Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การสร้างหนังสือ interactive E-Book Oniine วิชา การพัฒนาบทเรียน

การสร้างหนังสือ interactive E-Book Oniine วิชา การพัฒนาบทเรียน

Published by Nawaphan Ngaophuthong, 2021-06-09 08:53:20

Description: 1. เพื่อให้นักศึกษาสามารถศึก ค้นคว้า เนื้อหาการพัฒนาบทเรียนออนไลน์
2. เพื่อให้นักศึกษามีความรู้ ความเข้าใจ เนื้อหาการพัฒนาบทเรียน

Keywords: การพัฒ

Search

Read the Text Version

2 โครงการอบรมสมรรถนะดจิ ทิ ลั สำหรับนักศกึ ษาชน้ั ปที ี่ 3 คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครนิ ทร์ วนั จันทร์ท่ี 7 - วันศุกรท์ ี่ 11 มถิ ุนายน 2564 (ออนไลน์/ZOOM) Module 2 พลเมอื งดิจทิ ลั การรู้เท่าทันส่อื ดิจิทัลและความฉลาดทางดิจิทัล และ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผดิ เก่ียวกับคอมพิวเตอร์ ช่ือผูแ้ ตง่ ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.สายฝน เสกขนุ ทด

3 เคา้ โครงเนอ้ื หา ตอนท่ี 1 พลเมอื งดจิ ิทัล เร่อื งท่ี 1.1 ความหมายของพลเมอื งดจิ ิทัล เร่อื งที่ 1.2 ความเป็นพลเมืองดจิ ิทัล เรือ่ งท่ี 1.3 สทิ ธิ ความรับผิดชอบ และลักษณะที่ดีของพลเมืองดิจทิ ัล ตอนที่ 2 การรู้เท่าทันส่ือดิจทิ ัลและความฉลาดทางดิจิทัล เรื่องที่ 2.1 การรูเ้ ท่าทันสื่อดจิ ิทลั ตอนท่ี 3 พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผดิ เกีย่ วกับคอมพวิ เตอร์ เรือ่ งท่ี 3.1 บทท่วั ไปและนิยามศัพท์ เรือ่ งท่ี 3.2 ฐานความผิด องค์ประกอบความผดิ และบทกำหนดโทษ เรื่องท่ี 3.3 การดำเนินคดี เรอ่ื งที่ 3.4 ความรับผิดของผู้ให้บริการและบุคคลทั่วไป กิจกรรมการฝกึ อบรม การฝกึ อบรมใช้กจิ กรรมการฝึกอบรมทีเ่ นน้ ผู้เรยี นเป็นสำคัญ ดงั นี้ 1. การบรรยาย (Lecture) 2. กระบวนการกลมุ่ สัมพันธ์ (Group Process) 3. การระดมความคดิ (Brain Storming) 4. การฝึกปฏิบัติโดยการแนะนำ (Guided Practice) ส่ือการเรียนรู้ประกอบการฝึกอบรม 1. คมู่ ือการฝกึ อบรม 2. เครอื่ งคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมการอบรม/ประชมุ ออนไลน์ 3. บทเรยี นออนไลน์ในการฝึกอบรม ไดแ้ ก่ สอ่ื อิเล็กทรอนกิ ส์ ใบความรู้ และใบงาน 4. แบบทดสอบ และแบบประเมนิ ต่าง ๆ การประเมินผล 1. ประเมินผลจากแบบประเมนิ ผลตนเองก่อนเรยี นและหลงั เรียน 2. ประเมินผลจากกจิ กรรมระหว่างเรยี น 3. ประเมินผลจากการปฏบิ ัตติ ามใบงานและแนวตอบท้ายเร่ือง

4 ตอนท่ี 1 พลเมอื งดิจิทลั สถานการณ์โลกที่การแข่งขันทางเศรษฐกิจเข้มข้นข้ึน สังคมโลกเชื่อมโยงกันมากข้ึนในภาพ ไร้พรมแดน แนวโน้มการพัฒนาทางเทคโนโลยีมีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างย่ิง เทคโนโลยีดิจิทัลท่ีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด และไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีท่ีสนับสนุน การทำงานเช่นท่ีผ่านมาอีกต่อไป หากแต่ได้หลอมรวมเข้ากับวิถีการดำเนินชีวิต และปฏิวัติโครงสร้าง รูปแบบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ กระบวนการผลิต การค้า การบริหาร การทำงานของรัฐ และ กระบวนการทางสังคมไปจากเดิม (สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพ่ือเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2562, บทนำ) โดยเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเทคโนโลยีท่ีมีอิทธิพลอย่างมากต่อการใช้ชีวิตของประชาชน ทุกคน แต่เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเทคโนโลยีท่ีมีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา และยาก ตอ่ การคาดเดาในระยะยาว ปัจจบุ ันปีคริสต์ศักราช 2019 ซึ่งเข้าสู่ยุคศตวรรษท่ี 21 มากว่า 19 ปีแล้ว ประชาชนชาวไทยและชาวโลกได้เข้าสู่สังคม “ดิจิทัล” แต่จะเรียกว่าเป็นพลเมืองดิจิทัลอย่างแท้จริง หรือไม่น้ันต้องพิจารณาในประเด็นปลีกย่อยทั้งในมิติความเป็นพลเมืองดิจิทัล ทักษะแห่งศตวรรษ ที่ 21 ความปลอดภัยแห่งศตวรรษที่ 21 สิทธิและความรับผิดชอบแห่งศตวรรษท่ี 21 รวมถึงโอกาส และความทา้ ทายแห่งศตวรรษท่ี 21 โดยมรี ายละเอยี ดดงั จะนำเสนอดงั ต่อไปน้ี เรอ่ื งที่ 1.1 ความหมายของพลเมืองดิจทิ ลั พลเมืองดจิ ทิ ัล (digital citizenship หรือ digital native) มคี วามหมายดังต่อไปน้ี Mike Ribble (2015, อา้ งถึงใน ไพลนิ รัตน์ กุณสิทธ์ิ และ ธีรภัทร กุโลภาส, 2017, หน้า 207) ให้ความหมาย พลเมืองดิจิทัล (digital citizenship) หมายถึง ข้อควรประพฤติปฏิบัติเพ่ือเป็น พลเมอื งดีในสงั คมออนไลน์ กับการใช้เทคโนโลยอี อนไลน์อยา่ งสร้างสรรคแ์ ละรบั ผดิ ชอบ Cambridge Dictionary (2019, online) ให้ความหมายว่า “digital citizenship” หมายถึง คนท่ีมีทักษะในการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อสื่อสารกับผู้อื่น ซ้ือและขายสิ่งของและมีส่วนร่วมใน การเมืองและผู้ท่ีเข้าใจวิธีการทำเช่นน้ีอย่างปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ พลเมืองดิจิทัลเป็นบุคคล ท่ีใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อมีส่วนร่วมในสังคมการเมือง พลเมืองดิจิทัลเป็นผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอย่าง สมำ่ เสมอและมีประสิทธิภาพ และใช้เทคโนโลยอี ย่างเหมาะสม กฤตย์ษุพัช สารนอก และ ปณติ า วรรณพิรุณ (2561, หนา้ 120) ให้ความหมาย พลเมือง ดิจิทัลหรือดิจิทัล เนทีฟ (digital native) คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ท่ีส่วนใหญ่จะเริ่มใช้อินเทอร์เน็ตต้ังแต่ อายุ 9 ปี และเป็นผู้เรียนที่อยู่ในระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาท่ีมีสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์พกพา อื่นๆ ที่สามารถเช่ือมต่ออินเทอร์เน็ตได้ พลเมืองดิจิทัลจึงหมายถึง ผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง สม่ำเสมอและมีประสิทธิภาพ มีทักษะและความรู้ท่ีหลากหลายในการใช้อินเทอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์ พกพาและช่องทางการสื่อสารประเภทส่ือสังคมออนไลน์ต่างๆ เช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม และไลน์ เปน็ ตน้

5 วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง (2561, หน้า 13) ให้ความหมาย ความเป็นพลเมืองดิจิทัล (digital citizenship) คือ แนวคิดและแนวปฏิบัติที่สำคัญซึ่งจะช่วยให้พลเมืองเรียนรู้ว่าจะใช้ประโยชน์จาก เทคโนโลยีดิจิทัลและปกป้องตนเองจากความเสี่ยงต่างๆ อย่างไร รวมทั้งรู้จักเคารพสิทธิของตนเอง และมีความรับผิดชอบต่อสังคมในโลกสมัยใหม่ ไปจนถึงเข้าใจผลกระทบของเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีต่อ สังคม และใชม้ ันเพ่ือสร้างการเปล่ียนแปลงทางสังคมในเชิงบวก เรือ่ งที่ 1.2 ความเป็นพลเมอื งดิจทิ ลั ความเป็นพลเมืองดิจิทัล คือ พลเมืองผู้ใช้งานสื่อดิจิทัลและสื่อสังคมออนไลน์ท่ีเข้าใจ บรรทัดฐานของการปฏิบัติตัวให้เหมาะสมและมีความรับผิดชอบในการใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง การสื่อสารในยุคดิจิทัลเป็นการสื่อสารท่ีไร้พรมแดน สมาชิกของโลกออนไลน์คือ ทุกคนท่ีใช้เครือข่าย อินเทอร์เน็ตบนโลกใบนี้ ผู้ใช้ส่ือสังคมออนไลน์มีความหลากหลายทางเช้ือชาติ อายุ ภาษา และ วัฒนธรรม พลเมืองดิจิทัลจึงต้องเป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบ มีจริยธรรม เห็นอกเห็นใจและ เคารพผู้อื่น มีส่วนร่วมและมุ่งเน้นความเป็นธรรมในสังคม การเป็นพลเมืองในยุคดิจิทัลนั้นมีทักษะ ท่สี ำคัญ 8 ประการ (วรพจน์ วงศก์ ิจรุ่งเรือง, 2561, หนา้ 50-51) 1. ทักษะในการรักษาอัตลักษณท์ ีด่ ขี องตนเอง ทักษะในการรักษาอัตลักษณ์ท่ีดีของตนเอง (digital citizen identity) เป็นทักษะท่ี พลเมืองดิจิทัลสามารถสร้างและบริหารจัดการอัตลักษณ์ท่ีดีของตนเองไว้ได้อย่างดีท้ังในโลกออนไลน์ และโลกความจริงอัตลักษณ์ท่ีดีคือ การที่ผู้ใช้ส่ือดิจิทัลสร้างภาพลักษณ์ในโลกออนไลน์ของตนเอง ในแง่บวก ทั้งความคิดความรู้สึก และการกระทำ โดยมีวิจารณญาณในการรับส่งข่าวสารและ แสดงความคิดเห็น มีความเห็นอกเห็นใจผู้ร่วมใช้งานในสังคมออนไลน์ และรู้จักรับผิดชอบต่อ การกระทำ ไม่กระทำการท่ีผิดกฎหมายและจริยธรรมในโลกออนไลน์ เช่น การละเมิดลิขสิทธ์ิ การกล่ันแกล้งหรือการใช้วาจาที่สร้างความเกลียดชังผู้อ่ืนทางส่ือออนไลน์ เป็นต้น ซ่ึงทักษะในการ รักษาอัตลักษณ์ทีด่ ีของตนเอง ประกอบกอบไปด้วย 1) การเรียนรู้วิธีการส่ือสารกบั ผู้อ่ืน 2) การนับถือ ตนเองและนับถือผู้อ่ืน และ 3) การป้องกันตนเองและป้องกันผู้อ่ืน โดยมีรายละเอียดดังนี้ (Mike Ribble, 2015, pp.16-18) 1.1 การเรียนรู้วิธีการสื่อสารกับผอู้ ื่น 1.1.1 digital communication เมื่อสื่อสารในโลกออนไลน์ ควรมีวิจารณญาณที่ เหมาะสม คิดก่อนโพสต์ 1.1.2 digital literacy ใชส้ อ่ื ดิจทิ ลั เพอ่ื ส่งเสรมิ การเรียนรู้และติดตามการเปล่ยี นแปลง ของเทคโนโลยีให้ทนั อยู่เสมอ 1.1.3 digital commerce เมื่อทำการซื้อขายออนไลน์ควรมีความรับผิดชอบและ ปกป้องขอ้ มูลของผซู้ ื้อ 1.2 การนับถือตนเองและนับถอื ผอู้ ื่น 1.2.1 digital access สนับสนุนการเขา้ ถึงส่ือดิจิทัลและสิทธิที่เทา่ เทยี มทางดจิ ิทัล

6 1.2.2 digital etiquette ปฏิบัตติ ่อผู้อ่ืนในสังคมออนไลนด์ ้วยความเคารพและ ไมก่ ล่ันแกลง้ คกุ คามทางไซเบอร์ 1.2.3 digital law ไม่ละเมิดสิทธิหรือฉกฉวยอัตลักษณ์ทรัพย์สินหรืองานอ่ืนใดของ ผ้อู นื่ ทเี่ ผยแพร่ในรูปแบบดิจิทัล 1.3 การป้องกันตนเองและป้องกนั ผอู้ ่นื 1.3.1 digital rights and responsibilities มอี สิ ระในการแสดงออก แตต่ อ้ ง รับผิดชอบทกุ การกระทำ 1.3.2 digital health and wellness ดูแลตัวเองทง้ั ทางร่างกายและจิตใจให้หา่ งไกล ความเสย่ี งของโรคภยั ท่ีเกิดจากเทคโนโลยี 1.3.3 digital security รู้จักปกป้องข้อมูลส่วนตัวจากผู้ไม่หวังดีในโลกไซเบอร์และ รู้จกั การรักษาความปลอดภยั ของขอ้ มูลและอุปกรณด์ จิ ิทลั 2. ทักษะการคดิ วิเคราะหม์ วี ิจารณญาณทีด่ ี ทักษะการคิดวิเคราะห์มีวิจารณญาณท่ีดี (critical thinking) เป็นทักษะที่พลเมืองดิจิทัล มีความสามารถในการวิเคราะห์แยกแยะระหว่างข้อมูลที่ถูกต้องและข้อมูลท่ีผิด ข้อมูลที่มี เน้ือหาเป็นประโยชน์และข้อมูลที่เข้าข่ายอันตราย ข้อมูลติดต่อทางออนไลน์ที่น่าตั้งข้อสงสัย และน่าเชื่อถือได้ เม่ือใช้อินเทอร์เน็ตจะรู้ว่าเนื้อหาอะไร เป็นสาระ มีประโยชน์ รู้เท่าทันสื่อและ สารสนเทศ สามารถวิเคราะห์และประเมินข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายได้ เข้าใจรูปแบบ การหลอกลวงต่างๆ ในโลกออนไลน์ เช่น ข่าวปลอม เว็บปลอม ภาพตัดต่อ เป็นต้น ซึ่งการคิด วิเคราะหม์ ีวจิ ารณญาณทด่ี มี อี งค์ประกอบดังน้ี 2.1 ความรู้ความจำ (remember) สามารถอธบิ ายและจดจำขอ้ มลู ได้ 2.2 ความเขา้ ใจ (understand) สามารถจัดระเบียบ เลือกข้อเทจ็ จรงิ และความคดิ ออกมาใชไ้ ด้ 2.3 การประยกุ ต์ (apply) สามารถนำขอ้ เทจ็ จรงิ และกฎข้อบังคบั นำมาสร้างความคิด ใหมๆ่ ได้ 2.4 การวิเคราะห์ (analyze) สามารถแยกความคิดและเรอ่ื งตา่ งๆ ออกเป็นขอ้ ยอ่ ยๆ ได้ 2.5 การสงั เคราะห์ (synthesis) สามารถนำความคิดยอ่ ยๆ มารวมเป็นแนวคดิ ใหญ่ๆ ได้ 2.6 การประเมิน (evaluate) สามารถพัฒนาความคิดเหน็ และจดั ลำดับความสำคัญได้ ทักษะการคิดวิเคราะห์มีวิจารณญาณท่ีดี เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทักษะการรู้ดิจิทัล (digital literacy) ซึ่งการรู้ดิจิทัล หมายถึง ความสามารถในการค้นหา (find) การประเมินผล (evaluate) การใช้ประโยชน์ (utilize) การแบ่งปัน (share) และสร้างสรรค์เนื้อหา (create) รวมทั้ง ความสามารถในการประมวลผล

7 3. ทักษะการรกั ษาความปลอดภยั ของตนเองในโลกไซเบอร์ สรานนท์ อินทนนท์ (2561, หน้า 7) กล่าวว่า ทักษะการรักษาความปลอดภัยของตนเอง ในโลกไซเบอร์ (cybersecurity management) เป็นทักษะท่ีพลเมืองดิจิทัลสามารถป้องกันข้อมูล ดว้ ยการสร้างระบบความปลอดภยั ที่เขม้ แขง็ และป้องกันการโจรกรรมข้อมลู หรอื การโจมตีออนไลน์ได้ มีทักษะในการรักษาความปลอดภัยของตนเองในโลกออนไลน์ การรักษาความปลอดภัยของตนเองใน โลกไซเบอร์คือ การปกป้องอุปกรณ์ดิจิทัล ข้อมูล ที่จัดเก็บและข้อมูลส่วนตัวไม่ให้เสียหาย สูญหาย หรอื ถกู โจรกรรมจากผไู้ มห่ วังดีในโลกไซเบอร์ การรักษาความปลอดภยั ทางดิจทิ ลั มคี วามสำคญั ดังน้ี 3.1 เพ่ือรักษาความเป็นส่วนตัวและความลับ หากไม่ได้รักษาความปลอดภัยให้กับ อปุ กรณด์ จิ ทิ ลั ข้อมลู สว่ นตัวและขอ้ มูลที่เปน็ ความลบั อาจจะรว่ั ไหลหรอื ถูกโจรกรรมได้ 3.2 เพื่อป้องกันการขโมยอัตลักษณ์ การขโมยอัตลักษณ์เร่ิมมีจำนวนที่มากข้ึนในยุค ข้อมูลข่าวสารเน่ืองจากมีการทำธุรกรรมทางออนไลน์มากย่ิงขึ้น ผู้คนเริ่มทำการชำระค่าสินค้า ผ่านส่ืออินเทอร์เน็ตและทำธุรกรรมกับธนาคารทางออนไลน์ หากไม่มีการรักษาความปลอดภัย ที่เพียงพอ มิจฉาชีพอาจจะล้วงข้อมูลเกี่ยวกับบัตรเครดิตและข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานไปสวมรอย ทำธุรกรรมได้ เช่น ไปซ้ือสินค้าก้ยู มื เงนิ หรอื สวมรอยรับผลประโยชน์และสวัสดกิ าร 3.3 เพ่ือป้องกันการโจรกรรมข้อมูล เน่ืองจากข้อมูลต่างๆ มักเก็บรักษาในรูปของดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร ภาพถ่าย หรือคลิปวิดีโอ ข้อมูลเหล่านี้อาจจะถูกโจรกรรมเพื่อนำไปขายต่อ แบลค็ เมลห์ รือเรยี กค่าไถ่ 3.4 เพ่ือป้องกันความเสียหายของข้อมูลและอุปกรณ์ ภัยคุกคามทางไซเบอร์อาจส่งผล เสียต่อข้อมูลและอุปกรณ์ดิจิทัลได้ ผู้ไม่หวังดีบางรายอาจมุ่งหวังให้เกิดอันตรายต่อข้อมูลและอุปกรณ์ ที่เก็บรักษามากกว่าที่จะโจรกรรมข้อมูลน้ัน ภัยคุกคามอย่างไวรัสคอมพิวเตอร์ โทรจัน และมัลแวร์ สรา้ งความเสยี หายรา้ ยแรงใหก้ ับคอมพิวเตอรห์ รอื ระบบปฏิบัติการได้ 4. ทกั ษะในการรักษาข้อมูลสว่ นตัว ทกั ษะความมั่นคงปลอดภัยทางดิจิทัล (digital security) หมายถงึ ความสามารถใน การตรวจจับภัยคุกคามในโลกไซเบอร์ เช่น การแฮ็ก (hacking) การหลอกลวง (scams) และ มัลแวร์ (malware) เพ่ือทำความเข้าใจ เลือกแนวทางปฏิบัติท่ีดีที่สุดและเลือกใช้เครื่องมือในการรักษาความ ปลอดภัยท่ีเหมาะสม สำหรับการปกป้องข้อมูลความม่ันคงปลอดภัยทางโลกดิจิทัล ครอบคลุมถึง ความม่ันคงปลอดภัยท่ีเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เช่น การทำธุรกรรมทาง อิเล็กทรอนิกส์ การป้องกันภัยและควบคุมการทำรายการผ่านระบบออนไลน์ การป้องกันการละเมิด ข้อมูลมาตรฐานท่ีเกี่ยวข้อง วิธีการจัดการความปลอดภัยและความเชื่อม่ันของผู้ใช้ รวมถึงทักษะการ รักษาข้อมูลส่วนตัว ซึ่งสรานนท์ อินทนนท์ (2561, หน้า 7) กล่าวว่า ทักษะการรักษาข้อมูลส่วนตัว (privacy management) หมายถึง การมีดุลพินิจในการบริหารจัดการข้อมูลส่วนตัว รู้จักปกป้อง ข้อมูลส่วนตัวในโลกออนไลน์โดยเฉพาะการแชร์ข้อมูลออนไลน์เพ่ือป้องกันความเป็นส่วนตัวท้ังของ ตนเองและผู้อ่ืน รู้เท่าทันภัยคุกคามทางอินเทอร์เน็ต เช่น มัลแวร์ ไวรัสคอมพิวเตอร์ และกลลวงทาง ไซเบอร์ เปน็ ตน้ วธิ กี ารปอ้ งกันรักษาข้อมลู ส่วนตัว กระทำได้ดงั น้ี

8 4.1 ไมค่ วรต้ังรหัสผ่านของบัญชีใชง้ านท่ีงา่ ยเกนิ ไป 4.2 ต้ังรหสั ผ่านหนา้ จอสมารท์ โฟนอยเู่ สมอ 4.3 แชรข์ อ้ มลู ส่วนตวั ในสื่อโซเชียลมีเดยี อยา่ งระมดั ระวัง 4.4 ใส่ใจกับการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว ระมัดระวังในการเปิดเผยชื่อและท่ีต้ัง และ ปฏิเสธแอปพลิเคชนั ท่พี ยายามจะเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ส่วนตัว 4.5 อย่าใช้ wifi สาธารณะเมื่อต้องการกรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น ออนไลน์ชอปป้ิง หรอื ธุรกรรมธนาคาร หรอื การลงทะเบยี นในส่อื สงั คมออนไลน์ 4.6 รู้เท่าทนั ภัยคุกคามทางอนิ เทอรเ์ น็ต 5. ทกั ษะในการจัดสรรเวลาหน้าจอ ทกั ษะในการจัดสรรเวลาหนา้ จอ (screen time management) หมายถึงทักษะในการ บริหารเวลาที่ใช้อุปกรณ์ยุคดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย รวมถึงการควบคุมเพื่อให้เกิดสมดุล ระหว่างโลก ออนไลน์ และโลกความจริงที่ต้องเผชิญ ตระหนักถึงอันตรายจากการใช้เวลาหน้าจอนานเกินไป การทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกนั และผลเสียของการเสพตดิ ส่ือดิจทิ ลั ทกั ษะการใช้เคร่ืองมอื และสือ่ ดิจทิ ลั (digital use) หมายถงึ ความสามารถในการใช้งาน การควบคุม และการจัดการใช้อปุ กรณ์ดิจิทัลและสื่อดิจิทัลเพ่ือให้เกิดสมดุลระหว่างชีวิตออนไลน์และ ออฟไลน์ เพ่ือให้เกิดประโยชน์สูงสุดแบ่งเป็น 2 องคป์ ระกอบคือ การบริหารจัดการเวลาบนโลกดิจิทัล (screen time management) และ สุขภาพบนโลกดจิ ทิ ัล (digital health) 5.1 การบริหารจัดการเวลาบนโลกดิจิทัล สรานนท์ อินทนนท์ (2561, หน้า 10) กล่าว ว่า ทักษะการจัดสรรเวลาหน้าจอ (screen time management) หมายถึง ความสามารถในการ บริหารเวลาที่ใช้อุปกรณ์ยุคดิจิทัล รวมไปถึงการควบคุมเพ่ือให้เกิดสมดุลระหว่างโลกออนไลน์ และ โลกภายนอก ตระหนักถึงอันตรายจากการใช้เวลาหน้าจอนานเกินไป การทำงานหลายอย่างในเวลา เดียวกัน และผลเสียของการเสพติดสื่อดิจิทัล ซ่ึงสำนักวิจัยสยามเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตโพลล์ระบุว่า วัยรุ่นไทยเกือบ 40% อยากใช้เวลาหน้าจอมากกว่าการออกกำลังกาย สรานนท์ อินทนนท์ (2562, หน้า 10-11) กล่าวถึงผลกระทบจากการใช้เวลาหน้าจอมากเกินไปสำหรับผู้ใหญ่ ท้ังจากการใช้ คอมพิวเตอร์ในการทำงาน การดูโทรทัศน์หรือเล่นแท็บเล็ตที่บ้าน สามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ผใู้ หญ่จงึ ควรจำกัดการใช้เวลาหน้าจอด้วยเชน่ กัน 5.2 สุขภาพบนโลกดิจิทัล (digital health) การใช้เวลาหน้าจอมากเกินไป ส่ง ผลกระทบต่อสขุ ภาพดงั นี้ 1) น้ำหนักเพิม่ ขึ้น ยิง่ ใช้เวลาหนา้ จอนานเทา่ ไหร น้ำหนกั ก็ยง่ิ เพ่ิมขึ้นเท่านัน้ การดู โทรทัศน์เพยี ง 2 ช่ัวโมงในแต่ละวนั สามารถเพ่ิมความเสย่ี งของโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคหวั ใจได้ ทั้งน้ีเกิดจากปัจจัยอื่นท่ีเชื่อมโยงกันคือ พฤติกรรมนิ่งเนือย นอนน้อย และรับประทานของจุบจิบ ระหว่างการใชเ้ วลาหนา้ จอ 2) ปัญหาด้านสายตา การจ้องมองหนา้ จอนานๆ เป็นสาเหตุของโรคคอมพิวเตอร์วิ ชันซินโดรม (computer vision syndrome) โรคน้ีจะมีอาการเม่ือยล้าจากการใช้สายตา ตาแห้ง สายตาพร่ามวั แสบตา สู้แสงไม่ได้ รวมถงึ อาจปวดศีรษะ และคลื่นไส้ อาเจยี น เปน็ ต้น

9 3) ปวดเมื่อยและเจ็บหลัง ท่าทางการนั่งที่ไม่เหมาะสมเม่ือใช้หน้าจอสามารถทำให้ เกิดอาการเมื่อยคอ ปวดหลัง ปวดแขน ปวดไหล่ และข้อเท้าเสื่อมจากการเล่นเกมในเมือถือนาน เกินไปยังส่งผลให้เกิดอาการน้ิวล็อกได้ ซ่ึงเกิดจากการอักเสบของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเอ็น ที่ใช้ใน การงอนิ้วข้อมือตรงบรเิ วณโคนนิ้ว ทำให้เกดิ อาการปวดบวม 4) นอนไม่หลับ แสงสีฟ้าที่สว่างมากจากหน้าจอมือถือและแท็บเล็ตส่งผลต่อการ หล่ังฮอร์โมนเมลาโทนนิ ทช่ี ่วยควบคุมการนอนหลับ สง่ ผลให้หลับได้ยากข้ึน 5) ซมึ เศร้า และวติ กกังวล คนท่ีติดมือถือมกั มีอาการซึมเศรา้ หรอื วิตกกังวลตามมา อันเน่ืองมาจากการรอคอย หรือคาดหวังเสียงโทรศัพท์ หรือการตอบกลับข้อความต่างๆ และหากวัน ใดลืมมอื ถือมาด้วย จะย่ิงรู้สกึ เปน็ กังวลมากขึน้ 6) คิดช้าลง การใช้สมาร์ตโฟนเป็นเวลานาน จะได้รับรังสีจากคล่ืนโทรศัพท์ท่ีแผ่ ออกมามากข้ึน ส่งผลต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการข้างเคียงตามมา น่ันคือ ปวดศีรษะ ปวดไมเกรน การใชห้ น้าจอเป็นเวลานานยงั มีผลตอ่ ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการทางความคดิ ของสมอง และทำให้ ความจำถดถอยอกี ดว้ ย 7) อายุส้ัน การใช้เวลาหน้าจอนานเกินไปไม่ว่าจะเป็นการดูโทรทัศน์ การใช้ คอมพิวเตอร์ หรอื แท็บเลต็ จะทำใหส้ ุขภาพด้านหวั ใจออ่ นแอลง และเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชวี ิต สรานนท์ อินทนนท์ (2562, หน้า 15-16) นำเสนอแนวทางการบริหารจัดการ กิจกรรมหน้าจอ ซึ่งครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการกิจกรรมหน้าจอของเด็กด้วย แนวทางง่ายๆ เรียกว่า “3 Ps” (Plan-Power off-Play) ดงั นี้ 1) Plan สมาชิกในครอบครวั ร่วมมือกันจำกัดเวลาใชเ้ วลาหน้าจอ โดยพอ่ แม่ ต้องเป็นแบบอย่างท่ีดีของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ เวลาหน้าจอของสมาชิกทุกคนในครอบครัวร่วมกัน โดยเร่ิมจากการพูดคุยกับลูกเพ่ือสอบถามถึงส่ือ และเน้ือหาท่ีใช้งาน การปรับเปลี่ยนควรคำนึงถึงความเหมาะสมของสมาชิกแต่ละคนในแต่ละ ครอบครัวโดยพิจารณาจากอายุ และลักษณะการใช้งาน พ่อแม่ควรวางแผนร่วมกับลูกในการจัดสรร เวลาการใช้เวลาหน้าจอ (co-create rules) ควรจัดเตรียมกิจกรรมการเล่นแบบอื่นไว้ให้ ร่วมกัน กำหนดช่วงเวลางดใช้อุปกรณ์ดิจิทัลในบางช่วงของวัน หรือ “ช่วงเวลาครอบครัว” เช่น ช่วง รับประทานอาหาร และพ่อแม่ควรสนับสนุนให้ลูกทำกิจกรรมที่มีการเคล่ือนไหวการออกกำลังกาย งานอดิเรกหรอื กิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ มากกวา่ การใช้อินเทอรเ์ นต็ 2) Power off งดใชอ้ ปุ กรณด์ จิ ทิ ลั ในชว่ งเวลาสำหรบั ของวนั โดยสร้างตาราง การใชเ้ วลาหนา้ จอสำหรับสมาชิกแตล่ ะคน เพ่ือตดิ ตามดวู ่าสมาชิกแต่ละคนใชเ้ วลาหนา้ จอในแต่ละวัน นานเท่าไร กำหนดช่วงและระยะเวลาของกิจกรรมการใช้เวลาหน้าจอของเด็กแต่ละคนใหป้ ฏิบัติตาม เมื่อถึงเวลาต้องหยุดใช้หน้าจอ ควรสนับสนุนให้เด็กหยุดเล่น และมอบอุปกรณ์ดิจิทัลให้กับพ่อแม่ของ ตนเอง ซึ่งช่วงเวลาที่กำหนดให้งดเล่นหน้าจอ ควรให้เด็กได้ออกแบบหรือแสดงความคิดเห็นว่าพวก เขาต้องการทำสิ่งใด หรืออยากเล่นอะไรแทนการเล่นอุปกรณ์ดิจิทัล จัดบ้านใหม่ เพื่อลดการใช้ อุปกรณ์หน้าจอในบางพ้ืนท่ีของบ้าน เช่น ห้องรับประทานอาหาร ห้องน่ังเล่น หรือห้องนอน (tech- free-spaces) เก็บอุปกรณ์ดจิ ิทลั ในห้องนอนของเด็ก และจำกดั การใช้งานในช่วงก่อนการเข้านอน

10 3) Play สร้างสมดุลระหวา่ งกิจกรรมการใช้เวลาหน้าจอกบั การเล่นสร้างสรรค์ อ่ืนๆ เพ่ือไม่ให้เด็กพ่ึงพาเทคโนโลยีมากเกินไป โดยท้ังการเล่นดิจิทัลและการเล่นแบบสร้างสรรค์ต้อง ช่วยส่งเสริมสุขภาพ และการมีปฏิสัมพันธ์ของเด็ก การเล่นกิจกรรมกลางแจ้ง ส่งเสริมให้เด็กออกไป เล่นและเรียนรู้อย่างอิสระท่ามกลางธรรมชาติ เด็กอาจจะว่งิ เล่นในสนามหญ้า สวนสาธารณะ และได้ สมั ผสั กับธรรมชาตริ อบตวั หรือเล่นสนุกกบั เด็กวัยเดียวกัน นอกจากนค้ี วรส่งเสรมิ กิจกรรมเพื่อสขุ ภาพ รา่ งกายและการมีปฏิสัมพนั ธท์ างสงั คม ซึ่งถือว่าเปน็ แนวทางการบรหิ ารจัดการกิจกรรมหนา้ จอทด่ี ีมาก 6. ทักษะในการบรหิ ารจัดการขอ้ มูลที่ผ้ใู ชง้ านท้ิงไวบ้ นโลกออนไลน์ ทักษะในการบริหารจัดการข้อมูลท่ีผู้ใช้งานทิ้งไว้บนโลกออนไลน์ (digital footprints) หมายถึงความสามารถของพลเมืองดิจิทัลท่ีเขา้ ใจธรรมชาติของการใช้ชวี ิตในโลกดิจิทัลว่าจะหลงเหลือ ร่อยรอยข้อมูลท้ิงไว้เสมอ รวมไปถึงเข้าใจผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น เพ่ือการดูแลสิ่งเหล่านี้อย่างมีความ รบั ผิดชอบ ซงึ่ เรยี กว่า รอยเท้าดิจทิ ลั (digital footprints) รอยเท้าดิจิทัล คือ คำที่ใช้เรียกร่องรอยการกระทำต่างๆ ท่ีผู้ใช้งานท้ิงรอยเอาไว้ในโลก ออนไลน์ โซเชียลมีเดีย เว็บไซต์หรือโปรแกรมสนทนา เช่นเดียวกับรอยเท้าของคนเดินทาง ข้อมูล ดิจิทัล เช่น การลงทะเบียนอีเมล การโพสต์ข้อความหรือรูปภาพ เมื่อถูกส่งเข้าโลกไซเบอร์แล้วจะทิ้ง รอ่ ยรอยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานไว้ให้ผู้อ่ืนติดตามได้เสมอ แม้ผู้ใช้งานจะลบไปแล้ว ดังนั้น หากเป็น การกระทำท่ีผิดกฎหมายหรือศีลธรรม ก็อาจมีผลกระทบต่อช่ือเสียงและภาพลักษณ์ของผู้กระทำ กลา่ วง่ายๆ รอยเทา้ ดิจทิ ัลคือทุกสิ่งทกุ อย่างในโลกอินเทอร์เน็ตท่ีบอกเร่ืองของเรา เช่น 6.1 ข้อมลู ส่วนตวั ทแี่ ชรไ์ วใ้ นบญั ชสี ่ือสังคมออนไลน์ (profile) 6.2 รูปภาพ หรือภาพถา่ ย 6.3 ข้อมลู อน่ื ๆ ท่ีผ้ใู ช้โพสต์ไว้ในบลอ็ กหรอื เว็บไซต์ 7. ทกั ษะในการรับมอื กับการกลน่ั แกลง้ บนโลกไซเบอร์ ทักษะในการรับมือกับการกลั่นแกล้งบนโลกไซเบอร์ (cyberbullying management) เป็นทักษะท่ีพลเมืองดิจิทัลจะต้องต้ังรับการกล่ันแกล้งบนโลกไซเบอร์ (cyberbullying) ซ่ึงหมายถึง การใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเคร่ืองมือหรือช่องทางเพื่อก่อให้เกิดการคุกคาม ล่อลวง และการกลั่นแกล้ง บนโลกอินเทอร์เน็ตและส่ือสังคมออนไลน์ โดยกลุ่มเป้าหมายมักจะเป็นกลุ่มเด็กจนถึงเด็กวัยรุ่น การกล่ันแกล้งบนโลกไซเบอรค์ ล้ายกันกับการกลั่นแกล้งในรูปแบบอื่น หากแต่การกลั่นแกล้งประเภท นี้จะกระทำผ่านส่ือออนไลน์หรือส่ือดิจิทัล เช่น การส่งข้อความทางโทรศัพท์ ผู้กล่ันแกล้งอาจจะเป็น เพื่อนร่วมช้ัน คนรู้จักในส่ือสงั คมออนไลน์ หรอื อาจจะเปน็ คนแปลกหน้ากไ็ ด้ แตส่ ่วนใหญ่ผู้ที่กระทำจะ รจู้ ักผทู้ ถ่ี กู กล่นั แกล้ง รปู แบบของการกลนั่ แกลง้ มกั จะมีลกั ษณะดงั นี้ 7.1 รปู แบบของการกลน่ั แกล้งบนโลกไซเบอร์ มกั จะมีลักษณะดังนี้ 7.1.1 การวา่ ร้าย ใส่ความขู่ทำรา้ ยหรอื ใช้ถอ้ ยคำหยาบคาย เชน่ การโพสด่าทอ การพูดจาส่ือเสียด การพูดจาให้รา้ ยป้ายสี เป็นต้น 7.1.2 การคุกคามทางเพศผ่านสื่อออนไลน์ เช่น การพดู จาคกุ คามทางเพศ การบังคบั ใหแ้ สดงพฤติกรรมทางเพศผา่ นกลอ้ ง การแฉหรือตัดตอ่ ภาพโป้เปลือยไปโพสต์ เปน็ ต้น

11 7.1.3 การแอบอ้างตัวตนของผูอ้ น่ื เช่น การสวมรอยเป็นผู้อน่ื โพสข้อความหยาบคาย ใหร้ ้ายบคุ คลอ่นื การโพสรูปโป้ของผูอ้ น่ื เปน็ ตน้ 7.1.4 การแบล็กเมล เช่น การนำความลับหรือรปู ภาพคนอ่ืนมาเปิดเผยหรอื ใสร่ า้ ยป้ายสี เป็นตน้ 7.1.5 การหลอกลวง เช่น การหลอกลวงใหห้ ลงเชื่อออกมานัดเจอทำมดิ มี ิรา้ ย การหลอกใหโ้ อนเงนิ ด้วยวิธีการตา่ งๆ เปน็ ต้น 7.1.6 การสร้างกลุ่มในโซเชียลเพื่อโจมตโี ดยเฉพาะ เชน่ การต้ังเพจแอนต้ี โจมตี จบั ผิดทกุ อรยิ บท นำประเดน็ ตา่ งๆ มาวิพากษ์วิจารณ์ให้เกิดความเสียหายแก่บคุ คลอน่ื 7.2 วิธจี ดั การเมอื่ ถูกกลนั่ แกลง้ บนโลกไซเบอร์ 7.2.1 หยุด (stop) หยุดการตอบโตก้ ับผู้กลั่นแกล้ง ออกจากบัญชรี ายชอ่ื (logout) สอ่ื สงั คมออนไลน์หรอื ปดิ เครือ่ งมือสื่อสาร 7.2.2 บล็อก (block) ปิดก้นั การส่ือสารกบั ผกู้ ล่ันแกล้ง โดยการบล็อกจากรายชื่อ ผู้ติดตอ่ 7.2.3 ออกจากระบบ (logout) จากบัญชีส่ือสังคมออนไลน์หรือปิดเครื่องมือสื่อสาร ปิดกน้ั การสอื่ สารกบั ผูก้ ลั่นแกลง้ โดยการบล็อกจากรายช่อื ผู้ติดตอ่ 7.2.4 แจ้งให้ทราบ (tell) ถ้าผู้กลั่นแกล้งยงั ไมห่ ยดุ กระทำอีก ควรรายงานผู้ปกครอง หรือคุณครูที่ไว้ใจ นอกจากน้ีให้รายงานไปยังผู้ให้บริการส่ือสังคมออนไลน์น้ันๆ ผู้กลั่นแกล้งอาจ กระทำการละเมิดข้อตกลงการใช้งานสื่อออนไลน์นั้น และบันทึกหลักฐานการกลั่นแกล้งไว้เพ่ือแจ้ง ความดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 7.2.5 รายงานไปยงั ผู้ให้บรกิ ารสอ่ื สังคมออนไลนน์ ั้นๆ ผู้กลัน่ แกลง้ อาจกระทำ การละเมดิ ข้อตกลงการใช้งานส่อื ออนไลน์ 7.2.6 บันทึกหลกั ฐานการกล่ันแกลง้ อีเมล หรือภาพท่บี นั ทกึ จากหนา้ จอ 8. ทักษะการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจรยิ ธรรม สรานนท์ อินทนนท์ (2561, หน้า 13) กล่าวว่า ทักษะการใช้เทคโนโลยีอยา่ งมีจริยธรรม (digital empathy) คือ ความเหน็ อกเห็นใจ และสร้างความสมั พันธท์ ่ดี ีกบั ผู้อ่นื บนโลกออนไลน์ แมจ้ ะ เป็นการส่ือสารที่ไม่ได้เห็นหน้ากัน มีปฏิสัมพันธ์อันดีต่อคนรอบข้าง ไม่ว่าพ่อแม่ ครู เพ่ือนทั้งในโลก ออนไลน์และในชีวิตจริง ไม่ด่วนตัดสินผู้อื่นจากข้อมูลออนไลน์แต่เพียงอย่างเดียว และคิดใคร่ครวญ ก่อนที่จะโพสต์รูปหรือข้อความลงในส่ือออนไลน์ (think before you post) ไม่โพสขณะกำลังอยู่ใน อารมณ์โกรธ ส่ือสารกับผู้อ่ืนด้วยเจตนาดี ไม่ใช้วาจาที่สร้างความเกลียดชังทางออนไลน์ ไม่ก้าวล่วง ข้อมูลส่วนตวั ของผู้อ่นื ไม่กล่ันแกล้งผ้อู ื่นผ่านสือ่ ดิจิทลั โดยอาจตัง้ คำถามกบั ตนเองกอ่ นโพสตว์ ่า เรอื่ ง ที่จะโพสต์ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือไม่ เร่ืองท่ีจะโพสต์ผิดกฎหมายหรือไม่ และเรื่องท่ีจะโพสต์มีสาระ หรอื ความจำเป็นหรือไม่ และเรอ่ื งทจ่ี ะโพสตเ์ ป็นเร่ืองจรงิ หรอื ไม่ นอกจากเร่ืองการใช้เทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรม ผู้ใช้งานจะต้องมีทักษะด้านสิทธิทาง ดิจิทัล (digital rights) หมายถึง ความสามารถในการเข้าใจและรักษาสิทธิส่วนบุคคลของตนเองสิทธิ เสรภี าพตามกฎหมาย รวมถึงสทิ ธิในความเป็นสว่ นตวั ทรัพย์ในสนิ ทางปญั ญา เสรภี าพในการพดู

12 การแสดงความคิดเห็นและการป้องกันตนเองจากคำพูดท่ีแสดงถึงความเกลียดชังแบ่งเป็น 3 องคป์ ระกอบ คือ เสรีภาพในการพูด สิทธ์ิในทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญา และ ความเป็นส่วนตัว สรุปความเป็นพลเมืองดิจิทัล คือ การเป็นเยาวชนท่ีมีทักษะความฉลาดทางดิจิทัลสำคัญ 8 ด้าน ได้แก่ ทักษะการรักษาอัตลักษณ์ท่ีดีของตนเอง ทักษะการคิดวิเคราะห์มีวิจารณญาณท่ีดี ทักษะการรักษาความปลอดภยั ของตนเองในโลกไซเบอร์ ทักษะความม่นั คงปลอดภัยทางดิจิทัล ทักษะ การใช้เคร่ืองมอื และสอ่ื ดิจทิ ัล ทกั ษะการสื่อสารดจิ ทิ ัล ทักษะความปลอดภยั ทางดิจิทัล และทักษะการ ใช้เทคโนโลยีอย่างมีจรยิ ธรรมซ่ึงทักษะสำคัญดังกลา่ วพลเมืองดิจิทัลจะต้องฝึกฝนเรียนรู้เพื่อให้ตนเอง ใช้ชีวิตในยุคท่ีเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยีสารสนเทศได้อย่างมีความสุข ไม่ทำให้ตนเอง และผู้อื่นเดอื ดรอ้ น เรอื่ งท่ี 1.3 สิทธิ ความรบั ผิดชอบ และลกั ษณะท่ีดขี องพลเมอื งดจิ ทิ ลั พลเมืองที่ดีคือพลเมืองที่เข้าใจในสิทธิและความรับผิดชอบ ซ่ึงเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อ การสร้างสงั คมประชาธิปไตยที่ดี พลเมืองดิจิทัลเองก็ตอ้ งตระหนักถงึ สทิ ธิและความรับผิดชอบของตน เช่นเดียวกัน เพียงแต่สิทธิและความรับผิดชอบในยุคดิจิทัลได้ถูกตีความและต่อยอดให้สัมพันธ์กับ การเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยี สิทธินั้นหมายถึงเสรีภาพข้ันพื้นฐานที่รัฐบาลมีพันธะหน้าท่ีต้อง ปกป้องและส่งเสริม สิทธิบางอย่างถูกบัญญัติไว้ในกฎหมายระดับประเทศ ขณะท่ีสิทธบิ างประการถูก รับรองไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ซ่ึงตั้งอยู่บนหลักการเร่ืองอิสรภาพ ความเท่าเทียม และความเสมอภาค เช่น เสรีภาพในการแสดงความเห็น เสรีภาพในการรวมกลุ่มและการสมาคม เสรภี าพส่ือ เสรีภาพในการนับถือศาสนา เสรีภาพในความเป็นสว่ นตัว อย่างไรก็ดี สิทธิมีข้อจำกดั และ ต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบในการคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมและหลักจริยธรรม เช่น การเคารพ สทิ ธิ ความเชื่อ และความเห็นของผอู้ น่ื 1. สทิ ธิของพลเมืองดจิ ิทลั สิทธิของพลเมืองในยุคดิจิทัลนั้นได้รับการพัฒนาต่อยอดจากหลักการสากลด้านสิทธิ มนุษยชน โดยมีองค์กรจำนวนมากท่ีผลักดันสิทธิดังกล่าว เช่น องค์การสหประชาชาติ (UN) กองทุน เพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) สภายุโรป (Council of Europe) แนวทางด้านสิทธิในคู่มือ ฉบับนี้อ้างอิงจากกฎบัตรว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและหลักการพ้ืนฐานสำหรับอินเทอร์เน็ต (Charter of Human Rights and Principles for the Internet) และข้อเสนอว่าด้วยสิทธิมนุษยชนสำหรับผู้ใช้ อนิ เทอร์เน็ตของสภายโุ รป (วรพจน์ วงศก์ ิจรุ่งเรอื ง, 2561, หน้า 102) 1.1 สิทธิในการเข้าถึงและไม่ถูกเลือกปฏบิ ตั ิ สทิ ธใิ นการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตควรเปน็ สิทธิ ข้ันพื้นฐานสำหรับมนุษย์ทุกคน บางประเทศ เช่น ฟินแลนด์และเอสโตเนีย กำหนดให้การเข้าถึง อินเทอรเ์ นต็ เป็นสทิ ธิมนุษยชนข้ันพื้นฐาน การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไม่เพียงช่วยเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจ การเมอื ง และวฒั นธรรมให้กบั ผู้ใช้ แตย่ ังเสรมิ สร้างสทิ ธิมนษุ ยชนขัน้ พื้นฐานหลายอยา่ ง อาทิ เสรีภาพ ในการแสดงออก สทิ ธใิ นการเข้าถงึ การศกึ ษา สิทธิในการสมาคมและชมุ นมุ โดยสันติ สทิ ธิในการมีส่วน ร่วมกับรัฐบาล การเข้าไม่ถึงหรือถูกตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตนั้นส่งผลกระทบถึงโอกาสและสิทธิ

13 ข้ันพ้ืนฐานของมนุษย์เป็นอย่างย่ิง ด้วยเหตุน้ี สิทธิในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยไม่ถูกตัดการเชื่อมต่อ หรอื ถกู เลือกปฏิบตั ิจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) หรือผใู้ ห้บริการเนอ้ื หาออนไลน์ ไม่วา่ จะอยู่ บนฐานของอะไรก็ตาม เช่น เพศ ชาติพันธ์ุ ภาษา ศาสนา ความเชื่อทางการเมือง จึงถือเป็นสิทธิขั้น พืน้ ฐานในยุคดิจิทัล ยกเว้นแต่กรณีทีม่ ีการกำหนดไว้ในกฎหมายชัดเจน กระทบกับสทิ ธขิ องผู้อ่ืน หรือ ส่งผลต่อความมั่นคงของชาติ ความสงบเรียบร้อย และศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกรณีท่ีมีการ ผิดสัญญาไม่จ่ายเงินค่าบริการอินเทอร์เน็ต (แต่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือไอเอสพีควรใช้มาตรการ ตัดสัญญาณเป็นมาตรการสุดท้ายเท่าน้ัน) หรอื กรณีท่ีพ่อแม่ผู้ปกครองควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตของ เด็กและผู้เยาว์ให้เหมาะสม ส่วนรัฐบาลควรดำเนินมาตรการส่งเสริมให้เกิดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต อย่างท่ัวถึง ราคาไม่แพง ปลอดภัย มีคุณภาพเช่ือถือได้ และรองรับกลุ่มคนท่ีหลากหลาย โดยเฉพาะ กลุ่มคนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล มีรายได้น้อย เป็นคนกลุ่มน้อยของสังคม หรือต้องการความช่วยเหลือ เป็นพิเศษ เช่น ผู้พิการนอกจากนั้น รัฐบาลควรจัดให้มีจุดบริการอินเทอร์เน็ตอย่างทั่วถึง เช่น ศูนย์กลางชุมชน ห้องสมุด โรงเรียน คลินิก รวมท้ังคำนึงถึงการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต ซ่ึงทวีความสำคัญมากขึ้นในยุคท่ีคนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่มากข้ึน เรื่อยๆ (วรพจน์ วงศก์ ิจร่งุ เรอื ง, 2561, หนา้ 103) 1.2 สิทธิในการแสดงความเห็นและการเข้าถึงข้อมูล มาตราที่ 19 ในปฏิญญาสากลว่า ด้วยสิทธิมนุษยชนบัญญัติไว้ว่า “มนุษย์ทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออก สิทธิ ดังกล่าวรวมถึงเสรีภาพในการแสดงความเห็นโดยปราศจากการแทรกแซง และสิทธิในการแสวงหา รับส่งต่อข้อมูลและแนวคดิ ผ่านส่ือใดๆ และโดยไม่ต้องคำนึงถึงพรมแดน” เสรีภาพดังกล่าวครอบคลุม ถึงการแสดงความเห็นในโลกอินเทอร์เน็ตด้วยเช่นกัน เสรีภาพในการแสดงออกเป็นสิทธิท่ีมี ความสำคัญต่อสังคมประชาธปิ ไตยและการพัฒนาของมนุษย์ หลกั การสากลยนื ยนั ถึงสิทธิในการแสดง ตัวตน มุมมอง ความคดิ ความเห็น รวมทัง้ สิทธใิ นการเข้าถึงและเผยแพร่ขอ้ มูล/ความเห็นของผอู้ ื่นบน โลกออนไลน์ได้อย่างเสรี เสรีภาพดังกล่าวครอบคลุมถึงการพูดทางการเมือง มุมมองทางศาสนา ความเห็นและการแสดงออกที่ไม่สร้างความขุ่นเคือง และอาจรวมถึงการแสดงออกทอ่ี าจสร้างความขุ่น เคืองและสร้างความรำคาญใจให้กับผู้อื่นด้วย ซึ่งต้องพิจารณาควบคู่กับเง่ือนไขอื่นๆ เช่น กฎหมาย และวัฒนธรรมในแตล่ ะประเทศ (วรพจน์ วงศ์กจิ รุ่งเรือง, 2561, หน้า 105) เสรีภาพในการแสดงความเห็นไม่ใช่สิทธิที่ไร้ข้อจำกัด และต้องคำนึงถึงสิทธิอ่ืนๆ เช่น สทิ ธใิ นการปกป้องชอ่ื เสียงและความเป็นสว่ นตวั ของผ้อู ื่น รวมถงึ ผลประโยชน์สาธารณะด้วย เช่น เพื่อ ปกป้องความมั่นคงของชาติหรือความสงบเรียบร้อย อย่างไรก็ดี การแทรกแซงเสรีภาพในการ แสดงออกต้องได้รับการบัญญัติไว้ในกฎหมายด้วย โดยกฎหมายนั้นต้องกำหนดขอบเขตข้อห้ามให้ ชัดเจนและวางกรอบให้แคบเท่าที่จำเป็น เพื่อให้ประชาชนเข้าใจและกำกับพฤติกรรมการแสดง ความเห็นได้อย่างถูกต้อง รวมถึงต้องไม่ทำโดยเลือกปฏิบัติ มีเหตุผลอันชอบธรรมตามหลักสากล ขอบเขตการแทรกแซงต้องเหมาะสม อีกท้ังยังต้องมีกลไกในการแจ้งให้ผู้ที่ถูกแทรกแซงสิทธิเสรีภาพ ทราบถงึ สิทธใิ นการร้องเรียนใหม้ ีการแกไ้ ข 1.3 เสรีภาพจากการเซ็นเซอร์ ประชาชนทุกคนมีสิทธิในการใช้อนิ เทอร์เน็ตโดยปราศจาก การเซ็นเซอร์ทกุ รปู แบบ การคุกคามข่มขูก่ ารแสดงออกผ่านอินเทอร์เนต็ น้ันถอื เป็นการละเมิดเสรีภาพ การเซ็นเซอร์ผ่านการบล็อกและฟิลเตอร์ โดยเฉพาะการบล็อกเน้ือหาล่วงหน้าเพื่อไม่ให้ประชาชน

14 ทั้งหมดเข้าถึงไดน้ ้ัน ถือเป็นการเซ็นเซอร์ท่ีขาดความชอบธรรม เวน้ แต่เนื้อหาเฉพาะน้ันๆ ถูกตัดสินว่า ผิดกฎหมายและผ่านกระบวนการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายแล้ว นอกจากนั้น มาตรการใดๆ ที่ใช้ในการบล็อกเนื้อหาเฉพาะนั้นๆ จะต้องทำภายใต้ขอบเขตท่ีจำกัดท่ีสุด และไม่ส่งผลให้ประชาชน ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลอ่ืนๆ ได้ เช่น หากพบว่ามีเนื้อหาที่ผิดกฎหมายในเว็บบอร์ด มาตรการ การบล็อกควรจำกัดที่กระทู้ที่ผิดกฎหมายเท่านั้น ไม่ใช่ปิดก้ันการเข้าถึงท้ังเว็บบอร์ด ตัวกลาง เช่น ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือเรียกว่า ไอเอสพี (ISP: Internet Service Provider) ไม่ควรถูกกดดัน หรือบังคับโดยกฎหมายให้นำเนื้อหาออก บล็อกเนื้อหา หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ หาก เน้ือหาดังกล่าวไม่ผิดกฎหมาย นอกจากน้ันรัฐยังมีหน้าท่ีคุ้มครองและเคารพเสรีภาพในการแสดงออก และสิทธิในการส่ือสารของประชาชน ซ่ึงรวมถึงการสื่อสารระหว่างบุคคล เช่น การออกกฎหมายเพื่อ ป้องกันการดักฟังและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ไอเอสพี รวมถึงผู้ให้บริการเน้ือหาและผู้ให้บริการ ออนไลน์ ต้องเคารพสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก กระน้ันก็ตาม ผู้ให้บริการเนื้อหาและบริการ ออนไลน์บางรายอาจมีนโยบายห้ามเน้ือหาและพฤติกรรมบางอย่าง เช่น ประทุษวาจา ภาพอนาจาร แต่ตอ้ งทำภายใต้หลกั เกณฑ์ที่ไม่ละเมิดหลักสากล รวมถึงมีกระบวนการที่โปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล และเปิดช่องทางให้มีการตรวจสอบการบล็อกหรือฟลิ เตอร์เน้ือหา เพ่ือเป็นข้อมูลให้ผู้ใช้ตัดสินใจว่าจะ เลือกใช้บริการออนไลนน์ ัน้ ๆ หรือไม่ (วรพจน์ วงศก์ ิจรุ่งเรือง, 2561, หน้า 106) 1.4 สิทธิในข้อมูล ประชาชนทุกคนมีสิทธิในการค้นหา เข้าถึง และส่งต่อข้อมูลและ ความคิดผ่านอินเทอร์เน็ต ประชาชนมีสิทธิเข้าถึงและใช้ข้อมูลของรัฐบาล โดยรัฐบาลควรดำเนินการ เปิดเผยข้อมูลในเวลาอันเหมาะสมและในรูปแบบท่ีสามารถเข้าถึงและนำไปใช้ต่อได้ง่าย นอกจากน้ัน ยังสามารถแชร์งานและสร้างสรรค์งานจากการปรับเปล่ียนงานต้นฉบับของผู้อื่น แต่สิทธิดังกล่าวต้อง พิจารณาควบคู่กับสิทธิของผู้ผลิตงานต้นฉบับท่ีจะได้รับการคุ้มครองลิขสิทธ์ิ โดยระบบลิขสิทธิ์ต้องไม่ บ่ันทอนศักยภาพของอินเทอร์เน็ตในการสร้างสรรค์และต่อยอดเน้ือหา ซึ่งหลักการสำคัญในการ พิจารณาคือ หลักการใช้อย่างเป็นธรรม (fair use) ซ่ึงหมายถึง หลักการพิจารณากฎหมายของ สหรัฐอเมริกาท่ีอนญุ าตให้มีการใชเ้ น้ือหาติดลิขสิทธ์โิ ดยไมต่ ้องได้รับอนุญาตจากผู้ถือลขิ สิทธิ์ หลกั การ ข้อน้ีมุ่งรักษาสมดุลระหว่างผลประโยชน์ขของเจ้าของลิขสิทธ์ิและผลประโยชน์สาธารณะในการ เผยแพร่และใช้ประโยชน์จากงานสร้างสรรค์บางส่วน เช่น ใช้เพื่อการวิพากษ์วิจารณ์ การล้อเลียน การค้นคว้าวิจัย การรายงานข่าว เป็นต้น หลักการ 4 ประการท่ีใช้พิจารณาว่าการใช้แบบไหนถือว่า เป็นธรรมมดี ังนี้ 1.4.1 ปัจจัยด้านการสร้างสรรค์สิ่งใหม่จากเนื้อหาต้นฉบับ: วัตถุประสงค์และลักษณะ ของการใช้ หลักการน้ีใช้เพื่อพิจารณาว่ามีการสร้างสรรค์เนื้อหาข้ึนใหม่จากงานต้นฉบับหรือไม่ หรือ เป็นพียงการลอกเลียนงานต้นฉบับ ตัวอย่างเช่น มีการเพ่ิมความหมายหรือความคิดใหม่ๆ จากงาน ต้นฉบับหรือไม่ หรือมีการเพิ่มคุณค่าใดๆ จากงานต้นฉบับหรือไม่ เช่น มุมมองทางศิลปะใหม่ๆ แนวคิดใหม่ๆ กรณีที่นับว่าเข้าข่ายการใช้อย่างชอบธรรมตามหลักการข้อนี้คือ งานด้านการศึกษาและ งานวิจัย เพราะถือเป็นการสร้างสรรค์ วิพากษ์และพัฒนาจากงานต้นฉบับ อีกกรณีคือ งานล้อเลียน ซึง่ ผู้ลอ้ เลียนปรบั เปล่ยี นและสร้างสรรคจ์ ากงานต้นฉบบั ผา่ นอารมณ์ขำขนั 1.4.2 ธรรมชาติของงานลิขสิทธิ์: ธรรมชาติของงานลิขสิทธิ์ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเร่ือง แต่งนั้นมีความสำคัญต่อการพิจารณาการใช้อย่างเป็นธรรม เน่ืองจากการแพร่กระจายข้อมูลข่าวสาร

15 หรือข้อเท็จจรงิ สร้างประโยชน์สาธารณะ ดังนั้น การนำงานที่เป็นข้อมูลหรอื ข้อเท็จจริงมาใช้ เช่น งาน ชีวประวัติ ย่อมได้รับการคุ้มครองในฐานะการใช้อยา่ งเป็นธรรมมากกว่าเรื่องท่ีแตง่ อยา่ งนวนิยายหรือ บทละคร เป็นตน้ 1.4.3 จำนวนและสัดส่วนของงานต้นฉบับที่นำมาใช้: โดยหลักทั่วไป ย่ิงนำงาน ต้นฉบับมาใช้น้อยเท่าไหร่ ย่ิงมีแนวโน้มท่ีจะถูกมองวา่ เป็นการใช้อย่างเป็นธรรม อย่างไรก็ดี หากส่วน ทน่ี ำมาใช้นน้ั เป็น “แกน่ แกน” ของงานต้นฉบับ อาจจะไมไ่ ด้รับการพิจารณาว่าเป็นการใช้อย่างเป็นธรรม แม้จะใช้งานต้นฉบับเพียงแคบ่ างส่วนกต็ าม 1.4.4 ผลกระทบด้านตลาดที่อาจมีต่อการเผยแพร่งานต้นฉบับ: การใช้งานต้นฉบับ อาจไม่เป็นธรรมหากกระทบต่อการขายผลงานลิขสิทธ์ิในตลาดไม่วา่ ในปัจจุบันหรืออนาคต เช่น กรณี ท่ีมีศิลปินนำผลงานภาพถ่ายติดลิขสิทธ์ิไปใช้สร้างสรรค์งานประติมากรรมแล้วเจ้าของภาพถ่ายฟ้อง ศิลปินคนนั้น แต่ศิลปินอ้างว่างานประติมากรรมของเขาถือเป็นการใช้อย่างเป็นธรรม เพราะช่างภาพ ไม่ได้ใช้มันเพ่ือสร้างงานประติมากรรมอยู่แล้ว ศาลไม่เห็นด้วยและมองว่าแม้ศิลปินจะไม่คิดนำงาน ภาพมาสรา้ งประตมิ ากรรมเพอ่ื ขายในตลาดตอนน้ี แตก่ ็ถือเปน็ ตลาดท่มี ีความเป็นไปได้ในอนาคต 1.5 ครเี อทฟี คอมมอนส์ นอกจากผู้ใช้ทว่ั ไปจะมีสทิ ธิในการใช้ผลงานสรา้ งสรรค์ของผูอ้ ื่น ตามหลกั การใชอ้ ย่างเป็นธรรมแลว้ หากผลงานสรา้ งสรรค์อยภู่ ายใต้สญั ญาอนุญาตครีเอทฟี คอมมอนส์ (creative commons license : CC) ผู้ใช้ทั่วไปสามารถนำผลงานนั้นไปใช้โดยไม่ต้องขออนุญาต เจ้าของผลงาน แต่ต้องใช้ภายในขอบเขตการอนุญาตท่ีเจ้าของผลงานกำหนด เช่น ห้ามนำไปใช้เพื่อ การค้า ห้ามดัดแปลง ครีเอทีฟคอมมอนส์จะช่วยส่งเสริมการเผยแพร่ การใช้ และการต่อยอดผลงาน สร้างสรรค์ของผู้อื่น รวมถึงผลงานสรา้ งสรรค์ของทุกๆ คน (หากทุกคนเลอื กใช้สัญญาอนญุ าตครเี อทีฟ คอมมอนสก์ ับผลงานของตนเอง) ซงึ่ ชว่ ยสรา้ งการเตบิ โตของวฒั นธรรมเสรใี นโลกอินเทอรเ์ น็ต ครีเอทีฟคอมมอนส์ เป็นองค์กรไม่แสวงกำไร สำหรับสัญญาครีเอฟทีฟคอมมอนส์ใน ภาษาไทย จัดทำข้ึนโดยความร่วมมือของสำนักกฎหมายธรรมนิติ สถาบัน ChangeFusion และ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยรองรับตามหลักเกณฑ์ครีเอทีฟ คอมมอนส์ รุ่น 3.0 และและปรับให้เข้ากับกฎหมายลิขสิทธ์ิไทยจึงสามารถใช้บังคับได้ตามกฎหมายไทย ประกาศเปิดตัวเมื่อวันท่ี 2 เมษายน พ.ศ. 2552 เป็นลำดับท่ี 51 ของโลก สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ ช่วยให้เจ้าของลิขสิทธิ์สามารถใช้สิทธิบางส่วนหรือท้ังหมดแก่สาธารณะภายใต้สัญญาอนุญาต หลายหลากรูปแบบ โดยผู้ต้องการนำผลงานไปใช้ไม่ต้องขออนุญาตตราบเท่าท่ีปฏิบัติตามเง่ือนไข สัญญาอนุญาตท่ีเจ้าของลิขสิทธ์ิระบุไว้ วิธีการนี้จะช่วยให้เจ้าของลิขสิทธ์ิสามารถอนุญาตให้ผู้อ่ืนนำ ผลงานของตนไปเผยแพร่หรือใช้ตอ่ ได้โดยท่ียังคงสิทธิต่อผลงานน้นั อยู่ ส่วนผูใ้ ช้กส็ ามารถนำผลงานไป เผยแพร่หรือใช้ภายใต้เงื่อนไขท่ีกำหนด เง่ือนไขในการใช้อนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์มีอยู่ 4 เงอื่ นไข คือ 1.5.1 อ้างอิงแหล่งท่ีมา (attribution หรือตัวย่อ BY) หมายถึง การนำไปใช้จะต้อง อ้างอิงกลับมายังเจ้าของ หรือ การอนุญาตให้ผู้อ่ืนนำเนื้อหาหรือผลงานไปใช้ได้ แต่ต้องอ้างอิงด้วยว่า เอามาจากไหน ใช้สญั ลักษณ์

16 1.5.2 ให้อนญุ าตต่อไปแบบเดียวกัน (share-alike หรือตัวย่อ SA) หมายถึง ยินยอม ให้มีการดดั แปลงงานได้โดยตอ้ งมอบความยนิ ยอมให้ผอู้ นื่ ใชต้ ่อไปดว้ ย ใช้สญั ลักษณ์ 1.5.3 ห้ามนำไปใช้เพื่อการค้า (non-commercial หรือตัวย่อ NC) หมายถึง ห้าม นำไปใช้หากำไร ใช้สัญลักษณ์ 1.5.4 ห้ามดัดแปลง (no derivative หรือตัวย่อ ND) หมายถึง ต้องใช้งานต้นฉบับ โดยไม่มีการดัดแปลงใดๆ ทงั้ ส้ิน ใช้สัญลกั ษณ์ ซึ่งเงื่อนไขทั้งส่ีแบบน้ีสามารถผสมผสานเป็นสัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ 6 แบบ ดงั ตาราง 1 ตาราง 1 ตวั ยอ่ สัญลักษณ์ และความหมายสญั ญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ ตัวย่อ สัญลักษณ์ ความหมาย 1) CC-BY ให้อ้างองิ แหล่งท่ีมาในการนำไปใช้ด้วย 2) CC-BY-NC ให้อา้ งองิ แหลง่ ท่ีมาและหา้ มใชส้ ำหรับการคา้ 3) CC-BY-SA ใหอ้ า้ งอิงแหลง่ ทมี่ า ดดั แปลงเนอ้ื หาได้ 4) CC-BY-ND แตต่ ้องอนญุ าตตามสญั ญาอนุญาตเดมิ ให้อ้างองิ แหลง่ ทม่ี าและห้ามดดั แปลงเน้ือหาเดมิ 5) CC-BY-NC-SA ให้อ้างอิงแหล่งทม่ี า ห้ามใช้เพื่อการคา้ และ 6) CC-BY-NC-ND ต้องอนุญาตตามสญั ญาอนญุ าตเดิม ใหอ้ า้ งอิงแหล่งทมี่ าหา้ มใชเ้ พือ่ การค้าและ ห้ามดดั แปลงเนื้อหาเดิม 1.6 สิทธิในการชุมนุมและการสมาคมออนไลน์ มาตรา 20 ของปฏิญญาสากลว่าด้วย สิทธิมนุษยชนบัญญัติว่า “มนุษย์ทุกคนมีสิทธิในอิสรภาพแห่งการชุมนุมและการสมาคมโดยสันติ บุคคลใดไม่อาจถูกบังคับให้สังกัดสมาคมได้” หลักการดังกล่าวประยุกต์ใช้กับโลกอินเทอร์เน็ตด้วย เช่นกัน ดังนั้นเราทุกคนจึงมีสิทธิในการชุมนุมและสมาคมผ่านอินเทอร์เน็ต ทุกคนมีเสรีภาพท่ีจะ เลือกใช้เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือบริการออนไลน์ใดๆ เพื่อการจัดต้ัง ขับเคล่ือน และมีส่วนร่วมใน การชุมนุมหรือการสมาคม เช่น การใช้อินเทอร์เน็ตเพ่ือจัดต้ังสหภาพแรงงาน โดยการมีส่วนร่วม ดังกล่าวผ่านอินเทอร์เน็ตจะต้องไม่ถูกบล็อกหรือฟิลเตอร์ ทุกคนมีสิทธิในการใช้เครื่องมือดิจิทัลเพ่ือ สร้างการมีส่วนร่วมและตรวจสอบกระบวนการกำหนดนโยบายและกฎหมายทั้งในระดับท้องถ่ิน ระดับประเทศ และระดับโลก เช่น การจัดทำเว็บไซต์เพื่อให้ผู้สนใจติดตามประเด็นการกำกับดูแล

17 อนิ เทอร์เน็ต พูดคุยแลกเปลย่ี น ประชาชนทุกคนมีสิทธิใช้อนิ เทอร์เน็ตเพ่ือขับเคลื่อนและมีส่วนร่วมใน การประท้วงท้ังในโลกออนไลน์และโลกจริง อย่างไรก็ดี สิ่งที่คุณควรตระหนักคือ หากการประท้วง นำไปสู่ความรุนแรง การทำลายทรัพย์สิน หรือทำความเสียหายให้กับระบบอินเทอร์เน็ต ซ่ึงอาจต้อง เผชิญกับปัญหาทางกฎหมายอินเทอร์เน็ตได้กลายเป็นเคร่ืองมือสำคัญสำหรับประชาชนในการมี ส่วนร่วมในสังคมประชาธิปไตย ดังน้ันรัฐจึงควรส่งเสริมให้มีการใช้เคร่ืองมือดิจิทัลในกระบวนการ ประชาธิปไตยมากข้ึน เช่น ส่งเสริมการมีส่วนร่วมอิเล็กทรอนิกส์ (e-Participation) หรือการสร้าง รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) ซง่ึ ใหบ้ ริการงานภาครฐั ผ่านเครอื ขา่ ยออนไลน์มากขนึ้ 1.7 สิทธิในความเป็นส่วนตัวและในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มาตรา 12 ใน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนบัญญัติว่า “บุคคลใดจะถูกแทรกแซงในความเป็นส่วนตัว ครอบครัว ท่ีอยู่อาศัย หรือการสื่อสาร หรือจะถูกลบหลู่เกียรติยศและช่ือเสียงตามอำเภอใจหรือโดย ผิดกฎหมายไม่ได้ ทุกคนมสี ิทธทิ จี่ ะไดร้ บั ความคุ้มครองต่อการแทรกแซงสิทธหิ รอื การลบหลู่ดงั กล่าวน้ัน ในโลกดิจิทัลที่มีการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลไว้มากมาย พลเมืองมีสิทธิเรียกร้องชีวิต สว่ นตัวในอินเทอร์เน็ต รวมถึงความเปน็ ส่วนตัวในการส่ือสารถงึ กนั นอกจากนั้น พลเมืองมีสิทธริ ับร้วู ่า ข้อมลู สว่ นตวั อะไรบ้างท่ีถูกบนั ทึกไว้ จะถูกใชอ้ ยา่ งไร และเราจะจดั การอะไรกับมันไดบ้ ้าง สิทธิในความเป็นสว่ นตวั ครอบคลมุ สทิ ธิต่างๆ ดงั น้ี 1.7.1 การออกกฎหมายความเป็นส่วนตัว รัฐมีพันธะหน้าท่ีในการจัดทำและบังคับ ใช้กฎหมายคุ้มครองความเป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน โดยกฎหมายดังกล่าว จะต้องสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากลและมาตรการการคุ้มครองผู้บริโภค และต้องระบุถึง การป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัวโดยรัฐและบริษัทเอกชนด้วย เจ้าหน้าท่ีรัฐและบริษัทเอกชน มีพันธะที่จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบและกระบวนการในการจัดการกับข้อมูลส่วนบุคคล การเก็บ ใช้ เปิดเผย และรักษาข้อมูลส่วนบุคคล จะต้องทำโดยโปร่งใสและได้มาตรฐาน และการนำข้อมูลส่วน บุคคลไปใช้ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อน พลเมืองทุกคนมีสิทธิรับรู้ว่ามีข้อมูลส่วนตัว อะไรบ้างท่ีถูกนำไปใช้หรือส่งต่อให้กับบุคคลท่ีสามด้วยวัตถุประสงค์อะไร รวมถึงมีสิทธิควบคุมข้อมูล ส่วนตัวของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึง ตรวจสอบความถูกต้อง การกู้คืน การขอให้ลบข้อมูลส่วน บุคคล และมีสทิ ธิไดร้ ับแจ้งเม่อื ขอ้ มลู ของตนถูกส่งต่อใหบ้ ุคคลทสี่ าม ถูกนำไปใชใ้ นทางทผ่ี ิด หาย หรือ ถูกขโมย เม่ือผู้ให้บริการออนไลน์หรือหน่วยงานรัฐมีความจำเป็นต้องขอข้อมูลส่วนบุคคล ควรเก็บ ขอ้ มูลเท่าท่ีจำเป็นจริงๆ และต้องเก็บภายในระยะเวลาท่ีจำเป็นต่อการใช้งานเท่านั้น โดยเมื่อใชข้ ้อมูล เสร็จเรียบร้อยแล้วจะต้องลบข้อมูลนั้นท้ิง การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลควรอยู่ภายใต้การกำกับดูแล ขององค์กรอิสระท่ีสามารถทำงานอย่างโปร่งใสโดยปราศจากอิทธิพลทางการเมืองหรือผลประโยชน์ เชงิ พาณิชย์ 1.7.2 นโยบายและการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว ผู้ให้บริการออนไลน์ต้องประกาศ นโยบายความเปน็ ส่วนตัวทชี่ ดั เจนและให้ผู้ใช้เข้าถงึ ได้ง่าย รวมถึงการตง้ั ค่าความเป็นสว่ นตัวต้องทำได้ ง่าย ครอบคลุมรอบด้าน และคำนึงผลประโยชน์ของผู้ใช้เป็นหลัก เช่น การตั้งคา่ ตั้งต้นให้ปกปอ้ งความ เปน็ ส่วนตัวของผใู้ ช้ให้มากท่ีสุด แลว้ หากผู้ใช้ตอ้ งการเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น ก็ให้เป็นทางเลือกของผู้ใช้เอง (ไม่ใชต่ ง้ั ค่าตง้ั ตน้ ให้เปดิ เผยข้อมลู แล้วคอ่ ยให้ผใู้ ชเ้ ลือกปดิ ได้ในภายหลัง) ผูใ้ ห้บริการออนไลนต์ ้องแจ้ง

18 ให้ผู้ใช้ทราบทกุ ครัง้ หากมีการเปล่ียนแปลงเง่ือนไขการใช้บริการ โดยเฉพาะนโยบายการเก็บขอ้ มูลผู้ใช้ และการต้ังค่าความเป็นสว่ นตวั 1.7.3 มาตรฐานการรักษาความลับและบูรณภาพของระบบ ระบบเทคโนโลยี สารสนเทศต้องมีมาตรฐานการรักษาความลับ (confidentiality) และบูรณภาพของระบบ (integrity หมายถึงการรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันไม่ให้ซอฟต์แวร์อันตรายเข้ามาปรับเปลี่ยนข้อมูลหรือ ไฟลข์ องเราได)้ เพื่อปอ้ งกนั ไมใ่ ห้บุคคลอ่นื เข้าสรู่ ะบบโดยปราศจากความยนิ ยอม 1.7.4 การคุ้มครองตัวตนออนไลน์ ประชาชนทุกคนมีสิทธิที่จะสร้างตัวตนในโลก ออนไลน์และได้รับความเคารพในตัวตนน้ันๆ ซึ่งรวมถึงการเลือกไม่เปิดเผยตัวตนแท้จริง ทว่าสิทธิ ดังกล่าวจะต้องไม่ถูกใช้ในทางท่ีผิดหรือเป็นภัยต่อผู้อื่น นอกจากนั้น ข้อมูลการพิสูจน์ตัวตน เช่น ลายเซ็นดิจิทัล รหัสผ่าน พินโค้ด จะต้องไม่ถูกนำไปใช้หรือเปล่ียนแปลงโดยปราศจากความยินยอม ของเจ้าของ 1.7.5 สิทธิในการไม่เปิดเผยตัวและใช้การเข้ารหัส พลเมืองทุกคนมีสิทธิในการ ส่ือสารแบบนิรนามในโลกออนไลน์ และมีสิทธิในการใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสเพ่ือรักษาความเป็น สว่ นตัว ความปลอดภยั และการสือ่ สารแบบนิรนาม 1.7.6 เสรภี าพจากการสอดแนม พลเมอื งทุกคนมเี สรภี าพที่จะสือ่ สารโดยปราศจาก การสอดแนมตามอำเภอใจในโลกออนไลน์ เช่น การติดตามข้อมูลพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของ เปน็ ตน้ 1.7.7 ความเป็นส่วนตัวในที่ทำงาน ประชาชนมีสิทธิในความเป็นส่วนตัวในที่ ทำงาน เช่น การส่งอีเมลส่วนตัวในบริษัท ผู้จ้างมีหน้าท่ีแจ้งให้ทราบถึงการตรวจสอบและติดตาม ข้อมูลการสื่อสารในท่ีทำงาน หากไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ให้ถือว่าพนักงานมีความเป็นส่วนตัวในการใช้ อนิ เทอรเ์ นต็ ในทที่ ำงาน 2. ความรับผดิ ชอบของพลเมืองดจิ ทิ ัล สิทธิต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบซ่ึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างสังคม ออนไลน์ท่ีดี ส่ิงท่ีเราไม่ต้องการเห็นในโลกจริงก็มักเป็นส่ิงที่เราไม่ต้องการในโลกไซเบอร์ด้วยเช่นกัน เช่น การพูดจาด้วยคำพูดรุนแรง การละเมิดสิทธิในผลงานผู้อ่ืน การขโมยตัวตนของผู้อ่ืน เราในฐานะ พลเมืองมีความรับผิดชอบต่อสังคมท่ีจะต้องหลีกเลี่ยงการกระทำดังกล่าว รวมถึงสนับสนุนให้ผู้อื่นมี หนา้ ที่ความรบั ผดิ ชอบเช่นเดียวกัน 2.1 ความรับผดิ ชอบในการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างมีมารยาท อินเทอร์เน็ต ช่วยให้เราสามารถติดต่อส่ือสารและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืนได้อย่างสะดวกง่ายดาย เช่น ต้ังกลุ่มไลน์ สมาชิกคอนโดหรือหมู่บ้านไว้แลกเปล่ียนข่าวสาร ใช้จีเมลในการส่งอีเมลระหว่างกัน หรือมีส่วนร่วม แลกเปล่ียนความเห็นเร่ืองบ้านเมืองในเว็บบอร์ดพันทิป อย่างไรก็ดี การสื่อสารที่เกิดข้ึนอย่างรวดเร็ว และบางคร้ังกโ็ ดย นิรนาม อาจทำใหเ้ กดิ การสอื่ สารท่ีไร้มารยาทไดง้ ่าย พลเมอื งดจิ ิทลั ควรตระหนักถึง มารยาทในการใช้อินเทอร์เน็ต (netiquette) ส่ือสารกับผู้อ่ืนอย่างสุภาพ คิดถึงผลกระทบท่ีจะเกิดกับ ผอู้ น่ื และเปน็ แบบอย่างท่ดี ใี นโลกออนไลน์ ดังนี้

19 2.1.1 อยา่ กระพอื ความขดั แยง้ หลีกเลี่ยงการใช้ภาษารุนแรงและก้าวรา้ ว 2.1.2 หลีกเลี่ยงการประชดประชัน เราต้องเข้าใจว่าการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ตนั้น ไม่เห็นภาษากายและสีหน้าซึ่งช่วยในการสื่อสาร ดังน้ันการแสดงความเห็นเชิงประชดประชันอาจทำ ใหเ้ กิดความเข้าใจผดิ ได้ง่าย 2.1.3 อย่าโกหก ซ่ือสัตย์ต่อผู้อื่นและไม่เสแสร้งปลอมตัวเป็นคนอ่ืน เว้นแต่กรณีที่ จำเปน็ ต้องปกปิดอัตลักษณ์ 2.1.4 ใช้อินเทอร์เน็ตโดยคำนึงถึงผลกระทบท่ีมีต่อผู้อ่ืน เช่น ไม่แชร์ข้อมูลส่วนตัว ของเพอื่ นในหน้าเฟสบุ๊ค ไม่สง่ ตอ่ อเี มลสว่ นตวั ใหค้ นอ่นื โดยไม่ได้รับอนญุ าต 2.1.5 อย่าโพสต์หรือแชร์ข้อมูลส่วนบุคคลทั้งของตนเองและผู้อ่ืนที่อาจนำภัย อนั ตรายมาได้ โดยเฉพาะกับคนไม่ร้จู ักและเวบ็ ไซต์ท่ีดูน่าสงสัยและไม่รองรับการเข้ารหัส เช่น ไม่แชร์ แผนการท่องเทยี่ วท่ีอาจทำให้ผู้ไมป่ ระสงคด์ ีรู้ว่าเราจะไม่อยูบ่ า้ นเวลาไหน 2.1.6 ใช้อินเทอร์เน็ตให้เหมาะสมกับสถานการณ์และบริบท เช่น ไม่ส่งข้อความหรือ เล่นโทรศัพท์มือถือระหว่างที่สนทนากับผู้อื่นหรือขณะร่วมโต๊ะอาหาร หรือเรียนรู้กฎของชุมชน ออนไลน์ท่ีเราสนใจก่อนเขา้ ร่วม 2.1.7 อย่าโพสต์ความรู้สึกส่วนตัวเกี่ยวกับงานหรือความสัมพันธ์ หากต้องการ ส่ือสารในเร่ืองท่ีมีอารมณ์ความรู้สึกเข้ามาเก่ียวข้องมากๆ พยายามส่ือสารกับคนที่เก่ียวข้องโดยตรง ด้วยช่องทางทม่ี คี วามเป็นสว่ นตัว 2.1.8 อย่าแชร์ข้อมูลหรือข่าวสารโดยไม่ได้ตรวจสอบให้ดีก่อน โดยเฉพาะในกรณีท่ี อาจทำให้บคุ คลหรือองค์กรใดเสื่อมเสียชอ่ื เสียง 2.2 ความรับผิดชอบในการใช้และอ้างอิงผลงานของผู้อื่น อินเทอร์เน็ตกลายเป็น แหลง่ ขอ้ มลู สำคญั ในการเรียนรู้ แต่การที่อินเทอร์เน็ตช่วยให้เราเข้าถึง แชร์ รวมถึงคัดลอกผลงานของ ผู้อื่นได้ง่าย ไม่ได้แปลว่าเรามีสิทธิใช้ผลงานของผู้อื่นโดยไม่ต้องขออนุญาต ก่อนจะใช้ผลงานของผู้อื่น ถือเป็นความรับผิดชอบท่ีจะต้องตรวจสอบว่า ผลงานชิน้ นั้นยังติดลิขสิทธห์ิ รือได้ตกเปน็ ของสาธารณะ (public domain) เนื่องจากความคุ้มครองลิขสิทธ์ิได้หมดลงแล้ว เป็นผลงานของรัฐบาลท่ีใช้เงิน สาธารณะสร้างขึน้ มาหรือผู้สร้างสรรค์เลอื กที่จะมอบผลงานให้เป็นของสาธารณะ ในกรณีท่ีตดิ ลิขสทิ ธิ์ เราต้องตรวจสอบว่าการใช้งานนั้นถือเป็นการใชอ้ ยา่ งเป็นธรรมหรือไม่ ถ้าไม่ ก็ถือเป็นหน้าท่ีของเราใน การขออนุญาต ตัวอย่างกรณีท่ีถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์ เช่น การนำผลงานท้ังหมดของผู้อ่ืน ไม่ว่าจะเป็น หนังสือ บทความ ภาพ วิดีโอ เพลง กราฟิก โพสต์ความเห็น หรือผลงานสร้างสรรค์ของผู้อ่ืนไป เผยแพร่ในเว็บไซต์ อีเมล หรือโซเชียลมีเดีย โดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากการละเมิดลิขสิทธ์ิซ่ึงเป็น ปัญหาด้านกฎหมาย การขโมยผลงานของผู้อื่น (plagiarism) ก็ถือเป็นปัญหาเชิงจริยธรรมในแวดวง วิชาการ นักเรียน นักศึกษา นักวิจัยต้องมีความรับผิดชอบในการอ้างอิงผลงานของผู้อ่ืน ไม่ว่า แหล่งท่ีมาจะมาจากในออนไลน์หรอื ออฟไลน์ก็ตาม เช่น ไม่นำคำพูด แนวคิด ข้อค้นพบในผลงานของ ผู้อน่ื มาใช้โดยไม่อา้ งอิงให้เหมาะสม ซึ่งโครงการคอมมอนเซนส์เอดูเคชนั่ สรุป 5 ขั้นตอนในการใช้และ อ้างอิงผลงานสร้างสรรค์อย่างรับผิดชอบ คือ 1) ตรวจสอบว่าใครเป็นเจ้าของผลงาน 2) ขออนุญาต ก่อนใช้ 3) ให้เครดิตกับเจ้าของผลงาน 4) ซื้อสิทธิการใช้ (ถ้าจำเป็น) และ 5) ใช้อย่างมีความ รับผิดชอบ

20 2.3 ความรับผิดชอบในการปฏิบัติตามกฎหมาย พลเมืองดิจิทัลที่ดีควรศึกษาว่ามี กฎหมายและข้อบังคับอะไรบ้างท่ีกำกับการใช้อินเทอร์เน็ตของเรา เช่น กฎหมายลิขสิทธิ์ กฎหมาย กำกับดูแลเนื้อหาออนไลน์ กฎหมายว่าด้วยความผิดเก่ียวกับอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ รวมถึง ตระหนักถงึ ผลกระทบจากการละเมิดกฎหมายด้วย ข้อควรระวงั ดา้ นกฎหมายมดี ังน้ี 2.3.1 ไม่ขโมยอัตลักษณ์ออนไลน์ 2.3.2 ไมล่ ะเมดิ ทรพั ยส์ ินทางปญั ญาของผ้อู ื่น 2.3.3 ไม่ดาวน์โหลดเพลง ภาพยนตร์ หรือผลงานสร้างสรรค์ของผู้อื่นผ่านช่องทางที่ ผิดกฎหมาย รวมถงึ ไมเ่ ผยแพรง่ านท่ีตดิ ลิขสิทธิ์ไปตามช่องทางทผี่ ดิ กฎหมาย 2.3.4 อย่าสร้างหรือเผยแพร่มัลแวร์ ซอฟต์แวร์ เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันที่ขโมย ข้อมลู สำคญั ของผ้อู ่ืนหรือทำลายระบบ 2.3.5 ไม่โพสต์หรือแชร์เนื้อหาท่ีสุ่มเส่ียงผิดกฎหมาย เช่น ส่ือลามกอนาจารเด็ก ประทุษวาจา ข้อความหมน่ิ ประมาท 2.3.6 ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น เช่น การดักจับอีเมลของผู้อื่น หรือแอบ ขโมยรหัสผา่ นเพอ่ื เข้าไปดูบญั ชเี ฟสบุ๊กของผอู้ ื่นโดยไม่ได้รบั อนุญาต 2.4 ความรับผิดชอบในการรักษาความปลอดภัยออนไลน์ อินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วย ความเส่ียง เช่น อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ภัยคุกคามไซเบอร์ การขโมย อัตลักษณ์ออนไลน์ พลเมือง ดจิ ทิ ลั จำเปน็ ต้องเรียนรวู้ ิธปี ้องกนั ตัวเองจากความเส่ียงออนไลน์ เชน่ 2.4.1 ตดิ ต้ังโปรแกรมป้องกนั ไวรัสและอปั เดตใหเ้ ป็นเวอร์ชันใหม่อย่างสมำ่ เสมอ 2.4.2 ตรวจสอบเวลาเปิดไฟล์แนบทางอีเมล และระมัดระวังก่อนจะกดคลิกลิงก์ เชอื่ มไปยงั สว่ นอ่ืนๆ 2.4.3 เปิดใช้การพิสูจนต์ ัวตนสองระดับ 2.4.4 ติดต้ังใช้งานแอปพลิเคชันสำหรับติดตามและล็อกโทรศัพท์มือถือระยะไกลใน กรณีทอี่ ปุ กรณ์สญู หาย 2.5 ความรับผิดชอบต่อสุขภาพของตนเอง วิถีชีวิตท่ีมีอินเทอร์เน็ตเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น อาจบ่ันทอนสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของเรา เราต้องตระหนักถึงผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ จากการใช้อินเทอร์เน็ตและเคร่ืองมือส่ือสารในยุคดิจิทัล และหาทางคุ้มครองตัวเองและผู้อ่ืนจาก อันตรายเหล่าน้ัน เช่น โรคกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ ภาวะตาล้า การนั่งผิดท่า การเสพติด อนิ เทอร์เนต็ 2.6 ความรับผิดชอบในการใช้พาณิชยอ์ ิเล็กทรอนิกส์ ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ทุกคนต้อง ตระหนักถึงความเส่ียงจากการซอ้ื ขายสินค้าและบรกิ ารออนไลน์ การทำธุรกรรมออนไลน์เป็นเร่ืองง่าย และสะดวกจนบ่อยครั้งเราไม่ได้ใคร่ครวญให้ดีก่อนทำ ดังน้ันก่อนตัดสินใจทำธุรกรรมออนไลน์ต้องหา ขอ้ มลู ให้ดีและมนั่ ใจว่าปลอดภยั รวมถึงมัน่ ใจวา่ จะไมก่ อ่ ให้เกิดหน้ีก้อนโตในอนาคต

21 3. ลกั ษณะทดี่ ีของพลเมืองดจิ ิทลั พลเมอื งดิจิทลั ท่ีมลี กั ษณะท่ีดี (Good Digital Citizens) มอี งคป์ ระกอบหลายประการ สรุปไดด้ งั นี้ (Mike Ribble, 2015, pp. 14-15) 3.1 การตระหนักถึงความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีของผู้อ่ืน ผู้ใช้เทคโนโลยี สารสนเทศทุกคนควรตระหนักว่าบุคคลมีโอกาสในการเข้าถึงและมีศักยภาพใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศท่ี แตกต่างกัน พลเมืองดิจิทัลที่ดีจึงไม่ควรเลือกปฏิบัติและดูหมิ่นบุคคลผู้ขาดทักษะการใช้เทคโนโลยี หากแต่จะต้องช่วยกันแสวงหามาตรการต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงเทคโนโลยี อนั จะทำใหส้ ังคมและประเทศนั้นๆ กา้ วเข้าสยู่ ุคดจิ ิทลั ได้อย่างภาคภมู ิ 3.2 การเป็นผู้ประกอบการและผู้บริโภคท่ีมีจริยธรรม เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า เทคโนโลยีสารสนเทศเปลี่ยนแปลงระบบตลาดด้ังเดิม (Traditional Marketplace) ไปสู่ตลาดใน ระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Marketplace) และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายดังจะเห็นได้ จากความหลากหลายของประเภทสินค้าทสี่ ามารถซ้ือหาไดใ้ นระบบออนไลน์ ตลอดจนบริการประเภท ต่างๆ ที่ผู้บริโภคสามารถทำธุรกรรมได้อย่างสะดวก พลเมืองดิจิทัลจะต้องมีความซื่อสัตย์และมี ศีลธรรมในการทำนิติกรรมและธุรกรรมทุกประเภทบนโลกออนไลน์ เช่น ไม่ซื้อขายและทำธุรกรรมที่ ผิดกฎหมาย เช่น การดาวน์โหลดสิ่งที่ขัดต่อกฎหมาย ตลอดจนการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี สารสนเทศ หรือโซเซยี ลมเี ดียเพือ่ หลอกลวงผอู้ ื่นให้ซื้อสินค้าและบริการที่ไม่มีคณุ ภาพ เปน็ ต้น 3.3 การเป็นผู้ส่งสารและรับสารท่ีมีมารยาท รูปแบบการส่ือสารได้มีการพัฒนาและ เปล่ียนแปลงไปอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ 21 ดังจะเห็นได้จากรูปแบบการส่ือสารผ่านอินเทอร์เน็ตที่ สะดวกรวดเร็ว และมีความเช่ือมโยงกันท่ัวโลก เช่น อีเมลและโซเซียลมีเดียหลากหลายประเภท ปัจจุบนั มีผใู้ ช้ข้อได้เปรียบของชอ่ งทางการสื่อสารดงั กล่าวอย่างไมเ่ หมาะสม เช่น การส่งสารที่มเี จตนา หมิ่นประมาทผอู้ ื่น และการส่งสารท่ีมีเจตนาให้สังคมเกิดความแตกแยก ท้งั ทีก่ ระทำไปโดยเจตนาหรือ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดังนั้น พลเมืองดิจิทัลท่ีดีจะต้องมีมารยาทและความรับผิดชอบต่อการกระทำของ ตนเองในโลกออนไลน์ 3.4 การเคารพต่อกฎหมายและระเบียบ ปัจจุบันการทำธุรกรรมและนิติธรรมทาง อเิ ล็กทรอนิกส์อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายและระเบียบว่าด้วยการทำธุรกรรมทางอเิ ล็กทรอนิกส์ซึ่งมี วัตถุประสงค์หลักในการป้องกันและปราบปรามการละเมิดผู้อื่นในรูปแบบต่างๆ ที่มีลักษณะเป็น อาชญากรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การลักขโมยและการจารกรรมข้อมูลประเภทต่างๆ เช่น ข้อมูล ทางธุรกิจและข้อมูลส่วนบุคคล ตลอดจนมาตรการคุ้มครองเก่ียวกับทรัพย์สินทางปัญญาในรูปแบบ ต่างๆ ดังนั้น พลเมืองดิจิทัลที่ดีจะต้องตระหนักและรับทราบถึงกฎหมายและกฎระเบียบดังกล่าว ตลอดจนมีความยับย้งั ชั่งใจต่อการกระทำของตนท่ีอาจเปน็ การละเมดิ สิทธขิ องบุคคลอ่ืน 3.5 การใช้เทคโนโลยีให้มีความเหมาะสมและไม่ส่งผลต่อสุขภาพ การใช้เทคโนโลยี สารสนเทศท่ีขาดความเหมาะสมอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม เช่น ความเครียดต่อสุขภาพกาย และสุขภาพจิตตลอดจนการก่อให้เกิดการสุญเสียสัมพันธภาพในสังคมได้ พลเมืองดิจิทัลจะต้อง ควบคุมการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้มีความเหมาะสมเพื่อป้องกันมิให้เกิดอาการเสพติดต่อสิ่ง ดังกล่าวตนเกิดผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมได้ นอกจากน้ี การลดปริมาณการสื่อสารแบบออนไลน์มา

22 เป็นรูปแบบการส่ือสารแบบด้ังเดิมในบางโอกาสจะก่อให้เกิดผลดีต่อสัมพันธภาพของบุคคลใกล้ชิด อกี ด้วย 3.6 เรียนรู้วิธีการเสริมสร้างความปลอดภัยในการใช้เทคโนโลยี พลเมืองดิจิทัล น อ ก จ า ก จ ะ ต้ อ งเป็ น ผู้ มี ทั กษ ะ ใน ก าร ใช้ เท ค โน โล ยี อ ย่ างมี ป ร ะ สิ ท ธิ ภ าพ แ ล้ ว จ ะ ต้ อ ง ใฝ่ รู้ แ ล ะ ให้ ความสำคัญกับมาตรการเพือ่ ความปลอดภัยและการคุ้มครองขอ้ มูลส่วนบคุ คลดว้ ย (Digital Security) เนื่องจากในยุคดจิ ิทัลน้ันผู้มีเจตนากระทำผิดและหลอกลวงสามารถใช้เทคโนโลยที ี่มีความทันสมัยเพ่ือ หลอกลวงผู้อ่ืนได้ง่าย การจารกรรมและการทำลายข้อมูลให้กับอุปกรณ์การส่ือสารทุกประเภท ตลอดจนรู้เท่าทันต่อรูปแบบและกลอุบายของอาชญากรอิเล็กทรอนิกส์ท่ีมักมีการพัฒนารูปแบบของ การกระทำผดิ อยเู่ สมอ สรุป การเรียนรู้และเข้าใจถึงสิทธิและความรับผิดชอบในยุคดิจิทัลมีความสำคัญต่อการเป็น พลเมืองที่ดีและการสร้างสังคมที่ดีในเวลาเดียวกัน พลเมืองดิจิทัลที่เข้มแข็งคือพลเมืองที่เข้าใจสิทธิ ดจิ ิทัลข้นั พ้ืนฐาน ปกป้องสิทธิให้กับตนเองและพลเมืองคนอ่ืน รวมถึงเรียกรอ้ งให้รัฐสร้างเงื่อนไข เช่น การออกกฎหมาย การกำหนดนโยบาย ที่ช่วยการันตีสิทธิเหล่าน้ัน นอกจากน้ัน พลเมืองดิจิทัลท่ีดียัง ต้องเข้าใจบทบาทหน้าท่ีของตน รับผิดชอบต่อตนเองและสังคม รวมถึงมีจริยธรรมและเคารพ กฎหมาย เพอื่ ร่วมสรา้ งสรรค์สงั คมออนไลน์และออฟไลนท์ ี่ดีรว่ มกนั สรปุ พลเมือง (citizen) หมายถึง บุคคลที่แสดงความรับผิดชอบตามสิทธิและหน้าท่ีของตนเอง มี จิตสำนึกรักถ่ินฐานกำเนิดของตน ซ่ือสัตย์ต่อตนเองและผู้อ่ืน รวมถึงเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพ่ือ ประโยชน์ส่วนรวมของสังคม และประเทศชาติ ส่วนพลเมืองดิจิทัล (digital citizenship) หมายถึง คนที่มีทักษะในการใช้อินเทอร์เน็ตเพ่ือสื่อสารกับผู้อ่ืน ซ้ือและขายส่ิงของและมีส่วนร่วมในการเมือง และผู้ท่ีเข้าใจวิธีการทำเช่นนี้อย่างปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ พลเมืองดิจิทัลเป็นบุคคลท่ีใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อมีส่วนร่วมในสังคมการเมือง พลเมืองดิจิทัลเป็นผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอย่าง สม่ำเสมอและมีประสิทธิภาพ และใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม ความเป็นพลเมืองดิจิทัล หมายถึง แนวคิดและแนวปฏิบัติท่ีสำคัญซึ่งจะช่วยให้พลเมืองเรยี นรู้ว่าจะใช้ประโยชนจ์ ากเทคโนโลยีดิจทิ ัลและ ปกป้องตนเองจากความเส่ียงต่างๆ อย่างไร รวมทั้งรู้จักเคารพสิทธิของตนเอง และมีความรับผิดชอบ ต่อสังคมในโลกสมัยใหม่ ไปจนถึงเข้าใจผลกระทบของเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีต่อสังคม และใช้มันเพ่ือ สร้างการเปล่ียนแปลงทางสังคมในเชิงบวก ซ่ึงแนวคิดความเป็นพลเมืองดิจิทัลพูดถึงความสามารถใน การใช้อินเทอร์เน็ตเพ่ือมีส่วนร่วมในสังคมเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ มีความรับผิดชอบ และ ปลอดภัย การปฏิวัติเทคโนโลยีการส่ือสารได้เปิดโอกาสและหยิบยื่นความท้าทายใหม่ๆ ให้กับพลเมือง ดิจิทัล สามารถเข้าถึงข้อมูลโดยไร้ข้อจำกัดเชิงภูมิศาสตร์ เข้าร่วมชุมชนท่ีมีความสนใจร่วมกัน สร้างสรรค์แนวคิดใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหา และทำให้เสียงของพลเมืองดังข้ึนในสังคม แต่ต้องเผชิญ กับความเส่ียงใหม่ๆ เช่น การสอดแนมความเป็นส่วนตัว อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ดังน้ันในฐานะ พลเมืองดิจิทัลจึงต้องตระหนักถึงโอกาสและความเสี่ยงในโลกดิจิทัล พฒั นาทักษะและความรู้ที่จำเป็น ในโลกใหม่ และเข้าใจถึงสิทธิและความรับผิดชอบในโลกออนไลน์ การจะเป็นพลเมืองดิจิทัลท่ีดีน้ัน จะต้องมีชุดทักษะและความรู้ท้ังในเชิงเทคโนโลยีและการคิดขั้นสูง หรือท่ีเรียกว่า “ความรู้ดิจิทัล”

23 (digital literacy) เพือ่ ใช้ประโยชนจ์ ากข้อมูลขา่ วสารในโลกไซเบอร์ รจู้ ักปอ้ งกนั ตนเองจากความเส่ียง ต่างๆ ในโลกออนไลน์ เข้าใจถึงสิทธิ ความรับผิดชอบ และจริยธรรม ท่ีสำคัญในยุคดิจิทัล และใช้ ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตในการมีส่วนร่วมทาง การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมวัฒนธรรม ท้ังเพื่อ ตนเอง ชุมชน ประเทศและโลก การเป็นพลเมืองที่ดีในศตวรรษใหม่เรียกรอ้ งทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ซึ่งรวมถึงทักษะและความรู้ดิจิทัล เพ่ือให้พลเมืองประสบความสำเร็จ ในการทำงาน การใช้ชีวิต และ การมีส่วนร่วมในสังคมการเมือง ทักษะและความรู้ที่จำเป็นต่อการเป็นพลเมืองและการทำงานใน ศตวรรษท่ี 21 น้ันจะแตกต่างจากศตวรรษท่ี 20 บางทักษะแม้จะมีลักษณะถาวร (perennial skills) มีความสำคัญมาตลอดทุกยุคทุกสมัย ไม่ใช่เฉพาะแต่ในศตวรรษท่ี 21 เช่น ทักษะ 4C ได้แก่ การคิด เชิงสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การส่ือสาร และ การทำงานเป็นทีม การเป็นพลเมืองใน ยุคดิจิทัลน้ันมีทักษะท่ีสำคัญ 8 ประการ ได้แก่ 1) ทักษะในการรักษาอัตลักษณ์ที่ดีของตนเอง 2) ทกั ษะการคิดวเิ คราะห์มีวจิ ารณญาณที่ดี 3) ทักษะการรักษาความปลอดภัยของตนเองในโลกไซเบอร์ 4) ทักษะในการรักษาข้อมูลส่วนตัว 5) ทักษะในการจัดสรรเวลาหน้าจอ 6) ทักษะในการบริหาร จัดการข้อมูลที่ผู้ใช้งานท้ิงไว้บนโลกออนไลน์ 7) ทักษะในการรับมือกับการกลั่นแกล้งบนโลกไซเบอร์ และ 8) ทกั ษะการใชเ้ ทคโนโลยอี ยา่ งมีจรยิ ธรรม คำถามท้ายบท จงตอบคำถามต่อไปน้ี 1. จงอธิบายความหมายของคำว่า พลเมอื งดิจทิ ัล และความเป็นพลเมืองดิจิทลั 2. ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 คอื อะไร และทำไมเยาวชนจงึ ต้องพฒั นาตนเองให้เป็นผู้มี ทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 3. ท่านคิดวา่ ทักษะพน้ื ฐาน ทักษะสมรรถนะ และ ทักษะที่ใชใ้ นการจัดการตัวเองกบั สภาพ สังคม ทักษะใดสำคัญกบั ท่านมากท่ีสุด เพราะเหตุใด 4. องคป์ ระกอบสำคัญของทักษะและความรดู้ ิจิทลั มีอะไรบ้าง จงอธิบายแต่ละองค์ประกอบ อยา่ งละเอยี ด 5. จงอธิบายเคล็ดลับในการตรวจสอบความน่าเช่ือถอื ของแหลง่ ข้อมลู พอสงั เขป 6. ทกั ษะทีส่ ำคัญของพลเมอื งดิจิทลั มอี ะไรบา้ ง จงอธิบายแตล่ ะทกั ษะพอสงั เขป 7. สิทธขิ องพลเมอื งดิจิทลั มีอะไรบา้ ง จงอธิบายสทิ ธแิ ตล่ ะอยา่ งพอสังเขป 8. ความรับผิดชอบของพลเมอื งดจิ ิทัลมีอะไรบา้ ง ท่านจะปฏบิ ัตติ นอย่างไรเกย่ี วกับ ความรบั ผิดชอบในฐานะพลเมืองดจิ ิทัล 9. ลกั ษณะทีด่ ีของพลเมืองดจิ ิทัลมอี ะไรบา้ ง ท่านจะปฏิบตั ติ นอยา่ งไรเพ่ือใหเ้ ป็นผู้ที่มี ลักษณะที่ดใี นฐานะพลเมืองดิจิทลั

24 ตอนที่ 2 การรู้เท่าทันสือ่ ดิจิทัลและความฉลาดทางดิจทิ ัล เยาวชนในยุคพลเมืองดิจิทัล (digital citizenship หรือ digital native) จะเติบโตมาพร้อม กับอปุ กรณ์ดิจิทัลและอินเทอรเ์ น็ตท่ีมลี ักษณะการส่ือสารทร่ี วดเร็ว อิสระ ไร้พรมแดน และไมเ่ ห็นหน้า ของอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้การรับรู้และการใช้ชีวิตของพลเมืองดิจิทัลมีลักษณะท่ีผูกติดไปกับเครือข่าย อินเทอร์เน็ต ส่ือออนไลน์ หรือสื่อดิจิทัลเกือบตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ การติวออนไลน์ การซื้อสินค้าออนไลน์ การทำธุรกรรมทางการเงินแบบไร้เงินสด รวมถึงการดูหนัง ฟังเพลง และความบันเทิงต่างๆ เป็นต้น สือ่ ดิจิทัลทรงอิทธิพลต่อเยาวชน ประชาชน หรือผู้คนทุกเพศ ทกุ วัย ทุกชนช้นั อย่างมาก อย่างไรก็ตามถงึ แมส้ ื่อดิจทิ ัลจะเพิ่มความสะดวกสบายแกผ่ ู้ใช้งาน แต่ก็แฝง ไปด้วยอันตรายจากมจิ ฉาชีพออนไลน์ แฮกเกอร์ทั้งหลาย อนั ตรายจากการคุกคามทางไซเบอร์ รวมถึง การกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ด้วย ดังนั้นทุกคนท่ีใช้สื่อดิจิทัลจะต้องรู้เท่าทันส่ือ มีความเข้าใจดิจิทัล มีความรู้เร่ืองความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัวในยุคดิจิทัล มีทักษะการสื่อสารและการจัดการ สารสนเทศสำหรับยุคดิจิทัล และมีทักษะความฉลาดทางดิจิทัล เพ่ือท่ีจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมออนไลน์ และในชีวิตจริงโดยไม่ทำให้ตนเองและผู้อ่ืนเดือดร้อน ซึ่งผู้ที่มีความฉลาดทางดิจิทัลย่อมแสดงถึง ความสามารถทางสังคม อารมณ์ การรับรู้ ความรู้ ทกั ษะ ทศั นคติ และค่านิยมของบุคคลนน้ั เร่อื งท่ี 2.1 การรเู้ ท่าทันสอ่ื ดจิ ิทลั 1. ความหมายของการรเู้ ทา่ ทันส่อื พรทิพย์ เย็นจะบก (2552, หน้า 15) ให้ความหมายการรู้เท่าทันสื่อว่า หมายถึง ความรู้ และความเข้าใจวธิ ีการทำงานของสื่อ วธิ ีทส่ี ื่อสร้างความหมาย วิธใี ช้สื่อ และวิธีประเมินขอ้ มูลขา่ วสาร ที่สื่อนำเสนอ นอกจากน้ี ยังมีความหมายโดยนัยถึงความรู้และความเข้าใจในคุณค่าของบุคคลและ ทางสังคม หน้าท่ีรบั ผิดชอบท่ีเกี่ยวข้องกับการใชเ้ ทคโนโลยีและสารสนเทศอย่างมีจริยธรรม ตลอดจน การมีสว่ นร่วมในบทสนทนาเกีย่ วกบั ประชาธิปไตยและวัฒนธรรม บุบผา เมฆศรีทองคำ (2554, หน้า 118) กล่าวว่า การรู้เท่าทันสื่อ หมายถึง ความสามารถ ของแต่ละบุคคลในการเขา้ ถึง เข้าใจ ตีความ ประเมนิ และสร้างเนอื้ หาส่ือในรปู แบบที่หลากหลายด้วย ความตระหนักถึงผลกระทบของสื่อโดยใช้ไม่ถูกครอบงำจากส่ือ และสามารถเสริมสร้างพลังอำนาจ ของตนเพื่อให้สามารถใช้ส่ือเป็นประโยชน์ตอ่ การเรียนรูแ้ ละการดำรงชีวิตของท้ังต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชนและสังคม อุษา บิ้กกิ้นส์ (2555, หน้า 150) กล่าวว่า การรู้เท่าทันสื่อ (media literacy) หมายถึง ความสามารถในการเข้าถึง วิเคราะห์ ประเมิน และสร้างสรรค์สื่อในหลายๆ รูปแบบ อย่างไรก็ตาม เม่ือใช้กันต่อๆ มา คำจำกัดความเร่ิมมีการเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย จนกระท่ังในปัจจุบัน คำว่า “การรู้เท่าทนั สื่อ” ถอื ว่าเปน็ สิ่งสำคญั ในการให้การศกึ ษาแก่นักเรียน นักศึกษา ในยุคศตวรรษท่ี 21

25 “การรู้เท่าทันสื่อ” คือการสร้างความเข้าใจเก่ียวกับบทบาทของส่ือในสังคม รวมทั้งทักษะท่ีสำคัญใน การสอบถามหาข้อมูลและแสดงออกซงึ่ ความคดิ เห็นของประชาชนท่ีเปน็ ไปตามระบอบประชาธิปไตย น้ำทิพย์ องอาจวาณิชย์ (2556, อ้างถึงใน ปวีณา มะแซ, 2561, หน้า 17) ได้กล่าวว่า “การรูเ้ ท่าทันส่ือ คือ พฤตกิ รรมทแี่ สดงถึงความสามารถในการวิเคราะห์ ตคี วาม ประเมินสื่อ และส่ิงที่ ไดร้ บั จากส่ือโดยไม่ตกอยู่ภายใต้อทิ ธิพลของส่ือและรูจ้ ักเลือกรบั และใช้ส่ือไดอ้ ย่างมีวิจารณญาณ” สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกจิ การโทรคมนาคม (กสทช.) สำนักคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ (บส.) (2556, อ้างถึงใน ปวีณา มะแซ, 2561, หน้า 17) ได้ให้ความหมายของการรู้เท่าทันส่ือว่า “รู้เท่าทันส่ือ” คือ ทักษะ หรือ ความสามารถในการ “ใช้สื่ออย่างรู้ตัว” และ “ใช้ส่ืออย่างตื่นตัว” คำว่า “การใช้ส่ืออย่างรู้ตัว” สามารถอธิบายหรือขยายความได้ว่า สามารถตีความ วเิ คราะห์ แยกแยะเนื้อหาสาระของส่ือ สามารถ โต้ตอบกับมันไดอ้ ย่างมีสติและรู้ตัวสามารถตั้งคำถามว่าส่อื สร้างข้ึนได้อย่างไร เช่น ใครเป็นเจ้าของส่ือ ใครผลิต และผลิตภายใต้ข้อจำกัดใด ควรเชื่อหรือไม่ หรือมีค่านิยมความเช่ืออะไรที่แฝงมากับส่ือนั้น พวกท่ีผลติ ส่ือหวังผลอะไรจากเรา คำว่า “การใช้สื่ออย่างตนื่ ตัว” สามารถอธบิ ายหรือขยายความได้ว่า แทนท่ีเราจะเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเดียว เราก็จะต้องเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายรุกบ้าง โดยการแสวงหาข้อมูล เพิ่มเติม เข้าถึงข้อมูลข่าวสาร เข้าถึงส่ือท่ีหลากหลายและมีคุรภาพสามารถใช้สื่อให้เกิดประโยชน์มี ส่วนร่วมที่พัฒนาสื่อตา่ งๆ ให้ดีขึ้น เชน่ ท้วงติงหรอื ร้องเรียนเมื่อพบส่ือทไี่ ม่เหมาะสม เรียกรอ้ งสิทธิใน ฐานะผบู้ ริโภคสื่อ เป็นต้น Hobbs and Moore (2013, อ้างถึงใน พีระ จิรโสภณ และคณะ, 2559, หน้า 10) ให้ ความเห็นวา่ ความรู้เท่าทันส่ือ (media literacy) และความรู้เท่าทนั สื่อดจิ ิทลั (digital literacy) เป็น เร่ืองที่มีความทับซ้อนกัน และกำหนดความหมายท้ังการรู้เท่าทันสื่อและการรู้เท่าทันส่ือดิจิทัลว่า หมายรวมถึง ความสามารถในเข้าถึงส่ือ (access) ความสามารถในการวิเคราะห์ส่ือ (analyze) ความสามารถในการแต่งหรือสร้างสื่อ (compose) ความสามารถในการสะท้อนความคิดเห็นท่ีมีสื่อ (reflect) และความสามารถในการปฏิบัติ/แสดงพฤติกรรมท่ีเกี่ยวขอ้ งกับสื่อ (take action) ซ่งึ ทักษะ เหลา่ น้ีถือเป็นทักษะชีวิต UNESCO (2013, อ้างถึงใน พีระ จิรโสภณ และคณะ, 2559, หน้า 10) ท่ีให้นิยาม media and information literacy ว่าเป็นชุดของสมรรถนะซึ่งสร้างเสริมพลังให้พลเมืองที่จะเข้าถึง (access) เรียกข้อมูล (retrieve) เข้าใจ (understand) ประเมินค่า (evaluate) และใช้ (use) สร้าง (create) รวมถึงแบ่งปัน (share) สารสนเทศและเนื้อหาในสื่อในทุกรูปแบบ โดยใช้เคร่ืองมือที่ หลากหลาย อย่างมีวิจารณญาณ มีจริยธรรมและมีประสิทธิผล เพ่ือท่ีจะสามารถมีส่วนร่วมและมี ความสมั พันธ์กบั กิจกรรมต่างๆ ท้ังในระดับบุคคล ระดบั วชิ าชีพ และระดับสังคม โสภิดา วีรกุลเทวัญ (2561, หน้า 12) กล่าวว่า การรู้เท่าทันส่ือ สารสนเทศ และดิจิทัล (media information and digital literacy-MIDL) เป็นชุดคำที่ได้รับการนิยามและอธิบายโดย บุคคลหลายวิชาชีพ ทั้งในแวดวงการศึกษา นิเทศศาสตร์ การตลาด และการเมือง โดยนิยามการรู้ เท่าทันสื่อว่า เป็นเรื่องชุดสมรรถนะของการสื่อสาร ประกอบด้วย ความสามารถในการเข้าถึง (access) วิเคราะห์ (analyze) ประเมิน (evaluate) สื่อสาร (communicate) ข้อมูลต่างๆ ที่มาใน รูปแบบท่ีหลากหลาย และยังเห็นว่าการรู้เท่าทันสื่อช่วยเสริมพลังของประชาชนให้มีทักษะในการ

26 วิพากษ์วิจารณ์ เป็นผู้ผลิตงานสร้างสรรค์ต่างๆ นอกจากนี้ การรู้เท่าทันสารสนเทศ (information literacy) ประกอบด้วยสี่เร่ือง ได้แก่ ความสามารถในการประเมินหรือตัดสิน การเลือกสรร การจัดการ และการประมวลข้อมูล ข่าวสาร ความเข้าใจในลักษณะของสังคมสารสนเทศ ผลกระทบ ของข้อมูล ข่าวสารต่อสังคมและมนุษย์ การตระหนักในความสำคัญของข้อมูลข่าวสารและความ รับผิดชอบ ความเข้าใจในพื้นฐานของศาสตร์ด้านสารสนเทศ การเรียนร้ทู ักษะการทำงานพื้นฐานของ ขอ้ มลู ขา่ วสารและเคร่ืองอปุ กรณท์ เี่ ก่ียวข้องโดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ สถาบันส่ือเด็กและเยาวชน (2560 อ้างถึงใน ปวีณา มะแซ, 2561, หน้า 16) ได้ระบุ แนวคิดการรู้เท่าทันส่ือไว้ว่า “รู้ทันส่ือ” เป็นทักษะและความสามารถในการ “ใช้ส่ืออย่างรู้ตัว ใช้ส่ือ อย่างต่ืนตัว สร้างสรรค์ส่ือได้” โดยสามารถเข้าถึงสื่อท่ีหลากหลาย วิเคราะห์ประเมินคุณภาพ คุณค่า ความน่าเชื่อถือ ผลกระทบของส่ือได้ กล่ันกรอง เลือกสรร ใช้ส่ือให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและ ครอบครวั รอ้ งเรียนใหม้ กี ารแก้ไขเมอ่ื ได้รบั ผลกระทบโดยตรง อัษฎา พลอยโสภณ และมฤษฎ์ แก้วจินดา (2559, อ้างถึงใน ปวีณา มะแซ, 2561, หน้า 16) ได้ให้ความหมายของการรู้เท่าทันสื่อว่า “การท่ีบุคคลมีความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร (access) ที่ตนต้องการ มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ (analyze) วิพากษ์ (critical) มีความสามารถ ในการทำความเข้าใจ ตีความเนื้อหาสาร (understand) ประเมินสาร (evaluation) และสามารถ สร้างสรรค/์ ผลติ (create/produce) สารในรูปแบบต่างๆ ภายใต้บริบทที่หลากหลาย นิธิดา วิวัฒน์พาณิชย์ (2558, อ้างถึงใน ปวีณา มะแซ, 2561, หน้า 16) ได้กล่าวว่า การรู้เท่าทันส่ือสังคมออนไลน์เป็นความสามารถที่ผู้ใช้สื่อแสดงออกถึงความตระหนั กต่อผลกระทบ ของสื่อสังคมออนไลน์ สามารถเข้าใจส่ิงที่ถูกนำเสนอผ่านส่ือสังคม ออนไลน์ สามารถวิเคราะห์ตีความ เน้ือหาสาระท่ีแฝงอยู่ในสาร สามารถประเมินคุณค่าสารในสื่อสังคมออนไลน์ สามารถใช้สื่อสังคม ออนไลน์ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคมตลอดจนสามารถนำเสนอหรือเผยแพร่ข้อมูลในมิติ ผ้สู ร้างสรรคเ์ น้อื หาให้ปรากฏในส่ือสงั คมออนไลน์อยา่ งมีความรบั ผดิ ชอบต่อสงั คมด้วย สรุป การรู้เทา่ ทันสอ่ื หมายถึง สมรรถนะของพลเมืองดจิ ิทัลท่ีเข้าถึงข้อมูลจากส่อื ดิจิทัล ในรูปแบบต่างๆ รวบรวมข้อมูล ประมวลผลข้อมูลทีไ่ ดร้ วบรวมมา ประเมนิ ผลประโยชน์และโทษ และ เลือกรับ เลือกใช้ และนำเสนอ สารสนเทศที่ได้รับมาจากสื่ออย่างสร้างสรรค์เพื่อประโยชน์ต่อตนเอง และผอู้ ื่น รเู้ ท่าทนั ผลกระทบทีเ่ กิดขึ้นอันจะสง่ ผลเสยี หายต่อตนเองและสงั คม 2. คณุ ลกั ษณะและสมรรถนะในการรู้เท่าทันส่ือ วิโรจน์ สุทธิสีมา พิมลพรร ไชยนันท์ และ ศิริธร ยุวโกศล (2562, หน้า 197-198) ได้ศึกษาคุณลักษณะและสมรรถนะในการรู้เท่าทันส่ือ สารสนเทศ และดิจิทัล เพื่อส่งเสริมความเป็น พลเมืองในระบอบประชาธิปไตยของกลุ่มเป้าหมายที่พงึ ประสงค์ ซึ่งพบว่า บคุ คลวยั ทำงานเป็นช่วงวัย ที่สมบูรณ์พร้อมทางด้านร่างกาย ความคิด และจิตใจ เพราะเป็นวัยท่ีส่ังสมความรู้ทักษะ และ ประสบการณ์ต่างๆ พร้อมเต็มที่ในวัยผู้ใหญ่ อีกท้ังวัยทำงานเป็นวัยที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับ ช่วงวัยอ่ืนๆ ทั้งวัยเด็กและวัยผู้สูงอายุ เพราะเป็นคนที่ให้ความรู้ คำแนะนำ ข้อช้ีแนะแก่บุคคลท่ีอยู่ ภายใต้การดูแลของตน ดังน้ันพฤติกรรมต่างๆ ของวยั ทำงานจึงส่งผลต่อบุคคลอ่ืนด้วยอย่างหลีกเล่ียง ไมไ่ ด้ ซงึ่ ลักษณะและสมรรถนะในการรเู้ ท่าทนั สอื่ สารสนเทศและดจิ ทิ ัลมีดังต่อไปน้ี

27 2.1 สมรรถนะด้านท่ี 1 การเข้าถึงส่ือ สารสนเทศและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่าง ปลอดภยั บุคคลในวัยทำงานต้องมีความรู้และสามารถเข้าถึงสื่อได้ตามความต้องการ จัดการ และควบคุมตนเองได้ในขณะใช้สื่อ ในขณะเดียวกันก็สามารถให้คำแนะนำหรือวางแนวทางในการใช้ ส่ือท่ีเหมาะสมให้กับบุคคลในการดูแลของตนเอง อันได้แก่ บุตรหลาน และผู้สูงอายุในครอบครัวได้ ด้วย รวมถึงเข้าถึงและแพร่กระจายข้อมูลผ่านสื่อ โดยตระหนักถึงสิทธิท้ังของตนเองและบุคคลอื่นใน ฐานะพลเมอื งที่อยู่ภายใต้กรอบรฐั ธรรมนญู 2.2 สมรรถนะด้านที่ 2 วิเคราะห์ วิพากษ์ และประเมินส่ือ สารสนเทศ และเทคโนโลยี ดจิ ทิ ัล บุคคลในวัยทำงานควรมีการสั่งสมความรู้ในด้านต่างๆ ที่นำมาใช้ในการตัดสินใจ แสดงพฤติกรรมทางการสื่อสารมีวิจารณญาณในการตัดสินประเมินคุณค่า รวมถึงมีความคิดท่ีสามารถ มองเห็นความเชื่อมโยงของส่ิงต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ บุคคลต้องมีความรู้เก่ียวกับปัจจัย แวดล้อมท่ีส่งผลกระทบต่อการทำงานของส่ือ ทง้ั ดา้ นธุรกจิ ทนุ กฎหมาย อำนาจและอุดมการณข์ องสังคม 2.3 สมรรถนะด้านที่ 3 สรา้ งสรรค์เนอ้ื หาและข้อมูลสารสนเทศ บุคคลวัยทำงานในฐานะพลเมืองผู้ตระหนักถึงสิทธิ หน้าท่ี และศักยภาพของตนเอง ในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม บุคคลควรมีความสามารถในการสร้างสารอย่างสร้างสรรค์ รวมถึงเม่ือสามารถเข้าถึงสื่อได้กว้างขวางและหลากหลาย บุคคลสามารถจัดการข้อมูลท่ีมีแต่ละคน เพอ่ื นำไปสู่การสร้างสรรค์และเผยแพร่ ในฐานะข้อมูลสารสนเทศทมี่ ีประโยชน์ตอ่ สงั คมได้ 2.4 สมรรถนะดา้ นที่ 4 ประยุกต์ใช้และสร้างการเปลี่ยนแปลง บุคคลในวัยทำงานที่เป็นพลเมืองที่กระตือรือร้นจะสามารถใช้ส่ือเป็นเคร่ืองมือ ช่องทาง และพ้ืนที่ในการแสดงออกซ่ึงความคิดของตนเพื่อสร้างการอภิปรายโต้แย้งและการ เคล่ือนไหวทางสังคม อันเป็นพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตยที่เข้มแข็งได้ อีกทั้งคนในช่วยวัยทำงาน จะเป็นผู้ทไ่ี มไ่ ด้คำนึงถึงเฉพาะผลกระทบท้ังทางบวกและทางลบของสื่อต่อตนเอง แต่ยังคำนงึ ถึงบุคคล อื่นในสังคมด้วย บุคคลวัยทำงานจึงควรมีบทบาทในการร่วมตรวจสอบเน้ือหาท่ีถูกเผยแพร่ผ่านสื่อ และรว่ มกำกบั ดูแลในกรณีที่พบความไม่เหมาะสม รวมท้งั เสนอแนวทางสร้างความเปล่ียนแปลงในทาง เกดิ ประโยชน์ต่อสงั คม ทง้ั นพ้ี ลเมืองประชาธิปไตย คือ พลเมืองทมี่ ีสมรรถนะในการเขา้ ถึง เข้าใจ วเิ คราะห์ ตีความ ตรวจสอบและคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณ มีสมรรถนะ 4 ด้านตามท่ีกลา่ วไปและยังสามารถพัฒนา ให้เปน็ พลเมอื งประชาธิปไตยอยา่ งสมบรู ณใ์ น 4 มิติ ไดแ้ ก่ 1) สามารถรู้จักตนเองและทักษะชีวิต รู้จักตนเองเท่าทันอารมณ์และความคิด เคารพในคณุ คา่ และเขา้ ใจผู้อนื่ ได้ 2) สามารถอยู่ร่วมกันในยุค สื่อ สารสนเทศดิจิทัล โดยสืบค้นข้อมูลอย่างมี วิจารณญาณ เคารพสิทธิความเป็นเป็นส่วนตัวของตนเองและผู้อื่น ตลอดจนถึงผลิตและเผยแพร่สื่อ เพ่อื การเปลย่ี นแปลงทางสงั คมได้

28 3) สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้ โดยเข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้าง ต่ืนตัวต่อข้อถกเถียงในสังคม กระตือรือร้นจะร่วมแก้ปัญหา เคารพความเป็นมนุษย์ของตนเองและ ผู้อนื่ ตลอดจนเชื่อมั่นในพลงั ของพลเมอื งที่จะเปล่ยี นแปลงสังคมด้วยวธิ ีการประชาธปิ ไตย 4) สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม ส่ือสารและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เคารพในความแตกตา่ งและศกั ดศิ์ รีความเปน็ มนุษย์ ตลอดจนแก้ปัญหาดว้ ยสันติวธิ ี 3. ตัวบ่งชี้การรู้เท่าทันสอื่ วโิ รจน์ สทุ ธิสีมา พิมลพรร ไชยนันท์ และ ศิรธิ ร ยวุ โกศล (2562, หน้า 198-200) ได้ศึกษาวิจัยตัวบ่งช้ีการรู้เท่าทันสื่อ (M: media) สารสนเทศ (I: information) และดิจิทัล (DL: digital literacy) ระดับบุคคลช่วงวัยทำงานเพื่อส่งเสริมความเป็นพลเมืองประชาธิปไตย โดย การศึกษาคร้ังน้ีมุ่งเน้นไปยังการศึกษา “ตัวบ่งชี้” การรู้เท่าทันส่ือ สารสนเทศ และดิจิทัล (MIDL) ระดับบุคคลของผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน อายุระหว่าง 26-60 ปี โดยเน้นกลุ่มตัวอย่างในเขต กรุงเทพมหานคร ซึ่งประกอบด้วยตัวบ่งช้ีของสมรรถนะในด้านต่างๆ 4 ด้าน โดยในแต่ละด้านจะมี สมรรถนะย่อยที่แสดงถึงความรู้และทักษะท่ีจำเป็น ได้แก่ K คือ ด้านความรู้ A คือ ด้านเจตคติหรือ คณุ ลักษณะ และ P คอื ทกั ษะ รายละเอยี ดดงั ตาราง 2 ตาราง 2 แสดงตัวบ่งชีพ้ ฤติกรรม MIDL (ของชว่ งวยั ทำงาน 26-60 ป)ี สมรรถนะย่อย ตวั บ่งช้ีพฤติกรรม ด้านท่ี 1 เข้าถงึ สอ่ื สารสนเทศและใช้เทคโนโลยดี จิ ทิ ัลอยา่ งปลอดภยั (Access: M+I+D) 1.1 เขา้ ใจบทบาทหนา้ และวิธีการเขา้ ถงึ ส่ือ 1. อธิบายขอบเขตและบทบาทของสือ่ สารสนเทศและเทคโนโลยดี จิ ทิ ัล (K) สารสนเทศและเทคโนโลยีดจิ ทิ ัล 2. อธบิ ายวธิ ีการทำงานของส่อื สารสนเทศ และ เทคโนโลยดี ิจิทลั แต่ละประเภท 3. อธบิ ายวิธีการเข้าถงึ สื่อ สารสนเทศและ เทคโนโลยดี ิจทิ ัล 1.2 เขา้ ใจความหลากหลายของส่ือและประโยชน์ 1. จำแนกประเภทและเปรียบเทยี บคุณสมบัติ การใช้งานท่ีตอบสนองวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน และธรรมชาตขิ องสือ่ และเทคโนโลยีดิจิทลั ที่ (K) แตกต่างกันได้ 2. อธิบายประโยชน์ในการใช้งานส่ือและ เทคโนโลยีดิจทิ ลั เพือ่ ตอบสนองวตั ถปุ ระสงค์ ท่ีแตกต่างกนั ได้

29 ตาราง 2 แสดงตวั บ่งชพ้ี ฤตกิ รรม MIDL (ของช่วงวยั ทำงาน 26-60 ป)ี (ตอ่ ) สมรรถนะย่อย ตัวบ่งชพ้ี ฤติกรรม 1.3 เข้าใจหลกั การ และสามารถเขา้ ถงึ สื่อ 1. อธิบายหลักการใช้ส่ือ สารสนเทศและดิจิทัล สารสนเทศและเทคโนโลยีดิจทิ ัล ไดอ้ ย่างถูกต้อง อย่างถูกต้อง และปลอดภัยในการเข้าถึง ส่งต่อ และปลอดภยั (K A P) และกระจายข้อมลู ใหก้ ับผู้อ่นื 2. เข้าถึงส่ือ สารสนเทศ และเทคโนโลยีดิจทิ ลั ได้อยา่ งถูกตอ้ งและปลอดภยั 3. ประเมินความเส่ียง ความปลอดภัย และผลท่ี อาจเกิดจากการใช้ส่ือสารสนเทศ และเทคโนโลยี ดจิ ทิ ัล 1.4 เข้าใจความต้องการของตนเองในการใช้ 1. เลือกใช้ช่องทางการเข้าถึงและแพร่กระจาย สารสนเทศ รู้ช่องทางการเข้าถงึ การไดม้ าซงึ่ ข้อมูล ขอ้ มลู ข่าวสารไดอ้ ย่างเหมาะสม เข้าถึงและเลือกใช้สารสนเทศได้ สอดคล้อง 2. แยกแยะและเลือกใช้ขอ้ มลู และสารสนเทศทตี่ รง เหมาะสม (K P) กบั ความต้องการของตนเองและเคารพสิทธผิ อู้ น่ื 1.5 ใช้เทคโนโลยดี ิจทิ ลั ในเชิงเทคนิคในการเข้าถงึ 1. เลอื กใชเ้ ทคโนโลยดี ิจิทัลใหเ้ หมาะสมกับช่องทาง ส่งต่อ และกระจายข้อมูลให้กับผู้อื่นได้อย่าง การส่ือสารเพ่ือเข้าถึง ส่งต่อ และกระจายข้อมูล ได้ ปลอดภยั (K A P) อยา่ งมีวจิ ารณญาณและปลอดภัย 2. วเิ คราะหถ์ ึงความเส่ียง ความปลอดภยั และ ผลทอ่ี าจเกดิ จากการใชส้ อ่ื สารสนเทศ และ เทคโนโลยีดจิ ทิ ลั 3. สามารถปอ้ งกนั ตนเองจากอนั ตรายของ การเขา้ ถึง ต่อส่ง และกระจายข้อมูลได้ 1.6 รู้เท่าทันตนเองในขณะเปิดรับสื่อ จัดสรรเวลา 1. ใชเ้ วลากบั ส่อื ใหเ้ หมาะสมโดยรู้เวลาและระยะ การใช้ส่ือ และเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างเหมาะสม เวลาที่เหมาะสมในการใชส้ อ่ื และเขา้ ถึงขอ้ มูล (A P) 2. ประเมินถงึ ผลทางบวกและทางลบจากการ เปิดรบั สอื่ และใช้เทคโนโลยีดจิ ิทัลในชีวิตประจำวนั 3. อธิบายความรู้สึกและความคิดของตนเอง ในขณะเปดิ รบั สื่อได้ 4. เท่าทันและจัดการอารมณ์จากการใช้สื่อและ ขอ้ มลู ขา่ วสารท่ีไดร้ ับ 5. ให้คำแนะนำในการจัดการอารมณ์และจัดสรร เวลาในการใชส้ ือ่ และเทคโนโลยีดจิ ทิ ลั แกบ่ คุ คลอื่นได้

30 ตาราง 2 แสดงตวั บง่ ชพี้ ฤตกิ รรม MIDL (ของช่วงวัยทำงาน 26-60 ปี) (ตอ่ ) สมรรถนะย่อย ตัวบ่งชี้พฤติกรรม ด้านท่ี 2 วเิ คราะห์ วิพากษ์ และประเมนิ สื่อ สารสนเทศ และเทคโนโลยดี จิ ทิ ลั (Analyze) 2.1 รแู้ ละเข้าใจโครงสรา้ งอุตสาหกรรมสื่อ (K) 1. อธิบายความสัมพันธ์เชิงอำนาจ และวิเคราะห์ ผลกระทบของทุน และการเมือง ที่มีต่อการทำงาน ของสอ่ื 2. อธบิ ายถึงโครงสร้างอตุ สาหกรรมสอ่ื ได้ 2.2 วิเคราะห์เงื่อนไขการทำหน้าทีข่ องสื่อ 1. วิเคราะห์เง่ือนไขการทำหน้าท่ีของส่ือในสังคม ประชาธิปไตยได้ 2.3 กลไกการกำกับติดตามสอื่ ในสังคม 1. วิเคราะห์กฎหมายและกลไกเกี่ยวกับการกำกับ ประชาธปิ ไตย (K) ดแู ลสือ่ 2. วิเคราะห์กลไกกำกับติดตามส่ือในสังคม ประชาธิปไตยได้ 2.4 วิเคราะห์ความแตกต่างของส่ือและเน้ือหา 1. วิ เค ร าะ ห์ ที่ ม าแ ล ะ วั ต ถุ ป ร ะ ส งค์ ข อ งสื่ อ แต่ละประเภทตามที่มาและวัตถุประสงค์ของการ สารสนเทศ และเทคโนโลยีดิจทิ ลั ได้ สื่อสารและเปรียบเทียบความแตกต่างของการใช้ 2. อธิบายและเปรียบเทียบความแตกต่างของกลไก ประโยชน์จากสอื่ สารสนเทศและดจิ ิทลั ได้ (K) การทำงานของส่อื แตล่ ะประเภทได้ 3. วิเคราะห์ความแตกตา่ งมติ ิทางสังคม วัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจทส่ี ง่ ผลต่อสื่อ แต่ละประเภท 2.5 วิเคราะห์การประกอบสร้างของสื่อ และ 1. วิเคราะห์การประกอบสร้างของสอื่ ได้ ความหมายแฝงทอ่ี ย่ใู นเนือ้ หาสือ่ ได้ (K A) 2. วเิ คราะหค์ วามหมายแฝงท่อี ยใู่ นเนอื้ หาส่ือได้ 3. อธิบายได้ถึงบริบทเบ้ืองหลังและกระบวนการ ที่ ส่ือใชป้ ระกอบสร้างความหมาย 4. วิเคราะห์ประเด็นสำคัญ และข้อมูลท่ีได้รับจาก การใช้สอ่ื สารสนเทศและเทคโนโลยดี จิ ิทลั ได้ 2.6 ประเมนิ คณุ คา่ และความน่าเช่อื ถือของส่ือ 1. แยกแยะเนื้อหาสื่อที่ดี/ไม่ดี มีประโยชน์/ไม่มี มวี จิ ารณญาณในการรบั ส่อื สารสนเทศและ ประโยชน์ และมีคุณค่า หรือไม่มีคุณ เหมาะสม/ เทคโนโลยดี ิจิทลั (K A) ไมเ่ หมาะสมได้ 2. ตรวจสอบทม่ี าและความถกู ตอ้ งของข้อมูลได้ 3. อธบิ ายปัจจัยและองค์ประกอบท่ีส่งผลต่อความ นา่ เช่อื ถือ และไมน่ ่าเชอื่ ถอื ของสอื่ ได้ 4. ตีความข้อมูลท่ีได้รับจากการใช้สื่อ สารสนเทศ และเทคโนโลยีดจิ ิทลั 5. ประเมนิ ความนา่ เชอื่ ถือ ประโยชนแ์ ละคณุ ค่า

31 ตาราง 2 แสดงตวั บ่งชี้พฤตกิ รรม MIDL (ของช่วงวยั ทำงาน 26-60 ป)ี (ต่อ) สมรรถนะย่อย ตัวบง่ ชี้พฤตกิ รรม ด้านท่ี 2 วเิ คราะห์ วพิ ากษ์ และประเมนิ สื่อ สารสนเทศ และเทคโนโลยีดิจิทัล (Analyze) 2.7 ตระหนักถึงผลกระทบของการเผยแพร่ส่ือ 1. วิเคราะห์ถึงผลการส่งผลตอ่ และการผลิตขอ้ มูล สารสนเทศและเทคโนโลยีดิจิทัลท่ีมีต่อตนเอง สารสนเทศทมี่ ีตอ่ ตนเอง ผู้อืน่ และสงั คม ผูอ้ ่ืน และสังคม (K A) 2. ประเมินความเส่ียง ความปลอดภัย และผลที่ อาจเกิด จากการใช้ส่ือ สารสนเทศ และเทคโนโลยี ดิจทิ ัล ด้านท่ี 3 สรา้ งสรรคเ์ น้ือหาและข้อมลู สารสนเทศ (create) 3.1 ตระหนักถึงวัตถุประสงค์ในฐานะผู้สร้างสื่อ 1. อธิบายวัตถปุ ระสงคใ์ นการสร้างสรรค์ เผยแพร่และส่งต่อข้อมูลสารสนเทศ อย่างมี ถ่ายทอด หรือ เผยแพรข่ ้อมูลขา่ วสาร จริยธรรมและรับผิดชอบในฐานะพลเมอื ง (K A) 2. ปฏิบัติตนตามกฎหมายทเี่ กยี่ วขอ้ งกับ การสร้างสรรค์และเผยแพร่งานสร้างสรรค์ 3. สร้าง เผยแพร่ เนื้อหาผ่านสือ่ สารสนเทศ และ เทคโนโลยีดิจิทัล โดยตระหนักถึงสถานะของ ตวั เอง ในการเปน็ ผู้ผลิตเนอ้ื หา 4. เปิดกว้างและยอมรบั คำวิพากษ์วิจารณ์ เก่ยี วกับส่งิ ทีส่ ่ือสารออกไป 3.2 ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและวิธีการอื่นๆ ในการ 1. อธบิ าย/ยกตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีดจิ ทิ ลั และ สร้างสื่อ สารสนเทศ สังเคราะห์ เป็นความรู้ วธิ ีการอื่นๆ ในการสร้างสื่อ สารสนเทศที่สามารถ จัดระบบขอ้ มูล สารสนเทศเพอ่ื นำมาใช้ประโยชน์ สร้างผลกระทบ ทั้งเชิงบวกและเชิงลบต่อชุมชน (K A P) และสังคม 2. เปรียบเทียบคุณลักษณะของเทคโนโลยีที่ เหมาะสมเพื่อสังเคราะห์และจัดการข้อมูลให้เป็น ระบบเพ่ือสะดวกต่อการนำไปใชไ้ ด้ 3. วิเคราะห์คุณค่าหรือประโยชน์ของการใช้ เทคโนโลยีดิจิทัลเพ่ือสังเคราะห์และจัดระบบ ความรู้ 4. เลือกใช้เทคโนโลยีและช่องทางการส่ือสารท่ี เหมาะสมได้ 5. จัดระบบข้อมูลข่าวสารและสารสนเทศ เพื่อ นำมาใช้ประโยชน์ในอนาคต

32 ตาราง 2 แสดงตวั บง่ ช้พี ฤตกิ รรม MIDL (ของช่วงวัยทำงาน 26-60 ป)ี (ตอ่ ) สมรรถนะย่อย ตวั บง่ ชีพ้ ฤตกิ รรม ดา้ นท่ี 4 ประยุกต์ใชแ้ ละสรา้ งการเปล่ยี นแปลง (reflect & act) 4.1 ตระหนักถึงบทบาทของตนเองในการสร้าง 1. ปฏิบัติตนตามบทบาทของตนเองในการสร้าง และใช้สื่อ สารสนเทศเพื่อแสดงออกในฐานะ และใช้สื่อสารสนเทศเพื่อแสดงออกในฐานะ พลเมอื ง (K A) พลเมือง 2. มีส่วนร่วมในฐานะพลเมืองในการแสดงความ คิดเห็นเก่ียวกับประเด็นปัญหาของสังคมหรือ เคลื่อนไหวตอ่ สเู้ พอ่ื ความยุติธรรม 4.2 เลือกใช้ช่องทาง และวิธีการสื่อสารเพ่ือสร้าง 1. ประเมิน ตัดสินใจและเลือกใช้ช่องทาง และ การเปล่ียนแปลงท่ีเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ วิธีการส่ือสารต่างๆ ท่ีเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ กลมุ่ เปา้ หมาย และบริบททางสงั คมวฒั นธรรม กลุ่มเป้าหมาย และบริบททางสังคม วัฒนธรรม (K A P) เพ่ือสร้างการเปล่ียนแปลงและมีส่วนร่วมตามวิถี ประชาธิปไตย 2. ประเมินผลตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายท่ีรับสื่อ และผลกระทบจากการสื่อสารของตนเอง 4.3 รเิ ร่ิมและมีส่วนร่วมในการสร้างและใช้ส่ือสาร 1. มีส่วนร่วมและการพูดคุย แลกเปลี่ยน ถกเถียง สนเทศการแก้ไขปัญหา ตรวจสอบ และสร้างการ อย่างสรา้ งสรรค์ เปล่ียนแปลงในทางบวกและเป็นประโยชน์ ให้ 2. ใช้สื่อสารสนเทศในการแก้ไขปัญหา ตรวจสอบ เกดิ ข้ึนในระดับบคุ คล กลุ่ม หรือสังคม (K A P) และสร้างการเปลี่ยนแปลง 3. สามารถเสนอแนะแนวทางการใช้สื่อในการ ตรวจสอบ และสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางบวก ให้กบั ช่วงวยั อน่ื ๆ ทม่ี า: (วโิ รจน์ สุทธิสีมา พมิ ลพรร ไชยนันท์ และ ศิริธร ยุวโกศล, 2562, หน้า 198-200) การรู้เท่าทันส่ือถือเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยเฉพาะอย่างย่ิงสำหรับพลเมืองดิจิทัลที่ ต้องการข้อมูลข่าวสารต่างๆ มาใช้ประกอบการดำรงชีวิต การตัดสินใจ การประกอบอาชีพ และอื่นๆ ดังนั้น หากผู้ท่ีเกี่ยวข้องในระดับนโยบาย หรือผู้นำประเทศ หรือผู้บริหารได้กำหนดเร่ืองการรู้เท่าทัน ส่อื เป็นเรือ่ งสำคญั ในระดับเปน็ วาระแห่งชาติ ย่อมส่งผลใหพ้ ลเมือดจิ ทิ ัลเปน็ ผทู้ มี่ ีทักษะพ้ืนฐานอันดใี น การเข้าถึง (access) วิเคราะห์ (analyze) ประเมิน (evaluate) ส่ือสาร (communicate) ข้อมูลต่างๆ ท่ีมาในรูปแบบที่หลากหลาย และยังเห็นว่าการรู้เท่าทันส่ือช่วยเสริมพลังของประชาชนให้มีทักษะใน การวิพากษ์วจิ ารณ์ เป็นผผู้ ลิตงานสร้างสรรคต์ ่างๆ ทม่ี ีประโยชนท์ ้ังต่อตนเองและผู้อนื่ บงกช ทองเอี่ยม (2561, หน้า 298-300) ได้พัฒนาตัวชี้วัดทักษะการรู้ดิจิทัลของ นกั ศึกษาวิชาชพี ครูในมหาวทิ ยาลัยแบบไมจ่ ำกัดรบั พบว่า ทักษะการรู้ดจิ ทิ ลั มี 3 องคป์ ระกอบ ได้แก่

33 1. องค์ประกอบด้านการสร้างสรรค์ (create) ซ่ึงมีท้ังหมด 4 ตัวช้ีวัด คือ 1.1 สร้างเครือข่ายแบ่งปันข้อมูลความรู้ผ่านสื่อสารสารสนเทศดิจิทัล 1.2 สร้างสารสนเทศดจิ ิทลั ทส่ี ามารถสะทอ้ นกลบั เพ่ือแก้ปัญหาทางสงั คมและชุมชน 1.3 สร้างสื่อดิจิทัลเพื่อพัฒนาการเรียนรู้โดยลดตัวอักษรดัดแปลงใช้ภาพในการ สร้างการเรียนรู้ เรียกว่า “photographic” ค้นหาวิธีการสื่อสารและถ่ายทอดองค์ความรู้ให้ผู้อื่น เข้าใจผ่านสื่อดิจิทัล 1.4 ค้นหาวิธีการสื่อสารและถ่ายทอดองค์ความรู้ให้ผู้อื่นเข้าใจผ่านสื่อดิจิทัล 2. องค์ประกอบด้านการใช้ (use) ซ่ึงมีท้ังหมด 4 ตัวช้ีวัด คือ 2.1 มีความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และสื่อดิจิทัลท่ีสามารถนำมาใช้ทาง การศึกษา 2.2 มีความสามารถปฏิบัติการกับเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างเข้าใจ 2.3 มีความรู้ด้านภาษาอังกฤษโดยเฉพาะคำศัพท์ที่สามารถใช้งานในสื่อดิจิทัล 2.4 มีความสามารถเลือกสื่อดิจิทัลสำหรับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม 3. องค์ประกอบด้านความเข้าใจ (understand) ซึ่งมีทั้งหมด 3 ตัวช้ีวัด คือ 3.1 คิดวิเคราะห์ แยกแยะ ประเมินสือ่ ดิจิทัลวา่ สิ่งใดเป็นประโยชนส์ ามารถนำมาใช้ ในการศึกษา 3.2 มารยาทและความรับผิดชอบต่อการสื่อสารผ่านส่ือดิจิทัล 3.3 รู้และเข้าใจเร่ืองกฎหมายท่ีเกี่ยวข้องกับสารสนเทศดิจิทัล พนม คล่ฉี ายา (2557 อา้ งถงึ ในพีระ จิรโสภณและคณะ, 2559, หน้า 14) ไดร้ บั ถงึ แนวทางการวัดการรู้เท่าทันส่ือ ว่าวัดได้จากความสามารถของบุคคล 4 ด้าน ได้แก่ 1) ความเข้าใจ เนื้อหา 2) การวิเคราะห์เน้ือหา 3) การประเมินและวิพากษ์สื่อ และ 4) การมีปฏิสัมพันธ์อย่าง ปลอดภัยต่อเน้ือหา ซึ่งได้เพิม่ มิติการวดั ท่ีสะท้อนให้เหน็ ถึงการสื่อสารสมัยใหม่ท่ีผู้สง่ และผู้รับสามารถ มีปฏิสัมพันธ์ในการสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วและสะดวกข้ึน เช่นเดียวกับ ณัฐนันท์ ศิริเจริญ (2556, อา้ งถึงในพีระ จริ โสภณและคณะ, 2559, หน้า 14 ) ซึ่งศึกษาเกย่ี วกบั การรู้เท่าทนั สื่อและสารสนเทศ (media and information literacy) และได้แบ่งออกเป็น 2 ระดับคือ ระดับพ้ืนฐานและ ระดับ เชิงลกึ โดยพิจารณาจากองคป์ ระกอบของการรเู้ ท่าทันสื่อและสารสนเทศ 3 ด้าน ไดแ้ ก่ 1. access/retrieval หมายถึง การกำหนดสารสนเทศ การกำหนดแหล่งสารสนเทศ การเข้าถึงแหล่งสารสนเทศ การกำหนดกลยุทธ์การแสวงหาสารสนเทศ การจำแนกสารสนเทศ 2. understanding/assessment/evaluation หมายถึง การตระหนักถงึ ผลกระทบ ของส่ือ การรับรู้และเข้าใจกระบวนการของสื่อ เข้าใจผู้ผลิตสื่อ การเข้าใจเน้ือหาสาระในแต่ละ วัฒนธรรม การวิเคราะห์ การสงั เคราะห์ การอภปิ รายและการประเมนิ คณุ คา่ เนื้อหาสารสนเทศ 3. use/communicate หมายถึง การใช้ประโยชน์จากส่ือและสารสนเทศทต่ี ้องการ อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ การมีสุนทรียศาสตร์และค่านิยม การเข้าใจกระบวนการผลิต และการสร้างสรรค์ การมีส่วนรว่ ม องค์กร UNESCO (2013 อ้างถึงในพีระ จิรโสภณและคณะ, 2559, หน้า 14-16) ได้ พัฒนากรอบการประเมินการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ (Global MIL assessment framework)

34 โดยกำหนดแนวทางการวัดออกเป็น 2 ระดับ ได้แก่ ระดับความพร้อมของประเทศ กับ ระดับ สมรรถนะการรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ ซึ่งได้กำหนด The MIL Company Matrix ได้กำหนด องค์ประกอบของการรู้เท่าทันส่ือออกเป็น 3 กระบวนการ ได้แก่ กระบวนการเข้าถึงสื่อ (access) กระบวนการเข้าใจ วิเคราะห์ ตีความ และประเมินเนื้อหาของสื่อ (evaluation) และกระบวนการ แสดงออกอย่างสร้างสรรค์และมีปฏิสัมพันธ์กับส่ือ (creation) โดยกำหนดประเด็นและลักษณะของ สมรรถนะในแตล่ ะองคป์ ระกอบซงึ่ สัมพันธ์กนั ดังตาราง 3 ตาราง 3 องค์ประกอบของการรู้เท่าทนั ส่ือ องคป์ ระกอบ ประเดน็ สมรรถนะ (ความสามารถท่ีจะ) 1. access รู้ความต้องการ 1.1 กำหนดและส่ือสารชัดเจน 1. ระบุและส่ือสารชัดเจนเก่ียวกับ สามารถค้นหา เข้าถึง และ เกยี่ วกบั ความตอ้ งการ ธรรมชาติ บทบาท และขอบเขต เรยี น (retrieve) สารสนเทศ สารสนเทศ ของสารสนเทศ รวมถึงเน้ือหาใน กับเนื้อหาในสือ่ ได้ (definition/articulation) ส่อื ผ่านแหลง่ ท่ีหลากหลาย 1.2 คน้ หาและระบตุ ำแหนง่ ของ 2. ค้นหาและระบุตำแหน่งของ สารสนเทศและเนื้อหาในสอ่ื สารสนเทศและเน้ือหาในสอ่ื 1.3 เขา้ ถงึ สารสนเทศ เนื้อหา 3. เขา้ ถึงสารสนเทศ เนื้อหาในส่ือท่ี ในสอ่ื ผู้ให้บริการสารสนเทศ/ ต้องการได้อย่างมีประสิทธิผล ผ้ใู ห้บริการส่อื (access) ประสิทธภิ าพและถกู จรยิ ธรรม รวมถึงการเข้าถึงผใู้ ห้บริการ สารสนเทศ/ผู้ใหบ้ รกิ ารส่อื ดว้ ย 1.4 เรียกและจัดเกบ็ สารสนเทศ 4. เรียกและจัดเก็บสารสนเทศ และเนอ้ื หาในสอื่ ได้ แ ล ะ เน้ื อ ห า ใน ส่ื อ ได้ ช่ั ว ค ร า ว โ ด ย (retrieval/holding) วิธกี ารและเครื่องมอื ที่หลากหลาย 2. evaluation ความเข้าใจ 2.1 ความเข้าใจ สารสนเทศและ 5. เข้าใจความจำเปน็ ของผู้ให้ การประเมินค่าสารสนเทศ เน้อื หาในส่ือ (understanding) บริการสารสนเทศและเน้ือหาในส่ือ และเนอื้ หาในสอื่ ตอ่ สงั คม 2.2 การประเมนิ ค่า 6. ประเมนิ คา่ วิเคราะห์ (assessment) สารสนเทศและ เปรียบเทียบสื่อสารออกมาและ เนื้อหาในสื่อ ประยุกต์ใช้เกณฑ์ในการประเมิน ส ารส น เท ศ แ ล ะเน้ื อ ห าใน ส่ื อ รวมถึงผู้ให้บริการสารสนเทศและ เน้ือหาในส่ือ

35 ตาราง 3 องค์ประกอบของการรเู้ ท่าทนั ส่อื (ต่อ) องค์ประกอบ ประเดน็ สมรรถนะ (ความสามารถท่ีจะ) 2.3 ประเมินผล (evaluation) 7. ประเมินผลและพิสูจน์ความ สารสนเทศและเนื้อหาในส่ือ ถูกต้องของสารสนเทศ และเน้ือหา รวมถึงผู้ให้บริการสารสนเทศ ในส่ือ รวมถึง ผู้ให้บริการ และเน้ือหาในสือ่ สารสนเทศ และเนื้อหาในสื่อ 2.4 จัดระบบสารสนเทศและ 8. สงั เคราะหแ์ ละจดั ระบบ เน้ือหาในสื่อ (organization) สารสนเทศและเน้ือหาในสอ่ื ได้ 3. creation สรา้ ง ใช้ 3.1 ก า ร ส ร้ า ง ค ว า ม รู้ แ ล ะ 9. ส ร้ า ง แ ล ะ ผ ลิ ต ค ว า ม รู้ ป ระโยช น์ และเฝ้ าระวัง แสดงออกอย่างส ร้างสรรค์ สารสนเทศและเนื้อหาในสื่อที่ สารสนเทศและเนอื้ หาในสอ่ื (creation) ใหม่ๆ เพ่ือวัตถุประสงค์อย่างใด อย่างหน่ึงด้วยความสร้างสรรค์และ มีจรยิ ธรรม 3.2 การส่ือสารข้อมูล เน้ือหา 10. สื่อสารข้อมูล เน้ือหาผ่านส่ือ ผ่ า น สื่ อ ค ว า ม รู้ อ ย่ า ง มี ความรู้อย่างมีประสิทธิภาพบน ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ บ น พื้ น ฐ า น พื้นฐานกฎหมายและจริยธรรม จรยิ ธรรม (communication) โดยใช้ช่องทางและเคร่ืองมือที่ เหมาะสม 3.3 การมีส่วนร่วม 11. มี ส่ ว น ร่ว ม กั บ ส่ื อ โด ย ก าร (participation) ในกจิ กรรม แ ส ด งอ อ ก ค ว าม คิ ด เห็ น ก าร สาธารณะในฐานะพลเมืองตื่นรู้ สนทนาเพื่อมีส่วนรว่ มทางการเมือง (active citizen) แ ล ะ ส ร้ า ง ค ว า ม เข้ า ใ จ ร ะ ห ว่ า ง วั ฒ น ธ ร ร ม ผ่ า น ช่ อ ง ท า ง ท่ี หลากหลายบนพื้นฐานจริยธรรม อย่างมีประสิทธภิ าพและประสิทธิผล 3.4 การเฝา้ ระวัง (monitoring) 12. เฝ้ า ร ะ วั งผ ล ก ร ะ ท บ ข อ ง อิทธิพลของสารสนเทศ และ สารสนเทศเน้ือหาในสื่อและข้อมูล เน้ือหาในสื่อ การผลิตและการ ความรู้ต่างๆ ท่ีถูกสร้างและเผยแพร่ ใช้ความรู้ รวมถึง ผู้ให้บริการ ข้ึน รวมถึงผู้ให้บริการสารสนเทศ สารสนเทศ และเนอ้ื หาในส่ือ และเนื้อหาในสอ่ื ดว้ ย ทมี่ า: (องคก์ ร UNESCO, 2013 อา้ งถงึ ในพรี ะ จริ โสภณและคณะ, 2559, หน้า 14-16) สรุปตัวบ่งชี้การรู้เท่าทันส่ือ หมายถึง เป้าหมายหรือหลักฐานที่แสดงว่าพลเมืองดิจิทัล เป็นผ้มู ีความรู้ ความเข้าใจ มีความสามารถในการวิเคราะห์ ประเมิน มที ักษะในการเขา้ ถึง ทักษะการ ใช้และสามารถสร้างสรรค์ส่ือและการส่ือสารได้อย่างเหมาะสม ทำให้สามารถมีกิจกรรมเก่ียวข้องกับ สือ่ ดจิ ทิ ลั ไดอ้ ยา่ งฉลาด รอบคอบเทา่ ทนั ไมเ่ กิดผลทเี่ สียหายตามมาท้งั ตอ่ ตนเอง และผอู้ ่นื

36 บทสรปุ ความฉลาดทางดิจิทัลเป็นคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของพลเมืองดิจิทัล ซ่ึงควรได้รับการ ปลูกฝังในมนุษย์ทุกคน โดยเริ่มจากการเคารพการเอาใจใส่และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ไปจนถึงการใช้ เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างรอบคอบ การพัฒนาความฉลาดทางดิจิทัลนี้ จะทำให้พลเมืองดิจิทัลสามารถใช้ เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาดและมีความรับผิดชอบต่อสังคมได้ การพัฒนาความฉลาดทางดิจิทัลมี 3 ระดับ ได้แก่ พลเมืองดิจิทัล การสร้างสรรค์ทางดิจิทัล และผูป้ ระกอบการดิจิทัล ร่วมกับการพัฒนา ความเป็นพลเมืองดจิ ิทลั ทั้ง 8 องค์ประกอบ ให้แก่ พลเมืองดิจิทัลโดยเร็วทีส่ ุดท่ีสามารถทำได้ เพื่อให้ พลเมืองดิจิทัลมีความรับผิดชอบต่อสังคม สามารถใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาดและรู้เท่าทัน สอดคล้องกับแผนพัฒนาดิจิทัลเพ่ือเศรษฐกิจและสังคมของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการ ส่อื สารในยทุ ธศาสตร์ท่ี 5 พฒั นากำลังคนให้พร้อมเข้าสยู่ ุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล เพ่ือการยกระดับ คุณภาพชวี ิตของพลเมืองในยคุ ดจิ ทิ ัล ให้ม่ังค่ังมนั่ คงและย่ังยืน ตามแนวคิดประเทศไทย 4.0 ตอ่ ไป คำถามทา้ ยบท จงตอบคำถามต่อไปน้ี 1. จงบอกความหมายของสื่อดิจิทัล พร้อมยกตวั อยา่ งประกอบคำตอบอย่างละเอียด 2. จงอธบิ ายองค์ประกอบของสื่อดิจิทลั แตล่ ะชนดิ อยา่ งละเอียด 3. จงอธบิ ายสื่อดิจทิ ัลแตล่ ะประเภท พร้อมท้ังเปรียบเทียบความเหมอื นและความแตกตา่ ง ของสื่อดจิ ทิ ัลแต่ละประเภท 4. จงอธิบายปัจจัยส่งเสรมิ การใชส้ ื่อดจิ ิทลั ให้เกิดประสิทธภิ าพอย่างละเอยี ด 5. จงอธบิ ายความหมายของการรู้เท่าทันสอ่ื อยา่ งละเอยี ด 6. จงอธิบายลกั ษณะและสมรรถนะในการร้เู ท่าทนั ส่ืออยา่ งละเอยี ด 7. จงอธิบายองค์ประกอบของการรเู้ ท่าทันสอื่ อย่างละเอยี ด 8. จงอธิบายความหมายของความฉลาดทางดิจิทลั อย่างละเอียด 9. จงอธิบายทกั ษะความฉลาดทางดจิ ิทลั แต่ละด้านอยา่ งละเอียด 10. จงอธิบายระดับความฉลาดทางดจิ ิทลั อย่างละเอยี ด

37 ตอน 3 พระราชบญั ญตั ิว่าด้วยการกระทำความผดิ เกย่ี วกบั คอมพิวเตอร์ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 หรือเรียกส้ันๆ ว่า พรบ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 นับได้ว่าเป็นที่จับ ตามองและมีความสำคญั อย่างมากในทุกวงการ เพราะปัจจบุ นั คอมพิวเตอรไ์ ด้เข้ามามีบทบาทและเป็น ส่วนหนึ่งในชีวิต ประจำวันของเราไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงาน องค์กรต่างๆ ภาครัฐ เอกชน นิสิต นักศึกษา คนทำงานก็ล้วนเก่ียวข้องกับคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องศึกษาข้อมูล และทำความเข้าใจเก่ียวกับพระราชบัญญัติฉบับน้ี และเตรียมพร้อมรับมือ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการ กระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ และให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยของเราเป็นไปในทางท่ี สร้างสรรค์ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกบั คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มีจำนวน 30 มาตรา (พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550, 2550, หน้า 4) ส่วนพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2560 หรือเรียกสั้นๆ ว่า พรบ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 ซ่ึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทร เทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพ่ิมเติม กฎหมายว่าด้วยกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา พระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งได้ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 134 ตอน 10 ก. ลงวันที่ 24 มกราคม 2560 ซ่ึงมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2560 เป็นต้นมา มีจำนวน 21 มาตรา (พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเก่ียวกับ คอมพวิ เตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560, 2560, หนา้ 24) รายละเอียดของพระราชบญั ญัติทง้ั สองฉบบั มดี ังต่อไปนี้ เรือ่ งท่ี 3.1 บททั่วไปและนยิ ามศัพท์ 1. หลกั การและเหตผุ ล คณะรัฐมนตรีได้เสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิด เกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ พ.ศ.... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติในการประชุมคร้ังท่ี 6/2549 เม่ือวันพุธท่ี 15 พฤศจกิ ายน 2549 โดยมหี ลกั การคือ “ให้มกี ฎหมายว่าดว้ ยการกระทำความผดิ เก่ียวกบั คอมพิวเตอร์” และ เหตุผลคือ “เนื่องจากในปัจจุบันระบบคอมพิวเตอร์ได้เป็นส่วนสำคัญของการประกอบกิจการและ การดำรงชีวิตของมนุษย์ หากมีผู้กระทำด้วยประการใดๆ ให้ระบบคอมพิวเตอร์ไมส่ ามารถทำงานตาม คำสั่งท่ีกำหนดไว้หรือทำให้การทำงานผิดพลาดไปจากคำสั่งที่กำหนดไว้ หรือใช้วิธีการใด ๆ เข้าล่วงรู้ ข้อมูล แก้ไข หรือทำลายข้อมูลของบุคคลอ่ืนในระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ หรือใช้ระบบ คอมพิวเตอร์เพื่อเผยแพรข่ ้อมลู คอมพิวเตอรอ์ นั เปน็ เท็จหรือมีลักษณะอนั ลามกอนาจาร ยอ่ มก่อให้เกิด ความเสียหาย กระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของรัฐ รวมท้ังความสงบสุขและ ศีลธรรมอันดีของประชาชน สมควรกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำดังกล่าว

38 จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติน้ี” ซึ่งสภานิติบัญญัติพิจารณาในวาระ 2 และวาระ 3 เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 และได้มมี ติให้ผา่ นรา่ งพระราชบัญญัติฉบับน้ีเพ่ือให้มีผลบงั คับใช้เป็นกฎหมายต่อไป ซึ่งต่อมาได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 128 ตอน 27ก. ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จึงทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภานิติบัญญัติ แหง่ ชาติ ดังตอ่ ไปน้ี มาตรา 1 พระราชบัญญัตินีเ้ รียกว่า “พระราชบัญญัติวา่ ด้วยการกระทำความผิดเก่ียวกับ คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550” และ มาตรา 2 พระราชบัญญัติน้ีให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวัน นับแตว่ ันประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาเปน็ ตน้ ไป (พรบ.คอมพวิ เตอร์ พ.ศ. 2550) ส่วน มาตรา 1 พระราชบัญญัติน้ีเรียกว่า “พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิด เก่ียวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2560” และ มาตรา 2 พระราชบัญญัติน้ีให้ใช้บังคับเมื่อพ้น กำหนดหนง่ึ ร้อยยีส่ ิบวันนบั แต่วนั ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาเปน็ ต้นไป เหตุผล เน่ืองจากพระราชบัญญัติน้ี นอกจากจะมีบทบัญญัติท่ีกำหนดโทษความผิดทาง อาญาซึ่งเป็นกฎหมายในส่วนสารบัญญัติแล้ว ยังมีบทบัญญัติเก่ียวกับวิธีการสืบสวนสอบสวนคดีโดย พนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งต้องมีการเตรียมการและการวางระเบียบในเรื่องของการแต่งตั้ง (มาตรา 27) และในเรื่องที่จะต้องกำหนดระเบียบและวางแนวทางวิธีปฏิบัติในการดำเนินการสืบสวนสอบสวนซึ่ง จะต้องมีการประสานงานระหว่างพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบต ามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญากับพนักงานเจ้าหน้าท่ี (มาตรา 28) นอกจากน้ัน ยังมีบทบัญญัติที่ผู้ให้บริการต้องเก็บ รักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา (มาตรา 25) จึงจำเป็นต้องให้ระยะเวลาเตรียมการในเร่ืองเหล่าน้ี ดังน้ันพระราชบัญญัติฉบับนี้ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2550 จึงมีผลบังคับใช้ต้ังแต่วันท่ี 18 กรกฎาคม 2550 เปน็ ตน้ ไป 2. นิยามศพั ท์ มาตรา 3 (แหง่ พรบ.คอมพวิ เตอร์ พ.ศ. 2550) ในพระราชบญั ญัตินี้ “ระบบคอมพิวเตอร์” หมายความว่าอุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ที่เช่ือม การทำงานเข้าด้วยกัน โดยได้มีการกำหนดคำส่ัง ชุดคำสั่ง หรือส่ิงอื่นใดและแนวทางปฏิบัติงานให้ อปุ กรณ์หรือชดุ อุปกรณ์ทำหนา้ ทีป่ ระมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมตั ิ ความหมาย “ระบบคอมพิวเตอร์” หมายถึง อปุ กรณ์หรอื ชุดอุปกรณ์ ซง่ึ ไดแ้ ก่ ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ท่ีพัฒนาข้ึนเพ่ือประมวลผลข้อมูลดิจิทัล (digital data) ประกอบด้วย เคร่ือง คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์รอบข้าง (peripheral) ต่างๆ ในการรับเข้าหรือป้อนข้อมูล นำเข้าหรือ แสดงผลข้อมูล และบนั ทกึ หรอื เก็บข้อมลู ระบบคอมพวิ เตอร์จึงอาจเป็นอุปกรณเ์ พียงเครื่องเดียว หรือ หลายเครอื่ งอันมีลักษณะเป็นชุดเช่ือมต่อกัน โดยอาจเช่ือมต่อผ่านระบบเครือข่าย และมีลักษณะการ ทำงานโดยอตั โนมตั ิตามโปรแกรมหรือซอฟตแ์ วรท์ ก่ี ำหนดไว้

39 “ข้อมูลคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูล ข้อความ คำส่ัง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอ่ืนใด บรรดาท่ีอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ในสภาพที่ระบบคอมพิวเตอร์อาจประมวลผลได้ และให้หมายความ รวมถึงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอเิ ล็กทรอนิกสด์ ้วย ความหมาย “ข้อมูลคอมพิวเตอร์” หมายถึง ข้อมูลทุกอย่างที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ รวมทั้งชุดคำส่ังด้วยหากอยู่ในสภาพท่ีระบบคอมพิวเตอร์อาจประมวลผลได้ นอกจากน้ันยังให้ หมายความรวมถึงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วย ซ่ึง “ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์”ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 ได้ให้ความหมายคำว่า “ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์” ไว้ว่า “ข้อความท่ีได้สร้าง ส่ง เก็บรักษา หรือ ประมวลผลด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น วิธีการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ จดหมาย อิเล็กทรอนิกส์ โทรเลข โทรพิมพ์ หรือโทรสาร” ดังน้ัน ความหมายจึงกว้างรวมออกไปถึงโทรเลข โทรพิมพ์ โทรสาร อย่างไรก็ตามองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติน้ีส่วนใหญ่จะเชื่อมโยง องค์ประกอบความผิด “ข้อมูลคอมพิวเตอร์” กับ “ระบบคอมพิวเตอร์” เข้าด้วยกัน ดังนั้นกรณีของ โทรเลข โทรพิมพ์ หรือโทรสารหากเป็นความผิดที่ต้องเชื่อมโยงกับระบบคอมพิวเตอร์ เช่นการดักรับไว้ ซ่ึงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยมิชอบตามมาตรา 8 น้ัน จะต้องเป็นกรณีท่ีอยู่ระหว่างการส่งในระบบ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น ดังน้ันการดักรับโทรเลข โทรพิมพ์หรือโทรสารท่ีไม่ได้ส่งในระบบคอมพิวเตอร์ ยอ่ มไมเ่ ปน็ ความผดิ ตามมาตราดังกล่าว เป็นตน้ “ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อส่ือสารของ ระบบคอมพิวเตอร์ ซ่ึงแสดงถึงแหล่งกำเนิด ต้นทาง ปลายทาง เส้นทาง เวลา วันที่ ปริมาณ ระยะเวลา ชนิดของบรกิ าร หรอื อน่ื ๆ ทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั การตดิ ต่อสอื่ สารของระบบคอมพวิ เตอร์นน้ั ความหมาย “ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์” หมายถึง ข้อมูลที่แสดงรายการให้เห็นถึง การติดต่อสื่อสารผ่านระบบคอมพิวเตอร์ซ่ึงจะแสดงถึงแหล่งกำเนิด เช่น หมายเลขไอพีของเครื่อง (IP address) ช่ือท่ีอยู่ของผู้ใช้ บริการที่มีการลงทะเบียน ข้อมูลของผู้ให้บริการ (service provider) ลักษณะของการให้บริการว่าผ่านระบบใดหรือเครือข่ายใด วันเวลาของการส่งข้อมูล และข้อมูลทุก ประเภทท่ีเกิดจากการสื่อสาร (communication) ผ่าน “ระบบคอมพิวเตอร์” โดยมีผู้ให้บริการซ่ึง ผู้ให้บริการจะมีข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ของตน และตาม พระราชบญั ญัตนิ ้ีกำหนดว่า ผใู้ ห้บรกิ ารมีหน้าที่เกบ็ รกั ษาข้อมูลจราจรทางคอมพวิ เตอร์ท่ีผู้ใชบ้ ริการได้ ใช้บรกิ ารในระบบคอมพวิ เตอรข์ องตนดังกลา่ ว (มาตรา 25 แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550) “ผู้ใหบ้ รกิ าร” หมายความวา่ 1. ผู้ให้บริการแก่บุคคลอ่ืนในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต หรือให้สามารถติดต่อถึงกันโดย ประการอ่ืน โดยผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์ ท้ังนี้ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการในนามของตนเอง หรือ ในนามหรือเพือ่ ประโยชน์ของบุคคลอนื่ 2. ผู้ให้บริการเก็บรักษาขอ้ มูลคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ของบคุ คลตามอื่น ความหมาย“ผู้ให้บริการ” ตามความหมายท่ัวไปเข้าใจกันว่าหมายถึง service provider แต่ตามคำนยิ ามศพั ทข์ องพระราชบญั ญัตฉิ บบั น้ี ย่อมหมายถงึ บคุ คลประเภทตา่ งๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี คอื (1) ผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมไม่ว่าโดยระบบโทรศัพท์ ระบบดาวเทียม ระบบวงจร เช่า หรือบริการสอื่ สารไรส้ าย

40 (2) ผู้ให้บริการการเจ้าถึงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไม่ว่าโดย internet ท้ังผ่านสาย และไร้สาย หรือในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในท่ีเรยี กว่า internet ท่ีจดั ต้ังข้ึนในเฉพาะองค์กร หรอื หน่วยงาน (3) ผู้ให้บริการเช่าระบบคอมพิวเตอร์ หรือให้เช่าบริการโปรแกรมประยุกต์ (host service provider) ส่วนผ้ใู ห้บรกิ ารเก็บรักษาขอ้ มูลคอมพิวเตอร์เพ่ือประโยชน์แก่บุคคลอื่นตาม (2) น้ัน ย่อม หมายถึงผู้ให้บริการข้อมูลคอมพิวเตอร์ผ่าน application ต่างๆ ท่ีเรียกว่า content provider เช่น ผู้ให้บรกิ าร web board หรือ web service เปน็ ต้น “ผู้ใช้บริการ” หมายความว่า ผู้ใช้บริการของผู้ให้บริการไม่ว่าต้องเสียค่าใช้บริการ หรือไม่ก็ตาม ความหมาย “ผู้ใช้บริการ” หมายถึงผู้ใช้บริการทุกประเภทของผู้ให้บริการไม่ว่าจะต้อง เสียค่าใช้บริการหรือไม่ เช่น ผู้ใช้บริการ internet ของ hotmail หรือ yahoo มีท้ังเสียค่าใช้จ่าย และไม่เสียค่าใช้จ่าย เป็นต้น ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรา 26 แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550) “พนักงานเจ้าหน้าท่ี” หมายความว่า ผู้ซ่ึงรัฐมนตรีแต่งต้ังให้ ปฏิบัติการตาม พระราชบัญญตั นิ ้ี ความหมาย “พนักงานเจ้าหนา้ ท่ี” หมายถึงผู้มีความรู้และความเชี่ยวชาญเก่ียวกับระบบ คอมพิวเตอร์และมีคุณสมบัติตามที่รัฐมนตรีกำหนดโดยรัฐมนตรีจะเป็นผู้แต่งต้ัง (มาตรา 28 แห่ง พรบ.คอมพวิ เตอร์ พ.ศ. 2550) พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจหน้าท่ีในการสืบสวนและสอบสวนการกระทำความผิดตาม พระราชบญั ญัติน้ี (มาตรา 18 แห่ง พรบ.คอมพวิ เตอร์ พ.ศ. 2550) 3. การรกั ษาการและการออกกฎกระทรวง มาตรา 3 (ของ พรบ.คอมพิวเตอร์ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2560) ให้ยกเลิกความในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และให้ใช้ความ ต่อไปน้แี ทน “มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รักษาการตาม พระราชบัญญัติน้ี และให้มีอำนาจแต่งต้ังพนักงานเจ้าหน้าที่กับออกกฎกระทรวงและประกาศเพื่อ ปฏบิ ตั กิ ารตามพระราชบัญญัติน้ี กฎกระทรวงน้ัน เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วใหใ้ ช้บังคบั ได้” มาตรา 4 (ของ พรบ.คอมพิวเตอร์ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2560) ให้เพิ่มความต่อไปน้ีเป็นวรรค สองและวรรคสามของมาตรา 11 แหง่ พระราชบัญญัตวิ า่ ด้วยการกระทำความผดิ เกี่ยวกับคอมพวิ เตอร์ พ.ศ. 2550 “ผใู้ ดสง่ ข้อมูลคอมพิวเตอรห์ รือจดหมายอิเล็กทรอนกิ ส์แก่บุคคลอื่นอันมีลักษณะเปน็ การ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้รับข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่เปิด

41 โอกาสให้ผู้รับสามารถบอกเลิกหรือแจ้งความประสงค์เพ่ือปฏิเสธการตอบรับได้โดยง่าย ต้องระวาง โทษปรับไม่เกนิ สองแสนบาท ให้รัฐมนตรีออกประกาศกำหนดลักษณะและวิธีการส่ง รวมท้ังลักษณะและปริมาณของ ข้อมูลคอมพิวเตอรห์ รอื จดหมายอเิ ลก็ ทรอนิกส์ ซ่ึงไมเ่ ปน็ การกอ่ ให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแกผ่ รู้ บั และลักษณะอนั เปน็ การบอกเลิกหรือแจ้งความประสงค์เพื่อปฏเิ สธการตอบรับได้โดยง่าย” เรอ่ื งที่ 3.2 ฐานความผิด องคป์ ระกอบความผดิ และบทกำหนดโทษ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 บัญญัติ ให้การกระทำที่เป็นความผิดและกำหนดบทลงโทษไว้ในหมวด 1 ความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ โดยกำหนดองค์ประกอบความผิดและบทลงโทษไว้ ดงั นี้ 1. การเขา้ ถงึ ระบบคอมพิวเตอรโ์ ดยมชิ อบ มาตรา 5 (แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550) ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบ คอมพิวเตอร์ท่ีมีมาตรการป้องกนั การเข้าถงึ โดยเฉพาะและมาตรการนน้ั มไิ ด้มีไว้สำหรับตน ต้องระวาง โทษจำคุกไม่เกนิ หกเดือน หรอื ปรับไม่เกนิ หนง่ึ หมื่นบาท หรือทัง้ จำท้งั ปรับ องคป์ ระกอบความผิดประการแรก คอื “การเขา้ ถงึ ” “การเข้าถึง” ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า “access” หมายถึง การเข้าถึงท้ังในระดับ กายภาพ เช่น กรณีท่ีมีการกำหนดรหัสผ่านเพื่อป้องกันมิให้บุคคลอ่ืนใช้เคร่ืองคอมพิวเตอร์ และ ผ้กู ระทำผดิ ดำเนินการด้วยวธิ ีใดวิธีหนึ่งเพื่อให้ได้รหัสผา่ นนั้นมาและสามารถใชเ้ ครื่องคอมพิวเตอร์นั้น ได้โดยน่ังอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์น้ันเอง และหมายความรวมถึงการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์หรือ เข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ แม้ตัวบุคคลท่ีเข้าถึงจะอยู่ห่างโดยระยะทางกับเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ สามารถเจาะเข้าไปในระบบคอมพิวเตอรห์ รอื ขอ้ มูลคอมพวิ เตอรท์ ีต่ นต้องการได้ นอกจากน้ันยังหมายถึงการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ท้ังหมดหรือ แต่บางส่วนก็ได้ ดังนั้นจึงอาจหมายถึง การเข้าถึงฮาร์ดแวร์ หรือส่วนประกอบต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่ถูกบันทึกเก็บไว้ในระบบเพ่ือใช้ในการส่งหรือโอนถึงอีกบุคคลหน่ึง เช่นข้อมูลจราจรทาง คอมพวิ เตอร์ เป็นตน้ ส่วนวิธีการเข้าถึงนั้นรวมทุกวิธีการไม่ว่าจะเข้าถึงโดยผ่านทางเครือข่ายสาธารณะ เช่น อินเทอร์เน็ตอันเป็นการเช่ือมโยงระหว่างเครือข่ายหลายๆ เครือข่ายเข้าด้วยกัน และยังหมายถึง การเข้าถึงโดยผ่านระบบเครือข่ายเดียวกันด้วยก็ได้ เช่น ระบบแลน (Local Area Network: LAN) อันเป็นเครือข่ายที่เช่ือมต่อคอมพิวเตอร์ท่ีต้ังอยู่ในพ้ืนที่ใกล้ๆ เข้าด้วยกัน นอกจากนี้ยังหมายความ รวมถงึ การเข้าถึงโดยการติดต่อสอ่ื สารแบบไร้สาย (wireless communication) อีกดว้ ยองค์ประกอบ ความผิดประการต่อไป คอื “โดยมิชอบ” ซง่ึ องค์ประกอบความผดิ นี้มใี ช้อยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269/5 และมาตรา 269/6 ในเรอื่ งความผิดเกี่ยวกับบตั รอิเลก็ ทรอนิกส์ ความหมายที่เข้าใจกันคือ “การเข้าถึง” ซึ่งถือว่าเป็นความผิดฐานนี้ จะต้องเป็น การเขา้ ถึงโดยปราศจากสิทธิโดยชอบธรรม (without right) ดว้ ย ซง่ึ หมายความวา่ หากผู้ทำการเข้าถึง

42 น้ันเป็นบุคคลท่ีมีสิทธิเข้าถึงไม่ว่าด้วยถือสิทธิตามกฎหมายหรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของระบบ ตัวอย่างเช่น การเข้าถึงเพอ่ื ดแู ลระบบของผู้ดูแลเวบ็ (webmaster) อย่างไรกต็ าม หากผไู้ ด้รับอนุญาต ให้ทำการเข้าถึงนั้นได้เข้าถึงระบบหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์เกินกว่าท่ีตนได้รับอนุญาต ในกรณีนี้บุคคล ดงั กลา่ วก็ยอ่ มต้องรบั ผดิ เชน่ เดยี วกนั การกระทำความผิดโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งมาตราน้ีอาจเกิดข้ึนหลายวิธี เช่น การเจาะระบบ (hacking or cracking) หรือการบุกรุกทางคอมพิวเตอร์ (computer trespass) ซึ่ง การกระทำเช่นว่านี้เป็นการขัดขวางการใช้ระบบคอมพิวเตอร์โดยชอบของบุคคลอ่ืนอันอาจทำให้เกิด การเปล่ียนแปลงแก้ไข หรือทำงานระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยปกติความผิดฐานนี้จะเป็นที่มาของ การกระทำความผิดฐานต่อไป เช่นการใช้คอมพิวเตอร์เพ่ือประกอบอาชญากรรมอื่น หรือเพ่ือกระทำ ความผิดฐานอืน่ ตามบทบัญญัติมาตราตอ่ ๆ ไปในพระราชบญั ญตั นิ ้ี 2. การเปดิ เผยมาตรการป้องกนั การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ทีผ่ อู้ ่ืนจดั ทำข้ึน เป็นการเฉพาะโดยมิชอบ มาตรา 6 (แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550) ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึง ระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำข้ึนเป็นการเฉพาะ ถ้านำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบใน ประการท่ีนา่ จะเกิดความเสียหายแก่ผู้อน่ื ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหน่ึงปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่น บาท หรอื ทงั้ จำทงั้ ปรับ องคป์ ระกอบความผดิ มาตรา 6 นี้ คือ (พรเพชร วชิ ิตชลชัย, 2550) (1) ล่วงรูม้ าตรการป้องกันการเข้าถงึ ระบบคอมพิวเตอร์ที่ผ้อู ื่นจัดทำขึน้ เป็นการเฉพาะ หมายความว่า ระบบคอมพิวเตอรน์ น้ั มีมาตรการการเข้าถึง เชน่ มีการลงทะเบยี น username และ password หรือมวี ิธีการอน่ื ใดทจี่ ัดขนึ้ เปน็ การเฉพาะ การทจี่ ะเป็นความผดิ ตาม มาตรานี้ต้องเป็นเรอ่ื งท่ีผู้กระทำล่วงรู้ ซึง่ การลว่ งรูน้ ัน้ จะได้มาโดยชอบหรือ ไมช่ อบไมส่ ำคัญ (2) เปิดเผยโดยมชิ อบ ห ม า ย ค ว า ม ว่ า เพี ย งแ ต่ น ำ ม า ต ร ก า ร น้ั น เปิ ด เผ ย แ ก่ ผู้ ห นึ่ งผู้ ใด ห รื อ ห ล า ย ค น ก็ เข้ า องคป์ ระกอบความผิดแลว้ เมอ่ื เปิดเผยแล้วผู้ใดจะทราบหรือนำไปใช้หรือไม่ ไมส่ ำคญั (3) ในประการที่น่าจะเกดิ ความเสยี หายแกผ่ ู้อ่นื เป็นองค์ประกอบความผิดอีกประการหนึ่งท่ีต้องพิจารณาด้วยว่าการเปิดเผยน้ันอยู่ใน ประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือไม่ หากเป็นเรื่องท่ีไม่น่าจะทำให้ผู้ใดเสียหายก็ไม่มี ความผิด (4) เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 ถ้าผู้กระทำไม่มีเจตนาย่อมไม่มีความผิด เช่นเป็นเพียงประมาททำให้มีการเปิดเผย มาตรการการเขา้ ถงึ ยอ่ มไมผ่ ิดเพราะขาดเจตนา

43 3. การเขา้ ถึงข้อมลู คอมพิวเตอร์ มาตรา 7 (แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550) ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซ่ึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ ท่ีมีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการน้ันมิได้มีไว้สำหรับตน ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินสองปี หรอื ปรับไมเ่ กนิ ส่ีหมนื่ บาท หรือทง้ั จำทัง้ ปรบั องค์ประกอบความผิดตามมาตรา 7 ตรงกับองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 5 เพียงแต่ เปลี่ยนจาก “ระบบคอมพิวเตอร์” เป็น “ข้อมูลคอมพิวเตอร์” ดังน้ันจึงต้องพิจารณานิยามศัพท์คำว่า “ข้อมลู คอมพิวเตอร์” ซ่งึ อธบิ ายไวแ้ ล้ว ท่ตี ้องพึงระลึกก็คือว่า เจตนารมณ์ของการบัญญัติความผิดฐานเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ โดยมิชอบ ซ่ึงหมายถึงข้อมูลนั้นเป็นการเก็บหรือส่งด้วยวิธีการทางคอมพิวเตอร์หรือวิธีการทาง อิเล็กทรอนิกส์ ดังน้ันจึงไม่น่าจะหมายความรวมถึงข้อมูลท่ีบรรจุไว้ในแผ่นซีดี หรือแผ่นดิสเกตต์ หรือ สื่อบันทึกข้อมูลชนิดต่างๆ อย่างไรก็ตามเมื่อใดที่มีการนำซีดีหรือแผ่นดิสเกตต์นั้นเล่นผ่านระบบ คอมพวิ เตอร์ก็จะอยใู่ นความหมายของข้อมูลคอมพิวเตอร์ทันที 4. การดักรับข้อมูลคอมพิวเตอรข์ องผ้อู ่ืนโดยมิชอบ มาตรา 8 (แหง่ พรบ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550) ผใู้ ดกระทำดว้ ยประการใดโดยมิชอบด้วย วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อดักรับไว้ซ่ึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อ่ืนที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบ คอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นมิได้มีไว้เพ่ือประโยชน์สาธารณะหรือเพ่ือให้บุคคลทั่วไปใช้ ประโยชน์ได้ ต้องระวางโทษจำคกุ ไม่เกินสามปี หรือปรับไมเ่ กินหกหมื่นบาท หรอื ทงั้ จำท้งั ปรบั องคป์ ระกอบความผิดของมาตรา 8 คอื (พรเพชร วชิ ิตชลชยั , 2550) (1) กระทำด้วยประการใดโดยมิชอบดว้ ยวิธีการทางอิเล็กทรอนกิ ส์ เพื่อดักรับไว้ (2) ข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อ่ืนท่อี ยู่ระหวา่ งการส่งในระบบคอมพวิ เตอร์ (3) ข้อมูลคอมพิวเตอร์น้ันมิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพ่ือให้บุคคลทั่วไปใช้ ประโยชน์ได้การพิจารณาว่าข้อมูลคอมพิวเตอร์ได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคลท่ัวไป ใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงว่าลักษณะการส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวนั้น ผูส้ ง่ ต้องการให้เป็นเรอ่ื งเฉพาะตนไม่ได้ตอ้ งการใหเ้ ปิดเผยขอ้ มูลนน้ั แก่ผูใ้ ดหรือไม่ 5. การทำใหเ้ สยี หาย ทำลาย แกไ้ ข เปลย่ี นแปลง เพม่ิ เติมขอ้ มลู คอมพิวเตอร์ โดยมชิ อบ มาตรา 9 (แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550) ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ต้อง ระวางโทษจำคุกไมเ่ กินหา้ ปี หรือปรบั ไมเ่ กนิ หนงึ่ แสนบาท หรือทง้ั จำท้งั ปรับ ความผดิ ตามมาตรานีห้ มายถึงการกระทำอันเปน็ การรบกวนข้อมลู คอมพิวเตอร์ของผูอ้ ่ืน โดยมชิ อบ มีองคป์ ระกอบความผดิ คอื (พรเพชร วิชติ ชลชยั , 2550) (1) กระทำการอันเปน็ การทำใหเ้ สยี หาย ทำลาย แกไ้ ข เปลยี่ นแปลง เพม่ิ เติมโดยมิชอบ (2) ข้อมูลคอมพวิ เตอร์ของผู้อ่ืน

44 ตัวอย่างของการกระทำความผิดตามมาตราน้ี ได้แก่ การป้อนโปรแกรมที่มีไวรัสทำลาย ข้อมูลหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์เข้าไปในระบบเพ่ือขโมยรหัสผ่านของผู้ใช้คอมพิวเตอร์สำหรับเพ่ือ เข้าไปลบ เปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูลหรือกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนข้อมูล เป็นต้น อย่างไรก็ ตามการกระทำความผิดตามมาตราน้ีมีองค์ประกอบความผิดที่สำคัญคือ “โดยมชิ อบ” ดังนั้นหากเป็น การกระทำของบุคคลผู้มีสิทธิโดยชอบก็จะไม่เป็นความผิด เช่น การเปลี่ยนแปลงข้อมูลจราจรทาง คอมพิวเตอร์ (traffic data) เพื่อประโยชน์ในการส่ือสารแบบไม่ระบุชื่อ ตัวอย่างเช่น การส่ือสารผ่าน ระบบ anonymous remailer system หรอื การเปลี่ยนแปลงข้อมูลเพอ่ื การรักษาความลับและความ ปลอดภัยของการสื่อสาร อาทิ การเขา้ รหัสขอ้ มูล (encryption) เป็นตน้ 6. การกระทำเพอ่ื ใหก้ ารทำงานของระบบคอมพวิ เตอร์ของผ้อู ื่นไม่สามารถ ทำงานตามปกตไิ ด้ มาตรา 10 (แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550) ผู้ใดกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบ เพ่ือให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อืน่ ถกู ระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวน จนไม่สามารถ ทำงานตามปกติได้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ความผิดตามมาตรา 10 นี้ มีวัตถุประสงค์และองค์ประกอบความผิดคล้ายคลึงกับมาตรา 9 เพียงเปล่ียนวัตถุแห่งการถูกกระทำจาก “ข้อมูลคอมพิวเตอร์” เป็น “ระบบคอมพิวเตอร์” มีองค์ประกอบความผดิ คือ (พรเพชร วชิ ติ ชลชัย, 2550) (1) กระทำดว้ ยประการใดโดยมิชอบ (2) มีเจตนาพิเศษเพ่ือให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อ่ืนถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรอื รบกวน จนไมส่ ามารถทำงานตามปกตไิ ด้ ตัวอย่างของการกระทำความผิดตามมาตราน้ี อาทิเช่น การป้อนโปรแกรมที่ทำให้ระบบ คอมพิวเตอร์ปฏิเสธการทำงาน (denial of service) หรือทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ทำงานได้ช้าลง โดย การปอ้ นไวรสั คอมพวิ เตอรเ์ พอ่ื ใหเ้ กิดผลชะลอการทำงานของระบบเป็นตน้ อย่างไรก็ตาม หากผู้กระทำได้กระทำไปโดยมีอำนาจหรือสิทธิโดยชอบย่อมไม่เป็น ความผิดเพราะไม่เข้าองค์ประกอบความผิดท่ีว่า “โดยมิชอบ” ดังเช่น การทดสอบหรือรักษาความ มัน่ คงเพื่อความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์โดยบุคคลผู้ได้รับมอบอำนาจจากผู้เป็นเจ้าของระบบ คอมพิวเตอร์ (owner) หรือผู้ปฏิบัติการ (operator) หรือการปรับแก้ระบบปฏิบัติการ (operating system) ของคอมพิวเตอรโ์ ดยผู้ปฏิบัติการ (operator) ก่อนติดต้ังซอฟต์แวร์ใหม่ๆ ตัวอย่างเช่น การ ติดต้ังซอฟต์แวร์เพื่อการเช่ือมต่ออินเทอร์เน็ตซึ่งจะมีผลให้ระบบคอมพิวเตอร์ทำงานไม่เป็นปกติท้ัง กอ่ นและหลังการตดิ ตง้ั โปรแกรม 7. สง่ ข้อมูลคอมพิวเตอร์รบกวนการใช้ระบบคอมพวิ เตอร์ของบคุ คลอ่ืนโดย ปกติสุข มาตรา 11 (แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550) ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมาย อิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นโดยปกปิดหรอื ปลอมแปลงแหล่งทีม่ าของการส่งข้อมูลดังกล่าว อนั เปน็ การ รบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอ่ืนโดยปกติสุข ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

45 “ผู้ใดสง่ ข้อมูลคอมพวิ เตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นอนั มีลักษณะเปน็ การ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้รับข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่เปิด โอกาสให้ผู้รับสามารถบอกเลิกหรือแจ้งความประสงค์เพื่อปฏิเสธการตอบรับได้โดยง่าย ต้องระวาง โทษปรบั ไม่เกินสองแสนบาท ให้รัฐมนตรีออกประกาศกำหนดลักษณะและวิธีการส่ง รวมทั้งลักษณะและปริมาณของ ขอ้ มูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งไม่เป็นการก่อให้เกิดความเดือดรอ้ นรำคาญแก่ผู้รับ และลกั ษณะอันเป็นการบอกเลิกหรือแจ้งความประสงค์เพ่ือปฏเิ สธการตอบรบั ได้โดยง่าย” ความผิดตามมาตรา 11 นี้ การบัญญัติเอาผิดแก่การกระทำท่ีไม่ถึงกับทำให้ระบบ คอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นไม่สามารถทำงานตามปกติได้ แต่เป็นการทำให้เกิดการรบกวนการใช้ระบบ คอมพิวเตอร์ของบุคคลอ่ืนโดยปกติสุข เช่นส่ง จดหมายอิเล็กทรอนิกส์มากจนล้นระบบคอมพิวเตอร์ ของบุคคลอื่นจนทำให้เกิดความยุ่งยากในการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อ่ืน ภาษาอังกฤษเรียกว่า “spamming” องคป์ ระกอบความผดิ ของมาตรานี้คอื (พรเพชร วิชติ ชลชัย, 2550) (1) ส่งข้อมูลคอมพิวเตอรห์ รือจดหมายอิเลก็ ทรอนิกส์ ความจริงแล้ว “จดหมายอิเล็กทรอนิกส์” หรือ อีเมล (e-mail) ก็อยู่ในความหมายของ “ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์” อยู่แล้วตามนิยามศัพท์ แต่ต้องการให้ชัดเจนเพื่อเป็นการเตือนให้เข้าใจใน ความหมายขององคป์ ระกอบความผิดฐานนี้ (2) โดยปกปดิ หรือปลอมแปลงแหลง่ ที่มาของการส่งข้อมูล องค์ประกอบความผิดนี้สำคัญมากเพราะไม่ใช่เรื่อง “โดยมิชอบ” เหมือนกับความผิด ตามมาตราอื่นๆ ในพระราชบัญญัตนิ ้ี แตเ่ ปน็ เรอื่ งปกปิดหรอื ปลอมแปลงแหล่งท่ีมาของการส่งข้อมลู การปกปิดหรือปลอมแปลงนี้ต้องเป็นเรื่องของ “แหล่งท่ีมาของการส่งข้อมูล” ซ่ึง ตรวจสอบได้โดย “ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์” ได้แก่การปกปิดหรือปลอมแปลง IP address และ หมายถึงการกระทำที่ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบถึงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลและส่งผลให้ไม่อาจ ตรวจสอบได้ทางระบบข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ เป็นต้น จึงไม่ใช่เรอื่ งการปกปิดหรือปลอมแปลง โดยการไมใ่ ช้ชื่อจริง หรือการเปล่ียนแปลงใช้ช่ือหรือใชน้ ามแฝง หรือใช้ email-address ท่ีผดิ ไปหรือ เปล่ยี นแปลงไปซ่งึ ยงั ตรวจสอบแหล่งที่มาของการสง่ ขอ้ มลู ได้อยู่ (3) อันเปน็ การรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยปกตสิ ุข องค์ประกอบความผิดข้อน้ี เขียนล้อกับองค์ประกอบความผิดฐานบุกรุกตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 362 ดังนั้นจึงน่าจะมีความรุนแรงของการรบกวนพอสมควรซ่ึงต้องใช้มาตรฐาน ของวิญญูชนเป็นระดับวัดเป็นการพิจารณาแบบปรนัย (objective) มิใช่พิจารณาตามความเป็นจริง แบบอัตนัย (subjective) ข้อสังเกตสำหรับความผิดตามมาตรานี้ ก็คือเป็นบทบัญญัติท่ีมีโทษปรับ สถานเดยี วและไม่มโี ทษจำคุก จึงถือว่าเป็นโทษท่คี ่อนข้างเบา ในประเด็นท่ีเทียบเคียงกับความผิดฐาน บุกรุกซ่ึงเป็นความผิดอันยอมความได้ แต่ความผิดตามมาตรา 12 เรื่อง spamming น้ีมักจะไม่ทำกับ ผู้เสียหายคนเดียว แต่มักจะทำในวงกว้าง หากกำหนดให้เป็นความผิดอันยอมความได้จะมีปัญหาเก่ียวกับ การรอ้ งทุกขเ์ พื่อดำเนินคดีซ่ึงมผี ู้เสียหายจำนวนมาก จึงไมไ่ ดก้ ำหนดให้เป็นความผิดอันยอมความได้

46 8. บทลงโทษที่หนักขึน้ สำหรบั การกระทำทก่ี ่อให้เกิดความเสียหายแก่ ประชาชนหรือการรกั ษาความม่ันคงของประเทศ มาตรา 5 (แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2560) ให้ยกเลิกความในมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และให้ใช้ความ ต่อไปน้แี ทน “มาตรา 12 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 8 หรือ มาตรา 11 เป็นการกระทำต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการรักษาความ มัน่ คงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความม่ันคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือ โครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ ต้องระวางโทษจำคุกต้ังแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้ง แตส่ องหมืน่ บาทถงึ หนงึ่ แสนสีห่ มนื่ บาท ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหน่ึงเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือระบบคอมพิวเตอร์ดงั กล่าว ต้องระวางโทษจำคกุ ตง้ั แต่หนง่ึ ปีถึงสิบปี และปรับต้งั แต่สองหม่ืนบาท ถงึ สองแสนบาท ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 9 หรือ มาตรา 10 เป็นการกระทำต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือระบบคอมพิวเตอร์ตามวรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่ หกหมืน่ บาทถึงสามแสนบาท ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหน่ึงหรือวรรคสามโดยมิได้มีเจตนาฆ่า แต่เป็นเหตุให้ บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หน่ึงแสนบาทถึง สีแ่ สนบาท” มาตรา 6 (ของ พรบ.คอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560) ให้เพ่ิมความต่อไปน้ีเป็น มาตรา 12/1 แห่งพระราชบญั ญัติว่าด้วยกระทำความผดิ เกี่ยวกบั คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 “มาตรา 12/1 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 9 หรือ มาตรา 10 เป็นเหตุให้เกิด อันตรายแก่บุคคลอ่ืนหรือทรัพย์สินของผู้อ่ืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี และปรับไม่เกินสองแสนบาท ถา้ การกระทำความผิดตามมาตรา 9 หรือ มาตรา 10 โดยมิได้มีเจตนาฆ่า แต่เป็นเหตุให้ บุคคลอ่ืนถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หน่ึงแสนบาทถึง สี่แสนบาท” 9. การจำหนา่ ยชดุ คำสั่งท่ีจดั ทำขน้ึ เพ่อื นำไปใช้เป็นเครือ่ งมอื ในการกระทำ ความผดิ มาตรา 13 (แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550) ผู้ใดจำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งที่ จดั ทำข้ึนโดยเฉพาะเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดตามมาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 9 มาตรา 10 หรือ มาตรา 11 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน สองหมื่นบาท หรอื ทง้ั จำท้งั ปรับ

47 มาตรา 7 (แห่ง พรบ.คอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560) ให้เพ่ิมความต่อไปนี้เป็น วรรคสอง วรรคสาม วรรคสี่ และวรรคห้าของมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำ ความผิดเก่ยี วกบั คอมพวิ เตอร์ พ.ศ. 2550 “ผู้ใดจำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งท่ีจัดทำขึ้นโดยเฉพาะเพ่ือนำไปใช้เป็นเครื่องมือใน การกระทำความผิดมาตรา 12 วรรคหนึ่งหรือวรรคสาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกนิ สองปี หรือปรับไม่ เกนิ สีห่ มน่ื บาท หรือทัง้ จำทั้งปรบั ผู้ใดจำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำส่ังที่จัดทำขึ้นโดยเฉพาะเพื่อนำไปใช้เป็นเคร่ืองมือใน การกระทำความผิดตามมาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 9 มาตรา 10 หรือมาตรา 11 หากผู้นำไปใช้ได้กระทำความผิดตามมาตรา 12 วรรคหน่ึงหรือวรรคสาม หรือต้องรับผิดตามมาตรา 12 วรรคสองหรือวรรคสี่ หรือมาตรา 12/1 ผู้จำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งดังกล่าจะต้องรับผิดทาง อาญาตามความผิดที่กำหนดโทษสูงขึ้นด้วย ก็เฉพาะเมื่อตนได้รู้หรืออาจเล็งเห็นได้ว่าจะเกิดผลเช่นที่ เกดิ ข้ึนนน้ั ผูใ้ ดจำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งท่ีจัดทำข้ึนโดยเฉพาะเพ่ือนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการ กระทำความผิดตามมาตรา 12 วรรคหน่ึงหรือวรรคสาม หากผู้นำไปใช้ได้กระทำความผิดตามมาตรา 12 วรรคหน่ึง หรือวรรคสาม หรือต้องรับผิดตามมาตรา 12 วรรคสองหรือวรรคส่ี หรือมาตรา 12/1 ผจู้ ำหน่ายหรือเผยแพรช่ ุดคำส่ังดังกลา่ วต้องรับผดิ ทางอาญาตามความผดิ ทีม่ ีกำหนดโทษสูงขึน้ นน้ั ดว้ ย ในกรณีที่ผู้จำหน่ายหรือเผยแพรช่ ุดคำสง่ั ผู้ใดต้องรับผดิ ตามวรรคหนง่ึ หรอื วรรคสอง และ ตามวรรคสามหรือวรรคส่ี ให้ผู้นั้นต้องรบั โทษที่มีอัตราโทษสูงทีส่ ุดแต่กระทงเดียว” องคป์ ระกอบความผดิ ตามมาตรา 13 คอื (พรเพชร วิชิตชลชัย, 2550) (1) จำหน่ายหรือเผยแพร่ คำว่า “จำหน่าย” ชัดเจน ส่วนคำว่า “เผยแพร่” นั้นเป็นคำท่ี กว้างกว่าน่าจะรวมถึงการโฆษณา จ่าย แจก เป็นท่ีน่าสังเกตว่า “การมีไว้เพ่ือจำหน่าย” ไม่เข้า องค์ประกอบความผิดฐานน้ี อาจเป็นเพราะลักษณะของสิ่งที่มีไว้ยากในการพิสูจน์ว่ามีไว้โดยเจตนาท่ี ชอบหรือไม่ชอบ ครั้นจะใช้หลักพิจารณาด้วยปริมาณของการมีไว้แบบยาเสพติดก็ทำไม่ได้เพราะ ชดุ คำสัง่ ในลกั ษณะของโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ส่วนใหญ่เป็นขอ้ มลู ดจิ ิทัล (2) ชุดคำสั่งที่จัดทำข้ึนโดยเฉพาะเพ่ือนำไปใช้เป็นเคร่ืองมือในการกระทำความผิดตาม มาตรา 5 - มาตรา 11 ชุดคำส่ังตามมาตรานี้อาจเป็นแบบวัตถุ เช่น ดิสเกตต์ก็ได้ หรืออาจเป็นไฟล์ดิจิทัลก็ได้ ส่วนการใช้เป็นเคร่ืองมือในการกระทำความผิดนั้นเป็นความผิดตามมาตราหนึ่งมาตราใดก็ไดเ้ พราะตัว บทใชค้ ำว่า “หรือ” (3) เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 เจตนาในที่น้ี หมายถึงเจตนาจำหน่ายหรือเจตนาเผยแพร่ชุดคำส่ังจึงหมายความว่า ผู้กระทำต้องรู้ข้อเท็จจริงด้วยว่าชุดคำส่ังนั้นได้จัดทำข้ึน โดยเฉพาะเพื่อเป็นเคร่ืองมือในการกระทำ ความผิดผู้กระทำความผิดมาตรา 13 มีบทระวางโทษไม่รุนแรงนัก คือจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับ ไม่เกินสองหม่นื บาทหรอื ท้งั จำท้ังปรับ

48 10. การใช้ระบบคอมพวิ เตอร์ทำความผิดอ่นื มาตรา 8 (ของ พรบ.คอมพิวเตอร์ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2560) ให้ยกเลิกความในมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และให้ใช้ความ ตอ่ ไปน้ีแทน “มาตรา 14 ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปน้ี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไมเ่ กนิ หน่ึงแสนบาท หรอื ท้ังจำทง้ั ปรับ (1) โดยทจุ ริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพวิ เตอรซ์ ่งึ ข้อมลู คอมพิวเตอร์ท่ี บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรอื ขอ้ มลู คอมพิวเตอร์อนั เป็นเท็จ โดยประการทนี่ ่าจะ เกิดความเสียหายแก่ประชาชน อันมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมาย อาญา (2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซ่ึงขอ้ มลู คอมพวิ เตอร์อนั เป็นเท็จ โดยประการท่นี ่าจะเกิด ความเสยี หายตอ่ การรักษาความมัน่ คงปลอดภยั ของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความม่นั คง ในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือ กอ่ ให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน (3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอรซ์ ึง่ ข้อมูลคอมพวิ เตอร์ใดๆ อันเปน็ ความผิดเกย่ี วกบั ความมั่นคงแห่งราชอาณาจกั รหรอื ความผดิ เกีย่ วกับการก่อการรา้ ยตามประมวลกฎหมายอาญา (4) นำเขา้ สรู่ ะบบคอมพวิ เตอรซ์ ่งึ ขอ้ มลู คอมพิวเตอร์ใดๆ ทมี่ ีลักษณะอนั ลามกและ ขอ้ มูลคอมพิวเตอร์น้ันประชาชนท่ัวไปอาจเข้าถึงได้ (5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรอื (4) ถา้ การกระทำความผิดตามวรรคหนงึ่ (1) มไิ ด้กระทำต่อประชาชน แต่เป็นการกระทำต่อ บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ผู้กระทำ ผู้เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวต้องระวางโทษจำคุก ไมเ่ กินสามปี หรอื ปรบั ไม่เกินหกหม่นื บาท หรอื ทง้ั จำทง้ั ปรบั และใหเ้ ปน็ ความผิดอนั ยอมความได้” ความผิดตามมาตรา 14 มี 5 อนุมาตราจึงเปรียบเสมือนการบัญญัติความผิดขึ้นมาอีก 5 ลักษณะ ดงั น้ี (พรเพชร วิชิตชลชยั , 2550) มาตรา 14(1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซ่ึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือ บางสว่ นหรือขอ้ มูลคอมพวิ เตอร์อันเปน็ เท็จ โดยประการทนี่ า่ จะเกดิ ความเสียหายแก่ผ้อู ่นื หรือประชาชน ความผดิ ตามมาตรา 14(1) มอี งค์ประกอบความผิด ดังนี้ (1) นำเขา้ สู่ระบบคอมพิวเตอร์ การนำเข้าสู่ หมายถึง การนำข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือโปรแกรมซอฟต์แวร์ต่างๆ เข้าสู่ ระบบคอมพิวเตอร์ (2) ซ่ึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าท้ังหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อัน เป็นเท็จ ข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม หมายถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ท่ีมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข ไม่ว่า การเปล่ียนแปลงแก้ไขนั้นจะท้ังหมดหรือแต่เพียงบางส่วน ส่วนข้อมูลคอมพิวเตอร์เป็นเท็จนั้น น่าจะ

49 หมายถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ไม่ใช่ของจริง เช่นข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ระบุว่าเป็นเครื่องมือป้องกันไวรัส ของบรษิ ัทหนึง่ แตแ่ ท้จริงแล้วไม่ใช่ เป็นตน้ (3) โดยประการที่นา่ จะเกดิ ความเสียหายแกผ่ ู้อ่ืนหรือประชาชน องค์ประกอบความผิดนี้มีใช้อยู่ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหลายฐาน ความผิด เช่น ความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 หรอื ความผิดฐานปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์ ตามมาตรา 269/1 องค์ประกอบนี้ไม่ใช่เจตนาพิเศษของผู้กระทำ แต่เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาจาก ลักษณะของการกระทำในเร่ืองของเจตนาดว้ ย (4) เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 เจตนาในท่ีนี้ต้องครอบคลุมองค์ประกอบทั้ง 3 ประการข้างต้น กล่าวคือผู้กระทำต้องมี เจตนานำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ในขณะเดียวกันผู้กระทำต้องรู้ถึงข้อเท็จจริงในองค์ประกอบ ความผิดว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จและต้องรู้ว่าการกระทำ ดังกลา่ วเปน็ การกระทำทีน่ า่ จะเกิดความเสยี หายแก่ผู้อื่นหรอื ประชาชน มาตรา 14(2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซ่ึงข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการ ทน่ี า่ จะเกดิ ความเสียหายต่อความมน่ั คงของประเทศหรือกอ่ ให้เกิดความตืน่ ตระหนกแกป่ ระชาชน ความผิดตามมาตรา 14(2) มอี งค์ประกอบความผิด ดงั นี้ (1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ องค์ประกอบความผิดเดยี วกันกับข้อ 14(1) (2) ซงึ่ ขอ้ มูลคอมพิวเตอร์อนั เปน็ เท็จ มาตรา 14(2) เน้นที่ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ จึงไม่ใช่เร่ืองท่ีไปปลอมแปลงข้อมูล ท่ีมอี ยู่ (3) โดยประการท่ีน่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิด ความต่ืนตระหนกแก่ประชาชน ความจริงแล้วองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 14(2) ก็ใกล้เคียงและเกลื่อนกลืนกัน การกระทำท่ีน่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ ประชาชน ก็น่าจะถือได้ว่าเข้าองค์ประกอบความผิดท่ีน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อ่ืนหรือประชาชน ตามมาตรา 14(1) อยู่แลว้ ด้วย (4) เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 มาตรา 14(3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซ่ึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิด เกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือความผิดเก่ียวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมาย อาญาความผิดตามมาตรา 14(3) มอี งคป์ ระกอบความผิด ดงั น้ี (1) นำเขา้ สูร่ ะบบคอมพิวเตอร์ (2) ข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือ ความผิดเก่ียวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญาองค์ประกอบความผิดข้อน้ีพิจารณาจาก ลักษณะของข้อมูลคอมพิวเตอร์ กล่าวคือเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ใช้กระทำความผิดเก่ียวกับความ ม่ันคงแห่งราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 107 ถึงมาตรา 135 หรือความผิด เกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 ถึงมาตรา 135/3 ความผิดตาม

50 มาตรา 14(3) น้ีจึงเป็นการบัญญัติเอาผิดเพ่ิมขึ้นจากการกระทำซ่ึงเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง แหง่ ราชอาณาจักรหรอื ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายโดยในการกระทำความผิดดังกล่าวไดใ้ ชว้ ิธีการ ทางคอมพิวเตอร์นำข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดตามมาตราดังกล่าวเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ดงั น้ันการกระทำความผดิ ตามมาตรา 14(3) น้ีผกู้ ระทำอาจต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายอาญาตาม บทมาตราทีก่ ลา่ วมาดว้ ย (3) เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 ซ่ึงหมายถึงเจตนาในการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ตาม (1) และรู้ถึงข้อเท็จจริงอันเป็น องคป์ ระกอบความผดิ ตาม (2) มาตรา 14(4) นำเขา้ ส่รู ะบบคอมพิวเตอร์ซ่ึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ท่ีมลี ักษณะอันลามก และขอ้ มูลคอมพิวเตอรน์ ้ันประชาชนท่ัวไปอาจเข้าถึงได้ ความผิดตามมาตรา 14(4) มอี งคป์ ระกอบความผดิ ดังน้ี (1) นำเข้าสูร่ ะบบคอมพวิ เตอร์ (2) ข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามก และข้อมูลคอมพิวเตอร์น้ันประชาชน ท่วั ไปอาจเขา้ ถงึ ได้ องค์ประกอบความผิดข้อน้ีพิจารณาจากลักษณะของข้อมูลคอมพิวเตอร์เช่นกัน คือเป็น ขอ้ มลู คอมพิวเตอร์ท่มี ีลกั ษณะอันลามก คำว่า “ลามก” เป็นคำสามัญท่ีไม่มีการนิยามศัพท์ แต่เป็นคำท่ีใช้เป็นองค์ประกอบ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 ซ่ึงเป็นความผิดฐานเผยแพร่วัตถุอันลามก ดังนั้น ข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดจะเข้าองค์ประกอบความผิด “ลามก” หรือไม่ จึงใช้มาตรฐานเดียวกันกับ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 287 ดังกล่าว ศาลฎกี าได้มีคำพิพากษาไวเ้ ป็นบรรทดั ฐาน หลายเรอ่ื งแล้วในเร่อื งการพจิ ารณาลักษณะอันลามก (3) ข้อมูลคอมพวิ เตอร์น้ันประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ การจะเป็นความผดิ ตามมาตรา 14(4) นอกจากขอ้ มูลคอมพิวเตอรน์ ัน้ มีลักษณะอันลามก แล้ว ยังต้องเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนท่ัวไปอาจเข้าถึงได้อีกด้วย ดังน้ันหากเป็นการนำ ข้อมูลคอมพิวเตอร์ของตนโดยเฉพาะที่ไม่ได้ประสงค์จะใหผ้ ู้ใดเข้าถึง แต่บังเอิญนำเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ไปซ่อม แล้วช่างซ่อมตรวจพบเข้าจึงนำไปเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์และเผยแพร่ดังที่เป็นข่าวคราว เช่นนีเ้ ฉพาะชา่ งซอ่ มเท่าน้นั ท่มี คี วามผิดตามมาตรา 14(4) มาตรา 14(5) เผยแพร่หรือส่งต่อซ่ึงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นความผิด ตามมาตรา 14 (1) (2) (3) หรอื (4) ความผดิ ตามมาตรา 14(5) มีองคป์ ระกอบความผดิ ดงั นี้ (1) เผยแพร่หรือสง่ ตอ่ ข้อมลู คอมพวิ เตอร์ องค์ประกอบความผิดน้ีแตกต่างจากอนุมาตรา (1) (2) (3) หรือ (4) ซ่ึงเป็นเรื่องการ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ แต่องค์ประกอบความผิดข้อน้ีเป็นเพียงการเผยแพร่หรือส่งต่อ ขอ้ มูลคอมพิวเตอร์ ซึ่งเปน็ วธิ กี ารท่ีระบบคอมพิวเตอรส์ ร้างขึ้นมาเพ่ือให้มกี ารสง่ ตอ่ หรือเผยแพรข่ ้อมูล ไดโ้ ดยง่าย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook