางชมุ ชนโบราณโดยรอบ สะพานสมมตอมรมารค อา่ นวา่ สม- วังแห่งน้ีเป็นของพระองคเ์ จ้าสวสั ดปิ ระวัติ กรมพระสมมตอมรพนั ธ์ุ มต-อ-มร-มารค เป็นสะพานขา้ มคลอง ซึง่ เปน็ “ไปรเวตสเิ กรตารี” (Private Secretary หรอื ราชเลขาสว่ น รอบกรุง ตรงประตผู ี พระองค์) ของรัชกาลท่ี ๕ เดิมทเี ปน็ สะพานไม้ โครงสรา้ งเป็น ตงั้ อยบู่ นถนนบ�ำ รุงเมืองฝัง่ เหนือ บริเวณประตเู มืองฝ่งั ตะวันออก เหล็ก มีรางสำ�หรับเลอื่ นพืน้ สะพานให้ ทใ่ี ช้ขนศพออกไปเผายงั วัดสระเกศ เรียกกันวา่ “ประตูผี” แยกออกจากกันไดเ้ พอื่ ให้เรือผ่านเรียก ตวั วังตง้ั อยดู่ า้ นหลังตกึ แถวซง่ึ สรา้ งยาวตลอดแนวถนนบำ�รุงเมือง กันว่า “สะพานเหลก็ ประตูผ”ี มาตั้งแตส่ มัยแรกแลว้ โดยเว้นช่องไวส้ ำ�หรับเป็นทางเข้าวัง ต่อมาในสมัยปลายรชั กาลท่ี ๕ ต�ำ หนักใหญ่ (ปัจจุบันรื้อลงแล้ว) เดิมนัน้ ตัง้ อยูก่ ลางพ้ืนที่ หันหน้า ไดก้ อ่ สรา้ งใหมเ่ ปน็ สะพานคอนกรตี ไปทางทศิ ใตเ้ ขา้ สู่ถนนบำ�รงุ เมอื ง ประดับลูกกรงปูนปัน้ และต้งั ช่อื ตาม ปจั จุบนั คงเหลอื แต่ต�ำ หนกั บรวิ ารของหม่อมเจา้ มงคลประวตั ิ สวัส- เจา้ นายทีต่ ัง้ วังอยลู่ ะแวกน้ัน ซึง่ ก็คอื ดกิ ลุ พระโอรส ซง่ึ เปน็ ตกึ แบบฝรัง่ ตง้ั อยู่ด้านข้างของตำ�หนกั ใหญ่ กรมพระสมมตอมรพนั ธ์ุ นนั่ เอง ตำ�หนกั หลงั นี้มรี ปู แบบสถาปตั ยกรรมทเ่ี รียบงา่ ย ตามมาตรฐานตกึ ฝร่ังในสมยั น้นั กลา่ วคอื เป็นอาคารก่ออฐิ ถือปูน ๒ ชั้น หลังคาป้นั หยา D04 Residence of Prince Svasti Pravat D มคี วามสมมาตรซา้ ย-ขวา หนา้ ต่างเปน็ บานเกลด็ ไม้โดยรอบ และมีช่อง Bamrung Mueang Rd. A แสงเป็นไมฉ้ ลุอยเู่ หนือชอ่ งหนา้ ต่าง Not Open to the Public T ครั้งตอ่ ไป หากจะต้องไปประกันตัวใครที่ สน.สำ�ราญราษฎร์ แลว้ ละ่ A ก็...อย่าลืมลองเขา้ ไปสำ�รวจตำ�หนักเก่าแห่งนดี้ ว้ ยนะ 111 Residence of Prince Svasti Pravat: King Rama V’s Private Secretary. The Palace was tucked away behind shophouses. The main building has been torn down, leaving only a secondary building which belonged to his son.

ต�ำหนกั หมอ่ มเจ้าจรูญศักด์ิ D05 ส่วนดา้ นริมถนนซึ่งเปน็ ด้าน ตกึ ฝร่งั หลังยอ่ มอีกหลังบนถนนพระอาทติ ย์ สร้างบนท่ีดินมรดก หน้าอาคารมเี สาสูงขึ้นไปรบั หนา้ ของเจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) ขนุ นางมอญตน้ ตระกูลคชเสนี จัว่ หลงั คาทกี่ ลางอาคารตาม ด้วยบรเิ วณนี้เปน็ ยา่ นชุมชนมอญท่ีต้งั บา้ นอยู่โดยรอบวดั ตองปุ ประเพณีนิยมของสถาปตั ยกรรม (วดั ชนะสงคราม) ซง่ึ เป็นวดั รามญั มาตงั้ แตต่ ้นกรุงแล้ว แบบคลาสสกิ จนท่ีดนิ ตกทอดมาถึง พระองค์เจา้ กฤดาภนิ หิ าร กรมหมื่นนเรศวร ฤทธิ์ พระโอรสในรชั กาลท่ี ๔ กับเจา้ จอมมารดากล่นิ อันเปน็ หลานปู่ ทิศเหนือมีมุขครงึ่ แปดเหล่ียม ของทอเรยี ะ ปัจจุบนั เปน็ ทท่ี ำ�การองคก์ าร พระต�ำ หนกั ๒ ชน้ั สรา้ งขนึ้ ในสมัยปลายรชั กาลที่ ๕ เพอ่ื เปน็ ทนุ เพือ่ เดก็ แห่งสหประชาชาติ ตำ�หนักที่ประทับของหม่อมเจ้าจรูญศกั ดิ์ และหมอ่ มเจา้ บวรเดช (UNICEF) ถนนพระอาทิตย์ กฤดากร พระโอรสสององค์โต กระทั่งในสมัยรชั กาลที่ ๗ เป็นตำ�หนกั ท่ปี ระทบั ของพระองคเ์ จ้า Charunsakdi Kritakara’s สวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศษิ ฎ์ อยรู่ ะยะหน่ึง ท่านเรยี กท่นี ว่ี า่ Mansion: The first son of Prince บ้านท่แี ม่นำ�้ Kritakara, his mansion was built ตวั อาคารเป็นตึกก่ออิฐถอื ปนู แบบฝรัง่ ท่ีนิยมสรา้ งกนั ในสมยั รชั กาล in King Rama V’s era by local or ที่ ๕ คาดว่าออกแบบก่อสรา้ งโดยช่างไทยหรอื ช่างจีน หลงั คาทรงปน้ั Chinese craftsmen. It was a small หยา มงุ กระเบ้อื งว่าว หากมองจากทางนำ้� จะเหน็ จ่ัวคู่ และมีระเบียงท่ี mansion by the Chao Phraya River, ชัน้ สองยาวขนานไปตามริมแม่น้ำ� facing Phra Athit Road. The north- ern side of the mansion features a semi-octagonal bay window. In King Rama VII’s era, it was used as a temporary residence for Prince Svasti Vatana. Currently, it serves as the UNICEF office. D D05 UNICEF A 19 Phra Athit Rd. T Not Open to the Public A 112

วังมะลิวัลย์ D06 ตัวอาคารเปน็ วงั ขนาดใหญ่ มีการแบ่งพน้ื ที่ใช้สอยชัดเจน ตำ�หนักอกี หลังท่สี รา้ งในสมยั รัชกาลท่ี ๖ บนถนน โดยด้านเหนือเปน็ สว่ นของทอ้ งพระโรง เปน็ โครงสรา้ ง ค.ส.ล. พระอาทิตย์ ลกั ษณะเปน็ ห้องโถงสงู มีระเบียงทางเดนิ โดยรอบ ส่วนด้านใต้ แตเ่ ดมิ บรเิ วณน้ีเคยเป็นทต่ี ั้งของป้อมอิสนิ ธร นนั้ เปน็ สว่ นของท่ปี ระทับ มโี ครงสร้างผนังรับน้ำ�หนัก แต่ไดร้ ้ือถอนลง แล้วสร้างเป็นต�ำ หนักใหม่เนือ่ งใน โอกาสเจริญพระชนั ษาครบ ๕ รอบของพระองค์ ภายในมกี ารประดบั ตกแต่งด้วยภาพจติ รกรรม ส่วนของ เจ้ากฤดาภนิ ิหาร กรมพระนเรศวรฤทธิ์ องคมนตรี เพดานหอ้ งโถงและหัวเสาเปน็ ศลิ ปะขอมประยกุ ต์ (พระโอรสรชั กาลที่ ๔) ซึง่ เดิมประทบั อยทู่ ต่ี �ำ หนกั เกา่ ที่อยู่ถัดไปดา้ นทศิ เหนอื ของวังมะลวิ ลั ย์นั่นเอง โครงสร้างบันไดไมม่ ีเสาข้นึ มารับ แตใ่ ช้เหลก็ แผน่ ยืน่ ออก ตึกฝรัง่ ใหญโ่ ตหลงั น้ี ออกแบบโดยสถาปนิกชาว มาจากผนัง เพื่อเป็นโครงสร้างรับบันไดแตล่ ะขน้ั แลว้ กรทุ บั อติ าลีจากกรมโยธาธิการ คอื นายมารโิ อ ตามานโญ ด้วยไม้ นำ้�หนักท้ังหมดจึงถา่ ยไปลงท่ีผนงั ทำ�ใหเ้ มือ่ เวลาเดิน (Mario Tamagno) และนายแอรโ์ กเล มนั เฟรดี ข้ึนลงกจ็ ะปราศจากเสียงดังอกี ด้วย ซ่ึงเปน็ เทคนคิ การสร้าง (Ercole Pietro Manfredi ต่อมาใชช้ อื่ ไทยวา่ เอกฤทธ์ิ บนั ไดเช่นเดยี วกบั ทอ่ี าคารกระทรวงพาณชิ ย์ C15 ท่ีสร้างชว่ ง หมนั่ เฟน้ ด)ี เวลาไลเ่ ล่ยี กนั ในยุคทค่ี อนกรีตเสรมิ เหล็กเร่ิมเขา้ มามีบทบาท กระทง่ั หลังเปลีย่ นแปลงการปกครอง ไดใ้ ช้เปน็ ท่ี ในการกอ่ สรา้ งอาคารตา่ งๆ ทั้งยงั ออกแบบโดยสถาปนิกคน พำ�นักของผู้ส�ำ เร็จราชการแทนพระองคห์ ลายท่าน เดียวกนั อกี ดว้ ย จนในชว่ งสงครามโลกครง้ั ที่ ๒ นายปรดี ี พนมยงค์ ไดใ้ ช้เป็นศูนย์บญั ชาการของฝา่ ยสมั พนั ธมิตรและ Prince Kritakara’s Palace: Formerly, this area ขบวนการเสรไี ทย ร่วมกับหนว่ ยสืบราชการลบั used to be a city fort, before it was torn down and ของอเมรกิ า (OSS) ปัจจุบันเป็นทที่ �ำ การองคก์ าร a palace was built in its place on the occasion of the อาหารและเกษตรกรรมแหง่ สหประชาชาติ (FAO) 5th cycle birthday anniversary of Prince Kritakara. วงั มะลวิ ลั ย์มกี ารใช้โครงสรา้ งคอนกรีต ผสมกบั The Palace was designed by Italian architect Mario โครงสร้างแบบผนังรับนำ้�หนัก เช่นเดยี วกบั อาคาร Tamagno from the Department of Public Works. Later, อื่นๆ ในยคุ เดยี วกันท่ีสรา้ งในสมยั รัชกาลท่ี ๖ during World War II, it served as the command center of the Allies and the Free Thai Movement. Today, it is the FAO office. D06 FAO D 39 Phra Athit Rd. A Not Open to the Public T A 113

วังจกั รพงษ์ D07 ตัง้ อยูร่ มิ แม่นำ้�เจา้ พระยา ทางตอนใต้ของเกาะ ศาลาท่าน้ำ�ก็เปน็ สงิ่ กอ่ สรา้ งดัง้ เดมิ ตงั้ แตค่ ร้ังแรก รัตนโกสินทร์ช้ันใน ท�ำ ให้เห็นวังจกั รพงษไ์ ดช้ ัดจาก สรา้ งวงั ซ่ึงสมเดจ็ พระศรพี ชั รนิ ทราบรมราชนิ ีก็ทรง ทางน�้ำ เป็นหลกั หากมองจากถนนมหาราช ซ่ึงเป็น ใช้เป็นทา่ เสดจ็ พระราชดำ�เนินมาลงเรอื พระท่ีนง่ั ท่ีน่ี ดา้ นหลังของวังแล้ว แทบจะไมส่ ังเกตเห็นเลยวา่ มวี ัง โบราณต้ังอยู่แถบนี้ สว่ นหมู่เรอื นไทยเครื่องไม้ มุงหลังคาด้วย กระเบือ้ งดินเผา อีกหลายหลังที่ตัง้ เบยี ดเสยี ดกนั เน่อื งจากวงั ตงั้ อยู่ท้ายวดั โพธิ์ ในละแวกตลาดท่า อยรู่ ิมแม่น�้ำ น้นั ทงั้ หมดเปน็ สิง่ ก่อสรา้ งในยุคหลงั เตยี น จึงเรยี กกันอย่างลำ�ลองว่า “วังท่าเตียน” ตาม ที่ทางวงั ไดป้ รบั เปลยี่ นพนื้ ที่โดยรอบบางสว่ น ให้เปน็ ท�ำ เลทีต่ ัง้ บูตกิ โฮเต็ลต้อนรับนักทอ่ งเทย่ี วต่างชาติทอี่ ยากเปดิ ประสบการณใ์ หม่ดๆี ท่นี ี่ วงั จักรพงษ์ เปน็ วังเก่าทส่ี รา้ งข้นึ ในช่วงปลาย รชั กาลท่ี ๕ ตอ่ รชั กาลท่ี ๖ เพอ่ื เปน็ บา้ นพกั ผอ่ น หากมองจากถนนมหาราช บรเิ วณหนา้ ร้านริเวอร์ ริมน�ำ้ ของเจา้ ฟ้าจกั รพงษภ์ วู นาถ และหมอ่ มคัทรนิ บคุ๊ (กิจการหน่ึงของคณุ หญงิ นรศิ รา) เขา้ ไปทาง ชาวรสั เซยี ซงึ่ โดยปกตพิ ระองคจ์ ะทรงประทบั ทวี่ งั ประตูวัง จะเห็นหลังคาของศาลาไมแ้ ปดเหล่ยี มอยู่ ปารสุ กวันเปน็ หลกั ไมไ่ กลนัก ต่อมาเปน็ ทปี่ ระทบั ของพระองคเ์ จา้ จลุ จกั รพงษ์ ศาลานเ้ี ดิมเคยตัง้ อยูท่ ีว่ งั ของพระองคเ์ จา้ จุล พระโอรส สบื ต่อมาจนถึง ม.ร.ว. นรศิ รา จักรพงษ์ จกั รพงษ์ ที่รมิ ทะเลหัวหนิ ซ่งึ ในสมัยรัชกาลที่ ๖-๗ พระธิดา และ “ฮิวโก”้ จุลจกั ร ดารานกั รอ้ งนกั แสดง นนั้ หัวหินเปน็ สถานตากอากาศสดุ ชคิ ที่เหล่าคนเก๋ ช่ือดงั กอ็ าศัยอย่ทู ่นี ่ี จนปัจจบุ นั มกั เรียกวังน้ีกนั ไก๋ไฮโซเมืองพระนครจะต้องไปพักผ่อนกนั และศาลา อย่างข�ำ ๆ วา่ “วงั ฮวิ โก้” แปดเหล่ียมรมิ ชายหาดหลงั นี้น่ีเอง กค็ อื ภาพจำ� หัวหนิ ของผคู้ นในสมัยนน้ั ตวั วังหันหนา้ เข้าสู่แม่นำ้�เจา้ พระยา มรี ูปแบบ สถาปัตยกรรมสไตล์ชนบทของอังกฤษ ไมใ่ หญโ่ ต Chakrabongse Villa: Constructed as a recreational โออา่ เป็นทางการอย่างเชน่ วงั ปารุสก์ เพราะสร้าง home for Prince Chakrabongse, it features English เพ่ือใหเ้ ป็นบ้านสำ�หรับพกั ผ่อน ออกแบบโดย นาย domestic architecture. The family’s descendants still แอร์โกเล มันเฟรดี (Ercole Pietro Manfredi live here today, and part of the palace premise is ต่อมาใชช้ ื่อไทยวา่ เอกฤทธิ์ หมน่ั เฟ้นด)ี และ converted into a boutique hotel. นายเอด็ วารด์ ฮีลี (Edward Healey) ชน้ั สองมีเฉลียงส�ำ หรับรับลมจากแม่น�ำ้ ชั้นทสี่ ี่ทำ�เปน็ หอสูงไวป้ ระดิษฐานอฐั ิรชั กาลที่ ๕ และเจา้ นายสายราชสกลุ จักรพงษ์ จะเหน็ ได้ว่า ถึงแม้จะเป็นวงั แบบฝร่ัง แตก่ ็ยงั ยึด คติการใช้พ้นื ที่แบบจารีตบางอย่างอยู่ เชน่ การน�ำ อัฐิของบรรพบุรษุ ต้งั บชู าไว้ทห่ี อ้ งส่วนทสี่ ูงทีส่ ดุ ของ เรอื น เชน่ เดยี วกับพระท่ีนง่ั จกั รีมหาปราสาทก็ยดึ คติ น้ดี ว้ ยเชน่ กนั D D07 Chakrabongse Villa A 396 Maha Rat Rd. T Not Open to the Public A 02 222 1290 www.chakrabongsevillas.com 114

ต�ำหนักเพ็ชร วัดบวรนเิ วศวหิ าร D08 Tamnak Phet, Wat Bowon Niwet: ไม่ตอ้ งทำ�หนา้ งง...วา่ หนงั สือนำ�ชมเลม่ น้ี คงจะหลงเสียแลว้ เพราะ Built in the reign of King Rama VI ดนั นำ�เสนอต�ำ หนกั เพ็ชรเอาไว้ในหมวดวงั เจ้านาย แทนท่ีจะเอาไปใสไ่ ว้ for Supreme Patriarch Prince Vajira ในหมวดวัด! nana, the building was used as a นั่นกเ็ พราะตำ�หนักเพ็ชร แทจ้ รงิ แล้ว ก็คือวงั ของพระสงั ฆราช meeting hall for Buddhist monks. นั่นเอง ซงึ่ มที อ้ งพระโรงเฉกเชน่ ตำ�หนกั ของเจ้านายอ่ืนๆ ดว้ ยเชน่ กนั It is a Western-style one-story ต�ำ หนักเพ็ชร วดั บวรนิเวศวิหาร สร้างขึ้นในสมัยตน้ รัชกาลที่ ๖ building, decorated with stucco เพื่อถวายแดส่ มเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส works featuring Thai patterns. (พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ พระโอรสรชั กาลท่ี ๔) ซงึ่ ดำ�รงตำ�แหน่ง สงั ฆราชในขณะนนั้ เพอื่ ใชเ้ ป็นท้องพระโรง ท่ปี ระชุมของมหาเถระ D08 Tamnak Phet, Wat Bowon Niwet D สมาคม และเป็นท่ตี ง้ั พระศพ 248 Phra Sumen Rd. A ตวั อาคารเป็นตกึ ฝรั่งชน้ั เดียว ต้ังอย่ใู นเขตสงั ฆาวาส มีระเบยี งยาว 02 629 5854 T ตลอดด้านหน้าของอาคาร และมีลกู เลน่ ท่มี ขุ ยน่ื ตรงมมุ อาคารดา้ น www.watbowon.org A หนา้ เพอื่ ใช้เป็นบันไดทางขึ้น ทำ�ใหต้ �ำ หนกั มผี งั เปน็ รูปตวั แอล (L) Not Open to the Public หากลองแหงนข้ึนไปดหู น้าจั่วของมขุ ทางเขา้ นี้ จะเหน็ วา่ หนา้ บันทำ� 115 เป็นลวดลายพระมหามงกุฎและวชิราวุธ นอกจากนี้แลว้ ยงั ออกแบบใหม้ ีการยกคอสองหลงั คาขึน้ โดยรอบ เพ่ือใช้เป็นชอ่ งแสง และมีคำ้�ยันไม้ฉลรุ องรับชายคา ลกั ษณะอีกอยา่ งท่ีนา่ สนใจคอื ลวดลายท่ปี ระดบั ระหว่างเสาที่ ระเบียงด้านหน้านนั้ เรยี กกันว่า ซุม้ สาหรา่ ยรวงผ้งึ เป็นการผสมผสาน ลายประดบั แบบตะวันตกและลายไทยประยุกต์ ซงึ่ เปน็ รูปแบบอนั เป็นท่ี นยิ มในสมัยรชั กาลที่ ๖

C01 หอนาฬิกาพระท่ีนง่ั ภูวดลทศั ไนย D01 พระทนี่ ง่ั อศิ เรศราชานุสรณ์ C02 สวนสราญรมย์ D02 พระราชวงั สราญรมย์ C03 พระทีน่ ั่งจักรมี หาปราสาท D03 วังวรวรรณ C04 หอคองคาเดีย D04 วงั กรมพระสมมตอมรพนั ธ์ุ C05 สสุ านหลวง วดั ราชบพิธ D05 ต�ำ หนกั หม่อมเจ้าจรูญศกั ด์ิ C06 โรงทหารหน้า D06 วงั มะลิวลั ย์ C07 โรงเรียนนายทหารสราญรมย์ D07 วังจักรพงษ์ C08 โรงสกูลสุนนั ทาลัย D08 ตำ�หนักเพช็ ร วดั บวรนิเวศวหิ าร C09 ตกึ ยาว โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลยั C10 คกุ มหนั ตโทษ C11 โรงกษาปณ์สทิ ธิการ C12 โรงพมิ พ์บ�ำ รุงนกุ ลู กจิ C13 กรมทหารมหาดเลก็ รกั ษาพระองค์ C14 สถานีตำ�รวจนครบาลพระราชวงั C15 อาคารกระทรวงพาณชิ ย์

ผู้ดีเดินตรอก Alleys for the Elite หากถามว่าพวกขนุ นางในสมยั กอ่ นเค้าอยเู่ ย่ียงไรในยคุ ท่สี ยามตอ้ ง ปรบั ตวั เข้าหาตะวันตก เคา้ ก็อยูเ่ รอื นไม้อย่างฝรง่ั กนั สิ โดยสรา้ งบา้ นกนั ตามตรอกแคบๆ ท่ีใช้เป็นทางเดนิ เท้าได้เท่านัน้ ด้วยในสมัยน้ันยงั ไม่จ�ำ เปน็ ต้องมีรถกนั บา้ นคุณหลวงคณุ พระเหล่าน้มี กั ปลูกเรือนใกล้ๆ กันเปน็ ชมุ ชน ลอ้ มรอบ ด้วยตึกแถวทอี่ ยูต่ ดิ ถนน เรอื นท่สี รา้ งในชว่ งรัชกาลที่ ๕-๖ มกั เป็นเรือนมะนิลาอยา่ งฝรง่ั หลังคาเป็นป้ันหยาผสมหน้าจว่ั มีหนา้ ต่างบานเกร็ดไม้ มรี าวระเบียง ช่องแสง เชิงชายเป็นไม้ฉลุอย่างขนมขงิ ในยคุ ตอ่ มาจึงเรม่ิ พฒั นาเป็นหลงั คาจัว่ ตัด และมมี ุขหลายเหล่ยี ม ที่มมุ ด้านหน้า When Siam first tried to adapt to Western culture, the Siamese elite had Western-style bungalows built alEo0n1g small alleys which could only be accessed on foot, since cars were not necessary at the time. They usually built a cluster of bungalows, surrounded by roadside shophouses. The homes built in the late 19th century to early 20th century (King Rama V’s and King Rama VI’s eras) were typically called “manila” homes with hip and gable roofs, wooden louver windows, and gingerbread-style veranda railings, ventilating grills, and trims at the eaves. Later, the style shifted to a jerkinhead roof with bay windows.

E01 บา้ นพระศรสี าคร E02 บา้ นลับ หลังร้านนม E03 บ้านรอ้ ยปี ตรอกตึกดนิ E04 บ้านละครไทยศิริ E05 บ้านจงเกษม E06 บา้ นเขียว ตรอกตกึ ดิน E07 บา้ นพระยาวิเศษสงคราม E08 บ้านนพวงศ์ E09 บ้านหลวงสุนทรนุรักษ์ (บ้านวรรณโกวิท) E10 บา้ นพระวิทยานุวตั ิการ (บา้ นมะเฟอื ง) E11 บ้านหลวงบรรสบวิชาฉาน E12 บา้ นขนุ ประเสรฐิ ทะเบยี น E13 บ้านหมอหวาน E14 บ้านหมอฟืน้ บุณยะรตั เวช E15 บา้ นขุนทรงสขุ ภาพ E16 บา้ นเทพทบั E17 บ้านพระยาพิทักษเ์ ทพมณเฑยี ร E18 บ้านหลวงสวสั ดวิ์ รฤทธิ์ E19 บา้ นขนุ วิสุทธสิ มบัติ E20 บา้ นพระยาอรรถวริ ัชวาทเศรณี E21 บา้ นผา่ นฟา้ E22 บา้ นบุระเกษตร E23 บา้ นพระยามหาวินิจฉยั มนตรี E24 บา้ นพระยาอาทรธรุ ศิลป์ E25 ร้านอาหารนมั เบอร์วัน

บ้านพระศรสี าคร E01 Bandhumasuta House: Located นบั เปน็ เรือนไม้ขนาดใหญ่ในละแวกชมุ ชนหลัง inside a community behind Loha วดั ราชนดั ดา ที่มบี า้ นเก่าเหลือให้เชยชมอยเู่ พยี งไม่ Prasat (Iron Stupa), the house กี่หลงั formerly belonged to German เล่ากันมาวา่ แต่เดิมเปน็ บ้านทมี่ ชิ ชนั นารีชาว missionaries. When World War I เยอรมนั ปลกู อยูอ่ าศยั กนั แต่เมอื่ เกดิ สงครามโลก erupted in 1917, King Rama VI คร้ังที่ ๑ ในปี ๒๔๖๐ รัชกาลท่ี ๖ ประกาศสงคราม declared war with Germany, and กับเยอรมนั บา้ นจึงโดนยึดเป็นของหลวง พระศรี the house was confiscated. It was สาคร (ชอ้ ย พนั ธมุ สตุ ) สงั กดั กรมสรรพากร later given to the first generation กระทรวงพระคลงั จึงได้รบั พระราชทานเรอื นหลงั น้ี of the Bandhumasuta family, who ตามบรรดาศกั ดทิ์ ไี่ ด้ worked in the Revenue Department. เรือนไมห้ ลังนีค้ าดว่าสร้างข้นึ ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ดว้ ยมีผงั เปน็ รูปตัวแอล (L) ซง่ึ เปน็ รูปแบบการสร้าง The layout was an L shape, เรือนในสมัยน้ัน ทช่ี ั้นลา่ งด้านหน้าเป็นระเบยี ง which was popular at the time. The หลังคาทรงป้ันหยา หลงั คาด้านหน่ึงทำ�เปน็ จัว่ ground floor had a front veranda ตดั อันเปน็ ลูกเล่นการทำ�หลงั คาในสมัยรชั กาลท่ี ๖ and a hip roof with a jerkinhead สว่ นมุขด้านหน้าทำ�หลงั คาเปน็ หน้าจว่ั roof on the side. The protruding หนา้ ต่างบานเกร็ดไม้ ตามขอบชายคาประดับ portico at the front featured a ไม้ฉลุ gable roof and wooden louver windows with gingerbread trims at the awnings. E01 Bandhumasuta House D Community behind Loha Prasat A Not Open to the Public T A 119

เรื่องเล่าชาวเกาะ บ้านลบั หลังรา้ นนม E02 ตึกดิน คือ? หลายคนคงเคยดน้ั ด้นมากนิ นมที่รา้ นมนตก์ นั บอ่ ยๆ ตกึ ดินหาใช่ตึกท่สี ร้างด้วยดนิ อย่างพวก แต่นอ้ ยนักทจ่ี ะรู้ว่า ทีถ่ นนดนิ สอ บรเิ วณหนา้ ศาลาวา่ การกรุงเทพฯ บ้านจนี ไม่ แห่งนี้ จะมีบา้ นเก่าสุดเก๋าแฝงตวั อยดู่ า้ นหลังรา้ นนม แตค่ อื ตึกท่ีใชเ้ ก็บดินปนื ตวั อาคารก่ออฐิ เขา้ ตรอกท่ขี า้ งรา้ นไป จะพบกับบา้ นเลขที่ ๑๖๐ ถนนดินสอ คอื ถือปนู มผี นงั หนา มหี น้าต่างบานเล็กๆ บ้านลบั ทเ่ี รากลา่ วถึง เนอื่ งดว้ ยใช้เก็บวัตถุอันตราย ตกึ ดนิ จงึ เรอื นไมป้ ระดับลวดลายฉลุหลงั นี้ถือวา่ มีอายุเก่าแก่ คาดว่าสร้างขึ้น สรา้ งใหอ้ ยูอ่ ย่างโดดเด่ยี ว แวดล้อมด้วยที่ ต้งั แตก่ ลางรัชกาลท่ี ๕ เลยทีเดยี ว ว่างโลง่ เว้ิงว้างโดยรอบ ทำ�ไมเราจงึ รู้ เพราะเป็นบ้านไมท้ ี่สรา้ งเลียนแบบตกึ ปูน ๒ ช้นั แบบ เพราะหากเกดิ อุบตั ิเหตรุ ะเบดิ ข้นึ มาแลว้ ฝร่งั หนะ่ สิ ชมุ ชนโดยรอบจะได้ปลอดภยั บา้ นเรอื นไม่ ในสมัยรัชกาลท่ี ๕ ตึกฝรั่งแบบน้มี ใี ห้เหน็ กนั อยู่พอสมควรแลว้ ใน ติดไฟวอดวายไปดว้ ย พระนคร แตส่ ว่ นใหญ่กม็ กั เปน็ ต�ำ หนักเจ้านาย พวกขนุ นางถา้ จะสร้าง แรกสรา้ งกรงุ เทพฯ นน้ั ตึกดนิ ตัง้ อยู่หน้า เรือนอยา่ งฝรัง่ แลว้ หละ่ ก็ มกั จะสรา้ งดว้ ยไมก้ ัน ด้วยยังไม่กลา้ ท�ำ เปน็ พระบรมมหาราชวงั แถวถนนสนามไชย ตึกเทียบช้นั เจา้ นายได้ (ตรงทีเ่ ป็นวงั สราญรมย์ในปจั จบุ ัน) ลองสงั เกตท่เี หนือชอ่ งหนา้ ตา่ งชัน้ บน ประดบั ด้วยจ่วั ไมส้ ามเหลี่ยม ต่อมาราวรชั กาลท่ี ๔ ได้ย้ายใหไ้ กลจากวัง ปา้ นๆ เลยี นแบบหน้าจั่วปูนปนั้ เหนือหนา้ ตา่ งในงานของฝรงั่ หลังคาเปน็ หลวงออกไปหน่อย ทรงปนั้ หยาแบบเรือนฝรง่ั แต่เปน็ แบบท่มี ีหนา้ จัว่ เล็กๆ อยู่ท่หี ัว-ท้าย ทที่ ่งุ ว่างดา้ นเหนือของพระนคร ติดคลอง ที่ส�ำ คญั เป็นเรอื นเพียงไมก่ ห่ี ลงั ในเกาะรัตนโกสินทร์ทีย่ ังคงมุง หลอดวัดราชนัดดา เหนือวดั มหรรรณพาราม หลังคาด้วยกระเบ้อื งดนิ เผาอยู่ แสดงให้รวู้ า่ สร้างในยคุ กอ่ นทีก่ ระเบอื้ ง มีการยกร่องท�ำ สวนโดยรอบ เพอื่ ใชเ้ ปน็ ว่าว (กระเบ้อื งซีเมนต์) จะมาถงึ พน้ื ทฉี่ นวนกันไฟ ลองมองขา้ มรั้วไปทางดา้ นขวามือ เรอื นไม้เกา่ ๆ ของเพอ่ื นบ้านก็ใช่ สว่ นตรอกตกึ ดิน เปน็ ตรอกชายขอบ ย่อย มีหน้าจวั่ ฉลลุ าย ปริมณฑลของตกึ ดิน ขนานไปกบั คลอง หลอดทางดา้ นใต้ คนละฝั่งกันกบั ตึกดนิ Hidden House behind Mont Milk: This wooden gingerbread house was ถอื เป็นชมุ ชนเก่าหลังวดั มหรรณพ built a long time ago, perhaps in the late 19th century. The style of the เมื่อมีการตัดถนนราชดำ�เนนิ ในช่วงปลาย house mimicked that of a Western-style 2-story brick and mortar building. รชั กาลท่ี ๕ ซ่ึงผ่าทะลุอาณาบริเวณของ It has a hip roof like a Western home, but with two tiny gables at the ตึกดินนนั้ front and back. Interestingly, it is one of the few remaining homes in the ตวั อาคารท่ีใช้เกบ็ ดินปืน ซ่งึ ขณะนน้ั ต้งั อยู่ Old Town with terracotta roof tiles today. ริมถนนราชด�ำ เนนิ ดา้ นใต้ ไดเ้ ปลย่ี นมาเป็น ตึกเรียนของโรงเรยี นสตรวี ิทย์ในยุคตัง้ ไข่ 120 กอ่ นท่จี ะย้ายขา้ มฟากถนนราชดำ�เนนิ ไป ฝังรากอยู่ท่ฝี ัง่ เหนอื ณ ทีท่ ่เี ป็นทีต่ งั้ ของ โรงเรยี นในปัจจุบัน

บ้านร้อยปี ตรอกตกึ ดนิ E03 ระเบยี งไม้ชน้ั สอง เจาะเป็นชอ่ งประตูโดยรอบ ถอื เป็นไฮไลท์ของตรอกตกึ ดินแหง่ น้ี เพ่อื เปิดเข้าไปยงั หอ้ งภายในเรอื นได้อกี ด้วย ดว้ ยเปน็ เรือนของหลวงสมรภมู พิ ชิ ติ (สกลุ ไชยา ค�ำ ) ทสี่ ร้างมาต้ังแตร่ าวปลายรชั กาลท่ี ๕ หรอื ตน้ รชั กาลท่ี ๖ ปัจจุบันทายาทรุน่ ที่ ๔ ยังคงอาศัยอยทู่ ่ีเรือน หลงั น้ี ซง่ึ ได้รับการดแู ลให้อยใู่ นสภาพดเี ยย่ี ม ลักษณะเรือนมีผงั เปน็ รปู ตัวแอล (L) อันเป็น แบบฉบับของเรือนไมใ้ นสมัยปลายรัชกาลที่ ๕ ถงึ รชั กาลที่ ๗ คอื มมี ขุ ยน่ื ออกมาด้านหน้าท่ปี ลายดา้ นใดด้าน หนึ่งของเรือน ไมไ่ ด้อยตู่ รงกลางอย่างตกึ ใหญ่ทีเ่ ปน็ อาคารราชการ พน้ื ท่บี รเิ วณมมุ ตัวแอลน้ีมักท�ำ เปน็ เฉลยี งหนา้ บ้าน เพอื่ ใชเ้ ป็นทางเข้าหลกั ทีเ่ ป็นลกั ษณะเฉพาะของเรือนรอ้ ยปีน้ีก็คือระเบียง ไม้ชนั้ สองของบา้ น ทีย่ ่ืนออกมาโดยรอบ คลา้ ยกบั ระเบียงไม้รอบตำ�หนักวังวรวรรณทีแ่ พรง่ นรา D03 ซง่ึ ต่อเตมิ ขึ้นในสมยั เดยี วกัน Jayagam House: Built in the early 20th century (towards the end of King Rama V’s era or early in King Rama VI’s era), the house is now occupied by the fourth generation of the Jayagam family. The layout forms an L shape, as typical in homes in King Rama V’s era through King Rama VII’s era, with a protruding portico on one side, a front veranda, and cantilevered corridors on all sides of the upper floor. หากอยากเยีย่ มยลบ้านรอ้ ยปี ตรอกตึกดิน อยา่ งใกล้ชิด ให้ E02 Hidden House behind Mont Milk E03 Jayagam House D ลองแวะมากนิ กลางวันทนี่ ่ี 160 Off Dinso Rd. 72-74 Tuek Din Alley A Not Open to the Public 10.30am-1.00pm Mon-Fri T คุณย่าคุณยายในบา้ นนีพ้ ร้อมตอ้ นรบั ทุกท่านด้วยเมนไู ม่ซ�้ำ 02 224 1093 A กันในแตล่ ะวนั 121 เปิดบรกิ ารเฉพาะม้อื เทยี่ ง วนั จันทร์ ถึงศุกร์ ตง้ั แต่เวลา ๑๐:๓๐ น. ถึง ๑๓:๐๐ น. เท่านนั้ รสชาติดี ราคายอ่ มเยาว์ เพราะไมไ่ ดห้ วังก�ำ ไร หากเปน็ ความ สขุ ใจของผูส้ ูงวัยทอ่ี าศยั ในบ้านโบราณแหง่ นี้ ไปไมถ่ ูก ถามไดท้ ่ี ๐๒-๒๒๔-๑๐๙๓

เร่ืองเล่าชาวเกาะ บา้ นละครไทยศริ ิ E04 บ้านน้ีมีมุขเยอะ ไทยศริ เิ ปน็ คณะละครร�ำ เกา่ แก่ ทส่ี บื ทอดมา บ้านทม่ี ีมขุ หลายเหลยี่ มบรเิ วณด้านหนา้ หรอื ด้านข้างของ หลายชวั่ อายุคนแล้ว อาคาร มปี รากฏอยู่หลายทใ่ี นเกาะรตั นโกสนิ ทร์ เปน็ คณะโขนราษฎร์ ที่เรยี กกนั วา่ โขนโรงวัด อยา่ งเชน่ ตำ�หนักหม่อมเจ้าจรูญศกั ด์ิ กฤดากร (ส�ำ นกั งาน มหรรณพ์ แสดงละครแกบ้ นทศ่ี าลหลกั เมือง UNICEF ถนนพระอาทติ ย์ ในปัจจบุ ัน) เปน็ ตึกแบบฝรงั่ ซึ่งสร้าง ตัวบ้านต้ังอยูร่ มิ คลองหลอด เป็นบา้ นไม้ ๒ ช้ัน ตั้งแตป่ ลายรัชกาลที่ ๕ แล้ว มมี ขุ คร่ึงแปดเหล่ียมที่ดา้ นหน้า อนั เป็นเทรนดใ์ น ส่วนบา้ นขุนนางและสามัญชน ก็มบี ้านพระยาพิทักษเ์ ทพ สมัยรัชกาลที่ ๖-๗ มณเฑียร (ตรอกเสถยี ร), บา้ นขนุ ประเสริฐทะเบียน (บ้าน ปัจจุบนั เปิดใหบ้ ริการเปน็ เกสตเ์ ฮา้ ส์ ขนมปงั ขิง หลงั โบสถ์พราหมณ)์ , บา้ นขุนพิสิษฐสารากร ถนน พระอาทิตย์ (ซ่อนตวั อยใู่ นตรอกข้างรา้ น Hemlock), บ้านบุระ Thai Siri House: Thai Siri is a traditional Thai dance เกษตร (เชงิ สะพานเฉลมิ วันชาติ ริมคลองบางลำ�พู), บ้านหมอ troupe which has been around for a long time. In the เหรียญ ชตุ ิชูเดช ตรอกมะยม (รา้ นต้มยำ�กุง้ ถนนขา้ วสาร ใน past, this private-owned dance troupe did performances ปัจจบุ นั ) และท่บี ้านละครไทยศริ ิ ตรอกตึกดนิ แหง่ นี้ at the City Pillar Shrine. Their house is located on Tuek Din Alley and is a 2-story wooden house with a semi-octagonal bay window, which was a popular trend in the 1910s-20s in the eras of King Rama VI and King Rama VII. Today, the troupe is no longer in business, and this house is now a guesthouse. D E04 Thai Siri House E05 Chong Kasem House E06 Green House on Tuek Din Alley A 155 Tuek Din Alley 34 Tuek Din Alley 58 Tuek Din Alley T Not Open to the Public Not Open to the Public Not Open to the Public A 122

บา้ นจงเกษม E05 แตด่ ัง้ เดิมเป็นเรอื นของรองอำ�มาตย์ตรี สุนทร จงเกษม ทเ่ี ข้ารบั ราชการกรมป่าไม้มาต้งั แต่สมัย ปลายรัชกาลที่ ๕ แล้ว บ้านเขยี วตรอกตึกดิน E06 เป็นบา้ นไม้โบราณอกี หลังในตรอกตึกดนิ คาดวา่ ตัวบ้านเป็นเรอื นมะนิลา หลังคาป้ันหยา มหี น้า เดิมคงเป็นของขนุ นางในสมัยรชั กาลท่ี ๖-๗ จว่ั ทมี่ ขุ หนา้ ผงั อาคารมีลกั ษณะเช่นเรือนหลังอนื่ ๆ ในซอย น้ี คอื เป็นรปู ตัวแอล (L) อันเป็นประเพณีนยิ มของ ผงั เปน็ รูปตวั แอล ซ่งึ เปน็ เอกลักษณเ์ ฉพาะของ ผงั บา้ นไม้ทส่ี ร้างในสมัยปลายรัชกาลท่ี ๕ ถงึ รัชกาล บา้ นในสมยั ปลายรัชกาลท่ี ๕ ถึงรัชกาลที่ ๗ ท่ี ๗ กล่าวคอื มีมุขยนื่ ออกมาท่ปี ลายด้านหนง่ึ มี บันไดจากภายนอกขนึ้ ไปยังระเบียงที่ช้นั บนซงึ่ ยาว มจี ุดนา่ สนใจคือการเซาะรอ่ งเปน็ ริ้วๆ ทเ่ี สา ไปตลอดด้านหน้าบา้ น เพอ่ื แจกเข้าไปยงั หอ้ งตา่ งๆ เลียนแบบงานกอ่ ด้วยหิน (Rustication) ซ่ึงนยิ มทำ� ภายในเรือนอีกที กนั ในตกึ ฝรั่งทงั้ หลายในขณะน้นั ลกู กรงระเบยี งเปน็ เหล็กหลอ่ ชอ่ งระบายอากาศ เหนือประตูหนา้ ตา่ งเป็นไม้ฉลุลวดลายสวยงาม ปัจจุบันทายาทไดข้ ายให้กับเจ้าของใหม่ ซึ่งได้ มขุ หนา้ มหี ลังคาทรงจ่ัวตัด ซึง่ เป็นทนี่ ิยมกนั มาก ปรบั เปล่ยี นพืน้ ที่บางสว่ น เชน่ ปรับหอ้ งชน้ั สองด้าน ในสมัยรัชกาลท่ี ๖-๗ หนา้ ใหเ้ ป็นระเบียง ปจั จุบนั เจา้ ของแบง่ พนื้ ท่เี ป็นห้องเช่าเพื่ออยูอ่ าศยั Chong Kasem House: Originally, it was occupied by the Department of Forest officer. The house forms an L shape and is a “manila” style with a hip roof and a gable at the front. An interesting feature is the wooden pilasters with grooves to imitate stone masonry which was popular in Western buildings at the time. Today, Green House on Tuek Din Alley: It is assumed to parts of the house have been renovated and it looks have belonged to a nobleman in King Rama VI’s or different from its original design. King Rama VII’s era. The house has the same layout as those on the same alley, with an L shape design. It has เร่ืองเล่าชาวเกาะ external steps leading to the corridor of the upper level. The house features cast iron balustrades and ดับกระหายท่ีท้ายซอย perforated wooden ventilation grills. Today, the home เดิมชมบ้านเกา่ ตรอกตกึ ดนิ มาจนถงึ is rented out. ทา้ ยซอย จะพบกับ “บา้ น ลลิณ” คาเฟ่ เลก็ แต่ไมล่ ับ บ้านไมเ้ ก่าๆ หลังน้ี ถึงแมค้ วามงามและ คุณคา่ ทางสถาปัตยกรรมอาจจะไมโ่ ดดเด่น แตส่ ำ�หรับเรื่องรสชาตอิ าหารและเครื่องด่มื ของทน่ี ีแ่ ลว้ ตอ้ งบอกวา่ ไม่เป็นรองใคร เพราะคอื ร้านของ เชฟพลอย แห่งรายการมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ เมนูแนะนำ�คือ เคก้ แตงไทยราดซอ้ สกะทิ และส้มฉนุ เยน็ ฉ�ำ่ หอมกลิม่ ส้มซา่ ส่วนเครือ่ งดมื่ กม็ ี น�ำ้ สบั ปะรดพริกเกลอื และน�้ำ ฝรัง่ บว๊ ย ดับรอ้ นผ่อนกระหายยามบ่ายๆ ไดด้ ี ตกเยน็ เป็นเชฟเทเบ้ิล ตอ้ งจองลว่ งหน้าเท่านัน้ จร้า 123

บา้ นพระยาวิเศษสงคราม E07 บ้านนพวงศ์ E08 เรอื นไมส้ กั สองช้ันสีครมี หลังนี้ แตเ่ ดมิ เป็นบา้ น บ้านไมห้ ลังยอ่ มหลังน้ีเดมิ เป็นของหมอ่ มหลวง ของพลตรี พระยาวิเศษสงคราม (ช้อย จนั ทรสนธ)ิ ดิศพงศ์ นพวงศ์ สรา้ งขนึ้ ในปี ๒๔๘๘ อนั เปน็ ชว่ งที่ สนั นิษฐานวา่ สรา้ งขน้ึ ในสมยั ปลายรชั กาลท่ี ๖ สงครามมหาเอเชียบรู พา หรอื สงครามโลกคร้งั ท่ี ๒ เนื่องจากมีองคป์ ระกอบทางสถาปตั ยกรรมท่ีเปน็ ที่ ใกล้จะสงบลงแล้ว วัสดทุ ี่ใช้ในการกอ่ สร้าง อย่างเช่น นิยมในยุคนนั้ คอื ไม้ สงั กะสี และเหล็ก จงึ ไดม้ าจากค่ายทหารญป่ี ุ่นท่ี ผงั เรือนเปน็ รูปตวั แอล (L) มมี ขุ ด้านหน้า หลังคา เขา้ มาตั้งฐานปฏิบัติการในเมืองไทย จัว่ ตดั อนั เปน็ ลูกเล่นในการดีไซนห์ ลังคาท่ีรบั มาจาก ผงั เรอื นเป็นรปู ตวั ที (T) สมมาตรซา้ ย-ขวา ท่ี ตะวนั ตก (บา้ นที่สร้างก่อนหน้านี้ มกั มที รงหลงั คา มขุ กลาง หลังคาเป็นจ่วั ย่ืนมาดา้ นหน้า และเนื่องจาก เป็นแบบมะนิลากนั คอื เป็นปัน้ หยา ผสมกบั หน้าจั่ว ก่อสรา้ งในยุค 1940s ทซี่ ่งึ รปู แบบสถาปัตยกรรม ยงั ไม่พัฒนาเปน็ ทรงจว่ั ตัด) แบบโมเดริ น์ เปน็ ท่นี ยิ ม บา้ นนพวงศ์จงึ แผงด้วย อีกทง้ั เป็นเรอื นยกพ้นื มีใต้ถนุ เต้ียๆ เพ่ือใช้เก็บ กลิ่นอายของบ้านแบบโมเดิร์นที่เรียบงา่ ย ไมป่ ระดบั ของและช่วยในการระบายอากาศ ระบายความชนื้ ประดา ออกแบบโดย หลวงบุรกรรมโกวทิ ปัจจบุ ันเรอื นหลังนี้ไดเ้ ปล่ยี นมือไป เจา้ ของใหม่ บ้านนพวงศ์ตกเป็นของลูกสาว และตอ่ มาหลาน ซง่ึ เปน็ สถาปนกิ ได้ปรบั ปรงุ อยา่ งดเี ยย่ี มเพ่อื เป็น ตาไดป้ รบั ปรุงเรือนไมท้ ี่เก่าแกท่ รุดโทรมใหก้ ลายเปน็ เรือนแรมสำ�หรับนกั ทอ่ งเท่ยี ว ในช่ือว่า “บ้านดินสอ บูติกโฮเต็ลขนาดเลก็ ซง่ึ ต้งั อยเู่ งียบๆ เนย้ี บๆ ดา้ น บูตคิ โฮสเทล” หลังโชว์รูมเบนซ์ ถนนราชด�ำ เนิน ไม้ฉลลุ ายทป่ี น้ั ลม ซึง่ นิยมในบ้านสมยั รัชกาลที่ ๕-๖ ได้ตอ่ เตมิ เขา้ มา Chandrasandhi House: The house originally be- ในภายหลงั longed to a major general in the Chandrasandhi family. It might have been built in the 1910s towards the end Navavongs House: Built in 1945 during the end of of King Rama VI’s era. The house forms an L shape World War II, it is a 2-story house with a symmetrical with a front portico and a jerkinhead roof, which was T-shaped layout and the protruding portico. It is a a Western roof design. The house is slightly elevated Western-style bungalow, but adapted to suit Thailand’s and the space is used for both storage and ventilation. hot and humid weather. The house features Modern Its current owners, an architect couple, have restored architecture with a simple design. Today, it has been the house into a hostel named Baan Dinso Boutique restored and converted into a boutique hotel. The gin- Hostel at Trok Sin. gerbread gable trims at the front were later added. D E07 Baan Dinso Boutique Hostel E08 Baan Noppawong A 113 Trok Sin Alley 112-114 T 096-565-9795 Soi Damnoen Klang Tai A www.baandinso.com 02 224 1047 Baandinso.hostel Baannoppawong 124


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook