Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการเรียนรู้ วิทย์ ม.616201ณัฐธนัญา

แผนการเรียนรู้ วิทย์ ม.616201ณัฐธนัญา

Published by nattanunya2519, 2019-05-02 10:08:10

Description: แผนการเรียนรู้ วิทย์ ม.616201ณัฐธนัญา

Search

Read the Text Version

แผนการจัดการเรียนรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 6 51 แบบฝึกที่ 3 : กาเนดิ ของสิ่งมีชีวติ คา้ ชแ้ี จง ให้ผเู้ รียนอ่านคาส่ัง และตอบคาถามต่อไปน้ี 1. จบั คู่ความสมั พนั ธร์ ะหว่างนกั วทิ ยาศาสตรก์ ับแนวความคดิ ที่เก่ยี วกับการกาเนิดของสงิ่ มีชวี ติ ……………ลุย ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) A ) แนวความคดิ ทแ่ี สดงให้เหน็ ว่าส่งิ มชี ีวิตเรมิ่ แรก …………….อเลก็ ซานดร์ อวี าโนวชิ โอพาริน ววิ ัฒนาการมาจากสารเคมี ……………..สแตนเลย์ มลิ เลอร์ (Stanley Miller) B) ทำการทดลองทแ่ี สดงใหเ้ หน็ วา่ กรดอะมิโนและ ยูเรียซ่งึ เปน็ สารสารอินทรีย์ เกิดจากการรวมตวั กัน ของสารอยา่ งงา่ ยเชน่ แอมโมเนีย น้าและ กา๊ ซไฮโดรเจน โดยมีแหลง่ พลังงานจากไฟฟ้า C) แนวคดิ ทยี่ นื ยนั วา่ สงิ่ มีชีวติ ตอ้ งเกดิ จากสิ่งมีชีวติ เทา่ นน้ั ……………..ซิดนยี ์ ฟอกซ์ (Sidney Fox) D) การทดลองที่สนับสนนุ วา่ เซลล์เร่มิ แรกเกดิ จาก การรวมตวั กนั ของกรดอะมิโนทไี่ ดร้ ับความรอ้ น 2. จากแนวความคดิ ว่าสิง่ มีชีวติ เกดิ จากวิวัฒนาการของสารเคมี จงเรยี งลาดบั วิวฒั นาการของสารเคมตี อ่ ไปนี้ ให้ถกู ต้อง สารอนนิ ทรยี ์ อะตอมธาตุ สารประกอบ สารอินทรยี ์ นา้ ก๊าซไฮโดรเจน DNA แอมโมเนีย กรดอะมโิ น RNA ไขมนั น้าตาล โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์

แผนการจัดการเรียนรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 6 52 3. ให้ผู้เรียนพจิ ารณาภาพเซลลโ์ พรคารโิ อตและเซลลย์ คู ารโิ อตแลว้ ใช้ข้อความในตารางเตมิ คำลงในชอ่ งวา่ ง ให้ถูกตอ้ ง นวิ คลีออยด์ ไรโบโซมขนาด 70s ไซโทรพลาซมึ เยือ่ ห้มุ เซลล์ ผนงั เซลล์ แฟลกเจลลา เซลล์โพรคาริโอต (Prokaryotic cel) ไรโบโซมขนาด 80s แวควิ โอล ผนังเซลล์ เอนโดพลาสมกิ เรติคูลัมชนดิ ขรุขระ ไซโทรพลาซมึ คลอโรพลาสต์ กอลจิแอพพาราตสั ไมโทคอนเดรยี นิวเคลยี ส เซลลย์ คู ารโิ อต A คอื ……………………………………………………… B คือ……………………………………………………………. C คอื ………………………………………………………… D คอื ………………………………………………………………. E คือ……………………………………………………… F คอื ………………………………………………………. G คอื ……………………………………………………………. H คือ……………………………………………………………. I คอื …………………………………….………………………. ทมี่ า http://www.sciencegeek.net [2558 , กรกฎาคม 14]) โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์

แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 53 เฉลยแบบฝกึ ที่ 1 : ความหลากหลายทางชวี ภาพ ตอนที่ 1 ให้ผเู้ รียนศกึ ษาความหมายของความหลากหลายทางชีวภาพ พจิ ารณาภาพแล้วจบั คู่ขอ้ ความทม่ี ี ความสมั พันธก์ บั รปู ภาพ ภาพที่ 1 ความหลากหลายทางพนั ธกุ รรม ภาพท่ี 2 ความหลากหลายทางสปีชสี ์ ภาพท่ี 3 ภาพท่ี 4 ความหลากหลายของระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชวี ภาพ ตอนท่ี 2 ใหผ้ ้เู รยี นศึกษาข้อมลู จากตารางธรณกี าลแล้วตอบคาถาม 1. สงิ่ มีชวี ิตพวกแรกที่เกดิ ขึ้นบนโลก นคี้ ือสิง่ มชี วี ติ ใดมีอายกุ ล่ี า้ นปี ตอบ สง่ิ มีชีวติ พวกแรกทีเ่ กดิ ขน้ึ บนโลกคอื สงิ่ มีชีวติ ที่มีเซลลแ์ บบโพรคารโิ อต มีอายุประมาณ 3,500 ล้านปี 2. เรมิ่ มพี ชื เกิดขนึ้ ในยคุ ใด ตอบ พืชเรม่ิ พบในยคุ ออร์โดวิเชียน 3. จากตารางธรณกี าลการสญู พันธุข์ องส่ิงมชี ีวิตจานวนมากเกิดประมาณกค่ี คร้ังและเกิดในยคุ ใดบ้าง ตอบ การสูญพันธุ์ของสง่ิ มีชีวติ จ านวนมากเกิดขน้ึ มาประมาณ 3 ครัง้ และเกิดในยคุ แคมเบรียน ,ยุคเพอร์เมยี น และ ยุคครเี ทเชียส 4. สิ่งมชี วี ิตที่มเี ซลล์ยูคารโิ อตเรมิ่ เกิดขน้ึ เมือ่ ใด ตอบ เรมิ่ พบในมหายคุ พรีแคมเบรียน เมื่อประมาณ 2,200 ล้านปี 5. เรมิ่ ปรากฏมนษุ ย์ในยคุ ใด และเมอื่ ประมาณกป่ี ที ผี่ า่ นมา ตอบ ยุคควอเทอนารี เมือ่ ประมาณ 1.8 ล้านปที ผี่ า่ นมา โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์

แผนการจดั การเรียนรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 6 54 เฉลยแบบฝกึ ที่ 2 : ความหลากหลายของสงิ่ มชี วี ติ ตอนท่ี 1 ใหผ้ ู้เรียนสบื คน้ ชอื่ วิทยาศาสตรข์ องสง่ิ มชี วี ติ ทร่ี ะบใุ ห้ตอ่ ไปนี้ เขียนให้ถกู ตอ้ ง พรอ้ มทงั้ แยกส่วนประกอบทง้ั 3 สว่ นของชือ่ วทิ ยาศาสตร์ ชือ่ สามญั ช่ือวิทยาศาสตร์ จนี ัส สปีชสี ์ ผตู้ ้งั ช่อื กระเจี๊ยบแดง Hibiscus sabdariffa L. Hibiscus sabdariffa Linnaeus Psidium guajava Linnaeus ฝรงั่ Psidium guajava L. Curcuma longa Linnaeus ขมน้ิ Allium sativum Linnaeus กระเทยี ม Curcuma longa L. Muntingia calabura Linnaeus ตะขบฝรงั่ Caesalpinia pulcherrima Linnaeus หางนกยงู ไทย Allium sativum L. Cocos nucifera Linnaeus มะพรา้ ว Muntingia calabura L. Tamarindus indica Linnaeus มะขาม Caesalpinia pulcChoecrorims anuLc.ifera L. Tamarindus indica L. ตอนที่ 2 ให้ผเู้ รียนสรา้ งไดโคโตมสั คยี ์ สิ่งมชี วี ติ ท่ีกาหนดใหต้ อ่ ไปนี้ ขนั้ ตอนที่ 1 สืบคน้ ลักษณะของดอกไมแ้ ตล่ ะชนดิ ดอกราชพฤกษ์ ราชพฤกษเ์ ปน็ ไม้ยนื ตน้ ขนาดกลาง มคี วามสูง 10-20 เมตร ดอกขนึ้ เปน็ ชอ่ ยาว 20-40 เซนตเิ มตร แตล่ ะ ดอกมีเสน้ ผา่ นศูนย์กลาง 4-7 เซนตเิ มตร มีกลีบดอกสีเหลอื งขนาดเทา่ กนั 5 กลีบ ผลยาว 30-62 เซนตเิ มตร และ กว้าง 1.5-2.5 เซนตเิ มตร ใบเปน็ ใบประกอบแบบขนนก ประกอบดว้ ยกา้ นใบหลัก ยาวประมาณ 20-30 เซนตเิ มตร แต่ละก้านใบหลักประกอบด้วยใบยอ่ ย ออกเปน็ คู่เรียงสลบั ตรงขา้ ม และเยื้องกนั เล็กนอ้ ย ใบย่อยแต่ละก้านมี ประมาณ 3-8 คู่ ใบยอ่ ยมีกา้ นใบยาวประมาณ 5-10 เซนตเิ มตร อ้างองิ จาก วกิ พิ เี ดยี ,ราชพฤกษ,์ กรกฎาคม 2558,จาก https://th.wikipedia.org/wiki ดอกกล้วยไมแ้ วนดา้ เปน็ กล้วยไมส้ กุล หนง่ึ ในวงศก์ ล้วยไม้ แวนด้าส่วนใหญ่เปน็ กลว้ ยไมอ้ งิ อาศัย ในช่อดอกจะมดี อกลกั ษณะแบน รวมกนั หลายดอกแผอ่ อกด้านข้างในหนง่ึ ชอ่ สว่ นใหญม่ สี ีเหลือง-น้าตาลและมีจุดสีน้าตาล แตก่ ม็ ีสขี าว เขียว สม้ แดง และสีไวน์แดงด้วย ทีป่ ากดอกมีเดอื ยเล็กๆ แวนดา้ ออกดอกไดบ้ อ่ ยทุกๆ สองสามเดอื น และดอกยังบานทนได้ ถงึ สองถงึ สามสปั ดาห์ อ้างองิ จาก วกิ ิพีเดยี ,แวนดา้ ,กรกฎาคม 2558,จาก https://th.wikipedia.org/wiki โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์

แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 55 ดอกซมิ ปอร์ ดอกซิมปอร์ หรือที่รู้จัก กันในชือ่ ดอกส้านชะวา ถน่ิ กาเนดิ มาจากภูมภิ าคมาเลเซีย ลาต้นสงู ได้ถงึ 10 เมตร เปลือกสีมว่ งดา ใบเด่ยี วออกสลับรูปรีจนถงึ รปู ไข่ ปลายกลมหรือมน โคนมน มคี รีบและยกตัง้ ดอกสีเหลอื ง ออก เปน็ ชอ่ ทยี่ อด 4-5 ดอก บางครั้งมีถงึ 18 ดอก กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เป็นดอกไมท้ มี่ ีกลีบดอกขนาดใหญร่ ปู ชอ้ น เมือ่ บานเตม็ ที่กลีบดอกจะบานออก คลา้ ยร่มมเี กสรตัวผูจ้ านวนมาก ผลเปน็ รปู กลมแปน้ เมือ่ สุกสีสม้ หรือแดงจะ แตกออกเปน็ 6 แฉก ขยายพันธุ์โดยการตอนก่ิงพบทั่วไปตามแมน่ ้าของประเทศบรูไนดารุสซาลาม โดยเฉพาะ แม่นา้ Tem-burong และยังพบตามบงึ หรอื บรเิ วณทีม่ ที รายสีขาว อ้างองิ จาก โอเคเนชนั่ ,ดอกซมิ ปอร์ ดอกไมป้ ระจ าชาติ บรูไนดารุสซาลาม , กรกฎาคม 2558, จาก http://www.oknation.net ดอกลาดวน เป็นไมต้ น้ ขนาดกลาง สูง 5 - 20 เมตร ไมผ่ ลัดใบ เรือนยอดรปู กรวย หนาทบึ ลาตน้ ตรง มีเปลอื กสีนา้ ตาล แตกขรขุ ระเปน็ สะเกด็ ใบเดย่ี วเรียงสลับ แผน่ ใบรูปขอบขนานหรือรปู ใบหอก กว้าง 2.5-4 เซนตเิ มตร ยาว 5-11.5 เซนตเิ มตร ปลายใบแหลมโคนใบสอบหรือมน ดอกมีสีนวลกลนิ่ หอม ออกเดย่ี วตามซอกใบทปี่ ลายก่ิง กลีบ ดอกหนาและแขง็ กลีบดอก ชัน้ นอก 3 กลีบแผอ่ อก ชั้นใน 3 กลีบ หุบเขา้ หากัน เมื่อบานเสน้ ผ่าศนู ย์กลาง ประมาณ 2 เซนตเิ มตร ลักษณะผลเปน็ ผลกลุม่ ทรงกลมเสน้ ผา่ ศูนยก์ ลางประมาณ 0.6 เซนตเิ มตร สเี ขียว เมื่อสกุ สีดา รสหวานอมเปรีย้ ว อ้างองิ จาก วิกิพีเดยี ,ลำดวน,กรกฎาคม 2558,จาก https://th.wikipedia.org/wiki ดอกกล้วยไม้ราตรี ต้นไม้พุม่ ขนาดกลาง แตกก่งิ ก้านจ านวนมากเปน็ พมุ่ กงิ่ ก้านเปน็ เหลีย่ มโคง้ ลง เปลือกลาตน้ สีเทา อ่อนปนขาว ใบ ใบเด่ยี ว เรียงเวียนสลับ ใบรูปรี กว้าง 4-6 เซนตเิ มตร ยาว 8-15 เซนตเิ มตร ปลายใบ แหลม โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ ผวิ ใบดา้ นบนสีเขียวเขม้ ดอกสีขาวนวล ออกเปน็ ชอ่ แบบช่อกระจะแยก แขนงตามซอกใบและปลายกง่ิ ชอ่ ดอกยาว 8-15 เซนตเิ มตร มีดอกย่อยจานวนมากกลีบเลีย้ งสเี ขียว รูป ถว้ ยโคนเกลีบดอกเชอื่ มติดกนั เปน็ หลอดแคบๆ ยาว 2-2.5 เซนตเิ มตร ปลายแยกเปน็ 5 แฉก ดอกย่อย บานไมพ่ รอ้ มกนั ดอกบานตอนกลางคนื ถงึ เชา้ ดอกบานเตม็ ทกี่ วา้ ง 0.8-1.3 เซนตเิ มตร ฝัก/ผล ผลสดแบบ มีเนอื้ หลายเมลด็ ค่อนข้างกลม สีขาวขนุ่ ฉ่าน้า ฤดกู าลออกดอก ออกดอกตลอดปี อ้างองิ จาก โอเคเนชนั่ ,กล้วยไม้ราตรี , กรกฎาคม 2558,จาก http://www.oknation.net ดอกบัว บัวเปน็ พืชน้าล้มลุก ลักษณะลำต้นมที ัง้ ท่เี ปน็ เหงา้ ไหลหรือหัว ใบเป็นใบเด่ยี วเจริญขนึ้ จากลาตน้ โดย มีกา้ น ใบสง่ ขน้ึ มาเจรญิ ทีใ่ ต้น้า ผวิ น้าหรือเหนือน้ารูปรา่ งของใบสว่ นใหญก่ ลมมหี ลาย แบบบางชนิดมีก้านใบ ติดอยทู่ ีห่ ลังใบ ดอกเปน็ ดอกเดย่ี วสมบรู ณ์เพศ ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง 4-6 กลีบ กลีบดอกมที งั้ ชนิดซ้อนและ ไม่ซ้อน มีสีสนั แตก ต่างกนั แล้วแตช่ นิด อ้างองิ จาก มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุร,ี ลักษณะทั่วไปของบัว, กรกฎาคม 2558, จาก https://suksusee.wordpress.com โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์

แผนการจดั การเรียนรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6 56 ดอกจาปา ไมพ้ ุม่ สูง 3-6 เมตร ทกุ ส่วนมียางสีขาว ใบ ใบเด่ยี วออกเวียนสลบั ถี่ บริเวณปลายกงิ่ รูปใบหอกหรอื ใบหอก กลับ กวา้ ง 5-10 เซนตเิ มตร ยาว 12-30 เซนตเิ มตร ปลายและโคนแหลม ดอก มีหลายสีตั้งแตส่ ขี าว สีสม้ ชมพูเขม้ จนถงึ แดงเขม้ กลางดอกสีเหลือง หรือมีแถบสีเหลือง ดา้ นนอกมักมสี ีชมพู มีกลิ่นหอมออกเปน็ ช่อตาม ซอกใบใกลป้ ลายก่งิ กลีบดอกโคนเชอื่ มกันเปน็ หลอด ปลายแยกเปน็ 5 กลีบ ซ้อนเหลื่อมกัน ปลายกลบี แหลม หรอื มตี ง่ิ แหลม เมือ่ บานเสน้ ผา่ ศูนย์กลางประมาณ 5 เซนตเิ มตร เกสรตัวผู้ 5 อัน สั้น ผลเปน็ ฝักคู่ รูปยาวรีกวา้ ง 2-3 เซนตเิ มตรยาวประมาณ 25 เซนตเิ มตร อา้ งองิ จาก โครงการอนุรกั ษพ์ ันธกุ รรมพืช,จ าปาลาว, กรกฎาคม 2558, จาก http://www.rspg.or.th ดอกชบา ไมพ้ ุ่ม สูง 2-3 เมตร เป็นใบเดย่ี วออกสลบั รูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบมนขอบใบจักฟนั เลื่อย แผน่ ใบ บางสเี ขียวเปน็ มนั ดอกสีแดง ออกเดย่ี วตามซอกใบและปลายกง่ิ กลีบดอกชั้นเดยี วแผโ่ คง้ ไปดา้ นหลบั ขอบกลีบ หยักเวา้ ลึกเปน็ แฉกๆ อ้างองิ จาก โครงการอนุรกั ษพ์ ันธุกรรมพืช,ดอกพู่ระหง, กรกฎาคม 2558,จาก http://www.rspg.or.th ดอกพุดแกว้ ตน้ ไม้พมุ่ หรือไมต้ ้นขนาดเลก็ สูงไดถ้ งึ 10 ม. เรอื นยอดเปน็ พุม่ กลมทึบ สีเขียวเขม้ เปลือก ต้น สีขาวเทา แตก เปน็ รอ่ งตามยาวใบ ประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงสลบั มีใบยอ่ ย 5-9 ใบเรียงสลบั กันจากเลก็ ไปหาใหญ่ สีเขียว เข้มเปน็ มนั ใบย่อยที่ปลายกา้ นใบรปู ไข่ รูปรหี รือรปู ไขก่ ลับ ปลายแหลม โคนแหลมหรือสอบ ขอบเปน็ คลนื่ หรอื หยัก มนตนื้ ๆ โคนใบเบี้ยวเล็กน้อย ใบมีตอ่ มนา้ มันดอก ชอ่ ดอกสัน้ ออกตามงา่ มใบ ดอกสีขาว กล่นิ หอม กลบี เลีย้ ง 5 กลีบ กลีบเลีย้ ง ขนาดเลก็ ปลายมน กลีบดอกรูปขอบขนานแกมรปู ไขก่ ลับ ยาวประมาณ1.2 ซม. เรยี ง ซอ้ นเหลื่อม ฐานรองดอกรปู วงแหวน เกสรเพศผู้ 10 อัน ยาวไมเ่ ทา่ กัน ยาวประมาณกง่ึ หน่งึ ของกลีบดอก ก้านเกสรเพศผแู้ บน รังไขต่ ดิ เหนอื วงกลีบ กา้ นเกสรเพศเมียหนา ยาวประมาณ 0.7 ซม. ยอดเกสรรูปโลห่ ์ รว่ งงา่ ย ดอกบานเตม็ ทกี่ วา้ ง 2-2.5 เซนตเิ มตร ฝัก/ผลรูปรีหรอื รูปไข่ กวา้ ง 5-8 มม. ยาวประมาณ 1 ซม. ผลแกส่ ีแดงอมสม้ ต่อมน้ามนั เห็น ได้ ชัดเมลด็ รูปไข่ มีขนหนาและเหนียวหุ้มโดยรอบเมล็ด อ้างองิ จากสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนกะสังพิทยาคม,ดอกพุดแกว้ ,กรกฎาคม 2558, จาก https://sakonrattam26.wordpress.com ดอกประดู่ ไม้ต้น ขนาดกลางถงึ ขนาดใหญ่ สูงถึง 25 ม. ผลัดใบกอ่ นออกดอก เรือนยอดรูปคล้าย ทรงกระบอก ยอดออ่ นมีขนปกคลุมเล็กนอ้ ย เปลือกนอกสนี า้ ตาลเทา หนา แตกหยาบๆ เปน็ รอ่ งลกึ ใบ ใบเรียง สลับ ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ใบยอ่ ยเรยี งตัวแบบสลับ จำนวน 7-13 ใบ ใบยอ่ ยรปู ไข่ รูปรี หรือรปู ขอบขนาน กว้าง 3-6 ซม. ยาว 4-13 ซม. โคนใบมนหรือคอ่ นข้าง แหลมหรอื oblique ปลาย ใบแหลม ขอบใบเรียบ โคนกา้ นใบมีหูใบ 2 อนั เปน็ เสน้ ยาว ผิวใบมี ขนสนั้ ๆ ปกคลุมด้านทอ้ งใบ มากกว่าดา้ นหลงั ใบ กา้ นใบออ่ นมขี นปกคลมุ เล็กนอ้ ย ดอก ดอกช่อแบบชอ่ กระจะ ออกทีซ่ อกใบหรอื โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์

แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 6 57 ปลายกิ่ง โคนกา้ นมใี บประดบั 1-2 อัน รูปรี กลีบเลี้ยง 5 กลีบ ตดิ กนั เปน็ ถ้วยสีเขียว ปลายแยกเปน็ 2 แฉกอนั บนจาก 2 กลีบตดิ กนั อนั ลา่ งจาก 3 กลีบติดกนั กลีบดอก 5 กลีบ สีเหลอื ง แกมแสด ลักษณะกลีบเปน็ รปู ผีเสื้อ (papilionaceous) เกสรเพศผู้ 10 อัน กา้ นชูอับเรณูติดกันเปน็ 2-3 กลุ่ม เกสรเพศเมีย 1 อัน ผล ผลแหง้ แบบ samaroid รูปกลมหรือรีแบน ขอบมปี กี บางคล้ายใบโดยรอบ แผน่ ปกี บดิ เปน็ คลนื่ ผิวมขี นละเอียด เสน้ ผา่ น ศูนย์กลางผล 4-8 ซม. มี 1 เมลด็ อา้ งองิ จาก มหาวิทยาลยั มหิดล,ประด,ู่ กรกฎาคม 2558, จาก http://www.il.mahidol.ac.th โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์

แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 58 ขั้นที่ 2 สร้างแผนผังพิจารณาความแตกต่างของแมลงออกเป็นรายคู่ ขัน้ ที่ 3 การนาเอาลกั ษณะที่แตกต่างตรงข้ามกนั อยา่ งเดน่ ชดั มาเปรียบเทยี บกนั เปน็ คู่ๆจึงมี ลักษณะเปน็ 2 ใน 1 หัวข้อและมีหมายเลขกำกบั 1. ก) ดอกเด่ียว ดขู ้อ 2 (บวั , ลาดวน , ชบา) ข) ดอกชอ่ ดูขอ้ 3 (ราชพฤกษ,์ แวนดา้ ,ซมิ ปอร,์ กลว้ ยไมร้ าตรี 2. ก) ไม้ยืนตน้ ,จาปาลาว, พุดแก้ว, ประด)ู่ ข) ไม่ใชไ่ ม้ยืนตน้ ลาดวน ดขู ้อ 4 (บวั ,ชบา) 3. ก) ตระกลู กลว้ ยไม้ _ดขู อ้ 5 (กล้วยไม้แวนดา้ , กล้วยไมร้ าตร)ี ข) ไม่ใชก่ ลว้ ยไม้ ดขู อ้ 6 (ราชพฤกษ,์ ซมิ ปอร,์ จาปาลาว 4. ก) ไม้พุ่ม พุดแก้ว, ประด)ู่ ข) พชื ล้มลุก ชบา 5. ก) ออกดอกตอนกลางคนื ถงึ เชา้ บวั ข) การบานของดอกไมร่ ะบุช่วงเวลา กลว้ ยไมร้ าตรี กลว้ ยไมแ้ วนด้า 6. ก) ไมย้ ืนต้น ข) ไม้พุ่ม ดูขอ้ 7 (ราชพฤกษ,์ ซิมปอร,์ ประด)ู่ ดขู อ้ 8 (จาปาลาว, พดุ แก้ว) โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์

แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 6 59 7. ก) มีใบประกอบแบบขนนก ดูขอ้ 9 (ราชพฤกษ, ประด)ู่ ข) มใี บเดย่ี ว ซมิ ปอร์ จาปาลาว 8. ก) ดอกขนาด 5 cm พดุ แก้ว ข) ดอกขนาด 2-2.5 cm ราชพฤกษ์ ประดู่ 9. ก) ผลยาว ข) ผลรแี ละแบน ขน้ั ท่ี 4 อธบิ ายลกั ษณะของดอกไมแ้ ตล่ ะชนดิ ท่ไี ดจ้ ากการจดั จำแนก ดอกราชพฤกษ์ :: ออกดอกเปน็ ช่อ ไมจ่ ัดเปน็ กลมุ่ ของกลว้ ยไม้ เปน็ ไม้ยนื ตน้ ที่มใี บประกอบแบบขนนกและ มผี ลรูปรา่ งยาว กล้วยไม้แวนดา้ :: ออกดอกเปน็ ช่อ เป็นสกุลของกลว้ ยไม้ การบานของดอกไมร่ ะบุช่วงเวลา ดอกซมิ ปอร์ :: ออกดอกเป็นชอ่ ไม่ใชต่ ระกูลของกลว้ ยไม้ จัดเปน็ ไมย้ ืนตน้ ทมี่ ีใบเดย่ี ว ดอกล้าดวน :: ดอกเป็นดอกเด่ยี ว ทเ่ี ป็นไมย้ นื ตน้ ดอกกล้วยไมร้ าตรี :: ออกดอกเปน็ ชอ่ เป็นสกุลของกล้วยไม้ โดยดอกจะบานตอนกลางคนื ถงึ เชา้ ดอกบัว :: ดอกเปน็ ดอกเดย่ี ว ไม่ใชไ่ ม้ยืนต้น จัดเป็นพืชลม้ ลุก ดอกจ้าปาลาว :: ออกดอกเป็นชอ่ ไมใ่ ชต่ ระกูลของกลว้ ยไม้ เปน็ ไมพ้ มุ่ ทีม่ ีดอกทบี่ านเต็มที่ ขนาด 5 cm ดอกชบา :: ดอกเป็นดอกเด่ยี ว ไมใ่ ช่ไมย้ ืนตน้ จัดเปน็ ไม้พมุ่ ชนดิ หนงึ่ ดอกพดุ แก้ว :: ออกดอกเป็นชอ่ ไมใ่ ชต่ ระกูลของกลว้ ยไม้ จัดเป็นไมพ้ ุม่ ที่มีดอกขนาด 2-2.5 cm ดอกประดู่ :: ออกดอกเปน็ ชอ่ ไม่ใชต่ ระกูลของกลว้ ยไม้ จัดเปน็ ไม้ยืนตน้ ที่มใี บประกอบแบบขนนก ผลมีรูปรา่ งรีและแบน โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กล่มุ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์

แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 6 60 เฉลยแบบฝกึ ที่ 3 : กาเนดิ สงิ่ มชี วี ติ ตอนที่ 1 ใหผ้ เู้ รียนอา่ นคำสงั่ และตอบคาถามต่อไปน้ี 1. จบั คู่ความสมั พันธ์ระหวา่ งนกั วิทยาศาสตร์กบั แนวความคิดท่เี กยี่ วกบั การกำเนดิ ของสง่ิ มชี วี ิต C ลุย ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) A อเลก็ ซานดร์ อวี าโนวิช โอพารนิ B สแตนเลย์ มลิ เลอร์ (Stanley Miller) D ซดิ นีย์ ฟอกซ์ (Sidney Fox) 2. จากแนวความคิดว่าสง่ิ มชี ีวิตเกดิ จากวิวฒั นาการของสารเคมี จงเรยี งลาดับววิ ฒั นาการของสารเคมีตอ่ ไปนี้ ให้ถกู ตอ้ ง โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์

แผนการจัดการเรียนรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 61 3. ใหผ้ เู้ รยี นพจิ ารณาภาพเซลลโ์ พรคารโิ อตและเซลลย์ คู ารโิ อตแล้ว ใช้ขอ้ ความในตารางเตมิ คาลงในชอ่ งวา่ งใหถ้ ูกตอ้ ง เซลล์โพรคาริโอต (Prokaryotic cell) เซลลย์ คู าริโอต (Eukaryotic cell) A คือ แวควิ โอล B คือ ผนงั เซลล์ C คือ เอนโดพลาสมกิ เรติคูลมั ชนิดขรุขระ D คือ นิวเคลียส E คือ ไมโทคอนเดรีย F คือ คลอโรพลาสต์ G คือ กอลจิแอพพาราตัส H คือ ไรโบโซมขนาด 80s I คือ ไซโทรพลาซมึ ทีม่ า http://www.sciencegeek.net [2558 , กรกฎาคม 14] โดย นางสาวณัฐธนัญา บญุ ถึง กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์

แผนการจดั การเรียนรู้ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 6 62 แบบประเมนิ แผนการจัดการเรยี นรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ......... เร่ือง .................................................................................................. รายวิชา……………………………………………………………………ช้นั …………………………………………… ชอื่ -สกลุ ครผู สู้ อน………………………………………………………………………………………………………. ********************* ค้าช้แี จง แบบประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ ฉบับน้ี มีวตั ถปุ ระสงค์เพอ่ื ใหท้ า่ นซ่ึงเป็นผู้นิเทศได้กรณุ าพจิ ารณาความ เหมาะสม และความสอดคลอ้ งระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ ของแผนการจัดการเรียนรูแ้ บบประเมินแบ่งเป็น 2 ตอน คือ ตอนท่ี 1 แบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจดั การเรยี นรูเ้ ปน็ การพจิ ารณาองคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ของ แผนการจดั การเรียนรู้วา่ มีความเหมาะสมเพยี งใด ตอนท่ี 2 แบบประเมินความสอดคลอ้ งของแผนการจดั การเรียนรู้ เปน็ การพิจารณาองคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ของ แผนการจัดการเรยี นรู้ว่ามคี วามสอดคลอ้ งกนั เพยี งใด ตอนท่ี 1 แบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรยี นรู้ ค้าชแ้ี จง โปรดทาเคร่ืองหมาย √ ในช่องระดบั ความเหมาะสมที่ตรงกบั ความคิดเหน็ ของท่าน และขอความกรณุ า เขียนข้อเสนอแนะอ่นื ๆ เพอ่ื เปน็ แนวทางในการปรบั ปรงุ แผนการจดั การเรยี นรตู้ อ่ ไป ขอ้ รายการประเมนิ ระดับความคิดเห็น ใช่ ไม่ใช่ 1 แผนการจดั การเรยี นรูม้ อี งค์ประกอบสาคญั ครบถว้ นตามแบบฟอรม์ ทโี่ รงเรยี นกาหนด √ 2 การเขยี นสาระสาคัญในแผนการจัดการเรยี นรมู้ คี วามถูกต้อง √ 3 จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ระบุพฤติกรรมชดั เจน สามารถวดั ได้ √ 4 สาระการเรยี นรคู้ รบถว้ น สัมพนั ธ์กับตัวชวี้ ดั /ผลการเรยี นร/ู้ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ √ 5 ระบุวธิ กี ารวดั ผลประเมนิ ผลอยา่ งชดั เจน √ 6 ระบเุ ครือ่ งมอื สาหรับการวดั ผลประเมินผลอยา่ งชัดเจน √ 7 ระบเุ กณฑก์ ารวดั ผลประเมินผลอยา่ งชดั เจน √ 8 กิจกรรมการเรียนรูม้ ีความเหมาะสม ครบถ้วนทุกข้นั ตอนตามวิธีสอน หรือกระบวนการ √ หรือเทคนคิ การสอนท่ีระบุไว้ในแผนการจัดการเรยี นรู้ √ 9 ระบุการใช้สือ่ นวัตกรรม/แหลง่ เรยี นรสู้ มั พันธส์ อดคลอ้ งกบั กจิ กรรมการเรียนรู้ √ 10 มีหลกั ฐานประกอบ เช่น ส่อื ใบกจิ กรรม ใบความรู้ เครอื่ งมอื วดั ฯ ทป่ี รากฏใน แผนการจัดการเรียนรคู้ รบถว้ น โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์

แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 63 ตอนที่ 2 แบบประเมนิ ความสอดคลอ้ งองค์ประกอบของแผนการจัดการเรยี นรู้ คา้ ชีแ้ จง โปรดทาเครอ่ื งหมาย / ลงในช่องทตี่ รงกบั ความคดิ เหน็ ของทา่ น ข้อท่ี รายการประเมิน สอดคลอ้ ง ไม่แน่ใจ ไมส่ อดคลอ้ ง (1) (0) (-1) 1 การเขียนสาระสาคัญมีความสัมพันธส์ อดคล้องกบั ตัวชีว้ ดั /ผลการ 1 เรยี นรู้/จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 2 จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้มีความสอดคลอ้ งสัมพันธ์กบั สาระการเรยี นรู้ 1 3 หลักฐานการเรยี นร้มู ีความสมั พันธ์ สอดคลอ้ งกบั สาระการเรยี นรู้ 1 ตัวชวี้ ัด/ผลการเรยี นรู้ จดุ ประสงคก์ ารเรียนร/ู้ กิจกรรมการเรียนรู้ 4 วธิ ีการวดั ผลประเมนิ ผลมีความสัมพันธ์กับสาระการเรยี นรู้ ตัวช้ีวดั / 1 ผลการเรียนรู้ 5 เครอ่ื งมือวดั ผลประเมนิ ผล มคี วามสมั พันธ์กบั คุณลกั ษณะอันพึง 1 ประสงคข์ องผเู้ รียน 6 เครือ่ งมือวดั ผลประเมนิ ผล มีความสมั พันธ์กับสมรรถนะทส่ี าคัญของ 1 ผูเ้ รยี น 7 กิจกรรมการเรยี นรูม้ คี วามสัมพนั ธ์สอดคลอ้ งกบั สาระการเรียนรู้ 1 ตวั ช้ีวดั /ผลการเรียนรู้ 8 กิจกรรมการเรยี นรู้มีความสมั พนั ธ์สอดคล้องกบั คุณลักษณะอันพึง 1 ประสงค์ของผู้เรียน 9 กิจกรรมการเรยี นรมู้ คี วามสมั พันธ์สอดคลอ้ งสมรรถนะทส่ี าคัญของ 1 ผู้เรยี น 10 สื่อ-นวตั กรรม/อปุ กรณ/์ แหล่งเรยี นรู้ มีความสมั พันธ์สอดคล้องกบั 1 กจิ กรรมการเรียนรู้ 11 แผนการจัดการเรยี นรู้มกี จิ กรรมบรู ณาการกบั งานสวนพฤกษศาสตร์ 1 โรงเรยี น 12 แผนการจดั การเรียนรู้มกี จิ กรรมบูรณาการกับหลกั ปรชั ญาของ 1 เศรษฐกิจพอเพยี ง 13 แผนการจดั การเรยี นรู้มีกิจกรรมบรู ณาการกบั งานสิ่งแวดลอ้ ม 1 รวมผลการประเมนิ แผนการจดั การเรียนรู้ 13 เกณฑ์การประเมนิ ลงช่ือ…………… สุดาภรณ์ ……………ผปู้ ระเมนิ (นางสาวสดุ าภรณ์ สบื บุญเปี่ยม) ความเหมาะสมของแผนการจดั การเรยี นรู้ คะแนนระหว่าง 1 - 4 ระดบั คณุ ภาพ ตอ้ งปรบั ปรงุ ความสอดคลอ้ งของแผนการจดั การเรยี นรู้ คะแนนระหวา่ ง 5 - 8 ระดบั คณุ ภาพ พอใช้ คา่ ความสอดคลอ้ งตอ้ งมคี า่ ตง้ั แต่ 0.50 ขึน้ ไป คะแนนระหว่าง 9 – 13 ระดบั คุณภาพ ดี โดย นางสาวณัฐธนัญา บุญถึง กลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook