โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๓๓ จังหวดั ลพบุรี สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
การพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น เร่อื ง การอ่านสะกดคำท่ไี ม่ตรงมาตรา โดยใชแ้ บบฝึกทักษะการอ่านและการเขยี นภาษาไทย ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 ปีการศกึ ษา 2563 นายไพโรจน์ ศรีคง ครู โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๓๓ จังหวดั ลพบุรี สำนักบรหิ ารงานการศกึ ษาพเิ ศษ สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ
คำนำ การจัดทำรายงานการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านสะกดคำที่ไม่ตรงมาตรา โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2563 ฉบับนี้ จัดทำขึ้นเพื่อรายงานผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนการอ่าน สะกดคำที่ไม่ตรงมาตรา ซึ้งผูร้ ายงานได้ศึกษาคน้ ควา้ เอกสารงานวจิ ัยต่าง ๆ เพื่อนำความรู้มาใช้ในการ พฒั นาการเรียนการสอนของตนเอง และพฒั นาการเรียนรขู้ องนกั เรียน โดยพัฒนาส่อื นวัตกรรมมาใช้ให้ เหมาะสมกับนักเรียน โดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งได้ดำเนินการพัฒนาใน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 ขอขอบพระคุณผู้เชี่ยวชาญทุกท่านที่กรุณาให้ความรู้ คำปรึกษา คำแนะนำในกระบวนการ พัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน จนงานสำเร็จลุล่วงด้วยดี ขอบคุณคณะครู นักเรียนชั้ น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการพัฒนาครั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานฉบับน้ี จะเป็น ประโยชน์อยา่ งย่งิ ตอ่ ผู้ทเี่ กี่ยวข้องกับการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนภาษาไทยได้อกี ทางหน่ึง ไพโรจน์ ศรคี ง ครู
ก ชอื่ เรื่อง การพฒั นาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น เรอื่ ง การอา่ นสะกดคำท่ีไมต่ รงมาตรา โดยใช้แบบฝึกทกั ษะการอา่ นและการเขียนภาษาไทย ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 ปีการศกึ ษา 2563 ผ้รู ายงาน นายไพโรจน์ ศรีคง หน่วยงาน โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๓๓ จงั หวัดลพบรุ ี สำนกั บริหารงานการศกึ ษาพเิ ศษ บทคัดย่อ การทำวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านสะกดคำที่ไม่ ตรงมาตรา โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2563 มีวตั ถุประสงคเ์ พอ่ื 1) เพอ่ื พัฒนาผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น เรือ่ ง การอา่ นสะกดคำท่ไี ม่ตรงมาตรา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1/3 2) เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทย ให้มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1/3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 จำนวน 35 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกสุ่มแบบ เจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนา ทกั ษะการอ่านและเขียนภาษาไทย จำนวน 4 แบบฝกึ และแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบ ปรนัย ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตวั เลอื ก จำนวน 30 ขอ้ แบบแผนการทดลองใช้แบบกลุ่มเดียว (One Group Pre-test Post-test Design) สถิติที่ใช้คือ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผล การศกึ ษาค้นคว้าพบวา่ 1. ผลท่เี กิดกับนกั เรียนหลังการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอา่ นสะกดคำที่ไม่ตรง มาตรา โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1/3 พบว่านักเรียนมี ทักษะการอา่ นและเขยี นดีขน้ึ ซงึ่ ส่งผลใหน้ กั เรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง การอ่านสะกดคำท่ีไม่ ตรงมาตรา สงู ข้ึน มีค่าเฉล่ยี ร้อยละ 86.29 2. การพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำมี่ไม่ตรงมาตรา โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการ เขยี นภาษาไทย ของนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 1/3 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.14/86.29 ซึ่งสูงกว่า เกณฑม์ าตรฐานทตี่ ้งั ไว้ คอื 80/80
ข กติ ตกิ รรมประกาศ รายงานการพฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านสะกดคำท่ีไม่ตรงมาตรา โดยใช้แบบ ฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2563 สำเร็จลุล่วงได้ดว้ ย คณะผู้เชี่ยวชาญ นายอนุ ศรีแพ่ง รองผู้อำนวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๓ จังหวัดลพบุรี นางจารุณี ชมพลมา ครูชำนาญการ นางสาวพัชราพร จุลมณี ครู โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๓ จังหวัดลพบุรี สำนักบริหารงานการศึกษาพเิ ศษ และอาจารย์ ดร. จันทร์ ติยะวงศ์ อาจารย์ประจำคณะ ศึกษาศาสตร์ วิทลัยนครราชสีมา ที่กรุณาให้คำปรึกษาช่วยเหลือ แนะนำตรวจสอบ แก้ไขข้อบกพร่อง ต่าง ๆ ผรู้ ายงานขอขอบพระคุณเป็นอยา่ งสูง ขอขอบคุณคณะครู นักเรียนโรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ ๓๓ จังหวัดลพบุรี สำนกั บริหารงาน การศกึ ษาพเิ ศษ ท่ใี หค้ วามร่วมมอื ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูลในการพฒั นาการจัดการเรียนรู้ในคร้ังน้ี คณุ ค่าและประโยชน์ของรายงานฉบบั น้ี ผ้รู ายงานขอมอบเปน็ เครื่องแสดงความกตญั ญู ต่อบดิ า มารดา ที่ให้การศึกษา อบรมสั่งสอนให้มีสติปัญญาและคุณธรรมทั้งหลาย อันเป็นเครื่องมือนำไปสู่ ความสำเรจ็ ในชีวิตของผ้รู ายงาน ไพโรจน์ ศรคี ง ครู
ค สารบญั เร่ือง หน้า บทคดั ย่อ ก กติ ติกรรมประกาศ ข บทที่ 1 บทนำ 1 1. ความเป็นมาและความสำคัญของปญั หา........................................................... 1 2. วตั ถปุ ระสงค์..................................................................................................... 3 3. ขอบเขตของการศึกษา...................................................................................... 3 4. ตัวแปรทใี่ ช้ในการศกึ ษา.................................................................................... 3 5. นยิ ามศัพท์เฉพาะ............................................................................................... 3 6. ประโยชนท์ ่ีคาดว่าจะได้รบั ................................................................................ 4 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง 5 1. หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐานพทุ ธศกั ราช 2551............................... 5 2. การเรียนการสอนภาษาไทย.............................................................................. 7 3. การอา่ น............................................................................................................ 10 4. การเขยี น........................................................................................................... 15 5. แบบฝึกทักษะ................................................................................................... 17 6. งานวิจยั ทีเ่ ก่ียวข้อง........................................................................................... 24 บทที่ 3 วิธดี ำเนนิ การวิจัย 26 1. ประชาการและกลุ่มเปา้ หมาย........................................................................... 26 2. เครอ่ื งมอื ที่ใชใ้ นการศกึ ษา............................................................................... 26 3. แบบแผนการทดลองและขัน้ ตอนการทดลอง.................................................. 27 4. การสร้างและหาคุณภาพของเครอ่ื งมอื ............................................................. 28 5. การวิเคราะหข์ อ้ มลู ........................................................................................... 30 6. สถติ ิที่ใชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มูล......................................................................... 30
ง สารบญั (ต่อ) บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล 31 1. สัญลักษณท์ ่ีใชใ้ นการนำเสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล.......................................... 31 31 2. ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู ............................................... 31 3. ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล........................................................................................ 31 ตอนท่ี 1 วิเคราะหห์ าความแตกต่างระหว่างคะแนนแบบทดสอบก่อนเรียน และหลังเรียน........................................................................................................ 32 ตอนที่ 2 การหาประสิทธิภาพของแบบฝกึ ทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย 33 33 กลมุ่ สาระการเรียนร้ภู าษาไทย ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 ตามเกณฑ์ 80/80.............. 33 บทท่ี 5 สรปุ ผล อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะ..................................................................... 33 34 1. วตั ถุประสงค์ของการศึกษา................................................................................. 34 2. ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง................................................................................. 34 3. เคร่ืองมอื ที่ใชใ้ นการศึกษา................................................................................... 36 37 4. การดำเนินการศกึ ษา............................................................................................ 40 5. สรุปผลการศึกษา................................................................................................. 6. อภิปรายผล.......................................................................................................... 7. ขอ้ เสนอแนะ........................................................................................................ บรรณานกุ รม ภาคผนวก
จ สารบัญตาราง เรอ่ื ง หน้า ตารางท่ี 1 แบบแผนการทดลองแบบ One Group Pre-test Post-test Design................. 27 ตารางท่ี 2 ตารางแสดงคะแนนเฉลี่ยและค่าร้อยละของคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลงั ตารางที่ 3 เรียน..................................................................................................................... 31 ตารางแสดงคะแนนเฉลี่ย และร้อยละ เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ ตารางที่ 4 การอ่านและการเขียนภาษาไทย ของนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 1..................... 32 ตารางที่ 5 ตารางแสดงคะแนนแบบฝึกทกั ษะการอ่านและเขยี นภาษาไทย ชั้นมธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 1........................................................................................................................ 41 ตารางแสดงแบบบันทกึ คะแนนกอ่ นเรียนและหลังเรยี น นักเรียนช้นั มัธยมศึกษา ปีที่ 1/3 ปกี ารศกึ ษา 2563.................................................................................... 42
1 บทท่ี 1 บทนำ 1. ความเป็นมาและความสำคญั ของปญั หา ภาษาไทยเป็นเอกลักษณข์ องชาติ เป็นสมบัตทิ างวฒั นธรรม อันกอ่ ให้เกิดความเป็นเอกภาพและ เสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเปน็ ไทย เป็นเคร่ืองมือในการติดต่อส่ือสารเพ่ือสร้างความ เข้าใจ และความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงานและดำเนินชีวิตร่วมกันใน สังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุขและเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จาก แหล่งข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้ กระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ ให้ ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ใน การพัฒนาอาชพี ให้มีความมัน่ คงทางเศรษฐกิจ นอกจากนีย้ ังเปน็ สอื่ แสดงภมู ิปญั ญาของบรรพบุรุษด้าน วฒั นธรรม ประเพณี สนุ ทรยี ภาพเป็นสมบัติล้ำคา่ ควรแกก่ ารเรยี นรู้ อนุรกั ษ์และสบื สานให้คงอยู่ คชู่ าติไทยตลอดไป กระทรวงศึกษาธิการ (2551:37) ด้วยความสำคัญดังกล่าว หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้ กำหนดใหภ้ าษาไทยเปน็ ทักษะทต่ี อ้ งฝึกฝนจนเกดิ ความชำนาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การเรยี นรู้ อย่างมปี ระสิทธภิ าพและเพอ่ื นำไปใช้ในชีวติ จริง กระทรวงศึกษาธกิ าร (2551:37) ดังนั้น เดก็ ไทยทุกคนควรเรียนรแู้ ละใชภ้ าษาไทยไดอ้ ย่างถกู ต้องทกุ โอกาส ซึ่งการเรยี นการสอน ภาษาไทยเปน็ ทกั ษะท่ตี อ้ งฝึกฝนจนเกดิ ความชำนาญ ในการใช้ภาษาเพ่ือการส่ือสาร การอา่ นและการฟงั เป็นทักษะของการรับรู้เรื่องราว ความรู้ ประสบการณ์ ส่วนการพูดและการเขียนเป็นทักษะของการ แสดงออกด้วยการแสดงความคิดเหน็ ความรู้และประสบการณ์ การเรยี นภาษาไทยจึงต้องเรียนเพ่ือการ ส่อื สาร ใหส้ ามารถรบั รูข้ อ้ มลู ข่าวสารไดอ้ ยา่ งพินจิ พิเคราะห์ สามารถนำความรู้ ความคิดมาเลอื กใช้เรียบ เรยี งคำมาใช้ตามหลกั ภาษาได้ถกู ต้องตรงตามความหมาย กาลเทศะและใชภ้ าษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ วมิ ลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549:80) การจัดกระบวนการเรยี นการสอนในศตวรรษที่ 21 เปน็ การจัดกระบวนการเรยี นร้ทู ่ีเนน้ ผเู้ รียน เป็นสำคัญ ทักษะที่ต้องการให้เกิดกบั ผู้เรียนท่ีสำคญั คือ ทักษะการสื่อสาร ซึ่งมีท้ังการฟัง การพูด การ อา่ น การเขียน ทกั ษะท้งั 4 ทักษะนี้ ถอื ว่าเปน็ ทักษะพื้นฐานทจี่ ะนาํ ไปสู่การพฒั นา ทกั ษะขอ้ อ่นื ๆ วิชา ภาษาไทยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนฝึกทักษะการฟงั การพูด การอ่าน การเขียน ให้ถูกต้อง คล่องแคล่ว แม่นยํา และสัมพนั ธก์ ัน รวมทง้ั ฝกึ ทักษะกระบวนการคดิ ควบคไู่ ปดว้ ย สามารถใช้ ภาษาเพอื่ การสื่อสารได้อย่าง ถูกตอ้ ง เหมาะสมกับกาลเทศะและบคุ คล สามารถใชภ้ าษาถูกต้อง ตามหลักเกณฑท์ างภาษา มีความคิด วจิ ารณญาณในการใช้ภาษา มคี วามตระหนกั ในความสำคญั ของภาษาไทย เห็นคุณคา่ และความงามของ ภาษา วรรณกรรมไทย มีนิสัยรักการอ่าน และใฝ่หาความรู้ด้วยตนเอง (สายัณห์ ผาน้อย และคณะ, 2553) โดยเฉพาะการอา่ นซ่งึ ถือเป็นทกั ษะพ้ืนฐานที่จําเปน็ ที่สุด การอ่านเปน็ ทกั ษะของการรับสารและ เป็นทักษะที่สำคัญในการ แสวงหาความรู้ดา้ นต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะปัจจุบันท่ีเป็นยุคข้อมลู ข่าวสารที่มีเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การอ่านจึงเป็นทักษะที่จําเป็นในการนำมาใช้ วางรากฐานของการเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านต้องคำนึงถึงการ ปลูกฝังให้ผู้เรียนมีนิสัยรักการอ่าน เห็นคุณค่าและความสำคัญของการอ่าน สามารถอ่านได้ชัดเจน ถูกต้อง รวดเรว็ ผเู้ รยี นในระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 ถอื ว่าเปน็ วัยที่จำเป็นตอ้ งได้รับคำแนะนาํ อบรมส่ัง
2 สอนฝกึ ฝนใหม้ ที กั ษะการอ่านอยา่ งเปน็ ระบบและต่อเนอื่ ง โดยเรมิ่ ตน้ จากการ จดจําพยญั ชนะไทย สระ วรรณยุกต์ มาตราตัวสะกด หลักการสะกดคาํ การอ่านคาํ รวมถึงการอา่ น ประโยคสน้ั ๆ พฒั นาไปถึงการ อา่ นเนื้อเรอ่ื งหรอื บทความได้ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็น กำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็น พลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เปน็ ประมขุ มีความร้แู ละทกั ษะพนื้ ฐาน รวมท้งั เจตคติท่ีจำเปน็ ตอ่ การศึกษาตอ่ การประกอบอาชีพและ การศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และ พัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ กระทรวงศึกษาธิการ (2551:4) ธรรมชาติของภาษาไทยเป็นเรื่อง ทกั ษะ จะแยกเน้อื หาสาระของทักษะแตล่ ะชน้ั ปโี ดยเด็ดขาดไมไ่ ด้ จำเป็นจะตอ้ งมีกระบวนการฝึกทักษะ ต่าง ๆ ให้ต่อเนื่องกันไป เนื้อหา เช่น การอ่านและการเขียนสะกดคำ การอ่านจับใจความ การเลือกใช้ คำใหต้ รงตามความหมาย การเขียนแสดงความรู้สกึ ความคดิ ประสบการณ์ ความตอ้ งการ จนิ ตนาการ การนำความรู้จากการอ่านไปใช้ในการตัดสินใจ การแก้ปัญหาและการดำเนินชีวิต จำเป็นต้องสอนทุก ชน้ั ในเรือ่ งของทักษะภาษา และแต่ละชั้นจะมีเนื้อหาในการฝึกทักษะท่ีเพิม่ ความซบั ซอ้ นและยากมากข้ึน เชน่ จำนวนคำเพิ่มมากข้ึน ประโยคทใ่ี ช้ยาวและซับซ้อนข้ึน เร่อื งทนี่ ำมาอ่านยาวข้นึ กรมวชิ าการ (2544 : 22) กองวิจัยทางการศึกษา กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ประเมินสภาพการจัดการเรียน การสอนภาษาไทย ในโรงเรียนมัธยมศึกษาแล้วพบวา่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยของนักเรียนมี คะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ สมรรถภาพที่มีปัญหาได้แก่ ทักษะการอ่านและการเขียน ปัญหา คือการออกเสียงพยัญชนะ สระ คำควบกล้ำไม่ชัดเจน การแจกลูกสะกดคำ การใช้หลักภาษาไทยไม่ ถกู ต้อง การแจกลกู สะกดคำเป็นเรื่องจำเป็นมากสำหรับผู้เริม่ เรยี น หากครไู ม่ไดส้ อนแจกลกู สะกดคำแก่ นกั เรยี นในระยะเร่มิ เรยี น การอา่ นของนกั เรียนจะขาดหลักเกณฑก์ ารประสมคำ เม่อื อา่ นหนงั สอื มากขึ้น ทำให้สับสนอ่านหนังสือไมอ่ อก เขียนหนังสือผิด ซึ่งเป็นปัญหามากของนักเรยี นไทยในปัจจุบัน ผลจาก การอา่ นหนงั สือไม่ออก เขยี นไมไ่ ด้ ย่อมส่งผลกระทบตอ่ การเรียนการสอนในวิชาอน่ื ๆ ดว้ ย เพราะการ อ่านเป็นเครอ่ื งมอื สำหรบั การแสวงหาความรดู้ ว้ ยตนเอง กรมวชิ าการ (2546:134) การสอนภาษาไทยให้บรรลุวัตถปุ ระสงค์และมีประสิทธภิ าพนัน้ จำเป็นต้องฝึกทักษะต่าง ๆ ให้ สัมพันธ์กันท้ังการรับเข้ามา คือ การอ่านและการฟังกับทักษะการถา่ ยทอดออกไป คือ การพูดและการ เขียน ในด้านการเขียน ถือเป็นทักษะที่ยุ่งยากซับซ้อนและเป็นทักษะถ่ายทอดที่สำคัญต่อการสื่อสาร อย่างยิ่ง จากที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย นักเรียนระดับช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 1 ของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๓ จังหวัดลพบุรี ซึ่งได้ทำการทดสอบ ความสามารถในการอ่านและการเขียน นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 113 คน พบว่า นักเรยี นระดับช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๓ จงั หวัดลพบรุ ี มคี วามสามารถใน การอ่านและการเขียนภาษาไทยอยู่ในระดับพอใช้ คิดเป็นร้อยละ 40.70 โดยเฉพาะคําที่มีตวั สะกดไม่ ตรงมาตรา เมอ่ื ศึกษาถงึ สาเหตุสว่ นใหญพ่ บวา่ ผเู้ รยี นยังไมเ่ ขา้ ใจมาตราตัวสะกดซ่งึ เป็นสาระการเรียนรู้ อกี เรอื่ งหนึง่ ในกลุม่ สาระการเรียนร้ภู าษาไทย ซึ่งถูกบรรจุไวใ้ นสาระการเรียนรู้ ตัวชวี้ ัดของทุกระดับชั้น เนื่องจากคําในภาษาไทยเป็นคาํ ท่ีมีตัวสะกดเกือบทุกคํา บางคําเป็นมาตราตัวสะกดแบบตรงมาตรา แต่
3 บางคําเป็นสะกดแบบไม่ตรงมาตรา ซึ่งทำให้อ่านยากเกินไป จึงมีการจัดการเรียนการสอนการอ่าน มาตราตัวสะกดแบบตรงตามมาตรา และแบบไมต่ รงตามมาตราให้กับผู้เรียน โดยเรม่ิ จากการอ่านสะกด คํา อ่านเป็นคํา อ่านเป็นประโยค อ่านจากคําง่ายไปหาคํายาก เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะการอ่านมาตรา ตวั สะกดท่ดี ขี ึน้ ตามลำดบั และตามความสามารถของผู้เรยี น ผวู้ จิ ัยจึงมคี วามสนใจทจี่ ะพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง การอ่านสะกดคำทีไ่ ม่ตรงมาตรา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะสาระภาษาไทย เพื่อให้เข้าใจหลักการใช้ ภาษาไทย สามารถอ่านสะกดคำท่ีไม่ตรงมาตราไดอ้ ย่างถูกต้อง และยงั ส่งผลให้ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน สูงขน้ึ 2. วัตถุประสงคข์ องการวจิ ัย 2.1 เพอื่ พฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง การอา่ นสะกดคำที่ไม่ตรงมาตรา ของนักเรียนช้ัน มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1/3 2.2 เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ มาตรฐาน 80/80 3. ขอบเขตของการศึกษา 3.1 ประชากร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๓ จังหวัด ลพบุรี สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 3 ห้องเรียน จำนวน 113 คน 3.2 กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/3 ของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๓ จังหวัดลพบุรี สังกัดสำนักบริหารงานการศกึ ษาพิเศษ ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 35 คน ซ่งึ ได้มาโดยการเลือกสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 3.3 ระยะเวลาในการจัดการเรียนการสอน เรื่อง การอ่านสะกดคำที่ไม่ตรงมาตรา โดยใช้แบบ ฝกึ ทกั ษะการอ่านและเขยี นภาษาไทย จำนวน 6 คาบ คาบละ 1 ชั่วโมง ทง้ั น้ีรวมเวลาท่ีใชใ้ นการทดสอบ กอ่ นเรยี นและหลงั เรียน 3.4 เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษาครัง้ นีเ้ ป็นเนื้อหาในรายวชิ าภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง การอา่ นสะกดคำที่ไมต่ รงมาตรา กลุม่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย โดยใช้แบบฝกึ ทักษะ จำนวน 4 แบบฝึก 4. ตัวแปรท่ใี ช้ในการศกึ ษา - ตวั แปรต้น ได้แก่ แบบฝึกทกั ษะการอา่ นและเขียนภาษาไทย - ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน เรอ่ื ง การอา่ นสะกดคำทไ่ี ม่ตรงมาตรา 5. นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ 5.1 แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย หมายถึง แบบฝึกทักษะการอ่านและการ เขยี นสะกดคำที่ไม่ตรงมาตรา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ที่ผู้รายงานสร้างข้ึน เพื่อใชใ้ นการฝึกปฏิบตั ดิ า้ นการอา่ นและการเขยี น จำนวน 4 แบบฝึก
4 5.2 ประสิทธิภาพของแบบฝึก หมายถึง แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย กลุ่ม สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ทีม่ ปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 80 ตัวแรก หมายถึง คะแนนเฉลี่ยร้อยละของนักเรียนที่ได้จากการทำแบบทดสอบ ท้ายบทเรยี นของแบบฝกึ ทักษะการอา่ นและการเขียนภาษาไทย ทุกชุด 80 ตัวหลัง หมายถึง คะแนนเฉลี่ยร้อยละที่ได้จากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน เรอื่ ง การอา่ นสะกดคำทไ่ี มต่ รงมาตรา หลงั เรยี น 5.3 ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น หมายถงึ ความรู้ ความสามารถในการเรยี นภาษาไทยของนักเรียน ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยวดั ไดจ้ ากคะแนนการทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เร่อื ง การอ่านสะกดคำท่ี ไม่ตรงมาตรา ท่ีผู้รายงานสร้างขนึ้ 5.4 นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1/3 ของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๓ จังหวดั ลพบุรี สังกัดสำนักบรหิ ารงานการศึกษาพิเศษ ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 จำนวน 35 คน 5.5 แบบทดสอบ หมายถึง แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง การอ่านสะกดคำที่ไม่ ตรงมาตรา ทผ่ี ูร้ ายงานสร้างข้นึ เพื่อทดสอบนกั เรยี นกอ่ นเรยี นและหลงั เรียน 6. ประโยชน์ท่ีไดร้ บั 6.1 ได้เทคนิคในการจัดการเรยี นการสอน เรื่อง การอ่านสะกดคำท่ีไม่ตรงมาตรา โดยใช้แบบฝึก ทกั ษะการอ่านและเขยี นภาษาไทย ที่มีประสทิ ธิภาพ 6.2 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านสะกดคำที่ไม่ตรงมาตรา โดยใช้แบบฝึก ทกั ษะการอ่านและเขียนภาษาไทยสงู ขึน้ 6.3 โรงเรียนได้แนวทางในการแกป้ ญั หาการเรียนรูข้ องนักเรยี น เร่ือง การอ่านสะกดคำทไ่ี ม่ตรง มาตรา และเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนสำหรบั ครูผสู้ อนในเนอื้ หาอื่น ๆ และช้ันอ่นื ๆ
5 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยที่เกีย่ วข้อง การดำเนนิ การศึกษาครัง้ นี้ เพอ่ื พฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เร่ือง การอา่ นสะกดคำที่ไม่ตรง มาตราโดยใชแ้ บบฝึกทักษะการอา่ นและการเขียนภาษาไทย ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 โรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ ๓๓ จังหวดั ลพบุรี ผู้รายงานไดศ้ กึ ษาเอกสารวรรณกรรมและงานวจิ ยั ท่เี กยี่ วข้อง ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 2. การเรียนการสอนภาษาไทย 3. การอา่ น 3.1 ความหมายของการอา่ น 3.2 ความสำคัญของการอ่าน 3.3 การอ่านสะกดคำ 4. การเขยี น 4.1 ปัญหาของการเขยี น 4.2 ความสำคัญของการเขียน 4.3 จุดมุง่ หมายของการเขยี น 5. แบบฝกึ ทักษะ 5.1 ความหมายและความสำคัญของแบบฝกึ ทักษะ 5.2 ลักษณะของแบบฝึกทักษะทด่ี ี 5.3 ประโยชน์ของแบบฝกึ ทกั ษะ 5.4 หลักการสรา้ งแบบฝกึ ทักษะ 5.5 ส่วนประกอบของแบบฝึกทักษะ 5.6 รปู แบบการสรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะ 5.7 ขน้ั ตอนการสรา้ งแบบฝึกทกั ษะ 5.8 แนวคิดหลักการทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับแบบฝึกทกั ษะ 6. งานวจิ ัยท่เี ก่ียวขอ้ ง 1. หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ทำไมต้องเรียนภาษาไทย ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาตเิ ปน็ สมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเปน็ เอกภาพและ เสรมิ สรา้ งบุคลกิ ภาพของคนในชาติให้มีความเปน็ ไทย เป็นเคร่ืองมอื ในการติดต่อส่ือสารเพ่ือสร้างความ เขา้ ใจและความสัมพนั ธ์ท่ีดีตอ่ กนั ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดำรงชวี ติ รว่ มกันในสังคม ประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูล สารสนเทศต่างๆ เพอ่ื พัฒนาความรู้ พัฒนากระบวนการคิดวเิ คราะห์ วจิ ารณ์ และสรา้ งสรรคใ์ ห้ทันต่อการ เปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหนา้ ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนา
6 อาชพี ใหม้ ีความมัน่ คงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเปน็ ส่ือแสดงภมู ิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี และสุนทรียภาพ เป็นสมบัติล้ำค่าควรแก่การเรยี นรู้ อนุรักษ์ และสืบสานให้คงอยูค่ ู่ชาติไทย ตลอดไป เรยี นร้อู ะไรในภาษาไทย ภาษาไทยเปน็ ทกั ษะท่ีตอ้ งฝกึ ฝนจนเกิดความชำนาญในการใชภ้ าษาเพ่ือการสอ่ื สาร การเรียนรู้ อยา่ งมีประสิทธิภาพ และเพื่อนำไปใชใ้ นชีวติ จริง การอ่าน การอ่านออกเสียงคำ ประโยค การอ่านบทร้อยแก้ว คำประพันธ์ชนิดต่าง ๆ การ อ่านในใจเพอื่ สรา้ งความเข้าใจ และการคดิ วิเคราะห์ สงั เคราะห์ความรู้จากส่งิ ทอี่ ่าน เพ่อื นำไปปรับใช้ใน ชีวติ ประจำวัน การเขียน การเขียนสะกดคำตามอักขรวิธี การเขียนสื่อสารโดยใช้ถ้อยคำและรูปแบบต่างๆ ของ การเขียน ซึง่ รวมถงึ การเขียนเรยี งความ ย่อความ รายงานชนิดตา่ ง ๆ การเขียนตามจนิ ตนาการ วิเคราะห์ วิจารณ์ และเขยี นเชงิ สรา้ งสรรค์ การฟัง การดู และการพูด การฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็น ความรสู้ กึ พดู ลำดับเรอ่ื งราวตา่ ง ๆ อยา่ งเป็นเหตุเป็นผล การพูดในโอกาสต่าง ๆ ทงั้ เป็นทางการและไม่ เปน็ ทางการ และการพูดเพ่ือโน้มนา้ วใจ หลกั การใช้ภาษาไทย ธรรมชาตแิ ละกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใชภ้ าษาให้ถูกตอ้ งเหมาะสม กับโอกาสและบุคคล การแต่งบทประพันธ์ประเภทต่าง ๆ และอิทธิพลของภาษาต่างประเทศใน ภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อศึกษาข้อมูล แนวความคิด คุณค่าของงานประพนั ธ์ และความเพลดิ เพลิน การเรียนรู้และทำความเข้าใจบทเห่ บทร้องเล่นของเด็ก เพลงพื้นบ้านที่เปน็ ภูมปิ ัญญาท่ีมีคณุ ค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ขนบธรรมเนียม ประเพณี เร่อื งราวของสังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพอ่ื ให้เกดิ ความซาบซึ้งและภมู ิใจในบรรพ บุรุษท่ไี ดส้ ่ังสมสบื ทอดมาจนถงึ ปจั จุบนั สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระท่ี 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใชก้ ระบวนการอา่ นสรา้ งความรู้และความคดิ เพ่ือนำไปใชต้ ัดสินใจ แก้ปัญหาในการ ดำเนนิ ชวี ิตและมนี สิ ยั รักการอ่าน สาระท่ี 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขยี นสอ่ื สาร เขียนเรยี งความ ยอ่ ความ และเขียนเรอ่ื งราวในรปู แบบ ต่าง ๆ เขยี นรายงานขอ้ มูลสารสนเทศและรายงานการศกึ ษาค้นคว้าอยา่ งมี ประสิทธิภาพ สาระที่ 3 การฟงั การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลอื กฟงั และดอู ย่างมวี จิ ารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคดิ และ ความรสู้ กึ ในโอกาสตา่ ง ๆ อย่างมวี ิจารณญาณและสร้างสรรค์ สาระที่ 4 หลกั การใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาตขิ องภาษาและหลักภาษาไทย การเปล่ยี นแปลงของภาษาและพลงั ของ ภาษา ภูมปิ ญั ญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เปน็ สมบตั ิของชาติ
7 สาระท่ี 5 วรรณคดแี ละวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เขา้ ใจและแสดงความคิดเหน็ วิจารณว์ รรณคดีและวรรณกรรมไทยอยา่ งเห็นคุณคา่ และนำมาประยุกตใ์ ช้ในชีวติ จรงิ 2. การเรียนการสอนภาษาไทย 2.1 แนวการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนภาษาไทย อมั พร องั ศรพี วง (อ้างในวมิ ลรตั น์ สุนทรโรจน.์ 2549 : 94-95) ได้ให้แนวการจดั กิจกรรมการ เรียนการสอนภาษาไทยไวด้ ังนี้ 1) ฝึกทักษะการฟงั พูด อา่ น และเขียนให้ถูกตอ้ ง คลอ่ งแคล่ว โดยการฝกึ ทักษะแต่ละอย่างให้ แม่นยำแล้วจึงฝึกทกั ษะทั้ง 5 ให้สัมพนั ธ์กนั และสง่ เสรมิ การคดิ ตลอดจนความคิดสร้างสรรค์ 2) ฝึกทักษะทางภาษาซ้ำ ๆ และบ่อย ๆ จนเกิดความชำนาญ และหมั่นฝึกฝนทบทวนอยู่เสมอ ครผู ู้สอนต้องสง่ เสรมิ ใหน้ กั เรยี นฝึกทักษะเป็นรายบคุ คลอย่างทวั่ ถึง 3) ฝึกให้ผ้เู รยี นรหู้ ลกั เกณฑท์ างภาษาควบคู่ไปกบั การใช้ภาษาและรู้จกั วัฒนธรรมทางภาษา 4) ส่งเสริมให้ผู้เรียนนำความรู้ และทกั ษะท่ีไดจ้ ากการเรียนภาษาไทยไปใชเ้ ปน็ เครือ่ งมือส่ือสาร ในชีวิตประจำวนั และใชเ้ ปน็ พื้นฐานในการเรยี นกลุ่มประสบการณอ์ ่ืน ๆ 5) ปลูกฝังเจตคติท่ีดีต่อการเรยี นภาษาไทย โดยสอนให้เหน็ คุณค่าและตระหนักในความสำคญั ของภาษาไทย ทั้งในส่วนที่จำเปน็ ต้องใช้เพื่อการสื่อสาร และในด้านการอนรุ ักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่ สำคญั ของชาติ 6) สง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรียนเกิดความพงึ พอใจความงดงามของภาษาเพอื่ ให้เกิดความจรรโลงใจ โดยใช้ ธรรมชาติ บทรอ้ ยแก้ว และรอ้ ยกรองที่เหมาะสมกับวยั และระดับช้นั มาเปน็ ส่อื การเรยี นการสอน 7) ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีนิสัยรักการอ่าน ใฝ่หาความรู้จากแหล่งต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการ ดำรงชีวิต 8) สอดแทรกคณุ ธรรมตา่ งๆ เช่น ความมรี ะเบยี บวินัย ความขยัน ความอดทน ความรบั ผดิ ชอบ 9) ฝึกให้ผู้เรียนเป็นคนช่างสังเกต จดจำ และจดบันทึกสิ่งต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ ทางภาษา ไดร้ ับความรู้ ความเพลดิ เพลนิ และเปน็ การใชเ้ วลาว่างให้เปน็ ประโยชน์ 10) นำภาษาที่ใช้ในสังคมแวดลอ้ มมาเป็นสือ่ ประกอบการเรยี นการสอนเพื่อให้สัมพันธ์กับการ เรียนและสามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ไดจ้ รงิ ในชวี ิตประจำวนั 11) ให้แบบอยา่ งท่ีดีแก่นักเรยี น โดยเฉพาะเร่อื งการใชภ้ าษาและการสื่อสารของครูผ้สู อน 12) วดั และประเมนิ ผล โดยคำนึงถงึ วยั ระดบั ช้ันและพัฒนาการทางภาษาของนักเรยี น 13) ส่งเสริมให้นักเรียนประเมินผลการเรียนภาษาของตน เพื่อให้นักเรียนพัฒนาให้ดียิ่งข้ึน ตามลำดับ 14) ศกึ ษา ติดตามและแกไ้ ขข้อบกพร่องทางภาษาของนักเรียนอย่างสมำ่ เสมอและตอ่ เน่อื ง 15) จัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนภาษาไทยด้วยความสนุกสนาน น่าสนใจ โดยใช้ โปรแกรม เพลง รปู แบบการสอนอืน่ ๆ และสอื่ การสอนท่ีหลากหลาย เพ่ือใหน้ กั เรียนเกิดความรักในการ เรยี นภาษาไทย 16) จัดทำหนังสือที่เหมาะสมให้ผู้เรียนอ่านมากๆ หรือส่งเสริมการอ่านหนังสือในห้องสมุด เพอ่ื ให้นักเรียนมีความรู้กวา้ งขวางขน้ึ 2.2 หลักในการเลือกกจิ กรรมการเรียนการสอนภาษาไทย
8 กจิ กรรมการเรียนการสอนมมี ากมาย เราสามารถจัดได้ทุกระยะของการเรียนการสอนต้ังแต่ข้ัน นำเข้าสู่บทเรียน ขั้นสอน ขั้นสรุป และขั้นประเมินผล ครูเป็นผู้เลือกกิจกรรมให้เหมาะสมกับบทเรียน โดยยดึ หลักดังน้ี 1) เลือกให้เหมาะสมกบั จุดประสงคข์ องบทเรียน 2) เลอื กให้เหมาะสมกับผูเ้ รียน เช่น ความยุ่งยาก ระดบั ความรู้ 3) เลือกโดยพิจารณาความสามารถของผู้สอนด้วย เช่น ครูที่ร้องเพลงไม่เก่งก็จะใช้เครื่อง บันทกึ เสยี งแทน 4) เลือกโดยพิจารณาสภาพแวดล้อมในการเรยี นการสอน เชน่ ถา้ หอ้ งเรยี นแคบ การจัดให้เล่น เกมแข่งขันกอ็ าจจะเกิดเสียงดงั ไปรบกวนหอ้ งอ่ืน และการเคล่อื นไหวก็ไม่สะดวก ครูใชก้ ิจกรรมอ่ืนแทน หรือพานักเรียนไปสนามหญ้าแทน 5) เลือกกจิ กรรมให้ความสนกุ สนาน ปฏบิ ตั งิ ่าย ไม่ซบั ซอ้ น และยืดหยนุ่ ได้ 6) เลือกกจิ กรรมทีใ่ ห้แนวคิดริเร่มิ สรา้ งสรรคแ์ ละทุกคนมสี ว่ นรว่ ม วรรณี โสมประยูร (2544 : 193-194) ได้อธิบายถึงการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทยในระดับมัธยมศึกษาควรคำนึงถึงจุดประสงค์ความพร้อมของ ผู้เรยี นควรใหผ้ ูเ้ รยี นมีพัฒนาการท้ัง 4 ทกั ษะ คอื ฟงั พดู อ่าน เขียน และมกี ารฝึกฝนทางภาษา มกี ารบูร ณาการสอนกับวิชาอ่ืนๆ ตามความเหมาะสม เปิดโอกาสให้นักเรียนรว่ มกิจกรรมการเรียนการสอนมาก ที่สุด เน้นให้ผู้เรียนรู้จักคิดตัดสินใจเอง รู้จักแก้ปัญหาด้วยตนเองอยู่เสมอ ควรใช้การสอนหลาย ๆ วิธี นอกจากนีค้ รูควรสอดแทรกคุณธรรม และให้รู้จักการทำงานรว่ มกับคนอื่นได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ การ เรียนการสอนนอกจากจะมีความสำคัญในตวั มนั เองแลว้ ยงั เป็นปจั จัยสำคัญท่ชี ่วยให้ผู้เรยี นสามารถเรียน วิชาอื่น ๆ ได้อีก ดังนั้นการเรียนการสอนภาษาไทยจึงไม่น่าจำกัดอยู่เฉพาะในชั่วโมงภาษาไทยเท่านัน้ ซงึ่ การสอนภาษาไทยควรยดึ หลักดงั น้ี ด้านตัวผู้สอน ควรสอนให้สอดคล้องกบั ธรรมชาติของผู้เรยี น ผู้สอนควรเปน็ แบบอย่างที่ดีในการใช้ ภาษาในการทำกิจกรรมการเรียนการสอนควรสอนเรื่องใกล้ตัวผู้เรียนและสอนให้สัมพันธ์กับวิชาอื่นๆ นอกจากนี้แล้วควรมีการประเมินผลเป็นระยะ เพื่อผู้เรียนจะได้ทราบความก้าวหน้าทางการเรียนของ ตวั เอง ด้านผู้เรยี น ควรมีความพร้อมในการเรยี นมีการศึกษาค้นควา้ ด้วยตนเอง และมกี ารฝกึ ฝนอยู่เสมอ ดา้ นส่ือการเรยี นการสอน ควรมีการใชส้ อื่ การเรยี นการสอนเพือ่ ให้ผเู้ รยี นรู้คำ 2.3 สื่อการเรยี นการสอนภาษาไทย ส่ือการเรยี นการสอนภาษาไทยมีความสำคญั ตอ่ การเรียนการสอนมาก เพราะส่ือเป็นตวั กลางที่ จะช่วยให้การสื่อสารระหวา่ งครูกับนกั เรียนให้เข้าใจตรงกัน และนักเรียนก็สามารถทำความเข้าใจกับ บทเรียนได้งา่ ยข้นึ ทำให้นักเรียนมีความสนใจบทเรียนมากกว่าการสอนท่มี ีแต่ครูอธบิ ายเพยี งอย่างเดียว สื่อการเรียนการสอนจะช่วยนำความมีประสิทธิภาพมาสู่การเรียนการสอนและนำความสำเร็จมาสู่ วัตถุประสงคท์ ี่ตัง้ ไว้ สื่อการสอน หมายถึง วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ วิธีการ และกิจกรรมต่าง ๆ ที่ครูผู้สอนใช้ ถ่ายทอดความรแู้ ละประมวลประสบการณไ์ ปสผู่ ู้เรยี นอย่างมีประสิทธิภาพ เพอื่ ให้บรรลตุ ามจุดประสงค์ ทตี่ ั้งไว้ พอจำแนกสอ่ื การสอนออกเป็น 3 ประเภทดังน้ี
9 1) สื่อประเภทวัสดุ (Materials) หรือบางทเี รยี กว่าสื่อประเภทเบา (Software) หมายถึง สื่อที่ เก็บความรูอ้ ยใู่ นตัวเอง ซงึ่ จำแนกย่อยออกเป็น 2 ลักษณะ คอื ก. สอื่ ประเภทที่สามารถถ่ายทอดความรไู้ ด้ดว้ ยตนเองไม่จำเป็นตอ้ งอาศัย อุปกรณ์อ่ืน ช่วย เช่น แผนท่ี ลูกโลก รูปภาพ หุ่นจำลอง ฯลฯ ข. วสั ดทุ ไ่ี มส่ ามารถถา่ ยทอดความรูไ้ ด้โดยตวั เองจำเปน็ ตอ้ งอาศัยอุปกรณ์อน่ื ชว่ ย เช่น แผ่นเสียง ฟิลม์ ภาพยนตร์ สไลด์ ฯลฯ 2) สื่อประเภทอปุ กรณห์ รอื เครื่องมือ (Equipment) หมายถงึ สว่ นทเี่ ปน็ ตวั กลางหรอื ตัวผ่านทำ ให้ข้อมูลหรือความรู้ที่บันทึกไว้ในวัสดุ สามารถถ่ายทอดออกมาให้เห็นหรือได้ยิน เช่น เครื่องฉายแผ่น ภาพโปร่งใส เครื่องฉายสไลด์ เครือ่ งฉายภาพยนตร์ เครือ่ งรับโทรทัศน์ เคร่อื งเล่น แผน่ เสยี ง เปน็ ต้น 3) สื่อประเภทเทคนิคหรือวิธีการ (Techniques or methods) หมายถึง สื่อที่มีลักษณะเป็น แนวคิดหรือรูปแบบข้ันตอนในการเรยี นการสอน โดยสามารถนำสื่อวสั ดุและอุปกรณ์มาช่วยในการสอน ได้ เช่น เกมและสถานการณ์จำลอง การสอนแบบจุลภาค การสาธิต เปน็ ต้น สอื่ การเรยี นการสอนภาษาไทยมีหลายชนดิ ซึ่งจะขอกล่าวดังนี้ 1. เกมต่าง ๆ การเล่นเปน็ สิ่งที่เด็ก ๆ ชอบเป็นชีวติ จิตใจอยู่แล้ว ผู้สอนสามารถพลกิ แพลงการ เล่นแบบตา่ ง ๆ ของเดก็ มาใชเ้ สรมิ ทกั ษะทางภาษาของเดก็ ได้มากมาย เชน่ การเล่นเกมกระซบิ ฝึกทกั ษะ การฟัง การเลน่ ทกั ทายฝึกทักษะการพูด นอกจากนยี้ งั มีเกมอกี มากมายท่ีผู้สอนจะประยุกต์ให้เหมาะสม กับเนื้อหาที่จะสอน เกมต่าง ๆ สามารถใช้ได้ทุกขั้นตอนของการสอน ไม่ว่าจะเป็นขั้นนำเข้าสู่บทเรยี น ขั้นสอน ข้นั สรุปบทเรียน การเล่นเกมในแต่ละคร้ังผู้สอนควรบอกจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนทราบแน่ชัดว่าฝึก ทกั ษะใด กำหนดกติกา และเวลาในการเลน่ ให้แน่นอน การเลน่ เกมท้ังทไี่ ม่ตอ้ งใชว้ ัสดุอปุ กรณ์และต้องใช้ เกมที่ต้องใช้วัสดุอุปกรณ์ ผู้สอนต้องเตรียมไว้ล่วงหน้า หรือให้ผู้เรียนเตรียม และเก็บให้อยู่ในสภาพ เรียบร้อยเมื่อเล่นเสร็จ ตัวอย่างเกมต่าง ๆ เช่น เกมบิงโก แข่งเครื่องบนิ ตกปลา ต่อบัตรคำ จ่ายตลาด เกมกระซบิ เรยี งคำ ยีส่ บิ คำถาม ฯลฯ 2. บตั รคำ เป็นส่ือการเรยี นการสอนท่ีใช้ฝึกทักษะดา้ นการอ่านและการเขยี นได้ดีเปน็ สอื่ ที่ผู้สอน นยิ มใชก้ นั มาก เพราะใช้ประกอบการเรียนการสอนได้หลายลักษณะ เช่น สอนคัดลายมือ สอนคำใหม่ สอนคำยาก สอนอ่านออกเสียง สอนอ่านในใจ เลน่ เกมเสริมทกั ษะตา่ ง ๆ 3. ปริศนาคำทาย เป็นการเล่นของคนไทยมาแต่โบราณนิยมเล่นกันในหมู่เด็กและผู้ใหญ่ การ ทายปัญหานั้นฝกึ ทักษะหลายด้าน ทั้งการฟงั การพดู การคิด ไหวพรบิ ในการแกป้ ัญหา จินตนาการ การ แสดงออกทางภาษา ปริศนาคำทาย มีการจัดหมวดหมู่ไว้หลายหมวดหมู่ เช่น ประเภทสัตว์ ของใช้ พืช เปน็ ตน้ 4. เทปบันทึกเสียง เป็นสื่อการเรียนการสอนที่โรงเรียนจัดหามาไว้ให้ครูผู้สอน เพราะใช้ง่าย เคลื่อนย้ายได้สะดวก ราคาไม่แพง ครูใช้เทปบันทึกเสียงประกอบการสอนภาษาไทย โดยใช้สอนอ่าน ทำนองเสนาะ สัมภาษณ์ บันทกึ ขา่ ว นทิ าน เปน็ ต้น 5. แผน่ ป้ายสำลี เหมาะสำหรบั ใช้เป็นส่ือการสอนในระดบั ชั้นเด็กเลก็ ชนั้ ประถมศึกษา แต่ก็อาจ นำไปใช้ในระดบั ชัน้ มัธยมหรืออดุ มศึกษาก็ได้ แผ่นป้ายสำลีสามารถใช้ตดิ บัตรคำ บัตรภาพหรอื รูปภาพ ได้ แตเ่ ราตอ้ งยอมรับว่าบตั รคำ หรือบัตรภาพทีต่ ดิ บนปา้ ยสำลนี นั้ อาจจะไม่มน่ั คง อาจรว่ งหลน่ ได้
10 6. สไลด์ประกอบเสียง นำมาใช้ง่ายและสามารถนำมาเรียนแบบเอกัตบุคคลหรือประกอบการ เรียนการสอนเป็นกลมุ่ สไลดป์ ระกอบเสยี งชดุ ใดท่ีจดั ทำอย่างดีก็จะใหค้ ุณค่าตอ่ กระบวนการเรยี นรู้อย่าง มาก 7. กระเป๋าผนัง เป็นแผ่นไม้บางๆ ที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดเท่ากับแผ่นป้ายผ้าสำลีใช้ กระดาษแข็งทำเปน็ ร่องหรอื กระเปา๋ ขนาดใหญพ่ อทจี่ ะเสยี บบัตรคำได้ วิธใี ช้กระเป๋าผนังกจ็ ะใช้คล้ายกับ แผน่ ปา้ ยผนังสำลี คอื ใช้กบั บัตรคำ บัตรขอ้ ความ บตั รภาพ 8. สถานการณ์จำลอง เปรียบเหมือนนามธรรมของชีวิตจริง หรือการทำใหส้ ภาพแวดล้อมหรอื กระบวนการของชวี ิตจริงให้ง่ายข้ึน โดยทว่ั ไปสถานการณ์จำลองจะเป็นการแสดงบทบาทที่เก่ียวข้องกับ บคุ คลหรอื สงิ่ แวดล้อมท่ีสมมุติขนึ้ เช่น อาชีพตา่ งๆ ความเป็นอยู่ ฯลฯ 3. การอ่าน การอ่านเป็นทักษะทางภาษาที่สำคัญและจำเป็นมากในการดำรงชีวิตของมนุษย์ใน ชวี ติ ประจำวันต้องอาศยั การอ่านจงึ จะสามารถเขา้ ใจและสอื่ ความหมายได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ 3.1 ความหมายของการอ่าน นิรนั ดร์ สุขปรดี ี (2540 : 1) ใหค้ วามหมายของการอา่ นวา่ การอ่านคอื การเข้าใจความหมาย ของตัวละคร หรือสัญลักษณ์ ซึ่งจะต้องอาศัยความสามารถในการแปลความ การตีความ การขยาย ความ การจับใจความสำคัญและการสรปุ ความ เรวดี อาษานาม (2537 : 77-78) ไดใ้ หค้ วามหมายของการอา่ น ดงั นี้ การอ่าน หมายถึง กระบวนการในการแบ่งความหมายของตัวอักษร หรือสัญลักษณ์ที่มีการจดบันทึก อย่างมเี หตผุ ลและเข้าใจความหมายของสง่ิ ทอี่ ่าน ตลอดจนการพิจารณาเลอื กความหมายที่ดีท่ีสุดข้ึนไป ใช้เป็นประโยชน์ด้วย จะเห็นได้ว่าการอ่านไมใ่ ช่การรบั เอาความคิดจากหนงั สือทีอ่ ่านเฉยๆ ผู้อ่านไม่ใช่ ผู้รับแต่เป็นผู้กระทำ สรุปได้ว่าเป็นผู้ใช้ความคิดไตร่ตรองเรื่องราวที่ตนเองอ่านเสียก่อน แล้วจึงรับเอา ใจความของเรือ่ งที่ตนอ่านไปเก็บไว้หรือนำไปใชใ้ หเ้ ปน็ ประโยชน์ตอ่ ไป ดังนั้นหัวใจของการอ่านจึงอย่ทู ี่ การเข้าใจความหมายของคำ การอา่ นในโรงเรียนประถมทปี่ รากฏก็คือการท่ีครูให้นกั เรียนคนหน่ึงอ่านประโยคหรือข้อความ นำแล้วให้คนอื่นๆ อ่านตาม ผู้อ่านนำตั้งใจอ่านให้เสียงดังได้ยินทั่วทั้งชั้นเพื่อเพื่อนจะอ่านตามได้ถูก ผู้อา่ นตามมีหน้าทอ่ี ่านอย่างเดียว ตาอาจจะมองส่ิงตา่ ง รอบตัวหฟู งั เพอ่ื นคุย ฯลฯ อ่านแล้วจำไม่ได้และ ไมร่ คู้ วามหมายของขอ้ ความทีอ่ ่าน ถ้าวิเคราะห์ตามความหมายข้างต้นแล้ว ลักษณะแบบนี้ยังไม่เรียกว่า อา่ นไดอ้ ยา่ งสมบรู ณ์ การที่คนเราจะอ่านหนังสือได้เร็วหรือช้านั้น องค์ประกอบอย่างหนึ่งของการอ่านคือ การ เคลื่อนไหวสายตาในการอ่านและความเข้าใจความหมายอย่างถ่องแท้ ในการอ่านจะต้องมีการฝึกอยู่ เสมอและถกู ตอ้ งตามวธิ กี ารด้วย ความเข้าใจความหมายของการอ่านมีความหมายต่าง ๆ กัน เมื่อเอ่ยถึงการอ่าน ต้องมีความ เขา้ ใจมาเก่ียวขอ้ งคือ เข้าใจในถอ้ ยคำท่ีอ่าน เชน่ ถ้ามเี ด็กเหน็ คำว่า กา แลว้ เปล่งเสียงว่ากา ก็เข้าใจว่า เป็นการอา่ น เช่นนี้เปน็ การเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เพราะเดก็ อาจไม่เขา้ ใจ กา ทีเ่ ปล่งเสียงออกมานั้น หมายถงึ นกชนิดหนึ่งที่มีสีดำ ร้อง กา กา กา หรืออาจหมายถึง กาที่ใช้ในการต้มน้ำ หรืออาจไม่เข้าใจทั้งสอง ความหมายก็ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงยังไม่เรียกว่าการอ่าน แต่เป็นเพียงการเปล่งเสียงเท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่
11 นักเรียนควรเขา้ ใจกับความหมายของการอา่ น ถา้ เปน็ การอ่านท่ตี อ้ งเขา้ ใจความหมายของคำ ซึ่งจะทำให้ นักเรยี นสามารถอา่ นเร่ืองและสรปุ เรือ่ งใหถ้ กู ต้อง ประทปี วาทิกทนิ กร (2542 : 2) ได้ใหค้ วามหมายของการอ่าน คอื การรับรู้ขอ้ ความในข้อเขยี น ของตนเอง และของผู้อื่น รวมทั้งการรับรู้เครื่องหมายสื่อสารต่าง ๆ เช่น เครื่องหมายจราจร และ เครอ่ื งหมายทแี่ สดงในแผนภมู ิต่าง ๆ สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์ (2543 : 2) ได้ให้ความหมายของการอ่านวา่ การอ่านเป็นลำดับขั้นท่ี เกย่ี วขอ้ งกับการทำความเข้าใจความหมายของคำ กลุม่ คำ ประโยค ขอ้ ความและเรือ่ งราวของสารท่ีผู้อ่ืน สามารถบอกความหมายได้ วรรณี โสมประยูร (2544 : 121) ได้ให้ความหมายของการอ่านวา่ การอ่านเป็นกระบวนการ ทางสมองที่ใชส้ ายตาสมั ผัสตัวอักษรหรือสิ่งพิมพ์อื่นๆ รับรู้และเขา้ ใจความหมายของคำหรือสัญลักษณ์ โดยแปลออกเป็นความหมายที่ใช้สื่อความคิดและความรู้ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่านให้เข้าใจตรงกันและ ผู้อ่านสามารถนำความหมายนน้ั ๆ ไปใช้ประโยชนไ์ ด้ ฉวีวรรณ คูหาภินันท์ (2545 : 1) ได้ให้ความหมายของการอ่านคือความเข้าใจในสัญลักษณ์ เครอื่ งหมาย รปู ภาพ ตัวอกั ษร คำและขอ้ ความทพี่ ิมพ์หรือเขียนข้นึ มา ราชบัณฑิตยสถาน (2546 : 1) ได้ให้ความหมายของการอ่านไว้ว่า หมายถึง การอ่านตาม ตัวหนังสือ การออกเสียงตามตัวหนังสือ การดหู รือเขา้ ใจความจากหนงั สือ สงั เกตหรอื พิจารณาดูเพ่ือให้ เขา้ ใจ การคิด การนบั ฉวลี ักษณ์ บุญกาญจน (2547 : 3) ไดใ้ ห้ความหมายของการอา่ น คือ การบริโภคคำท่ีถูกเขียน ออกมาเป็นตัวหนงั สอื หรือสัญลักษณ์ โดยมีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทเ่ี ร่มิ จาก “แสง” ท่ีถูกสะทอ้ น มาจากตัวหนังสือ ผ่านเลนส์นัยน์ตาและประสาทตา เข้าสู่เซลสมองไปเป็นความคิด (Idea) ความรับรู้ (Perception) และความจำ ทง้ั ระยะสนั้ และระยะยาว วมิ ลรตั น์ สนุ ทรโรจน์ (2549 : 95-96) ได้ให้ความหมายของการอา่ นไว้หลายสว่ น ดงั นี้ - ส่วนที่เกี่ยวข้องกับลักษณะของกระบวนการ หมายถึง ลำดับขั้นที่เกี่ยวข้องกับการทำความ เข้าใจความหมายของคำ กลุ่มคำ ประโยค ข้อความและเรื่องราวข่าวสารที่ผู้อ่านสามารถบอก ความหมายได้ - ส่วนที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาพัฒนาการ หมายถึง การสอนอ่านจะต้องเข้าใจหลักจิตวิทยา พฒั นาการทางภาษาของเด็กแตล่ ะวัย จดั ส่ือการสอนให้สอดคลอ้ งกับความตอ้ งการและความสนใจของ เด็ก - ส่วนที่เก่ียวข้องกับภาษาศาสตร์ หมายถึง การสอนอ่านจะต้องเข้าใจเสียงฐานที่เกิดเสยี งของ พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ เข้าใจหลักภาษาและการใช้ภาษา เพื่อนำหลักการเหล่านั้นมาสอนอ่านและ เข้าใจความหมายไดถ้ ูกต้อง - ส่วนที่เกี่ยวขอ้ งกับจติ วิทยาทางการศึกษา หมายถึง การนำหลักจิตวทิ ยามาใช้ทางการศกึ ษา เช่น ความพร้อมของการอ่าน ความสนใจ แรงจูงใจ การเสริมแรง และทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็น พื้นฐานในการพิจารณาการจดั กิจกรรมการอ่าน - ส่วนที่เกี่ยวข้องกับวิชาการศึกษา หมายถึง การรู้จักเลือกวิธีสอนอ่านที่เหมาะสมกับวัย และ ระดับความสามารถในการอ่านของนักเรียน ทั้งนี้ให้เป็นไปตามขั้นพัฒนาการ เพื่อให้นักเรียนประสบ ความสำเร็จในการอ่าน
12 - สว่ นทเ่ี กีย่ วขอ้ งกบั จิตวิทยาด้านการจำและการลืม หมายถึง การท่ผี ้อู ่านสามารถจำเร่ืองและ เกบ็ ไวใ้ นสมอง ถ้ามโี อกาสเลา่ ให้ผอู้ ืน่ ฟงั ก็สามารถเล่าไดถ้ ูกตอ้ ง แตก่ ารทผ่ี อู้ า่ นจะจำข้อความที่อ่านได้ก็ จะต้องเข้าใจความหมายของคำ รู้หน้าที่ของคำ อีกทั้งสามารถแยกพยัญชนะ สระ ตัวสะกด และ วรรณยุกต์ ออกจากกันได้ อีกประการหนึ่งการที่ผู้อ่านจะจำเร่ืองไดม้ ากหรือน้อยนั้นยังขึ้นอยู่กับความ สนใจของผ้อู า่ นทมี่ ีต่อเร่ืองนน้ั อีกด้วย สรุปความหมายของการอ่าน หมายถึง การเข้าใจความหมายของคำ ประโยค ข้อความ และ เร่ืองท่ีอ่าน และเรื่องทอ่ี ่านมีความสำคัญตอ่ ประเทศชาติและพฒั นาตนเองให้กา้ วหน้า ผทู้ ่ีอ่านมากนอกจากได้รับความรู้อย่างกวางขว้างแล้ว ยังทำใหผ้ ่อนคลายความเครยี ด ซึง่ เป็นประโยชนท์ ี่ ได้รบั จากการอา่ นนั่นเอง สรปุ ไดว้ ่า การอ่านเป็นกระบวนการทางสมองท่ีต้องใช้สายตาสมั ผัสตัวหนังสอื หรอื ส่ิงพมิ พ์อืน่ ๆ รบั รูแ้ ละเขา้ ใจความหมายของคำ ที่ใชส้ ื่อความคดิ ความรู้ ความเข้าใจ ระหวา่ งผ้เู ขียนกบั ผูอ้ า่ น ให้เขา้ ใจ ตรงกนั และผูอ้ า่ นสามารถนำเอาความหมายน้นั ๆ ไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ 3.2 ความสำคัญของการอ่าน วรรณี โสมประยูร (2544 : 121-123) ได้อธิบายถึงความสำคัญของการอ่านหนังสือมีผลต่อ ผู้อ่าน 2 ประการ คือ ประการแรก อา่ นแลว้ ได้ “อรรถ” ประการทีส่ อง อ่านแลว้ ได้ “รส” ถ้าผู้อ่าน สำนึกอยู่ตลอดเวลาถึงผลสำคัญของสองประการนี้ ย่อมจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากหนังสือตรง ตามเจตนารมณข์ องผเู้ ขยี นเสมอ การอา่ นมีความสำคญั ตอ่ ทุกคนทกุ เพศทุกวยั และ ทุกสาขาอาชพี ซ่ึงพอสรปุ ได้ดงั น้ี 3.2.1 การอา่ นเปน็ เครื่องมอื ที่สำคัญยิ่งในการศึกษาเล่าเรียนทกุ ระดับ ผู้เรยี นจำเป็นต้องอาศัย ทกั ษะการอ่านทำความเข้าใจเนื้อหาสาระของวิชาการตา่ งๆ เพื่อใหต้ นเองไดร้ บั ความรแู้ ละประสบการณ์ ตามทตี่ ้องการ 3.2.2 ในชวี ิตประจำวนั โดยทั่วไป คนเราต้องอาศัยการอ่านติดต่อสือ่ สาร เพ่อื ทำความเข้าใจกับ บุคคลอ่ืนรว่ มไปกบั ทกั ษะการฟงั การพูด การเขียน ท้งั ในด้านภารกิจสว่ นตัวและการประกอบอาชีพการ งานต่าง ๆ ในสังคม 3.2.3 การอ่านสามารถช่วยให้บุคคลสามารถนำความรู้และประสบการณ์จากสิ่งที่อ่านไป ปรับปรงุ และพฒั นาอาชีพหรอื ธรุ กิจการงานทตี่ วั เองกระทำอยู่ให้เจริญก้าวหน้าและประสบความสำเร็จ ได้ในทส่ี ุด 3.2.4 การอ่านสามารถสนองความต้องการพืน้ ฐานของบุคคลในด้านต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น ช่วยให้ความมั่นคงปลอดภัย ช่วยให้ได้รับประสบการณ์ใหม่ ช่วยให้เป็นที่ยอมรับของสังคม ช่วยให้มี เกยี รติยศและช่อื เสยี ง ฯลฯ 3.2.5 การอา่ นทง้ั หลายจะส่งเสรมิ ให้บุคคลได้ขยายความรแู้ ละประสบการณเ์ พิม่ ข้นึ อย่างลึกซ้ึง และกว้างขวาง ทำให้เป็นผ้รู อบรู้ เกิดความม่นั ใจในการพดู ปราศรยั การบรรยาย อภปิ รายปัญหาต่าง ๆ นับว่าเปน็ การเพมิ่ บคุ ลิกภาพและความน่าเชอื่ ถือให้แก่ตวั เอง 3.2.6 การอ่านหนงั สือหรอื สิ่งพมิ พห์ ลายชนิดนบั วา่ เปน็ กิจกรรมนันทนาการทนี่ ่าสนใจมาก เช่น อา่ นหนงั สือพมิ พ์ นิตยสาร วารสาร นวนยิ าย การต์ นู ฯลฯ เปน็ การช่วยให้บุคคลรู้จักใช้เวลาว่างให้เกิด ประโยชน์ และเกดิ ความเพลดิ เพลนิ สนกุ สนานไดเ้ ปน็ อยา่ งดี
13 3.2.7 การอ่านเรือ่ งราวตา่ งๆ ในอดตี เชน่ อ่านศลิ าจารกึ ประวัติศาสตรเ์ อกสารสำคัญ วรรณคดี ฯลฯ จะช่วยให้อนุชนรุ่นหลังรู้จักอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของคนไทยเอาไว้และสามารถพัฒนาให้ เจรญิ รงุ่ เรอื งตอ่ ไปได้ สรุปความสำคัญของการอ่านวา่ เปน็ เครอ่ื งมือท่ีสำคัญยงิ่ ในการแสวงหาความรู้ การเรียนรู้ และ พฒั นาสตปิ ญั ญาของคนในสงั คม พฒั นาไปสสู่ ่งิ ท่ีดที ีส่ ุดในชีวิต องคป์ ระกอบในการอา่ น อาจจะสรุปไดด้ ังน้ี 1. องคป์ ระกอบทางดา้ นรา่ งกาย 1.1 สายตา 1.2 ปาก 1.3 หู 2. องคป์ ระกอบทางด้านจติ ใจ 2.1 ความตอ้ งการ 2.2 ความสนใจ 2.3 ความศรทั ธา 3. องค์ประกอบทางดา้ นสตปิ ญั ญา 3.1 ความสามารถในการรับรู้ 3.2 ความสามารถในการนำประสบการณเ์ ดมิ ไปใช้ 3.3 ความสามารถในการใช้ภาษาให้ถกู ต้อง 3.4 ความสามารถในการเรียน 4. องค์ประกอบทางประสบการณ์พ้ืนฐาน 5. องคป์ ระกอบทางวุฒภิ าวะ อารมณ์ แรงจงู ใจและบคุ ลิกภาพ 6. องค์ประกอบทางส่งิ แวดลอ้ ม มผี ้ใู ห้ความสำคญั ของการอ่านไวห้ ลายท่าน ดังนี้ สุนันทา มัน่ เศรษฐวทิ ย์ (2543 : 2) ไดอ้ ธบิ ายความสำคัญของการอ่านว่าการอ่านเปน็ เครื่องมือ สำคัญในการแสวงหาความรู้ การรู้และใชว้ ธิ ีอา่ นทถ่ี ูกตอ้ ง จึงเป็นส่ิงจำเป็นสำหรับผอู้ ่านทุกคน การรู้จัก ฝึกฝนอ่านอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ผู้อ่านมีพื้นฐานในการอ่านที่ดี ทั้งจะช่วยให้เกิดความชำนาญและ ความรู้กว้างขวางด้วย ดังนั้นการที่นักเรียนจะเป็นผู้อ่านท่ีดีจึงขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ครูเป็นผู้ จัดเตรียมให้ อีกท้งั ยังต้องผสมผสานกับความสนใจของผอู้ ่าน เพอื่ เป็นแรงจูงใจที่ชว่ ยให้นักเรียนได้อ่าน อยา่ งสมำ่ เสมอ ฉววี รรณ คูหาภินนั ท์ (2545 : 2) ได้อธบิ ายความสำคญั ของการอ่านว่า การอ่านมีความสำคัญ ต่อชีวิตมนุษย์ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตและช่วยสนองความอยากรู้อยากเห็นอันเป็นธรรมชาติ ของมนุษย์ได้ทุกเรื่อง ซึ่งมีอยู่ในทรัพยากรสารนิเทศทุกประการโดยเฉพาะความอยากรู้ข้อมลู ข่าวสาร ตา่ ง ๆ 3.3 การอา่ นสะกดคำ วมิ ลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549 : 97-99) ได้อธบิ ายความหมายของการสะกดคำ ดงั นี้
14 การสะกดคำ หมายถึง การอ่านโดยนำเสียงพยัญชนะต้น สระ วรรณยุกต์ และตัวสะกดมา ประสมเปน็ คำอา่ น การอ่านสะกดมาประสมเป็นคำอา่ น การอ่านสะกดคำจะต้องใหน้ กั เรยี นสังเกตรูปคำ พร้อมกบั การอา่ น การสอนอา่ นสะกดคำพรอ้ มกับการเขียน ครูต้องให้อา่ นสะกดคำแล้วเขยี นคำไปพร้อม กัน การสอนสะกดคำโดยการนำคำที่มีความหมายมาสอนก่อน เมื่อสะกดคำจนจำได้แล้วจึงแจกคำ เพราะการสะกดคำจะเป็นเครื่องมอื การอ่านคำใหม่โดยเริม่ จากคำง่ายๆ แล้วบอกทิศทางการออกเสียง แลว้ แจกคำโดยเปลี่ยนพยัญชนะตน้ เรวดี อาษานาม (2537 : 83 - 84 ) ได้อธิบายถึงการอ่านสำหรับเด็กที่ยังไม่เรียนหนังสือ ให้ สามารถอ่านและถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดหรือคำพูดออกมาเป็นตัวหนังสือ นับตั้งแต่เริ่มมีการสอน หนังสือไทยจนถึงปัจจุบัน ได้กล่าวถึง การอ่านแบบแจกลูกสะกดคำ ดังนี้ คือการสอนที่ถือว่าคำ ประกอบดว้ ยรูปและเสยี งของพยญั ชนะ สระ วรรณยุกต์ ตวั สะกด ฯลฯ เวลาสอนอา่ นแทนที่จะอ่านเป็น คำ ๆ มีความหมายเลยที่เดียว ก็ต้องไล่พยัญชนะสระ ฯลฯ ให้ออกเสียงได้ถูกต้องเป็นคำ ๆ อีกทีหนึ่ง เปน็ การช่วยใหอ้ ่านคำได้ เพราะผู้อ่านรูจ้ ัก พยัญชนะ สระ ตวั สะกด แล้วช่วยพาไป เช่น จาน นกั เรยี นสะกดคำว่า จอ -า - จา - จา - นอ – จาน หรอื จ -า - น - จาน บา้ น นักเรยี นสะกดคำวา่ บ -า - บา - บา - น – บาน - บาน - ้ - บ้าน วธิ นี ี้ชว่ ยใหเ้ ด็กรู้จกั หลักเกณฑ์ของการเรียงลำดบั ตัวอักษรภายในคำหนงึ่ ๆ เพ่ือจะได้ออกเสียง ไดช้ ัดเจน และเขียนคำน้ันไดถ้ ูกตอ้ ง กรมวิชาการ (2546 : 133 - 134) ได้อธบิ ายการอา่ นแจกลกู และการสะกดคำเป็นกระบวนการ ขน้ั พ้ืนฐานของการนำเสียงพยัญชนะตน้ สระ วรรณยกุ ต์และตัวสะกด มาประสมเสยี งกนั ทำให้ออกเสียง คำต่างๆ ที่มีความหมายในภาษาไทย การแจกลูกและสะกดคำบางครั้งรวมเรียกว่าการแจกลูกสะกดคำ จะดำเนินไปด้วยกันอย่างประสมกลมกลืน เพื่อให้นักเรียนได้หลักเกณฑ์ทางภาษาทั้งการอ่านและการ เขียนไปพร้อมกนั และยังได้กลา่ วถงึ ความสำคญั ของการแจกลูกสะกดคำ เป็นเรื่องทีจ่ ำเป็นมากสำหรับผู้ เริ่มเรียน หากครูไม่ได้สอนการแจกลูกสะกดคำแก่นักเรียนในระยะเริ่มเรียนการอ่าน นักเรียนจะขาด หลกั เกณฑก์ ารประสมคำ ทำให้เมือ่ อ่านหนังสอื มากข้ึนจะสับสน อา่ นหนงั สือไมอ่ อก เขยี นหนังสือผิดซึ่ง เป็นปัญหามากของเด็กนักเรียนไทยในปัจจุบนั ผลจากการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ย่อมส่งผลกระทบตอ่ การเรียนวชิ าอื่น ๆ ดว้ ย การอ่านเปน็ สง่ิ ทมี่ คี วามสำคญั ต่อทุกคนท่ีจำเปน็ อย่างยง่ิ ท่ีต้องนำไปใช้ในชวี ิตประจำวัน สมควร น้อยเสนา (2549 : 21 - 22) ไดส้ รปุ ความสำคญั ของการอ่าน ดังน้ี ความสำคัญของการอ่านจะเป็นส่ิงที่ ชว่ ยมนุษย์ดำรงชีวติ อยใู่ นสังคมไดอ้ ย่างมีความสุขน้ัน มี 4 ประการ คอื 1. ชว่ ยในการเรยี นรู้ 2. เสรมิ สรา้ งประสบการณใ์ หม่ๆ 3. ชว่ ยใหเ้ กิดความเพลิดเพลิน 4. องคป์ ระกอบพน้ื ฐาน ผู้อ่านจะประสบความสำเรจ็ ทางการอา่ นมากหรือน้อยข้ึนอยู่กับสิ่งต่อไปนี้ วุฒิภาวะ อายุ เพศ ประสบการณ์ สมรรถวิสยั ความบกพร่องทางรา่ งกาย และการจงู ใจ
15 4. การเขยี น การสอนเขียนในระดบั ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 มีจดุ มงุ่ หมายเพ่อื ใหม้ ีทกั ษะในการเขียนได้ถูกต้อง สื่อความหมายได้ สามารถคิดลำดับเหตุการณ์เกี่ยวกับเรื่องที่เขียน มีนิสัยที่ดีในการเขียน รักการเขียน และนำการเขยี นไปใชป้ ระโยชนใ์ นชวี ิตประจำวนั สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2550 : ภาคผนวก 2/8) ได้ให้ความหมายการเขียน ว่าหมายถึง การสื่อสารด้วยตัวอักษรเพื่อถ่ายทอดความรู้ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ ข่าวสารและจิตนาการ โดยการใช้ภาษาที่ถูกต้องเหมาะสมตามหลกั การใช้ภาษาและตรงตามเจตนาของ ผเู้ ขยี น วรรณี โสมประยูร (2544 : 139) ให้ความหมายของการเขียนว่าเป็นเครื่องมือการถ่ายทอด ความรสู้ ึกนกึ คิดและความตอ้ งการของบุคคลออกมาเปน็ สญั ลกั ษณ์หรือตวั อักษร เพ่ือสื่อความหมายให้ ผู้อืน่ ไดเ้ ขา้ ใจได้ เพราะการเขียนเปน็ ทักษะการส่งออกตามหลักของภาษาศิลป์ จากความหมายของการ เขียนดังกล่าว ทำให้มองเห็นความสำคัญของการเขียนว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสื่อสารใน ชีวิตประจำวัน เช่นนักเรียนใชก้ ารเขียนบนั ทกึ ความรู้ ทำแบบฝกึ หัดและตอบข้อสอบ บุคคลทว่ั ไปใช้การ เขยี นเพอ่ื เขียนจดหมาย ทำสัญญา พนิ ัยกรรม การคำ้ ประกัน เปน็ ต้น การสะกดคำเปน็ สาขาหน่ึงของการเขียนและเปน็ ทกั ษะที่สำคัญทางภาษาท่ีมอี ิทธิพลต่อการใช้ ภาษาของมนุษย์ซึ่ง ไพทูลย์ มูลดี (2546 : 25) ได้อธิบายความหมายของการเขียนสะกดคำคือการ จัดเรียงพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ให้เป็นคำที่มีความหมาย และถูกต้องตามพจนานุกรมฉบับราช บณั ฑติ สถาน และสามารถนำคำดังกล่าวไปใช้ในการสอ่ื สารในชีวติ ประจำวันได้ นงเยาว์ เล่ียมขนุ ทด (2547 : 22) ได้ให้ความหมายของการเขยี น คอื กระบวนการคดิ ที่ถ่ายทอด ออกมาเป็นลายลกั ษณ์อักษรและถูกต้องตามหลักเกณฑท์ างภาษาสามารถส่ือสารกนั ได้ การเขียนสะกดคำมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตประจำวัน และความเป็นอยู่ของบุคคลใน ปัจจบุ ัน เพราะการเขียนสะกดคำท่ีถูกจะช่วยให้ผู้เขียน อ่านและเขยี นหนังสือได้ถกู ต้อง ส่ือความหมาย ไดแ้ จ่มชัดและมีความมัน่ ใจในการเขียนทำให้ผลงานท่ีเขียนมคี ุณค่าเพิ่มข้ึน นอกจากนี้ยังอาจจะเป็นตัว บง่ ชถี้ ึงคุณภาพการศกึ ษาของบคุ คลนั้นอกี ด้วย 4.1 ปญั หาของการเขียน การเขียนสะกดคำ เป็นปญั หาที่สำคญั ของนกั เรียนและครูสอนภาษาไทยเป็นอยา่ งมากและจาก การศกึ ษาพบว่า สาเหตุของการเขยี นสะกดคำผิดมี ดังนี้ เชน (Shane. 1961 : 71) ใหค้ วามเหน็ ว่าสาเหตุการเขียนสะกดคำผดิ มปี ญั หาหลายทางและ แบ่งได้เป็น 2 สาเหตุ คือ ปัญหาโดยทั่วไป ซึ่งเกี่ยวกับนักเรียนไม่พัฒนาความสามารถของตนเอง มี ความสนใจนอ้ ยและปัญหาเฉพาะบุคคลนน้ั เกย่ี วกับความบกพรอ่ งทางสายตา ความสามารถในการอ่าน ออกเสียง ความสามารถทางสมอง และใช้ภาษา 2 ภาษาในขณะเดยี วกัน พทิ ซ์เจรัลด์ (Fitzgerald. 1964 : 245) กล่าวถงึ สาเหตทุ ท่ี ำให้นักเรียนมีปัญหาในการเขียน สะกดคำผดิ ว่า มสี าเหตุมาจากนกั เรยี นไม่สนใจตอ่ การสะกดคำและวธิ ีสอนของครไู มม่ ีประสิทธภิ าพ เช่น ครูไม่เตรียมการสอน นกั เรียนไมไ่ ดร้ ับการสอนสะกดคำท่ถี ูกตอ้ ง ไม่รวู้ ิธกี ารสะกดคำ จากการศึกษาเอกสารและงานวิจยั เกี่ยวกับการเขียนสะกดคำผิดเกิดจากหลายสาเหตุ สรุปได้ ดงั นี้
16 1. ความบกพร่องจากสภาพร่างกายของนักเรียน เช่น สุขภาพไม่สมบูรณ์ มีความ บกพรอ่ งด้านการไดย้ ิน การพดู และสายตา 2. นักเรียนขาดการสังเกต ไม่พิจารณาถงึ หลกั เกณฑก์ ารเขยี นใหร้ อบคอบ 3. นักเรียนพบเห็นคำทเ่ี ขยี นผิดบอ่ ยจากสอ่ื มวลชนตา่ ง ๆ 4. วุฒภิ าวะและสมองของนักเรยี น 5. นักเรยี นเขยี นสะกดคำโดยเทยี บเสยี งกบั ภาษาถิน่ ทำใหเ้ ขียนสะกดผดิ 6. นักเรียนไมร่ ูห้ ลกั ภาษาไทย ไมท่ ราบความหมายของคำ 7. ครูขาดความเอาใจใส่ในการตรวจงานเขียนของนกั เรยี น เม่อื พบคำผดิ ไมแ่ กไ้ ขให้ 8. ครไู ม่ตระหนักถึงความสำคญั ในการสอนใหน้ กั เรียนเขยี นสะกดคำ จึงทำให้นักเรียน ไม่ได้รับแรงจูงใจในการฝกึ เขยี นสะกดคำ 4.2 ความสำคญั ของการสอนเขียน การเขียนนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการสื่อความหมาย อย่างหนึ่งของมนุษย์สามารถ ตรวจสอบไดแ้ ละคงทนถาวร ซ่ึงมนี ักการศึกษาได้ให้ความสำคัญของการเขยี นไว้ดังน้ี เรวดี อาษานาม (2537 : 151) ได้สรุปความสำคัญของการเขียนไว้ ดังนี้ คือเด็กที่มี ความสามารถในการอ่านและประสบความสำเร็จในการเขียนมาก จะมีจินตนาการในการใช้ภาษาได้ดี เพราะได้มีโอกาสเรียนรู้แนวทางการใช้คำต่างๆ จากสำนวนภาษาในหนังสือตา่ งๆท่ีอา่ นพบ โดยปกติครู มักสอนให้เด็กอ่านได้ก่อนจึงให้เขียนคำที่ตนอ่านได้แต่ทกั ษะในการเขียนเป็นทักษะท่ีสลับซับซ้อนกวา่ ทักษะอื่น เด็กจึงจำเป็นต้องมคี วามพร้อมโดยฝึกทักษะการฟงั การพูด และการอ่านได้ก่อนแล้วจึงเริ่ม ทักษะการเขยี น ในระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 1-2 มงุ่ เนน้ ทกั ษะพน้ื ฐานในการเขยี นและยั่วยุให้เขียนด้วย ความสนกุ สนาน ไมเ่ บอ่ื โดยจดั กจิ กรรมตา่ งๆ ให้ฝึกจากงา่ ยไปหายากและใหส้ ัมพนั ธ์กับการพูดและอา่ น 4.3 จุดม่งุ หมายของการเขียน วรรณี โสมประยูร (วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์. 2549 : 103 ) ได้อธิบาย จุดมุ่งหมายการสอน ภาษาไทย ดงั นี้ 1. เพื่อคดั ลายมือหรือเขยี นใหถ้ กู ต้องตามลกั ษณะตวั อกั ษรให้เปน็ ระเบยี บชัดเจนหรือเข้าใจง่าย 2. เพ่อื เป็นการฝกึ ทักษะการเขยี นใหพ้ ฒั นางอกงามขน้ึ ตามควรแก่วยั 3. เพื่อใหก้ ารเขียนสะกดคำถกู ตอ้ งตามอกั ขรวิธี เขยี นวรรคตอนถูกต้อง 4. เพอื่ ให้รู้จกั ภาษาเขยี นท่ดี ี มีคณุ ภาพเหมาะสมกบั บุคคลและโอกาส 5. เพื่อให้สามารถรวบรวมและลำดับความคิด แล้วจดบันทึก สรุปและย่อใจความเรื่องที่อ่าน หรือฟังได้ 6. เพือ่ ให้สามารถสังเกตจดจำและเลือกเฟ้นถอ้ ยคำหรือสำนวนโวหารให้ถกู ตอ้ ง 7. เพ่ือให้มที ักษะการเขยี นประเภทต่างๆ 8. เพอ่ื เปน็ การใช้เวลาวา่ งให้เกดิ ประโยชน์ 9. เพื่อให้เห็นความสำคัญและคุณค่าของการเขียนว่ามีประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพ การศกึ ษาหาความรแู้ ละอนื่ ๆ
17 5. แบบฝกึ ทักษะ 5.1 ความหมายและความสำคญั ของแบบฝกึ ทักษะ สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 53) ได้สรุปความสำคัญของแบบฝึก ทกั ษะว่าแบบฝึกทักษะมีความสำคญั ต่อผู้เรียนไม่นอ้ ย ในการท่จี ะช่วยส่งเสริมสรา้ งทักษะให้กับผู้เรียน ไดเ้ กดิ การเรียนรู้และเข้าใจได้เร็วข้ึน ชดั เจนขึน้ กว้างขวางขนึ้ ทำใหก้ ารสอนของครูและการเรียนของ นักเรยี นประสบผลสำเรจ็ อย่างมปี ระสิทธิภาพ ไพทลู ย์ มลู ดี (2546 : 48) ได้สรปุ ความหมายของแบบฝึกทกั ษะ คอื ชุดฝึกการเรียนรู้ท่ีครูสร้าง ขึ้นให้นักเรียนได้ทบทวนเนื้อหาที่เรียนรู้มาแล้วเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจ และช่วยเพิ่มทักษะความ ชำนาญและฝึกกระบวนการคิดให้มากขึ้น ทั้งยังมีประโยชน์ในการลดภาระการสอนให้กับครู อีกทั้ง พัฒนาความสามารถของผู้เรยี น และทำให้ผู้เรยี นสามารถมองเห็นความก้าวหน้าจากผลการเรียนร้ขู อง ตนเองได้ คมขำ แสนกล้า (2547 : 32) ได้สรุปความสำคัญของแบบฝึกว่า แบบฝึกทักษะเป็นส่วน สำคญั ในการเรยี นการสอน เพราะถ้าขาดแบบฝึกทักษะเพ่ือใช้ในการฝกึ ฝนทักษะความรู้ต่าง ๆ หลังจาก เรยี นไปแล้ว เด็กก็อาจจะลืมเลอื นความรูท้ ่เี รียนไปได้ ซึง่ อาจส่งผลให้นักเรียนไมม่ ีประสทิ ธิภาพเทา่ ทคี่ วร ฐานิยา อมรพลงั (2548 : 75) ได้สรปุ ถงึ ความหมายของแบบฝกึ ทกั ษะ คือ งานกิจกรรมหรอื ประสบการณท์ ค่ี รูจดั ให้นกั เรียนไดฝ้ ึกหัดกระทำ เพอื่ ทบทวนฝกึ ฝนเนื้อหาความรู้ตา่ งๆ ท่ไี ด้เรยี นไปแล้ว ให้เกดิ ความจำ จนสามารถปฏบิ ตั ิได้ด้วยความชำนาญ และให้ผู้เรยี นสามารถนำไปใช้ในชวี ติ ประจำวนั ได้ วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 40) ได้สรุปความหมายและความสำคญั ของแบบฝึกได้ว่า แบบ ฝึก คือ แบบฝึกหัด หรือชดุ ฝึกท่คี รูจดั ใหน้ กั เรียน เพือ่ ให้มีทักษะเพม่ิ ขึ้นหลงั จากทไี่ ด้เรียนร้เู รื่องนน้ั ๆ มา บ้างแล้ว โดยแบบฝึกต้องมีทิศทางตรงตามจุดประสงค์ ประกอบกิจกรรมทีน่ ่าสนใจและสนุกสนาน อกนิษฐ์ กรไกร (2549 : 18) ได้สรุปความหมายของแบบฝึกทักษะไว้ว่า แบบฝึก-ทักษะ หมายถึง สื่อที่สร้างข้ึนเพื่อเสริมสร้างทักษะให้แก่นักเรียน มีลักษณะเป็นแบบฝึกหัดที่มีกิจกรรมให้ นกั เรยี นทำโดยมีการทบทวนส่ิงท่เี รยี นผ่านมาแลว้ จากบทเรียน ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจและเปน็ การฝึกทักษะ และแกไ้ ขในจุดบกพร่องเพ่อื ใหน้ กั เรยี นได้มคี วามสามารถและศกั ยภาพยง่ิ ขึน้ เขา้ ใจบทเรยี นดขี ึน้ พินิจ จันทร์ซ้าย (2546 : 90) กล่าวถึงแบบฝึกทักษะว่า หมายถึง งาน กิจกรรม หรือ ประสบการณ์ที่ครูผู้สอนจัดให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติเพื่อทบทวนความรู้ที่เรียนมาแล้วนำมาปรับ ประยกุ ต์ใช้ในชีวติ ประจำวนั ผู้รายงานได้ศึกษาความหมายและความสำคัญของแบบฝึกทักษะแล้วพอสรุปได้ว่า แบบฝึก ทักษะ หมายถึง ชุดฝึกทักษะที่ครูสร้างขึ้นให้นักเรียนได้ทบทวนเนื้อหาที่เรียนรู้มาแล้วเพื่อสร้างความ เขา้ ใจ และช่วยเพิม่ ทกั ษะความชำนาญและฝกึ กระบวนการคดิ ใหม้ ากขนึ้ ทำให้ครูทราบความเข้าใจของ นักเรียนทมี่ ีตอ่ บทเรยี น ฝกึ ให้เด็กมีความเชื่อมน่ั และสามารถประเมินผลของตนเองได้ ทัง้ ยังมีประโยชน์ ช่วยลดภาระการสอนของครู และยงั ช่วยพัฒนาตามความแตกตา่ ง 5.2 ลักษณะของแบบฝึกทด่ี ี แบบฝึกเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างทักษะให้แก่ผู้เรียน การสร้างแบบฝึกให้มี ประสิทธิภาพจงึ จำเป็นจะต้องศกึ ษาองค์ประกอบและลกั ษณะของแบบฝึก เพ่อื ใชใ้ หเ้ หมาะสมกับระดับ ความสามารถของนักเรียน
18 สุวทิ ย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 60 -61) ไดส้ รุปลักษณะของแบบฝึกท่ี ดีควรคำนึงถึงหลักจิตวิทยาการเรียนรูผ้ ู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ความครอบคลุม ความสอดคล้องกับ เน้อื หา รปู แบบน่าสนใจ และคำส่ังชัดเจน และไดส้ รุปลกั ษณะของแบบฝกึ ไว้ดังน้ี 1. ใช้หลักจติ วทิ ยา 2. สำนวนภาษาไทย 3. ให้ความหมายตอ่ ชวี ติ 4. คิดไดเ้ รว็ และสนุก 5. ปลกุ ความนา่ สนใจ 6. เหมาะสมกับวัยและความสามารถ 7. อาจศึกษาไดด้ ว้ ยตนเอง และไดแ้ นะนำให้ผู้สร้างแบบฝกึ ใหย้ ึดลกั ษณะของแบบฝึกไวด้ งั น้ี 1. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีความชัดเจนทั้งคำสัง่ และวิธีทำคำสัง่ หรือตัวอยา่ งวิธีทำท่ีใช้ไม่ ควรยาวเกินไป เพราะจะทำให้เข้าใจยาก ควรปรับให้ง่ายเหมาะสมกับผู้ใช้ท้ังนี้เพือ่ ใหน้ กั เรียนสามารถ ศึกษาด้วยตนเองได้ถ้าต้องการ 2. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีความหมายต่อผเู้ รียนและตรงตามจุดม่งุ หมายของการฝึกลงทุน นอ้ ยใชไ้ ด้นาน ๆ และทนั สมัยอยู่เสมอ 3. ภาษาและภาพทีใ่ ชใ้ นแบบฝกึ หดั ควรเหมาะสมกับวัยและพ้นื ฐานความรู้ของผ้เู รยี น 4. แบบฝึกหัดที่ดคี วรแยกฝึกเปน็ เรอ่ื งๆ แต่ละเรอ่ื งไม่ควรยาวเกินไปแต่ควรมีกิจกรรม หลายรูปแบบ เพื่อเร้าให้นักเรียนเกิดความสนใจและไม่น่าเบื่อหน่ายในการทำ และเพื่อฝึกทักษะใด ทกั ษะหนึ่งจนเกิดความชำนาญ 5. แบบฝกึ หัดที่ดีควรมีทงั้ แบบกำหนดให้โดยเสรี การเลอื กใช้คำ ขอ้ ความหรือรูปภาพ ในแบบฝึกหัด ควรเป็นส่ิงที่นักเรยี นคุน้ เคยและตรงกับความในใจของนักเรยี นเพือ่ ว่าแบบฝึกหดั ทีส่ รา้ ง ขึ้นจะได้ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินและพอใจแก่ผู้ใช้ ซึ่งตรงกับหลักการเรียนรู้ได้เร็วในการกระทำท่ี ก่อใหเ้ กิดความพึงพอใจ 6. แบบฝึกหัดที่ดีควรเปดิ โอกาสให้ผู้เรียน ได้ศึกษาด้วยตนเองให้รูจ้ ักค้นคว้ารวบรวม สิ่งที่พบเหน็ บ่อยๆ หรือที่ตนเองเคยใช้จะทำให้นักเรียนสนใจเรือ่ งนั้นๆ มากยิ่งขึน้ และจะรู้จักความรู้ใน ชวี ติ ประจำวนั อย่างถกู ตอ้ ง มหี ลักเกณฑ์และมองเหน็ วา่ สงิ่ ทีเ่ ขาได้ฝึกฝนนั้นมีความหมายต่อเขาตลอดไป 7. แบบฝกึ หดั ท่ีดีควรจะสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผเู้ รียนแตล่ ะคนจะมีความ แตกตา่ งกนั หลายๆด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพรอ้ ม ระดบั สตปิ ญั ญาและประสบการณ์ ฯลฯ ฉะนั้นการทำแบบฝึกหัดแต่ละเรื่อง ควรจัดทำให้มากพอและมีทุกระดับ ตั้งแต่ง่าย ปานกลาง จนถึงระดับค่อนข้างยาก เพื่อว่าทั้งเด็กเก่ง กลาง และอ่อนจะได้เลือกทำได้ตามความสามารถ ทั้งน้ี เพ่อื ใหเ้ ด็กทกุ คนประสบความสำเรจ็ ในการทำแบบฝกึ หัด 8. แบบฝึกหดั ท่ีดีควรสามารถเร้าความสนใจของนกั เรียนได้ตงั้ แต่หน้าปกไปจนถึงหน้า สดุ ท้าย 9. แบบฝึกหดั ที่ดีควรได้รบั การปรับปรุงไปคกู่ ับหนังสือแบบเรยี นอยู่เสมอและควรใช้ได้ ดที ง้ั ในและนอกบทเรยี น
19 10. แบบฝกึ หัดท่ีดีควรเปน็ แบบที่สามารถประเมนิ และจำแนกความเจรญิ งอกงามของ เด็กได้ดว้ ย ฐานยิ า อมรพลงั (2548 : 78) ได้เสนอลกั ษณะที่ดีของแบบฝกึ คือ แบบฝกึ ทีเ่ รียงลำดับจาก ง่ายไปหายาก มรี ปู ภาพประกอบ มรี ปู แบบนา่ สนใจ หลากหลายรูปแบบ โดยอาศยั หลักจิตวิทยาในการ จดั กจิ กรรมหรอื จัดแบบฝกึ ให้สนกุ ใชภ้ าษาเหมาะสมกบั วยั และ ระดบั ช้นั ของนกั เรยี น มคี ำส่งั คำช้ีแจง สน้ั ชัดเจน เข้าใจงา่ ย มตี วั อย่างประกอบ มีการจดั กิจกรรม การฝึกท่เี รา้ ความสนใจ และแบบฝกึ น้นั ควร ทันสมยั อย่เู สมอ วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 43) ได้อธิบายถึงลักษณะของแบบฝึกที่ดี คือ ควรมีความ หลากหลายรูปแบบ เพื่อไม่ใหเ้ กดิ ความเบ่ือหน่าย และตอ้ งมลี ักษณะทเี่ รา้ ย่ัวยุ จงู ใจ ได้ให้คิดพิจารณา ได้ศกึ ษาคน้ ควา้ จนเกิดความรู้ ความเข้าใจทกั ษะ แบบฝกึ ควรมีภาพดงึ ดูดความสนใจเหมาะสมกับวัยของ ผเู้ รียนตรงกับจดุ ประสงค์การเรียนรู้ มเี นื้อหาพอเหมาะ ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550 : 20) ได้อธิบายถึงลักษณะของแบบฝึกหัดและแบบฝึก ทักษะท่ดี ไี ว้วา่ ดังนี้ 1. จดุ ประสงค์ 1.1 จุดประสงค์ชดั เจน 1.2 สอดคล้องกับการพัฒนาทักษะตามสาระการเรียนรู้ และกระบวนการเรียนรู้ของ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ 2. เนอ้ื หา 2.1 ถูกต้องตามหลกั วิชา 2.2 ใช้ภาษาเหมาะสม 2.3 มคี ำอธิบายและคำสั่งท่ชี ัดเจน ง่ายต่อการปฏบิ ัตติ าม 2.4 สามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ นำผู้เรียนสู่การสรุปความคิดรวบยอดและ หลกั การสำคญั ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ 2.5 เปน็ ไปตามลำดับขน้ั ตอนการเรียนรู้สอดคล้องกับวธิ ีการเรยี นรู้ และความแตกต่าง ระหว่างบคุ คล 2.6 มีคำถามและกิจกรรมที่ท้าทายส่งเสริมทักษะกระบวนการเรียนรู้ของ ธรรมชาติ วิชา 2.7 มีกลยุทธ์การนำเสนอและการตั้งคำถามที่ชัดเจน น่าสนใจปฏิบัติได้สามารถให้ ข้อมูลย้อนกลับเพ่ือปรบั ปรงุ การเรียนไดอ้ ย่างตอ่ เนื่อง ผู้รายงานพอสรุปลักษณะของแบบฝึกที่ดีได้ว่า แบบฝึกที่ดีและมีประสิทธิภาพ ช่วยทำให้ นักเรียนประสบความสำเร็จในการฝึกทกั ษะได้เป็นอย่างดี และแบบฝึกที่ดีเปรียบเสมือนผู้ชว่ ยที่สำคัญ ของครู ทำให้ครูลดภาระการสอนลงได้ ทำให้ผู้เรียนพฒั นาความสามารถของตนเพื่อความมัน่ ใจในการ เรียนได้เป็นอย่างดี ดังนั้นครูยังจำเป็นต้องศึกษาเทคนิควิธีการ ขั้นตอนในการฝึกทักษะต่าง ๆ มี ประสิทธิภาพทีส่ ุด อันส่งผลใหผ้ ู้เรียนมีการพฒั นาทักษะต่างๆ ได้อย่างเต็มที่และแบบฝึกที่ดีนั้นจะต้อง คำนึงถึงองค์ประกอบหลาย ๆ ด้าน ตรงตามเนื้อหา เหมาะสมกับวัย เวลา ความสามารถ ความสนใจ และสภาพปญั หาของผ้เู รียน
20 5.3 ประโยชน์ของแบบฝึกทกั ษะ ไพทูลย์ มลู ดี (2546 : 52) ไดอ้ ธบิ ายประโยชน์ของแบบฝกึ ไวด้ ังน้ี คอื แบบฝึกมีความสำคัญ และจำเป็นต่อการเรียนทักษะทางภาษามาก เพราะจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจในบทเรียนได้ดีขึ้นสามารถ จดจำเนื้อหาในบทเรียนและคำศัพท์ต่างๆ ได้คงทน ทำให้เกิดความสนุกสนานในขณะเรียนทราบ ความก้าวหนา้ ของตนเอง สามารถนำแบบฝึกมาทบทวนเนื้อหาเดิมด้วยตนเองได้ นำมาวัดผลการเรยี น หลงั จากทเ่ี รียนแลว้ ตลอดจนสามารถทราบข้อบกพร่องของนกั เรยี นและนำไปปรบั ปรุงแก้ไขได้ทันท่วงที ซึ่งจะมผี ลทำใหค้ รูประหยัดเวลา ค่าใช้จ่ายและลดภาระได้มาก และยังใหน้ ักเรียนนำภาษาไปใช้สื่อสาร ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพด้วย วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 41) ได้อธิบายถึงประโยชน์ของแบบฝกึ ทกั ษะไวว้ า่ แบบฝกึ ช่วย ในการฝกึ หรอื เสรมิ ทักษะทางภาษา การใชภ้ าษาของนกั เรยี นสามารถนำมาฝกึ ซ้ำทบทวนบทเรยี น และ ผู้เรียนสามารถนำไปทบทวนดว้ ยตนเอง จดจำเนื้อหาได้คงทน มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนภาษาไทย แบบ ฝกึ ถอื เปน็ อปุ กรณ์การสอนอย่างหนงึ่ ซงึ่ สามารถทดสอบความรู้ วดั ผลการเรยี นหรอื ประเมนิ ผลการเรียน กอ่ นและหลงั เรียนได้เปน็ อย่างดี ทำให้ครูทราบปญั หาขอ้ บกพร่องของผูเ้ รียนเฉพาะจดุ ได้ นกั เรยี นทราบ ความก้าวหนา้ ของตนเอง ครปู ระหยัดเวลา คา่ ใช้จ่ายและลดภาระได้มาก ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550 : 21) ได้อธิบายถงึ ประโยชน์ของแบบฝึกหัดและแบบฝกึ ทักษะเป็นสอ่ื การเรยี นรู้ ท่มี งุ่ เนน้ ในเรือ่ งของการแกป้ ัญหา และการพฒั นาในการจัดการเรียนรู้ในหน่วย การเรยี นรู้และสามารถเรยี นรู้ได้ โดยสรุปได้ดงั นี้ 1. เป็นส่ือการเรียนรู้ เพ่อื พฒั นาการเรียนรู้ให้แกผ่ เู้ รยี น 2. ผู้เรียนมีส่ือสำหรบั ฝกึ ทักษะด้านการอ่าน การคดิ การคิดวเิ คราะห์ และการเขยี น 3. เปน็ ส่อื การเรยี นรู้สำหรับการแกป้ ญั หาในการเรยี นร้ขู องผเู้ รียน 4. พัฒนาความรู้ ทักษะ และเจตคติดา้ นตา่ งๆ ของผู้เรยี น จากประโยชน์ของแบบฝึกที่กล่าวมา สรุปได้ว่า แบบฝึกที่ดีและมีประสิทธิภาพช่วยทำให้ นกั เรยี นประสบผลสำเร็จ ในการฝึกทักษะไดเ้ ปน็ อย่างดี สวุ ทิ ย์ มูลคำ และสนุ นั ทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 53 - 54) ได้สรปุ ประโยชน์ ของแบบฝกึ ทักษะไดด้ งั นี้ 1. ทำให้เข้าใจบทเรียนดขี ึ้น เพราะเปน็ เคร่อื งอำนวยประโยชนใ์ นการเรียนรู้ 2. ทำใหค้ รูทราบความเขา้ ใจของนักเรยี นที่มตี ่อบทเรียน 3. ฝกึ ให้เดก็ มีความเชื่อม่ันและสามารถประเมินผลของตนเองได้ 4. ฝึกให้เด็กทำงานตามลำพัง โดยมคี วามรบั ผิดชอบในงานทีไ่ ด้รบั มอบหมาย 5. ช่วยลดภาระครู 6. ชว่ ยให้เดก็ ฝึกฝนได้อย่างเต็มที่ 7. ช่วยพัฒนาตามความแตกต่างระหว่างบุคคล 8. ช่วยเสริมให้ทักษะคงทน ซง่ึ ลักษณะการฝกึ เพอ่ื ชว่ ยใหเ้ กดิ ผลดังกลา่ วน้นั ได้แก่ 8.1 ฝึกทนั ทีหลงั จากที่เด็กไดเ้ รยี นร้ใู นเรอื่ งนั้นๆ 8.2 ฝกึ ซำ้ หลายๆคร้ัง 8.3 เนน้ เฉพาะในเรอื่ งที่ผดิ 9. เปน็ เคร่ืองมือวัดผลการเรียนหลงั จากจบบทเรียนในแต่ละครัง้
21 10. ใช้เป็นแนวทางเพือ่ ทบทวนด้วยตนเอง 11. ช่วยใหค้ รูมองเห็นจุดเดน่ หรอื ปญั หาตา่ งๆของเด็กไดช้ ดั เจน 12. ประหยัดค่าใชจ้ า่ ยแรงงานและเวลาของครู ผู้รายงาน ได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับประโยชน์ของแบบฝึกทักษะแล้ว พอสรุปได้ว่าแบบฝึกมี ความสำคัญ และจำเป็นต่อการเรียนทกั ษะทางภาษามาก เพราะจะชว่ ยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนได้ดีขึ้น สามารถจดจำเนื้อหาในบทเรียนและคำศัพท์ต่างๆ ได้คงทน ทำให้เกิดความสนุกสนาน ในขณะเรียน ทราบความก้าวหน้าของตนเอง และครูมองเห็นจดุ เด่นหรือปัญหาต่างๆ ของเด็กได้ชัดเจน สามารถนำ แบบฝึกทักษะมาทบทวนเนื้อหาเดิมด้วยตนเอง ตลอดจนสามารถทราบข้อบกพร่องของนักเรียนและ นำไปปรบั ปรงุ ไดท้ นั ท่วงที ซ่ึงจะมีผลทำให้ครูประหยดั เวลา ประหยัดคา่ ใช้จา่ ย 5.4 หลักการสร้างแบบฝึก วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 45) ไดส้ รุปหลักการสรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะดังน้ี 1. ความใกล้ชิด คือ ถ้าใชส้ งิ่ เร้าและการตอบสนองเกิดขนึ้ ในเวลาใกล้เคียงกันจะสร้าง ความพอใจให้กับผูเ้ รียน 2. การฝกึ คือ การให้นักเรยี นไดท้ ำซำ้ ๆ เพื่อช่วยสร้างความรู้ ความเขา้ ใจทีแ่ มน่ ยำ 3. กฎแห่งผล คือ การที่ผู้เรียนได้ทราบผลการทำงานของตนด้วยการเฉลยคำตอบจะ ชว่ ยให้ผเู้ รียนทราบขอ้ บกพรอ่ งเพอ่ื ปรบั ปรุงแกไ้ ขและเปน็ การสร้างความพอใจแก่ผ้เู รียน 4. การจูงใจ คอื การสร้างแบบฝึกเรียงลำดบั จากแบบฝึกง่ายและสั้นไปสู่แบบฝึกเรื่อง ทีย่ ากและยาวข้ึน ควรมีภาพประกอบและมหี ลายรส หลายรปู แบบ สุวิทย์ มลู คำ และสนุ ันทา สนุ ทรประเสริฐ (2550 : 54 - 55) ไดส้ รปุ หลักในการสร้างแบบ ฝกึ วา่ ตอ้ งมีการกำหนดเงอ่ื นไขท่จี ะช่วยให้ผู้เรยี นทุกคนสามารถผ่านลำดบั ข้ันตอนของทกุ หนว่ ยการเรียน ได้ ถา้ นักเรียนได้เรียนตามอัตราการเรยี นของตนก็จะทำให้นักเรียนประสบความสำเร็จมากข้นึ 5.5 สว่ นประกอบของแบบฝึก สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 61 - 62) ได้กำหนดส่วนประกอบของ แบบฝกึ ทักษะได้ดงั นี้ 1. คู่มือการใช้แบบฝึก เป็นเอกสารสำคัญประกอบการใช้แบบฝึก ว่าใช้เพื่ออะไรและมีวิธีใช้ อยา่ งไร เช่น ใช้เป็นงานฝึกทา้ ยบทเรียน ใชเ้ ป็นการบ้าน หรอื ใช้สอนซ่อมเสริมประกอบดว้ ย - ส่วนประกอบของแบบฝกึ จะระบวุ ่าในแบบฝึกชุดน้ี มีแบบฝกึ ทัง้ หมดกี่ชุด อะไรบ้าง และมีส่วนประกอบอื่น ๆ หรือไม่ เชน่ แบบทดสอบ หรอื แบบบนั ทกึ ผลการประเมิน - สิ่งทคี่ รหู รอื นกั เรียนตอ้ งเตรียม (ถ้ามี) จะเป็นการบอกให้ครูหรือนักเรยี นเตรียมตัวให้ พร้อมลว่ งหนา้ กอ่ นเรียน - จดุ ประสงคใ์ นการใช้แบบฝึก - ข้ันตอนในการใช้ บอกข้อตามลำดบั การใช้ และอาจเขยี นในรูปแบบของแนวการสอน หรือแผนการสอนจะชัดเจนยิ่งข้นึ - เฉลยแบบฝึกในแต่ละชุด 2. แบบฝกึ เป็นส่อื ทีส่ รา้ งข้ึนเพ่ือใหผ้ ู้เรียนฝึกทกั ษะ เพอ่ื ใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ ทถ่ี าวรควรมีองค์ประกอบ ดังน้ี - ชื่อชุดฝึกในแต่ละชดุ ย่อย
22 - จดุ ประสงค์ - คำสงั่ - ตวั อย่าง - ชดุ ฝกึ - ภาพประกอบ - ขอ้ ทดสอบก่อนและหลังเรยี น - แบบประเมินบันทึกผลการใช้ 5.6 รปู แบบการสร้างแบบฝกึ สวุ ิทย์ มูลคำ และสุนนั ทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 62 - 64) ไดเ้ สนอแนะรปู แบบการสร้าง แบบฝึก โดยอธบิ ายว่าการสร้างแบบฝกึ รูปแบบกเ็ ป็นส่ิงสำคญั ในการทีจ่ ะจูงใจใหผ้ ู้เรียนไดท้ ดลองปฏิบัติ แบบฝึกจงึ ควรมีรูปแบบที่หลากหลาย มใิ ช่ใชแ้ บบเดียวจะเกิดความจำเจน่าเบ่อื หน่าย ไมท่ ้าทายให้อยาก รู้อยากลองจงึ ขอเสนอรปู แบบทเี่ ป็นหลักใหญไ่ วก้ อ่ น สว่ นผู้สร้างจะนำไปประยุกต์ใช้ ปรับเปลี่ยนรูปแบบ อ่นื ๆ ก็แล้วแตเ่ ทคนิคของแต่ละคน ซง่ึ จะเรียงลำดบั จากงา่ ยไปหายาก ดงั นี้ 1. แบบถกู ผิด เป็นแบบฝกึ ท่ีเป็นประโยคบอกเล่า ให้ผู้เรยี นอ่านแล้วใส่เคร่ืองหมายถูก หรอื ผดิ ตามดลุ ยพินิจของผ้เู รียน 2. แบบจับคู่ เป็นแบบฝึกที่ประกอบด้วยตัวคำถามหรือตัวปัญหา ซึ่งเป็นตัวยืนไว้ใน สดมภซ์ ้ายมอื โดยมที ว่ี า่ งไวห้ น้าข้อเพือ่ ใหผ้ ู้เรียนเลือกหาคำตอบทีก่ ำหนดไว้ในสดมภ์ขวามือมาจับคู่กับ คำถามให้สอดคล้องกัน โดยใช้หมายเลขหรือรหัสคำตอบไปวางไว้ที่ว่างหน้าข้อความหรอื จะใช้การโยง เสน้ กไ็ ด้ 3. แบบเติมคำหรือเติมข้อความ เป็นแบบฝึกทีม่ ีข้อความไวใ้ ห้ แต่จะเว้นชอ่ งว่างไว้ให้ ผ้เู รียนเตมิ คำหรือขอ้ ความทีข่ าดหายไป ซง่ึ คำหรือขอ้ ความที่นำมาเติมอาจให้เติมอย่างอสิ ระหรือกำหนด ตวั เลอื กให้เติมกไ็ ด้ 4. แบบหมายตัวเลือก เป็นแบบฝึกเชิงแบบทดสอบ โดยจะมี 2 ส่วน คือส่วนที่เป็น คำถาม ซง่ึ จะต้องเปน็ ประโยคคำถามทีส่ มบูรณ์ ชดั เจนไมค่ ลุมเครอื สว่ นที่ 2 เปน็ ตวั เลือก คอื คำตอบซ่ึง อาจจะมี 3-5 ตัวเลือกกไ็ ด้ ตวั เลอื กทั้งหมดจะมีตวั เลอื กที่ถกู ทส่ี ุดเพียงตัวเลือกเดยี ว สว่ นทเ่ี หลือเป็นตวั ลวง 5. แบบอัตนัย คือความเรียงเป็นแบบฝึกที่ตัวคำถาม ผู้เรียนต้องเขียนบรรยายตอบ อย่างเสรีตามความรู้ความสามารถ โดยไม่จำกัดคำตอบ แต่กำจัดคำตอบ แต่จำกัดในเรื่องเวลา อาจใช้ คำถามในรูปทว่ั ๆ ไป หรือเปน็ คำสั่งใหเ้ ขยี นเรอ่ื งราวต่าง ๆ กไ็ ด้ 5.7 ขนั้ ตอนการสรา้ งแบบฝึก สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 65) ได้เสนอแนะการสร้างแบบฝึกวา่ ขั้นตอนการสร้างแบบฝึก จะคล้ายคลึงกับการสร้างนวัตกรรมทางการศึกษาประเภทอื่น ๆ ซึ่งมี รายละเอียดดงั น้ี 1. วิเคราะหป์ ัญหาและสาเหตุจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เช่น - ปญั หาทีเ่ กดิ ขน้ึ ในขณะทำการสอน - ปัญหาการผ่านจุดประสงค์ของนกั เรียน - ผลจากการสงั เกตพฤติกรรมที่ไมพ่ งึ ประสงค์
23 - ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น 2. ศึกษารายละเอียดในหลกั สตู ร เพื่อวิเคราะห์เนือ้ หา จดุ ประสงค์และกจิ กรรม 3. พิจารณาแนวทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากข้อ 1 โดยการสร้างแบบฝึก และเลือก เน้ือหาในส่วนท่จี ะสร้างแบบฝึกนน้ั ว่าจะทำเรอื่ งใดบ้าง กำหนดเป็นโครงเรื่องไว้ 4. ศกึ ษารปู แบบของการสร้างแบบฝึกจากเอกสารตวั อยา่ ง 5. ออกแบบชดุ ฝกึ แตล่ ะชดุ ให้มรี ปู แบบทหี่ ลากหลายนา่ สนใจ 6. ลงมือสร้างแบบฝกึ ในแต่ละชุด พรอ้ มทงั้ ขอ้ ทดสอบก่อนและหลงั เรียนให้สอดคล้อง กับเน้ือหาและจดุ ประสงค์การเรียนรู้ 7. ส่งใหผ้ เู้ ช่ยี วชาญตรวจสอบ 8. นำไปทดลองใช้ แลว้ บันทึกผลเพ่อื นำมาปรับปรุงแก้ไขสว่ นที่บกพรอ่ ง 9. ปรบั ปรุงจนมีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ท่ีต้งั ไว้ 10. นำไปใชจ้ รงิ และเผยแพรต่ อ่ ไป ถวัลย์ มาศจรสั และคณะ (2550 : 21) ได้อธบิ ายข้นั ตอนการสรา้ งแบบฝกึ ทกั ษะ ดังนี้ 1. ศึกษาเนอ้ื หาสาระสำหรบั การจัดทำแบบฝกึ หดั แบบฝึกทกั ษะ 2. วเิ คราะห์เน้ือหาสาระโดยละเอยี ดเพือ่ กำหนดจดุ ประสงค์ในการจดั ทำ 3. ออกแบบการจัดทำแบบฝึกหดั แบบฝกึ ทักษะตามจุดประสงค์ 4. สร้างแบบฝึกหัด และแบบฝึกทกั ษะและสว่ นประกอบอ่นื ๆ เชน่ 4.1 แบบทดสอบก่อนฝกึ 4.2 บัตรคำสงั่ 4.3 ข้นั ตอนกิจกรรมท่ีผูเ้ รียนต้องปฏบิ ัติ 4.4 แบบทดสอบหลงั ฝึก 5. นำแบบฝกึ หดั แบบฝกึ ทกั ษะไปใช้ในการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ 6. ปรบั ปรุงพัฒนาใหส้ มบูรณ์ 5.8 แนวคดิ หลกั การทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับแบบฝกึ ทักษะ อกนษิ ฐ์ กรไกร (2549 : 17) ได้ดำเนินการสร้างแบบฝึกทักษะ ยึดหลักให้นกั เรียนได้เรียนรู้ ดว้ ยตนเองตามศกั ยภาพของแต่ละบคุ คล ในความคาดหวงั ต้องการใหเ้ ดก็ ทใ่ี ช้แบบฝึกทกั ษะมพี ฤตกิ รรม ดงั น้ี 1. Active Responding ให้นักเรยี นมสี ว่ นร่วมในการเรียนอย่างกระฉบั -กระเฉง ไม่วา่ จะเปน็ คดิ ในใจหรือแสดงออกมาด้วยการพูดหรือเขียน นักเรียนอาจเขียนรูปภาพเติมคำแต่งประโยคหรือหา คำตอบในใจ 2. Minimal Error ในการเรียนแต่ละครง้ั เราหวังว่า นักเรยี นจะตอบคำถามได้ถูกต้องเสมอ แต่ ในกรณีทน่ี กั เรยี นตอบคำถามผิด นกั เรียนควรมีโอกาสฝกึ ฝนและเรียนรู้ในสิ่งท่ีเขาทำผิดเพ่ือไปสู่คำตอบ ทถ่ี ูกตอ้ งต่อไป 3. Knowledge of Results เม่อื นักเรียนสามารถตอบถูกต้องเขาควรได้รับเสริมแรง ถ้านักเรยี น ตอบผิดเขาควรได้รับการชี้แจง และให้โอกาสที่จะแก้ไขให้ถูกต้องเช่นเดียวกับประสบการณ์ที่เป็น ความสำเรจ็ สำหรบั มนษุ ยแ์ ล้ว เพียงไดร้ ู้ว่าทำอะไรสำเร็จกถ็ อื เป็นการเสริมแรงในตัวเอง
24 4. Small Step การเรยี นจะตอ้ งเปดิ โอกาสให้นักเรียนได้เรยี นรไู้ ปทีละน้อยดว้ ยตนเอง โดยให้ ความรู้ตามลำดับขั้นและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนใคร่ครวญตามซึ่งจะเป็นผลดีต่อการเรียนรู้ของเด็กอย่าง มาก แมท้ ่เี รยี นอ่อนกจ็ ะสามารถเรยี นได้ สวุ ิทย์ มลู คำ และสนุ ันทา สนุ ทรประเสรฐิ (2550 : 54 - 55) ได้อธบิ ายแนวคิดและหลกั การ สร้างแบบฝึกว่า การศึกษาในเรื่องจิตวิทยาการเรียนรู้ เป็นสิ่งที่ผู้สร้างแบบฝึกมิควรละเลยเพราะการ เรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ต้องขึ้นอยู่กับปรากฏการณ์ของจิตและพฤติกรรมที่ตอบสนองนานาประการ โดย อาศยั กระบวนการทเ่ี หมาะสมและเปน็ วธิ ีที่ดีที่สุด การศกึ ษาทฤษฎีการเรยี นร้จู ากขอ้ มูลท่นี ักจิตวิทยาได้ ทำการค้นพบ และทดลองไว้แลว้ สำหรบั การสร้างแบบฝกึ ในสว่ นท่ีมีความสัมพนั ธ์กนั ดังน้ี 1. ทฤษฎกี ารลองถกู ลองผดิ ของธอร์นไดค์ ซง่ึ ไดส้ รุปเป็นกฎเกณฑก์ ารเรียนรู้ 3 ประการ คือ 1.1 กฎความพร้อม หมายถึง การเรยี นรูจ้ ะเกิดข้นึ เม่อื บคุ คลพรอ้ มทจ่ี ะกระทำ 1.2 กฎผลที่ไดร้ ับ หมายถึง การเรยี นร้ทู ี่เกดิ ข้นึ เพราะบุคคลกระทำซำ้ งา่ ย 1.3 กฎการฝึกหัด หมายถึง การฝึกหัดให้บุคคลทำกิจกรรมต่างๆ นั้น ผู้ฝึกจะต้อง ควบคุมและจัดสภาพการใหส้ อดคลอ้ งกับวตั ถุประสงคข์ องตนเอง บคุ คลจะถกู กำหนดลกั ษณะพฤตกิ รรม ท่แี สดงออก ดังนั้น ผสู้ รา้ งแบบฝึกจงึ จะต้องกำหนดกิจกรรมตลอดจนคำสั่งต่าง ๆ ใบแบบฝกึ ให้ผฝู้ ึกได้แสดง พฤตกิ รรมสอดคลอ้ งกับจุดประสงค์ท่ีผู้สรา้ งต้องการ 2. ทฤษฎพี ฤตกิ รรมนิยมของสกินเนอร์ ซึ่งมคี วามเช่อื วา่ สามารถควบคุมบุคคลใหท้ ำตามความ ประสงค์หรือแนวทางท่ีกำหนดโดยไม่ตอ้ งคำนึงถงึ ความรู้สกึ ทางดา้ นจิตใจของบุคคลผูน้ ้ันว่าจะรู้สกึ นึก คิดอย่างไร เขาจึงได้ทดลองและสรุปว่าบุคคลสามารถเรียนรู้ด้วยการกระทำโดยมีการเสริมแรงเป็น ตวั การ เป็นบคุ คลตอบสนองการเร้าของสง่ิ เร้าควบคูก่ นั ในช่วงเวลาท่ีเหมาะสม ส่ิงเรา้ น้ันจะรักษาระดับ หรอื เพม่ิ การตอบสนองให้เขม้ ขึ้น 3. วธิ กี ารสอนของกาเย่ ซงึ่ มีความเห็นวา่ การเรียนรูม้ ีลำดับขั้น และผูเ้ รียนจะต้องเรียนรู้เน้ือหา ทง่ี ่ายไปหายาก การสรา้ งแบบฝึก จึงควรคำนึงถึงการฝกึ ตามลำดบั จากง่ายไปหายาก 4. แนวคิดของบลูม ซึ่งกล่าวถึงธรรมชาติของผู้เรียนแต่ละคนว่ามีความแตกต่างกันผู้เรียน สามารถเรยี นร้เู นอื้ หาในหน่วยย่อยต่างๆ ไดโ้ ดยใชเ้ วลาเรียนท่ีแตกต่างกัน 6. งานวจิ ัยทีเ่ กยี่ วข้อง บรรจง จันทร์พันธ์ (2548 : 94-100) ได้พัฒนาแผนการเรียนรู้และแบบฝกึ ทักษะภาษาไทย เรื่องการสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดสำหรบั นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน การศกึ ษาคน้ ควา้ คือ นกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านโพธ์งิ าม สำนกั งานเขตพื้นที่การศึกษา ร้อยเอ็ด เขต 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2546 จำนวน 26 คน ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า แผนการ เรียนรู้และแบบฝึกทักษะภาษาไทย เรื่องการสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.98/82.75 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้และมีคา่ ดัชนีประสิทธิผลเท่ากบั 0.692 ซึ่งหมายความว่านักเรียนมีความรู้เพ่ิมขึน้ ร้อยละ 60.92 และนักเรียนมี ความพอใจตอ่ แผนการเรยี นรู้และแบบฝึกทักษะภาษาไทย เร่ืองการสะกดคำไม่ตรงตามมาตราตัวสะกด โดยรวมอยู่ในระดับ ปานกลาง
25 มนทิรา ภักดีณรงค์ (2540 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการสร้างแบบฝึกกิจกรรมขั้นตอนที่ 5 ทม่ี ีประสทิ ธิภาพและความคงทนในการเรียนรู้ เร่ือง ยังไมส่ ายเกินไป วชิ าภาษาไทย ชนั้ มธั ยมศึกษาปี ที่ 2 โดยการสอนแบบมุ่งประสบการณ์ภาษา ผลการศึกษาพบว่า แบบฝึกทักษะมีประสิทธิภาพตาม เกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และคะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดบั .01 วิเศษ แปวไธสง (2547 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้และแบบฝึก ทักษะประกอบการเรยี น กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทยแบบมงุ่ ประสบการณ์ทางภาษา เรื่อง ลูกอ๊อดหา แม่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสามัคคีคุรุราษฎร์บำรุง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์เขต 4 ผลการศึกษาคน้ ควา้ พบวา่ แผนการเรยี นร้มู ปี ระสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80.85/85.05 ซง่ึ สูงกวา่ เกณฑ์ทีต่ ั้ง ไว้ แบบฝึกทักษะมคี ณุ ภาพอยู่ในระดับเหมาะสมมากท่สี ดุ มีคะแนนเฉล่ยี หลังเรียนสูงกว่ากอ่ นเรียนอย่าง มนี ัยสำคัญทางสถติ ิระดับ .05 ประวณี า เอน็ ดู (2547 : บทคดั ย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรภู้ าษาไทย เรอื่ ง การอ่านและการเขียนสะกดคำ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านน้อย จังหวัด นครราชสมี า ผลการศกึ ษาคน้ คว้าพบว่า แผนการจัดการเรยี นรูแ้ ผนการจดั การเรยี นรู้ เรอื่ ง การอ่านและการเขียนสะกดคำ โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ มีประสิทธภิ าพ 86.11/83.33 วงศเ์ ดอื น มีทรัพย์ (2547 : บทคัดยอ่ ) ไดศ้ ึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรแู้ ละ แบบฝกึ ทักษะ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5 เรื่อง ครั้งหนง่ึ ยังจำได้ เครื่องมือท่ีใช้ ในการศกึ ษาค้นควา้ ไดแ้ ก่ แผนการจดั การเรียนรู้ แบบฝกึ ทกั ษะ แบบทดสอบ แบบสอบถาม ความพงึ พอใจ ผลการศกึ ษาคน้ ควา้ พบวา่ แผนการจดั การเรยี นรู้ มีประสทิ ธิภาพ 87.09/85.29 ซึ่ง สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ แบบฝึกทักษะมีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.74 และมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรยี นอย่างมีนยั ทางสถิตทิ ่ีระดบั .05 นลิ วรรณ อคั ติ (2548 : บทคดั ยอ่ ) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระ การเรียนรภู้ าษาไทย เรอื่ ง การผันวรรณยกุ ต์ โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 โรงเรียนชุมชน ภูแล่นช้างคเชนทรพ์ ทิ ยาคาร สำนักงานเขตพื้นท่ีการศกึ ษากาฬสินธุ์ เขต 3 เครื่องมือที่ใช้คือ แผนการ จัดการเรียนรู้ แบบฝึกทักษะ แบบทดสอบและแบบสอบถามความพึงพอใจ ผลการศึกษาค้นคว้าพบว่า แผนและแบบฝึกทักษะมีประสิทธิภาพ 87.85/80.91 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ นักเรียนมีความพงึ พอใจตอ่ การจัดการเรียนรดู้ ว้ ยแบบฝกึ ทักษะอยู่ในระดับมาก สมใจ นาคศรีสังข์ (2549 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาค้นคว้า เรื่อง การสร้างแบบฝึกการอ่านและ เขียนสะกดคำจากแหลง่ เรียนรูใ้ นทอ้ งถนิ่ ช้ันมธั ยมศึกษาทปี่ ี 4 โรงเรยี นตลาดเกาะแรต สำนักงานเขต พื้นที่การศึกษานครปฐมเขต 2 ในปีการศึกษา 2549 จำนวน 21 คน พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูงขึ้นกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ แบบฝกึ ทกั ษะมีประสิทธภิ าพ 83.98/84.46 และผล การประเมินความพงึ พอใจของนักเรยี นทีม่ ตี อ่ แบบฝกึ ทักษะโดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มากทสี่ ดุ ผลการศึกษางานวิจัยในประเทศแสดงให้เห็นความสำคัญของการจัดกิจกรรมการพัฒนา การ อา่ นและการเขียนสะกดคำ เพราะแบบฝึกทกั ษะเป็นสิง่ สำคญั ในการพฒั นาการเรยี นรู้ ทำให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนประสบความสำเร็จตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรอย่างมี ประสิทธิภาพ
26 บทท่ี 3 วิธีดำเนินการ การศึกษาในครั้งนี้ ผู้รายงานได้ดำเนินการรายงานการพัฒนาทักษะการอ่านสะกดคำที่ไม่ตรง มาตรา โดยใชแ้ บบฝึกทักษะสาระภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2563 ซ่ึง สรุปได้ดงั นี้ 1. ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการศกึ ษา 3. แบบแผนการทดลอง และขั้นตอนการทดลอ 4. การสรา้ งและการหาคณุ ภาพเครอ่ื งมือที่ใช้ในการศึกษา 5. การวิเคราะหข์ ้อมูล 6. สถติ ทิ ่ีใชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมูล 1. ประชากรและกลุม่ ตวั อย่าง 1.1 ประชากร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๓ จังหวัด ลพบุรี สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 3 ห้องเรียน จำนวน 113 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/3 ของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๓ จังหวัดลพบรุ ี สังกัดสำนกั บริหารงานการศกึ ษาพิเศษ ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 จำนวน 35 คน ซ่ึงไดม้ าโดยการเลอื กสมุ่ แบบเจาะจง (Purposive Sampling) 2. เครอื่ งมือที่ใชใ้ นการวิจัย 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านสะกดคำท่ีไมต่ รงมาตรา โดย ใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทย ของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แผนการจัดการเรียนรู้ จัดทำข้ึนเพ่ือเปน็ แนวทางในการจดั การเรียนการสอน จำนวน 4 แผน 2.2 แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น 2.2.1 แบบทดสอบก่อนเรยี นวิชาภาษาไทย เรอ่ื ง การอา่ นสะกดคำที่ไม่ตรงมาตรา แบบทดสอบก่อนเรียนสร้างข้นึ เพ่อื วัดความรู้ทางภาษาไทยกอ่ นการทดลอง ผ้วู ิจยั เลอื กเนอ้ื หาเร่ือง การ อา่ นสะกดคำทีไ่ ม่ตรงมาตรา เปน็ การทดสอบแบบปรนยั 4 ตวั เลือก จำนวน 20 ข้อ 2.2.2 แบบทดสอบหลงั เรียนวิชาภาษาไทย เรอ่ื ง การอา่ นสะกดคำทไี่ ม่ตรงมาตรา แบบทดสอบหลังเรียนสร้างขนึ้ เพื่อวดั ความรู้ทางภาษาไทยหลังการทดลอง ผู้วจิ ัยเลือกเน้อื หาเร่ือง การ อ่านสะกดคำที่ไม่ตรงมาตรา เปน็ การทดสอบแบบปรนยั 4 ตวั เลือก จำนวน 20 ข้อ 2.3 แบบฝกึ ทักษะการอา่ นและเขยี นภาษาไทย จำนวน 4 แบบฝึก
27 3. แบบแผนการทดลองและขนั้ ตอนการทดลอง 3.1 แบบแผนการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ ได้ใช้แบบแผนการวิจัยแบบ One Group Pre-test Post-test Design เสริม พงศ์ วงศ์กมลาไสย (2548 : 57) โดยมีลกั ษณะการวจิ ัย ดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 แบบแผนการวิจยั แบบ One Group Pre-test Post-test Design กลุม่ Pre-test Treatment Post-test ทดลอง T1 X T2 T1 หมายถึง การทดสอบกอ่ นเรยี น (Pre-test) X หมายถงึ การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ดว้ ยแผนการจัดการเรยี นรู้ การอา่ นสะกดคำทีไ่ ม่ตรงมาตรา โดยใช้แบบฝกึ ทักษะ T2 หมายถงึ การทดสอบหลังเรยี น (Post-test) 3.2 ขัน้ ตอนการดำเนนิ การ การดำเนินการวิจัยในครั้งนี้ ผู้รายงานได้ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การพัฒนา ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น เรือ่ ง การอา่ นสะกดคำที่ไมต่ รงมาตรา โดยใช้แบบฝกึ เสรมิ ทักษะสาระภาษาไทย ของนักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2563 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 โรงเรียนราช ประชานเุ คราะห์ ๓๓ จงั หวดั ลพบรุ ี อำเภอหนองม่วง สำนกั บริหารงานการศึกษาพิเศษ จำนวน 35 คน ใช้เวลาในการดำเนินการ จำนวน 6 คาบ คาบละ 1 ชั่วโมง ทั้งนี้รวมเวลาที่ใช้ในการทดสอบก่อนเรยี น และหลังเรียน โดยมลี ำดบั ข้นั ตอนการดำเนินการ ดงั น้ี 3.2.1 ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test ) ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การ อ่านสะกดคำทไี่ ม่ตรงมาตรา ที่ผรู้ ายงานสร้างข้ึน จำนวน 20 ข้อ กับนกั เรยี นกลุ่มตวั อยา่ ง 3.2.2 ดำเนนิ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแผนการจดั การเรียนรู้ ระหว่างการจัดกจิ กรรมการ เรยี นการสอนได้บันทกึ คะแนนการทำกจิ กรรมกลุ่มและการทำแบบฝกึ ทักษะไวท้ กุ คร้งั 3.2.3 เมอื่ ดำเนนิ การสอนครบทุกแผนแล้ว ทำการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (Post-test) กับนกั เรยี นกลุม่ ตัวอยา่ ง
28 4. การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ ผู้รายงาน ไดด้ ำเนนิ การสร้างเครือ่ งมือในการศึกษาตามลำดับ ดงั นี้ 1. การสรา้ งแบบฝึกเสรมิ ทักษะการอา่ นและเขียนภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 1 ผรู้ ายงานได้ ดำเนินการสรา้ งเครื่องมอื ในการวิจยั ดงั นี้ 1.1 ศึกษาสภาพปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ ๓๓ จงั หวดั ลพบุรี อำเภอหนองมว่ ง สำนักบริหารงานการศกึ ษาพิเศษ 1.2 ศกึ ษาหลกั สตู ร ค้นคว้าขอ้ มูล คู่มอื การจดั การเรยี นรู้ หลกั สตู รโรงเรยี นราชประชา นุเคราะห์ ๓๓ จังหวัดลพบุรี พุทธศักราช 2562 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 เกีย่ วกบั การจัดทำหน่วยการเรยี นรู้ 1.3 ศึกษาการสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 จากเอกสารต่าง ๆ 1.4 ดำเนินการสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 จำนวน 4 ชุด 1.5 สร้างแบบประเมินแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย กลุ่มสาระการ เรยี นร้ภู าษาไทย ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 1 โดยถามครอบคลมุ องคป์ ระกอบของแบบฝึกทกั ษะ 5 ดา้ น คือ 1) จุดประสงค์ 2) เนือ้ หา 3) รูปแบบ 4) การใชภ้ าษา 5) การวดั และประเมนิ ผล 1.6 นำแบบฝึกทักษะพร้อมแบบประเมินที่สร้างขึ้น เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน เพื่อ ตรวจสอบความเหมาะสมของแบบฝกึ ทักษะ ความถกู ต้องของภาษา ซง่ึ ผ้เู ช่ยี วชาญประกอบดว้ ย 1. นายอนุ ศรีแพง่ ตำแหนง่ รองผูอ้ ำนวย โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๓๓ จังหวดั ลพบรุ ี ผเู้ ช่ียวชาญด้านสถติ ิและการวจิ ัย 2. นางจารณุ ี ชมพลมา ตำแหนง่ ครชู ำนาญการ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๓ จังหวดั ลพบรุ ี ผเู้ ชยี่ วชาญด้านการจัดการเรยี นการ สอนภาษาไทย 3. นางสาวพชั ราพร จลุ มณี ตำแหน่งครู โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๓ จังหวัดลพบรุ ี ผู้เชี่ยวชาญดา้ นการจัดทำสอ่ื นวตั กรรม และการวัดผลประเมินผล 1.7 นำแบบฝึกทักษะไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนช้ัน มธั ยมศึกษาปที ่ี 1/1, 1/2 ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2563 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๓ จังหวัด ลพบุรี จำนวน 78 คน เพื่อดูเวลาที่ใช้ ความเหมาะสมของแบบฝึกทักษะ เร้าความสนใจของนักเรียน สอดคลอ้ งกบั เนอื้ หา
29 1.8 นำแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทยที่ปรับปรุงแก้ไขแล้ว นำไป ทดลองกบั กลุ่มตวั อย่าง คือ นกั เรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 1/3 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศึกษา 2563 โรงเรียน ราชประชานุเคราะห์ ๓๓ จังหวดั ลพบรุ ี จำนวน 35 คน 2. การสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน เร่อื ง การอา่ นสะกดคำที่ไมต่ รงมาตรา ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทย ผู้รายงานได้ดำเนินการสร้าง ตามลำดับ ดงั น้ี 2.1 ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักเกณฑ์และวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี นแบบองิ เกณฑข์ องบญุ ชม ศรสี ะอาด (2545 : 89-90) 2.2 ศึกษาหลกั สูตร คูม่ ือการวัดผลและประเมินผลตามหลกั สูตรโรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ ๓๓ จงั หวดั ลพบุรี พุทธศักราช 2562 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 2.3 กำหนดเน้ือหาและกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ให้สอดคล้องกับเนอื้ หาสาระ 2.4 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก จำนวน 20 ข้อ 2.5 นำแบบทดสอบที่สร้างขึ้น เสนอผู้เชี่ยวชาญชุดเดิมกับข้อ (1.6) เพื่อพิจารณา ความเที่ยงตรงของเนื้อหา ความเหมาะสมของภาษาที่ใช้ และประเมินความสอดคล้องระหว่าง แบบทดสอบกบั จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ โดยมีเกณฑ์การใหค้ ะแนน ดังนี้ ใหค้ ะแนน +1 เมื่อแนใ่ จวา่ ขอ้ สอบนน้ั วัดตรงตามจุดประสงค์ ให้คะแนน 0 เมอ่ื ไมแ่ นใ่ จวา่ ขอ้ สอบนัน้ วัดตรงตามจุดประสงค์ ใหค้ ะแนน -1 เมอื่ แน่ใจวา่ ขอ้ สอบนน้ั วัดไมต่ รงตามจดุ ประสงค์ 2.6 นำคะแนนผลการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหวา่ ง คำถามกับจุดประสงค์โดยใช้สูตรของโรวิเนลลีและแฮมแบลตัน (Rowinelli and Hambleton 1977, อา้ งใน บุญชม ศรีสะอาด 2545 : 64-65) IOC = R N IOC = คา่ ดัชนคี วามสอดคล้องระหวา่ งขอ้ คำถามกับจุดประสงค์ R = ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผเู้ ช่ียวชาญ N = จำนวนผู้เช่ยี วชาญ หลักเกณฑ์การคดั เลือกข้อคำถามมดี งั น้ี 1. ข้อคำถามที่มคี า่ IOC ต้ังแต่ 0.5-1.00 คัดเลอื กไว้ใชไ้ ด้ 2. ข้อคำถามทีม่ ีคา่ IOC ต่ำกว่า 0.5 ควรพจิ ารณาปรับปรุงหรอื ตดั ทงิ้ 2.7 นำแบบทดสอบไปทดลองใช้ (Try-Out) กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1/1, 1/2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๓ จงั หวัดลพบรุ ี จำนวน 78 คน
30 5. การวิเคราะห์ขอ้ มลู การศึกษาครง้ั น้ี ผูศ้ กึ ษาทำการวิเคราะห์ขอ้ มลู โดยวเิ คราะห์ขอ้ มลู ดังนี้ 1. วิเคราะหห์ าค่าเฉลี่ยและร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี นก่อนเรยี นและหลงั เรยี น 2. วิเคราะห์หาประสิทธภิ าพของแบบฝึกทักษะ 3. วิเคราะห์หาคะแนนเฉลี่ยและร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการประเมินการทำแบบฝึก ทกั ษะระหว่างเรยี น 6. สถิตทิ ี่ใช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมูล 6.1 การวเิ คราะห์แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น สถิติทใ่ี ช้ ได้แก่ 6.1.1 ร้อยละ (Percentage ) ใชส้ ตู ร P ของบญุ ชม ศรีสะอาด ( 2545 : 104 ) สตู ร P = f 100 N เม่ือ P แทน ร้อยละ f แทน ความถี่ท่ตี อ้ งการแปลงให้เปน็ รอ้ ยละ N แทน จำนวนความถ่ีทัง้ หมด 6.1.2 คา่ เฉลย่ี (Arithmetic Mean) ของคะแนน โดยใชส้ ตู รของ บญุ ชม ศรีสะอาด ( 2545 : 105 ) สตู ร X = X N เม่อื X แทน คา่ เฉลี่ย X แทน ผลรวมของคะแนนทัง้ หมดในกล่มุ N แทน จำนวนนักเรียน 6.1.3 สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( Standard Deviation) โดยใช้สตู ร S.D. ของ บญุ ชม ศรสี ะอาด ( 2545 : 106 ) ( )สูตร S.D. = N X 2− X 2 N(N −1) เมือ่ S.D. แทน ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน x2 แทน คะแนนแต่ละตวั N แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม แทน ผลรวม
31 บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล รายงานการพฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านสะกดคำที่ไมต่ รงมาตรา โดยใช้แบบ ฝึกทักษะการอา่ นและเขียนภาษาไทย ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ในคร้ังน้ี ผูร้ ายงานไดเ้ สนอผลการวิเคราะห์ ขอ้ มูลตามลำดบั ขน้ั ดังน้ี 1. สญั ลักษณท์ ีใ่ ชใ้ นการนำเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู 2. ลำดับขั้นในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 3. ผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู 1. สัญลักษณ์ท่ีใชใ้ นการนำเสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มลู ผูร้ ายงานไดก้ ำหนดสญั ลกั ษณ์ท่ีใช้ในการแปลความหมายผลการวิเคราะห์ข้อมลู ดงั น้ี N แทน จำนวนกลมุ่ เป้าหมาย X แทน คะแนนเฉลย่ี X แทน ผลรวมของคะแนนทงั้ หมด 2. ลำดับข้นั ในการเสนอผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูล ในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ผู้รายงานไดด้ ำเนนิ การตามลำดับขนั้ ตอน ดังน้ี ตอนที่ 1 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านและการเขียนสะกดคำ ก่อน เรยี นและหลงั เรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะ ตอนที่ 2 วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย กลุ่ม สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 ตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80 3. ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ตอนท่ี 1 วเิ คราะหห์ าความแตกตา่ งระหวา่ งคะแนนแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรยี น ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลปรากฎดังในตารางท่ี 2 ดังนี้ ตารางท่ี 2 ตารางแสดงคะแนนเฉลย่ี และคา่ รอ้ ยละของคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรยี น คะแนน จำนวนนักเรยี น คะแนนเตม็ คะแนนรวม คะแนนเฉลย่ี รอ้ ยละ กอ่ นเรยี น 35 20 281 8.03 40.14 หลงั เรียน 35 20 604 17.26 86.29
32 จากตารางที่ 2 พบว่า คะแนนเฉลยี่ ความสามารถในการอ่านและเขียนคำพนื้ ฐานภาษาไทยจาก การทดสอบก่อนเรยี นเท่ากบั 8.03 คิดเป็นร้อยละ 40.14 การทดสอบหลงั เรียนเท่ากับ 17.26 คิดเป็น ร้อยละ 86.29 แสดงให้เห็นวา่ นกั เรยี นมคี วามก้าวหน้าในเรื่องการอ่านสะกดคำท่ีไมต่ รงมาตราสงู ขึน้ ตอนท่ี 2 การหาประสิทธภิ าพของแบบฝึกทกั ษะการอ่านและการเขยี นภาษาไทย กลมุ่ สาระการ เรยี นรภู้ าษาไทย ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 ตามเกณฑ์ 80/80 ปรากฏผลดังตารางท่ี 3 ตารางที่ 3 คะแนนเฉลี่ย และร้อยละ เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียน ภาษาไทย ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 แบบฝกึ ทกั ษะ คะแนนเตม็ X รอ้ ยละ แบบฝึกทกั ษะท่ี 1 10 89.43 แบบฝกึ ทกั ษะท่ี 2 10 8.94 86.29 แบบฝกึ ทกั ษะที่ 3 10 83.14 แบบฝกึ ทกั ษะท่ี 4 10 8.63 85.71 40 86.14 รวม 8.31 8.57 8.61 จากตารางที่ 3 แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 4 แบบฝึก มีคะแนนเฉลี่ย 8.61 คิดเป็นร้อยละ 86.14 ดังนั้น แบบฝึกทักษะที่สร้างขึ้นมี ประสทิ ธิภาพเปน็ ไปตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80 ทีต่ ้ังไว้
33 บทที่ 5 สรุปผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ การศึกษาในคร้ังนี้ ผรู้ ายงานได้พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น เรือ่ ง การอ่านสะกดคำท่ีไม่ตรง มาตรา โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะการอา่ นและเขยี นภาษาไทย ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 1 ซึ่งสรุปได้ดงั น้ี 1. วัตถุประสงคข์ องการศึกษา 2. ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง 3. เครื่องมือท่ีใช้ในการศกึ ษา 4. การดำเนนิ การศึกษา 5. สรปุ ผลการศึกษา 6. อภปิ รายผล 7. ข้อเสนอแนะ 1. วัตถปุ ระสงค์ของการศกึ ษา 1.1 เพอ่ื พฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น เร่อื ง การอ่านสะกดคำทไ่ี ม่ตรงมาตรา ของนักเรียนชั้น มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1/3 1.2 เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ มาตรฐาน 80/80 2. ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง 2.1 ประชากร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๓ จังหวัด ลพบุรี สังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 3 ห้องเรียน จำนวน 113 คน 2.2 กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/3 ของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๓ จังหวัดลพบุรี สังกัดสำนักบรหิ ารงานการศึกษาพิเศษ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 35 คน ซงึ่ ได้มาโดยการเลือกส่มุ แบบเจาะจง (Purposive Sampling) 3. เครอื่ งมือทใ่ี ช้ในการศกึ ษา เครือ่ งมอื ท่ใี ชใ้ นการศกึ ษาคร้งั น้ี ประกอบด้วย 3.1 แผนการจัดการเรยี นรู้ วิชาภาษาไทย เร่อื ง การอ่านสะกดคำทีไ่ มต่ รงมาตรา โดยใชแ้ บบฝึก ทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 แผนการจัดการเรียนรู้จัดทำข้ึน เพอื่ เป็นแนวทางในการจดั การเรียนการสอน จำนวน 4 แผน 3.2 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน 3.2.1 แบบทดสอบก่อนเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านสะกดคำที่ไม่ตรงมาตรา แบบทดสอบก่อนเรียนสร้างขนึ้ เพือ่ วัดความรู้ทางภาษาไทยก่อนการทดลอง ผู้วิจัยเลอื กเนือ้ หาเร่ือง การ อา่ นสะกดคำท่ไี มต่ รงมาตรา เปน็ การทดสอบแบบปรนยั 4 ตวั เลือก จำนวน 20 ข้อ
34 3.2.2 แบบทดสอบหลังเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านสะกดคำที่ไม่ตรงมาตรา แบบทดสอบหลังเรยี นสร้างขึน้ เพ่ือวดั ความรูท้ างภาษาไทยหลงั การทดลอง ผู้วจิ ยั เลอื กเน้ือหาเรื่อง การ อ่านสะกดคำท่ไี มต่ รงมาตรา เปน็ การทดสอบแบบปรนยั 4 ตวั เลอื ก จำนวน 20 ข้อ 3.3 แบบฝกึ ทกั ษะการอ่านและเขียนภาษาไทย จำนวน 4 แบบฝกึ 4. การดำเนนิ การศึกษา การดำเนินการในครั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาได้มาจากการเลือกสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผู้รายงานได้เปน็ ผดู้ ำเนนิ การเองโดยมีขน้ั ตอนในการดำเนินการดงั น้ี 4.1 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่านสะกดคำที่ไม่ตรงมาตรา ไป ทดสอบก่อนเรยี น (Pre-test) 4.2 จัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย ช้ัน มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 จำนวน 4 แบบฝึก 4.3 ทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น เรอื่ ง การอ่านสะกดคำท่ีไม่ตรงมาตรา หลงั เรียน (Post- test) 5. สรุปผลการศกึ ษา การพัฒนาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน และความสามารถในการอา่ นสะกดคำท่ีไม่ตรงมาตรา กลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 1/3 หลงั เรียนสูงกวา่ กอ่ นเรียน คือ หลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 86.29 ก่อนเรียนคิดเป็นร้อยละ 40.14 และมีประสิทธิภาพของแบบฝึก 86.14/86.29 ซง่ึ สงู กว่าเกณฑ์ 80/80 ทต่ี ั้งไว้ 6. อภิปรายผล จากการรายงานผลพฒั นาผลสัมฤทธิท์ างการเรียน เรื่อง การอ่านสะกดคำทีไ่ มต่ รงมาตรา โดย ใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 พบประเด็นสำคัญที่ควรนำมา อภิปรายผล ดังน้ี 6.1 คะแนนแบบทดสอบหลังเรียนสูงกว่าคะแนนแบบทดสอบก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นตามสมมติฐานท่ีตัง้ ไว้ แสดงให้เห็นว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝกึ ทักษะ การอ่านและการเขียนภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ทำให้ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เร่อื ง การอา่ นสะกดคำทไ่ี ม่ตรงมาตรา อาจเนื่องมาจาก 6.2.1 แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 1 ท่ีสรา้ งขน้ึ มีประสทิ ธิภาพสงู กวา่ เกณฑ์ 80/80 เป็นสาเหตหุ น่งึ ท่ีทำให้นักเรียนมี ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นหลงั เรยี นสงู ขนึ้ ได้เรยี นรทู้ ลี ะน้อยตามขนั้ ตอนที่ครเู ตรยี มการสอนมาแล้ว ทำให้ นักเรยี นมีกำลังใจท่ีจะเรยี นรเู้ น้อื หาใหมต่ ่อไป 6.2.2 การใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย ในการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ ได้ยึดหลักการสอนตามความต้องการของผู้เรียน ให้ผู้เรียนมสี ่วนรว่ มในกิจกรรมการเรยี นตัง้ แต่ เริ่มฟงั อ่าน พดู และเขยี น ตลอดถงึ ขัน้ ตรวจผลงานด้วยตนเอง นกั เรียนเรยี นรูด้ ้วยความเข้าใจ ใช้สื่อที่ เป็นรูปธรรมมากกวา่ สิ่งท่ีเป็นนามธรรมและประกอบกิจกรรมด้วยตนเอง ทำงานร่วมกับเพ่ือนเป็นกลมุ่
35 เพื่อใช้ให้นักเรียนเขา้ ใจการเรียนรู้แบบประสบการณ์ เนื้อหาเหมาะสมกับความสามารถในการรับรู้ของ นกั เรยี นระดับมธั ยมศึกษา ทำให้นักเรียนเกดิ ความเพลดิ เพลินสนกุ สนาน มีความกระตอื รอื ร้นที่จะเรียน เพราะการเรยี นการสอนท่ีน่าสนใจ ช่วยให้ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนการสอนสงู ข้ึน 6.2 แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้รายงานสร้างขึ้น จำนวน 4 แบบฝึก มีประสิทธิภาพ 86.14/86.29 หมายถึง นกั เรียนไดค้ ะแนนเฉล่ียจากการทำแบบฝกึ ทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทยทั้ง 4 แบบฝกึ คิดเป็น ร้อยละ 86.14 และได้คะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การอ่าน สะกดคำที่ไม่ตรงมาตรา คิดเป็นร้อยละ 86.29 แสดงว่าการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะการอ่านและการ เขียนภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 1 โดยใช้แบบฝึกทักษะ ที่ผู้รายงาน สรา้ งขึน้ มปี ระสทิ ธภิ าพสูงกว่าเกณฑม์ าตรฐาน 80/80 ที่ตั้งไว้ อาจเนื่องมาจากการจดั กิจกรรมการเรียน การสอนโดยใช้แบบฝึกทกั ษะท่ีผรู้ ายงานได้ศึกษาวธิ กี ารและขน้ั ตอนการสรา้ งแบบฝึกทักษะ ได้ผ่านการ ตรวจ แนะนำ แก้ไขข้อบกพรอ่ งและประเมินความถูกต้องเหมาะสมจากผู้เชี่ยวชาญ ผ่านการทดลองใช้ เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ก่อนนำไปใชจ้ รงิ กับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งการทำแบบฝึกทักษะช่วยให้นักเรียน เข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น จดจำความรู้ได้นานและคงทน รวมทั้งพัฒนาความรู้ทักษะและเจตคติด้านต่าง ๆ ของนกั เรยี นใหด้ ียิ่งขึ้น ผรู้ ายงานไดส้ รา้ งแบบฝกึ ทกั ษะการอ่านและการเขยี นภาษาไทย กลุ่มสาระการเรยี นร้ภู าษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ตามแนวทางการสร้างแบบฝึกทักษะที่จัดไว้อย่างเป็นระบบ โดยเริ่มศึกษาตั้งแต่ ปัญหาและความต้องการ วิเคราะห์เนื้อหาและทักษะที่เป็นปัญหาออกเป็นเนื้อหาย่อยแล้วดำเนินการ สรา้ งตามหลักการสร้างแบบฝกึ ทักษะทด่ี ี ของสวุ ทิ ย์ มลู คำ และสนุ ันทา สนุ ทรประเสริฐ (2550 : 60- 61) กล่าววา่ แบบฝึกทักษะท่ีดีควรคำนึงถงึ หลักจิตวิทยา การเรียนรู้ ผู้เรยี นได้ศกึ ษาด้วยตนเอง ความ ครอบคลุม ความสอดคลอ้ งกับเนื้อหา รปู แบบนา่ สนใจ และคำสง่ั ชดั เจน และ ฐานยิ า อมรพลงั (2548: 78) ได้เสนอลักษณะที่ดีของแบบฝึก คือ แบบฝึกที่เรียงลำดับจากง่ายไปหายาก มีรูปภาพประกอบ มี รูปแบบน่าสนใจ หลากหลายรูปแบบ โดยอาศัยหลักจิตวิทยาในการจัดกิจกรรมหรือจัดแบบฝึกใหส้ นุก ใช้ภาษาเหมาะสมกับวยั มีการจัดกิจกรรมการฝึกทีเ่ ร้าความสนใจ และแบบฝึกนัน้ ควรทันสมัยอยู่เสมอ แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 1 ที่ ผูร้ ายงานสร้างขน้ึ เป็นแบบฝึกทักษะที่ใชร้ ่วมกับแผนการจัดการเรยี นรู้ที่ได้นำเอากิจกรรมต่าง ๆ มาจัด ให้สอดคล้องกันในแต่ละแผน เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาสาระในลักษณะท่ีจะส่งเสริมสนับสนุนซึ่งกันและกนั โดยถือว่าสื่อแต่ละอย่างให้คณุ ค่าแตกต่างกัน จากเหตุผลดังกล่าวแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขยี น ภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จึงเป็นแบบฝึกทักษะการอ่านและการ เขยี นทีม่ ีประสิทธิภาพ ซง่ึ สอดคล้องกับงานวิจัยของ พนมวัน วรดลย์ (2542 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการ สรา้ งแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำของนกั เรียนช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 2 พบวา่ แบบฝึกทกั ษะการเขียน สะกดคำมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 87.74/82.11 และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นมี นัยสำคญั ทางสถิติที่ระดับ .01 และตรงกับงานวจิ ยั ของนลิ วรรณ อัคติ (2548 : บทคดั ย่อ) ไดศ้ กึ ษาการ พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องการผันวรรณยุกต์ โดยใช้แบบฝึก ทกั ษะชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 2 โรงเรียนชุมชนภูแล่นชา้ งคเชนทร์พิทยาคาร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กาฬสินธุ์เขต 3 เคร่ืองมือท่ใี ช้คอื แบบทดสอบ แผนการจัดการเรยี นรู้ แบบฝึกทกั ษะและแบบสอบถาม ความพึงพอใจ พบว่า แบบฝึกทักษะมีประสิทธิภาพ 87.85/80.91 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้
36 นักเรยี นมีความพงึ พอใจตอ่ การจดั การเรียนร้ดู ้วยแบบฝึกทักษะอยู่ในระดับมาก เชน่ เดยี วกับ สมใจ นาค ศรีสงั ข์ (2549 : บทคดั ยอ่ ) ได้ศกึ ษาคน้ ควา้ เรอื่ ง การสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านและเขยี นสะกดคำจาก แหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนตลาดเกาะแรต สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา นครปฐม เขต 2 ในปกี ารศึกษา 2549 จำนวน 21 คน พบวา่ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนสงู ขึ้นกวา่ เป้าหมาย ที่กำหนดไว้ แบบฝึกทักษะมปี ระสิทธิภาพ 83.98/84.46 ผลการประเมนิ ความพึงพอใจของนักเรียนที่มี ตอ่ แบบฝกึ ทกั ษะโดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มากท่ีสดุ 7. ขอ้ เสนอแนะ 7.1 ขอ้ เสนอแนะในการนำไปใช้ 7.1.1 การเลือกเนื้อหาที่นำมาจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญควรคำนึงถึงความ เหมาะสมของ เพศ วัย และระดับความสามารถในการเรียนของนักเรียนด้วย หากเนื้อหาใดที่นักเรียน สนใจ นักเรยี นจะเกิดความกระตือรอื รน้ การเรยี นรู้เพิม่ มากขน้ึ 7.1.2 ครูผู้สอนภาษาไทยควรนำแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย กลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้รายงานสร้างขึ้นไปใช้ประกอบการสอน เนื่องจาก แบบฝึกทกั ษะนี้ มีประสทิ ธิภาพสงู กวา่ เกณฑ์ 80/80 ท่กี ำหนดไว้ 7.1.3 ในระหว่างการดำเนินการจัดกิจกรรม ครูควรสังเกตพฤติกรรมนักเรียนที่มี ความสามารถในการเรียนตำ่ อาจจะไม่เข้าใจหรอื เกิดการเรยี นรชู้ ้า หรอื ต้องการความชว่ ยเหลอื ครูควร ใช้เทคนิคเสรมิ แรงกระตุน้ ใหน้ กั เรียนสนใจ หรอื อธิบายให้เขา้ ใจชัดเจนอีกครั้ง 7.2 ข้อเสนอแนะในการวิจยั คร้งั ตอ่ ไป 7.2.1 ควรมีการนำแบบฝึกทักษะที่ผู้รายงานสร้างขึ้นชุดนี้ ไปทดลองใช้กับนักเรียน โรงเรียนอืน่ เพอื่ จะไดข้ ้อสรุปผลการวิจยั ทก่ี ว้างขวางมากขนึ้ 7.2.2 ควรมีการสร้างแบบฝึกทักษะในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เนื้อหาที่เข้าใจ ยาก หรือเนอื้ หาที่เปน็ ปัญหาต่อการเรียนการสอนในทกั ษะภาษาไทยในแต่ละระดบั ชั้น เพ่อื นำไปทดลอง หาประสทิ ธิภาพ 7.2.3 ควรมีการสร้างแบบฝึกภาษาไทย ในหนว่ ยการเรยี นรอู้ น่ื หรือในระดับชนั้ อนื่ ๆ
37 บรรณานกุ รม กรมวชิ าการ. คูม่ อื การจัดการเรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรียนร้ภู าษาไทย. กรงุ เทพฯ : องคก์ ารรับสง่ สินคา้ และพสั ดุภณั ฑ์. 2544. ----------. คมู่ ือแนวการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ตามหลกั สตู ร การศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2544. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ครุ ุสภาลาดพรา้ ว, 2546. กระทรวงศกึ ษาธิการ. กรมวิชาการ. หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พช์ ุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย, 2551. คมขำ แสนกลา้ . การพัฒนาแผนการจัดการเรยี นร้โู ดยใช้แบบฝึกทกั ษะการอา่ นและการเขยี น คำควบกล้ำ วชิ าภาษาไทย ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3. การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2547. ฉวลี ักษณ์ บุญกาญจน. จติ วทิ ยาการอ่าน. กรงุ เทพฯ : บริษัท 21 เซ็นจรู ี่จำกดั , 2547. ฉววี รรณ คหู าภินนั ท.์ การอ่านและการสง่ เสรมิ การอา่ น. พิมพค์ รั้งท่ี 2. กรุงเทพฯ : โสภณการพิมพ,์ 2545. ฐานิยา อมรพลัง. การพฒั นาแผนการจัดการเรียนร้หู ลกั ภาษาไทย เร่อื ง ไตรยางศ์ ดว้ ยแบบฝึกเกม และเพลงสำหรบั นักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 4. การศกึ ษาค้นควา้ อสิ ระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2548. ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ. แบบฝกึ หดั แบบฝกึ ทักษะเพ่ือพฒั นาการเรยี นรผู้ ูเ้ รียนและการจดั ทำ ผลงานวิชาการของข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา. พิมพค์ รัง้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : ธารอักษร, 2550. ทองคูณ หนองพรา้ ว. การพัฒนาแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้และบทเรยี นสำเรจ็ รปู เรื่อง จงั หวัด ของเรา (บรุ รี ัมย์) กลุ่มสาระการเรยี นรู้สงั คมศกึ ษาศาสนาและวฒั นธรรม ชั้นมัธยมศกึ ษา ปที ่ี 4. การศึกษาคน้ ควา้ อสิ ระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2547. นงเยาว์ เล่ยี มขุนทด. การพัฒนาแผนการเรียนรูภ้ าษาไทย เรือ่ งการอ่านและการเขยี นสะกดคำโดยใช้ แผนผงั ความคดิ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1. การศกึ ษาค้นควา้ อิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2547. นิลวรรณ อคั ติ. การพัฒนาแผนการจดั การเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย เรอื่ ง การผนั วรรณยกุ ต์ โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะ ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 2. วทิ ยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2548. บรรจง จนั ทรพ์ ันธ์. การพัฒนาแผนการเรยี นร้แู ละแบบฝึกทกั ษะภาษาไทย เร่ือง การเขียนสะกดคำ ไม่ตรงตามมาตราตวั สะกด ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3. การศกึ ษาคน้ ควา้ อสิ ระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, 2548. บญุ ชม ศรสี ะอาด. การวจิ ยั เบ้อื งต้น. พิมพค์ รัง้ ที่ 7. กรงุ เทพฯ : สวุ ีริยาสาส์น, 2545. ประวณี า เอน็ ดู. การพฒั นาแผนการจัดการเรยี นรภู้ าษาไทย เรื่อง การอ่านและการเขยี นสะกดคำ โดยใชแ้ บบฝึกทักษะ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 การศกึ ษาคน้ ควา้ อิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2547.
38 เผชญิ กจิ ระการ และ สมนกึ ภัทยธน.ี “ดัชนีประสทิ ธผิ ล” วารสารการวดั ผลการศึกษา มหาวิทยาลัย มหาสารคาม. 12 (8) : 30-36 กรกฎาคม, 2545. พินจิ จันทร์ซา้ ย. การสรา้ งหนงั สอื และแบบฝกึ ทักษะประกอบการเรียนกลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย แบบมุ่งประสบการณ์ภาษา ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 2 เรอื่ ง บญุ ผะเหวดร้อยเอ็ด. วิทยานพิ นธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2546. ไพทูลย์ มูลดี. การพัฒนาแผนและแบบฝกึ ทกั ษะการเขยี นสะกดคำทีไ่ ม่ตรงตามมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 2. การศกึ ษาค้นควา้ อิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2546. ราชบณั ฑิตยสถาน. พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2531. พิมพค์ ร้งั ท่ี 2. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์, 2546. วงเดือน มีทรพั ย์. การพัฒนาแผนการจัดการเรยี นร้แู ละแบบฝกึ ทกั ษะ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 5 เร่อื ง คร้งั หนงึ่ ยังจำได้. การศึกษาค้นคว้าอสิ ระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2547. วรรณภา ไชยวรรณ. การพัฒนาแผนการอา่ นภาษาไทย เร่ือง อักษรควบและอกั ษรนำ ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3. การศึกษาค้นคว้าอสิ ระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัย มหาสารคาม, 2549. วรรณี โสมประยรู . การสอนภาษาไทยระดบั มธั ยมศกึ ษา. พิมพ์ครั้งท่ี 4 กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนา พานิช, 2544. วิมลรตั น์ สุนทรโรจน.์ นวัตกรรมตามแนวคิด Backward Design. ภาควิชาหลกั สตู รและการสอน คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2549. วเิ ศษ แปวไธสง. การพฒั นาแผนการจดั การเรยี นร้แู ละแบบฝึกทักษะประกอบการเรยี น กลุม่ สาระ การเรียนรู้ภาษาไทยแบบมงุ่ ประสบการณ์ภาษา เร่ือง ลกู อ๊อดหาแม่ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 2. การศึกษาค้นควา้ อสิ ระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2547. สมควร นอ้ ยเสนา. การพัฒนาการอ่านและการเขยี นภาษาไทยสำหรบั นกั เรียนทมี่ ีปญั หาการเรียนรู้ โดยใชแ้ ผนผังความคดิ และแบบฝกึ ทักษะ. การศึกษาค้นควา้ อสิ ระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2549. สมใจ นาคศรสี งั ข.์ การสร้างแบบฝกึ การอ่านและเขยี นสะกดคำจากแหล่งเรยี นรใู้ นท้องถนิ่ ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 4. การศึกษาคน้ คว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2549. สมนกึ ภัททิยธน.ี การวัดผลการศึกษา. คณะศึกษาศาสตร์ มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2549. สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา. สรปุ ผลการประชุมสัมมนาประสานแผนและแลกเปลยี่ น องค์ความรกู้ ารดำเนินงานพฒั นาคุณภาพและมาตรฐานการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : สำนักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน, 2550. สุวทิ ย์ มูลคำ และ สุนนั ทา สุนทรประเสริฐ. ผลงานทางวชิ าการสู.่ ..การเล่ือนวิทยฐานะ. กรุงเทพฯ : อี เค บุคส์, 2550.
39 เสรมิ พงศ์ วงศ์กมลาไสย. การพฒั นาแผนการจดั การเรียนร้ภู าษาไทย เร่อื ง หลวงตาพลวง โดยใช้ กิจกรรมกลมุ่ แบบจกิ ซอว์และแผนผงั ความคดิ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5. การศกึ ษาคน้ คว้า อิสระ กศม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2548. อกนิษฐ์ กรไกร. การพัฒนาแผนการจดั การเรียนรู้ กาพย์ยานี 11 ดว้ ยแบบฝึกทกั ษะ ช้นั มัธยมศกึ ษา ปีที่ 5 ท่เี รยี นด้วยกลุ่มร่วมมอื แบบ Co-op Co – op และแบบเด่ยี ว. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2549.
40 ภาคผนวก
41 ตารางท่ี 4 คะแนนแบบฝกึ ทกั ษะการอ่านและเขยี นภาษาไทย ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 เลขที่ แบบฝึกทกั ษะท่ี รวม เฉลยี่ รอ้ ยละ 1234 95.00 90.00 1 10 9 10 9 38 9.50 87.50 82.50 2 10 9 9 8 36 9.00 87.50 92.50 3 9 10 8 8 35 8.75 85.00 87.50 4 8 9 8 8 33 8.25 87.50 75.00 5 9 9 8 9 35 8.75 87.50 80.00 6 10 9 9 9 37 9.25 85.00 82.50 7 9 8 8 9 34 8.50 90.00 87.50 8 9 8 8 10 35 8.75 90.00 95.00 9 9 8 8 10 35 8.75 82.50 72.50 10 8 7 6 9 30 7.50 80.00 85.00 11 10 9 8 8 35 8.75 87.50 95.00 12 9 8 7 8 32 8.00 80.00 82.50 13 8 8 9 9 34 8.50 90.00 90.00 14 8 8 8 9 33 8.25 95.00 90.00 15 10 9 8 9 36 9.00 85.00 80.00 16 10 9 8 8 35 8.75 80.00 82.50 17 9 10 9 8 36 9.00 90.00 18 9 9 10 10 38 9.50 19 8 9 9 7 33 8.25 20 8 7 8 6 29 7.25 21 8 8 8 8 32 8.00 22 8 9 8 9 34 8.50 23 9 8 9 9 35 8.75 24 10 9 10 9 38 9.50 25 8 7 9 8 32 8.00 26 9 8 8 8 33 8.25 27 10 9 8 9 36 9.00 28 10 9 8 9 36 9.00 29 9 10 9 10 38 9.50 30 9 10 8 9 36 9.00 31 8 9 8 9 34 8.50 32 8 9 8 7 32 8.00 33 8 8 7 9 32 8.00 34 9 8 8 8 33 8.25 35 10 9 9 8 36 9.00 รวม 313 302 291 300 1206 เฉลีย่ 8.94 8.63 8.31 8.57 8.61 รอ้ ยละ 89.43 86.29 83.14 85.71 86.14
42 ตารางที่ 5 แบบบันทึกคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/3 ปีการศึกษา 2563 เลขท่ี คะแนนกอ่ นเรียน คะแนนหลังเรยี น เฉล่ยี 20 20 15 16 10.5 25 15 10 37 17 12 46 16 11 5 11 19 15 6 10 20 15 7 11 19 15 8 11 18 14.5 99 17 13 10 8 16 12 11 9 18 13.5 12 8 16 12 13 9 18 13.5 14 8 17 12.5 15 8 16 12 16 8 16 12 17 8 17 12.5 18 6 16 11 19 5 16 10.5 20 11 19 15 21 10 19 14.5 22 11 20 15.5 23 11 19 15 24 9 18 13.5 25 8 16 12 26 9 17 13 27 5 15 10 28 6 17 11.5 29 7 17 12 30 6 17 11.5 31 5 16 10.5 32 7 17 12 33 9 19 14 34 8 18 13 35 7 17 12 รวม 281 604 เฉลย่ี 8.03 17.26 รอ้ ยละ 40.14 86.29 SD 1.98 1.36
Search