76 สาระการเรียนรแู้ กนกลาง/ทอ้ งถิน่ ความรู้ ทักษะ/กระบวนการ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ / บูรณาการศาสตร์พระราชา มรู้เรื่องการหมนุ เวียนของน้ำ - มีการสงั เกต - ใฝเ่ รยี นรู้ รน้ำ - มีการสืบค้นข้อมลู - มงุ่ ม่ันในการทำงาน - มีการตคี วามหมายขอ้ มูล - การศึกษาขอ้ มลู ให้เป็นระบบ มรูเ้ รอ่ื งกระบวนการเกิดเมฆ - มีทกั ษะการจดั ทำข้อมูล - ระเบิดจากภายใน นำ้ คา้ ง และนำ้ คา้ งแข็ง - มกี ารเปรียบเทียบ - ทำตามลำดับข้ันตอน - มกี ารสื่อความหมาย - หาความรจู้ ากการใช้ชวี ิตประจำวัน - มกี ารลงความคดิ เห็น มรู้เร่ืองกระบวนการเกดิ ฝน ะลกู เหบ็ มร้เู รอ่ื งการใชเ้ หตุผลเชิงตรรกะ - มกี ารสังเกต - ใฝเ่ รยี นรู้ ก้ปัญหา - มีการสืบค้นขอ้ มูล - มุ่งมั่นในการทำงาน - มีการตคี วามหมายข้อมลู - ความเพยี ร มรู้เร่อื งการออกแบบ และเขียน - มีทักษะการจดั ทำขอ้ มูล - การศึกษาข้อมูลให้เปน็ ระบบ มท่มี ีการใชเ้ หตผุ ลเชิงตรรกะ - มกี ารทดลอง - ระเบดิ จากภายใน ย - มีการลงความคดิ เหน็ - ทำตามลำดบั ขนั้ ตอน หาข้อผดิ พลาดและแก้ไข - มีการพยากรณ์ - พึ่งตนเอง มรูเ้ ร่อื งการใช้อินเทอรเ์ นต็ - มีการจดั ทำ - หาความรู้จากการใชช้ วี ติ ประจำวัน อมลู ติดตอ่ สอื่ สารและทำงาน - ทำให้ง่าย - แก้ปญั หาจากจุดเล็กๆ มรเู้ รอ่ื งการใช้ซอฟตแ์ วร์ - มีการสงั เกต - ใฝเ่ รยี นรู้ มร้เู รื่องการใช้อินเทอร์เนต็ ใน - มกี ารสบื ค้นข้อมูล - มงุ่ มน่ั ในการทำงาน ขปญั หาในชวี ิตประจำวนั - มกี ารตีความหมายขอ้ มูล - ความเพียร - มที กั ษะการจัดทำข้อมลู - การศกึ ษาขอ้ มลู ใหเ้ ปน็ ระบบ - มกี ารลงความคดิ เหน็ - ระเบิดจากภายใน
ตัวช้วี ัด สาระสำคญั ว ๔.๒ ป. ๕/๕ - ปลอดภยั มมี ารยาทในการใชเ้ ทคโนโลยี - มีความ ๕. ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอย่าง สารสนเทศ สารสนเท ปลอดภัย มมี ารยาท เข้าใจสิทธิและ - สิทธแิ ละหน้าทีข่ องตน มารยาท หนา้ ทีข่ องตน เคารพในสทิ ธขิ องผ้อู ่ืน - สทิ ธขิ องผูอ้ น่ื แจ้งผู้เกย่ี วขอ้ ง เคารพใน แจ้งผ้เู ก่ียวข้องเมื่อพบขอ้ มลู หรือ บคุ คลทีไ่ มเ่ หมาะสม
77 สาระการเรียนรู้แกนกลาง/ท้องถ่นิ ความรู้ ทกั ษะ/กระบวนการ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ / บรู ณาการศาสตรพ์ ระราชา - ทำตามลำดบั ขั้นตอน มรู้เรือ่ งการใชเ้ ทคโนโลยี - พงึ่ ตนเอง ทศความ อยา่ งปลอดภัย มี - หาความร้จู ากการใชช้ ีวิตประจำวนั เขา้ ใจสิทธิและหนา้ ที่ของตน - ทำให้งา่ ย นสทิ ธิของผอู้ ื่น - แกป้ ัญหาจากจุดเล็กๆ
78 คำอธิบายรายวชิ า รายวชิ า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่มุ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๕ ภาคเรยี นท่ี ๑-๒ รหสั วชิ า ว ๑๕๑๐๑ เวลา ๑๒๐ ชว่ั โมง/ปี ศึกษา วิเคราะห์โครงสร้างและลักษณะของสิ่งมีชีวิต การดำรงชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับ สิง่ ไมม่ ีชีวติ หว่ งโซ่อาหารและระบุบทบาทหน้าที่ของสงิ่ มีชวี ติ ลกั ษณะทางพันธุกรรมทม่ี กี ารถ่ายทอด สถานะของ สสาร การละลายของสาร การเปลีย่ นแปลงของสารเม่อื เกดิ การเปลีย่ นแปลงทางเคมี การเปล่ยี นแปลงท่ี ผันกลบั ได้ และการเปลย่ี นแปลงทผ่ี นั กลับไม่ได้ การหาแรงลัพธ์ของแรงหลายแรงในแนวเดียวกัน การใช้ เครือ่ งชงั่ สปรงิ ในการ วัดแรง แรงเสียดทาน การไดย้ ินเสียงผ่านตวั กลาง การเกิดเสยี งสูง เสยี งตำ่ ระดับเสียง การเกดิ เสียงดัง เสียงค่อย การหลีกเลีย่ งและลดมลพิษทางเสยี ง ดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ การใช้แผนท่ีดาวระบุตำแหน่งและเส้นทางการขึ้น และตกของกลุ่มดาวฤกษ์ น้ำในแต่ละแหล่ง ปริมาณน้ำที่มนุษย์สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ การใช้น้ำอย่าง ประหยัดและการอนรุ ักษน์ ำ้ วฏั จกั รนำ้ การเกิดเมฆ หมอก น้ำคา้ ง และน้ำค้างแขง็ กระบวนการเกิดฝน หมิ ะ และ ลูกเหบ็ การหาเหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา การออกแบบ และเขียนโปรแกรม การใช้อินเทอร์เน็ตค้นหา ขอ้ มลู ติดต่อส่อื สาร การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอยา่ งปลอดภัย เหมาะสม โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสงั เกต การสบื เสาะหาความรู้ การสำรวจ ตรวจสอบ การสืบค้น ข้อมูลและการอภปิ ราย เพื่อให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สามารถสื่อสารสิง่ ท่ีเรียนรู้ มีความสามารถในการตัดสินใจ เห็น คุณค่าของการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม ค่านิยม ที่เหมาะสม และบรู ณาการกบั ศาสตร์พระราชา ตวั ช้วี ดั ว ๑.๑ ป. ๕/๑,ป. ๕/๒,ป. ๕/๓,ป. ๕/๔ ว ๑.๓ ป. ๕/๑,ป. ๕/๒ ว ๒.๑ ป. ๕/๑,ป. ๕/๒,ป. ๕/๓,ป. ๕/๔ ว ๒.๒ ป. ๕/๑,ป. ๕/๒,ป. ๕/๓,ป. ๕/๔,ป. ๕/๕ ว ๒.๓ ป. ๕/๑,ป. ๕/๒,ป. ๕/๓,ป. ๕/๔,ป. ๕/๕ ว ๓.๑ ป. ๕/๑,ป. ๕/๒ ว ๓.๒ ป. ๕/๑,ป. ๕/๒,ป. ๕/๓,ป. ๕/๔,ป. ๕/๕ ว ๔.๒ ป. ๕/๑,ป. ๕/๒,ป. ๕/๓,ป. ๕/๔,ป. ๕/๕ รวม ๓๒ ตวั ชี้วัด
79 โครงสรา้ งรายวชิ า รายวิชา วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ป.๕ ภาคเรยี นที่ ๑-๒ จำนวน ๓ หนว่ ยกติ ลำดบั ท่ี ชือ่ หนว่ ยการเรียนรู้ สาระการเรยี นร/ู้ ตวั ชี้วดั สาระสำคญั / เวลา นำ้ หนกั ๑ สิง่ มชี ีวติ กับการดำรงชวี ติ ว ๑.๑ ป. ๕/๑,ป. ๕/๒, ความคิดรวบยอด (ช่วั โมง) 10 ป. ๕/๓,ป. ๕/๔ ๒ การถา่ ยทอดลักษณะทาง - สิง่ มีชวี ติ ๑๖ 10 พันธกุ รรม ว ๑.๓ ป. ๕/๑,ป. ๕/๒ - การดำรงชวี ติ 10 - การปรบั ตัวของสงิ่ มีชวี ิต ๑๒ 10 ๓ สารกับการเปล่ียนสะถา ว ๒.๑ ป. ๕/๑,ป. ๕/๒, - สิ่งมีชีวิตกับส่ิงมีชวี ิต ๑๔ นะ ป. ๕/๓,ป. ๕/๔ - สิ่งมชี ีวติ กบั สิ่งไมม่ ชี วี ิต - เขียนหว่ งโซอ่ าหาร ๑๒ ๔ แรงและการเคลื่อนที่ ว ๒.๒ ป. ๕/๑,ป. ๕/๒, - ผผู้ ลติ ผู้บ่รโิ ภค ป. ๕/๓,ป. ๕/๔,ป. ๕/๕ - สิ่งแวดลอ้ ม - การดำรงชวี ิตของสิ่งมชี วี ติ - การดแู ลรกั ษาส่ิงแวดล้อม - ลักษณะทางพนั ธุกรรม - การถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ ลกู ของพืช สตั ว์ และมนุษย์ - ลักษณะท่คี ลา้ ยคลึงกัน ของตนเองกับพอ่ แม่ - สถานะของสสาร - การละลายของสารในน้ำ - การเปลี่ยนแปลงของสาร - การเปล่ียนแปลงทางเคมี - การเปลีย่ นแปลงที่ผันกลบั และผนั กลบั ไม่ได้ - แรงลัพธ์ - แรงทก่ี ระทำกับวัตถุ - แรงท่กี ระทำต่อวตั ถุท่ีอยู่ ในแนวเดียวกนั - แรงลพั ธท์ กี่ ระทำกบั วัตถุ - เครือ่ งชง่ั สปรงิ - การวดั แรงทีก่ ระทำต่อวัตถุ - แรงเสยี ดทาน - แผนภาพแสดงแรงเสยี ด ทานและแรง ทอี่ ยู่ในแนว เดียวกัน
80 ลำดับที่ ชอ่ื หน่วยการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้/ตวั ชวี้ ดั สาระสำคญั / เวลา นำ้ หนกั ๕ เสียงกับสมบตั ขิ องเสยี ง ว ๒.๓ ป. ๕/๑,ป. ๕/๒, ความคดิ รวบยอด (ชัว่ โมง) และการได้ยนิ ป. ๕/๓,ป. ๕/๔,ป. ๕/๕ ๖ - เสยี ง ๖6 วัตถทุ ้องฟาและแผนท่ดี าว ว ๓.๑ ป. ๕/๑,ป. ๕/๒ - การไดย้ ินเสยี งผา่ น ตัวกลาง ๔6 - การเกิดเสียงสูง เสยี งตำ่ - การเกิดเสียงดงั เสียงคอ่ ย - เคร่อื งมือวัดระดบั เสียง - ระดับเสียง - ดาวเคราะหแ์ ละดาวฤกษ์ - แผนท่ีดาวระบตุ ำแหน่ง - การขน้ึ และตกของกลมุ่ ดาวฤกษ์บนท้องฟา้ ๗ น้ำกับชีวติ และวฏั จักรของ ว ๓.๒ ป. ๕/๑,ป. ๕/๒, - ปรมิ าณน้ำในแตล่ ะแหล่ง ๑๖ 8 นำ้ ป. ๕/๓,ป. ๕/๔,ป. ๕/๕ - ปริมาณนำ้ ท่มี นษุ ย์ 38 10 สามารถนำมาใช้ประโยชน์ 2 30 120 100 - คณุ ค่าของน้ำ - การประหยัดและการ อนุรกั ษ์น้ำ - วัฏจกั รน้ำ - กระบวนการเกิดเมฆ หมอก นำ้ คา้ ง และน้ำค้าง แขง็ - กระบวนการเกดิ ฝน หมิ ะ และลูกเห็บ ๘ วิทยาการคำนวณ ว ๔.๒ ป. ๕/๑,ป. ๕/๒, - เหตผุ ลเชิงตรรกะในการ เขียนโปรแกรมอย่างงา่ ย ป. ๕/๓,ป. ๕/๔,ป. ๕/๕ แกป้ ัญหา - การทำงาน การคาดการณ์ ผลลพั ธ์ - ออกแบบ - เขียนโปรแกรมอยา่ งง่าย - ตรวจหาขอ้ ผดิ พลาดและ แกไ้ ข - อินเทอรเ์ น็ต - คน้ หาขอ้ มูล ติดตอ่ สอ่ื สาร และทำงานร่วมกัน สอบปลายปีการศึกษา รวมทั้งส้นิ ตลอดปี หมายเหตุ อตั ราส่วนคะแนนระหว่างเรียนกบั การสอบปลายภาค ๗๐/๓๐
การวิเคราะหเ์ พ่อื จัดทำคำอธิบายรายวชิ า กลมุ่ สาระการเ ตัวชวี้ ัด สาระสำคญั ว ๑.๒ ป. ๖/๑ ๑. ระบุสารอาหารและบอก - สารอาหาร - มคี วาม ประโยชน ประโยชนข์ องสารอาหารแต่ละ - ประโยชน์ของสารอาหาร - มีความ ประเภทจากอาหารทต่ี นเอง - สารอาหารแตล่ ะประเภท อาหารให เหมาะสม รบั ประทาน ปลอดภัย ว ๑.๒ ป. ๖/๒ - รถู้ งึ คว การรับป ๒. บอกแนวทางในการเลือก - การเลือกรับประทานอาหาร - มคี วาม รับประทานอาหารให้ได้สารอาหาร - สัดสว่ นทเี่ หมาะสมกับเพศและวัย หนา้ ทีข่ อ กับการด ครบถ้วน ในสัดส่วนที่เหมาะสมกบั - ความปลอดภยั ต่อสขุ ภาพ - มคี วาม เพศและวัย รวมท้ังความปลอดภัยตอ่ ดูแลรักษ ใหท้ ำงาน สุขภาพ ว ๑.๒ ป. ๖/๓ ๓. ตระหนกั ถงึ ความสำคญั ของ - ตระหนักถึงความสำคญั ของสารอาหาร สารอาหาร โดยการเลอื กรับประทาน - อาหารท่ีมสี ารอาหารครบถ้วน อาหารที่มสี ารอาหารครบถ้วนใน สัดส่วนท่ีเหมาะสมกับเพศและวยั รวมท้งั ปลอดภัยตอ่ สขุ ภาพ ว ๑.๒ ป. ๖/๔ ๔. สร้างแบบจำลองระบบย่อย - ระบบย่อยอาหาร อาหาร และบรรยายหน้าทขี่ อง - หน้าทข่ี องอวัยวะ อวัยวะในระบบยอ่ ยอาหาร รวมทงั้ - การดูดซมึ สารอาหาร อธิบายการย่อยอาหารและการดูดซมึ สารอาหาร ว ๑.๒ ป. ๖/๕ ๕. ตระหนกั ถึงความสำคัญของระบบ - การดูแลรกั ษาอวัยวะในระบบย่อยอาหารให้ ย่อยอาหาร โดยการบอกแนวทางใน ทำงานเป็นปกติ
เรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี ๖ 81 สาระการเรียนรแู้ กนกลาง/ท้องถ่ิน ความรู้ ทักษะ/กระบวนการ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ / บูรณาการศาสตร์พระราชา มรู้เรือ่ งสารอาหารและ - มกี ารสงั เกต - ใฝเ่ รียนรู้ น์ของสารอาหารแตล่ ะประเภท - มกี ารสืบค้นข้อมูล - มุง่ มนั่ ในการทำงาน - มกี ารตคี วามหมายข้อมลู - ความเพียร มรเู้ รอื่ งการเลอื กรับประทาน หไ้ ด้สารอาหารครบถ้วน - มที ักษะการจดั ทำขอ้ มูล - การศึกษาข้อมลู ใหเ้ ป็นระบบ มกบั เพศและวยั รวมทั้งความ - มีการเปรยี บเทยี บ - ระเบิดจากภายใน ยตอ่ สุขภาพ - มกี ารสื่อความหมาย - ทำตามลำดบั ข้ันตอน - มีการลงความคิดเห็น - พ่ึงตนเอง - มกี ารพยากรณ์ - หาความร้จู ากการใชช้ วี ิตประจำวนั - มีการจำแนก - ทำใหง้ ่าย - การมสี ่วนรว่ ม วามสำคญั ของสารอาหาร และ - แก้ปัญหาจากจุดเล็กๆ ประทานให้ครบตามสัดส่วน - ทำงานแบบองคร์ วม มรเู้ รอ่ื งระบบยอ่ ยอาหาร และ องอวยั วะในระบบยอ่ ยอาหาร ดดู ซมึ มรู้เร่อื งระบบยอ่ ยอาหารการ ษาอวัยวะในระบบย่อยอาหาร นเป็นปกติ
ตัวชีว้ ัด สาระสำคญั การดูแลรักษาอวยั วะในระบบยอ่ ย อาหารใหท้ ำงานเปน็ ปกติ ว ๒.๑ ป. ๖/๑ - การแยกสารผสม - มีความ ๑. อธบิ ายและเปรียบเทียบการแยก - ระบุวธิ แี ก้ปัญหาในชีวติ ประจำวนั สารผสม โดยการหยิบออก การรอ่ น - มคี วาม การใช้แม่เหล็กดงึ ดูด การรนิ ออก - ผลของแรงไฟฟ้าซงึ่ เกดิ จากวัตถทุ ีผ่ า่ นการขัด ไฟฟา้ ซ การกรอง และการตกตะกอน โดยใช้ ถู หลกั ฐานเชิงประจักษ์ รวมทง้ั ระบุวธิ ี แก้ปญั หาในชวี ติ ประจำวันเกีย่ วกับ การแยกสาร ว ๒.๒ ป. ๖/๑ ๑. อธบิ ายการเกดิ และผลของแรง ไฟฟา้ ซึง่ เกดิ จากวตั ถุท่ผี า่ นการขัดถู โดยใช้หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ว ๒.๓ ป. ๖/๑ - วงจรไฟฟา้ อย่างงา่ ย - มคี วาม ๑. ระบสุ ว่ นประกอบและบรรยาย ของแตล่ หนา้ ท่ขี องแต่ละสว่ นประกอบของ - ตอ่ วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย อยา่ งง่าย - การต่อเซลล์ไฟฟา้ แบบอนกุ รม วงจรไฟฟา้ อยา่ งง่ายจากหลกั ฐานเชิง - มีความ ประจักษ์ ตอ่ วงจรไ ว ๒.๓ ป. ๖/๒ ๒. เขียนแผนภาพและตอ่ วงจรไฟฟา้ - มีความ อย่างง่าย วิธีการ แ ว ๒.๓ ป. ๖/๓ แบบอนุก ๓. ออกแบบการทดลองและทดลอง ดว้ ยวธิ ที เ่ี หมาะสมในการอธิบาย วิธีการและผลของการต่อเซลล์ไฟฟ้า แบบอนุกรม
82 สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง/ทอ้ งถิน่ ความรู้ ทกั ษะ/กระบวนการ คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ / บรู ณาการศาสตร์พระราชา มรู้เรื่องการแยกสารผสม - มกี ารสงั เกต - ใฝ่เรยี นรู้ - มกี ารสืบค้นขอ้ มลู - มุ่งมั่นในการทำงาน - มีการตคี วามหมายขอ้ มลู - การศึกษาข้อมลู ใหเ้ ป็นระบบ - มที กั ษะการจดั ทำขอ้ มูล - ระเบดิ จากภายใน - มกี ารทดลอง - ทำตามลำดบั ขั้นตอน - หาความรจู้ ากการใช้ชีวติ ประจำวัน - มกี ารเปรยี บเทียบ - ทำใหง้ ่าย มรู้เรอื่ งการเกิดและผลของแรง - มีการสงั เกต - ใฝเ่ รียนรู้ ซึง่ เกดิ จากวัตถุท่ผี า่ นการขัดถู - มีการตคี วามหมายข้อมูล - ระเบิดจากภายใน - ทำตามลำดบั ขนั้ ตอน - มที ักษะการจดั ทำข้อมลู - หาความรูจ้ ากการใชช้ วี ติ ประจำวัน - มกี ารทดลอง - ใฝเ่ รียนรู้ มรเู้ ร่อื งส่วนประกอบและหนา้ ท่ี - มกี ารสงั เกต - มงุ่ มัน่ ในการทำงาน - ความเพียร ละส่วนประกอบของวงจรไฟฟ้า - มกี ารสืบคน้ ข้อมูล - การศึกษาขอ้ มลู ใหเ้ ป็นระบบ - ระเบิดจากภายใน ย - มกี ารตคี วามหมายขอ้ มูล - ทำตามลำดบั ขนั้ ตอน - พง่ึ ตนเอง - มีทักษะการจัดทำข้อมลู - หาความรจู้ ากการใชช้ ีวิตประจำวัน - ทำใหง้ ่าย - มกี ารทดลอง - ทำงานแบบองค์รวม มรเู้ รื่องการเขยี นแผนภาพและ - มกี ารเปรยี บเทียบ ไฟฟา้ อย่างงา่ ย - มกี ารสื่อความหมาย - มกี ารลงความคิดเห็น มร้เู ร่อื งการออกแบบการทดลอง - มกี ารพยากรณ์ และผลของการต่อเซลลไ์ ฟฟ้า - มีการจำแนก กรม
ตัวช้ีวัด สาระสำคญั ว ๒.๓ ป. ๖/๔ - ประโยชน์การตอ่ เซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม - มคี วาม ๔. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ - การประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตประจำวัน อนุกรม ของการต่อเซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนุกรม โดยบอกประโยชนแ์ ละการ - การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนกุ รมและแบบ - มีความ ขนาน ตอ่ หลอด ประยกุ ต์ใช้ในชีวติ ประจำวัน ขนาน ว ๒.๓ ป. ๖/๕ - ประโยชน์ของการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรม ๕. ออกแบบการทดลองและทดลอง และแบบขนาน - มีความ ดว้ ยวธิ ที เี่ หมาะสมในการอธบิ ายการ - ข้อจำกดั และการประยุกตใ์ ช้ ใน อนกุ รมแ ต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนกุ รมและแบบ ชวี ติ ประจำวัน - รู้วิธกี าร ขนาน ว ๒.๓ ป. ๖/๖ - การเกดิ เงามดื เงามวั - มคี วาม ๖. ตระหนกั ถงึ ประโยชนข์ องความรู้ ของการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนกุ รม - รังสขี องแสง - มคี วาม และแบบขนาน โดยบอกประโยชน์ ของแสงแ ข้อจำกดั และการประยกุ ตใ์ ช้ ใน ชีวิตประจำวัน ว ๒.๓ ป. ๖/๗ ๗. อธิบายการเกดิ เงามดื เงามวั จาก หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ ว ๒.๓ ป. ๖/๘ ๘. เขียนแผนภาพรังสขี องแสงแสดง การเกิดเงามืดเงามวั ว ๓.๑ ป. ๖/๑ - ปรากฏการณส์ ุรยิ ปุ ราคา และจันทรปุ ราคา - มคี วาม ๑. สรา้ งแบบจำลองทอ่ี ธิบายการเกดิ - พฒั นาการของเทคโนโลยอี วกาศ เกิดปราก และเปรียบเทียบปรากฏการณ์ จันทรุปร สุริยุปราคา และจนั ทรปุ ราคา ว ๓.๑ ป. ๖/๒
83 สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง/ทอ้ งถ่ิน ความรู้ ทักษะ/กระบวนการ คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ / บูรณาการศาสตร์พระราชา มรเู้ รื่องการต่อเซลล์ไฟฟา้ แบบ มรเู้ รอ่ื งออกแบบการทดลองการ - มีการสงั เกต - ใฝ่เรยี นรู้ - มงุ่ มั่นในการทำงาน ดไฟฟา้ แบบอนกุ รมและแบบ - มีการสบื คน้ ข้อมลู - ความเพียร - การศึกษาขอ้ มลู ใหเ้ ป็นระบบ - มกี ารตีความหมายข้อมลู - ระเบิดจากภายใน - ทำตามลำดับข้นั ตอน - มีทักษะการจดั ทำขอ้ มลู - พงึ่ ตนเอง - หาความรู้จากการใช้ชวี ติ ประจำวนั - มกี ารทดลอง - ทำใหง้ ่าย มรู้เรอ่ื งการต่อหลอดไฟฟา้ แบบ - มกี ารเปรยี บเทียบ - การมสี ่วนร่วม - แกป้ ัญหาจากจดุ เลก็ ๆ และแบบขนาน - มกี ารส่อื ความหมาย - ทำงานแบบองคร์ วม รประยกุ ต์ใช้ ในชีวติ ประจำวัน - มกี ารลงความคิดเหน็ - มีการพยากรณ์ - มกี ารจำแนก มรเู้ รื่องการเกดิ เงามดื เงามัว มร้เู รื่องการเขียนแผนภาพรังสี แสดงการเกดิ เงามดื เงามัว มรเู้ รื่องการสร้างแบบจำลองการ - มีการสังเกต - ใฝเ่ รยี นรู้ กฏการณส์ ุริยุปราคา และ - มีการสืบค้นข้อมูล - มุ่งมัน่ ในการทำงาน ราคา - มกี ารตคี วามหมายขอ้ มูล - การศกึ ษาขอ้ มูลให้เปน็ ระบบ - ระเบิดจากภายใน - มที กั ษะการจดั ทำข้อมลู - ทำตามลำดบั ขัน้ ตอน - มีการทดลอง
ตัวช้วี ดั สาระสำคญั ๒. อธิบายพัฒนาการของเทคโนโลยี - ประโยชน์ในชวี ิตประจำวนั - มีความ เทคโนโล อวกาศ และยกตัวอย่างการนำ เทคโนโล ชีวิตประ เทคโนโลยอี วกาศมาใชป้ ระโยชนใ์ น - มคี วาม ชวี ติ ประจำวนั จากข้อมลู ที่รวบรวม - มคี วาม ได้ และแรใ่ น ว ๓.๒ ป. ๖/๑ - มีความ การเกดิ ซ ๑. เปรยี บเทยี บกระบวนการเกดิ หิน - กระบวนการเกดิ หนิ - มคี วาม สภาพแว อัคนี หนิ ตะกอน และหนิ แปร และ - วฏั จกั รหนิ บรรพ์ - มีความ อธิบายวฏั จกั รหินจากแบบจำลอง และมรส ว ๓.๒ ป. ๖/๒ - มีความ ไทย ๒. บรรยายและยกตัวอยา่ งการใช้ - การใช้ประโยชน์ของหนิ และแรใ่ น - มคี วาม ประโยชนข์ องหนิ และแรใ่ น ชีวิตประจำวัน ชีวิตประจำวันจากขอ้ มูลท่ีรวบรวมได้ ว ๓.๒ ป. ๖/๓ ๓. สร้างแบบจำลองทอี่ ธิบายการเกดิ - การเกิดซากดึกดำบรรพ์ ซากดกึ ดำบรรพแ์ ละคาดคะเน - คาดคะเนสภาพแวดลอ้ มในอดีต สภาพแวดล้อมในอดีตของซากดกึ ดำ บรรพ์ ว ๓.๒ ป. ๖/๔ ๔. เปรียบเทียบการเกิดลมบก ลม - การเกดิ ลมบก ลมทะเล และมรสุม ทะเล และมรสมุ รวมทง้ั อธิบายผลที่ - ผลท่มี ีตอ่ สงิ่ มีชีวติ และสิง่ แวดล้อม มีตอ่ สิง่ มชี วี ิตและสิง่ แวดล้อม จาก แบบจำลอง ว ๓.๒ ป. ๖/๕ ๕. อธบิ ายผลของมรสมุ ตอ่ การเกิด - การเกดิ ฤดูของประเทศไทย ฤดขู องประเทศไทย จากขอ้ มูลที่ รวบรวมได้ ว ๓.๒ ป. ๖/๖ ๖.บรรยายลกั ษณะและผลกระทบ
84 สาระการเรยี นร้แู กนกลาง/ท้องถิ่น ความรู้ ทกั ษะ/กระบวนการ คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ / บูรณาการศาสตร์พระราชา มรเู้ รอ่ื ง พัฒนาการของ ลยีอวกาศ และการนำ - มกี ารเปรยี บเทยี บ - หาความรู้จากการใชช้ ีวิตประจำวัน ลยอี วกาศมาใชป้ ระโยชน์ใน ะจำวนั - มกี ารสือ่ ความหมาย - ทำให้ง่าย - มกี ารลงความคดิ เห็น - แกป้ ญั หาจากจดุ เล็ก ๆ มรเู้ รื่องกระบวนการเกดิ หนิ - มีการสงั เกต - ใฝเ่ รียนรู้ - มีการสืบค้นข้อมลู - การศึกษาขอ้ มลู ใหเ้ ป็นระบบ มร้เู รื่องการใช้ประโยชน์ของหิน - มีการตคี วามหมายขอ้ มลู - ระเบดิ จากภายใน นชีวติ ประจำวนั - ทำตามลำดบั ขั้นตอน - มที ักษะการจัดทำข้อมูล - หาความร้จู ากการใช้ชวี ิตประจำวัน - มกี ารเปรียบเทยี บ - ทำใหง้ า่ ย - มกี ารสื่อความหมาย - แก้ปญั หาจากจดุ เล็กๆ - มกี ารลงความคิดเห็น - ใฝเ่ รยี นรู้ มรเู้ รอ่ื งการสรา้ งแบบจำลอง - มกี ารสังเกต - ม่งุ ม่ันในการทำงาน ซากดึกดำบรรพ์ - มกี ารสืบค้นขอ้ มลู - ความเพียร มรเู้ รื่องการคาดคะเน - มีการตีความหมายขอ้ มูล - การศึกษาขอ้ มูลใหเ้ ป็นระบบ วดล้อมในอดีตของซากดึกดำ - มีทกั ษะการจดั ทำขอ้ มลู - ระเบดิ จากภายใน - มกี ารเปรียบเทียบ - ทำตามลำดบั ขนั้ ตอน มรู้เรื่องการเกดิ ลมบก ลมทะเล - พึ่งตนเอง สุม และผลทเี กดิ ขึน้ - มีการส่อื ความหมาย - หาความรู้จากการใช้ชีวิตประจำวัน - มกี ารลงความคิดเห็น - ทำให้งา่ ย - มกี ารพยากรณ์ - ทำงานแบบองค์รวม - มกี ารจำแนก มร้เู รื่องการเกิดฤดขู องประเทศ มรู้เรื่อง ลกั ษณะและผลกระทบ
ตัวชีว้ ดั สาระสำคญั ของนำ้ ท่วม การกัดเซาะชายฝัง่ ดิน - ผลกระทบของนำ้ ทว่ ม การกัดเซาะชายฝ่งั ของนำ้ ท ถลม่ แผน่ ดนิ ไหว สนึ ามิ ดินถล่ม แผ่นดินไหว ถลม่ แผน่ ว ๓.๒ ป. ๖/๗ สนึ ามิ ๗. ตระหนกั ถึงผลกระทบของภัย - ภัยธรรมชาตแิ ละธรณีพิบัติภัย - มคี วาม - การเฝา้ ระวงั และปฏิบัติตนใหป้ ลอดภัย ธรรมชาต ธรรมชาติและธรณีพบิ ัตภิ ัย โดย - รถู้ งึ แน นำเสนอแนวทางในการเฝ้าระวงั และ - ปรากฏการณเ์ รอื นกระจก ปฏบิ ตั ติ น ปฏิบัติตนให้ปลอดภัยจากภัย - ผลต่อส่งิ มชี วี ิต ธรรมชาตแิ ละธรณพี ิบัตภิ ยั ทีอ่ าจเกิด - มคี วาม ในทอ้ งถ่นิ - ผลกระทบ การเกิดป ว ๓.๒ ป. ๖/๘ - การปฏิบัตติ นเพอ่ื ลดกจิ กรรมท่กี ่อใหเ้ กิดแก๊ส ผลของป ๘. สรา้ งแบบจำลองท่ีอธบิ ายการเกิด เรอื นกระจก สง่ิ มีชวี ิต ปรากฏการณ์เรือนกระจก และผล ของปรากฏการณ์เรอื นกระจกต่อ - เหตุผลเชิงตรรกะ - มีความ สิง่ มีชวี ติ - ออกแบบวิธีการแกป้ ญั หา ปรากฏก - รถู้ ึงทาง ว ๓.๒ ป. ๖/๙ - ออกแบบ ทีก่ อ่ ใหเ้ ก ๙. ตระหนกั ถึงผลกระทบของ - เขียนโปรแกรมอยา่ ง ปรากฏการณ์เรือนกระจก โดย - ตรวจหาข้อผดิ พลาดของโปรแกรมและแกไ้ ข - มคี วาม นำเสนอแนวทางการปฏิบัตติ นเพอื่ ในการแก ลดกจิ กรรมทก่ี ่อให้เกดิ แก๊สเรอื น กระจก - มคี วาม โปรแกรม ว ๔.๒ ป. ๖/๑ - มคี วาม ๑. ใช้เหตผุ ลเชงิ ตรรกะในการอธบิ าย ของโปรแ และออกแบบวธิ ีการแก้ปญั หาท่พี บ ในชวี ิตประจำวัน ว ๔.๒ ป. ๖/๒ ๒. ออกแบบและเขยี นโปรแกรม อยา่ งง่าย เพอื่ แก้ปัญหาใน ชีวติ ประจำวนั ตรวจหาข้อผิดพลาด ของโปรแกรมและแกไ้ ข
สาระการเรยี นรู้แกนกลาง/ท้องถ่ิน 85 ความรู้ ทักษะ/กระบวนการ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ / บรู ณาการศาสตรพ์ ระราชา ท่วม การกัดเซาะชายฝัง่ ดิน นดนิ ไหว สึนามิ มรู้เรื่องผลกระทบของภัย - มกี ารสงั เกต - ใฝ่เรียนรู้ ติและธรณพี ิบัตภิ ัย นวทางในการเฝ้าระวังและ - มกี ารสบื ค้นข้อมลู - มุ่งมนั่ ในการทำงาน นให้ปลอดภยั - มีการตคี วามหมายข้อมูล - ความเพยี ร - มีทกั ษะการจดั ทำขอ้ มลู - การศกึ ษาขอ้ มลู ใหเ้ ป็นระบบ มรเู้ รื่องสร้างแบบจำลอง - มกี ารเปรียบเทียบ - ระเบดิ จากภายใน ปรากฏการณเ์ รือนกระจก และ - มีการพยากรณ์ - ทำตามลำดบั ขน้ั ตอน ปรากฏการณ์เรอื นกระจกตอ่ - มีการจำแนก - พึง่ ตนเอง ต - มกี ารสอ่ื ความหมาย - หาความรจู้ ากการใช้ชีวติ ประจำวนั - มกี ารลงความคดิ เหน็ - ทำใหง้ ่าย - ทำงานแบบองคร์ วม มรู้เรื่องผลกระทบของ การณ์เรือนกระจก งการปฏบิ ัติตนเพื่อลดกิจกรรม กดิ แก๊สเรือนกระจก มรู้เรือ่ งการใชเ้ หตผุ ลเชงิ ตรรกะ - มีการสงั เกต - ใฝเ่ รียนรู้ ก้ปญั หาทพี่ บในชวี ิตประจำวัน - มีการสบื คน้ ขอ้ มลู - มงุ่ มน่ั ในการทำงาน - มกี ารตีความหมายขอ้ มลู - ความเพียร มรเู้ รื่องการออกแบบและเขยี น - มีทกั ษะการจัดทำขอ้ มลู - การศึกษาข้อมลู ใหเ้ ปน็ ระบบ มอย่างง่าย - มีการทดลอง - ระเบิดจากภายใน มรู้เรอ่ื งการตรวจหาขอ้ ผิดพลาด - มีการส่อื ความหมาย - ทำตามลำดบั ขั้นตอน แกรมและแกไ้ ข - มกี ารลงความคิดเห็น - พง่ึ ตนเอง - มีการจำแนก - หาความรู้จากการใชช้ วี ิตประจำวัน
ตัวชว้ี ัด สาระสำคญั ว ๔.๒ ป. ๖/๓ - การค้นหาขอ้ มูลอย่างมีประสทิ ธิภาพ - มคี วาม ๓. ใชอ้ ินเทอรเ์ น็ตในการค้นหาข้อมูล การค้นห อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ - การทำงานร่วมกนั อย่างปลอดภยั ว ๔.๒ ป. ๖/๔ - เขา้ ใจสิทธิและหน้าที่ของตน เคารพในสิทธิ - มคี วาม ของผูอ้ ืน่ ทำงานร่ว ๔. ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศทำงาน - รูถ้ งึ สทิ รว่ มกันอย่างปลอดภัย เข้าใจสิทธิ เคารพใน และหนา้ ท่ขี องตน เคารพในสิทธิของ ผ้อู ่ืน แจ้งผู้เก่ียวข้องเมอ่ื พบขอ้ มลู หรอื บุคคลท่ีไม่เหมาะสม
86 สาระการเรียนร้แู กนกลาง/ทอ้ งถ่ิน ความรู้ ทกั ษะ/กระบวนการ คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ / บูรณาการศาสตรพ์ ระราชา - ทำให้งา่ ย มรูเ้ ร่ืองการใชอ้ นิ เทอรเ์ น็ตใน - การมสี ว่ นรว่ ม หาข้อมลู อย่างมีประสทิ ธิภาพ - แก้ปัญหาจากจดุ เล็กๆ - ทำงานแบบองค์รวม มรู้เร่ืองใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ วมกันอย่างปลอดภยั ทธิและหนา้ ท่ขี องตน และ นสทิ ธขิ องผ้อู ื่น
87 คำอธิบายรายวิชา รายวิชา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ ๖ ภาคเรียนที่ ๑-๒ รหสั วิชา ว ๑๖๑๐๑ เวลา ๑๒๐ ชว่ั โมง/ปี ศึกษา วิเคราะห์ สารอาหารและบอกประโยชน์ของสารอาหาร การเลือกรับประทานอาหารให้ได้ สารอาหารครบถ้วน ระบบย่อยอาหาร หน้าที่ของอวัยวะในระบบย่อยอาหาร การดูแลรักษาอวัยวะในระบบย่อย อาหาร การแยกสารผสม การเกดิ และผลของแรงไฟฟา้ ซงึ่ เกดิ จากวัตถุท่ีผา่ นการขัดถู วงจรไฟฟ้าอยา่ งงา่ ย การต่อ เซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม การประยุกต์ใชใ้ นชีวิตประจำวัน การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน การเกิด เงามืดเงามัว รังสีของแสงแสดงการเกิดเงามืดเงามัว ปรากฏการณ์สุริยุปราคา และจันทรุปราคา พัฒนาการของ เทคโนโลยีอวกาศ การนำเทคโนโลยีอวกาศมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน การเกิดหิน วัฏจักรหิน การใช้ ประโยชน์ของหนิ และแร่ใน การเกดิ ซากดกึ ดำบรรพ์ การเกิดลมบก ลมทะเล และมรสุม การเกิดฤดขู องประเทศไทย ผลกระทบของน้ำท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม แผ่นดินไหว สึนามิ ภัยธรรมชาติและธรณีพิบัติภัย การปฏิบัติ ตนใหป้ ลอดภัยจากภัยธรรมชาตแิ ละธรณีพิบตั ิภยั การเกดิ ปรากฏการณ์เรือนกระจก และผลของปรากฏการณ์เรอื น กระจกทาง การปฏิบัติตนเพือ่ ลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดแก๊สเรือนกระจก การใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหาที่ พบในชีวิตประจำวนั ออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่างง่าย ใช้อินเทอร์เน็ตในการค้นหาข้อมูลการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ทำงานรว่ มกันอยา่ งปลอดภัย เหมาะสม โดยใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสังเกต การสืบเสาะหาความรู้ การสำรวจ ตรวจสอบ การสืบค้น ข้อมูลและการอภปิ ราย เพื่อให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สามารถสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ มีความสามารถในการตัดสินใจ เห็น คุณค่าของการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม ค่านิยม ที่ เหมาะสม และบรู ณาการกบั ศาสตร์พระราชา ตัวชว้ี ัด ว ๑.๒ ป. ๖/๑,ป. ๖/๒,ป. ๖/๓,ป. ๖/๔,ป. ๖/๕ ว ๒.๑ ป. ๖/๑ ว ๒.๒ ป. ๖/๑ ว ๒.๓ ป. ๖/๑,ป. ๖/๒,ป. ๖/๓,ป. ๖/๔,ป. ๖/๕,ป. ๖/๖,ป. ๖/๗,ป. ๖/๘ ว ๓.๑ ป. ๖/๑,ป. ๖/๒ ว ๓.๒ ป. ๖/๑,ป. ๖/๒,ป. ๖/๓,ป. ๖/๔,ป. ๖/๕,ป. ๖/๖,ป. ๖/๗,ป. ๖/๘,ป. ๖/๙ ว ๔.๒ ป. ๖/๑,ป. ๖/๒,ป. ๖/๓,ป. ๖/๔ รวม ๓๐ ตัวช้ีวัด
88 โครงสร้างรายวชิ า รายวิชา วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่มุ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ัน ป.๖ ภาคเรยี นที่ ๑-๒ จำนวน ๓ หนว่ ยกิต ลำดบั ที่ ชื่อหน่วยการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้/ตัวช้ีวดั สาระสำคญั / เวลา น้ำหนกั ๑ อาหารกับร่างกาย ว ๑.๒ ป. ๖/๑,ป. ๖/๒,ป. ความคดิ รวบยอด (ชั่วโมง) ๖/๓,ป. ๖/๔,ป. ๖/๕ ๒ สารในชีวิตประจำวนั - สารอาหาร ๒๐ 15 ๓ ไฟฟา้ ว ๒.๑ ป. ๖/๑ - ประโยชนข์ องสารอาหาร ว ๒.๒ ป. ๖/๑ - สารอาหารแต่ละประเภท ๕5 - การเลอื กรับประทาน ๕5 อาหาร - สัดสว่ นทีเ่ หมาะสมกบั เพศ และวัย - ความปลอดภยั ต่อสขุ ภาพ - ตระหนักถึงความสำคญั ของสารอาหาร - อาหารทีม่ สี ารอาหาร ครบถว้ น - ระบบย่อยอาหาร - หน้าทข่ี องอวัยวะ - การดดู ซมึ สารอาหาร - การดูแลรกั ษาอวัยวะใน ระบบย่อยอาหารให้ทำงาน เป็นปกติ - การแยกสารผสม - ระบุวธิ ีแกป้ ญั หาใน ชวี ิตประจำวนั - ผลของแรงไฟฟ้าซง่ึ เกิด จากวัตถุทผ่ี า่ นการขัดถู ๔ วงจรไฟฟ้าและการเกิดเงา ว ๒.๓ ป. ๖/๑,ป. ๖/๒, - วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย ๒๐ 15 ป. ๖/๓,ป. ๖/๔, ป.๖/๕, - ตอ่ วงจรไฟฟ้าอย่างงา่ ย ป. ๖/๖, ป. ๖/๗, ป. ๖/๘ - การตอ่ เซลล์ไฟฟา้ แบบ อนกุ รม - ประโยชน์การตอ่ เซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนุกรม - การประยุกต์ใชใ้ น ชวี ติ ประจำวัน - การตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบ อนกุ รมและแบบขนาน
89 ลำดบั ท่ี ช่อื หน่วยการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้/ตัวช้ีวดั สาระสำคญั / เวลา นำ้ หนัก ความคิดรวบยอด (ชัว่ โมง) ๕ สุริยปุ ราคา จนั ทรุปราคา ว ๓.๑ ป. ๖/๑,ป. ๖/๒ 4 และเทคโนโลยีอวกาศ - ประโยชนข์ องการตอ่ ๑๐ 15 ว ๓.๒ ป. ๖/๑,ป. ๖/๒, หลอดไฟฟา้ แบบอนุกรมและ ๒๐ ๖ หนิ กับวฏั จกั รหนิ ป. ๖/๓, ป. ๖/๔, ป.๖/๕, แบบขนาน ลมและการเกดิ ลมใน ป.๖/๖, ป. ๖/๗, ประเทศไทย ป ๖/๘, ป. ๖/๙ - ขอ้ จำกดั และการ ภยั ทางธรรมชาติ ประยกุ ต์ใช้ ใน ชวี ิตประจำวัน - การเกดิ เงามืดเงามัว - รังสขี องแสง - ปรากฏการณ์สรุ ยิ ปุ ราคา และจันทรุปราคา - พัฒนาการของเทคโนโลยี อวกาศ - ประโยชน์ในชวี ติ ประจำวัน - กระบวนการเกดิ หนิ - วัฏจกั รหนิ - การใช้ประโยชนข์ องหนิ และแร่ในชวี ิตประจำวนั - การเกิดซากดึกดำบรรพ์ - คาดคะเนสภาพแวดล้อม ในอดีต - การเกิดลมบก ลมทะเล และมรสุม - ผลท่ีมตี อ่ ส่ิงมชี ีวิตและ ส่งิ แวดลอ้ ม -การเกดิ ฤดูของประเทศไทย - ผลกระทบของน้ำทว่ ม การ กัดเซาะชายฝ่งั ดินถลม่ แผ่นดินไหว สนึ ามิ - ภัยธรรมชาตแิ ละธรณีพบิ ตั ิ ภยั - การเฝ้าระวงั และปฏิบตั ิตน ใหป้ ลอดภยั - ปรากฏการณ์เรือนกระจก - ผลต่อสง่ิ มชี วี ติ - ผลกระทบ - การปฏิบัตติ นเพื่อลด กจิ กรรมทกี่ อ่ ให้เกิดแกส๊ เรอื นกระจก
90 ลำดับท่ี ชื่อหนว่ ยการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้/ตวั ช้ีวัด สาระสำคญั / เวลา น้ำหนกั ความคดิ รวบยอด (ชว่ั โมง) ๗ วิทยาการคำนวณ ว ๔.๒ ป. ๖/๑,ป. ๖/๒, เขยี นโปรแกรมอยา่ งงา่ ย ป. ๖/๓,ป. ๖/๔ - เหตุผลเชงิ ตรรกะ 38 10 เทคโนโลยีสารสนเทศ - ออกแบบวิธีการแก้ปญั หา - ออกแบบ - เขยี นโปรแกรมอยา่ ง - ตรวจหาขอ้ ผิดพลาดของ โปรแกรมและแก้ไข - การคน้ หาขอ้ มลู อยา่ งมี ประสิทธิภาพ - การทำงานรว่ มกันอยา่ ง ปลอดภยั - เขา้ ใจสิทธแิ ละหนา้ ที่ของ ตน เคารพในสทิ ธิของผู้อ่นื สอบปลายปีการศึกษา 2 30 รวมทั้งสิ้นตลอดปี 120 100 หมายเหตุ อัตราส่วนคะแนนระหว่างเรยี นกบั การสอบปลายภาค ๗๐/๓๐
91 ส่ือ/แหล่งการเรยี นรู้ กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ไดจัดทำสื่อและจัดใหมีแหลงเรียนรูตามหลักการ และ นโยบายของการจัดการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน ดังนี้สื่อการเรยี นรูเปนเคร่ืองมือสงเสริมสนับสนุนการจัดการกระบวนการ เรียนรู ใหผูเรียนเขาถึงความรูทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะตามมาตรฐานของหลักสูตรได อยางมี ประสิทธิภาพ สื่อการเรียนรูมีหลากหลายประเภท ทั้งสื่อธรรมชาติ สื่อสิ่งพิมพ สื่อเทคโนโลยี และเครือขายการ เรียนรูตาง ๆ ที่มีในทองถิน่ การเลอื กใชสือ่ ควรเลือกใหมีความเหมาะสมกับระดบั พัฒนาการ และลีลาการเรียนรูที่ หลากหลายของผูเรียนการจัดหาสื่อการเรียนรู ผูเรียนและผูสอนสามารถจัดทำและพัฒนาขึ้นเอง หรือปรับปรุง เลือกใชอยางมคี ุณภาพจากสือ่ ตาง ๆ ทมี่ อี ยูรอบตัวเพ่อื นำมาใชประกอบในการจดั การเรียนรูทีส่ ามารถสงเสริมและ สื่อสารใหผูเรียนเกิดการเรียนรู โดยสถานศึกษาควรจัดใหมีอยางพอเพียง เพื่อพัฒนาใหผูเรียน เกิดการเรียนรู อยางแทจริง สถานศึกษา เขตพ้ืนที่การศึกษา หนวยงานที่เกี่ยวของและผูมีหนาที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ควร ดำเนินการดงั นี้ ๑. จัดใหมีแหลงการเรียนรู ศูนยสื่อการเรียนรู ระบบสารสนเทศการเรียนรู และเครือขายการเรียนรูที่มี ประสิทธิภาพทั้งในสถานศึกษาและในชุมชน เพื่อการศึกษาคนควาและการแลกเปลี่ยนประสบการณการเรียนรู ระหวางสถานศึกษา ทองถน่ิ ชมุ ชน สังคมโลก ๒. จดั ทำและจดั หาสือ่ การเรียนรูสำหรับการศกึ ษาคนควาของผูเรียน เสริมความรูใหผสู อนรวมทัง้ จดั หาสิ่ง ที่มีอยูในทองถ่ินมาประยกุ ตใชเปนส่ือการเรยี นรู ๓. เลอื กและใชสอื่ การเรยี นรูทีม่ ีคุณภาพ มีความเหมาะสม มีความหลากหลาย สอดคลองกับวธิ ีการเรยี นรู ธรรมชาตขิ องสาระการเรยี นรู และความแตกตางระหวางบคุ คลของผูเรียน ๔. ประเมนิ คุณภาพของสอื่ การเรียนรูทเี่ ลอื กใชอยางเปนระบบ ๕. ศึกษาคนควา วจิ ัย เพอื่ พฒั นาส่อื การเรยี นรูใหสอดคลองกับกระบวนการเรยี นรูของผูเรยี น ๖. จัดใหมีการกำกับ ติดตาม ประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพเกี่ยวกับสื่อและการใช สื่อการเรียนรู เปนระยะ ๆ และสม่ำเสมอ ในการจัดทำ การเลือกใช และการประเมินคุณภาพสื่อการเรียนรูท่ีใชในสถานศึกษาควรคำนึงถึงหลักการ สำคญั ของสอื่ การเรียนรู เชน ความสอดคลองกบั หลกั สตู ร วัตถปุ ระสงคการเรยี นรูการออกแบบกจิ กรรมการเรียนรู การจดั ประสบการณใหผูเรียน เนอ้ื หามีความถูกตองและทันสมัย ไมกระทบความมัน่ คงของชาติ ไมขัดตอศีลธรรม มีการใชภาษาทถี่ ูกตอง รปู แบบการนําเสนอที่เขาใจงายและนาสนใจ
92 เกณฑก์ ารจบการศึกษา การเรยี นรู้ท่ีผู้เรียนมีความสำคัญทส่ี ุด ความสำคญั การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เป็น กระบวนการเกบ็ รวบรวม ตรวจสอบ ตีความผลการเรียนร้แู ละพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของผเู้ รยี นตามมาตรฐานการ เรียนรู้ /ตวั ชว้ี ัด ของหลกั สูตร นำผลไปปรบั ปรงุ พัฒนาการจดั การเรียนรแู้ ละใช้เป็นขอ้ มูลสำหรบั การตัดสินผลการ เรียน โดยมีองค์ประกอบของการวัดผลและประเมินการเรียนรู้ที่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ ได้กำหนดจดุ หมาย สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ และมาตรฐานการ เรียนรู้ไว้เป็นเป้าหมายและกรอบทิศทางในการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีขีด ความสามารถในการแข่งขันในเวทีระดับโลก กำหนดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามมาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวชี้วัด ท่ี กำหนดในสาระการเรียนรู้ ๘ กลุ่มสาระ มีความสามารถด้านการอ่าน คิด วิเคราะห์และเขียน มีคุณลักษณะทีพ่ ึง ประสงคแ์ ละเข้ารว่ มกิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น แนวทางการวดั และประเมนิ ผล การวัดและประเมินผลรายกลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้สอนวัดและประเมินผล การเรียนรผู้ ูเ้ รยี นตามตัวชี้วัดในรายวิชาพนื้ ฐาน ตามทีก่ ำหนดไว้ในหนว่ ยการเรียนรู้ ใชว้ ธิ กี ารวดั และประเมินผลที่ หลากหลายจากแหล่งข้อมูลหลาย ๆ แหล่ง เพื่อให้ได้ผลการประเมินที่สะท้อนความรูค้ วามสามารถที่แทจ้ ริงของ ผู้เรียนโดยการวัดและประเมินผลการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องไปพร้อมกับการจัดการเรียนการสอนโดยสังเกต พัฒนาการและความประพฤติของผเู้ รียน สังเกตพฤตกิ รรมการเรยี น การร่วมกจิ กรรม การประเมินตามสภาพจริง เช่นการประเมินการปฏิบัติงาน การประเมนิ จากโครงงาน การประเมนิ จากแฟ้มสะสมงาน เปน็ ตน้ ควบคู่กับการ ใช้การทดสอบแบบต่าง ๆ อย่างสมดุลและครอบคลุมทั้งด้านความรู้ ด้านทักษะ และด้านเจตคติ โดยให้ ความสำคัญกับการประเมินผลระหว่างเรียนมากกว่าการประเมิน ปลายปี/ปลายภาค และใช้เป็นข้อมูลเพื่อการ ประเมนิ การเลอ่ื นชน้ั และการจบการศึกษา และเพื่อให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพผู้สอนต้องตรวจสอบความรู้ความสามารถที่แสดง พัฒนาการของผู้เรียนอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง และผู้เรียนต้องรับผิดชอบและตรวจสอบความก้าวหน้าของ ตนเองอย่างสมำ่ เสมอเช่นกัน หน่วยการเรยี นรูเ้ ป็นส่วนทีผ่ ู้สอนและผูเ้ รียนใช้ตรวจสอบย้อนกลับว่าผู้เรียน เกิด การเรียนรู้หรอื ยงั การประเมินในระดับช้ันเรียนต้องอาศัยทั้งผลการประเมินย่อยเพื่อพัฒนา และการประเมินผล รวมเพื่อสรุปผลการเรยี นรเู้ มื่อจบหน่วยการเรยี นรแู้ ละจบรายวชิ า วิธีการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ ให้บรรลุผลตามเป้าหมายของการเรียนรู้ทีว่ างไวค้ วรมีแนวทาง ดังตอ่ ไปน้ี ๑. ต้องวัดทั้งความรู้ ความคิด ความสามารถ ทักษะกระบวนการ เจตคติ คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม รวมท้งั โอกาสในการเรียนของผู้เรยี น ๒. วธิ กี ารวดั ผลและประเมินผล ตอ้ งสอดคล้องกบั มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ ท่ีกำหนดไว้
93 ๓. ต้องเกบ็ ข้อมูลท่ไี ดจ้ ากการวดั ผลและประเมินผลตามความเป็นจรงิ และตอ้ งประเมินผลภายใตข้ ้อมูลท่ีมี อยู่ ๔. ผลการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรขู้ องผู้เรียนต้องนำไปสกู่ ารแปลผลและลงขอ้ สรุปทีส่ มเหตสุ มผล ๕. การวดั ผลต้องเท่ยี งตรงและเปน็ ธรรม ทัง้ ด้านของวธิ กี ารวดั โอกาสของการประเมนิ วตั ถุประสงค์ของการวดั ในรายวชิ า กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 1. เพื่อวนิ จิ ฉัยความรู้ ความสามารถ ทักษะกระบวนการ เจตคติ คุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ มของผู้เรียน และ 2. เพือ่ สง่ เสรมิ ผ้เู รียนใหพ้ ัฒนาความรู้ความสามารถและทกั ษะไดเ้ ตม็ ศักยภาพ 3. เพือ่ ใช้เป็นข้อมูลปอ้ นกลบั ใหแ้ ก่ตัวผู้เรียนเองว่าบรรลุตามมาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ มากน้อยเพยี งใด 4. เพอ่ื ใช้เป็นข้อมูลสรปุ ผลการเรียนรู้และเปรยี บเทียบถงึ ระดับพัฒนาการของการเรียนรู้ การวดั ผลประเมินผลตามสภาพจรงิ กจิ กรรมการเรยี นรูข้ องผเู้ รยี นมหี ลากหลาย เชน่ กิจกรรมในหอ้ งเรยี น กจิ กรรมการปฏิบตั ิ กิจกรรมการ สำรวจ กิจกรรมการตรวจสอบ การทดลอง กิจกรรมศึกษาคน้ คว้า กิจกรรมศึกษาปัญหาพิเศษหรือโครงงาน ฯลฯ อย่างไรก็ตามในการทำกิจกรรมต้องคำนึงว่าผู้เรียนแต่ละคนมีศักยภาพที่แตกต่างกัน ผู้เรียน แต่ละคนจึงอาจ ทำงานชิ้นเดียวกันได้เสร็จในเวลาที่แตกต่างกัน และผลของงานที่ได้อาจแตกต่างกันด้วย เมื่อผู้เรียนทำกิจกรรม เหล่านี้เสร็จแล้วกจ็ ะต้องเก็บรวบรวมผลงาน เช่น รายงาน ชิ้นงาน บันทึก และรวมถึงทักษะปฏิบัติต่าง ๆ เจตคติ ความรัก ความซาบซึ้ง กิจกรรมทีผ่ ูเ้ รียนได้ทำเหลา่ นี้ต้องใช้วธิ ี ประเมินท่ีมี ความแตกต่างกัน เพื่อชว่ ยใหส้ ามารถ ประเมินความรู้ ความสามารถและความรู้สกึ นึกคิดที่แท้จรงิ ของผู้เรียนได้ การวดั และประเมินผลตามสภาพจริงจะ มีประสิทธิภาพก็ตอ่ เมือ่ มีการประเมินหลายๆ ด้าน หลากหลายวิธี ในสถานการณ์ต่าง ๆกันสอดคลอ้ งกับชวี ติ จรงิ และตอ้ งประเมนิ อย่างตอ่ เน่ืองเพื่อจะได้ขอ้ มูลทีม่ ากพอทจ่ี ะสะทอ้ นของผูเ้ รียนได้ ลกั ษณะสำคัญของการวดั และประเมินผลจากสภาพจรงิ 1. การวัดประเมินผลตามสภาพจริง มีลักษณะที่สำคัญคือใช้วิธีการประเมินกระบวนการคิดที่ซั บซ้อน ความสามารถในการปฏิบัติงาน ศักยภาพผู้เรียนในด้านของผู้ผลิตและกระบวนการที่ได้ผลผลิตมากกว่าที่จะ ประเมนิ วา่ ผู้เรยี นจดจำความรู้อะไรบ้าง 2. เป็นการประเมินความสามารถของผู้เรียนเพื่อวินิจฉัยผู้เรียนในส่วนที่ควรส่งเสริมและส่วนที่แก้ไข ปรับปรุงเพื่อให้ผ้เู รยี นไดพ้ ฒั นาอย่างเตม็ ศกั ยภาพตามความสามารถ ความสนใจและความตอ้ งการของแตล่ ะบคุ คล 3. เป็นการประเมินทจี่ ะเปดิ โอกาสใหผ้ ้เู รียนได้มสี ่วนร่วมประเมนิ ผลงานของตนเองและของเพอ่ื นรว่ มหอ้ ง เพ่ือส่งเสริมให้ผูเ้ รียนรูจ้ ักตนเอง เช่ือมนั่ ในตนเอง สามารถพัฒนาตนเองได้ 4. ข้อมูลที่ได้จากการประเมินจะสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการเรียนการสอน และการวางแผนการสอน ของผู้สอนวา่ สามารถตอบสนองความสามารถ ความสนใจและความต้องการของผูเ้ รยี นแต่ละบุคคลได้หรือไม่ 5. ประเมนิ ความสามารถของผู้เรียนในการถา่ ยโอนการเรียนไปสชู่ ีวติ จรงิ ได้ 6. ประเมนิ ด้านตา่ ง ๆ ดว้ ยวิธที ่หี ลากหลายในสถานการณ์ตา่ ง ๆอย่างตอ่ เนอ่ื ง
94 วิธกี ารและแหลง่ ข้อมูลที่ใช้ เพื่อให้การวัดและประเมินผลสะท้อนความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียนผลการประเมิน อาจได้มาจาก แหล่งข้อมูลและวิธีการต่าง ๆ ดังตอ่ ไปน้ี ๑.การประเมินผลกลุ่ม ( Group Assessment ) ความสามารถที่จะทำงานในฐานะสมาชิก ที่มี ประสิทธภิ าพของกลุ่มถอื เปน็ ทกั ษะสำคญั ในการจัดการเรยี นรู้ท่เี นน้ ผู้เรียนเป็นศนู ยก์ ลาง การทำกิจกรรมต้องเน้น ย้ำการทำงานเป็นกลุ่มที่มีการจัดการด้านความพร้อมที่มีคุณภาพและมีการประเมินผลที่ละเอียดรอบคอบ การ ทำงานกลุ่มของผ้เู รยี นจะมีคุณภาพสงู สดุ รวมทั้งมคี วามสนุกสนาน เพลดิ เพลนิ เมอ่ื มีการปฏบิ ตั ิดังนี้ 1.๑) จัดบรรยากาศให้เหมาะสม ชว่ ยให้ผู้เรยี นทราบและเข้าใจว่าการทำงานกลุ่มจะให้ผลดี แก่ผู้เรียน อยา่ งไร ผลงานกลุ่มจะประเมนิ ดว้ ยวธิ ีใด 1.๒) จัดให้ผู้เรียนทราบว่า งานของกลุ่มจะประเมินเม่ือใดล่วงหน้าเพื่อผู้เรียนจะได้ไม่กดดันและ วิตก กงั วลว่าผสู้ อนจะประเมินเม่อื ใด 1.๓) การกำหนดคะแนนไมค่ วรมากเกินไป เพราะหลกั การต้องการจะพัฒนาการทำงานรว่ มกนั 1.๔) แจ้งเกณฑ์การประเมินให้ผู้เรียนได้ทราบ และบอกเกณฑ์บางส่วนให้ พร้อมทั้งให้ผู้เรยี นเพิ่มเติม เกณฑ์ของตนเองได้ จึงค่อยตดั สินใจว่าแตล่ ะเกณฑ์จะใหค้ ะแนนอยา่ งไร 1.๕) จัดเวลาให้ผู้เรียนได้มีการสำรวจว่าคุ้มค่าแก่การเรียนรู้หรือไม่ เป็นการให้ผู้เรียนได้วิเคราะห์ ผลสำเร็จของตนเอง มเี วลาแยกแยะวา่ ยังมีจดุ ใดทีส่ ามารถทำไดด้ ยี งิ่ ขน้ึ อกี 1.๖) ผสู้ อนตอ้ งม่นั ใจและกระจ่างชดั เจนว่า ส่งิ ท่ีประเมินผล คอื ผลผลติ จากงานของกลุ่มหรือประเมิน กระบวนการทำงาน กระบวนการและผลผลิตเปน็ คนละเรื่องกัน และจำเป็นต้องมีแนวทางการประเมินที่แตกต่าง กัน ในการทำกิจกรรมกลุ่ม บางกิจกรรมใช้การประเมินผลผลิต แต่บางกิจกรรมอาจใช้เพื่ อ การประเมินผล กระบวนการปฏิบัตเิ ทา่ นั้น 1.๗) ต้องระวังอันตรายจากการประเมินงานกลุ่มเปน็ รายบุคคล เพราะจะนำไปสู่ความรูส้ กึ เจ็บช้ำน้ำใจ และการโต้แย้งอย่างรุนแรงได้ ต้องมีการแจ้งเกณฑ์ล่วงหน้า มีการอภิปราย มีข้อตกลงตั้งแตแ่ รกเริ่มลงมือปฏิบัติ กจิ กรรม การประเมนิ ผลบุคคลควรจะทำต่อเมอ่ื ผูเ้ รียนทง้ั กลมุ่ ไดร้ บั การพัฒนาความมัน่ ใจและความเช่ือถือ 1.๘) พิจารณาการจัดกล่มุ จะให้ผ้เู รียนจดั กล่มุ เองหรอื ไม่หรอื จะใช้การส่มุ จัดผู้เรียนเข้ากลุ่ม เพื่อความ เหมาะสมในการคละ ความสามารถของผเู้ รยี นในกลุ่ม หรอื ผ้สู อนจดั ผเู้ รียนให้สมดุลเพ่ือคละประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถและทกั ษะของผู้เรียน วิธนี ้ีมปี ระโยชนเ์ พือ่ จัดกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างมีคุณภาพแต่ต้องการ ทกั ษะการประสานงานทีส่ ูงมาก ๒. การประเมนิ ตนเอง ( Self Assessment ) ในการเสนอผลงาน ผูส้ อนควรฝึกให้ผู้เรยี นมกี ารประเมิน ตนเองทง้ั ด้านความคิด และด้านความรูส้ กึ โดยให้ผู้เรยี นไดพ้ ูดถงึ งานของตนเอง มขี ้ันตอนกระบวนการทำอย่างไร มจี ุดบกพรอ่ ง จดุ ดตี รงไหน ผู้เรยี นไดค้ วามรู้อะไรบา้ งและผู้เรยี นมคี วามรสู้ กึ อย่างไรตอ่ งานทีท่ ำ ขณะเดียวกนั ก็เปิด โอกาสใหเ้ พ่อื นไดม้ กี ารวิพากษ์วิจารณ์งานของผู้เรียนอนั จะนำไปสูค่ วามภาคภมู ใิ จ ๓. การเขียนรายงาน ( Self - Report) เป็นการให้ผู้เรียนเขียนรายงานเกี่ยวกับพฤติกรรมของตนเอง เหมอื นการสมั ภาษณ์เพียงแตไ่ ม่มคี นคอยตัง้ คำถามเทา่ นน้ั เอง
95 จากวิธกี ารประเมินดงั กล่าวสามารถนำมาจดั แสดงวธิ กี ารและเครือ่ งมือประเมินผลการเรยี นรู้ของสาระการ เรียนรูใ้ นดา้ นความรู้ ดา้ นทกั ษะกระบวนการ และด้านคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ มได้ การวัดและประเมินผลการเรียนรูก้ ลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ควรจัดให้ครอบคลุม ทั้งด้านความรู้ ด้านทักษะกระบวนการ และด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และสอดคล้องกับมาตรฐานการ เรียนรู้และตัวชี้วัดตามที่หลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กำหนดไว้ ควรมุ่งเน้นการวัด สมรรถภาพโดยรวมของผ้เู รียนเปน็ หลัก จดุ ประสงคห์ ลกั ของการวัดประเมนิ ไม่ใชอ่ ยู่ท่กี ารวัดผลเพอื่ ตัดสินผลการ เรียนของผู้เรียนเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการวัดและประเมินผลเพื่อนำผลการประเมินไปใช้ในการปรับปรุงการ เรียนการสอนเพื่อช่วยพัฒนาใหผ้ ู้เรยี นสามารถเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพและเตม็ ตามศกั ยภาพ คุณภาพของผูเ้ รยี นท่ตี อ้ งประเมิน การวัดและประเมินผลของกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้นแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กำหนดให้ทำการวัดและประเมินผลตามมาตรฐานและตัวชี้วัด ตัวชี้วัดในการวัดและ ประเมินผล ท่ีตอ้ งนำมาพิจารณา ดังนี้ ๑. ด้านความรู้ ในการวดั ประเมนิ ผลด้านความรตู้ อ้ งสอดคลอ้ งกบั มาตรฐานการเรียนรู้ 4 สาระ ดงั นี้ ๑.๑ วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ ๑.๒ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ ๑.๓ วทิ ยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ ๑.๔ เทคโนโลยี ๒. ดา้ นทักษะ / กระบวนการ การวดั ประเมินผลดา้ นทกั ษะ / กระบวนการ เป็นการวดั ความสามารถของผู้เรยี นครอบคลุมประเด็น ทีต่ อ้ งประเมนิ ดงั นี้ ๒.๑ การแกป้ ญั หา ๒.๒ การให้เหตุผล ๒.๓ การสอื่ สาร การสอื่ ความหมาย และการนำเสนอ ๒.๔ การเช่อื มโยง ๒.๕ ความคิดรเิ ร่ิมสร้างสรรค์ ๓. ด้านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ การวดั ประเมินผลดา้ นคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ ครอบคลมุ ประเด็นที่ต้องประเมนิ ดังนี้ ๓.๑ ทำงานอยา่ งเป็นระเบียบ ๓.๒ มรี ะเบียบวนิ ยั ๓.๓ มีความรอบคอบ ๓.๔ มคี วามรบั ผิดชอบ ๓.๕ มวี ิจารณญาณ ๓.๖ มีความเช่อื มน่ั ในตนเอง
96 ๓.๗ ตระหนักในคุณค่าและมเี จตคตทิ ี่ดตี อ่ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ศาสตร์ องคป์ ระกอบของการจดั การเรยี นการสอน ในการจัดการเรียนการสอน ครูผู้สอนต้องจัดกิจกรรมเพื่อให้ผู้เรียนมีผลการเรียนรู้ มีพัฒนาการตาม ตัวชี้วัดท่ีกำหนดไว้ ซึง่ ตอ้ งอาศยั การวัดและประเมนิ ผลที่สอดคล้องกับตัวชีว้ ัดที่กำหนดไว้ องค์ประกอบของการ สอนทั้งสามส่วนมคี วามสัมพันธ์กบั ดังภาพ ตัวชีว้ ัดการ เรยี นรู้ กจิ กรรมการเรยี น การวดั ละประเมนิ ผล การสอน การเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ด้านความรู้ สามารถกำหนดวิธีการและเครื่องมือสำหรับวัดและ ประเมินผลภายใต้กรอบของตัวชี้วัด วิธีวัดและประเมินผลการเรียนรู้ด้านความรู้ที่สำคัญได้แก่ การสอบ การ สังเกต การสัมภาษณ์ และการประเมินชิ้นงาน สำหรับเครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบทดสอบ แบบสังเกต และ แบบประเมินคุณภาพ ตามลำดับ การสรา้ งเครอ่ื งมือ และเกณฑก์ ารประเมนิ ทำไดโ้ ดยวเิ คราะหต์ วั ช้วี ัด เกณฑ์การประเมิน เกณฑก์ ารประเมนิ ทนี่ ำเสนอนี้เพื่อเป็นแนวทางท่ีครูผู้สอนใช้เป็นกรอบในการประเมินคุณภาพของผู้เรียน ในด้านตา่ ง ๆ ดังน้ี ๑. เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนผลการเรียนร้โู ดยการสอบ สำหรับแบบทดสอบที่เป็นปรนัยเลือกตอบ สามารถกำหนดเกณฑ์ในการให้คะแนนอย่างกว้าง ๆ คือ ตอบถกู ได้ ๑ คะแนน ตอบผดิ ได้ ๐ คะแนน สำหรับแบบทดสอบที่เป็นอัตนัย หรือแบบความเรียนสามารถกำหนดตัวบ่งชี้และเกณฑ์ในการให้ คะแนนมากกว่าสองระดับ เช่น อาจกำหนดคะแนนเต็มเป็น ๔ คะแนน แล้วพิจารณากำหนดเกณฑ์การให้ คะแนนลดหลนั่ ลงมา สำหรบั นักเรยี นทแี่ สดงผลการเรียนยงั ไม่ถึงเกณฑ์กำหนด
97 เกณฑ์การให้คะแนนผลการทำข้อสอบแบบอัตนัยที่พิจารณาจากการแสดงวิธีการหาคำตอบ และ ความถูกตอ้ งของคำตอบ คะแนน / ความหมาย ผลการทำขอ้ สอบท่ปี รากฏให้เหน็ ๔ ดมี าก ๓ ดี อธิบายได้ชดั เจน สมบรู ณ์ คำตอบถูกตอ้ ง ครบถว้ น ๒ พอใช้ อธบิ ายยังไมช่ ัดเจนดีนกั แต่อยใู่ นแนวทางทถ่ี กู ตอ้ ง คำตอบถกู ต้องครบถว้ น อธบิ ายยังไม่ชดั เจน หรอื ไมอ่ ธบิ ายคำตอบใหถ้ ูกต้องครบถ้วน หรือ อธิบายได้ ๑ ควรแกไ้ ข ชดั เจน สมบรู ณ์ แต่คำตอบไมถ่ กู ต้อง ขาดการตรวจสอบ อธิบายยังไมช่ ัดเจนดนี กั แต่อยูใ่ นแนวทางท่ถี กู ต้อง คำตอบไม่ถกู ต้อง หรอื ไม่ ๐ ต้องปรับปรงุ อธิบาย และคำตอบทไ่ี ดไ้ ม่ถูกต้องแต่อยู่ในแนวทางทถ่ี กู ต้อง ทำได้ไม่ถงึ เกณฑ์ นอกจากการพิจารณาจากการอธิบายในการตอบและความถูกต้องของคำตอบแล้ว เกณฑ์ในการให้ คะแนนแบบทดสอบอัตนยั อาจพจิ ารณาจากดา้ นอื่น ๆ อกี กไ็ ด้ สำหรบั เกณฑ์ในการใหค้ ะแนนของการสังเกต การ สัมภาษณ์ และการประเมินชิ้นงานสามารถสร้างเกณฑ์ในทำนองเดียวกับเกณฑ์การให้คะแนน ด้านทักษะ / กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรก์ ไ็ ด้ ๒. เกณฑ์การให้คะแนนด้านทักษะ / กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แบบแยกองค์ประกอบ 2.1 ทักษะกระบวนการ การแก้ปัญหา คะแนน / ความหมาย ความสามารถในการแกป้ ญั หาทป่ี รากฏใหเ้ ห็น ๔ ดมี าก ใช้วธิ ีดำเนนิ การหรือข้ันตอนทางวิทยาศาสตร์แกป้ ัญหาได้สำเรจ็ อย่างมี ๓ ดี ประสิทธิภาพ อธบิ ายถงึ เหตุผลในการใชว้ ิธีการดังกลา่ วได้เข้าใจชดั เจน ๒ พอใช้ ใช้วิธดี ำเนนิ การหรอื ขน้ั ตอนทางวิทยาศาสตร์แก้ปัญหาได้สำเรจ็ แต่ อธิบายและเหตุผลในการใชว้ ิธกี ารดงั กล่าวได้ยงั ไมเ่ พยี งพอ ๑ ต้องปรับปรงุ ใชว้ ธิ ดี ำเนินการหรือขน้ั ตอนทางวิทยาศาสตร์แกป้ ัญหาได้สำเร็จเพียง ๐ ไม่พยายาม บางสว่ น อธบิ ายและเหตุผลในการใช้วธิ กี ารดังกล่าวเพียงได้บางส่วน มีร่องรอยการดำเนนิ การแกป้ ัญหาบางส่วน เริ่มคดิ วา่ ทำไมจงึ ตอ้ งใช้ วธิ กี ารนั้นแลว้ หยดุ อธบิ ายต่อไม่ได้ แก้ปัญหาไม่สำเร็จ ทำได้ไมถ่ ึงเกณฑ์ข้างต้นหรอื ไม่มีร่องรอยการดำเนนิ การแก้ปญั หา
98 2.2 ทกั ษะกระบวนการ การให้เหตุผล คะแนน / ความหมาย ความสามารถในการให้เหตผุ ลทปี่ รากฏใหเ้ ห็น ๔ ดีมาก มกี ารอ้างองิ เสนอแนวคิดประกอบการตัดสินใจอย่างสมเหตสุ มผล ๓ ดี มกี ารอ้างอิงถูกตอ้ งบางสว่ น และเสนอแนวคดิ ประกอบการตัดสินใจ ๒ พอใช้ เสนอแนวคดิ ไมส่ มเหตุผลในการประกอบการตัดสินใจ ๑ ตอ้ งปรับปรงุ มคี วามพยายามเสนอแนวคิดประกอบการตดั สนิ ใจ ๐ ไม่พยายาม ไม่มแี นวคดิ ประกอบการตัดสินใจ 2.3 ทกั ษะกระบวนการ การเช่ือมโยง คะแนน / ความหมาย ความสามารถในการเชื่อมโยงทป่ี รากฏใหเ้ หน็ ๔ ดมี าก นำความรู้ หลกั การ และวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตรใ์ นการเชอ่ื มโยงกับสาระ ๓ ดี วิทยาศาสตร์/ สาระอน่ื / ในชวี ติ ประจำวัน เพอื่ ช่วยในการแกป้ ัญหา หรือ ประยกุ ต์ใช้ไดอ้ ย่างสอดคลอ้ งและเหมาะสม ๒ พอใช้ ๑ ต้องปรบั ปรุง นำความรู้ หลกั การ และวธิ กี ารทางวิทยาศาสตรใ์ นการเชือ่ มโยงกับสาระ ๐ ไมพ่ ยายาม วิทยาศาสตร/์ สาระอน่ื / ในชวี ติ ประจำวัน เพื่อช่วยในการแก้ปัญหา หรอื ประยกุ ตใ์ ชไ้ ด้บางส่วน นำความรู้ หลกั การ และวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ในการเชือ่ มโยงกับสาระ วิทยาศาสตรไ์ ด้บางสว่ น นำความรู้ หลกั การ และวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ในการเชือ่ มโยงยังไมเ่ หมาะสม ไมเ่ ชื่อมโยงกบั สาระอืน่ ใด ๆ 2.4 ทกั ษะกระบวนการ ความคิดริเรมิ่ สรา้ งสรรค์ คะแนน / ความหมาย ความคิดริเรมิ่ สร้างสรรคท์ ปี่ รากฏให้เห็น ๔ ดีมาก มแี นวคิด / วิธกี ารแปลกใหม่ทสี่ ามารถนำไปปฏบิ ัตไิ ดถ้ กู ต้องสมบรู ณ์ ๓ ดี มแี นวคดิ / วธิ กี ารแปลกใหม่ทส่ี ามารถนำไปปฏบิ ัติไดถ้ กู ต้องแตน่ ำไปปฏิบตั แิ ลว้ ไม่ ถูกต้องสมบูรณ์ ๒ พอใช้ มีแนวคิด / วธิ กี ารไม่แปลกใหมแ่ ตน่ ำไปปฏบิ ัติไดถ้ กู ตอ้ งสมบรู ณ์ ๑ ตอ้ งปรบั ปรงุ มีแนวคิด / วิธีการไม่แปลกใหมแ่ ละนำไปปฏิบัตแิ ลว้ ยงั ไมส่ มบูรณ์ ๐ ไมพ่ ยายาม ไมม่ ีผลงาน
99 ๓. เกณฑก์ ารให้คะแนนด้านคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์แบบแยกองค์ประกอบ 3.1 คุณลักษณะ มคี วามรบั ผิดชอบ คะแนน / ความหมาย คณุ ลักษณะท่ปี รากฏให้เหน็ ๓ ดมี าก - สง่ งานก่อนหรอื ตรงตามกำหนดเวลานดั หมาย - รับผิดชอบในงานท่ีได้รบั มอบหมายและปฏิบัตเิ องจนเป็นนิสยั เป็นระบบ แกผ่ ูอ้ ่นื และแนะนำชักชวนให้ผอู้ นื่ ปฏิบตั ิ ๒ ดี - ส่งงานช้ากว่ากำหนด แตไ่ ดม้ ีการติดต่อชี้แจงครูผ้สู อน มเี หตุผลทร่ี ับฟงั ได้ - รบั ผดิ ชอบในงานท่ีไดร้ ับมอบหมาย ปฏบิ ตั ิเองจนเป็นนิสยั ๑ พอใช้ - สง่ งานชา้ กวา่ กำหนด - ปฏบิ ัติงานโดยต้องอาศยั การชแ้ี นะ แนะนำ ตักเตอื นหรือใหก้ ำลงั ใจ 3.2 คุณลักษณะ มรี ะเบียบวินัย คะแนน / ความหมาย คุณลกั ษณะทป่ี รากฏให้เห็น ๓ ดมี าก - สมุดงาน ชิ้นงาน สะอาดเรียบรอ้ ย - ปฏิบตั ิตนอยใู่ นขอ้ ตกลงทีก่ ำหนดใหร้ ่วมกันทุกคร้งั ๒ ดี - สมุดงาน ชิ้นงาน สว่ นใหญส่ ะอาดเรียบร้อย - ปฏิบัติตนอยใู่ นข้อตกลงทีก่ ำหนดให้ร่วมกันเป็นสว่ นใหญ่ ๑ พอใช้ - สมุดงาน ชิ้นงาน ไมค่ ่อยสะอาดเรยี บรอ้ ย - ปฏิบัติตนอย่ใู นข้อตกลงทกี่ ำหนดใหร้ ว่ มกันเปน็ บางครง้ั ตอ้ งอาศัยการ แนะนำ 3.3 คณุ ลกั ษณะ ทำงานเป็นระบบรอบคอบ คะแนน / ความหมาย คุณลกั ษณะทปี่ รากฏให้เห็น ๓ ดมี าก - มกี ารวางแผนการดำเนินงานเป็นระบบ - การทำงานมีครบทกุ ขัน้ ตอน ตดั ข้ันตอนทไ่ี มส่ ำคัญออก - จดั เรียงลำดับความสำคัญกอ่ น – หลัง ถูกต้องครบถว้ น ๒ ดี - มกี ารวางแผนการดำเนินงาน - การทำงานไม่ครบทกุ ขัน้ ตอน และผิดพลาดบ้าง - จัดเรยี งลำดบั ความสำคัญก่อน – หลัง ไดเ้ ปน็ สว่ นใหญ่ ๑ พอใช้ - ไมม่ กี ารวางแผนการดำเนินงาน - การทำงานไมม่ ีขัน้ ตอน มคี วามผิดพลาดตอ้ งแก้ไข - ไมจ่ ัดเรยี งลำดับความสำคญั ๔. เกณฑก์ ารประเมนิ ชน้ิ งานแบบองคร์ วม
100 คะแนน / ความหมาย คณุ ภาพของช้นิ งานทป่ี รากฏให้เหน็ ๔ ดมี าก - สร้างชิ้นงานและนำเสนอรูปแบบวธิ ีการสรา้ งช้ินงานไดอ้ ย่างถูกต้องแม่นยำ ๓ ดี - แสดงข้ันตอนหรือใหเ้ หตผุ ล สนับสนุนการสรา้ งชิน้ งานได้ครบถ้วนสมบรู ณ์ ๒ พอใช้ - มองเหน็ ความเชือ่ มโยงหรือการขยายผลไปส่หู ลักการของปัญหาไดอ้ ยา่ งสมบรู ณ์ ๑ ต้องปรับปรุง - มอี งค์ประกอบของช้นิ งานครบถว้ น ๓ รายการ(รูปแบบรายงาน ความถกู ต้อง ชดั เจนในการเขียนหรือพมิ พ์ การจัดรปู เล่ม - สร้างชนิ้ งานและนำเสนอรูปแบบวธิ ีการสรา้ งชนิ้ งานถกู ตอ้ ง - แสดงขน้ั ตอนหรือใหเ้ หตุผล สนับสนุนการหาคำตอบได้บางสว่ น - เชือ่ มโยงไปสหู่ ลกั การของปญั หาไดบ้ างสว่ น - มีองคป์ ระกอบของชิน้ งานไมน่ ้อยกว่า ๒ รายการ - สร้างชน้ิ งานและนำเสนอรูปแบบวธิ กี ารสรา้ งชิน้ งานมขี ้อผดิ พลาดบางสว่ น - แสดงข้ันตอนหรือใหเ้ หตุผล สนบั สนุนการหาคำตอบเล็กน้อย - แสดงการเช่ือมโยงหลักการการแก้ปัญหาได้เล็กน้อย - มอี งค์ประกอบของช้ินงานไมน่ อ้ ยกว่า ๒ รายการ - ไมม่ ีชิ้นงาน 5. เกณฑก์ ารให้คะแนนดา้ นคณุ ลกั ษณะท่พี งึ ประสงค์แบบองคร์ วม คะแนน / ความหมาย คณุ ลกั ษณะทีป่ รากฏใหเ้ หน็ ๓ ดมี าก สามารถปฏิบัตไิ ดด้ ้วยตนเองหรือเปน็ แบบอย่างแก่ผู้อ่นื ได้ในการปฏบิ ตั งิ านทาง คณติ ศาสตร์อย่างมีระบบ มีระเบยี บวินัย มคี วามรอบคอบ มีความรับผิดชอบ มีวจิ ารณญาณ มีความเช่อื มั่นในตนเอง ๒ ดี สามารถปฏิบัติตนตามคำแนะนำหรือชี้แนะในการปฏิบัติงานทางคณิตศาสตรอ์ ยา่ ง มีระบบ มีระเบียบวนิ ัย มคี วามรอบคอบ มคี วามรับผดิ ชอบ มีวิจารณญาณ มีความเช่อื ม่ันในตนเอง ๑ พอใช้ ไมส่ ามารถปฏิบัติตนตามคำแนะนำหรอื ชแ้ี นะดว้ ยตนเอง แต่ตอ้ งมีการกำกับและ ตดิ ตามอยู่เสมอในการปฏบิ ัติงานทางคณิตศาสตร์อย่างมรี ะบบ มรี ะเบยี บวินัย มีความรอบคอบ มีความรบั ผดิ ชอบ มีวิจารณญาณ มีความเชือ่ มนั่ ในตนเอง แนวปฏบิ ัตใิ นการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรยี นรูข้ องผู้เรยี นตอ้ งอยู่บนหลักการพื้นฐานสองประการคือ การประเมินเพอ่ื พัฒนาผู้เรียนและเพื่อตัดสินผลการเรียน ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้ประสบผลสำเร็จน้ัน นักเรียนจะตอ้ งได้รับการพัฒนาและประเมนิ ตามตัวชี้วัดเพื่อให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ สะท้อนสมรรถนะ สำคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ใน ระดบั ช้ันเรียน ระดับสถานศกึ ษา การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เป็นกระบวนการพัฒนาคณุ ภาพนกั เรยี นโดยใช้
101 ผลการประเมินเป็นข้อมูลและสารสนเทศที่แสดงพัฒนาการ ความก้าวหน้า และความสำเร็จทางการเรียนของ นักเรียน ตลอดจนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมให้นักเรียนเกิด การพัฒนาและเรียนรู้อย่างเต็มตาม ศักยภาพ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ แบ่งออกเป็น ๒ ระดับ ได้แก่ ระดับชั้นเรียน ระดับสถานศึกษา มี รายละเอียด ดังน้ี ๑. การประเมินระดบั ชัน้ เรียน เปน็ การวดั และประเมนิ ผลทีอ่ ยู่ในกระบวนการจัดการเรยี นรู้ ครู ผู้สอน ดำเนินการเป็นปกตแิ ละสม่ำเสมอ ในการจัดการเรียนการสอน ใช้เทคนิคการประเมินอย่างหลากหลาย เช่น การ ซักถาม การสงั เกต การตรวจการบ้าน การประเมินโครงงาน การประเมินชิ้นงาน / ภาระงาน แฟม้ สะสมงาน การ ใช้แบบทดสอบ ฯลฯ โดยครู ผ้สู อนเป็นผูป้ ระเมนิ เองหรอื เปดิ โอกาสใหน้ ักเรยี นประเมนิ ตนเอง เพอ่ื นประเมนิ เพือ่ น ผ้ปู กครองร่วมประเมิน ในกรณที ่ีไมผ่ า่ นตวั ช้วี ดั ใหม้ ี การสอนซ่อมเสริม การประเมินระดับชั้นเรียนเป็นการตรวจสอบว่า นักเรียนมีพัฒนาการความก้าวหน้าในการเรียนรู้ อันเปน็ ผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือไม่ และมากนอ้ ยเพยี งใด มสี ิ่งทีจ่ ะต้องได้รบั การพฒั นา ปรบั ปรงุ และสง่ เสริมในด้านใด นอกจากนย้ี งั เป็นขอ้ มูลให้ผสู้ อนใช้ปรับปรงุ การเรยี นการสอนของตนด้วย ท้ังนี้โดย สอดคลอ้ งกบั มาตรฐานการเรยี นร้แู ละตวั ชี้วัด ๒. การประเมินระดบั สถานศึกษา เป็นการประเมนิ ที่สถานศกึ ษาดำเนนิ การเพื่อตัดสนิ ผล การเรียนของ ผู้เรียนเป็นรายปี/รายภาค ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และ กิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น นอกจากนเี้ พื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกบั การจดั การศึกษาของสถานศกึ ษา วา่ ส่งผลต่อการเรียนรู้ ของผู้เรียนตามเป้าหมายหรือไม่ ผู้เรียนมีจุดพัฒนาในด้านใด รวมทั้งสามารถนำผลการเรียนของผู้เรียนใน สถานศึกษาเปรียบเทยี บกบั เกณฑร์ ะดับชาติ ผลการประเมนิ ระดบั สถานศึกษาจะเปน็ ขอ้ มูลและสารสนเทศเพ่ือการ ปรบั ปรุงนโยบาย หลักสตู ร โครงการ หรือวธิ ีการจดั การเรียนการสอน ตลอดจนเพอื่ การจดั ทำแผนพัฒนาคุณภาพ การศึกษาของสถานศึกษาตามแนวทางการประกันคุณภาพการศึกษาและการรายงานผลการจัดการศึกษาต่อ คณะกรรมการสถานศึกษา สำนักงานเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษา สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน ผ้ปู กครอง และชุมชน ขอ้ มลู การประเมินในระดับต่าง ๆ ขา้ งตน้ เป็นประโยชน์ในการตรวจสอบทบทวนพฒั นาคุณภาพนักเรียน ที่จะต้องจัดระบบดูแลช่วยเหลือ ปรับปรุงแก้ไข ส่งเสริมสนับสนุนเพื่อให้นักเรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพบน พ้ืนฐาน ความแตกต่างระหว่างบุคคลที่จำแนกตามสภาพปญั หาและความต้องการ ไดแ้ ก่ กลมุ่ นกั เรยี นท่ัวไป กลุ่ม นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ กลุ่มนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ กลุ่มผู้เรียนที่มีปัญหาด้านวินัยและ พฤติกรรม กลุ่มนักเรียนที่ปฏิเสธโรงเรยี น กลุ่มนักเรียนที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม กลุ่มพิการทางร่างกาย และสติปัญญา เป็นต้น ข้อมูลจากการประเมินจึงเป็นหัวใจของสถานศึกษาในการดำเนินการช่วยเหลือผู้เรียนได้ ทันทว่ งที ปิดโอกาสให้ผู้เรยี นได้รับการพัฒนาและประสบความสำเร็จในการเรยี น สถานศึกษาในฐานะผู้รับผิดชอบจัดการศึกษา จะต้องจัดทำระเบียบว่าด้วยการวัดและประเมินผลการ เรียนของสถานศึกษาให้สอดคล้องและเป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติที่เป็นข้อกำหนดของหลักสูตร สถานศึกษา เพอื่ ให้บคุ ลากรท่ีเกี่ยวข้องทุกฝา่ ยถอื ปฏิบตั ิร่วมกนั
102 เกณฑ์การวดั และประเมนิ ผลการเรยี น ๑. การตดั สนิ การให้ระดบั และการรายงานผลการเรยี น ๑.๑ การตัดสินผลการเรียน ในการตัดสินผลการเรียนของกลุ่มสาระการเรียนรู้ การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ และกจิ กรรมพัฒนาผ้เู รียนน้นั ผูส้ อนตอ้ งคำนึงถงึ การพฒั นานักเรยี นแตล่ ะคนเป็นหลัก และตอ้ งเก็บขอ้ มูล ของนกั เรยี นทุกด้านอย่างสม่ำเสมอและต่อเนือ่ งในแต่ละภาคเรยี น รวมทั้งสอนซอ่ มเสริมผู้เรียนให้พัฒนาจนเต็มตาม ศักยภาพ ระดบั ประถมศกึ ษา (๑) ผเู้ รียนตอ้ งมีเวลาเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ของเวลาเรียนทั้งหมด (๒) ผเู้ รยี นตอ้ งได้รบั การประเมินทุกตวั ชี้วดั และผ่านเกณฑ์ไมน่ ้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ของจำนวนตัวช้ีวดั (๓) ผู้เรียนต้องได้รับการตัดสินผลการเรียนทุกรายวิชา ไม่น้อยกว่าระดับ “ ๑ ” จึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์ ตามทสี่ ถานศกึ ษากำหนด (๔) นักเรียนต้องได้รับการประเมิน และมีผลการประเมินการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียน ในระดับ “ ผ่าน ” ขึ้นไป มีผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในระดับ“ ผ่าน ” ขึ้นไป และมีผลการประเมิน กิจกรรมพฒั นานักเรยี น ในระดบั “ ผา่ น ” ๑.๒ การใหร้ ะดับผลการเรยี น ระดับประถมศกึ ษา ในการตัดสินเพื่อให้ระดับผลการเรียนรายวิชา ให้ระดับผลการเรียนหรือระดับคุณภาพการปฏิบัติของ นักเรียน เปน็ ระบบตัวเลขแสดงระดับผลการเรยี นเป็น ๘ ระดับดงั นี้ ระดับผลการเรยี น ความหมาย ชว่ งคะแนนร้อยละ ๔ ผลการเรยี นดเี ย่ยี ม ๘๐ - ๑๐๐ ๓.๕ ผลการเรยี นดีมาก ๗๕ - ๗๙ ๓ ผลการเรียนดี ๗๐ - ๗๔ ๒.๕ ผลการเรียนค่อนขา้ งดี ๖๕ - ๖๙ ๒ ผลการเรียนน่าพอใจ ๖๐ - ๖๔ ๑.๕ ผลการเรียนพอใช้ ๕๕ - ๕๙ ๑ ผลการเรยี นผา่ นเกณฑ์ขั้นตำ่ ๕๐ - ๕๔ ๐ ผลการเรยี นต่ำกวา่ เกณฑ์ ๐ - ๔๙ การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์น้ัน ให้ระดับผลการประเมิน เปน็ ดีเยย่ี ม ดี ผ่าน และไมผ่ ่าน การประเมนิ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จะต้องพิจารณาทัง้ เวลาการเข้ารว่ มกจิ กรรม การปฏิบัติกิจกรรมและ ผลงานของผู้เรียน ตามเกณฑ์ท่สี ถานศึกษากำหนด และให้ผลการเขา้ ร่วมกิจกรรมเปน็ ผ่าน และไมผ่ ่าน
103 ๑.๓ การรายงานผลการเรยี น การรายงานผลการเรยี นเป็นการส่ือสารให้ผปู้ กครองและนักเรยี นทราบความก้าวหนา้ ในการเรียนรขู้ อง นักเรียน ต้องสรปุ ผลการประเมนิ และจัดทำเอกสารรายงานใหผ้ ปู้ กครองทราบเป็นระยะ ๆ หรืออย่างนอ้ ยภาค เรยี นละ ๑ คร้งั การรายงานผลการเรียนสามารถรายงานเปน็ ระดบั คณุ ภาพการปฏิบตั ิของนกั เรยี นทส่ี ะท้อนมาตรฐานการ เรียนรูก้ ล่มุ สาระการเรียนรู้ ๒. เกณฑก์ ารจบการศกึ ษา หลักสูตรสถานศึกษา กำหนดเกณฑ์กลางสำหรับการจบการศึกษาเปน็ ๒ ระดับ คือ ระดับประถมศึกษา และระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น เกณฑก์ ารจบระดบั ประถมศึกษา (๑) นกั เรียนเรียนรายวชิ าพน้ื ฐาน และรายวชิ า/กิจกรรมเพมิ่ เตมิ ตามโครงสรา้ งเวลาเรียน ท่ีกำหนด (๒) นักเรียนตอ้ งมผี ลการประเมนิ รายวชิ าพืน้ ฐาน ผ่านเกณฑ์การประเมนิ ตามทก่ี ำหนด (๓) นักเรียนมีผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนในระดับผ่านเกณฑ์ การประเมินตามท่ี กำหนด (๔) นกั เรยี นมีผลการประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงคใ์ นระดบั ผ่านเกณฑ์การประเมนิ ตามที่กำหนด (๕) นกั เรยี นเข้าร่วมกิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี นและมีผลการประเมินผา่ นเกณฑ์การประเมนิ ตามท่กี ำหนด
104 เอกสารอา้ งอิง กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (๒๕๕๑). หลกั สูตรการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ . กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ครุ ุสภาลาดพร้าว. สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (๒๕๖๑ ). ตัวชว้ี ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖0) ตามหลักสตู รแกนกลางสถานศึกษา ขนั้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑. สำนกั นายกรัฐมนตรี, สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาต.ิ (๒๕๔๒). พระราชบญั ญตั ิ การศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์องคก์ ารรับสง่ สินค้าและพสั ดุ ภณั ฑ์ (ร.ส.พ.). สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (๒๕๔๖ ก.). สรุปผลการประชุมวเิ คราะหห์ ลักสตู ร การศึกษาขน้ั พื้นฐาน. ๒๗-๒๘ ตุลาคม ๒๕๔๖ เร่อื ง การนำมาตรฐานการเรียนรูแ้ ละ ตวั ชีว้ ดั กลุม่ สาระการเรียนรคู้ ณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภมู ศิ าสตร์ ฯ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๑ ) ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 ไปสู่การปฏิบัติ ๑๔-๑๖ มีนาคม ๒๕๖๑ ณ โรงแรมจอมเทยี นปาลม์ บีช พัทยา จังหวดั ชลบรุ .ี สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา. (๒๕๔๖ ข.). สรุปความเหน็ จากการประชุมเสวนา หลกั สูตรการศึกษาขน้ั พื้นฐาน ๕ จดุ . พฤศจิกายน ๒๕๔๖ (เอกสารอัดสำเนา). สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (๒๕๔๘ ก). รายงานการวิจัย การใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานตาม ทัศนะของผ้สู อน. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์องค์การรบั ส่งสนิ คา้ และพสั ดภุ ัณฑ์
105 ภาคผนวก
106 อภิธานศพั ท์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Process) เปน็ กระบวนการในการศึกษาหาความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ ซึง่ ประกอบด้วยขน้ั ตอนหลัก คือ การต้ังคำถาม หรือกำหนดปัญหา การสร้างสมมติฐานหรือการคาดการณ์คำตอบ การออกแบบวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล การ วิเคราะหแ์ ละแปลความหมายขอ้ มูล การลงขอ้ สรุป และการส่ือสาร การแกป้ ญั หา (Problem Solving) เป็นการหาคำตอบของปัญหาท่ียงั ไม่รูว้ ธิ ีการมาก่อน ทัง้ ปัญหาทีเ่ กย่ี วข้องกับเน้ือหาวิทยาศาสตร์โดยตรง และปญั หาในชีวติ ประจำวนั โดยใช้เทคนิค วิธกี าร หรือกลยทุ ธต์ า่ ง ๆ การวิเคราะห์ (Analyzing) เป็นระดับของผลการเรียนรู้ทผ่ี เู้ รียนสามารถแยกแยะข้อมลู หรือข้อสนเทศ เพ่อื เช่อื มโยงความสัมพันธ์ การสังเกต (Observation) และ เป็นวธิ ีการหาข้อมูลโดยตรง โดยใช้ประสาทสมั ผัสทง้ั ห้า ไดแ้ ก่ การดู การดม การฟัง การชมิ การสัมผัส การสบื คน้ ขอ้ มลู ( Search) เป็นการหาข้อมูลหรือข้อสนเทศท่ีมผี ูร้ วบรวมไวแ้ ล้วจากแหล่งตา่ ง ๆ เชน่ หอ้ งสมดุ เครอื ข่าย อนิ เทอร์เนต็ ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ เป็นต้น การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์( Scientific Inquiry) การ เป็นการหาความร้ทู างวิทยาศาสตร์ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หรือ วธิ กี ารอืน่ ๆ เช่น สำรวจ การสังเกต การวัด การจำแนกประเภท การทดลอง การสร้างแบบจำลอง การสืบค้นข้อมูล การสำรวจ( Exploration) เป็นการหาขอ้ มูลเกยี่ วกบั สง่ิ ตา่ ง ๆ โดยใชว้ ิธกี ารและเทคนิคตา่ ง ๆ เชน่ การสังเกต การสมั ภาษณ์ การเกบ็ ตัวอยา่ ง เพือ่ นำมาวิเคราะห์ จำแนก หรอื หาความสัมพนั ธ์ การสำรวจตรวจสอบ (Scientific Investigation) เป็นวิธีการหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ โดยผ่านการรวบรวมข้อมูล ใช้ความคิดที่มีเหตุผลในการ ตั้งสมมติฐาน อธิบายและแปลความหมายข้อมูล การสำรวจตรวจสอบทำได้หลายวิธี เช่น การสังเกต การสำรวจ การทดลอง เปน็ ต้น
107 ความเข้าใจ (Understanding) เป็นระดับของผลการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถอธิบาย เปรียบเทียบ แยกประเภท ยกตัวอย่าง เขียน แผนภาพ เลอื ก ระบุ เลอื กใช้เก่ียวกับเร่อื งตา่ ง ๆ จติ วิทยาศาสตร์ (Scientific mind/Scientific attitudes) เป็นคุณลักษณะหรือลักษณะนิสัยของบุคคล ที่เกิดขึ้นจากการศึกษาหาความรู้ โดยใช้กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ จติ วิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยคุณลักษณะต่าง ๆ ไดแ้ ก่ ความสนใจใฝ่รู้ ความมุ่งม่นั อดทน รอบคอบ ความรับผิดชอบ ความซื่อสตั ย์ ประหยัด การร่วมแสดงความคิดเหน็ และยอมรับฟงั ความคิดเห็นของผูอ้ ื่น ความมี เหตผุ ล การทำงานร่วมกบั ผู้อ่ืนได้อย่างสรา้ งสรรค์ เจตคตติ อ่ วทิ ยาศาสตร์ (Attitudes Toward Sciences) เป็นความรู้สึกของบุคคลต่อวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นผลจากการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โดยผ่านกิจกรรมท่ี หลากหลาย ความรสู้ กึ ดังกลา่ ว เช่น ความสนใจ ความชอบ การเห็นความสำคัญและคณุ ค่า
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140