Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ศาสนา

ศาสนา

Published by 21235, 2022-08-22 15:38:07

Description: ศาสนา

Keywords: ศาสนา

Search

Read the Text Version

สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม

ศาสนา ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาพราหมณ์- ศาสนาคริสต์ ฮินดู

คำนำ สื่อประกอบการเรียนการสอนในปัจจุบัน มีความหลาก หลาย และน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งซึ่งสอดคล้องกับความ ต้องการในการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่องศาสนาต่างๆตามหลักศาสนาสากล เพื่อเป็นตัวอย่างใน การศึกษาค้นคว้า และศึกษาด้วยตนเองเป็นหลักจึงพัฒนา และสร้างสื่อให้มีความน่าสนใจ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถที่จะเรียน รู้ได้ด้วยตนเอง สื่อประกอบการเรียนการสอน E-book เล่มนี้ จึงจัดทำ เพื่อให้สอดคร้องกับความต้องการของผู้เรียน ซึ่งสื่อเล่มนี้ได้ สรุปเนื้อหาในขอบข่ายของวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรมเน้นเนื้อหาศาสนาต่างๆตามหลักศาสนาสากลและ เพิ่มภาพประกอบการบรรยายเพื่อให้เกิดความน่าสนใจมากยิ่ง ขึ้น ผู้จัดทำหวังว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ อ่าน ผู้เรียน และผู้ที่มีความสนใจทุกท่าน ไม่มากก็น้อย ขอให้มี ความสุขกับการอ่านหนังสือ E-book เล่มนี้

สารบัญ ก ความหมายของศาสนา 1-2 ความสำคัญของศาสนา 3 พระพุทธศาสนา 4 4 ความหมายของพระพุทธศาสนา 5-8 ความเป็นมาของศาสนา 9 ความเป็นมาของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย 9 คัมภีร์ของศาสนา 10 ความเชื่อ 11 หลักธรรมคำสอน 12-18 ผู้สืบทอด 19-2210 ข้อพึงปฏิบัติ 22-25 ศาสนาอิสลาม 25 26-31 ปอิสรละวาัตมิศในาปสนระาเทศไทย ประวัติศาสดา 32 คัมภีร์ของศาสนา 33-34 หลักปฏิบัติศาสนกิจ ผู้สืบทอด ข้อห้าม ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ประวัติความเป็นมา 35-38 ศาสดา 39-41 คัมภีร์ การแบ่งวรรณะ 42 หลักธรรม 43 หลักคำสอน 44-45 พิธีกรรม 46 47

ศาสนาคริสต์ ข ความเป็นมา ความเป็นมาของศาสนาคริสต์ในประเทศไทย 48 นิกาย 49-50 คัมภีร์ 51-52 หลักธรรมคำสอน 53 บัญญัติ 10 ประการ 54-55 สถานการณ์ปัญหา 55 ภารกิจ ฐานความช่วยเหลือ 56 56 แหล่งเรียนรู้เพิ่มเติม 56-58 บทสรุป แบบทดสอบ 59 60 แหล่งอ้างอิง 61-62 ประวัติผู้จัดทำ 63 64

ความหมายของศาสนา 1 \"ศาสนา” เป็นศัพท์ในภาษาสันสกฤต บาลีใช้ว่า สาสนา แปลว่า คำสั่งสอน ย่อมมีในทุกศาสนา ในฝ่ายตะวัน ตก คำว่าศาสนาตามความหมายกว้าง ๆ คือ ความเชื่อในสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีอำนาจอยู่เหนือ สิ่งธรรมชาติจะเรียกว่าพระเจ้า หรือพระผู้เป็นเจ้าก็แล้วแต่ ซึ่งพระองค์ทรงปกครองและ ควบคุมโลกพร้อมทั้งมวลมนุษยชาติด้วยทิพย์อำนาจ มนุษย์ มีหน้าที่เป็นพันธกรณีจะต้องมีความเชื่อ ความศรัทธาเคารพ บูชาพระองค์และคำสั่งสอนของพระองค์ด้วยความเกรงกลัว และด้วยความจงรักภักดีรับใช้พระองค์ด้วยการประพฤติ ปฏิบัติตามหลักคกำสั่งสอนอย่างเคร่งครัดนอกจากนี้คำว่า ศาสนาอาจจะยังมีความหมายอื่นๆอีกแต่จะไม่นำมากล่าวใน ที่นี้ จะกล่าวเฉพาะในความหมายว่าคำสั่งสอนเท่านั้นส่วน ประวัติของศาสนาหากนับรวมเอาศาสนาทั้งหมดที่มีอยู่ใน โลกนี้ซึ่งบางศาสนาก็สูญหายไปแล้วไม่สามารถชี้ลงไปได้ว่า ศาสนาเกิดขึ้นในโลกนี้ตั้งแต่เมื่อไรท่านศาสตราจารย์พระยา อนุมานราชธนราชบัณฑิตได้กล่าวไว้ในหนังสือศาสนาเปรียบ เทียบภาค ๑ ว่า“มนุษย์ไม่ว่าในชาติใด ภาษาใดจะเป็นมนุษย์ ชาวป่า ชาวเขา ชาวบ้าน หรือชาวเมือง ก็เป็นคนมีศาสนา แทบทั้งนั้นและศาสนาที่คนเหล่านั้นนับถือย่อมจะมีกำหนดไว้ ให้แล้ว ตั้งแต่เกิดมา พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เคยนับถือ ศาสนาอะไรลูกที่เกิดมาในครอบครัวก็นับถือศาสนาไปตาม นั้นแต่คำสั่งสอนเหล่านั้นจะเป็นศาสนาหรือจะเป็นเพียงลัทธิ ความเชื่อเท่านั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบเหล่านี้ ๑. เป็นคำสั่งสอนที่ประกอบด้วยความเชื่อถือ ๒.เป็นคำสั่งสอนที่ว่าด้วยศีลธรรมจรรยา พร้อมทั้งผลของ การปฏิบัติตาม ๓. เป็นคำสั่งสอนที่มีผู้ตั้งหรือมีศาสดา ๔. เป็นคำสั่งสอนที่มีศาสนทายาทสืบทอดกันมา ๕. เป็นคำสั่งสอนที่กวดขันในเรื่องจงรักภักดีนับถือศาสนานี้ แล้วจะหันไปนับถือศาสนาอื่นไม่ได้ ๖. เป็นคำสั่งสอนที่มีศาสนิกมากพอสมควร

2 สมเด็จพระญาณวโรดม กล่าวไว้ในหนังสือศาสนา ต่างๆ ว่าคำสั่งสอนที่เรียกว่าศาสนาต้องประกอบด้วย องค์ ประกอบ ๖ ประการนี้ ถ้ามีไม่ครบจะเรียกว่าลัทธิบ้าง โอวาทบ้าง ส่วนรายละเอียดของแต่ละศาสนา เริ่มต้นจาก ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และศาสนาซิกข์ ตามลำดับ ประเทศไทยเปิดกว้างและ ให้สิทธิในการนับถือศาสนามาตั้งแต่อดีตกาลโดยการนับถือ ธรรมชาติ ผีสาง เทวดา และบรรพบุรุษ มาตั้งแต่สมัยก่อน ประวัติศาสตร์ ปรากฏหลักฐานราวพุทธศตวรรษที่ ๓ หลัง จากการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓ พระเจ้าอโศก มหาราชทรงส่งสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ยังดิน แดนต่างๆ ๙ สาย รวมถึงดินแดนสุวรรณภูมิ ซึ่งเชื่อว่าคือดิน แดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันเป็นส่วนหนึ่งของไทยใน ปัจจุบัน จนกระทั่งปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า พระพุทธ ศาสนาได้ประดิษฐานอย่างมั่นคงในดินแดน ประเทศไทย สมัยทวารวดีและเป็นศาสนาหลักสืบต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ปรากฏหลักฐานว่าศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ได้ เผยแผ่มาพร้อมๆ กับพระพุทธศาสนาและเป็นศาสนาที่เจริญ รุ่งเรืองควบคู่มากับพระพุทธศาสนาส่วนความเชื่อดั้งเดิมก็ ผสมผสานกับความเชื่อในพระพุทธศาสนา ต่อมาศาสนา อิสลาม คริสต์ ซิกข์ ได้เผยแผ่เข้ามาภายหลัง ผู้คนส่วนหนึ่ง ก็ได้ยอมรับนับถือ ในศาสนาดังกล่าวดังปรากฏในปัจจุบัน

ความสำคัญของศาสนา 3 ศาสนานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่ว่าศาสนาใดๆ ก็ตาม ล้วนแต่มี ลักษณะร่วมสำคัญ คือ สอนคนให้เป็นคนดี มีศีลธรรมประจำใจ อยู่ในสังคมได้ อย่างสันติสุข อีกทั้งยังเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ และมีหลักในการดำเนินชีวิตที่ ถูกต้องและปลอดภัย ดังนั้นศาสนาจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์ทุก รูปทุกนาม ไม่ว่ามนุษย์จะเจริญหรือล้าหลังก็ตาม ก็ย่อมมีศาสนาประจำบ้าน เมือง ประจำหมู่คณะ หรืออย่างน้อยก็ประจำตระกูลหรือครอบครัว ความ สำคัญของศาสนานอกจากที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีอีกนานัปการ ได้แก่ 1.ศาสนาเป็นเครื่องสั่งสอนให้มนุษย์ประพฤติปฏิบัติในทางที่ถูกต้องดี งาม เป็นประโยชน์ ต่อตนเอง สังคม และประเทศชาติ 2.ศาสนาเป็นบ่อเกิดแห่งศีลธรรมจรรยาและขนบธรรมเนียมประเพณีที่ ชอบ อันเป็นเครื่องประกอบให้เกิดความสมัครสมานสามัคคี มีเอกลักษณ์ อารยธรรม และวัฒนธรรมอันดีงาม เป็นของตนเอง 3.ศาสนาเป็นเครื่องบำบัดทุกข์และบำรุงสุขให้แก่มนุษย์ ทั้งทางด้าน ร่างกายและจิตใจ 4.ศาสนาเปรียบเสมือนดวงประทีปโคมไฟที่ให้ความสว่างไสวแก่เส้น ทางการดำเนินชีวิตของมนุษย์ผู้อาศัยอยู่ในโลก 5.ศาสนาช่วยทำให้ชีวิตครอบครัวอบอุ่น เป็นแหล่งผลิตทรัพยากร มนุษย์ที่มีคุณค่าให้แก่สังคม 6.ศาสนาเป็นพลังใจให้มนุษย์สามารถเผชิญชีวิตด้วยความกล้าหาญ ไม่ หวั่นไหวต่อโลกธรรม ทำให้มีความสงบสุขและผาสุกในชีวิต 7.ศาสนาช่วยยกระดับจิตใจ ทำให้เป็นผู้ควรแก่การเคารพนับถือ อีกทั้ง ยังช่วยสร้างจิตสำนึกในคุณค่าของความเป็นมนุษย์ให้กับคนในสังคมอีกด้วย 8.ศาสนาช่วยสร้างมนุษยสัมพันธ์อันดีต่อกัน ช่วยขจัดช่องว่างทาง สังคม สร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันให้เกิดขึ้น เป็นรากฐานแห่งความ สามัคคี การร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาชุมชน และสร้างความสงบสุขความ มั่นคงให้แก่ชุมชน 9.ศาสนาช่วยให้มนุษย์ได้ประสบความสุขสงบและสันติสุขขั้นสูง จน กระทั่งบรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดของชีวิต คือ หมดทุกข์โดยสิ้นเชิงได้ 10.ศาสนาเป็นมรดกล้ำค่าแห่งมนุษยชาติ เป็นความหวังและวิถีทาง สุดท้ายแห่งความอยู่รอดของมวลมนุษยชาติ

พระพุทธศาสนา 4 ความหมายของพระพุทธศาสนา “พระพุทธศาสนา” คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าครั้งพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธศาสนายังไม่ถือกำเนิดขึ้น จนอีกสองเดือนต่อมา เมื่อทรงแสดงพระธรรมเทศนาครั้งแรก (ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร) จึงทำให้เกิด พระพุทธศาสนาขึ้น และมีผู้ฟัง หรือสาวก (“สาวก” แปลว่าผู้ฟัง ผู้ฟังคำสั่งสอน ศิษย์คำคู่กับ “สาวิกา” คือ ผู้ฟังหรือศิษย์ฝ่ายหญิง) กับหมู่ชนที่นับถือพระพุทธ ศาสนา เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าพุทธบริษัท มี ๔ ชนิด คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งเมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้วก็นำไปปฏิบัติตาม ต่อมาเมื่อมีผู้ฟังและ ผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นจำนวนมาก ก็มีการจัดตั้งเป็นชุมชน เป็นสถาบัน เป็นองค์กร เพื่อรับผิดชอบดูแลการเรียนและการปฏิบัติ ตลอดจนมี ศาสนพิธี ศาสนวัตถุ ศาสนสถาน และกิจการต่างๆความหมายของพระพุทธ ศาสนาจึงขยายกว้างออกไปครอบคลุมสิ่งต่างๆเหล่านี้ด้วย ความเป็นมาของพระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธเกิดขึ้นในชมพูทวีปซึ่งในปัจจุบันเป็นดินแดนของประเทศ อินเดีย เนปาล อัฟกานิสถาน ปากีสถาน และบังคลาเทศ แต่หลักฐาน ทางโบราณคดีส่วนใหญ่อยู่ที่ประเทศอินเดีย เช่น สังเวชนียสถานและ พุทธสถานต่าง ๆ

ความเป็นมาของพระพุทธศาสนาใน 5 ประเทศไทย คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาระบุว่าเมื่อราวพุทธศตวรรษที่๓ประ มาณพ.ศ. ๒๓๕ หลังจากสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๓ พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงส่งสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธ ศาสนายังดินแดนต่างๆรวม๙สายด้วยกันในส่วนของ ประเทศไทยเชื่อกันว่ามีคณะของสมณทูตซึ่งมีพระโสณเถระภาพ จิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องพุทธประวัติตอนพระพุทธเจ้าแสดง ธรรมโปรดพุทธบริษัทของวัดราชสิทธาราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานครและพระอุตตรเถระเป็นหัวหน้าคณะเข้ามา เผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรกและอาจมีคณะสมณทูตชุด อื่นๆเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในกาลต่อๆมา ดังปรากฏหลัก ฐานทางโบราณคดีทั้งที่เป็นโบราณสถานและโบราณวัตถุว่า พระพุทธศาสนาได้เข้ามาเผยแผ่ในดินแดนสุวรรณภูมิตั้งแต่ราว พุทธศตวรรษที่ ๘ – ๙และประดิษฐานอย่างมั่นคงเมื่อราวพุทธ ศตวรรษที่๑๑ทั้งฝ่ายเถรวาทและฝ่ายมหายานซึ่งดินแดน สุวรรณภูมิเชื่อกันว่าคือดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริเวณประเทศไทยและประเทศพม่าในปัจจุบันจึงทำให้คนไทย โดยเฉพาะพระมหากษัตริย์ไทยยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

6 เรื่องคนไทยกับพุทธศาสนาและพุทธศาสนาในประเทศไทยนั้นได้ ความตามตำนานพระพุทธเจดีย์พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยา ดำรงราชานุภาพว่า คนไทยได้นับถือพระพุทธศาสนามาก่อนที่จะ อพยพมาตั้งประเทศไทยในปัจจุบันนี้แล้ว ซึ่งเรื่องนี้พระศรีวิสุทธิ โมลี(ประยุท ป.ธ.๙) ปัจจุบันพระพรหมคุณาภรณ์) ได้สรุปไว้ในคำ บรรยาย เรื่อง พุทธศาสนากับการศึกษาในอดีต ว่าก่อนที่ชนชาติไทย จะได้ตั้งอาณาจักรเป็นประเทศไทยเป็นปึกแผ่นมั่นคง ซึ่งถือว่าเริ่มแต่ การตั้งอาณาจักรสุโขทัยนั้นชนชาติไทยในภูมิภาคสุวรรณภูมิคลุมไป ถึงรัฐไทยต่างๆในดินแดนตั้งแต่ทางตอนใต้ของประเทศจีนนั้น ได้รับ นับถือพระพุทธศาสนามาแล้วทั้งสองนิกาย คือ ยุคแรก ได้รับนับถือพุทธศาสนานิกายมหายาน ผ่านทางประเทศจีน สมัยพระเจ้ามิ่งตี่ ในตอนต้น พุทธศตวรรษที่ ๗ รัชสมัยของขุนหลวง เม้า แห่งอาณาจักรอ้ายลาว ยุคที่สอง แยกออกเป็น ๒ ระยะ คือ ระยะแรก สมัยอาณาจักรศรีวิชัยรุ่งเรือง ราวพุทธศักราช ๑๓๐๐ กษัตริย์แห่งอาณาจักรศรีวิชัย ผู้นับถือพระพุทธศาสนานิกาย มหายาน มีเมืองหลวงอยู่ที่เกาะสุมาตรา ได้แผ่อำนาจเข้ามาถึงแหลม มลายู ได้ดินแดนตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไปไว้ครอบครอง พระพุทธศาสนานิกายมหายานจึงแผ่เข้ามาในภาคใต้ของประเทศไทย ระยะที่ ๒ ในสมัยลพบุรี เมื่อขอมเรื่องอำนาจแผ่อาณาเขตเข้ามา ครอบครองประเทศไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง ทั้งหมด ในราวพุทธศักราช๑๕๕๐พระพุทธศาสนาแบบมหายาน ซึ่ง ขอมรับมาจากอาณาจักรศรีวิชัยเช่นกัน แต่ว่าเจือด้วยศาสนา พราหมณ์ จึงแผ่เข้ามาในดินแดนแถบนี้พร้อมด้วย ภาษาสันสกฤต แต่ว่าดินแดนที่ขอมแผ่อาณาเขตเข้ามานั้น เดิมทีประชาชนพลเมือง ก็ได้รับนับถือพระพุทธศาสนา แบบหินยานอยู่แล้วแต่สมัยที่พระโสณ ะและพระอุตตระศาสนทูตสายที่ ๒ ใน ๙ สาย ของพระเจ้าอโศก มหาราชนำเข้ามาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิในสมัยทราวดีในพุทธศตวรรษ ที่ ๓

7 ยุคที่สาม สมัยพระเจ้าอนุรุทธมหาราชหรืออโนรธามัง ช่อ กษัตริย์พม่าแห่งอาณาจักรพุกามแผ่อำนาจเข้ามาใน อาณาเขตลานนาและล้านช้างราว พุทธศักราช๑,๖๐๐พระพุทธศาสนานิกายหินยานแบบ พุกามจึงได้แผ่เข้ามาในดินแดนแถบนี้พระพุทธศาสนาใน ประเทศไทยเริ่มนับถือแบบหินยานลัทธิลังกาวงศ์อย่าง จริงจังในรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เมื่อ พุทธศักราช๑,๘๒๐ เป็นต้นมากล่าวคือเมื่อพ่อขุนได้ขึ้น ครองราชย์พระองค์ได้ทรงสดับกิตติศัพท์พระสงฆ์ที่ไป ศึกษาที่ประเทศลังกากลับมาสั่งสอนอยู่ที่เมือง นครศรีธรรมราชมีความรอบรู้พระธรรมวินัยและมีวัตร ปฏิบัติน่าเลื่อมใสจึงได้อาราธนาจากเมือง นครศรีธรรมราชขึ้นมาตั้งสำนักและเผยแพร่คำสอน ณ กรุงสุโขทัย เรียกชื่อตามแหล่งที่มาว่าลังกาวงศ์พระสงฆ์ ในลัทธิลังกาวงศ์ที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชอาราธนา จากเมืองนครศรีธรรมราชมาตั้งสำนักในกรุงสุโขทัยนี้ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงเลื่อมใส ศรัทธา อย่าง แรงกล้ามากและโดยที่พระสงฆ์คณะนี้ ชอบความวิเวกจึง โปรดให้อยู่ ณ วัดอรัญญิกนอกเมืองและพระองค์ได้เสด็จ ไปนมัสการท่านเป็นประจำทุกวันกลางเดือนและสิ้นเดือน สรุปพุทธศาสนากับคนไทย โดยเฉพาะชนเผ่า ไทยในสุวรรณภูมิหรือในสยามประเทศปรากฏว่าคนไทย นับถือพระพุทธศาสนามาทั้ง๒นิกายคือทั้งมหายาน และ หินยาน ก่อนสมัยสุโขทัยดูจะนับถือปะปนกันทั้ง ๒ นิกาย แถมมีศาสนาพราหมณ์เข้ามาระคนด้วยที่เป็นดังนี้เพราะ ชนชาติไทยได้ร่วมสังคม กับชนชาติขอม ซึ่งเป็นใหญ่อยู่ ในภูมิภาคนี้มาก่อน และแม้สมัย ไทยสถาปนาราชอาณาจักรไทยเอกราชขึ้น ณ กรุงสุโขทัย แล้วก็ตาม

8 พระมหากษัตริยาธิราชเจ้าของชาวไทยทุกพระองค์ ทรงเป็นพุทธมามกะในเวลาเดียวกันทรงเป็น อัคร ศาสนูปถัมภกศาสนาต่าง ๆ ในพระราชอาณาเขตให้เจริญ วัฒนาเป็นศูนย์รวมใจและเป็นที่พึ่งของอาณาประชาราษฎร์ ทุกยุคทุกสมัยตราบปัจจุบัน ในประเทศไทยมีองค์การทาง พระพุทธศาสนาที่กรมการศาสนาให้การสนับสนุน ดังนี้ ๑. องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พ.ส.ล.) ๒. พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ๓. ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรม ราชูปถัมภ์ ๔. สภายุวพุทธิกสมาคมแห่งชาติ ๕. เปรียญธรรมสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ ๖. มูลนิธิภูมิพโลภิกขุ ๗. องค์กรเครือข่ายภาคราชการและภาคประชาสังคม ๘๔ องค์กร

คัมภีร์ 9 คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา เรียกว่า พระไตรปิฎก มี ๓ หมวด คือ ๑. พระวินัยปิฎก ว่าด้วยวินัยหรือศีลของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและ อุบาสิกา ๒. พระสุตตันตปิฎก ว่าด้วยคำสอนที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคล สถานที่ เหตุการณ์ประกอบ หรือเรียกว่า “ชาดก” ๓. พระอภิธัมมปิฎก ว่าด้วยสภาวะธรรมล้วน ๆ เกี่ยวกับจิต เจตสิก รูป และนิพพาน เป็นธรรมลึกซึ้ง ในทางพระพุทธศาสนา ความเชื่อ ๑.เชื่อกรรม กรรม คือการกระทำเป็นคำกลางๆทำดีเรียกว่า “กุศลกรรม” ทำไม่ดีเรียกว่า“อกุศลกรรม” แบ่งเป็น ๓ ทาง คือทางกาย ทางวาจา และทางใจ ๒. เชื่อผลแห่งกรรม พระพุทธศาสนาสอนว่า การกระทำทุกอย่างไม่ว่า ทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ ย่อมมีผลติดตามมา ทำดีได้ผลดี ทำชั่วได้ ผลชั่ว คนจะได้ดีหรือได้ชั่วเป็นเพราะตัวเป็นผู้กระทำ ๓. เชื่อว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง พระพุทธศาสนาสอนว่าผลแห่ง กรรมเป็นสมบัติเฉพาะตัว ใครทำคนนั้นได้ จะแบ่งปันเผื่อแผ่กันไม่ได้ ผล แห่งกรรมจะยังคงดำรงอยู่จนกว่าจะให้ผลเสร็จเรียบร้อยแล้วเป็น อโหสิกรรมแล้วจึงจะยุติ

10 หลักธรรมคำสอน ๑. หัวใจของพระพุทธศาสนา พระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธ ศาสนาแม้จะมีเป็นจำนวนมากแต่เพื่อให้ง่าย ต่อความเข้าใจและ ความจำ สรุปได้ ๓ หลักการ คือ ๑.๑ ห้ามไม่ให้กระทำความชั่วทุกชนิดทั้งกาย วาจา และ ใจ ๑.๒ ให้กระทำความดีทุกอย่างทั้งทางกาย วาจา และใจ ๑.๓ ชำระจิตให้บริสุทธิ์ เพราะจิตบริสุทธิ์จะทำให้กาย และวาจาบริสุทธิ์ด้วย ๒. คุณธรรม ความดีงามที่เกิดจากการประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ตามหลักพระธรรมคำสั่งสอน ในพระพุทธศาสนาทำให้ผู้ประพฤติ ปฏิบัติมีความเห็นที่ถูกต้อง ๓. จริยธรรม เป็นหลักปฏิบัติเพื่ออยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเป็นสุข เช่น ความไม่เบียดเบียนกัน การช่วยเหลือเผื่อแผ่ต่อกัน

ผู้สืบทอด 11 ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานไม่นานนักพระ อานนท์มหาเถระผู้เป็นพุทธอุปัฏฐาน คือ ผู้ถวายการดูแล พระพุทธเจ้าได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า เมื่อพระองค์เสด็จดับ ขันธปรินิพพานแล้ว จะมอบภาระ การดูแลพระพุทธศาสนาไว้ ให้กับใคร พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้เป็นภาระของพุทธบริษัท ๔ คือ ๑. พระภิกษุ คือ นักบวชชาย ๒. พระภิกษุณี คือ นักบวชหญิง ๓. อุบาสก คือ ผู้นับถือพระพุทธศาสนาชายที่ไม่ใช่พระภิกษุ ๔. อุบาสิกา คือ ผู้นับถือพระพุทธศาสนาหญิงที่ไม่ใช่พระ ภิกษุณี บุคคลเหล่านี้จะเป็นผู้รับภาระหน้าที่ในการดูแลรักษา พระพุทธศาสนาเป็นพุทธศาสนทายาท คือ ผู้สืบทอดอายุ พระพุทธศาสนาต่อไป ส่วนคำถามที่ว่าใครจะมาเป็นพระ ศาสดาแทนพระองค์นั้น ผู้ที่จะมาเป็นพระบรมศาสดาแทนพระองค์ไม่มีเนื่องจากความ เป็นพุทธะหรือพระศาสดานั้น พระองค์ได้มาด้วยพระบุญญา บารมีของพระองค์เองจะมอบให้คนใดคนหนึ่งไม่ได้ แต่ได้ตรัส ไว้ว่า พระธรรมวินัยหรือพระธรรมคำสั่งสอนที่พระองค์ ตรัสรู้ มามีความสมบูรณ์ครบถ้วนทุกประการและได้ตรัสบอกกับพุทธ บริษัทครบถ้วนทุกประการแล้ว พระธรรมคำสั่งสอนทั้งหมด นั้นจะเป็นพระบรมศาสดาแทนพระองค์ ขอให้พุทธบริษัทหมั่น เพียรศึกษาประพฤติ ปฏิบัติตามอย่าได้ประมาท

12 ข้อพึงปฏิบัติของพระพุทธศาสนา ๑. การบูชาพระประจำวัน ธรรมดาชาวพุทธย่อมมีชีวิตจิตใจ เนื่องด้วยพระรัตนตรัย มีพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่งที่ระลึกใน การดำเนินชีวิตประจำวัน เพื่อให้ตนมีความประพฤติดี ประพฤติชอบ มีความเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้าปราศจากภัย อันตรายต่างๆ และอยู่เย็นเป็นสุข จึงนิยมเคารพสักการ บูชาพระรัตนตรัยเป็นประจำ วันละ ๒ ครั้ง เป็นอย่างน้อย คือ ๑) ตอนเช้า ก่อนออกจากบ้านไปประกอบ ภารกิจการงานทุกวัน เวลาเช้าก่อนออกจากบ้าน เมื่อแต่ง กายเรียบร้อยแล้ว ชาวพุทธทั้งหลายผู้เคร่งต่อศาสนาย่อม นิยมเข้าห้องพระหรือไปที่บูชาพระ แล้วนั่งคุกเข่า จุดเครื่อง สักการบูชาพระ คือ ๑) จุดเทียนเล่มขวาของพระพุทธรูป ก่อน แล้วจุดเทียนเล่มซ้าย ๒) จุดธูป ๓ ดอก แล้วปักที่ กระถางธูป แล้วกราบพระรัตนตรัย แบบ เบญจางคประดิษฐ์ (คือทั้งหน้าผาก ฝ่ามือทั้งสอง และหัว เข่าทั้งสองลงจรดพื้น) ๓ ครั้ง แล้วประณมมือกล่าวคำบูชา พระรัตนตรัยต่อไป

13 ๒) ตอนกลางคืน ก่อนนอนพักผ่อนชาวพุทธจะ นิยมสวดมนต์เป็นภารกิจสุดท้ายประจำวัน โดยจุดเครื่อง สักการบูชาพระรัตนตรัย แล้วกราบแบบ เบญจางคประดิษฐ์ ประณมมือกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย แล้วนั่งพับเพียบประณมมือตั้งใจสวดบทไตรสรณคมน์ บท สรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ แล้วแผ่เมตตา เพื่อตั้งความปรารถนาดีให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิด มีความสุข ปราศจากทุกข์ ไม่มีเวร ไม่คับแค้นใจ รักษาตน ให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง นอกจากนั้นยัง นิยมสักการบูชา พระรัตนตรัยเป็นกรณีพิเศษอีก ๒ คราว คือ คราวเกิด ความไม่สบายใจและคราวจะตัดสินใจเรื่องสำคัญ

14 ๒. การทำบุญใส่บาตร และการกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ๒.๑ การทำบุญใส่บาตร ในแต่ละวันพุทธศาสนิกชน มีหน้าที่ทำบุญใส่บาตร เพื่อทำนุบำรุงรักษา พระพุทธศาสนาไว้ เนื่องจากพระสงฆ์เป็นพุทธบุตร เป็นผู้ควรสักการะและเป็นเนื้อ นาบุญของโลกที่ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า จะดำรงชีพอยู่ได้ก็ต้อง อาศัยความอุปถัมภ์จากญาติโยมโดยการถวายอาหารและปัจจัย อื่น การใส่บาตรเป็นการถวายภัตตาหารเช้าแก่พระสงฆ์ซึ่งอยู่ใน พระธรรมวินัยที่ห้ามพระฉันอาหารหลังเที่ยงวัน เพราะฉะนั้นการ ใส่บาตร มักจะเริ่มตั้งแต่รุ่งอรุณถึงเวลาประมาณ ๘ นาฬิกา ของแต่ละวันให้แก่พระภิกษุสามเณรที่ออกบิณฑบาต ภัตตาหาร ที่ถวายเป็นอาหารคาวหวานที่มีความบริสุทธิ์ คือ ได้มาโดย สุจริต ถวายด้วยเจตนาอันเป็นกุศล ผู้ถวายอาหารมีการสำรวม กิริยาทุกประการ เช่น การแต่งกายเรียบร้อย กริยาอ่อนน้อม ด้วยความเคารพไม่ชวนพระสงฆ์ผู้รับบิณฑบาตพูดคุยหรือ สนทนา เมื่อใส่บาตรแล้ว ผู้ถวายพึงประณมมือแสดงความ เคารพ พร้อมอธิษฐานขอพรตามความตั้งใจปรารถนา พระสงฆ์ ก็จะรับบิณฑบาตด้วยกิริยาสำรวมแล้วจากไป หรืออาจให้พร เป็นภาษาบาลีแก่ผู้ใส่บาตรก่อนจากไป หากพระสงฆ์ให้พร ผู้ใส่ บาตรพึงประณมมือรับพรจนจบ

15 ๒.๒ การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล เป็นพิธีทางศาสนา อย่างหนึ่งที่ปฏิบัติร่วมกับพิธีบุญต่าง ๆ เช่น ทำหลังจากการ ทำบุญใส่บาตร หลังจากเสร็จพิธีงานมงคล (เช่น งานมงคลสมรส งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ งานวันเกิด) และภายหลังพิธีงานอวมงคล (เช่น พิธีศพ งานทำบุญหลังพิธีเผาศพแล้ว ๗ วัน ๑๐๐ วันให้แก่ ผู้วายชนม์) สำหรับพิธีกรวดน้ำทำโดยผู้กรวดน้ำรินน้ำจากภาชนะ ใส่น้ำที่เหมาะสม หรือจากที่กรวดน้ำที่จัดไว้โดยเฉพาะ ลงที่รองน้ำ ขณะที่พระสงฆ์กล่าวให้พรเป็นภาษาบาลีด้วยบท “ยถา วาริ วหา.........” ด้วยการนึกถึง และอธิษฐาน ส่วนบุญกุศลให้แก่บุคคลผู้ ล่วงลับไปแล้ว หรือเจ้ากรรมนายเวร น้าต้องรินให้หมดเมื่อพระ สงฆ์สวดบท “สัพพี ติโย......” แล้วผู้กรวดน้ าพึงประณมมือรับพร จนสิ้นสุดการสวดให้พร เป็นอันเสร็จพิธี

16 ๓. การรักษาศีล การปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาในชีวิตประจำ วัน ๓.๑ การสมาทานศีล หมายถึงการรับเอาศีลมาปฏิบัติ หรือการถือศีล ซึ่งมีทั้งการสมาทานศีล ๕ และการสมาทานศีล ๘ (อุโบสถศีล) ศีลห้า เป็นศีลประจำตัวของอุบาสกอุบาสิกา เป็น ศีลที่พึงรักษาเป็นประจำ จึงเรียกอีกชื่อว่า “นิจศีล” โดยมุ่ง ควบคุมกาย และวาจาให้ละเว้นสิ่งไม่ดี ๕ ประการ คือ (๑) ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ (๒) ละเว้นจากการลักทรัพย์ (๓) ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม (๔) ละเว้นจากการพูดเท็จ (๕) ละเว้นจากการดื่มน้ำเมา ศีลห้านับเป็นการจัดระเบียบ สังคมขั้นพื้นฐานซึ่งจะเป็นหลักประกันว่าแต่ละคนจะได้ใช้ชีวิต หรือทำความดีอื่นให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นได้อย่างสะดวก ศีล ๘ (อุโบสถศีล) ประกอบด้วยข้อปฏิบัติ ๘ ประการ ได้แก่ (๑) ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ (๒) ละเว้นจากการลักทรัพย์ (๓) ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม (๔) ละเว้นจากการพูดเท็จ (๕) ละเว้นจากการดื่มน้ำเมา (๖) ละเว้นจากการรับประทานอาหารยามวิกาล (นับแต่เวลา เที่ยงแล้วเป็นต้นไป) (๗) ละเว้นจากการใช้เครื่องหอม เครื่องประดับ (๘) ละเว้นจากการนอนบนที่นอนอันสูงใหญ่ (หรือที่ปุด้วย ที่นอนอันหนานุ่ม)

17 ๓.๒ การปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา สมถะและวิปัสสนา เป็น ๒ วิธีของภาวนา ภาวนา แปลว่า “การทำให้มีขึ้น เป็นขึ้น หรือการเจริญ” เมื่อใช้ในความหมายของธรรมะ คือ การฝึก อบรม จิตใจ แบ่งออกเป็น ๒ อย่าง คือ ๑) สมถภาวนา คือ การฝึกอบรมจิตให้เกิดความสงบ หรือการ ฝึกสมาธิ ๒) วิปัสสนาภาวนา คือ การฝึกอบรมเจริญปัญญาให้เกิดความ รู้แจ้งชัดสิ่งทั้งหลาย ตามความเป็นจริง หรือเรียกสั้นๆ ว่า “การเจริญปัญญา” ในคัมภีร์สมัยหลัง บางทีเรียกภาวนาว่า “กรรมฐาน” ซึ่งแปลว่าที่ตั้งแห่งงานทำความเพียรฝึกอบรมจิต จึงเกิดคำเรียกว่า “สมถกรรมฐาน” และ “วิปัสสนากรรมฐาน

18 การปฏิบัติสมถะหรือสมาธิในชีวิตประจำวัน มักนิยมทำ ตอนเช้า หรือก่อนนอนหลังจากการบูชาพระและการสวดมนต์ ประจำวันเพราะสมถะต้องการบรรยากาศที่สงบและต่อเนื่อง โดยอาจจะฝึกปฏิบัติน้อยไปหามาก เช่น เริ่มจาก ๓ นาที ๕ นาที จนเมื่อชำนาญก็จะปฏิบัติวันละครึ่งชั่วโมง หรือหนึ่ง ชั่วโมง ” มีความเป็นหนึ่งในการพิจารณาอารมณ์นั้น ที่ใช้กัน มาก คือ พุทธานุสติการตามระลึกถึงคุณ ของพระพุทธเจ้า โดย กำหนดเวลาหายใจเข้าว่า “พุท” เวลาหายใจออกว่า “โธ” อีกวิธี หนึ่งที่ใช้กันมาก คือ อานาปานสติ การตามระลึกกำหนดลม หายใจเข้าออก โดยกำหนดจุดตรงหน้าท้อง หายใจเข้าว่า “พอง หนอ” หายใจออกว่า “ยุบหนอ” เมื่อฝึกสมถะเป็นประจำ สม่ำเสมอ การปฏิบัติวิปัสสนาในชีวิตประจำวัน จะปฏิบัติที่ไหน เมื่อไรก็ได้ ขอให้ฝึกพิจารณาให้เกิดปัญญา รู้เท่าทันสิ่งทั้งหลาย ทั้งปวงไม่ว่าวัตถุสิ่งของ (รูป) และความคิดนึก การรู้อารมณ์ ใดๆ (นาม) ในทางทวาร (ประตู) ทั้ง ๖ ของร่างกายเรา คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ไม่ว่าจะเป็นการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัส และจิตใจที่คิดนึก ทั้งรูปและนามทุกทวาร ล้วนแต่มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วคราว แล้วก็ดับไป ตกอยู่ใต้กฎ ไตรลักษณ์ หรือสามัญลักษณะ ๓ อย่าง คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สรุป การรักษาศีล การปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา คือ การปฏิบัติไตรสิกขา ศีล สมาธิ และปัญญา หรือเจริญมรรคมี องค์ ๘ ในชีวิตประจ าวันของแต่ละคน ทำให้ลดทุกข์ และอยู่ เป็นสุขได้มากขึ้นตามสัดส่วน ที่เราเอาใจใส่ปฏิบัติ ได้มากน้อย แค่ไหน

ศาสนาอิสลาม 19 ประวัติศาสนาอิสลาม “อิสลาม” เป็นคำภาษาอาหรับ แปลว่า การยอมจำนน การปฏิบัติตามและการนอบน้อม เมื่อนำคำว่า “อิสลาม” มา เป็นชื่อของศาสนาจึงมีความหมายว่าเป็นศาสนาแห่งการ ยอมนอบน้อม จำนนต่อพระเจ้า คือ อัลลอฮ์ ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาสุดท้ายที่ถูกประทานลงมา จากชั้นฟ้า ด้วยความพอพระทัยของอัลลอฮ์ ที่มอบให้แก่มวล มนุษยชาติพระองค์ทรงส่งท่านศาสดามุฮัมมัด บุตรอับดุล ลอฮ์มาเป็นความเมตตาแก่ชาวโลกทั้งหลายเพื่อยืนยันความ เป็นเอกะของพระองค์นำมวลมนุษย์ออกจากความมืดสู่แสง สว่างพร้อมทั้งยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระองค์ ด้วย ความพอใจและสมัครใจ ปฏิบัติตามคำบัญชาใช้ของพระองค์ และ ออกห่างไกลจากคำสั่งห้ามของพระองค์ พร้อมทั้งยึด มั่นในจริยธรรมอันสูงส่งแห่งอิสลาม โดยการปฏิบัติศาสนกิจ ตามหลักการอิสลาม ๕ ประการ และหลักศรัทธาอีก ๖ ประการ เพื่อให้เกิดคุณธรรมในจิตสำนึก อันจะนำมาซึ่งการ เกื้อกูลกันในสังคม

20 ในทุกยุคทุกสมัยอัลลอฮ์ได้แต่งตั้งศาสนทูตของพระองค์ เพื่อทำ หน้าที่สั่งสอนผู้คนให้รู้จักพระเจ้าที่แท้จริง และ ปฏิบัติตามข้อบัญญัติของพระองค์ ตามที่ปรากฏใน คัมภีร์อัลกุรอาน จนกระทั่งถึงยุคของศาสดา มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านได้เผยแพร่ข้อบัญญัติจา กอัลลอฮ์ โดยใช้ชื่อว่า อิสลาม หรือศาสนาอิสลาม ดังนั้น ผู้คนทั้งหลายจึงมักเข้าใจว่า ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ เกิดขึ้นใหม่เมื่อ ๑,๔๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา อิสลามเป็นคำสอ นที่อัลลอฮ์ได้กำหนดให้แก่มวลมนุษยชาติ ในโลกนี้ไม่ใช่ คำสอนที่ถูกกำหนดมาเพื่อเฉพาะกลุ่มชนชาวอาหรับ เท่านั้น เพียงแต่ว่าศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะ ซัลลัม เป็นชาวอาหรับจึงเริ่มเผยแพร่จากถิ่นที่อยู่ของ ท่านและได้ขยายออกสู่ดินแดนต่างๆ ของโลก

21 อิสลามในประเทศไทย ศาสนาอิสลามมีจุดเริ่มต้นการเผยแพร่จากคาบสมุทร อาหรับ และได้ขยายเข้าสู่ดินแดนต่างๆ ของโลก รวมทั้ง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย รวมถึงตอนใต้ของประเทศไทย โดยพ่อค้า ชาวอาหรับที่ เดินทางเข้ามาค้าขาย พร้อมนำหลักปฏิบัติของอิสลามที่ งดงาม เข้ามาเผยแพร่ จนได้รับการยอมรับจากประชาชน ในดินแดนเหล่านั้น ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์อิสลามได้ขยาย เข้าสู่ภาคกลางและ ภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศไทย โดยการ อพยพและย้ายถิ่นฐานของมุสลิม นอกจากนี้ยังมีมุสลิมชาว ต่างชาติที่ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดน ของไทยด้วย

ประวัติศาสดา 22 การเกิ ด ท่านศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เกิดที่ นครมักกะฮ์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศซาอุดีอาระเบีย ตั้งอยู่ แถบตะวันออกกลาง ท่านเกิด เมื่อเวลาเช้าตรู่ของวันที่ ๑๒ เดือนร่อบีอุ้ลเอาวัล ปีช้าง สาเหตุที่เรียกว่าปีช้าง เพราะเป็นปีที่ กษัตริย์อับรอหะฮ์ได้นำกองทัพช้างมาเพื่อทำลายกะอ์บะฮ์ แต่ ไม่สามารถทำลายได้เพราะอัลลอฮ์ได้ทำลายกองทัพนั้นเสียก่อน ซึ่งตรงกับ วันที่ ๒๒ เมษายน ค.ศ. ๕๗๑ หรือ พ.ศ. ๑๑๑๔ เมื่อท่านอับดุลมุฏฏอลิบ ผู้เป็นปู่ได้ทราบข่าวการเกิด จึงได้รีบ ไปเยี่ยมและได้ตั้งชื่อให้หลานชายว่า “มุฮัมมัด” ซึ่งมีความ หมายว่า “ผู้ได้รับการสรรเสริญ”

ความเชื่อ 23 บิดาของท่านชื่อ อับดุลลอฮ์ เป็นบุตรของอับดุลมุฏฏอ ลิบ บุตรของฮาชิม บุตรของอับดุมะนาฟ บุตรของกุศ็อย บุตรของกิลาบ มารดา ของท่านชื่อ อามีนะฮ์ บุตรีของ วะฮับ บุตรของอับดุมะนาฟ บุตรของชุรอฮฺ บุตรของกิ ลาบ บิดาและมารดาของท่านศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะ ซัลลัม เป็นต้นตระกูลเดียวกัน หรือเผ่าเดียวกัน คือเผ่ากุร็อยช์ บิดาของท่าน เสียชีวิตใน ขณะท่านอยู่ในครรภ์มารดา และต่อมามารดาของท่านก็ เสียชีวิตอีกในขณะที่ท่านมีอายุได้๖ปีท่านศาสดาจึงได้ไป อยู่กับปู่ชื่อ อับดุลมุฏฏอลิบ และเมื่อปู่เสียชีวิตท่านได้ไป อยู่กับลุงชื่อ อะบูฏอลิบ ในวัยเด็กท่านเคยทำงานโดยมี อาชีพรับจ้างเลี้ยงแพะ เลี้ยงแกะ ให้แก่ชาวมักกะฮ์และได้ เคยติดตามลุงไปค้าขายยังประเทศชาม (ซีเรีย) สองครั้ง ครั้งแรกไปเมื่ออายุ๑๒ ปีและครั้งที่สอง ไปเมื่ออายุ๒๕ ปี ในขณะที่ท่านมีอายุ ๒๕ ปีนั้น ท่านไปทำการค้าให้แก่ ท่านหญิง คอดีญะฮ์ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการค้าในนครมัก กะฮ์ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีไมตรีและมิตรภาพ ประกอบกับมีประสบการณ์ในเรื่องการค้าขายเมื่อสมัย ที่ ยังอยู่กับลุง จึงทำให้กิจการค้าของท่านหญิงคอดีญะฮ์ เจริญรุ่งเรืองเป็นลำดับ ซึ่งต่อมาท่านหญิงคอดีญะฮ์ได้ ขอแต่งงานกับท่าน ซึ่งขณะนั้นท่านอายุได้ ๒๕ ปีส่วน ท่านหญิงคอดีญะฮ์อายุได้๔๐ ปีซึ่งเป็นหญิงหม้าย

24 การเป็นศาสดา (นบี) ท่านศาสดามุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้รับ วะฮ์ยู (วะฮียฺ) คือ การติดต่อสื่อสารโดยฉับพลันจากอัลลอฮ์ โดยผ่านสื่อคือ เทวทูต ญิบรีล และยังไม่มีบัญชาให้ออกเผย แพร่ ซึ่งเริ่มต้นด้วยคำว่า อิกเราะอ์ ที่มีความหมายว่า “เจ้าจง อ่านเถิด” “เจ้าจงอ่านเถิดด้วยพระนามของพระผู้อภิบาลของ เจ้าผู้ทรงสร้าง มนุษย์จากก้อนเลือด เจ้าจงอ่านเถิด และผู้ อภิบาลของเจ้าทรงเอื้อเฟื้ อ เผื่อแผ่ยิ่ง พระองค์ทรงสอน มนุษย์ ให้รู้จักใช้ปากกาและทรงสอนมนุษย์ ในสิ่งที่เขาไม่รู้ การได้รับวะฮ์ยู โดยไม่มีบัญชาให้ออกเผยแพร่นี้ถือเป็นการ แต่งตั้งให้ท่านมีตำแหน่งเป็นศาสดา (นบี) จากพระองค์ อัลลอฮ์ซึ่งเกิดขึ้น ในเดือนรอมฎอน ณ ถ้ำฮิรออ์ขณะนั้นท่าน มีอายุได้๔๐ ปีส่วนการแต่งตั้งให้ท่านเป็นรอซู้ล (ศาสนทูต) พร้อมมีบัญชาให้นำเอาหลักการศาสนาออก เผยแพร่ต่อมวล มนุษย์นั้น เกิดขึ้นหลังจากวันที่ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นนบี ๖ เดือน

คัมภีร์ของศาสนาอิสลาม 25 คัมภีร์ของศาสนาอิสลาม เรียกว่า คัมภีร์อัลกุ รอาน เนื้อหาในคัมภีร์นี้ทั้งหมดเป็นวจนะของพระเจ้าที่ได้ ประทานแก่ท่านศาสดานบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะ ซัลลัม ผ่านทางสื่อคือเทวทูตหญิงบรีล เพื่อนำไปเผยแพร่ แก่มวลมนุษย์ ศาสดานบีมุฮัมมัดเป็นบุคคลที่อัลลอฮ์ ทรง เลือกให้ทำหน้าที่ประกาศศาสนา และเป็นผู้นำในการปฏิบัติ ศาสนกิจ ตามคำสอนของพระองค์อัลลอฮ์ประทานคัมภีร์ แก่ท่านศาสดาเป็นระยะๆ รวมเวลาทั้งสิ้น ๒๓ ปีแบ่งเป็น สองช่วง คือ ช่วงก่อนการอพยพเป็นเวลา ๑๓ ปีเรียกว่า “มักกียะห์” และช่วงหลังการอพยพเป็นเวลา ๑๐ ปีเรียกว่า “มะดะนียะห์” เมื่อได้รับโองการมาท่านจะอ่านให้สาวกฟัง และให้จดบันทึก ลงบนแผ่นหิน หนังสัตว์กระดาษ กาบอิ นทผาลัม และวัสดุอื่นๆ เก็บไว้ คัมภีร์อัลกุรอาน มีความหมายทางภาษาว่า “คัมภีร์ที่ถูกอ่าน” มี๓๐ ภาค (ญุซอ์) ๑๑๔ บท (ซูเราะห์) และ ๖,๒๓๖ วรรค (อายะห์) เป็น แนวทางการปฏิบัติ สำหรับบุคคลและสังคม มีคำสอนเกี่ยวกับการทำความดี การดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกัน การแต่งงาน ความตาย อาชีพ การทำมาหากิน รวมทั้งมีเรื่องวิทยาศาสตร์การเมือง เศรษฐกิจ กฎหมาย และสังคมไว้อย่าง ครบถ้วน ภาษาที่ใช้บันทึกคัมภีร์อัลกุรอาน คือ ภาษา อาหรับ ข้อความ ในคัมภีร์เป็นภาษาที่ไพเราะมิใช่ร้อยแก้ว และมิใช่ร้อยกรองแต่ก็มีสัมผัสในแบบของตัวเอง ปัจจุบันนี้ ได้มีการแปลคัมภีร์อัลกุรอานเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลก มุสลิมถือว่าทุกคำและทุกตัวอักษรของคัมภีร์อัลกุรอานมา จากอัลลอฮ์ และเป็นความจริงที่บริสุทธิ์และเป็นธรรมนูญ สำหรับชีวิต

หลักปฏิบัติศาสนกิจ (อัรกานุลอิสลาม) 26 หลักปฏิบัติศาสนกิจ หมายถึง หลักศาสนกิจที่อิสลามได้บัญญัติ เป็น พื้นฐานแรกสำหรับมุสลิมทุกคนที่จะต้องนำมาปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ สำคัญที่สุดของอิสลาม ซึ่งเราเรียกว่า “อัรกานุลอิสลาม” มีประกอบ กัน ๕ ประการ คือ ๑. การปฏิญาณตน (ชะฮาดะฮฺ) ผู้ประสงค์จะเข้าสู่อิสลาม จะต้องกล่าวคำปฏิญาณตน อย่าง เปิดเผยและชัดเจน พร้อมทั้งเลื่อมใสศรัทธาตามที่ตน ปฏิญาณและจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติอย่างจริงใจ การ เป็นมุสลิม มิใช่เพียงการกล่าวคำปฏิญาณ หรือเพียงแต่ ประพฤติตามแบบมุสลิมเท่านั้น หากจะต้องประกอบด้วย ความเลื่อมใส ศรัทธาอย่างแท้จริงด้วย องค์ประกอบแห่ง การปฏิญาณจะต้องมีพร้อม ทั้ง ๓ ประการ คือ ๑.๑ กล่าวปฏิญาณด้วยวาจา ๑.๒ เลื่อมใสด้วยจิตใจ ๑.๓ ปฏิบัติด้วยร่างกาย บุคคลที่นับถืออิสลาม จำเป็นต้องจัดการขลิบหนังหุ้ม ปลายอวัยวะเพศออก เพื่อเหตุผลด้านความสะอาดและ สุขภาพอนามัย เรียกในภาษาอาหรับว่า “คิตาน” หรือ “คอ ตัน”

27 คำปฏิญาณของอิสลาม มิใช่การสบถสาบานให้มี อันเป็นไป ต่างๆ นานามิใช่คำสวดภาวนา หากเป็นประโยค ที่กล่าวแสดงถึงความ ศรัทธามั่นในพระเจ้า และในศาสน ทูตมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยกล่าว ว่า“ข้าพเจ้าปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮ์ และข้าพเจ้าปฏิญาณว่า มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะ ซัลลัม เป็นศาสนทูต ของอัลลอฮ์ ผู้ที่ประสงค์จะเข้ารับ อิสลาม จึงต้องเริ่มด้วยจิตใจที่มีศรัทธา จากนั้นจึงกล่าว ประโยคปฏิญาณดังกล่าว ซึ่งมุสลิมทุกคนต้องกล่าวได้ การสอนประโยคปฏิญาณจึงไม่จำเป็นต้องเลือกเอาบุคคลที่ มีความรู้ศาสนาสูง มุสลิมทุกคนสามารถที่จะกล่าวนำ ประโยคปฏิญาณได้ทั้งนั้น

28 ๒. การละหมาด การละหมาด คือ การแสดงความเคารพนมัสการต่อ อัลลอฮ์ ตะอาลา ประกอบด้วย จิตใจ วาจา และร่างกาย พร้อมกัน มุสลิมจำเป็น ต้องปฏิบัติละหมาดวันละห้าครั้ง คือ ละหมาดดุห์ริในช่วงบ่าย ละหมาดอัศริ ในช่วงเย็น ละ หมาดมัฆริบ ในช่วงตะวันลับขอบฟ้า ละหมาดอิชาอ์ในช่วง หัวค่ำ และละหมาดศุบฮิในช่วงแสงอรุณขึ้น ผู้ทำละหมาด โดยสม่ำเสมอ จะก่อประโยชน์แก่ตัวเขาเองอย่างอเนก อนันต์ ทำให้จิตใจของเขาสะอาดบริสุทธิ์ขจัดความหมอง หม่น ทางอารมณ์ ทำลายความตึงเครียด ทำให้เป็นคนที่ เคร่งครัดในระเบียบวินัย ตรงต่อเวลา มีความซื่อสัตย์สุจริต อดทนและจิตใจสำรวมระลึกอยู่กับพระเจ้า ตลอดเวลาเมื่อ จิตใจสำรวมอยู่กับพระเจ้าและระลึกถึงแต่พระองค์ก็ไม่มี โอกาสที่จะคิดทำความชั่วต่างๆ คิดแต่จะปฏิบัติตามคำ บัญชาและบทบัญญัติของพระองค์ไม่กล้าทำความผิดและ ฝืนบทบัญญัติของพระองค์

๓. การจ่ายซะกาต 29 ซะกาต คือ ทรัพย์จำนวนหนึ่งที่ได้กำหนดไว้เป็น อัตราส่วน จากจำนวนทรัพย์ที่เจ้าของทรัพย์ได้มาจน ครบพิกัดที่ศาสนาได้บัญญัติไว้ และนำทรัพย์จำนวนนั้น จ่ายออกไปแก่ผู้มีสิทธิ คำว่า “ซะกาต” แปลว่า ความเจริญก้าวหน้า และการขัดเกลา ให้สะอาดเนื่องเพราะเมื่อเจ้าของทรัพย์ ได้จ่ายซะกาตออกไป เท่ากับเป็นการ ขัดเกลาจิตใจให้ สะอาดปราศจากกิเลสนานาประการ โดยเฉพาะความ ตระหนี่ ความใจแคบ ซึ่งเป็นกิเลสใหญ่ชนิดหนึ่งที่เป็น สาเหตุสำคัญให้สังคมอยู่กันอย่าง เห็นแก่ตัว ไม่มีการ ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน แน่นอนสังคมที่เต็มไป ด้วย ความเห็นแก่ตัว ไม่นานวิกฤติการณ์ก็จะต้องเกิดแก่ สังคมนั้น การแก่งแย่ง ฉกชิง กดขี่ ขูดรีด ทำลายกัน และอาชญากรรมต่างๆ จะต้องอุบัติขึ้น การจ่ายซะกาตจะทำให้สังคมเจริญก้าวหน้า คนยากจน มีโอกาสได้รับการช่วยเหลือ การ สังคมสงเคราะห์จะกระจายออกไปอย่างกว้างขวาง สถาบันทางสังคมได้รับการพัฒนารวมทั้งผู้ยากไร้ที่หมด ทุน ในการประกอบอาชีพ หรือไม่มีทุนศึกษาต่อ ก็มี โอกาสที่จะใช้ซะกาตเจือจุนสร้างชีวิตใหม่แก่ผู้ขาดแคลน และผู้ยากไร้เหล่านั้น

30 ๔. การถือศีลอด-ถือบวช การถือศีลอดหรือการถือบวช ภาษาอาหรับใช้ คำว่า “อัศเซาม์”หรือ “อัศศิยาม” ความหมายเดิม หมายถึง การงดเว้น การระงับ การหักห้ามตัวเอง ใน นิยามศาสนบัญญัติหมายถึง “การงดเว้นสิ่งที่จะทำให้ การถือศีลอดเป็นโมฆะ ตามศาสนบัญญัติโดยเริ่ม ตั้งแต่เวลาแสงอรุณขึ้นจวบถึงตะวันตกดิน” การถือศีลอดที่บังคับให้กระทำนั้นมีเฉพาะ ในเดือนรอมฎอน เท่านั้น ส่วนในวาระอื่นๆ ไม่ได้บังคับ แต่ประการใด นอกจากจะมีเหตุปัจจัย อย่างอื่นมา บังคับ เช่น การบนบานไว้ว่าจะถือศีลอดอันมิใช่ใน เดือนรอมฎอน อย่างนี้ถือว่าการถือศีลอดตามที่ บนบานไว้นั้นถูกบังคับให้กระทำ เป็นต้น ผลจากการถือศีลอด นำไปสู่คุณธรรมนานา ประการ เช่น แสดงให้ประจักษ์ชัดถึงความเสมอภาค ทางสังคม สามารถควบคุมจิตใจ ของตนเองได้ มี ความอดทน อดกลั้น มีคุณธรรม มีความสำรวมตนเอง และยำเกรงพระเจ้า ไม่ประพฤติผิดในขณะถือศีลอด มี จิตเมตตาสงสาร เอื้อเฟื้ อ เผื่อแผ่ต่อผู้อื่น มีความสำนึก ในเมตตาแห่งพระผู้เป็นเจ้า มีระเบียบวินัยและฝึกให้ ตรงต่อเวลาเพราะการถือศีลอดมีเงื่อนไขให้ทุกคน ปฏิบัติอยู่ใน กรอบแห่งความประพฤติอันดีงาม มากมายจะรับประทานก็ต้องตรงต่อเวลา จะพูดจาหรือ จะเคลื่อนไหวก็ต้องระมัดระวังกลัวกุศลแห่งการถือศีล อดจะบกพร่องไป

31 ๕. การประกอบพิธีฮัจย์ การประกอบพิธีฮัจย์ครั้งหนึ่งในชีวิตของมุสลิมที่มี ความ สามารถพร้อมทั้งทางร่างกายและทางการเงินที่จะ เดินทางไปทำพิธี ที่บัยตุ้ลลอฮ์ได้ พิธีฮัจย์เป็นศาสนกิจที่ สรุปไว้ซึ่งอุดมการณ์ทางสังคมอย่างครบบริบูรณ์ การที่มุสลิมจากทั่วทุกมุมโลกเดินทางออกไปจาก ถิ่นที่อยู่ อาศัยของตนไปสู่พิธีฮัจย์เป็นประจำติดต่อกันมา ถึง ๑,๔๐๐ กว่าปีนับเป็น กิจกรรมที่มีความมหัศจรรย์ และมีพลังอันแกร่งกล้าทางศรัทธายิ่งนักสำนึกของผู้เดิน ทางไปสู่พิธีฮัจย์เป็นสำนึกเดียวกัน จากวิญญาณจิตที่ ผนึก เป็นดวงเดียวกัน แม้จะมาจากถิ่นฐานอันแตกต่าง กัน มีภาษาผิดแผกกัน มีสีผิวไม่เหมือนกัน มีฐานะต่างกัน มีตำแหน่งทางสังคมไม่เท่ากัน แต่เมื่อทุกคนเดินทางมาสู่ ศาสนกิจข้อนี้สิ่งเหล่านั้นถูกสลัดทิ้งไปโดยสิ้นเชิง ทุกคน ซึ่งมีจำนวนมหาศาล แต่ก็ร่วมกิจกรรมเดียวกันโดยไม่ รังเกียจเดียดฉันท์ ไม่มีความโกรธเกลียดซึ่งกันและกัน คนเป็นจำนวนล้านไปรวมกันอยู่ในสถานที่เดียวกัน แต่ ไม่มีเรื่องขัดแย้งกัน ทุกคนมีใบหน้าอันยิ้มแย้ม ทักทาย ซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือกันอย่างไม่ถือเขาถือเรา ผิด พลาดล่วงเกินกันบ้าง ก็พร้อมที่จะให้อภัยแก่กันและกัน

ผู้สืบทอดศาสนา 32 ศาสนาอิสลามไม่มีพระหรือนักบวชเพื่อทำหน้าที่ประกอบ พิธีกรรม และเผยแผ่ศาสนาโดยเฉพาะ เช่น อิหม่ามก็เป็น เพียงผู้นำในการละหมาด เท่านั้น มิใช่พระที่ทำหน้าที่เป็นก ลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ดังนั้น อิสลามิกชนทุกคนจึง มีหน้าที่สืบทอดศาสนาอิสลามด้วย การปฏิบัติตนตามหลัก การศาสนา ศึกษาและเรียนรู้หลักคำสอนของศาสนา ให้รู้ แจ้งเห็นจริง และทำหน้าที่เผยแผ่ตามกำลังความรู้ของตน ท่านศาสดา มุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าว่า “ผู้รู้คือทายาทของศาสดา”

ข้อห้าม 33 ๑. ห้ามตั้งภาคีหรือนำสิ่งอื่นขึ้นเทียบเคียงพระเจ้า เช่น การยึดมั่นถือมั่นต่อเงินตรา ชื่อเสียง วงศ์ตระกูล เกียรติยศ ประเพณี เหนือการยึดมั่นต่อพระเจ้า ๒. ห้ามกราบไหว้บูชา รูปปั้ น วัตถุ ต้นไม้ ก้อนอิฐ ก้อนหิน ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ แม่น้ำ ภูเขา ผีสางเทวดา เพราะ ในศาสนาอิสลามไม่มีเจ้าที่เจ้าทาง ดังนั้นจึงห้ามเซ่นไหว้สิ่ง ใดๆ ๓. ห้ามเชื่อดวง ห้ามผู้ดวง ห้ามดูหมอ ห้ามเชื่อโหร ห้าม การเสี่ยงทาย ห้ามถือโชคลางและใช้ เครื่องรางของขลัง ๔. ห้ามเล่นการพนันทุกชนิด ห้ามเสี่ยงทาย เสี่ยงโชค ห้าม แทงม้า แทงหวย เป็นต้น ๕. ห้ามกินสัตว์ที่ตายเอง สัตว์ที่มีโรค เลือดสัตว์ทุกชนิด สุกร สุนัข ห้ามกินสัตว์ที่ถูกนำไปเซ่นไหว้ สัตว์ที่ถูกรัดคอ ตายโดยที่ไม่เชือดให้เลือดไหล สัตว์ที่เชือดโดยมิได้กล่าว นามของอัลลอฮ์ ห้ามกินสัตว์ที่มีลักษณะอันน่ารังเกียจ สัตว์ที่มีเขี้ยวหรือที่ดุร้าย เช่น เสือ จระเข้ สัตว์ที่ตะปบสัตว์ อื่นกินเป็นอาหาร เช่น เหยี่ยว กา

34 ๖. ห้ามเสพสิ่งมึนเมาทุกชนิด เช่น เหล้า เบียร์ กระแช่ กัญชา ยาฝิ่ น อะไรก็ตามที่เสพเข้าไป แล้วมันทำอันตรายต่อร่างกาย เป็นสิ่งต้องห้ามทั้งสิ้น นักปราชญ์มุสลิมบางกลุ่มมีความเห็นว่า แม้กระทั่ง บุหรี่ก็เป็นสิ่งต้องห้ามเหมือนกัน ๗. ห้ามผิดประเวณีไม่ว่าจะด้วยความยินยอมหรือสมัครใจทั้ง สองฝ่ายก็ตาม ข้อห้ามในเรื่องการผิดประเวณีนี้อิสลามไม่ได้ ห้ามการผิดประเวณีอย่างเดียว แต่ยังห้ามการติดต่อสัมพันธ์ที่ จะชักนำไปสู่การผิดประเวณีด้วย เช่น การคบหากันระหว่างเพศ นั้นจะต้องมีขอบเขตจากัด ห้ามสุงสิงเกินขอบเขตแม้ว่า จะเป็น เครือญาติก็ตาม ๘. ห้ามฆ่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิด โดยไม่มีเหตุผลตามที่ศาสนากำหนด ไว้ ๙. ห้ามประกอบอาชีพที่ไม่ถูกต้องด้วยศีลธรรมหรืออาชีพนั้นจะ นำคนไปสู่หายนะ เช่น ตั้ง ซ่อง โสเภณี ตั้งโรงเหล้า บาร์ อาบ อบนวด ปล่อยเงินกู้โดยวิธีเก็บดอกเบี้ย รับซื้อของโจรและเปิด สถานรื่นเริงรมย์ทุกชนิด ๑๐. ห้ามบริโภคอาหารที่หามาได้โดยไม่ชอบธรรม ๑๑. ห้ามกักตุนสินค้า จนราคาสินค้าขึ้นสูงแล้วนำสินค้าออก มาขาย ๑๒. ห้ามใส่ร้ายป้ายสี นินทาหรือกระทำการใดๆ ที่จะสร้าง ความเดือดร้อนต่อตนเอง เพื่อน บ้าน สังคม และประเทศชาติ

ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู 35 ประวัติความเป็นมา ศาสนาพราหมณ์ เป็นศาสนาดั้งเดิมของชนเผ่าอารยัน หรือ พวกอริยกะซึ่งเป็นชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเอเชียกลาง ต่อมา ชาวอารยันกลุ่มหนึ่งอพยพไปทางยุโรป แล้วกลายเป็นชาว ยุโรปปัจจุบัน ส่วนอีกพวกหนึ่งอพยพเข้าไปอยู่ในอิหร่าน และอีกพวกหนึ่งเข้าไปในอินเดีย รบชนะชาวพื้นเมือง(พวก มิลักขะ) ยึดครองอินเดียพวกอารยันที่เข้ายึดครองอินเดีย เป็นชนเผ่าที่มีความรู้ ความฉลาดหลักแหลม ทั้งพวก อริยกะและพวกมิลักขะต่างมีวัฒนธรรม ประเพณี และ ศาสนาของตนอยู่ก่อน กล่าวคือ พวกมิลักขะนับถือ ธรรมชาติ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม โดยเชื่อว่ามีเทพเจ้าประจำอยู่ ในธรรมชาติ ส่วนพวกอริยกะก็นับถือธรรมชาติและ วิญญาณบรรพบุรุษ ธรรมชาติที่พวกอริยกะนับถือ ได้แก่ เทพเจ้า 4 องค์ ต่อไปนี้ 1. พระอินทร์ เทพผู้บันดาลให้เกิดสรรพสิ่งในโลก 2. พระสาวิตรี เทพผู้ให้ความร้อนและแสงสว่าง 3. พระวรุณ เทพผู้ให้ความเย็นและความชุ่มชื้น 4. พระยม เทพผู้ทำลายชีวิตมนุษย์และสัตว์

36 ในประเทศไทยคนรู้จักศาสนาฮินดูในชื่อ ศาสนา พราหมณ์ ดังนั้นชื่อทางราชการของศาสนาฮินดู ใน ประเทศไทย คือ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู สมัยก่อนกรุง รัตนโกสินทร์ ศาสนาพราหมณ์- ฮินดูได้เข้ามาสู่ ดินแดน สุวรรณภูมิก่อนสมัยทวารวดีคัมภีร์ชาดกในพระพุทธศาสนา เช่น พระมหาชนก คัมภีร์รามายณะ ก็กล่าวถึงดินแดนใน สุวรรณภูมิและสุวรรณทวีปไว้ เมื่อ พ.ศ. ๓๐๓ คณาจารย์ พราหมณ์ที่ติดตามพระโสณะเถระ กับพระอุตรเถระ ศาสน ทูตของพระเจ้าอโศกมหาราช เข้ามายังสุวรรณภูมิ จุดแรก ที่ทั้งสององค์มาประดิษฐาน พระพุทธศาสนาคือ นครปฐม ตอนนี้นับเป็นยุคแรก ๆ ของพราหมณ์ในประเทศไทย ประจักษ์พยานในการ เผยแพร่ศาสนาพราหมณ์คือแหล่ง โบราณสถานซึ่งเป็นร่องรอยความเจริญของบรรพชนใน อดีต เป็นประวัติศาสตร์ของบ้านเมือง มีโบราณวัตถุ สิ่ง เคารพสักการะ ปฏิมากรรมและปูชนียวัตถุของศาสนา เช่น เทวรูป เทวาลัย พบที่จังหวัดนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี และกาญจนบุรีซึ่งประจักษ์พยานนี้เป็นการยืนยัน การ นับถือศาสนา ดังได้ปรากฏความเจริญของศาสนา พราหมณ์- ฮินดู อันแสดงถึงวัฒนธรรม ศรัทธา ความเชื่อ ในแผ่นดินไทยที่มีมาแต่โบราณกาล โดยเฉพาะเมื่อกล่าวถึง เมืองสุวรรณภูมิที่มีอายุยาวนานกว่า ๒,๐๐๐ ปี

37 ศาสนา พราหมณ์ – ฮินดู หลายกลุ่มกระจายเป็นบริเวณ กว้างบ่งบอกวัฒนธรรมอินเดียตอนใต้แพร่เข้ามาสู่ดินแดน ประเทศไทยด้วยเส้นทางการค้าทางเรือหลายเส้นทาง ระหว่างปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๐ – ๑๔ ประติมากรรมเก่า ที่สุดในลัทธิไศวนิกายและไวษณพนิกายในท้องที่จังหวัด นครศรีธรรมราช อำเภอสิชลท่าศาลาร่อนพิบูลย์ และอำ เภอเมืองนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะเทวสถาน เขาคา เรียกว่าวิมานแห่งพระศิวะมหาเทพ หรือไศวภูมิมณฑล เป็นการจำลองจักรวาลคือเขาพระสุเมรุ (ไกรลาส) ที่สถิต ของพระศิวะ พระผู้เป็นเจ้ายิ่งใหญ นอกจากนี้ยังปรากฏ ประติมากรรมรูปเคารพทั่วผืนแผ่นดินไทย ทั้งภาคตะวัน ออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือตอนล่าง ชาว ไทยตั้งอาณาจักรสุโขทัยเป็นราชธานี เมื่อ พ.ศ. ๑๘๐๐ ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูเจริญคู่อยู่กับพระพุทธศาสนาแล้ว แม้พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ จะแพร่เข้ามาอีกระลอก ก็ตาม คติความเชื่อศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู มีอิทธิพลมาก ขึ้นในการปกครองของชาวไทย สมัยกรุงศรีอยุธยายึดถือว่า พระมหากษัตริย์คือสมมุติเทวราช การพระราชพิธีและ พิธีกรรมทั้งปวงเพื่อความมั่นคง และความอุดมสมบูรณ์ จึงข้องอยู่ในธรรมเนียมจารีตของศาสนาพราหมณ์ - ฮินด

38 ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของไทยที่ปรากฏถึงการ เกี่ยวข้องกับศาสนาพราหมณ์ –ฮินดูจะเห็นได้จาก ชื่อ สถานที่ เช่น อโยธยา ลพบุรี ทรวารวดี ฯลฯ ในวรรณคดี ได้แก่ รามเกียรติ์ อนิรุทธิ์คำฉันท์ พาลีสอนน้อง กฤษณา สอนน้องคำฉันท์ แม้ในเทศกาลต่างๆ เช่น สงกรานต์ ลอย กระทง โดยเฉพาะการพระราชพิธี ที่ประกอบขึ้นเกี่ยวกับ สถาบันพระมหากษัตริย์และความสวัสดิมงคลของบ้าน เมือง เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระราชพิธี ฉัตรมงคล พระราชพิธีโสกันต์ พระราชพิธีจรดพระนังคัล แรกนาขวัญ พระราชพิธีตรียัมปวาย - ตรีปวาย เป็นต้น ประเทศไทยได้ให้การรับรองฐานะองค์การทางศาสนา พราหมณ์ – ฮินดู ได้แก่ สำนักพราหมณ์ พระราชครูในส สำนักพระราชวัง สมาคมฮินดูธรรมสภาและสมาคมฮินดู สมาช

39 ศาสดา ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ไม่มีศาสดาจริงจังเหมือน ศาสนาอื่น แต่มีหัวหน้าลัทธิหรือผู้แต่งตำรา ทำหน้าที่ คล้ายศาสดา มีดังนี้ 1. วยาสะ ท่านผู้นี้เป็นผู้รวบรวมเรียบเรียง คัมภีร์พระเวท คัมภีร์อิติหาสะ และคัมภีร์ปุราณะ 2. วาลฆีกิ เป็นฤษีผู้แต่งมหากาพย์รามายณะ ท่านเป็นพราหมณ์โดยกำเนิด แต่ถูกพ่อแม่ทิ้งตั้งแต่ยัง เล็กพวกชาวนาได้นำไปเลี้ยงไว้ 3. โคตมะหรือเคาตมะ ผู้ตั้งลัทธินยายะ เกิด ประมาณ 500 ปีก่อน ค.ศ. 4. กณาทะ ผู้ตั้งลัทธิไวฌศษิกะ เกิด ประมาณศตวรรษที่ 3 ก่อน ค.ศ. 5. กปิละ ผู้ตั้งลัทธิสางขยะ เกิดในสมัย ศตวรรษที่ 6 ก่อน ค.ศ. 6. ปตัญชลิ ผู้ตั้งลัทธิโยคะ เกิดในสมัย ศตวรรษที่ 3 หรือ 4 ก่อน ค.ศ. 7. ไชมินิ ผู้ตั้งลัทธิมีมางสา หรือปูรวมีมางสา เกิดระหว่างศตวรรษที่ 6-2 ก่อน ค.ศ. 8. มนู หรือ มนุ ผู้แต่งคัมภีร์ธรรมศาสตร์ เกิดในศตวรรษที่ 5 ก่อน ค.ศ.

40 9.พาทรายณะ ผู้ตั้งลัทธิเวทานตะ หรือ อุตรมี มางสา มีผู้กล่าวว่าเป็นคนเดียวกับวยาสะ เกิดระหว่าง ศตวรรษที่ 6-2 ก่อน ค.ศ. 10. จารวากะ ผู้ตั้งลัทธิโลกายนะ หรือวัตถุนิยม ไม่มีประวัติแน่นอน 11. ศังกราจารย์ ผู้แต่งอรรถกถา หรือคำอธิบาย ลัทธิเวทานตะ เกิดระหว่างปี ค.ศ. 788-820 และเป็นผู้ตั้ง ลัทธิอไทวตะ หรือเอกนิยม คือ นิยมพระเจ้าองค์เดียว 12. นาถมุนี เป็นผู้นำคนแรกของลัทธิไวษณวะ อยู่ในช่วงระหว่าง ค.ศ. 824-924 13. รามานุชาจารย์ ถือว่าเป็นคนสำคัญยิ่งของ ลัทธิไวษณวะ และเจ้าของปรัชญาวิศิษฏาทไวตะ เกิดปี ค.ศ. 1027 14. มัธวาจารย์ เป็นผู้นำท่านหนึ่งแห่งลัทธิไวษณ วะ และเจ้าของปรัชญาทไวตะ หรือ ทวินิยม อยู่ในช่วง ระหว่าง 1199-1277 15. ลกุลีศะ (สมัยของท่านนี้ยังไม่แน่นอน) เป็น อาจารย์ใหญ่แห่งนิกายไศวะ ฝ่ายใต้ผู้ตั้งนิกายปศุปตะ

16. วสุคุปตะ เป็นผู้ตั้งลัทธิไศวะฝ่ายเหนือหรือที่ 41 เรียกว่า กาษปีรไศวะ (อยู่ระหว่างศตวรรษที่ 9 แห่ง ค.ศ.) 17. รามโมหัน รอย เป็นผู้ตั้งพรหมสมา ช(สมาคม) อยู่ ระหว่างปี ค.ศ. 1774-1833 18. สวามีทะยานัน สรัสวดี เป็นผู้ตั้งอารยสมาช อยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1824-1833 19. รามกฤษณะ เป็นผู้นำทางความรู้และทาง ปฏิบัติ เป็นผู้จัดให้มีกระบวนการรามกฤษณะมิชชัน แม้ ท่านจะไม่ได้ตั้งขึ้นเอง แต่สวามีวิเวกานันทะ สรัสวดี ก็ตั้ง ขึ้นเพื่อเป็นเครื่องอนุสรณ์ถึงท่าน อยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1836-1886

คัมภีร์ 42 คัมภีร์พระเวท มี 3 คัมภีร์ เรียกว่า \"ไตรเวท\" คือ 1. ฤคเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทสวดสดุดีพระผู้ เป็นเจ้าทั้งหลาย บรรดาเทพเจ้าที่ปรากฎในฤคเวทสัมหิตา มีจำนวน 33 องค์ ทั้ง 33 องค์ ได้จัดแบ่งตามลักษณะ ของที่อยู่เป็น 3 กลุ่ม คือ เทพเจ้าที่อยู่ในสวรรค์ เทพเจ้าที่ อยู่ในอากาศ และเทพเจ้าที่อยู่ในโลกมนุษย์ มีจำนวนกลุ่ม ละ 11 องค์ 2. ยชุรเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทประพันธ์ที่ว่า ด้วยสูตรสำหรับใช้ในการประกอบยัญพิธียชุเวทสัมหิตา แบ่งออกเป็น 2 แขนง คือ ก. ศุกลชุรเวท หรือ ยชุรเวท ขาว ได้แก่ ยชุรเวทที่บรรจุมนต์ หรือคำสวดและสูตรที่ต้อง สวด ข. กฤษณยชุรเวท หรือ ยชุรเวทดำ ได้แก่ ยชุรเวทที่ บรรจุมนต์และคำแนะนำเกี่ยวกับการประกอบยัญพิธี บวงสรวง ตลอดทั้งคำอธิบายในการประกอบพิธีอีกด้วย 3. สามเวท เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทประพันธ์อัน เป็นบทสวดขับร้องบทสวดในสามเวทสัมหิตามีจำนวน 1,549 บท ในจำนวนนี้มีเพียง 75 บท ที่มิได้ปรากฏใน ฤคเวท ส่วนอถรวเวท หรือที่เรียกกันว่า อาถรรพเวท เป็น คัมภีร์ที่เกิดขึ้นภายหลัง เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมบทประพันธ์ที่ ว่าด้วยมนต์หรือคาถาต่างๆ

43 การแบ่งวรรณะ 1.วรรณะพราหมณ์ มีหน้าที่ติดต่อกับพระเจ้า สั่งสอนศาสนาและประ กv[พิธีกรรมแก่ประชาชนทุกวรรณะ ศึกษาจดจาและ สืบต่อคัมภีร์พระเวท และเป็นปุโรหิตให้แก่กษัตริย์ พราหมณ์ถือว่าตนเป็นวรรณะสูงสุดในสังคม 2.วรรณะกษัตริย์ นักรบที่ทาหน้าที่ป้องกันประเทศชาติบ้านเมืองและทาศึก สงครามขยายเขตแดน เกิดจากพระพาหา (แขน)ของพระผู้เป็นเจ้า 3.วรรณะแพศย์ เป็นวรรณะของคนส่วนใหญ่ในสังคม ได้แก่ผู้ประกอบ พาณิชยกรรม เกษตรกรรมและศิลปหัตถกรรม ต่างๆ เกิดจากพระโสนิ(ตะโพก)ของพระผู้เป็นเจ้า 4.วรรณะศูทร เป็นวรรณะของพวกกรรมกรผู้ทางานรับจ้างแบกหาม และ ให้บริการแก่วรรณะอื่นๆ เกิดจากพระบาท ของพระผู้เป็นเจ้า

หลักธรรม 44 1. อาศรม หมายถึง ขั้นตอนการดำเนินชีวิตของชาวฮินดู เฉพาะที่เป็นพราหมณ์วัยต่างๆ โดยกำหนดเกณฑ์อายุคนไว้ 100 ปี แบ่งชาวงของการไว้ชีวิตไว้ 4 ตอน ตอนละ 25 ปี ช่วงชีวิตแต่ละช่วงเรียกว่า อาศรม(วัย) อาศรมทั้ง 4 ช่วง มีดังนี้ อาศรมที่ 1 (ปฐมวัย) เรียกว่า พรหมจรยอาศรม เริ่ม ตั้งแต่อายุ 8-25 ปี ผู้เข้าสู่อาศรมนี้เรียกว่า พรหมจารี อาศรมที่ 2 (มัชฌิมวัย) เรียกว่า \"คฤหัสถาศรม\" อยู่ใน ช่วงอายุ 25-50 ปี อาศรมที่ 3 (ปัจฉิมวัย) เรียกว่า \"วานปรัสถาศรม\" อยู่ ในช่วงอายุ 50-75 ปี อาศรมที่ 4 คือ สันยัสตาศรม อยู่ในช่วงอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไป สำหรับผู้ปรารถนาความหลุดพ้น(โมกษะ) จะ ออกบวชเป็น \"สันยาสี\" เมื่อบวชแล้วจะสึกไม่ได้

45 2. ปรมาตมัน หมายถึง สิ่งที่ยิ่งใหญ่ อันเป็นที่รวมของทุก สิ่งทุกอย่างในสากลโลก ได้แก่ \"พรหม\" ปรมาตมันกับ พรหมจึงเป็นสิ่งเดียวกัน ซึ่งมีลักษณะดังนี้ 2.1 เกิดขึ้นเอง 2.2 เป็นนามธรรม สิงสถิตอยู่ในสิ่งทั้งหลาย และ เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา 2.3 เป็นศูนย์รวมแห่งวิญญาณทั้งปวง 2.4 สรรพสิ่งล้วนแยกออกมาจากพรหม 2.5 เป็นตัวความจริง (สัจธรรม) สิ่งเดียว 2.6 เป็นผู้ประทานญาณ ความคิด และความสันติ 2.7 เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในสภาพเดิมตลอดกาล วิญญาณทั้งหมดเป็นส่วนที่แยกออกมาจากปรมาตมัน วิญญาณย่อยเหล่านี้เมื่อแยกออกมาแล้ว ก็เข้าจุติในชีวิตรูป แบบต่างๆ เช่น เทวดา มนุษย์ สัตว์ และพืช มีสภาพดีบ้าง เลวบ้าง ตามแต่พรหมจะลิขิต 3. โมกษะ ถือว่าเป็นหลักความดีสูงสุด ดังคำสอนของ ศาสนาฮินดูสอนว่า \"ผู้ใดรู้แจ้งในอาตมันของตนว่าเป็นหลัก อาตมันของโลกพรหมแล้ว ผู้นั้นย่อมพ้นจากสังสาระการ เวียนว่าย ตาย เกิด และจะไม่ปฏิสนธิอีก\" นิกาย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook