Field Studies on Efficiency of Temephos, Diflubenzuron and Bacillus thuringiensis var israelensis (Bti) against Aedes aegypti (L.). ยุงลาย ในน้าประปา และน้าฝนท่ีน้ามีการใช้อย่าง 1% มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน การศึกษาของ สม่้าเสมอได้ร้อยละ 100 นาน 5 และ 1 สัปดาห์ Thavara et al. (2007) พบว่าประสิทธิภาพของสาร ตามล้าดับ และมีความคงทนในน้าประปา และน้าฝน ก้าจัดลูกน้า ไดฟูเบนซูรอน ที่ความเข้มข้นขนาด ไดร้ ้อยละ 100 นาน 8 และ 7 สัปดาห์ตามล้าดับ จะ 0.02 มก./ลิตร สูตรเม็ดมีประสิทธิภาพในการยับย้ัง เห็นว่าการใช้น้าในโอ่ง เป็นหน่ึงในปัจจัยท่ีมีผลต่อ การเจริญเติบโตของลูกน้ายุงฯร้อยละ 90-100 ได้ ประสิทธิภาพความคงทนฤทธิ์ของทรายเทมีฟอส ใน นาน 21 และ 22 สัปดาห์ ภายใต้เง่ือนไขของการไม่ การควบคุมลูกน้ายุงลายในโอ่ง นอกจากน้ียังมีปัจจัย ใชน้ า้ และการถา่ ยน้าสปั ดาหล์ ะครั้ง อ่ืน ๆ อีก เช่น ชนิดของน้าในภาชนะ สารอินทรีย์ที่ อยู่ในน้า อุณหภูมิของน้า และการที่ตุ่มน้า/ภาชนะท่ี ส้าหรับสารก้าจัดลูกน้า Bti พบว่ามีประสิทธิภาพ ใส่ทรายเทมีฟอส มีแสงแดดส่องถึงสม่้าเสมอ และฤทธ์ิคงทนได้น้อยท่ีสุดเมื่อเปรียบเทียบกับสาร (ซ้าซาก) หรือไม่ (George et al, 2015) ซึ่งผลจาก ก้าจัดลูกน้า เทมีฟอส และ ไดฟูเบนซูรอน โดยสาร การทดลองพบว่าโอ่งที่อยู่ในบริเวณที่ได้รับแสงแดด Bti ออกฤทธ์ิเร็วในการฆ่าลูกน้าได้รองลงมาจากสาร ตา่ งกันให้ผลอัตราการตายของลกู น้าไม่แตกตา่ งกัน กา้ จดั ลูกน้า เทมีฟอส จากผลการศึกษาประสิทธิภาพ สารก้าจัดลูกน้า Bti พบว่ามีประสิทธิภาพในการฆ่า ส่วนสารก้าจัดลูกน้า ไดฟูเบนซูรอน ให้ผลในการ ลูกน้ายุงลายบ้านได้มากกว่าร้อยละ 90 ได้นานสุด ก้าจัดลูกน้ายุงลายได้ดีและมีฤทธ์ิคงทนได้ไม่แตกต่าง เท่ากับ 5 สัปดาห์ในสภาพไม่มีการใช้น้า และเม่ือมี กับ สารก้าจัดลูกน้าเทมีฟอส แต่การก้าจัดลูกน้าของ การใชน้ า้ เกนิ กวา่ 25% ทุกสปั ดาห์ ประสิทธิภาพของ สารไดฟูเบนซูรอน จะออกฤทธิช์ ้ากวา่ สารก้าจัดลูกน้า ส า ร ล ด ต่้ า ล ง อ ย่ า ง ร ว ด เ ร็ ว มี ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ เ พี ย ง เทมีฟอส และ Bti เนื่องจากสารก้าจัดลูกน้าไดฟู 1 สปั ดาหเ์ ท่าน้นั ซึ่งแตกต่างกับการศึกษาในประเทศ เบนซรู อน เป็นสารที่มีฤทธ์ิในการยับย้ังการสังเคราะห์ กัมพูชาที่พบว่าประสิทธิภาพของสาร VectoBac สารไคติน (Chitin) ที่เป็นส่วนประกอบส้าคัญใน WG® and VectoBac DT® สามารถลดดักแด้ยุงฯได้ โครงสร้างผนังล้าตัวของลูกน้า ท้าให้ลูกน้ายุงลอก อย่างน้อย 3 เดือนในน้าใช้ที่มาจากแม่น้าและนาน คราบไม่ได้ จึงเจริญเป็นลูกน้ายุงระยะถัดไปไม่ได้และ 2.5 เดือน ส้าหรับน้าจากบ่อน้าและน้าฝน (Setha ตายในที่สุด สารชนิดนี้สามารถก้าจัดลูกน้ายุงลาย et al., 2007) นอกจากน้ีอนามัย ธีรวิโรจน์ (2539) บ้าน (ยับยั้งการเจริญเติบโต) ได้มากกว่าหรือเท่ากับ ศึกษาความคงทนของสารก้าจัดลูกน้า Bti รูปผง ร้อยละ 90 ได้นานสุดที่ 17 สัปดาห์ ในโอ่งที่ไม่มีการ อัดเม็ด ต่อการควบคุมลูกน้ายุงลายบ้านในน้าต่าง ใช้น้า แต่ส้าหรับโอ่งที่มีการใช้น้าพบว่าประสิทธิภาพ ชนดิ พบว่าความคงทนของสารที่มีต่อลูกน้ายุงลายจะ และฤทธิ์คงทนในการก้าจัดลูกน้ายุงลายลดลงเหลือ นานมากที่สดุ ในน้าฝน รองลงมาในน้าประปา และใน 15 สัปดาห์ แต่ยังมีผลยับยั้งการเจริญเติบโตได้ นา้ บาดาล ตามล้าดับ โดยลูกน้ายุงลายจะตายต้่ากว่า มากกวา่ 50 % ของลกู น้ายุงทดสอบ เมื่อเวลาผ่านไป ร้อยละ 50 เม่ือทดลองในน้าฝนในเวลา 18 วัน และ 27 สัปดาห์ สรุปว่าสารก้าจัดลูกน้าไดฟูเบนซูรอนมี หมดฤทธิค์ วบคุมลูกน้ายงุ ลายใน 43 วัน การศึกษาใน ประสิทธิภาพและความคงทนของสารฯได้นาน น้าประปาลูกน้ายุงลายจะตายต้่ากว่าร้อยละ 50 ใน 12 สัปดาห์ หรือประมาณ 3 เดือน ท้ังในสภาวะที่ใช้ เวลา 17 วัน และหมดฤทธ์ิควบคุมลูกน้ายุงลาย 42 วัน น้าและไม่ใช้น้า ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ ขณะท่ีในน้าบาดาลยุงลายจะตายต่้ากว่าร้อยละ 50 Emilia et al. (2008) ในการศึกษาประสิทธิภาพของ ในเวลา 12 วนั และหมดฤทธ์คิ วบคุมลูกน้ายุงลาย ใน Pyriproxyfen ไดฟูเบนซูรอน และเทมีฟอส ในสภาพ 36 วนั ตามลา้ ดบั แม้ว่าสารกา้ จัดลกู น้า Bti จะมีฤทธิ์ กึ่งสนาม พบว่า มีประสิทธิภาพใช้งานนานกว่า 4 คงทนน้อยสุด ในการศึกษาครั้งนี้ และการศึกษาที่ เดือน ในการศึกษาในภาคสนามพบว่า ประสิทธิภาพ ผ่านมาแต่ สารก้าจัดลูกน้า Bti ยังเป็นทางเลือกใน ของสารกา้ จัดลูกน้าไดฟูเบนซูรอน 0.2% และเทมีฟอส กรณที ย่ี งุ ลายมีการพฒั นาความต้านทานต่อสารก้าจัด Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 41
ประสิทธภิ าพของสารกาจดั ลกู น้า เทมฟี อส ไดฟูเบนซูรอน และแบคทเี รยี ควบคุมลกู น้าชนดิ บที ไี อ เพอื่ การควบคุมลกู น้ายุงลายบา้ น Aedes aegypti (L.) ในภาคสนาม ลูกน้าชนดิ อน่ื ๆ เน่ืองจากยังไม่มีรายงานการต้านทาน สา้ หรับสารก้าจัดลูกน้า Bti มีประสิทธิภาพในการ ของลูกน้ายุงลายต่อสารก้าจัดลูกน้า Bti ในสภาพ ปอ้ งกันการเกดิ ลูกนา้ ยุงลายได้เพียง 7 สัปดาห์ ส้าหรับ ธรรมชาติ แตจ่ ากการกระตุ้นใหล้ ูกนา้ ยุงลายต้านทาน โอ่งที่ไม่มีการใช้น้าและ 8 สัปดาห์ส้าหรับโอ่งท่ีมีการ ต่อสารก้าจัดลูกน้า Bti นิตยา เมธาวณิชพงศ์ และคณะ ใช้น้า การศึกษาในประเทศมาเลเซียเก่ียวกับ (2555) รายงานว่าโอกาสท่ีลูกน้าจะสร้างความ ประสิทธิภาพการตกค้างของ Bacillus thuringiensis ตา้ นทานต่อสารก้าจัดลูกนา้ Bti จะเกดิ ขนึ้ ได้น้อยมาก H-14 ในภาคสนาม พบว่าสามารถก้าจัดลูกน้ายุงลาย ประสิทธิภาพก้าจัดลูกน้าหรือป้องกันไม่ให้เกิด ได้เป็นเวลาอย่างน้อย 35 วัน โดยมีจ้านวนลูกน้า ลูกน้ายงุ ลายธรรมชาติของสารก้าจัดลูกน้า 3 ชนิดคือ ยุงลายตายมากกว่า 80% ส้าหรับภาชนะท่ีเติมน้าทุก เ ท มี ฟ อ ส ไ ด ฟู เ บ น ซู ร อ น แ ล ะ Bti โ ด ย ส า ร วันอัตราการตายร้อยละ 100 ใน 3 วันแรก ขณะที่ เทมีฟอสมีประสิทธิภาพฯ ดีที่สุด ที่ระยะเวลา 27 ภาชนะท่ีไม่เติมน้าทุกวันออกฤทธิ์เช่นเดียวกันใน สปั ดาห์ ทัง้ ในสภาพที่มีใช้น้าและไม่ใช้น้า ซ่ึงแตกต่าง 5 วันแรก แต่ท้ังการถ่ายน้าและไม่ถ่ายน้ายังสามารถ กับการศึกษาของ Thavara et al. (2004) ได้ศึกษา ฆ่าลูกน้าได้มากกว่าร้อยละ 80 เป็นเวลานาน 40 วัน ภาชนะเก็บน้ากับลูกน้ายุงบ้านใน 3 หมู่บ้านใน (Lee & Zairi, 2006) นอกจากน้ีมีรายงานท่ีต้าบลแม่ จงั หวดั กาญจนบุรี ประเทศไทยพบว่าสารก้าจัดลูกน้า กาษา อ้าเภอแม่สอด จังหวัดตาก พบว่าสารก้าจัด เทมีฟอส (1%ซีโอไลต์) ป้องกันการเกิดลูกน้ายุงลาย ลกู น้า Bti สามารถสามารถลดจ้านวนลูกน้ายุงลายได้ บ้านธรรมชาติได้นานเป็นเวลา 2-3 เดือน ขึ้นอยู่กับ โดยมีค่าดัชนีลูกน้า BI ต้่ากว่าร้อยละ 50 เป็นเวลา ขนาดของภาชนะ ถ้าภาชนะมีขนาดเล็กสามารถ 7-14 วัน (เกรียงไกร เลิศทัศนีย์, 2542) จะเห็นได้ว่า ปอ้ งกันไดถ้ งึ 3 เดือน แต่หลังจาก 3, 4, และ 5 เดือน สารก้าจัดลูกน้า Bti มีข้อจ้ากัดในการใช้คือ ไม่สามารถ จะพบลูกน้ายุงลายบ้านธรรมชาติประมาณ 6-23% ทนอยู่ในส่ิงแวดล้อมได้นาน ไม่ทนต่อแสงและ ของภาชนะบรรจุน้า อุไรวรรณ ถาดทอง และคณะ อุณหภูมิ (บุญศรี จงเสรีจิตต์ และวชิราภรณ์ (ม.ป.ป.) ศึกษาผลิตภัณฑ์ทรายเคลือบที่มีฟอสก้าจัด ถูปาอ่าง, 2556) จึงท้าให้ประสิทธิภาพและฤทธ์ิคงทน ลูกนา้ (1%SG ชนิดซองชา ขนาด 20 กรัม) ในภาชนะ ในการก้าจัดลูกน้ายุงลายมีอายุการควบคุมก้าจัด เก็บน้าที่มีการใช้น้าหมุนเวียนในชุมชนตลาดบ้านเพ ในระยะส้ันกว่าสารก้าจัดลูกน้า เทมีฟอส และ อ้าเภอเมือง จังหวัดระยอง มีประสิทธิภาพสูงในการ ไดฟเู บนซรู อน ปอ้ งกันการเกดิ ลูกนา้ ยุงลายในระยะเวลา 8 สัปดาห์ จากการศกึ ษาครัง้ นี้ภายใต้สภาพแวดล้อมเดียวกัน ประสิทธิภาพของสารก้าจัดลูกน้า ไดฟูเบนซูรอน การใช้น้าเหมือนกันกับสารก้าจัดลูกน้าท้ัง 3 ชนิด สรุป ในโอ่งที่ไม่มีการใช้น้ามีประสิทธิภาพและมีฤทธ์ิคงทน ได้ว่า สารกา้ จดั ลกู น้า เทมีฟอส มีฤทธ์ิได้ยาวนานที่สุด ในการก้าจัดลูกน้ายุงลายธรรมชาติได้เฉล่ียนาน รองลงมาได้แก่สารก้าจัดลูกน้า ไดฟูเบนซูรอน และ 15 สัปดาห์ และลดลง 14 สัปดาห์ส้าหรับโอ่งท่ีมีการ Bti ตามล้าดับ โดยสารก้าจัดลูกน้าท้ัง 3 ชนิดน้ี ใช้น้า Thavara et al. (2007) ได้ศกึ ษาประสิทธิภาพ องค์การอนามัยโลกแนะน้าให้ใช้เพ่ือการก้าจัดลูกน้า ของสารก้าจัดลูกน้า ไดฟูเบนซูรอน แบบสูตรเม็ด ยงุ ลายได้ พบว่ามีฤทธิ์คงทนในภาชนะได้นาน 15 ถึง 23 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับปริมาณความเข้มของสาร 0.05-0.1 ข้อเสนอแนะ มิลลิกรัมต่อลิตร เมื่อพิจารณาจากปัจจัยด้าน กา ร คั ด เ ลื อ ก ส า ร เ คมี ฯ ท่ี เ ห ม า ะ ส ม แ ล ะ มี สิ่งแวดล้อมและเง่ือนไขการใช้น้าพบว่า สารชนิดน้ีมี คุณภาพสูงในการใช้ควบคุมก้าจัดยุงพาหะ ควร ประสิทธิภาพให้การควบคุมที่ยาวนานเป็นเวลา 3 ถึง พิจารณา ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ค่าใช้จ่าย 4 เดือนในภาคสนาม อัตราก้าลังคน ความถ่ีในการใช้ การพัฒนาความ ต้านทานของยุงฯ เป้าหมายและการยอมรับในแต่ละ 42 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปที ่ี 16 ฉบับท่ี 1
Field Studies on Efficiency of Temephos, Diflubenzuron and Bacillus thuringiensis var israelensis (Bti) against Aedes aegypti (L.). ท้องถ่ิน เพื่อให้การควบคุมก้าจัด ยุงพาหะมี กติ ตกิ รรมประกาศ ประสิทธิภาพและย่ังยืน นอกจากน้ันควรติดตาม การศึกษาคร้ังน้ีส้าเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีโดยการ ความไวของลูกน้าต่อสารเคมีที่น้ามาใช้รวมท้ัง สนับสนุนของ ผู้อ้านวยการกองโรคติดต่อน้าโดย สารเคมีทางเลือก เพ่ือเตรียมความพร้อมหากมี แมลง เจ้าหน้าที่กลุ่มกีฏวิทยาและควบคุมแมลงน้า ข้อจา้ กัดในการใช้สารเคมีแตล่ ะชนิด โรคกองโรคตดิ ตอ่ นา้ โดยแมลง เอกสารอา้ งอิง เกรยี งไกร เลิศทัศนีย.์ (2542). งานวจิ ยั พัฒนาปรบั ปรงุ สตู รผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์ Bacillus thuringiensis isaelensis (Bti) และการศกึ ษาประสทิ ธิภาพผลิตภัณฑ์ Bti ตอ่ การลดจา้ นวนประชากรลูกนา้ ยงุ ลาย [online] [สืบคน้ เมือ่ 23 ส.ค. 62.]; แหลง่ ข้อมูล: URL: http://www1a.biotec.or.th/rdereport/prjbiotec.asp?Id=188. เกรยี งศักด์ิ เจตนะจิตร ประชุมพร เลาหป์ ระเสริฐ พรรณเกษม แผ่พร. (2552). ความคงทนของทรายเคลือบ สารทมี ฟี อส 1% ในการก้าจัดลกู น้ายงุ ลายบ้านในอา้ เภอหันคา จงั หวัดชยั นาท. วารสารควบคุมโรค, 35(3), 200-205. ธ้ารงค์ ผลชีวนิ , สนุ ยั นา สะท้านไตรภพ, อ้านาจ บญุ เครอื พันธ์ุ สมชาย แสงกิจพร. (2559). การศกึ ษาฤทธิ์ คงทนของทรายอะเบทในการควบคุม ลกู น้ายงุ ลายบ้าน Aedes aegypti ในสภาพธรรมชาติ และ กึ่งจ้าลองธรรมชาติ. วารสารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, 58(3), 161-168. นิตยา เมธาวณชิ พงศ์ ,เลาจนา เชาวนาดศิ ยั ,มงคล ริยะปาน, ทพิ ยน์ ลนิ ตะเพียนทอง. (2555). การสร้าง ความต้านทานของลูกน้ายงุ ลาย (Aedes aegypti) ต่อแบคทเี รีย Bacillus thuringiensis subsp. israelensis. วารสารวิชาการสาธารณสุข, 21(1), 23-30. บญุ ศรี จงเสรีจิตต์, วชริ าภรณ์ ถปู าอ่าง. (2556). การควบคุมลูกน้ายุงโดยใช้แบคทเี รยี . วารสารวิทยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ , 41(1), 16-35. สถาบันวคั ซนี แห่งชาต.ิ (ม.ป.ป.). วคั ซนี ไขเ้ ลอื ดออก\" ส้าเรจ็ แลว้ จอ่ ขนึ้ ทะเบยี น แม้ประสิทธิภาพไมเ่ ต็ม 100% แตด่ ีกวา่ ไม่ [online] [สืบค้นเม่ือ 1 ส.ค. 62.]; แหลง่ ข้อมลู : URL: http://www.nvi.go.th/index.php/blog/2016/02/v012?lang=th. ส้านักโรคตดิ ตอ่ น้าโดยแมลง. (2557). การทดสอบประสิทธิภาพและฤทธ์คิ งทนของสารก้าจดั ลูกน้ายุงลาย ในคู่มือการทดสอบสารเคม.ี พิมพ์ครง้ั ที่ 1. นนทบุร:ี โรงพิมพช์ มุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จา้ กดั . สา้ นกั โรคติดตอ่ น้าโดยแมลง. (2558). ค่มู ือวิชาการโรคตดิ เช้ือเดงกแี ละโรคไขเ้ ลือดออกเดงกดี ้านการแพทย์ และสาธารณสขุ .พิมพ์คร้งั ท่ี 1. กรุงเทพมหานคร: สา้ นกั พิมพอ์ ักษรกราฟฟคิ แอนด์ดีไซน์. สุทารตั น์ พรจรรยา. (2545). ความเปน็ พิษของ Bacillus thuringiensis var. israelensis ต่อลูกน้ายุงลาย (Aedes aegypti) ในภาชนะเก็บน้าตา่ งชนิดภายใต้ส่ิงแวดล้อมท่ตี ่างกนั . วิทยาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาชีววทิ ยาสิง่ แวดล้อม นครราชสมี า: มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีสรุ นารี. อนามัย ธีรวโิ รจน.์ (2539). ความคงทนของ Bacillus thuringiensis var. israelensis. รปู ผงอัดเม็ดต่อการ ควบคมุ ลกู น้ายุงลาย Aedes aegypti (L.) ในน้าต่างชนิด [online] [สบื ค้นเมอ่ื 23 ก.ค. 62.]; แหล่งขอ้ มูล: URL: http://www.thaithesis.org/detail.php?id=31704 Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 43
ประสิทธภิ าพของสารกาจดั ลกู น้า เทมฟี อส ไดฟเู บนซรู อน และแบคทเี รยี ควบคุมลกู น้าชนดิ บที ไี อ เพอื่ การควบคมุ ลกู น้ายุงลายบ้าน Aedes aegypti (L.) ในภาคสนาม อาคม สังขว์ รานนท.์ (2538). กฏี วทิ ยาทางสตั วแพทย์. หมวดวชิ าปรสติ วิทยา ภาควชิ าพยาธวิ ทิ ยา คณะสัตวแพทยศาสตร์. พมิ พ์คร้ังท่ี 4. นนทบุร:ี สหมิตรพริ้นต้งิ . อุไรวรรณ ถาดทอง, ธรี ยทุ ธ กลา้่ สดี า, วรรณภา ฤทธิสนธิ์. (ม.ป.ป.). ระดับความไวของลกู น้ายุงลายบา้ น (Aedes aegypti) ตอ่ สารเคมีทีมฟี อสในพ้ืนที่จงั หวัดระยอง [online] [สืบค้นเมอ่ื 23 ส.ค. 62.]; แหลง่ ขอ้ มลู : URL: http://ryssurvey.com/vichakarn/downloadq.php?f=ddc_201706131043577315_150_1 001ca.pdf&fc=title%2011.pdf. Capinera, J.L. (2005). Abbott's Formula. Encyclopedia of entomology. [cited 2020 May]; Available from: URL: https://link.springer.com/referenceworkentry/10.1007%2F0-306- 48380-7_4. Chareonviriyaphap, T., Aum-Aung, B., & Ratanatham, S. (1999). Current insecticide resistance patterns in mosquito vectors in Thailand. Southeast Asian Journal of Tropical Medicine and Public Health, 30, 184-194. Doucet, D., & Retnakaran, A. (2012). Insect chitin: metabolism, genomics and pest management. In Advances in insect physiology, 43, 437-511. Seccacini, E., Lucia, A., Harburguer, L., Zerba, E., Licastro, S., & Masuh, H. (2008). Effectiveness of pyriproxyfen and Diflubenzuron formulations as larvicides against Aedes aegypti. Journal of the American Mosquito Control Association, 24(3), 398-403. George, L., Lenhart, A., Toledo, J., et al. (2015). Community-effectiveness of temephos for dengue vector control: a systematic literature review. PLoS neglected tropical diseases, 9(9). Lee, Y. W. & Zairi J. (2006). Field evaluation of Bacillus thuringiensis H-14 against Aedes mosquitoes. Tropical biomedicine, 23(1), 37-44. Mulla, M. S., Thavara ,U., Tawatsin, A. & Chompoosri, J. (2004). Procedures for evaluation of field efficacy of slow release formulations of larvicides against Aedes aegypti in water storage containers. Journal of the American Mosquito Control Association, 20(1), 64-73. Setha, T., Chantha, N., & Socheat, D. (2007). Efficacy of Bacillus thuringiensis israelensis, VectoBac® WG and DT, formulations against dengue mosquito vectors in cement potable water jars in Cambodia. Southeast Asian journal of tropical medicine and public health, 38(2), 261-268. Thavara, U., Tawatsin, A., Kong-Ngamsuk, W. & Mulla, MS. (2004). Efficacy and longevity of a new formulation of temephos larvicide tested in village-scale trials against larval Aedes aegypti in water-storage containers. Journal of the American Mosquito Control Association, 20(2), 176-182. 44 วารสารสาธารณสขุ ล้านนา ปที ี่ 16 ฉบับที่ 1
Field Studies on Efficiency of Temephos, Diflubenzuron and Bacillus thuringiensis var israelensis (Bti) against Aedes aegypti (L.). Thavara, U., Tawatsin, A., Chansang, C., Asavadachanukorn, P., Zaim, M. & Mulla MS. (2007). Simulated field evaluation of the efficacy of two formulations of Diflubenzuron, a chitin synthesis inhibitor against larvae of Aedes aegypti (L.) (Diptera: Culicidae) in water-storage containers. The Southeast Asian journal of tropical medicine and public health, 38(2), 269-275. World Health Organization. (2007). WHO specifications and evaluations for public health pesticides [online] [cited 2020 May]; Available from: URL: https://www.who.int/pq- vector-control/prequalified-lists/TEMEPHOS.pdf?ua=1. Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 45
พฤตกิ รรมทม่ี คี วามสัมพนั ธก์ บั การสูญเสียฟันในผสู้ ูงอายุ ตาบลขว่ งเปา อาเภอจอมทอง จงั หวดั เชยี งใหม่ พฤตกิ รรมทมี่ คี วามสัมพนั ธก์ บั การสญู เสียฟันในผสู้ ูงอายุ ตาบลขว่ งเปา อาเภอจอมทอง จงั หวดั เชยี งใหม่ Behaviors Related to Teeth Loss in The Elderly, Khuangpao Sub-district, Chomthong District, Chiangmai Province กวนิ ธดิ า สิงหท์ ะ* (นักศึกษาระดับปรญิ ญาตรี Kawinthida Singtha* (Undergraduate student หลกั สูตร ส.บ.) B.P.H. Program) ศศนัท เรือนปัญโญ** ส.บ. (ทนั ตสาธารณสขุ ชุมชน) Sasanun Reaunpunyo** B.P.H. (Dental Community Public Health) มุจลนิ ท์ แปงศิร*ิ ส.ม. (สาธารณสุขศาสตร์) Mujalin Pangsiri* M.PH. (Public Health) สิวลี รัตนปญั ญา* ปร.ด. (ชีวเวชศาสตร)์ Siwalee Rattanapunya* Ph.D. (Biomedical Science) *ภาควชิ าสาธารณสขุ ศาสตร์ คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ Public Health Department, Science and Technology Faculty, Chiang Mai Rajabhat University **โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สุขภาพตาบลบ้านหนองห่าย อาเภอจอมทอง จงั หวัดเชียงใหม่ Nong hai health promoting hospital, Chomthong District, Chiangmai Province Received: Apr 14, 2020 Revised: May 2, 2020 Accepted: Jun 5, 2020 บทคดั ยอ่ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสารวจแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมที่ทาให้ เกิดการสูญเสียฟันในผู้สูงอายุ ตาบลข่วงเปา อาเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ จานวน 144 คน ได้มา โดยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถาม และแบบประเมินการสูญเสียฟันตาม ลักษณะการสูญเสียฟันตามดัชนีของอิชเนอร์ วิเคราะห์ ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ การวิเคราะห์การถดถอย โลจิสติก ผลการวิจัย พบว่า การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การดื่มกาแฟ และการใ ช้ไม้จิ้มฟัน มีความสัมพันธ์ กับลักษณะการสูญเสียฟันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ โดยผู้ที่สูบบุหรี่ และเคยสูบบุหรี่แต่เลิกแล้ว จะมี ลักษณะการสูญเสียฟันท่ีมากกว่าผู้ท่ีไม่เคยสูบบุหร่ีคิดเป็น 2.31 เท่า และ 3.26 เท่า โดยผู้ที่เคยดื่มสุรา และเคยดื่มสุราแต่เลิกแล้ว จะมีลักษณะการสูญเสียฟันมากกว่าผู้ที่ไม่เคยดื่มสุราคิดเป็น 1.15 เท่า และ 4.19 เท่า และผู้ท่ีเคยดื่มกาแฟจะมีลักษณะการสูญเสียฟันน้อยกว่าผู้ท่ีไม่เคยดื่มกาแฟลดลง 88 เท่า ส่วน ผู้ที่เคยดื่มกาแฟแต่เลิกแล้วจะมีลักษณะการสูญเสียฟันที่ไม่ปกติมากกว่าผู้ที่ไม่เคยดื่มกาแฟ 1 .01 เท่า และผู้ท่ีเคยใช้ไม้จิ้มฟันจะมีลักษณะการสูญเสียฟันน้อยกว่าผู้ที่ไม่เคยใช้ไม้จิ้มฟันลดลง 52 เท่า และผู้ที่ เคยใช้ไม้จ้ิมฟันแต่เลิกแล้วจะมีลักษณะการสูญเสียฟันมากกว่าผู้ที่ไม่เคยใช้ไม้จิ้มฟัน 16.50 เท่า โดยสรุป พฤติกรรมท่ีมีส่วนในการป้องกันการสูญเสียฟันใ นผู้สูงอายุ คือ การไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มสุรา ดื่มกาแฟ และ การใช้ไหมจิ้มฟัน ซึ่งสามารถเป็นข้อมูลพฤติกรรมท่ีเหมาะสมในการส่งเสริมสุขภาพฟันสาหรับประชาชน ต่อไป คาสาคัญ: พฤติกรรม, การสูญเสียฟัน, ดชั นีของอิชเนอร์, ผู้สงู อายุ 46 วารสารสาธารณสขุ ล้านนา ปที ี่ 16 ฉบับที่ 1
Behaviors Related to Teeth Loss in The Elderly, Khuangpao Sub-district, Chomthong District, Chiangmai Province ABSTRACT This cross-sectional survey research aimed to investigate behaviors related to teeth loss evidence in 144 elderly in Khuangpao Sub-district, Chomthong District, Chiangmai Province. The study subjects were randomly sampled by a simple random method from 1,093 elderly in eleven villages. The method of data collection was an interview with a questionnaire and an evaluation form for dental loss ascribed by Eichner's index assessment. The scores were analyzed by the binary logistic regression model. The results showed that smoking, alcohol drinking, coffee drinking, and toothpicks using were significantly related to the teeth loss evidence. The elderly, who continued smoking and who had quitted smoking were 2.31 and 3.26 times, respectively, more teeth loss evidences than those who had never smoked. Persons who continued alcohol drinking and had ceased alcohol drinking were 1.15 and 4.19 times, respectively, more teeth loss evidences than those who had never consumed alcohol. Persons who continued coffee drinking were 88 times less teeth loss evidences than those who never had drunk coffee, and who stopped drinking coffee had 1.01 times more teeth loss evidences than those who never had drunk coffee. Lastly, persons who constantly behaved using toothpicks were 52 times less teeth loss evidence than those who had never used toothpicks, and the elderly who halted using toothpicks were 16.50 times more teeth loss evidences than those who had never used toothpicks. So far as the results indicated the behavioral factors had contributed to prevent teeth loss evidence among the elderly were non-smoking, non-alcohol drinking, coffee drinking and toothpicks for cleaning. This information can be appropriate behavioral data for further implementation of appropriate hygienic dental behavioral changes for the people. Key words: Behaviors, Teeth loss, Eichner's index, Elderly บทนา จากผลสารวจสามะโนประชากรของสหรัฐอเมริกา ปากเป็นช่องทางเข้าสู่ร่างกายของอาหารและน้า ในประชากรผู้สงู อายทุ ่ีอายุ 65 ปีขนึ้ ไปในสหรัฐอเมริกา หากความสมบูรณ์ของช่องปากลดลงอาจจะส่งผลต่อ พบว่า 1 ใน 5 ของผู้สูงอายุทั้งหมดมีฟันผุ และ 2 ใน การบริโภคอาหารและจะส่งผลกระทบทางลบต่อ 3 ของผู้สูงอายุทั้งหมดเป็นโรคเหงือก (CDC, 2017) ภาวะสุขภาพของบุคคลได้ (Zelig et al., 2018) การ และจากการสารวจสภาวะสุขภาพช่องปากแห่งชาติ สูญเสียฟันส่งผลต่อภาวะโภชนาการ เน่ืองจาก ของประเทศไทย คร้ังที่ 8 พ.ศ.2560 ในผู้สูงอายุท่ีมี ประสิทธิภาพในการบดเค้ียวอาหารลดลง เกิดการ อายุ 60-74 ปี พบว่า มีฟันถาวรใช้งานได้อย่างน้อย หลีกเล่ียงอาหารบางประเภท เช่น ผัก ผลไม้บางชนิด 20 ซี่ เฉล่ีย 18.60 ซี่ต่อคน คิดเป็นร้อยละ 56.10 ซึ่ง ที่มีลักษณะแข็ง มีปัญหาในการออกเสียงทาให้พูดไม่ มีฟันหลังสบกันอย่างน้อย 4 คู่สบ คิดเป็นร้อยละ ชัด ออกเสียงลาบาก ตลอดจนสูญเสียภาพลักษณ์ 40.20 และลดลงในผู้สูงอายุตอนปลายอายุ 80-85 ปี ส่งผลต่อการเข้าสังคมของบุคคล (Raphael, 2017) มีฟันถาวรใช้งานได้อย่างน้อย 20 ซี่ เฉล่ีย 10 ซี่ต่อ ซ่ึงส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ที่สูญเสียฟันทั้ง คน คิดเป็นร้อยละ 22.40 ซ่ึงมีฟันหลังสบกัน 4 คู่สบ ทางด้านร่างกาย และจิตใจ เพียงร้อยละ 12.10 ทาให้ประสิทธิภาพการบดเคี้ยว Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 47
พฤตกิ รรมทม่ี คี วามสัมพนั ธก์ บั การสญู เสียฟันในผู้สงู อายุ ตาบลขว่ งเปา อาเภอจอมทอง จงั หวดั เชยี งใหม่ ลดลงชัดเจน แม้ว่ากลุ่มผู้สูงอายุตอนต้นจานวน พ้ืนฐานในการวางแผนป้องกันการสูญเสียฟันให้ มากกว่าครึ่ง มีฟันถาวรใช้งานได้ 20 ซี่ แต่ฟันถาวรที่ เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพปัญหาของผู้สูงอายุ เหลอื อยนู่ ีย้ ังมีปัญหารอยโรคและความผิดปกติในช่อง ในพ้นื ท่ตี อ่ ไป ปากท่ีจาเป็นต้องได้รับการดูแลท่ีเหมาะสม เพื่อ ป้องกันการลุกลาม นาไปสู่ความเจ็บปวด มากไปกว่า วธิ ีการศึกษา น้ันยังพบว่าการสูญเสียฟันทั้งปากในผู้สูงอายุ 60-74 การวิจัยน้เี ปน็ การวิจยั เชงิ สารวจแบบภาคตัดขวาง ปี พบร้อยละ 8.70 และเม่ืออายุ 80-85 ปี จะเพ่ิมสูง (Cross- sectional survey) เพ่ือศึกษาพฤติกรรมท่ี ถึง ร้อยละ 31.00 ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตด้าน ทาให้เกิดการสูญเสียฟันตามดัชนีของอิชเนอร์ การบดเคี้ยวอย่างมาก นอกจากน้ียังพบฟันผุที่ยัง (ณภัทรพงษ์ หงษีทอง และคณะ, 2561) ในผู้สูงอายุ ไม่ได้รับการรักษาร้อยละ 52.60 ส่งผลกระทบต่อ ตาบลข่วงเปา อาเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ โดย สภาพจิตใจและการดาเนินชีวิตประจาวันด้าน กาหนดพฤติกรรมท่ีทาให้เกิดการสูญเสียฟันจากการ บุคลิกภาพ การเขา้ สังคม การพูดคุย การเคี้ยวอาหาร ทบทวนวรรณกรรมที่ผ่านมาได้แก่ สูบบุหรี่ ดื่มสุรา การรับรสชาติ เป็นต้น (สานักทันตสาธารณสุข กรม ด่ืมกาแฟ ด่ืมเคร่ืองดื่มชูกาลัง ทานอาหารรสหวาน อนามัย, 2560) ทานอาหารรสเปรี้ยวจัด เค้ียวหมาก เคี้ยวของแข็ง ผู้สูงอายุในตาบลข่วงเปา อาเภอจอมทอง จังหวัด (น้าแข็ง กระดูกอ่อน เป็นต้น) การแปรงฟัน การใช้ไม้ เชยี งใหม่ ส่วนใหญ่มีปัญหาโรคในช่องปาก เช่น ฟันผุ จิ้มฟัน (ชัชชัย คุณาวิศรุต, 2560) และรูปแบบการ โรคเหงือกหรือโรคปริทันต์ ก่อให้เกิดการสูญเสียฟัน สญู เสยี ฟันตามดชั นีของอชิ เนอร์ ได้แก่ การสูญเสียฟัน ตามมา ความสามารถในการเคลื่อนไหว การมองเห็น ตามแบบดชั นอี ิชเนอรล์ ักษณะ A, การสูญเสียฟันตาม ที่ ล ด ล ง เ น่ื อ ง จ า ก อ า ยุ ท่ี เ พ่ิ ม ม า ก ข้ึ น ท า ใ ห้ แบบดชั นีอิชเนอร์ลักษณะ B, และการสูญเสียฟันตาม ประสิทธิภาพในการดูแลอนามัยช่องปากลดลง แบบดัชนีอิชเนอร์ลักษณะ C เก็บข้อมูลในช่วงเดือน นอกจากนี้พฤตกิ รรมการกินทไี่ ม่ถูกสุขอนามัย รวมถึง มกราคม 2562 ถึงเดือนมกราคม 2563 รวมเวลา 13 เจตคติในการเข้ารับบริการทันตกรรมของผู้สูงอายุ เดือน ท่ีมักคิดว่าอายุมากแล้วไม่มีความจาเป็นต้องมารับ บริการ ไม่มีใครพาไปรับบริการ กลัวเจ็บ กลัวขาด ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง รายได้เน่ืองจากต้องหยุดงาน และการเดินทางที่ ประชากรท่ใี ช้ในการศึกษาครั้งน้ีได้แก่ ผู้สูงอายุใน ลาบากไม่สะดวก (องค์การบริหารส่วนตาบลข่วงเปา, ตาบลข่วงเปา อาเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ 2558) จึงเป็นปัญหาต่อการดูและสุขภาพช่องปาก ทง้ั หมด 11 หมู่บ้าน มผี ู้สูงอายทุ ัง้ หมด 1,093 คน โดย ของผู้สูงอายุ และส่งผลต่อเน่ืองไปยังสุขภาพกาย ผู้วิจัยได้คานวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรการ และจิตใจ จากสถานการณ์ดังกล่าวผู้วิจัยจึงสนใจ คานวณกลุ่มตัวอย่างของแดเนียล (Wayne, 2010) ได้ ที่จะศึกษาพฤติกรรมที่ทาให้เกิดการสูญเสียฟันใน ขนาดกลุม่ ตวั อย่างจานวน 144 คน หลังจากนั้นจึงนา ผู้สูงอายุ ตาบลข่วงเปา อาเภอจอมทอง จังหวัด สุ่มเลือกกลุ่มตัวอย่างตามสัดส่วนประชากรในแต่ละ เชยี งใหม่ ตามดชั นขี องอชิ เนอรใ์ นผู้สูงอายุ (ณภัทรพงษ์ หมู่บ้าน ได้จานวนครัวเรือนตัวอย่างแยกตามหมู่บ้าน หงษีทอง และคณะ, 2561) โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือ ผู้วิจัยใช้ตารางสุ่ม (Random number table) ตาม ศึ ก ษ า พ ฤ ติ ก ร ร ม ที่ ท า ใ ห้ เ กิ ด ก า ร สู ญ เ สี ย ฟั น ข อ ง สัดส่วนของจานวนหลังคาเรือนแต่ละหมู่บ้าน ท้ังน้ี ผู้สูงอายุ และเพ่ือศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้วิจัยได้ใช้เลขที่บ้าน 4 ครัวเรือนแรกมาสุ่มตัวอย่าง พฤติกรรมที่ทาให้เกิดการสูญเสียฟันกับลักษณะการ ก่อนแล้วจึงเก็บข้อมูลจากเลขท่ีบ้านท่ีเรียงลาดับแล้ว สูญเสียฟันตามดัชนีของอิชเนอร์ ในตาบลข่วงเปา เว้น 4 หลังคาเรือนในแต่ละหมู่บ้านจนครบจานวน อาเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เพ่ือเป็นข้อมูล ตามสัดส่วน ครัวเรือนในแต่ละหมู่บ้าน โดยผู้วิจัย เลือกผู้สูงอายุเป็นผู้ให้ข้อมูล ทั้งนี้ถ้าไม่พบผู้วิจัยจะ 48 วารสารสาธารณสุขล้านนา ปที ี่ 16 ฉบับท่ี 1
Behaviors Related to Teeth Loss in The Elderly, Khuangpao Sub-district, Chomthong District, Chiangmai Province เข้าเก็บข้อมูลซ้าอีกคร้ัง และถ้าไม่พบเป็นคร้ังท่ี 2 ส่วนที่ 3 รูปแบบการสูญเสียฟันท่ีพบตามดัชนี ผู้วิจัยไดเ้ ปลย่ี นเป็นหลังคาเรือนถัดไป อิชเนอร์ (ณภัทรพงษ์ หงษีทอง และคณะ, 2561) โดย ผูว้ จิ ยั ทาการตรวจฟัน และยืนยันผลการตรวจจากเจ้า เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการวิจยั พนักงานทันตสาธารณสุขชานาญการ ดังนี้ การ เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังนี้เป็นแบบสอบถาม สูญเสียฟันตามดัชนีอิชเนอร์รูปแบบ A1 A2 A3 B1 และแบบประเมนิ ซง่ึ ผวู้ จิ ัยไดส้ ร้างขึน้ จากการรวบรวม B2 B3 B4 C1 C2 และ C3 โดยการสูญเสียฟัน ข้อมูลจากเอกสาร ตารา และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ลักษณะ A หมายถึง มี 4 บริเวณรองรับการสบฟัน มี ท า ก า ร ต ร ว จ ส อ บ ค ว า ม เ ท่ี ย ง ต ร ง ข อ ง เ น้ื อ ห า ผลกระทบน้อยที่สุดหรือแทบจะไม่มีผลกระทบใน (Content validity) โดยผู้เช่ียวชาญจานวน 3 ท่าน ชีวิตประจาวัน, การสูญเสียฟันลักษณะ B คือ มี 1-3 และคานวณหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Item- บริเวณรองรับการสบฟัน มีผลกระทบต่อกิจกรรม Objective Congruence Index: IOC) โดยคัดเลือก การรับประทานอาหาร การย้ิม หัวเราะให้เห็นฟันได้ ข้ อ ค า ถ า ม ที่ มี ค่ า ดั ช นี ค ว า ม ส อ ด ค ล้ อ ง ข อ ง โดยไม่อายใคร มีความสัมพันธ์กับภาพลักษณ์ท่ี แบบสอบถามอยู่ระหว่าง 0.5-1.0 ผลค่าดัชนีความ ปรากฏและความมั่นใจในการพบปะผู้คนในสังคม สอดคล้องของแบบสอบถามท้ังชุดคือ 0.66 หลังจาก และการสูญเสียฟันลักษณะ C คือ ไม่มีบริเวณรองรับ น้ันนาแบบสอบถามท่ีผ่านการแก้ไขปรับปรุงตาม การสบฟัน มีผลกระทบต่อกิจกรรมการ รับประทาน คาแนะนาของผู้เชี่ยวชาญแล้วไปทดสอบหาความ อาหาร การยม้ิ หัวเราะให้เห็นฟันได้โดยไม่อายใคร มี เชื่อม่ันของแบบสอบถามกับผู้สูงอายุ องค์การบริหาร ความสัมพันธ์กับภาพลักษณ์ท่ีปรากฏและความม่ันใจ สว่ นตาบลบ้านหลวง อาเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ในการพบปะผู้คนในสังคม มีการสูญเสียฟันหน้า จานวน 30 คน แล้วนามาวิเคราะห์หาค่าความเที่ยง เกอื บจะทั้งหมดร่วมด้วยทาให้เกิดช่องว่างในช่องปาก ของแบบสอบถามโดยใช้สัมประสิทธ์ิอัลฟ่า (Alpha ส่งผลให้ลมผ่านช่องว่างที่มีการสูญเสียฟันไป ทาให้ coefficient) ค่าเฉลี่ยความเที่ยงเท่ากับ 0.73 โดยมี การพูดหรอื ออกเสียงบางคาไม่ชัดเจน ผู้วิจัยได้ทาการ รายละเอียดดังนี้ รวมกลุ่มของการสูญเสียฟันท้ัง 10 ลักษณะ ให้เหลือ ส่วนที่ 1 แบบสอบถามข้อมูลท่ัวไป จานวน 10 ข้อ เป็นการแปลผล 2 ลักษณะ ได้แก่ 1) กลุ่มปกติ คือ ได้แก่ เพศ อายุ อาชีพ สถานภาพสมรส ระดับ การสูญเสียฟันแบบ A1 A2 และ A3) กลุ่มไม่ปกติ การศึกษา รายได้ โรคประจาตัว มีฟันผุ มีโรคปริทันต์ คือ การสูญเสียฟันแบบ B1 B2 B3 B4 C1 C2 และ การเข้ารับบริการทางทนั ตกรรม C3 (ภาพที่ 1) ส่วนท่ี 2 แบบสอบถามพฤติกรรมที่ทาให้เกิดการ สูญเสียฟัน จานวน 10 ข้อ ได้แก่ สูบบุหร่ี ด่ืมสุรา การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ด่ืมกาแฟ ดื่มเครื่องดื่มชูกาลัง ทานอาหารรสหวาน ผู้ เ ก็ บ ร ว บ ร ว ม ข้ อ มู ล ใ น ก า ร ศึ ก ษ า ค ร้ั ง น้ี ทานอาหารรสเปร้ียวจัด เค้ียวหมาก เค้ียวของแข็ง ประกอบด้วย ผู้วิจัยและอาสาสมัครสาธารณสุข (นา้ แขง็ กระดูกอ่อน เป็นต้น) การแปรงฟัน การใช้ไม้ ประจาหมู่บ้านในเขตพ้ืนท่ีศึกษา โดยผู้วิจัยได้ทาการ จ้ิมฟัน โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนแบ่งเป็น 3 ระดับ อบรม ชี้แจงรายละเอียดของข้อคาถาม และวิธีการ ดังน้ี เก็บรวบรวมข้อมูลโดยหัวหน้าคณะผู้วิจัย เพ่ือให้มี กลุ่มท่ี 1 คือ ไม่เคยมีพฤติกรรมที่ทาให้เกิดการ ความเข้าใจตรงกันเก่ียวกับวัตถุประสงค์ของการเก็บ สญู เสยี ฟนั รวบรวมข้อมูล ข้อคาถามและวิธีการเก็บรวบรวม กลุ่มที่ 2 คือ มีพฤติกรรมที่ทาให้เกิดการสูญเสีย ข้อมูลเพ่ือให้การดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลไป ฟันท่ีอย่คู งอยู่ ในทางเดียวกัน ทาการตรวจฟันโดยผู้วิจัยและได้รับ กลุ่มท่ี 3 คือ เคยมีพฤติกรรมท่ีทาให้เกิดการ การยืนยันผลการตรวจจากเจ้าพนักงานสาธารณสุข สญู เสยี ฟนั แตเ่ ลกิ แลว้ Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 49
ชานาญการ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล พฤตกิ รรมทมี่ คี วามสัมพนั ธก์ บั การสญู เสียฟันในผู้สงู อายุ บ้านหนองหา่ ย อาเภอจอมทอง จงั หวัดเชยี งใหม่ ตาบลขว่ งเปา อาเภอจอมทอง จงั หวดั เชยี งใหม่ การวเิ คราะห์ข้อมลู ฟันตามดัชนีของอิชเนอร์ ศึกษาโดยการใช้สถิติ ผู้วิจยั ตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของข้อมูลใน การวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติก (Binary logistics แบบสอบถาม บันทกึ ข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ regression) โปรแกรมทางสถติ ิ โดยมีรายละเอียด ดงั น้ี 1. ข้อมูลท่ัวไปส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่าง ข้อมูล การพทิ ักษ์สิทธขิ องกลุ่มตัวอยา่ ง พฤติกรรมท่ีก่อให้เกิดการสูญเสียฟัน และข้อมูลการ ก่อนการเก็บข้อมูลผู้วิจัยจะอธิบายวัตถุประสงค์ สูญเสียฟันตามแบบดัชนีอิชเนอร์ของกลุ่มตัวอย่าง ของการทาวิจัย การเก็บข้อมูล การรักษาข้อมูล การ วิเคราะห์โดยสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) ขอถอนตัวจากการวิจัย และขอบเขตของการนา ได้แก่ คา่ ความถี่ (Frequency) ค่ารอ้ ยละ (Percent) ข้อมูลไปใช้ประโยชน์ และขอความยินยอมจาก 2. ข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมท่ีทาให้ ผู้เข้าร่วมวิจัยก่อนทาการเก็บข้อมูล ในการเก็บข้อมูล เกิดการสญู เสียฟนั ของผู้สูงอายุกับลกั ษณะการสูญเสีย วิเคราะห์ข้อมูล และการเผยแพร่ข้อมูลวิจัยไม่มีการ ระบุชื่อผู้ร่วมวิจัย และจะทาลายแบบสอบถาม ทกุ ฉบับหลงั โครงการวิจัยเสร็จสิ้น 1 ปี ภาพที่ 1 ลักษณะการสูญเสียฟนั ตามดชั นีอชิ เนอร์รูปแบบ A1 A2 A3 B1 B2 B3 B4 C1 C2 และ C3 (ณภัทรพงษ์ หงษีทอง และคณะ, 2561) 50 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปที ่ี 16 ฉบับที่ 1
Behaviors Related to Teeth Loss in The Elderly, Khuangpao Sub-district, Chomthong District, Chiangmai Province ผลการศึกษา 0.70 และโรคภูมิแพ้ คิดเป็นร้อยละ 0.70 ผู้เข้าร่วม ข้อมลู ทั่วไปพบว่า ผู้สงู อายุ จานวน 114 คน เป็น การศึกษาวิจัยส่วนใหญ่ไม่เคยเข้ารับบริการทาง เพศชายและเพศหญงิ ในสัดสว่ นทใี่ กลเ้ คียงกัน คิดเป็น ทนั ตกรรม คิดเป็นรอ้ ยละ 81.30 รองลงมาคือเคยเข้า 1.03:1 ผูส้ งู อายุส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 60-80 ปี คิด รับบริการทางทันตกรรมนานๆ คร้ัง คิดเป็นร้อยละ เป็นร้อยละ 81.90 ไม่ประกอบอาชีพเนื่องจากอายุมาก 16.00 และเขา้ รับบริการทางทนั ตกรรมบอ่ ยคร้งั คิดเป็น คิดเป็นร้อยละ 31.30 รองลงมาคือประกอบอาชีพ รอ้ ยละ 2.80 ตามลาดับ ผู้เข้าร่วมการศึกษาวิจัยส่วน เกษตรกรรม คิดเป็นร้อยละ 27.80 อาชีพรับจ้าง ใหญม่ ฟี ันผุ คดิ เป็นร้อยละ 88.30 ผเู้ ข้าร่วมการศึกษา คา้ ขาย และรับราชการ คิดเป็นร้อยละ 22.20 ,13.20 วิจัยส่วนใหญ่มีเหงือกอักเสบ/โรคปริทันต์ คิดเป็น และ 5.60 ตามลาดับ ผู้เข้าร่วมการศึกษาวิจัยส่วนใหญ่ ร้อยละ 63.90 รองลงมาคือ ไม่มีเหงือกอักเสบ/โรค จบการศึกษาจากชั้นประถมศึกษามากท่ีสุด คิดเป็น ปริทนั ต์ คิดเปน็ ร้อยละ 36.10 ตามลาดบั ร้อยละ 66.70 มีสถานภาพสมรส คิดเป็นร้อยละ 64.60 พฤติกรรมท่ที าให้เกิดการสูญเสียฟันของผู้สูงอายุ รองลงมาคือหม้าย มีรายได้ระหว่าง 10,000-96,000 พบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีพฤติกรรมรับประทาน บาทต่อปี คดิ เป็นรอ้ ยละ 60.40 ไม่มีโรคประจาตัว คิด อาหารรสหวานมากท่ีสุด คิดเป็นร้อยละ 95.80 เป็นรอ้ ยละ 53.50 รองลงมาคือโรคความดัน โลหิตสูง รองลงมามีพฤติกรรมรับประทานอาหารรสเปรี้ยวจัด คดิ เป็นรอ้ ยละ 21.50 ต่อมาคือ โรคไขมัน ในเลือดสูง คิดเปน็ ร้อยละ 87.50 ยังคงแปรงฟันอยู่ คิดเป็นร้อยละ คิดเป็นร้อยละ 10.40 โรคเบาหวาน คิดเป็นร้อยละ 74.30 และมพี ฤติกรรมการเค้ียวของแข็ง คิดเป็นร้อยละ 5.60 โรคหอบหืด คิดเป็นร้อยละ 2.80 โรคเบาหวาน 69.40 โดยมีพฤติกรรมการเค้ียวหมากน้อยที่สุด ร่วมกับความดันโลหิตสูง คิดเป็นร้อยละ 2.10 คิดเป็นร้อยละ 12.50 (ตารางท่ี 1) โรคมะเรง็ คดิ เป็นร้อยละ 1.40 โรค HIV คิดเป็นร้อยละ ตารางที่ 1 พฤติกรรมท่ีทาให้เกิดการสญู เสยี ฟนั (n =144 คน) พฤติกรรมท่ีทาให้เกดิ การ ไม่เคย พฤตกิ รรม เคยแตเ่ ลกิ แลว้ สูญเสยี ฟัน ทย่ี ังคงอยู่ จานวน ร้อยละ จานวน ร้อยละ สูบบุหร่ี จานวน ร้อยละ ด่ืมสรุ า 75 52.10 50 34.70 ดม่ื กาแฟ 47 32.60 19 13.20 54 37.50 ดื่มเคร่อื งดืม่ ชกู าลงั 45 31.30 43 29.90 28 19.40 รบั ประทานอาหารรสหวาน 70 48.60 71 49.30 32 22.20 รบั ประทานอาหารรสเปร้ียวจัด 1 0.70 42 29.20 5 3.50 เคย้ี วหมาก 6 4.20 138 95.80 12 8.30 เคี้ยวของแขง็ 117 81.30 126 87.50 9 6.30 แปรงฟนั 8 5.60 18 12.50 36 25.00 ใช้ไม้จม้ิ ฟนั 4 2.80 100 69.40 33 22.90 20 13.90 107 74.30 35 24.30 89 61.80 Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 51
การสญู เสียฟนั ตามแบบดัชนีอิชเนอร์ของผู้สูงอายุ พฤตกิ รรมทม่ี คี วามสัมพนั ธก์ บั การสูญเสียฟันในผูส้ ูงอายุ พบว่า สูงอายุส่วนใหญ่มีการสูญเสียแบบลักษณะ A ตาบลขว่ งเปา อาเภอจอมทอง จงั หวดั เชยี งใหม่ มากทีส่ ุด รอ้ ยละ 50.00 รองลงมาคือแบบมีการสูญเสีย ลักษณะ B ร้อยละ 34.70 และแบบลักษณะ C น้อย เท่า (95% CI=0.492–2.708) และ 4.19 เท่า (95% ทีส่ ดุ ร้อยละ 15.30 (ตารางที่ 2) CI=1.821–9.648) ตามลาดบั เม่อื หาความสมั พนั ธ์ระหว่างพฤติกรรมที่ทาให้เกิด ก า ร ดื่ ม ก า แ ฟ มี ค ว า ม สั ม พั น ธ์ กั บ ลั ก ษ ณ ะ ก า ร การสญู เสยี ฟนั ของผูส้ ูงอายกุ ับลักษณะการสูญเสียฟัน สูญเสียฟันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p<0.001) โดย ตามดัชนีของอิชเนอร์พบว่า การสูบบุหรี่มีความ พบว่า ผู้ท่ีเคยด่ืมกาแฟ จะมีลักษณะการสูญเสียฟันที่ สมั พนั ธก์ บั ลกั ษณะการสูญเสยี ฟันของผู้สูงอายุอย่างมี ไม่ปกติน้อยกว่าผู้ที่ไม่เคยด่ืมกาแฟลดลง 88 เท่า นัยสาคัญทางสถิติ (p=0.006) โดยผู้ท่ีเคยสูบบุหร่ี (95% CI=0.053–0.289) ส่วนผู้ทเี่ คยดื่มกาแฟแต่เลิก และเคยสูบบุหรี่แต่เลิกแล้ว จะมีลักษณะการสูญเสีย แล้วจะมีลักษณะการสูญเสียฟันท่ีไม่ปกติมากกว่าผู้ท่ี ฟันท่ีไม่ปกติมากกว่าผู้ท่ีไม่เคยสูบบุหร่ี 2.31 เท่า ไม่เคยด่ืมกาแฟ 1.09 เทา่ (95% CI=0.370–3.215 ) (95% CI=0.829-6.426) และ 3.26 เท่า (95% CI= 1.540-6.893) ตามลาดบั การใช้ไม้จ้ิมฟันมีความสัมพันธ์กับลักษณะการ สูญเสียฟันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p<0.001) โดย การด่ืมสุรามีความสัมพันธ์กับลักษณะการสูญเสีย พบว่า ผู้ที่เคยใช้ไม้จ้ิมฟันจะมีลักษณะการสูญเสียฟัน ฟันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (p=0.001) โดยผู้ท่ีเคย ท่ีไม่ปกติน้อยกว่าผู้ท่ีไม่เคยใช้ไม้จิ้มฟันลดลง 52 เท่า ดื่มสุรา และเคยด่ืมสุราแต่เลิกแล้ว จะมีลักษณะการ (95% CI=0.181–1.291) ส่วนผู้ท่ีเคยใช้ไม้จิ้มฟันแต่ สูญเสียฟันท่ีไม่ปกติมากกว่าผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่ 1.15 เลิกแล้ว จะมีลักษณะการสูญเสียฟันท่ีไม่ปกติ มากกว่าผู้ที่ไม่เคยใช้ไม้จิ้มฟัน 16.50 เท่า (95% CI= 3.091–88.085) (ตารางท่ี 3) ตารางท่ี 2 ลักษณะการสญู เสียฟนั ตามดัชนขี องอิชเนอร์ (n =144 คน) ลกั ษณะการสูญเสียฟนั ตามดัชนีของอชิ เนอร์ จานวน รอ้ ยละ A 72 50.00 B 50 34.70 C 22 15.30 รวม 144 100.00 ตารางที่ 3 ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมที่ทาให้เกิดการสูญเสียฟันของผู้สูงอายุกับลักษณะการสูญเสียฟัน ตามดชั นขี องอชิ เนอร์ (n =144 คน) พฤติกรรม จานวน ลกั ษณะการสูญเสียฟัน ตวั อย่าง ปกติ ไมป่ กติ Adjusted OR การสูบบหุ ร่ี จานวน รอ้ ยละ จานวน รอ้ ยละ (95% CI) p - value ไมเ่ คย สูบบุหรี่ 75 47 65.30 28 38.90 1 0.006* 19 8 11.10 11 15.30 2.31 (0.83 - 6.43) เคยแต่เลิกแลว้ 50 17 23.60 33 45.80 3.26 (1.54 - 6.89) 52 วารสารสาธารณสุขล้านนา ปีที่ 16 ฉบับที่ 1
Behaviors Related to Teeth Loss in The Elderly, Khuangpao Sub-district, Chomthong District, Chiangmai Province ตารางท่ี 3 ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมท่ีทาให้เกิดการสูญเสียฟันของผู้สูงอายุกับลักษณะการสูญเสียฟัน ตามดัชนขี องอิชเนอร์ (n =144 คน) (ตอ่ ) จานวน ลกั ษณะการสูญเสียฟัน ตัวอย่าง พฤตกิ รรม ปกติ ไมป่ กติ Adjusted OR p - value จานวน รอ้ ยละ จานวน ร้อยละ (95% CI) การด่มื สรุ า ไม่เคย 47 30 41.70 17 23.60 1 0.001* ดม่ื สรุ า 43 26 36.10 17 23.60 1.15 เคยแตเ่ ลิกแล้ว (0.49 – 2.71) การด่ืมกาแฟ ไมเ่ คย 54 16 22.20 38 52.80 4.19 ดมื่ กาแฟ (1.82 – 9.65) เคยแต่เลกิ แลว้ 45 12 16.70 33 45.80 1 0.000* การใช้ไมจ้ มิ้ ฟนั 71 53 73.60 ไม่เคย 18 25.00 0.12 ใช้ไม่จ้มิ ฟนั 28 7 9.70 (0.05 – 0.29) เคยแตเ่ ลกิ แล้ว 21 29.20 1.09 * P-value<0.05 (0.37 – 3.22) 20 10 13.90 10 13.90 1 0.000* 89 60 83.30 29 40.30 0.48 35 2 2.80 (0.18 – 1.29) 33 45.80 16.50 (3.09 - 88.09) อภิปรายผล ท่ีสุด โดยบริบทของผู้สูงอายุส่วนใหญ่ในตาบลข่วง จากผลการศึกษาพบว่า ลักษณะการสูญเสียฟัน เปา ส่วนใหญ่ ไม่มีโ รคประจาตัว ทั้งน้ีผู้ป่ว ย ตามดชั นีของอชิ เนอร์ของผสู้ งู อายุพบว่า ผสู้ ูงอายุส่วน โรคเบาหวานจะมีโอกาสเปน็ โรคเหงือกอกั เสบ โรคปริ ใหญ่มกี ารสญู เสียแบบลักษณะ A มากที่สุด รองลงมา ทันต์อักเสบและสูญเสียฟันมากกว่าผู้ป่วยท่ีไม่เป็น คอื แบบลักษณะ B และแบบลักษณะ C น้อยที่สุด ซึ่ง โรคเบาหวาน (Sun et al., 2018; Tse, 2018; ต่างกับผลการศึกษาของ ณภัทรพงษ์ หงษีทอง และ Maragkos et al., 2017) คณะ (2561) ศึกษาเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่าง ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมที่ทาให้เกิดการ ลักษณะการสูญเสียฟันตามดัชนีของอิชเนอร์กับ สูญเสียฟันกับลักษณะการสูญเสียฟันพบว่า ผู้ท่ีเคย ผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในมิติสุขภาพช่องปากของ สูบบุหรี่หรือเคยสูบบุหร่ีแต่เลิกแล้ว จะมีลักษณะการ ผู้สูงอายุ พบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีโรคประจาตัวคือ สูญเสียฟันท่ีไม่ปกติ (แบบ B และ C) มากกว่าผู้ที่ไม่ โรคเบาหวาน มีการสูญเสียฟันแบบลักษณะ B มากท่ีสุด เคยสูบบุหรี่ จากบทความเรื่อง สิงห์อมควันมีสิทธิ์ฟัน รองลงมาคอื แบบลักษณะ A และแบบลักษณะ C น้อย ร่วงมากกว่าคนท่ัวไปในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 53
ออนไลน์ เมื่อวันท่ี 27 พฤษภาคม 2557 กรมอนามัย พฤตกิ รรมทมี่ คี วามสัมพนั ธก์ บั การสญู เสียฟันในผสู้ งู อายุ ใหข้ อ้ มูลผทู้ ี่สบู บุหรี่จะมีโอกาสสูญเสียฟันมากกว่าคน ตาบลขว่ งเปา อาเภอจอมทอง จงั หวดั เชยี งใหม่ ไม่เคยสูบ 2 เท่า และแม้จะเลิกสูบแล้วก็ต้องใช้เวลา ถึง 10-12 ปี กวา่ ความเสี่ยงต่อการสูญเสียฟันจะลดลง กรมอนามัย, 2559) ส่วนผู้ท่ีเคยใช้ไม้จิ้มฟันแต่เลิกแล้ว เทา่ คนปกติ ทง้ั น้ีการสูบบหุ รน่ี านมากกว่า 10 มีความ จะมีลักษณะการสูญเสียฟันท่ีไม่ปกติมากกว่าผู้ท่ีไม่ เส่ียงต่อการสูญเสียฟัน (Similä et al., 2016 และ เคยใช้ไม้จ้ิมฟัน ท้ังนี้การใช้ไม้จิ้มฟันบ่อยๆ และใช้ การสูบบุหร่ีมากกว่า 15 ม้วน/วัน และนานมากกว่า แบบผิดวิธี อาจทาให้ฟันห่างข้ึน และเป็นอันตรายต่อ 27 ปี มีความเส่ียงต่อการสูญเสียฟัน (Morse et al., เหงือกและฟันอันนาไปสู่การสูญเสียฟันได้ (ชัชชัย 2014) คณุ าวิศรตุ , 2560) ผู้ท่ีเคยดื่มสุราหรือเคยด่ืมสุราแต่เลิกแล้ว จะมี อย่างไรก็ตามพฤติกรรมที่ไม่มีความสัมพันธ์กับ ลักษณะการสูญเสียฟันท่ีไม่ปกติ มากกว่าผู้ที่ไม่เคย การสูญเสียฟันพบว่า การเค้ียวหมาก และการด่ืม ดื่มสุรา เน่ืองจากแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ไปทาลายสาร เคร่ืองด่ืมชูกาลัง ไม่มีความสัมพันธ์กับการสูญเสียฟัน เคลือบฟัน และยังมีฤทธ์ิขัดขวางการนอนหลับ ทาให้ เน่ืองจากในการศึกษาคร้ังนี้ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ไม่เคย เกิดความเครียดและนอนกัดฟันโดยไม่รู้ตัว ซึ่งหากไม่ เคี้ยวหมาก และไม่ดื่มเครื่องดื่มชูกาลัง ท่ีเป็นสาเหตุ ดูแลรกั ษาก็จะทาให้เกดิ อาการเหงือกอักเสบ บวมแดง ของโรคฟันผุ โรคเหงือก โรคปริทันต์ และนาไปสู่การ มีเลือดออกได้ง่าย มีการสูญเสียกระดูกเบ้าฟัน ฟันโยก สูญเสียฟัน การเค้ียวหมากจะทาให้มีคราบสกปรกติด และสูญเสียฟันในท่ีสุด (ข่าวแจกกรมสุขภาพจิต, แนน่ ในช่องปากทาใหม้ คี ราบหนิ น้าลายมาเกาะได้ง่าย 2561) ทั้งน้ีการด่ืมสุรามีความเส่ียงต่อการสูญเสียฟัน และนาไปสู่การเป็นโรคเหงือก โรคปริทันต์ (ชัชชัย และมีความเสี่ยงต่อเป็นปริทันต์อักเสบถึงร้อยละ คุณาวิศรุต, 2560) และการบริโภคเครื่องด่ืมท่ีมีน้าตาล 89.61 ซ่ึงเป็นสาเหตุของการสูญเสียฟันในอนาคต เปน็ องค์ประกอบยงั เปน็ สาเหตใุ ห้เกิดโรคฟันผุอีกด้วย (Morse et al., 2014; Priyanka et al., 2017) (สานักทันตสาธารณสุข, 2560) ซ่ึงเป็นสาเหตุให้เกิด การสูญเสียฟันต่อไปนอกจากน้ีการรับประทาน ผู้ท่ดี มื่ กาแฟจะมลี ักษณะการสูญเสียฟันน้อยกว่าผู้ อาหารรสหวาน การด่ืมเคร่ืองดื่มชูกาลัง และการ ท่ีไม่เคยดื่มกาแฟ สอดคล้องกับผลการศึกษาของ รบั ประทานอาหารรสเปร้ียวไม่มีความสัมพันธ์กับการ Antonio et al. (2011) พบว่า ในเมล็ดกาแฟมีสาร สูญเสียฟันทั้งที่สัมผัสปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดโรคฟัน ไตรโกนีลีน (Trigonelline) มีประสิทธิภาพช่วยป้องกัน และเหงือกเช่นกัน อาจเน่ืองมาจากผู้สูงอายุร้อยละ แบคทีเรียและการก่อตัวของแบคทีเรีย จึงช่วยลด 74.30 ยังคงแปรงฟันเป็นประจา จึงทาให้มีการทา ปัญหาของโรคที่เกิดทางช่องปาก ป้องกันฟันผุ อัน ความสะอาดช่องปากอย่างสม่าเสมอ การแปรงฟัน ก่อให้เกิดการสูญเสียฟัน ต่างจากผลการวิจัยของ อย่างสม่าเสมอเป็นการกาจัดเศษอาหารและคราบ Song et al., (2018) ท่ีพบว่าการดื่มกาแฟทุกวันมี จุลินทรีย์ในช่องปากอันก่อให้เกิดฟันผุ การเคี้ยว โอกาสเหลอื ฟันน้อยกว่า 20 ซ่ี ถึงร้อยละ 69 อย่างไร ของแข็ง ไม่มีความสัมพันธ์กับการสูญเสียฟัน ก็ตามผลการศึกษานี้ไม่ได้จากัดประเภทของกาแฟท่ี เน่ืองจากผสู้ ูงอายสุ ว่ นใหญ่เคยเค้ียวของแข็งแค่นาน ๆ กลุ่มตัวอย่างดื่ม ซ่ึงอาจเป็นตัวแปรกวนที่มีผลทา คร้งั และผู้ท่ีเคยเคี้ยวของแข็งเป็นประจามีส่วนน้อยสุด ให้ผลการศึกษาแตกตา่ งกนั จงึ ไม่ส่งผลต่อการสญู เสียฟนั (คณะทนั ตแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั , 2560) ผู้ที่เคยใช้ไม้จิ้มฟันจะมีลักษณะการสูญเสียฟัน น้อยกว่าผู้ท่ีไม่เคยใช้ไม้จิ้มฟัน เนื่องจากมีการกาจัด ข้อเสนอแนะ เศษอาหารออกหลังจากรับประทาน ทาให้ไม่มีเศษ อาหารตกค้างในซอกฟัน จึงไม่ก่อให้เกิดฟันผุและเกิด ผลจากการวิจัยครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าการ การสูญเสียฟันตามมา (สานักทันตสาธารณสุข หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา การดื่มกาแฟเป็น ประจาและการใช้ไม้ไม้จ้ิมฟันกาจัดเศษอาหารออก หลังจากรับประทาน สามารถป้องกันไม่ให้เกิดการ 54 วารสารสาธารณสุขล้านนา ปที ี่ 16 ฉบบั ท่ี 1
Behaviors Related to Teeth Loss in The Elderly, Khuangpao Sub-district, Chomthong District, Chiangmai Province สูญเสียฟันเมื่อสูงอายุได้ อย่างไรก็ตามการด่ืมกาแฟ กติ ติกรรมประกาศ ตอ้ งระมัดระวังการเติมน้าตาลซึ่งเป็นสาเหตุของฟันผุ ได้ ขอ้ มลู ดังกล่าวเปน็ ขอ้ มูลสนบั สนุนเพ่ือการนาไปใช้ คณะผู้วิจัยขอขอบพระคุณผู้สูงอายุในเขตพื้นท่ี ให้คาแนะนาพฤติกรรมท่ีทาให้เกิดการสูญเสียฟันต่อ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลข่วงเปา อาเภอ ประชาชนทั่วไปได้ นอกจากน้ีควรมีการวิจัยเชิง จอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ท่ีให้ความร่วมมือให้การ คุณภาพ เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกที่สามารถอธิบาย เก็บข้อมูลรายงานการวิจัย และขอขอบพระคุณ พฤติกรรมท่ีทาให้เกิดการสูญเสียฟันของผู้สูงอายุได้ อาสาสมัครสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ และผู้บริหาร ชัดเจนมากย่ิงขึ้น และควรศึกษาผลกระทบต่อ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลข่วงเปา ที่อานวย คณุ ภาพชีวติ ในผสู้ ูงอายุท่สี ญู เสียฟันในเชิงลึกตอ่ ไป ความสะดวกในการลงพื้นที่และเก็บข้อมูล และ ขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิท่ีให้ความอนุเคราะห์ ตรวจคุณภาพเครื่องมือวิจัยพร้อมให้คาแนะนา อันเปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งย่ิง เอกสารอา้ งอิง คณะทนั ตแพทย์ศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . (2560). ความรสู้ ูป่ ระชาชน [online] [สืบค้นเม่ือ 8 มกราคม 2563]; แหล่งข้อมูล: URL: http://www.dent.chula.ac.th/periodontology/knowledge.php. ชชั ชัย คุณาวศิ รุต. (2560). พฤติกรรมที่ส่งผลร้ายต่อฟันที่คุณรัก [online] [สืบคน้ 5 พฤษภาคม 2562]; แหลง่ ข้อมูล: URL: https://dt.mahidol.ac.th/th/พฤติกรรมท่สี ่งผลรา้ ยต่อฟันที่คุณรัก/. ขา่ วแจกกรมสุขภาพจิต [online] วันที่ 7 กันยายน 2561 [สบื ค้น 8 มกราคม 2563]; แหล่งขอ้ มลู : URL: http://www.prdmh.com/ขา่ วสาร/ขา่ วแจกกรมสขุ ภาพจิต/1203-รพ-สวนปรุง-วิจัยพบผปู้ ่วยตดิ เหล้า-“ฟันสึก”-สูงถงึ รอ้ ยละ-91-จากฤทธ์ิแอลกอฮอล์-นอนกดั ฟนั -เร่งแก้ไขป้องกัน. html?fbclid=IwAR09KuhORFzjGhl-jSaHPyY4dBxwqqjUZCnTgqwyjLSqzSFKUSxcIJ7YZdo. บทความเรื่อง สิงหอ์ มควนั มสี ิทธฟิ์ นั รว่ งมากกว่าคนทว่ั ไป. กรงุ เทพธุรกจิ [online] วนั ที่ 29 พฤษภาคม 2557 [สบื ค้น 8 มกราคม 2563]; แหล่งขอ้ มูล: URL: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/585408. ณภัทรพงษ์ หงษที อง, ศิริพร คาสะอาด, รัชฎา น้อยสมบตั ิ, และ รัชนีกร สาวิสิทธิ์. (2561). ความสมั พันธ์ ระหวา่ งลักษณะการสญู เสยี ฟันตามดัชนีของอิชเนอร์กบั ผลกระทบตอ่ คณุ ภาพชวี ติ ในมิติสขุ ภาพชอ่ งปาก ของผู้สูงอาย.ุ วทิ ยาสารทนั ตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ , 21(1), 10-20. สานกั ทนั ตสาธารณสขุ กรมอนามยั . (2559). การสง่ เสริมสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุ เล่มที่ 8: การดแู ลสุขภาพ ชอ่ งปากผสู้ งู อายตุ ิดบ้าน ตดิ เตยี ง. นนทบรุ ี: แกว้ เจา้ จอม. สานกั ทันตสาธารณสุข กรมอนามัย. (2560). รายงานผลการสารวจสภาวะสุขภาพช่องปากแห่งชาติครั้งท่ี 8 พ.ศ.2560. นนทบรุ ี: บรษิ ทั สามเจริญพาณิชย์ (กรงุ เทพ) จากัด. องค์การบรหิ ารสว่ นตาบลข่วงเปา. (2558). แผนยทุ ธศาสตร์ 20 ปี ตาบลขว่ งเปา (พ.ศ.2558-2562) [online] [สืบค้น 5 พฤษภาคม 2562]; แหลง่ ข้อมูล: URL: https://www.khuangpao.go.th/content.php?cid=20150602102127DYgIu8H Antonio, A. G., Farah, A., Santos, K. R. N., & Maia, L. C. (2011). The potential anticariogenic effect of coffee. Science against microbial pathogens: communicating current research and technological advances, 2, 1027-1032. Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 55
พฤตกิ รรมทม่ี คี วามสัมพนั ธก์ บั การสูญเสียฟันในผู้สงู อายุ ตาบลขว่ งเปา อาเภอจอมทอง จงั หวดั เชยี งใหม่ Raphael, C. (2017). Oral health and aging. Am Journal of Public Health, 107(s1), s44-s45. CDC. (2017). Oral Health for Older Americans Facts about Older Adult Oral Health [online] [cited 2019 May]; Available from: URL: https://www.cdc.gov/oralhealth/basics/adult-oral-health/adult_older.htm Wayne, W. D. (2010). Biostatistics: Basic Concepts and Methodology for the Health Sciences. (9thed). New York: John Wiley & Sons. Song, I. S., Han, K., Ryu, J. J., Choi, Y. J., & Park, J. B. (2018). Coffee intake as a risk indicator for tooth loss in Korean adults. Scientific reports, 8(1), 1-7. Priyanka, K., Sudhir, K.M., Reddy, V.C.S., Kumar, R.K., & Srinivasulu, G. (2017). Impact of Alcohol Dependency on Oral Health – A Cross-sectional Comparative Study. Journal of Clinical and Diagnostic Research, 11(6), 43-46. Maragkos, P., Kaima, A., & Kyriazis, I. (2017). The Interaction between Diabetes and Periodontal Disease. International Journal of Caring Sciences, 10(2), 1104-1107. Zelig, R., Byham-Gray. L., Singer, S. et al. (2018). Dentition and Malnutrition Risk in Community Dwelling Older Adults. Journal of Aging Research & Clinical Practice, 7, 107-114. Morse, D. E., Avlund, K., Christensen, L. B., et al. (2014). Smoking and drinking as risk indicators for tooth loss in middle-aged Danes. Journal of aging and health, 26(1), 54-71. Sun, H.Y., Jiang, H., Du, M.Q., et al. (2018). The Prevalence and Associated Factors of Periodontal Disease among 35 to 44-year-old Chinese Adults in the 4th National Oral Health Survey. The Chinese journal of dental research: the official journal of the Scientific Section of the Chinese Stomatological Association (CSA), 21(4), 241-247. Similä, T., Auvinen, J., Timonen, M., & Virtanen, J. (2016). Long-term effects of smoking on tooth loss after cessation among middle-aged Finnish adults: the Northern Finland Birth Cohort 1966 Study. BMC Public Health, 16(1), 867. Tse, S. Y. (2018). Diabetes mellitus and periodontal disease: awareness and practice among doctors working in public general out-patient clinics in Kowloon West Cluster of Hong Kong. BMC Family Practice, 19, 199. 56 วารสารสาธารณสุขล้านนา ปที ี่ 16 ฉบับท่ี 1
The Investigation and Disease Control of Zika outbreak in Wangnuea District, Lampang Province, 2018 การสอบสวนและควบคุมโรคตดิ เชอื้ ไวรสั ซกิ า อาเภอวงั เหนอื จงั หวดั ลาปาง ปี 2561 The Investigation and Disease Control of Zika outbreak in Wangnuea District, Lampang Province, 2018 ศภุ ฤกษ์ ทิฉลาด* ส.บ. (สาธารณสขุ ศาสตร์) Suparerk Tichaladd* B.P.H (Public Health) อานวย ทพิ ศรรี าช** ส.ม. (สาธารณสขุ ศาสตร์) Amnuay Tipsrirath** M.P.H (Public Health) อภสิ รา ตามวงค์*** ส.บ. (สาธารณสุขศาสตร)์ Apisra Tamwong*** B.P.H (Public Health) * สำนกั งำนสำธำรณสขุ อำเภอสบปรำบ Sobprab District Health Office, Lampang Province ** สำนักงำนปอ้ งกนั ควบคมุ โรคท่ี 1 เชยี งใหม่ Office of Disease Prevention and Control No.1, Chiang Mai Province *** โรงพยำบำลวงั เหนือ จังหวดั ลำปำง Wangnuea Hospital, Lampang Province Received: Jan 21, 2020 Revised: Mar 2, 2020 Accepted: Apr 20, 2020 บทคดั ยอ่ วันท่ี 28 พฤษภาคม 2561 ทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนท่ีเร็วอาเภอวังเหนือ ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาล วังเหนือ พบผู้ป่วยสงสัยโรคติดเช้ือไวรัสซิกา อาศัยอยู่ หมู่ 1 ตาบลทุ่งฮ้ัว อาเภอวังเหนือ จังหวัดลาปาง จึงได้ ดาเนินการสอบสวน เฝ้าระวัง ควบคุมและปอ้ งกนั โรค ระหวา่ งวันที่ 28 พฤษภาคม ถึงวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 เพ่ือ ยืนยันการวินิจฉัย ยืนยันการระบาด ลักษณะทางระบาดวิทยาของโรค และเพื่อควบคุมป้องกันการระบาดในพ้ืนท่ี เป็นการศึกษาทางระบาดวิทยาเชิงพรรณนา โดยการสัมภาษณ์ผู้ป่วย ทบทวนเวชระเบียน ค้นหาผู้ป่วยและหญิง ตั้งครรภ์เพ่ิมเติมโดยใช้นิยามของสานักระบาดวิทยา ศึกษาสภาพแวดล้อมในชุมชน และสารวจลูกน้ายุงลาย เก็บ ตวั อยา่ งเลือด ปสั สาวะ ผูส้ ัมผสั ในครอบครัว และหญิงตง้ั ครรภ์ สง่ ตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการ ผลการศึกษาพบว่า ผปู้ ่วยเขา้ เกณฑ์การสอบสวนโรคท้ังสนิ้ 84 ราย เป็นผูป้ ่วยทม่ี ผี ลยืนยันทางห้องปฏิบัติการ จานวน 23 ราย เพศชาย: เพศหญิง 1: 1.3 อายุเฉลย่ี 30.9 ปี (S.D.=20.38) สว่ นใหญแ่ สดงอาการผ่ืนมากท่ีสุด ร้อยละ 92.9 รองลงมามีอาการ ไข้ รอ้ ยละ 54.8 และปวดขอ้ ร้อยละ 39.3 ผลการตรวจทางหอ้ งปฏิบัติการพบวา่ มสี ารพนั ธกุ รรมไวรสั ซกิ าในปสั สาวะ จานวน 17 ราย และสารพันธุกรรมไวรัสซิกาท้ังในปัสสาวะและในพลาสมา จานวน 5 ราย มีหญิงต้ังครรภ์ 1 ราย อายุครรภ์ 34 สปั ดาห์ พบสารพนั ธกุ รรมไวรัสซกิ าในพลาสมา ซ่งึ อาการของโรคคล้ายโรคติดเชื้อไวรัสไข้ออกผื่นท่ัวไป ทาให้บุคลากรทางการแพทย์ไม่สามารถวินิจฉัยได้รวดเร็ว จึงทาให้เกิดการระบาดในพื้นที่ มาตรการการป้องกันและ ควบคุมการระบาดของโรค โดยการให้ความรู้ จัดต้ังศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข กาหนดพ้ืนท่ี เป็นพ้ืนท่ีสีเขียว พื้นท่ีสีเหลือง และพ้ืนที่สีแดง ดาเนินการร่วมกับภาคีเครือข่าย และสร้างความตระหนักในการ ปรับปรุงสภาพแวดล้อมในชุมชน เพ่ือทาลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ายุงลายไม่ให้เอื้อต่อการเกิดโรค หลังดาเนินการ ควบคมุ โรคภายใน 28 วนั แล้ว ไม่พบผปู้ ่วยรายใหม่ในพ้ืนที่ คาสาคัญ: โรคติดเชอ้ื ไวรสั ซิกา, การระบาด, การควบคุมโรค, จงั หวดั ลาปาง Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 57
การสอบสวนและควบคมุ โรคตดิ เชอื้ ไวรสั ซกิ า อาเภอวงั เหนือ จงั หวดั ลาปาง ปี 2561 ABSTRACT On May 28, 2018, Wangnuea surveillance rapid respond teams (SRRT) received news from Wangnuea Hospital reported an outbreak of Zika virus infection in Moo 1, Thung Hua Subdistrict, Wangnuea District, Lampang Province. The SRRT rushed out to investigate and to control the outbreak between May 28, 2018 and July 17, 2018. The objectives of the investigation were to confirm the diagnosis and the outbreak, epidemiological characteristics of the disease and to control and prevent epidemics in the area. Using descriptive epidemiological surveillance as the study method by interviewing patients, reviewing the medical records to find out number of patients and pregnant women according to the definition of the Bureau of Epidemiology, and narrating the environment in the community. SRRT surveyed Aedes mosquito larvae, collected blood samples and urine from the families and from pregnant women, which we submitted the specimens to confirm in the laboratory. The results showed that 84 patients were eligible for laboratory investigation, of which there were 23 laboratory confirmed cases. The ratio consisted male: female 1: 1.3, an average age was 30.9 years (SD = 20.38). The most cases (92.9%) had fever (54.8%) and joint pain (39.3%). Zika virus genetic material was found in 17 cases and Zika virus in both urine and plasma was 5 cases. In addition, one pregnant woman gestated 34 weeks found Zika virus in the plasma. The outbreak of Zika virus infection in Wangnuea district characterized symptoms of the disease liked viral infections with skin rashes. We investigated the medical seeking of the patients was delayed, that might be causing an outbreak. The measures to prevent and control the outbreaks needed the health education scheme. It is necessary to create a public health emergency response center and to define the levels of intensity consisting color zones such as green, yellow, and red areas. Collaboration with network partners to promote an awareness to improve the environment in the community in order to eliminate aedes mosquitoes and larvae. This implementation discovered that after 28 days of the control, there was no appearance of any case. Keywords: Zika virus infection, Outbreak, Disease control, Lampang บทนา โรคติดเช้ือไวรัสซิกา (Zika virus disease) นับว่า สาธารณสุข, 2559) อาการโรคติดเช้อื ไวรัสซิกา (Zika เป็นโรคติดต่อท่ีสาคัญท่ีองค์การอนามัยโลกได้ virus disease) มีอาการไข้ ปวดข้อ ปวดกล้ามเน้ือ ประกาศเมอ่ื เดอื นกุมภาพนั ธ์ 2559 ให้การระบาดของ ปวดศีรษะ ตาแดง บางรายอาจมีผื่นนูนแดงขึ้นตาม โรคตดิ เช้ือไวรัสซิกา เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข ร่างกาย ยกเว้นใน หญิงตั้งครรภ์อาจส่งผลกระทบต่อ ระหว่างประเทศ (Public Health Emergency ทารกในครรภ์ ทาให้มีภาวะศีรษะเล็กแต่กาเนิด International Concern: PHEIC) ซ่ึงผู้ป่วยส่วนใหญ่ (Microcephaly) ท้ังน้ีสาเหตุหลักของการติดเชื้อเกิด ท่ีป่วยมีอาการ ไม่รุนแรง (สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ จากการถูกยุงลายท่ีมีเช้ือไวรัสซิกากัด โดยมีระยะฟัก สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวง ตัวประมาณ 4–7 วัน และช่องทางอ่ืนๆ ท่ีเป็นไปได้ 58 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปที ี่ 16 ฉบบั ท่ี 1
The Investigation and Disease Control of Zika outbreak in Wangnuea District, Lampang Province, 2018 เช่น การแพร่ผ่านทางเลือด แพร่จากมารดาที่ป่วยสู่ จังหวัดลาปาง ผู้ศึกษาจึงสนใจที่จะศึกษาโดยนา ทารกในครรภ์ โดยข้อมูลกรมควบคุมโรคตั้งแต่ปี แนวทางที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข 2550 ถึงวันท่ี 28 กรกฎาคม 2559 พบผู้ป่วยยืนยัน แนะนา มาดาเนินการเพื่อท่ีจะยืนยันการเกิดโรคและ การตดิ เช้ือไวรัสซิกาจากยุงลายพาหะใน 76 ประเทศ การระบาด ลักษณะทางระบาดวิทยาของการเกิดโรค ในทวีปอเมริกา ประเทศในกลุ่มประเทศลาติน การดาเนินมาตรการในการควบคุมและป้องกันโรค อเมริกา และแคริบเบียน และคงมีแนวโน้มพบผู้ป่วย เพ่ือเป็นแนวทางพัฒนาแก้ไขปัญหาโรคซิกาในพื้นที่ เพมิ่ ขึ้นอยา่ งต่อเนอ่ื ง สาหรับ ประเทศไทย ข้อมูลจาก ต่อไป สานักระบาดวทิ ยา กรมควบคุมโรค พบผู้ป่วยโรคติดเช้ือ ไวรัสซิกาครั้งแรกในปี พ.ศ. 2555 เม่ือสิ้นปี พ.ศ. วิธกี ารศกึ ษา 2558 มีผู้ป่วยยืนยันเฉล่ียปีละ 5 ราย โดยพบการ การศกึ ษาระบาดวิทยาเชิงพรรณนา ตามมาตรการ ติดเชื้อกระจายทุกภาค ประเทศไทยโดยกระทรวง ของกรมควบคมุ โรค ดงั น้ี สาธารณสุข ได้ออกประกาศโรคติดเช้ือไวรัสซิกาเป็น 1. เก็บข้อมูลท่ัวไป ของอาเภอวังเหนือ จังหวัด โรคติดต่อท่ีต้องเฝ้าระวัง ตามพระราชบัญญัติ ลาปาง โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 (สานักระบาดวิทยา กรม 2. ทบทวนข้อมูลผู้ป่วยยืนยันตามแบบสอบสวน ควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 2561) เพื่อให้ โรคตดิ เช้ือไวรสั ซิกา เจ้าหน้าที่ดาเนินการป้องกันและควบคุมโรคได้อย่าง 3. ค้นหาผู้ปว่ ยเพิ่มเตมิ แบ่งเป็น 2 วิธีคือ เต็มที่ ในขณะที่ปี พ.ศ. 2559 รายงานสถานการณ์ 3.1 ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุก (Active case finding) โรคติดเช้ือไวรัสซิกาต้ังแต่ต้นปี ถึงวันท่ี 4 กรกฎาคม โดยการค้นหาผู้ป่วย สัมภาษณ์ตามเกณฑ์การ 2559 มีรายงานผู้ป่วยรวมทั้งหมด 97 รายใน สอบสวนโรค (Patients under investigation: PUI) 10 จงั หวัด (กรมควบคมุ โรค, 2559) ในหมู่บ้าน โรงเรียน หรือที่ทางานเดียวกัน หรือทา สานักงานสาธารณสุขอาเภอวังเหนือ จังหวัด กิจกรรมในสถานท่ีเดียวกัน และสถานที่เสี่ยงต่อ ลาปาง ได้รับแจ้งจากทีมตระหนักรู้สถานการณ์ การติดต่อและแพร่กระจาย ในช่วง 1 เดือนก่อนวัน (Situation Awareness Team: SAT) จากโรงพยาบาล เริ่มป่วยของผู้ป่วยยืนยันรายแรกของอาเภอ ในพ้ืนที่ วังเหนือ อาเภอวังเหนือ จังหวัดลาปาง ว่า ตรวจพบ อาเภอวังเหนือ จงั หวัดลาปาง การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสซิกา ที่หมู่ 1 ตาบล 3.2 เฝ้าระวังเชิงรับ (Passive case finding) ทุ่งฮ้ัว อาเภอวังเหนือ จังหวัดลาปาง เม่ือวันท่ี 28 ดาเนนิ การดังนี้ พฤษภาคม 2561 และพบว่าโรคมีแนวโน้มที่จะ 3.2.1 ทบทวนเวชระเบียนของสถาน ระบาดออกไปในวงกว้าง ทีมเฝ้าระวังสอบสวน บริการสาธารณสุขในตาบล อาเภอ ที่มีผู้ป่วยยืนยัน เคล่ือนที่เร็ว (Surveillance and Rapid Response ย้อนหลังหน่ึงเดือน นับจากวันเร่ิมป่วย จากรหัส ICD Team: SRRT) อาเภอวังเหนือ จังหวัดลาปาง สานักงาน 10: B05 Measles, B06 Rubella, B09 Viral สาธารณสุขจังหวัดลาปาง และสานักงานป้องกัน exanthema, U06.9 Zika, R21 Maculopapular ควบคุมโรคท่ี 1 เชยี งใหม่ ได้ดาเนินการตามมาตรการ rash ร่วมกับเจ้าหน้าท่ีโรงพยาบาลวังเหนือ และ ที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลในเขตอาเภอ ดาเนินการสอบสวนการระบาด เปดิ ศูนยต์ อบโต้ภาวะ วงั เหนือ จังหวดั ลาปาง ฉุกเฉินทางสาธารณสุข (Emergency Operation 3.2.2 เก็บเลือดและปัสสาวะส่งตรวจทาง Center: EOC) เพ่ือดาเนินการเฝ้าระวังเชิงรุก และ ห้องปฏิบัติการในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ (ไม่มีอาการ) ควบคุมการระบาดของโรค เน่ืองโรคติดเชื้อไวรัสซิกา ในตาบลที่พบผู้ป่วยยืนยนั เพ่อื ตรวจหาเชอ้ื ไวรัสซิกา เป็นโรคที่ยังไม่เคยมีการรายงานว่าเกิดข้ึนในพื้นที่ Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 59
การสอบสวนและควบคมุ โรคตดิ เชอื้ ไวรสั ซกิ า อาเภอวงั เหนือ จงั หวดั ลาปาง ปี 2561 3.2.3 เฝ้าระวังประชากรกลุ่มเสี่ยง 4 กลุ่ม ข. ผู้ป่วยกลุ่มก้อนตั้งแต่สองรายขึ้นไป ที่มี ได้แก่ ผู้ป่วยหญิงต้ังครรภ์ ผู้ป่วยทั่วไป ทารกท่ีมี อาการ ดังนี้ ศีรษะเล็ก และผู้ป่วยกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain – Barre syndrome) และผู้ป่วยโรคระบบ 1) มีผื่น ร่วมกับ อาการอย่างน้อย 1 ใน 3 ประสาทอักเสบอ่ืนๆ ภายหลงั การติดเชื้อ โดยกาหนด อาการ ดังน้ี ไข้ ปวดขอ้ ตาแดง หรอื นิยามดังน้ี 2) ไข้ ร่วมกับ อาการอย่างน้อย 2 ใน 3 ผู้ป่วยสงสัย (Suspected case) หมายถึง ผู้ท่ี อาการ ดังน้ี ปวดศีรษะ ปวดขอ้ ตาแดง อาศัยอยู่ในอาเภอวังเหนอื จังหวัดลาปาง ที่เข้าเกณฑ์ สอบสวนโรค (Patient under investigation: PUI) ค. มผี ่ืน ทีอ่ าศัยอยู่หรือมปี ระวัติเดินทางเข้า ต้ังแต่วันที่ 28 เมษายน ถึงวันท่ี 29 พฤษภาคม ไปในพืน้ ท่อี าเภอวงั เหนือ จงั หวัดลาปาง และยังอยู่ใน 2561 ที่ไม่ได้เก็บตัวอย่างส่งตรวจ หรือเก็บในเวลาท่ี ระยะเวลาควบคุมโรค (28 วันนับจากวันที่พบผู้ป่วย ไม่เหมาะสม ร่วมกับวันเริ่มป่วยภายใน 2 สัปดาห์ ยนื ยันรายสุดทา้ ย) ก่อนหรือหลังวันเร่ิมป่วยของผู้ป่วยยืนยัน และอยู่ใน หมู่บ้าน ชุมชน โรงเรียน หรือท่ีบ้านเดียวกัน หรือทา 3. ทารกท่ีมีศีรษะเล็ก หมายถึง ทารกท่ีคลอดมา กิจกรรมในสถานที่เดยี วกันโดยแบ่งผู้ป่วยเป็น 4 กลุ่ม ไม่เกิน 1 เดือน และวัดรอบศีรษะแล้วมีค่าความยาว ได้แก่ เส้นรอบวงต่ากว่า 3 Percentile ของค่าปกติในเพศ และกลมุ่ อายุครรภ์ของทารกนั้น โดยกุมารแพทย์เป็น 1. ผปู้ ่วยหญิงตัง้ ครรภ์ทส่ี งสยั หมายถึง ผู้วินจิ ฉัย และ/หรอื พบหนิ ปนู จับในเนือ้ สมอง 1.1 หญิงต้งั ครรภ์ท่ีมีผื่นและมีอาการอย่างน้อย 4. ผู้ป่วยกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain - 1 ใน 3 อาการ ดังน้ี ไข้ ปวดข้อ ตาแดง หรือ Barre syndrome: GBS) ผู้ป่วยโรคทางระบบประสาท 1.2 หญิงตงั้ ครรภ์ท่มี ไี ข้ และมีอาการอย่างน้อย อักเสบอื่นๆ ภายหลังการติดเช้ือ หมายถึง กลุ่ม อา ก า ร ท่ีเ กิ ด จ า กก า ร อั ก เส บ เ ฉี ย บพ ลั น ข อ ง 2 ใน 3 อาการ ดังน้ี ปวดศรี ษะ ปวดขอ้ ตาแดง หรือ เส้นประสาทหลายๆ เส้นพร้อมกัน จนก่อให้เกิด 1.3 หญิงต้ังครรภ์ท่ีมีผื่น ท่ีอาศัยหรือมีประวัติ อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงเฉียบพลัน ซึ่งในรายที่ รุนแรงอาจถึงขั้นเป็นอัมพาต และอาจต้องใช้ เดินทางเข้าไปในพื้นท่ีอาเภอวังเหนือ จังหวัดลาปาง เครื่องช่วยหายใจ หรือผู้ท่ีมาด้วยอาการแขนขา และยังอยู่ในระยะเวลาควบคุมโรค (28 วันนับจาก ออ่ นแรง 2 ขา้ ง อาจจะมีชาหรือไม่ก็ตาม ท้ังนี้อาจจะ วันท่ีพบผปู้ ว่ ยยืนยันรายสุดทา้ ย) หายใจไม่ได้เม่ืออาการรุนแรงมากขึ้น โดยแพทย์เป็น ผูว้ นิ จิ ฉยั 2. ผูป้ ว่ ยทัว่ ไป หมายถงึ 2.1 ผ้ทู ี่มอี ายุ 15 ปขี น้ึ ไป มอี าการดงั นี้ ผ้ปู ่วยยืนยัน (Confirmed case) หมายถึง ผู้ป่วย ก. มีผ่ืน และมีอาการอย่างน้อย 1 ใน 3 สงสัยที่มีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยันพบสาร พันธุกรรมของเช้ือไวรัสซิกาในเลือด ปัสสาวะ หรือ อาการ ดังน้ี ไข้ ปวดขอ้ ตาแดง หรือ สารคัดหล่ังในร่างกาย โดยวิธี PCR กรณีทารกท่ีมี ข. ไข้ และมีอาการอย่างน้อย 2 ใน 3 ศีรษะเล็กผิดปกติ ต้องตรวจพบภูมิคุ้มกันที่จาเพาะ ต่อเช้ือไวรัสซิกา (ZIKV IgM) หรือมี seroconversion อาการ ดงั นี้ ปวดศรี ษะ ปวดขอ้ ตาแดง หรอื ของ zika virus IgG ค. มีผื่น ท่ีอาศัยอยู่หรือมีประวัติเดิน ผู้ท่ีติดเช้ือไม่แสดงอาการ (Asymptomatic ทางเข้าไปในพ้ืนท่ีอาเภอวังเหนือ จังหวัดลาปาง และ infection) หมายถึง ผู้สัมผัสหรือหญิงตั้งครรภ์ท่ีไม่ ยังอยู่ในระยะเวลาควบคุมโรค (28 วัน นับจากวันท่ี แสดงอาการป่วย หรือแสดงอาการเล็กน้อยแต่ยังไม่ พบผู้ป่วยยนื ยนั รายสดุ ท้าย) ครบตามเกณฑ์นิยามของผู้ป่วยยืนยัน และมีผลตรวจ ทางห้องปฏิบัติการยืนยันพบสารพันธุกรรมของเชื้อ 2.2 ผู้ท่มี ีอายนุ ้อยกว่า 15 ปี ก. ผู้ป่วยรายเดียวที่พบท้ัง 3 อาการ ได้แก่ ไข้ ผื่น และตาแดง หรือ 60 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปที ี่ 16 ฉบับที่ 1
The Investigation and Disease Control of Zika outbreak in Wangnuea District, Lampang Province, 2018 ไวรัสซิกาในเลือด หรือปัสสาวะ หรือสารคัดหล่ังใน ผลการศึกษา รา่ งกาย โดยวธิ ี PCR 1. ข้อมูลทว่ั ไปอาเภอวงั เหนือ จงั หวดั ลาปาง การศึกษาทางห้องปฏิบัติการ (Laboratory อาเภอวังเหนือ จังหวัดลาปาง อยู่ห่างจากตัว study) จังหวัดลาปางประมาณ 108 กิโลเมตร โดยอยู่ 1. เก็บตัวอย่างเลือดและ/หรือปัสสาวะสง่ ตรวจหา เหนือสุดของจังหวัดลาปาง ทิศเหนือติดต่อกับอาเภอ สารพันธุกรรมไวรัสซิกา ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ พาน จังหวัดเชียงราย ทิศตะวันออกติดต่อกับอาเภอ ท่ี 1 เชียงใหม่ ส่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยวิธี แม่ใจและอาเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา ทิศใต้ RT- PCR ติดต่อกับอาเภองาว อาเภอแจ้ห่ม และอาเภอเมือง 2. เก็บตัวอย่างยุงและลูกน้าในพ้ืนท่ีตาบลทุ่งฮั้ว ปาน ทศิ ตะวนั ตกติดต่อกับอาเภอเวียงป่าเป้า จังหวัด อาเภอวังเหนือ จังหวัดลาปาง ส่งตรวจหาสาร เชยี งราย สภาพภมู ิประเทศสว่ นใหญเ่ ป็นทร่ี าบเชิงเขา พันธุกรรมของไวรัสซิกา ดาเนินการโดยหน่วยกีฏวิทยา สภาพดินปนทราย ประชาชนส่วนใหญป่ ระกอบอาชีพ ภาควิชาปรสิตวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ เกษตรกรรมเป็นหลัก กลุ่มวัยแรงงานส่วนใหญ่ มหาวทิ ยาลัย ออกไปทางานรับจ้างนอกพ้ืนท่ี การคมนาคมสะดวก การศึกษาด้านส่ิงแวดล้อม (Environmental มถี นนสายลาปาง วังเหนอื ผ่านสามารถเดนิ ทางต่อไป study) ศึกษาส่ิงแวดล้อมที่เอื้อต่อการเกิดโรค ได้แก่ ยังจังหวัดเชียงรายและจังหวัดพะเยาได้ มีรถโดยสาร การสารวจแหล่งเพาะพนั ธย์ุ ุงที่เป็นพาหะนาโรค ประจาทางให้บริการ ลักษณะการปกครองมี 8 ตาบล 90 หมู่บ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 9 แห่ง เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการศกึ ษา โรงพยาบาลขนาด 30 เตียง 1 แห่ง โรงพยาบาล 1. แบบบันทึกประวตั กิ ารรกั ษาผ้ปู ว่ ยนอก ส่งเสริมสุขภาพตาบล 10 แห่ง หลังคาเรือน 13,878 2. แบบสอบสวนผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค หลัง ประชากรจานวน 44,267 คน ประชากรชาย ติดเช้ือไวรัสซิกา ของสานักระบาดวิทยา กรมควบคุม 22,363 คน และประชากรหญงิ 21,907 คน โรค กระทรวงสาธารณสขุ 3. แบบสารวจแหล่งเพาะพันธ์ุลูกน้ายุงในบ้าน 2. ทบทวนขอ้ มูลผู้ป่วยยืนยันตามแบบสอบสวน และชมุ ชน โรคตดิ เช้อื ไวรสั ซิกา การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ในพ้ืนท่ีอาเภอวังเหนือ จังหวัดลาปาง พบผู้ป่วย เข้าเกณฑ์การสอบสวนโรค (Patients under การเก็บรวบรวมข้อมูลและตรวจสอบความ investigation: PUI) ทั้งสิ้น 84 ราย มีอาการและ ครบถ้วนถูกต้องของข้อมูล โดยวิธีรวบรวมข้อมูล อาการแสดงที่พบสูงสุด ได้แก่ ผ่ืน ร้อยละ 92.9 ไข้ ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลวังเหนือ และ ร้อยละ 54.8 ปวดข้อ ร้อยละ 39.3 ปวดศีรษะ ร้อยละ 33.3 และตาแดง ร้อยละ 28.6 ตามลาดับ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล ในพ้ืนที่อาเภอ 3. การคน้ หาผูป้ ว่ ย วังเหนือ ระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม ถึงวันที่ 17 3.1 การคน้ หาผปู้ ่วยเชิงรุก กรกฎาคม 2561 จากรหัส ICD10 คือ B05 Measles, ค้ น ห า ผู้ ป่ ว ย เ ชิ ง รุ ก เ พิ่ ม เ ติ ม จ า ก ก า ร B06 Rubella, B09 Viral exanthema, U06.9 Zika สมั ภาษณต์ ามเกณฑ์ PUI ทั้งหมู่บ้าน โรงเรียน หรือท่ี และ R21 Maculopapular rash ทางานเดียวกัน หรือทากิจกรรมในสถานท่ีเดียวกัน วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ และสถานท่ีเส่ียงต่อการติดต่อและแพร่กระจายเช้ือ จานวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ในอาเภอวังเหนือ ในช่วง 1 เดือน ก่อนวันเริ่มป่วย และอัตราส่วน ของผู้ป่วยยืนยันรายแรก พบผู้ป่วยท่ีเข้าเกณฑ์ สอบสวนโรค จานวน 84 ราย โดยผู้ป่วยรายแรก Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 61
การสอบสวนและควบคมุ โรคตดิ เชอื้ ไวรสั ซกิ า อาเภอวงั เหนือ จงั หวดั ลาปาง ปี 2561 (Index case) เป็นเพศหญิง อายุ 43 ปี บ้านเลขท่ี 17 ร้อยละ 51.2 รองลงมาคือ นักเรียน ร้อยละ 33.3 หมู่ที่ 1 ตาบลทุ่งฮ้ัว อาเภอวังเหนือ จังหวัดลาปาง และเด็กในปกครอง ร้อยละ 7.1 ด้านสถานที่ พบว่า เร่ิมป่วยวนั ที่ 26 พฤษภาคม 2561 เขา้ รับการรักษาที่ ผู้ป่วยสูงสุดในพื้นที่ตาบลทุ่งฮั้ว จานวน 72 ราย คิด โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลทุ่งฮั้ว อาเภอ เป็นอัตราป่วย 1,309.6 ต่อแสนประชากร รองลงมา วังเหนือ จังหวัดลาปาง ด้วยอาการมี ผื่นคัน ต่อมา คือ ตาบลวังซ้าย จานวน 3 ราย คิดเป็นอัตราป่วย จึงเข้ารับการรักษาท่ีโรงพยาบาลวังเหนือ จังหวัด 57.7 ต่อแสนประชากร และ ตาบลวังเหนือพบ ลาปาง ในวนั ท่ี 28 พฤษภาคม 2561 ด้วยอาการผื่น จานวน 4 ราย อัตราป่วย 55.4 ต่อแสนประชากร ไข้ ตาแดง ถ่ายเหลว ร่วมกับอาการไอ แพทย์สงสัย ตามลาดบั ในพ้ืนท่ตี าบลทงุ่ ฮัว้ ซง่ึ เป็นพื้นท่ีที่พบผู้ป่วย โรคหัด จึงได้เก็บตัวอย่างเลือดและปัสสาวะส่งตรวจ จานวนมากที่สุด พจิ ารณารายหมบู่ า้ นที่พบผู้ป่วยมาก พบสารพันธุกรรมไวรัสซิกา จากการสอบสวนโรค ท่สี ุด คือ หม่ทู ี่ 1 จานวน 48 ราย อัตราป่วย 9,393.4 ผู้ป่วยไม่ได้เดินทางไปในพ้ืนที่เสี่ยง อาศัยอยู่ในพ้ืนที่ ต่อแสนประชากร รองลงมาหมู่ที่ 7 พบผู้ป่วยจานวน สันนิษฐานว่าน่าจะมีการติดเช้ือภายในชุมชน ซึ่งจาก 11 ราย อัตราป่วย 1,320.5 ต่อแสนประชากร และ การสัมภาษณ์พบว่า มีผู้อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน หมู่ท่ี 11 พบผู้ป่วย จานวน 4 ราย อัตราป่วย ป่วย (First case) เป็นเพศหญิง อายุ 37 ปี เข้ารับ 1,072.4 ต่อแสนประชากร จากเส้นโค้งการระบาด การรักษาท่ีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลทุ่งฮ้ัว โรคติดเช้ือไวรัสซิกา (รูปที่ 1) พบว่า เร่ิมพบผู้ป่วย อาเภอวังเหนือ จังหวัดลาปาง เม่ือวันท่ี 18 เมษายน รายแรกช่วงกลางเดือนเมษายน 2561 ต่อมาเร่ิมมี 2561 ด้วยอาการผ่นื ร่วมกับไอ และมีประวัติเดินทาง ผู้ป่วยมากข้นึ โดยพบการระบาดสูงในช่วงกลางเดือน ไปอาศัยอยู่ที่อาเภอแกลง จังหวัดระยอง ระหว่าง พฤษภาคมถึงต้นมถิ นุ ายน 2561 และมแี นวโน้มลดลง วันที่ 5 - 16 เมษายน 2561 จากการสอบถามพบว่า ในเดือนมิถุนายน 2561 พนื้ ท่ดี งั กล่าวพบผู้ท่มี ีอาการไข้ออกผนื่ เม่ือเปรียบเทียบกับโรคไข้เลือดออกในช่วงเวลา 3.2 การคน้ หาผ้ปู ่วยเชิงรบั เดียวกนั พบว่า อัตราปว่ ยด้วยโรคไข้เลือดออก อาเภอ ประชากรกลุ่มเสี่ยง 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผู้ป่วยหญิง วังเหนือ จังหวัดลาปาง ระหว่างวันที่ 18 เมษายน – ตั้งครรภ์ 2) ผู้ป่วยทั่วไป 3) ทารกท่ีมีศีรษะเล็ก และ 17 กรกฎาคม 2561 พบจานวน 6 ราย โดยพบมาก 4) ผู้ป่วยกลุ่มอาการกิลแลง- บาร์เร และผู้ป่วยโรค ท่ีสุดคือตาบลวังเหนือ จานวน 4 ราย คิดเป็นอัตรา ทางระบบประสาทอักเสบอ่ืนๆ ภายหลังการติดเชื้อ ป่วย 55.4 ต่อแสนประชากร รองลงมาคือ ตาบล จากการเฝ้าระวังตั้งแต่วันท่ี 28 พฤษภาคม - 17 วงั ทอง พบจานวน 1 ราย คดิ เป็นอัตราป่วย 18.9 ต่อ กรกฎาคม 2561 ไม่พบผู้ป่วยทเ่ี ข้าเกณฑส์ อบสวนโรค แสนประชากร และตาบลรอ่ งเคาะ พบจานวน 1 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 9.8 ต่อแสนประชากร ซึ่งการ 3.3 วิเคราะหข์ ้อมูลตามบุคคล เวลา สถานที่ ระบาดไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน อาจเป็นผล จากการค้นหาผู้ป่วยเพ่ิมเติม พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์ มาจากโรคไข้เลือดออกมีอาการท่ีเด่นชัด และตรวจ PUI ท้ังส้ิน 84 ราย อัตราเพศชาย:เพศหญิง 1:1.3 วินิจฉัยได้ง่ายกว่า เม่ือพบโรคจึงสามารถควบคุมได้ อายุเฉลี่ย 30.9 ปี (S.D.=20.38) กลุ่มอายุ 11-20 ปี ทันท่วงที แต่โรคติดเชื้อไวรัสซิกาในอาเภอวังเหนือ เป็นกลมุ่ ที่เป็นผปู้ ว่ ยมากท่สี ุดจานวน 23 ราย คิดเป็น มอี าการสาคัญคือ ผื่น จงึ ทาใหว้ นิ จิ ฉัยโรคได้ช้าจึงเกิด ร้อยละ 27.4 รองลงมาคือกลุ่มอายุ 0-10 ปี พบ การระบาดมากกวา่ จานวน 14 ราย คิดเป็นร้อยละ 16.7 และกลุ่มอายุ 51-60 ปี พบจานวน 13 ราย ร้อยละ 15.48 มีอาชีพ 62 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปีท่ี 16 ฉบับที่ 1
The Investigation and Disease Control of Zika outbreak in Wangnuea District, Lampang Province, 2018 รปู ที่ 1 แสดงจานวนผูป้ ว่ ยโรคตดิ เชอื้ ไวรสั ซกิ าจาแนกตามวนั เรมิ่ ป่วย ตัง้ แตว่ นั ท่ี 18 เมษายน -17 กรกฎาคม 2561 (n=84) ผลการศึกษาทางห้องปฏิบัติการ (Laboratory ครัง้ ท่ี 2 และ 3 พบว่า ไม่พบสารพันธุกรรมไวรัสซิกา study) และเด็กท่ีคลอดไมม่ ีอาการผดิ ปกตใิ ดๆ ตามตารางท่ี 1 ผ ล ก า ร ต ร ว จ ท า ง ห้ อ ง ป ฏิ บั ติ ก า ร จ า ก ศู น ย์ หลังจากการดาเนินการควบคุมโรค ได้มีการเก็บ วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1 เชียงใหม่ และศูนย์ ตัวอย่างยงุ และลกู น้ายุงส่งตรวจหาสารพันธุกรรมของ โรคติดต่ออุบัติใหม่ สภากาชาดไทย TRC-EID โดยวิธี ไวรัสซิกาท่ีหน่วยกีฏวิทยาทางการแพทย์ ภาควิชา Real time RT-CPR กลุ่มผู้ป่วยสงสัย (PUI) พบสาร ปรสิตวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ พันธุกรรมไวรัสซิกา จานวน 22 ราย คิดเป็นร้อยละ มหาวิทยาลัย จานวน 55 ตัวอย่าง ผลไม่พบสาร 57.9 หญงิ มีครรภ์พบ 1 ราย คิดเป็นร้อยละ 7.7 โดย พนั ธกุ รรมของไวรัสซิกา ตามตารางที่ 2 หญิงมีครรภ์ได้รับการตรวจสารพันธุกรรมไวรัสซิกา ตารางที่ 1 ผลการตรวจทางห้องปฏบิ ัติการของผ้ปู ่วยตดิ เชื้อไวรสั ซกิ า อาเภอวงั เหนือ จังหวัดลาปาง ระหวา่ ง วันที่ 18 เมษายน – 17 กรกฎาคม 2561 กลุ่มเปา้ หมาย จานวนทีส่ ง่ ตรวจ ผลการตรวจสารพันธกุ รรมไวรัสซกิ า ผปู้ ่วยสงสัย (PUI) 38 พบ ไมพ่ บ หญิงมีครรภ์ 13 รวม 51 จานวน ร้อยละ จานวน รอ้ ยละ 22 57.9 16 42.1 1 7.7 12 92.3 23 41.2 28 58.8 Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 63
การสอบสวนและควบคมุ โรคตดิ เชอื้ ไวรสั ซกิ า อาเภอวงั เหนือ จงั หวดั ลาปาง ปี 2561 ตารางที่ 2 ผลการเกบ็ ตัวอยา่ งยุงและลูกนา้ สง่ ตรวจหาสารพนั ธกุ รรมของไวรัสซิกา ในพ้ืนที่อาเภอวงั เหนอื จงั หวัดลาปาง (N=55) ผลการตรวจ ชนดิ ยุงท่ีตรวจพบ จานวนตัวอยา่ ง Hemi-nested PCR for Multiplex real-time Culex spp. 44 Zika Virus RT-PCR for Dengue Virus Anopheles spp. 9 1 พบ ไมพ่ บ พบ ไมพ่ บ Armigeres 1 Aedes aegypti 0 44 0 44 090 9 010 1 010 1 ผลการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental ความเห็นชอบ ให้คาแนะนา แก้ไขปัญหาประจาวัน study) ในแต่ละกลุ่มภารกิจ ประสานผู้บริหารในระดับท่ี ตาบลทุ่งฮ้ัวพ้ืนท่ีสีแดง ที่มีค่า HI, CI เป็น 0 ภายใน สูงกว่า หรือผู้บริหารต่างหน่วยงานรายงานผลการ day 7 ได้แก่ หมู่ 1, หมู่ 7 และ หมู่ 12 พ้ืนท่ีสีเหลือง ดาเนินงานต่อผู้บังคับบัญชา มีฝ่ายวิชาการสนับสนุน มีค่า HI, CI เป็น 0 ภายใน day 14 ทุกหมู่บ้าน ส่วน ได้แก่ สานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค สานักงาน พื้นท่ีสีแดงหมู่ 2 และหมู่ 11 ค่า HI, CI ไม่เป็น 0 ป้องกันควบคุมโรคท่ี 1 เชียงใหม่ ศูนย์ควบคุม ภายใน day 7 จึงต้องเริ่มดาเนินการนับ day 0 ใหม่ โรคติดต่อที่นาโดยแมลงท่ี 10.2 ลาปาง โดย และติดตามการดาเนนิ งานจนมีค่า HI, CI เปน็ 0 ดาเนินการประชุมเตรียมการ การลงปฏิบัติงานใน ในส่วนของตาบลอื่นๆ ที่เป็นพ้ืนที่สีเขียว จะต้อง พืน้ ที่ และการสรุปรายงานประจาวัน ดาเนินการสารวจลูกนา้ ยงุ ให้คา่ HI, CI เป็น 0 ภายใน มาตรการการปอ้ งกันควบคมุ โรค day 28 โดยพ้นื ท่ีส่วนใหญ่พบค่า HI, CI น้อยกว่า 10 1. การเปิดศนู ย์ปฏิบัติการตอบโตภ้ าวะฉุกเฉินทาง ในการดาเนนิ การรอบแรก ยกเว้นพื้นที่ตาบลวังเหนือ สาธารณสุข (Emergency Operation Center: ท่ีมีคา่ HI, CI ค่อนข้างสูง ตามรูปท่ี 2 EOC) โดยมีนายอาเภอเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ การมีสว่ นร่วมของภาคีเครือขา่ ย และปลัดอาเภอ หัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครอง การดาเนนิ งานควบคมุ โรคติดเชอ้ื ไวรสั ซิกา อาเภอ เปน็ รองผู้บัญชาการเหตุการณ์ โดยร่วมดาเนินการกับ วังเหนือ จังหวัดลาปาง ระหว่างวันท่ี 28 พฤษภาคม ฝ่ายเจา้ หน้าทสี่ าธารณสุข พร้อมได้เชิญตัวแทนกานัน – 17 กรกฎาคม 2561 มีภาคีเครือข่ายท่ีเข้าร่วมโดย ผู้ใหญ่บ้าน ตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การนาของนายอาเภอวังเหนือ หน่วยงานราชการท่ี ตัวแทนสถานศึกษา ตัวแทนอาสาสมัครสาธารณสุข เกี่ยวข้อง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง ประจาหมู่บ้าน เข้าร่วมเป็นคณะทางาน และมี รัฐวิสาหกิจในพ้ืนท่ี กานัน/ผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้าน คณะทางานติดตามผลการดาเนินการกาจัดแหล่ง พระสงฆ์ อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน เพาะพันธุ์ยุง โดยมีปลัดอาเภอประจาตาบลทุกตาบล ภาคประชาชน โดยนายอาเภอวังเหนือเป็นผู้ เป็นหัวหน้าคณะทางานและมีกานัน ผู้ใหญ่บ้าน บัญชาการเหตุการณ์ ปลัดอาเภอหัวหน้ากลุ่มงาน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ปกครองเป็นรองผู้บัญชาการเหตุการณ์ โดย อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน และเจ้าหน้าท่ี ดาเนินการจัดประชุมประจาวันของศูนย์ปฏิบัติการฯ สาธารณสขุ ผู้รับผิดชอบหมู่บา้ นเป็นคณะทางาน เวลาประมาณ 16.00 น. ตดิ ตามผลการดาเนินงานให้ 64 วารสารสาธารณสขุ ล้านนา ปีท่ี 16 ฉบับที่ 1
The Investigation and Disease Control of Zika outbreak in Wangnuea District, Lampang Province, 2018 2. การให้ความรู้แก่ประชาชนในพ้ืนที่เก่ียวกับ ท้ังพ้ืนท่ีสีเหลืองและพ้ืนที่สีแดงให้ดาเนินการ โรคติดเช้ือไวรัสซิกา ได้แก่ สถานการณ์โรค สาเหตุ สอบสวน และควบคมุ โรค ดงั ตอ่ ไปน้ี อาการ การปอ้ งกนั และควบคมุ โรค ก. ค้นหาผู้ป่วยเข้าเกณฑ์การสอบสวนโรค 3. การกาหนดพ้ืนท่ี (Zoning) ดังนี้ (Patients under investigation: PUI) และหญิงมี 3.1 พน้ื ที่สเี ขยี ว หมายถึง พื้นท่ีเฝ้าระวัง ได้แก่ ครรภ์เชิงรกุ หมู่บ้านท่ีไม่พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์การสอบสวนโรค ข. พ่นสารเคมีกาจัดยุงตัวแก่วันที่ 0, 3, 7, 14 (Patients under investigation: PUI) และอยู่ใน หลังจากวันท่พี บผปู้ ว่ ย ตาบลท่ีไม่มี หรอื มีผู้ป่วยเขา้ เกณฑส์ อบสวนโรค (PUI) แต่ไม่มีผู้ป่วยยืนยันการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบ ค. สารวจและกาจัดลูกน้ายุงในวันท่ี 0, 3, 7, 14, ส า ร พั น ธุ ก ร ร ม ข อ ง เ ชื้ อ ไ ว รั ส ซิ ก า ใ ห้ ด า เ นิ น ก า ร 21, 28 หลังจากวนั ท่พี บผู้ป่วย หมู่บ้านเป้าหมายต้อง สอบสวนการสอบสวน และควบคุมโรค ดงั ต่อไปนี้ มีค่าดัชนีลูกน้ายุงลาย (House Index: HI) เท่ากับ 0 ภายใน 7 วนั ตามตารางที่ 3 3.1.1 คน้ หาผปู้ ว่ ยเข้าเกณฑ์การสอบสวน โรค (Patients under investigation: PUI) และ ง. ควบคมุ พาหะเข้มข้นพื้นที่รอยต่อ หรือพ้ืนที่ หญงิ มีครรภ์เชิงรกุ เดินทางไปมา 3.1.2 ทาลายแหล่งเพาะพันธ์ุยุง และ จ. ระดมทรัพยากรจากภายนอกมาช่วย สารวจลกู น้ายงุ ทกุ 7 วนั โดยต้องมีค่าดัชนีลูกน้ายุงลาย สนบั สนนุ หรอื ใช้ทรัพยากรจากภายในพื้นท่ี (House Index: HI) น้อยกว่าร้อยละ 5.0 ภายใน 14 วัน 4. นโยบายปอ้ งกันควบคุมโรคในพนื้ ที่ 4.1 ระบบบัญชาการเหตุการณ์ตอบโต้ภาวะ 3.2 พื้นท่ีสีเหลือง หมายถึง พื้นที่เสี่ยง ได้แก่ หมู่บ้านที่ไม่พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์การสอบสวนโรค ฉุกเ ฉิน แล ะภั ยพิ บัติ ทาง ด้า นก าร แพ ทย์ แล ะ (Patients under investigation: PUI) และอยู่ใน สาธารณสุข ควรเป็นระบบย่อยเฉพาะเหตุการณ์น้ันๆ ตาบลท่ีพบผู้ป่วยยืนยันการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ลดระยะเวลา ลดแบบฟอร์มเอกสาร และเพ่ือท่ีจะได้ พบสารพันธุกรรมของเช้ือไวรัสซิกา ให้ดาเนินการ ประสานงานกับองค์กร หรือหน่วยงานอื่นได้รวดเร็ว สอบสวน และควบคุมโรค นาไปสกู่ ารปฏบิ ัติได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ 3.3 พื้นทสี่ แี ดง หมายถงึ พน้ื ทีเ่ กิดโรค ได้แก่ 4.2 การบัญชาการเหตุการณ์ภาวะฉุกเฉิน หมบู่ ้านท่ีพบผปู้ ่วยยืนยนั การตรวจทางห้องปฏบิ ัติการ ภัยพิบัติด้านการแพทย์และสาธารณสุขในภาวะ พบสารพนั ธกุ รรมของเช้ือไวรสั ซกิ า และพบผ้ปู ่วยท่ีมี ฉกุ เฉนิ ควรเปน็ ผู้บงั คบั บัญชาสงู สุดในพ้ืนท่นี ้ันๆ อาการเขา้ เกณฑ์การสอบสวนโรค (Patients under investigation: PUI) และอยู่ระหว่างรอผลการตรวจ 4.3 มีการวางแผน และซ้อมแผนเหตุการณ์ ทางหอ้ งปฏบิ ตั ิการ ภาวะฉุกเฉินภัยพิบัติด้านการแพทย์และสาธารณสุข ในภาวะฉุกเฉินอย่างสมา่ เสมอ ตารางที่ 3 เปา้ หมายค่าดชั นีลกู น้ายุงลาย (HI) ตามมาตรการควบคุมโรคติดเช้ือไวรสั ซกิ า อาเภอวงั เหนอื จงั หวัดลาปาง สพี ้ืนท่ี การกาหนดพ้นื ท่ี เปา้ หมาย สีเขยี ว พ้ืนที่เฝ้าระวงั ค่า HI<5% ภายใน 14 วนั สีเหลือง พนื้ ท่เี สย่ี ง คา่ HI=0 ภายใน 7 วัน สแี ดง พืน้ ท่ีเกิดโรค คา่ HI=0 ภายใน 7 วนั Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 65
รูปท่ี 2 แสดงคา่ รอ้ ยละ HI รายตาบล ในอาเภอว 100 66 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปีท่ี 16 ฉบบั ท่ี 1 90 80 70 60 50 40 30 20 10 0 HI >10 วงั เหนือ 1406 วงั เหนือ 2106 HI 5-10 วงั เหนือ 2806 วงั เหนือ 0507 วงั เหนือ 1207 วงั เหนือ 1907 วงั แกว้ 1406 วงั แกว้ 2106 วงั แกว้ 2806 วงั แกว้ 0507 วงั แกว้ 1207 วงั แกว้ 1907 ท่งุ ฮวั้ 1406 ท่งุ ฮวั้ 2106 ทงุ่ ฮวั้ 2806 ทงุ่ ฮวั้ 0507 ทงุ่ ฮวั้ 1207 ท่งุ ฮวั้ 1207 วงั ซา้ ย 1406 วงั ซา้ ย 2106 วงั ซา้ ย 2806 วงั ซา้ ย 0507 วงั ซา้ ย 1207
วงั เหนือ (เลข 4 หลกั แทนวันท่แี ละเดือนทส่ี ารวจ) HI < 5 วงั ซา้ ย 1207 วงั ทอง 1406 HI = 0 วงั ทอง 2106 วงั ทอง 2806 วงั ทอง 0507 การสอบสวนและควบคมุ โรคตดิ เชอื้ ไวรสั ซกิ า วงั ทอง 1207 อาเภอวงั เหนือ จงั หวดั ลาปาง ปี 2561 วงั ทอง 1207 วงั ใต้ 1406 วงั ใต้ 2106 วงั ใต้ 2806 วงั ใต้ 0507 วงั ใต้ 1207 วงั ใต้ 1207 วงั ทรายคา 1406 วงั ทรายคา 2106 วงั ทรายคา 2806 วงั ทรายคา 0507 วงั ทรายคา 1207 วงั ทรายคา 1207 รอ่ งเคาะ 1406 รอ่ งเคาะ 2106 รอ่ งเคาะ 2806 รอ่ งเคาะ 0507 รอ่ งเคาะ 1207 รอ่ งเคาะ 1207
The Investigation and Disease Control of Zika outbreak in Wangnuea District, Lampang Province, 2018 5. ดา้ นภารกิจหน่วยบริการสาธารณสขุ ช่วงเดือนพฤษภาคม ถึงมิถุนายน 2561 จากผล 5.1 ทบทวนองค์ความรู้เก่ียวกับโรคอุบัติใหม่ การศึกษาพบว่าปัจจัยที่ทาให้เกิดการระบาดในคร้ังน้ี อุบัติซ้าท่ีพบแก่บุคลากรสาธารณสุขอย่างสม่าเสมอ คือ การท่ีเป็นโรคที่มีอาการท่ัวไปไม่รุนแรงหายได้เอง เพื่อเฝ้าระวังตรวจจับโรคและภัยไดเ้ ร็วขนึ้ ส่ง ผ ลให้ ไม่ส ามา รถต รว จ จับ การ ร ะบ า ดใน พ้ืน ท่ี ได้ 5.2 การส่ือสารความเส่ียงและการเฝ้าระวัง ปัจจัยสาคัญอีกประการหน่ึงคือ สภาพแวดล้อม และ โดยประชาสัมพันธ์ให้คาแนะนาข้อมูลข่าวสารเร่ือง ฤดูกาล เอ้ือต่อการให้พาหะนาโรคแพร่เชื้อได้อย่าง โรคติดเชื้อไวรัสซิกาแก่หญิงต้ังครรภ์และหญิง รวดเร็ว จากข้อมูลการพบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์การ วัยเจรญิ พันธุ์รวมทั้งประชาชนทวั่ ไป สอบสวนแปรผันตรงกับดชั นลี กู นา้ ยงุ ลาย 6. ด้านภารกิจภาคเี ครอื ขา่ ย 6.1 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เตรียมทีม อภปิ รายผล ควบคมุ พาหะนาโรค และอบรมพัฒนาทีมพ่นสารเคมี โรคติดเช้ือไวรัสซิกาเป็นโรคไม่เคยพบการเกิดโรค เพื่อควบคุมยุง ในพื้นท่ีอาเภอวังเหนือ ส่งผลให้การตรวจจับการ 6.2 ฝ่ายปกครอง ประชาสัมพันธ์ส่ือสารความ ระบาด การดาเนินงานเฝ้าระวังป้องกันและควบคุม เส่ียงในการกาจัดและทาลายแหล่งเพาะพันธ์ุยุงอย่าง โรคของทีมควบคุมโรคล่าช้าถึง 1 เดือนครึ่ง จากผล ต่อเนอ่ื ง การศึกษาพบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดการระบาด 6.3 อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน โรคติดเช้ือไวรัสซิกาในคร้ังน้ีคือ พบผู้ป่วยรายแรก (อสม.) ตรวจเฝา้ ระวงั และกาจัดลกู น้ายงุ ลายในชุมชน และการควบคมุ ป้องกันโรคล่าช้า ไม่สามารถตรวจจับ ทกุ ๆ 7 วนั การระบาดในพนื้ ท่ไี ด้ในระยะแรก (ธานี โชติกคาม และ 7. ระบบการตดิ ตามหญงิ ตงั้ ครรภ์ คณะ, 2562) และเปน็ ช่วงเข้าส่ฤู ดูฝน ประชาชนส่วน 7.1 คลินิกฝากครรภ์ (ANC) จัดทาทะเบียน ใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม ขาดการสารวจและทาลาย หญิงมีครรภ์ ให้ความรู้เรื่องโรคติดเช้ือไวรัสซิกา แหล่งเพาะพันธ์ยุงลายในบ้านและบริเวณบ้าน ทาให้ ป้องกันตนเองไม่ให้ยุงกัด การกาจัดและทาลายแหล่ง มีสภาพแวดล้อมท่ีเอ้ือต่อการให้พาหะนาโรคแพร่เช้ือ เพาะพันธ์ุยุง การป้องกันตนเองไม่ให้ยุงกัด ประสาน ไวรัสซิกาได้อย่างรวดเร็ว จากข้อมูลการพบผู้ป่วย แจ้งเจ้าหน้าท่ีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลและ เข้าเกณฑ์การสอบสวนแปรผันตรงกับดัชนีลูกน้า อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.) ยงุ ลาย ติดตามให้ความร้แู ละเฝา้ ระวัง อาการแสดงของผู้ติดเชื้อไวรัสซิกา ส่วนใหญ่ 7.2 กรณีหญิงมีครรภ์ได้รับเชื้อไวรัสซิกา ไม่รุนแรงและหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ (กรม คลินิกฝากครรภ์ (ANC) ให้คาปรึกษาด้านจิตใจ ควบคุมโรค, 2559) จึงทาให้ประชาชนในพ้ืนที่ไม่ได้ จัดระบบการติดตามด้วย applications เพื่อสื่อสาร ตื่นกลัวและไม่มารับการรักษา โดยส่วนใหญ่จะซ้ือยา ให้หญิงมีครรภ์ รวมถึงสมาชิกในครอบครัวพบแพทย์ มารับประทานเองและแบ่งปันกันในหมู่บ้าน ในบาง ตามกาหนด พร้อมนี้ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล รายหายไดเ้ องจงึ ไมไ่ ดเ้ ข้าสู่ระบบการรกั ษา ส่งเสริมสุขภาพตาบลและอาสาสมัครสาธารณสุข Index case คาดว่ามีการติดเช้ือในพ้ืนที่ เพราะ ประจาหม่บู า้ น (อสม.) ในพน้ื ท่ีเพอื่ ตดิ ตามเยยี่ มบ้าน อาศัยอยู่ในพื้นท่ีเดียวกับผู้ป่วยรายแรก ท่ีไปอาศัยใน ผลการสอบสวนโรค สรุปได้ดงั นี้ พื้นที่อื่นเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วกลับเข้ามาในพื้นท่ี การระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสซิกาในอาเภอ และป่วย ซึ่งมีความสมั พันธ์กับระยะฟักตัวของโรคติด วังเหนือ จังหวัดลาปาง พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวน เชอื้ ไวรสั ซกิ า ที่มรี ะยะฟกั ตวั เฉล่ยี 4 – 7 วนั โรค จานวน 84 ราย ผู้ป่วยยืนยัน 23 ราย เพศชาย: การดาเนินการควบคุมโรคหลังพบผู้ป่วยราย เพศหญงิ 1:1.3 อายเุ ฉลี่ย 30.9 ปี มีการระบาดสูงสุด สุดท้าย 28 วัน ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ คือวันที่ 17 Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 67
การสอบสวนและควบคมุ โรคตดิ เชอื้ ไวรสั ซกิ า อาเภอวงั เหนือ จงั หวดั ลาปาง ปี 2561 กรกฎาคม 2561 กล่าวได้ว่าพ้ืนที่อาเภอวังเหนือ การป้องกันดแู ลส่ิงแวดลอ้ มในพน้ื ท่ี เน่ืองจากเป็นโรค จังหวัดลาปาง สามารถควบคุมการระบาดของโรคได้ ท่ีมอี าการไมร่ ุนแรง ประชาชนจงึ ไมค่ ่อยไปพบแพทย์ ปัจจัยความสาเร็จคือภาวะผู้นาของผู้บัญชาการ 2. ถอดบทเรียนการดาเนินงานเพ่ือขยายองค์ เหตุการณ์ ในที่นี้คือนายอาเภอวังเหนือ การมีส่วน ความรู้ไปส่บู ุคลากรสาธารณสุขและประชาชน ร่วมของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในพ้ืนที่ สอดคล้อง กับการศึกษาของเกษร แถวโนนง้ิว (2560) ท่ีพบว่า กติ ติกรรมประกาศ การมหี ัวหน้าสว่ นระดบั สงู สุดขององค์กรหรือพ้ืนท่ีเข้า ขอขอบคุณท่านนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด มานาในฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ สามารถที่จะสั่ง ลาปาง นายอาเภอวังเหนือ ปลัดอาเภอวังเหนือ การ ให้คาแนะนา ประสานงานทั้งภายในพื้นที่ และ หัวหน้าส่วนราชการในพ้ืนท่ีอาเภอวังเหนือ องค์กร นอกพ้ืนที่ ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมดาเนินการ ร่วม ปกครองส่วนท้องถ่ินทุกแห่งในพื้นที่อาเภอวังเหนือ แก้ไขปัญหา โดยใช้ทั้งการบังคับบัญชา ในเชิ ง ผู้นาชุมชนในพ้ืนที่อาเภอวังเหนือ ผู้อานวยการ กฎหมาย การประสานงาน การสั่งการร่วมกับภาคี โ รงพยาบา ลชุมช นทุก แห่งในจัง หวัดลาปา ง เครือข่ายผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพ้ืนที่ (หทัยกาญจน์ สาธ า ร ณสุขอา เภ อทุก แห่งใน จังหวัด ลาปา ง บุณยะรัตเวช และคณะ, 2559) ท้ังน้ีต้องอาศัยฝ่าย คณะเจ้าหน้าท่ีสาธารณสุขจังหวัดลาปาง อาจารย์ วิชาการจากสานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค นิภาพรรณ สฤษดิ์อภิรักษ์ และคณะเจ้าหน้าท่ีจาก สานกั งานป้องกันควบคมุ โรคที่ 1 เชยี งใหม่ สานักงาน สานักระบาดวิทยา สานักโรคติดต่อนาโดยแมลง สาธารณสุขจังหวัดลาปาง โรงพยาบาลวังเหนือ และ ศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข สานักงานสาธารณสุขอาเภอ วังเหนือ เพื่อสนับสนุน กรมควบคมุ โรค อาจารยอ์ านวย ทิพศรีราช และคณะ ด้านข้อมูล และด้านวิชาการ เพื่อนาไปวางแผน เจ้าหน้าที่จากกลุ่มระบาดวิทยาและข่าวกรองศูนย์ ดาเนนิ การใหส้ ถานการณ์ลลุ ว่ งไปไดด้ ้วยดี ควบคุมโรคติดต่อนาโดยแมลงท่ี 10.2 ลาปาง ข้อเสนอแนะ สานักงานป้องกันคว บคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่ ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ป ร ะ ส า น ง า น ส า ธ า ร ณ สุ ข อ า เ ภ อ 1. เจ้าหนา้ ที่และประชาชนส่วนใหญ่ไม่รู้จักโรคติด วังเหนือทุกท่าน และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ที่ให้ เชื้อไวรสั ซิกา เพียงแต่ได้ยินชื่อโรค จึงควรเน้นการให้ ความร่วมมือในการสอบสวนและควบคุมโรคติดเช้ือ ความร้แู ละประชาสัมพนั ธเ์ กี่ยวกับโรคติดต่ออุบัติใหม่ ไวรัสซิกา อุบัติซ้าให้กับเจ้าหน้าที่และประชาชนทราบ เพื่อให้ เกิดการตนื่ ตวั ในการเฝ้าระวังและดูแลตนเอง ร่วมกับ เอกสารอา้ งอิง เกษร แถวโนนงิว้ . (2560). การประเมนิ ความพร้อมระบบตอบโต้ภาวะฉุกเฉนิ ทางสาธารณสขุ ในระดับจังหวัด และอาเภอ เขตสุขภาพท่ี 7: กรณีศึกษาการระบาดโรคตดิ เชื้อไวรสั ซิกา ปี 2559. วารสารควบคุมโรค, 43(4), 448-459. กรมควบคุมโรค. (2559). ค่มู ือการป้องกันควบคุมโรคติดเชอ้ื ไวรสั ซกิ าสาหรบั บุคลากรทางการแพทย์และ สาธารณสุข ปี 2559. กรุงเทพฯ: สานกั งานกจิ การโรงพิมพ์ องคก์ ารสงเคราะห์ทหารผ่านศกึ ใน พระบรมราชูปถัมภ์. 68 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปีท่ี 16 ฉบับท่ี 1
The Investigation and Disease Control of Zika outbreak in Wangnuea District, Lampang Province, 2018 ธานี โชติกคาม และคณะ. (2562). การสอบสวนการระบาดโรคตดิ เชื้อไวรสั ซิกา ตาบลวังหลมุ อาเภอตะพานหนิ จงั หวดั พจิ ิตร มถิ นุ ายน 2561. วารสารโรคและภยั สุขภาพ สานกั งานป้องกนั ควบคมุ โรคท่ี 3 จงั หวัด นครสวรรค์, 13(2), 50-62. สถาบนั วจิ ัยวทิ ยาศาสตร์สาธารณสขุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสขุ . (2559). โรคติดเชอ้ื ไวรสั ซกิ า้ . พิมพ์คร้ังท่ี 1. กรุงเทพฯ: บรษิ ทั เท็กซแ์ อนดเ์ จอร์นลั พบั ลิเคชั่น จากดั . สานักระบาดวทิ ยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2561). แนวทางการรายงานโรคตดิ ตอ่ อันตราย และโรคตดิ ต่อท่ีต้องเฝา้ ระวงั ตามพระราชบัญญัตโิ รคติดต่อ พ.ศ. 2558. พิมพ์คร้ังท่ี 1. กรุงเทพฯ: สานกั ระบาดวทิ ยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. หทัยกาญจน์ บณุ ยะรตั เวช นนั ทวัน คานึงกจิ นภิ า ปานเสนห่ ์ และศริ ิมา ธนานันท์. (2561). การสอบสวน การระบาดของโรคตดิ เช้อื ไวรัสซิกา แขวงยานนาวา เขตสาทร กรงุ เทพมหานคร เดอื นกันยายน 2559. [online] [สบื ค้นเมื่อ 5 ต.ค. 2561]; แหลง่ ข้อมลู : URL: https://wesr.boe.moph.go.th/ Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 69
ปัจจยั ทม่ี ผี ลตอ่ คณุ ภาพชวี ติ ของผปู้ ่ วยประคบั ประคองทม่ี ารบั การรกั ษา ทค่ี ลนิ ิกประคบั ประคอง แผนกผ้ปู ่ วยนอก โรงพยาบาลลาพนู ปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ คุณภาพชวี ติ ของผูป้ ่ วยประคบั ประคองทมี่ ารบั การรกั ษา ทค่ี ลนิ ิกประคบั ประคอง แผนกผู้ป่ วยนอก โรงพยาบาลลาพนู Factors affecting the Quality of Life of the Palliative Care Patient at Palliative Care Clinic, Lamphun Hospital ช่อทิพย์ พรหมมารตั น์ พ.บ.,ว.ว. (เวชศาสตร์ครอบครัว) Chortip Prommarat, M.D., Dip. Thai Board โรงพยาบาลลาพูน Lamphun Hospital (Family Medicine) Received: May 13, 2020 Revised: Jun 11, 2020 Accepted: Jun 22, 2020 บทคดั ยอ่ ปัจจุบันผู้ป่วยประคับประคองมีจานวนเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีความทุกข์ทรมานทั้งด้าน ร่างกายและจิตใจ และมีปัจจัยหลายประการท่ีมีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยประคับประคอง การศึกษาแบบภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์น้ีเป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล และ ปัจจัยระหว่างบุคคล กับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยประคับประคอง ที่มารักษาในคลินิกประคับประคอง โรงพยาบาลลาพูน ช่วงเดือนกันยายน 2562 – มีนาคม 2563 จานวน 79 คน เก็บข้อมูลโดยใช้ แบบสอบถามปัจจัยพื้นฐาน แบบประเมินความรุนแรงของอาการ แบบประเมินอาการวิตกกังวลและ ซึมเศร้า แบบประเมินการรับรู้ภาวะสุขภาพ แบบประเมินพฤติกรรมการดูแลสุขภาพแบบ ประคับประคอง แบบประเมินการได้รับแรงสนับสนุนจากครอบครัว และแบบประเมินผลลัพธ์การดูแล ผู้ป่วยแบบประคับประคองเป็นแบบวัดคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยหาค่า สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการศึกษาพบว่า การมีผู้ดูแลผู้ป่วย ระดับ palliative performance scale ความรุนแรงของอาการ ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า และพฤติกรรมการดูแล สุขภาพแบบประคับประคอง มคี วามสมั พันธก์ บั คณุ ภาพชีวิตของผู้ป่วยประคับประคองอย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติ เม่ือนาตัวแปรมาวิเคราะห์ถอยพหุคูณแบบขั้นตอนพบว่า ความวิตกกังวล ความรุนแรงของ อาการ การมีผู้ดูแล และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพผู้ป่วยประคับประคอง เป็นปัจจัยทานายคุณภาพ ชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ทานายได้ร้อยละ 63 (R2=0.630) โดยความ วิตกกงั วลสามารถทานายคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้สงู ที่สุด คาสาคัญ: คณุ ภาพชีวติ , การดแู ลแบบประคับประคอง, ผูป้ ่วยประคบั ประคอง 70 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปที ่ี 16 ฉบับท่ี 1
Factors affecting the Quality of Life of the Palliative Care Patient at Palliative Care Clinic, Lamphun Hospital ABSTRACT Currently, the number of palliative care patients has increased. In which this group of patients will suffer both physically and mentally. They have complex problems from many factors, patients themselves and their families. This study aimed to determine the factors associated quality of life of palliative care patients. This study was analytical cross-sectional studied in patients who meet palliative care criteria, at Palliative Care Clinic, Lamphun Hospital during September 2019 March 2020. 79 people were collected, interview based on demographic characteristics, severity of symptom, anxiety and depression, health perception, palliative health care behaviors and family support questionnaire, as well as the quality of life questionnaire by Palliative care Outcome Scale for patient. The data were analyzed using Pearson’s correlation coefficient. The results of the study revealed that having caregivers, palliative performance scale, severity of symptom, anxiety, depression and palliative health care behavior were statistically significant relationship between the quality of life of palliative care patients. The Stepwise multiple regression analysis revealed that anxiety, severity of symptoms, having caregivers and palliative health care behavior could predict 63% in quality of life of palliative care patient (R2 = 0.63 p=0.00), with anxiety was highest predict quality of life. Key words: Quality of life, Palliative care, Palliative care patient บทนา จากข้อมูลสานักนโยบายและยุทธศาสตร์กระทรวง สาธารณสุข (สานักนโยบายและยุทธศาสตร์ สานักงาน จากแนวโน้มโครงสร้างประชากรผู้สูงอายุของโลกที่ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข, 2559) พบผู้ป่วยเสียชีวิต เพิ่มขึ้น และจากอุบัติการณ์ของโรคร้ายแรงและโรคที่ ด้วยโรคมะเร็งมากเป็นอันดับ 1 โดยมีแนวโน้มเพิ่ม คุกคามต่อชีวิตที่ไม่สามารถรักษาได้มีจานวนสูงขึ้น สูงขึ้น 8 เท่า จาก 43.8 ต่อแสนประชากร ในปี 2540 ส่งผลให้จานวนผู้ป่วยในระยะท้ายของชีวิตท่ีต้องการ เป็น 98.5 ต่อแสนประชากร ในปี 2555 ผู้ป่วยโรค การดูแลแบบประคับประคองมีจานวนเพ่ิมข้ึน (สุพัตรา หลอดเลือดสมองเพ่ิมจาก 25.3 ต่อแสนประชากร ในปี ศรีวณิชชากร, 2554) ผ้ปู ว่ ยกลมุ่ นจ้ี ะมคี วามทุกข์ทรมาน 2548 เป็น 31.7 ต่อแสนประชากร ในปี 2555 ข้อมูล ท้งั ดา้ นรา่ งกายและจิตใจ มีปัญหาที่ซับซ้อนอันเกิดจาก ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นความต้องการการดูแลแบบ หลากหลายปัจจัยท้ังจากตัวผู้ป่วยเองและครอบครัว ประคับประคองที่เพ่ิมข้ึน เนื่องจากโรคเหล่านี้ไม่ (กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, 2557) จากข้อมูล สามารถรักษาให้หายขาด ดังน้ันจึงมุ่งเน้นการรักษา ขององค์การอนามัยโลกพบว่าในแต่ละปีจะมีผู้ป่วย เพ่ือให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตในช่วงเวลาที่เหลืออยู่อย่าง ระยะท้ายประมาณ 40 ล้านคน ที่ต้องการการดูแล มีคุณภาพท่ีสุด (กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, แบบประคับประคอง โดยเป็นผู้ป่วยโรคหัวใจและ 2557) หลอดเลือดร้อยละ 38.5 โรคมะเร็งร้อยละ 34 โรค ปอดร้อยละ 10.3 ตามลาดับ และในจานวนนี้มีผู้ป่วย ผู้ป่วยประคับประคองโดยเฉพาะผู้ป่วยท่ีเข้าสู่ เพียงร้อยละ 14 เท่านั้นท่ีได้รับการดูแลแบบ ระยะท้ายจะมีคุณภาพชีวิตท่ีลดลง จากการลุกลาม ประคับประคอง (World Health Organization, 2019) Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 71
ปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ คุณภาพชวี ติ ของผปู้ ่ วยประคบั ประคองทม่ี ารบั การรกั ษา ทคี่ ลนิ กิ ประคบั ประคอง แผนกผูป้ ่ วยนอก โรงพยาบาลลาพนู ของโรค ตลอดจนมีความทุกข์ทรมานจากอาการ สติสัมปชัญญะลดลง หรือมีอาการเหน่ือยหอบมาก รบกวนต่างๆ เช่น อาการปวด อาการหอบเหนื่อย และผูป้ ่วยท่ไี ม่สามารถพูดหรือสอื่ สารได้ เป็นต้น ทาให้ผู้ป่วยมีความสามารถในการทาหน้าท่ี กลุ่มตัวอย่างคานวณโดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูป ลดลง (กิตตกิ ร นิลมานัต, 2555) เกิดความทุกข์ทรมาน G*Power 3.1 วิเคราะห์อานาจการทดสอบ (Power ทั้งต่อร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ นอกจากนี้มี of test) โดยกาหนดระดับความเช่ือมั่นที่ 0.05 การศึกษาในผู้ป่วยมะเร็งปอดพบว่า ผู้ป่วยที่มี อานาจการทานาย (power analysis) 0.80 ค่า คุณภาพชีวิตน้อยกว่าร้อยละ 70 จะมีอัตราการ อิทธิพล (effect size) f2=0.15 โดยมีตัวแปรจานวน เสียชีวิตมากกว่าเม่ือเทียบกับผู้ป่วยมะเร็งปอดที่ 7 ตัว สามารถคานวณขนาดของกลุ่มตัวอย่างได้ 103 คุณภาพชีวิตดีกว่า ดังนั้นการดูแลและส่งเสริมให้ คน ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีคุณภาพชีวิตที่ดีจึงมีความสาคัญเป็น เคร่ืองมือทใี่ ช้ในการศกึ ษา ประกอบดว้ ย อย่างยิ่ง (Movsas et al., 2009) การศึกษาน้ีมี เครื่องมือท่ีใช้ในการศึกษาครั้งนี้สร้างข้ึนจากการ วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ เ พ่ื อ ศึ ก ษ า ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ร ะ ห ว่ า ง ทบทวนเอกสาร และงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ยี วข้อง ดังน้ี ปัจจัยพ้ืนฐาน ความรุนแรงของอาการ สภาวะทาง 1 . แ บ บ ส อ บ ถ า ม เ กี่ ย ว กั บ ปั จ จั ย พ้ื น ฐ า น จิตใจ การรับรู้ภาวะสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ ประกอบด้วย ข้อมูลเก่ียวกับเพศ อายุ สถานภาพสมรส แบบประคับประคอง แรงสนับสนุนจากครอบครัว ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ครัวเรือนต่อเดือน และ และคุณภาพชีวติ ของผู้ปว่ ยประคับประคอง ผูด้ ูแลผู้ป่วย (care giver) และข้อมูลเก่ียวกับการรักษา วธิ ีการศึกษา โดยดูจากบันทึกเวชระเบียนผู้ป่วยประกอบด้วย การ วินิจฉัยโรค palliative performance scale (PPS) เป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวางเชิงวิเคราะห์ ระยะเวลาท่ีเจ็บป่วย การรักษาท่ีได้รับมาก่อนโรค (Cross-sectional analytical study) ศึกษาในช่วง ประจาตัวอื่นๆ จานวนครั้งที่มารับการรักษาท่ี เดือนกันยายน 2562 - มีนาคม 2563 ในคลินิก โรงพยาบาล ประคบั ประคอง แผนกผ้ปู ่วยนอก โรงพยาบาลลาพูน 2. แบบประเมินความรุนแรงของอาการ (The ประชากรที่ศึกษา คือ ผู้ป่วยทั้งเพศชายและ Edmonton Symptom Assessment System) พฒั นา เพศหญิงทีม่ ีอายตุ ้งั แต่ 20 ปขี ้นึ ไป ทีไ่ ด้รับการวินิจฉัย โดย Bruera et al. (1991) และผ่านกระบวนการแปล จากแพทย์ว่าเข้าเกณฑ์การดูแลแบบประคับประคอง เปน็ ภาษาไทยโดย Chinda et al. (2011) แบบสอบถาม และเข้ารับการรักษาท่ีคลินิกประคับประคอง แผนก มีท้ังหมด 10 ข้อ เป็นการประเมินความรุนแรงของ ผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลลาพูน เลือกกลุ่มตัวอย่าง อาการทางด้านร่างกายจานวน 6 ข้อ ด้านจิตใจ ตามคุณสมบัติแบบเจาะจง (Purposive sampling) จานวน 3 ข้อ ปัญหาอื่นๆ 1 ข้อ ระดับการวัดแต่ละ คือ ผู้ป่วยท่ีเข้าเกณฑ์การดูแลแบบประคับประคอง อาการจะมีคะแนน 0-10 โดย 0 คะแนนหมายถึง เกณฑ์การคัดเข้า (Inclusion criteria) คือ มีอายุ 20 ปี ไม่มีความรนุ แรงของอาการ และคะแนน 10 หมายถึง ขึ้นไป ท่ีได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเข้าเกณฑ์การ มีความรุนแรงของอาการมากที่สุด ทั้งนี้ให้ประเมิน ดูแลแบบประคับประคองคือ โรคมะเร็ง โรคไตวาย คะแนน ณ เวลาทที่ าการประเมนิ เปน็ หลกั เทา่ น้ัน เรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคปอด โรคทาง 3. แบบประเมินอาการวิตกกังวลและซึมเศร้า ระบบประสาทและสมอง มีระดับความรู้สึกตัวปกติ Hospital Anxiety and Depression Scale (HADS) สามารถเข้าใจภาษาไทยได้ และยินยอมเข้าร่วม ของ Zigmoid and Smith (1983) ที่พัฒนามาใช้ การศึกษา ส่วนเกณฑ์การคัดออก ( Exclusion โ ด ย ธ น า นิ ล ชั ย โ ก วิ ท ย์ แ ล ะ ค ณ ะ ( 2 5 3 9 ) criteria) คือ ผูป้ ว่ ยที่มอี าการลุกลามของโรคจนระดับ ประกอบด้วยคาถาม 14 ข้อ ประเมินความวิตกกังวล 7 ข้อ และภาวะซึมเศร้า 7 ข้อ ลักษณะคาตอบเป็น 72 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปที ่ี 16 ฉบับท่ี 1
Factors affecting the Quality of Life of the Palliative Care Patient at Palliative Care Clinic, Lamphun Hospital แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Likert scale) 4 ระดับ ความรู้สกึ อาการซึมเศร้า ความมีคุณค่าในตนเองของ คือ คะแนนระดับ 0 ถึง 3 โดยคะแนนรวมของความ ผู้ป่วย การสิ้นเปลืองเวลาในการรอคอยการดูแล วิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าอยู่ในช่วง 0-21 คะแนน รักษา การได้รับความช่วยเหลือเรื่องปัญหาการเงิน/ และตั้งแต่ 11 คะแนนขึ้นไป หมายถึง มีความวิตก ปัญหาอ่ืนๆ ที่เกิดจากความเจ็บป่วย อีก 2 ข้อเป็น กังวลและซึมเศร้าในข้ันที่ถือว่าเป็นความผิดปกติทาง คาถามปลายเปิดไม่นามาคิดคะแนน แต่ละข้อมี จิตเวช คะแนน 0-4 โดยคะแนน 0 หมายถึง คุณภาพชีวิต 4. แบบประเมินการรับรู้ภาวะสุขภาพ สร้างขึ้น ระดับสูง คะแนน 4 หมายถึง คุณภาพชีวิตระดับต่า จากการทบทวนวรรณกรรมและดัดแปลงให้มีความ คะแนนรวม 0-40 คะแนน เหมาะสม โดยมีคาถามในส่วนของการรับรู้ภาวะ การวิเคราะหข์ อ้ มลู โดยใชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอร์ สุขภาพจานวน 10 ข้อ ลักษณะของข้อคาถามเป็น สาเรจ็ รปู ได้แก่ แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Likert scale) 5 ระดับ คอื มากทส่ี ดุ มาก ปานกลาง น้อย น้อยทสี่ ุด 1. ข้อมลู ปจั จัยพนื้ ฐาน วิเคราะหโ์ ดย การแจกแจง ความถ่ี คา่ รอ้ ยละ ค่าเฉลยี่ และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน 5. แบบประเมินพฤติกรรมการดูแลสุขภาพของ ผู้ป่วยประคับประคอง จานวน 15 ข้อ ลักษณะของ 2. ความรุนแรงของอาการ ความวิตกกังวลและ ข้อคาถามเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Likert ซึมเศร้า การรับรู้ภาวะสุขภาพ พฤติกรรมการดูแล scale) 4 ระดบั คือ ปฏิบตั ิเป็นประจา ปฏิบัติบ่อยครั้ง สุขภาพแบบประคับประคอง การได้รับแรงสนับสนุน ปฏิบตั นิ อ้ ยครงั้ ไม่เคยปฏบิ ตั ิ จากครอบครัว และคุณภาพชีวิต วิเคราะห์โดย คา่ เฉลย่ี และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน 6. แบบประเมินการได้รับแรงสนับสนุนจาก ครอบครัว ใช้แบบประเมินการสนับสนุนจาก 3. ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยพ้ืนฐาน ความ ครอบครัว ตามแนวคิดของเซฟเฟอร์ และคณะ รุนแรงของอาการ ความวิตกกังวลและซึมเศร้า การ (Schaefer et al., 1981) ที่พัฒนาโดย อุไร ขลุ่ยนาค รับรู้ภาวะสุขภาพและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ (2540) มีข้อคาถามจานวน 20 ข้อ ซ่ึงครอบคลุมการ ผู้ป่วยประคับประคอง การได้รับแรงสนับสนุนจาก สนับสนุน 3 ด้าน คือ ด้านอารมณ์ 10 ข้อ ด้านข้อมูล ครอบครัว กับคุณภาพชีวิต วิเคราะห์โดยหาค่า ขา่ วสาร 5 ขอ้ ดา้ นสิ่งของและการได้รับบริการ 5 ข้อ สัม ป ร ะสิ ท ธิ์ ส หสั ม พั นธ์ เ พี ย ร์สั น ( Pearson’s ลักษณะคาตอบเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า correlation coefficient) และวิเคราะห์ถดถอย (Likert scale) 5 ระดับ คือ มากทสี่ ุด มาก ปานกลาง พหคุ ูณแบบขนั้ ตอน (Multiple regression analysis) เล็กนอ้ ย ไม่เคยเลย การพิทักษ์สิทธขิ องกลุ่มตวั อย่าง 7. แบบวัดคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย โดยใช้แบบ การศึกษาน้ีผ่านการพิจารณาและได้รับการอนุมัติ ประเมินผลลัพธ์การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง จากคณะกรรมการจริยธรรมวิจัยในมนุษย์ของ (Palliative care Outcome Scale หรือ POS) โรงพยาบาลลาพูน เลขท่ี Ethic LPN 036/2562 ได้รับการพัฒนาขึ้น โดย Julie Hearn และ Irene J. ลงวันที่ 28 สงิ หาคม พ.ศ. 2562 Higginson จาก King’s College, London, United ผลการศึกษา Kingdom แปลเป็นภาษาไทยโดยลดารัตน์ สาภินันท์ (2556) ซึ่งประกอบด้วยคาถาม 12 ข้อ เป็นคาถาม ผู้ป่วยจานวน 79 ราย เป็นเพศชาย ร้อยละ ปลายปิด 10 ข้อ ได้แก่ อาการปวด อาการรบกวน 49.37 เพศหญิง ร้อยละ 50.63 อายุเฉล่ีย 66.59 ปี อื่นๆ ความกังวลเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของผู้ป่วย (S.D.=12.45) สถานภาพสมรส ร้อยละ 60.76 ความกังวลของครอบครัวเก่ียวกับความเจ็บป่วย การ จบการศึกษาระดบั ประถมศึกษา ร้อยละ 73.41 ไม่ได้ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลรักษา การได้ระบาย ประกอบอาชีพ ร้อยละ 53.16 รองลงมาประกอบ อาชีพเกษตรกรรม/รับจ้างท่ัวไป/ธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 73
ปัจจยั ทม่ี ผี ลตอ่ คุณภาพชวี ติ ของผ้ปู ่ วยประคบั ประคองทม่ี ารบั การรกั ษา ทค่ี ลนิ ิกประคบั ประคอง แผนกผูป้ ่ วยนอก โรงพยาบาลลาพนู 39.24 และ มีรายได้เฉลี่ยต่ากว่า 5,000 บาท/เดือน ร้อยละ 96.20 เป็นคู่สมรสดูแล ร้อยละ 43.42 และ ร้อยละ 74.68 ผู้ป่วยส่วนใหญ่ มีผู้ดูแล (care giver) บตุ ร ร้อยละ 40.79 ตามลาดบั ดงั ตารางที่ 1 ตารางท่ี 1 จานวน และรอ้ ยละของกลมุ่ ตวั อย่าง จาแนกตามข้อมูลพื้นฐาน ขอ้ มูลพืน้ ฐาน จานวน (n=79) รอ้ ยละ เพศ 39 49.37 ชาย 40 50.63 หญิง 66.59 (S.D.=12.45) 12.66 อายุ Mean (S.D.) 10 60.76 สถานภาพสมรส 48 26.58 21 โสด 3.80 สมรส 3 73.41 หย่าร้าง/หมา้ ย/แยกกนั อยู่ 58 18.99 ระดบั การศึกษา 15 3.80 ไมไ่ ด้เรียนหนังสือ 3 ประถมศกึ ษา 53.16 มธั ยมศกึ ษา/ปวช./ปวส. 42 7.60 ปรญิ ญาตรขี ้นึ ไป 6 39.24 อาชพี หลกั 31 ไม่ได้ประกอบอาชพี 74.68 รบั ราชการ/รฐั วิสาหกจิ /ลกู จา้ งของรัฐ 59 22.79 เกษตรกรรม/รับจ้างทัว่ ไป/ธุรกิจส่วนตัว 18 2.53 รายได้เฉล่ยี ต่อเดอื น (บาท/เดือน) 2 ตา่ กว่า 5,000 3.80 5,000-10,000 3 96.20 ตง้ั แต่ 10,000 บาทขึน้ ไป 76 ผู้ดูแลยามเจ็บป่วย 43.42 ไมม่ ี 33 40.79 มี 31 5.26 4 10.53 ความสัมพนั ธ์ของผู้ดูแลยามเจ็บป่วย 8 คู่สมรส บุตร พีน่ อ้ ง อืน่ ๆ 74 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปีท่ี 16 ฉบบั ท่ี 1
Factors affecting the Quality of Life of the Palliative Care Patient at Palliative Care Clinic, Lamphun Hospital ข้อมูลเก่ียวกับโรคและการรักษาพบว่า ผู้ป่วย ร้อยละ 8.86 ตามลาดับ ไม่มีโรคประจาตัวอ่ืน ร้อย ส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยมะเร็ง ร้อยละ 97.46 รองลงมา ละ 40.51 มีโรคประจาตัวเดิม ร้อยละ 59.49 เช่น เป็นโรคไตวายเรือ้ รงั และผสู้ งู อายุที่มีปัญหาสมองเส่ือม ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง เป็นต้น รอ้ ยละ 1.27 เท่ากัน ระยะเวลาเจ็บป่วย 1.60 ปี (S.D.= มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเฉลี่ย 1-2 คร้ัง/เดือน 1.87) ผู้ป่วยมีคะแนน palliative performance scale คดิ เปน็ รอ้ ยละ 67.09 โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่เคยได้รับ (PPS) มากกว่า 70 ร้อยละ 46.83 PPS อยู่ระหว่าง การรกั ษาแบบประคับประคองมาก่อน คิดเป็นร้อยละ 40-60 และ ต่ากว่า 30 คิดเป็นร้อยละ 36.71 และ 75.95 และเคยรับการรักษาแบบประคับประคองมา 16.46 ตามลาดับ เคยได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด กอ่ น ร้อยละ 24.05 ดังตารางท่ี 2 ร้อยละ 43.04 เคมีบาบัด ร้อยละ 39.24 ฉายแสง ตารางที่ 2 จานวน ร้อยละของกลมุ่ ตัวอย่าง จาแนกตามข้อมลู พ้นื ฐานเกย่ี วกบั โรคและการรักษา ข้อมูลพนื้ ฐานเกยี่ วกบั โรคและการรักษา จานวน ร้อยละ (n=79) โรคทพ่ี บในกล่มุ ตัวอยา่ ง มะเร็ง 77 97.46 โรคไตวายเรือ้ รงั 1 1.27 โรคสมองเสือ่ ม 1 1.27 1.6 (S.D.= 1.87) ระยะเวลาทป่ี ว่ ย (ปี) Mean (S.D.) Palliative Performance Scale (PPS) 13 16.46 0-30 29 36.71 40-60 37 46.83 70 -100 การรกั ษาทีเ่ คยได้รบั 34 43.04 ผา่ ตดั 31 39.24 เคมีบาบดั 7 8.86 ฉายแสง โรคประจาตัวอนื่ ๆ 32 40.51 ไมม่ ี 24 30.38 ความดนั โลหิตสูง 11 13.92 ไขมันในเลือดสูง 2 2.53 เบาหวาน 10 12.66 อืน่ ๆ จานวนคร้ังทีม่ ารับการรักษาที่ รพ 11 13.92 1 คร้งั /2 เดอื น 29 36.71 1 ครงั้ /เดือน 24 30.38 2 ครั้ง/เดือน 15 18.99 ≥3 ครง้ั /เดอื น เคยรบั การรกั ษาแบบประคบั ประคองมากอ่ น 19 24.05 เคย 60 75.95 ไมเ่ คย Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 75
ปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ คณุ ภาพชวี ติ ของผปู้ ่ วยประคบั ประคองทมี่ ารบั การรกั ษา ทคี่ ลนิ กิ ประคบั ประคอง แผนกผู้ป่ วยนอก โรงพยาบาลลาพนู จากผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความ ลาพนู มีความสัมพันธ์ทางลบกับคะแนนคุณภาพชีวิต รุนแรงของอาการเฉล่ีย 33.72 (S.D.=21.72) มี ของผู้ป่วยประคับประคองอย่างมีนัยสาคัญที่ระดับ คะแนนความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าเฉล่ีย 7.38 0.05 (r=-0.279, r=-0.229) (S.D.=4.17) และ 8.44 (S.D.=4.51) ตามลาดับ การ รับรู้ภาวะสุขภาพของตนเองมีคะแนนเฉล่ีย 3.70 ส่วน เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ต่อเดือน (S.D.=0.75) พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของตนเอง โรคหลักที่เข้าเกณฑ์การรักษาแบบประคับประคอง แบบประดับประคองมีคะแนนเฉลี่ย 3.33 (S.D.= ระยะเวลาการเจ็บป่วย การรักษาท่ีเคยได้รับ 0.46) การไดร้ ับแรงสนับสนุนจากครอบครัวมีคะแนน การได้รับการรักษาแบบประคับประคองมาก่อน เฉลี่ยรวม 4.65 (S.D.=0.35) โดยแบ่งเป็นคะแนน โรคประจาตัวอื่นๆ และจานวนคร้ังที่มารับการรักษา ด้านอารมณ์ 4.76 (S.D.=0.39) ด้านข้อมูลข่าวสาร ในโรงพยาบาล ไมม่ คี วามสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของ 4.44 (S.D.=0.54) ด้านส่ิงของและการได้รับบริการ ผปู้ ่วยประคับประคอง 4.65 (S.D.=0.47) เมื่อพิจารณาปัจจัยด้านคุณภาพ ชี วิ ต พ บ ว่ า ค ะ แ น น ผ ล ลั พ ธ์ ก า ร ดู แ ล แ บ บ นอกจากนี้พบว่า ความรุนแรงของอาการ ความ ประคับประคอง (Palliative care Outcome Scale วิตกกังวล และภาวะซึมเศร้ามีความสัมพันธ์ทางบวก for patient) เฉล่ีย 12.29 (S.D.=6.96) ดังตารางท่ี 3 กับคะแนนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยประคับประคอง อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (r=0.634, เมื่อนาตัวแปรที่ศึกษา ได้แก่ ปัจจัยพื้นฐานต่างๆ 0.717 และ 0.622) ส่วนพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ ความรุนแรงของอาการ ความวิตกกังวลและซึมเศร้า ผู้ป่วยประคับประคอง มีความสัมพันธ์ทางลบกับ การรับรู้ภาวะสุขภาพ พฤติกรรมการดูแลตนเองแบบ คะแนนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยประคับประคอง อย่างมี ประคับประคอง และแรงสนับสนุนจากครอบครัว นยั สาคัญทางสถติ ิทรี่ ะดับ 0.05 (r=-0.374) มาทดสอบความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ประคบั ประคองพบว่า การมีผู้ดูแลเม่ือเจ็บป่วย (care ใ น ข ณ ะ ท่ี ก า ร รั บ รู้ ภ า ว ะ สุ ข ภ า พ ข อ ง ผู้ ป่ ว ย giver) และระดับ PPS ของผู้ป่วยประคับประคองที่มา ประคับประคอง การได้รับการสนับสนุนจาก รับการรักษาท่ีคลินิกประคับประคองโรงพยาบาล ครอบครัวในด้านอารมณ์ ด้านข้อมูลข่าวสาร และ ดา้ นสง่ิ ของและการไดร้ ับบริการ ไมม่ คี วามสัมพันธ์กับ คุณภาพชวี ติ ของผ้ปู ่วยประคบั ประคอง ดงั ตารางท่ี 4 ตารางท่ี 3 ค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และระดับความรุนแรงของอาการ ความวิตกกังวลและ ซึมเศร้า การรับรู้ภาวะสุขภาพ พฤติกรรมการดูแลตนเองแบบประคับประคอง แรงสนับสนุนจากครอบครัว และคณุ ภาพชีวิตของผ้ปู ว่ ยประคบั ประคอง (n=79) ปจั จัย คะแนนเตม็ Mean S.D. ความรนุ แรงของอาการ 100.00 33.72 21.72 ความวติ กกงั วล 21.00 7.38 4.17 ภาวะซึมเศรา้ 21.00 8.44 4.51 การรบั รภู้ าวะสขุ ภาพ 5.00 3.70 0.75 พฤตกิ รรมการดูแลตนเองแบบประคับประคอง 4.00 3.33 0.46 แรงสนบั สนุนจากครอบครัว 5.00 4.65 0.35 5.00 4.76 0.39 ดา้ นอารมณ์ 5.00 4.44 0.54 ด้านข้อมลู ข่าวสาร 5.00 4.65 0.47 ด้านสิ่งของและการไดร้ บั บรกิ าร 40.00 12.29 6.96 คุณภาพชีวิต 76 วารสารสาธารณสุขล้านนา ปีที่ 16 ฉบับท่ี 1
Factors affecting the Quality of Life of the Palliative Care Patient at Palliative Care Clinic, Lamphun Hospital ตารางที่ 4 ค่าสมั ประสิทธสิ์ หสัมพันธ์ระหวา่ งปจั จัยพน้ื ฐานต่างๆ ความรนุ แรงของอาการ ความวติ กกงั วลและ ซึมเศร้า การรับรภู้ าวะสุขภาพ พฤตกิ รรมการดูแลตนเองแบบประคับประคอง และแรงสนบั สนุนจากครอบครัว กับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยประคับประคอง (n=79) ปัจจัย สมั ประสทิ ธสิ์ หสัมพันธ์ r P-value ผ้ดู ูแล (care giver) -0.279 0.031* Palliative Performance Scale -0.229 0.042* ความรนุ แรงของอาการ 0.634 0.000* ความวติ กกังวล 0.717 0.000* ภาวะซมึ เศรา้ 0.622 0.000* พฤติกรรมการดูแลตนเอง -0.374 0.001* *p<0.05 เมื่อนาตัวแปรที่ศึกษามาวิเคราะห์การถดถอย ได้อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 สามารถ พหุคูณแบบข้ันตอนพบว่า ความวิตกกังวล ความ อธิบายการผันแปรของคุณภาพชีวิตได้ ร้อยละ 63 รุนแรงของอาการ การมีผู้ดูแล (care giver) และ (R2=0.630) โดยความวิตกกังวลสามารถทานาย พฤติกรรมการดูแลสุขภาพแบบประคับประคอง เป็น คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้มากที่สุด รองลงมา คือ ปัจจัยทานายคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยประคับประคอง ความรนุ แรงของอาการ ดงั ตารางท่ี 5 ท่ีมารักษาที่คลินิกประคับประคองโรงพยาบาลลาพูน ตารางท่ี 5 ค่าสมั ประสทิ ธิ์ถดถอยของตัวแปรทานายคุณภาพชวี ิตของผ้ปู ่วยประคับประคอง (n=79) ตวั แปรทานาย b beta t P-value ค่าคงที 17.438 3.801 0.000* ความวติ กกังวล 0.834 0.499 5.426 0.000* ความรนุ แรงของอาการ 0.083 0.258 2.726 0.008* ผ้ดู ูแล (care giver) -6.325 -0.175 -2.417 0.018* พฤติกรรมการดูแลตนเอง -2.406 -0.159 -2.102 0.039* *p<0.05 อภิปรายผล ที่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็งปอด ท่ี 1. คุณภาพชวี ติ ของผปู้ ว่ ยประคบั ประคอง พบผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตระดับสูง เช่นเดียวกับ จากผลการศึกษาพบว่า คะแนนผลลัพธ์การดูแล การศกึ ษาเรือ่ งคุณภาพชีวิตของผปู้ ่วยมะเร็งระยะท้าย แบบประคับประคอง (Palliative care Outcome พบวา่ ผปู้ ่วยมคี ุณภาพชีวิตระดับสูง (นงลักษณ์ สรรสม, Scale for patient) ของผู้ป่วยมีคะแนนเฉลี่ยต่า 2552) แต่การศึกษาน้ีไม่สัมพันธ์กับการศึกษา เท่ากับ 12.29 (S.D.=6.96) แสดงถึงผู้ป่วยมีคุณภาพ คณุ ภาพชีวิตของผ้สู งู อายโุ รคมะเรง็ ลุกลามทไี่ ด้รับการ ชีวิตระดับสูง สอดคล้องกับการศึกษาของขวัญจิรา รักษาดว้ ยยาเคมีบาบัดท่มี ีคุณภาพชีวติ ปานกลาง (ชุตมิ า ถนอมจิตต์ และสุรีพร ธนศิลป์ (2558) ท่ีพบว่าปัจจัย จันทร์สมคอย และคณะ, 2561) อาจเน่ืองจากผู้ป่วย Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 77
ปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ คณุ ภาพชวี ติ ของผู้ป่ วยประคบั ประคองทม่ี ารบั การรกั ษา ทคี่ ลนิ ิกประคบั ประคอง แผนกผูป้ ่ วยนอก โรงพยาบาลลาพนู กลุ่มนี้มีผู้ดูแลเมื่อเจ็บป่วย (care giver) ถึงร้อยละ ชีวติ อธิบายไดว้ ่าการทีผ่ ูป้ ่วยเรมิ่ มกี ารเปลี่ยนผ่านเข้า 96.2 ซ่ึงได้รับการดูแลจากครอบครัว ท้ังทางด้าน สู่ระดับ PPS ท่ีต่าลง อันเน่ืองจากมีการลุกลามของ อารมณ์ ด้านข้อมูลข่าวสาร ด้านสิ่งของและการได้รับ โรคมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความถดถอยทางด้าน บริการในระดับสูง ทาให้ผ้ปู ่วยรบั ร้ไู ด้ถงึ ความมีคุณค่า ร่างกาย กระทบต่อความสามารถในการใช้ และความหมายของชีวิตท้ังต่อตนเองและครอบครัว ชีวิตประจาวัน เกิดความกังวลและความเครียด นอกจากนี้มีการรับรู้สภาวะสุขภาพของตนเอง และมี ตามมา จะทาให้คุณภาพชีวิตทั้งทางด้านร่างกายและ พ ฤ ติ ก ร ร ม ก า ร ดู แ ล สุ ข ภ า พ ข อ ง ต น เ อ ง แ บ บ จิตใจแยล่ งตามลาดับ (วิภาดา พึ่งสขุ และคณะ, 2562) ประคับประคองในระดับสูง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีความ เขา้ ใจตอ่ การดแู ลตนเองเมื่อเจ็บป่วย ทาใหส้ ามารถใช้ ความรุนแรงของอาการมีความสัมพันธ์ทางบวก ชีวิตประจาวันอยู่ได้ท่ามกลางโรคท่ีมีการลุกลามมาก กับคะแนนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยประคับประคอง ขึ้นเรื่อยๆ และสามารถยอมรับความเปล่ียนแปลงที่ (r=0.634) กล่าวคือ หากผู้ป่วยมีความรุนแรงของ เกิดขนึ้ ได้ อาการท่ีมากขึ้นจะทาให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยลดลง การศึกษาครั้งน้ีสอดคล้องกับการศึกษาความรุนแรง 2. ปัจจัยท่ีมีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ข อ ง อ า ก า ร พ ฤ ติ ก ร ร ม ก า ร ดู แ ล ต น เ อ ง แ บ บ ประคับประคอง ไดแ้ ก่ ประคับประคอง กับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ โรคมะเร็งระยะลุกลามท่ีได้รับการรักษาด้วยยาเคมี การมีผู้ดูแลผู้ป่วย (care giver) มีความสัมพันธ์ บาบัด (ชุติมา จันทร์สมคอย และคณะ, 2561) และ ท า ง ล บ กั บ ค ะ แ น น คุ ณ ภ า พ ชี วิ ต ข อ ง ผู้ ป่ ว ย การศึกษาปัจจัยทานายคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็ง ประคับประคอง (r=-0.279) กล่าวคือ การท่ีผู้ป่วยมี ระยะสุดท้าย (เบญจมาศ ตระกูลงามเด่น และ ผู้ดูแลจะทาให้ผู้ป่ว ยมีคุณภ าพชีวิตระดับสูง สุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์, 2559) ท่ีพบว่าความรุนแรง สอดคล้องกับการศึกษาเรื่องการปรับตัวต่อบทบาท ของอาการมีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของญาติผู้ดูแลผู้ป่วย ประคับประคอง เนื่องจากความรุนแรงของอาการ มะเร็งท่ีกล่าวว่า ผู้ดูแลผู้ป่วยมีบทบาทหลักในการ ทางด้านร่างกาย เช่น อาการปวด อาการเหน่ือย ดู แ ล ต า ม ส ภ า พ ปั ญ ห า แ ล ะ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ท่ี ความรุนแรงทางอารมณ์ เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า จะ เปล่ียนแปลงไปในแต่ละระยะของชีวิตผู้ป่วย ต้ังแต่ ทาให้ผู้ป่วยมีความทุกข์ทรมานทางด้านร่างกายและ ระยะแรกที่ได้รับการวินิจฉัยจนถึงระยะสุดท้ายของ จิตใจ ส่งผลต่อการดารงชีวิต การปฏิบัติกิจวัตร และ ชีวิต โดยผู้ดูแลจะเป็นท้ังผู้ตัดสินใจแทนผู้ป่วย เป็น ก ร ะ ท บ ต่ อ คุ ณ ภ า พ ชี วิ ต ท้ั ง ข อ ง ผู้ ป่ ว ย เ อ ง แ ล ะ นักสื่อสาร เป็นผู้ให้การดูแล และผู้ให้การสนับสนุน ครอบครัวในท้ายที่สุด ผลการศึกษานี้สนับสนุน ทางสังคม (วารุณี มีเจริญ, 2557) ท้ังนี้ผู้ดูแลผู้ป่วย แนวคิด WHO ที่มุ่งเน้นการบรรเทาทุกข์ทรมานของ แ ต่ ล ะ ร า ย จ ะ มี บ ท บ า ท ม า ก เ ท่ า ไ ห ร่ น้ั น ข้ึ น อ ยู่ กั บ ความรุนแรงในทุกด้าน เนื่องจากอาการเหล่าน้ีจะ สมั พันธภาพระหวา่ งตัวผู้ป่วยเองและผ้ดู ูแล ซ่ึงการทา สัมพันธ์กับภาวะสุขภาพของผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วย หน้าที่ตามบทบาทดังกล่าวของผู้ดูแลจะส่งผลกระทบ ระยะทา้ ยทีม่ ีอาการรุนแรง ตอ่ คณุ ภาพชวี ิตของผปู้ ว่ ย ภาวะวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้ามีความสัมพันธ์ Palliative Performance Scale มีความสัมพันธ์ ท า ง บ ว ก กั บ ค ะ แ น น คุ ณ ภ า พ ชี วิ ต ข อ ง ผู้ ป่ ว ย ท า ง ล บ กั บ ค ะ แ น น คุ ณ ภ า พ ชี วิ ต ข อ ง ผู้ ป่ ว ย ประคับประคอง (r=0.717) ดังนัน้ หากผู้ป่วยมีภาวะ ประคบั ประคอง (r=-0.229) หมายถึง ผู้ป่วยท่ีมีระดับ วิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าในระดับสูงจะทาให้มี PPS ต่าจะมีคุณภาพชีวิตในระดับต่า เช่นเดียวกับ คุณภาพชีวิตระดับต่า สอดคล้องกับการศึกษาเรื่อง การศึกษาของปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อคุณภาพชีวิต ปัจจัยท่ีมีผลกับคุณภาพผู้ป่วยมะเร็งปอด ที่พบว่า ของผู้ป่วยโรคมะเร็งท่ไี ดร้ ับการดูแลแบบประคับประคอง ภาวะวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้ามีความสัมพันธ์กับ ในระยะท้ายที่พบว่า PPS มีความสัมพันธ์กับคุณภาพ 78 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปที ี่ 16 ฉบบั ท่ี 1
Factors affecting the Quality of Life of the Palliative Care Patient at Palliative Care Clinic, Lamphun Hospital คุณภาพชีวิตอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (ขวัญจิรา กับการศึกษาปัจจัยทานายคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ถนอมจติ ต์ และสุรพี ร ธนศิลป์, 2558) เนื่องจากผู้ป่วย มะเร็งระยะสุดท้ายพบว่า แรงสนับสนุนทางสังคม กลุ่มน้ีเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคท่ีไม่สามารถ ประสบการณ์การมีอาการด้านความรุนแรง จานวน รักษาให้หายได้ ก็จะมีภาวะวิตกกังวลและภาวะ คร้ังที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล สามารถร่วม ซึมเศร้าตามมา เมื่อโรคมีการลุกลามโดยไม่ได้รับการ ทานายคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายได้ จดั การอาการรบกวนและไดร้ บั ความช่วยเหลือในด้าน รอ้ ยละ 40.80 (เบญจมาศ ตระกลู งามเดน่ และ สภุ วรรณ ต่างๆ ก็ยิ่งทาให้ผู้ป่วยมีภาวะวิตกกังวลและภาวะ วงศธ์ รี ทรพั ย์, 2559) ซึมเศร้ารุนแรงมากข้ึน จนส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของ ผู้ป่วยตามลาดบั ขอ้ เสนอแนะ พ ฤ ติ ก ร ร ม ดู แ ล สุ ข ภ า พ ข อ ง ต น เ อ ง แ บ บ 1. จากผลการศึกษาดังกล่าวสามารถนาไปปรับใช้ ประคับประคองมีความสัมพันธ์ทางลบกับคะแนน เพ่ือให้การดูแลผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์การรักษาแบบ คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยประคับประคอง (r=-0.374) ประคับประคองให้มคี ุณภาพชวี ติ ท่ีดีขึ้น ได้แก่ การลด กล่าวคือผู้ป่วยท่ีมีพฤติกรรมดูแลสุขภาพของตนเอง ความวิตกกังวลโดยการให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคและ ในระดับสูงจะทาให้มีคุณภาพชีวิตในระดับสูง แผนการรักษา ตลอดจนการวางแผนล่วงหน้าให้ สอดคล้องกับการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้ป่วยแต่ละรายอย่างเหมาะสม การประเมินและ ปัจจยั พื้นฐาน ความรุนแรงของอาการ พฤติกรรมการ จดั การอาการรบกวนต่างๆ เพ่ือใหผ้ ปู้ ่วยลดความทุกข์ ดูแลตนเองแบบประคับประคอง กับคุณภาพชีวิตของ ทรมานจากโรค ส่งเสริมให้ผู้ดูแลมีบทบาทและมี ผู้สูงอายุโรคมะเร็งระยะลุกลามท่ีได้รับการรักษาด้วย ส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย เพ่ือให้ผู้ป่วยรู้สึกมีคุณค่า ยาเคมีบาบัด (ชุติมา จันทร์สมคอย และคณะ, 2561) และเป็นที่ต้องการของครอบครัวอันเป็นท่ีรัก และการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการ นอกจากน้ีควรมีการประเมินพฤติกรรมในการดูแล ดูแลตนเองและคุณภาพชีวิตในผู้ป่วยมะเร็งทางโลหิต ตนเองแบบประคับประคอง เพื่อช่วยให้ผู้ป่วย วิทยาท่ีได้รับยาเคมีบาบัด (พิจิตรา เล็กดารงกุล และ สามารถปรับเปล่ียนการดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม คณะ, 2555) โดยการที่ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมการดูแล ซ่งึ จะทาให้ผู้ปว่ ยมคี ณุ ภาพชีวติ ที่ดีขึ้น ตนเองในระดับสูงแสดงว่าผู้ป่วยต้องมีการรับรู้และมี 2. ควรศึกษาในลกั ษณะของ Multi-hospital เพ่ือ ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคท่ีเป็น มีการยอมรับและ เพ่ิมจานวนประชากรท่ีเข้าร่วมการศึกษา ซ่ึงจะทาให้ ปรับตัวต่อการเปล่ียนแปลงเข้าสู่ระยะเปล่ียนผ่าน การศึกษาดังกล่าวครอบคลุมถึงโรคอ่ืนๆ ที่เข้าเกณฑ์ นอกจากนี้ผลการศึกษาสนับสนุนทฤษฎีของ Shared การรกั ษาแบบประคบั ประคองดว้ ย ท่ีอธิบายไว้ว่า พฤติกรรมการดูแลตนเองมีผลต่อ 3. ควรมีการศึกษาโดยเพิ่มจานวนผู้ป่วยท่ี คุณภาพชีวิตและคุณภาพชีวิตเป็นเป้าหมายสูงสุด ใน เข้าเกณฑ์การรักษาแบบประคับประคองในกลุ่มโรค การดูแลแบบประคับประคอง (Desbiens et al., 2012) อน่ื ๆ ทไี่ มใ่ ช่โรคมะเรง็ (Non cancer) ให้มากขนึ้ 3. ปัจจัยทานายคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ประคับประคอง คือ ภาวะวิตกกังวล ความรุนแรง กติ ตกิ รรมประกาศ ของอาการ การมีผู้ดูแลเม่ือเจ็บป่วย และพฤติกรรม การดแู ลตนเอง โดยความรนุ แรงของอาการเป็นปัจจัย ขอบพระคณุ ผู้อานวยการโรงพยาบาลลาพูน พยาบาล ร่วมทานายคุณภาพชีวิตกลุ่มผู้ป่วย เนื่องจากการท่ี วิชาชีพและเจ้าหน้าท่ีประจาคลินิกประคับประคอง ผู้ป่วยมีความรุนแรงของอาการท่ีมากข้ึน จะมี โรงพยาบาลลาพูน ผู้เข้าร่วมการศึกษาทุกท่าน และ ผลกระทบต่อสภาพร่างกายและจิตใจ และส่งผลต่อ ดร.ภญ.ชดิ ชนก เรือนก้อน ทใี่ หค้ าแนะนาในการศึกษาครั้งน้ี คุณภาพชีวิตของทั้งผู้ป่วยและครอบครัว สอดคล้อง Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 79
ปัจจยั ทมี่ ผี ลตอ่ คณุ ภาพชวี ติ ของผปู้ ่ วยประคบั ประคองทมี่ ารบั การรกั ษา ทคี่ ลนิ กิ ประคบั ประคอง แผนกผูป้ ่ วยนอก โรงพยาบาลลาพนู เอกสารอา้ งอิง กรมการแพทย์กระทรวงสาธารณสขุ . (2557). แนวทางการดูแลผูป้ ่วยระยะสุดท้าย. วารสาร 72 ปี กรมการ แพทย,์ 1-2. กิตตกิ ร นิลมานตั . (2555). การดูแลระยะสดุ ท้ายของชวี ิต. สงขลา: ชานเมืองการพมิ พ์. ขวัญจริ า ถนอมจิตต์ และสรุ ีพร ธนศิลป์. (2558). ปจั จยั คัดสรรทีม่ คี วามสมั พนั ธก์ บั คุณภาพชวี ิตของผปู้ ว่ ย มะเรง็ ปอด. วารสารพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, 27(1), 120-132. ชุตมิ า จนั ทรส์ มคอย วิราพรรณ วโิ รจน์รตั น์ และวลั ย์ลดา ฉันทเ์ รืองวณชิ ย์. (2561). ความสมั พันธ์ระหว่าง ปัจจัยพ้ืนฐานบางประการ ความรนุ แรงของอาการ พฤติกรรมการดูแลตนเองแบบประคับประคอง กบั คุณภาพชวี ติ ของผ้สู งู อายุโรคมะเรง็ ระยะลกุ ลาม ทีไ่ ดร้ ับการรักษาดว้ ยยาเคมีบาบัด. วารสาร พยาบาลทหารบก, 19(ฉบบั พิเศษ), 108-117. ธนา นิลชัยโกวิทย์ มาโนช หลอ่ ตระกลู และอุมาภรณ์ ไพศาลสุทธิเดช. (2539). การพัฒนาแบบสอบถาม Hospital Anxiety And Depression Scale ฉบับภาษาไทยในผูป้ ่วยมะเรง็ . วารสารสมาคม จิตแพทย์แห่งประเทศไทย, 41(1), 18-30. นงลักษณ์ สรรสม. (2552). ปจั จยั คัดสรรทม่ี ีความสมั พนั ธ์กับคุณภาพชีวติ ของผู้ปว่ ยมะเรง็ ระยะสดุ ทา้ ย. วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญามหาบัณฑิต สาขาวิชาการพยาบาลผู้ใหญ่ คณะพยาบาลศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . เบญจมาศ ตระกูลงามเดน่ และสุภวรรณ วงศ์ธีรทรัพย์. (2559). ปัจจัยทานายคณุ ภาพชีวิตของผูป้ ว่ ยมะเรง็ ระยะสดุ ท้ายในแผนกผูป้ ่วยนอก โรงพยาบาลในสังกัดสานักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร และคณะ แพทยศาสตรว์ ชิรพยาบาล มหาวิทยาลยั นวมินทราธิราช. วารสารเก้อื การุณย์, 23(2), 199-216. พจิ ิตรา เล็กดารงกลุ คนงึ นิจ พงศ์ถาวรกมล ธนษิ ฐา ชมพบู บุ ผา และนพดล ศริ ิธนารัตนกุล. (2555). ความสัมพนั ธ์ระหว่างพฤติกรรมการดแู ลตนเองและคุณภาพชวี ติ ในผู้ปว่ ยมะเรง็ ทางโลหิตวิทยาท่ี ไดร้ ับยาเคมบี าบดั . วารสารพยาบาลศาสตร์, 30(3), 64-73. ลดารตั น์ สาภนิ ันท์. (2556). คูม่ ือการใชแ้ บบประเมินผลลัพธก์ ารดูแลผู้ปว่ ยแบบประคับประคอง. พิมพ์คร้ังที่ 1. เชียงใหม่: คณะกรรมการดแู ลผปู้ ว่ ยแบบประคับประคอง ฝา่ ยการพยาบาล โรงพยาบาลมหาราช นครเชยี งใหม่. วารุณี มีเจรญิ . (2557). ญาติผู้ดแู ลผู้ปว่ ยมะเร็ง: การปรบั ตัวต่อบทบาทและการส่งเสริมคุณภาพชีวิต. รามาธิบดีพยาบาลสาร, 20(1), 10-22. วิภาดา พึ่งสขุ พษิ ณรุ ักษ์ กันทวี และภัทรพล มากมี. (2562). ปจั จัยท่ีมีความสมั พันธ์ตอ่ คุณภาพชีวิตของผปู้ ว่ ย โรคมะเรง็ ที่ไดร้ บั การดูแลแบบประคบั ประคองในระยะทา้ ย จงั หวัดเชียงราย. วารสารพยาบาล กระทรวงสาธารณสขุ , 29(2), 116-128. สพุ ตั รา ศรีวณชิ ชากร. (2554). Palliative care: การดแู ลด้วยหัวใจและศรัทรา. ใน: ก่อนจะถึงวนั สดุ ท้าย. พมิ พ์ครงั้ ท่ี 1. กรุงเทพมหานคร:สานักงานหลักประกนั สขุ ภาพแหง่ ชาติ, 1-7. สานักนโยบายและยุทธศาสตร์ สานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. (2559). การสาธารณสขุ ไทย 2554 – 2558. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก. อุไร ขลุ่ยนาค. (2540). ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการสนบั สนุนจากครอบครัวกับการปรบั ตวั ของผ้ปู ่วยมะเรง็ ศรี ษะ และลาคอที่ได้รบั รังสรี ักษา. วิทยานิพนธ์ปรญิ ญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการพยาบาล ผู้ใหญ่ มหาวิทยาลยั มหิดล. 80 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปีที่ 16 ฉบับที่ 1
Factors affecting the Quality of Life of the Palliative Care Patient at Palliative Care Clinic, Lamphun Hospital Bruera, E., Kuehn, N., Miller, M. J., Selmser, P., and Macmillan, K. (1991). The Edmonton Symptom Assessment System (ESAS): a simple method for the assessment of palliative care patients. Journal of palliative care, 7(2), 6-9. Chinda, M., Jaturapatporn, D., Kirshen, A. J., and Udomsubpayakul, U. (2011). Reliability and validity of a Thai version of the Edmonton Symptom Assessment Scale (ESAS-Thai). Journal of pain and symptom management, 42(6), 954-960. Desbiens, J. F., Gagnon, J., and Fillion, L. (2012). Development of a shared theory in palliative care to enhance nursing competence. Journal of Advanced Nursing, 68(9), 2113- 2124. Movsas, B., Moughan, J., Sarna, L. et al. (2009). Quality of life supersedes the classic prognosticators for long-term survival in locally advanced non–small-cell lung cancer: an analysis of RTOG 9801. Journal of clinical oncology, 27(34), 5816-5822. Schaefer, C., Coyne, J. C., and Lazarus, R. S. (1981). The health-related functions of social support. Journal of behavioral medicine, 4(4), 381-406. World Health Organization. (2019). WHO Definition of Palliative Care; 2019. [cited 2019 July]; Available from: URL: https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/palliative-care Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 81
การพฒั นารปู แบบการดาเนนิ งานป้ องกนั การบาดเจ็บจากอบุ ตั เิ หตทุ างถนน ในระดบั อาเภอ กรณศี ึกษาอาเภอทงุ่ ช้าง จงั หวดั น่าน การพฒั นารูปแบบการดาเนนิ งานป้ องกนั การบาดเจ็บจากอุบตั เิ หตุทางถนน ในระดบั อาเภอ กรณศี ึกษาอาเภอทุง่ ช้าง จงั หวดั น่าน Development of an Operational Model to Prevent Road Traffic Injury: A Case Study in Thung Chang District, Nan province อารุณรตั ศ์ อรณุ นมุ าศ ส.ม. (สาธารณสขุ ศาสตร)์ Aroonrat Aroonnumas M.P.H. (Public Health) วิสทิ ธิ์ มารนิ ทร์ วท.ม. (สาธารณสุขศาสตร์) Wisit Marin M.Sc. (Public Health) สำนักงำนสำธำรณสุขจังหวดั นำ่ น Nan Provincial Public Health Office Received: Jun 24, 2020 Revised: Jun 25, 2020 Accepted: Jun 29, 2020 บทคดั ยอ่ การวิจัยคร้ังนี้ เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง รูปแบบกลุ่มตัวอย่างเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง มีวัตถุประสงคเ์ พ่อื พฒั นารูปแบบและผลลัพธ์ของการดาเนินงานป้องกันการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทาง ถนน กรณีศึกษาอาเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน โดยพัฒนาเคร่ืองมือแบบประเมินตามแนวทางการ ดาเนนิ งานและการประเมินการป้องกันการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน ระดับอาเภอ ภายใต้กรอบ กิจกรรม 10 กิจกรรม ตามแนวทางของสานักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กลมุ่ ตวั อยา่ งคอื แกนนาระดับอาเภอ จานวน 40 คน ระยะเวลาในการศึกษาในปีงบประมาณ 2561 – 2562 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และสถิติการ ทดสอบที โดยดาเนินการพัฒนาและใช้รูปแบบการดาเนินงานป้องกันอุบั ติเหตุทางถนน ใน ปีงบประมาณ 2561 และเปรียบเทียบสถิติอัตราตายจากอุบัติเหตุทางถนน ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังดาเนินการในอาเภอทุ่งช้างมีการดาเนินการขับเคล่ือนประเด็นสุขภาพภายใต้กรอบแนวคิด One Health ได้รับการประเมินรับรองทีมระดับเย่ียม ของประเทศเมื่อปี 2561 โดยกรอบการดาเนินงาน สามารถสร้างความสอดคล้อง ต่อเนื่อง เชี่อมโยงกลไกการจัดการระหว่างหน่วยงาน และขยาย เครือข่ายความร่วมมือ เกิดการส่งเสริม สนับสนุนการทางานแบบมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายทั้งใน ระดับอาเภอ ตาบลและหมู่บ้าน วางแผนปฏิบัติงาน มาตรการป้องกันแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุได้ตรงจุด ส่งผลให้ค่าคะแนนเฉล่ียผลการดาเนินงานป้องกันการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน สูงกว่าก่อน ดาเนินการอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 และพบว่าคะแนนที่ได้คิดหลังการดาเนินงานอยู่ใน ระดบั ดเี ยย่ี ม คิดเป็นรอ้ ยละ 80.26 โดยอตั ราการเสียชวี ติ จากอุบัติเหตทุ างถนนลดลง รอ้ ยละ 50.21 จาก 38.78 ต่อแสนประชากรในปี 2561 เป็น 19.31 ต่อแสนประชากรในปี 2562 ดังนั้นรูปแบบการ ดาเนินงานป้องกันการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน นาไปขยายผลให้กับอาเภออ่ืนๆ ในจังหวัดน่าน ตอ่ ไป คาสาคญั : การพฒั นารปู แบบ, การบาดเจ็บจากอบุ ัตเิ หตทุ างถนน 82 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปที ี่ 16 ฉบบั ที่ 1
Development of an Operational Model to Prevent Road Traffic Injury: A Case Study in Thung Chang District, Nan province ABSTRACT The research was conducted by undertaking the quasi-experimental one group pretest-posttest design. The objectives of this study were to develop and evaluate the model of prevention road Traffic Injury which was a case study in Thung Chang District, Nan province. The process was applied from the traffic accident prevention guidelines for the district level. The process was applied from the traffic accident prevention idea scheme of Thailand Road Safety Policy Foundation, under the activity framework of ten activities, with Excellent and Advance levels at a process determined by following the guidelines of the Bureau of Non-Communicable Diseases and the Department of Disease Control, Ministry of Public Health. A total of 40 participants were leaders at the district level. This study conducted in the fiscal year 2018-2019. The data analysis method possessed by percentages, arithmetic means, standard deviation, and paired t-test. Methods of the study started from Step I, an evaluation of operational prevention of a road traffic injury model, and Step II, comparison of death rates from the road traffic injuries in Thung Chang district between 2018 - 2019. The results found that the target group of this study were assigned from this task to solve the problems. The District Road Traffic Injury procedure motivated the communities to cooperate in identifying the major cause of road traffic accidents associated with its injury epidemiology. The District Road Traffic Injury performed participation among the network including the villages, sub-districts, and district levels. Planning of the procedure for preventive measure was exactly hit to the point of the target then it led to increase an average processing score of the road accident prevention by statistically significance at 0.05 level. The score after the prevention procedure was in excellent level of 80.86 per cent. The death rate from road traffic accidents decreased by 50.21 percent which from 38.78 per 100,000 populations to 19.31 per 100,000 populations. The model from this study could be expanded and replicated in other districts of Nan province. Key words: The development of the model, Road Traffic Injury บทนา ปัญหาอุบัติเหตุทางถนนเป็นปัญหาสาคัญที่ทุก เสียชีวิตของประชาชนทั่วโลก (องค์การอนามัยโลก, ประเทศกาลังเผชิญอยู่และแนวโน้มมีผู้เสียชีวิตและ 2558) สถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทย บาดเจ็บสูงข้ึน โดยองค์การอนามัยโลกได้ช้ีแจงว่า เปน็ อนั ดบั หนึ่งในสามอันดบั แรกของปัญหาสาธารณสุข สถานการณ์ปัจจุบันด้านความปลอดภัยทางถนน ไทยมาโดยตลอด จานวนผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต และผู้ ของโลก พ.ศ.2558 (Global Status Report on พิการมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทุกปี ข้อมูลจาก Global Road Safety 2015) พบว่าในแต่ละปีประชาชนท่ัวโลก Status Report on Road Safety 2015 ขององค์การ เสียชีวติ จากอบุ ัตเิ หตทุ างถนนประมาณ 1.35 ล้านคน อนามยั โลก (องคก์ ารอนามัยโลก, 2558) จัดให้ประเทศ อุบัติเหตุทางถนนเป็นสาเหตุอันดับ 8 ของการ ไทยเปน็ ประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทาง Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 83
การพฒั นารปู แบบการดาเนนิ งานป้ องกนั การบาดเจ็บจากอบุ ตั เิ หตทุ างถนน ในระดบั อาเภอ กรณีศึกษาอาเภอทุง่ ช้าง จงั หวดั น่าน ถนนเปน็ อันดับ 2 ของโลก โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและ ในกลุ่มอายุนี้เสียชีวิต 1 ราย จากท้ังหมดสามราย วัยทางาน (อายุระหว่าง 15–29 ปี) ท่ีเป็นกาลังหลักใน พาหนะท่ี เกิดอุบัติ เหตุทา งถนนมา กที่สุดคื อ การพัฒนาประเทศ จากข้อมูลบูรณาการ 3 ฐาน คือ รถจักรยานยนต์ คิดเป็นร้อยละ 61.88 ซึ่งพฤติกรรม กระทรวงสาธารณสุข สานักงานตารวจแห่งชาติ และ เสี่ยงไม่สวมหมวกนิรภัย คิดเป็นร้อยละ 53.67 มี บริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จากัด พบว่า พฤติกรรมดื่มเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ขณะขับขี่ ในระยะ 5 ปี ต้ังแต่ปี พ.ศ.2557–2561 มีผู้เสียชีวิต ยานพาหนะ คิดเป็นร้อยละ 23.42 พบว่าเวลาท่ีเกิด จากอบุ ตั เิ หตทุ างถนน 104,033 คน เฉล่ียปีละ 17,339 อุบัติเหตุทางถนนมากที่สุดคือ ช่วงเวลา 16.00 – คน หรือคิดเป็นอัตราตาย 31.9 ต่อประชากรแสนคน 19.59 น. ร้อยละ 34.26 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีการ และเป็นผู้บาดเจ็บต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล สัญจรไปมาของผู้คนที่ใช้รถใช้ถนนค่อนข้างมาก ประมาณ 2 แสนคนต่อปี คิดเป็นความสูญเสียทาง รวมถึงเป็นช่วงเวลาใกล้ค่า อาจมีข้อจากัดของไฟส่อง เศรษฐกิจ 5 แสนล้านบาทต่อปี(สานักโรคไม่ติดต่อ, สว่างตามถนน โอกาสเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุค่อนข้าง 2562) สูง ถนนกรมทางหลวงเกิดอุบัติเหตุสูงสุด คิดเป็น สถิติการเกิดอุบัติเหตุจังหวัดน่าน ปี 2558–2560 ร้อยละ 56.99 ซึ่งถนนกรมทางหลวงในอาเภอทุ่งช้าง พบอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนต่อแสน เป็นช่วงที่มีการขยายพื้นท่ีผิวจราจรเป็น 4 ช่องทาง ประชากร เท่ากับ 17.78, 23.01, 15.8 ตามลาดับ ทาให้มีแนวโน้มการเกิดอุบัติเหตุเพ่ิมสูงขึ้น (กรภัทร โดยในปี 2560 มีผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน ขนั ไชย, 2560) เฉล่ียประมาณวันละ 29 ราย และมีผู้เสียชีวิตจาก การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการ อุบัติเหตุทางถนนเดือนละ 6-7 ราย พาหนะที่เกิด ดาเนินงานป้องกันการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน อุบัติเหตุทางถนนมากท่ีสุดคือ รถจักรยานยนต์ คิด ระดับอาเภอ จากกรอบการดาเนินงานตามแบบ เป็นร้อยละ 68.92 ซ่ึงพฤติกรรมเส่ียงไม่สวมหมวก ประเมินผลการดาเนินงานป้องกันการบาดเจ็บจาก นิรภัย คิดเป็นร้อยละ 86.27 มีพฤติกรรมด่ืม อบุ ัตเิ หตทุ างถนนระดบั อาเภอ (D-RTI) ของสานักโรค เครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ขณะขับข่ียานพาหนะ คิดเป็น ไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ร้อยละ 30.99 ถนนกรมทางหลวงเกิดอุบัติเหตุสูงสุด ภายใต้กรอบกิจกรรม 10 กิจกรรม ปรับใช้ให้ คิดเป็นร้อยละ 62.16 ช่วงเวลาของการเกิดอุบัติเหตุ เหมาะสมตรงตามบริบทของพ้ืนท่ีอาเภอทุ่งช้าง เพื่อ สูงสุดในช่วงเวลา 16.01–20.00 น. คิดเป็นร้อยละ นาไปสู่การป้องกันการบาดเจ็บและเสียชีวิตจาก 27.03 ซึง่ ผู้เสียชวี ติ สว่ นใหญ่เสียชีวติ ณ ห้องอุบัตเิ หตุ อุบตั ิเหตุทางถนนในอาเภอทงุ่ ช้าง อย่างยง่ั ยนื ของโรงพยาบาล คิดเป็นร้อยละ 62.16 (กลุ่มงาน ควบคมุ โรคไมต่ ดิ ตอ่ สขุ ภาพจติ และยาเสพตดิ , 2562) วธิ กี ารศกึ ษา ในปี 2560 อาเภอทุ่งช้างมีอัตราการเสียชีวิตจาก การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัยเชิงก่ึงทดลอง (Quasi- อุบัติเหตุทางถนนต่อแสนประชากร เท่ากับ 19.48 experimental research) ใช้กลุ่มตัวอย่างเดียววัด ลดลงจากปี 2559 ที่พบว่าอัตราเสียชีวิต 32.68 ต่อ ก่อนและหลังการทดลอง (One group pretest- แสนประชากร ถึงแม้ว่าอัตราเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ posttest design) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบ ทางถนนจะลดลง พบว่าสาเหตุการเสียชีวิตภายนอก และผลลัพธ์ของการพัฒนารูปแบบการดาเนินงาน (External cause) สูงเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งเป็นปัญหา ป้องกนั การบาดเจ็บจากอบุ ัติเหตทุ างถนน กรณีศึกษา ด้านสาธารณสุขท่ีสาคัญในพื้นที่ พบว่าใน 1 วันจะมี อาเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน ภายใต้ 10 กิจกรรม ผบู้ าดเจบ็ จากอุบตั เิ หตุทางถนนเฉลี่ยประมาณ 3 ราย พัฒนาจากแนวทางการดาเนินงานป้องกันการ โดยกล่มุ อายุ 11–20 ปี มีการบาดเจ็บนอนโรงพยาบาล บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนระดับอาเภอ (D-RTI) (Admit) สงู สุดในร้อยละ 30.33 ของทุกกลุ่มอายุและ ของสานักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวง 84 วารสารสาธารณสขุ ลา้ นนา ปีท่ี 16 ฉบบั ท่ี 1
Development of an Operational Model to Prevent Road Traffic Injury: A Case Study in Thung Chang District, Nan province สาธารณสุข (สานักโรคไม่ติดต่อ, 2560) การวิจัยน้ีมี ลักษณะการตอบคาถามเป็นมาตราส่วนประมาณค่า ระยะเวลาการศึกษารวม 24 เดือน ต้ังแต่วันท่ี 1 (Rating scale) และมีระดับผลการดาเนินงาน 3 ระดับ ตลุ าคม 2560 ถงึ 30 กันยายน 2562 ได้แก่ ระดับดี ให้คะแนน 1 คะแนน ระดับดีมาก ให้ คะแนน 2 คะแนน และระดับดีเย่ียม ให้คะแนน 3 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง คือ ทีมแกนนาระดับ คะแนน คะแนนเต็ม 30 คะแนน หลังจากน้ันคิดคะแนน อาเภอ (Core team) ตัวแทนประเมิน ประกอบด้วย เป็นร้อยละ และจัดระดับผลการดาเนินงานตาม หน่วยงาน ปลัดอาเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง รูปแบบ D-RTI ดงั นี้ (สานกั โรคไม่ตดิ ตอ่ , 2560) สาธารณสุขอาเภอ หัวหน้าห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน ผู้รับผิดชอบงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล ระดับดี (Good) ร้อยละ 1.00 – 69.99 ผูก้ ากับการสถานีตารวจภธู ร เจา้ พนักงานป้องกันและ ระดบั ดมี าก (Excellence) รอ้ ยละ 70.00 – 79.99 บรรเทาสาธารณภัยขององค์ปกครองส่วนท้องถ่ิน ระดับดเี ยี่ยม (Advance) รอ้ ยละ 80.00 – 100.00 แขวงการทาง บริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ คะแนนท่ีได้จะนามาหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบน กานันหรอื ผ้ใู หญ่บา้ นหรอื แกนนาชุมชน และประธาน มาตรฐาน และเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังการ อาสาสมัครสาธารณสุขในเขตอาเภอทุ่งช้าง จังหวัด ดาเนินงานพัฒนารูปแบบการดาเนินงานป้องกันการ นา่ น จานวน 40 คน บาดเจบ็ จากอุบัตเิ หตทุ างถนน ดังตารางท่ี1 ส่วนที่ 3 แบบสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth เครือ่ งมอื ท่ใี ช้ในการศกึ ษา interview questionnaire) เป็นเครื่องมือที่ผู้วิจัยได้ เป็นแบบประเมินผลการดาเนินงานป้องกันการ ส ร้ า ง ข้ึ น เ พื่ อ ใ ช้ ใ น ก า ร ร ว บ ร ว ม ข้ อ มู ล เ บ้ื อ ง ต้ น บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนระดับอาเภอ (D-RTI) ประกอบการอภิปรายเปน็ รายกรณใี นอาเภอทุ่งช้าง ท่ี ของสานักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวง เป็นต้นแบบในการพัฒนาแนวทางการดาเนินงาน สาธารณสุข ภายใต้กรอบกิจกรรม 10 กิจกรรม ท่ีได้ ป้องกันการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนระดับ จากการทบทวนวรรณกรรมและแก้ไขปรับปรุงตาม อาเภอ (D-RTI) ประกอบด้วยโครงสร้างคาถาม ดังนี้ คาแนะนาของคณะทางานข้อมูลอุบัติเหตุจราจรทาง 1) การขับเคลื่อนการดาเนินงานแบบมีส่วนร่วมของ ถนนจังหวัดน่าน และผู้รับผิดชอบงานป้องกัน ทีมสหสาขา ตามรูปแบบที่ได้พัฒนาเป็นอย่างไรบ้าง อุบัติเหตุทางถนนในระดับอาเภอ เพื่อใช้เป็นแบบ 2) ปัจจัยแห่งความสาเร็จของการดาเนินงานการ ประเมินในพนื้ ทอี่ าเภอทุ่งชา้ ง ระหวา่ งวันที่ 1 ตุลาคม ป้องกันบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน ตามรูปแบบที่ 2560 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2561 และเปรียบเทียบ พัฒนา มอี ะไรบ้าง 3) ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะ สถิติการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ในการดาเนินงานการป้องกันบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ณ ปีงบประมาณ 2561–2562 แบง่ เป็น 3 สว่ น ดงั น้ี ทางถนน สว่ นท่ี 1 ขอ้ มูลท่ัวไปของกลุ่มตัวอย่างท่ีปฏิบัติงาน ในอาเภอทุ่งช้าง เป็นแบบสอบถามปลายเปิด (Open สถติ ิที่ใชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมูล Form) สอบถามรายละเอียดเป็นแบบสอบถามรายการ ทาการวเิ คราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Checklist) ประกอบด้วย เพศ อายุ ระดับการศึกษา สาเร็จรปู ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ตาแหน่ง ระยะเวลาการปฏิบัติงานที่เก่ียวข้องกับงาน และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน และการทดสอบ T-Test อุบตั ิเหตทุ างถนน เพ่ือเปรียบเทียบคะแนนเฉล่ียผลการดาเนินงานก่อน ส่วนท่ี 2 แบบประเมินผลการดาเนินงานป้องกัน และหลงั การดาเนินงานพัฒนารูปแบบการดาเนินงาน การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนระดับอาเภอ ป้องกันการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนที่ผู้วิจัยได้ (D-RTI) ที่ผู้วจิ ยั พัฒนาข้ึนจากการทบทวนวรรณกรรม พฒั นา กาหนดนัยสาคัญทางสถิตทิ ่รี ะดับ 0.05 ท่ีเกี่ยวข้อง ภายใต้กรอบกิจกรรม 10 กิจกรรม โดยมี Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 85
การพฒั นารูปแบบการดาเนนิ งานป้ องกนั การบาดเจ็บจากอบุ ตั เิ หตทุ างถนน ในระดบั อาเภอ กรณศี ึกษาอาเภอทุง่ ช้าง จงั หวดั น่าน ตารางท่ี 1 กรอบกิจกรรม และการแปลผลคะแนนการพัฒนารูปแบบการดาเนินงานป้องกันการบาดเจ็บจาก อุบตั เิ หตุทางถนน กรอบกิจกรรม DHS-RTI ระดบั ดี ระดบั ดีมาก ระดบั ดีเยี่ยม 1. การสร้างกลไกการบริหารจัดการแบบบูรณาการมี มีคาสง่ั และ มคี าส่งั แตง่ ตง้ั มีคาสัง่ แต่งตงั้ ส่วนร่วมของทีมสหสาขา(พชอ./ศปถ.) โดยมีการจัดตั้ง ประชมุ 2 ประชุม 2-5 ประชุมมากกว่า 5 คณะทางาน Core Team และมีการประชุมเพื่อนา ขอ้ มลู มาใช้ประโยชนผ์ ลกั ดันให้เกิดมาตรการปอ้ งกนั คร้งั /ปี คร้ัง/ปี คร้ัง/ปี 2. การจัดการข้อมูลเฝ้าระวังและจัดทาสถานการณ์ ปัญหาการบาดเจ็บและเสียชีวิตเชิงระบาดวิทยา (คน/ ยอ้ นหลงั ยอ้ นหลงั ย้อนหลงั รถ/ถนนและส่งิ แวดล้อม) 2 ปี 3 ปี มากกวา่ 3 ปี 3. มีการสอบสวนสาเหตุการบาดเจ็บและเสียชีวิตจาก อุบตั ิเหตทุ างถนน โดยใช้ตาราง Haddon’s Matrix 3 Case/ปี 5 Case/ปี มากกวา่ 4. คัดเลือกประเด็นปัญหาอย่างน้อย 2 ประเด็น 5 Case/ปี วิเคราะห์ปัจจยั และสาเหตขุ องการเกิดอุบตั เิ หตุทางถนน 2 ประเดน็ 3 ประเดน็ มากกวา่ 3 (คน/รถ/ถนนและสิง่ แวดล้อม) ประเด็น 5. กาหนดเปา้ หมายวิธีการแก้ไขปัญหานามาสู่แผนงาน/ 1 แผนงาน/ 2 แผนงาน/ โครงการ/มาตรการและผลลพั ธ์ โครงการ โครงการ 3 แผนงาน/ 6. มีการดาเนินมาตรการป้องกันการบาดเจ็บจาก 1 มาตรการ 2 มาตรการ โครงการ อุบัติเหตุทางถนนระดับอาเภอ(คน/รถ/ถนนและ และตดิ ตาม และตดิ ตาม 3 มาตรการ ส่งิ แวดลอ้ ม) ประเมนิ ผล ประเมนิ ผล และตดิ ตาม 7. มีการจัดตั้งทีมระดับท้องถิ่น/ตาบล (RTI-Team) มีคาสงั่ แต่งตัง้ มคี าสง่ั แตง่ ต้ัง ประเมนิ ผล หรือ ศปถ.อปท. พร้อมกับการจัดการข้อมูลเฝ้าระวัง และเสนอ และเสนอข้อมูล มคี าส่งั แตง่ ตงั้ และจัดทาสถานการณ์ปัญหาการบาดเจ็บและเสียชีวิต ข้อมูลในการ ในการประชุม 2 และเสนอขอ้ มลู ระดับตาบลเชิงระบาดวิทยา (คน/รถ/ถนนและ ประชุม 1 ครง้ั /ปี ในการประชุม ส่งิ แวดล้อม) ครั้ง/ปี มากกวา่ 2 ครง้ั /ปี 8. มีการดาเนินงานมาตรการในระดับตาบล/ชุมชน 1 มาตรการ 2 มาตรการ สอดคล้องกับผลการวิเคราะห์ข้อมูลเฝ้าระวังอุบัติเหตุ 3 มาตรการ ของระดบั ตาบล 3 จดุ และ 5 จดุ และ 9. ช้ีเป้าและแก้ไขจุดเสี่ยง (Black spot) หรือการจัดให้ ไดร้ บั การ ไดร้ ับการแก้ไข มากกว่า 5 จุด มีโซนถนนปลอดภยั (Safety Zone) และไดร้ บั การ แก้ไข 1 ฉบบั และ 10. สรปุ ผลการดาเนนิ งานและเปรยี บเทยี บข้อมลู การ 1 ฉบับและ สรุปขอ้ มลู แกไ้ ข สรุปขอ้ มลู อาเภอ,ตาบล 1 ฉบบั และ บาดเจบ็ และเสยี ชวี ิตในอาเภอและตาบล พร้อมเสนอราย สรปุ ขอ้ มลู อาเภอ ตอ่ ศปถ.อาเภอ อาเภอ,ตาบล พร้อมเสนอราย 1 ครงั้ ต่อ ศปถ.อาเภอ 2 คร้งั ขึน้ ไป 86 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปีที่ 16 ฉบบั ท่ี 1
Development of an Operational Model to Prevent Road Traffic Injury: A Case Study in Thung Chang District, Nan province ผลการศกึ ษา ข้อมูลท่ัวไปของทีมนาระดับอาเภอ (Core team) เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ร้อยละ 87.50 รองลงมาคือ เป็นตัวแทนประเมิน จานวน 40 คน ส่วนใหญ่เป็น หัวหน้าหน่วยงาน ร้อยละ 37.5 มีระยะเวลาการ เพศชาย รอ้ ยละ 67.50 อายุระหว่าง 41–50 ปี ร้อยละ ปฏิบัติงานท่ีเก่ียวข้องกับอุบัติเหตุ 6-10 ปี ร้อยละ 40.00 รองลงมาคือ 31-40 ปี ร้อยละ 25.00 จบ 25.00 รองลงมา คือ 16–20 ปี ร้อยละ 22.50 ดัง การศึกษาระดับปริญญาตรี ร้อยละ 45.00 รองลงมา ตารางท่ี 2 จบอนปุ รญิ ญา รอ้ ยละ 25.00 ปฏิบัติหน้าท่ีในตาแหน่ง ตารางท่ี 2 ขอ้ มูลทั่วไปของทีมนาระดบั อาเภอ (Core team) ตัวแปร จานวน ร้อยละ เพศ 27 67.50 ชาย 13 32.50 หญงิ 5 12.50 อายุ (ปี) 10 25.00 21 – 30 ปี 16 40.00 31 – 40 ปี 9 22.50 41 – 50 ปี มากกว่า 50 ปขี ึน้ ไป 9 22.50 10 25.00 อายเุ ฉลี่ย 42.97 ปี S.D.= 9.90 18 45.00 ระดบั การศึกษา 3 7.50 มธั ยมศึกษาตอนปลาย 15 37.50 อนุปรญิ ญา 35 87.50 ปรญิ ญาตรี สูงกว่าปริญญาตรี 3 7.50 ตาแหน่ง 6 15.00 หัวหนา้ หนว่ ยงาน 10 25.00 เจา้ หน้าทผ่ี ปู้ ฏบิ ตั งิ าน 8 20.00 ระยะเวลาการปฏิบัตงิ านด้านอบุ ัตเิ หตทุ างถนน 9 22.50 ต่ากว่า 1 ปี 4 10.00 1 – 5 ปี 6 – 10 ปี 11 – 15 ปี 16 – 20 ปี มากกวา่ 20 ปี ระยะเวลาเฉล่ีย 11.70 ปี S.D.= 6.71 Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 87
การพฒั นารูปแบบการดาเนนิ งานป้ องกนั การบาดเจ็บจากอบุ ตั เิ หตทุ างถนน ในระดบั อาเภอ กรณีศึกษาอาเภอทุง่ ช้าง จงั หวดั น่าน ผลการพัฒนารูปแบบการดาเนินงานป้องกันการ คือ กิจกรรมท่ี 6 การดาเนินมาตรการป้องกันการ บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนน ปีงบประมาณ 2561 บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนระดับอาเภอ (คน/รถ/ อาเภอทุ่งช้าง หลังดาเนินการกลุ่มตัวอย่างมีคะแนน ถนนและสิ่งแวดล้อม) มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.60 (S.D.= ผ ล ก า ร ด า เ นิ น ง า น พั ฒ น า รู ป แ บ บ สู ง ก ว่ า ก่ อ น 0.49) กิจกรรมที่ 7 มีการจัดต้ังทีมระดับท้องถิ่น/ ดาเนินการ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 ตาบล (RTI-Team) หรือ ศปถ.อปท. พร้อมกับการ โดยพบว่าคะแนนเฉล่ียสูงสุดคือกิจกรรมท่ี 8 การ จัดการข้อมูลเฝ้าระวังและจัดทาสถานการณ์ปัญหา ดาเนินงานมาตรการในระดับตาบล/ชุมชนสอดคล้อง การบาดเจ็บและเสียชีวิตระดับตาบล เชิงระบาด กับผลการวเิ คราะห์ข้อมูลเฝ้าระวังอุบัติเหตุของตาบล วิทยา (คน/รถ/ถนนและสิ่งแวดล้อม) ค่าเฉล่ียเท่ากับ มีค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 2.70 (S.D.=0.51) รองลงมา 2.58 (S.D.=0.50) รายละเอยี ดดังตารางท่ี 3 ตารางที่ 3 เปรียบเทียบการประเมินรับรองผลการดาเนินงานพัฒนารูปแบบการดาเนินงานป้องกันการ บาดเจบ็ จากอุบัตเิ หตุทางถนนรายกจิ กรรม ก่อนและหลังดาเนิน (N = 40) ผลการดาเนินงาน กิจกรรม กอ่ นดาเนินการ หลงั ดาเนนิ การ t p-value Mean S.D. Mean S.D. -8.40 0.000 1. การสร้างกลไกการบริหารจัดการแบบ 1.43 0.67 2.40 0.49 -10.98 0.000* บูรณาการมีส่วนร่วมของทีมสหสาขา (พชอ./ -7.31 0.000* ศปถ.) โดยมีการจัดต้ังคณะทางาน Core -12.54 0.000* Team) และมีการประชุมเพื่อนาข้อมูลมาใช้ -14.64 0.000* ประโยชน์ผลกั ดนั ใหเ้ กดิ มาตรการปอ้ งกนั -14.02 0.000* 2. การจัดการข้อมูลเฝ้าระวังและจัดทา 1.23 0.42 2.35 0.48 สถานการณ์ปัญหาการบาดเจ็บและเสียชีวิต เ ชิ ง ร ะ บ า ด วิ ท ย า ( ค น / ร ถ / ถ น น แ ล ะ ส่งิ แวดล้อม) 3. มีการสอบสวนสาเหตุการบาดเจ็บและ 1.15 0.36 2.05 0.67 เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน โดยใช้ตาราง Haddon’s Matrix 4. คัดเลือกประเด็นปัญหาอย่างน้อย 2 1.23 0.42 2.48 0.50 ประเด็น วิเคราะห์ปัจจัยและสาเหตุของการ เกิดอุบัติเหตุทางถนน(คน/รถ/ถนนและ สิง่ แวดล้อม) 5. กาหนดเป้าหมายวิธกี ารแกไ้ ขปัญหา นามา 1.13 0.33 2.45 0.50 สแู่ ผนงาน/โครงการ/มาตรการและผลลพั ธ์ 6. การดาเนินมาตรการป้องกันการบาดเจ็บ 1.20 0.40 2.60 0.49 จากอุบัติเหตุทางถนนระดับอาเภอ (คน/รถ/ ถนนและส่งิ แวดล้อม) 88 วารสารสาธารณสุขลา้ นนา ปที ี่ 16 ฉบบั ที่ 1
Development of an Operational Model to Prevent Road Traffic Injury: A Case Study in Thung Chang District, Nan province ผลการดาเนินงาน กิจกรรม กอ่ นดาเนนิ การ หลงั ดาเนินการ t p-value Mean S.D. Mean S.D. -13.02 0.000* 7. จัดต้งั ทีมระดับทอ้ งถน่ิ /ตาบล (RTI-Team) 1.20 0.40 2.58 0.50 -12.83 0.000* หรือศปถ.อปท. พร้อมกับการจัดการข้อมูล -12.93 0.000* -16.31 0.000* เฝ้าระวังและจัดทาสถานการณ์ปัญหาการ บาดเจ็บและเสียชีวิตระดับตาบล เชิงระบาด วิทยา (คน/รถ/ถนนและส่ิงแวดล้อม) 8. การดาเนินงานมาตรการในระดับตาบล/ 1.25 0.43 2.70 0.51 ชุมชนสอดคล้องกบั ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเฝ้า ระวงั อบุ ตั ิเหตขุ องตาบล 9. ชี้เป้าและแก้ไขจุดเสี่ยง (Black spot) หรือ 1.20 0.45 2.28 0.33 การจดั ใหม้ โี ซนถนนปลอดภัย (Safety Zone) 10. สรุปผลการดาเนินงานและเปรียบเทียบ 1.13 0.33 2.20 0.40 ข้อมูลการบาดเจ็บและเสียชีวิตในอาเภอและ ตาบล * p<0.05 จากผลของการพัฒนารูปแบบการดาเนินงาน นัยสาคญั ทางสถิติท่ีระดับ 0.05 โดยก่อนการดาเนินงาน ปอ้ งกนั การบาดเจบ็ จากอุบัติเหตทุ างถนน กรณีศึกษา มีระดับคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 12.13 คะแนนที่ได้ คิด อาเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่านพบว่า ผลการประเมินการ เป็นรอ้ ยละ 40.43 อย่ใู นผลการประเมินไม่ผ่านเกณฑ์ ใหค้ ะแนนเป็นร้อยละ จัดระดบั ผลการดาเนนิ งานตาม หลังดาเนินการมีระดับคะแนนเฉล่ียเท่ากับ 24.08 รูปแบบ D-RTI หลังดาเนินการมีค่าคะแนนผลการ คะแนนท่ีได้คิดเป็นร้อยละ 80.26 อยู่ในผลการ ประเมินอยู่ในระดับที่สูงกว่าก่อนดาเนินการอย่างมี ประเมนิ ระดบั ดเี ยี่ยม (Advance) ดังตารางที่ 4 ตารางท่ี 4 เปรยี บเทียบค่าคะแนนเฉล่ียก่อนและหลงั การดาเนินการพฒั นารูปแบบการดาเนินงานปอ้ งกนั การ บาดเจ็บจากอุบตั เิ หตุทางถนน กรณีศึกษาอาเภอทุ่งช้าง จงั หวดั นา่ น (N=40) การดาเนนิ งาน D-RTI Mean S.D. t p-value ก่อนการดาเนินงาน 12.13 1.13 หลังการดาเนินงาน * p<0.05 24.08 1.34 -48.19 0.000 Lanna Public Health Journal Volume 16 N0.1 89
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140