Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิจัยสถิติ

วิจัยสถิติ

Published by kanittha450, 2020-03-25 11:27:05

Description: วิจัยสถิติ

Search

Read the Text Version

87 เมือ่ P แทน ดชั นคี า ความยากงา ย แทน จํานวนนกั เรยี นทที่ าํ ขอ สอบถกู R แทน จํานวนนกั เรยี นทท่ี าํ ขอสอบท้ังหมด N 1.3 การวเิ คราะหค า อํานาจจาํ แนกของแบบทดสอบความสามารถอา นจับใจความ โดยใชสตู ร (บุญชม ศรีสะอาด. 2543: 50) ดังนี้ r = H-L N/2 เมื่อ r แทน คาความยากของขอสอบ แทน จํานวนคนในกลุม สูงที่ตอบถกู ในขอ สอบขอนน้ั H แทน จํานวนคนในกลุม ตาํ่ ทต่ี อบถูกในขอสอบขอนั้น แทน จาํ นวนคนทง้ั หมดในกลุมสูงและกลุมต่ํา L N 1.4 การหาคาความเชื่อม่นั ของแบบทดสอบความสามารถอา นจบั ใจความ โดยใชส ตู ร KR-20 (ชูศรี วงศร ตั นะ. 2549: 76) ดงั นี้ rtt = k 1  1 − ∑ pq  k- s2 เมื่อ rtt แทน คา ความเชอ่ื ม่ันของแบบทดสอบ k แทน จํานวนขอ ของแบบทดสอบ s2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวมทง้ั ฉบบั p q แทน สดั สวนของคนทาํ ถูกแตละขอ แทน สดั สว นของคนทําผิดแตล ะขอ (q = 1 – p) 2. สถติ ทิ ่ใี ชในการวิเคราะหข อ มูล การศกึ ษาความสามารถอา นจับใจความของนักเรียนอายุ 9 – 12 ปทม่ี ปี ญ หาทางการเรียนรู ดานการอาน จากการสอนอานโดยวิธี PQ4R รวมกับเทคนคิ แผนทคี่ วามคดิ ใชส ถติ ดิ ังนี้ 2.1 การหาคา มัธยฐาน (Median) โดยใชส ูตร (พชิ ติ ฤทธ์จิ รญู . 2545: 174) ดงั นี้

88 Mdn = X N +1 2 เมื่อ Mdn แทน มธั ยฐานหรอื คากลาง X แทน จํานวนคะแนนหรอื ขอ มลู ทีเ่ ปนเลขคู XN N X2N +1 แทน คะแนนตัวที่ N2 +1 แทน คะแนนตวั ท่ี 2 2 2.2 การหาคาพสิ ัยระหวางควอไทล (Interquartile Range = IQR) คาํ นวณจากสูตร (ยทุ ธ พงษ กยั วรรณ. 2543: 152) โดยมีสตู ร ดังน้ี IQR = Q3 - Q1 เม่อื IQR แทน คาพิสัยควอไทล N 4 Q1 แทน คาทต่ี าํ แหนง ¼ หรอื 25% หาไดจาก Q1 = Q3 แทน คา ท่ีตําแหนง ¾ หรือ 75% หาไดจ าก Q3 =  N  × 3  4  N แทน จาํ นวนขอมลู 3. สถิตทิ ีใ่ ชท ดสอบสมมตฐิ าน 3.1 การเปรยี บเทียบคามัธยฐานท่ีคํานวณไดกบั คา มัธยฐานของความสามารถอา นจับ ใจความ ของนักเรียนอายุ 9 – 12 ปทม่ี ปี ญหาทางการเรยี นรดู านการอา น จากการสอนอา นโดยวิธี PQ4R รวมกบั เทคนิคแผนทค่ี วามคดิ โดยใช The Sign Test for Median: One Sample (Milton; Mcteer; & Corbet. 1997: 594-595)โดยใชสูตร ดงั นี้ P(X ≤ M) = P( X ≥ M) =1 เมื่อ M แทน คา มธั ยฐานทีต่ ง้ั ไว (เกณฑท่กี าํ หนดไว) X แทน จาํ นวนคาของตวั แปรที่นอยกวา คา มธั ยฐานทีก่ ําหนดไว (-) หรือจํานวนคาของตัวแปรทีม่ ากกวาคามัธยฐานท่ีตัง้ ไว (+)

89 โดยพจิ ารณาใชคา + เมื่อตัง้ สมมตฐิ าน Ha : M < Mo และพิจารณาใชค า – เมอื่ ต้งั สมมตฐิ าน Ha : M > Mo เมอ่ื M เปน คามัธยฐานทไี่ ดจากการทดลองและ Mo เปน คา มธั ยฐานทก่ี าํ หนดไว 3.2 การเปรยี บเทยี บความแตกตางของความสามารถอานจบั ใจความของนักเรียน อายุ 9 -12 ปทม่ี ปี ญ หาทางการเรยี นรู กอนและหลังการสอน โดยใชการสอนอา นดว ยวธิ ี PQ4R รว มกบั เทคนิค แผนทค่ี วามคิด กอนและหลงั การทดลอง โดยใช The Wilcoxon Matched-Pairs Signed-Ranks Test (นภิ า ศรไี พโรจน. 2533: 93) โดยใชสตู ร ดังน้ี D = Y–X เม่อื D แทน คา ความแตกตา งของขอ มูลทัง้ คู X แทน คะแนนของการประเมินกอ นการทดลอง Y แทน คะแนนของการประเมินหลงั การทดลอง จดั อนั ดับคาความแตกตา งจากคานอ ยไปหาคา มากกาํ กับอนั ดับทดี่ วยเครื่องหมาย บวกหรอื เครื่องหมายลบตามลาํ ดบั ของผลรวมทน่ี อยกวา (โดยไมค าํ นึงถงึ เครอ่ื งหมาย) เรยี กคานีว้ า T (คาผลรวมของอันดบั ทม่ี ีเครอ่ื งหมายกาํ กบั ท่ีนอ ยกวา ) T - E(T) Z= ST เมื่อ E(T) = N(N +1) 4 ST = N(N + 1)(2N + 1) 24 เม่ือ E(T) แทน คา เฉลยี่ ของผลรวมอันดบั ทน่ี อ ยกวา N แทน จํานวนนกั เรยี น ST แทน คา ความเบย่ี งเบนมาตรฐาน Z แทน คะแนนมาตรฐาน T แทน คาของผลรวมของอันดบั ท่ีมเี ครอื่ งหมายกํากบั ทนี่ อ ยกวา

บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหขอมูล การวิจยั เร่อื งการศกึ ษาความสามารถอา นจับใจความของนกั เรยี นอายุ 9 – 12 ปทมี่ ปี ญหา ทางการเรยี นรูดานการอาน จากการสอนอา นโดยวธิ ี PQ4R รว มกบั เทคนิคแผนท่ีความคดิ มผี ลการ วเิ คราะหข อมลู นําเสนอตามลาํ ดบั ข้นั ตอนดงั ตอไปน้ี 1. การศกึ ษาความสามารถอานจับใจความของนักเรียนอายุ 9 – 12 ปที่มีปญหาทางการ เรียนรูดานการอา น จากการสอนอา นโดยวธิ ี PQ4R รว มกับเทคนิคแผนท่คี วามคิด มีรายละเอียดดงั นี้ ตาราง 2 จาํ นวนคะแนน คามัธยฐานและคาพสิ ัยระหวางควอไทลความสามารถอานจับใจความของ นักเรียนอายุ 9 – 12 ปท่ีมีปญหาทางการเรยี นรูดานการอาน จากการสอนอานโดยวธิ ี PQ4R รวมกับ เทคนิคแผนท่ีความคดิ คนที่ คะแนนกอ นเรยี น ระดับ คะแนนหลังเรยี น ระดบั (คะแนนเตม็ 20 คะแนน) (คะแนนเต็ม 20 คะแนน) ปรบั ปรงุ ดีมาก 18 ปรับปรงุ 16 ดี 25 ปรับปรุง 15 ดี 36 ปรับปรุง 14 ดี 47 ปรับปรงุ 15 58 ปรับปรงุ 17 ดีมาก 65 ปรบั ปรงุ 14 ดี ดี Mdn 6.5 15.17 IQR 3 2 จากตาราง 1 แสดงวา ความสามารถอา นจับใจความของนกั เรียนอายุ 9 – 12 ปท มี่ ปี ญหา ทางการเรยี นรูดา นการอาน จากการสอนอา นโดยวธิ ี PQ4R รวมกบั เทคนิคแผนท่คี วามคดิ โดยกอน สอนมคี ะแนนระหวา ง 5 – 8 คะแนน คามัธยฐานเทา กับ 6.5 คาพิสยั ระหวาง ควอไทลเ ทากบั 3 ความสามารถ อานจับใจความอยใู นระดบั ปรับปรงุ และหลงั จากการ สอนอา นโดยวิธี PQ4R รวมกับ เทคนคิ แผนที่ความคิด นักเรยี นมคี ะแนนระหวาง 14 – 17 คะแนน คา มธั ยฐานเทากับ 15.17 คา พิสัย ระหวา งควอไทลเทา กับ 2 ความสามารถอา นจับใจความอยูใ นระดับดี

91 ขอมูลจากตาราง 2 แสดงดวยกราฟ ไดด งั น้ี คะแนน 20 15 10 กอนเรียน หลงั เรียน 5 0 นักเรยี น (คนที่) 123456 ภาพประกอบ 4 กราฟแสดงความสามารถอา นจับใจความของนักเรียนอายุ 9 – 12 ปทม่ี ปี ญ หา ทางการเรยี นรดู านการอา น กอ นและหลังการสอนจากการสอนอานโดยวิธี PQ4R รว มกับเทคนคิ แผนท่ีความคิด ตาราง 3 การเปรยี บเทยี บคามัธยฐานทคี่ ํานวณไดกับคามัธยฐานทเ่ี ปน เกณฑระดบั ดีของ ความสามารถ อา นจับใจความของนักเรยี นอายุ 9 – 12 ปทีม่ ปี ญหาทางการเรียนรูดา นการอา นจากการสอนอา น โดยวธิ ี PQ4R รว มกับเทคนคิ แผนท่ีความคิด คนท่ี คะแนนหลังเรยี น คามัธยฐานท่ี เครื่องหมาย t P-value (คะแนนเต็ม 20 คะแนน) กาํ หนดไวร ะดบั ดี + – 1 16 14 – 15 + 6 1.000 2 15 + 3 14 + 4 15 + 5 17 + 6 14 + Mdn 15.17 ≥ 14 6 0 H0 : M ≥ 14 IQR 2 Ha :M < 14

92 จากตาราง 3 แสดงวา คา มัธยฐานของความสามารถอานจบั ใจความของนกั เรยี นอายุ 9 – 12 ปท ่มี ีปญ หาทางการเรยี นรดู า นการอา น จากการสอนอา นโดยวิธี PQ4R รวมกับเทคนคิ แผนท่ีความคดิ สูงกวา หรอื เทากับมธั ยฐานทก่ี าํ หนดไวในระดับดี (14 – 15 คะแนน) อยางมนี ัยสําคญั ทางสถติ ทิ ่ี .05 จงึ จัดไดว าอยูในระดับดี ซึ่งสอดคลอ งกบั สมมติฐานขอท่ี 1 ที่ตงั้ ไววา ความสามารถอานจบั ใจความ ของนักเรียนอายุ 9 – 12 ปที่มีปญ หาทางการเรยี นรดู า นการอาน หลงั จากการสอนอานโดยวธิ ี PQ4R รวมกบั เทคนิคแผนที่ความคิดอยูในระดบั ดี 2. การเปรียบเทียบความสามารถอา นจบั ใจความของนกั เรยี นอายุ 9 – 12 ปทม่ี ีปญ หา ทางการเรยี นรูดานการอา น หลงั จากการสอนอา นโดยวธิ ี PQ4R รวมกับเทคนิคแผนทีค่ วามคิด ตาราง 4 การเปรยี บเทียบความสามารถอานจบั ใจความของนกั เรยี นอายุ 9 – 12 ปท ี่มีปญ หาทางการ เรียนรูด านการอาน หลงั จากการสอนอา นโดยวิธี PQ4R รวมกับเทคนิคแผนท่คี วามคดิ คะแนน ผลตา งของ เคร่ืองหมาย T คะแนน +– คนที่ กอ น หลัง D = Y –X ลาํ ดบั ที่ของ สอน สอน ความแตกตาง (x) (Y) 1 8 16 8 2 +2 0* 2 5 15 10 6 +6 3 6 14 8 2 +2 4 7 15 8 2 +2 5 8 17 9 4.5 +4.5 6 5 14 9 4.5 +4.5 รวม T+ = 21 T- = 0 H0 : MY ≤ MX Ha : MY > MX * มีนยั สาํ คัญทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 จากตาราง 4 แสดงวา ความสามารถอา นจบั ใจความของนกั เรียนอายุ 9 – 12 ปทม่ี ีปญ หา ทางการเรยี นรดู า นการอาน หลังจากการสอนอานโดยวธิ ี PQ4R รวมกับเทคนคิ แผนที่ความคดิ สงู ขึ้น

93 อยา งมีนัยสาํ คญั ทางสถิตทิ ่ีระดับ .05 ซ่งึ สอดคลองกับสมมติฐานขอท่ี 2 ที่ต้ังไววา ความสามารถอาน จบั ใจความของนกั เรียนอายุ 9 – 12 ปท่มี ปี ญหาทางการเรยี นรดู านการอา น หลงั จากการสอนอา นโดย วิธี PQ4R รว มกับเทคนิคแผนที่ความคิดสงู ขึ้น

บทท่ี 5 สรุป อภปิ รายผล และขอ เสนอแนะ การวจิ ยั เรื่องการศกึ ษาความสามารถอา นจับใจความของนักเรียนอายุ 9 – 12 ปทีม่ ปี ญ หา ทางการเรยี นรูดา นการอาน จากการสอนอานโดยวิธี PQ4R รว มกับเทคนิคแผนทค่ี วามคดิ มีการสรุป อภปิ รายผล และขอเสนอแนะ ดงั น้ี ความมงุ หมายของการวิจยั 1. เพ่ือศกึ ษาความสามารถอานจับใจความของนักเรยี นอายุ 9 – 12 ปท มี่ ปี ญหาทางการ เรียนรูดา นการอา น หลงั จากการสอนอานโดยวธิ ี PQ4R รวมกับเทคนิคแผนทีค่ วามคดิ 2. เพอ่ื เปรียบเทียบความสามารถอา นจับใจความของนักเรยี นอายุ 9 – 12 ปท ม่ี ีปญ หา ทางการเรยี นรดู า นการอา น กอ นและหลงั จากการสอนอานโดยวธิ ี PQ4R รวมกบั เทคนิคแผนที่ ความคดิ สมมตฐิ านการวิจัย 1. ความสามารถอานจบั ใจความของนกั เรยี นอายุ 9 – 12 ปท ีม่ ปี ญหาทางการเรยี นรูด านการ อา น หลังจากการสอนอานโดยวธิ ี PQ4R รว มกับเทคนคิ แผนทคี่ วามคดิ อยใู นระดบั ดี (รอยละ 70) 2. ความสามารถอา นจบั ใจความของนักเรียนอายุ 9 – 12 ปท ม่ี ปี ญ หาทางการเรียนรดู า นการ อา น หลงั จากการสอนอานโดยวิธี PQ4R รวมกับเทคนคิ แผนท่คี วามคดิ สงู ขนึ้ วิธดี ําเนนิ การวิจัย กลมุ ตวั อยา ง เปน นักเรยี นทม่ี ีปญ หาทางการเรียนรูดานการอา นจับใจความ มรี ะดับสตปิ ญ ญา ปกตแิ ละไมมีความพกิ ารซํา้ ซอ น มอี ายุ 9 – 12 ป ภาคเรยี นท่ี 1 ปก ารศึกษา 2556 โรงเรียนวัดเวตวนั - ธรรมาวาส กรุงเทพมหานคร เลอื กโดยวิธีเจาะจง (Purposive sampling) จาํ นวน 6 คน เครือ่ งมอื ท่ีใชใ นการทดลองประกอบดว ย แผนการจดั การเรยี นรูอานจบั ใจความ จากการใชวธิ ี PQ4R รวมกบั เทคนคิ แผนทค่ี วามคิด จํานวน 24 แผน แบบทดสอบอานจับใจความ กลมุ สาระการ เรยี นรูภ าษไทย 1 ฉบับ จํานวน 20 ขอ ดาํ เนนิ การทดลองกับกลมุ ตัวอยางทเี่ ปนนกั เรียนทีม่ ีปญหาทางการเรยี นรูดานอา นจบั ใจความ อายุ 9 – 12 ป ภาคเรียนที่ 1 ปการศกึ ษา 2556 โรงเรยี นวัดเวตวันธรรมาวาส กรงุ เทพมหานคร จาํ นวน 6 คน ดาํ เนนิ การทดลองตามแผนการทดลองแบบ One Group Pretest-Posttest Design กอน

95 ดาํ เนนิ การวจิ ัย ผูว ิจยั ไดท าํ การทดสอบ ความสามารถอานจับใจความ (Pre-test) แลว ดาํ เนินการสอน ดวยตนเอง โดยการสอนดว ยวธิ ี PQ4R รวมกับเทคนิคแผนที่ความคดิ ใชร ะยะเวลาในการทดลอง 8 สัปดาห สัปดาหละ 2 วนั ในวันพฤหัสบดี 2 ชั่วโมงและวนั ศกุ ร 1 ชวั่ โมง รวมทง้ั ส้นิ 24 ครง้ั ระหวาง วนั ท่ี 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556 ถึงวนั ที่ 30 สิงหาคม พ .ศ. 2556 และทําการทดสอบหลังการทดลอง (Post-test) ดว ยแบบทดสอบความสามารถอานจับใจความ ฉบบั เดยี วทที่ าํ การทดสอบกอนสอน แลว นาํ ผลมาวเิ คราะห ขอ มูลโดยใชค า สถติ พิ ้นื ฐาน ไดแ ก คามัธยฐาน (Median) การหาคาพิสัยระหวา งค วอไทล (Interquartile Range = IQR) และสถติ นิ อนพาราเมตกิ The Signed Test for Median: One Sample และ The Wilcoxon Matched - Pairs Signed - Ranks Test สรุปผลการวจิ ยั 1. ความสามารถอานจบั ใจความของนกั เรยี นทมี่ ปี ญ หาทางการเรียนรูดานอานจับใจความ หลังจากการสอนดวยวิธี PQ4R รวมกบั เทคนิคแผนท่คี วามคดิ อยใู นระดับดี (คา มธั ยฐาน = 15.17 จาก คะแนนเตม็ 20 คะแนน; t = 6, p - value = 1.000) 2. ความสามารถอา นจบั ใจความของนักเรยี นท่มี ีปญ หาทางการเรยี นรดู านอา นจบั ใจความ หลังจากการสอนดว ยวธิ ี PQ4R รวมกับเทคนคิ แผนที่ความคิดสงู ข้ึน (T = 0, p < .05) อภิปรายผลการวจิ ัย การศกึ ษาวิจัยคร้งั นี้เพอื่ ศกึ ษา ความสามารถอานจบั ใจความของนกั เรียนอายุ 9 – 12 ปท ี่มี ปญ หาทางการเรยี นรดู า นการอาน หลงั จากการสอนอานโดยวธิ ี PQ4R รวมกบั เทคนคิ แผนท่ีความคิด ผลการวจิ ัยพบวา 1. จากการศกึ ษา พบวา ความสามารถอานจับใจความของนักเรียนอายุ 9 – 12 ปท ่ีมีปญ หา ทางการเรียนรดู า นการอา น หลงั จากการสอนอานโดยวธิ ี PQ4R รวมกบั เทคนคิ แผนที่ความคดิ อยใู น ระดับดี ซ่งึ สอดคลองกับสมมตฐิ านขอท่ี 1 ทต่ี ัง้ ไววา ความสามารถอานจบั ใจความของนกั เรียนอายุ 9 – 12 ปท ม่ี ีปญหาทางการเรียนรดู า นการอาน หลงั จากการสอนอา นโดยวิธี PQ4R รว มกบั เทคนคิ แผนที่ ความคิดอยูใ นระดบั ดี สามารถนํามาอภิปรายผลได ดังนี้ วิธกี ารสอนอานโดยวธิ ี PQ4R รว มกับเทคนคิ แผนทีค่ วามคดิ นั้น วิธกี ารสอนแบบ PQ4R ชวย ใหนกั เรียนเกิดการเรียนรู ไดฝก ใชก ลวิธอี ภปิ ญญาในการสรางความเขาใจบทอาน ตั้งแตก ารตงั้ คําถาม ชวยใหก ารอา นมีจดุ มุง หมาย การตรวจสอบความเขาใจในการอา นและบอกคําตอบออกมา รวมถงึ กระบวนการคดิ ขณะทไี่ ดอ านเพือ่ ใหบรรลุจดุ ประสงคข องการอา น สอดคลอ งกบั การวจิ ยั ของ บีบิ (Bibi. 2012: Abstract) ซง่ึ ไดศ กึ ษาผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนดวยกลยุทธ PQ4R ท่มี ีตอนักเรยี นระดบั

96 มัธยมศกึ ษา ในปนจาบ ประเทศปากสี ถาน วา มีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าปากีสถานศึกษา (Pakistan Studies) สูงข้ึนและกลา ววา ทกุ ข้นั ตอนฝกใหนักเรียนเกดิ การเรียนรู เปน กระบวนการที่ฝก ทกั ษะอภิปญญา ซ่ึงในขนั้ ตอนแรก การสํารวจ ซึ่งบบี ิ (Bibi. 1994: 26) กลา ววา ขัน้ ตอนน้ีเปน การ สํารวจอยางรวดเร็วท่วั ท้ังบทอาน ประกอบดวย หัวขอ ตาราง หวั เรือ่ ง กราฟ รูปภาพ เปน ตน แมนกลั (Mangal. 2005: 269) กลาววา ขน้ั ตอนน้ีชวยใหเ ขา ใจความคดิ ของบทอา นซ่ึงนําไปสกู ารเกดิ ความจาํ ขัน้ คาํ ถาม (Question) ผูวิจยั ไดใหผ เู รยี นตง้ั คาํ ถามดว ยตนเองจากบทอานที่ผานการสํารวจ กวาด สายตาทัว่ ทง้ั บทอา น แลว ใหผเู รียนเขยี นคําถามของตนท่เี กย่ี วกับบทอานลงในบั ตรคาํ ถามเพ่ือเปน การ กําหนดจดุ มงุ หมายในการอานเรอ่ื งน้ันๆ สอดคลองกับ (Squires. 2003: 110) ไดกลา วไววา ขั้นตอน คาํ ถามคําตอบนเี้ ปนหัวใจของความเขา ใจ จากนนั้ เปนขนั้ อาน (Reading) ผวู ิจัยใหผเู รียนไดอ า น ทาํ ความเขา ใจในบทอา นอยา งละเอียด ในข้ันตอนน้สี คุ นธ สินธพานนท และคณะ (2545: 287-290) ได กลาวถึงขอ จํากดั ของวธิ ีสอนโดยใชเทคนิค SQ4R วา วิธีสอนโดยการใชเทคนิค SQ4R ไมม ีข้ันตอน สาํ หรับสอนโครงสรางและศัพทใหม ดงั นน้ั ผสู อนจงึ ตองสอดแทรกขั้ นตอนนใี้ นจังหวะท่ีเหมาะสม เพราะในผเู รียนระดับประถมศกึ ษา ผูสอนจําเปนตอ งทบทวนหรอื สอนโครงสรา งและศัพทใหมใหผ เู รยี น ดว ย ซึ่งการสอนแบบ SQ4R มีข้นั ตอนทเ่ี หมอื นกบั PQ4R ดังจะเห็นไดจ าก ผูวจิ ยั ไดสรางบัตรคําศัพท และบตั รภาพเพ่ือสอนคําศพั ทใ หมใ หแ กนักเรยี นในขนั้ ตอนการอาน (Read) ในทุกบทอาน ซ่ึงข้นั อา นน้ี เปนขั้นตอนสําคัญทน่ี ักเรียน จะไดท าํ ความเขา ใจ สอดคลองกบั เรยโนลด (Reynolds. 1996: 216) ที่ กลาววา ขัน้ ตอนนเ้ี ปน หวั ใจของกระบวนการ อา น ขั้นสะทอ น (Reflect) ผูว ิจยั ใหผเู รยี นแสดงความ คดิ เห็นเก่ยี วกบั เรอื่ งท่ีอาน เพอ่ื เชือ่ มโยงบทอานเขา กบั ความรเู ดิม สอดคลอ งกับเอเลียท (Bibi, Ruqia. 2011: 108; citing Eliot. n.d. Psychology and Modern Life, Advice on Effective Studying. pp. 2) ท่ีกลา ววา การอานท่ขี าดการสะทอ นเปรยี บเหมือนการกินที่ปราศจากการยอย และการสะทอนเปน การคิดเกย่ี วกับสาระของเร่ืองท่อี าน การคิ ดถึงส่งิ ทผ่ี านมาและเชื่อมโยงเขา กบั ขอมลู ใหมเกดิ เปน ความรู (Bibi, Ruqia. 2011: 108; citing Bavair. n.d. Some How To’s for Studying. Be An Active Learner. pp.1) จากนน้ั เปน ข้นั ทองจํา (Recite) ใหผูเรยี นแสดงส่งิ ท่ไี ดจากการอา น ใน ข้ันตอนนี้ นักเรียน จะไดตรวจสอบความเขาใจของตน เอง ขอ มูลท่ไี ดจ ากเร่ืองท่อี า นจะถูกจําได โดย ผา นการพูดซา้ํ และการเขยี น (Mangal. 2005: 270) ในขั้นตอนนผี้ ูว ิจัยใหผเู รียนแสดง สิง่ ท่ีไดจ ากการ อานดวยแผนทค่ี วามคดิ โดยนักเรยี นทําแผนที่ความคดิ เพ่ือชวยในการจดจําและแสดงความเขาใจจาก การอา น แลวใหน ักเรยี นอธบิ ายแผนทีค่ วามคิดของตน สาํ หรับเทคนคิ แผนทีค่ วามคดิ ท่ีนาํ เขา มาใชใน ขนั้ ทอ งจํา (Recite) เพือ่ ชวยในการจดจําและแสดงความเขา ใจจากการอา น เน่อื งจากนกั เรยี นท่ีไดร ับ การฝกดว ย วธิ นี ้ีจะมีพัฒนาการทง้ั ความจํา และความเขา ใจ สอดคลองกบั งานวจิ ัยของกิ่งเพชร ปอ ง แกว (2545: 24) ซ่งึ กลาววา เทคนิคแผนทคี่ วามคดิ ชว ยใหผ ูอา นเขยี นแผนทค่ี วามคิดโยงความสัมพนั ธ

97 เพ่ือแสดงใหเ ห็นถึงใจความสําคญั และความสัมพนั ธระหวา งประเด็นตางๆ ทําใหผ ูอ า นมองเ หน็ ขน้ั ตอนและเหตุการณต า งๆ เปน ลาํ ดับ ชวยใหความคดิ ตอสิ่งทีเ่ รียนรมู ีความชดั เจนขึน้ นกั เรยี นมีการ จัดระบบความคิด ทําใหเกิดการเรียนรูอยางมีระบบ เขา ใจงา ย เกดิ ความเขา ใจเนอ้ื หาไดงา ยขนึ้ ทาํ ให ผเู รยี นสามารถสรุปและเขา ใจเร่ืองท่อี า นไดตามเจตนารมณข องผู เขยี น จากนัน้ ผูวิจยั ไดใหน กั เรียน อธิบายแผนท่ีความคดิ ของตน เพื่อเปน การเปด โอกาสใหผูเรยี นไดพดู ซํ้าและเปน การ ตรวจสอบความ เขาใจในบทอานมากย่ิงขึน้ และขน้ั ทบทวน (Review) ใหผูเ รียนไดทบทวนคาํ ตอบและอานซ้าํ อีกครั้งถา ไมแนใจในคาํ ตอบของตน ในขนั้ ตอนน้ี Fisher (2008: 146) อธิบายไดว า การทบทวนเปน กระบวนการ สาํ คญั ซง่ึ มจี ุดประสงคเพ่อื พัฒนาความตระหนักรใู นอภปิ ญ ญา ชว ยใหน กั เรียนแยกแยะส่งิ ท่ีไดเรยี นรู จากประสบการณ ซง่ึ ชวยใหน กั เรยี นประสบผลสําเรจ็ และเปนแนวทางท่ีชวยพฒั นานกั เรียนไดใ น อนาคต การสอนอา นโดยวธิ ี PQ4R รว มกับเทคนิคแผนที่ความคดิ ผูว จิ ยั ไดชว ยสรา งบรรยากาศในการ เรียนรู ใหน ักเรยี นเกดิ ความสนใจในบทอาน เพอื่ บรรลเุ ปา หมายของการอาน ใหน กั เรยี นไดปฏิบัตทิ ุก ขัน้ ตอนไดด ว ยตนเอง การใหกําลงั ใจ สรางแรงจงู ใจใหนกั เรียนเกดิ ความกระตอื รือรน กบั การเรียนรู การ ทําแผนท่คี วามคดิ ทําใหนักเรยี นรสู ึกสนุกกับการไดลงมือปฏิบตั ิ เปดโอกาสใหไ ดแ สดงความคิดของ ตนเอง และนักเรียนตระหนักไดวาตนสามารถนําวิธีการเหลานไี้ ปใชประโยชนในการศึกษาได จากการ สอนดังกลา ว จงึ สงผลใหนักเรียนมีความสามารถอานจับใจความ หลังการสอนอยใู นระดบั ดี 2. การเปรยี บเทียบความสามารถในการอา นของนักเรียนท่ีมีปญหาทางการเรยี นรดู า นการอา น กอนและหลังจากการสอนอานโดยวธิ ี PQ4R รว มกับเทคนิคแผนทค่ี วามคิด พบวา แตกตา งกันอย างมี นยั สาํ คญั ทางสถติ ิที่ ระดับ .05 ซงึ่ สอดคลอ งกับสมมติฐานขอที่ 2 ทีต่ ั้งไวว า ความสามารถอา นจบั ใจความของ นกั เรียนทมี่ ปี ญ หาทางการเรยี นรูดา นอานจบั ใจความ หลงั จากการสอนดวยวิธี PQ4R รว มกบั เทคนคิ แผนที่ความคดิ สงู ข้นึ ที่เปน เชนน้ีเน่อื งมาจากการสอนอานโดยวิธี PQ4R เนนใหน กั เรียน ไดฝ กกลวิธีอภิปญญา (Metacognitive Theory) ในการสรา งความเขาใจบทอา น วิธีการนท้ี าํ ให นกั เรียนมงุ ไปสูความสาํ เรจ็ ในการอา น โดยทําใหการอา นเปน ไปอยา งมีจดุ หมาย และชว ยใหน ักเรียน ไดใ ชโครงสรางความรู (Shema) ในการอานทําใหน กั เรียนไดใ ชค วามคดิ ในทกุ ขน้ั ตอน นอกจากนี้ ผเู รยี นยงั ไดใ ชความรูทีม่ ีอยเู ดมิ ผนวกเขา กับความรูที่ไดรับแลว สรา งสรรคอ อกมาเปนความรูใ หมด ว ย ตนเอง สอดคลอ งกบั ทฤษฎกี ารเรียนรูตามแนวคิดสรางสรรคความรนู ยิ ม (Constructivism Approach) ท่กี ลาวถึงธรรมชาติของ การเรียนรแู ละเชือ่ วาผูเรียนสามารถเรียนรูและสรางความรู ความ เขาใจไดดวยตนเองโดยอาศยั ประสบการณเดิมเปน พื้นฐาน (โศภิษฐ อุดม . 2545: 5) ผูว จิ ยั ไดน ํา เทคนคิ แผนทท่ี างความคิดเขา มาใชรวมกับวิธี PQ4R พบวา นกั เรียนทุกคนมคี วามกระตอื รือรน ในการ ทํากจิ กรรมมาก สีหนามคี วามสขุ ทา ทางพึงพอใจที่ไดแสดงความสามารถ ของตนออกมา สอดคลอ ง

98 กับแนวคิดของรูดา (Rooda. 1994: 25-27) ท่ีสรปุ งานวิจัยวา แผนทที่ างความคิดเปนหน่ึงในยุทธวธิ ีท่ี สามารถเพ่ิมพูนผลสําเร็จ ทางการเรยี น ทําใหชั้นเรยี นนาสนใจ และสรา งความสนกุ สนาน นอกจากนี้ แผนท่ีทางความคดิ ยังชว ยใหนักเรยี นเขาใจเรอื่ งท่อี านไดงายขึน้ สอดคลองกับทิศนา แขมมณี (2545: 3) ทีก่ ลาววา แผนท่ที างความคิดชว ยใหเขา ใจเนือ้ เรอ่ื งที่อานไดง า ยขนึ้ และชว ยใหผ ูเ รียนเกดิ การเรยี นรู อยางมคี วามหมายและชว ยเก็บจําเรือ่ งไดน านและเรียกคืนสิง่ ทีจ่ าํ ออกมาไดม ากทสี่ ดุ สอดคลองกับ Douglas, D. Dexter และ Charles, A. Hughes. (2011: 51) ทไี่ ดส งั เคราะหงานวจิ ยั เกีย่ วกับ Graphic Organizers ในนกั เรียน ท่ีมีปญหาทางการเรียนรู ซ่ึงเปนงานวจิ ัยในเดก็ ที่มีปญหาทางการ เรียนรู ระดับช้นั ประถมศึกษาปท ี่ 4 จนถงึ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที่ 6 ทใ่ี ช graphic organizers ในรายวิชา หลกั ทําการเรียนการสอนในชั้นเรียน ไดแ ก การอานภาษาอังกฤษ วทิ ยาศาสตร สงั คมศกึ ษาและ คณิตศาสตร โดยใช graphic organizers ชวยเพ่มิ ความรูดา นคาํ ศพั ท ดานความเขาใจแล ะการ ถา ยทอดความรู นอกจากนี้ ยังกลา ววา graphic organizers ชว ยใหก ระบวนการเรียนรมู ปี ระสทิ ธิ ภาพ มากยง่ิ ขน้ึ สําหรบั นกั เรยี นทมี่ ีปญหาทางการเรยี นรรู ะดบั ชนั้ กอ นประถมศึกษา จนถงึ ระดับมัธยมศกึ ษา นอกจากน้ีการใชแผนการจดั การเรียนรู สื่อการสอน แบบฝกหดั การบาน ที่ใชใ นการทดลองนี้ ไดผ า นการตรวจสอบคุณภาพจากผูเชย่ี วชาญ มกี ารนําไปทดลองใช (try out) แลว นํามาปรับปรุงแกไข กอนนาํ ไปทดลองใชส อน จากการสอนดงั ทกี่ ลา วมานี้จึงสง ผลใหน กั เรยี นมคี วามสามารถอานจับ ใจความหลังจากการสอนสูงขึน้ ขอสงั เกตจากการทดลอง จากการทดลองสอนอา นโดยวธิ ี PQ4R รวมกบั เทคนคิ แผนท่ีความคิด มขี อ สงั เกตจากการ ทดลองคอื 1. นักเรยี นบางคนไมส ามารถตัง้ ประโยคคาํ ถามหรอื ไมส ามารถเรยี บเรียงประโยคคาํ ถามได ผูว ิจัยจงึ ใหคาํ ช้ีแนะ ยกตัวอยา งใหน กั เรยี นเขา ใจจนสามารถปฏบิ ัติดว ยตนเองได 2. นกั เรียนบาง คนอาจะไมถ นดั ดา นการวาด ภาพหรือการใชส ี จึงรสู กึ ไม ม่นั ใจ ผวู จิ ัยจึงให กําลงั ใจและกลาวชมเชยเสริมแรงแกนกั เรียน ทาํ ใหน กั เรยี นเกดิ ความมัน่ ใจในการทํากิจกรรมและรูสึก สนกุ ไปกับการวาดและใชสจี นประสบผลสําเรจ็ ในการทํากิจกรรม 3. การใชส สี ันในแผนทค่ี วามคิด ผูวจิ ัยไดก ระตุน ใหน ักเรียนไดห ยิบเลอื กใชส ีตามใจชอบ เพ่ือ กระตุนใหนักเรยี นไดแสดงความคิดอยางอสิ ระลงบนแผนทคี่ วามคิด 4. การนําเสนอผลงานแผนที่ความคิดของตน นกั เรยี นบางคนอาจไมม่นั ใจในการนาํ เสนอ ผูว ิจยั จึงใหก าํ ลงั ใจ ช้แี นะและกลา วชมเชยเพอ่ื ชวยสรางความมั่นใจและเกิดความภาคภมู ใิ จในตนเอง

99 5. ในขนั้ ตอนการสะทอน นักเรยี นบางคนอาจนกึ ถงึ สิ่งทีผ่ า นมาไมอ อก ผวู ิจยั ไดชวยกระตุน ให นักเรียนไดคิดและพูดออกมาไดอ ยางอสิ ระทางความคิด 6. นกั เรยี นบางคนมักคนุ เคยกับการถายทอดใหผ ูอ่นื รูดวยการเขียน ดังนัน้ ในการทําแผนท่ี ความคิด ผูวิจยั จะแนะนําใหน ักเรยี นไดสื่อดว ยถอยคาํ ท่กี ระชับ หรอื วาดภาพไดต ามใจชอบ ขอเสนอแนะ จากการวิจัยครง้ั น้ีผวู ิจัยมขี อ เสนอแนะทีเ่ ปน ประโยชนต อ การเรียนการสอนสาํ หรบั นักเรยี นทม่ี ี ปญหาทางการเรยี นรแู ละการวิจยั ในครัง้ ตอไป ดงั น้ี ขอเสนอแนะทว่ั ไป 1. ผูสอนจะตอ งสอนตามขั้นตอนทีก่ ําหนดไวทุกข้ันตอน ตามลําดับ 2. ผูสอนควรใหการเสริมแรงแกน ักเรยี น เชน ใหคาํ ชมเชยหลงั ทาํ กจิ กรรม ใหเพือ่ นๆ ปรบมือให หลงั จากนกั เรียนอธบิ ายแผนทที่ างความคดิ ของตนเองใหเพอื่ นๆ ไดฟ ง เพือ่ เกิดความภาคภูมใิ จใน ตนเอง 3. ผูสอนควรใสใจกจิ กรรมและผลงานของนักเรียนในทุกข้นั ตอน พรอมทจี่ ะชวยชแี้ นะให นักเรยี นสามารถเรียนรไู ดอยางเต็มความสามารถ ขอเสนอแนะในการทําวจิ ัยคร้งั ตอไป 1. ควรนาํ วิธกี ารสอนอาน PQ4R รว มกับเทคนิคแผนทคี่ วามคิดไปทดลองสอนนักเรียนท่มี ี ปญหาทางการเรยี นรใู นรายวิชาอื่นๆ 2. ควรนาํ วธิ กี ารสอนอาน PQ4R รวมกบั เทคนิคแผนทีค่ วามคิดไปทดลองสอนนักเรียนท่มี ี ปญหาทางการเรียนรใู นระดบั ชน้ั ท่สี ูงขนึ้ 3. ควรนําวธิ กี ารสอนอา น PQ4R รว มกับเทคนคิ แผนที่ความคดิ ไปทดลองสอนนักเรยี นท่มี ี ความตอ งการพเิ ศษประเภทอ่นื ๆ

100 บรรณานุกรม

101 บรรณานุกรม กอบกาญจน์ วงศว์ ิสิทธ์ิ. (2551). ทกั ษะภาษาเพือ่ การสือ่ สาร. กรุงเทพฯ: โอเดยี นสโตร์. กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2546). การจดั สาระการเรียนรู้กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ: กรมวิชาการ กระทรวงฯ. -------------. (2551ก). ตวั ชี้วดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทยตาม หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑. กรุงเทพ ฯ : โรงพมิ พ์ชมุ นมุ สหกรณ์ การเกษตรแหง่ ประเทศไทย จากดั . -------------. (2551ข). หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พืน้ ฐานพทุ ธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ ครุ ุสภาลาดพร้าว. กนั ตา สขุ กระจา่ ง. (2550). การศึกษาความสามารถในการอ่านคาของเด็กทีม่ ีปัญหาทางการเรียนรู้ โดยใช้นิทานส่งเสริมการอ่านเพือ่ การเรียนรู้. ปริญญานิพนธ์. กศ.ม. (การศกึ ษาพิเศษ). กรุงเทพฯ : บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร. กลั ยา ยวนมาลยั . (2539). การอ่านเพือ่ ชีวิต. กรุงเทพฯ: โอ.เอส.พริน้ ตงิ ้ เฮ้าส์. กานต์มณี ศกั ดเิ์ จริญ. (2546). กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ครุ ุสภาลาดพร้าว. กรมวชิ าการ. (2544). เอกสารชดุ เทคนิคการจดั กระบวนการเรียนรู้ทีผ่ เู้ รียนสาคญั ทีส่ ดุ เรื่องการเรียนรู้ เพือ่ พฒั นากระบวนการคิด. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์การศาสนา. -------------. (2545). คู่มือการจดั การเรียนรู้ กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ครุ ุสภา. กลุ ยา ก่อสวุ รรณ. (2549, 30 สงิ หาคม). ชีเ้ดก็ 10%มีปัญหาเรียนรู้ต้องพงึ่ ผ้ใู หญ่ที่เข้าใจ. เดลินิวส์. หน้า 23. จรีลกั ษณ์ จิรวิบลู ย์. (2544). การศึกษาผลสมั ฤทธิ์ทางการอ่านออกเสียงของนกั เรียนทีม่ ีปัญหา ทางการเรียนรู้ด้านการอ่านทีไ่ ดร้ ับการสอนซ่อมเสริม โดยการสอนแบบเล่นปนเรียน. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศกึ ษาพเิ ศษ). กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. ถา่ ยเอกสาร. -------------. (2546). คู่มือครูและผู้ปกครองสาหรับเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้-การอ่าน.กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ครุ ุสภาลาดพร้าว. จนั ทราวดี กองเงิน. (2547). การเปรียบเทียบความเข้าใจในการอ่านของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปี ที่ 2 ทีไ่ ดร้ ับการสอนอ่านตามแนวทฤษฎีอภิปัญญากบั การสอนอ่านตามคู่มือครู. วทิ ยานิพนธ์ กศ.ม. (จิตวิทยาการศกึ ษา). มหาสารคาม: บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. ถ่ายเอกสาร.

102 จิดาภา ฉนั ทานนท์. (2541). การสอนอ่านภาษาองั กฤษตามแนวคิดของทฤษฎีโครงสร้างความรู้. กรุงเทพฯ: กรมวิชาการ. จิตรลดา ไมตรีจิตต์. (2549). การศึกษานิสยั รกั การอ่านของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปี ที่ 6 สานกั งาน เขตบางพลดั . ปริญญานพิ นธ์ กศ.ม. กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. ถา่ ยเอกสาร. จินดา ยญั ทิพย์. (2547). การพฒั นากระบวนการบูรณาการทกั ษะการคิดในการสอนอ่านภาษาองั กฤษ เพือ่ ความเข้าใจแก่นกั เรียนระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ ตามทฤษฎีโครงสร้างความรู้และ เมตาคอกนิชนั . ปริญญานิพนธ์ ค.ด. (หลกั สตู รและการสอน). กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวทิ ยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ถ่ายเอกสาร. จีรวรรณ ไตรโสรัส. (2549, พฤศจิกายน-มีนาคม). การสร้างผงั ความรู้ในการจดั การเรียนการสอน. วารสารศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลยั ศิลปากร. 3(2): 98-112. ฉวีวรรณ คหู าภินนั ทน์. (2542ก). การอ่านและการส่งเสริมการอ่าน. กรุงเทพฯ: ศลิ ปาบรรณาคาร. -------------. (2542ข). เทคนิคการอ่าน. กรุงเทพฯ: ศลิ ปาบรรณาคาร. ฉวีวรรณ ปะนามะสา. (2547). การพฒั นาการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทยเรื่องการอ่านจบั ใจความ ชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยใช้เทคนิค 9 คาถาม. การศกึ ษาค้นคว้าอสิ ระ กศ.ม. (หลกั สตู รและ การสอน). มหาสารคาม: บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. ชาตรี เกิดธรรม. (2545). เทคนิคการสอนทีเ่ นน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั . กรุงเทพฯ: ไทยวฒั นาพานิช. ชศู รี วงศ์รัตนะ. (2549). เทคนคิ การเขียนเค้าโครงการวิจยั . พมิ พ์ครัง้ ที่ 1. กรุงเทพฯ: ไทเนรมติ กิจ อินเตอร์โปรเกรสซิฟ. ฐะปะนีย์นาครทรรพ. (2547). การสอนภาษาไทยระดบั มธั ยมศึกษา. พิมพ์ครัง้ ที่ 2. กรุงเทพฯ: เมธี ทปิ ส์. ณฏั ฐลกั ษณ์ สภุ าโย. (2544). การใช้วิธีการสอนแบบ พี คิว โฟร์ อาร์ เพือ่ ส่งเสริมความเขา้ ใจในการ อ่านความคงทนในการจาและความสามารถในการตรวจสอบความเข้าใจของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5. วทิ ยานิพนธ์ ค.ม. (จิตวิทยาการศกึ ษา). เชียงใหม:่ บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั เชียงใหม.่ ถา่ ยเอกสาร. ณฐั วฒุ ิ กิจรุ่งเรือง; วชั รินทร์ เสถียรยานนท์; และวชั นีย์ เชาว์ดารงค์. (2545). การเขียนแผนจดั การ เรียนรู้ของครูมืออาชีพตามหลกั สตู รการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน. พมิ พ์ครัง้ ที่ 1. กรุงเทพฯ: เยลโลก่ าร พิมพ์ (1988). ดษุ ฎี บริพตั ร ณ อยธุ ยา. (2549). รู้เรียนเพือ่ เรียนรู้สู่ความเป็นเลิศ. พมิ พ์ครัง้ ที่ 1. กรุงเทพฯ: พมิ พ์ดี.

103 ทิศนา แขมมณี. (2544). ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพือ่ การจดั กระบวนการเรียนรู้ทีม่ ีประสิทธิภาพ. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . -------------. (2545). ศาสตร์การสอน. กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พ์จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . -------------. (2551). ศาสตร์การสอน. กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ธีระพฒั น์ ฤทธ์ิทอง. (2547). 30 รูปแบบการจดั กิจกรรมโดยยึดผเู้ รียนเป็นสาคญั . พิมพ์ครัง้ ท่ี 4. กรุงเทพฯ: เฟ่ื องฟ้ า พริน้ ตงิ ้ . นภเนตร ธรรมบวร. (2549). การพฒั นากระบวนการคิดในเด็กปฐมวยั . พิมพ์ครัง้ ที่ 5. กรุงเทพฯ: สามลดา. นภิ า ศรีไพโรจน์. (2533). สถิตินอนพาราเมติก. พิมพ์ครัง้ ที่ 2. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. นา้ ผงึ ้ มีนลิ . (2545). ผลของการใชเ้ ทคนิคผงั กราฟฟิ กในการเรียนการสอนวิชาโครงงานวิทยาศาสตร์ กบั คณุ ภาพชีวิตทีม่ ีต่อการใช้ระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์และความสามารถในการทา โครงงานวิทยาศาสตร์ของนกั เรียนระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ . วทิ ยานิพนธ์ ค.ม. กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวิทยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ถา่ ยเอกสาร. บนั ลือ พฤกษะวนั . (2543). แนวพฒั นาการอ่านเร็ว คิดเป็น. กรุงเทพฯ: ไทยวฒั นาพานชิ . บญุ ชม ศรีสะอาด. (2543). การวิจยั ทางการวดั ผลและประเมินผล. กรุงเทพฯ: สรุ ีวยิ าสาส์น. -------------. (2549). การวิจยั เพือ่ แกป้ ัญหาและพฒั นาผเู้ รียน. พิมพ์ครัง้ ท่ี 1. กรุงเทพฯ: สรุ ีวยิ าสาส์น. เบญจพร ปัญญายง. (2543). คู่มือช่วยเหลือเด็กบกพร่องทางการเรียนรู้. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ปฐมาธิดา นาใจคง. (2544). ผลของการใช้แผนผงั ทางปัญญาและการกากบั ตนเองทีม่ ีต่อทศั นคติ และผลสมั ฤทธิ์ในการเรียนวิชาภาษาไทยของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (จิตวิทยาการศกึ ษา). กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวทิ ยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ถ่ายเอกสาร. ประทมุ วชิ าโคตร. (2544). ผลสมั ฤทธ์ิในการเขียนเชิงสร้างสรรค์วิชาภาษาไทยของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปี ที่ 5 ทีฝ่ ึกโดยวิธีการเขียนแผนที่ความคิด. วทิ ยานิพนธ์ กศ.ม. กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. ถ่ายเอกสาร. ปานรวี ยงยทุ ธวชิ ยั . (2548). การอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์ คิดสงั เคราะห์. กรุงเทพฯ: ธารอกั ษร. ผดงุ อารยะวิญญ.ู (2541). การศึกษาสาหรบั เด็กทีม่ ีความตอ้ งการพิเศษ. พิมพ์ครัง้ ท่ี 3. กรุงเทพฯ: พี.เอ.แอน พริน้ ตงิ ้ . -------------. (2542ก). เด็กทีม่ ีปัญหาทางการเรียนรู้. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ P.A. Art & Printing Co.,LTD.

104 -------------. (2542ข). การเรียนร่วมระหว่างเด็กปกติกบั เด็กทีม่ ีความตอ้ งการพิเศษ. กรุงเทพฯ: คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. -------------. (2544). เด็กที่มีปัญหาในการเรียนรู้. พิมพ์ครัง้ ที่ 2. กรุงเทพฯ: ราไทยเพรส. พนาไพร ป่ วนฉิมพลี. (2551). ผลการเรียนรู้ภาษาไทยด้านการอ่านจบั ใจความของนกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปี ที่ 4 โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะประกอบการจดั กิจกรรมกล่มุ ร่วมมือแบบ STAD. ปริญญานพิ นธ์ กศ.ม. (หลกั สตู รและการสอน). มหาสารคาม: บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. ถ่ายเอกสาร. พรนภิ า บรรจงมณี. (2548). การใชเ้ ทคนิค เอส คิว โฟร์ อาร์ เพือ่ ส่งเสริมความเข้าใจในการอ่าน ภาษาองั กฤษและการคิดไตร่ตรองของผเู้ รียน. วิทยานพิ นธ์ ค.ม. (ภาษาองั กฤษ). เชียงใหม่: บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม.่ ถา่ ยเอกสาร. พรรัตน์ ถิระนนั ท์. (2554). แบบฝึกการอ่านจบั ใจความภาษาไทยสาหรับนกั เรียนระดบั ชนั้ 8 โรงเรียน นานาชาติเซนต์สตีเฟ่ นส์. สารนิพนธ์ ศศ.ม. (สาขาวิชาการสอนภาษาไทยในฐานะ ภาษาตา่ งประเทศ). กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร. พรรณวดี สรุ ิยะพรหมชยั . (2545). ผลของการสอนแบบ เอส พี ไอ เอ็น ทีม่ ีต่อความเขา้ ใจในการอ่าน และกลวิธีการอ่านภาษาไทยของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาตอนต้น. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. (การ สอนภาษาไทย). เชียงใหม่: บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั เชียงใหม.่ ถา่ ยเอกสาร. พนั ธ์ุทิพา หลาบเลศิ บญุ . (2539). ภาษาไทย 3. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพ์จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . พิชติ ฤทธิ์จรูญ. (2545). หลกั การวดั และประเมินผลการศึกษา. พิมพ์ครงั้ ที่ 2. กรุงเทพฯ: เฮ้า ออฟ เคอร์ มีสท์. มนตรี นิวฒั นวุ งศ์. (2549). ผลของการใช้กิจกรรมผงั ความสมั พนั ธ์ความหมายเพือ่ เพ่ิมพนู ความ เขา้ ใจในการอ่านภาษาองั กฤษและเจตคติของนกั เรียนระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปี ที่ 6. วิทยานพิ นธ์ ค.ม. (หลกั สตู รและการสอน). บรุ ีรัมย์: บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ราชภฏั บรุ ีรัมย์. ยทุ ธพงษ์ กยั วรรณ์. (2543). พืน้ ฐานการวิจยั . กรุงเทพฯ: ชมรมเดก็ . ยวุ ดี โปธายะ. (2546). การใชว้ ิธีการสอนแบบ SQ4R เพือ่ ส่งเสริมความเข้าใจในการอ่านภาษาองั กฤษ และความสามารถในการเขียนสรุปใจความของนกั เรียนในระดบั ชน้ั ประกาศนียบตั รวิชาชีพ. วทิ ยานิพนธ์ ศศ.ม. (การสอนภาษาองั กฤษ). เชียงใหม่: บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั เชียงใหม.่ ถ่ายเอกสาร. ล้วน สายยศ; และองั คณา สายยศ. (2536). เทคนิคการวิจยั ทางการศึกษา. พิมพ์ครัง้ ที่ 3. กรุงเทพฯ: ศนู ย์สง่ เสริมวชิ าการ.

105 --------------. (2543). เทคนิคการวดั ผลการเรียนรู้. พมิ พ์ครัง้ ที่ 2. กรุงเทพฯ: ชมรมเดก็ . วฒั นะ บญุ จบั . (2541). ศาสตร์แห่งการใช้ภาษา. กรุงเทพฯ: มติ รสยาม. วฒั นาพร ระงบั ทกุ ข์. (2544). เทคนิคและกิจกรรมการเรียนรู้ทีเ่ นน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั . กรุงเทพฯ: สานกั พิมพ์จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . แววมยรุ า เหมือนนลิ . (2538). การอ่านจบั ใจความ. กรุงเทพฯ: สรุ ีวยิ าสาส์น. --------------. (2541). การอ่านจบั ใจความ. พิมพ์ครัง้ ท่ี 2. กรุงเทพฯ: สรุ ีวิยาสาส์น. ศรียา นยิ มธรรม. (2541). แบบคดั แยกเด็กทีม่ ีปัญหาทางการเรียนรู้. กรุงเทพฯ: ภาควชิ าการศกึ ษา พเิ ศษ คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. -------------. (2546). สารานกุ รมศึกษาศาสตร์ ฉบบั รวมเล่มเฉพาะเรื่อง อนั ดบั ที่ 4 สาขาวิชา การศึกษาพิเศษ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. กรุงเทพฯ: พฒั นาศกึ ษา. ศศธิ ร ธญั ลกั ษณานนั ท์. (2542). ภาษาไทยเพือ่ การสือ่ สารและการสืบคน้ . กรุงเทพฯ: เธิร์ดเอด็ ดเู คชนั่ . ศริ ิพร ลิมตระการ. (2541). เอกสารการสอนชดุ วิชาภาษาไทย. พมิ พ์ครัง้ ที่ 6. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพ์ มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช. ศริ ิรัตน์ นีละคปุ ต์. (2532). ทกั ษะการอ่านทีต่ อ้ งพฒั นาเพือ่ ฝ่ าฟันเขา้ สู่ประตมู หาวิทยาลยั . กรุงเทพฯ: สมาคมการอ่านแหง่ ประเทศไทย. ศริ ิลกั ษณ์ แก้วสมบรู ณ์. (2543). ผลของการใชเ้ ทคนิคกราฟิ กในการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ใน การนาเสนอข้อมูลความรู้ดว้ ยผงั กราฟิ กและผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของนกั เรียนมธั ยมศึกษา ตอนตน้ . วิทยานพิ นธ์ ค.ม. (การศกึ ษาวทิ ยาศาสตร์). กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวทิ ยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ถา่ ยเอกสาร. ศริ ิวรรณ เสนา. (2541). การศึกษาคณุ ลกั ษณะของเนือ้ ความสาหรบั ฝึกคดั ลายมือทีส่ ่งผลต่อ พฒั นาการดา้ นลายมือ และความเข้าใจในการอ่านของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 4. สารนิพนธ์ กศ.ม. (การประถมศกึ ษา). กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร. ศภุ ลกั ษณ์ สินธนา. (2545). การศึกษาการคิดอภิมานโดยใช้แบบจาลองความสมั พนั ธ์โครงสร้างเชิง เสน้ : การวิเคราะห์กล่มุ พห.ุ ปริญญานเิ พนธ์ กศ.ด. (ทดสอบและวดั ผลทางการศกึ ษา). มหาสารคาม: บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ. ถ่ายเอกสาร. โศภิษฐ์ อดุ ม. (2545). การใช้วิธีการสอนแบบ พี คิว โฟร์ อาร์ เพือ่ ส่งเสริมความสามารถในการเขียน ย่อความภาษาองั กฤษและการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปี ที่ 4.

106 วทิ ยานิพนธ์ศกึ ษา ค.ม. (ภาษาองั กฤษ). เชียงใหม่: บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลยั เชียงใหม.่ ถ่ายเอกสาร. สมทรัพย์ สขุ อนนั ต์. (2548). ภาวะความบกพร่องในการเรียนรู้. (เอกสารการสอนประกอบวชิ า 463 430 พืน้ ฐานของภาวะบกพร่อง). ภาควิชาจิตวิทยาและการแนะแนว บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร. ถา่ ยเอกสาร. สมพร ชาวไทย. (2548). การพฒั นาการจดั กิจกรรมการเรียนรู้เรื่องทกั ษะการเขียนจดหมาย โดยใช้ แผนทีค่ วามคิดวิชาภาษาไทย ชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 5. ปริญญานพิ นธ์ กศ.ม. (หลกั สตู รและ การสอน). กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ราชภฎั พระนคร. ถา่ ยเอกสาร. สมาน ถาวรรัตนวณิช. (2541). ผลของการฝึกใช้เทคนิคแผนผงั ทางปัญญาทีม่ ีต่อความคิดสร้างสรรค์ ของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 5. วทิ ยานพิ นธ์ ค.ม. (จิตวทิ ยาการศกึ ษา). กรุงเทพฯ: บณั ฑติ วิทยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ถ่ายเอกสาร. สายสนุ ี สกลุ แก้ว. (2534). การพฒั นาชดุ ฝึ กทกั ษะการอ่านภาษาไทยเพือ่ จบั ใจความของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 6. วิทยานิพนธ์ ค.ม. กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวทิ ยาลยั จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ถ่ายเอกสาร. สนุ ทร อตุ มหาราช. (2547). การเปรียบเทียบความเข้าใจในการอ่านและความสนใจในการเรียน ภาษาองั กฤษของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปี ที่ 3 ทีไ่ ดร้ ับการสอนโดยวิธีการสอนแบบ SQ4R กบั การสอนตามคู่มือครู. ปริญญาครุศาสตร์มหาบณั ฑิต ศษ.ม. (หลกั สตู รและการสอน). กาแพงเพชร: มหาวิทยาลยั ราชภฎั กาแพงเพชร. ถ่ายเอกสาร. สนุ นั ทา มน่ั เศรษฐวิทย์. (2539). หลกั และวิธีสอนอ่านภาษาไทย. กรุงเทพฯ: ไทยวฒั นาพานชิ . -------------. (2545ก). “การอ่านจบั ใจความ หน่วยที่ 3”เอกสารการสอนชดุ วิชา การอ่าน ภาษาไทย หน่วยที่ 1-7. พมิ พ์ครัง้ ที่ 10. นนทบรุ ี: สานกั พิมพ์มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช. -------------. (2545ข). หลกั และวิธีสอนอ่านภาษาไทย. พิมพ์ครัง้ ที่ 2. กรุงเทพฯ: ไทยวฒั นาพานิช. สภุ ทั รา อกั ษรานเุ คราะห์. (2532). การสอนทกั ษะทางภาษาและวฒั นธรรม. กรุงเทพฯ: ภาควชิ า มธั ยมศกึ ษา คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . สนุ าฏ นธิ ิพทุ ธากลุ . (2540). การศึกษาเปรียบเทียบความรู้ความเข้าใจและความสนใจอนั เกิดจาก การอ่านหนงั สือทีใ่ ชส้ านวนของเด็กชนบทภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือกบั หนงั สือทีผ่ ใู้ หญ่เขียน. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การประถมศกึ ษา). กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. ถา่ ยเอกสาร. สรุ างค์ โค้วตระกลู . (2541). จิตวิทยาการศึกษา. พิมพ์ครัง้ ที่ 4. กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั .

107 สวุ ิทย์ มลู คา และอรทยั มลู คา. (2547). 21 วิธีจดั การเรียนรู้เพือ่ พฒั นากระบวนการคิด. พมิ พ์ครัง้ ที่ 5. กรุงเทพฯ: ภาพพิมพ์. สเุ ทียบ ละอองทอง. (2545). การพฒั นารูปแบบการอ่านภาษาองั กฤษเพือ่ ความเข้าใจโดยใช้ ยทุ ธศาสตร์เมตาคอกนิชนั สาหรับนกั ศึกษาระดบั ปริญญาตรี สถาบนั ราชภฏั บรุ ีรมั ย์. ปริญญานิพนธ์ ศษ.ด. (หลกั สตู รและการสอน). ขอนแก่น: บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ . ถ่ายเอกสาร. สไุ ปรมา ลีลามณี. (2553). ศึกษาความสามารถในการอ่านและแรงจูงใจในการอ่านของนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปี ที่ 3 ทีม่ ีปัญหาการเรียนรู้ด้านการอ่าน จากการสอนโดยผสมผสานวิธีโฟนิกส์ กบั วิธีพหสุ มั ผสั . ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศกึ ษาพเิ ศษ). กรุงเทพฯ: บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร. ไสว ฟักขาว. (2544). หลกั การสอนสาหรบั การเป็นครูมืออาชีพ. กรุงเทพฯ: เอมพนั ธ์. สานกั งานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแหง่ ชาต.ิ (2543). การบริหารและการจดั การศึกษาพิเศษ เรียนรวม. พิมพ์ครัง้ ที่ 1. กรุงเทพฯ: ราไทยเพรส. สานกั งานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแหง่ ชาต.ิ (2545). รายงานการวิจยั การทดลองนาร่อง: การศึกษาผลการดาเนินงานพฒั นาโรงเรียนเรียนร่วมสู่มาตรฐานการศึกษาพิเศษ. กรุงเทพฯ: กระทรวงศกึ ษาธิการ. สานกั งานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแหง่ ชาต.ิ (2541). การบริหารและการจดั การศึกษาพิเศษ เรียนรวม. พิมพ์ครัง้ ที่ 1. กรุงเทพฯ: ราไทยเพรส. ------------. (2543). การบริหารและการจดั การศึกษาพิเศษเรียนรวม. พิมพ์ครัง้ ท่ี 1. กรุงเทพฯ: ราไทยเพรส. สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาติ. (2543). ความบกพร่องในการเรียนรู้หรือแอลดี: ปัญหา การเรียนรู้ทีแ่ ก้ไขได.้ กรุงเทพฯ: สานกั งานฯ. สานกั งานผ้ตู รวจการแผน่ ดนิ . (2550). รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2550. สืบค้นเมื่อ 27 กรกฎาคม 2554, จาก http://www.ombudsman.go.th สานกั งานวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา. (2551). ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กล่มุ สาระ การเรียนรู้ภาษาไทยตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ. สานกั บริหารการศกึ ษาพเิ ศษ. (2547). หลกั สตู รสถานศึกษาเฉพาะความพิการประเภทบกพร่องทาง สติปัญญากล่มุ สาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์. กรุงเทพฯ: สานกั บริหารการศกึ ษาพเิ ศษ. ถา่ ยเอกสาร.

108 หิรัญญา อปุ ถมั ภ์. (2541). การพฒั นาทกั ษะการอ่านเพือ่ ความเขา้ ใจในระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 ดว้ ยการสอนแบบ OK5R. วทิ ยานิพนธ์ ศศ.ม. (การสอนภาษาไทย). เชียงใหม่: บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั เชียงใหม.่ ถ่ายเอกสาร. อมลวรรณ วีระธรรมโม. (2548). ทฤษฎีการสร้างสรรค์: ลีลาการสอนของครูและพฤติกรรมการเรียนรู้ ของผเู้ รียน (Constructivism: Teacher and Learning Behavior Style). วารสารสานกั หอ้ งสมดุ มหาวิทยาลยั ทกั ษิณ. 4(1): 10-18. อรัญญา เชือ้ ทอง. (2546). การศึกษาผลสมั ฤทธิ์ทางการอ่านคายากของเด็กทีม่ ีปัญหาทางการเรียนรู้ โดยใช้บทร้อยกรอง. ปริญญานพิ นธ์ กศ.ม. (การศกึ ษาพิเศษ). กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร. อภิวนั ท์ บณั ฑิศกั ด์.ิ (2543). การเปรียบเทียบความเขา้ ใจในการอ่านภาษาไทยของนกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนกลั ยาณีศรีธรรมราช จงั หวดั นครศรีธรรมราช ทีไ่ ดร้ บั การสอนอ่าน ตามแนวทฤษฎีอภิปัญญากบั การสอนอ่านตามคู่มือครู. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (ภาษาไทย). สงขลา: บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ. ถ่ายเอกสาร. อมั พร สขุ เกษม. (2543, มกราคม). การสง่ เสริมการอา่ น. สารพฒั นาหลกั สตู ร. 81: 24-28. อารยา ปิ ยะกลุ . (2542). ผลของกลวิธีการอ่านทีม่ ีต่อการเรียนรู้และความคงทนต่อการเรียนรู้. วิทยานิพนธ์ ศศ.ม. (จิตวิทยาการศกึ ษา). สงขลา: บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์. ถ่ายเอกสาร. อษุ ณีย์ โพธิสขุ ; และคนอื่นๆ. (2544). สร้างสรรค์นกั คิด: คู่มือการจดั การศึกษาสาหรับผูม้ ีความสามารถ ดา้ นทกั ษะความคิดระดบั สูง. กรุงเทพฯ: ศนู ย์แหง่ ชาตเิ พื่อพฒั นาผ้มู ีความสามารถพิเศษ สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาต.ิ อาไพ ลคั นาอนสุ รณ์. (2545). การเปรียบเทียบความเข้าใจในการอ่านและความสามารถทางการเขียน ภาษาไทยของนกั เรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปี ที่ 1 ทีไ่ ดร้ ับการสอนโดยใช้ผงั มโนทศั น์กบั การสอน ตามคู่มือครู. ปริญญานพิ นธ์ กศ.ม. (การมธั ยมศกึ ษา). กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร. Alexander, D.F. (1985). The effect of study skill training on learning disabled students’ retelling of expository material. Journal of Applied Behavior Analysis. 18: 263-267. Allen, P.; & Schwartz, B. (2001). Why the timing deficit does not explain reading disability. Reading and Writing: An Interdisciplinary Journal. Anderson, J.R. (1995). Learning and memory. New York: John Wiley. Boyer, B. A.; &Semrau, P.A. (1995). A Constructivism Approach. New York: New York.

109 Buzan, Tony. (1991). Use both side of your brain. New York: Penguin Group. -------------. (1997). The mind map book: Radiant Thinking. London: BBC Books. -------------. (2011). Mind mapping. Retrieved June 30, 2011, from http://www.tonybuzan.com/ about/mind-mapping/ Buzan, T.; & Buzan, B. (1996). The Mind Map Book: How to Use Radiant Thinking to Maximize Your Brain’s Untapped Potential. New York: Plume. Cross, D.; & Paris, S.G. (1988). Developmental and Instructional Analysis of Children’s Metacognition and Reading Comprehension. Journal of Educational Psychology. 80(2): 131-142. Crowl, T.K. (1997). Windows on Teaching Educational Psychology. U.S.A.: Time Minor Higher Education Group. Dougiamas, M. (1999). Teaching in the Disciplines: Learning in Context Perth: The University of Western Australia. Ellis, J.D.; & Maxwell, D.E. (1995). Intervening in the Professional Development of Science Teachers: The Colorado Science Teaching Enhancement Program. Colorado: BSCS. Frase, L.T. (1975). Prose processing. In G.H. Bower (Ed) Psychology of Learning and Motivation (9). New York: Academic Press. Frase, L.T.; & B.J. Schwartz. (1975, October). Effect of question production and answering on prose recall.Journal of Educational Psychology. 67 : 628-635. Grossman. (1999). Text Book Reading and Marking Strategies. Study Skills for Students at Tompkins. New York: Cortland Community College. Hayden, L.K.; & McLaughlin, T.F. (1987). Effects of study skills curriculum with rural high school learning disabled students. Techniques: A Journal for Remedial Education and Counseling. 3: 162-171. Hoover, J.J. (2000). Study skills and the education of students with learning disabilities. Journal of Learning Disabilities. 22: 452-461. Idrul Hisham Ismail. (2007). Use of Resource Bases PQ4R Technique: Its Effectiveness Towards Achievement of Form 4 History Subject. Retrieved March 2, 2011, from

110 http://akademik.ukm.my/eda/projekge6553/sejarah.htm?PWPSESSID=c37f30694e4d c4095e3e7579e8a73e44 Logsdon, Ann. (2007). Journal of Reading Comprehension: Improving Reading Comprehension and Retention with research Based Strategy, Retrieved January 20, 2011, from http://www.about.com Markel, G.; & Greenbaum, J. (1996). Performance breakthroughs for adolescents with learning disabilities or ADD. Champaign, Research Press. Miller. (2000). Read to Remember. Cuyamaca College: College Success. Milton, J.S.; McTeer, P.M.; & Corbet, J.J. (1997). Introduction to Statistics. New York: McGraw-Hill. O’Neil, H.F.; & Abedi, J. (1996). Reliability and Validity of a State Metacognitive Inventory: Potential for Alternative Assessment. The Journal of Educational Research. (89): 234-243. Reynolds, R.E.; & R.C. Anderson. (1982). Influence of questions on the allocation of attention during reading. Journal of Experimental Psychology 74 (October): 623- 632. Robert, E. Slavin. (1997). Educational Psychology: Theory and Practice. 5th ed. Massachusetts: Allyn and Bacon Publisher. Robin, A.L. (1998). ADHD in adolescents: Diagnosis and treatment. New York: Guildford Press. Rodli, Mohammad. (2009). Improving the Reading Comprehension of the Tenth Year Students of MAN Mojokerto Using PQ4R Strategy. (Thesis). Schraw, G.S.; & Dennison, R.S. (1994). Assessing Metacognitive Awareness. Contemporary Educational Psychology. 19(4): 460-475. Schunk, R.E. (1996). Classroom Teaching Skill. 3rd ed. New York: McGraw Hill. Slavin, Robert E. (1997). Educational Psychology: Theory and Practice, Fifth Edition. Massachusetts: Allyn and Bacon Publisher. Thomas, E.L.; & Robinson, H.A. (1972). Improving Reading in Every Class: A Sourcebook for Teachers. Boston: Allyn & Bacon.

111 Trianto. (2007). Model-Model PembelajaranInovatifBerorintasiKonstruktivistik. Jakarta: PrestasiPustaka Publisher. Zawadzka K. (2007). How to Memorize Vocabulary, Example of Mnemonic Techniques in Facilitation of Maritime. Szczecin Poland: Maritime University.

111 ภาคผนวก

112 ภาคผนวก ก รายนามผู้เช่ียวชาญในการตรวจคุณภาพของเคร่ืองมือ

113 รายนามผู้เช่ียวชาญในการตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือ 1. รองศาสตราจารย์ ดร.ดารณี ศกั ดศ์ิ ริ ิผล วฒุ กิ ารศกึ ษา กศ.ด. (การศกึ ษาพเิ ศษ) ตาแหนง่ ปัจจบุ นั ผ้อู านวยการสถาบนั วิจยั และพฒั นาการศกึ ษาพเิ ศษ (RISE) มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ เช่ียวชาญ ด้านการศกึ ษาพิเศษ 2. อาจารย์ ดร.สวุ มิ ล กฤชคฤหาสน์ วฒุ ิการศกึ ษา ค.ด. (การวดั และประเมินผลการศกึ ษา) ตาแหนง่ ปัจจบุ นั อาจารย์ประจาภาควิชาการวดั ผลและวิจยั การศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ เชี่ยวชาญ ด้านวดั ผลและประเมนิ ผล 3. อาจารย์ อบุ ล พงึ่ ธรรมจติ ต์ ค.บ. (วิทยาศาสตร์) วฒุ กิ ารศกึ ษา ครูชานาญการพเิ ศษ ประจาโรงเรียนอนบุ าลวดั นางนอง ตาแหนง่ ปัจจบุ นั ด้านการศกึ ษาพิเศษ เชี่ยวชาญ 4. อาจารย์ กลุ ณฐั ยลพธั น์ ศศ.บ. (ภาษาไทย) วฒุ กิ ารศกึ ษา ครู ประจาโรงเรียนวดั เวตวนั ธรรมาวาส ตาแหนง่ ปัจจบุ นั การสอนภาษาไทย เชี่ยวชาญ

114 ภาคผนวก ข 1. ผลการประเมนิ ค่าความเท่ยี งตรงเชงิ เนือ้ หาโดยหาจากดชั นีความสอดคล้องระหว่าง ข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ (IOC) ของแบบทดสอบวัความสามารถอ่านจับใจความ แบบปรนัยโดยผู้เช่ียวชาญ 2. ค่าความยากง่าย (p) และค่าอานาจจาแนก (r) ของแบบทดสอบวัดความสามารถอ่าน จับใจความ

115 ตาราง 5 ผลการประเมินคา่ ความเที่ยงตรงเชิงเนือ้ หาโดยหาจากดชั นีความสอดคล้องระหวา่ งข้อสอบ กบั จดุ ประสงค์การเรียนรู้ (IOC) ของแบบทดสอบวดั ความสามารถอา่ นจบั ใจความโดยผ้เู ชี่ยวชาญ ข้อท่ี ความคดิ เหน็ ของผู้เช่ียวชาญ รวม ค่าIOC สรุปผล คนท่ี 1 คนท่ี 2 คนท่ี 3 1 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 2 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 3 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 4 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 5 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 6 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 7 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 8 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 9 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 10 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 11 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 12 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 13 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 14 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 15 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 16 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 17 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 18 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 19 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 20 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้

116 ตาราง 6 คา่ ความยากงา่ ย (p) และคา่ อานาจจาแนก (r) ของแบบทดสอบวดั ความสามารถอา่ นจบั ใจความ ข้อท่ี ค่าความยากง่าย แปลผล ค่าอานาจจาแนก แปลผล แปลผลคุณภาพ ของข้อสอบ 1 0.68 ใช้ได้ 0.37 * ใช้ได้ ใช้ได้ 2 0.48 ใช้ได้ 0.30 * ใช้ได้ ใช้ได้ 3 0.43 ใช้ได้ 0.46 * ใช้ได้ ใช้ได้ 4 0.37 ใช้ได้ 0.22 * ใช้ได้ ใช้ได้ 5 0.77 ใช้ได้ 0.26 * ใช้ได้ ใช้ได้ 6 0.72 ใช้ได้ 0.37 * ใช้ได้ ใช้ได้ 7 0.52 ใช้ได้ 0.30 * ใช้ได้ ใช้ได้ 8 0.72 ใช้ได้ 0.46 * ใช้ได้ ใช้ได้ 9 0.50 ใช้ได้ 0.39 * ใช้ได้ ใช้ได้ 10 0.76 ใช้ได้ 0.41 * ใช้ได้ ใช้ได้ 11 0.67 ใช้ได้ 0.37 * ใช้ได้ ใช้ได้ 12 0.46 ใช้ได้ 0.26 * ใช้ได้ ใช้ได้ 13 0.62 ใช้ได้ 0.39 * ใช้ได้ ใช้ได้ 14 0.59 ใช้ได้ 0.48 * ใช้ได้ ใช้ได้ 15 0.54 ใช้ได้ 0.48 * ใช้ได้ ใช้ได้ 16 0.70 ใช้ได้ 0.54 * ใช้ได้ ใช้ได้ 17 0.65 ใช้ได้ 0.35 * ใช้ได้ ใช้ได้ 18 0.64 ใช้ได้ 0.28 * ใช้ได้ ใช้ได้ 19 0.63 ใช้ได้ 0.41 * ใช้ได้ ใช้ได้ 20 0.61 ใช้ได้ 0.33 * ใช้ได้ ใช้ได้ * คา่ ความเที่ยง (Reliability) KR-20 = 0.7709 หมายเหตุ ใช้ดชั นีคา่ ความยากงา่ ย (p) ตงั้ แต่ .20 ถึง .80 ใช้ดชั นีคา่ อานาจจาแนก (r) ตงั้ แต่ .20 ขนึ ้ ไป

117 ภาคผนวก ค 1. แบบทดสอบวัดความสามารถอ่านจับใจความก่อนเรียนและหลังเรียน 2. ตวั อย่างแผนการจัดการเรียนรู้

118 คู่มือประกอบการใช้แบบทดสอบวัดความสามารถอ่านจับใจความ ขัน้ ตอนในการใช้แบบทดสอบวัดความสามารถอ่านจับใจความ 1. ผ้ดู าเนนิ การทดสอบเตรียมการก่อนทดสอบ ดงั นี ้ 1.1 ตรวจสอบแบบทดสอบแตล่ ะชดุ ให้ครบทกุ หน้า 1.2 ศกึ ษาแบบทดสอบและคมู่ ือให้เข้าใจขนั้ ตอนทงั้ หมด 1.3 ผ้ดู าเนนิ การทดสอบ ต้องเตรียมเคร่ืองมือในการทดสอบ ดงั นี ้ 1.3.1 แบบทดสอบและคมู่ ือประกอบการใช้แบบทดสอบวดั ความสามารถอา่ นจบั ใจความ 1.3.2 ปากกา 2. การดาเนนิ การทดสอบ ให้นกั เรียนเขียนช่ือ นามสกุล และระดบั ชนั้ ท่ีหน้าปกแบบทดสอบของเด็กให้เรียบร้อย ก่อนการทดสอบทกุ ครัง้ คาชีแ้ จง 1. แบบทดสอบนีม้ ีทงั้ หมด 8 หน้า จานวน 20 ข้อ ใช้เวลา 60 นาที 2. แบบทดสอบนีเ้ป็นแบบปรนยั คาถามแตล่ ะข้อมี 4 ตวั เลือก คือ ก, ข, ค และ ง ให้นกั เรียนอา่ นข้อความจากแบบทดสอบแล้วเลือกคาตอบท่ีถกู ท่ีสดุ เพียงคาตอบเดียว แล้วกากบาท () ทบั ตวั อกั ษรในแบบทดสอบ

119 แบบทดสอบวัดความสามารถอ่านจับใจความ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ช่ือ................................นามสกุล........................................... ชัน้ ประถมศกึ ษาปี ท่.ี ........... ผู้ประเมนิ ......................................... (...........................................) วนั ท่.ี .....เดือน.....................พ.ศ...........

120 คาชีแ้ จง ให้นกั เรียนอา่ นข้อความตอ่ ไปนีแ้ ล้วตอบคาถาม ข้อ 1 – 2 การเดินในที่สาธารณะตามหลกั การแล้ว เราต้องเดนิ ชดิ ขวาเพ่ือจะได้เดนิ ไปในทิศทาง เดียวกนั ไมเ่ กะกะขวางทางซึ่งกนั และกนั ต้องหมนั่ กวาดตาดใู ห้รอบตวั ไม่ใช่มวั แตก่ ้มหน้า ก้มตาเดนิ มิฉะนนั้ อาจเกิดอบุ ตั ิเหตโุ ดยไม่ตงั้ ใจ ตา๋ วยงั เป็ นเด็กจงึ ขาดความระมดั ระวงั อีกมาก ตหู๋ ยดุ ทกั ทายเพื่อนที่เดนิ ผา่ นมา ตา๋ วเดนิ ลว่ งหน้าไปกอ่ น เกือบเดินตดั หน้าคนแบกกระสอบ ข้าวสารในระยะกระชนั้ ชิด ทงั้ สองฝ่ ายตา่ งไมม่ ีใครดใู คร ถ้าชนกนั จะเกิดอะไรขนึ ้ 1. เราควรปฏิบตั ิอยา่ งไรขณะเดนิ ในท่ีสาธารณะ ก. เดนิ ชิดขวาหยอกล้อกนั ไป ข. รีบเดนิ ให้เร็วๆ มองดใู ห้รอบตวั ค. ดรู อบตวั ไมก่ ้มหน้าก้มตาเดนิ ง. เดนิ ชิดซ้าย ไมเ่ กะกะขวางทางกนั 2. เหตใุ ดจงึ เกือบจะเกิดอบุ ตั เิ หตขุ นึ ้ กบั ตา๋ ว ก. ตไู๋ มด่ แู ลน้อง ข. ตา๋ วเดนิ เร็วเกินไป ค. ตา๋ วขาดความระมดั ระวงั ง. ตา๋ วเดนิ ตดั หน้าคนแบกกระสอบข้าวสาร

121 คาชีแ้ จง ให้นกั เรียนอา่ นข้อความตอ่ ไปนีแ้ ล้วตอบคาถาม ข้อ 3 – 4 ไม้ดอกในเมืองไทยมีมากมายหลายพนั ธ์ุ ทงั้ ที่มีถ่ินกาเนิดในเมืองไทย หรือมาจาก ถ่ินอื่น แตล่ ะชนดิ มีลกั ษณะแตกตา่ งกนั เชน่ เป็นไม้เถา ไม้พมุ่ ไม้นา้ และไม้ต้น ต้นไม้ประจาชาติไทย คือ ราชพฤกษ์ ซง่ึ เป็นไม้ต้น ปลกู กนั ทว่ั ไป มีดอกสีเหลืองสด หรือเหลืองแกมเขียว ออกดอกเป็ นช่อ และห้อยลง ออกดอกระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม 3. ข้อใดคือใจความสาคญั ของข้อความนี ้ ก. ไม้ดอกในเมืองไทย ข. ภาษาถ่ินของไม้ดอก ค. ต้นไม้ประจาชาตไิ ทย ง. ไม้ดอกหลากหลายพนั ธ์ุในเมืองไทย 4. ข้อความนีใ้ ช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการแบง่ ไม้ดอก ก. สี ข. พนั ธ์ุ ค. ลกั ษณะ ง. ถิ่นกาเนดิ

122 คาชีแ้ จง ให้นกั เรียนอ่านข้อความต่อไปนีแ้ ล้วตอบคาถาม ข้อ 5 – 6 วันนีท้ ี่หน่วยรับบริจาคโลหิตในโรงพยาบาล มีผู้คนเวียนกันมาบริจาคไม่ขาดสาย ทุกคนจะมีความคิดเห็นตรงกนั คือ การบริจาคโลหิตสามารถช่วยชีวิตผู้คนที่ประสบอุบตั ิเหตุ ป่ วยเป็ นโรคที่ร้ายแรง ถ้าไม่ได้โลหิตไปช่วยได้ทนั เวลา ก็อาจทาให้เสียชีวิตได้ โลหิตท่ีบริจาค ออกไป ร่างกายก็สามารถสร้างใหม่ชดเชยได้ในเร็ววนั แตถ่ ้าชีวิตเสียไปแล้วก็เสียเลย ไมม่ ีการ สร้างใหม่ ชว่ ยกนั คนละไม้คนละมือเชน่ นี ้เป็นการทาบญุ ที่ยง่ิ ใหญ่ประการหนง่ึ 5. ถ้าเราบริจาคโลหิตไปแล้ว จะเกิดอะไรขนึ ้ กบั ร่างกายของเรา ก. ป่ วย ข. ขาดโลหติ ค. ไมแ่ ขง็ แรง ง. ร่างกายสามารถสร้างโลหิตใหมไ่ ด้ 6. ข้อใดคือใจความสาคญั ของข้อความนี ้ ก. ความเชื่อจากการทาบญุ ข. ขนั้ ตอนการบริจาคโลหิต ค. ผ้คู นท่ีหนว่ ยรับบริจาคโลหิต ง. ประโยชน์ของการบริจาคโลหิต

123 คาชีแ้ จง ให้นกั เรียนอา่ นข้อความตอ่ ไปนีแ้ ล้วตอบคาถาม ข้อ 7 – 8 เมื่อตูไ๋ ด้ยินเสียงโทรศพั ท์ ก็วิ่งออกจากห้องนา้ พอก้าวเหยียบพืน้ เท้าที่ยงั ไม่ได้ล้าง ฟองสบู่ออก ทาให้ลื่นทนั ที แตป่ ระสบการณ์ท่ีเคยฝึ กหัดการป้ องกันตวั มาก่อน ตรู๋ ีบเก็บหัว โดยงอศอกทัง้ สองข้างมาหนีบหัวแล้วประสานมือไว้ท้ายทอย วิธีนีจ้ ะช่วยป้ องกันไม่ให้หัว กระแทกพืน้ โดยตรง ตู๋มีสติคิดได้ถูกต้อง เพราะถ้าหัวฟาดลงกับพืน้ เต็มท่ี โดยไม่มีมือมา รองรับไว้ สมองคงถกู กระทบกระเทือนแน่ ร่างกายส่วนอื่นบาดเจ็บอาจรักษาให้เป็ นปรกติได้ แต่ถ้าสมองได้รับบาดเจ็บ อาจกลายเป็ นคนพิการ โอกาสท่ีจะเป็ นปรกติคงต้องใช้เวลา หรือ อาจกลายเป็นคนพกิ ารไปตลอด 7. อบุ ตั เิ หตขุ ้างต้นเกิดขนึ ้ เพราะเหตใุ ด ก. โทรศพั ท์ดงั ข. ความมีสติของตู๋ ค. ความประมาทของตู๋ ง. ตเู๋ หยียบพืน้ ที่เปี ยกนา้ 8. ตรู๋ อดพ้นจากการบาดเจบ็ ได้อยา่ งไร ก. แมช่ ว่ ยประคองตไู๋ ว้ทนั เวลา ข. ตเู๋ คยฝึกหดั การป้ องกนั ตวั มากอ่ น ค. ตเู๋ คยเป็นนกั กีฬายิมนาสตกิ มาก่อน ง. ตงู๋ อหลงั กางข้อศอกแล้วกลิง้ ลงกบั พืน้

124 คาชีแ้ จง ให้นกั เรียนอา่ นข้อความต่อไปนีแ้ ล้วตอบคาถาม ข้อ 9 – 11 เดือนเห็นกล่มุ ผ้สู งู อายกุ ล่มุ หนงึ่ ซึ่งเป็ นสมาชิกของชมรมจิตอาสา มาคอยชว่ ยแนะนา ผ้ปู ่ วยและบริการพาไปห้องตรวจโรค ห้องจา่ ยยาหรือห้องจา่ ยเงิน เดอื นเห็นชายสงู อายคุ นหน่ึง ยืนสีไวโอลินอยทู่ ี่มมุ ห้องโถง เสียงไวโอลินไพเราะมาก ผ้ทู ี่มานงั่ คอยรับการรักษาพยาบาล นง่ั ฟังด้วยใบหน้าที่มีความสขุ พอ่ ของเดือนเข้าไปทกั ทายป้ ามณี ซง่ึ เป็ นเจ้าของสวนผลไม้ใน ละแวกนนั้ ป้ ามณีเลา่ ให้ฟังวา่ ป้ าเป็นสมาชิกชมรมจติ อาสา ใครวา่ งวนั ไหนก็ผลดั เปลี่ยนกนั มาชว่ ยงานที่โรงพยาบาลตามแตถ่ นดั ของแตล่ ะคน ป้ ามณีมีความสขุ มากท่ีได้ทาตวั ให้เป็ น ประโยชน์ตอ่ สงั คม 9. ชมรมนีไ้ ม่ได้ปฏิบตั สิ ง่ิ ใด ก. เลน่ ดนตรีให้ฟัง ข. ให้คาแนะนาแก่ผ้ปู ่ วย ค. พาผ้ปู ่ วยไปโรงพยาบาล ง. พาผ้ปู ่ วยไปห้องตรวจโรค 10. สมาชิกจะได้สิ่งใดเป็นการตอบแทน ก. เงิน ข. อาหาร ค. ความสขุ ง. รับการรักษาฟรี 11. สมาชิกของชมรมเป็นกลมุ่ คนประเภทใด ก. วยั รุ่น ข. ผ้สู งู วยั ค. วยั ทางาน ง. คนวา่ งงาน

125 คาชีแ้ จง ให้นกั เรียนอ่านข้อความตอ่ ไปนีแ้ ล้วตอบคาถาม ข้อ 12 – 14 น้าพะยอมสะบดั มือที่เปี ยกนา้ แล้วเดินไปเปิ ดตู้เย็น พอเอามือจับตู้เย็นเท่านัน้ น้าพะยอมร้องกรี๊ดตวั แข็ง พยายามกระชากมือออกแตต่ ู้เย็นดดู มือน้าพะยอมไว้แนน่ ต๋าวถลันจะเข้าไปช่วยดึงน้าพะยอม ต๋ตู ะโกนเสียงดงั ล่ัน “อย่าจบั ! อย่าจบั ! ไฟช้อต” ตกู๋ ระโจนไปตดั ไฟสะพานไฟอยา่ งรวดเร็ว น้าพะยอมมือหลดุ จากต้เู ย็นร่วงลงมากองกบั พืน้ ที่จริงบ้านของตมู๋ ีเคร่ืองตดั ไฟอตั โนมตั ิอยแู่ ล้ว ถ้าไฟฟ้ ามีการลดั วงจรเม่ือไร เครื่องนีจ้ ะตดั ไฟ ทงั้ บ้านทนั ที แต่เผอิญเครื่องตดั ไฟเสีย พ่อต้องไปธุระต่างจงั หวดั จึงไม่มีเวลาแก้ไข แต่ พอ่ ก็บอกทกุ คนในบ้านรับรู้เมื่อเกิดเหตกุ ารณ์อะไรขนึ ้ จะได้แก้ไขปัญหาได้ทนั 12. ใจความสาคญั ของข้อความนีค้ ืออะไร ก. ความมีสตขิ องตู๋ ข. น้าพะยอมถกู ไฟช้อต ค. การแก้ปัญหาเมื่อไฟช้อต ง. อบุ ตั เิ หตเุ กิดขนึ ้ ได้ทกุ เม่ือ 13. การชว่ ยเหลือน้าพะยอมข้อใดถกู ต้องท่ีสดุ ก. ตวู๋ ่ิงไปท่ีเคร่ืองตดั ไฟ ข. ตวู๋ ่งิ ไปถอดปลกั๊ ต้เู ย็นออก ค. ตา๋ วชว่ ยดงึ น้าพะยอมออกมา ง. ตวู๋ ิ่งไปตดั สะพานไฟอยา่ งรวดเร็ว 14. อปุ กรณ์ใดชว่ ยให้ปลอดภยั ได้เม่ือเกิดไฟฟ้ าลดั วงจรขนึ ้ ก. ปลก๊ั ไฟ ข. สายไฟ ค. สะพานไฟ ง. เคร่ืองปั่นไฟ

126 คาชีแ้ จง ให้นกั เรียนอ่านข้อความตอ่ ไปนีแ้ ล้วตอบคาถาม ข้อ 15 – 17 ปริศนาคาทายมีมาตงั้ แต่สมัยโบราณ ในชัน้ แรก เรียกว่า ผะหมี ซ่ึงเป็ นภาษาจีน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หวั รัชกาลที่ 6 โปรดให้เรียกเป็ นภาษาไทยว่า “ทายปริศนา” ซง่ึ ได้ทรงพระราชนิพนธ์ขนึ ้ ในบางโอกาสให้ข้าราชบริพารในพระองค์คดิ ตอบ เลน่ กนั เป็ นการภายใน เม่ือมีผ้สู นใจมากขนึ ้ จึงทรงจดั ให้มีการทายปริศนาในงานฤดหู นาว ซง่ึ ได้รับความนิยมมาก ปริศนาคาทาย บางทีเรียกว่า ปัญหาเชาวน์ แต่เดิมเป็ นปัญหาที่ผู้ใหญ่ถามเด็ก ปัจจบุ นั มกั จะเป็ นปัญหาท่ีคิดทายเล่นกนั สนกุ ๆ ในหม่เู ด็กๆ แม้จะเป็ นปัญหากวนอารมณ์ แตก่ ็เรียกเสียงหวั เราะได้ไมน่ ้อย 15. ข้อความนีก้ ล่าวถึงเร่ืองใด ก. ประโยชน์ของผะหมี ข. ความสนกุ ของปริศนาคาทาย ค. ความหมายของปริศนาคาทาย ง. ความเป็นมาของปริศนาคาทาย 16. ข้อใดไม่เก่ียวข้องกบั ปริศนาคาทาย ก. ปัญหาเชาวน์ ข. เลน่ กนั สนกุ ๆ ค. มีทา่ ทางตลกๆ ง. ปัญหาที่กวนอารมณ์ 17. สิง่ สาคญั ของปริศนาคาทายคืออะไร ก. ภาษา ข. ชยั ชนะ ค. ทา่ ทาง ง. ความเครียด

127 คาชีแ้ จง ให้นกั เรียนอ่านข้อความตอ่ ไปนีแ้ ล้วตอบคาถาม ข้อ 18 – 20 พอ่ ของผมเป็นอาจารย์สอนอยทู่ ี่มหาวิทยาลยั ท่ีมีช่ือเสียงแหง่ หนงึ่ มหาวิทยาลยั ของพ่อ รับบริจาคนา้ มันพืชท่ีใช้แล้ว เพ่ือนาไปทดลองผลิตนา้ มันไบโอดีเซล ทุกคนในบ้านของผม สนบั สนนุ พอ่ จงึ ชว่ ยกนั ชกั ชวนเพื่อนบ้านทาป้ ายประกาศ และกลอ่ งรับนา้ มนั ไปตงั้ ไว้ตามชมุ ชน แถวละแวกบ้ าน ผู้คนให้ ความร่วมมือกันดีมาก ป่ ูจะคอยรวบรวมเพื่อให้ พ่อนาไปส่งที่ มหาวิทยาลยั ทกุ วนั จนั ทร์ “พอ่ ไมเ่ หนื่อยหรือครับ ขนนา้ มนั เตม็ ท้ายรถทกุ อาทิตย์” ผมถามพอ่ “ไมเ่ หน่ือยหรอก ถึงเหน่ือยก็ไมเ่ ป็นไร ชว่ ยกนั คนละไม้คนละมืออยา่ งนี ้นอกจากจะชว่ ย ตวั เราไม่ให้เดือดร้ อนกับมลพิษต่างๆ แล้ว ชุมชนยังสะอาดน่าอยู่ ช่วยรักษาโลกให้ร่มเย็น ถงึ แม้วา่ สิ่งที่พอ่ ทาจะเป็นจดุ เลก็ ๆ แตก่ ็ยงั ดกี วา่ ไมไ่ ด้ทาอะไรเสียเลย” น่ีละพอ่ ผม 18. ใครทาหน้าที่รวบรวมนา้ มนั พืชให้พอ่ ก. ป่ ู ข. อาจารย์ ค. เพ่ือนบ้าน ง. ทกุ คนในบ้าน 19. สงิ่ ใดที่ทกุ คนในบ้านไม่ได้ทา ก. ทาป้ ายประกาศ ข. ชกั ชวนเพ่ือนบ้าน ค. ทากลอ่ งรับนา้ มนั ง. นานา้ มนั ท่ีได้ไปประกอบอาหาร 20. ข้อความนีก้ ลา่ วถงึ เร่ืองใด ก. การแขง่ ขนั ของคนในชมุ ชน ข. วธิ ีการผลติ นา้ มนั ไบโอดเี ซล ค. ประโยชน์ของนา้ มนั ไบโอดีเซล ง. ความชว่ ยเหลือกนั ของคนในชมุ ชน คะแนน

128 แผนการจัดการเรียนรู้จากการสอนอ่านจับใจความโดยใช้วธิ ี PQ4R ร่วมกับเทคนิคแผนท่คี วามคดิ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 20 เร่ือง หน้าต่างท่เี ปิ ดกว้าง เวลา 60 นาที ผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวัง นกั เรียนเข้าใจใจความสาคญั และรายละเอียดของเร่ือง จากการสอนอา่ นจบั ใจความโดยใช้วิธี PQ4R ร่วมกบั เทคนคิ แผนที่ความคดิ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. นกั เรียนสามารถตอบคาถามจากเรื่องที่อา่ นได้ 2. นกั เรียนสามารถบอกใจความสาคญั จากเรื่องที่อา่ นได้ สาระการเรียนรู้ การอ่านจบั ใจความ การหาใจความสาคญั และรายละเอียดของเร่ืองท่ีอา่ น กิจกรรมการเรียนการสอน ครูอธิบายเก่ียวกับการเรียนการสอนอ่านจับใจความโดยวิธี PQ4R ร่วมกับเทคนิคแผนท่ี ความคดิ จากนนั้ ครูดาเนนิ การสอนอา่ นตามขนั้ ตอนดงั ตอ่ ไปนี ้ ขนั้ ท่ี 1 สารวจ (Preview) 1.1 ครูแจกบทอา่ นให้แก่นกั เรียน 1.2 ครูชีแ้ จงว่า “ให้นักเรียนสารวจบทอ่านที่ได้รับ กวาดสายตาผ่านตลอดทัง้ บทอ่าน ดังนี ้ หวั ข้อ ยอ่ หน้าแรก ลกั ษณะตวั อกั ษรท่ีเดน่ ๆ รูปภาพ บทสรุป” 1.3 ครูกล่าวกับนกั เรียนว่า “ให้นกั เรียนบอกครูว่าพบอะไรบ้างจากบทอ่านนี”้ เพื่อเป็ นการ ตรวจสอบว่านกั เรียนสารวจตลอดทงั้ บทอา่ นแล้ว

129 บทอ่าน หนมู ะลชิ ื่นชมในพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์นกั วิทยาศาสตร์เพียงพระองคเ์ ดียวในโลก ผลงานทาง วิทยาศาสตร์ของพระองค์มีมากมาย ซ่งึ ได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวลั จาก นานาประเทศหลายรางวลั เชน่ ในปี พ.ศ.2544 องค์กรนกั ประดษิ ฐ์ท่ีเก่าแกท่ ่ีสดุ ของยโุ รป ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ได้ทลู เกล้าฯ ถวายรางวลั ดเี ดน่ จากโครงการนา้ มนั ไบโอดีเซล สตู รสกดั จากนา้ มนั ปาล์ม และในปี พ.ศ.2550 รั ฐ บ า ล ข อ ง ส ห รั ฐ อ า ห รั บ เ อ มิ เ ร ต ส์ ร่ ว ม กับ อ ง ค์ ก า ร อุตุนิ ย ม วิ ท ย า โ ล ก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทลู เกล้าฯ ถวายรางวลั ด้านการศกึ ษาวิจยั การทาฝนเทียม และพฒั นาดดั แปรสภาพอากาศ ขนั้ ที่ 2 คาถาม (Question) 2.1 ครูให้นกั เรียนตงั้ คาถามจากบทอา่ น ครูกล่าวกับนักเรียนว่า “ให้นักเรียนตงั้ คาถามจากบทอ่าน โดยใช้คาขึน้ ต้นประโยค คาถามด้วยคาวา่ ใคร อะไร ท่ีไหน ทาไม เป็นต้น” ในขัน้ นีก้ ารตัง้ คาถามจะกระตุ้นให้ผู้อ่านมีความอยากรู้อยากเห็น จึงเพิ่มความ เข้าใจในการอ่านมากยง่ิ ขนึ ้ คาถามจะชว่ ยให้การอา่ นในขนั้ ตอ่ ไปเป็นไปอยา่ งมีจดุ มงุ่ หมาย 2.2 ครูแจกใบคาถาม-คาตอบ ให้นกั เรียนคนละ 1 แผน่ ครูกลา่ ววา่ “ให้นกั เรียนเขียนคาถามที่ตงั้ ไว้ลงในกระดาษนี”้ เพ่ือชว่ ยยา้ แนวทางสู่ จดุ มงุ่ หมายในการอา่ นของนกั เรียน

130 บัตรคาถาม-คาตอบ คาถาม …………………………………………………………………………………………... คาตอบ…………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………… 2.3 ครูจะเป็นผ้ชู ีแ้ นะในกรณีท่ีนกั เรียนประสบปัญหาในการตงั้ คาถาม เชน่ อธิบายด้วยคาพดู หรือยกตวั อย่างเป็นภาพประกอบให้เข้าใจ ขนั้ ท่ี 3 อา่ น (Read) 3.1 ครูให้นกั เรียนอ่าน และหาคาตอบจากการอา่ น ครูกลา่ วกบั นกั เรียนวา่ “ให้นกั เรียนอา่ นบทอา่ นในใจจนหมดทงั้ บทอา่ น ขณะอา่ นให้ พยายามหาคาตอบ เพ่ือตอบคาถามที่ตงั้ ไว้” 3.2 ครูแจกบตั รคาศพั ท์ให้นกั เรียนเพ่ือช่วยให้นกั เรียนเข้าใจความหมายของคามากยิ่งขึน้ นอกจากนีค้ รูจะเป็นผ้ชู ีแ้ นะในกรณีท่ีนกั เรียนไมเ่ ข้าใจความหมายของคา เชน่ อธิบายเพิ่มเตมิ ยกตวั อยา่ ง เป็นต้น

131 ทูลเกล้าฯ ถวาย หมายถงึ บัตรคาศัพท์ (ทูน-เกลา้ -ทนู -กระ-หม่อม-ถะ-หวาย) ให้ ใช้สาหรับของที่ยกได้ (ราชาศพั ท์) เชน่ ทลู เกล้าฯ ถวายพวงมาลยั , ทลู เกล้าฯ ถวายหนงั สือ นา้ มันปาล์ม หมายถึง นา้ มนั ที่ได้จากไม้ชนิดปาล์มนา้ มนั นักวทิ ยาศาสตร์ หมายถงึ ผ้มู ีความรู้ความเชี่ยวชาญตามสาขาวชิ าท่ีค้นคว้า ได้หลกั ฐานและหลกั ผล แล้วจดั เข้าเป็นระเบียบ แปรสภาพ หมายถงึ เปล่ียนกลายจากลกั ษณะหรือภาวะเดมิ ที่เป็นเองตาม ฝนเทียม หมายถงึ ธรรมดาหรือตามธรรมชาติ พระปรีชาสามารถ หมายถึง วิจัย หมายถงึ ฝนที่มนษุ ย์ทาขนึ ้ โดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ สกัด หมายถึง ความรอบรู้ ความสามารถ (ราชาศพั ท์) ค้นคว้าเพื่อหาข้อมลู อยา่ งถี่ถ้วนตามหลกั วชิ า เค้นหรือแยกเอาออกมา ท่มี า : พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน หนงั สอื เรียนรายวชิ าพนื ้ ฐานภาษาไทย ชดุ ภาษาเพือ่ ชวี ติ ภาษาพาที ชนั้ ประถมศกึ ษาปี ที่ 5 3.3 ครูให้นกั เรียนเขียนคาตอบลงในกระดาษที่มีคาถามแผน่ เดมิ ขนั้ ท่ี 4 สะท้อน (Reflect) ครูกลา่ วกบั นกั เรียนวา่ : “ให้นักเรียนเล่าเร่ืองจากประสบการณ์ของตนเองที่เกี่ยวกับบทอ่านนี ้ หรือนักเรียนมี ความรู้เกี่ยวกบั เรื่องนีอ้ ยา่ งไรบ้าง” เพื่อให้นกั เรียนเชื่อมโยงความรู้เข้ากบั เร่ืองท่ีอ่าน หรือจาก ประสบการณ์เดมิ ของนกั เรียน

132 ขนั้ ท่ี 5 ทอ่ งจา (Recite) 5.1 ครูสาธิตวธิ ีการทาแผนท่ีความคดิ ให้นกั เรียนดทู ีละขนั้ ตอน ดงั นี ้ 5.1.1 ครูเขียนประเดน็ สาคญั ไว้กลางหน้ากระดาษ 5.1.2 จากนนั้ ครูวาดเส้นกิ่งก้านสาหรับหวั ข้อหลกั แตล่ ะข้อ 5.1.3 เขียนตวั หนงั สือให้ชดั เจน อา่ นงา่ ย 5.1.4 ครูวาดเส้นท่ีเชื่อมโยงไปยงั ก่ิงก้านอ่ืนๆ ด้วยปากกาสีเพ่ือให้สะดดุ ตา 5.1.5 ใช้สญั ลกั ษณ์ เครื่องหมาย การระบายสี และการวาดภาพงา่ ยๆ 5.2 ครูแจกกระดาษขนาด A4 ให้นกั เรียนคนละ 1 แผน่ พร้อมอปุ กรณ์เคร่ืองเขียน ครูชีแ้ จงวา่ “ให้นกั เรียนทาแผนที่ความคดิ จากข้อความที่อา่ นลงในกระดาษนี ้เลือกใช้ อปุ กรณ์เครื่องเขียนตามที่นกั เรียนชอบ” 5.3 ครูให้นกั เรียนอธิบายแผนที่ความคิดของตน ขนั้ ที่ 6 ทบทวน (Review) 6.1 ครูชีแ้ จงว่า “ให้นกั เรียนอ่านออกเสียงคาถามและคาตอบของตนเอง ถ้าไม่แน่ใจ คาตอบ ให้นกั เรียนอา่ นซา้ อีกครัง้ ” เมื่อดาเนินการครบทงั้ 6 ขนั้ ตอนแล้ว ครูให้นักเรียนตอบคาถามในใบงาน หลงั จากนนั้ ครูให้การบ้านแกน่ กั เรียน ส่ือการเรียนรู้ 1. บทอา่ น 2. ใบงาน 3. บตั รคาถาม-คาตอบ 4. บตั รคาศพั ท์ 5. บตั รภาพ 6. การบ้าน 7. กระดาษ A4 8. ปากกาสีตา่ งๆ

133 การวัดและประเมนิ ผล 1. สงั เกตจากพฤตกิ รรมของนกั เรียน - ความร่วมมือในการทากิจกรรม 2. ตรวจผลงานจากใบงาน

134 บทอ่าน หนมู ะลิชื่นชมในพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู วั พระองค์ทรงเป็ นกษัตริย์นกั วิทยาศาสตร์เพียงพระองค์เดียวในโลก ผลงานทางวทิ ยาศาสตร์ของพระองค์มีมากมาย ซงึ่ ได้รับการทลู เกล้าฯ ถวาย รางวลั จากนานาประเทศหลายรางวลั เชน่ ในปี พ.ศ.2544 องค์กรนกั ประดิษฐ์ ที่เก่าแก่ท่ีสดุ ของยโุ รป ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ได้ทลู เกล้าฯ ถวาย รางวัลดีเด่นจากโครงการนา้ มันไบโอดีเซล สตู รสกดั จากนา้ มนั ปาล์ม และในปี พ.ศ.2550 รัฐบาลของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ร่วมกบั องค์การ อตุ นุ ิยมวิทยาโลก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทลู เกล้าฯ ถวายรางวลั ด้าน การศกึ ษาวิจยั การทาฝนเทียมและพฒั นาดดั แปรสภาพอากาศ

135 บตั รภาพ ปาล์มน้ามัน การทาฝนเทยี ม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook