การพฒั นารปู แบบการดาเนนิ งานป้ องกนั การบาดเจ็บจากอบุ ตั เิ หตทุ างถนน ในระดบั อาเภอ กรณศี ึกษาอาเภอทุง่ ช้าง จงั หวดั น่าน จ า ก ผ ล ก า ร ด า เ นิ น ก า ร พั ฒ น า รู ป แ บ บ ก า ร แสนประชากร ส่วนปี 2562 มีจานวนผู้บาดเจ็บ 63 ดาเนินงานป้องกันการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน ราย คิดเป็นอัตราการบาดเจ็บ 405.71 ต่อแสน กรณีศึกษาอาเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน พบว่าหลัง ประชากร ลดลงร้อยละ 11.77 เมื่อเปรียบเทียบกับปี ดาเนินการในปีงบประมาณ 2562 อาเภอทุ่งช้างมี 2561 พบผู้บาดเจ็บ จานวน 71 ราย คิดเป็นอัตรา ผู้เสียชีวิต 3 ราย คิดเป็นอัตราตาย 19.31 ต่อแสน การบาดเจ็บ 459.01 ต่อแสนประชากร รายละเอียด ประชากร ลดลง ร้อยละ 50.21เม่ือเปรียบเทียบปี ดงั ตารางท่ี 5 2561 มีผู้ป่วยเสียชีวิต 6 ราย อัตราตาย 38.78 ต่อ ตารางที่ 5 เปรียบเทยี บสถิตกิ ารบาดเจ็บและเสยี ชวี ิตจากอุบตั ิเหตุทางถนน ณ ปงี บประมาณ 2561 – 2562 ปงี บประมาณ ผ้เู สียชีวิต ผู้บาดเจ็บ 2561 จานวน(คน) อัตราตอ่ แสนประชากร จานวน(คน) อตั ราตอ่ แสนประชากร 2562 6 38.78 71 459.01 3 19.31 63 405.71 อภิปรายผล อาเภอ ตามแผนแม่บทความปลอดภัยทาถนน พ.ศ. การดาเนินมาตรการป้องกันการบาดเจ็บจาก 2561–2564 ลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนไม่ อุบัติเหตุทางถนนระดับอาเภอ (คน/รถ/ถนนและ เกิน 18 ต่อแสนประชากรในปี พ.ศ.2564 นาสู่ สิ่งแวดล้อม) พบว่า ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัย มาตรการที่สาคัญของอาเภอ 9 มาตรการ ที่ ทางถนนระดับอาเภอทุ่งช้าง มีกระบวนการวิเคราะห์ สอดคล้องกับการวิเคราะห์ปัจจัยท่ีทาให้เกิดอุบัติเหตุ หาปัจจัยที่เป็นสาเหตุของปัญหาอุบัติเหตุทางถนน (มาตรการด้านคน ด้านยานพาหนะ ด้านถนนและ โดยมรี ะบขุ นาดของปัญหา บนพื้นฐานข้อมูลสถิติทาง ส่ิงแวดล้อม) กาหนดระยะเวลาดาเนินมาตรการ ระบาดวิทยาประกอบกับข้อมูลเชิงคุณภาพ ท้ังด้าน ปงี บประมาณ 2561–2562 นามาสู่การจัดทาแผนงาน/ กายภาพ สังคม วัฒนธรรม และประเพณีท่ีเก่ียวข้อง โครงการด้านการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนบูรณาการ นามาอธิบายประกอบการวางแผน มาตรการป้องกัน ทรัพยากรร่วมกันของทีมคณะทางาน ศปถ.อาเภอ และลดอุบัติเหตุทางถนน นาไปสู่การกาห นด และศปถ.ท้องถิ่นสอดคล้องกับสรุปบทเรียนการ เป้าหมายสูงสุดลดการบาดเจ็บและเสียชีวิตจาก พัฒนากลไกการทางานของศูนย์ปฏิบัติการความ อุบัติเหตุทางถนน ของอาเภอทุ่งช้าง สอดคล้องกับ ปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ระดับอาเภอ กรณีศึกษา การศึกษาของ โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ (2561) การ อบต.เป็นสุข อาเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์ (สานัก กาหนดแนวทางการขับเคลื่อนงานด้านการป้องกัน โรคไม่ติดต่อ, 2560) ท่ีมีการกาหนดเป้าหมายการ และลดอบุ ตั ิเหตุทางถนนในระดับปฏิบัติการ ควรเกิด ดาเนินงานในระดับอาเภอ จัดทาแผนงานที่เป็น จากการวิเคราะห์ข้อมูลในพ้ืนที่อย่างรอบด้าน จาก รปู ธรรมและมีปฏิทินการทางานร่วมกัน นาไปสู่บรรลุ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งองค์ประกอบทางด้าน บันไดผลลัพธ์ความสาเร็จของอาเภอภายใต้กรอบ ระยะเวลาในการดาเนนิ งาน กายภาพ และโครงสรา้ งทางสังคมวฒั นธรรม การมีกิจกรรมมาตรการในระดับตาบล/ชุมชน อาเภอทุ่งช้างมีการจัดต้ังทีมระดับท้องถ่ิน/ตาบล สอดคล้องกบั ผลการวเิ คราะห์ข้อมูลเฝ้าระวังอุบัติเหตุ (RTI-Team) หรือ ศปถ.อปท. ครบ 4 ตาบล พร้อมกับ ของตาบล พบว่าทีมนาหลัก (Core team) มีการ มีการจัดการข้อมูลเฝ้าระวังและจัดทาสถานการณ์ กาหนดเปา้ หมายตัวชี้วดั รว่ มกัน (Joint KPI) ในระดับ ปัญหาการบาดเจ็บและเสียชีวิตระดับตาบล และ 90 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปที ่ี 16 ฉบับท่ี 1
Development of an Operational Model to Prevent Road Traffic Injury: A Case Study in Thung Chang District, Nan province นาเสนอรายงานการดาเนินงานของทีมระดับท้องถิ่น ประสิทธิภาพ เสริมสร้างการรับรู้ในการทางาน ผ่านการประชุมประจาเดือนของอาเภอ และการ ร่วมกันระหว่างสมาชิกในทีม อีกท้ังสาธารณสุข ประชุมของ ศปถ.อาเภอ โดยมีนายอาเภอเป็น อาเภอ และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลคือ ประธาน กากับ และตดิ ตามผลอย่างต่อเนื่องทุกเดือน บุคคลหลัก (Key man) ในการนาทีมร่วมวิเคราะห์ ประสิทธิภาพของผู้บริหาร กากับ และติดตามผล และสงั เคราะหข์ ้อมลู การบาดเจ็บและเสียชวี ิต รวมถึง อย่างต่อเนื่องทุกเดือน ประสิทธิภาพของผู้บริหารท่ีมี ข้อมูลเชิงลึกจากกาสอบสวนอุบัติเหตุทางถนน การควบคุม กากับ อย่างต่อเน่ือง ทาให้ระบบกลไก สอดคล้องกับสรุปบทเรียนการพัฒนากลไกการ ขั บ เ ค ลื่ อ น ง า น ป้ อ ง กั น อุ บั ติ เ ห ตุ ท า ง ถ น น ใ น ร ะ ดั บ ทางานของศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนน อาเภอและตาบลมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับ (ศปถ.) ระดับอาเภอ กรณีศึกษาอาเภอศรีณรงค์ การศึกษาของ กัลยาภัสร์ อัครภูมิรัศม์ และคณะ จังหวัดสุรินทร์ (สานักโรคไม่ติดต่อ, 2560) ที่กาหนดให้ (2559) ความต่อเน่ืองของงาน โดยมีนายอาเภอเป็น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลทุกแห่ง มีส่วนร่วม ผู้บริหารและนาพาปฏิบัติ ถือเป็นตัวช่วยเสริมแรงให้ ในการสารวจทั้งสถานการณ์ จุดเส่ียงและพฤติกรรม คณะทางานเกิดความร่วมมือการบูรณาการงาน ของการเกิดอบุ ัติเหตุ เพ่ือใช้เป็นข้อมูลเบ้ืองต้นในการ ร่วมกันจากหน่วยงานทุกระดับ จนเป็นวัฒนธรรม คัดเลือกพ้ืนที่เป้าหมายและเป็นฐานข้อมูลสาหรับ องคก์ รป้องกนั อุบัติเหตุทางถนนของอาเภอ นาเสนอต่อทป่ี ระชมุ ศปถ.อปท. อาเภอทุ่งช้าง มีทีมนาระดับอาเภอ (Core team) โดยสรุปจากผลการศึกษาที่พบว่าหลังดาเนินการ ส่วนใหญ่มีตาแหน่งเป็นผู้ปฏิบัติงานเป็นทีมนาหลัก พบว่าข้อมูลสถิติการบาดเจ็บและเสียชีวิตในระบบ (Core team) โดยใช้กลไกการขับเคล่ือนการป้องกัน ฐานข้อมูล 3 ฐาน (กลุ่มงานควบคุมโรคไม่ติดต่อ และลดอุบัติเหตุทางถนนจัดวางโครงสร้างที ม สุขภาพจิตและยาเสพติด, 2562) สถิติบาดเจ็บและ ปฏิบัติงานสอดคล้องกับกลไกเดิมของอาเภอคือ เสียชีวิตของอาเภอทุ่งช้างลดลงภายหลังจากการ แนวคิด “One Health” ซึ่งเป็นกลไกการร่วมมือ พฒั นารูปแบบการดาเนินงานป้องกนั การบาดเจ็บจาก ระหว่างหน่วยงานและบุคลากรท่ีมีความชานาญด้าน อุบัติเหตุทางถนน เช่นเดียวกับการศึกษาของ ต่าง ๆ ทุกสาขาวิชาทางสุขภาพทั้งมนุษย์ และสัตว์ ศศิกานต์ มาลากิจสกุล (2563) ที่พบว่าอาเภอที่มีผล ในทุกระดับเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายมีสุขภาพที่ดี และ รับรองการดาเนินงานป้องกันการบาดเจ็บและ สมดุลสาหรับคนและส่ิงแวดล้อม (สานักควบคุม เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน จานวน 25 อาเภอ ป้องกันและบาบัดโรคสัตว์, 2562) ซ่ึงทีมนาหลัก สง่ ผลใหจ้ านวนการบาดเจ็บและเสียชีวิตลดลง ดังน้ัน (Core team) ทาหนา้ ที่เป็น “จดุ จัดการด้านอุบัติเหตุ แนวทางการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุในพื้นที่ จาเป็นต้อง ระดับอาเภอ”ซึ่งเป็นทีมท่ีผสมผสานกันในความ อาศัยกลไกความร่วมมือจากหน่วยงานทุกระดับ แตกต่างของความสามารถของแต่ละบุคคลในทีม ให้ เพ่ือให้เกิดการบูรณาการจากทีมสหสาขาและการมี เกียรติซึ่ งกันและกัน ยอมรับข้อคิดเห็นแล ะ ส่วนร่วมของท้องถ่ิน ร่วมกันคิดหามาตรการแก้ไข ข้อเสนอแนะร่วมกัน ประกอบกับการมีประสบการณ์ ร่วมกันต้ังแต่การจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ การดาเนินงานด้านอุบัติเหตุทางถนนมากกว่า 10 ปี ชี้เป้าและจัดการแก้ไขจุดเสี่ยง ออกแบบมาตรการ และเป็นคนท่ีอยู่ในพื้นที่ สอดคล้องกับการศึกษาของ แก้ปัญหาท่ีตรงจุด กาหนดเป้าหมายและการ เนตร์พัณณา ยาวิราช (2547) การทางานเป็นทีมท่ีมี ประเมินผลอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องตามแผน ประสิทธิภาพ บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ สมาชิกในทีม ยุทธศาสตร์ระดับชาติ “ทศวรรษแห่งความปลอดภัย ต้องมีความพึงพอใจในทีม มีความเชื่อถือไว้ใจกัน ทางถนน พ.ศ.2554-2563” (กรมป้องกันและบรรเทา ระหว่างสมาชิกในทีม สื่อสารท่ีดี มีความขัดแย้งกัน สาธารณภัย, 2559) ส่งผลให้การบาดเจ็บและเสียชีวิต น้อย มีการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคอย่างมี จากอุบตั ิเหตุทางถนนในพ้ืนที่ลดลง Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 91
การพฒั นารปู แบบการดาเนินงานป้ องกนั การบาดเจ็บจากอบุ ตั เิ หตทุ างถนน ในระดบั อาเภอ กรณศี ึกษาอาเภอทุง่ ช้าง จงั หวดั น่าน ข้อเสนอแนะ One Health” ซึ่งกลไกองค์ประกอบเหล่านี้สามารถ จากผลการวิจยั การพัฒนารูปแบบการดาเนินงาน นาไปขยายผลในพ้ืนท่ีอาเภออาเภออื่นๆ ในจังหวัด ป้องกันการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนในระดับ น่านได้ตอ่ ไป อาเภอ กรณีศึกษาอาเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน ผลการ ประเมนิ อยู่ในระดับที่สงู กว่าก่อนดาเนินการ กิจกรรม กติ ติกรรมประกาศ สาคัญทน่ี าไปสู่ความสาเร็จคือ ผู้บริหารและแกนนามี ขอขอบคุณท่านนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดน่าน องค์ความรู้เชิงวิชาการ สามารถใช้ประโยชน์จาก คณะทางานข้อมูลอุบัติเหตุจราจรทางถนนจังหวัดน่าน ขอ้ มลู มที มี นาหลกั (Core team) ทว่ี เิ คราะห์ข้อมูลที่ คณะทางานในศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนน ชัดเจน เพื่อมากาหนดเป้าหมายผลลัพธ์ และอาศัย (ศปถ.อาเภอ) คณะทางานในศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัย กลไกที่มีอยู่เดิมบูรณาการเป้าหมายการทางานด้าน ทางถนนท้องถิ่น (ศปถ.ท้องถิ่น) อาเภอทุ่งช้าง ท่ีได้ให้ อุบัติเหตุทางถนนได้แก่ คณะกรรมการพัฒนา คาแนะนา ขอ้ เสนอแนะในการวิจัย และผใู้ หข้ ้อมูลทกุ ทา่ น คณุ ภาพชวี ติ ระดับอาเภอ (พชอ.), ระบบการทางาน เอกสารอา้ งอิง กรภัทร ขันไชย. (2560). การพัฒนาการดาเนนิ งานป้องกนั การบาดเจ็บจากอุบตั เิ หตุทางถนน (D-RTI) อาเภอ ทุง่ ชา้ ง จงั หวัดน่าน. เอกสารนาเสนอผลงานวิชาการในการประชุมการดาเนินงานป้องกันการ บาดเจ็บจากอบุ ตั ิเหตุทางถนนโดยใช้กลไก D-RTI. วันที่ 9 สงิ หาคม 2560; สานกั งานสาธารณสุข จังหวดั นา่ น. จังหวดั นา่ น. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย. (2559). ศูนย์อานวยการความปลอดภัยทางถนนรายงานประชาชน ประจา 2558. พิมพ์คร้ังท่ี 1. กรุงเทพฯ: กองบูรณาการความปลอดภัยทางถนน กรมป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัย. กลุ่มงานควบคุมโรคไม่ติดต่อ สุขภาพจิตและยาเสพติด. (2562). เอกสารประกอบการรายงานข้อมูลการ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน. ใน การประชุมคณะทางานด้านข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนระดับ จังหวัด. 25 มิถุนายน 2562; ห้องประชุมสานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดน่าน. จงั หวัดนา่ น. โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์. (2561). อุบัติเหตุทางถนน วัฒนธรรมราชการกับงานประเพณี. ใน: สิทธิโชค ชาวไร่ เงิน, บงกช เจริญรัตน์ บรรณาธิการ งานวิจัยวัฒนธรรมกับความเส่ียงสุขภาพ : อุบัติเหตุ ยาเสพ ตดิ . พมิ พ์ครงั้ ที่ 1. นนทบุรี: สานกั วิจยั สงั คมและสุขภาพ. เนตร์พัณณา ยาวิชรา. (2547). การจัดการสมัยใหม่. พิมพ์คร้ังที่ 3. กรุงเทพมหานคร : บริษัทเซ็นทรัล เอ็กซ์ เพรส จากัด. ศศิกานต์ มาลากจิ สกุล. (2563). ผลของรูปแบบการดาเนินงาน D-RTI Plus ตอ่ การปอ้ งกันการบาดเจบ็ และ เสยี ชวี ิตจากอบุ ัตเิ หตุทางถนน เขตสขุ ภาพที่ 3. วารสารโรคและภยั สขุ ภาพ สานกั งานป้องกนั ควบคุม โรคท่ี 3 จังหวัดนครสวรรค์, 14(1), 25-34. สานกั ควบคุม ป้องกนั และบาบดั โรคสตั ว์. (2562). ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน one health Thailand [online]. [สบื คน้ เมื่อ 1 ธนั วาคม 2562]; แหล่งขอ้ มลู : URL: http://dcontrol.dld.go.th/index.php/km/one-health-thailand.html 92 วารสารสาธารณสุขล้านนา ปที ี่ 16 ฉบับที่ 1
Development of an Operational Model to Prevent Road Traffic Injury: A Case Study in Thung Chang District, Nan province สานักโรคไม่ติดตอ่ . (2562). รายงานประจาปี 2562 สานกั โรคไม่ติดตอ่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสขุ . กรุงเทพ : สานักงานกจิ การโรงพิมพ์ องค์การสงเคราะห์ทหารผา่ นศึกในพระบรมราชปู ถัมภ์. สานกั โรคไม่ติดต่อ. (2560). แนวทางการดาเนินงานป้องกันการบาดเจ็บจากอบุ ัติเหตุทางถนนระดับพน้ื ที่. นนทบุรี : กระทรวงสาธารณสุข. องค์การอนามยั โลก. (2558). รายงานสถานการณโ์ ลกด้านความปลอดภยั ทางถนน พ.ศ.2558. พิมพ์ครัง้ ที่ 1. กรุงเทพฯ: บรษิ ทั สแกนด์-มเี ดยี คอรป์ อเรชั่น จากดั . Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 93
ผลของโปรแกรมการปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรมเพอ่ื ความปลอดภยั ทมี่ ตี อ่ พฤตกิ รรมความปลอดภยั ในการทางานของพนกั งานทาความสะอาด ในโรงพยาบาลตตยิ ภูมแิ ห่งหนึ่ง ของจงั หวดั ปทมุ ธานี ผลของโปรแกรมการปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรมเพอ่ื ความปลอดภยั ทมี่ ตี อ่ พฤตกิ รรมความปลอดภยั ในการทางานของพนกั งานทาความสะอาด ในโรงพยาบาลตตยิ ภมู แิ ห่งหน่ึง ของจงั หวดั ปทมุ ธานี Effect of Behavior Based Safety Program on Safety at Work Behaviors among Janitors in a Tertiary Hospital, Pathumthani Province กนกวรรณ วรปัญญา* พย.บ. (พยาบาลศาสตร)์ Kanokwan Worapanya* B.N.S. (Nursing Science) ศรรี ตั น์ ล้อมพงศ*์ * ปร.ด. (วทิ ยาศาสตร์การแพทย)์ Srirat Lormphongs** Ph.D. (Medical Science) นันทพร ภัทรพุทธ** ปร.ด.(พิษวทิ ยาสิง่ แวดลอ้ ม Nantaporn Phatrabuddha **Ph.D. (Environmental และการจัดการเทคโนโลยดี ้านสิง่ แวดลอ้ ม) Toxicology Technology and Management) * คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยบรู พา Faculty of Public Health, Burapha University ** ภาควชิ าสุขศาสตรอ์ ตุ สาหกรรมและความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยบรู พา Department of Industrial Hygiene and Safety, Faculty of Public Health, Burapha University Received: Apr 17, 2020 Revised: Jun 9, 2020 Accepted: Jun 26, 2020 บทคดั ยอ่ การวิจัยก่ึงทดลองแบบกลุ่มเดียวและวัดผลก่อน-หลังการทดลอง (The One-Group Pretest- Posttest Design)นี้ มีวัตถุประสงคเ์ พ่อื ศกึ ษาผลของโปรแกรมการปรับเปลยี่ นพฤติกรรมเพื่อความปลอดภัยที่มี ต่อพฤติกรรมความปลอดภัยในการทางานของพนักงานทาความสะอาด ในโรงพยาบาลตติยภูมิแห่งหนึ่ง ใน จังหวัดปทุมธานี คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบจาเพาะเจาะจง จานวน 25 คน ดาเนินการศึกษาระหว่างเดือน พฤศจิกายน ถึงธันวาคม 2562 เคร่ืองมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ แบบวัดพฤติกรรมภายนอกเพื่อสังเกต พฤติกรรมความปลอดภัย และแบบวัดพฤติกรรมภายในประกอบด้วย แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลท่ัวไปและ พฤตกิ รรมความปลอดภัยในการทางาน โดยโปรแกรมการปรับเปลยี่ นพฤติกรรมเพือ่ ความปลอดภยั เป็นกิจกรรม การจัดการด้านความปลอดภัยเพ่ือให้พนักงานมีการปรับพฤติกรรมท่ีไม่ปลอดภัยให้เป็นพฤติกรรมท่ีปลอดภัย ซึ่งใช้หลักการพ้ืนฐานคือ การค้นหาพฤติกรรมเสี่ยง และดาเนินการปรับปรุงให้พนักงานมีการเปล่ียนวิธีการ ทางานให้ถูกต้องปลอดภัย ด้วยการแนะนาในลักษณะเชิงบวก ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉล่ีย คะแนนพฤติกรรมความปลอดภัยในภาพรวมทั้งพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล และการ ปฏบิ ตั ติ ามระเบยี บขอ้ บงั คบั เพอ่ื ความปลอดภัยในการทางานของพนักงานทาความสะอาดก่อนการประยุกต์ใช้ โปรแกรมการปรบั เปลี่ยนพฤตกิ รรมเพอ่ื ความปลอดภัย เทา่ กบั 154.52 หลังการประยุกต์ใช้โปรแกรมฯ เท่ากับ 163.20 และเมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างคะแนนพฤติกรรมความปลอดภัยก่อนและหลังการประยุกต์ใช้ โปรแกรมฯ พบว่าค่าเฉล่ียคะแนนพฤติกรรมความปลอดภัยหลังการประยุกต์ใช้โปรแกรมฯ สูงกว่าก่อนการ ประยุกต์ใช้โปรแกรมฯ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ซ่ึงแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการปรับเปล่ียน พฤตกิ รรมเพื่อความปลอดภัยสามารถช่วยพัฒนาพฤตกิ รรมความปลอดภยั ของกลุ่มตวั อยา่ งให้ดีขนึ้ ได้ คาสาคัญ: การปรับเปลยี่ นพฤตกิ รรม, ความปลอดภัย, พฤติกรรมเพอื่ ความปลอดภยั , พนักงานทาความสะอาด 94 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปที ี่ 16 ฉบบั ที่ 1
Effect of Behavior Based Safety Program on Safety at Work Behaviors among Janitors in a Tertiary Hospital, Pathumthani Province ABSTRACT The objective of this one-group pretest-posttest design was to study the effectiveness of Behavior Based Safety (BBS) Program on safety behaviors of janitors who employed in cleaning duties in a hospital. The study group consisted of 25 roustabouts selected by a purposive sampling method. The study carried out in a tertiary hospital in Pathumthani province between November and December 2019. The instruments used in the study were an overt behavioral observation form on safety behaviors and the covert- behavioral measures including questionnaires concerning general information and safety behaviors at work. BBS Program was a managing activity for modifying from unsafe behaviors to safety behaviors. The basis was to focus on risk behaviors and the application of an intervention strategy to eliminate unsafe behaviors with positive reinforcement. The results of the research revealed that the study janitors had average scores of overall safety behaviors, including the behaviors of using PPE and compliance with work safety regulations among the cleaners were 154.52 before and 163.20 after the implementation. When the comparison was performed, the study found that the average scores of safety behaviors after the implementation was significantly higher than that before the experiment at 0.01 (P<0.001). This study concluded that the BBS program could improve safety behaviors of the cleaning keepers in the hospital. Key words: Behavior Based Safety Program, Safety Behaviors, Janitors. บทนา พนักงานทาความสะอาดถือเป็นอาชีพพื้นฐานที่มี มีการสัมผัสกับเชื้อโรค ฝุ่นละออง สารเคมี หรือมี อยู่ท่ัวโลก จากการสารวจภาวะการมีงานทาของ ท่าทางการทางานซ้าๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ต้อง ประชากรของสานักงานสถิติแห่งชาติในเดือน ปฏิบัตงิ านในสถานพยาบาลจะพบความเสี่ยงเพิ่มมาก พฤศจิกายน ปี 2553-2557 พบว่าอาชีพพนักงาน ข้ึน (พิชญา พรรคทองสุข, 2555) จากการทางานใน บริการรวมถึงพนักงานทาความสะอาดมีจานวนมาก สภาพแวดล้อมที่เป็นอันตราย และมีส่ิงคุกคามทาง เป็นอันดับ 2 ของผู้มีงานทา คิดเป็นร้อยละ 19.1 สุขภาพหลายด้าน ได้แก่ ขยะติดเชื้อ (Levy et al., (สานักงานสถิติแห่งชาติ, 2558) และจากทิศทางการ 2006) อุบัติเหตุจากของมีคม (Rogers , 2003, Rongo เปลี่ยนแปลงของอาชีพปี 2558-2562 จาแนกตาม et al., 2005, May, 2013) การอยู่ในสภาพแวดล้อม หมวดอาชีพ พบว่าอาชีพพนักงานทาความสะอาดมี ที่ส่งผลต่อภาวะสุขภาพ เช่น การปฏิบัติงานในหอ อัตราการเติบโตเฉลี่ยเพ่ิมมากขึ้นทุกปี คิดเป็นร้อยละ ผู้ป่วยท่ีมีการติดต่อและแพร่กระจายเช้ือทางอากาศ 1.7 (กองวิจัยตลาดแรงงาน กรมการจัดหางาน, airborne transmission (European Agency for 2558) อาชีพพนักงานทาความสะอาดเป็นอาชีพท่ีมี Safety and Health at work, 2009) รวมทั้งรวมท้ัง ความเสย่ี งด้านสุขภาพเนื่องจากลักษณะการทางานที่ ปัจจัยคุกคามต่างๆ เช่น ด้านเคมี ด้านการยศาสตร์ Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 95
ผลของโปรแกรมการปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรมเพอื่ ความปลอดภยั ทมี่ ตี อ่ พฤตกิ รรมความปลอดภยั ในการทางานของพนกั งานทาความสะอาด ในโรงพยาบาลตตยิ ภูมแิ หง่ หนึ่ง ของจงั หวดั ปทมุ ธานี ท่าทางการทางานท่ีไม่เหมาะสม เป็นต้น (ฉัตร์ยุภา งบประมาณที่ใช้ในรักษาพยาบาลและเพ่ือส่งเสริมให้ จิโนรส และคณะ, 2558) จากการศกึ ษาอัตราการเกิด พนักงานกลุ่มอาชีพนี้มีคุณภาพชีวิตการทางานที่ดี อุบัติการณ์และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บจาก ตอ่ ไป การทางานของพนักงานเก็บขยะในโรงพยาบาลศูนย์ เขตภาคกลางในปี 2558 พบว่าในระยะเวลา 1 ปี วธิ ีการศกึ ษา มีพนักงานถูกเข็มทิ่มตาจากการเก็บแยกขยะ ร้อยละ การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียว 24 (พิชญพร พูนนาค, 2559) และจากการศึกษาของ และวัดผลก่อน-หลังการทดลอง (The One-Group Kandeel & El-Gilany (2017) ที่ทาการศึกษาเรื่อง Pretest-Posttest Design) โดยวัดผลก่อนและหลัง การบาดเจ็บจากการถูกเข็มทิ่มตาและของมีคมบาด การประยุกต์ใช้โปรแกรม BBS ของพนักงานทาความ ในกลุ่มพนักงานทาความสะอาดในโรงพยาบาลซอดิ สะอาดในโรงพยาบาลตติยภูมิแห่งหน่ึง จังหวัด ประเทศซาอุดิอาระเบียพบว่า ผู้ท่ีถูกเข็มทิ่มตาหรือ ปทุมธานี ดาเนินการวิจัย ระหว่างเดือนพฤศจิกายน – ของมีคมบาดเป็นกลุ่มพนักงานทาความสะอาดสูงถึง ธันวาคม 2562 รอ้ ยละ 17.8 กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ท่ีปฏิบัติงานตาแหน่งพนักงาน โปรแกรมการปรับเปล่ียนพฤติกรรมเพ่ือความ ทาความสะอาดของโรงพยาบาลตติยภูมิแห่งหน่ึง ใน ปลอดภัยหรือ Behavior Based Safety (BBS) เป็น จังหวัดปทุมธานี คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการ กิจกรรมการจัดการด้านความปลอดภัยโดยการปรับ เจาะจง (Purposive Sampling) มีเกณฑ์การคัดเข้า พฤติกรรมท่ีไม่ปลอดภัยของพนักงานให้เป็น คือ เป็นพนักงานทาความสะอาดท่ีอยู่ในระหว่างการ พฤติกรรมท่ปี ลอดภัย ซึ่งหลกั การพื้นฐานการทา BBS ปฏิบัติงานตาแหน่งพนักงานทาความสะอาดของ คือการค้นหาพฤติกรรมเสี่ยงของพนักงานและ โรงพยาบาลระดับตติยภูมิแห่งหนึ่ง จังหวัดปทุมธานี ดาเนินการปรับปรุงให้พนักงานมีการเปลี่ยนวิธีการ และเต็มใจเข้าร่วมการวิจัย ได้กลุ่มตัวอย่างจานวน ทางานให้ถูกต้องปลอดภัย ด้วยการแนะนาให้ 25 คน พนักงานคิดในสิ่งที่ควรปฏิบัติให้ถูกต้องเป็นประจา ผ่านการแนะนาที่ดีในลักษณะเชิงบวก จนทาให้เกิด ขนั้ ตอนการศึกษา เป็นพฤติกรรมท่ีปลอดภัยอย่างยั่งยืนได้ (สมาคม ขั้นตอนท่ี 1 การค้นหาพฤติกรรมท่ีไม่ปลอดภัย อาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทางาน โดยให้กลุ่มตัวอย่างสารวจพฤติกรรมการทางานที่ไม่ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, 2549) ป ล อ ด ภั ย ข อ ง ต น เ อ ง แ ล ะต้ อ ง ก า ร แ ก้ ไ ข ใ ห้ มี ค ว า ม โปรแกรม BBS ได้ถูกนามาใช้อย่างแพร่หลาย แต่ยัง ปลอดภัย เคร่อื งมือท่ีใช้ในการสารวจคือแบบสอบถาม ไม่พบการศึกษาที่ใช้โปรแกรม BBS กับกลุ่มอาชีพ เพ่ือวัดพฤติกรรมภายใน หลังจากน้ันจัดอบรมสร้าง พนักงานทาความสะอาดในโรงพยาบาล การวิจัยนี้มี ความรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกบั โปรแกรม BBS ให้แก่กลุ่ม วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมความปลอดภัยใน ตัวอย่าง การทางานของพนักงานทาความสะอาด และศึกษา ข้ันตอนที่ 2 การสังเกตพฤติกรรมเป้าหมาย เป็น ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อความ การบันทึกพฤติกรรมการทางานของกลุ่มตัวอย่างโดย ปลอดภัยหรือ Behavior Based Safety (BBS) ของ ผู้สังเกตคือหัวหน้างาน เคร่ืองมือท่ีใช้บันทึก พนักงานทาความสะอาด โดยผลการวิจัยท่ีได้จะเป็น พฤติกรรมการทางานของกลุ่มตัวอย่างเป็นแบบ ข้อมูลพนื้ ฐานในการจดั โปรแกรมการสอนพนักงานทา สังเกตพฤติกรรม (Behavior observation check ความสะอาดและเป็นประโยชน์ในการวางแผนส่งเสริม sheet) โดยหวั หน้างานจะสงั เกตพฤติกรรมการทางาน และป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพของพนักงานทา ของกลุ่มตัวอย่างทุกวัน วันละ 1 คร้ัง แบบสุ่มเวลา ความสะอาดในโรงพยาบาลทุกระดับ ซึ่งจะช่วยลด เม่ือพบกลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการทางานานท่ีไม่ 96 วารสารสาธารณสขุ ล้านนา ปีท่ี 16 ฉบบั ท่ี 1
Effect of Behavior Based Safety Program on Safety at Work Behaviors among Janitors in a Tertiary Hospital, Pathumthani Province ปลอดภัย หัวหน้างานจะเข้าแทรกแซงเพ่ือแนะนา เกย่ี วกบั ความปลอดภัยในการทางาน และประวัติการ พฤติกรรมที่ถูกต้องทันที ในข้ันตอนนี้ผู้วิจัยจะ เกดิ อุบัติเหตุจากการทางาน รวบรวมแบบสังเกตพฤติกรรมและนัดพบกับกลุ่ม ตวั อย่างสัปดาห์ละ 1 ครงั้ เพื่อประเมินการเปล่ียนแปลง ส่วนที่ 2 ข้อมูลพฤติกรรมความปลอดภัยในการ พฤติกรรมเป้าหมาย และทราบถึงปัญหาที่พบในการ ทางาน รวม 44 ข้อ ประกอบด้วยพฤติกรรมการใช้ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทางานของกลุ่มตัวอย่างใน อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล (PPE) จานวน 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมท้ังเสนอแนวทางแก้ไข 15 ข้อ และการปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับเพื่อ ห ลั ง จ า ก น้ั น ผู้ วิ จั ย น า แ บ บ สั ง เ ก ต พ ฤ ติ ก ร ร ม ไ ป ความปลอดภัยในการทางานของกลุ่มตัวอย่างจานวน วิเคราะห์ข้อมลู ตอ่ ไป 29 ข้อ เป็นแบบมาตราประเมินค่า (Likert’s Scale 4) ระดับคือ ทุกคร้ัง บ่อยครั้ง นานๆ คร้ัง และไม่เคย ข้ันตอนที่ 3 การส่งเสริมและปรับปรุงพฤติกรรม ซ่งึ มีเกณฑ์การพจิ ารณาดังน้ี โดยใช้หลักการจูงใจเชิงบวก เพ่ือให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมภายใน ซ่ึงจะแสดงออกถึง - ทุกครั้ง หมายถึง ปฏบิ ตั ไิ ด้ถูกตอ้ งสมา่ เสมอเปน็ พฤติกรรมภายนอก โดยมีหลักการคือกรณีกลุ่ม ประจาทุกครั้ง เช่น ใน 10 คร้ัง ปฏิบตั ทิ ง้ั หมด 10 ครงั้ ตัวอย่างมีพฤติกรรมที่ไม่ปลอดภัยในการทางาน ให้ หัวหนา้ งานเข้าไปเตือนทันที และให้คาแนะนาในการ - บ่อยครั้ง หมายถึง ปฏิบัติได้ถูกต้องค่อนข้าง ปรับเปล่ียนเป็นพฤติกรรมที่ปลอดภัย และขอคา สม่าเสมอ เช่น ใน 10 คร้ังปฏิบตั ทิ ั้งหมด 5-9 ครงั้ สัญญาว่าจะไม่กระทาพฤติกรรมท่ีไม่ปลอดภัยน้ันอีก หากกลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมที่ปลอดภัยอยู่แล้ว ให้ - นาน ๆ ครั้ง หมายถึง ปฏิบัติได้ถูกต้องใน หัวหน้างานชมเชยพฤติกรรมปลอดภัยท่ีกระทาอยู่ บางครั้ง เชน่ ใน 10 คร้งั ปฏบิ ัตทิ ้ังหมด 1-4 ครง้ั เพ่ือส่งเสริมและสนับสนุนให้ปฏิบัติพฤติกรรมนั้น ต่อไป - ไมเ่ คย หมายถึง ไม่เคยปฏิบัติสง่ิ เหล่านนั้ เลย ข้ันตอนท่ี 4 การวัดผลการส่งเสริมและปรับปรุง โดยให้ผู้เข้ารว่ มวิจัยเลอื กเพียงคาตอบเดียวตาม พฤตกิ รรม เป็นการประเมินพฤติกรรมความปลอดภัย การปฏบิ ัตจิ ริงของตนเอง แบบทดสอบแตล่ ะข้อมีคา่ ในการทางานของกลุ่มตัวอย่างแต่ละสัปดาห์ รวม 4 คะแนนดังนี้ สัปดาห์ และประเมินระดับพฤติกรรมความปลอดภัย ใ น ก า ร ท า ง า น เ ป รี ย บ เ ที ย บ ก่ อ น แ ล ะ ห ลั ง ก า ร ระดับ คะแนนขอ้ คะแนนขอ้ ประยุกต์ใช้โปรแกรม BBS เมอ่ื ครบระยะเวลา 1 เดือน การปฏิบัติ คาถามเชงิ บวก คาถามเชิงลบ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือ แบบสอบถามเพ่ือ ทุกครงั้ วัดพฤติกรรมภายใน ซึ่งเป็นชุดเดียวกับเคร่ืองมือใน 4 1 ข้ันตอนท่ี 1 บ่อยครั้ง 3 2 เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการศึกษา นานๆ ครัง้ 1. แบบสอบถามเพ่ือวัดพฤติกรรมภายใน (Covert 2 3 behavior) ของกลุ่มตัวอย่างประยุกต์จากสุรวิทย์ ไมเ่ คย นันตะพร (2557) แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1 4 ส่วนท่ี 1 ขอ้ มูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง จานวน 8 ข้อ ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพ พ้ืนที่ปฏิบัติงาน อายุการ การแปลผลระดับพฤติกรรมแบ่งตามช่วงระดับ ทางาน ระดับการศึกษา ประวัติการเข้าอบรม คะแนน โดยหาค่าพิสัยจากคะแนนดิบ (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2548) ซ่ึงแบ่งระดับพฤติกรรมความปลอดภัยในการ ทางานเป็น 3 ระดับ คอื คะแนน 44–88 หมายถึง มีพฤติกรรมความ ปลอดภยั ในการทางานระดับนอ้ ย คะแนน 89–132 หมายถึง มีพฤติกรรมความ ปลอดภยั ในการทางานระดับปานกลาง คะแนน 133–176 หมายถึง มีพฤติกรรมความ ปลอดภยั ในการทางานระดับมาก Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 97
ผลของโปรแกรมการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมเพอ่ื ความปลอดภยั ทม่ี ตี อ่ พฤตกิ รรมความปลอดภยั ในการทางานของพนกั งานทาความสะอาด ในโรงพยาบาลตตยิ ภมู แิ ห่งหนึ่ง ของจงั หวดั ปทมุ ธานี 2. แบบ สังเ กตพ ฤติก รรม คว า มปล อดภั ย ความถี่ รอ้ ยละ คา่ เฉลีย่ ค่าตา่ สดุ ค่าสงู สุด และส่วน (Behavior observation check sheet) ซึ่งเป็น เบ่ียงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติเชิงอนุมาน คือ เครื่องมือการวัดพฤติกรรมภายนอก (Overt behavior) Wilcoxal Rank Sum Test ในการวิเคราะห์เปรยี บเทยี บ ประกอบด้วยพฤติกรรมเป้าหมาย 12 พฤติกรรม ระดบั พฤติกรรมความปลอดภัยของกลุ่มตัวอย่างก่อน ประกอบดว้ ย 1. ใสร่ องเท้าที่มีพื้นยางหุ้มแข้งเม่ือต้อง และหลงั การประยกุ ตใ์ ชโ้ ปรแกรม BBS ปฏิบัติงานในห้องน้าห้องส้วม 2. ใส่ N95 เม่ือต้อง การพิทกั ษส์ ิทธิของกลุ่มตัวอย่าง ปฏิบัติงานในห้องแยกโรคหรือใส่ Surgical mask ตามความเหมาะสมของสถานท่ีปฏิบัติงาน 3. สวมใส่ การวิจัยน้ีผ่านการพิจารณาและได้รับการอนุมัติ ถุงมือทุกครั้งท่ีต้องซักผ้าข้ีร้ิว 4. ใช้อุปกรณ์ป้องกัน จากคณะกรรมการจริยธรรมวิจัยในมนุษย์ของคณะ อันตรายทุกครั้งท่ีปฏิบัติงาน 5. ไม่ทดสอบสารเคมี สาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา เลขท่ี โดยการสูดดม 6. สวมถุงมือยางชนิดใช้คร้ังเดียว 017/2561 ลงวนั ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 เม่ือมีโอกาสสัมผัสเช้ือโรคหรือสารคัดหล่ัง 7. ไม่ใช้ ผลการศกึ ษา อุปกรณ์ป้องกันอันตรายท่ีขาดหรือชารุด 8. สวม ผ้ายางกันเป้ือนทุกคร้ังที่ต้องปฏิบัติงานกับขยะ ข้อมูลท่ัวไปของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า กลุ่มตัวอย่าง มูลฝอย 9. วางป้ายเตือนอันตรายขณะปฏิบัติงาน ท้ังหมดเป็นเพศหญิง กลุ่มอายุ 51-60 ปี มากที่สุด 10. ตรวจสภาพความพร้อมของเคร่ืองมือก่อนใช้งาน รอ้ ยละ 44.0 อายุ 41-50 ปี และ 61 ปีขึ้นไป ร้อยละ 11. ถอดเครื่องประดับก่อนใส่ถุงมือ 12. ไม่ทางาน 20.0 เท่ากัน อายุเฉลี่ย 53.44 ปี อายุต่าสุด 35 ปี ข้ามขนั้ ตอน โดยผลจากการสงั เกตพฤตกิ รรมจะนามา อายุสูงสุด 68 ปี สถานภาพสมรส ร้อยละ 64.0 วิเคราะห์เป็นร้อยละของการปฏิบัติตามพฤติกรรม จบระดับการศึกษาต่ากว่าระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ปลอดภัยของกลุ่มตัวอย่างในแต่ละพฤติกรรม ร้อยละ 80.0 ปฏิบัติงานอยู่แผนกดูแลผู้ป่วยใน (IPD) เป้าหมายท่ีไดต้ งั้ ไวเ้ ป็นระยะเวลาติดต่อกัน 4 สัปดาห์ ร้อยละ 56.0 รองลงมาคือ ปฏิบัติงานอยู่แผนกอ่ืนๆ และมีการให้คะแนนคือ 1 พฤติกรรมเท่ากับ รอ้ ยละ 32.0 สว่ นใหญป่ ฏิบตั ิงานเป็นระยะเวลา 1-5 ปี 1 คะแนน ใน 1 วัน พนักงานจานวน 25 คน ต้อง ร้อยละ 64.0 รองลงมา คือ ระหว่าง 6-10 ปี ร้อยละ ปฏิบัติตามท้ังหมด 12 พฤติกรรม รวมคะแนนใน 20.0 ระยะเวลาการปฏิบัติงานเฉลี่ย 6.16 ปี ระยะเวลา 1 วัน กลุ่มตัวอย่างท้ังหมดจะมีคะแนนเต็มเท่ากับ การปฏิบัติงานต่าสุด 1 ปี ระยะเวลาการปฏิบัติงาน สูงสุด 30 ปี ส่วนใหญ่ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุจากการ 300 คะแนน คดิ เป็น 100% ทางาน ร้อยละ 84.0 และส่วนใหญ่เคยได้รับการ การหาคุณภาพเครอื่ งมอื ฝึกอบรมด้านความปลอดภัยในการทางาน ร้อยละ เ ค รื่ อ ง มื อ ท่ี ใ ช้ ใ น ก า ร ศึ ก ษ า ค ร้ั ง นี้ ผ่ า น ก า ร 64.0 ดังตารางท่ี 1 ตรวจสอบความเที่ยงตรงของเคร่ืองมือ (Validity) โดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน แล้วนาเคร่ืองมือที่สร้างข้ึน ข้อมูลการสังเกตพฤติกรรมความปลอดภัยพบว่า ไปคานวณหาค่า IOC (Item-objective congruence) ร้อยละของแนวโน้มพฤติกรรมเป้าหมายโดยรวมดีขึ้น ได้ มากกว่า 0.5 ในแต่ละขอ้ ของคาถาม พ นั ก ง า น ท า ค ว า ม ส ะ อ า ด ส า ม า ร ถ ป ฏิ บั ติ ต า ม พฤติกรรมเป้าหมายครบร้อยละ 100 ตั้งแต่สัปดาห์ที่ การวิเคราะห์ข้อมูล 2 เปน็ ตน้ ไป และยังคงปฏิบัติตามพฤติกรรมเป้าหมาย วิเคราะห์ข้อมูลท่ัวไปและข้อมูลพฤติกรรมความ ได้ครบรอ้ ยละ 100 จนถงึ สัปดาห์ท่ี 4 ดงั ตารางที่ 2 ปลอดภัย โดยใชส้ ถติ ิเชงิ พรรณนา คือ การแจกแจง 98 วารสารสาธารณสุขล้านนา ปที ี่ 16 ฉบับท่ี 1
Effect of Behavior Based Safety Program on Safety at Work Behaviors among Janitors in a Tertiary Hospital, Pathumthani Province ตารางที่ 1 จานวนและรอ้ ยละของกลุม่ ตัวอยา่ ง จาแนกตามข้อมลู ท่วั ไป ข้อมูลท่ัวไป (n = 25) จานวน รอ้ ยละ เพศ 0 0.0 ชาย 25 100.0 หญิง 4 16.0 อายุ (ป)ี 5 20.0 นอ้ ยกว่า 41 11 44.0 41 – 50 5 20.0 51 – 60 61 ปี ข้ึนไป 1 4.0 16 64.0 Min = 35, Max = 68, Mean = 53.44, S.D. = 9.12 8 32.0 สถานภาพ 20 80.0 โสด 3 12.0 สมรส 1 4.0 หยา่ ร้าง/แยกกนั อยู่/หมา้ ย 1 4.0 ระดบั การศึกษา ต่ากว่ามัธยมศกึ ษาตอนตน้ 14 56.0 มัธยมศึกษาตอนตน้ 2 8.0 มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย 1 4.0 ปวช. 8 32.0 ปัจจุบนั ทางานอยูใ่ นพนื้ ที่ แผนกดูแลผู้ปว่ ยใน (IPD) 16 64.0 แผนกฉกุ เฉนิ โรงพยาบาล (ER) 5 20.0 แผนกดูแลผู้ปว่ ยนอก (OPD) 4 16.0 แผนกอืน่ ๆ ระยะเวลาการทางาน (ปี) 4 16.0 1–5 21 84.0 6 – 10 11 ปีขนึ้ ไป 16 64.0 Min = 1, Max = 30, Mean = 6.16, SD = 7.180 9 36.0 การเกดิ อบุ ัตเิ หตจุ ากการทางาน (นับต้งั แตเ่ ริ่มปฏิบตั ิงานตาแหน่งพนกั งานทาความสะอาด) เคย ไม่เคย การฝึกอบรมดา้ นความปลอดภยั ในการทางาน เคย ไม่เคย Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 99
ผลของโปรแกรมการปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรมเพอ่ื ความปลอดภยั ทมี่ ตี อ่ พฤตกิ รรมความปลอดภยั ในการทางานของพนกั งานทาความสะอาด ในโรงพยาบาลตตยิ ภมู แิ หง่ หนึ่ง ของจงั หวดั ปทุมธานี ตารางท่ี 2 รอ้ ยละการปฏิบตั ิตามพฤติกรรมเป้าหมายของกลมุ่ ตวั อย่างเปรยี บเทยี บรายสปั ดาห์ พฤติกรรมเป้าหมาย การปฏิบัตติ ามพฤติกรรมเปา้ หมาย (จานวน (ร้อยละ) สัปดาห์ที่ 1 สปั ดาหท์ ี่ 2 สัปดาห์ที่ 3 สัปดาหท์ ี่ 4 1. ใส่รองเท้าพื้นยางหุ้มแข็งเมื่อต้อง 21 (84.0) 25 (100.0) 25 (100.0) 25 (100.0) ปฏบิ ัตงิ านในหอ้ งนา้ ห้องส้วม 2. ใส่ N95 เมอื่ ต้องปฏิบัติงานในห้องแยก 21 (84.0) 25 (100.0) 25 (100.0) 25 (100.0) โรคหรือใส่Surgical mask ตามความ เหมาะสมของสถานที่ปฏบิ ัติงาน 3. สวมใส่ถงุ มอื ทุกครัง้ ทต่ี ้องซักผา้ ขีร้ ้ิว 14 (56.0) 25 (100.0) 25 (100.0) 25 (100.0) 4. ใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายทุกครั้งที่ 19 (76.0) 25 (100.0) 25 (100.0) 25 (100.0) ปฏบิ ัติงาน 5. ไม่ทดสอบสารเคมโี ดยการสูดดม 22 (88.0) 25 (100.0) 25 (100.0) 25 (100.0) 6. สวมถุงมือยางชนิดใช้ครั้งเดียว เมื่อมี 21 (84.0) 25 (100.0) 25 (100.0) 25 (100.0) โอกาสสมั ผัสเช้อื โรคหรือสารคดั หลง่ั 7. ไม่ใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายท่ีขาด 24 (96.0) 25 (100.0) 25 (100.0) 25 (100.0) หรอื ชารดุ 8. สวมผ้ายางกันเป้ือนทุกคร้ังที่ต้อง 24 (96.0) 25 (100.0) 25 (100.0) 25 (100.0) ปฏิบัติงานกับขยะมูลฝอย 9. วางป้ายเตอื นอนั ตรายขณะปฏิบตั งิ าน 22 (88.0) 25 (100.0) 25 (100.0) 25 (100.0) 10. ตรวจสภาพความพร้อมของเครื่องมือ 24 (96.0) 25 (100.0) 25 (100.0) 25 (100.0) ก่อนใช้งาน 11. ถอดเครื่องประดับก่อนใส่ถุงมือ (เช่น 22 (88.0) 25 (100.0) 25 (100.0) 25 (100.0) แหวน, นาฬกิ าข้อมอื ) 12. ไม่ทางานข้ามข้ันตอน 5. ไม่ทดสอบ 24 (96.0) 25 (100.0) 25 (100.0) 25 (100.0) สารเคมีโดยการสูดดม ข้อมูลการเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรม โปรแกรม BBS มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญ ความปลอดภัยของกลุ่มตัวอย่างก่อนและหลังการ ทางสถติ ทิ ร่ี ะดับ 0.01 (p< 0.001) ประยุกตใ์ ช้โปรแกรม BBS พบว่า ส่วนค่าเฉล่ียการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเพื่อ กลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉล่ียพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์ ความปลอดภัยในการทางานก่อนและหลังการ ป้ อ ง กั น อั น ต ร า ย ส่ ว น บุ ค ค ล ก่ อ น แ ล ะ ห ลั ง ก า ร ประยุกต์ใช้โปรแกรม BBS เท่ากับ 102.52 คะแนน ประยุกต์ใช้โปรแกรม BBS เท่ากับ 52.00 คะแนนและ และ 104.88 คะแนนตามลาดับ เม่ือเปรียบเทียบ 58.32 คะแนนตามลาดับ เม่ือเปรียบเทียบความ ความแตกต่างการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเพ่ือ แตกต่างพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตราย ความปลอดภัยในการทางานก่อนและหลังการ ส่วนบุคคลก่อนและหลังการประยุกต์ใช้โปรแกรม ประยุกต์ใช้โปรแกรม BBS พบว่าค่าเฉล่ียการปฏิบัติ BBS พบว่า ค่าเฉลี่ยพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์ป้องกัน ตามระเบียบข้อบังคับเพ่ือความปลอดภัยในการ อันตรายส่วนบุคคลก่อนและหลังการประยุกต์ใช้ 100 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปที ่ี 16 ฉบับท่ี 1
Effect of Behavior Based Safety Program on Safety at Work Behaviors among Janitors in a Tertiary Hospital, Pathumthani Province ทางานก่อนและหลังการประยุกต์ใช้โปรแกรม BBS คะแนน และ 163.20 คะแนน ตามลาดับ เมื่อ ไมม่ ีความแตกต่างกนั เปรียบเทียบความแตกต่างพฤติกรรมความปลอดภัย ในภาพรวมระหว่างก่อนและหลังการประยุกต์ใช้ สาหรับค่าเฉล่ียพฤติกรรมความปลอดภัยใน โปรแกรม BBS พบว่า ค่าเฉล่ียพฤติกรรมความปลอดภัย ภาพรวมทั้งพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตราย ในภาพรวมก่อนและหลังการประยุกต์ใช้โปรแกรม ส่วนบุคคล และการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเพ่ือ BBS มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ ความปลอดภัยในการทางานของกลุ่มตัวอย่างก่อน ระดับ 0.01 (p< 0.001) ดงั ตารางที่ 3 และหลังการประยุกต์ใชโ้ ปรแกรม BBS เทา่ กับ 154.52 ตารางที่ 3 เปรยี บเทียบผลตา่ งคะแนนเฉลยี่ พฤติกรรมการใช้อปุ กรณ์ป้องกันอันตรายสว่ นบุคคล ระหว่าง กอ่ นและการประยุกต์ใชโ้ ปรแกรม BBS (n = 25) ข้อความ Mean S.D. Z p-value 52.00 4.743 -3.948 < 0.001* พฤติกรรมการใชอ้ ุปกรณป์ อ้ งกนั อนั ตรายส่วนบุคคล ก่อนการประยุกตใ์ ชโ้ ปรแกรม BBS หลังการประยุกตใ์ ช้โปรแกรม BBS 58.32 2.076 การปฏิบตั ิตามระเบียบข้อบงั คบั เพ่อื ความปลอดภัยใน การทางาน ก่อนการประยุกต์ใชโ้ ปรแกรม BBS 102.52 6.206 -1.658 0.097 หลงั การประยุกต์ใชโ้ ปรแกรม BBS 104.88 1.269 พฤติกรรมความปลอดภัยในภาพรวม กอ่ นการประยุกตใ์ ช้โปรแกรม BBS 154.52 9.120 -3.575 < 0.001* หลังการประยุกตใ์ ชโ้ ปรแกรม BBS 163.20 1.633 P-value<0.01 อภิปรายผล โปรแกรม BBS อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติ (p< 0.001) การนาโปรแกรมการปรับเปล่ียนพฤติกรรมเพื่อ ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั การศึกษาของนาถนารี ใคร่ครวญกุล ความปลอดภัยท่ีมีต่อพฤติกรรมความปลอดภัยในการ (2557) ที่ศึกษาการประยุกต์ใช้ทฤษฎีพฤติกรรม ทางานของพนักงานทาความสะอาดมาใช้ โดยทาการ ปลอดภัยเพอื่ ปรบั เปลี่ยนพฤตกิ รรมเส่ียงของพนักงาน วัดและติดตามผลก่อนและหลังการประยุกต์ใช้ ขับรถยกและรถตักแร่ ผลการวิจัยพบว่าหลังการนา โปรแกรม BBS ผลการวิจยั พบวา่ หลงั การประยุกต์ใช้ โปรแกรมพฤติกรรมปลอดภัยมาใช้พนักงานรถยก โปรแกรมกลุ่มตัวอย่างมีค่าเฉล่ียพฤติกรรมความ และรถตักแร่มีพฤติกรรมเส่ียงของลดลงอย่างมี ปลอดภัยในภาพรวมสูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบความ นัยสาคัญทางสถิติ และสอดคล้องกับการศึกษาของ แตกต่างพฤติกรรมความปลอดภัยระหว่างก่อนและ ธิติพันธ์ วงศ์อารีย์สวัสดิ์ (2549) ซ่ึงศึกษาเรื่องการ หลังการประยุกต์ใช้โปรแกรม BBS พบว่า ค่าเฉลี่ย ประยุกต์ใช้กระบวนการ BBS ในการพัฒนาพฤติกรรม พฤติกรรมความปลอดภัยสูงกว่าก่อนการประยุกต์ใช้ การขบั รถอยา่ งปลอดภยั กรณีศึกษาในโรงงานไทยโพ Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 101
ผลของโปรแกรมการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมเพอ่ื ความปลอดภยั ทม่ี ตี อ่ พฤตกิ รรมความปลอดภยั ในการทางานของพนกั งานทาความสะอาด ในโรงพยาบาลตตยิ ภูมแิ ห่งหนึ่ง ของจงั หวดั ปทมุ ธานี ลีเอททีลีนจากัด ผลการศึกษาพบว่ากระบวนการ กับการศึกษาของ ศิริพร เข็มทอง (2554) ท่ีได้ศึกษา BBS สามารถพัฒนาพฤติกรรมปลอดภัยในการขับรถ เรื่องการลดพฤติกรรมเสี่ยงของพนักงานด้วยหลัก ได้และลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุลงอย่างมีนัยสาคัญ พฤติกรรมความปลอดภัย กรณีศึกษาโรงงานผลิต ทางสถิติ แสดงให้เห็นว่า โปรแกรมการปรับเปลี่ยน อะไหล่และประกอบนาฬิกาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมี พฤติกรรมเพ่ือความปลอดภัยสามารถช่วยพัฒนา ระดับพฤติกรรมในการทางานอย่างปลอดภัยอยู่ใน พฤตกิ รรมความปลอดภัยของพนักงานให้ดขี ึน้ ได้ ระดับดี โดยหลังจากนา BBS มาใช้กลุ่มตัวอย่างมี ผลของการสังเกตพฤติกรรมความปลอดภัย คะแนนพฤติกรรมความปลอดภัยเฉล่ียดีขึ้นจากร้อย เป้าหมายของกลุ่มตัวอย่างพบว่าเปอร์เซ็นต์แนวโน้ม ละ 69.8 เป็นร้อยละ 100 และยังสอดคล้องกับ พฤติกรรมเป้าหมายโดยรวมดีข้ึน กลุ่มตัวอย่าง การศึกษาของปฐมาภรณ์ ทศพล (2551) เรื่องการ สามารถปฏิบัติตามพฤติกรรมเป้าหมายครบ ร้อยละ พัฒนาพฤติกรรมความปลอดภัยของช่างซ่อมบารุง 100 ต้ังแต่สัปดาห์ที่ 2 เป็นต้นไป และยังคงปฏิบัติ โดยใช้หลักการ BBS ในโรงงานผลิตปูนปลาสเตอร์ ตามพฤติกรรมเป้าหมายได้ครบร้อยละ 100 จนถึง พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีระดับพฤติกรรมเกี่ยวกับความ สัปดาหท์ ่ี 4 แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการปรับเปลี่ยน ปลอดภัยในการทางานก่อนการวิจัยอยู่ในระดับดี คิด พฤติกรรมเพ่อื ความปลอดภยั สามารถสร้างพฤติกรรม เปน็ ร้อยละ 81.18 และหลังจากนา BBS มาใช้ พบว่า ความปลอดภัยในการทางานของกลุ่มตัวอย่างดีข้ึนได้ อยู่ในระดับดที กุ คนคิดเป็นร้อยละ 100 แสดงให้เห็นว่า ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของสุรวิทย์ นันตะพร โปรแกรมการปรับเปล่ียนพฤติกรรมเพื่อความ (2557) ท่ีศึกษาผลของโปรแกรม BBS ต่อพฤติกรรม ปลอดภัยสามารถช่วยพัฒนาพฤติกรรมความ ความปลอดภัยในการทางานของพนักงานฝ่ายผลิต ปลอดภยั ของพนักงานใหด้ ีข้นึ ได้ ชิ้นส่วนประกอบและอะไหล่รถยนต์แห่งหนึ่งใน ในการศึกษาการเปรียบเทียบความแตกต่างการ จังหวัดชลบรุ ี ผลการศึกษาพบวา่ ในระหวา่ งสัปดาห์ ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเพื่อความปลอดภัยใน ที่ 1 ถึง สัปดาห์ที่ 8 หลังการนาโปรแกรม BBS มา การทางานของกลุ่มตัวอย่าง ระหว่างก่อนและหลัง ประยุกต์ใช้ พนักงานมีแนวโน้มเปอร์เซ็นต์พฤติกรรม การประยุกต์ใช้โปรแกรม BBS พบว่า ค่าเฉล่ียการ ความปลอดภัยในการทางานที่ดีขึ้นเร่ือยๆ จนกระทั่ง ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเพื่อความปลอดภัยใน สัปดาห์ที่ 9 พนักงานทุกคนสามารถปฏิบัติได้ตาม การทางานของกลุ่มตัวอย่างก่อนและหลังการ พฤติกรรมเป้าหมายได้ครบร้อยละ 100 และ ประยุกต์ใช้โปรแกรม BBS ไม่มีความแตกต่างกัน ทั้งน้ี สอดคล้องกับผลการศึกษาของปฐมาภรณ์ ทศพล อาจเป็นเพราะกลุ่มตัวอย่างเป็นพนักงานจัดจ้างจาก (2551) ท่ีทาการศึกษาการพัฒนาพฤติกรรมความ ภายนอกโรงพยาบาล ซึ่งผู้ท่ีสังเกตคือหัวหน้างาน ปลอดภัยของพนักงานช่างซ่อมบารุงโดยใช้หลักการ และเป็นการสังเกตแบบรู้ตัว จึงอาจส่งผลให้พนักงาน BBS ในโรงงานผลิตปูนปลาสเตอร์ ผลการวิจัยพบว่า มีความต่ืนตัวในการพยายามที่จะทาตามพฤติกรรม พนกั งานสามารถปฏิบัตติ ามพฤตกิ รรมความปลอดภัย เปา้ หมาย จนสามารถปฏิบัติตามพฤติกรรมเป้าหมาย เป้าหมายไดค้ รบรอ้ ยละ 100 ตั้งแต่เดือนที่ 3 เป็นต้น ได้ตงั้ แต่สปั ดาห์ที่ 2 จนถึงสัปดาห์ที่ 4 ได้ครบร้อยละ ไป แสดงให้เห็นว่า โปรแกรมการปรับเปลี่ย น 100 และจากการศึกษาท่ีพบว่าการปฏิบัติตาม พฤติกรรมเพ่ือความปลอดภัยสามารถช่วยพัฒนา ข้อบังคับการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับเพื่อความ พฤตกิ รรมความปลอดภยั ของพนักงานได้ ปลอดภัยในการทางานของกลุ่มตัวอย่าง ก่อนและ การติดตามระดับของพฤติกรรมความปลอดภัย หลังการประยุกต์ใชโ้ ปรแกรม BBS ไม่มีความแตกต่าง พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีระดับพฤติกรรมความปลอดภัย กัน อาจเกิดความสับสนในการตอบคาถามของกลุ่ม ก่อนและหลังการประยุกต์ใช้โปรแกรม BBS แตกต่าง ตัวอย่าง เนื่องจากกอ่ นการประยุกต์ใช้โปรแกรม BBS กันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 สอดคล้อง เก็บข้อมูลโดยผู้วิจัยเป็นผู้สอบถาม แต่ข้อมูลหลังการ 102 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปที ี่ 16 ฉบบั ที่ 1
Effect of Behavior Based Safety Program on Safety at Work Behaviors among Janitors in a Tertiary Hospital, Pathumthani Province ประยุกต์ใช้โปรแกรม BBS กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ตอบ พนักงานเห็นความสาคัญและเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ แบบสอบถามด้วยตนเอง การจัดโปรแกรมการปรับเปล่ียนพฤติกรรมเพ่ือความ ปลอดภัยซึ่งจะช่วยให้ลดความอึดอัดในการถูกสังเกต ข้อเสนอแนะ พฤติกรรมระหว่างการทางาน และช่วยกระตุ้นให้ พนักงานมีพฤติกรรมความปลอดภัยในการทางาน จากผลการศึกษาครัง้ นี้ ผ้วู ิจัยขอเสนอแนวทางใน มากขนึ้ การนาโปรแกรมการปรับเปล่ียนพฤติกรรมเพื่อความ ปลอดภยั มาประยุกตใ์ ชใ้ หเ้ กิดประสทิ ธภิ าพมากข้นึ 5. ควรมีการเพ่ิมพฤติกรรมความปลอดภัย ดงั นี้ เป้าหมายขึ้นเรื่อย ๆ ตามความเสี่ยงท่ีพบเพื่อป้องกัน การเกิดพฤติกรรมท่ีไม่ปลอดภัย ท่ีอาจจะเกิดข้ึนในท่ี 1.จ า ก ผ ล ก า ร น า โ ป ร แ ก ร ม ก า ร ป รั บ เ ป ลี่ ย น ทางาน พฤติกรรมเพื่อความปลอดภัยมาใช้จะเห็นได้ว่า โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพ่ือความ ข้อเสนอแนะในการทาวิจัยครั้งต่อไป จากการ ปลอดภยั มีส่วนชว่ ยในการส่งเสรมิ ความปลอดภัยและ ศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีประเด็นที่จะศึกษาทาวิจัยคร้ัง ส่งผลให้พนักงานมีพฤติกรรมความปลอดภัยดีขึ้น ท้ัง ต่อไป คอื จะสง่ ผลให้การเกิดอุบตั เิ หตุจากการทางานลดน้อยลง 1. การศึกษาวิจัยคร้ังนี้เป็นการศึกษาผลของ ดังนั้น ควรมีการดาเนินการให้นาหลักการของ โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อความ โปรแกรมการปรับเปล่ียนพฤติกรรมเพื่อความ ปลอดภัยแบบ 1 กลุ่ม หากมีการศึกษาเปรียบเทียบ ปลอดภยั มาใช้อย่างต่อเนื่อง ทั้งน้ีเพื่อเป็นการช่วยลด กับกลุ่มควบคุม จะทาให้เห็นผลการศึกษาที่ชัดเจน การเกิดอุบัติเหตุจากการทางานอย่างยั่งยืน และ มากขน้ึ ต่อเน่ือง อีกท้ังยังสามารถช่วยให้เกิดเป็นวัฒนธรรม 2. การศึกษาวิจัยนี้เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูล ความปลอดภยั ในองค์กรต่อไปอย่างยัง่ ยนื ดว้ ย เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ควรเพ่ิมระยะเวลาในการ 2. ควรมีการจัดทีมหรือปรับเปล่ียนผู้สังเกต เก็บข้อมูลเพ่ือเป็นการติดตามผลของโปรแกรมการ พฤติกรรมแบบสุ่มอย่างสม่าเสมอโดยอาจเป็นเพื่อน ปรับเปล่ียนพฤติกรรมเพ่ือความปลอดภัยและเพื่อ ร่วมงานหรอื หวั หน้างาน เพือ่ ลดความคลาดเคลื่อนใน ตดิ ตามความคงทนของพฤติกรรมความปลอดภัยหลัง การประเมินพฤติกรรมความปลอดภัย ซ่ึงจะช่วย ได้รับโปรแกรม ให้ผลสังเกตพฤติกรรมมีความถูกต้องและน่าเชื่อถือ มากกว่ าการให้มีผู้สังเกตกา รเพียงคนเดีย ว กิตติกรรมประกาศ ขอ้ เสนอแนะในการศกึ ษาคร้ังต่อไป 3. ควรมีการจัดให้มีผู้ดูแล เช่น งานควบคุมและ ขอกราบขอบพระคุณ ผศ.ดร.ศรีรัตน์ ล้อมพงศ์ อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์หลัก และ รศ.ดร.นันทพร ป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล, พยาบาล มีส่วน ภัทรพุทธ อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ร่วม ท่ีได้ให้ ร่วมในการสังเกตพฤติกรรมการทางานของพนักงาน คาแนะนา และคาปรึกษาในการทาวิทยานิพนธ์ครั้งน้ีให้ เพื่อให้พนักงานเกิดความตื่นตัวและเห็นความสาคัญ สาเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ผู้บริหารโรงพยาบาล รวมถึง ต่อความปลอดภัยในการทางาน ซ่ึงจะช่วยให้การ หัวหน้างานและพนักงานทาความสะอาดทุกท่านให้ความ ดาเนินการของโปรแกรมการปรับเปล่ียนพฤติกรรม รว่ มมอื ในการทาวจิ ยั ครงั้ น้ี ครอบครัว เพือ่ น พ่ี และเพือ่ น เพ่ือความปลอดภยั มีประสิทธิภาพมากข้ึน ทั้งยังช่วย ร่วมงานทุกคนท่ีให้ความรักความเข้าใจ เป็นกาลังใจการ ลดการเกดิ อุบัติเหตจุ ากการทางานได้ สนับสนุน และคอยช่วยเหลือตลอดระยะเวลาการวิจัย ด้วยดเี สมอมา 4. ควรมกี ารจัดการอบรมโปรแกรมการปรับเปล่ียน พฤติกรรมเพ่ือความปลอดภัยเป็นประจา เพ่ือให้ เอกสารอา้ งอิง Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 103
ผลของโปรแกรมการปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรมเพอ่ื ความปลอดภยั ทม่ี ตี อ่ พฤตกิ รรมความปลอดภยั ในการทางานของพนกั งานทาความสะอาด ในโรงพยาบาลตตยิ ภูมแิ หง่ หน่ึง ของจงั หวดั ปทุมธานี กองวจิ ยั ตลาดแรงงาน กรมการจัดหางาน. (2558). ทศิ ทางการเปล่ียนแปลงของอาชพี ปี 2558-2562. [online] 2563 [สืบคน้ เมื่อ 25 เมษายน 2563]; แหล่งข้อมูล URL: https://www.doe.go.th/prd/assets/upload/files/bkk_th/a8b1450c699bf90745de2cf822 1447b6.pdf ธิติพันธ์ วงศ์อารีย์สวัสด์ิ. (2549). การประยุกต์ใช้กระบวนการ Behavior Based Safety (BBS) ในกาพัฒนา พฤติกรรมการขับรถอย่างปลอดภัย, กรณีศึกษาในโรงงาน ไทยโพลีเอททีลีนจากัด. วิทยานิพนธ์ วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต. สาขาวิชาสุขศาสตร์อุตสาหกรรมและความปลอดภัย. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล. นาถนารี ใคร่ควรญกุล. (2557). การประยุกต์ใช้ทฤษฏีพฤติกรรมปลอดภัย เพ่ือปรับเปล่ียนพฤติกรรมเสี่ยง ของพนักงานขับรถยกและรถตักแร่.สาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต.สาขาการจัดการอนามัย ส่งิ แวดล้อมและความปลอดภยั คณะสาธารณสุขศาสตร์: มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. ปฐมาภรณ์ ทศพล. (2551). การพัฒนาพฤติกรรมความปลอดภัยของช่างซ่อมบารุงโดยใช้หลักการ BehaviorBased Safety ในโรงผลิตปูนปลาสเตอร์. วิทยานิพนธ์วิศวกรรมศาสตร์มหาบัณฑิต. สาขาวชิ าวศิ วกรรมความปลอดภยั คณะวิศวกรรมศาสตร์: มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์ พชิ ญพร พูนนาค. (2559). อัตราอบุ ัติการณ์และปัจจัยที่เก่ียวข้องกับการบาดเจ็บจากการทางานของพนักงาน เกบ็ ขยะในโรงพยาบาลศนู ยเ์ ขตภาคกลาง. วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต. ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและ สังคม คณะแพทยศาสตร์: จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย พชิ ิต ฤทธ์ิจรญู . (2548). หลักการวัดและประเมนิ ผลการศึกษา. กรุงเทพฯ: เฮ้าส์ ออฟเคอร์ มสี ท์. พิชญา พรรคทองสุข. (2555). อาชีวอนามัยและความปลอดภัยในงานโรงพยาบาล. ความปลอดภัยจาก โรคติดต่อ ทางเลือดและส่ิงคัดหล่ังในงานโรงพยาบาล (พิมพ์คร้ังท่ี 1). กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร.์ ฉัตร์ยุภา จิโนรส ชวพรพรรณ จันทร์ประสิทธ์ิ และวันเพ็ญ ทรงคา. (2559). ปัจจัยคุกคามสุขภาพจากการ ทางานและภาวะสุขภาพตามความเสี่ยงของพนักงานทาความสะอาด โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ. พยาบาลสารม(43), 57-69 สมาคมอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทางาน คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. (254 9). คมู่ ือการดาเนินกิจกรรม BBS. พมิ พ์ครงั้ ที่ 1. กรงุ เทพมหานคร : มหาวิทยาลยั มหดิ ล. สุรวิทย์ นันตะพร. (2557). ผลของโปรแกรม Behavior Base Safety (BBS) ต่อพฤติกรรมความปลอดภัยใน การทางานของพนักงานฝ่ายผลิต ของบริษัทผลิตช้ินส่วนประกอบรถยนต์ แห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต. สาขาวิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย. คณะสาธารณสุข ศาสตร:์ มหาวิทยาลัยบรู พา. สานักงานสถติ ิแหง่ ชาติ. (2558). สรุปผลสาคัญการสารวจภาวะการทางานของประชากร พ.ศ. 2557. [online] 2563 [สืบคน้ เมอ่ื 25 เมษายน 2563]; แหล่งข้อมูล URL: http://service.nso.go.th/nso/nsopublish/themes/files/lfs57/SumResult57.pdf ศริ พิ ร เขม็ ทอง และ สทิ ธิพร พิมพส์ กุล. (2554). การลดพฤติกรรมเส่ยี งของพนักงานด้วยหลักพฤติกรรมความ ปลอดภัย กรณศี ึกษา โรงงานผลติ อะไหล่ และประกอบนาฬกิ า. วิศวสารลาดกระบงั , 28(1), 10-19 Kandeel, A., & El-Gilany, A. H. (2017). Needle stick and sharp injuries (NSSIs) among housekeepers in a Saudi hospital: An intervention study. International Journal of Infection Control, 13(i1). 1-7. 104 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปที ่ี 16 ฉบับท่ี 1
Effect of Behavior Based Safety Program on Safety at Work Behaviors among Janitors in a Tertiary Hospital, Pathumthani Province May, D. R. (2013). Ward housekeepers in healthcare: An exploratory review of the role of the ward housekeeper (Doctoral dissertation, UCL (University College London)). European Agency for Safety and Health at Work. (2009). Motivation for employers to carry out workplace health promotion. Luxembourg: Publications Office of the European Union. Levy,B.S., Wegman, D. H.,Baron,S.L., & Sokas,R.K. (2006). Occupational and environmental health recognizing and preventing disease and injury (4th ed.). Philadelphia: Lippincott Williams and Wilkins Rogers, B. (2003). Occupational and environmental health nursing concept and practice. Philadelphia: Saunders. Rongo, L. M. B., De Haan, S., Barten, F. et al. (2005). Felt Occupational and Environmental Health hazards among Workers in small-scale industries in Dar es Salaam, Tanzania: Focus group discussion study. East African Journal of Public Health, 2(1), 21-26. Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 105
ความครอบคลมุ การกระจายมุง้ ชบุ สารเคมชี นดิ ออกฤทธยิ์ าวนาน (LLINs) ตอ่ การควบคมุ โรคไขม้ าลาเรยี ในประเทศไทย ความครอบคลมุ การกระจายมุง้ ชุบสารเคมชี นดิ ออกฤทธยิ์ าวนาน (LLINs) ตอ่ การควบคุมโรคไขม้ าลาเรยี ในประเทศไทย Coverage of Long-Lasting Insecticidal Nets (LLINs) distribution for malaria control in Thailand เจิดสุดา กาญจนสุวรรณ ส.ม. (สาธารณสุขศาสตร)์ Jerdsuda Kanjanasuwan M.P.H. (Public Health) ศิรพิ ร ยงชัยตระกูล วท.ม. (เกษตรศาสตร์) Siriporn Yongchaitrakul M.Sc. (Agriculture) สุรวดี กิจการ วท.ม. (จลุ ชีววทิ ยา) Suravadee Kitchakarn M.Sc. (Microbiology) กองโรคตดิ ต่อนำโดยแมลง กรมควบคมุ โรค Division of Vector Borne Disease, Department of Disease Control Received: Jun 11, 2020 Revised: Jun 23, 2020 Accepted: Jun 29, 2020 บทคดั ยอ่ การศึกษานี้ใช้รูปแบบการพัฒนางานประจาสู่งานวิจัย (Routine to Research: R2R) มีวัตถุประสงค์ เพ่ือติดตามความครอบคลุมการกระจายมุ้งชุบสารเคมีชนิดออกฤทธิ์ยาวนาน (LLINs) ต่อการควบคุมโรค ไข้มาลาเรียในพื้นที่แพร่เชื้อมาลาเรียของประเทศไทย จานวน 43 จังหวัด ของปีงบประมาณ 2560-2562 จาก ระบบมาลาเรียออนไลน์ ซึ่งกาหนดอัตราส่วน มุ้ง 1 หลังต่อ 1.8 คน ให้ครอบคลุมอย่างน้อย ร้อยละ 90 ผลการศึกษาพบว่า ในปีงบประมาณ 2562 การกระจายมุ้ง LLINs ให้ประชาชนในพื้นที่แพร่เช้ือมาลาเรีย มีอัตราส่วน มุ้ง 1 หลังต่อ 1.3 คน มีความครอบคลุมร้อยละ 133.5 ซ่ึงมากกว่าเป้าหมายที่กาหนดไว้ โดยมี 30 จังหวัด ท่ีมีความครอบคลุมของมุ้ง LLINs ร้อยละ 90 ข้ึนไป และพบว่า 11 จังหวัดมีมุ้ง LLINs ไม่ครอบคลุม และ 2 จังหวัดเป็นพ้ืนที่ท่ีไม่มีประชากรเส่ียง โดยมุ้ง LLINs กระจายอยู่ในกลุ่มบ้านท่ีหยุดการแพร่เช้ือไม่ครบ 3 ปี ติดต่อกัน (A2) ร้อยละ 40.9 กลุ่มบ้านแพร่เช้ือ (A1) ร้อยละ 27.7 แต่กลับมีการกระจายมุ้งในกลุ่มบ้านไม่มี การแพร่เช้ือ-เส่ียงสงู (B1) รอ้ ยละ 25.7 และกลุ่มบ้านไม่มกี ารแพร่เช้ือ-เส่ียงต่า (B2) ร้อยละ 5.7 ซึ่งหน่วยงานท่ี เกี่ยวข้องควรหาแนวทางและมาตรการคุมเข้มในการกระจายมุ้งให้เป็นไปตามแผนการดาเนินงานที่กาหนดไว้ ปอ้ งกันการกระจายมุ้งแบบ “มุ้งกระจกุ ไม่กระจาย” และควรมีการศึกษาให้ครอบคลุมถึงมุ้งชนิดอนื่ ๆ ในระดับ ครัวเรือน รวมถึงการนามงุ้ ไปใช้ในการป้องกันโรคไข้มาลาเรีย เมื่อทดสอบความสมั พันธ์ระหว่างความครอบคลุม ของมุ้ง LLINs ปีงบประมาณ 2562 กับจานวนผู้ป่วยและอัตราป่วยด้วยโรคไข้มาลาเรียปีงบประมาณ 2562 พบว่า ความครอบคลุมของมุ้ง LLINs ไม่มีความสัมพันธ์กับจานวนผู้ป่วยและอัตราป่วยด้วยโรคไข้มาลาเรีย (r = 0.149, p = 0.340 และ r = 0.155, p = 0.322 ตามลาดับ) นอกจากการกระจายมุ้ง LLINs ให้ครอบคลุม แล้ว ควรส่งเสริมให้มีการใช้มุ้งร่วมกับมีพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้มาลาเรียแก่ประชากรกลุ่มเสี่ยง เพื่อการ กระจายของมงุ้ จะได้เกิดประโยชนต์ ่อไป คาสาคญั : ความครอบคลมุ ของมุ้ง, การกระจายมงุ้ , มงุ้ ชุบสารเคมชี นดิ ออกฤทธิย์ าวนาน, โรคไข้มาลาเรีย 106 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปที ี่ 16 ฉบับที่ 1 คาสาคัญ: โปรแกรมการให้ความรู,้ สารเคมีกาจัดศตั รพู ืช, ระดบั เอนไซม์โคลนี เอสเตอเรส, เกษตรกร
Coverage of Long-Lasting Insecticidal Nets (LLINs) distribution for malaria control in Thailand ABSTRACT This study employed the Routine to Research (R2R) method by analyzing existing data of the Division of Vector-Borne Diseases (DVBD) to assess the actual coverage of LLINs, which was a key of intervention for malaria control in the designated 43 provinces with malaria in Thailand. The data analysis focused on a period between the fiscal years 2017-2019, during which the national malaria information system (MIS) was known as malaria on-line system. In principle, the ratio of LLINs coverage per person was 1:1.8. The coverage rate of LLINs was 90% according to the national strategic policy. At the provincial level, it was found that LLINs were distributed at the ratio of 1: 1.3. The coverage rate of LLINs was overwhelmed at 133.5 %, exceeded over the target. Findings from the provincial level analysis were that 30 provinces had achieved 90% coverage according to the national strategy. There were less coverage rates of the remaining 11 provinces where some LLINs were distributed lower than the target in B1 and B2 areas and another two provinces had non-populations at-risk. Reportedly, there was a declining trend in the numbers of populations residing in malaria transmission areas. After an analysis by provinces in ordering, it revealed that during the three- year period, a large quantity of the LLINs 40.9 % was distributed in A2 areas, 27.7% in A1, 25.7% in B1, and 5.7% in B2 areas, respectively. This evidence pointed out that there is the need to monitor and supervise rigorously for such net distribution exactly under the plan and to prevent the clumsy distribution of the nets by mistake, such as to put the right things in the wrong places. It was also found in the fiscal year 2019 the LLINs coverage did not correlated with malaria cases and morbidity rate (r = 0.149, p = 0.340 and r = 0.155, p = 0.322, respectively). There is also the need to know if there are other kinds of bed nets have reached the households and are usable for malaria prevention. Lastly, the supplying LLINs could be fully beneficial if the recipients are practicing the use of nets and sharing other preventive behaviors while living in the risky areas. Keywords: Net coverage, Net distribution, Long-Lasting Insecticidal Nets, Malaria บทนา โรคไข้มาลาเรียเป็นโรคติดต่อนาโดยแมลงท่ียังคง อย่างต่อเน่ือง จึงได้มีการยกระดับนโยบายจากการ เป็นปัญหาสาธารณสุขในประเทศไทย โดยเฉพาะ ควบคุมโรค (Malaria Control) เป็นนโยบายการ พ้ืนท่ีแนวชายแดนที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศ กาจัดโรค (Malaria Elimination) มีการกาหนด เพื่อนบ้านท่ีมีการเคล่ือนย้ายของประชากรจากพ้ืนที่ ยุทธศาสตร์การกาจัดโรคไข้มาลาเรีย พ.ศ. 2560- ท่ีมีการแพร่ระบาดของโรคไข้มาลาเรีย สาหรับ 2569 โดยมีวิสัยทัศน์ว่า “ประเทศไทยปลอดจากโรค ประเทศไทยมีแนวโน้มของสถานการณ์โรคลดลง ไข้ ม า ล า เรี ย (Malaria Elimination) ภ า ย ใน ปี Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 107
ความครอบคลมุ การกระจายมุ้งชบุ สารเคมชี นดิ ออกฤทธยิ์ าวนาน (LLINs) ตอ่ การควบคมุ โรคไขม้ าลาเรยี ในประเทศไทย 2567” (สานักโรคติดต่อนาโดยแมลง, 2559) และได้ และอภิปรายผล ได้ทราบถึงอุปสรรค ปัญหา และ มีโครงการกาจัดเช้ือมาลาเรียด้ือยาในประเทศลุ่ม สามารถนาข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุงวางแผนการ แมน่ ้าโขงเพื่อการเรง่ รัดกาจัดการแพร่เช้อื มาลาเรียให้ ดาเนินงานการกระจายมุ้งต่อไป เพื่อเป็นส่วนหน่ึงใน หมดไปจากประเทศไทย โดยมีหลายมาตรการในการ ความสาเร็จของการกาจัดโรคไข้มาลาเรียในประเทศ ดาเนินการ แตม่ าตรการหลกั ที่สาคญั หน่งึ คือ การเพิ่ม ไทย ความครอบคลุมของมุ้งชุบสารเคมีชนิดออกฤทธิ์ ย า ว น า น (Long-lasting Insecticide Treated วิธีการศึกษา Nets: LLINs) โดยแจกให้กับประชากรไทยและ การศึกษาวิจัยในรูปแบบการพัฒนางานประจาสู่ ต่างชาติในพื้นที่แพร่เช้ือมาลาเรีย (A1, A2) ใน งานวิจัย (Routine to Research: R2R) ด้านการ อัตราส่วน มุ้ง 1 หลังต่อ 1.8 คน โดยต้องดาเนินการ ตีความผลการดาเนินงานตามที่หน่วยงานเก็บ ให้ครอบคลุมอย่างน้อยร้อยละ 90 ของครัวเรือน รวบรวมไว้ เกี่ยวกับการควบคุมโรคไข้มาลาเรียใน (กองโรคติดต่อนาโดยแมลง, 2562) มุ้งที่ได้รับการ พื้นท่ีแพร่เช้ือมาลาเรียในประเทศไทย ปีงบประมาณ จัดสรรได้รับการสนับสนุนจากโครงการกองทุนโลก 2560-2562 ท่ีมุ่งการค้นหาความครอบคลุมในการ ด้ า น ม า ล า เรี ย (Global Fund) แ ล ะ รั ฐ บ า ล กระจายมุ้งชุบสารเคมีชนิดออกฤทธิ์ยาวนาน และ สหรัฐอเมริกาผ่านองค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่าง จานวนผูป้ ่วยโรคไข้มาลาเรียในพ้ืนท่ีแพรเ่ ชื้อมาลาเรีย ประเทศของสหรัฐอเมริกา (United States Agency 43 จังหวัด เก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิจากระบบ for International Development: USAID) ซึ่งจาก มาลาเรียออนไลน์ กองโรคติดต่อนาโดยแมลง กรม การศึกษาของนคร เปรมศรี และคณะ (2558) เร่ือง ควบคุมโรค ประเมินความครอบคลุมและการใช้วิธีป้องกันโรค การรวบรวมข้อมลู ดาเนนิ การดังนี้ มาลาเรีย รวมถึงปัจจัยเสี่ยงท่ีเก่ียวข้องกับโรค 1) สืบค้นข้อมูล เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูล มาลาเรียของประชากรในพื้นท่ีท่ีมีการแพร่เชื้อ ทุติยภูมิจากเอกสารต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับความ มาลาเรียประเทศไทยพบว่า ร้อยละ 62 ของครวั เรือน ครอบคลุมการกระจายมุ้ง LLINs จากเอกสารสิ่งพิมพ์ มีมุ้งเพียงพอไม่ว่าเป็นมุ้งประเภทใด ร้อยละ 17 มีมุ้ง ของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมท้ังการค้นหา ชุบสารเคมีแบบชนิดออกฤทธ์ิยาวนานท่ีเพียงพอ จากเอกสารอิเลคทรอนิกส์ตามแหล่งสืบค้นต่าง ๆ ดังน้ั น จึงมี ค วาม จาเป็ น ท่ี จะต้อ งติ ด ต าม การ และจานวนผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียจากระบบมาลาเรีย ดาเนินงานว่าบรรลุตามเป้าหมายท่ีวางไว้หรือไม่ โดย ออนไลน์ เพื่อเป็นข้อมูลในการอ้างอิง หรือเป็นข้อมูล ได้ทาการศึกษาเพ่ือติดตามความครอบคลุมการ ทใ่ี ชใ้ นการตรวจสอบขอ้ มลู กระจายมุ้ง LLINs ต่อการควบคุมโรคไข้มาลาเรียใน 2) สารวจข้อมลู เบ้อื งต้นจากเจ้าหนา้ ที่ผู้ดูแลระบบ พ้ืนท่ีแพร่เชอ้ื มาลาเรียในประเทศไทยซึ่งมี 43 จังหวัด มาลาเรียออนไลน์และเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบแผนการ ภายใต้โครงการกาจัดเชอ้ื มาลาเรียด้ือยาในภมู ิภาคลุ่ม กระจายมุ้ง LLINs ของหน่วยงานภายใต้สังกัดกรม น้าโขง (RAI2E) เก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิจากระบบ ควบคุมโรคที่ต้ังในพ้ืนท่ี และสานักงานสาธารณสุข มาลาเรียออนไลน์ กองโรคติดต่อนาโดยแมลง กรม จังหวัด เก็บรวบรวมข้อมูลเบ้ืองต้น ได้แก่ จานวน ควบคุมโรค ปีงบประมาณ 2560-2562 มาวิเคราะห์ จังหวัดท่ีมีการกระจายมุ้ง LLINs พื้นท่ีที่มีการ 108 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปที ี่ 16 ฉบบั ท่ี 1
Coverage of Long-Lasting Insecticidal Nets (LLINs) distribution for malaria control in Thailand กระจายมุ้งตามแผนของแต่ละจังหวัด จานวนมุ้งท่ีจะ ควบคุมโรคไข้มาลาเรียในประเทศไทย รายละเอียด มีการกระจายตามแผน และวิธีการเข้าถึงข้อมูลใน ดงั ต่อไปน้ี ระบบมาลาเรียออนไลน์ ตอนท่ี 1 ข้อมูลท่ัวไปของพื้นท่ีแพร่เช้ือมาลาเรีย เครอ่ื งมือทใ่ี ชใ้ นการวิจยั พบว่า ฐ า น ข้ อ มู ล ร ะ บ บ ม า ล า เรี ย อ อ น ไ ล น์ 1.1 พ้ืนท่ีดาเนินการกาจัดโรคไข้มาลาเรียใน http://malaria.ddc.moph.go.th/malariaR10/in ปีงบประมาณ 2560-2562 มีจานวน 43 จังหวัด dex_newversion.php ข อ ง ก อ ง โร ค ติ ด ต่ อ น า ได้แก่ จังห วัดเชียงราย เชียงให ม่ น่ าน แ พ ร่ โดยแมลง กรมควบคมุ โรค แม่ฮ่องสอน ลาปาง ตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ การวเิ คราะหข์ ้อมลู อุตรดิตถ์ กาแพ งเพ ชร อุทั ยธานี กาญ จน บุ รี โดยใช้สถิติเชิงบรรยาย (Descriptive statistics) ป ระ จ ว บ คี รีขั น ธ์ เพ ช รบุ รี ราช บุ รี จั น ท บุ รี ได้แก่ จานวน ร้อยละ สัดส่วน ในการคานวณความ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ตราด ปราจีนบุรี ระยอง สระแก้ว ครอบคลุมของมุ้ง LLINs ปีงบประมาณ 2562 โดยใช้ กาฬสินธ์ุ สกลนคร นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ จาน วนมุ้งที่แจกใน พื้ นท่ี A1 และ A2 ในช่วง ชัยภูมิ มุกดาหาร ยโสธร ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ระยะเวลา 3 ปีย้อนหลัง และสถิติเชิงวิเคราะห์ กระบี่ ชุมพร นครศรีธรรมราช พังงา ระนอง (Inferential statistics) คื อ ค่ า สั ม ป ร ะ สิ ท ธ์ิ สุราษฎรธ์ านี นราธิวาส ยะลา สงขลา และสตูล ส ห สั ม พั น ธ์ เพี ย ร์ สั น (Pearson’s correlation 1.2 การจัดแบ่งพ้ืนที่ในการปฏิบัติงานระดับกลุ่ม coefficient) เพ่ือหาความสัมพันธ์ระหว่างความ บ้าน เพื่อดาเนินมาตรการ/กิจกรรมกาจัดโรคไข้ ครอบคลุมของมุ้ง LLINs ปีงบประมาณ 2562 กับ มาลาเรีย ในปีงบประมาณ 2560–2562 ซึ่งในแต่ละ จานวนผปู้ ว่ ย และอตั ราป่วยด้วยโรคไขม้ าลาเรยี ปีจะมีการปรับพื้นที่การดาเนินงานให้สอดคล้องกับ การคานวณความครอบคลุมของมุ้ง (LLINs) โดย บริบทของพนื้ ที่ทุกปี ดังนี้ คานวณจากจานวนประชากรในพ้ืนท่ี A1, A2 ของ A1 กลุ่มบ้านแพรเ่ ช้ือ หมายถึง กลมุ่ บ้านที่มีผู้ปว่ ยติด ปีงบประมาณ 2562 (Pop A ปี 2562) จานวนมุ้ง เช้ือในหมู่บ้านในปีปัจจุบัน (109, 946 และ 759 LLINs ท่ีแจกในพ้ืนที่ A1, A2 ปีงบประมาณ 2560 - กลุ่มบ้าน) 2562 (No. of LLINs ในพื้นที่ A ในชว่ ง 3 ปยี ้อนหลัง A2 กลมุ่ บ้านท่ีหยุดการแพร่เชอ้ื หมายถึง กลุ่มบ้านท่ี ปีงบประมาณ 2560-2562) อัตราส่วนของมุ้ง 1 หลัง ไม่มีผู้ป่วยติดเชื้อในหมู่บ้านแล้ว แต่ยังไม่ครบ 3 ปี ต่อประชากร 1.8 คน และค่าคงท่ี (100) โดยใช้สูตร ตดิ ต่อกัน (2,626, 1,184 และ 879 กลุม่ บา้ น) คานวณความครอบคลมุ ของม้งุ LLINs ดงั นี้ B1 กลุ่มบ้านไม่มีการแพร่เช้ือ-เสี่ยงสูง หมายถึง กลุ่ม บ้านท่ีไม่มีผู้ป่วยติดเชื้อในกลุ่มบ้านอย่างน้อย 3 ปี ติดต่อกัน และสารวจพบยุงพาหะ (14,636, 14,729 ผลการศกึ ษา และ 12,862 กลมุ่ บ้าน) จากการศึกษาความครอบคลุมการกระจายมุ้ง B2 กลุ่มบ้านไม่มีการแพร่เชื้อ-เสี่ยงต่า หมายถึง กลุ่ม ชุบสารเคมีชนิดออกฤทธ์ิยาวนาน (LLINs) ต่อการ บ้านที่ไม่มีผู้ป่วยติดเช้ือในกลุ่มบ้านอย่างน้อย 3 ปี Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 109
ความครอบคลมุ การกระจายม้งุ ชบุ สารเคมชี นดิ ออกฤทธยิ์ าวนาน (LLINs) ตอ่ การควบคมุ โรคไขม้ าลาเรยี ในประเทศไทย ติดต่อกัน และไม่พบยุงพาหะ (38,176, 39,204 และ โดยมีการกาหนดอัตราส่วน มุ้ง 1 หลังต่อ 1.8 คน 41,947 กลมุ่ บา้ น) โดยต้องดาเนินการใหค้ รอบคลุมอย่างน้อยรอ้ ยละ 90 และนามาเฉล่ียจัดสรรให้กับจังหวัดที่มีพ้ืนท่ีแพร่เชื้อ โดยมี 7 จังหวัด ที่ไม่มีกลุ่มบ้านแพร่เชื้อ A1 มาลาเรีย ซึ่งการจัดสรรมุ้ง LLINs ให้กับจังหวัด ติดต่อกัน 3 ปี ต้ังแต่ปีงบประมาณ 2560-2562 ในช่วงปงี บประมาณ 2560-2562 ดังนี้ ได้แก่ จังหวัดแพร่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ กาแพงเพชร บรุ รี ัมย์ และสตลู 1. ปี งบ ป ระ ม าณ 2560 มุ้ ง LLINs จ าน ว น 383,052 หลงั ให้กบั 40 จังหวดั ยกเวน้ ใน 3 จงั หวัด 1.3 จานวนประชากรตามระยะท้องที่ในการ ได้แก่ จงั หวดั น่าน ฉะเชิงเทรา และชยั ภมู ิ ปฏิบัติงานมาลาเรีย ในปีงบประมาณ 2560-2562 ดังนี้ พื้นที่ A1 มีประชากรจานวน 47,912 คน, 2. ปี งบ ป ร ะ ม าณ 2561 มุ้ ง LLINs จ าน ว น 358,243 ค น แ ล ะ 303,911 ค น พ้ื น ที่ A2 มี 102,500 หลัง ใหก้ บั 31 จังหวดั ยกเว้นใน 12 จังหวัด ประชากรจานวน 888,196 คน, 408,305 คน และ 309,145 ค น พ้ื น ท่ี B1 มี ป ร ะ ช า ก ร จ า น ว น ได้แก่ จังหวดั น่าน พิษณุโลก เพชรบูรณ์ อุตรดิตถ์ 6,110,593 คน, 6,242,720 คน และ 4,933,964 คน กาแพงเพชร ชลบุรี กาฬสินธุ์ บุรีรัมย์ ชัยภูมิ ยโสธร พื้น ท่ี B2 มีป ระชากรจาน วน 27,133,153 คน , กระบี่ และสตลู 28,504,895 คน และ 30,409,468 คน ตามลาดับ ดังแสดงในตารางที่ 1 3. ปี งบ ป ระ ม าณ 2562 มุ้ ง LLINs จ าน ว น 72,800 หลัง ให้กับ 42 จังหวัด ยกเว้นใน 1 จังหวัด สาหรับประชากรเสี่ยงในพ้ืนที่แพร่เชื้อมาลาเรีย ได้แก่ จังหวัดปราจีนบุรี เน่ืองจากจานวนมุ้งในพื้นท่ีมี (A1 และ A2) มีแนวโน้มลดลง โดยปีงบประมาณ ความครอบคลมุ ประชากรในพื้นทแ่ี พรเ่ ช้อื แลว้ 2562 ล ด ล งร้ อ ย ล ะ 20 โด ย มี 41 จั งห วั ด ที่ มี ประชากรเส่ียงในพื้นท่ีแพร่เชื้อมาลาเรีย A1 และ A2 ตอนที่ 3 ผลการดาเนินงานเก่ียวกับการกระจาย คิดเป็นร้อยละ 95.4 ของจังหวัดที่มีการแพร่เชื้อ ม้งุ LLINs มาลาเรีย และพบ 2 จังหวัดไม่มีประชากรเสี่ยงใน พ้ืนท่ีแพร่เชื้อ A1 และ A2 แล้ว ได้แก่ จังหวัด 3.1 ผลการกระจายมุ้ง LLINs ในพื้ น ที่การ พิษณุโลก และอุตรดิตถ์ โดยจังหวัดท่ีพบจานวน ปฏิบัติงานกาจัดโรคไข้มาลาเรีย ในช่วง 3 ปี ตั้งแต่ ประชากรเส่ียงในพ้ืนท่ีแพร่เชื้อมาลาเรีย (A1 และ ปี งบ ป ระมาณ 2560 -2562 พ บ ว่า มุ้ง LLINs A2) มากกว่า 50,000 คน ได้แก่ จังหวัดตาก ยะลา ส่วนใหญ่แจกในพ้ืนที่ A2 จานวน 271,153 หลัง กาญจนบุรี และแม่ฮ่องสอน ตามลาดบั ดังภาพท่ี 1 คิดเป็นร้อยละ 40.9 ของจานวนมุ้ง LLINs ทั้งหมด รองลงมา คือ พ้ืนท่ี A1 จานวน 183,522 หลัง ตอนท่ี 2 การจัดสรรมุ้ง LLINs ในแต่ละปี จะ คดิ เป็นร้อยละ 27.7 พื้นท่ี B1 จานวน 170,054 หลัง พิจารณาจากจานวนมุ้งท่ีได้รับการสนับสนุนและ คิ ด เป็ น ร้อ ย ล ะ 2 5 .7 แ ล ะ พื้ น ที่ B2 จ าน ว น จานวนประชากรเส่ียงในพ้ืนที่แพร่เชื้อมาลาเรีย A1 38,114 หลัง คิดเป็นร้อยละ 5.7 ตามลาดับ โดย และ A2 แต่ละจงั หวัด รวมถึงจานวนมุ้งที่ได้จดั สรรให้ มีการแจกมุ้ง LLINs ในพ้ืนท่ี A1 จานวน 34 จังหวัด จังหวัดในปีท่ีผ่านมา ประกอบกับความครอบคลุม พ้นื ที่ A2 จานวน 42 จังหวัด แต่กลับพบว่ามกี ารแจก ของมุ้งในปีท่ีผ่านมา เพื่อพิจารณาจานวนขาดเหลือ มุ้ง LLINs ในพ้ืนท่ี B1 จานวน 40 จังหวัด และใน พ้นื ท่ี B2 จานวน 31 จังหวัด ดังแสดงในตารางท่ี 2 110 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปที ่ี 16 ฉบบั ที่ 1
Coverage of Long-Lasting Insecticidal Nets (LLINs) distribution for malaria control in Thailand ตารางท่ี 1 จานวนกลุ่มบ้านและประชากรของ 43 จังหวดั ตามการแบ่งระยะท้องท่ีในการปฏบิ ัติงานมาลาเรีย ปงี บประมาณ 2560-2562 ปงี บประมาณ ระยะท้องท่ี 2560 2561 2562 กลุ่มบา้ น ประชากร กลุ่มบา้ น ประชากร กลมุ่ บา้ น ประชากร A1 109 47,912 946 358,243 759 303,911 A2 2,626 888,196 1,184 408,305 879 309,145 B1 14,636 6,110,593 14,729 6,242,720 12,862 4,933,964 B2 38,176 27,133,153 39,204 28,504,895 41,947 30,409,468 ตารางที่ 2 การกระจายมงุ้ LLINs ในพ้ืนที่การปฏิบตั ิงานกาจัดโรคไข้มาลาเรยี ในระหว่างปีงบประมาณ 2560- 2562 จานวนมงุ้ LLINs (หลงั ) ระยะทอ้ งท่ี ปีงบประมาณ รวม รอ้ ยละ 2560 2561 2562 A1 19,155 88,973 75,394 183,522 27.7 A2 151,277 64,080 55,796 271,153 40.9 B1 55,702 85,502 28,850 170,054 25.7 B2 11,568 18,302 8,244 38,114 5.7 ปงี บประมาณ 2560 ปีงบประมาณ 2561 ปีงบประมาณ 2562 ภาพที่ 1 แผนท่ีประชากรเสี่ยงในพ้นื ท่ีแพร่เชื้อมาลาเรีย (A1 และ A2) ปงี บประมาณ 2560-2562 Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 111
ความครอบคลมุ การกระจายมงุ้ ชุบสารเคมชี นิดออกฤทธยิ์ าวนาน (LLINs) ตอ่ การควบคุมโรคไขม้ าลาเรยี ในประเทศไทย 3.2 ความครอบคลุมการกระจายมุ้ง LLINs ต่อ ตาก เพชรบูรณ์ กาแพงเพชร อุทัยธานี กาญจนบุรี ประชากรในพ้ืนท่ีแพร่เช้ือมาลาเรีย (A1 และ A2) ซ่ึง ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ราชบุรี จันทบุรี ชลบุรี มีการกาหนดอัตราส่วน มุ้ง 1 หลังต่อ 1.8 คน ให้ ตราด ปราจีนบุรี ระยอง สระแก้ว นครราชสีมา ครอบคลุมอย่างน้อยร้อยละ 90 พบว่า ในระหว่าง บุรีรัมย์ สุรินทร์ ชัยภูมิ มุกดาหาร ศรีสะเกษ ปีงบประมาณ 2560-2562 มีการกระจายมุ้ง LLINs อุบลราชธานี กระบี่ ชุมพร นครศรีธรรมราช ระนอง จานวน 454,675 หลัง ให้กับประชาชนในพื้นท่ี นราธิวาส สงขลา และสตูล คิดเป็นร้อยละ 69.8 ของ แพร่เช้ือมาลาเรีย (A1 และ A2) ซึ่งมีอยู่จานวน จังหวัดท่ีมีการแพร่เชื้อมาลาเรีย โดยต้องการมุ้ง 613,056 คน คิดเป็นอัตราส่วนได้เท่ากับ มุ้ง 1 หลัง LLINs เพิ่มเติมอีกจานวน 20,999 หลัง เพ่ือให้ ต่อ 1.3 คน มีความครอบคลุม ร้อยละ 133.5 ซึ่ง ครอบคลุมประชากรในพื้นที่แพร่เชื้อ A1 และ A2 ใน มากกว่าเป้าหมายท่ีกาหนดไว้ และเมื่อเทียบกับ 11 จังหวัดที่มุ้งยังไม่ครอบคลุมตามเป้าหมายท่ี ปงี บประมาณ 2560 และ 2561 ซึ่งมีความครอบคลุม กาหนดไว้ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ น่าน ของมุ้ง ร้อยละ 34.5 และ 76.8 ตามลาดับ โดย ลาปาง ฉะเชิงเทรา กาฬสินธ์ุ สกลนคร ยโสธร พังงา ปีงบประมาณ 2561 เพิ่มขึ้นร้อยละ 122.5 และ สุราษฎร์ธานี และยะลา คิดเป็นร้อยละ 30.2 ของ ปีงบประมาณ 2562 เพิ่มข้ึนร้อยละ 73.8 ตามลาดับ จังหวัดที่มีการแพร่เชื้อมาลาเรีย โดยมี 2 จังหวัดที่ หากพิจารณาในแต่ละจังหวัดพบว่า ในจานวน 43 ไม่มีพื้นท่ีแพร่เช้ือมาลาเรีย (A1 และ A2) แล้วใน จังหวัดที่มีการแพร่เช้ือมาลาเรีย พบ 30 จังหวัดท่ีมี ปีงบประมาณ 2562 ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก และ ความครอบคลุมของมุ้ง LLINs ร้อยละ 90 ข้ึนไปตาม อุตรดิตถ์ คิดเป็นร้อยละ 4.7 ของจังหวัดที่มีการแพร่ เป้าหมายที่กาหนดไว้ ได้แก่ จังหวัดแพร่ แม่ฮ่องสอน เช้ือมาลาเรีย ดงั ภาพท่ี 2 ปีงบประมาณ 2560 ปงี บประมาณ 2561 ปีงบประมาณ 2562 ภาพที่ 2 แผนที่แสดงความครอบคลุมของมงุ้ LLINs ปงี บประมาณ 2560-2562 112 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปที ี่ 16 ฉบับท่ี 1
Coverage of Long-Lasting Insecticidal Nets (LLINs) distribution for malaria control in Thailand 3.3 ความสัมพันธ์ระหว่างความครอบคลุมของมุ้ง ประชากรพันคนดังน้ี อัตราป่วย 0.4, 0.2, และ 0.2 LLINs ต่อประชากรเส่ียงในพื้นท่ีแพร่เช้ือมาลาเรีย ตามลาดับ ซ่ึงลดลงจากปีงบประมาณ 2561 ร้อยละ (A1 และ A2) ปีงบประมาณ 2562 กับจานวนผู้ป่วย 20.6 และเมื่อเปรียบเทียบความครอบคลุมของมุ้ง และอัตราป่วยด้วยโรคไข้มาลาเรียปีงบประมาณ LLINs ปีงบประมาณ 2562 กับจานวนผู้ป่วยและ 2562 ใน 43 จังหวัด พบว่า ผู้ป่วยโรคไข้มาลาเรียมี อัตราป่วยด้วยโรคไข้มาลาเรียปีงบประมาณ 2562 แนวโน้มลดลงอย่างต่อเน่ืองในช่วงปีงบประมาณ พ บ ว่ า ค ว า ม ค ร อ บ ค ลุ ม ข อ งมุ้ ง LLINs ไม่ มี 2560-2562 ดังนี้ จานวนป่วย 14,706 ราย, 7,257 ความสั มพั น ธ์กับ จาน วน ผู้ ป่ วย โรคไข้มาล าเรีย แล ะ ราย และ 5,764 ราย ตามลาดับ โดยอัตราป่วยต่อ อัตราปว่ ยด้วยไขม้ าลาเรีย ดังแสดงในตารางท่ี 3 ตารางท่ี 3 ความสัมพันธ์ระหว่างความครอบคลุมของมุ้ง LLINs ปีงบประมาณ 2562 กับจานวนผู้ป่วย และ อตั ราป่วยดว้ ยโรคไข้มาลาเรีย ปีงบประมาณ 2562 ปัจจัย r p-value จานวนผู้ปว่ ย 0.149 0.340 อัตราป่วยตอ่ ประชากร 1,000 คน 0.155 0.322 อภิปรายผล พบผู้ป่วยต้ังแต่ 6 เดือนต่อปี (สานักโรคติดต่อนาโดย การศึกษาความครอบคลุมการกระจายมุ้ง LLINs แมลง, 2559) เป็นนยิ ามใหม่ พ้ืนที่ A1 หมายถึง กลุ่ม ต่อการควบคุมโรคไข้มาลาเรียในประเทศไทย บ้านที่มีผู้ป่วยติดเชื้อในกลุ่มบ้านในปีปัจจุบัน (กอง ดาเนินการใน 43 จังหวัดท่ีมีพ้ืนที่แพร่เช้ือมาลาเรีย โรคติดต่อนาโดยแมลง, 2562) ทาให้จานวนกลุ่มบ้าน ซ่งึ ทผ่ี า่ นมานน้ั กรมควบคุมโรคใหก้ ารประกาศรับรอง ใน พื้ น ที่ A1 เพิ่ ม ขึ้ น อ ย่ า ง เห็ น ได้ ชั ด แ ต่ ใน จังหวัดปลอดโรคไข้มาลาเรียจานวน 34 จังหวัด และ ปีงบประมาณ 2562 กลุ่มบ้านแพร่เชื้อมาลาเรีย (A1 กรุงเทพมหานครไปแล้วในวันมาลาเรียโลก ปี พ.ศ. แ ล ะ A2) ล ด ล งร้อ ย ล ะ 21.4 จ าก ปี ที่ ผ่ าน ม า 2561 ซึ่งตรงกับวันที่ 25 เมษายน 2561 (สานัก เช่นเดียวกบั การศกึ ษาของประยุทธ สุดาทิพย์, เสาวนิต โรคติดต่อนาโดยแมลง, 2562) โดยในแต่ละปีจะมี วิชัยขัทคะ และสุธีรา พูลถิน (2554) ได้ทาการ การปรับพื้นท่ี/ระยะท้องท่ีในการปฏิบัติงานมาลาเรีย ประเมินผลการดาเนินงานควบคุมโรคมาลาเรียโดย พบว่าในปีงบประมาณ 2561 พื้นท่ี A1 มีจานวนกลุ่ม สานักงานสาธารณสุขจังหวัด 43 จังหวัด ภายใต้ บ้านเพ่ิมขึ้นสูงมาก ร้อยละ 767.9 เช่นเดียวกับ โครงการกองทุนโลกรอบท่ี 7 การประเมินผลเชิง จานวนประชากรในพ้ืนท่ี A1 ที่เพ่ิมข้ึนร้อยละ 647.7 นโยบายและผลกระทบการดาเนินงานพบว่า เม่ือ จากปีที่ผ่านมา เน่ืองจากในปีงบประมาณ 2561 มี สิน้ สุดโครงการระยะท่ี 1 สถานการณ์โรคมาลาเรียทั่ว การปรับเปล่ียนนิยามการจัดแบ่งพื้นที่ในการ ประเทศมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเน่ือง สอดคล้องกับ ปฏิบัติงาน (Area Stratification) จากเดิม พ้ืนท่ี A1 จานวนหมู่บ้านที่มีการแพร่เชื้อซึ่งลดลงร้อยละ 13.8 หมายถึง กลุ่มบ้านที่มีการแพร่เชื้อโรคไข้มาลาเรียท่ี สว่ นจงั หวดั ที่ไมม่ ีกลมุ่ บา้ นแพรเ่ ชื้อ A1 ตดิ ตอ่ กัน 3 ปี Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 113
ความครอบคลมุ การกระจายมุ้งชุบสารเคมชี นดิ ออกฤทธยิ์ าวนาน (LLINs) ตอ่ การควบคมุ โรคไขม้ าลาเรยี ในประเทศไทย มี 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแพร่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ มุ้งชุบสารเคมี ITNs หรือมุ้ง LLINs มีเพียง ร้อยละ อุตรดิตถ์ กาแพงเพชร บุรีรัมย์ และสตูล ซ่ึงท้ัง 7 24 ของครัวเรือนที่เข้าถึง ITNs/LLINs ได้อย่าง จังหวัดน้ีจะต้องเตรียมเข้ารับการประเมินรับรอง เพียงพอ กาหนดอย่างน้อยม้งุ ITNs/LLINs 1 หลังต่อ จังหวัดปลอดโรคไข้มาลาเรียในปีงบประมาณ 2563 2 คน (Maung et al., 2018) คือ จังหวัดไม่มีการติดเชื้อในพื้นท่ีแล้ว (การแพร่เช้ือ ถูกยับยั้งได้สาเร็จ) ทั้งจังหวัดและอาเภอที่ปลอดการ ในกรณีที่มุ้ง LLINs ที่ได้รับจัดสรรไม่เพียงพอ แพร่เชื้อมาลาเรียในพ้ืนท่ีติดต่อกัน 3 ปีแล้ว จึงจะ จังหวัดจะใช้ข้อมูลสถานการณ์โรคของปีน้ัน ๆ เป็น สามารถประกาศเป็นพื้นท่ีปลอดมาลาเรียได้ (กอง ตัวกาหนดการกระจายมุ้ง โดยดาเนินการกระจายมุ้ง โรคติดตอ่ นาโดยแมลง, 2563) ตามแผนการดาเนินงานของกองโรคติดต่อนาโดย แมลงที่กาหนดไว้เป็นเบ้ืองต้น และในบางครั้ง ก็จะมี ในยุทธศาสตร์การกาจัดโรคไข้มาลาเรียประเทศ การกระจายม้งุ ในพื้นท่ีตามกลุ่มบา้ น โดยการกระจาย ไทย พ.ศ. 2560-2569 ได้กาหนดเป้าหมายความ มุ้งในกลุ่มบ้านใดกลุ่มบ้านหนึ่งของหมู่นั้น ๆ ให้ ครอบคลุมของมุ้งต้ังแต่ปี 2560-2564 ไว้ดังนี้ คือ ครอบคลุมก่อน ในส่วนกลุ่มบ้านท่ีเหลือของหมู่น้ัน ๆ ร้อยละ 90 ของหลังคาเรอื นในพ้ืนที่แพร่เช้ือมาลาเรีย จะวางแผนเข้าไปการกระจายมุ้งในปีถัดไป ซึ่งในบาง (A1 และ A2) มีมุ้งชุบสารเคมี/มุ้ง LLINs ในอัตรา ประเทศมีการศึกษากลยุทธในการกระจายมุ้ง LLINs 1 หลังต่อ 1.8 คน (สานักโรคติดต่อนาโดยแมลง, เช่น ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ในจังหวัด 2559) ซ่ึงผลการกระจายมุ้ง LLINs ให้กับประชาชน คาไซออคซิเดนทอลพบว่า ครัวเรือนมีมุ้ง LLINs ในพ้ืนที่แพร่เชื้อมาลาเรีย (A1 และ A2) ในช่วง เพ่ิมขึ้นหลังจากมีการรณรงค์ จากร้อยละ 39.4 เป็น ปีงบประมาณ 2560-2562 น้ัน มีความครอบคลุม ร้อยละ 91.4 ซึ่งสัดส่วนของการมีมุ้ง LLINs (1 หลัง ร้อยละ 133.5 ในอัตราส่วนมุ้ง LLIN 1 หลังต่อ 1.3 ตอ่ 2 คน) เพมิ่ จากรอ้ ยละ 4.1 เปน็ รอ้ ยละ 41.1 การ คน ซ่ึงได้ตามเป้าหมายท่ีกาหนดไว้ โดยท่ีผ่านมามี เข้าถึงมุ้ง LLINs ของคนในครัวเรือนเพ่ิมขึ้นจาก การสารวจการใช้มุ้งในระดับครัวเรือนในพื้นที่แพร่ ร้อยละ 22.2 เป็นร้อยละ 80.7 ในขณะท่ีการใช้มุ้ง เชื้อ (A1 และ A2) ใน 42 จังหวัดพบว่า มีมุ้ง LLINs LLINs โดยรวมเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 18.0 เป็นร้อยละ อยา่ งนอ้ ย 1 หลังตอ่ 1 ครัวเรือน มีเพียงร้อยละ 46.7 68.3 การมีมุ้งท่ีเพ่ิมสงู ข้ึนด้วยกลยุทธท์ ่ีเรียกว่า fixed และมีมุ้ง LLINs ที่เพียงพอต่อจานวนสมาชิกใน delivery strategy (ร้อยละ 92.5) เปรียบเทียบกับ ครัวเรือนเพียงร้อยละ 32.3 (Malaria Consortium, แบบ door-to-door (ร้อยละ 85.2) (Ntuku et al., 2016) ซึ่งในประเทศพม่าพบว่า อัตราส่วนมุ้งต่อคน 2017) เท่ากับ 1: 1.9 และอัตราส่วนมุ้ง LLINs ต่อคนอยู่ที่ 1: 2.5 (Liu et al., 2015) และมีการส่งเสริมการใช้ สาหรับการแจกมุ้ง LLINs ในพืน้ ท่ี B1 ซ่ึงเป็นกลุ่ม มุ้ง (ITNs) และมุ้ง (LLINs) ฟ รี โดยมีเป้าหมาย บ้านไม่มีการแพร่เช้ือแต่เส่ียงสูง คือ ยังพบยุงพาหะ ครอบคลุมอย่างน้อยร้อยละ 80 ในพ้ืนที่ที่มีความ สามารถแจกมุ้งให้กับประชากรในกลุ่มนี้ได้ หากมุ้ง เส่ียงปานกลาง และพ้ืนท่ีที่มีความเสี่ยงสูงจาก LLINs มีความครอบคลุมในพื้นที่แพร่เช้ือแล้ว ส่วน ครัวเรือนท่ีได้รับการประเมิน ร้อยละ 97 เข้าถึงมุ้ง จังหวัดที่มีการแจกมุ้ง LLINs ในพ้ืนที่ B2 เนื่องจากมี อยา่ งน้อยหนงึ่ หลัง แต่มเี พียงคร่งึ เดยี วเท่าน้ันทีเ่ ข้าถึง ประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ B2 เดินทางเข้าไปใน พ้ืนที่แพร่เช้ือมาลาเรียเป็นประจาเพ่ือประกอบอาชีพ 114 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปีที่ 16 ฉบับที่ 1
Coverage of Long-Lasting Insecticidal Nets (LLINs) distribution for malaria control in Thailand เช่น การหาของป่า ทาไม้ เป็นต้น อาจทาให้เกิดการ 2562 พบว่า ความครอบคลุมของมุ้ง LLINs ไม่มี ติดเช้ือมาลาเรียและนาเชื้อเข้ามาในพื้นท่ีที่อาศัยได้ ความสัมพันธ์กับจานวนผู้ป่วยและอัตราป่วยโรคไข้ จงึ ได้ทาการแจกมุ้ง LLINs ให้กับประชาชนกลุ่มน้ีเพ่ือ มาลาเรีย ท้ังน้ีอาจมปี ัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อจานวนผู้ป่วย ใช้ในการป้องกันโรค และมีมุ้งครอบคลุมประชากรใน เช่น การใช้มุ้ง พฤติกรรมของประชาชนในการ พื้นที่เสี่ยงในจังหวัดนั้นแล้ว ซึ่งจังหวัดท่ีสามารถ ป้องกันควบคุมโรค เช่นเดียวกับการศึกษาของสะ ดาเนินการกระจายมุ้ง LLINs ได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ใบทอง หาญบุ่งคล้า และเลิศชัย เจริญธัญรักษ์ เน่ืองจากดาเนินการตามแผนที่กองโรคติดต่อนาโดย (2558) พบว่าปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อ แมลงกาหนดไว้ และสามารถควบคุมกากับเจ้าหน้าที่ มาลาเรยี อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ได้แก่ การไม่ได้รับ หรืออาสาสมัครในการดาเนินการแต่ละครั้งอย่าง ข้อมูลข่าวสารเก่ียวกับโรคมาลาเรีย การอาศัยอยู่ใน เคร่งครัด โดยมีการช้ีแจงให้ผู้ท่ีแจกมุ้งรับทราบ พื้นที่ต่ากว่า 16 ปี สถานท่ีทางานอยู่ในป่าหรือสวน ข้อกาหนดในการแจกมุ้ง LLINs ให้กับประชากรกลุ่ม และใกล้แหล่งน้า พฤติกรรมการไม่นอนในมุ้งหรือ เสี่ยงที่เป็นเป้าหมาย และมีการบันทึกข้อมูลเข้ามาใน นอนเป็นบางครั้ง การพักค้างคืนในป่าหรือสวนและ ระบบอย่างถูกต้อง ซ่ึงจังหวัดจะต้องดาเนินการแจก ใกล้แหล่งน้า การไม่ฉีดพ่นสารเคมีตามผนังบ้าน และ มุ้ง LLINs และบันทึกข้อมูลเข้าระบบมาลาเรีย การขับถ่ายนอกบ้านหรือในป่าหรือสวนและใกล้ ออนไลน์ให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน หลังจากท่ีได้รับ แหลง่ น้าเป็นประจา และการศกึ ษาของสรุ โิ ย ชูจันทร์, มุ้งจากกองโรคติดต่อนาโดยแมลง และ มีการ ปวิตร ชัยวิสิทธ์ิ และอมรรัตน์ ชุตินันทกุล (2562) ตรวจสอบข้อมูลอีกคร้ัง เพ่ือให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง พบว่า ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการป่วยโรค สามารถนามาใช้ในการวางแผนและติดตามผลการ มาลาเรียในกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยและต่างชาติ ได้แก่ ดาเนินงานกาจัดโรคไข้มาลาเรีย และส่ิงที่สาคัญอีก เพศ กลุ่มอายุ อาชีพ ประวัติการไปพักแรมก่อน ประการหนง่ึ คือ การสร้างสัมพันธไมตรีที่ดตี ่อกัน การ เป็นไข้ การมีมุ้ง การนอนในมุ้ง แหล่งคนไข้ติดเชื้อ พูดคุยแบบไม่เป็นทางการจะได้รับความร่วมมือใน ภูมิประเทศของแหล่งท่ีคนไข้ติดเชื้อ การพ่นสารเคมี การทางานมากกว่าแบบทางการ การสร้างความไว้ใจ ในแหล่งตดิ เชอื้ การพ่นเคมีบา้ นผปู้ ว่ ยอาศัยในแหล่งc เชือ่ ใจซงึ่ กนั และกัน จะช่วยให้เกิดความร่วมมือในการ แพร่เช้ือ การเจาะโลหิตค้นหาผู้ป่วยรายใหม่เพ่ิมเติม ทางาน นอกจากน้ีการมีระบบฐานข้อมูลท่ีเป็นระบบ มีความสัมพันธ์กับการป่วยโรคมาลาเรียอย่าง เดียว และการนาเทคโนโลยีท่ีดีมาใช้จะช่วยให้การ มีนัยสาคัญทางสถิติ (p<0.05) และการศึกษาของ ดาเนินงานประสบผลสาเร็จ เกิดการพัฒนาอย่าง Haque et al. (2011) ที่พบว่า เพศเป็นปจั จัยหน่ึงใน ต่อเนื่องและเป็นที่น่าเช่ือถือ (ภัทรา ทองสุข, การติดเช้ือมาลาเรียในบังกลาเทศ ซึ่งเพศชายมี วัลลีรัตน์ พบคีรี, ปิยธิดา ตรีเดช, และสุคนธา ศิริ, โอกาสป่วยเป็นมาลาเรียมากกวา่ เพศหญงิ 1.6 เทา่ 2563) เมื่อทดสอบความสมั พันธ์ระหว่างความครอบคลุม ข้อเสนอแนะ ของมุ้ง LLINs ปีงบประมาณ 2562 กับจานวนผู้ป่วย จากผลการศึกษามีข้อเสนอแน ะสาหรับ 2 และอัตราป่วยด้วยโรคไข้มาลาเรียปีงบประมาณ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือ กองโรคติดต่อนาโดยแมลง Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 115
ความครอบคลมุ การกระจายมงุ้ ชุบสารเคมชี นดิ ออกฤทธยิ์ าวนาน (LLINs) ตอ่ การควบคมุ โรคไขม้ าลาเรยี ในประเทศไทย กรมควบคุมโรค และสานักงานสาธารณสุขจังหวัด กาชับผู้ท่ีปฏิบัติงานมิให้เอื้อผลประโยชน์ให้กับผู้หน่ึง ดงั นี้ ผ้ใู ด และทีส่ าคญั อีกประการหนง่ึ คอื การบันทึกขอ้ มูล 1. กองโรคติดต่อนาโดยแมลง ควรหาแนวทาง เข้าระบ บ มาลาเรียออนไลน์ให้ ทั น เวลา และ และมาตรการคุมเข้มในการกระจายมุ้งร่วมกับภาคี ตรวจสอบความถกู ต้องก่อนส่งเข้าระบบทุกครัง้ เครือข่าย ให้เป็นไปตามแผนการดาเนินงานที่กาหนด ไว้ โดยให้เข้าใจถึงบริบท ข้อกาหนดและพื้นท่ี ข้อเสนอแนะสาหรับการศกึ ษาครั้งตอ่ ไป เป้าหมาย เพื่อป้องกันการกระจายมุ้งที่ผิดพลาด ควรมีการศึกษาให้ครอบคลุมถึงมุ้งชนิดอ่ืน ๆ ท่ีมี ข้อมูลควรปรับให้เป็นปัจจุบันและถูกต้อง มีการ ในพ้ืนที่ รวมถึงการนามุ้งไปใช้ในการป้องกันโรคไข้ ติดตามประเมินผลการกระจายมุ้งทุกปีอย่าง มาลาเรียอย่างแท้จริง และความครอบคลุมในการ สม่าเสมอ เพ่ือนามาปรับปรุงแผนการดาเนินงานได้ กระจายมุ้งในระดับอาเภอ ตาบล หมู่บ้าน/กลุ่มบ้าน ทันสถานการณ์ ควรคานึงถึงอายุการใช้งานของมุ้ง แล ะค รัว เรือ น เพ่ื อ ให้ ก ารก ระจ าย มุ้ งเข้าถึ ง LLINs เนื่องจากมีฤทธิ์ตกค้างของสารเคมีประมาณ กลมุ่ เปา้ หมายมากที่สุดและเกิดประโยชน์สูงสดุ 3 ปี รวมถึงมุ้งที่อาจชารุดเป็นรูในระหว่างการใช้งาน จงึ ต้องมีการจัดหามุ้งมาทดแทน และส่งเสรมิ บทบาท กิตตกิ รรมประกาศ ขององค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิ่นให้เขา้ มามีส่วนร่วมใน ขอขอบพระคณุ นายบุญเสริม อ่วมอ่อง นกั วิชาการ การสนับสนุนการดาเนินงานกาจัดโรคไข้มาลาเรีย สาธารณสขุ เช่ียวชาญ รองผูอ้ านวยการกองโรคติดต่อ โดยการจัดหามุ้งให้กบั ประชากรในพน้ื ท่ีแพรเ่ ชื้อ 2. สานักงานสาธารณสุขจังหวัด สาหรับผู้ที่ นาโดยแมลง ดร.ประยุทธ สุดาทิพย์ นักวิชาการ สาธารณสุขชานาญการพิเศษ หัวหนา้ กลุ่มมาลาเรีย รับผิดชอบในการแจกมุ้ง ควรศึกษาแนวทางในการ กองโรคติดตอ่ นาโดยแมลง และ ดร.นารถลดา ขนั ธิกุล กระจายมุ้งให้เป็นไปตามข้อกาหนด ให้บรรลุผลการ นกั วิชาการสาธารณสขุ ชานาญการพิเศษ หวั หนา้ กลุ่ม ดาเนิ นงาน ตามเป้ าห มาย ห ากมอบห มายให้ อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้านดาเนินการควร พฒั นานวตั กรรมและวิจยั สานกั งานปอ้ งกนั ควบคมุ โรค มีการกากับดูแล ทาความเข้าใจ กาหนดพื้นที่แจกมุ้ง ท่ี 1 เชียงใหม่ ท่ีกรุณาให้คาปรึกษา แนะนา ชี้แนะ ให้ชัดเจน ป้องกันการกระจายมุ้งนอกพื้นท่ีเป้าหมาย แนวทาง ให้ข้อเสนอแนะท่ีเป็นประโยชน์ ขอขอบคุณ รวมถึงภาคีเครือข่ายที่ร่วมดาเนินการควรปฏิบัติตาม เจ้าหน้าท่ีท่ีให้ข้อมูลและให้ความช่วยเหลือตลอด แผนอย่างเคร่งครัด เพ่ือป้องกันการกระจายมุ้ง การศึกษา รวมถึงผทู้ ่ีมีส่วนเก่ียวขอ้ งทุกท่านท่ีรว่ มเป็น ทับซ้อนกัน หลีกเล่ียง “มุ้งกระจุกไม่กระจาย” และ สว่ นหน่งึ ของการศกึ ษาครงั้ นีจ้ นสาเรจ็ ลลุ ว่ ง 116 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปที ี่ 16 ฉบบั ท่ี 1
Coverage of Long-Lasting Insecticidal Nets (LLINs) distribution for malaria control in Thailand เอกสารอา้ งอิง กองโรคตดิ ตอ่ นาโดยแมลง. (2563). คู่มือประเมินรับรองจังหวัดปลอดโรคไข้มาลาเรีย. พิมพค์ รง้ั ท่ี 1. กรงุ เทพมหานคร: สานกั พิมพ์อักษรกราฟฟิคแอนดด์ ีไซน์. กองโรคติดต่อนาโดยแมลง. (2562). แนวทางการดาเนินงานโครงการกาจดั เชื้อมาลาเรียด้อื ยาในภมู ภิ าคลุ่ม แมน่ ้าโขง. พมิ พ์ครัง้ ที่ 1. กรงุ เทพมหานคร: สานักพิมพ์อักษรกราฟฟิคแอนดด์ ีไซน์. กองโรคตดิ ตอ่ นาโดยแมลง. (2562). แนวทางการปฏิบัติงานกาจดั โรคไข้มาลาเรยี สาหรับบุคลากรทาง การแพทยแ์ ละสาธารณสุขประเทศไทย (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พ์อักษรกราฟฟิคแอนด์ ดไี ซน์. นคร เปรมศรี และคณะ. (2558). ประเมนิ ความครอบคลมุ และการใชว้ ธิ ปี อ้ งกนั โรคมาลาเรยี รวมถงึ ปจั จัย เสีย่ งที่เกยี่ วข้องกบั โรคมาลาเรียของประชากรในพื้นท่ีทีม่ กี ารแพร่เชือ้ มาลาเรยี ประเทศไทย. กรม ควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. เอกสารอัดสาเนา. ประยุทธ สดุ าทพิ ย์, เสาวนิต วิชยั ขทั คะ และสธุ รี า พลู ถนิ . (2554). การประเมินผลการดาเนนิ งานควบคุมโรค มาลาเรียโดยสานักงานสาธารณสุขจังหวัด 43 จังหวัด ภายใต้โครงการกองทนุ โลกรอบที่ 7: การ ประเมนิ ผลเชิงนโยบายและผลกระทบการดาเนินงาน. วารสารสาธารณสขุ ล้านนา, 7(3), 225-239. ภัทรา ทองสขุ , วัลลรี ัตน์ พบคีรี, ปิยธดิ า ตรเี ดช และสคุ นธา ศิริ. (2563). การศกึ ษาการมีส่วนรว่ มในการ พัฒนาบรกิ ารแบบบรู ณาการโรคมาลาเรยี อาเภอทา่ สองยาง จังหวดั ตาก. วารสารสถาบนั บาราศ นราดรู , 14(1), 33-43. ระบบมาลาเรยี ออนไลน์ กองโรคติดต่อนาโดยแมลง กรมควบคุมโรค ผา่ นทางโครงขา่ ย http://malaria.ddc.moph.go.th/malariaR10/index_newversion.php สะใบทอง หาญบงุ่ คลา้ และเลศิ ชัย เจริญธัญรักษ์. (2558). ปัจจัยทีม่ ีความสมั พันธ์กับการติดเชอื้ มาลาเรียท่ี เปน็ โรคประจาถน่ิ ในจังหวดั ราชบุรี ปี พ.ศ. 2558. วารสารควบคุมโรค, 43(4), 423-435. สุริโย ชจู นั ทร,์ ปวิตร ชัยวสิ ทิ ธ์ิ และอมรรตั น์ ชตุ นิ ันทกลุ . (2562). ลกั ษณะทางระบาดวิทยาและปัจจยั ที่มี ความสมั พนั ธ์กับการป่วยโรคมาลาเรยี ในกลมุ่ ผู้ป่วยชาวไทยและผูป้ ว่ ยต่างชาตใิ นพืน้ ทภี่ าคใต้ ตอนบนของประเทศไทย. วารสารควบคุมโรค, 45(4), 380-391. สานักโรคตดิ ต่อนาโดยแมลง กรมควบคุมโรค. (2559). ยทุ ธศาสตรก์ ารกาจดั โรคไข้มาลาเรยี ประเทศไทย พ.ศ. 2560-2569 (พมิ พค์ รั้งท่ี 1). กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์อักษรกราฟฟิคแอนด์ดไี ซน์. สานกั โรคติดตอ่ นาโดยแมลง. (2562). รายงานประจาปี 2561 สานกั โรคตดิ ต่อนาโดยแมลง. กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพ์อกั ษรกราฟฟิคแอนด์ดไี ซน์. Haque, U., Sunahara, T., Hashizume, M., Shields, T., Yamamoto, T., Haque, R., & Glass, G. E. (2011). Malaria prevalence, risk factors and spatial distribution in a hilly forest area of Bangladesh. PLoS One, 6(4), e18908. Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 117
ความครอบคลมุ การกระจายมงุ้ ชุบสารเคมชี นิดออกฤทธยิ์ าวนาน (LLINs) ตอ่ การควบคมุ โรคไขม้ าลาเรยี ในประเทศไทย Liu, H., Xu, J. W., Guo, X. R., Havumaki, J., Lin, Y. X., Yu, G. C., & Zhou, D. L. (2015). Coverage, use and maintenance of bed nets and related influence factors in Kachin Special Region II, northeastern Myanmar. Malaria journal, 14(1), 212. Malaria Consortium. The Evaluation of Coverage and Usage of Malaria Prevention Methods and Associated Malaria Risk Factors among Populations in Areas with Malaria Transmission in Thailand. Thailand Endline Survey 2016. Maung, T. M., Tripathy, J. P., Oo, T., Oo, S. M., Soe, T. N., Thi, A., & Wai, K. T. (2018). Household ownership and utilization of insecticide-treated nets under the Regional Artemisinin Resistance Initiative in Myanmar. Tropical medicine and health, 46(1), 27. Ntuku, H. M., Ruckstuhl, L., Julo-Réminiac, J. E., Umesumbu, S. E., Bokota, A., Tshefu, A. K., &Lengeler, C. (2017). Long-lasting insecticidal net (LLIN) ownership, use and cost of implementation after a mass distribution campaign in Kasaï Occidental Province, Democratic Republic of Congo. Malaria journal, 16(1), 22. 118 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปที ่ี 16 ฉบับท่ี 1
Factors Related to Helminthiasis Preventive Behaviors among People in Scarce Areas, Mae Ai District, Chiang Mai Province ปจั จยั ทม่ี คี วามสัมพนั ธก์ บั พฤตกิ รรมการป้ องกนั โรคหนอนพยาธขิ อง ประชาชนในพนื้ ทท่ี รุ กนั ดาร อาเภอแมอ่ าย จงั หวดั เชยี งใหม่ Factors Related to Helminthiasis Preventive Behaviors among People in Scarce Areas, Mae Ai District, Chiang Mai Province ยุภาพร ศรจี ันทร์* ส.ม. (สาธารณสขุ ศาสตร์) Yupaporn Srichan* M.P.H. (Public Health) เมตตา คาอนิ ทร*์ วท.ม. Metta Khumin* M.Sc. (การพัฒนาภมู ิสงั คมอยา่ งยงั่ ยืน) (Geosocial Based Sustainable Development) วราภรณ์ โพธบิ ลั ลงั ค*์ * อ. (สาธารณสุขศาสตร์) Varaporn Botibanlang** A. (Public Health) * สำนกั งำนปอ้ งกันควบคุมโรคท่ี 1 เชยี งใหม่ Office of Disease Prevention and Control No.1 Chiang Mai. ** ศนู ย์บริกำรสำธำรณสขุ ชุมชนบำ้ นโป่งไฮ ตำบลแมส่ ำว อำเภอแมอ่ ำย จงั หวดั เชยี งใหม่ Ban Pong Hai Community Public Health Center, Mae Sao Sub-District, Mae Ai District, Chiang Mai. Received: Jun 22, 2020 Revised: Jun 29, 2020 Accepted: Jun 30, 2020 บทคดั ยอ่ การศึกษาน้ีเป็นการศึกษาเชิงพรรณาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาความสัมพันธ์ของ ปัจจัยที่เก่ียวข้องกับพฤติกรรมการป้องกันโรคหนอนพยาธิของประชาชนในพื้นท่ีทุรกันดาร ตาบลแม่สาว อาเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ในประชากรอายุ 15 ปีข้ึนไป จานวน 192 คน ระยะเวลาในการศึกษาตั้งแต่ เดือนตุลาคม 2558 ถึงกันยายน 2559 เก็บรวบรวมข้อมลู โดยใชแ้ บบสอบถามทไี่ ดร้ บั การตรวจสอบความตรง ตามเนอื้ หาโดยผ้ทู รงคุณวุฒิ ค่าความเช่อื มนั่ ของแบบสอบถาม เทา่ กับ 0.71 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และ Binary Logistics Regression ผลการศึกษาพบว่า เพศชายร้อยละ 51.04 เพศหญิงร้อยละ 48.96 อายุระหว่าง 15-74 ปี อายุเฉล่ีย 39.76 ปี (S.D.=15.05) ไม่ได้เรียนหนังสือ ร้อยละ 57.81 ประกอบอาชีพเกษตรกรรมร้อยละ 59.38 มีสถานภาพสมรสคู่ ร้อยละ 82.81 มีพฤติกรรมการ ป้องกันโรคหนอนพยาธิระดับดีร้อยละ 16.67 และระดับท่ีต้องแก้ไขร้อยละ 83.33 จากการวิเคราะห์ ความสัมพันธ์ พบว่า เพศหญิง มีพฤติกรรมการป้องกันโรคหนอนพยาธิระดับดีมากกว่าเพศชาย 4.31 เท่า (AOR=4.31, 95%CI: 1.69-10.97) ผู้ที่มีปัจจัยด้านจิตสังคมระดับดี มีพฤติกรรมการป้องกันโรคหนอนพยาธิ ดีกว่าผู้ท่ีมีปัจจัยด้านจิตสังคมระดับที่ต้องแก้ไข 3.05 เท่า (AOR=3.05, 95%CI: 1.21-7.70) ผู้ท่ีมีการรับรู้ อุปสรรคของการป้องกันโรคระดับดี มีพฤติกรรมการป้องกันโรคหนอนพยาธิดีกว่าผู้มีการรับรู้อุปสรรคของ การป้องกันโรคระดับท่ีต้องแก้ไข 2.78 เทา่ (AOR=2.78, 95%CI: 1.15-6.71) ดังนน้ั การสอ่ื สารความเสี่ยงโรค หนอนพยาธแิ ก่ประชาชนในพ้ืนท่ี ควรสง่ เสริมให้มีกิจกรรมป้องกันโรคในชุมชนที่สื่อสารในรูปแบบต่างๆ ของ วิธกี ารปฏิบัตติ วั ในการป้องกนั โรคทเี่ หมาะสม โดยเนน้ กลมุ่ เปา้ หมายเพศหญงิ และสมาชิกในครอบครัว เพ่ือน ผใู้ กลช้ ิด เป็นผชู้ ว่ ยผลักดันให้บุคคลมีพฤติกรรมการปฏิบัติตัวในการป้องกันโรคหนอนพยาธิ ที่เหมาะสมเพ่ิม มากขึน้ คาสาคญั : ปัจจยั , พฤติกรรมการปอ้ งกนั โรคหนอนพยาธิ, การรบั รู้ Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 119
ปัจจยั ทม่ี คี วามสัมพนั ธก์ บั พฤตกิ รรมการป้ องกนั โรคหนอนพยาธขิ อง ประชาชนในพนื้ ทที่ รุ กนั ดาร อาเภอแมอ่ าย จงั หวดั เชยี งใหม่ ABSTRACT The purpose of this cross-sectional descriptive study aimed to define the factors that related to helminthiasis preventive behaviors of people in deficiency areas in Mae Sao Sub-District, Mae Ai District, Chiang Mai Province. There were 192 people enlisted into study samples whose ages above 15 years old. Duration of the study was from October 2015 to September 2016. The instrument to collect data was only a questionnaire, which was verified for its content validity by the expertises. The reliability test value was 0.71. Methods of data analyses required statistics, which were percentage, mean, standard deviation and binary logistics regression analysis. The results revealed that 51.04% were males, with an average age of 39.76 (S.D.=15.05), 57.81% illiteracy, 59.38% raising crops, 82.81% were married and 16.67% properly experienced with preventive behaviors of helminthiasis then 83.33% needed to be improved the preventive behaviors. Furthermore, females had 4.31 times more suitable behaviors than males (Adjusted Odds Ratio = 4.31, 95% CI = 1.69-10.97). Persons having good psychosocial factors had better preventive behaviors for helminthiasis 3.05 times than those with poor psychosocial factors (Adjusted OR= 3.05, 95% CI=1.21-7.70). People with high level of perceived barriers to disease prevention had better preventive behaviors 2.78 times than those with low level perceived barriers (Adjusted OR= 2.78, 95% CI =1.15-6.71). The outcomes from this study suggested to expand risk communication toward helminthiasis to the people, promote various disease prevention activities into the communities by focusing on the female and their family members. Lastly, set right key persons to improve knowledge and perception for better preventive behaviors against the helminthiasis. Key words: Factors, Helminthiasis preventive behaviors, Perception บทนา ชุมชนได้รับการพัฒนา พฤติกรรมสุขภาพ และการ พัฒนาสภาพแวดล้อมของบ้านและชุมชนให้ถูก ด้วยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จ สุขลักษณะนั้น มีเป้าหมายพัฒนานักเรียนและ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้มี ประชาชน พื้นที่ดาเนินการ 51 จังหวัด (สานักงาน พระราชดาริพัฒนาเด็กและเยาวชนในถ่ินทุรกันดาร โครงการสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรม ตั้งแต่ปี 2523 และมีแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนใน ราชกมุ ารี, 2551) ถ่ินทุรกันดารตามพระราชดาริ สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ฉบับที่ 4 (พ.ศ. กระทรวงสาธารณสุข มอบให้กรมควบคุมโรค 2550-2559) เป็นแผนระยะยาว 10 ปี วัตถุประสงค์ รับผิดช อบกรอบการดาเนินงานควบคุมโ รค เพอื่ ขยายการพฒั นาจากโรงเรียนส่ชู มุ ชน ทาให้ชุมชน หนอนพยาธิ ให้ลดความชุกโรคหนอนพยาธิใน มีความเข็มแขง็ และพงึ่ ตนเองได้ ครอบครัวและชุมชน นักเรียนให้ไม่เป็นปัญหาสาธารณสุขและระดับความ เกิดการพัฒนา ช่วยเหลือสนับสนุนการพัฒนาเด็ก รุนแรงของโรคหนอนพยาธิอยู่ในระดับต่าตามเกณฑ์ เยาวชนและโรงเรียนไปพร้อมๆ กัน โดยมุ่งเน้นให้ 120 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปีท่ี 16 ฉบบั ท่ี 1
Factors Related to Helminthiasis Preventive Behaviors among People in Scarce Areas, Mae Ai District, Chiang Mai Province องค์การอนามัยโลก (ความชุกโรคไม่เกินร้อยละ 5) วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยด้าน ด้วยการตรวจและรักษาโรคหนอนพยาธิตาม ประชากร การรับรู้โอกาสเส่ียงต่อการเกิดโรค การ มาตรฐานทางวิชาการ เพ่ือลดความชุกความรุนแรง รับรู้ความรุนแรงของโรค การรับรู้ประโยชน์ของการ ของปัญหา ซ่ึงกรมควบคุมโรคมีการดาเนินงาน ป้องโรค การรับรู้อุปสรรคของการป้องกันโรค ตัว ควบคุมโรคหนอนพยาธิมาอย่างต่อเนื่อง และในปี แปรด้านจิตสังคม และส่ิงชักนาสู่การปฏิบัติ กับ 2558 ได้ดาเนินโครงการควบคุมโรคหนอนพยาธิใน พฤติกรรมการป้องกันโรคหนอนพยาธิของประชาชน นักเรียนและเยาวชน โรงเรียนตารวจตระเวน ในพ้ืนที่ทุรกันดาร เพ่ือหาแนวทางการแก้ไขปัญหา ชายแดน (ตามสานักพระราชวังฯ กาหนด) และ โรคหนอนพยาธิ และช่วยลดอัตราป่วยด้วยโรค ชุมชนในพื้นที่ตั้งของโรงเรียน 16 แห่ง เป็นพื้นท่ี หนอนพยาธิและระดับคว ามรุนแรงของโ รค รับผิดชอบสานักงานปอ้ งกนั ควบคุมโรคท่ี 1 เชียงใหม่ หนอนพยาธลิ งจนไมเ่ ปน็ ปัญหาสาธารณสขุ ตอ่ ไป 2 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนตารวจตระเวนชายแดนเฮียง ไทยธารงค์ อาเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และ วธิ กี ารศกึ ษา โรงเรียนตารวจตระเวนชายแดนการท่าอากาศยาน การศึกษาครั้งน้ีเป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบ แห่งประเทศไทยเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพ ภาคตดั ขวาง (Cross-sectional descriptive study) รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อาเภอแม่ฟ้า ระยะเวลาในการศึกษาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2558 ถึง หลวง จังหวัดเชียงรายนั้น ท้ังน้ีปี 2558 โรงเรียน กนั ยายน 2559 ตารวจตระเวนชายแดนเฮียงไทยธารงค์ จังหวัด ประชากรท่ีศึกษาคร้ังน้ี คือ ประชาชนอายุ 15 ปี เชียงใหม่ ได้รับการประเมินโรงเรียนตามเกณฑ์ ขึ้นไป ในพื้นที่หมู่ 15 ตาบลแม่สาว อาเภอแม่อาย มาตรฐานสุขาภิบาลสุขอนามัยโรงเรียนตารวจ จังหวัดเชียงใหม่ และสมัครใจเข้าร่วมการศึกษา ตระเวนชายแดน ผลการประเมินที่ไม่ผ่านเกณฑ์ จานวน 192 คน จากจานวนประชาชนอายุ 15 ปีข้ึน ระดับข้ันพ้ืนฐาน เร่ือง พฤติกรรมสุขภาพและ ไป ท้ังหมด 270 คน (ศูนย์บริการสาธารณสุขชุมชน กระบวนการเรียนรู้, การจัดการขยะสิ่งปฏิกูลน้าเสีย บ้านโป่งไฮ ตาบลแม่สาว อาเภอแม่อาย จังหวัด และพาหะนาโรค เชียงใหม่, 2558) ภาพรวมของการดาเนินงานป้องกันควบคุมโรค เคร่ืองมือท่ีใช้ในการศึกษา เป็นแบบสอบถาม/ หนอนพยาธิประเทศไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า แบบสัมภาษณ์ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น โดยดัดแปลงมาจาก อัตราความชุกของโรคหนอนพยาธิในนักเรียนลดลง แบบสอบถามของการศึกษาสถานการณ์โรค ในปี 2551 และ 2554 มีอัตราความชุกของโรค หนอนพยาธิและโปรโตซัวในลาไส้และปัจจัย หนอนพยาธิในนักเรียน ร้อยละ 14.1 และ 10.4 กาหนดการเป็นโรคหนอนพยาธิในกลุ่มคนชายขอบ ตามลาดับ สาหรับสถานการณ์โรคหนอนพยาธิและ (ชาวเขา) ของประเทศไทย (สานักโรคติดต่อทั่วไป, โปโตซัวของประเทศไทยปี พ.ศ.2552 พบพยาธิใบไม้ 2553) และจากแนวคดิ ทฤษฎีแบบแผนความเช่ือด้าน ตับมากท่ีสุด ร้อยละ 8.7 รองลงมาพบพยาธิปากขอ สุขภาพ (Health Belief Model) (Becker, 1974 ; ร้อยละ 6.5 (สานกั โรคติดตอ่ ทว่ั ไป, 2552) อัตราความ Rosenstock, 1966 อ้างใน Daly, et al., 2003 และ ชุกของโรคหนอนพยาธิสูงกว่าเป้าหมายขององค์การ Pender, 1987) ได้รับการตรวจสอบความตรงตาม อนามยั โลก ที่กาหนดความชุกของโรคหนอนพยาธิไม่ เน้ือหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน และนาไปทดลองใช้ เกินร้อยละ 5 (สานักงานโครงการสมเด็จพระเทพ กับประชาชนหมู่ 8 ตาบลปางมะผ้า อาเภอปางมะผ้า รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, 2551) ซึ่งการ จงั หวดั แม่ฮอ่ งสอน จานวน 38 ชดุ ไดค้ า่ ความเช่ือมั่น ติดเช้ือโรคหนอนพยาธิจะพบบ่อยท่ีสุดในประเทศ เท่ากบั 0.71 ประกอบดว้ ย กาลังพัฒนา (Hotez et al., 2008) การศึกษาน้ีมี Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 121
ปัจจยั ทมี่ คี วามสัมพนั ธก์ บั พฤตกิ รรมการป้ องกนั โรคหนอนพยาธขิ อง ประชาชนในพนื้ ทท่ี รุ กนั ดาร อาเภอแมอ่ าย จงั หวดั เชยี งใหม่ ส่วนที่ 1 ข้อมูลท่ัวไป ได้แก่ อายุ เพศ สถานภาพ สังคมประกอบด้วยข้อคาถาม จานวน 6 ข้อ ซ่ึงเป็น สมรส ระดับการศกึ ษา อาชพี การมีส้วม ปัจจัยหนึ่งท่ีเป็นแนวทางในการตัดสินเลือกปฏิบัติ ส่วนท่ี 2 พฤติกรรมการป้องกันโรคหนอนพยาธิ พฤติกรรมเพ่ือแก้ปัญหาสุขภาพของตนให้สอดคล้อง ประกอบดว้ ยข้อคาถามเกีย่ วกับพฤตกิ รรมการขับถ่าย สัมพันธ์กับความเช่ือของตน และความต้องการของ อุจจาระ การสวมรองเทา้ การรบั ประทานอาหารสุกๆ สังคมรอบข้าง เช่น บุคลิกภาพ ฐานะทางสังคม กลุ่ม ดิบๆ เช่น ลาบ เน้ือหมู วัว ควาย ปลา หอย ฯลฯ เพื่อน และบุคคลที่เก่ียวข้อง โดยเฉพาะสมาชิกใน ลักษณะคาตอบเป็นแบบประมาณค่า 2 ระดับ คือ ครอบครวั และเพ่ือนผู้ใกล้ชิด ข้อคาถามมีทั้งด้านบวก ปฏิบัติทุกคร้ัง และปฏิบัติบางครั้ง/ไม่เคยปฏิบัติเลย และด้านลบ ลักษณะคาตอบแบ่งออกเป็น ใช่ จานวน 16 ข้อ โดยมีเกณฑ์การแปลความหมายของ หมายถึง ข้อความนั้นตรงกับความรู้สึกนึกคิดหรือ คะแนนพฤติกรรมการป้องกันโรคหนอนพยาธิระดับดี ความเข้าใจของผู้ตอบ ไม่ใช่ หมายถึง ข้อความนั้นไม่ อยู่ในระดับร้อยละ 80 ข้ึนไป (คะแนน 26-32 คะแนน) ตรงกับความรู้สึกนึกคิดหรือความเข้าใจของผู้ตอบ ระดับที่ต้องแก้ไข คะแนนน้อยกว่าร้อยละ 80 โดยมีเกณฑ์การใหค้ ะแนนดงั น้ี (คะแนนน้อยกว่าหรือเท่ากับ 26 คะแนน (ธนวรรธน์ ขอ้ ความ ทางบวก ทางลบ อิม่ สมบูรณ์ และคณะ, 2546) ใช่ 2 1 ส่วนท่ี 3 การรับรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมการป้องกัน ไมใ่ ช่ 1 2 โรคหนอนพยาธิ ประกอบด้วยข้อคาถามเก่ียวกับการ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน (วิเชียร เกตุสิงห์, รับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรค จานวน 6 ข้อ การ 2538) ส่ิงชักนาสกู่ ารการปฏิบัติ และตัวแปรจิตสังคม รับรู้ความรุนแรงของโรค จานวน 5 ข้อ การรับรู้ ระดับดี คะแนนร้อยละ 80 ขึ้นไป ระดับท่ีต้องแก้ไข ประโยชน์ของการป้องโรค จานวน 7 ข้อ การรับรู้ คะแนนนอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 80 เช่นกนั อุปสรรคของการป้องกันโรค จานวน 7 ข้อ ลักษณะ คาถามเป็นมาตรส่วนประมาณค่า 2 ระดับ มีทั้ง การวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติ จานวน ร้อยละ ทางบวกและทางลบ ลักษณะคาตอบแบ่งออกเป็น ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ เห็นด้วย หมายถึง ข้อความน้ันตรงกับความรู้สึกนึก ความสัมพันธร์ ะหว่างการรับรเู้ กี่ยวกับการป้องกันโรค คิดหรือความเข้าใจของผู้ตอบ ไม่เห็นด้วย หมายถึง ห น อ น พ ย า ธิ กั บ พ ฤ ติ ก ร ร ม ก า ร ป้ อ ง กั น โ ร ค ข้อความนั้นไม่ตรงกับความรู้สึกนึกคิดหรือความ หนอนพยาธิโดยใช้สถติ ิ Binary Logistics Regression เข้าใจของผู้ตอบ จานวนทั้งส้ิน 25 ข้อ โดยมีเกณฑ์ ผลการศึกษา การให้คะแนนดงั นี้ ประชากรในการศึกษาคร้ังน้ี จานวน 192 คน ขอ้ ความ ทางบวก ทางลบ เปน็ เพศชายร้อยละ 51.04 เพศหญิงร้อยละ 48.96 มี เหน็ ด้วย 2 1 อายุเฉลยี่ 39.76 (S.D.=15.05) กลุ่มอายุ 50 ปีข้ึนไป ไม่เหน็ ด้วย 1 2 มากที่สุดร้อยละ 29.69 รองลงมากลุ่มอายุ 21-30 ปี โดยมีเกณฑ์การแปลผลคะแนน การรับรู้ระดับดี ร้อยละ 22.92 ประชากรไม่ได้เรียนหนังสือมากที่สุด คะแนนร้อยละ 80 ข้ึนไป ระดับท่ีต้องแก้ไข คะแนน ร้อยละ 57.81 รองลงมาได้รับการศึกษาระดับ นอ้ ยกว่าร้อยละ 80 (วิเชยี ร เกตุสงิ ห์, 2538) ประถมศกึ ษาร้อยละ 31.77 มีอาชีพเกษตรกรรมมาก ส่วนท่ี 4 สิ่งชักนาสู่การปฏิบัติ ประกอบด้วยข้อ ท่ีสุดร้อยละ 59.38 รองลงมารับจ้างร้อยละ 34.38 คาถาม จานวน 8 ข้อ เก่ียวกับ ปัจจัยต่างๆ ท่ีมีส่วน ส่วนใหญม่ ีสถานภาพสมรสคู่ร้อยละ 82.81 รองลงมา กระตุ้นเตือนให้เกิดพฤติกรรมการป้องกันโรค เช่น สถานภาพโสดร้อยละ 11.46 นับถือศาสนาคริสต์ ญาติ เพื่อนบ้าน อาสาสมัครสาธารณสุขประจา มากที่สุด ร้อยละ 58.85 และศาสนาพุทธร้อยละ หมู่บ้าน เจ้าหน้าท่ีสาธารณสุข และตัวแปรด้านจิต 41.15 ส่วนใหญ่บ้านมสี ้วมซึมรอ้ ยละ 88.02 ไม่มีส้วม 122 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปที ี่ 16 ฉบบั ท่ี 1
Factors Related to Helminthiasis Preventive Behaviors among People in Scarce Areas, Mae Ai District, Chiang Mai Province ซึม ร้อยละ 11.98 ใช้ส้วมร้อยละ 89.58 และไม่ใช้ 14.36 (S.D.=1.75) รองลงมามีการรับรู้ความรุนแรง ส้วมรอ้ ยละ 10.42 (ตาราง 1) ของโรคหนอนพยาธิระดับดี มีค่าคะแนนเฉล่ีย 8.92 ประชากรมีการรับรู้โอกาสเส่ียงต่อการเกิดโรค (S.D.=1.03) และการรับรู้ประโยชน์ของการป้องกัน หนอนพยาธิอยู่ในระดับดี โดยมีค่าคะแนนเฉลี่ย โรคหนอนพยาธิในระดับดี มีค่าคะแนนเฉล่ีย 13.14 10.07 (S.D.=1.43) และมีสิง่ ชักนาสกู่ ารปฏบิ ตั ิในการ (S.D.=1.21) ป้องกันโรคหนอนพยาธิในระดับดี มีค่าคะแนนเฉล่ีย ตาราง 1 จานวน และร้อยละของประชากร จาแนกตามลักษณะด้านประชากร (N = 192) ลกั ษณะดา้ นประชากร จานวน ร้อยละ เพศ 98 51.04 ชาย 94 49.96 หญงิ อายุ (ป)ี อายุเฉลี่ย 39.76 ปี (S.D.=15.05) 20 10.42 15-20 44 22.92 21-30 33 17.19 31-40 38 19.79 41-50 57 29.69 ≥ 50 ระดับการศกึ ษา 111 57.81 ไม่ได้เรียนหนงั สอื 61 31.77 ระดบั ประถมศึกษา 13 6.77 มัธยมศึกษาตอนต้น 6 3.13 มธั ยมศึกษาตอนปลาย 1 0.52 ปวช./ปวส. อาชีพ 9 4.69 ไมไ่ ดท้ างาน 114 59.38 เกษตรกรรม 3 1.56 ค้าขาย 66 34.38 รับจ้าง บา้ นมีสว้ มซมึ 23 11.98 ไม่มี 169 88.02 มี การใชส้ ้วม 20 10.42 ไม่ใช้สว้ ม 172 89.58 ใชส้ ้วม Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 123
ปจั จยั ทมี่ คี วามสัมพนั ธก์ บั พฤตกิ รรมการป้ องกนั โรคหนอนพยาธขิ อง ประชาชนในพนื้ ทท่ี รุ กนั ดาร อาเภอแมอ่ าย จงั หวดั เชยี งใหม่ ส่วนตัวแปรด้านจิตสังคมที่ส่งเสริมในการป้องกัน มากกวา่ เพศชาย 4.31 เท่า (Adjusted Odds Ratio: โรคหนอนพยาธิระดับท่ีต้องแก้ไข มีค่าคะแนนเฉลี่ย AOR=4.31, 95%Confidence Interval: CI=1.69- 9.91 (S.D.=1.11) และมีการรับรู้อุปสรรคของการ 10.97) ผู้ที่มีปัจจัยด้านจิตสังคมระดับดี มีพฤติกรรม ป้องกันโรคหนอนพยาธิในระดับที่ต้องแก้ไข มีค่า การป้องกันโรคหนอนพยาธิดีกว่าผู้ที่มีปัจจัยด้านจิต คะแนนเฉล่ีย 7.86 (S.D.=3.69) สังคมระดับท่ีต้องแก้ไข 3.05 เท่า (AOR=3.05, 95%CI=1.21-7.70) และผู้ท่ีมีการรับรู้อุปสรรคของ ประชากรส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการป้องกันโรค การป้องกันโรคระดับดี มีพฤติกรรมการป้องกันโรค หนอนพยาธิ อยู่ในระดับดี มีค่าคะแนนเฉล่ีย 29.14 หนอนพยาธิดีกว่าผู้มีการรับรู้อุปสรรคของการ (S.D.=1.68) (ตาราง 2) ป้องกันโรคระดับท่ีต้องแก้ไข 2.78 เท่า (AOR=2.78, 95% CI=1.15-6.71) (ตาราง 3) สาหรับความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับ พฤติกรรมการป้องกันโรคหนอนพยาธิ พบว่า เพศ หญิงมีพฤติกรรมการป้องกันโรคหนอนพยาธิระดับดี ตาราง 2 คะแนนเฉลี่ยของการรบั รเู้ กีย่ วกบั การป้องกันโรค และพฤตกิ รรมการป้องกนั โรคหนอนพยาธิ (N = 192) ปจั จัย ระดับดี ระดับทตี่ อ้ งแก้ไข Mean S.D. ระดบั จานวน ร้อยละ จานวน ร้อยละ การรับร้เู กีย่ วกบั การป้องกนั โรค การรบั รโู้ อกาสเสี่ยงตอ่ การเกิดโรค 65 33.85 127 66.15 10.07 1.43 ดี (0-12 คะแนน) การรับรู้ความรุนแรงของโรค 60 31.25 132 68.75 8.92 1.03 ดี (0-10 คะแนน) การรับรู้ประโยชนข์ องการป้องกันโรค 21 10.94 171 89.06 13.14 1.21 ดี (0-14 คะแนน) การรบั รู้อุปสรรคของการปอ้ งกนั โรค 54 28.13 138 71.88 7.86 3.69 ต้อง (0-14 คะแนน) แก้ไข ตวั แปรดา้ นจิตสังคม 59 30.73 133 69.27 9.91 1.11 ต้อง (0-12 คะแนน) แกไ้ ข สงิ่ ชักนาส่กู ารปฏิบตั ิ 65 33.85 127 66.15 14.36 1.75 ดี (0-16 คะแนน) พฤติกรรมการป้องกนั โรคหนอนพยาธิ 32 16.67 160 83.33 29.14 1.68 ดี (0-32 คะแนน) 124 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปีท่ี 16 ฉบับที่ 1
Factors Related to Helminthiasis Preventive Behaviors among People in Scarce Areas, Mae Ai District, Chiang Mai Province ตาราง 3 ปัจจัยที่มคี วามสมั พันธ์กบั พฤติกรรมการป้องกันโรคหนอนพยาธิของประชากร (N = 192) ปัจจัย Unadjusted Adjusted เพศหญิง OR 95%CI p-value OR 95%CI p-value การรบั รโู้ อกาสเสี่ยงตอ่ การเกดิ โรค 3.49 1.48-8.23 0.004* 4.31 1.69-10.97 0.002* การรับรู้ความรุนแรงของโรค 2.27 1.05-4.89 0.037* 1.99 0.81-4.93 0.133 การรบั รู้ประโยชน์ของการป้องกันโรค 1.19 0.53-2.65 0.676 0.80 0.31-2.06 0.642 การรับรู้อปุ สรรคของการป้องกันโรค 2.92 1.07-7.95 0.036* 1.69 0.52-5.51 0.385 ตวั แปรดา้ นจิตสังคม 2.74 1.25-5.99 0.012* 2.78 1.15-6.71 0.023* ส่งิ ชักนาสู่การปฏิบัติ 3.73 1.71-8.17 0.001* 3.05 1.21-7.70 0.018* *P-value<0.05 1.42 0.65-3.10 0.377 0.64 0.24-1.69 0.367 อภิปรายผล เอาใจใส่จากบุคคลในครอบครัว เพื่อนบ้าน เพื่อน จากผลการศึกษาพบว่า เพศหญิงมีพฤติกรรมการ ทางาน เจ้าหน้าท่ีสาธารณสุข และบุคคลอื่น มี ป้องกันโรคหนอนพยาธิระดับดีมากกว่าเพศชาย อาจ อิทธิพลต่อพฤติกรรมป้องกันโรคพยาธิลาไส้ (บังอร เนื่องจากแม่บ้านเป็นบุคคลหลักในครอบครัวที่ทา ฉางทรัพย์ และคณะ, 2549) ทั้งน้ีกลไกท่ีสาคัญของ หน้าท่ีปรุงอาหาร มีส่วนส่งเสริมให้คนในครอบครัว การดาเนินงานป้องกันควบคุมโรคหนอนพยาธิ คือ คนในชุมชน รับประทานอาหารในลักษณะที่ปรุงสุก การทาให้ชุมชนมีความเข็มแข็งและมีพลังเพียง ซ่ึงเป็นพฤติกกรมสุขภาพที่เอื้อต่อการป้องกันโรค พอท่ีจะดาเนินงานได้ จึงต้องมีการสร้างพลังชุมชนที่ หนอนพยาธิ สอดคล้องกับการศึกษาของเกษแก้ว จะดาเนินการภายในชุมชนเอง ร่วมกับหน่วยงาน เสียงเพราะ และคณะ (2559) ท่ีพบว่า เพศมี สาธารณสุข และหน่วยงานอื่นๆในพื้นที่ ช่วย ความสัมพันธ์กับการติดเช้ือหนอนพยาธิที่ติดต่อ ปรับเปล่ียนวิถีชีวิตเก่ียวกับการถ่ายอุจจาระในส้วม ผ่านดิน และสอดคล้องกับการศึกษาของญาณิดา การบริโภคอาหารท่ีปลอดภัยจากโรคหนอนพยาธิ สิทธิผล และคณะ (2543) พบว่า เพศมีความสัมพันธ์ การสวมรองเท้าที่ถูกสุขลักษณะ การตรวจอุจจาระ ซ่ึงปัญหาสุขภาพของแต่ละบุคคล แต่ละครอบครัว กบั พฤตกิ รรมการปอ้ งกันโรคพยาธิปากขอ ผู้ท่ีมีปัจจัยด้านจิตสังคมระดับดีมีพฤติกรรมการ และแต่ละชุมชน การแก้ไขปัญหาส่วนใหญ่เป็นความ ป้องกันโรคหนอนพยาธิดีกว่าผู้ท่ีมีปัจจัยด้านจิตสังคม รับผิดชอบของบุคคล ครอบครัว และชุมชนเป็นหลัก ระดับที่ต้องแก้ไข ท้ังน้ีเน่ืองจากปัจจัยด้านจิตสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันควบคุมโรค ซ่ึงต้อง อาจเป็นปัจจัยหน่ึงที่เป็นแนวทางในการตัดสินเลือก อาศัยพฤติกรรมการมีส่วนร่วมของชุมชนที่ยั่งยืน ปฏิบัติพฤติกรรมเพื่อแก้ปัญหาสุขภาพของตนให้ (นิตยา เพ็ญศิรนิ ภา, 2538) สอดคล้องสัมพันธ์กับความเช่ือของตน และความ หลักการสาคัญของการสร้างพลังชุมชนคือ สร้าง ตอ้ งการของสังคมรอบข้าง เช่น บุคลิกภาพ ฐานะทาง การรับรู้และความตระหนักในปัญหาของชุมชน สังคม กลุ่มเพ่ือน โดยเฉพาะสมาชิกในครอบครัว ค้นหาวิธีการแกไขปัญหาโดยอาศัยประสบการณ์และ และเพื่อนผู้ใกล้ชิด ซึ่งมีส่วนส่งเสริมให้ประชาชนมี ทักษะของตนเอง ของครอบครัว ของชุมชน แล้วแต่ พฤติกรรมการป้องกนั โรคหนอนพยาธริ ะดบั ดี สาหรับ กรณี และควรยดึ หลกั การพึ่งพาตนเอง เพราะในเร่ือง ปจั จัยด้านจิตสังคมน้ันรวมถึงการสนับสนุนทางสังคม ของสุขภาพนั้น แต่ละคนแต่ละครอบครัวมีส่วนได้ การได้รับการยอมรับ การสนับสนุนให้กาลังใจ การ ส่วนเสียโดยตรง ดังนั้นรูปแบบการสร้างพลังชุมชน Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 125
ปัจจยั ทมี่ คี วามสัมพนั ธก์ บั พฤตกิ รรมการป้ องกนั โรคหนอนพยาธขิ อง ประชาชนในพนื้ ทท่ี รุ กนั ดาร อาเภอแมอ่ าย จงั หวดั เชยี งใหม่ จึงต้องเป็นรูปแบบที่ผู้นาชุมชน และประชาชน บางครั้งการเดินไปมาภายนอกบริเวณบ้าน และ ส่วนมากได้มีโอกาสเข้าร่วมในกิจกรรมการสร้าง ระหว่างบ้านใกล้เคียง ไม่สวมรองเท้า ซึ่งพฤติกรรม ชุมชนให้มากท่ีสุด โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและ สุขภาพแบบเดิมๆ ตามวิถีชีวิตและบริบทชุมชนท่ีอาจ เจ้าหน้าที่หน่วยงานอ่ืน เป็นผู้สนับสนุนให้เกิด เสี่ยงต่อการติดเชื้อหนอนพยาธิ หรือทาให้เกิดการ กิจกรรมการสรา้ งพลงั และชุมชนได้จัดทาแผนปฏิบัติ แพร่ระบาดของเช้ือหนอนพยาธิได้ง่ายขึ้นเป็นต้น การของชุมชน ให้องค์กรชุมชน ผู้นาชุมชน และ (Steenhard et al., 2000) ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน และลงมือดาเนินการตาม ศักยภาพให้สูงพอที่จะทาได้ และให้ชุมชนได้มีการ ขอ้ เสนอแนะ ประเมินผลการดาเนนิ งานแล้วนาผลลัพธ์ท่ีได้ รวมท้ัง จากการท่ีประชาชนในพฤติกรรมากรป้องกัควบ ปญั หา และอุปสรรคตา่ งๆ มาประชมุ ปรึกษาหารือกัน คุมโรคหนอนพยาธืในระดับท่ีต้องแก้ไข จึงควรมีการ เพ่ือนาไปสู่การพัฒนากิจกรรมการดาเนินงานให้มี สื่อสารความเสี่ยงโรคหนอนพยาธิแก่ประชาชนใน ประสิทธิภาพ และทาให้ชุมชนมีความเข็มแข็งมาก พ้ืนท่ี ส่งเสริมให้มีกิจกรรมป้องกันโรคในชุมชนท่ี ยิง่ ขน้ึ (ธนวรรธน์ อ่มิ สมบูรณ์ และคณะ, 2546) สื่อสารในรูปแบบต่างๆ ของวิธีการปฏิบัติตัวในการ สาหรับผู้ที่มีการรับรู้อุปสรรคของการป้องกันโรค ป้องกันโรคท่ีถูกต้อง โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายเพศหญิง หนอนพยาธิในระดับดี มีพฤติกรรมการป้องกันโรค และสมาชิกในครอบครัว เพื่อนผู้ใกล้ชิด เป็นผู้ช่วย หนอนพยาธิดีกว่าผู้มีการรับรู้อุปสรรคของการ ผลักดันให้บุคคลมีการปฏิบัติตัวในการป้องกันโรค ป้องกันโรคระดับที่ต้องแก้ไข อาจเน่ืองจากการสวม หนอนพยาธิท่ีดีต่อไป ซึ่งผลการศึกษาที่ได้จะเป็น รองเท้าหุ้มส้น หรือรองเท้าบู๊ต เพื่อป้องกันตัวอ่อน ข้อมูลในการนาไปใช้จัดทารูปแบบการสื่อสารความ ของพยาธิปากขอไชเข้าเท้าและป้องกันการติดโรค เสี่ยง การจัดกิจกรรมในชุมชน ของวิธีการปฏิบัติตัว หนอนพยาธนิ ั้น ไมส่ ะดวกสบาย และไม่คุ้นเคย ซึ่งวิถี ในการป้องกันโรคหนอนพยาธิที่เหมาะสมสาหรับ ชีวิตประจาวันจะสวมใส่รองเท้าแตะเม่ืออกนอกบ้าน ประชาชนในพน้ื ที่ทุรกนั ดารต่อไป ท้งั น้ีพฤติกรรมการ ส า ห รั บ พ ฤ ติ ก ร ร ม ก า ร ป้ อ ง กั น โ ร ค ป้องกันควบคุมโรค อาจได้รับการแก้ไขโดยการให้ หนอนพยาธิพบว่า มีพฤติกรรมที่อยู่ในระดับท่ีต้อง ประชาชนให้ความรู้ หรือต้องศึกษา/เก็บข้อมูลเรื่อง แก้ไข ร้อยละ 83.33 ได้แก่ พฤติกรรมการถ่าย ความรเู้ ก่ียวกับหนอนพยาธดิ ว้ ย อุจจาระนอกสว้ มขณะไปทาไร่-ทานา-ทาสวน ร้อยละ 51.82 สืบเนื่องจากประชากรท่ีศึกษาเป็นชนเผ่าลาหู่ กติ ติกรรมประกาศ มีอาชีพหลักเกษตรกรรม และมีวิถีชีวิตที่ต้องไปทาไร่ ทานาทาสวนพื้นท่ีสูงตามไหล่เขา และไม่มีส้วม จึง ขอขอบคุณ ดร.อดุลย์ศักด์ิ วิจิตร พ.อ.ศ.ดร.นพ. เป็นปัจจัยเอ้ือให้มีการถ่ายอุจจาระนอกส้วม ส่วน มฑิรุทธ มุ่งถ่ิน และดร.วรยุทธ นาคอ้าย ท่ีกรุณาเป็น พฤติกรรมเดินเท้าเปล่าไปบนดินเมื่อออกนอกบ้านมี ผู้ ท ร ง คุ ณ วุ ฒิ ต ร ว จ ส อ บ คุ ณ ภ า พ เ ค ร่ื อ ง มื อ ถึง ร้อยละ 77.08 เนื่องจากวิถีชีวิตชาวนา ชาวไร่ นพ.สุรเชษฐ์ อรุโณทอง ให้คาปรึกษาการวิเคราะห์ ชาวสวน ไม่นิยมสวมรองเท้า (อดุลย์ศักดิ์ วิจิตร, ข้อมูล และ ดร.นารถลดา ขันธิกุล ท่ีให้คาปรึกษา 2543) จากการศึกษาของพิสิษฐ์ สุนทราวิฑูร และ แนะนา ตรวจสอบแก้ไข การเขียนผลงานวิชาการ คณะ (2556) พบว่า ประชาชนมีพฤติกรรมสุขภาพที่ และขอขอบคุณผู้นาชุมชน อสม. และครูโรงเรียน ไมถ่ กู สุขลกั ษณะ เช่น การถ่ายอุจจาระนอกส้วม ร้อย ตารวจตระเวนชายแดนเฮียงไทยธารงค์ ที่อานวย ละ 41.5 อีกท้ังลักษณะทางภูมิศาสตร์พ้ืนที่สูงตาม ความสะดวก ให้ความร่วมมือ ประสานงานการเก็บ ไหล่เขา การปลูกบ้านจะอยู่ใกล้กัน พื้นถนนเป็นดิน ข้อมูล และประชาชนทุกท่านท่ีให้ความร่วมมือในการ ลูกรัง ความรู้สึกไม่สะดวกไม่สบายเมื่อสวมรองเท้า สัมภาษณ์ในการเกบ็ ข้อมูลเป็นอย่างดีทาให้การศึกษา สาเร็จลุลว่ งไปดว้ ยดี 126 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปีท่ี 16 ฉบบั ที่ 1
Factors Related to Helminthiasis Preventive Behaviors among People in Scarce Areas, Mae Ai District, Chiang Mai Province เอกสารอา้ งอิง เกษแก้ว เสียงเพราะ วรยทุ ธ นาคอ้าย และ วิชาญ ปาวัน. (2559). ความชุกและปัจจยั ท่ีมผี ลต่อพฤติกรรมการ ป้องกนั โรคหนอนพยาธทิ ่ีติดต่อผ่านดินของนักเรียนโรงเรยี นตารวจตระเวนชายแดน จังหวดั แมฮ่ ่องสอน ประเทศไทย. วารสารสาธารณสขุ ศาสตร์, 46(1), 16-30. ญาณดิ า สิทธผิ ล อรณุ มะหนิ ชยั ยทุ ธ ขนุ เจริญ และณรงค์ จันทรพทิ ักษ์. (2543). ปจั จัยทมี่ ผี ลตอ่ พฤติกรรม การป้องกนั โรคพยาธปิ ากขอในนกั เรยี นระดับประถมศกึ ษาเขตพ้นื ที่ 7 จงั หวัดภาคใตต้ อนล่าง, 1-64. นิตยา เพญ็ ศริ นิ ภา. (2538). รูปแบบการศึกษาเพื่อสร้างพลัง (Empowerment Education Model). เอกสาร การประชมุ วิชาการสขุ ศึกษาแห่งชาติ ประจาปี 2538. (มปท.). ธนวรรธน์ อมิ่ สมบูรณ์ ประภาศรี จงสุขสนั ติกุล และฐติ ิมา วงศาโรจน์. (2546). คู่มือการดาเนินงานควบคุม โรคหนอนพยาธใิ นพ้นื ที่สูง. นนทบุรี: โรงพิมพช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากดั . บงั อร ฉางทรพั ย์ มนัส บุญประกอบ องอาจ นัยพฒั น์ และปราโมทย์ ทองกระจาย. (2549). ปัจจัยที่มผี ลต่อ พฤติกรรมการป้องกันโรคพยาธลิ าไสข้ องประชาชนในชุมชนคลองเตย กรุงเทพมหานคร. วารสาร พฤติกรรมศาสตร์, 12(1), 110-129. พิสิษฐ์ สุนทราวิฑรู งามนติ ย์ ราชกิจ จักรกฤษณ์ วงั ราษฎร์ และคณะ. (2556). ความชกุ ของการตดิ เช้อื ปรสิต ลาไสใ้ นกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมบู่ ้าน เทศบาลตาบลปา่ ออ้ ดอนชยั อาเภอเมอื งเชียงราย จังหวดั เชยี งราย. วารสารสาธารณสขุ ศาสตร์, 43(2), 113-125. วเิ ชียร เกตุสงิ ห์. (2538). ค่าเฉลย่ี กับการแปลความหมาย : เรอ่ื งงา่ ยๆๆ ที่บางคร้งั ก็พลาดได้. ข่าวสารการ วิจยั การศึกษา, 18, 8-11. ศูนยบ์ ริการสาธารณสุขชมุ ชนบา้ นโป่งไฮ ตาบลแม่สาว อาเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่. (2558). เอกสารสรปุ ข้อมูลประชากรตาบลแม่สาว อาเภอแมอ่ าย จงั หวัดเชียงใหม.่ (เอกสารอัดสาเนา). สานักงานโครงการสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. (2551). แผนพัฒนาเดก็ และ เยาวชนในถน่ิ ทรุ กันดารตามพระราชดาริ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี ฉบบั ที่ 4 (พ.ศ.2550-2559). ครง้ั ท่ี 1. กรงุ เทพมหานคร: สายธรุ กิจโรงพิมพ์ บริษัทอมรนิ ทรพ์ ร้นิ ตง้ิ แอนด์พับลิชชิ่ง จากัด (มหาชน). สานักโรคตดิ ตอ่ ทั่วไป. (2552). รายงานการศกึ ษาสถานการณ์โรคหนอนพยาธิและโปรโตซวั ของประเทศ ไทย. (เอกสารอดั สาเนา). สานักโรคติดต่อทวั่ ไป. (2553). รายงานการวจิ ัย เร่ือง การศึกษาสถานการณ์โรคหนอนพยาธแิ ละโปรโตซวั ในลาไส้และปจั จัยกาหนดการเป็นโรคหนอนพยาธิในกลุ่มคนชายขอบ (ชาวเขา) ของประเทศไทย. (เอกสารอัดสาเนา). อดุลย์ศักดิ์ วิจติ ร. (2543). ระบาดวิทยาของโรคหนอนพยาธิในชาวไทยภเู ขาในเขตภาคเหนือตอนบนของ ประเทศไทย 2543. Daly B., Watt R., Batchelor P. and Treasure E. (2003). “Overview of behavior change” Essential Dental Public Health. New York: Oxford University Press. Hotez, P. J., Brindley, P. J., Bethony, J. M., King, C. H., Pearce, E. J., & Jacobson, J. (2008). Helminth infections: the great neglected tropical diseases. The Journal of clinical investigation, 118(4), 1311-1321. Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 127
ปจั จยั ทม่ี คี วามสัมพนั ธก์ บั พฤตกิ รรมการป้ องกนั โรคหนอนพยาธขิ อง ประชาชนในพนื้ ทที่ รุ กนั ดาร อาเภอแมอ่ าย จงั หวดั เชยี งใหม่ Pender N. (1987). Health Promotion in Nursing Practice. 2nd ed. Appleton & Lange East Norwalk, Connecticut. Steenhard, N. R., Storey, P. A., Yelifari, L., Pit, D. S. S., Nansen, P., & Polderman, A. M. (2000). The role of pigs as transport hosts of the human helminths Oesophagostomum bifurcum and Necator americanus. Acta tropica, 76(2), 125-130. 128 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปที ี่ 16 ฉบับที่ 1
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140