การใช้นิทานอีสปเพือ่ พัฒนาทักษะในการอา่ นภาษาองั กฤษ ของนกั เรยี นชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 USING AESOP TALES FOR DEVELOPMENT ENGLISH READING SKILL OF MATHAYOM SUKSA III STUDENTS นางวนั ทนีย์ มมุ านะวงศ์ การวจิ ัยนี้เป็นสว่ นหนงึ่ ของกลุม่ สาระการเรยี นรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนหนั คาราษฎรร์ ังสฤษด์ิ พ.ศ. ๒๕๖4
สารบญั หน้า ก บทคดั ย่อภาษาไทย ข บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ค คำนำ บทท่ี 1 บทนำ 1 3 ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา 3 วัตถุประสงคข์ องการวิจยั 3 สมมุตฐิ านการวิจัย 4 ขอบเขตของการวจิ ยั 4 ตัวแปรที่ศึกษา 4 นิยามศัพท์เฉพาะ ประโยชนข์ องการวจิ ัย 5 บทที่ 2 เอกสารทเ่ี กย่ี วข้อง 10 19 เอกสารเกี่ยวกับการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้นิทาน เอกสารทีเ่ กย่ี วขอ้ งกับการอา่ น 23 งานวิจัยทีเ่ กี่ยวขอ้ ง 23 บทท่ี 3 วิธีดำเนนิ การวจิ ยั 23 กลุ่มตวั อยา่ งทใ่ี ช้ในการศกึ ษาค้นควา้ 24 ระยะเวลาในการศกึ ษาคน้ ควา้ 27 เคร่ืองมือทใ่ี ชใ้ นการศึกษาคน้ คว้า 28 การสรา้ งเครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ในการศึกษาค้นคว้า การดำเนินการทดลองและเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 31 การวิเคราะห์ขอ้ มูลและสถิติที่ใช้ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 31 บทที่ 4 ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล สญั ลักษณแ์ ละอกั ษรยอ่ ที่ใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล 36 36 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 37 บทท่ี 5 สรุปผล อภิปราย และข้อเสนอแนะ 37 38 ความมงุ่ หมายของการวิจยั 39 วิธีดำเนินการวจิ ัย 41 การวเิ คราะห์ข้อมูล 45 สรุปผลการวิจัย 46 อภิปรายผล ปญั หาและขอ้ เสนอแนะ บรรณานุกรม ภาคผนวก ภาคผนวก ก
สารบัญ (ตอ่ ) หนา้ 47 - ตารางนทิ านอสี ปที่นำมาใช้ในการทดลอง 49 - นทิ านอีสปทีน่ ำมาใช้ในการทดลอง 61 - ตัวอยา่ งแผนการจัดการเรียนรู้ 67 ภาคผนวก ข 68 - แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่าน 80 ภาษาองั กฤษ - แบบสอบถามความพงึ พอใจของนักเรียนท่ีมตี อ่ การ 83 84 ใช้นิทานอีสปเพ่อื พฒั นาทักษะในการอา่ น ภาษาอังกฤษ 86 ภาคผนวก ค 88 - ตาราง 3 แสดงคะแนนการใชน้ ิทานอีสปเพือ่ พฒั นา ทักษะในการอ่านภาษาอังกฤษของนกั เรียนกอ่ นและ หลงั การทดลอง - ตาราง 4 แสดงคะแนนความพึงพอใจของนกั เรียนที่มี ตอ่ การใช้นทิ านอสี ปเพ่ือพฒั นาทกั ษะในการอ่าน ภาษาองั กฤษ ประวตั ิผู้วิจยั
บทคัดย่อ ชือ่ เรือ่ ง การใช้นทิ านอีสปเพื่อพฒั นาทกั ษะในการอ่านภาษาอังกฤษ ของนักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ผูว้ จิ ัย วันทนยี ์ มมุ านะวงศ์ การวิจยั ในครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อเพ่ือพัฒนาทกั ษะในการอา่ นภาษาอังกฤษของนกั เรียนชั้น มัธยมศึกษาปที ี่ 3 โดยใชน้ ิทานอีสป และเพือ่ ศึกษาความพึงพอใจของนกั เรียนท่ีมีต่อการใช้นิทานอีสปเพื่อ พัฒนาทกั ษะในการอา่ นภาษาองั กฤษของนักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 25๖4 โรงเรยี น หนั คาราษฎร์รงั สฤษดิ์ จงั หวดั ชัยนาท จำนวน 30 คน ที่เลอื กมาโดยการสุม่ อย่างง่าย (Simple Random Sampling) เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยคือ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 10 แผนๆละ 1 คาบ คาบละ 50 นาที แบบทดสอบวัดความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษ จำนวน 30 ข้อ ใช้ทดสอบก่อนเรียนและ หลังเรียนและแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนในการใช้นิทานอีสปเพื่อพัฒนาทักษะในการอ่าน ภาษาองั กฤษ จำนวน 15 ขอ้ ผลการวจิ ยั พบวา่ 1.ทักษะในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนหันคาราษฎร์ รังสฤษดิ์ ท่ีได้รับการสอนโดยใช้นิทานอีสป เพ่ิมขึน้ โดยคะแนนก่อนการเรียนมีค่าเฉล่ีย 11.50 และหลัง การเรียนมีค่าเฉล่ยี 19.63 โดยมคี วามแตกต่างอยา่ งมีนยั สำคัญทางสถิติทีร่ ะดับ .01 2.จากการตอบแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้นิทานอีสปเพ่ือพัฒนา ทักษะในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียน โดยรวมอยู่ในระดับมาก
Abstract Title USING AESOP TALES FOR DEVELOPMENT ENGLISH The Researcher READING SKILL OF MATHAYOM SUKSA III STUDENTS Wantanee Mumanawong This research aims to develop reading skill in English of Mathayom Suksa III students by Aesop Tales. To determine the attitudes of students toward the Aesop tales to develop reading skills in English of Mathayom Suksa III students. The samples used in this study were 30 selected at random, simple (Simple Random Sampling) Mathayom Suksa III students in the first semester of 2021 academic year at Hankharatrungsarit School Chainat. The instruments used in this study. Lesson plans were 10 plans, each one periods of each 50 minute, test of reading comprehension in English with 30 items used to test for pretest and posttest and questionnaires of students in the Aesop Tales to develop skills in English reading of 15 items. The results of the research showed that: 1. Skills in English, Mathayom Suksa III students at Hankharatrungsarit School. That has been taught by Aesop tales. Scores increased by an average of 11.50 students and post-course mean of 19.63 with the difference statistically significant at the .01 level. 2. From the questionnaire the students' opinions toward the use of Aesop tales to develop skills in English, Mathayom Suksa III students were at a high level and found that students were satisfied with the high level to Tales of Aesop in English reading.
บทท่ี 1 บทนำ ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา ปจั จุบันภาษาอังกฤษมีความสำคัญมากในฐานะเปน็ ภาษาสากลท่ีใชเ้ ปน็ ส่ือกลางของการติดต่อ ระหว่างประเทศ ในการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการศึกษา ภาษาอังกฤษเข้ามามี อิทธิพลต่อชีวิตประจำวันมาก ผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการติดต่อสื่อสารโดยใช้ภาษาอังกฤษถือว่า ได้เปรยี บ ประนอม สุรัสวดี (2534) กล่าวว่าภาษาอังกฤษเป็นเครื่องมือในการใช้ชีวติ และการพัฒนาใน สังคมไทย คนที่มีความร้ภู าษาอังกฤษดีจะมีโอกาสที่ดีกว่าในสังคมและสามารถนำความรู้ด้านภาษามาใช้ แสวงหาข้อมูล และเลือกใช้ข้อมูลสารสนเทศที่มีประโยชน์ท้ังในด้านการศึกษา การประกอบอาชีพและ สามารถพัฒนาประเทศชาติได้ ดังน้ันการเรียนรู้ภาษาอังกฤษจึงถือได้ว่ามีความสำคัญอย่างย่ิงในปัจจุบัน และการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในปัจจบุ ันมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญคอื การปลกู ฝังและสง่ เสริมให้นักเรียน มีทักษะการฟัง พูด อ่าน เขียน ไปพร้อมๆกัน สามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตจริง ดังนั้นการอ่านเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่ือสารของนักเรียนท่ีก่อให้เกิดแนวทางการเรียนรู้โดยเฉพาะ อย่างยิ่งภาษาอังกฤษ สามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ ในการเรียนรู้เรื่องการเมือง การค้า เศรษฐกิจ ซึ่ง ภาษาอังกฤษได้ปรากฏในส่ือต่างๆในชีวิตประจำวันของคนไทย ไม่ว่าจะเป็น หนังสือพิมพ์ ป้ายโฆษณา แบบฟอรม์ ราชการ สลากยา การต์ ูน (บัณฑิต ฉตั รวิโรจน์, ม.ป.ป.) จงึ ถอื ได้ว่าวิชาภาษาอังกฤษเป็นวิชาท่ี ต้องพัฒนาทักษะการอ่านควบคู่ไปกับการดำเนินชีวิตประจำวัน จึงจะทำให้การเรียนรู้ประสบผลสำเร็จ สงู สุด ทักษะการอ่านนับว่าเป็นทักษะที่จำเป็นและสำคัญทักษะหนึ่งสำหรับผู้เรียนที่เรียนภาษาอังกฤษ เปน็ ภาษาต่างประเทศใชใ้ นการศกึ ษาหาความรู้ ซงึ่ ล้วนตอ้ งอาศัยความเข้าใจในการอ่านทั้งสิ้น ครูผู้สอน จึงจำเป็นต้องจัดการเรียนการสอนท่ีช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษย่ิงขึ้นและ สอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ท่ีว่าสถานศึกษาควรจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มุ้งเน้นทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้ป้องกันและแก้ปัญหา จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่าน สอดคล้องกบั ความร้ดู ้านตา่ งๆอย่างไดส้ ดั ส่วนสมดุลกนั แม้ว่าประเทศไทยมีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษมาเป็นเวลานาน แต่วา่ ความสามารถในการ อ่านของนักเรียนไทยยังไม่ประสบความสำเร็จ ดังเช่น ผลการประเมินของกรมวิชาการ พบว่า ความสามารถในการอ่านของผู้เรียนช้ันมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย อยู่ในระดับท่ีต้องปรับปรุง (กรมวิชาการ. 2540:17) ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ สิริบุปผา อุธารธาดา (2543 : 2) ท่ีพบว่า ผลสัมฤทธท์ิ างการอา่ นของนักเรียนระดับช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรียนประโคนชยั พิทยาคม อยู่ในเกณฑ์ ต่ำ ซ่ึงสภาพดังกล่าวสอดคล้องกับสภาพปัญหาที่เกิดข้ึนในช้ันเรียนกับงานวิจัยของ นฤมล พงศ์โรจน์ (2547 : 1 ) ทพี่ บวา่ ปัญหาในด้านการอ่านของนกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรียนแปลงยาวพทิ ยาคม ไมเ่ ขา้ ใจเรื่องท่อี ่าน ไม่สามารถหาข้อมูลรายละเอียดของเรื่องที่อ่าน สรุปและจับใจความของเร่ืองทีอ่ ่าน ไม่ได้ ซึ่งสอดคลอ้ งกับงานวิจัยของ จันทรา ตนั ติพงศนุรักษ์ (2541 : 50 ) กล่าววา่ ครมู ักจะสอนทักษะ การอ่านโดยใชว้ ิธสี อนแบบเดมิ คอื อา่ นตามครูจากหนงั สือ ผเู้ รียนจึงมีปญั หาในด้านทักษะการอ่าน อกี ท้ัง ปญั หาสว่ นหนึ่งกเ็ กดิ จากวิธีการเรยี นของนักเรยี นเอง สาเหตุท่ีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษไม่ประสบผลสำเร็จ และผู้เรียนขาดทักษะในการอ่าน เน่ืองมาจากครูผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบเดิมๆ คือ ครูผู้สอนใช้วิธีการสอนแบบแปล อธิบายหลกั ไวยากรณ์และคำศัพท์ เพอื่ ให้ผ้เู รียนสามารถตอบคำถามท้ายบทอ่าน นอกจากนั้นบทอ่านไม่
น่าสนใจ ไม่ทันสมยั และไมเ่ หมาะสมกับผเู้ รยี น เพราะครสู ่วนใหญย่ ังใช้เน้ือหาจากหนงั สอื แบบเรียนเป็น กลัก (กรมสามัญศึกษา. 2541 : 61 ) ซ่ึงจะเห็นว่าบทอ่านท่ีนำมาใช้ในการสอนอ่านน้ัน ผู้เรียนไม่ ค้นุ เคยและไกลตัวผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนไม่สนใจการอ่าน เกิดความเบื่อหน่ายและไม่สง่ เสริมให้ผู้เรียนเกิด ความเขา้ ใจในการอ่าน จากการศึกษางานวิจัยและเอกสารที่เก่ียวข้องกับการอ่านภาษาอังกฤษพบว่านักเรียนไทย ส่วนมากยงั มีระดบั ความสามารถในการอา่ นภาษาอังกฤษอย่ใู นเกณฑ์ทีไ่ ม่น่าพอใจและนักเรยี นส่วนมากยัง ขาดความสามารถทักษะในการอา่ น ซึง่ อาจเป็นเพราะยงั ขาดวิธีการหรือเทคนคิ ท่ีเหมาะสมในการที่จะชว่ ย ให้การอ่านมีประสิทธิภาพเพิ่มมากข้ึน (สุมิตรา อังวัฒนกุล, 2536 ) ดังนั้นจึงมีนักวิจัย หลายท่านท่ีนำ นทิ านมาใชจ้ ัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนอา่ น สามารถช่วยให้นักเรียนเกดิ การเรียนรูแ้ ละมคี วามเขา้ ใจเร่ือง ทีอ่ า่ นไดเ้ ปน็ อยา่ งดี เน่อื งจากนิทานมีโครงเรอ่ื งที่ไม่สลบั ซบั ซ้อน ทำให้ผู้อา่ นเขา้ ใจเรอื่ งทีอ่ ่านไดเ้ ร็ว อกี ทั้ง เนื้อหาในนิทานยังมีความสอดคล้องสัมพันธ์กับโครงสร้างความรู้เดิมของผู้เรียนช่วยทำให้ผู้เรียนเข้าใจ บทเรียนไดด้ ีและทำใหก้ ารเรียนมปี ระสิทธิภาพมากข้ึน นอกจากนี้ นกั การศึกษาหลายท่านได้ศึกษาทฤษฎี โครงสรา้ งความรู้เดมิ มาใช้ในการสอนอา่ นโดยใช้นิทาน เน่อื งจากนิทานเป็นเรอ่ื งท่นี กั เรียนคนุ้ เคยเป็นอย่าง ดี เคยอ่านและได้ฟังมาตั้งแต่เด็กจึงทำให้เช่ือมโยงกับความรู้เดิมท่ีมีอยู่กับความรู้ใหม่ได้เป็นอย่างดี เช่น Wilhelm (1999) ได้ศึกษาว่า นิทานพื้นบ้านซึ่งเป็นเร่ืองเล่าที่นักเรียนคุ้นเคยจะมีโครงสร้างความรู้เดิม เก่ียวกับนิทานพ้ืนบ้านในท้องถ่ินท่ีตนเองอาศยั อยู่ ดังน้ันความรู้ทางภาษาที่นกั เรียนได้สัมพันธ์กับความรู้ เดิมท่ีนักเรยี นมีอยู่ใหง้ ่ายต่อการทำความเข้าใจ เช่นเดียวกับ Williamson (1988) ไดก้ ล่าวถงึ ความร้แู ละ ประสบการณ์เดิมในเรื่องท่ีอ่านมีความสำคัญต่อการอ่านมาก นักเรียนท่ีไม่มีพื้นความรู้ในเรื่องท่ีอ่านมา ก่อนมกั จะไม่เขา้ ใจเรอื่ งที่อา่ น โดยเฉพาะเรือ่ งที่เกย่ี วกับวัฒนธรรมของตา่ งชาติ ดงั น้ันครูควรปพู ื้นความรู้ ในเรอ่ื งท่ีอา่ นให้เพียงพอก่อนจะทำใหน้ ักเรียนเขา้ ใจในเรอ่ื งทีอ่ ่านไดด้ ีข้ึน จากปัญหาท่ีผู้วิจัยพบในชั้นเรียนคือ ผู้เรียนส่วนใหญ่มีความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษต่ำ และไม่สนใจในการอ่านภาษาอังกฤษ ผู้วิจัยจึงมีความสนใจท่ีจะใช้นิทานอีสปมาพัฒนาทักษะการอ่าน ภาษาอังกฤษและความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษ ซึ่งนิทานสามารถเช่ือมโยงประสบการณ์เดิมกับ ประสบการณ์ใหม่ท่ีครูนำเสนอไดเ้ ปน็ อย่างดี นกั เรียนสามารถทำความเข้าใจในบทอ่านไดง้ ่ายข้ึนและเกิด ความสนกุ สนานในการเรยี นทำใหน้ ักเรยี นไมร่ ้สู ึกเครียด ซง่ึ ผวู้ ิจยั คาดวา่ การใช้นทิ านมาพฒั นา ทักษะการอ่านภาษาองั กฤษของนักเรยี นใหส้ งู ขนึ้ ไดแ้ ละนกั เรียนเหน็ ความสำคัญของการอา่ นมากข้นึ วัตถุประสงค์ของการวิจยั 1. เพื่อพฒั นาทักษะในการอ่านภาษาองั กฤษของนักเรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 โดยใช้ นทิ านอีสป 2. เพือ่ ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 3 ท่ีมตี อ่ การพฒั นาทักษะการอา่ น ภาษาองั กฤษโดยใชน้ ิทานอสี ป สมมุติฐานการวิจัย 1. แบบฝึกพัฒนาทักษะในการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้นิทานอีสปทำให้ทักษะการอ่าน ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีทักษะในการอ่านภาษาอังกฤษสูงขึ้นเม่ือเทียบกับก่อน การใชแ้ บบฝกึ 2. ผเู้ รยี นมคี วามพึงพอใจในระดบั มาก
ขอบเขตของการวิจยั ประชากร - ประชากร จำนวนนักเรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 ทั้งหมด 2 ห้องเรยี น โรงเรียนหันคา ราษฎรร์ ังสฤษด์ิ จังหวัดชัยนาท - กลุ่มตวั อยา่ ง ผวู้ จิ ยั ได้สมุ่ อยา่ งงา่ ยจากจำนวน 2 ห้องเรียน ไดผ้ ลจากการสมุ่ คอื นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 25๖4 มีนกั เรยี นจำนวน 64 คน ผวู้ ิจัยได้สมุ่ อยา่ งงา่ ยมีจำนวนนกั เรียนเหลอื 30 คนเพ่อื นำไปทดลอง ขอบเขตของเน้ือหา รปู แบบ วิธีการหรือประเดน็ ท่ีเกย่ี วขอ้ ง - งานวจิ ยั ในครัง้ นไี้ ด้คดั เลือกนทิ านอสี ปจำนวน 10 เรอื่ ง ใหม้ ีความยากง่ายของคำศัพท์ เน้อื หาและความยาวของเร่ืองเหมาะสมกบั นกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 3 -การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนโดยใชน้ ิทานอีสปเพือ่ พัฒนาทกั ษะในการอา่ น ภาษาองั กฤษโดยใช้ทักษะการอา่ นที่หลากหลาย เชน่ Scanning , Skimming และ Predicting ตวั แปรที่ศกึ ษา ตัวแปรต้น ไดแ้ ก่ - บทเรียนนิทานอีสป ตวั แปรตาม ไดแ้ ก่ - ทกั ษะในการอ่านภาษาองั กฤษ -ความพึงพอใจของนกั เรียนทเ่ี รยี นโดยใช้นทิ านอีสปเพ่อื พฒั นาทักษะในการอ่าน ภาษาอังกฤษ นิยามศัพทเ์ ฉพาะ 1. นทิ าน หมายถึง เรอื่ งเลา่ ท่ีเล่าสืบต่อกันมา มีจุดมุง่ หมายเพือ่ ความสนุกสนานเพลิดเพลนิ และสอดแทรกคติสอนใจ 2. ทกั ษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ หมายถึง พฤตกิ รรมท่บี ่งชท้ี ่ีแสดงวา่ นกั เรยี นมคี วามรคู้ วาม เขา้ ใจและมีความสามารถในการอา่ น ซ่งึ สงั เกตจากการทำแบบทดสอบ 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทักษะการอ่านเพ่ือความเข้าใจ หมายถึง แบบทดสอบที่ผู้วิจัย สร้างขึ้นเพื่อวัดความสามารถในการอ่านเพ่ือความเข้าใจของนักเรียน สามารถเข้าใจเร่ืองราวของเรื่องท่ี อ่าน จับสาระสำคญั ของเรอ่ื งได้โดยสามารถบอกได้ว่า เร่ืองอะไร กล่าวถึงใคร ที่ไหน เมอ่ื ไร อยา่ งไร และ ทำไม ตลอดจนสามารถถ่ายทอดข้อมลู จากการอ่านเพอ่ื ให้เพอ่ื ในชน้ั และครูเขา้ ใจได้ 4. ความพึงพอใจของนักเรยี นของนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3 ที่มตี ่อการใช้นิทานอีสปเพ่ือ พฒั นาทกั ษะการอ่านภาษาอังกฤษ หมายถึง ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ที่มีต่อการ ใชน้ ทิ านอสี ปเพือ่ พฒั นาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ
ประโยชนข์ องการวจิ ัย 1. นักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 มีการพฒั นาทกั ษะในการอ่านภาษาอังกฤษเพ่มิ ขึน้ 2. เปน็ แนวทางสำหรบั ครู ในการนำนิทานอีสปมาใช้ในการสอนภาษาอังกฤษ เพอ่ื พฒั นา แรงจูงใจและความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษของนักเรยี นทั้งในและนอกหอ้ งเรยี นให้มีประสทิ ธิภาพ มากข้ึน
บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยทีเ่ กีย่ วข้อง การวิจัยในคร้งั น้ีผ้วู ิจยั ได้ศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร ตำรา และงานวิจยั ที่เก่ียวข้องเพื่อเป็น แนวทางสำหรับการสอนอ่าน ซ่งึ มีรายละเอียดดงั นี้ 1. เอกสารเก่ยี วกับการสอนภาษาองั กฤษโดยใชน้ ทิ าน 2. เอกสารที่เก่ยี วขอ้ งกบั การอา่ น 3. งานวิจัยที่เกย่ี วข้อง 1. เอกสารเก่ียวกับการสอนภาษาองั กฤษโดยใชน้ ิทาน 1.1 ความหมายของนทิ าน เสาวนีย์ กลับส่ง (2547) ได้ให้ความหมายนิทานไว้ว่า นิทาน หมายถึง เรื่องราวท่ี ถ่ายทอดตอ่ ๆกันมา โดยอาศัยการเล่าปากต่อปาก เพ่ือมงุ่ ให้ผู้ฟังเกดิ ความสนุกสนานแตม่ ีคติสอนใจให้คน เป็นคนดแี ละอยูร่ ่วมกนั อยา่ งมีความสุข อรชร วงศษ์ า (2548) ได้ใหค้ วามหมายของนิทานไว้ว่า นทิ าน หมายถงึ เร่ืองทเี่ ล่าต่อๆ กันมา มีทง้ั ไมม่ ีลายลักษณอ์ กั ษร และมลี ายลักษณอ์ กั ษร เน้อื เรอ่ื งอาจจะสน้ั หรอื ยาวก็ได้ ก่ิงแก้ว อัตถากร (2531 อ้างถงึ ใน ทับทิม พรหมวิหารสัจจา, 2553) กล่าววา่ นิทาน หมายถึง เร่ืองเล่าท่ัวๆไปประวัติความเป็นมาของอะไร ส่วนใหญ่เล่าเพื่อความสนุกสนาน บางคร้ังก็ สอดแทรกคตสิ อนใจไปด้วย สรปุ ไดว้ ่า นิทาน หมายถึง เรื่องเล่าที่เลา่ สบื ต่อกนั มา มีจดุ มุ่งหมายเพ่ือความสนุกสนาน เพลิดเพลนิ และสอดแทรกคตสิ อนใจ 1.2 ประเภทของนิทาน มีนักการศกึ ษาจัดประเภทของนิทานไว้หลายประเภทดังน้ี วรรณี ศิริสุนทร (2542) แบง่ นิทานออกเป็นชนิดใหญ่ๆ ดงั นี้ 1. นิทานเก่ียวกับสัตว์พูดได้ (Talking-Beast tales) มีตัวละครเป็นสัตว์พูดจาโต้ตอบ กนั บางครัง้ สตั ว์ก็พูดโตต้ อบกบั คนได้ดว้ ย เชน่ เรอื่ ง The Three Little Pigs, The Little Red Hen 2. นิทานไม่รู้จบ (Cumulative tales) เป็นนิทานธรรมดาพื้นๆ แต่เนื้อเร่ืองมีการ กระทำต่อไปเรื่อยๆ และซ้ำๆกัน เช่น Old Macdonald’s Farm, The Pancake, This is the House That Jack Built 3. นิทานตลกขบขัน (Humorous tales) เนื้อเรื่องส่วนใหญ่เป็นทำนองไร้สาระหรือโง่ เขลา แปลกประหลาด ชวนให้เห็นเป็นเร่ืองตลกขบขัน บางคร้ังก็เป็นการใช้ปฏิภาณไหวพริบ เช่น เร่ือง Who am I? 4. นิทานอธิบายเหตุ (Tales that tell why) เป็นนิทานที่อธิบายหรือตอบคำถามของ เดก็ วา่ ทำไม เชน่ เรือ่ ง How summer Came to Canada 5. เทพนิยาย (Fairy tales) หรือนิทานเกี่ยวกับเวทมนต์คาถา (Tales of magic) ลักษณะนิทานประเภทน้ีท่ีเห็นเด่นชัดคือ เรื่องมักยาว ซับซ้อน ตัวละครมีอิทธิฤทธ์ิ ปาฏิหาริย์ สามารถ บันดาลส่ิงทด่ี งี ามหรอื สงิ่ ท่ีชวั่ รา้ ยได้ เช่น เรอื่ ง Cinderella ประคอง นิมมานเหมินทร์ (2531 อ้างถึงใน เสาวนีย์ กลับส่ง, 2547) ได้จัดประเภท นทิ านดังน้ี
1. นิทานเทวปกรณ์ (Myth) เป็นเรื่องอธิบาย กำเนิดจักรวาล เทวดา กษัตริย์ กำเนิด มนษุ ยแ์ ละสตั ว์ ปรากฏการณธ์ รรมชาติ รวมถงึ บทบาทหน้าที่ของเทวดา และผปู้ กครองแผน่ ดิน 2. นิทานศาสนา (Religious tale) เป็นเร่ืองราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า บุคคลสำคัญใน สมยั พทุ ธกาล เนอ้ื เร่ืองจะเนน้ คติธรรมทางพระพทุ ธศาสนา 3. นิทานคตธิ รรม (Fable) เป็นนิทานที่มีเน้ือเร่ืองขนาดไม่ยาว ดำเนินเรื่องไมซ่ ับซ้อน ตัวละครเป็นคนหรือสัตว์ มีแนวคิดสำคัญคือทำความดีย่อมได้ดี ทำความชั่วย่อมได้รับผลช่ัว โดยเน้น แนวคิดไว้ท้ายเร่อื ง 4. นิทานมหัศจรรย์ หรือเทพนิยาย (Fairy tale) มักเป็นนิทานขนาดยาวมีเนื้อเรื่อง เก่ยี วกับความมหัศจรรย์ เช่น มขี องวิเศษ ความสามารถพิเศษ มีอมนุษย์ 5. นิทานชีวติ (Novella) เป็นนิทานท่ีมีขนาดค่อนขา้ งยาว และมีตวั ละครหลายตัว ตัว ละครส่วนใหญ่เป็นคน อาจมตี ัวละครเปน็ สัตว์และอมนษุ ย์ เช่น ผสี าง เทวดา เปน็ เรือ่ งท่ีเกิดขึ้นจริง มีการ บอกชอื่ และฐานะตำแหนง่ ของตวั ละครและสถานที่ท่เี กิดเหตุอยา่ งชัดเจน 6. นิทานประจำถิ่น (Saga) เป็นเรื่องท่ีเล่าสืบต่อกันมา เช่ือว่าเคยเกิดข้ึนจริง อธิบาย ความเปน็ มาทเี่ กิดข้ึนในท้องถ่ิน ซึ่งเป็นสง่ิ ที่มอี ยู่โดยธรรมชาติ และส่ิงที่มนุษย์สร้างข้ึนมีทั้งขนาดเรือ่ งส้ัน และยาว 7. นิทานอธิบายเหตุ (Explanatory) มักเป็นนิทานท่ีมีขนาดส้ัน เน้ือเร่ืองอธิบายที่มี ของสิง่ ตา่ งๆ เชน่ คน สัตว์ พืช ปรากฏการณ์ธรรมชาติ พิธกี รรมขนบธรรมเนียมประเพณี 8. นิทานสัตว์ (Animal tale) คือนิทานที่มีตัวละครเป็นสัตว์ เน้ือเร่ืองแสดงถึงนิสัย ของสตั ว์ สตั วโ์ ง่ สตั ว์ฉลาด สตั ว์เจา้ เล่ห์ และสัตวด์ ี 9. นิทานเรอื่ งผี (Ghost tale) เป็นเร่ืองเก่ียวกับภูตผตี ่างๆ คือผคี นตาย ผบี ้าน ผีเรือน ผปี า่ ที่สิงอยูใ่ นร่างกาย 10. นิทานมขุ ตลก (Jest) เป็นเรื่องเล่าท่ีให้ความตลกขบขันแก่ผู้ฟัง เนื้อเรื่องกล่าวถึง ความฉลาด ความโง่ หรือเปน่ิ ความเกียจครา้ น เร่ืองเพศ นักบวช และคนตา่ งถนิ่ ตา่ งชาติ 11. นิทานเข้าแบบ (Formula tale) เป็นนิทานท่ีมีแบบสร้างพิเศษ นิทานประเภทน้ี เป็นการเล่าเพื่อความสนุกสนานของผู้เล่าและผู้ฟังโดยแท้ เช่นนิทานไม่รู้จบ ผู้เล่าสามารถเล่าไปได้นาน เทา่ ที่ผู้ฟังต้องการ โดยเรอื่ งไมม่ ีวนั จบ นิทานลกู โซเ่ ป็นเรื่องเก่ียวกบั เหตกุ ารณห์ นง่ึ ท่เี กดิ ซ้ำหลาย ๆ คร้ัง รัญจวน อินทรกำแหง (2517 อ้างถึงใน ทับทิม พรหมวิหารสัจจา, 2533) ได้แบ่ง นิทานตามแบบ (Form) ของนทิ านดงั นี้ 1. นทิ านปรมั ปรา (Fairy tale) เป็นนทิ านทเ่ี กย่ี วกบั อทิ ธิฤทธิ์แฝงคุณธรรมบางเรอ่ื งก็ ยดื ยาวสลับซับซอ้ นมาก มักไมม่ ีแหล่งทมี่ า 2. นิทานท้องถ่ิน (Legend) สัน้ กว่านิทานปรัมปรา มกั เป็นเรื่องเหตุการณ์เดยี วและ มเี ร่อื งของความเช่อื ขนบธรรมเนียมประเพณเี ขา้ มาเกีย่ วข้องด้วย หรอื อาจเป็นเรือ่ งวรี ะบุรษุ ประจำชาติ 3. เทพนยิ าย (Myth) คอื นิยายทีม่ ีเทวดา นางฟ้า เปน็ ตัวสำคญั 4. นิทานเก่ียวกับเร่ืองสัตว์ คือ สัตว์พูดได้ มีความต้องการหรือการกระทำอย่าง มนษุ ย์ นบั วา่ เป็นทน่ี ยิ มแพรห่ ลายกนั มาก ในการวจิ ัยครั้งน้ผี ู้วิจยั เลือกนทิ านอสี ป มาใช้ในการวิจยั เนือ่ งจากนกั เรียนส่วนใหญ่มี ความคุ้นเคยและมีความรู้เดิมเก่ียวกับนิทานคติธรรมเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นนิทานที่มีเนื้อเร่ืองไม่ยาว ดำเนิน
เร่ืองไม่สลับซับซ้อน ตัวละครเป็นคนหรือสัตว์ และแนวคดิ คติธรรมของนิทาน จะช่วยปลกู ฝังใหน้ ักเรยี นมี คุณธรรม จริยธรรมและนักเรยี นสามารถนำคติธรรมไปใชใ้ นชวี ติ ประจำวันได้ 1.3 องคป์ ระกอบของนทิ าน ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้นิทานมีความจำเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้อง ทราบองค์ประกอบของนิทาน เพื่องา่ ยต่อการจัดกิจกรรม และเป็นพื้นฐานในการเรียนนทิ านต่อไป Donna (1993 อ้างถึงใน เสาวนีย์ กลับส่ง, 2547) ได้กล่าวว่า การประเมิน นิ ท าน จะ ต้อ งดู ท่ี โครงสร้างเร่ือง (plot) ความ ขัดแย้ง (conflict) บุ คลิก ลัก ษ ณ ะ ตัวละ ค ร (characterization) ฉาก (setting) แกน่ เรื่อง (them) และรูปแบบ (style) ดังน้ี 1. โครงสรา้ งเรอื่ ง (Plot) เนื้อเร่ืองในหนังสือเด็กส่วนใหญ่จะนำเสนอลักษณะของ ตัวละครและปญั หาในตอนเรม่ิ แรกของเรอ่ื ง ตอ่ จากน้ันจะเปน็ ความขัดแย้งจนกระทัง่ ถงึ การแก้ไขปัญหาให้ ลลุ ่วงไปดว้ ยดี 2. ความขัดแย้ง (Conflict) ความสนกุ ตนื่ เตน้ ของเร่อื งจะเกิดข้นึ ตอนทต่ี ัวเอกของ เร่อื งพบอุปสรรค สว่ นใหญจ่ ะพบความขัดแย้งอยู่ 4 ลกั ษณะ 2.1 ความขัดแยง้ ระหวา่ งบุคคล 2.2 ความขัดแย้งระหว่างบุคคลกับสังคม 2.3 ความขัดแยง้ แย้งระหวา่ งบุคคลกับธรรมชาติ 2.4 ความขัดแย้งระหว่างภายในของตวั ละครเอง 3. บุคลิกลักษณะตัวละคร (Characterization) ลักษณะของตัวละครควรมีความ นา่ เช่ือถอื มกี ารพัฒนา จดจำได้ง่าย และตอ้ งเหมอื นคนปกติ คอื มที ้งั สว่ นดแี ละส่วนเสยี 4. ฉาก (Setting) สถานทแ่ี ละเวลาทเี่ รือ่ งเกิดข้ึน 5. แก่นเรื่อง (Theme) ข้อคิดท่ีซ่อนอยู่ในเร่ืองไม่ได้บอกตรงๆ ผู้อ่านต้องอาศัย องค์ประกอบในนทิ านจงึ จะรู้ 6. รูปแบบ (Style) คือรูปแบบของภาษาท่ีผู้เขียนเลือกใช้ในการบรรยายลักษณะ หรือเหตุการณต์ า่ งๆ ภายในเรอื่ ง สรุปได้ว่าองค์ประกอบของนิทานมีส่วนช่วยทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจ และ สามารถสรปุ เน้ือหาของเรือ่ งไดง้ ่าย แต่ท่สี ำคัญผอู้ ่านตอ้ งทำความเข้าใจว่าเกดิ เหตุการณ์อะไรบ้างเพื่อชว่ ย สรปุ เนอ้ื หาไดเ้ ร็วขนึ้ 1.4 แนวทางในการนำนทิ านมาใชใ้ นการเรยี นการสอน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนสามารถนำนิทานมาใช้ไม่เฉพาะกับเด็กเล็ก เท่าน้ัน การนำนิทานมาใช้ในการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนระดับมัธยมสามารถชว่ ยใหน้ กั เรยี นเข้าใจใน เร่ืองทจ่ี ะเรียนไดเ้ ป็นอยา่ งดี มีนกั การศึกษาหลายท่านที่นำนทิ านมาใช้สอนภาษาองั กฤษในชนั้ เรยี น ซึ่งได้ เสนอแนวทางในการเลอื กเร่อื งไวด้ ังนี้ Pederson (1995 อ้างถึงใน อรชร วงศ์ษา, 2548) ได้ให้แนวทางแก่ครูใน การเลือกเร่อื งไว้ดังนี้ 1. อ่าน อ่าน และอ่าน การอ่านมากๆสามารถทำให้ครูเลือกเร่ืองได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ครูควรอ่านเร่ืองทุกประเภท เทพนิยาย เร่ืองเล่าที่ทันสมัย หนังสือภาพ เร่ืองเก่ียวกับการ ต่อสู้ เรอื่ งโรแมนติค เรอื่ งเก่ียวกบั จินตนาการ นวนิยายเดก็ เร่อื งจริงและชีวประวัติ
2. เลือกเรือ่ งที่ครูชอบ ครูจะสามารถสอนเรอื่ งทีต่ นเองชอบและมีความหมาย ต่อตัวครูได้อย่างมีประสิทธิภาพ เลือกเรื่องท่ีครูสอนได้ดี เมื่อเริ่มใช้นิทานสอนใหม่ๆ ควรเร่ิมจากนิทาน พ้นื บ้าน (Folk tale) ทมี่ ีโครงสรา้ งเรื่องและภาษาไม่ซับซอ้ น 3. เลือกเรื่องที่เหมาะสมกับนักเรียน หาเร่ืองที่นักเรียนชอบและเหมาะสมกับ วัยและระดับความสามารถทางภาษา 4. เลือกเรื่องทม่ี โี ครงเรอื่ งง่ายๆ ไม่ยาวเกินไป 5. เลอื กเรอ่ื งท่มี ลี กั ษณะไปในทางท่ดี ีและสัมพนั ธก์ บั เรอื่ งทค่ี รจู ะสอน 6. ศึกษาภูมิหลังของเร่ืองเช่นวัฒนธรรมสังคม ประวัติศาสตร์ ถ้าครูไม่เข้าใจ หรอื เห็นว่าไมม่ ีความเป็นสากลกค็ วรเลอื กเรื่องอน่ื 7. ทดลองสอนและสังเกตว่านักเรยี นชอบหรือไม่ Wrigth (1995) ได้กล่าวถึงการเลือกนิทานท่ีเหมาะสมกับการสอนโดยใช้ นิทานวา่ ควรเป็นเรอ่ื งที่มคี ณุ ลักษณะดงั น้ี 1. นักเรียนเขา้ ใจได้ทันทีที่อ่าน 2-3 ประโยคแรก 2. ครูชอบ 3. เหมาะกับวยั ของนกั เรยี น 4. ใหป้ ระสบการณ์ทางภาษาแก่นกั เรียน 5. ไม่ยาวเกนิ ไป 6. เหมาะสมกับโอกาสและสมั พันธก์ บั ส่ิงทีค่ รูจะสอนตอ่ ไป 7. ครรู ู้สกึ วา่ สอนเรื่องนน้ั ไดด้ ี สำหรับเรื่องท่ีไม่ควรนำมาสอนน้ัน ศรีรัตน์ เจิงกลิ่นจันทร์ (2534 อ้างถึงใน รุ่งวนา สดุ จติ ต์, 2545) กล่าวว่าไมค่ วรมีลกั ษณะดงั นี้ 1. เรอื่ งทน่ี า่ กลวั ฆ่ากนั รุนแรง เร่ืองทกี่ ล่าวถงึ ความทารุณกบั เดก็ หรือสัตว์ 2. เร่อื งทไ่ี ม่สรา้ งสรรค์ จบลงอยา่ งไมส่ มเหตสุ มผล ไม่ยุตธิ รรม 3. เรอ่ื งยืดยาว เนือ้ เรอ่ื งวกวน มีรายละเอียดปลกี ย่อยมาก 4. เร่ืองที่มีการเทศนา สั่งสอนมากเกินไป ทำให้เด็กไม่อยากฟัง ไม่ยอมรับ ทำให้การเล่าเรื่องลม้ เหลว 5. เรือ่ งท่เี นื้อหาไม่เหมาะทจี่ ะนำมาเลา่ ในชมุ ชน เพราะจำทำให้เกิดความ ขยะแขยง เร่ืองทไี่ มส่ ุภาพ 6. เร่ืองทีล่ ึก แฝงปรัชญา หรือธรรมชาติที่อธิบายให้แจ่มชัดไม่ได้ เปน็ เรื่องท่ี ยากตอ่ การทำความเขา้ ใจ สรุปไดว้ ่า ครูมีบทบาทสำคัญในการเลือกนิทานให้กบั นักเรยี น สิง่ สำคัญ คือ ต้องมีคติสอนใจสอดแทรกอยู่ในเรื่องแลว้ เน้ือหาต้องอ่านแล้วเข้าใจได้ง่ายไม่สับสน ครูจึงควรมีความรู้ใน การเลือกนทิ านมาใช้สอน 1.5 กจิ กรรมการเรยี นการสอนโดยใชน้ ิทาน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาอังกฤษมุ่งให้นักเรียนสามารถ ส่ือสารในช้ันเรียนได้จริงเมื่ออ่านนิทานแล้วนักเรียนสามารถสรุปได้ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนิทานที่ อ่านได้ การท่คี รจู ะสอนใหไ้ ด้ตามจุดประสงค์ ครผู สู้ อนตอ้ งเลือกกจิ กรรมในการเรยี นการสอนให้สอดคลอ้ ง
ท่ีจะทำให้การเรียนการสอนประสบความสำเร็จ ซ่ึง Stevick (1982 อา้ งถงึ ใน อรชร วงศ์ษา, 2548) ได้ เสนอการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนโดยใช้นิทานดังนี้ 1. ก่อนการเรียน (Preliminary) ให้นักเรียนดูชื่อเรื่อง และเล่าเร่ืองตาม ประสบการณ์เดิมของนักเรียนเก่ียวกับเร่ืองนั้น เม่ือนักเรียนเล่าจบ ครูเขียนฉากสำคัญๆ ที่เก่ียวข้องกับ เร่ืองลงบนกระดาน 2. การเล่าเรื่อง (Telling the story) ครูเล่านิทานให้นักเรียนฟัง ในขณะท่ี เล่าก็วาดภาพประกอบการเล่าเขียนคำศัพท์ยากบนกระดาน ถามคำถามเพ่ือให้นักเรียนเดาเร่ืองทำนาย เหตกุ ารณ์ หรือแสดงความคิดเห็น เม่อื ครูเล่าจบ ถามคำถามเพ่อื ทดสอบความเขา้ ใจเรือ่ งท่ฟี งั ของนักเรียน จากนนั้ ครูแจกเรือ่ งใหน้ กั เรียนอา่ น 3. การอ่านบทอ่าน (Script) นักเรียนแต่ละคนอ่านเรื่องที่ครูแจกให้อ่าน โดยครูจะสังเกตว่านักเรียนอ่านเร่ืองแล้วตรงกับที่ได้ฟังกับครูเล่าหรือไม่ คำตอบที่ตอบไปตรงกับบทอ่าน หรือเปลา่ 4. การทำแบบฝึกหัดเสริม (Reinforcement exercise) ให้นักเรียนทำ แบบฝึกหัดที่มีลักษณะเป็นการให้เรียงลำดับเหตุการณ์ตามคำบอกเวลาท่ีกำหนด จับคู่คำศัพท์กับ ความหมาย ตีความวา่ คำนน้ั พาดพงิ ถึงใครในเร่อื งแล้วเขียนเตมิ ลงในชอ่ งวา่ ง Sipe (1990 อา้ งถึงใน รุ่งวนา สุดจิตต์, 2545) ได้เสนอการใช้นิทานเป็น สอื่ การอา่ นโดยสรา้ งเรื่องของตนเองข้ึนมาจากแนวเดมิ ทอ่ี ่าน ตามลำดับขนั้ ตอนสรุปไดด้ งั น้ี 1. ข้ันแนะนำ ในข้ันนี้ครูจะเป็นผู้แนะนำให้นักเรียนเข้าใจการอ่านและ เขียนเรอ่ื งใหมท่ ี่คู่ขนานกบั เรือ่ งเดมิ ซ่ึงทำไดด้ ังนี้ 1.1 เพ่ิมหรือลดเหตุการณ์ในเร่ืองให้เหมาะสมกับสถานการณ์ใน ปัจจุบนั 1.2 เปลีย่ นเหตกุ ารณ์ในเรอื่ งใหม้ ลี ักษณะตรงกนั ขา้ มกับเรื่องเดิม 1.3 เปลี่ยนเวลา และสภาพแวดลอ้ มของเรื่อง 1.4 เปลี่ยนลักษณะอาชพี เพศ และอุปนสิ ัยของตัวละครให้ตรงกัน ข้ามกบั เร่ือง 1.5 รกั ษาสว่ นสำคญั ของเหตกุ ารณ์ในเร่ืองไว้ 1.6 เปลย่ี นเฉพาะภาพแต่ให้เน้ือเรอื่ งคงเดมิ 2. ขั้นการให้ตัวอย่าง หลังจากที่ครูแนะนำให้นักเรียนเข้าใจรูปแบบการ ปรบั เรอื่ งแล้ว โดยครยู กตัวอย่าง 3. ข้ันปฏิบัติ ครูแจกนิทานให้นักเรียนทุกคนอ่านแล้วช่วยกันปรับสู่การ เขียน 4. ขั้นการประเมินผล นักเรียนนำเสนอผลงานหน้าช้ันเรียน ครูและ นักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับผลงานแต่ละคน โดยพิจารณาวิธีการปรับเรื่อง การดำเนินเรื่อง การใช้ ภาษา สรปุ ได้ว่า การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนโดยใช้นิทาน ครูควรนำเทคนิคในการ จดั กจิ กรรมท่ีหลากหลาย ให้ทันยคุ ทนั สมยั เพอื่ ใหน้ ักเรยี นได้บรรลุจุดประสงคก์ ารเรยี นรูท้ ีต่ ั้งไว้ ซงึ่ ถา้ หาก ครูเลอื กกจิ กรรมท่เี หมาะสมจะทำใหน้ ักเรยี นประสบความสำเรจ็ ในการเรยี น 2. เอกสารท่เี กยี่ วขอ้ งกบั การอา่ น
ทักษะการอ่าน เป็นทักษะที่สำคัญจากทั้ง 4 ทักษะ สำหรับนักเรียนเนื่องจากนักเรียนมี โอกาสในการใช้ทักษะการฟัง การพดู และการเขียนน้อยกว่าการอ่าน ทักษะการอ่านมีความจำเป็นอย่าง ยงิ่ ในการแสวงหาความรู้ เช่น การอ่านตำราเรียน บทความ ข่าวจากหนังสือพิมพ์ ป้ายประกาศต่างๆ ซ่ึง ลว้ นเปน็ สิ่งทจ่ี ำเปน็ ในชีวิตประจำวัน ครจู ะต้องฝึกให้นกั เรยี นทำความเขา้ ใจและสังเคราะห์ขอ้ มลู โดยโยง ความคิดรวบยอดออกจากประสบการณ์ไปยังเรื่องที่กำลังอ่านเพื่อให้เกิดความเข้าใจในส่ิงที่อ่านแล้ว สามารถส่ือสารต่อไปได้ ผู้วิจัยขอนำเสนอความหมายหลายประเภท ระดับการอ่าน การสอนอ่าน องคป์ ระกอบ และความสามารถในการอา่ นเพือ่ ความเขา้ ใจ ดงั น้ี 2.1 ความหมายของการอา่ น มนี กั การได้ให้ความหมายของการอ่านไว้หลายอยา่ งดงั นี้ แม้นมาส ชวลิต (2537 อ้างถงึ ใน ภิญโญ คล้ายบวร, 2537) กล่าวว่า การ อ่าน คือ การใช้ศักยภาพของสมองเพื่อรับรู้ แปลความหมายและเข้าใจปรากฏการณ์ ข้อมูล ข่าวสาร เรื่องราว ประสบการณ์ ความคิด ความรู้สึก และจินตนาการ ตลอดจนสาระอ่ืนๆ ซ่ึงมีผู้แสดงออกโดย สญั ลกั ษณท์ เี่ ปน็ ลายลักษณ์ กาญจนา ศรีภัทรวิทย์ (2535) ได้สรุปว่า การอ่านเป็นกระบวนการโต้ตอบ ระหว่างผู้เขียนและผู้อ่าน ซ่ึงผู้อ่านต้องใช้ทักษะในการถอดความหมายจากสัญลักษณ์ ต้องใช้ความรู้ ความสามารถและประสบการณเ์ ดมิ ของผอู้ ่าน เพ่ือความเข้าใจในส่ิงท่ีผู้เขียนตอ้ งการจะถ่ายทอด สมุทร เซ็นเชาวนิช (2539) การอ่านคือ การสื่อความหมายระหว่างผู้เขียน กบั ผู้อา่ นมกี ระบวนการถอดรหัสโดยผเู้ ขยี นอยู่ในฐานะของผบู้ ันทึกรหัสความคิด (Encoder) สว่ นผูอ้ า่ นจะ เป็นผู้ถอดรหัสความคิด (Decoder) นั้นๆ กระบวนการน้ีจะดำเนินไปอย่างช้าๆก่อนในตอนแรก แต่เม่ือ ได้รับการฝึกฝนแล้วผู้อ่านจะเกิดความชำนาญและมีประสบการณ์มากขึ้นผู้อ่านจะมุ่งสนใจจับประเด็น ความคิดของผู้เขียนแทนการอ่านกับการคิดเป็นกระบวนการท่ีมีความสัมพันธเ์ ก่ียวข้องกันและกันจนไม่ สามารถแยกออกจากกันได้ ประเทิน มหาขันธ์ (2530) ใหค้ วามหมายของการอ่านว่า เป็นกระบวนการ ในการแปลความของตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ที่มีการจดบันทึกไว้ การอ่านที่แท้จริงผู้อ่านต้องเข้าใจ ความหมายของเรื่องท่อี า่ น ซ่งึ ตอ้ งอาศยั ประสบการณ์เดิมเป็นพ้นื ฐาน Dechant (1982) กล่าวว่า เป็นปฏิกิริยาระหว่างการมองเห็นองค์แระ กอบในการแปลความหมาย โดยผู้อ่านจะเคล่ือนสายตาไปตามบรรทัดตัวอักษร จากซ้ายไปขวา หยุดทำ ความเขา้ ใจคำแล้วรวบรวมเข้าเปน็ หน่วยความคิด ผอู้ ่านจะตีความสง่ิ ท่ีอ่าน โดยอาศัยความร้ปู ระสบการณ์ เดิมเพื่อประมวลเป็นความคิด การพินิจวเิ คราะห์ และการสรุปความเห็น Harris & Sipay (1979) กล่าววา่ การอ่าน คือ กระบวนการในการค้นหา ความหมาย (The Attaining of Meaning) จากสัญลักษณ์ท่ีบันทึกไว้เป็นตัวอักษรโดยใช้ประสบการณ์ ของผู้อ่าน ท้ังประสบการณ์ด้านภาษาและประสบการณ์ด้านอ่ืนๆ นอกเหนือจากด้านภาษา การอ่านยัง เปน็ กิจกรรมที่ซับซ้อนซึ่งประกอบด้วยกระบวนการตา่ งๆทางจิตวทิ ยา ไดแ้ ก่ ความร้สู ึก (Sensation) การ รับรู้ (Perception) พฤติกรรมท่ีเก่ียวกับการเคลื่อนไหว (Motor Behavior) แรงจูงใจ (Motivation) ความตัง้ ใจ (Attention) อารมณ์ (Emotion) ความรูค้ วามเข้าใจ (Cognition) ความจำ (Memory) Goodman (1972) ให้ความหมายของการอ่าน ว่า เป็น กระบวนการทาง ภาษาศาสตร์เชิงจิตวิทยาท่ีซบั ซอ้ น ซ่ึงผู้อ่านต้องสร้างความหมาย (Reconstruct) โดยความหมายที่ได้มา นั้นต้องตรงหรือใกล้เคียงกับความหมายของผู้เขียนได้ส่ือไว้ในรูปแบบของตัวอักษร แต่การที่จะได้มาซึ่ง
ความหมายจะต้องมรการปฏสิ ัมพันธ์ระหว่างตัวอักษรกับความคิดและกระบวนการเลือกตัวชนี้ ำทางภาษา (Linguistic Clue) ท้ังที่ปรากฏเป็นตัวอักษรและไม่เป็นตัวอักษร โดยอาศัยความสามารถของผู้อ่านเป็น พ้นื ฐานในการใชต้ วั ชีน้ ำทางภาษาในการเดา สรุปได้ว่า การอ่านเป็นกระบวนทางความคิดที่สื่อสารกันผ่านทางตัวอักษร โดย ผู้อ่านจะต้องอาศัยประสบการณ์และความรู้เดิมในการแปลความหมาย แต่ถ้าผู้อ่านไม่เคยพบเห็นจะต้อง อาศัยการเดาบริบทเพอ่ื แปลความหมายซง่ึ จะทำใหผ้ ู้อ่านเขา้ ใจงา่ ยขนึ้ 2.2 ประเภทของการอ่าน การอ่านมีหลายวิธี ข้ึนอยู่กับจุดประสงค์ของการอ่าน และลักษณะของวัสดุ การ อา่ นเพราะวสั ดกุ ารอ่านช้ินเดียวกันอาจจะอา่ นไดห้ ลายวธิ ี มนี ักการศกึ ษาได้แบ่งหนา้ ท่ขี องการอา่ นไวด้ ังน้ี สมุทร เซ็นเชาวนิช (2539) ได้แบ่งการอ่านออกเป็น 2 ประเภท โดยใช้ความเร็ว ในการอ่านเปน็ ตัวแบง่ ประเภท ดังน้ี 1. การอ่านเพื่อการศึกษา (Work-study Reading) เป็นการอ่านที่ต้องการ ความเร็วสูงพอประมาณ การอ่านแบบนี้มีจุดมุ่งหมายท่ีสำคัญ คือต้องการอ่านให้ครอบคลุมเน้ือหามาก ที่สุด เก็บความเข้าใจและรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ ให้มากท่ีสุดเท่าท่ีจะทำได้ ดังนั้นในขณะที่อ่านจึง จำเป็นต้องพิจารณาคำศัพท์และความหมายของคำท่ีพบให้ละเอียดถ่ีถ้วน นอกจากจะรู้ความหมายของ คำศพั ท์นน้ั ๆอีกด้วยเพอื่ จะไดเ้ ขา้ ใจข้อความที่อา่ นชดั เจน 2. การอ่านเพื่อการพักผ่อนและความบันเทิง (Recreatory Reading) เป็นการ อ่านเพ่ือความร่ืนรมย์เปน็ สว่ นตวั หรือเพ่ือพักผอ่ นเป็นส่วนใหญ่ เชน่ การอ่านนิยาย การอ่านเร่ืองสน้ั หรือ หนังสือพิมพ์ ที่ไม่มีคำศัพท์เฉพาะมากมายนัก การอ่านประเภทน้ีจึงไม่ต้องการความเข้าใจลึกซ้ึงมากนัก ดงั นน้ั จะอา่ นโดยใชค้ วามเรว็ หรือช้าอยา่ งไรก็ได้ สดุ แลว้ แตค่ วามพึงพอใจของผอู้ า่ นเองเปน็ สำคญั ทิพวัลย์ มาแสง (2532) ได้แบ่งการอ่านของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาเป็น 2 อยา่ งคือ 1. การอา่ นออกเสยี ง (Oral reading) การเรยี นการอ่านของนักเรียนในช่วง 2-3 ปี แรก เป็นการฝึกอ่านซึ่งควรให้อ่านออกเสียงเพียงพอ ครูจะต้องช่วยแก้ไขข้อบกพร่องการอ่านออกเสียง เพื่อต้องการความถูกต้องในเรื่องของเสียง เสยี งสูงต่ำ จังหวะ การหยุดวรรคตอนให้ถูกต้องชัดเจน เพราะ เปน็ พน้ื ฐานทจ่ี ะใช้ในการอ่านในใจตอ่ ไป 2. การอ่านในใจ (Silent reading) การอ่านในใจเป็นสิ่งท่ีเราปฏิบัติจริงใน ชีวิตประจำวัน จะเห็นได้ว่าผู้ท่ีได้รับการฝึกอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องจะเป็นผู้อ่านในใจดี ที่สดุ ซงึ่ การอา่ นแบบนีค้ วรฝกึ หลังจากทน่ี กั เรียนได้ฝึกอ่านออกเสียงมาอยา่ งดีแลว้ สรปุ ได้วา่ การอา่ นแบ่งออกเป็นหลายประเภทแตกต่างกันขึ้นอยู่กบั ความต้องการ ของผู้อ่านแต่ละบุคคล ซ่ึงการอ่านหลายประเภท เช่น การอ่านเพ่ือความบันเทิง การอ่านเพื่อความเข้าใจ การอา่ นเพือ่ การศึกษา และทส่ี ำคญั ทสี่ ุดของการอา่ นคือ การอา่ นเพ่อื วเิ คราะห์ 2.3 ระดบั ข้นั ของการอ่าน การอ่านสามารถแบ่งออกเป็นหลายระดับขั้น การกำหนดเป้าหมายการอ่านจึง ควรคำนึงถึงความเหมาะสมของวัยและระดับความสามารถของผู้เรียนเป็นหลักเพื่อพัฒนาการอ่าน ของ
ผู้เรียนให้บรรลุตามเป้าหมายทต่ี ้องการได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ ซ่ึงได้แบง่ การอ่านออกตามระดบั ความยาก ง่ายได้เปน็ 4 ระดับดงั น้ี ทพิ พดี ออ่ งแสงคณุ (2535 อ้างถึงใน กรมวิชาการ, 2542) ระ ดั บ ท่ี 1 ก าร อ่ าน พื้ น ฐาน (Literal Reading) เป็ น ก าร อ่ าน ใน ระดบั ประถมตน้ โดยอ่านเนอ้ื เรื่องง่ายๆและอ่านเพ่อื จบั ใจความที่ปรากฏชัดเจนในเนอ้ื เร่อื ง ระดับที่ 2 การอ่านตีความ (Interpretation) เป็นการอ่านท่ีผู้อ่านใช้ ความสามารถในการตคี วาม เพือ่ คาดเดาเหตุการณ์ท่เี ป็นใจความของเร่ือง ระดับที่ 3 การอ่านข้ันวิจารณ์ (Critical Reading) เป็นการอ่านที่ผู้อ่าน สามารถประเมนิ ได้ว่า ตวั ละครมลี กั ษณะอย่างไรและเนอื้ เร่ืองมีขอ้ เตอื นใจอย่างไร ระดับที่ 4 การอ่านขั้นสร้างสรรค์ (Creative Reading) เป็นการอ่านท่ีทำ ให้ผู้อ่านเกิดความคิดใหม่ๆ สามารถสร้างจินตนาการได้กว้างไกล แสดงความคิดเห็นและแนะแนว ทางแก้ไขปัญหานอกเหนือจากในเนอ้ื เรื่อง ดังน้ันครูผู้สอนต้องคำนึงถึงเป้าหมายของการอ่าน เพื่อจัดการเรียนการ สอนอ่านให้เหมาะสม ดงั น้ี 1. ทักษะการอ่านในขั้นต้น (Word Recognition) ผู้สสอนจะช่วยเหลือ ผู้เรียนให้รู้จักสังเกตคำได้ โดยเรียนคำด้วยการดูบ่อยๆ เรียนเสียงพยัญชนะรู้จักแบ่งคำออกเป็นพยางค์ และออกเสียงแตล่ ะพยางคอ์ ย่างถูกต้อง รจู้ ักใช้บริบทเพ่ือเดาความหมายของคำศพั ทแ์ ละการออกเสยี งคำ อย่างถกู ต้อง รจู้ ักสงั เกตโครงสรา้ งของประโยคเพื่อเดาความหมายของคำและการออกเสยี งใช้พจนานุกรม เพ่อื หาความหมายและการออกเสยี งคำ 3. ทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ (Comprehension) เป็นการอ่านเพ่ือให้ผู้อ่าน เกดิ ความเขา้ ใจในสง่ิ ที่อา่ น ผู้สอนจะชว่ ยให้ผู้อ่านเข้าใจได้ในส่งิ ท่ีสอน เช่น รู้วิธีหาใจความของเรื่อง (Main Idea) เขียนย่อเน้ือหาสำคัญของเรื่องได้ เพ่ิมพูนคำศัพท์ซ่ึงจะช่วยให้เข้าใจเรื่องได้ดีขึ้น พัฒนาอัตรา ความเรว็ ของการอา่ นให้เหมาะสม พฒั นาทักษะการอา่ นออกเสียงเพอื่ ใหผ้ ้อู ื่นไดฟ้ ังและเขา้ ใจ 4. ทักษะการอ่านเพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ (Functional Reading) เป็นการอ่าน เพื่อแสวงหาความรู้ และเพ่ือให้สนุกสนานเพลิดเพลินกบั การอา่ น ผูส้ อนจะชว่ ยผู้เรียนไดโ้ ดยการฝึกให้อ่าน สิ่งต่างๆ เช่น อ่านสัญลักษณ์ อ่านแผนท่ี อ่านตาราง และป้ายโฆษณา รู้วิธีใช้ส่วนต่างๆของหนังสือ ใช้ หนงั สือเป็นสื่ออ้างอิง พัฒนาทักษะการใช้ห้องสมุด พัฒนาทักษะการเขยี นเพลิดดเพลนิ กบั การอ่านเปรยี บ ดังกจิ กรรมเพอ่ื การพกั ผ่อน ภิญโญ คล้ายบวร (2537) ได้กลา่ วถงึ ลำดับข้ันของการอ่านว่า การอ่านไมใ่ ช่เพียง การมองผ่านตัวอักษรไปเท่านั้น แต่ต้องคิดตามไปด้วยจึงจะเข้าใจความหมายของสิ่งที่อ่าน จึงแบ่งลำดับ ขน้ั ตอนการอ่านดังนี้ 1. อ่านได้ คือ อ่านถูกต้องตามอักขระวิธี สามารถอ่านเน้ือเรื่องไดโ้ ดยไม่ต้องแสดง ความคิดเห็นในเชิงวพิ ากษ์วิจารณ์ได้ การอ่านในระดับนี้จึงเป็นการอ่านท่ีผ้อู ่านจะใช้ความสามารถในการ จำเป็นสว่ นใหญ่ 2. อ่านเป็น คือ ต้องตีความ แปลความ และขยายความของเนื้อหาที่อ่านได้ ดังนั้น ผ้อู า่ นจงึ ต้องใช้ความสามารถท่ีเหนอื กวา่ ระดบั ของการอ่าน 3. อา่ นเก่ง คือ อ่านขั้นวจิ ารณ์ การอ่านขั้นนี้จงึ ต้องใช้ความสามารถและสตปิ ัญญา ขัน้ สูงในการวนิ ิจฉยั ตัดสินประเมนิ สง่ิ ท่ีผู้อ่านได้อ่านไปแล้ว ต้องใชป้ ระสบการณ์และความสามารถของตน
ในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่าส่งิ ท่ีตนอา่ น การอ่านในระดบั น้ตี อ้ งอาศยั การอ่านทัง้ 2 ระดับ แรกเปน็ พน้ื ฐาน สรุปได้ว่า ระดับขั้นของการอ่าน มรี ะดับขัน้ ในการอ่านเริ่มจากการอ่านพ้ืนฐาน ซึ่ง มีเนื้อเรื่องง่ายๆ ระดับที่สองคือการอ่านตีความ ผู้อ่านต้องคาดเดาเหตุการณ์ที่เป็นใจความของเร่ือง ขั้น ต่อไปเป็นการอ่านข้ันวิจารณ์ สามารถประเมินได้ว่าตัวละครมีลักษณะอย่างไร มีข้อเตือนใจอะไรบ้าง สดุ ท้ายเป็นการอ่านข้ันสร้างสรรค์ ผู้อ่านสามารถสร้างจินตนาการได้ทำให้เกิดแนวคิดใหมๆ่ อาจกล่าวได้ วา่ การอา่ นเรม่ิ จาก อ่านได้ อ่านเป็น และอา่ นเก่ง 2.4 การสอนอ่านเพือ่ ความเขา้ ใจ ความเข้าใจคือความ สามารถในการเก็บความห มายจากเร่ืองที่อ่านโดย ใช้ ความรู้ทางด้านภาษามารวมกับประสบการณ์เดิมของผู้อ่านทั้งด้านเน้ือหาและโครงสร้างของข้อความซ่ึง ความเข้าใจนีม้ ีความสำคญั อย่างยงิ่ ในการอา่ น (วไิ ลรตั น์ วสุรีย์, 2545) สมุทร เซ็นเชาวนิช (2539) กล่าวว่า ความเข้าใจ คือ ความสามสารถท่ีจะ อนุมานข้อสนเทศ หรือข้อความอันพึงประสงค์จากส่ิงท่ีอ่านมาแล้วอย่างมีประสิทธภิ าพ ความเข้าใจเป็น เรอ่ื งทม่ี ีความสัมพนั ธ์เกีย่ วกับการศกึ ษาและประสบการณ์หลายๆดา้ นของบุคคล ทิพวัลย์ มาแสง (2532) กล่าวว่า การสอนภาษาอังกฤษให้น่าสนใจและสนุกสนาน เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศและการสอนท่ีให้ต่างไปจากเดิมท่ีสอนอ่านโดยการแปลโดยวิธีท่ีเป็นธรรมชาติ คือ การสอนอ่านเพื่อความเขา้ ใจ (Reading Comprehension) การอ่านประเภทน้ีเป็นการอ่านตามปกติของ เจา้ ของภาษาท่ีใชใ้ นชีวิตประจำวัน ครผู ู้สอนในระดับมัธยมศึกษาควรจะฝึกให้นักเรียนเคยชนิ กับการอ่าน ประเภทนใ้ี ห้มาก จนกระท่ังนักเรียนสามารถท่ีจะอ่านเร่ืองราวต่างๆได้ดว้ ยตนเอง และสามารถที่จะเขา้ ใจ เนอ้ื เร่ืองได้ทันที ซ่ึงมหี ลกั การฝกึ ดังนี้ 1. ฝกึ ใหน้ กั เรยี นอ่านเนือ้ เรอื่ งไปตลอดจนจบแลว้ จบั ใจความทนั ที 2. ไม่ควรฝึกให้แปลทีละคำหรือทีละประโยคจะทำใหเ้ น้ือความไมส่ ัมพนั ธก์ ัน 3. ควรฝกึ ใหอ้ า่ นอยา่ งรวดเรว็ 4. ในขณะทอ่ี ่านไมค่ วรจะมเี สยี งใดออกมาจากปาก 5. ไม่ควรฝึกให้ทำปากขมุบขมิบ 6. อ่านแลว้ ฝึกให้คิดตามทันที 7. ถ้าศัพท์ยากหรอื สะดดุ ศพั ทค์ ำไหนใหผ้ ่านไปทนั ทใี หม้ งุ่ ทีเ่ นือ้ เรอื่ งทงั้ หมดเท่านน้ั 8. ไม่ควรอ่านไปเปิดพจนานุกรมไป เพราะเมื่อพบศัพท์ยากๆจะทำให้ท้อถอย ไม่ อยากอ่าน 9. อ่านแล้วต้องทราบความหมาย แนวคิดของเร่ืองตลอดจนของผู้แตง่ 10. ครูควรกำหนดเวลาและเน้ือเรอ่ื ง และหนังสือให้พอเหมาะกับความสามารถและ ระดบั ของนกั เรียน การเตรียมการสอนแต่ละครั้งครูควรปฏบิ ัตดิ งั น้ี 1. เลอื กเนื้อเรอ่ื ง หนังสือ ข้อความท่ีจะใชส้ อนให้พอเหมาะกับเวลา เร่ืองนั้นจะตอ้ ง เป็นเรื่องทีน่ ่าสนใจ สนุก มอี ารมณ์ขนั เน้ือเร่ืองชวนใหต้ ดิ ตาม ให้ความรู้ เกิดความคิด 2. พจิ ารณาความยากง่ายให้เหมาะสมกบั ความสามารถของผู้เรียน 3. สอนคำศัพท์หรือไวยกรณ์ ที่นกั เรียนยังไม่เขา้ ใจกอ่ นทจ่ี ะมกี ารฝกึ ให้อา่ น
4.ศึกษาเนื้อเรื่องท่ีจะสอนในขณะเดียวกันก็คิดไปด้วยว่าจะใช้เทคนิคในการสอน อ่านอย่างไร จะสรา้ งสถานการณ์ประกอบการอธิบายอย่างไรจึงจะสมจรงิ สมจงั โดยไมต่ อ้ งแปลเปน็ ไทย 5. เตรียมหนังสอื อปุ กรณก์ ารสอนให้พร้อม 6. เตรียมตัง้ คำถามปากเปล่า และคำถามท่เี ปน็ แบบฝกึ หัดให้เขยี นไวใ้ ห้พร้อม นอกเหนือจากนี้ กรมวิชาการ (2542) ได้เสนอแนะการสอนอ่านเพื่อความเข้าใจ โดยมขี ัน้ ตอนในการสอนอา่ นดังน้ี 1. เตรียมการอ่าน เป็นการวางพ้ืนฐานในการอ่าน โดยใช้กิจกรรม เช่น การ สนทนากับนักเรียนเกยี่ วกับเรื่องที่อ่าน ให้ความรูพ้ ื้นฐาน เพื่อให้นักเรียนได้เกิดความเข้าใจในเรื่องท่ีอ่าน รูจ้ กั ต้ังจุดประสงค์การอา่ น 2. อ่านในใจ ซึ่งเป็นข้ันตอนของการอ่านเพ่ือความเข้าใจผู้เรียนจะอา่ นในใจโดยมี กิจกรรมดังน้ี 2.1 อ่านสำรวจและตั้งคำถาม ผู้อ่านจะอ่านบทอ่านคร่าวๆ ใช้ ทกั ษะการอ่านข้าม (Skimming) และการกวาดสายตาเฉพาะตอนท่ีสำคญั (Scanning) เป็นการอ่านเร็วๆ แลว้ ต้ังคำถาม ช่วยกันบอกคำถามที่นกั เรยี นต้ังคำถาม ครเู ขียนบนกระดาน 2.2 อ่านพินิจวิเคราะห์และตอบคำถาม ผู้อา่ นจะอ่านบทอ่านอีก คร้งั อย่างพินจิ วิเคราะห์ อา่ นเพื่อตอบคำถาม อาจเป็นคำถามที่จับประเด็นสำคัญ หารายละเอียดของเร่อื ง หาเหตผุ ลของเหตุการณ์ ลำดับเหตุการณ์ ตอบคำถามปากเปลา่ แล้วอภปิ รายตอนใดตอนหน่ึงท่สี ำคัญ 2.3 ตอบคำถามและทบทวน ผู้อ่านตอบคำถามลงสมุด และ ทบทวนตรวจสอบคำตอบ จากบทอา่ นแลว้ แกไ้ ขคำตอบใหถ้ กู ต้อง ในการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนด้านการอา่ นน้ันไดแ้ บ่งเปน็ 3 ระยะ คือ 1. กิจกรรมก่อนการอ่าน (Pre-reading Activities) เป็นการสร้างความสนใจ ใหแ้ ก่ผู้เรยี นเกยี่ วกับเร่ืองท่ีอ่านปูพ้ืนฐานเกยี่ วกับเรอื่ งและคำศพั ท์ 2. กิจกรรมระหว่างอ่าน (While-reading Activities) เป็นกิจกรรมที่ผู้สอน นำมาใช้ฝึกทักษะขณะทอ่ี ่านเน้ือเร่ืองเพ่ือให้เกิดความเขา้ ใจยิ่งขึ้น เช่น เรยี งลำดับจากเนอื้ เรอื่ งท่ีอ่าน เกม ตัดข้อความ 3. กิจกรรมหลังการอ่าน (Post-reading Activities) เป็นกิจกรรมที่จัดให้ นกั เรียนได้แสดงความคิดเหน็ หรือแสดงความสามารถเกี่ยวกับเรื่องที่อา่ นได้ เชน่ ผเู้ รียนตอบคำถามจาก เรือ่ งสรุป เล่าเรอ่ื ง บอกประโยชน์ของเรอื่ งท่ีอ่าน แสดงบทบาทสมมติ เขยี นบทสนทนาจากเร่ือง สรุปไดว้ า่ การสอนอ่านเพ่ือความเข้าใจครูควรให้นักเรยี นได้ฝึกฝนอยา่ งสมำ่ เสมอ โดยการใชส้ ื่อการสอนแบบหลากหลาย จดั กิจกรรมการเรียนการสอนโดยฝกึ ให้นักเรยี นได้ลงมือปฏบิ ัตจิ ริง ด้วยตนเองและในการฝึกนักเรียนต้องคำนงึ ถึงความสามารถของแต่ละบุคคล เพื่อให้นักเรยี นเข้าใจได้ง่าย ขน้ึ 2.5 องค์ประกอบที่มีตอ่ ความเข้าใจในการอา่ น การอ่านท่ีประสบความสำเร็จน้ันคนที่อ่านเร็วและมีความเข้าใจในส่ิงท่ีอ่าน ยอ่ มมีหลักการและแนวทางที่จะนำไปสคู่ วามสำเร็จไดม้ ากกว่าคนที่อ่านช้าเนอื่ งจากคนทอ่ี ่านเร็วสามารถ เข้าใจส่ิงท่ีอ่าน สามารถตีความ จดจำเรื่องราวต่างๆได้เกือบท้ังหมด สามารถส่ือสารให้ผู้อื่นเข้าใจได้ ซึ่ง องคป์ ระกอบทมี่ ผี ลต่อความเข้าใจในการอา่ น มีผแู้ สดงความคดิ เหน็ ไว้หลายทศั นะดงั น้ี
Harris & Smith (1976) กล่าวถึงองค์ประกอบที่มีผลต่อความเข้าใจในการ อา่ น ดังนี้ 1. ประสอบการณพ์ ้ืนฐานของผอู้ า่ น 2. ความสามารถทางดา้ นภาษา 3. ความสามารถในการคดิ 4. เจตคติทม่ี ีต่อการอา่ น 5. จดุ ประสงคใ์ นการอา่ น นอกจากนี้ Williams (1993) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบที่จะช่วยให้การอ่าน มีประสิทธภิ าพ ดังนี้ 1. ความรใู้ นระบบการเรยี น ดา้ นการสะกดคำและการอา่ นออกเสียง 2. ความรู้ในเรื่องภาษา คือ ความรู้ในเรื่องรูปแบบของคำ การเรียบเรียงคำ โครงสรา้ งและไวยกรณ์ของภาษา 3. ความสามารถในการตีความ คือ ความสามารถที่จะเขา้ ใจจุดประสงค์ของ ข้อเขียน หรือข้อความ รู้วิธีการเรียบเรียงประโยคท่ีมีความต่อเนื่อง และเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง ประโยค 4. ความรู้รอบตัวท่ัวไปยิ่งผู้อ่านมีความรู้และประสบการณ์มากเท่าไหร่ก็ยิ่ง สามารถเลือกความรู้และประสบการณข์ องตนให้ตรงกบั ผู้เขยี นเพือ่ ทำความเขา้ ใจกบั เร่อื งท่อี ่าน 5. เหตุผลในการอ่านและวิธีการอ่าน ความต้องการในการอ่านมีผลต่อการ เลอื กวิธีการอ่าน ดงั นนั้ เมือ่ ตอ้ งการอ่าน จึงตอ้ งทราบว่าอา่ นอะไร อ่านทำไม แล้วจะอา่ นอย่างไร อัจฉรา สินธุโคตร (2543) ได้กล่าวถึง องค์ประกอบที่สำคัญในการสร้าง ความเขา้ ใจในการอ่าน ซึ่งมีรายละเอยี ดดงั นี้ 1. การเขา้ ใจความหมายของคำศัพท์ ต้องอาศัยความสามารถดังต่อไปน้ี 1.1 การวิเคราะห์ (Word analysis) คือการแบ่งคำออกเป็น ส่วนย่อย ได้แก่ รากศัพท์ (Root) อุปสรรค (Prefix) และปัจจัย (Suffix) เพ่ือประโยชน์ในการเดา ความหมายคำศพั ท์ 1.2 การเดาความหมายจากปริบท (context clue) ปริบทอาจมี ลกั ษณะเป็นเพยี งคำเดียว กลมุ่ คำ ประโยค หรือเครื่องหมายวรรคตอนกไ็ ด้ 1.3 การหาความหมายของคำศัพท์จากพจนานุกรม ควรใช้วิธีนี้ เป็นวธิ ีสดุ ท้ายและใชเ้ มื่อจำเป็นเท่านัน้ เพราะการเปดิ พจนานุกรมบ่อยๆจะเป็นการขดั จังหวะ การอ่านทำ ใหก้ ารอ่านไม่ต่อเน่อื ง 2. การเข้าใจความหมายของประโยค ผู้อ่านต้องเข้าใจส่ิงต่อไปน้ี การ วิเคราะห์ประโยค (Sentence analysis) เม่ือพบประโยคท่ียาวและซบั ซ้อน ผู้อา่ นจะต้องหาประธานหลัก (Head subject) กริยาสำคัญ (Main Idea) ของประโยคและกรรมของกริยาสำคัญนั้น (ถ้ามี) ก่อน วิเคราะห์สว่ นขยาย 3. การเขา้ ใจความหมายของข้อความ ผู้อ่านต้องรจู้ กั สงิ่ ต่อไปน้ี 3.1 ชื่อเร่ือง (Title) การเลือกช่ือเรือ่ งได้เหมาะสมกับความใจความ ของข้อความเป็นการตรวจสอบความเข้าใจ ในการอ่านประเภทหน่ึง ช่ือเร่ืองท่ีดีต้องสรุปมโนมติของ ข้อความได้อยา่ งสมบรู ณท์ สี่ ดุ ไม่กวา้ งเกินไปหรือแคบเกินไป
3.2 หัวข้อเรื่อง (Topic) เป็นสิ่งท่ีแสดงว่าข้อความที่อ่านเกี่ยวกับ เรอื่ งใด ไดแ้ ก่ คำ หรือสิ่งท่กี ล่าวถึงบ่อยครั้งท่สี ุดของขอ้ ความ 3.3 ใจความหลัก (Main idea) คือสาระสำคัญเก่ียวกับหัวเรื่องจะ ปรากฏอย่ใู นประโยคท่ีเรียกวา่ Topic Sentence ซงึ่ เป็นประโยคที่สำคญั ที่สุดในย่อหนา้ สว่ นประโยคอื่นๆ เปน็ ใจความรอง (Support Sentence) สนับสนุนใหใ้ จความหลกั ของประโยคเด่นชัดข้นึ 3.4 ใจความรอง คือ ข้อความท่ีสนับสนุนใจความหลักให้ชัดเจน ยง่ิ ข้ึนใจความรองจะอยู่ในรปู ของ คำจำกัดความ การยกตัวอย่าง การแบ่งประเภท การกล่าวซ้ำ การบอก เหตผุ ล และการเปรยี บเทียบ 4. การเข้าใจข้อความท่ีกล่าวเป็นนัย ข้อความท่ีกล่าวเป็นนัย หมายถึงข้อความที่ ผู้เขียนมิไดบ้ ่งความหมายออกมาตรงๆเพียงแตก่ ล่าวเป็นนัยให้เข้าใจกัน ผู้อ่านต้องใช้วิจารณญาณในการ ตคี วามเอง 5. การวินิจฉยั อารมณ์และความคิดเห็นของผู้เขียน ในการเขียนข้อความบางประเภท ผเู้ ขียนแสดงเจตคตหิ รอื อารมณแ์ บบใด เช่น ดใี จ เสยี ใจ เห็นดว้ ย ไม่เห็นดว้ ย 6. การวิเคราะห์ภาพประกอบ การส่ือความหมาย มิได้จำกัดอยู่เฉพาะในรูปของ ข้อความเท่าน้ัน อาจอยู่ในรูปแผนภูมิ ตาราง กราฟ รูปภาพ ผู้อ่านควรฝึกทักษะในการตีความเพื่อให้ได้ ขอ้ มลู ท่ผี ู้เขยี นต้องการบอก 7. สังเกตเคร่ืองหมายวรรคตอน เคร่ืองหมายวรรคตอนเป็นตัวชว่ ยในการอ่านอกี อย่าง หนง่ึ ทำให้เขา้ ใจความหมาย การไมส่ ังเกตเครอ่ื งหมายวรรคตอน หรอื การตีความหมายวรรคตอนผิด อ่าน ทำให้ผอู้ า่ นเข้าใจผดิ หรอื ไมเ่ ข้าใจส่งิ ทีอ่ า่ นได้ สรปุ ไดว้ ่าองค์ประกอบทีม่ ตี อ่ ความเขา้ ใจในการอา่ นมดี ังต่อไปนี้ 1. ประสบการณเ์ ดิมของผ้อู ่าน 2. ความร้รู อบตวั ทัว่ ไป 3. ความสามารถทางดา้ นภาษา 4. ความสามารถในการตคี วาม 5. ความเขา้ ใจในเร่อื งทีอ่ า่ น 6. เหตผุ ลในการอา่ นและวิธีการอา่ น 2.6 ความสามารถในการอ่านเพอื่ ความเข้าใจ องค์ประกอบพนื้ ฐานของความเขา้ ใจในการอ่านว่าจะตอ้ งประกอบด้วย 1. ความเข้าใจความหมายของคำ (word meaning) 2. ความเขา้ ใจความหมายของกลุ่มคำ (thought units) 3. ความเขา้ ใจประโยค (sentence comprehension) 4. ความเข้าใจอนเุ ฉท (paragraph comprehension) 5. ความเข้าใจความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งอนเุ ฉท (comprehension large units) นอกจากนี้ สมุทร เซ็นเชาวนิช (2539) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบที่สำคัญของความ เข้าใจในการอา่ น สรุปไดด้ งั นี้ 1. สามารถจำเรื่องราวส่วนใหญ่ท่ีอ่านมาแล้วได้ เมื่อถึงคราวที่ต้องการใช้ประโยชน์ หรืออ้างองิ กท็ ำไดโ้ ดยไมย่ าก
2. สามารถจับใจความสำคัญได้ สามารถแยกประเด็นหลักออกจากประเด็นย่อยที่ไม่ เกย่ี วขอ้ งได้ สามารถประเมนิ ไดว้ ่าอะไรบา้ งท่ีควรสนใจเป็นพิเศษหรอื ไมก่ ต็ ัดท้ิง 3. สามารถตีความเกี่ยวกับเรื่องราวหรือข้อคิดเห็นท่ีอ่านมาแล้วว่ามีความลึกซ้ึงมาก น้อยแค่ไหนเพยี งใด 4. สามารถสรุปความเห็นจากสิ่งที่ได้อ่านมาแล้ว ได้อย่างถูกต้องมีเหตุผลและ น่าเชื่อถอื 5. สามารถใช้วิจารณญาณของตนเองในการไตร่ตรองพิจารณาข้อสรุปของผู้เขียนได้ อย่างถูกตอ้ งและเป็นระบบไมส่ บั สน 6. สามารถถา่ ยโอนหรือประสมประสานความรทู้ ่ีได้จากการอา่ นกับประสบการณ์อ่นื ได้ อยา่ งถกู ต้องและเป็นระบบไมส่ ับสน สรุปได้ว่า การอ่านถือว่ามีความสำคัญในชีวิตประจำวัน เป็นการสื่อสารท่ีผู้รับสาร จะต้องทำความเข้าใจในส่ิงที่อ่าน ในการอ่านแต่ละครัง้ ผู้อา่ นตอ้ งมีจุดประสงค์ในการอ่านว่าอ่านเพอ่ื อะไร ส่ิงท่ีอ่านก็ต้องมีความเหมาะสมกับระดับความสามารถและความรู้เดิมของผู้อ่านด้วยจึงจะทำให้ผู้อ่าน สามารถเขา้ ใจสิ่งที่อ่านไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ 3. งานวิจยั ที่เก่ยี วขอ้ ง 3.1 งานวจิ ยั ในประเทศ คมสันติ์ เฮ้าเส็ง (2542) ได้ศึกษาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการอ่านจับใจความ ภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างการสอนอา่ นจบั ใจความโดยใช้รูปแบบการสอน อ่านทีพ่ ัฒนาข้ึนกับวธิ ีการสอนอา่ นตามคมู่ ือครู พบว่า ผลสมั ฤทธิท์ างการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษของ นกั เรียนที่เรียนจากการสอนอ่านที่พัฒนาขึ้นกบั นักเรียนที่เรียนจากการสอนอ่านตามคู่มือครู แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 โดยนักเรียนที่เรียนจากการสอนอ่านโดยใช้รูปแบบการสอนอ่านที่ พัฒนาข้ึนมีผลสัมฤทธ์ิทางการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษสูงกว่านักเรียนที่เรียนโดยใช้วิธกี ารสอนอ่าน ตามคูม่ ือครู วไิ ลรัตน์ วสุรีย์ (2545) ได้ศึกษาการพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการอา่ นภาษาอังกฤษ โดยใช้เอกสารจริงเกี่ยวกับท้องถ่ิน ในรายวิชา อ 0112 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียน พิบูลวิทยาลัย จงั หวัดลพบุรี กลุ่มตัวอย่างจำนวน 45 คน ผลการวิจยั พบว่า 1. ประสิทธิภาพของแบบฝึก เสริมทักษะการอ่านภาษาอังกฤษโดยใช้เอกสารจริงเก่ียวกับท้องถ่ิน มีค่าเท่ากับ 87.80/80.50 2. ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนกั เรียนหลังการใชแ้ บบฝกึ เสริมทักษะการอ่านสงู กว่าก่อนการ ใช้แบบฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 และ 3. นักเรียนมีความคิดเห็นที่ดีต่อแบบฝึกเสริม ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษโดยใชเ้ อกสารจริงเก่ียวกบั ทอ้ งถน่ิ ทีผ่ วู้ จิ ัยสรา้ งขน้ึ รุ่งวนา สุดจิตต์ (2545) ศึกษาการพัฒนาสื่อการอ่าน-เขียนภาษาอังกฤษจากนิทาน พืน้ บ้านไทย สำหรบั นักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 โรงเรยี นไทรโยควิทยา จังหวัดกาญจนบุรี กลมุ่ ตัวอยา่ ง จำนวน 38 คน ผลการวิจัยพบว่า 1. ประสิทธภิ าพของสื่อการอ่านเขียนภาษาอังกฤษจากนิทานพ้ืนบ้าน ไทย มีค่าเท่ากับ 79.26/75.04 ซ่ึงถือว่ามีประสิทธิภาพที่ยอมได้รับ 2. ความสามารถทางการอ่าน- เขียนภาษาอังกฤษจากนิทานของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยใช้สื่ออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3. ความสามารถทางอ่าน-เขียนภาษาอังกฤษจากนิทานของนักเรียนที่มีโครงสร้างความรู้เดิมต่าง ระดับกันหลังเรียนต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 4. นักเรียนมีความคิดเห็นต่อความ
เหมาะสมของส่ืออยู่ในระดับ 5. เจตคติต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรยี นหลังเรียนโดยใช้สื่อสูง กวา่ กอ่ นเรียนอย่างมีนัยสำคญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดับ 0.05 สุวรรณี พาภักดี (2543) ได้ศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้แนวการสอนอ่านที่เน้นเทคนิคของดัลล์แมน ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านจับใจความภาษาอังกฤษของนักเรียนทไ่ี ดร้ ับการสอนอา่ นจับใจความโดยใช้แนว การสอนอ่านที่เน้นเทคนิคของดัลล์แมน มีคะแนนเฉลี่ยของผลสัมฤทธ์ิด้านการอ่านจับใจความหลังการ สอนสูงกวา่ ก่อนการอ่าน 2. นักเรียนทงั้ หมดทไี่ ดร้ ับการสอนอา่ นจับใจความโดยใชแ้ นวการสอนอา่ นทเ่ี น้น เทคนคิ ของดลั ล์แมน มผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นผา่ นเกณฑร์ ้อยละ 70 อรชร วงษษ์ า (2548) ได้ศกึ ษาการพฒั นากิจกรรมการเรียนรใู้ นกลุ่มสาระการเรยี นรู้ ภาษาต่างประเทศ (วชิ าภาษาอังกฤษ) โดยใชน้ ิทานพ้ืนบ้านอีสานเปน็ สอ่ื สำหรบั นกั เรยี นช่วงชัน้ ท่ี 3 (ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2) กลุ่มเป้าหมายจำนวน 35 คน ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา ภาษาอังกฤษของนกั เรียนหลังส้นิ สดุ การทดลองวงจรตามแผนการจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้นิทานพ้นื บ้านอีสาน เป็นสื่อ มีจำนวนนักเรียนท่ีสอบผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม จำนวน 27 คน คิดเป็นร้อยละ 77.14 อารีย์ วาศน์อำนวย (2545) ได้ศึกษาการพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านเพื่อ ความเข้าใจ ตามแนวการสอนภาษาอังกฤษเพื่อการส่ือสาร สำหรับนกั เรยี นชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 50 คน ผลการวิจัยพบว่า 1. ครูและนกั เรียนต้องการให้นำสื่อจากเอกสารจรงิ จากหนังสือการ์ตูน นิทาน มาสร้างแบบฝึก และต้องการให้แบบฝึกมีรูปแบบกิจกรรมท่ีหลากหลาย มีภาพประกอบท่ีช่วยให้เข้าใจใน บทอ่าน ขนาดรูปเล่มมีความพอเหมาะ 2. แบบฝึกประกอบด้วย คำอธิบายการใช้แบบฝึก ช่ือแบบฝึก จุดประสงค์ กิจกรรมการเรยี นการสอน แบบทดสอบรายจุดประสงค์ โดยแบบฝึกมี 4 เร่ือง มีจุดประสงค์ การอ่านแต่ละเรื่อง คอื อ่านเรือ่ งแลว้ บรรยายภาพเหตกุ ารณไ์ ด้ อา่ นเรอื่ งและอธิบายเหตผุ ลความรู้สกึ ของ ตัวละครได้ อ่านเพ่ือถ่ายโอนข้อมูลสู่คำบรรยายได้ อ่านและเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ของเร่ืองที่อ่านได้ แบบฝึกมีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.70/86.20 3. ทดลองใช้แบบฝึกเป็นเวลา 6 สัปดาห์ๆละ 3 ชั่วโมง พบว่านักเรียนชืน่ ชอบกจิ กรรมท่ีมอี ยา่ งหลากหลายในแบบฝกึ สนใจและเข้าร่วมกจิ กรรมเป็นอย่างดี ทำให้ นักเรียนสนุกสนานและมีความรู้ความเข้าใจขณะเรียนด้วยแบบฝึก 4. นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการอ่าน กอ่ นเรียนและหลงั เรียนด้วยแบบฝึกการอ่านเพื่อความเข้าใจแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 เพลินพิศ สุปัญญาบุตร (2550) ได้ศึกษาการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านเพื่อ ความเข้าใจวิชาภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรยี นช่วงชั้นท่ี 3 (ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1) โดยใช้กลวธิ ี Scanning และ Skimming ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรียน กลุ่มเป้าหมายท่ีเรียน โดยใช้กลวิธี Scanning และ Skimming พบว่า นักเรียนมีคะแนนเฉล่ียผลสัมฤทธ์ิ ทางการอ่านวิชาภาษาอังกฤษร้อยละ 80 โดยมีนักเรียนที่ผ่านเกณฑ์การประเมิน ร้อยละ 70 ข้ึนไป จำนวน 26 คน คิดเป็นร้อยละ 86.67 ของจำนวนนักเรียนทั้งหมด 30 คน เม่ือเปรียบเทียบกับเกณฑ์ คะแนนผลสัมฤทธ์ิของการวิจัยท่ีตั้งไว้ให้นักเรียนได้คะแนนเฉลี่ย รอ้ ยละ 70 ข้ึนไป และนักเรยี นร้อยละ 70 ขึ้นไปที่มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ70 ขึ้นไป 2. ความคิดเห็นของนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย ที่เรียนวิชา
ภาษาอังกฤษโดยใช้กลวิธี Scanning และ Skimming พบวา่ นักเรียนมีความสนุกสนาน มีความมั่นใจใน ตนเองและชอบอ่านมากข้นึ รสู้ กึ ภาคภมู ใิ จที่สามารถ อ่านภาษาอังกฤษไดร้ วดเร็วถูกต้อง 3.2 งานวิจยั จากต่างประเทศ Chen & Grave (1995 อ้างถึงใน อรชร วงศ์ษา, 2548) ได้ศึกษาผลการให้ ความรู้เกี่ยวกับบทที่อ่าน และการเพิ่มประสบการณ์ในการอ่านท่ีมีต่อความเข้าใจในการอ่านเร่ืองสั้น อเมริกนั กลุ่มตวั อยา่ ง จำนวน 240 คน ผลการวิจัยพบว่า นกั ศึกษากล่มุ ท่ี 1 กลุ่มท่ี 2 และกลุ่มที่ 3 อ่าน เร่ืองได้เข้าใจมากกว่านักศึกษากลุ่มท่ี 2 และวิธีการสอนท่ีจะให้นกั ศกึ ษาอา่ นเรื่องไดอ้ ยา่ งเข้าใจคือ การให้ ความรเู้ กย่ี วกบั บทอา่ นและการเพมิ่ ประสบการณ์ในการอ่านก่อนการสอนอา่ น Carrell (1987) ได้ศกึ ษาผลของโครงสรา้ งความรู้ด้านรปู แบบและโครงสร้างความรู้ ด้านรูปแบบและโครงสร้างความรู้ด้านเน้ือหาที่มีต่อการอ่านภาษาอังกฤษเพ่ือความเข้าใจ ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยที่ทำให้กลุ่มตัวอย่างอ่านแล้วเข้าใจได้ดี คือ เน้ือหาที่คุ้นเคย ปัจจัยที่ทำให้กลุ่มตัวอย่างอ่าน เร่ืองแล้วไม่เข้าใจ คือ เนื้อหาที่ไม่คุ้นเคย จากการทดลองให้กลุ่มตัวอย่างอ่านเนื้อหาท่ีคุ้นเคย โครงสร้าง เรื่องไม่ค้นุ เคยกับเนื้อหาเรือ่ งไม่คุ้นเคย โครงสร้างเร่อื งคุ้นเคย พบว่า โครงสร้างความรดู้ ้านเนื้อหามผี ลต่อ การอา่ นเพอ่ื ความเข้าใจมากกว่าโครงสร้างความร้ดู า้ นรูปแบบ จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับการพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการ อ่านเพ่ือความเขา้ ใจสรุปได้วา่ ในการสอนทักษะการอ่านครูผูส้ อนต้องทราบพื้นฐานความรู้เดิมของผู้เรยี น คือถา้ หากผู้เรียนมคี วามรูเ้ ดมิ เก่ยี วกับส่ิงทเี่ รยี นกจ็ ะสามารถเข้าใจในส่งิ ที่เรียนใหม่ใหด้ ีขึ้น ในการสอนอ่าน ก็เช่นเดียวกนั ถ้าหากครูนำเร่อื งท่นี ักเรยี นมีความรูเ้ ดิมหรอื มปี ระสบการณใ์ นสิ่งนั้นมาก่อนให้นกั เรียนอา่ น ก็จะทำให้นักเรียนมีความเข้าใจในเรื่องนั้นได้เร็วข้ึนซึ่งการพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะมุ่งเน้นให้นักเรียน สามารถเรียนรู้ทักษะการอ่านเพ่ือความเข้าใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งในการพัฒนาแบบฝึก เสริมทักษะในการอ่านได้ยึดหลักการและทฤษฏีท่ีเกี่ยวข้องกับการอ่าน โดยให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติด้วย ตนเองจากการทำแบบฝกึ เสริมทักษะเป็นการทบทวนความเขา้ ใจจากสง่ิ ที่เรยี นผ่านไปแล้ว
บทท่ี 3 วธิ ดี ำเนินการวิจัย ในการศึกษาคน้ ควา้ คร้งั น้ี ผวู้ จิ ัยไดด้ ำเนินการตามหัวขอ้ ตอ่ ไปน้ี 1. กลมุ่ ตวั อยา่ งที่ใชใ้ นการศกึ ษาคน้ ควา้ 2. ระยะเวลาในการศกึ ษาค้นควา้ 3. เครือ่ งมือทใี่ ช้ในการศึกษาค้นคว้า 4. การสร้างเครื่องมอื ทใี่ ช้ในการศึกษาคน้ คว้า 5. การดำเนนิ การทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมูล 6. การวิเคราะหข์ ้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะหข์ อ้ มลู กลุ่มตัวอย่างทใี่ ชใ้ นการศึกษาคน้ ควา้ 1. ประชากรท่ีใช้ในการวิจัยครง้ั น้ี คอื นักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ปกี ารศึกษา 25๖4 โรงเรยี นหนั คาราษฎร์รงั สฤษด์ิ จังหวดั ชยั นาท จำนวน 2 หอ้ งเรียน 2. กลุ่มตัวอยา่ ง ผ้วู จิ ัยได้สุม่ อยา่ งงา่ ยจากจำนวน 2 หอ้ งเรยี น ได้ผลจากการสุ่มคอื นักเรียนช้ัน มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 มีนกั เรียนจำนวน 64 คน ผูว้ จิ ัยไดส้ ุ่มอยา่ งง่ายมจี ำนวนนักเรยี นเหลอื 30 คนเพือ่ นำไปทดลอง ระยะเวลาในการศกึ ษาค้นควา้ ในการศึกษาคร้ังนี้ผู้วิจัยใช้เวลาในการทดลอง 10 คาบ คาบละ 50 นาที และเวลาในการ ประเมินผล 2 คาบ ก่อนการเรียนและหลังการเรียนรวมใช้เวลาท้ังส้ิน 12 คาบ ในภาคเรียนท่ี 2 ปกี ารศึกษา 25๖4 เครอ่ื งมือทีใ่ ชใ้ นการศกึ ษาค้นควา้ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 10 แผนๆละ 1 คาบ คาบละ 50 นาที 2. แบบทดสอบวัดความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษ จำนวน 30 ข้อ ใชท้ ดสอบกอ่ นเรียนและ หลงั เรียน 3.แบบสอบถามความพงึ พอใจของนกั เรยี นในการใชน้ ทิ านอีสปเพอื่ พฒั นาทกั ษะในการอา่ น ภาษาอังกฤษ จำนวน 15 ขอ้ ใช้ทดสอบหลงั การทดลอง การสร้างเคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการศึกษาค้นควา้ 1. แผนการจดั การเรียนรู้ 1.1 ศึกษาหลักสตู รขั้นพ้นื ฐาน หลักสูตรสถานศึกษา สาระการเรยี นร้ภู าษาต่างประเทศ มาตรฐานการเรียนร้ชู ่วงชัน้ ท่ี 3 ระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ขอบขา่ ยของเนอ้ื หาวิชา และผลการเรียนรู้ท่ี คาดหวงั ตามหลกั สตู รการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2551) 1.2 ศึกษาและเลอื กเน้ือหาท่ีใช้ในการพฒั นาทักษะการอ่านภาษาองั กฤษจากนทิ านอีสป โดยให้มคี วามยากงา่ ยของคำศพั ท์สำนวนและโครงสร้างของประโยคเหมาะสมกับระดบั ความสามารถของ นกั เรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3
1.3นำเนอ้ื หาที่คดั เลือกแลว้ ไปให้ผู้เชี่ยวชาญการสอนวชิ าภาษาองั กฤษตรวจสอบความ ถกู ต้องและความเหมาะสมของเนือ้ หา 1.4 ศกึ ษาและสร้างแผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้การอา่ น โดยยดึ หลักและแนวคดิ ใน การจัดกจิ กรรมการสอนอ่านโดยใช้นิทานของ Stevick (1982 อ้างถึงใน อรชร วงศษ์ า, 2548) ไดเ้ สนอ การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนโดยใช้นทิ านดังนี้ 1. กอ่ นการเรยี น (Preliminary) ให้นักเรียนดชู ือ่ เรื่อง และเล่าเรื่องตาม ประสบการณเ์ ดิมของนักเรียนเกีย่ วกบั เร่ืองน้นั เมือ่ นกั เรยี นเล่าจบ ครเู ขยี นฉากสำคัญๆ ท่ีเกี่ยวข้องกบั เร่ืองลงบนกระดาน 2. การเลา่ เรือ่ ง (Telling the story) ครเู ล่านิทานใหน้ กั เรยี นฟัง ในขณะท่ี เล่าก็วาดภาพประกอบการเลา่ เขียนคำศพั ท์ยากบนกระดาน ถามคำถามเพ่ือใหน้ ักเรียนเดาเรอ่ื งทำนาย เหตุการณ์ หรอื แสดงความคดิ เหน็ เมอื่ ครเู ล่าจบ ถามคำถามเพ่ือทดสอบความเขา้ ใจเรอ่ื งทฟ่ี งั ของนักเรยี น จากนั้นครแู จกเร่ืองให้นกั เรียนอา่ น 3. การอา่ นบทอ่าน (Script) นกั เรยี นแตล่ ะคนอา่ นเรือ่ งท่คี รูแจกใหอ้ ่าน โดยครจู ะสังเกตว่านกั เรียนอา่ นเรอื่ งแล้วตรงกบั ทไ่ี ดฟ้ งั กบั ครเู ลา่ หรือไม่ คำตอบที่ตอบไปตรงกบั บทอ่าน หรอื เปล่า 4. การทำแบบฝึกหัดเสริม (Reinforcement exercise) ให้นักเรียนทำ แบบฝึกหัดที่มีลักษณะเป็นการให้เรียงลำดับเหตุการณ์ตามคำบอกเวลาที่กำหนด จับคู่คำศัพท์กับ ความหมาย ตีความวา่ คำนั้นพาดพงิ ถึงใครในเรื่องแล้วเขียนเติมลงในชอ่ งวา่ ง 1.5 ตรวจหาความเทยี่ วตรง โดยนำแผนการสอนท่ีสรา้ งขนึ้ ไปใหผ้ ู้เชย่ี วชาญในสาขา การสอนวชิ าภาษาองั กฤษตรวจ และนำมาพิจารณาแกไ้ ขปรบั ปรงุ ซึง่ นิทานอสี ปท่จี ะนำมาใชใ้ นการ ทดลองมดี ังนี้ ตารางนิทานอีสปท่นี ำมาใชใ้ นการทดลอง ทักษะท่พี ัฒนา แผนที่ รายชอ่ื นิทาน 1. The Goose with the Golden Egg - Scanning - Skimming 2. The Wolf and the Shepherd - Guessing the meaning from context 3. The Lion in Love - Predicting 4. The fox and the Ox - Scanning - Skimming - Scanning - Skimming - Guessing the meaning from context - Predicting - Scanning
แผนท่ี รายช่อื นิทาน ทกั ษะทพ่ี ฒั นา 5. The Rabbit And The Crocodile - Skimming 6. The Fox and the Crow - Guessing the meaning from context 7. The Dog and cock - Scanning 8. The Farmer and the Cobra - Guessing the meaning 9. The Tortoise and the Bird from the context 10. The two frogs - Skimming - Predicting - Predicting - Scanning - Skimming - Guessing the meaning from context - Scanning - Guessing the meaning from the context - Skimming - Predicting - Predicting - Scanning - Skimming - Guessing the meaning from context - Predicting - Scanning - Skimming - Guessing the meaning from context - Predicting - Scanning - Skimming - Guessing the meaning from context
2. แบบทดสอบวดั ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ 2.1 ศึกษาวิธีการสร้างแบบทดสอบจากหนังสือ การทดสอบและการประเมินผลการ เรยี นการสอนภาษาอังกฤษ (อจั ฉรา วงศ์โสธร. 2539) การทดสอบและการประเมินผลทางภาษา (สำอาง หิรัญบรู ณะ. 2542) การพัฒนาขอ้ ทดสอบภาษาองั กฤษให้เปน็ มาตรฐาน (อัจฉรา วงศ์โสธร. 2543) แล้ว ประมวลความคดิ เพ่ือนำมาประยุกตใ์ ชใ้ นการสร้างแบบทดสอบ 2.2 ศึกษาและวิเคราะห์หลักสูตรภาษาอังกฤษพุทธศักราช 2551 เน้ือหาและผลการ เรียนรูท้ คี่ าดหวังของเนอื้ หาท่ีใช้ในการทดลอง เพือ่ นำไปใช้ในการสรา้ งแบบทดสอบ 2.3 ศึกษาและคัดเลอื กนิทานที่ใช้ในการสร้างแบบทดสอบ โดยใหม้ ีระดับความยากง่าย ของคำศัพท์ และโครงสร้างทางภาษา ตามที่หลกั สูตรกำหนดและผลการเรียนรู้ที่คาดหวังท่ีใชใ้ นการสอน จากน้นั ผ้วู จิ ยั สร้างขอ้ สอบจำนวน 30 ข้อ ใช้เวลาในการสอบ 50 นาที 2.4นำแบบทดสอบท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึนไปให้ผู้เช่ียวชาญในสาขาการสอนวิชาภาษาอังกฤษ ตรวจสอบคุณภาพและนำมาแก้ไขปรับปรงุ 3. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรยี นในการเรียนการอ่านภาษาองั กฤษ 3.1 ศึกษาหลักเกณฑ์ ทฤษฎี เอกสาร และวิธีการสร้างแบบสอบถาม แบบมาตรา ส่วนประมาณคา่ (Likert Scale) มาเป็นแนวทางในการสรา้ งแบสอบถามความพงึ พอใจของนกั เรียน 3.2 สร้างข้อความท่ีแสดงความพึงพอใจต่อการใช้นิทานอีสปเพื่อพัฒนาทักษะการ อ่านภาษาองั กฤษ จำนวน 15 ขอ้ 3.3 นำแบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อการใช้นิทานอีสปเพ่ือ พัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษที่สร้างข้ึนให้ผู้เชี่ยวชาญในสาขาการสอนวิชาภาษาอังกฤษตรวจสอบ คณุ ภาพและนำมาแก้ไขปรับปรุง การดำเนนิ การทดลองและเก็บรวบรวมขอ้ มูล 1. แบบแผนการทดลอง การวิจยั ครงั้ น้ีเปน็ การวิจัยเชงิ ทดลอง (Experimental Research) ซึ่งผวู้ ิจัยดำเนินการทดลอง โดยใช้แผนการทดลองแบบ One Group Pretest-Posttest Design (พวงรัตน์ ทวีรตั น.์ 2540 : 60- 61) ดงั แสดงในตาราง 1 ตาราง 1 แบบแผนการทดลอง สอบก่อน ทดลอง สอบหลัง ____________________________________________________________________________ T1 X T2 สัญลักษณท์ ี่ใชใ้ นแบบแผนการทดลอง
T1 แทน การสอบก่อนการทำการทดลอง T2 แทน การสอบหลังการทดลอง X แทน การสอนอ่านโดยใชน้ ทิ านอีสป 2. วธิ ดี ำเนนิ การทดลอง 2.1 คดั เลอื กกลุ่มตวั อยา่ งดว้ ยวธิ กี ารส่มุ อยา่ งง่าย (Simple Random Sampling) 2.2 ทำความเข้าใจกับนักเรยี นถงึ วิธกี ารดำเนนิ การทดลอง จุดประสงค์ของการทดลอง และวธิ ีการประเมนิ ผลการเรยี น 2.3 ทำการทดสอบก่อนการเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบวัดความสามารถในการ อา่ นภาษาอังกฤษ 2.4 ดำเนนิ การสอน โดยผวู้ ิจัยเป็นผู้สอนตามแผนการสอนท่จี ดั ทำข้ึน ใชเ้ วลาในการ สอน 10 คาบ คาบละ 50 นาที 2.5 ทำการทดสอบหลงั การเรียน (Post test) โดยใชแ้ บบทดสอบเนอื้ หาชุดเดมิ ท่ใี ช้ ทดสอบก่อนการทดลองแต่ผูว้ ิจัยใชว้ ธิ กี ารสลบั ข้อสอบใหม่ 2.6 สอบถามความพึงพอใจของนกั เรยี นต่อการใชน้ ทิ านอสี ปเพอ่ื พฒั นาทักษะการอา่ น ภาษาองั กฤษ 2.7 ตรวจให้คะแนนการทำแบบทดสอบและคะแนนแบบสอบถาม และนำผลคะแนนท่ี ได้มาวิเคราะห์ดว้ ยวิธกี ารทางสถิติ โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS 2.8 สรุปและอภปิ รายผลการทดลอง การวิเคราะห์ขอ้ มลู และสถิติทใี่ ชใ้ นการวิเคราะหข์ อ้ มลู การวิเคราะห์ข้อมลู 1.เปรียบเทยี วค่าเฉลี่ยและค่าเบีย่ งเบนมาตรฐานของคะแนนจากแบบทดสอบวดั ความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษของนักเรียน ก่อนและหลงั การทดลอง 2.เปรยี บเทียบความสามารถในการอา่ นภาษาองั กฤษของนักเรยี น กอ่ นและหลงั การ ทดลองโดยใช้ t-test for Dependent Samples 3.วิเคราะห์ขอ้ มูลของแบบสอบถามความพงึ พอใจของนักเรียนทมี่ ตี อ่ การใชน้ ิทานอีสป เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านภาษาองั กฤษ ได้แก่การหาค่าเฉลี่ย (X) การหาค่าสว่ นเบย่ี งเบน (S.D.) สถิตทิ ีใ่ ช้ในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู 1. การคำนวณหาคา่ เฉลี่ย (Mean) ของคะแนน (พวงรัตน์ ทวีรัตน.์ 2540 : 137) สตู รท่ีใช้ X= ∑X N X = คะแนนเฉลี่ย ∑X = ผลรวมของคะแนนทงั้ หมด N = จำนวนนักเรียนในกลุ่ม 2. คา่ รอ้ ยละ (Percentage)
3. ใช้ t-test for Dependent Samples (พวงรัตน์ ทวรี ตั น.์ 2540 : 165) 3.1เปรียบเทียบความสามารถในการอา่ นภาษาอังกฤษของนักเรยี น กอ่ นและหลงั การ ทดลอง 3.2เปรยี บเทยี บความสนใจในการอ่านภาษาองั กฤษของนักเรียนก่อนและหลังการ ทดลองสูตรที่ใช้ t= ∑D N∑ D2 — ( ∑ D )2 (N—1) df = n-1 t = คา่ ทีใ่ ช้พิจารณาของการแจกแจงแบบ t D = ผลต่างของคะแนนในแต่ละคู่ N = จำนวนนกั เรยี นคคู่ ะแนน 4. เกณฑ์การตรวจสอบความพงึ พอใจของนักเรยี นทมี่ ตี ่อการใช้นิทานอสี ปพัฒนาทกั ษะการ อ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเขา้ ใจ ซึ่งกำหนดข้อความให้ครอบคลุมและเหมาะสมจำนวน 15 ขอ้ ซึ่งใช้ มาตราสว่ นประเมนิ ค่า (Rating Scale) 5 ระดบั ตามแบบของลิเคริ ท์ (Likert) ซึ่งมเี กณฑด์ ังนี้ ข้อความทีม่ ีความหมายในทางบวกจะใหค้ ะแนนดงั น้ี 5 มคี า่ นำ้ หนกั เห็นดว้ ยอย่างยิ่ง 4 มีคา่ นำ้ หนัก เหน็ ด้วย 3 มคี า่ น้ำหนัก ไมแ่ นใ่ จ 2 มคี ่าน้ำหนกั ไม่เห็นด้วย 1 มคี า่ น้ำหนกั ไมเ่ หน็ ดว้ ยอยา่ งยิ่ง ขอ้ ความทมี่ ีความหมายในทางลบจะให้คะแนนดังน้ี 1 มคี า่ นำ้ หนกั เห็นดว้ ยอย่างย่ิง 2 มคี ่านำ้ หนกั เห็นด้วย 3 มคี า่ นำ้ หนัก ไมแ่ นใ่ จ 4 มคี า่ นำ้ หนกั ไมเ่ ห็นดว้ ย 5 มคี า่ นำ้ หนัก ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง คะแนนเฉล่ียของแบบสอบถามวดั ความพงึ พอใจของนักเรียนทมี่ ีตอ่ การใชน้ ทิ านอสี ป พัฒนาทักษะการอา่ นภาษาอังกฤษเพื่อความเขา้ ใจใช้เกณฑ์การแปลความหมายคา่ เฉล่ียของกลุ่มดงั นี้ ค่าเฉลี่ยระหว่าง 4.50-5.00 หมายความว่า นกั เรียนมคี วามคิดเหน็ อยูร่ ะดบั พงึ พอใจ มากท่สี ุด คา่ เฉล่ยี ระหวา่ ง 3.50-4.49 หมายความว่า นกั เรียนมคี วามคิดเห็นอยู่ระดับพงึ พอใจ มาก ค่าเฉล่ียระหวา่ ง 2.50-3.49 หมายความวา่ นักเรยี นมคี วามคิดเหน็ อยู่ระดบั พึงพอใจ ปานกลาง ค่าเฉลย่ี ระหว่าง 1.50-2.49 หมายความวา่ นกั เรียนมคี วามคิดเห็นอยู่ระดับพงึ พอใจ น้อย ค่าเฉล่ยี ระหว่าง 1.00-1.49 หมายความวา่ นกั เรียนมีความคิดเห็นอยรู่ ะดับพึงพอใจ น้อยทส่ี ุด
บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู การวิจยั ครง้ั นี้ เปน็ การศกึ ษาผลการใช้นทิ านอีสปเพอื่ พฒั นาทกั ษะในการอา่ นภาษาองั กฤษของ นักเรียนก่อนและหลังการเรยี น ของนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนหันคาราษฎร์รังสฤษด์ิ ในภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 25๖4 กลมุ่ ตวั อย่างนักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 จำนวน 30 คนใชเ้ วลาในการ ทดลอง 10 สปั ดาห์ สปั ดาห์ละ 1 คาบ คาบละ 50 นาที สัญลกั ษณ์และอกั ษรย่อทใ่ี ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล n แทน จำนวนนกั เรยี นทเ่ี ปน็ กลุ่มตวั อย่าง X แทน คา่ เฉล่ียของคะแนน S.D. แทน ความเบย่ี งเบนมาตรฐาน t แทน ค่าสถิติที่ใชพ้ จิ ารณา t-test for Dependent Samples การวิเคราะหข์ อ้ มลู 1. การเปรยี บเทยี บผลการใช้นทิ านอีสปเพือ่ พัฒนาทักษะในการอา่ นภาษาอังกฤษของนักเรยี น ก่อนและหลังการเรียน 2. วเิ คราะห์ความพึงพอใจของนักเรยี นที่มีต่อการใชน้ ิทานอีสปเพอ่ื พัฒนาทักษะในการอา่ น ภาษาอังกฤษของนกั เรยี นกอ่ นและหลงั การเรียน ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ในการศึกษาคน้ คว้าครั้งนี้ ผวู้ ิจัยได้นำเสนอผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ออกเป็น 2 ตอน ดงั นี้ ตอนท่ี 1 ผลการเปรียบเทยี บผลการใชน้ ิทานอสี ปเพ่ือพัฒนาทกั ษะในการอ่านภาษาอังกฤษของ นักเรียนก่อนและหลงั การเรยี น ตอนที่ 2 ความพงึ พอใจของนกั เรียนท่มี ีตอ่ การใช้นทิ านอีสปเพอ่ื พฒั นาทักษะในการอ่าน ภาษาองั กฤษ
ตอนท่ี 1 ผลการเปรียบเทียบการใช้นทิ านอีสปเพอ่ื พฒั นาทกั ษะในการอา่ นภาษาองั กฤษ ก่อนและหลังการเรียน การวเิ คราะหค์ า่ สถิตพิ ้ืนฐานการเปรยี บเทยี บทดสอบการใชน้ ิทานอีสปเพอื่ พัฒนาทกั ษะในการ อา่ นภาษาองั กฤษของนกั เรยี นกอ่ นและหลังการเรียน ของนกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ ๒ โรงเรยี นหันคา ราษฎร์รงั สฤษดิ์ ก่อนและหลังการเรยี น จากจำนวนขอ้ สอบ 30 ขอ้ วิเคราะหโ์ ดยการทดสอบค่าที (t-test for Dependent Samples) ก่อนและหลังการเรียน วเิ คราะหโ์ ดยการหาคา่ เฉล่ยี ( X ) และสว่ นเบ่ียงเบน มาตรฐาน (S.D.) ดงั แสดงในตาราง 1 ตาราง 1 ผลการเปรียบเทยี บคะแนนทดสอบการใช้นิทานอีสปเพื่อพัฒนาทักษะในการอา่ น ภาษาอังกฤษของนักเรียนกอ่ นและหลงั การเรียน ของนกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 30 คน โรงเรยี นหนั คาราษฎร์รงั สฤษดิ์ ก่อนและหลงั การเรยี น การทดสอบ N X S.D. t กอ่ นเรยี น 30 11.50 3.48 หลงั เรียน 30 19.63 4.32 16.74 จากตาราง 1 พบว่า คะแนนทดสอบการใช้นิทานอีสปเพอื่ พฒั นาทักษะในการอ่านภาษาอังกฤษ ของนกั เรยี นก่อนและหลังการเรยี นของนกั เรียนชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี นหันคาราษฎร์รงั สฤษดิ์ มี ทกั ษะในการอ่านภาษาองั กฤษ เพ่ิมขึน้ โดยคะแนนกอ่ นการเรยี นมีคา่ เฉลย่ี 11.50 และหลังการเรียนมี คา่ เฉลย่ี 19.63 สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานกอ่ นเรียนและหลงั เรียนเป็น 3.48 และ 4.32 โดยมคี วาม แตกตา่ งอย่างมีนยั สำคญั ทางสถิตทิ ร่ี ะดับ .01
ตอนท่ี 2 ความพึงพอใจของนักเรยี นท่ีมีต่อการใชน้ ิทานอีสปเพอื่ พัฒนาทกั ษะในการอ่าน ภาษาองั กฤษ ผ้วู จิ ยั นำขอ้ มูล,จากการตอบแบบสอบถามความพึงพอใจของนกั เรียนทมี่ ีตอ่ การใชน้ ิทานอีสปเพ่ือ พฒั นาทักษะในการอา่ นภาษาอังกฤษมาคำนวณหาค่าเฉลีย่ และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานรายขอ้ และโดยรวม แลว้ บรรยายผลในภาพรวมตามมาตราสว่ นประเมนิ ค่า (Rating Scales) 5 ระดับ ตามแบบของ ลเิ คริ ์ท (Likert) ตาราง 2 ค่าความพงึ พอใจของนักเรียนท่ีมีตอ่ การเรยี นโดยการใชน้ ิทานอสี ปเพอ่ื พฒั นาทักษะในการ อา่ นภาษาองั กฤษ รายการประเมิน ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบน แปรผล มาตรฐาน X มากที่สดุ S.D. มาก 1. การอา่ นภาษาองั กฤษมีความสำคญั ตอ่ การนำเอาไปใช้ 4.66 0.47 มาก ในการดำรงชีวิต 0.75 มากทส่ี ุด 0.65 มาก 2. การใช้นทิ านช่วยให้นักเรียนพัฒนาการอ่านมากขน้ึ 4.33 มาก 0.50 มาก 3. นักเรยี นมีความตง้ั ใจในการอ่านภาษาองั กฤษเพราะ 4.30 มาก 0.78 มาก นทิ านน่าสนใจ 0.56 มาก 4. นทิ านทีน่ ำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนเป็น 4.50 0.82 มากทส่ี ุด นิทานท่ไี ม่นา่ เบอ่ื 0.53 มากที่สุด มาก 5. นกั เรยี นมีส่วนรว่ มในการเรียนการอา่ นมากขึ้น 4.06 0.99 6. นักเรียนสามารถนำความรู้เดมิ มาชว่ ยในการสร้าง 4.40 0.52 ความเข้าใจในการอา่ นนทิ าน 0.37 7. นกั เรยี นมีส่วนรว่ มในการแสดงความคดิ เห็นขณะเรียน 3.93 0.60 การอา่ น 0.73 8. นิทานทศ่ี ึกษามีจำนวนเพียงพอ เหมาะสม และสะดวก 4.30 ในการอา่ น 9. นักเรยี นสามารถนำความรทู้ ไ่ี ด้จากการเรยี นวชิ าการ 4.20 อา่ นภาษาอังกฤษไปใชส้ ื่อสารในชีวิตประจำวัน 10. นกั เรียนได้รบั ความร้จู ากนิทานท่นี ำมาใช้ในการ 4.26 จัดการเรียนการสอนอ่านภาษาอังกฤษ 11. นิทานที่ใชใ้ นการจัดการเรียนการสอนอ่านทำให้ 4.83 นักเรียนคุ้นเคยและสนใจการอา่ นนิทานอ่นื ๆใน ชีวติ ประจำวนั 12. นกั เรยี นมคี วามเช่อื ม่นั ทจ่ี ะนำความร้ทู ี่ไดจ้ ากการ 4.66 เรยี นอ่านภาษาองั กฤษไปประยกุ ตใ์ ช้ในชีวิตประจำวนั ได้ 13. นกั เรียนชอบเลอื กนทิ านท่ีนอกเหนอื จากบทเรียน 4.13 ตามความสนใจของตนเอง
รายการประเมิน ค่าเฉลยี่ ส่วนเบ่ียงเบน แปรผล X มาตรฐาน 14. การเรียนการอ่านภาษาองั กฤษจากนิทานทำให้ มากที่สดุ นกั เรียนรกั การอา่ นและมคี วามกระตือรอื ร้นสนใจในการ 4.66 S.D. อ่าน 0.66 มาก 15. การใชน้ ิทานช่วยให้นักเรียนฝึกทักษะการอ่าน 4.46 มาก ผลสรุป 4.37 0.73 0.64 จากตาราง 2 พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากกลุ่มตัวอย่าง 30 คน โรงเรียนหันคาราษฎร์รังสฤษดิ์ ที่มีต่อการใช้นิทานอีสปเพ่ือพัฒนาทักษะในการอ่านภาษาอังกฤษโดย รวมอย่ใู นระดบั มาก โดยมีค่าเฉล่ยี 4.37 เม่ือพจิ ารณาความคิดเหน็ ตอ่ การใชน้ ทิ านอีสปเพ่อื พัฒนาทกั ษะ ในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนแต่ละประเด็นพบวา่ นักเรียนมคี วามพึงพอใจในระดับ มากที่สุด ใน นิทาน ที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนอ่านทำให้นักเรียนคุ้นเคยและสนใจการอ่านนิทานอ่ืนๆใน ชีวิตประจำวัน โดยมีค่าเฉล่ีย 4.83 และ การอ่านภาษาอังกฤษมีความสำคัญต่อการนำเอาไปใช้ในการ ดำรงชีวิต นักเรียนมีความเช่ือมั่นท่ีจะนำความรู้ท่ีได้จากการเรียนอ่านภาษาอังกฤษไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจำวันได้และการเรียนการอ่านภาษาอังกฤษจากนิทานทำให้นักเรียนรักการอ่านและมีความ กระตือรอื ร้นสนใจในการอา่ น โดยมคี า่ เฉลยี่ 4.66 นิทานท่นี ำมาใชใ้ นการจัดการเรียนการสอนเป็นนิทาน ที่ไม่น่าเบื่อ โดยมีค่าเฉล่ีย 4.50 นอกเหนือจากนี้นักเรียนมีความพึงพอใจในระดับ มาก ในการใช้นิทาน ชว่ ยให้นักเรยี นฝกึ ทักษะการอ่านโดยมีค่าเฉล่ีย 4.46 นักเรยี นสามารถนำความรู้เดิมมาช่วยในการสร้าง ความเข้าใจในการอ่านนิทาน มีค่าเฉล่ีย 4.40 การใช้นิทานช่วยให้นักเรียนพัฒนาการอ่านมากขึ้น มี คา่ เฉลี่ย 4.33 นกั เรยี นมีความต้ังใจในการอ่านภาษาอังกฤษเพราะนิทานน่าสนใจ นิทานทีศ่ ึกษามีจำนวน เพียงพอ เหมาะสม และสะดวกในการอ่าน มคี ่าเฉล่ีย 4.30 นักเรียนไดร้ ับความรจู้ ากนิทานที่นำมาใช้ใน การจัดการเรียนการสอนอ่านภาษาอังกฤษ มีค่าเฉลี่ย 4.26 นักเรยี นสามารถนำความร้ทู ่ีได้จากการเรียน วิชาการอ่านภาษาอังกฤษไปใช้ส่ือสารในชีวิตประจำวัน มีค่าเฉล่ีย 4.20 นักเรียนชอบเลือกนิทานที่ นอกเหนอื จากบทเรยี นตามความสนใจของตนเอง มีคา่ เฉลีย่ 4.13 นักเรียนมสี ่วนรว่ มในการเรียนการอ่าน มากข้ึน มีค่าเฉล่ีย 4.06 และนักเรียนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นขณะเรียนการอ่าน โดยมี คา่ เฉลี่ย 3.93
บทท่ี 5 สรปุ อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ การศกึ ษาการใชน้ ิทานอสี ปเพ่ือพัฒนาทกั ษะในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 จำนวน 30 คน โรงเรยี นหันคาราษฎรร์ ังสฤษด์ิ จงั หวดั ชยั นาท สรปุ ผลได้ตามลำดบั ดังนี้ ความมุ่งหมายในการวิจยั เพ่ือศกึ ษาและเปรียบเทียบการใช้นิทานอีสปเพอ่ื พฒั นาทักษะในการอ่านภาษาอังกฤษของ นกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 3 ก่อนและหลงั เรียน และศกึ ษาแบบสอบถามความพึงพอใจของนกั เรยี นทมี่ ี ต่อการใชน้ ทิ านอสี ปเพอ่ื พัฒนาทักษะในการอา่ นภาษาองั กฤษของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตวั อย่าง กลมุ่ ตัวอยา่ งทใี่ ชใ้ นการวิจยั คร้ังนี้ไดแ้ ก่ นกั เรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรยี นหันคาราษฎร์ รังสฤษด์ิ จงั หวัดชัยนาท ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 25๖4 จำนวน 30 คน ที่ไดม้ าโดยการส่มุ อย่างงา่ ย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใชใ้ นการศกึ ษาคน้ คว้า เคร่อื งมือที่ใช้ในการศกึ ษาคน้ คว้าครั้งน้ี ประกอบดว้ ย 1.แผนการสอนอา่ นภาษาองั กฤษโดยใช้นิทานอสี ปเพือ่ พฒั นาทักษะในการอา่ นภาษาองั กฤษ จำนวน10 แผน 2.แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาองั กฤษ จำนวน 30 ข้อ 3.แบบสอบถามความพึงพอใจของนกั เรยี นในการใช้นทิ านอสี ปเพอ่ื พฒั นาทักษะในการอ่าน ภาษาอังกฤษ จำนวน 15 ข้อ วิธีดำเนินการวิจยั ในการวิจัยครง้ั น้ี เปน็ การวจิ ยั กึ่งทดลอง แบบ One group pretest-posttest design มลี ำดบั ข้ันดังน้ี 1. คัดเลอื กกลุม่ ตวั อยา่ งดว้ ยวิธีการสมุ่ อยา่ งง่าย(sample random sampling) 2. จัดปฐมนิเทศเพ่ือทำความเขา้ ใจกบั นกั เรยี นถึงวิธีการดำเนินการทดลอง จุดประสงค์ของการ ทดลอง และวธิ ีการประเมนิ ผลการเรยี น 3. ทำการก่อนการเรียน(pretest) โดยใช้แบบทดสอบวดั ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ 4. ดำเนินการสอนโดยผู้วจิ ัยเป็นผู้สอนตามแผนการสอนท่ีจดั ทำขนึ้ ใช้เวลาในการสอน10คาบๆ ละ 50 นาที 5. ทำการทดสอบหลงั การเรยี น(posttest) โดยใช้แบบทดสอบชุดเดมิ ท่ีใชท้ ดสอบก่อนการ ทดลองแต่ผวู้ จิ ัยใช้วิธกี ารสลับข้อใหม่ 6. สอบถามความพึงพอใจของนกั เรยี นที่มีตอ่ การใชน้ ทิ านอสี ปเพ่ือพัฒนาทกั ษะในการอา่ น ภาษาองั กฤษ
7. ตรวจใหค้ ะแนนการทำแบบทดสอบและคะแนนแบบสอบถาม แลว้ นำผลคะแนนทไี่ ด้มา วเิ คราะห์ดว้ ยวธิ กี ารทางสถิติ โดยใช้โปรแกรมสำเรจ็ รปู spss 8. สรปุ และอภปิ รายผลการทดลอง การวเิ คราะหข์ ้อมลู การศกึ ษาค้นคว้าครั้งนี้ ผวู้ ิจยั ทำการวิเคราะห์ขอ้ มูล โดยดำเนินการดังนี้ 1. หาค่าสถิตพิ ื้นฐานของคะแนนทดสอบการใช้นิทานอีสปเพ่อื พัฒนาทกั ษะในการอ่าน ภาษาองั กฤษของนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 3 กอ่ นและหลังเรียน และความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีตอ่ การใช้นิทานอสี ปเพ่อื พัฒนาทักษะในการอ่านภาษาองั กฤษของนกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 2. เปรยี บเทยี บคะแนนจากการทดสอบการใช้นิทานอีสปเพ่อื พฒั นาทักษะในการอ่าน ภาษาอังกฤษของนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 3 หานัยสำคญั ทางสถติ ิ กอ่ นและหลังการเรียน 3. หาคา่ เฉล่ีย และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานแบบสอบถามความพงึ พอใจของนกั เรียนทมี่ ีตอ่ การ การใช้นทิ านอสี ปเพ่ือพฒั นาทักษะในการอ่านภาษาอังกฤษ สรุปผลการวิจัย การศกึ ษาการใชน้ ิทานอีสปเพื่อพฒั นาทกั ษะในการอา่ นภาษาอังกฤษของนกั เรยี นช้ันมธั ยมศึกษา ปที ี่ ๒ โรงเรยี นหันคาราษฎรร์ ังสฤษด์ิ สรปุ ได้ดงั น้ี 1.ทักษะในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนหันคาราษฎร์ รังสฤษด์ิ ที่ไดร้ ับการสอนโดยใชน้ ิทานอีสป เพม่ิ ขน้ึ โดยคะแนนก่อนการเรียนมีคา่ เฉลี่ย 11.50 และหลัง การเรียนมีค่าเฉลี่ย 19.63 จากคะแนนเต็ม 30 คะแนนโดยมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ี ระดบั .01 2.จากการตอบแบบสอบถามความพงึ พอใจของนกั เรียนทีม่ ตี ่อการใช้นทิ านอีสปเพื่อพัฒนาทกั ษะ ในการอา่ นภาษาองั กฤษโดยรวมอยใู่ นระดบั มาก ซึง่ สอดคล้องกบั สมมตุ ิฐาน อภปิ รายผล การศกึ ษาการใชน้ ทิ านอีสปเพ่ือพัฒนาทักษะในการอ่านภาษาองั กฤษของนกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษา ปที ี่ 3 โรงเรียนหนั คาราษฎรร์ ังสฤษดิ์ สามารถอภิปรายผลไดด้ งั นี้ การวจิ ัยครง้ั นี้เปน็ การวิจัยเชงิ ทดลอง เพื่อพัฒนาทกั ษะในการอ่านภาษาองั กฤษ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนหันคาราษฎร์รังสฤษด์ิ โดยการใช้นิทานอีสป จากการทดลองพบว่า หลังจาก นักเรียนได้รับการเรียนรู้โดยใช้นิทานอีสป นักเรียนมีทักษะในการอ่านภาษาอังกฤษสูงขึ้นกว่าก่อนการ เรีย น อ ย่ าง มี นั ย ส ำคั ญ ท า ง สถิ ติ ท่ี ร ะ ดั บ .01แส ด ง ว่ าก ารใช้นิ ท าน อี ส ป ช่ ว ยให้ นั ก เรี ยน มี ก ารพั ฒ น า ความสามารถทางด้านการอ่านภาษาอังกฤษ การนำนิทานอีสปมาใช้สอนอ่านช่วยให้นักเรียนมีทักษะใน การอ่านภาษาองั กฤษสูงขนึ้ และช่วยให้นกั เรยี นเกดิ ความสามารถด้านการอ่าน เชน่ การเขา้ ใจความหมาย ของคำศัพท์ รายละเอียด สรุปและจับใจความสำคัญจากเรื่องท่ีอ่านได้ ซึ่งผลการวิจยั ครั้งนี้สอดคล้องกับ ผลการวิจัยของ รุ่งวนา สุดจิตต์ (2545) ศึกษาการพัฒนาส่ือการอ่าน-เขียนภาษาอังกฤษจากนิทาน พ้นื บ้านไทย สำหรับนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 4 โรงเรยี นไทรโยควิทยา จงั หวดั กาญจนบุรี กลุ่มตัวอยา่ ง จำนวน 38 คน ผลการวจิ ัยพบว่า 1. ประสิทธิภาพของสื่อการอ่านเขียนภาษาอังกฤษจากนิทานพื้นบ้าน ไทย มีค่าเท่ากับ 79.26/75.04 ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพที่ยอมได้รับ 2. ความสามารถทางการอ่าน-
เขียนภาษาอังกฤษจากนิทานของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยใช้สื่ออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 3. ความสามารถทางอ่าน-เขียนภาษาอังกฤษจากนิทานของนักเรียนท่ีมีโครงสรา้ งความรู้เดิมต่าง ระดับกันหลังเรียนต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 4. นักเรียนมีความคิดเห็นต่อความ เหมาะสมของสื่ออยู่ในระดับ 5. เจตคติต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษของนักเรยี นหลังเรียนโดยใช้สื่อสูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และยังสอดคล้องกับแนวคิดของ Carrell (1987) ได้ศึกษาผลของโครงสร้างความรู้ด้านรูปแบบและโครงสร้างความรู้ด้านรูปแบบและโครงสร้าง ความรู้ด้านเนื้อหาที่มีต่อการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่ทำให้กลุ่ม ตัวอย่างอ่านแล้วเข้าใจได้ดี คือ เน้ือหาท่ีคุ้นเคย ปัจจัยที่ทำให้กลุ่มตัวอย่างอ่านเร่ืองแล้วไม่เข้าใจ คือ เนอ้ื หาท่ีไม่คุ้นเคย จากการทดลองใหก้ ลมุ่ ตัวอย่างอ่านเน้ือหาท่ีคนุ้ เคย โครงสรา้ งเรื่องไม่คุ้นเคยกับเน้ือหา เรื่องไม่คุ้นเคย โครงสร้างเรือ่ งคุ้นเคย พบว่า โครงสร้างความรู้ด้านเนื้อหามผี ลตอ่ การอ่านเพื่อความเข้าใจ มากกวา่ โครงสร้างความรดู้ า้ นรปู แบบ สรุปได้ว่า การนำนิทานอีสปมาใช้ในการสอนอ่านภาษาอังกฤษ ให้ผลสอดคล้องกับการวิจัย ดังกล่าวข้างต้น คือทำให้นักเรียนพัฒนาทักษะและความเข้าใจในการอ่านภาษาอังกฤษสูงขึ้น มีความพึง พอใจมากต่อการใชน้ ิทานอีสปในการพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ ซึง่ ต้องอาศัยองค์ประกอบต่างๆ ทั้งการคดั เลือกนิทานควรเป็นนทิ านท่ีใกลต้ วั การจัดกจิ กรรมที่หลากหลาย การสอนอ่านตามแนวการสอน เพื่อการส่ือสารท่มี ุ่งเน้นให้นักเรียนมีจดุ มุ่งหมายในการอ่านเห็นคณุ ค่าและประโยชน์จากส่ิงทีอ่ ่าน ซึ่งช่วย ใหเ้ กดิ ความสนใจและรักการอ่าน ทสี่ ่งเสรมิ ใหเ้ ข้าใจมากขึน้ ปญั หาและข้อเสนอแนะ จากการศกึ ษาคร้งั นี้ ผ้วู ิจัยพบปญั หาและข้อเสนอแนะทอี่ าจเปน็ ประโยชน์ในการจดั การเรียนการ สอน และการศึกษาคร้ังตอ่ ไปดังน้ี ปัญหาจากการวิจยั และแนวทางแก้ไข 1. ในการทำกจิ กรรมคู่ ปัญหาทพี่ บคอื นกั เรยี นเก่งคนู่ ักเรยี นเก่งสามารถอ่านและหาขอ้ มูลได้เรว็ กวา่ นักเรยี นออ่ นค่กู บั นักเรียนอ่อน ซง่ึ ทำให้นักเรียนเก่งต้องเสยี เวลาในการรอ และเกดิ ความเบอ่ื หนา่ ย ซง่ึ ผู้วิจยั ไดส้ งั เกตและแกไ้ ขปญั หาตรงจุดนโี้ ดย จัดให้นักเรยี นเก่งทำงานคกู่ บั นักเรียนอ่อนเพื่อคอยช่วยเหลอื ซึง่ กันและกนั ส่งผลให้การทำงานครงั้ ต่อไปนกั เรยี นสามารถทำงานได้เสร็จส้ินในเวลาใกล้เคียงกนั ทำให้ การทำกจิ กรรมและบรรยากาศในการเรยี นดีข้ึน 2. ในการทำกิจกรรมกล่มุ นกั เรยี นบางคนไมม่ โี อกาสรว่ มทำกจิ กรรม หรือมโี อกาสในการทำ กิจกรรมน้อย และไมส่ นใจในการเรยี น ดงั นน้ั ในการแบ่งนกั เรยี นทำกิจกรรมกลมุ่ ควรมสี มาชิกไม่มากเกิน คอื ควรมีสมาชกิ กลมุ่ ละประมาณ 3-4 คน และควรมสี มาชกิ ท่ีมีความสามารถแตกต่างกัน เพื่อนกั เรยี นจะ ไดช้ ว่ ยเหลือซึ่งกนั และกนั และควรจัดกจิ กรรมท่นี ักเรียนทกุ คนไดม้ สี ว่ นรว่ มในการทำกจิ กรรมทุกคนหรอื มากที่สุด 3. การใชเ้ วลาในการทำกิจกรรม บางกจิ กรรมใช้เวลานานเกินไป ท้งั น้ีเนือ่ งมาจากผู้วิจยั ไม่ได้ กำหนดเวลาท่ีแน่นอนใหน้ กั เรยี นทราบ ทำใหน้ กั เรยี นไมก่ ระตือรอื รน้ และไมร่ บั ผดิ ชอบท่ีจะทำใหเ้ สร็จสิน้ ส่งผลใหก้ ิจกรรมบางกจิ กรรม ไม่เสร็จส้นิ ตามเวลาทผ่ี ู้วิจัยไดค้ าดหวังไว้และไม่เสรจ็ สน้ิ ในคาบเรยี นนน้ั ๆ ดงั นั้นในการทำกิจกรรมครั้งต่อไป ผวู้ ิจัยไดก้ ำหนดเวลาให้นักเรยี นทำกิจกรรมอย่างชัดเจน ส่งผลให้ นกั เรยี นทำกจิ กรรม เสรจ็ ส้นิ ตามเวลาทก่ี ำหนด
4. กลุ่มที่สมาชกิ ประกอบไปด้วยนกั เรียนหญิงล้วน สว่ นใหญจ่ ะมีความรับผดิ ชอบในการทำงาน และทำงานเสร็จทนั เวลาท่ีกำหนดใหม้ ากกวา่ กลมุ่ ทีส่ มาชิกเป็นชายล้วน ดังน้ันในการจัดกลมุ่ ควรจดั ให้มี นักเรยี นหญงิ และนกั เรยี นชายอย่ใู นกลมุ่ เดียวกนั เพื่อจะไดช้ ว่ ยเหลอื ซ่งึ กนั และกัน ข้อเสนอแนะทั่วไปจากการวิจัย 1. การเลือกนิทานมาใช้ในการสอนอ่านภาษาอังกฤษนั้น ควรเลอื กนทิ านท่มี ีลักษณะท่ีเปน็ ภาษา ทใี่ ช้จริง เพราะชว่ ยใหน้ กั เรียนได้ฝกึ ใชภ้ าษาในสถานการณ์จริง และสามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ใน ชีวติ ประจำวัน 2. นทิ านที่นำมาใชส้ อนการอ่านภาษาองั กฤษนน้ั ควรเปน็ เรอ่ื งท่ีนกั เรยี นคนุ้ เคย เกย่ี วข้องกับ นกั เรยี น อยใู่ นความพอใจ เป็นเร่อื งทนั สมยั และเหมาะสมกบั ระดับความสามารถของนกั เรียน ไมย่ ากหรือ ง่ายจนเกินไป เพราะจะช่วยสง่ เสริมให้นักเรียนเกดิ ความกระตือรอื รน้ และตั้งใจท่ีจะอ่านนทิ าน ท่จี ะชว่ ย เพม่ิ ความสามารถและชว่ ยให้นกั เรยี นเข้าใจในการอา่ นได้เรว็ ขน้ึ 3. การจดั กจิ กรรมแต่ละเรอ่ื งนิทาน ควรมคี วามหลากหลายรปู แบบ เพือ่ ช่วยให้นกั เรยี นเกดิ การ พฒั นาความเขา้ ใจในการอ่าน ชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นสนใจที่จะทำกิจกรรมเกีย่ วกับการอ่าน เป็นการสร้างความ สนุกสนานและบรรยากาศท่ดี ีในการเรยี นการสอน 4. ควรเปิดโอกาสให้นกั เรียนได้ทำกจิ กรรมด้วยตนเองมากทส่ี ดุ ซง่ึ ขึ้นอยกู่ ับลักษณะการจดั กิจกรรมด้วย ครูควรเปน็ เพียงผูค้ อยช้ีแนะในการทำกิจกรรม และแกไ้ ขข้อผิดพลาดต่างๆทส่ี ำคัญ หลังจาก การทำกจิ กรรมของนักเรียน ทัง้ นี้เพอ่ื ให้นกั เรยี นได้ฝึกคิด และสรา้ งความเชื่อม่นั ในการใช้ภาษาใน สถานการณ์ ขอ้ เสนอแนะในการทำวิจยั ครงั้ ต่อไป 1. ควรทำการศึกษาและทดลอง โดยนิทานอีสปไปสอนอ่านภาษาอังกฤษกบั นกั เรียนระดบั ชน้ั อ่นื 2. ควรคดั เลอื กนทิ านท่นี กั เรยี นคุ้นเคย สร้างสรรค์และน่าสนใจ 3. ควรใช้เวลาในการทดลองเพิ่มข้ึน อย่างนอ้ ย 1 ภาคเรียน เพือ่ สามารถเหน็ การพฒั นาการอา่ น ของนักเรียนไดช้ ัดเจนยงิ่ ข้ึน 4. ควรเปดิ โอกาสให้นกั เรยี นไดเ้ ลอื กนิทานประเภทตา่ งๆที่ตนเองหรือกลุ่มสนใจจากภายนอก ห้องเรยี นบ้าง 5. ควรมีการทำแบบทดสอบยอ่ ยเพอื่ ดูผลการพัฒนาการอา่ นเป็นระยะๆระหว่างการทดลอง 6. ควรจดั ประเภทของนทิ านให้เหมาะสมกับความสามารถแต่ละดา้ นทตี่ ้องการวัด
บรรณานกุ รม
บรรณานกุ รม กาญจนา ศรีภัทรวทิ ย.์ (2533). การเปรียบเทยี บความเข้าใจการอ่านภาษาองั กฤษและความสนใจใน การเรียนวิชาภาษาองั กฤษของนักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรยี นสาธติ แหง่ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศกึ ษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาองั กฤษ บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวโิ รฒประสานมิตร. คมสนั ติ์ เฮ้าเส็ง. (2542). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธท์ิ างการอ่านจบั ใจความภาษาอังกฤษของนักเรียน ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 6. วิทยานพิ นธป์ รญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาการ ประถมศกึ ษา บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น. ทพิ วัลย์ มาแสง. (2532). การสอนภาษาอังกฤษสำหรับคนไทย. กรุงเทพฯ: ทิพย์อักษร. บัณฑติ ฉัตรวโิ รจน์. (ม.ป.ป.) การสอนอา่ นภาษาอังกฤษระดับประถมศึกษา. กรงุ เทพฯ: ธนวัชการพมิ พ์. ประเทนิ มหาขันธ์. (2530). การสอนอา่ นเบือ้ งต้น. กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตร์. ประนอม สุรสั วดี. (2534). ภาษาอังกฤษกับเด็กไทยในระดบั มธั ยมศึกษา. กรงุ เทพฯ: สถาบนั ภาษา จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ปรางทอง แก้วเหลา่ ยงู . (2548). การพฒั นากิจกรรมส่งเสรมิ การอ่านสาระภาษาไทยเพอื่ สร้างความ เขา้ ใจ. วิทยานิพนธป์ รญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลกั สูตรและการสอน บัณฑิต วิทยาลยั มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ . ฝา่ ยวิชาการสำนกั พิมพ์. (2548). เก่งภาษาอังกฤษดว้ ยนทิ านแสนสนุก. พมิ พค์ รัง้ ท่ี 4. กรุงเทพฯ: ชบา พบั ลิชชิง่ เวิรก์ ส. เพลนิ พิศ สปุ ญั ญาบุตร. (2550). การพฒั นาผลสัมฤทธดิ์ า้ นภาษาอังกฤษ สำหรบั นักเรยี นช่วงชนั้ ท่ี 3 (มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1) โดยใช้กลวิธี Scanning และ Skimming. วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญาศึกษา ศาสตร มหาบัณฑติ สาขาวชิ าหลกั สตู รและการสอน บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น. ภิญโญ คล้ายบวร. (2537). หลกั การวิเคราะห์และเทคนคิ การอ่านภาษาองั กฤษ. กรุงเทพฯ: ไฮเอด็ พับลชิ ช่ิง. รุ่งวนา สดุ จิตต์. (2545). การพัฒนาสื่อการอา่ น-การเขียนจากนิทานพ้ืนบ้านไทย สำหรบั นักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนไทรโยคน้อยวทิ ยา จงั หวัดกาญจนบรุ ี. วิทยานพิ นธป์ ริญญาศึกษา ศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าการสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศ บัณฑิต วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร. วรรณี ศริ ิสนุ ทร. (2542). การเล่านทิ าน. กรุงเทพฯ: ตน้ ออ้ แกรมม่ี. วไิ ลรัตน์ วสุรีย์. (2545). การพฒั นาแบบฝึกเสริมทักษะการอา่ นภาษาอังกฤษโดยใชเ้ อกสารจรงิ เกีย่ วกับ ทอ้ งถน่ิ ในรายวิชา อ 0112 สำหรบั นกั เรยี นช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 โรงเรยี นพิบลู วทิ ยาลัย จังหวดั ลพบุรี.วิทยานพิ นธ์ปริญญาศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาการสอนภาษาองั กฤษ ในฐานะภาษาต่างประเทศ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร.
สมทุ ร เซ็นเชาวนชิ . (2539). เทคนิคการอา่ นภาษาองั กฤษเพ่ือความเข้าใจ. พมิ พค์ รง้ั ที่ 8. กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. สวุ รรณี พาภักดี. (2543). ได้สึกษาผลสมั ฤทธิ์การอา่ นจับใจความภาษาอังกฤษของนกั เรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 6 โดยใช้แนวการสอนอ่านทเี่ น้นเทคนิคของดัลล์แมน. วทิ ยานพิ นธ์ปริญญา ศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าหลกั สูตรและการสอน บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยขอนแกน่ . สุมิตรา องั วัฒนกลุ . (2540). วิธกี ารสอนภาษาอังกฤษ. พมิ พค์ ร้ังที่ 4. กรงุ เทพฯ: จุลาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. เสาวนยี ์ กลับส่ง. (2547). การพฒั นาบทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอนเสรมิ สร้างทักษะการอา่ น ภาษาอังกฤษโดยใชน้ ิทานสอนใจ. วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ า การสอนภาษาองั กฤษในฐานะภาษาต่างประเทศ บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร. อรชร วงศ์ษา. (2548). การพฒั นากจิ กรรมการเรยี นรใู้ นกลุ่มสาระการเรยี นร้ภู าษาต่างประเทศ (วิชา ภาษาองั กฤษ) โดยใชน้ ทิ านพ้นื บา้ นอีสานเปน็ ส่ือ สำหรับนกั เรยี นชว่ งช้ันท่ี 3 (ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 ). วทิ ยานพิ นธ์ปรญิ ญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสตู ร และการสอน บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ . อัจฉรา สนิ ธโุ คตร. (2543). การเปรยี บเทยี บความเข้าใจในการอา่ นภาษาอังกฤษของนักเรยี นชั้น ประถมศกึ ษาปีที่ 6 ที่ไดร้ ับการสอนโดยใช้วิธี MIA กบั วธิ กี ารสอนตามคมู่ ือครู. วิทยานพิ นธ์ ปริญญาศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน บัณฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยขอนแกน่ . อารยี ์ วาศนอ์ ำนวย. (2545). การพัฒนาแบบฝึกเสรมิ ทักษะการอา่ นเพอื่ ความเขา้ ใจตามแนวการสอน ภาษาอังกฤษเพื่อการสือ่ สาร สำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที ี่ 5. วิทยานิพนธ์ปริญญา ศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาหลกั สตู รและการนเิ ทศ บัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร. Carrell, P.L. (1984). Evidence of a Formal Schema in a Second Language Comprehension. Language Learning, 34 (2), 87-112. Dechant, E. V. (1982). Improving the Teching of Reading. 3rd ed. Englewood Cliff: Prentice Hall. Goodman, K.S. (1972). Reading: A Psycholiuguistic Guessing Game cited in Singer. Delaware: Internation Reading Association. Harris, A. J. & Sipay, E.R. (1979). Effective Teaching of Reading. New York: Dewid Nokey. Williams, E. (1993). Reading in the Language Classroom. London: The Macmillian. Williamson, J. (1988). Improving Reading Comprehension: Some Current Stategies. English Teaching Forum, 26,7-8. Wright, A. (1995). Storytelling with children. Oxford: Oxford University Press.
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก - ตารางนิทานอสี ปทนี่ ำมาใช้ในการทดลอง - นิทานอสี ปทน่ี ำมาใชใ้ นการทดลอง - ตวั อยา่ งแผนการจดั การเรยี นรู้
ตารางนิทานอสี ปทน่ี ำมาใชใ้ นการทดลอง ทักษะทีพ่ ัฒนา - Scanning แผนที่ รายช่อื นทิ าน - Skimming 1. The Goose with the Golden Egg - Guessing the meaning from context 2. The Wolf and the Shepherd 3. The Lion in Love - Predicting - Scanning 4. The fox and the Ox - Skimming - Scanning 5. The Rabbit And The Crocodile - Skimming - Guessing the meaning from context - Predicting - Scanning - Skimming - Guessing the meaning from context - Scanning - Guessing the meaning from the context - Skimming - Predicting
แผนที่ รายช่อื นิทาน ทกั ษะที่พฒั นา 6. The Fox and the Crow - Predicting - Scanning 7. The Dog and cock - Skimming - Guessing the meaning 8. The Farmer and the Cobra from context 9. The Tortoise and the Bird - Scanning - Guessing the meaning from the context - Skimming - Predictig - Predicting - Scanning - Skimming - Guessing the meaning from context - Predicting - Scanning - Skimming
แผนท่ี รายชอื่ นิทาน ทักษะทพ่ี ัฒนา 10. The two frogs - Guessing the meaning from context - Predicting - Scanning - Skimming - Guessing the meaning from context
นิทานท่ีนำมาใชใ้ นการทดลอง Reading The dog and cock A dog and a cock are friend. One day, they travel thought a wood. When night falls, the dog goes to sleep in the hole at the foot of a tree. And the cock roosts in the branches above. When morning comes, the cock crows to welcome the down. His crow awakes a fox that lives nearby. He looks around to find out where the noise comes from. After listening for a while, he hurrily comes to the tree, thinking he would find himself a meal. When he see the cock he say “My dear, your voice is so sweet, please comes down so I can congratulate you.” Seeing through the fox’s plan, the cock says, “I will come down if you will first ask the porter below to open the door.” Not suspecting the trick the fox does as he is told. The dog awakes and comes out of the hole. Then the battle begins. Soon the dog puts an end to the fox. Then, the dog and the cock journey on. Read the story and answer the question. 1. How many animals are there in this story? ____________________________________________ 2. Who are friends? ____________________________________________ 3. Where do the dog and the cock travel? ____________________________________________ 4. Does the dog sleep in the branches? ____________________________________________
5. What are these animals in this story? ___________________________________________ 6. Which animal can crow? ___________________________________________ 7. Which animal does the fox want to eat? ___________________________________________ 8. Who kill the fox? ____________________________________________ 9. Why does the cock say to the fox “If you will first ask the porter below to open the door?” ________________________________________________ 10. Does the cock clever? ________________________________________________
เฉลย The dog and the cock. สนุ ัขกับไก่โต้งได้คบค้าเป็นเพ่ือนสนิทกัน วันหน่ึงทั้งสองได้เดินเข้าไปในป่าลึกจนกระทั่งพลบค่ำ สนุ ัขได้เข้าไปนอนในโพรงใต้ต้นไม้ ส่วนไก่โต้งได้ปีนข้ึนไปนอนบนต้นไม้อย่างสบาย ตกตอนเช้าไก่โต้งส่ง เสียงขันตอ้ นรับอรุณรุ่งของวนั ใหม่ เสยี งขนั ของไกโ่ ต้งทำใหส้ ุนขั จิ้งจอกท่อี าศยั อยู่ใกลๆ้ ไดย้ ินและตกใจต่ืน สุนัขจ้ิงจอกมองหาว่าเสียไก่มาจากไหน หลังจากฟังอยู่จนแน่ใจแล้วสุนัขจิ้งจอกก็รีบมาที่ต้นไม้น้ัน ด้วย ความหวังว่าจะจับไก่โต้งเป็นอาหาร เม่ือมันเห็นไก่โต้ง มันก็พูดว่า “เจ้าไก่ท่ีรักของฉันเสียงของท่านชั่ง ไพเราะจับใจเสียจรงิ จงมาให้ฉันได้แสดงความยินดีหน่อยเถอะ” ไก่โต้งร้เู ท่าทันสุนัขจิง้ จอก จึงพดู ตอบว่า “กไ็ ด้ แตท่ ่านต้องเรียกคนเฝ้าประตูให้เปิดประตูก่อน” สุนขั จิง้ จอกทำตามไก่โต้งโดยไม่ระแวง สุนัขเพื่อน ไก่โต้งตื่นขึ้นมาจากโพรงไม้แล้วไดต้ อ่ สู้กบั สุนัขจ้งิ จอก ในท่สี ุด สนุ ขั จิ้งจอกถงึ แกค่ วามตาย 1. There are three animals. 2. A dog and a cock are friends. 3. They are travel thought a wood. 4. No, the dog doesn’t sleep in the branches. 5. They are a dog, a cock, and a fox. 6. It is a cock. 7. The fox wants to eat a cock. 8. A dog killed the fox. 9. Because the cock wants the dog help him. 10. Yes, the cock cleavers.
The farmer and the cobra There is an ole farmer. He lives by himself in a small hut. He is a kind man. He always help his neighbors whenever the need. One winter’s morning, he sets out to work in his field. He carries his tools on his shoulder. On his way, he sees a cobra coiled up with cold by the wayside. Feeling pity on the poor creature, he looks at it for a long time. The cobra lies half dead with cold. The farmer talks to himself. “I’d better warm him up.” Then he clasps it to his breast to warm it up. He strokes it gently. A neighbor sees what he is doing “What are you doing, friend?” he says. It is very dangerous. You’d better let it go.” “I want to warm him up. He is freezing.” Says the old farmer. When the warmth has returned to its body, the cobra being to move and bite at the farmer’s arm. The farmer cries out in mortal pain. He then falls to the ground and dies. Read this story and match the words on the left with their respective meaning on the right. __________1. farmer a. house __________ 2. cobra b. friends __________ 3. hut c. men and women work in the field __________ 4. kind d. cold __________ 5. neighbor e. snake __________ 6. winter f. benevolent __________ 7. field g. catch __________ 8. tool h. troubled
Search