36 A คอื คะแนนเตม็ ของแบบฝกึ หัดหรือแบบทดสอบหลงั เรยี นรายชุดรวมกนั 3.2 การหาคา่ E2 E2 = F N B X 100 เมอ่ื E2 คือ ประสทิ ธิภาพของผลลพั ธ์ ΣF คือ คะแนนรวมของการสอบหลงั เรยี นของนักเรยี นทกุ คน N คอื จา้ นวนนกั เรยี น B คือ คะแนนเต็มของการสอบหลังเรยี น ประโยชน์ของชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ ศิรนิ ภา อฐิ สวุ รรณศิลป์ (2548 : 38) สรุปประโยชน์ของชดุ กิจกรรมการเรยี นรไู้ วด้ งั น้ี 1. ช่วยให้เกดิ การเรียนรู้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ เพราะช่วยให้นักเรียนเข้าใจบทเรยี น ได้แจ่มกระจา่ งย่ิงขน้ึ 2. ชว่ ยลดภาระผูส้ อน เพราะมีการจัดเตรยี มลา้ ดบั ข้นั ตอนเรยี บร้อยแลว้ 3. ชว่ ยในการสอนนักเรยี นท่ีมีความสามารถหรือความสนใจแตกตา่ งกนั 4. ชว่ ยรกั ษามาตรฐานการเรียนรู้ เพราะผทู้ เี่ รยี นจากชุดกิจกรรมการเรียนร้จู ะไดร้ ับ ความรใู้ นมาตรฐานเดยี วกนั 5. มีการวดั และการประเมินผลความก้าวหนา้ ของนกั เรยี นอย่างสมา้่ เสมอ สรา้ งทศั นคติทดี่ ตี ่อการเรยี นรู้แกน่ กั เรียน 6. เปดิ โอกาสให้นกั เรียนไดแ้ สดงความคดิ เห็น ฝึกฝนการตัดสินใจ และแสวงหา ความรู้ด้วยตนเอง 7. มีความรบั ผิดชอบตอ่ ตนเอง และสงั คม 8. ใช้ได้กับทุกระดับการศึกษา 9. เร้าความสนใจของนักเรยี นไดม้ ากจากส่ือที่หลากหลาย จากแนวคิดที่กลา่ วมาสรุปไดว้ ่า ชดุ กิจกรรมการเรียนรมู้ ีประโยชน์ในการชว่ ยให้ นกั เรยี นเกดิ การเรยี นรูจ้ ากการลงมือปฏบิ ตั ิ ฝึกการคดิ การตัดสนิ ใจตามความสามารถของตนเองได้ ง่ายขึ้น เน่ืองจากมีส่ือทหี่ ลากหลาย เรา้ ความสนใจ และลดภาระในการผลิตสอื่ การสอน ทซี่ า้ ซอ้ น รวมท้ังชว่ ยแก้ปัญหาการขาดแคลนครู
37 ดังน้ันสรุปได้ว่าประโยชน์ของชุดกิจกรรม ช่วยลดภาระของผู้สอนให้ด้าเนินตาม ค้าแนะน้ากรณผี สู้ อนขาดแคลน สามารถใชช้ ุดกิจกรรม เม่ือมีครูเข้าไปดแู ลเล็กน้อยผเู้ รยี นสามารถ เรียนและปฏิบัติได้ และมีประโยชน์หากในการสอนซ่อมเสริม ทั้งน้ีทั้งน้ันชุดกิจกรรมต้องมี ประสทิ ธิภาพและเชือ่ ถือได้จากกลมุ่ ผู้เชย่ี วชาญ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น ความหมายของผลสัมฤทธก์ิ ารเรยี น จากความหมายของผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน มีนักการศึกษาได้ให้ความหมายของ ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น สรปุ ได้ ดงั น้ี ณภทั ร พทุ ธสรณ์ (2551 : 36) กล่าววา่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้ ความสามารถในการเรียนรู้ดา้ นวิทยาศาสตรท์ ่ีไดเ้ รียนมาแลว้ และวัดไดจ้ ากแบบทดสอบ ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน สดุ ารตั น์ นนทค์ ลัง (2549 : 9) ไดส้ รปุ ไว้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ เปน็ แบบทดสอบทีใ่ ช้วัดความรู้ ความสามารถทางสมองหรือสติปญั ญาของผู้เรียนซ่งึ ผู้เรยี นได้เรยี นไปแลว้ และเป็นผลเนอื่ งมาจากหลักสตู ร วิธีการจดั การเรยี นการสอนของผสู้ อน วขิ องผ้เู รียน ตลอดจนการใช้ สือ่ การเรยี นการสอน รวมถงึ ประสบการณ์ของผเู้ รยี นนอกห้องเรียนท่ีผูเ้ รยี นได้รับ พัฒนพงษ์ สีกา (2548 : 22) ได้ใหค้ วามหมายของผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนหมายถึง ผล ทเี่ กิดจากการกระท้าของบคุ คล ซ่งึ เป็นการเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรมเนื่องจากการไดร้ บั ประสบการณ์ โดยการเรียนรดู้ ้วยตนเอง หรือจากการเรยี นการสอนในชั้นเรียน และสามารถประเมิน หรือวัดได้จาก การทดสอบ จากท่ีกล่าวมาแลว้ สรปุ ไดว้ า่ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น หมายถงึ พฤติกรรมทแี่ สดงออกถึง ความรู้ ทักษะท่ีเกิดจากการเรยี นรู้ หรือฝกึ ฝนทักษะ ท่ีไดเ้ รยี นมาแลว้ ซ่ึงสามารถวัดหรือประเมนิ ได้ โดยใชเ้ ครือ่ งมือวัด ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน แบ่งได้เปน็ 2 ประเภท สรปุ ได้ดังนี้ (ทวิ ัตถ์ มณโี ชติ 2549 : 68 – 73 ; อนุวตั ิ คูณแกว้ 2550 : 170) 1. แบบทดสอบปรนัย (Objective tests) แบบทดสอบปรนัย (Objective Tests) แบง่ ไดเ้ ปน็ 4 ชนิด ไดแ้ ก่ 1.1 แบบถูก - ผิด (True - False Items) เปน็ แบบทดสอบท่ีใหผ้ ูต้ อบตัดสนิ ใจเลอื ก วา่ แต่ละข้อนน้ั ถูกหรือผดิ แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ ข้อคา้ ถามเด่ียว และข้อค้าถามชดุ จากสาระ ท่ีก้าหนด
38 1.2 แบบจับคู่ (Matching Items) แบบทดสอบประเภทน้ี เปน็ การหาความสมั พันธ์ ระหวา่ ง 2 ขอ้ ความ คือข้อความท่ีเป็นค้าถาม (Premises หรือ Descriptions) กบั ข้อความท่เี ปน็ คา้ ตอบ 1.3 แบบเติมค้า (Completion Items) เปน็ ข้อสอบท่ตี ้องการใหผ้ ูส้ อบเตมิ ค้า หรอื ขอ้ ความสนั้ ๆ ในส่วนท่ีเวน้ วา่ งไว้ ให้เป็นประโยคท่ีถกู ต้องสมบรู ณ์ 1.4 แบบเลือกตอบ (Multiple Choice Test) เป็นแบบทดสอบทน่ี ยิ มใช้กันมาก สา้ หรบั แบบทดสอบแบบปรนัย เพราะสามารถวัดได้ทุกระดบั พฤติกรรมของการวัดศักยภาพ ทางสมอง ขอ้ สอบแบบเลือกตอบ เปน็ ข้อสอบท่นี ยิ มใชม้ ากในปัจจุบนั ทัว่ โลก 2. แบบอตั นัย แบบทดสอบอตั นยั เป็นแบบทดสอบที่ให้ผู้ตอบได้แสดงความคดิ เห็น จึงเหมาะ ส้าหรบั วดั ความรู้ขน้ั สูงกวา่ ความจ้า และความเข้าใจ ข้อสอบอตั นยั แบง่ ได้ 2 ลกั ษณะ คือ 2.1 แบบจา้ กัดคา้ ตอบ คือใหน้ ักเรยี นตอบตามประเดน็ ท่ีระบุไว้ 2.2 แบบไมจ่ า้ กัดค้าตอบ คือใหน้ กั เรยี นแสดงความคิดเห็นอยา่ งเสรี จากประเภทของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนทีก่ ลา่ วมาแลว้ สรุปไดว้ ่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คอื แบบปรนยั และแบบอัตนัย 3. การวดั และประเมินผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ บลูม (Bloom. 1976: 201 อ้างถึงใน ศรีชาติ เพ็งอินทร์ 2552 : 39 ) ได้กลา่ วถึงลา้ ดบั ขนั้ ของความรู้ ใชใ้ นการเขียนวตั ถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม ดา้ นความรคู้ วามคิดไว้ 6 ข้นั ดงั น้คี ือ 1. ความรคู้ วามจา้ หมายถงึ การระลึกหรือทอ่ งจ้าความรู้ตา่ งๆ ท่ีเรยี นมาแลว้ โดยตรงในข้ันนี้รวมถงึ การระลกึ ถงึ ข้อมลู ข้อเทจ็ จริงต่างๆ ไปจนถงึ กฎเกณฑ์ ทฤษฎจี ากตา้ รา ดังนัน้ ข้นั ความรู้ความจา้ จงึ จดั ไดว้ า่ เปน็ ขั้นตา้่ สดุ 2. ความเขา้ ใจ หมายถึง ความสามารถทจ่ี ะจบั ใจความสา้ คัญของเนื้อหาท่ีได้เรียน หรืออาจแปลความหมายจากตวั เลข การสรุป การยอ่ ความต่างๆ การเรยี นรู้ข้นั น้ี ถือว่า เปน็ ขน้ั สูงกวา่ การทอ่ งจ้าตามปกติอีกขน้ั หน่งึ 3. การนา้ ไปใช้ หมายถึง ความสามารถ ท่จี ะนา้ ความรู้ทีน่ กั เรียนได้เรียนมาแล้ว ไปใชใ้ นสถานการณ์ใหม่ ดังน้ัน ในขน้ั นี้จงึ รวมถึง ความสามารถในการเอากฎ มโนทัศน์ หลักสา้ คัญ วิธีการนา้ ไปใช้ การเรียนรู้ขนั้ นถ้ี อื ว่า นกั เรียนจะตอ้ งมคี วามเข้าใจเน้ือหาเปน็ อย่างดีเสียกอ่ น จึงจะน้า ความรูไ้ ปใช้ได้ ดังนั้น จงึ จัดอันดบั ใหส้ งู กว่าความเข้าใจ 4. การวเิ คราะห์ หมายถึง ความสามารถท่จี ะแยกแยะเน้ือหาวชิ า ลงไปเปน็ องคป์ ระกอบย่อยๆ เหลา่ นัน้ เพื่อทีจ่ ะมองเหน็ หรือเข้าใจความเกีย่ วโยงต่างๆ ในขนั้ น้ี จึงรวมถึง การแยกแยะหาสว่ นประกอบย่อยๆ หาความสมั พันธร์ ะหว่างสว่ นยอ่ ยๆ เหล่าน้ัน ตลอดจนหลกั
39 สา้ คญั ตา่ งๆ เขา้ มาเกีย่ วข้อง การเรยี นรู้ในขน้ั น้ี ถอื วา่ สงู กว่าการน้าเอาไปใชแ้ ละต้องเข้าใจเนื้อหา และโครงสร้างของบทเรียน 5. การสงั เคราะห์ หมายถึง ความสามารถท่จี ะน้าเอาสว่ นย่อยๆ มาประกอบกัน เปน็ สงิ่ ใหม่ การสงั เคราะหจ์ ึงเก่ยี วกบั การวางแผน การออกแบบการทดลอง การตงั้ สมมติฐาน การ แกป้ ัญหาท่ยี ากๆ การเรยี นรใู้ นระดบั นี้ เป็นการเน้นพฤติกรรมท่ีสรา้ งสรรค์ ในอนั ทจี่ ะสร้างแนวคดิ หรอื แบบแผนใหมๆ่ ขนึ้ มา ดังน้ัน การสงั เคราะห์เป็นสิ่งทีส่ งู กวา่ การวิเคราะห์อีกขั้นหนงึ่ 6. การประเมินค่า หมายถงึ ความสามารถทจี่ ะตดั สนิ ใจ เกีย่ วกบั คุณค่าตา่ งๆ ไม่วา่ จะเป็นค้าพูด นวนยิ าย บทกวี หรือการรายงานวิจัย การตัดสนิ ใจดงั กลา่ ว จะตอ้ งวางแผน อย่บู นเกณฑ์ท่ีแนน่ อน เกณฑ์ดงั กล่าวอาจจะเป็นสิ่งทน่ี ักเรียนคดิ ขน้ึ เอง หรอื นา้ มาจากส่ิงอื่นก็ได้ การเรียนรูข้ ้นั นี้ ถอื ว่าเป็นการเรียนรู้ ขั้นสูงสดุ ของความร้คู วามจา้ ประวิตร ชูศิลป์ (2534: 21 – 31 อ้างถึงใน ศรชี าติ เพ็งอินทร์ 2552 : 39) กล่าววา่ การ วดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิทยาศาสตรเ์ พื่อใหน้ ักเรียนไดร้ ับความรู้เนอ้ื หาทางวิทยาศาสตรแ์ ละ กระบวนการแสงหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตรจ์ ะต้องวัดท้ังสองลกั ษณะ และเพ่ือความสะดวกในการ ประเมินผล จงึ ได้ทา้ การจ้าแนกพฤติกรรมในการวัดผลวิชาวทิ ยาศาสตร์ ในการสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนวทิ ยาศาสตร์ สา้ หรบั เป็นเกณฑ์ในการวดั ความสามารถด้านตา่ งๆ 4 ดา้ น คือ 1. ดา้ นความรู้ ความจ้า หมายถึง ความสามารถในการระลึกถึงสิง่ ทเี่ คยเรียนมาแล้ว เกี่ยวกับข้อเทจ็ จริง ข้อตกลง ค้าสง่ั หลักการและทฤษฎที างวทิ ยาศาสตร์ 2. ดา้ นความเขา้ ใจ หมายถงึ ความสามารถในการอธบิ ายความหมาย ขยายความ และแปลความรู้โดยอาศัยขอ้ เทจ็ จริง ขอ้ ตกลง คา้ สั่ง หลักการและทฤษฎีทางวทิ ยาศาสตร์ 3. การนา้ ไปใช้ หมายถึง ความสามารถในการนา้ ความรู้ วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ ไปใชใ้ นสถานการณ์ใหมท่ ่แี ตกต่างกนั ออกไป หรือสถานการณ์ทคี่ ลา้ ยคลงึ กัน โดยเฉพาะอย่างย่ิง การน้าไปใชใ้ นชวี ติ ประจ้าวัน 4. ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถของบคุ คล ในการสบื เสาะหาความรโู้ ดยผ่านการปฏบิ ตั แิ ละฝึกฝนความคดิ อย่างมีระบบ จนเกดิ ความคลอ่ งแคลว่ ชา้ นาญ สามารถเลอื กใชก้ จิ กรรมตา่ งๆ ได้อย่างเหมาะสมส้าหรับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วย ทกั ษะการสังเกต ทกั ษะการคา้ นวณ ทักษะการจ้าแนกประเภท ทกั ษะการลงความ คดิ เห็นจากข้อมูล ทักษะการจัดกระท้าสอื่ ความหมายข้อมลู ทกั ษะการกา้ หนดและควบคุมตัวแปร ทกั ษะการตั้งสมมติฐาน ทักษะการทดลองและทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป จากท่ีกล่าวมาแลว้ สรุปไดว้ า่ การวัดและประเมินผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนวิทยาศาสตร์ จะตอ้ งวดั ตามล้าดับขนั้ ของบลูม และในทนี่ ี้ผูร้ ายงานได้สร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 3 คือวดั ความร้คู วามสามารถทัง้ 4 ด้านคอื
40 ด้านความร้คู วามจา้ ดา้ นความเข้าใจ ดา้ นการนา้ ไปใช้ และด้านทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ขั้นพนื้ ฐาน โดยพจิ ารณาใหค้ รอบคลุมจุดประสงค์การเรียนร้ขู องบทเรียนวทิ ยาศาสตร์ เอกสารท่ีเกีย่ วขอ้ งกบั เจตคติ ความหมาย การจดั การเรยี นรู้ ทีป่ ระสบผลสา้ เร็จและมปี ระสิทธิภาพ จะสง่ ผลให้ผเู้ รยี นเกิดการ เรยี นรอู้ ย่างมีความหมาย เกิดกระบวนการคดิ สามารถน้าไปใชใ้ นชีวติ ประจา้ วันได้ และสง่ิ ทตี่ ้อง คา้ นึงคือ ผลต่อด้านจติ ใจหลังเรียน ซึ่งเป็นความพงึ พอใจของผู้เรยี น ซึ่งมีนักการศึกษาหลายทา่ น ได้ใหค้ วามหมายของเจตคติไว้ ดังน้ี บุญมั่น ธนาศภุ วัฒน์ (2547:158) ไดส้ รุปความหมายไว้วา่ หมายถึง เจตคตใิ นทางบวก ของบุคคลที่มตี อ่ งาน หรอื กิจกรรมทีเ่ ขาทา้ ขน้ึ ซ่งึ เป็นผลใหบ้ คุ คลเกดิ ความรสู้ กึ กระตือรือร้น มีความ มุ่งม่ันท่ีจะท้างาน มีขวัญและก้าลังใจในการท้างาน ส่ิงเหล่าน้ีจะมีผลต่อประสิทธิภาพและ ประสิทธผิ ลของการท้างาน ซึ่งส่งผลตอ่ ความสา้ เรจ็ และเป็นไปตามเปา้ หมายขององค์การ สุภากร พูลสุข (2547 :48 ) หมายถงึ การแสดงออกดา้ นเจตคติ เปน็ ความรู้สึกทางบวก ของจิตใจทีม่ ตี ่อประสบการณ์ทม่ี นุษย์ ไดร้ ับมากหรือน้อยก็ได้ ก๊ดู (Good, 1973 : 518) หมายถงึ ความร้สู ึกทีเ่ ปน็ ผลมาจากความสนใจส่ิงตา่ ง ๆ หรือ เจตคตขิ องบุคคลทีม่ ีต่อสิ่งใดสงิ่ หน่ึง ท่เี กิดขน้ึ เมอ่ื บุคคลได้รับผลสา้ เร็จตามความมงุ่ หมายดงั นัน้ ความ พงึ พอใจต่อการจัดการเรยี นรู้ หมายถึง ความร้สู ึกหรอื ความชอบใจของผ้เู รยี นท่ีเปน็ ผลมาจากความ สนใจ หรือเจตคตทิ ี่ดีท่ีมีผลจากสภาพการจดั การเรียนรู้ ซึง่ เกดิ ขึ้นเมื่อผู้เรียนท้างานหรอื ปฏบิ ตั ิ กิจกรรมในเชงิ บวก จนไดร้ บั ผลส้าเร็จตามความมุ่งหมายและไดร้ บั ผลตอบแทนตามความต้องการ จากความหมายของเจตคติ สรปุ ได้ว่า เจตคติเป็นความรู้สึกของบุคคลท่ีมีผลมาจากความ สนใจ และเจตคตติ ่อการทา้ งาน หรือการปฏิบัติกิจกรรมใดๆ ในทีน่ ี้เจคตติ ่อการจัดการเรียนรู้ หมายถึง ระดับความชอบหรือไม่ชอบต่อการจดั การเรยี นรู้ของนกั เรียน ท่ีได้รบั การจดั การเรียนรู้ดว้ ยชุดกิจกรรม การเรยี นรูเ้ รื่อง ความหลากหลายทางชวี ภาพ อ่างเก็บนา้ คลองล้ากง ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 ทฤษฎแี รงจงู ใจของ มาสโลว์ (Maslow) มาสโลว์ (Maslow) แสดงใหเ้ ห็นถงึ การเปรยี บเทยี บระหว่างตวั ตนท่ีเปน็ อยู่ กบั ตัวตนใน อุดมคติหรอื ตัวตนที่ตอ้ งการ ซึง่ มาสโลวเ์ สนอแนวคดิ เกย่ี วกบั ลักษณะความตอ้ งการของมนุษย์จะ พฒั นาไปตามล้าดบั ขนั้ ความตอ้ งการเบื้องตน้ ต้องไดร้ ับการตอบสนอง เสยี กอ่ น จงึ จะเกิดความ ตอ้ งการอ่ืนๆ ทอี่ ยใู่ นระดับสงู ขน้ึ ไป ความตอ้ งการทสี่ า้ คัญ 5 ขั้น ดงั นี้ ขนั้ ที่ 1 ความตอ้ งการด้านรา่ งกาย (Physiological Needs ) เปน็ ความต้องการเบื้องตน้ ที่จ้าเปน็ ส้าหรับการดา้ รงชวี ิต มนษุ ยต์ ้องตอ่ ส้ดู น้ิ รน เพ่อื สนองความต้องการข้นั นเ้ี สยี ก่อน
41 จึงจะมีความต้องการขัน้ อ่ืนตามมา ข้ันท่ี 2 ความตอ้ งการความม่ันคงปลอดภัย (Safety Need ) ส่งิ ที่แสดงให้เหน็ ถึงความ ตอ้ งการ ข้ันนคี้ อื อยากมีชวี ติ อยู่อยา่ งม่นั คง และปลอดภัยปราศจากภยั อนั ตรายทง้ั ปวง ความ ตอ้ งการด้านน้ี เหน็ ได้จากแนวโน้มของมนุษย์ ทช่ี อบอยู่ในสังคมทสี่ งบ เรียบรอ้ ย มรี ะเบียบวินยั และ มีกฎหมายคุ้มครอง ขน้ั ที่ 3 ความตอ้ งการความรัก และความตอ้ งการเปน็ สว่ นหน่ึงของกลุ่ม (Love and Belonging Needs) เปน็ ลักษณะของความต้องการอยากมีเพ่อื น มีคนรกั ใครช่ อบพอ เป็นผูท้ ี่ ต้องการใหค้ วามรักและไดร้ ับความรกั บุคคลที่มีความตอ้ งการในขน้ั น้ี จะกระทา้ พฤติกรรม เพ่ือใหร้ ู้สึกวา่ ตนเองไมโ่ ดดเด่ียว อา้ งว้าง หรือถูกทอดทง้ิ ข้ันที่ 4 ความตอ้ งการมเี กยี รติยศ และศักดิศ์ รี (The Esteem Needs) เป็นความ ต้องการของมนุษย์เกือบทุกคนในสังคม ลกั ษณะการแสดงออกในขัน้ น้ี เชน่ ต้องการได้รับ การยกย่องจากบุคคลอน่ื ตอ้ งการชื่อเสยี งเกียรตยิ ศ หรือความภาคภมู ิใจเมื่อประสบผลส้าเรจ็ ขน้ั ท่ี 5 ความตอ้ งการพัฒนาตนเองไปสรู่ ะดบั ทส่ี มบูรณท์ ่ีสุด คอื ความต้องการแสดง ความเปน็ จริงแหง่ ตน (Self-Actualization) เน้นถงึ ความต้องการเป็นตัวของตวั เอง ประสบ ความสา้ เรจ็ ด้วยตนเอง พัฒนาศกั ยภาพตนเองใหเ้ ต็มที่ จากแนวคดิ พื้นฐานดังกลา่ ว เมอ่ื น้ามาใช้ในการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนผลตอบแทน ภายในหรอื รางวัลภายใน เป็นผลด้านความรู้สึกของนกั เรียนทีเ่ กิดกับตัวนกั เรยี นเอง เช่น ความรูส้ ึกตอ่ ความส้าเร็จท่ีเกิดขึ้น เมื่อสามารถเอาชนะความยุ่งยากต่างๆ และสามารถดา้ เนินงานภายใต้ความ ยงุ่ ยากทง้ั หลายไดส้ า้ เรจ็ ท้าใหเ้ กดิ ความภูมใิ จ ความมั่นใจ ตลอดจนไดร้ บั การยกย่องจากบคุ คลอน่ื สว่ นผลตอบแทนภายนอกเป็นรางวลั ท่ีผ้อู น่ื จดั หาใหม้ ากกว่าที่ตนเองให้ตนเอง เช่น การได้รับค้ายก ย่อง ชมเชย จากครผู ูส้ อน พ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือแม้แต่การไดค้ ะแนนผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนในระดบั ทีน่ า่ พอใจ งานวิจัยทเี่ ก่ยี วขอ้ ง งานวิจัยในประเทศ ฐิตาภรณ์ พันธ์ศรี และคณะ (2549 : บทคัดย่อ) ได้ท้าการวิจัยเร่ืองการ พัฒนาชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ ตามวฏั จักรการสืบเสาะหาความรู้ เรือ่ ง แรงและการเคล่ือนท่ี กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ส้าหรบั นักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 พบว่า ชดุ กจิ กรรมการเรียนรูช้ ดุ ท่ี 1,2,3 และ 4 มีประสิทธิภาพด้านกระบวนการเป็น 80.33,78.67,81.00 และ79.67 ตามลา้ ดับ ซึ่งโดยภาพรวมชดุ กิจกรรมการเรยี นร้มู ีประสทิ ธภิ าพด้านกระบวนการเป็น 79.92 และมี
42 ประสทิ ธภิ าพด้านผลลัพธ์เป็น 76.32 นั่นคือ ชุดกิจกรรมการเรยี นรูม้ ีประสิทธิภาพผ่านเกณฑ์ 75/75 คือมีประสทิ ธภิ าพเทา่ กับ 79.92/76.32 นลนิ ี อนิ ดีค้า (2551 : บทคัดย่อ) ไดส้ รา้ งชดุ กิจกรรมพฒั นาทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ เรื่องสารรอบตัว สา้ หรับนักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 โรงเรยี นอุตรดิตถ์ ผลการวจิ ยั พบว่า ชุดกิจกรรมพฒั นาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรือ่ งสารรอบตัว มี ประสิทธิภาพ 78.84/78.08 สงู กว่าเกณฑท์ ่ีก้าหนด 75/75 ผลการเปรียบเทียบความสามารถด้าน ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียน สงู กว่าก่อนใชช้ ดุ กิจกรรมอยา่ งมีนัยส้าคญั ทางสถิติท่ี ระดบั .05 และผลการศกึ ษาความพงึ พอใจของนักเรียนท่ีมตี ่อชดุ กิจกรรมพฒั นาทกั ษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ เร่ืองสารรอบตวั อยู่ในระดับพอใจมากท่ีสุด เสาวนีย์ เชอื้ ทอง (2551 : 64) ไดศ้ ึกษาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ และ ความสามารถในการคิดวจิ ารณญาณของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเปร็งวสิ ุทธาธบิ ดี ส้านักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 ท่ีเรียนโดยใชช้ ดุ กิจกรรมวทิ ยาศาสตร์ส่งเสริมการ พัฒนาสมอง มผี ลสัมฤทธิท์ างการเรียน หลงั เรียน สงู กวา่ ก่อนเรยี นอยา่ งมีนยั สา้ คญั ทางสถิติ ทร่ี ะดบั .01 ธรี ภัทร์ ดงยางวนั (2551 : 66) ได้ศึกษาผลการจดั การเรียนร้ดู ้วยชุดกิจกรรมส่งเสริม ศกั ยภาพการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ ท่มี ตี ่อผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น และความสามารถในการคดิ เชงิ อนาคตทางวทิ ยาศาสตร์ของนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรียนสวนกหุ ลาบวทิ ยาลยั ชลบรุ ี พบวา่ นักเรยี นท่เี รยี นดว้ ยชุดกจิ กรรมสง่ เสริมศักยภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ มีผลสมั ฤทธ์ทิ างการ เรยี น หลังเรยี น สูงกวา่ ก่อนเรียนอย่างมนี ัยสา้ คญั ทางสถติ ทิ ่ีระดบั .01 และมีเจตคตติ ่อวทิ ยาศาสตร์ หลังเรยี นสูงกว่าก่อนเรยี นอย่างมนี ยั ส้าคญั ทางสถติ ิท่ีระดับ .01 งานวิจัยท่เี ก่ียวขอ้ งตา่ งประเทศ กาเบล และรับบา (Gabel and Rubba, 1980: 503 – 511) ได้ศกึ ษา เก่ียวกบั ผลการสอน และประสบการณ์การฝึกสอนที่มตี ่อความสามารถทางทักษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ โดยศกึ ษากับนักศกึ ษาฝึกหดั ครู แผนกวิชาประถมศึกษาในมหาวิทยาลยั อินเดยี นาท่ี เรียนวิชาฟิสิกส์ จา้ นวน 58 คน ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษาฝึกหัดครูท่ีได้รับการฝึกทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม จะได้คะแนนทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตรส์ ูงกว่าผ้ทู ี่ไมไ่ ด้รบั การฝึกเพ่ิมเติม จากการศึกษาครั้งนแี้ สดงวา่ ทักษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตรส์ ามารถฝึกฝนเพ่ิมเติมได้ รบู ิน (Rubin. 1990 : 3469) ได้ศึกษาการใช้แผนการสอนที่เป็นระบบเพ่ือ พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และความสามารถด้านความเข้าใจเหตุผล กลุ่ม
43 ตัวอย่างประกอบด้วย นกั เรยี น 328 คน แบง่ ได้ 3 กลุม่ คือกลมุ่ ท่ี 1 ได้รับความรู้ทกั ษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ตลอดเวลา 3 เดือน จากครูที่ได้รับการอบรมในเร่ืองกลวิธีท่ีมี ระบบในด้านทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ กลุ่มท่ี 2 ได้รับความรู้จากครูท่ีได้รับการอบรม การสอนแบบควบคุม เป็นการสอนแบบมรี ะบบกับนักเรียกลุม่ ควบคุม มที ักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์แตกต่างกนั อย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติ นักเรียนที่ได้รับการสอนจากครูที่ได้รับการ อบรมในด้านทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์กับกลุ่มท่ี 3 มที กั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์แตกต่างกันอยา่ งมนี ัยสา้ คัญทางสถติ ิ นกั เรยี นท่ีไดร้ ับความรเู้ กีย่ วกบั ทักษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ จากแผนการสอนท่ีแตกตา่ งกนั จะมีความรูค้ วามสามารถในการให้เหตุผลทีแ่ ตกต่าง กนั อยา่ งมนี ัยส้าคัญทางสถติ ิ จากงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับชุดฝึกทักษะ หรือแบบฝึกทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ความสมั พันธ์ระหว่างทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์กับ ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นสรุปได้ดังน้ีงานวิจัยที่เกีย่ วข้องกับชุดฝกึ ทกั ษะหรือแบบฝึกทักษะกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ พบว่า ทา้ ให้นักเรียนทเี่ รยี นด้วยแบบฝึกหรอื แบบฝึกทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์เกดิ การเรยี นร้ทู ่ีดี และยังสรุปได้วา่ แบบฝึกทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรท์ ่ีมี ประสิทธิภาพสามารถนา้ ไปใช้ในการเรยี นการสอนได้ เพราะผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นของนกั เรียนท่ี เรยี นดว้ ยแบบฝกึ สงู กว่านักเรียนทีเ่ รยี นตามปกติ จากเอกสารและงานวจิ ัยดังกล่าวน้ี จะเหน็ ไดว้ า่ มกี ารพัฒนาปรบั ปรุงการจดั กจิ กรรม การเรยี นการสอนเพื่อท่จี ะพัฒนาทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ชดุ การ เรียนแบบสบื เสาะหาความรู้ การใชแ้ บบฝกึ บทเรียนส้าเร็จรูป เปน็ ต้น และผลวิจัยในการใช้ รปู แบบต่าง ๆ พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทา้ ให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ด้าน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนสงู ขึน้ ซง่ึ นบั ว่ามีประโยชนต์ อ่ การ จดั กิจกรรมการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตรใ์ ห้กับนักเรยี น ท้าให้เกิดแนวคดิ ในการพัฒนารูปแบบ ของกิจกรรมต่อการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในแต่ละทักษะ จึงได้พัฒนาชุด กจิ กรรมการเรยี นรู้ เรือ่ ง ความหลากหลายทางชีวภาพอ่างเกบ็ นา้ คลองล้ากง เพอื่ พฒั นาผลสมั ฤทธิ์ ทางการเรยี นของนักเรียนให้สูงข้นึ
44 กรอบแนวคิดในการวจิ ัย จากการศึกษาค้นคว้า เอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรือ่ ง ความหลากหลายทางชีวภาพอา่ งเกบ็ น้าคลองล้ากง กลุม่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วจิ ยั ได้นา้ หลกั การ แนวคิด ทฤษฏี และผลการวจิ ัยท่เี ก่ียวข้องมาใช้ในการ ดา้ เนินการจดั ทา้ และพัฒนานวตั กรรมข้ึน ตามกรอบแนวคิด ดงั น้ี ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ เร่ือง ความ 1. คะแนนเฉล่ยี ของผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น หลากหลายทางชีวภาพ ในอา่ งเก็บน้า กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ คลองลา้ กง ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 3 เรอ่ื ง ความหลากหลาย ทางชีวภาพในอ่างเก็บนา้ คลองล้ากง 2. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 เรื่อง ความหลากหลาย ทางชีวภาพในอ่าง เกบ็ นา้ คลองลา้ กง 3. เจคติต่อวชิ าวทิ ยาศาสตร์ของนักเรยี น ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 แผนภูมิท่ี 2 แสดงกรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั
บทที่ 3 วธิ ีดาเนินการ ในการวจิ ัยเร่ือง การพฒั นาชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ เรือ่ ง ความหลากหลายทางชวี ภาพอา่ ง ในเก็บน้าคลองล้ากง อา้ เภอหนองไผ่ จงั หวดั เพชรบรู ณ์ กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 ผวู้ จิ ยั ไดน้ ้าเสนอวิธีด้าเนนิ การ ดงั นี้ 1. ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 2. เครื่องมือทใี่ ช้ในการวจิ ยั 3. การสร้างและหาคุณภาพของเคร่ืองมือ 4. การวิเคราะห์ข้อมลู 5. สถิติท่ใี ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง ประชากร ประชากรเปน็ นกั เรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 กลุม่ โรงเรยี นหว้ ยสะแก – ระวงิ ส้านกั งาน เขตพืน้ ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาเพชรบรู ณ์ เขต 1 จ้านวน 320 คน กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอยา่ งเป็นนักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนบ้านยางลาด ทก่ี ้าลังเรยี น อยู่ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2556 จา้ นวน 1 หอ้ งเรียน มนี กั เรียน 17 คน ซง่ึ ได้มาด้วยการเลอื ก แบบเจาะจง (Purposive Random Sampling) เคร่อื งมือทใ่ี ช้ในการวิจยั เครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการวิจยั ครงั้ นี้ ประกอบดว้ ย 1. ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง ความหลากหลายทางชวี ภาพในอา่ งเก็บน้าคลองลา้ กง อา้ เภอหนองไผ่ จังหวดั เพชรบรู ณ์ กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 จ้านวน 4 เล่ม 2. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง ความหลากหลายทางชวี ภาพในอ่างเกบ็ นา้ คลองล้ากง อ้าเภอหนองไผ่ จังหวดั เพชรบูรณ์ กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 เปน็ แบบทดสอบปรนยั ชนิดเลอื กตอบ 4 ตัวเลอื ก จ้านวน 40 ข้อ 3. แบบวัดเจตคตติ อ่ วิชาวทิ ยาศาสตร์ จ้านวน 10 ข้อ
46 การสรา้ งและหาคุณภาพของเคร่อื งมือ เครอื่ งมอื ท่ีใชใ้ นการวิจยั ครัง้ นี้ ได้แก่ ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ เร่ือง ความหลากหลายทาง ชีวภาพในอา่ งเก็บน้าคลองล้ากง อา้ เภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการ เรยี น และแบบวัดเจตคติตอ่ วิชาวทิ ยาศาสตร์ของนกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 โดยมีวิธี การสร้างและหาคุณภาพ ดังน้ี 1. ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ มีขั้นตอนการสร้างและการหาคุณภาพ ดังน้ี 1.1. วเิ คราะหป์ ัญหาและสาเหตุของปัญหาจากการเรียนการสอน ซึง่ ไดม้ าจาก 1.1.1 การสังเกตปัญหาทเี่ กดิ ข้ึนขณะท้าการสอน 1.1.2 การศึกษาเด็กเป็นรายบคุ คล 1.1.3 การบันทกึ ปญั หาระหว่างสอน 1.1.4 การศกึ ษาและวเิ คราะห์ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น 1.2 ศกึ ษาหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 และ คมู่ ือ การจดั การเรียนรู้กลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เพื่อศึกษาหลกั การ จดุ มุ่งหมาย โครงสรา้ ง หลักสตู ร การจัดเวลาเรยี น สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ เพอ่ื เป็นกรอบแนวคิดในการจดั การ เรียนรู้ การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน การวดั ผลประเมินผล 1.3 วิเคราะหห์ ลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 และ ค่มู อื การจัดการเรยี นรู้กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 เพื่อวเิ คราะหส์ าระและ มาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ช้ีวดั เพ่อื เป็นกรอบแนวคิดในการจดั การเรียนรู้ ก้าหนดจุดประสงคก์ าร เรยี นรู้ การจดั กิจกรรมการเรียนการสอน การวดั ผลประเมินผล 1.4 ศกึ ษาหลักการ ทฤษฏที ีเ่ กยี่ วข้องกับการสร้างชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ แลว้ น้า รูปแบบมาประยกุ ต์สร้างชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เพ่ือความเหมาะสมกบั การจัดการเรียนการสอนโดย เน้นวธิ กี ารแบบสืบเสาะหาความรู้ (5 E)โดยเน้นผู้เรยี นเป็นส้าคัญ 1.5 จัดท้าชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ เรอ่ื ง ความหลากหลายทางชีวภาพในอ่างเกบ็ นา้ คลองล้ากง อา้ เภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 จา้ นวน 4 เรือ่ ง ได้แก่ 1. ความหลากหลายของส่ิงมีชีวติ 2. ความหลากหลายของพชื และสตั ว์ 3. ความหลากหลายของพืชและสัตว์อา่ งเก็บนา้ คลองลา้ กง 4. ความหลากหลายทางชวี ภาพกับการดา้ รงชีวิต 1.6 นา้ ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ที่สรา้ งเสรจ็ แลว้ ไปให้ผ้เู ชี่ยวชาญตรวจสอบ จ้านวน
47 5 ท่าน ไดแ้ ก่ นางสมพร สถิตโกศล ครชู ้านาญการพิเศษโรงเรยี นบ้านโปง่ หว้า นายนิรภยั แดงโชติ ศกึ ษานเิ ทศกช์ ้านาญการพิเศษ สา้ นกั งานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษาประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 1 ครชู า้ นาญการพเิ ศษ นางวรรณิตา ไกรศรีบุตร ครูชา้ นาญการพิเศษ โรงเรยี นอนุบาลเพชรบรู ณ์ นางอ้าไพ ทองใบ ครูช้านาญการพเิ ศษโรงเรยี นบา้ นป่าเลา นางอรทัย ยศปญั ญา ศึกษานเิ ทศก์ ช้านาญการพิเศษ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เป็นผตู้ รวจสอบความถกู ตอ้ งเหมาะสม มี 5 ตัวเลือก คือ ดมี าก ดี พอใช้ ควรปรับปรงุ และควรปรบั ปรุงอย่างย่ิง โดยมเี กณฑก์ ารให้ คะแนนดังนี้ ระดับดมี ากท่ีสดุ ให้ 5 คะแนน ระดบั มาก ให้ 4 คะแนน ระดบั ปานกลาง ให้ 3 คะแนน ระดบั น้อย ให้ 2 คะแนน ระดับน้อยที่สดุ ให้ 1 คะแนน 1.7 น้าชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ทปี่ รบั ปรงุ แลว้ ไปทดลองเปน็ รายบุคคล (1:1) กบั นักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 3โรงเรียนบ้านวงั ขอนมติ รภาพที่ 137 สา้ นกั งานเขตพ้นื ที่การศกึ ษา ประถมศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 1 ปีการศึกษา 2555 จ้านวน 3 คน ทม่ี ผี ลการเรยี นอยู่ในระดบั ตา้่ เพอ่ื ศกึ ษาความเหมาะสมของเนื้อหา กจิ กรรม การวัดและประเมนิ ผล และระยะเวลาในการใช้ นวตั กรรม แลว้ นา้ มาปรบั ปรุงแก้ไข 1.8 น้าชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ปรับปรุงแลว้ ไปทดลองแบบกลุ่ม (1: 10) กับนกั เรียน ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนบา้ นเนนิ สง่า ส้านกั งานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษาประถมศึกษาเพชรบรู ณ์ เขต 1 ปีการศึกษา 2555 ทมี่ ผี ลการเรียนเก่ง กลาง ออ่ น เพื่อตรวจสอบขอ้ บกพร่องแลว้ ปรับปรงุ แก้ไข 1.9 นา้ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีปรับปรงุ แล้วไปทดลองภาคสนาม (1: 30) กับนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2555 โรงเรยี นบา้ นห้วยสะแก จา้ นวน 30 คน แลว้ หา ประสทิ ธิภาพเอกสารประกอบการเรยี น 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น มีข้ันตอนการสรา้ งและหาคุณภาพ ดังน้ี 3.1 ศึกษาวิธีการสร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนจากหนงั สือ และ เอกสารที่เกี่ยวข้อง 3.2 สร้างตารางวเิ คราะห์หลักสตู ร กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ทา้ การ วเิ คราะหม์ าตรฐานการเรยี นรู้หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ สรุปออกมาเป็นพฤติกรรม เพอื่ เป็นแนวทางในการสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 แบบปรนัย ชนิดเลอื กตอบ 4 ตวั เลือก ตามตารางวิเคราะหห์ ลกั สูตร 3.3 น้าแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนที่สร้างขึ้น ให้ผู้เชี่ยวชาญ
48 การสอนกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ และด้านการวัดผลทางการศึกษา จา้ นวน 5 ทา่ น ตรวจสอบความเทย่ี งตรงด้านเน้ือหา (Content Validity) ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน แต่ละข้อสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนร้ตู ามตารางวเิ คราะห์หลักสูตรหรือไม่ โดยใช้เกณฑ์ ประเมนิ ดังน้ี +1 หมายถึง แนใ่ จวา่ ข้อสอบวัดจุดประสงค์การเรยี นรู้ขอ้ นนั้ 0 หมายถึง ไม่แนใ่ จวา่ ข้อสอบวัดจุดประสงค์ข้อนั้น –1 หมายถงึ แน่ใจวา่ ข้อสอบไม่วดั จดุ ประสงค์ขอ้ นัน้ นา้ แบบทดสอบท่ีได้รบั การตรวจจากผเู้ ชี่ยวชาญ คา้ นวณหาคา่ IOC แลว้ คดั เลือกขอ้ สอบที่มีคา่ IOC ตงั้ แต่ .50 ข้ึนไป แกไ้ ขปรบั ปรงุ ตามค้าแนะนา้ ของผ้เู ชย่ี วชาญแลว้ นา้ มาจดั พิมพเ์ ป็นแบบทดสอบฉบับใหม่ 3.4 นา้ แบบทดสอบไปทดลองใช้กับนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2555 โรงเรยี นบา้ นขมวด ส้านกั งานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศกึ ษาเพชรบรู ณ์ เขต 1 จ้านวน 20 คน นา้ แบบทดสอบมาตรวจใหค้ ะแนน โดยตอบถูกให้ 1 ตอบผิดหรอื ไมต่ อบให้ศูนย์ คะแนน เมื่อตรวจเสร็จแลว้ น้าไปหาคา่ ความยากงา่ ย (p) ค่าอา้ นาจจ้าแนก (r) คดั เลอื กข้อสอบ ทีม่ คี วามยากงา่ ยต้ังแต่ .20 – .80 และคา่ อ้านาจจ้าแนก .20 ขึ้นไป น้ามาจดั พิมพใ์ หม่ โดยได้ ข้อแบบทดสอบจา้ นวน 40 ข้อ 3.5 นา้ แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นท่ีได้รับการคัดเลือกแลว้ ไปทดสอบกบั นกั เรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2555 โรงเรยี นบา้ นระวิง ส้านักงานเขต พ้ืนทกี่ ารศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 1 จ้านวน 40 คน นา้ แบบทดสอบมาตรวจให้คะแนน โดยตอบถูกให้ 1 ตอบผดิ หรอื ไมต่ อบให้ศนู ย์คะแนน แลว้ นา้ มาหาค่าความเช่ือมั่นของแบบทดสอบวดั ผลฤทธิ์ทางการ เรียน โดยใช้สตู ร คเู ดอร์- ริชาร์ดสัน (KR – 20) ได้คา่ ความเช่อื มัน่ ของขอ้ สอบมคี ่าเทา่ กับ 0.88 4. แบบวัดเจตคติ มีวิธกี ารสร้างและหาคุณภาพ ดังน้ี 4.1 ศกึ ษาเอกสารและงานวิจยั ท่ีเกย่ี วข้องกบั การสรา้ งแบบวัดเจตคติ 4.2 วิเคราะห์เน้อื หาท่จี ะวดั เลือกรูปแบบเคร่ืองมือท่ีจะวดั และก้าหนดเกณฑ์ ในการให้คะแนน 4.3 สรา้ งแบบวัดเจตคติของนักเรียนที่เรยี นดว้ ยชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ กลุ่มสาระ การเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ลกั ษณะของรปู แบบการวดั เปน็ แบบลเิ คริ ์ท (Likert Scale) คอื มากที่สดุ มาก ปานกลาง น้อย นอ้ ยทีส่ ุด โดยมีเกณฑ์การใหค้ ะแนนดงั น้ี
49 มากท่สี ดุ ให้ 5 คะแนน มาก ให้ 4 คะแนน ปานกลาง ให้ 3 คะแนน นอ้ ย ให้ 2 คะแนน นอ้ ยทส่ี ุด ให้ 1 คะแนน 4.4 น้าแบบวดั เจตคติทผี่ ู้วิจัยสรา้ งขึน้ ไปให้ผู้เชี่ยวชาญ ตรวจความเทย่ี งตรง ดา้ นเนื้อหา (Content validity) วา่ ข้อค้าถามแต่ละข้อ สรา้ งได้สอดคล้องกับเนื้อหาหรือไม่ โดยใช้ เกณฑ์การประเมนิ ดังนี้ +1 หมายถึง แน่ใจว่าขอ้ สอบวัดเนอ้ื หานั้น 0 หมายถงึ ไม่แนใ่ จวา่ ข้อสอบวัดเน้ือหาน้ัน – 1 หมายถึง แน่ใจว่าข้อสอบไม่วัดเนื้อหานั้น น้าผลการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ คา้ นวณหาคา่ IOC ไดข้ อ้ ค้าถามทีม่ ี คา่ IOC เท่ากับ 1.00 ทกุ ข้อ ซ่ึงถอื วา่ เปน็ ค้าถามท่ีใช้ได้ และปรับปรงุ แก้ไข จัดพิมพ์ เป็นแบบวัดเจตคติ เพื่อใช้กับกลุ่มตัวอย่างต่อไป 4.5 นา้ แบบวัดเจตคติไปทดลองใชก้ บั นักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2555 โรงเรียนบา้ นถา้ น้าบัง ส้านักงานเขตพื้นทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาเพชรบรู ณ์ เขต 1 จ้านวน 20 คน แล้วน้าแบบวัดมาตรวจให้คะแนนตามเกณฑ์ท่ีก้าหนดไว้ แลว้ น้าไปหาคา่ อ้านาจจา้ แนก โดยการทดสอบ (t) คดั เลือกแบบวัดที่มคี ่า t ตง้ั แต่ 1.75 ขน้ึ ไป นา้ มาจัดพิมพ์ใหม่ โดยไดแ้ บบวัดเจตคติ จา้ นวน 10 ขอ้ 4.6 น้าแบบวดั เจตคติ ทีไ่ ด้รับการคดั เลือกแลว้ ไปวัดกบั นักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษา ปที ี่ 3 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2555 โรงเรียนบา้ นระวงิ สา้ นกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศกึ ษา ประถมศกึ ษาเพชรบรู ณ์ เขต 1 จา้ นวน 40 คน นา้ แบบวัดมาตรวจใหค้ ะแนน แลว้ วเิ คราะห์หาค่า ความเช่ือม่นั โดยใช้สูตรสมั ประสทิ ธิ์แอลฟา ( – Coefficient) ของครอนบัค (Cronbach) ไดค้ า่ ความเชื่อมัน่ ของแบบวัดเทา่ กับ 0.87 แบบแผนการวิจยั แบบแผนการวจิ ัยใช้รูปแบบการศกึ ษาแบบกลุ่มทดลองกลมุ่ เดียวมกี ารทดสอบก่อน และหลงั การทดลอง (One group Pretest – Posttest design) ดังนี้ สอบก่อน ตวั แปรอิสระ สอบหลัง X T1 T2
50 ความหมายของสญั ลักษณ์ T1 แทน การทดสอบกอ่ นการทดลอง T2 แทน การทดสอบหลังการทดลอง X แทน การทดลองโดยใชช้ ดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ วธิ ีดาเนนิ การวิจยั วิธดี ้าเนินการวิจัยโดยทดลองใช้ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ เรอ่ื ง ความหลากหลาย ทางชวี ภาพในอา่ งเก็บน้าคลองล้ากง อ้าเภอหนองไผ่ จังหวดั เพชรบรู ณ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 มวี ิธดี ้าเนินการวิจัยดงั น้ี 1. ทดลองกับกลุ่มตัวอยา่ งนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรยี นบ้านยางลาด ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2556 จ้านวน 17 คน โดยผวู้ ิจัยเป็นผูด้ ้าเนินการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ ดว้ ยตัวเอง มีข้ันตอน ดังน้ี 1.1 ทดสอบก่อนเรียนดว้ ยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น จ้านวน 40 ขอ้ 1.2 ด้าเนนิ การสอนโดยใช้ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ จา้ นวน 4 เรอ่ื ง โดย ในแต่ละเร่ืองปฏบิ ัติ ดังนี้ 1. นักเรยี นทา้ ขอ้ ทดสอบกอ่ นเรยี น 2. นักเรียนศึกษาเนื้อหาในชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ 3. นักเรียนปฏิบตั กิ จิ กรรมตามท่ีก้าหนดและท้าแบบฝกึ เพือ่ ทบทวนความรู้ 4. นกั เรียนท้าแบบทดสอบหลงั เรียน 5. นักเรียนตรวจคา้ ตอบข้อทดสอบกอ่ น – หลงั เรยี น และแบบฝึกหัด ในภาคผนวก 1.3 ทดสอบหลังเรยี นด้วยแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน จ้านวน 40 ข้อ 1.4 นา้ แบบวัดเจตคติต่อวชิ าวทิ ยาศาสตร์ของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ตอ่ การใช้ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ แล้วหาค่าเฉล่ียและเปรียบเทียบกบั เกณฑ์ การวเิ คราะห์ขอ้ มูล ในการวิจยั คร้งั น้ี ผ้วู ิจยั วเิ คราะหข์ ้อมลู โดยใชโ้ ปรแกรมคอมพวิ เตอร์ มีรายละเอยี ดดังนี้ 1. ศึกษาการหาคณุ ภาพของเอกสารประกอบการเรยี นตามความคดิ เห็นของผู้เช่ยี วชาญ โดยใช้ค่าเฉล่ีย ( ) สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) และการเปรยี บเทียบกบั เกณฑเ์ ฉลี่ย
51 2. ศึกษาประสิทธิภาพของชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ โดยใชส้ ตู ร E1 / E 2 โดยใช้เกณฑ์ 80 / 80 เนอื่ งจากเป็นพฤติกรรมดา้ นความรู้ 3. วเิ คราะห์คณุ ภาพของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน กอ่ นและหลงั การใช้ชุด กจิ กรรมการเรยี นรู้ โดยวเิ คราะหค์ า่ ความยากง่าย ค่าอา้ นาจจ้าแนก และค่าความเชือ่ มั่น โดยใชส้ ตู รของคเู ดอร์ – ริชารด์ สัน (KR – 20) 4. วิเคราะห์ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลงั เรียนโดยเทยี บกับเกณฑ์ทกี่ า้ หนด คอื 30 คะแนน โดยใช้สถติ ิ t-test แบบก้าหนดเกณฑ์ One – Sample t - test 5. วิเคราะหผ์ ลการเปรยี บเทียบผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนก่อนและหลังการใช้ชดุ กิจกรรม การเรียนรู้ โดยใชส้ ถิติ t – test แบบ Dependent 6. วเิ คราะห์คณุ ภาพของแบบวดั เจตคติ ของนักเรยี นที่เรยี นด้วยชุดกิจกรรมโดยวิเคราะห์ ค่าอา้ นาจจ้าแนก (โดยการทดสอบ t) และคา่ ความเชอ่ื มน่ั โดยใช้สัมประสทิ ธแิ์ อลฟา ( – Coefficient) ของครอนบัค 7. การหาคา่ คะแนนจากแบบวัดเจตคติของนักเรยี นต่อการเรยี นด้วยชดุ กจิ กรรมโดยใช้ คา่ เฉล่ีย ( ) สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการเปรียบเทยี บกบั เกณฑเ์ ฉลย่ี สถติ ทิ ใ่ี ช้ในการวิจัย สถิตทิ ่ีใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ ได้แก่ 1. การศึกษาคณุ ภาพเบื้องต้นของชดุ กิจกรรมโดยค้านวณหาคา่ เฉลี่ย ( ) และ สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) จากสตู ร (อนวุ ตั ิ คูณแกว้ , 2549 : 152) ดงั น้ี 1.1 คา่ เฉลีย่ X = X เมอ่ื X n แทน ค่าคะแนนเฉลยี่ X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด n แทน จา้ นวนกลุม่ ตัวอย่าง 1.2 คา่ ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน จากสูตร S.D. = n X2 ( X)2 n(n 1) เม่ือ S.D. แทน คะแนนความเบย่ี งเบนมาตรฐาน
52 X แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตวั แทน ผลรวมของคะแนนแตล่ ะตัวยกกา้ ลงั สอง X2 แทน จา้ นวนกล่มุ ตัวอยา่ ง n 2. การหาประสิทธภิ าพของชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ สูตรท่ีใชใ้ นการคา้ นวณ E 1 / E 2 ใช้สตู รดังน้ี E1 = x 100 เมอื่ E 1 = ประสทิ ธภิ าพของกระบวนการ x = คะแนนของผเู้ รยี นจากการตอบคา้ ถามในกิจกรรมหรือ แบบฝึกหดั A = คะแนนเต็มของกิจกรรมหรือแบบฝกึ หัด N = จา้ นวนผู้เรยี น และ E2 = y 100 เมื่อ E2 = ประสิทธภิ าพของผลลพั ธ์ y = คะแนนรวมของผู้เรียนจากการทดสอบหลังเรียน = คะแนนเต็มของการทดสอบหลงั เรียน N= จา้ นวนผู้เรียน ทงั้ นใ้ี นการจดั ทา้ ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 ท่ีเนอื้ หาเปน็ ความรู้ ผวู้ ิจยั จึงไดก้ ้าหนดเกณฑ์ ไวท้ ี่ 80 / 80 เกณฑ์ 80 / 80 หมายถึงเมื่อเรยี นจบชดุ กจิ กรรมในแต่ละเรอื่ งแล้ว ผู้เรยี นสามารถ ทา้ แบบฝึกหัด ได้คะแนนเฉล่ีย 80 % และสอบหลงั เรียนได้เฉลี่ย 80 % เป็นตน้ ไป จงึ จะถือว่า ชุดกิจกรรม เรือ่ งน้ันมีประสิทธภิ าพ 3. การหาคณุ ภาพของเครื่องมือ 3.1 การหาดชั นีความสอดคล้องระหวา่ งข้อสอบกับจุดประสงค์เปน็ รายข้อ (IOC ) IOC = R N
53 IOC = ดชั นีความสอดคล้องระหวา่ งขอ้ สอบกบั จดุ ประสงค์ R = ผลรวมคะแนนการพิจารณาของผเู้ ชีย่ วชาญ N = จา้ นวนผู้เชยี่ วชาญ โดยใหผ้ เู้ ชย่ี วชาญ ใหค้ ะแนนดงั นี้ คะแนน + 1 แนใ่ จวา่ ขอ้ สอบวดั ตรงจดุ ประสงค์ คะแนน 0 ไมแ่ น่ใจว่าขอ้ สอบวัดตรงจดุ ประสงค์ คะแนน –1 แนใ่ จว่าขอ้ สอบวัดไม่ตรงจุดประสงค์ เกณฑ์การตัดสนิ คา่ (IOC) ถ้ามีคา่ 0.50 ขนึ้ ไป แสดงวา่ ข้อคา้ ถามนน้ั วดั ได้ตรงตามเน้ือหาน้นั แสดงว่าข้อคา้ ถามข้อนั้นใชไ้ ด้ (อนุวตั ิ คูณแก้ว, 2549 : 153) 3.2 หาคา่ ความยากงา่ ย (p) และอานาจจาแนก (r) ของข้อสอบ มีล้าดบั ข้นั ตอน ดงั น้ี 1. ตรวจใหค้ ะแนน และรวมคะแนนของผู้สอบแตล่ ะคน 2. เรยี งกระดาษคา้ ตอบตามลา้ ดับคะแนนจากคะแนนสงู สุดไปหาตา่้ สุด 3. แบง่ คร่ึงกระดาษออกเป็น 2 กลมุ่ คอื กลุ่มสูงและกลมุ่ ตา้่ 4. น้ากระดาษท้งั กลมุ่ สูงและกลมุ่ ต่้ามาหาคนตอบตวั เลอื กแต่ละข้อแล้วเขยี นลง ในตารางเพ่ือนา้ ไปวิเคราะห์สรุปเปน็ รายขอ้ และวิเคราะหเ์ ป็นรายตวั เลอื ก ในท่ีนี้หาค่าความยากง่าย และคา่ อา้ นาจจ้าแนก โดยใชส้ ตู รดังนี้ (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2543 : 182) สตู ร ค่าความยากง่าย (p) = HL และ N สตู ร ค่าอา้ นาจจา้ แนก (r) = H L N 2 เมือ่ H แทน จ้านวนคนในกลุ่มสูงทเี่ ลือกตอบตัวเลอื กน้นั L แทน จ้านวนคนในกลมุ่ ต่า้ ท่ีเลือกตอบตวั เลือกนัน้ N แทน จา้ นวนคนในกล่มุ สูงและกลุ่มต่้ารวมกัน 3.3 การหาคา่ อานาจจาแนก (r) ของแบบวดั เจตคติ สถติ ทิ ใ่ี ช้ในการหาคา่ อ้านาจจา้ แนกเปน็ รายข้อใช้ t – test แบบ Independent โดยมีสตู รดังนี้ t= 1 2 S 12 S 2 2 n1 n2
54 เมอ่ื X1 แทน คะแนนเฉล่ียของกลุ่มสูง X2 แทน คะแนนเฉลย่ี ของกลมุ่ ต้า่ S12 แทน ความแปรปรวนของกล่มุ สูง S22 แทน ความแปรปรวนของกลุม่ ต้า่ n1 แทน จา้ นวนคนสอบของกลมุ่ สูง n2 แทน จา้ นวนคนสอบของกล่มุ ต่้า 3.4 การแปลความหมายค่าอานาจจาแนก การแปลความหมายของค่าอ้านาจจ้าแนก โดยใช้เกณฑก์ ารประเมนิ ดังนี้ ถา้ ค่า t มีค่าต้งั แต่ 1.75 ขึ้นไป ถอื ว่าข้อความนัน้ ใช้ได้ (อนวุ ตั ิ คณู แกว้ , 2549 : 157) 3.5 หาคา่ ความเชอื่ ม่ัน คา่ ความเชื่อมนั่ เปน็ ค่าท่ีแสดงถึงความเชื่อมน่ั ที่แน่นอนในการไดค้ ะแนน ของบุคคลจากการสอบโดยใช้แบบทดสอบน้ัน วัดกี่คร้ังก็ได้ผลเหมือนเดิม หรือใกล้เคียง กับของเดมิ มากคา่ ความเชื่อมั่นของขอ้ สอบมคี ่าอยรู่ ะหว่าง 0 ถงึ 1.00 เกณฑ์ความเชื่อม่ันทีย่ อมรบั ไดจ้ ะมคี ่าตง้ั แต่ 0.75 ขึน้ ไป (กระทรวงศึกษาธิการ, 2545 : 63) ในการหาคา่ ความเชอื่ ม่ันของแบบทดสอบครั้งน้ี ผู้วจิ ยั ได้น้าเสนอโดยการหาค่า ความเชือ่ มัน่ ของแบบวดั ผลสมั ฤทธท์ างการเรยี นโดยใช้สตู รจากสูตรคูเดอร์ รชิ าร์ดสนั KR – 20 (อนุวตั ิ คณู แกว้ , 2550 :159 –160) rKR20=k pq 1 k 1 s2 เมอื่ rKR20 แทน ความเช่ือม่นั ของแบบทดสอบ k แทน จา้ นวนข้อสอบ p แทน สดั ส่วนของผู้ทา้ ถูกในข้อหนง่ึ ๆ เท่ากับจา้ นวน คนท้าถูกหารด้วยจา้ นวนคนเขา้ สอบท้ังหมด q แทน สดั ส่วนของคนท้าผิดในข้อหน่ึงๆ หรือ คอื 1- p S2 แทน คา่ ความแปรปรวนของแบบทดสอบ
s2 = 55 N X 2 X 2 N2 สตู รการหาคา่ ความเช่ือมน่ั ของแบบวัดเจตคติโดยใชส้ ัมประสิทธิแ์ อลฟา ( - Coefficient) ของครอนบัค (อนวุ ตั ิ คูณแก้ว, 2549 : 162) = K 1 si 2 K 1 st2 เมื่อ k แทน ค่าความเชอื่ มัน่ ของแบบวัดเจตคติ si2 st2 แทน จ้านวนขอ้ ของแบบสอบถาม แทน ความแปรปรวนของคะแนนแต่ละข้อ แทน ความแปรปรวนของคะแนนทั้งฉบับ s2 = N X 2 ( X )2 N2 3.6 การเปรียบเทียบคะแนนเฉล่ียของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน โดยเทียบกับ เกณฑ์ (อนวัติ คูณแกว้ , 2549 : 185) t= x s/ n เมอื่ X แทน คะแนนเฉลย่ี ของผลการสอบ แทน คะแนนที่ก้าหนด s แทน ความเบย่ี งเบนมาตรฐานของกล่มุ ตวั อย่าง n แทน จา้ นวนกลมุ่ ตัวอย่าง df เทา่ กับ n - 1 3.7 การเปรยี บเทยี บ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน โดยใช้ t – test แบบ Dependent (ล้วน สายยศและองั คณา สายยศ, 2538 : 87) t D 2 ( n D) 2 D n 1 เมื่อ df = n – 1 และ t แทน ค่าอัตราสว่ นนัยสา้ คญั
56 D แทน ความแตกตา่ งของคะแนนแตล่ ะคู่ n แทน จา้ นวนนักเรียน เกณฑ์การประเมิน 1. เกณฑก์ ารประเมนิ คณุ ภาพชดุ กจิ กรรม ดงั นี้ (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2545 : 73 – 74) ค่าเฉลย่ี 4.51 – 5.00 หมายถึง มีความถูกต้องเหมาะสมระดบั ดีมาก ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 หมายถงึ มีความถูกต้องเหมาะสมระดับดี ค่าเฉลีย่ 2.51 – 3.50 หมายถึง มคี วามถูกต้องเหมาะสมระดับพอใช้ ค่าเฉลย่ี 1.51 – 2.50 หมายถงึ มคี วามถกู ต้องเหมาะสมระดบั ควรปรับปรุง ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 หมายถึง มีความถูกต้องเหมาะสมระดบั ควรปรับปรุง อยา่ งย่งิ
บทท่ี 4 ผลการวิจยั ผลการวเิ คราะห์ข้อมูลในวจิ ัย การพฒั นาชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ เรื่อง ความหลากหลายทาง ชวี ภาพในอา่ งเก็บน้าคลองล้ากง อา้ เภอหนองไผ่ จังหวดั เพชรบรู ณ์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ซง่ึ ผู้วิจยั ได้น้าเสนอ ดงั น้ี 1. สัญลักษณใ์ นการวเิ คราะห์ข้อมูล 2. การนา้ เสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูล 3. ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล สญั ลกั ษณ์ในการวิเคราะหข์ อ้ มูล การเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูลครั้งนี้ ผู้วิจัยใชส้ ัญลักษณ์แทนตวั แปรและคา่ สถิติ ต่าง ๆ ดังนี้ X แทนค่าเฉลย่ี S.D. แทนสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน rtt แทนความเชื่อมน่ั ของแบบทดสอบ IOC แทนดชั นคี วามสอดคล้อง t แทนสถิตทิ ่ใี ชใ้ นการทดสอบที (t-test) p แทนคา่ ความยากงา่ ย r แทนคา่ อ้านาจจ้าแนก df แทนช้นั ความเปน็ อสิ ระ แทนคะแนนท่กี า้ หนด ** แทนมีนยั ส้าคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดบั .01
58 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล ผลการวิเคราะห์ข้อมูลในวิจัย การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง ความหลากหลาย ทางชวี ภาพในอ่างเก็บน้าคลองล้ากง อ้าเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ทน่ี ้ามาเสนอในบทน้ี คือ 1. การทดสอบการแจกแจงของข้อมูล โดยการใช้สถติ ิ Komogorov – Smirnov Test และ Shapiro - Wilk Test 2. ผลการวเิ คราะห์ข้อมูลคุณภาพของชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ 2.1 การหาคณุ ภาพของชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ โดยผเู้ ชี่ยวชาญ 2.2 การหาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรยี น โดยเทยี บ กบั เกณฑ์ 80 / 80 3. การวิเคราะห์ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนหลงั เรยี นโดยเทียบกบั เกณฑ์ท่ีก้าหนด 4. ผลการเปรียบเทยี บผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นก่อนเรยี นและหลงั เรียน กล่มุ สาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 ดว้ ยชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ 5. ผลการวดั เจตคติต่อการเรียน ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ของนักเรยี น ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 3 โดยมรี ายละเอยี ด ดังน้ี 1. การทดสอบการแจกแจงของขอ้ มูล ตารางท่ี 2 แสดงการทดสอบการแจกแจงของข้อมลู โดยการใช้สถติ ิ Komogorov – Smirnov Test และ Shapiro - Wilk Test จ้านวนนักเรยี น (คน) สถิติทใี่ ช้ทดสอบ Sig. 17 Kolmogorov-Smirnov(a) .200 Shapiro-Wilk .650 Sig. .05 ขอ้ มูลมีการแจงแจงแบบปกติ จากตารางท่ี 2 พบว่าการทดสอบการแจกแจงของข้อมูลกลมุ่ ตัวอยา่ ง 17 คน โดยใช้ สถติ ิ Komogorov – Smirnov Test และ Shapiro - Wilk Test ได้ค่า Sig. เท่ากบั .200 และ .650 ตามลา้ ดับ ซง่ึ มคี ่ามากวา่ .05 แสดงว่าขอ้ มูลทีน่ า้ มาทดสอบสมมตฐิ าน ข้อมลู มีการแจงแจง แบบปกตสิ ามารถใช้สถิติ t – test ได้
59 2. ผลการวเิ คราะห์ข้อมูลคุณภาพของชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ โดยผเู้ ชย่ี วชาญ 2.1 การหาคุณภาพของชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ โดยผู้เช่ียวชาญ มีรายละเอียด ดังน้ี ตารางที่ 3 แสดงคุณภาพของชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 โดยผ้เู ชี่ยวชาญ 5 ทา่ น รายการประเมิน คา่ เฉลย่ี คา่ เบยี่ งเบนมาตรฐาน การแปรผล ( x ) ( S.D. ) ดา้ นเน้ือหา 4.45 0.21 เหมาะสมมาก ดา้ นรูปแบบชุดกจิ กรรม 4.47 0.30 เหมาะสมมาก ด้านแบบทดสอบ 4.47 0.45 เหมาะสมมาก ด้านภาษา 4.70 0.27 เหมาะสมมากท่ีสุด รวมทุกด้าน 4.55 0.64 เหมาะสมมากท่ีสุด จากตารางที่ 3 พบวา่ คณุ ภาพของชุดกจิ กรรม โดยผูเ้ ช่ยี วชาญประเมินในภาพรวม ทกุ ดา้ น มคี ่าเฉล่ีย ( x ) เทา่ กับ 4.55 และมคี า่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากบั 0.64 โดยมี คุณภาพอยูใ่ นระดบั เหมาะสมมากทส่ี ุด เม่ือจ้าแนกเปน็ รายด้าน พบว่า ดา้ นที่มคี วามถูกต้อง เหมาะสมมากท่สี ดุ ได้แก่ดา้ นภาษา มีค่าเฉล่ยี ( x = 4.70) ส้าหรบั ด้านอ่นื ๆ มีความถูกต้อง เหมาะสมมากทุกดา้ น คือด้านรปู แบบชุดกจิ กรรม ( x = 4.47) ด้านแบบทดสอบ ( x = 4.47) ด้านเนอื้ หา ( x = 4.45)
60 2.2 การหาประสทิ ธภิ าพของชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ โดยเทยี บกับเกณฑ์ 80 / 80 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู ปรากฏดงั ตารางท่ี 3 ตารางท่ี 4 แสดงผลการหาประสทิ ธิภาพของชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ เรื่อง ความหลากหลาย ทางชีวภาพ ในอา่ งเกบ็ นา้ คลองลา้ กง กลุม่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรียนบา้ นหว้ ยสะแก ที่ไมใ่ ช่กลุม่ ตัวอยา่ ง ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ จ้านวน คะแนนเต็ม คะแนน ค่าเฉลี่ย รอ้ ยละ E1 / E2 นักเรียน (คะแนน) รวม 85.33/85.17 คะแนนของกระบวนการ 1800 คะแนนของผลลัพธ์ 30 1200 1024 34.13 85.33 30 1022 34.07 85.17 จากตารางท่ี 4 พบว่า ประสิทธิภาพของกระบวนการท่ไี ดจ้ ากคะแนนในการทา้ แบบฝึกหัดใน แตล่ ะเรอ่ื งของชดุ กจิ กรรม มีค่าเฉลยี่ เท่ากับ 34.13 คิดเป็นร้อยละ 85.33 และประสิทธิภาพ ของผลลัพธ์ ที่ได้จากคะแนนการท้าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น หลังเรยี น มีคา่ เฉลี่ย เท่ากับ 34.07 คิดเปน็ ร้อยละ 87.17 แสดงวา่ ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ ทสี่ ร้างข้นึ มปี ระสิทธภิ าพ เทา่ กบั 85.33/85.17 ซง่ึ สงู กวา่ เกณฑ์ 80 / 80 ท่ีก้าหนด
61 3. การวิเคราะห์ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลงั เรยี นโดยเทียบกับเกณฑท์ ่กี าหนด ตารางที่ 5 การวิเคราะหผ์ ลสัมฤทธิท์ างการเรียนหลงั เรียนโดยเทยี บกบั เกณฑ์ทก่ี า้ หนด โดยก้าหนดเกณฑ์ 30 คะแนน กลุ่มตัวอย่าง N คะแนน X S.D ความ t ที่กา้ หนด แตกต่างของ คะแนน ผลการสอบ 17 30 35.12 1.32 5.12 16.018** **p<.01 (df = 16 , t = 2.583) จากตารางที่ 5 พบวา่ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นหลงั เรียนด้วยชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ ในอา่ งเก็บน้าคลองล้ากง กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 สงู กว่าเกณฑท์ ีก่ า้ หนด อย่างมนี ัยสา้ คญั ทางสถติ ิท่รี ะดบั .01
62 4. การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรยี น โดยใช้ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ในอ่างเกบ็ นา้ คลองล้ากง กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนบ้านยางลาด จากกลุ่มตัวอย่าง 17 คนโดยใช้ t – test แบบ Dependent ไดผ้ ลดังนี้ ตารางท่ี 6 การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรยี นและหลงั เรียน โดยใช้ ชดุ กจิ กรรมการเรียนรูใ้ นอ่างเกบ็ น้าคลองลา้ กง กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรียนบา้ นยางลาด กลุ่มตวั อยา่ ง N X D D 2 t 17 23.88 191 2323 13.925** กอ่ นเรียน 17 35.12 หลงั เรยี น **p<.01 (df = 16 , t = 2.583) จากตารางท่ี 6 พบวา่ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรยี นด้วย ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ ในอ่างเก็บน้าคลองล้ากง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส้าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 แสดงว่าชุดกิจกรรมการเรียนรู้ สามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรยี นให้สงู ขึน้ จรงิ แผนภูมทิ ี่ 3 แสดงผลการเปรยี บเทียนคะแนนก่อนเรียนและหลังเรยี น
63 ตอนท่ี 3 การเปรียบเทยี บเจตคติของนกั เรียน ตอ่ การเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ เรอ่ื ง ความหลากหลายทางชีวภาพ ในอา่ งเก็บน้าคลองลากง กลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 ผลการเปรียบเทยี บเจตคตขิ องนกั เรยี น ต่อการเรียนด้วยชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ ในอา่ งเกบ็ นา้ คลองลา้ กง กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ไดผ้ ล ดงั น้ี ตารางท่ี 7 แสดงผลการเปรยี บเทยี บเจตคติของนกั เรียน ตอ่ การเรยี นดว้ ยชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 3 โรงเรยี นบา้ นยางลาด กลุม่ ตัวอยา่ ง 17 คน กลุม่ ตวั อยา่ ง NX S.D t ก่อนเรียน 17 27.12 17 46.24 4.47 13.095** หลังเรียน 2.11 **p<.01 (df = 16 , t = 2.583) จากตารางที่ 7 พบวา่ จากการวดั เจตคติของนักเรยี น ที่เรียนด้วยชดุ กิจกรรม การเรียนรู้ เร่ือง ความหลากหลายทางชีวภาพในอ่างเก็บน้าคลองล้ากง กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 หลงั เรียนสงู กวา่ กอ่ นเรยี น อย่างมีนยั ส้าคญั ทางสถิติ ทรี่ ะดับ .01
บทที่ 5 สรปุ ผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ การวจิ ยั การพฒั นาชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง ความหลากหลายทางชีวภาพในอ่างเก็บ นา้ คลองลา้ กง อา้ เภอหนองไผ่ จังหวดั เพชรบรู ณ์ ไดส้ รุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ ดังน้ี สรุปผล การวจิ ยั การพฒั นาชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง ความหลากหลายทางชวี ภาพในอา่ งเกบ็ น้าคลองล้ากง อา้ เภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ สรุปผลได้ดงั น้ี 1. การทดสอบหาประสทิ ธภิ าพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ พบวา่ 1.1 ผลการประเมนิ คณุ ภาพของชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ ตามความคิดเหน็ ของผูเ้ ชย่ี วชาญ อยูใ่ นระดบั ดมี ากท้ังในภาพรวมและเป็นรายด้านทุกดา้ น 1.2 การทดสอบหาประสิทธิภาพของชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ พบวา่ มปี ระสิทธภิ าพ สงู กวา่ เกณฑ์ท่กี ้าหนดไว้ คอื 80 / 80 ทกุ เรื่อง เทา่ กบั 85.33/85.17 ซง่ึ มปี ระสทิ ธสิ ูงกว่าเกณฑ์ ท่กี ้าหนด 2. ผลการเปรยี บเทยี บคะแนนเฉล่ียของผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น กลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ท่ีเรียนดว้ ยชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เร่อื ง ความหลากหลายทาง ชวี ภาพ กับเกณฑ์ทกี่ ้าหนด ปรากฏว่าสงู กวา่ เกณฑท์ ี่กา้ หนด อย่างมนี ัยสา้ คญั ทางสถติ ิท่ีระดบั .01 3. ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 3 ทไี่ ด้รบั การเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ เร่ือง ความหลากหลายทางชวี ภาพในอา่ งเก็บนา้ คลองลา้ กง หลังเรยี นสงู กว่าก่อนเรียน อย่างมีนยั ส้าคัญทางสถติ ิที่ระดับ .01 4. การเปรยี บเจตคติของนักเรยี นช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 3 ตอ่ การเรียน ดว้ ยชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ หลังเรยี นสงู กว่ากอ่ นเรยี น อย่างมนี ัยสา้ คญั ทางสถิติทีร่ ะดับ .01 อภิปรายผล จากรายงานการวจิ ัย เรือ่ ง การพฒั นาชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ เรือ่ ง ความหลากหลายทาง ชวี ภาพในอ่างเก็บน้าคลองลา้ กง ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 อภปิ รายผลได้ดงั น้ี 1. ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ความหลากหลายทางชวี ภาพในอา่ งเก็บน้าคลองลา้ กง
65 มปี ระสทิ ธิภาพของกระบวนการและประสทิ ธภิ าพของผลลัพธส์ ูงกว่าเกณฑท์ ี่กา้ หนดไว้ คือ 80 / 80 ทกุ เรื่อง ทั้งนชี้ ุดกจิ กรรม สรา้ งขน้ึ อย่างมรี ะบบโดยคา้ นึงถึงความสอดคล้องของพระราชบัญญตั ิ การศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 (ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2545) หลักสูตรการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ได้ด้าเนินการจดั ทา้ อยา่ งเป็นระบบประกอบดว้ ย ค้าแนะน้าการใช้ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ แบบทดสอบก่อนเรียน เน้อื หา กิจกรรมการสา้ รวจ สบื คน้ ข้อมูล แบบฝึกหัดทบทวน แบบทดสอบ หลังเรียน บรรณานกุ รม และภาคผนวก และแบบเฉลยส้าหรับการตรวจคา้ ตอบดว้ ยตนเองให้นัก เรยี นร้ผู ลความก้าวหนา้ ของตนเอง เปน็ การเสริมแรงใหผ้ เู้ รียนมแี รงจูงใจในการเรยี นเน้ือหาตอ่ ไป เพราะเมอ่ื สอบผ่านจะกระตุ้นให้อยากเรยี นร้ตู ลอดเวลา ผเู้ รียนมโี อกาสพฒั นาทกั ษะการเรยี นรขู้ อง ตนเองจึงท้าให้ผู้เรยี นเกิดการเรียนรอู้ ยา่ งสมบรู ณ์ และความเหมาะสมกบั วัยของนักเรยี น โดยเนื้อหา แต่ละเรอ่ื งใชภ้ าษาค้าบรรยายเรือ่ งทเี่ ขา้ ใจง่ายให้สาระ แนวคิด และภาพประกอบสอดคลอ้ งกบั เนอ้ื เรื่อง ทา้ ให้กระตุ้นการแสวงหาความรูด้ ้วยตนเองของนกั เรยี น และนักเรียนได้คน้ พบและสรา้ งความรู้ ด้วยตนเอง ทา้ ให้เกดิ การเรยี นรู้และจดจา้ ตลอดไป ชุดกจิ กรรมได้สรา้ งข้ึนโดยผู้วจิ ยั ได้ศกึ ษาวิธีการ สรา้ ง และใหผ้ ้เู ชย่ี วชาญตรวจสอบและน้าไปทดลองกบั นักเรยี นเป็นรายบคุ คลและรายกลุม่ มกี าร แกไ้ ขข้อบกพร่องต่างๆ ท้ังเน้ือหา รูปภาพ การน้าเสนอบทเรียน ตลอดจนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ ทา้ ให้มีการใชส้ ่อื ประสมอย่างหลากหลาย เพ่อื สง่ เสริมความรคู้ วามเข้าใจและทักษะการสืบเสาะหา ความรขู้ องนักเรียน ลักษณะของรูปเล่มของชดุ กิจกรรมกะทัดรดั เน้อื หาจบในเล่มและไม่ยาวเกนิ ไป ผเู้ รียนสามารถศกึ ษาไดท้ ั้งในเวลาเรียนและนอกเวลา เป็นการส่งเสริมให้นักเรียนไดฝ้ ึกการแสวงหา ความรู้และสร้างความรู้ด้วยตนเอง เป็นการแสดงความสามารถทางความคิด พรอ้ มทงั้ ฝกึ คุณธรรมของผู้เรียนให้มีความซ่อื สตั ย์ ชดุ กจิ กรรมท่ีสรา้ งขึน้ โดยการศึกษาเอกสาร งานวิจยั ท่เี กย่ี วข้อง และไดด้ ้าเนนิ การจัดท้าอย่างเป็นระบบ ซง่ึ สอดคลอ้ งกับ ฐิตาภรณ์ พันธ์ศรี และคณะ (2549 : บทคัดย่อ) ได้ท้าการวิจัยเร่ืองการพัฒนาชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ ตามวัฏจกั รการสบื เสาะหา ความรู้ เรอื่ ง แรงและการเคล่อื นท่ี กลุม่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ สา้ หรบั นกั เรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 พบว่า ชดุ กจิ กรรมการเรียนรชู้ ุดท่ี 1,2,3 และ 4 มีประสิทธิภาพด้าน กระบวนการเป็น 80.33,78.67,81.00 และ79.67 ตามล้าดับ ซ่ึงโดยภาพรวมชุดกจิ กรรมการ เรยี นร้มู ปี ระสิทธภิ าพด้านกระบวนการเป็น 79.92 และมีประสิทธภิ าพด้านผลลัพธ์เป็น 76.32 นั่นคือ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้มีประสิทธิภาพผา่ นเกณฑ์ 75/75 คือมีประสิทธิภาพเท่ากับ 79.92/76.32 2. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์ หลังการเรียนด้วยชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ในอ่างเก็บน้าคลองลา้ กง หลงั เรยี นสูงกวา่ กอ่ น เรียน ทงั้ นีเ้ พราะ ชุดกจิ กรรมท่สี ร้างขึน้ ได้แบง่ เนื้อหาออกเปน็ ส่วนยอ่ ย ๆ
66 ในแตล่ ะเรื่อง ท้าใหง้ ่ายตอ่ การศึกษา ชว่ ยเรา้ ความสนใจ ช่วยใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรยี นรทู้ ่ดี ี ส่งเสรมิ และฝึกหดั ให้ผ้เู รยี นรูจ้ กั การแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง และมคี วามรบั ผดิ ชอบตนเองและสงั คม ชว่ ย ให้การเรยี นเป็นอสิ ระจากบุคลกิ ภาพของผสู้ อน แก้ปญั หาเรือ่ งความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล สรา้ ง ความพร้อม และความมน่ั ใจใหแ้ ก่ครู สง่ เสริมการเรียนแบบต่อเน่อื งหรอื การศึกษาตลอดชีพและชว่ ย เพ่ิมประสิทธภิ าพในการเรยี นรู้ จึงส่งผลให้ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนสงู ขึ้น สอดคลอ้ งกบั กาเบล และรับบา (Gabel and Rubba, 1980: 503 – 511) ไดศ้ ึกษาเกยี่ วกบั ผลการสอน และ ประสบการณ์การฝึกสอนทม่ี ีตอ่ ความสามารถทางทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ พบว่า นักศึกษาฝึกหัดครูที่ได้รับการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในห้องป ฏิบัติการเพ่ิมเติม จะได้คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สูงกว่าผู้ท่ีไม่ได้รบั การฝึกเพิ่มเตมิ จากการศึกษา ครั้งนีแ้ สดงว่า ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรส์ ามารถฝึกฝนเพม่ิ เติมได้ สอดคล้องกบั รูบิน (Rubin. 1990 : 3469) ได้ศึกษาการใช้แผนการสอนท่ีเป็นระบบเพ่ือพัฒนาทักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์และความสามารถด้านความเข้าใจเหตุผล พบวา่ ทา้ ใหน้ กั เรยี นที่เรียนดว้ ยแบบ ฝึกหรอื แบบฝกึ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เกิด การเรยี นรทู้ ี่ดี และยงั สรปุ ได้ว่าแบบฝกึ ทกั ษะ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ทีม่ ีประสิทธิภาพสามารถน้าไปใชใ้ นการเรียนการสอนได้ เพราะ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของนักเรยี นท่ีเรียนดว้ ยแบบฝึกสงู กว่านกั เรยี นท่ีเรียนตามปกติ สอดคล้องกับ เสาวนีย์ เชอื้ ทอง (2551 : 64) ไดศ้ ึกษาผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ และความสามารถใน การคดิ วจิ ารณญาณของนักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรียนเปรง็ วสิ ุทธาธบิ ดี สา้ นกั งานเขตพ้นื ท่ี การศึกษาสมุทรปราการ เขต 2 ท่ีเรียนโดยใชช้ ุดกจิ กรรมวทิ ยาศาสตรส์ ่งเสริมการพฒั นาสมอง มี ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น หลังเรียน สงู กวา่ กอ่ นเรียนอย่างมีนัยสา้ คัญทางสถิตทิ ่ีระดบั .01 3. เจตคตขิ องนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี 3 โรงเรยี นบ้านยางลาด หลังเรียนสงู กวา่ กอ่ น เรยี น ทัง้ น้ีเปน็ เพราะ ชุดกิจกรรมท่ีสรา้ งขน้ึ มเี น้ือหาท่สี มบูรณ์ ถูกต้อง อา่ นเขา้ ใจง่าย มี ภาพประกอบทีส่ วยงามสอดคลอ้ งกบั เนื้อหา มคี ้าถามทบทวนในแบบฝึกหัดเพ่ือใหน้ ักเรียนได้ ตรวจสอบความรู้ มีการทดสอบก่อนเรียนเพอ่ื วดั พื้นฐาน ความรเู้ ดิมและทดสอบหลงั เรยี นเพือ่ วดั ความก้าวหน้าในการเรียนรูแ้ ตล่ ะคร้งั รปู แบบท่ีกะทัดรดั สะดวกในการเรยี นรแู้ ต่ละครง้ั และสง่ เสรมิ ความรคู้ วามเข้าใจและน้าไปปฏบิ ตั ิได้ อีกท้ังนกั เรียนสามารถฝกึ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ท้าใหน้ กั เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีและมีแรงจงู ใจในการเรยี นรูค้ ร้งั ต่อๆ ไป ส่งผลให้นกั เรียนมีเจตคตทิ ี่ ดีตอ่ วิชาวทิ ยาศาสตร์ สอดคลอ้ งกบั ธรี ภทั ร์ ดงยางวัน (2551 : 66) ไดศ้ กึ ษาผลการจัดการเรยี นรู้ ดว้ ยชุดกจิ กรรมส่งเสริมศักยภาพการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ท่ีมตี ่อผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น และ ความสามารถในการคดิ เชิงอนาคตทางวิทยาศาสตรข์ องนักเรยี นชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรยี นสวน กุหลาบวทิ ยาลัยชลบรุ ี
67 พบว่า นักเรยี นทเ่ี รียนดว้ ยชุดกิจกรรมส่งเสริมศกั ยภาพการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ มผี ลสัมฤทธท์ิ างการ เรียน หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สา้ คญั ทางสถิติที่ระดบั .01 และมเี จตคติต่อวิทยาศาสตร์ หลงั เรยี นสูงกว่ากอ่ นเรยี นอย่างมนี ยั ส้าคัญทางสถิติทีร่ ะดับ .01 ขอ้ เสนอแนะ จากผลการวจิ ยั การพฒั นาชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ เรอื่ งความหลากหลายทางชวี ภาพในอ่าง เกบ็ น้าคลองลา้ กง กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วจิ ยั มีข้อเสนอแนะดังนี้ ขอ้ เสนอแนะในการนาไปใช้ 1. ในการใชช้ ุดกจิ กรรมการเรียนรู้ เร่อื งความหลากหลายทางชีวภาพในอา่ งเก็บนา้ คลองล้ากง กลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 3 ในการศึกษาครง้ั น้ี ครูผ้สู อน ควรใหค้ วามส้าคัญต่อการใช้ชดุ กิจกรรมอย่างจรงิ จงั โดยการเฝ้าสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียน ตลอดจนให้ค้าปรึกษาแนะน้าแกน่ ักเรียนตลอดเวลาในการเรียน 2. ครสู ามารถปรบั เปลีย่ นลา้ ดบั ของชุดกจิ กรรมกอ่ นหลังให้สอดคล้องกบั ประสบการณ์ และความต้องการของผเู้ รียนได้ 3. ครูควรสรา้ งจติ ส้านกึ ในเร่ืองของความซ่ือสตั ย์แกน่ ักเรยี น ซึ่งจะท้าให้การใชช้ ดุ กิจกรรมมปี ระสทิ ธิภาพ 4. ในการศกึ ษาแหล่งเรียนรู้ การส้ารวจความหลากหลายทางชวี ภาพในอา่ งเก็บน้า คลองล้ากง ครูผสู้ อนควรดแู ลนกั เรียนอยา่ งใกล้ชดิ ในด้านการเดนิ ทาง และการส้ารวจ เนือ่ งจากอ่าง เกบ็ นา้ คลองลา้ กงเป็นแหลง่ น้าขนาดใหญ่ และลกึ ควรดแู ลนกั เรยี นอยา่ งใกล้ชดิ ไม่ควรใหน้ ักเรียนอยู่ ตามลา้ พัง หรือลงเลน่ น้า โดยขาดการดูแลอย่างใกล้ชดิ จากครผู สู้ อน 5. การส้ารวจความหลากหลายทางชีวภาพ ควรเน้นก้าชับใหน้ กั เรยี น ชว่ ยกนั อนรุ ักษ์ แหลง่ น้า พชื หรือสตั วต์ า่ ง ๆ ไมค่ วรรงั แกสัตว์ หรอื ทา้ ลายส่งิ แวดล้อม ขอ้ เสนอแนะในการวจิ ัยคร้งั ตอ่ ไป 1. ควรมีการพฒั นาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรอ่ื งความหลากหลายทางชีวภาพในอา่ งเกบ็ น้า คลองล้ากงในรูปแบบอน่ื ๆ เช่น บทเรียนส้าเรจ็ รปู บทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน ฯลฯ เป็นต้น 2. ควรมีการวจิ ยั ในดา้ นการพฒั นาและอนุรักษ์ และขยายพันธุ์ของพืชและสัตว์ ในอา่ ง เกบ็ น้าคลองลา้ กงในรูปแบบอ่ืน ๆ
บรรณานกุ รม
บรรณานุกรม กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2545. การวจิ ัยเพ่อื พัฒนาการเรยี นรู้ตามหลกั สูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน. กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพรา้ ว. _______. 2545. คู่มอื การจัดการเรียนรู้กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์. กรุงเทพ ฯ : โรงพมิ พ์องค์การรับสง่ สนิ คา้ และพัสดภุ ัณฑ์. _______. 2551. หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551. กรุงเทพ ฯ : กระทรวงศึกษาธิการ. ฐติ ราภรณ์ พันธศ์ รี และคณะ. 2549. การพฒั นาชดุ กจิ กรรมการเรียนร้ตู ามวัฏจกั ร การสบื เสาะหาความรู้ เร่ือง แรงและการเคล่ือนที่ สาหรบั นักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษา ปที ่ี 1. วทิ ยานิพนธ์ กศ.ม. มหาวทิ ยาลัยนเรศวร. ณภัทร พุทธสรณ.์ 2551. การศึกษาผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นวทิ ยาศาสตร์ และความคิด สร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตรข์ องนกั เรยี นระดับประกาศนยี บตั รวิชาชพี ปีท่ี 2 ที่ได้รบั การจัดการเรยี นรดู้ ้วยชดุ กจิ กรรมการต์ ูนวิทยาศาสตร์. ปริญญาการศกึ ษา มหาบณั ฑิต มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ. ทวิ ตั ถ์ มณีโชต.ิ 2549. การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษา ข้ันพืน้ ฐาน. นนทบรุ ี : ศูนย์ส่งเสริมวิชาการ. ทิศนา แขมมณ.ี 2550. ศาสตร์การสอน : องค์ความรเู้ พอื่ กระบวนการจดั การเรียนรู้ ท่มี ีประสทิ ธภิ าพ. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . ธรี ภัทร์ ดงยางวัน. 2551. การจัดการเรยี นร้ดู ้วยชุดกจิ กรรมส่งเสริมศกั ยภาพการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์ ทม่ี ตี ่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น และความสามารถในการคดิ เชงิ อนาคต ทางวิทยาศาสตรข์ องนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนสวนกุหลาบ วทิ ยาลัยชลบรุ ี. ปริญญาการศกึ ษามหาบัณฑติ มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒ. นลินี อินดคี า. 2551. ชดุ กจิ กรรมพัฒนาทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เร่อื ง สารรอบตวั สาหรับนักเรยี นชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1. ปรญิ ญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาหลักสตู ร และการสอน มหาวิทยาลยั ราชภฏั อุตรดิตถ์. บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2541. การวจิ ัยเบีอ้ งต้น. พมิ พ์ครงั้ ที่ 2. กรงุ เทพฯ : สานักพิมพโ์ อเดยี นสโตร์.
71 บญุ มน่ั ธนาศภุ วฒั น์ .การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นวิทยาศาสตรแ์ ละความสามารถ ในการแกป้ ัญหาทางวิทยาศาสตร์ ของนกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 โรงเรียนโยธนิ บารงุ ท่ีไดร้ ับการจดั การเรยี นรู้ โดยใช้ปญั หาเปน็ ฐาน และการจัดการเรยี นรแู้ บบสบื เสาะหาความรู้. ปริญญานพิ นธ์ปรญิ ญาการศึกษามหาบณั ฑติ มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ, 2547. พัฒนพงษ์ สกี า. 2548. การศึกษาปัจจยั ท่ีมอี ิทธพิ ลต่อผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นวิทยาศาสตร์ ของนักเรียน ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 ซงึ่ เปน็ ผลกระทบจาการทดสอบคณุ ภาพระดบั ชาติ ปกี ารศึกษา 2548 ของจังหวัดอุตรดติ ถ์. ปรญิ ญาครศุ าสตรมหาบัณฑติ มหาวิทยาลยั ราชภัฏอุตรดิตถ์. พมิ พันธ์ เดชะคปุ ต์ และพเยาว์ ยนิ ดีสุข. 2548. ทกั ษะ 5C เพอ่ื การพัฒนาหน่วยการเรียนรู้ และการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลัย,. ราชกิจจานุเบกษา. 2545. พระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. 2542. กรงุ เทพ ฯ : สานกั งาน คณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ. ลว้ น สายยศ และอังคณา สายยศ. 2543. เทคนิคการวัดผลการเรียนรู้. พมิ พค์ รง้ั ที่ 2. กรุงเทพ ฯ : ชมรมเดก็ . วฒั นาพร ระงับทุกข์. 2545. เทคนิคและกจิ กรรมการเรยี นรทู้ ่เี น้นผ้เู รียนเปน็ สาคญั . กรงุ เทพฯ : พริกหวานกราฟฟิค. วาโร เพง็ สวสั ด์.ิ 2545. การวจิ ยั ในชั้นเรียน. กรงุ เทพ ฯ : สวุ ีรยิ าสาสน์ . วไิ ลวรรณ วิภาจักษณกุล. 2549. เอกสารประกอบการสอนรายวิชาธรรมชาตขิ องผ้เู รยี น. เพชรบูรณ์ : มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์. ศริ ินภา อิฐสุวรรณศลิ ป.์ 2548. การพฒั นาชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ เรอื่ ง “ระบบของรา่ งกาย” สาหรบั นกั เรียนช่วงช้นั ที่ 2 ในสานักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาสุพรรณบุรี เขต 2. ปรญิ ญาการศึกษามหาบณั ฑิต มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ. ศรีชาติ เพ็งอินทร์. 2552. ผลของการจดั การเรียนรูต้ ามแนวคิดวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสงั คมต่อความสามารถในการคดิ แกป้ ัญหาและความพึงพอใจต่อการจดั การเรียนรู้ วชิ าวิทยาศาสตรข์ องนกั ศึกษาประเภทวชิ าช่างอุตสาหกรรม วทิ ยาลัยเทคนคิ พงั งา. วิทยานิพนธ์ศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชาวทิ ยาศาสตร์ศึกษา มหาวิทยาลัย สงขลานครนิ ทร์.
72 เสาวนยี ์ เชอ้ื ทอง. 2551. การศกึ ษาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นวิทยาศาสตรแ์ ละความสามารถ ในการคิดวจิ ารณญาณของนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 ที่เรียนโดยใชช้ ุดกจิ กรรม วิทยาศาสตร์สง่ เสริมการพฒั นาสมอง. ปรญิ ญาการศึกษามหาบัณฑิต มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ. สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. 2552. การจัดสาระการเรยี นรู้ กล่มุ วิทยาศาสตร์หลักสูตรการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ สกสค ลาดพร้าว. สานักงานคณะกรรมการวจิ ัยแห่งชาต.ิ 2553. ร่างนโยบายและยทุ ธศาสตรก์ ารวจิ ยั ของชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2555-2559). กรงุ เทพฯ. (เอกสารอัดสาเนา). สุคนธ์ สนิ ธพานนท์ และคณะ. 2545. การจดั กระบวนการเรียนรู้ : เนน้ ผ้เู รียนเป็นสาคัญ. พิมพ์ครง้ั ท่ี 2 กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทศั น์. สดุ ารัตน์ นนทค์ ลงั . 2549. การพฒั นาแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นกลมุ่ สาระ การเรยี นร้ชู ว่ งชน้ั ที่ 3 สงั กัดกลมุ่ โรงเรียนเทศบาลอตุ รดิตถ์. ปรญิ ญาครุศาสตร มหาบณั ฑติ สาขาวจิ ยั และประเมินผลการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎอุตรดติ ถ์. สุภากร พูนสุข. 2547. ผลของการจัดการเรยี นร้ตู ามแนวคดิ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสงั คม ต่อความสามารถในการคดิ แก้ปัญหาและความพึงพอใจต่อการจดั การเรยี นรู้ วิชาวิทยาศาสตร์ของนกั ศึกษาประเภทวิชาช่างอตุ สาหกรรม วิทยาลยั เทคนคิ พังงา. วทิ ยานิพนธศ์ กึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าวิทยาศาสตรศ์ ึกษา มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์. สวุ ิทย์ มลู คา และอรทยั มลู คา. 2550. การพฒั นาผลงานทางวชิ าการสกู่ ารเล่ือนวิทยฐานะ. กรุงเทพฯ : ภาพพมิ พ์. อนุวัติ คูณแกว้ . 2554. การวจิ ยั เพือ่ พฒั นาการเรยี นรู้ สู่ผลงานทางวชิ าการเพือ่ การ เล่ือนวิทยฐานะ. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . _______. 2549. สถติ เิ พื่อการวจิ ัย. เพชรบรู ณ์ : มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เพชรบูรณ์. อษุ า รัตนบปุ ผา. การพฒั นชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ เรื่องแบบและความสัมพันธ์สาหรับนกั เรยี น มัธยมศึกษาปีที่ 1. ปริญญานพิ นธ์ สาขาหลักสตู รและการสอน มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏ อตุ รดติ ถ์, 2547. Galbel ,D.L. and P.A. Rabba. The Effect of Early Teaching and Training Experience on Physics Achievement. N.p., 1980. Good, C. V. 1973. Dictionary of Education. New York . McGraw – Hill Book Company.
73 Heathers, Glen. (1964, April) . A Working Definition of individualized Journal for the Educational Leadership. 8(5): 342 – 344. Houston, Robert W.; & et al. 1972. Developing Instruction Modules; A Modulate System for Writing Modules. Texas: University of Houston. Rubin, R.L. (n.d.) “Using a Systematic Modeling Teaching Strategy to Promote the Development of Integrated Science Process Skill and Formal Cognitive Reasoning Ability (Reasoning)” Dissertation Abstracts International. 50 (11) , 50
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก รายนามผู้เชยี่ วชาญ
76 รายนามผ้เู ชยี่ วชาญ นายนริ ภยั แดงโชติ ศกึ ษานิเทศกช์ านาญการพิเศษ สานกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษา นางวรรณติ า ไกรศรีบุตร ประถมศกึ ษาเพชรบูรณ์ เขต 1 นางสมพร สถติ โกศล วิทยาศาสตรม์ หาบัณฑติ (วท.ม.) ชวี วทิ ยา มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่ ครชู านาญการพิเศษโรงเรียนอนุบาลเพชรบูรณ์ สานกั งานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาเพชรบรู ณ์ เขต 1 ครศุ าสตรบ์ ณั ฑติ (ค.บ.) วทิ ยาศาสตรท์ ัว่ ไป ครูชานาญการพิเศษ (วิทยาศาสตร์) โรงเรยี นบา้ นโป่งหวา้ สานกั งานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศกึ ษาเพชรบูรณ์ เขต 1 ครศุ าสตรมหาบัณฑติ (ค.ม.) การวจิ ยั และประเมินผลการศึกษา นางอาไพ ทองใบ ครูชานาญการพเิ ศษ โรงเรียนบา้ นปา่ เลา นางอรทัย ยศปัญญา สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศกึ ษาเพชรบูรณ์ เขต 1 ครุศาสตรบณั ฑติ (ค.บ.) วทิ ยาศาสตรท์ ั่วไป ศกึ ษานเิ ทศก์ชานาญการพิเศษ สานกั งานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศกึ ษาเลย เขต 3 ครศุ าสตรมหาบัณฑิต (ค.ม.) หลักสูตรและการสอน มหาวทิ ยาลัยนเรศวร
77 ที่ ศธ 04106.1061/32 โรงเรยี นบ้านยางลาด ต.ระวิง อ.เมือง ฯ จ.เพชรบูรณ์ 67210 9 กมุ ภาพนั ธ์ 2555 เรอ่ื ง ขอเชิญเปน็ ผเู้ ชย่ี วชาญ เรยี น นายนริ ภยั แดงโชติ สง่ิ ที่ส่งมาดว้ ย 1. ค่มู ือการใช้ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ จานวน 1 เลม่ 2. ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ จานวน 1 ชุด เน่อื งด้วย นางเครือวัลย์ แสงโสดา ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ โรงเรยี นบ้านยางลาด สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาเพชรบรู ณ์ เขต 1 ไดจ้ ัดทาชดุ กิจกรรมการ เรยี นรู้เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพในอ่างเกบ็ น้าคลองลากง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 เพ่ือให้งานวิจยั มีคณุ ภาพ ในการนี้พิจารณาแลว้ เห็นวา่ ท่านเปน็ ผ้มู ีความรู้ ความสามารถ และมีประสบการณ์เป็นอย่างดยี ิ่ง ใคร่ขออนุเคราะห์ท่านเปน็ ผเู้ ช่ยี วชาญ ในการตรวจสอบพิจารณาคุณภาพของเคร่ืองมือในการทาวิจยั ดงั กลา่ วน้นั จงึ เรยี นมาเพื่อโปรดพิจารณา ขอแสดงความนับถือ (นายสรุ เชษฐ์ ยงวณชิ ย)์ ผอู้ านวยการโรงเรียนบา้ นยางลาด โรงเรียนบ้านยางลาด งานบริหารบคุ คล โทร.086 – 4405070
78 แบบตอบรับการเป็นผเู้ ชยี่ วชาญ ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ เรอ่ื งความหลากหลายทางชวี ภาพในอา่ งเก็บน้าคลองลากง กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 โปรดทาเคร่อื งหมาย ลงใน ตามความคิดเหน็ ของทา่ น ยนิ ดีเปน็ อย่างยิ่ง ขัดข้อง ลงชื่อ (นายนิรภัย แดงโชติ) ศกึ ษานเิ ทศก์ ชานาญการพเิ ศษ สานกั งานเขตพนื้ ที่การศกึ ษาประถมศึกษา เพชรบรู ณ์ เขต 1
79 ท่ี ศธ 04106.1061/32 โรงเรยี นบา้ นยางลาด ต.ระวงิ อ.เมือง ฯ จ.เพชรบรู ณ์ 67210 9 กมุ ภาพันธ์ 2555 เรื่อง ขอเชิญเปน็ ผเู้ ชยี่ วชาญ เรียน นางวรรณติ า ไกรศรีบตุ ร ส่งิ ที่ส่งมาด้วย 1. คูม่ ือการใช้เอกสารประกอบการเรียน จานวน 1 เล่ม 2. ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ จานวน 1 ชดุ เน่อื งด้วย นางเครือวลั ย์ แสงโสดา ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการพเิ ศษ โรงเรียนบา้ นยางลาด สานักงานเขตพน้ื ทีก่ ารศกึ ษาเพชรบูรณ์ เขต 1 ได้จัดทาชุดกจิ กรรมการ เรยี นรู้เรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพในอ่างเกบ็ นา้ คลองลากง กลุม่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 เพื่อให้งานวจิ ยั มคี ุณภาพ ในการนี้พิจารณาแลว้ เห็นวา่ ทา่ นเป็นผมู้ ีความรู้ ความสามารถ และมีประสบการณ์เป็นอยา่ งดยี ่ิง ใคร่ขออนุเคราะห์ท่านเปน็ ผ้เู ช่ยี วชาญ ในการตรวจสอบพจิ ารณาคุณภาพของเคร่ืองมือ ในการทาวจิ ยั ดังกล่าวนนั้ จึงเรียนมาเพ่ือโปรดพิจารณา ขอแสดงความนบั ถือ (นายสุรเชษฐ์ ยงวณชิ ย์) ผูอ้ านวยการโรงเรียนบา้ นยางลาด โรงเรียนบ้านยางลาด งานบริหารบคุ คล โทร.086 – 4405070
80 แบบตอบรบั การเปน็ ผเู้ ชี่ยวชาญ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรอื่ งความหลากหลายทางชีวภาพในอ่างเกบ็ นา้ คลองลากง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 3 โปรดทาเคร่อื งหมาย ลงใน ตามความคิดเห็นของทา่ น ยนิ ดีเปน็ อย่างย่ิง ขัดข้อง ลงชอ่ื (นางวรรณติ า ไกรศรบี ตุ ร) ครชู านาญการพิเศษ โรงเรยี นอนบุ าลเพชรบูรณ์
81 ท่ี ศธ 04106.1061/32 โรงเรยี นบ้านยางลาด ต.ระวงิ อ.เมือง ฯ จ.เพชรบรู ณ์ 67210 9 กุมภาพันธ์ 2555 เรื่อง ขอเชิญเป็นผู้เชีย่ วชาญ เรียน นางสมพร สถติ โกศล ส่งิ ทสี่ ง่ มาดว้ ย 1. คมู่ ือการใช้เอกสารประกอบการเรียน จานวน 1 เลม่ 2. ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ จานวน 1 ชดุ เนือ่ งด้วย นางเครือวัลย์ แสงโสดา ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการพเิ ศษ โรงเรียนบา้ นยางลาด สานักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาเพชรบูรณ์ เขต 1 ได้จัดทาชดุ กจิ กรรมการ เรยี นร้เู รื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพในอ่างเก็บนา้ คลองลากง กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 เพ่ือให้งานวจิ ัยมคี ุณภาพ ในการนี้พิจารณาแล้ว เหน็ วา่ ทา่ นเปน็ ผมู้ ีความรู้ ความสามารถ และมีประสบการณ์เป็นอยา่ งดียิ่ง ใคร่ขออนุเคราะหท์ ่านเป็นผ้เู ชย่ี วชาญ ในการตรวจสอบพิจารณาคุณภาพของเคร่ืองมือในการทาวิจัยดงั กล่าวนั้น จึงเรียนมาเพ่ือโปรดพิจารณา ขอแสดงความนับถือ (นายสรุ เชษฐ์ ยงวณิชย์) ผู้อานวยการโรงเรยี นบา้ นยางลาด โรงเรียนบา้ นยางลาด งานบรหิ ารบคุ คล โทร.086 – 4405070
82 แบบตอบรับการเป็นผู้เช่ียวชาญ ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ เรื่องความหลากหลายทางชวี ภาพในอา่ งเก็บนา้ คลองลากง กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 โปรดทาเครอ่ื งหมาย ลงใน ตามความคิดเหน็ ของท่าน ยินดเี ป็นอย่างยิ่ง ขัดข้อง ลงชื่อ (นางสมพร สถิตโกศล) ครูชานาญการพิเศษ โรงเรยี นบา้ นโปง่ หว้า
83 ท่ี ศธ 04106.1061/32 โรงเรียนบ้านยางลาด ต.ระวิง อ.เมือง ฯ จ.เพชรบรู ณ์ 67210 9 กมุ ภาพนั ธ์ 2555 เรื่อง ขอเชิญเปน็ ผ้เู ชี่ยวชาญ เรียน นางอาไพ ทองใบ สงิ่ ทีส่ ง่ มาดว้ ย 1. คู่มือการใชเ้ อกสารประกอบการเรยี น จานวน 1 เลม่ 2. ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ จานวน 1 ชดุ เนอื่ งด้วย นางเครือวลั ย์ แสงโสดา ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพเิ ศษ โรงเรียนบ้านยางลาด สานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษาเพชรบูรณ์ เขต 1 ได้จัดทาชดุ กจิ กรรมการ เรยี นรเู้ รื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพในอา่ งเกบ็ น้าคลองลากง กล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 เพ่ือให้งานวิจัยมคี ณุ ภาพ ในการน้ีพิจารณาแลว้ เหน็ วา่ ท่านเป็นผมู้ ีความรู้ ความสามารถ และมีประสบการณ์เป็นอยา่ งดยี ิ่ง ใคร่ขออนุเคราะหท์ ่านเปน็ ผูเ้ ช่ียวชาญ ในการตรวจสอบพจิ ารณาคุณภาพของเคร่ืองมือในการทาวิจยั ดงั กล่าวน้ัน จงึ เรียนมาเพ่ือโปรดพิจารณา ขอแสดงความนับถือ (นายสุรเชษฐ์ ยงวณชิ ย์) ผอู้ านวยการโรงเรยี นบา้ นยางลาด โรงเรยี นบา้ นยางลาด งานบรหิ ารบุคคล โทร.086 – 4405070
84 แบบตอบรบั การเป็นผู้เชย่ี วชาญ ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ เรื่องความหลากหลายทางชวี ภาพในอา่ งเก็บน้าคลองลากง กล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 โปรดทาเครือ่ งหมาย ลงใน ตามความคดิ เห็นของทา่ น ยินดีเปน็ อยา่ งย่งิ ขดั ขอ้ ง ลงชอ่ื (นางอาไพ ทองใบ) ครูชานาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านปา่ เลา
85 ที่ ศธ 04106.1061/32 โรงเรยี นบา้ นยางลาด ต.ระวิง อ.เมอื ง ฯ จ.เพชรบูรณ์ 67210 9 กุมภาพนั ธ์ 2555 เร่อื ง ขอเชิญเป็นผเู้ ชย่ี วชาญ เรยี น นางอรทัย ยศปัญญา สิ่งที่สง่ มาดว้ ย 1. คู่มือการใช้เอกสารประกอบการเรียน จานวน 1 เล่ม 2. ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ จานวน 1 ชดุ เนื่องด้วย นางเครือวลั ย์ แสงโสดา ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ โรงเรยี นบ้านยางลาด สานักงานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษาเพชรบูรณ์ เขต 1 ไดจ้ ัดทาชุดกิจกรรมการ เรยี นรู้เรื่อง ความหลากหลายทางชวี ภาพในอ่างเกบ็ น้าคลองลากง กล่มุ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 เพ่ือให้งานวิจยั มคี ุณภาพ ในการนี้พิจารณาแล้ว เห็นว่าท่านเป็นผมู้ คี วามรู้ ความสามารถ และมีประสบการณ์เป็นอยา่ งดีย่ิง ใคร่ขออนุเคราะหท์ ่านเป็นผู้เช่ยี วชาญ ในการตรวจสอบพิจารณาคณุ ภาพของเคร่ืองมือในการทาวิจัยดังกลา่ วนั้น จงึ เรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา ขอแสดงความนบั ถือ (นายสรุ เชษฐ์ ยงวณชิ ย์) ผอู้ านวยการโรงเรียนบา้ นยางลาด โรงเรยี นบา้ นยางลาด งานบรหิ ารบุคคล โทร.086 – 4405070
86 แบบตอบรบั การเปน็ ผ้เู ชย่ี วชาญ ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เร่อื งความหลากหลายทางชีวภาพในอ่างเกบ็ นา้ คลองลากง กล่มุ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 โปรดทาเครอ่ื งหมาย ลงใน ตามความคิดเห็นของทา่ น ยนิ ดีเปน็ อย่างยงิ่ ขดั ข้อง ลงชื่อ (นางอรทัย ยศปัญญา) ศึกษานิเทศกช์ านาญการพเิ ศษ สานกั งานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 1
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161