หลักสตู รสถานศึกษา โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 พุทธศักราช 2565 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุง 2560) กลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาระท่ี 4 ชีววทิ ยา (สาระเพิม่ เตมิ ) สำนกั บรหิ ารงานการศกึ ษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
คำสงั่ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ท่ี ………. / 2564 เรือ่ ง แตง่ ตั้งคณะกรรมการบรหิ ารหลักสูตรและวิชาการกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของโรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 ****************** เพอ่ื ใหก้ ารบรหิ ารหลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกบั พระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแหง่ ชาตพิ .ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติมหมวด 4 มาตรา 27 ที่กำหนด ไว้ใหส้ ถานศกึ ษา มกี ารจดั ทำสาระของหลักสูตรเพอื่ ความเปน็ ไทย ความเปน็ พลเมืองที่ดีของชาติ การดำรงชีวิต และการประกอบอาชพี ตลอดจนเพื่อการศึกษาต่อ ในส่วนทีเ่ กย่ี วข้องกบั สภาพของปญั หาในชุมชนและสังคม ภมู ิปญั ญาทอ้ งถ่ิน คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ เพือ่ เป็นสมาชิกทดี่ ีของครอบครวั ชมุ ชน สงั คมและประเทศชาติ อาศยั ระเบยี บกระทรวงศกึ ษาธิการ ว่าด้วย คณะกรรมการบริหารหลักสูตรและงานวิชาการสถานศึกษา ขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 ข้อ 5 และประกาศการใชห้ ลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ลงวันท่ี 11 กรกฎาคมพ.ศ. 2551 และคำสงั่ กระทรวงศึกษาธกิ ารท่ี สพฐ. 1237/2560 ส่งั ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2560 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จึงแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ดงั น้ี 1. นางสาวณฐั ธนญั า บุญถงึ ประธานกรรมการ 2. นายธนพัฒน์ อศิ รางกูร ณ อยธุ ยา กรรมการ 3. นางกมลชนก เทพบุ กรรมการ 4. นางสาวกานดา วฒุ ิเศลา กรรมการ 5. นางสาวจันริรา ธนันชัย กรรมการ 6. นางอมลสริ ิ คำฟู กรรมการ 7. นางสาวฐติ ารัตน์ คมั ภีระ กรรมการ 8. นางสาวปารชิ าติ สิงคำโล กรรมการ 9. นางธัญญรัตน์ ศิลาคำ กรรมการ 10. นายพงศ์ธร เปงวงศ์ กรรมการ 11. วา่ ที่รอ้ ยตรสี มพงษ์ ตระการศภุ กร กรรมการ 12. นายเสรี แซ่จาง กรรมการ 13. นางสาวจิรัชญา ชัยธรี ธรรม กรรมการ 14. นางสาวศริ วิ รรณ มุนมิ คำ กรรมการ 15. นายเอกราช หมแี ก้ว กรรมการ 16. นางสาวธนั ชนก ชัยบุตร กรรมการ 17. นางสาวสุดาภรณ์ สบื บุญเปย่ี ม กรรมการและเลขานกุ าร
มหี นา้ ท่ี 1. วางแผนดำเนินงาน กำหนดสาระ รายละเอียดของหลักสูตร มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดและผล การเรยี นรู้ของกลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ใหส้ อดคลอ้ งกบั หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ปรบั ปรงุ 2560) 2. จัดทำคู่มือบริหารหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี นิเทศ กำกับ ติดตาม เกย่ี วกบั การพัฒนาหลกั สูตร การจดั กระบวนการเรยี นรู้ การวัดและประเมนิ ผล ให้สอดคล้องและเป็นไปตาม มาตรฐานหลักสูตรการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน 3. ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากร เกี่ยวกับ การพัฒนาหลักสูตรและการจัดกระบวนการ เรียนรู้ การวดั และประเมินผล ให้เปน็ ไปตามจดุ มงุ่ หมายและแนวทางในการดำเนินการของหลกั สูตร 4. ประสานความร่วมมือจากบุคคล หน่วยงาน องค์กรต่างๆและชุมชน เพื่อให้การใช้หลักสูตรเปน็ ไป อยา่ งมีประสทิ ธิภาพและคณุ ภาพ 5. ประชาสมั พนั ธห์ ลักสูตรและการใช้หลักสูตรแกแ่ ก่ผู้เรียน ผปู้ กครองชมุ ชนและผู้ทีเ่ กี่ยวข้องและนำ ข้อมูลป้อนกลับจากฝ่ายต่างๆ มาพิจารณาเพื่อการปรับปรุงและพัฒนา หลักสูตรของกลุ่มสาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 6. ส่งเสรมิ และสนับสนุนการวจิ ยั เกี่ยวกบั การพัฒนาหลกั สูตรและกระบวนการเรียนรู้ 7. ตดิ ตามผลการเรยี นของผู้เรยี นรายบุคคล ระดบั ชนั้ ในปีการศึกษาท่ผี ่านมา เพ่ือปรับปรงุ แก้ไขและ พฒั นาการดำเนนิ งานตา่ งๆของสถานศกึ ษา 8. ตรวจสอบทบทวนประเมินมาตรฐาน การปฏบิ ตั งิ านของครแู ละการบรหิ ารหลักสูตรและกลุ่มสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในรอบปีที่ผ่านมา แล้วใช้ผลการประเมินหลักสูตรเพื่อวางแผน พฒั นาการปฏบิ ตั งิ านของครแู ละการบริหารหลักสูตรและในปีการศึกษาตอ่ ไป 9. รายงานผลการปฏิบัติงานและผลการบริหาร หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีโดย เน้นผลการพัฒนาคุณภาพผูเ้ รยี นตอ่ คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน คณะกรรมการฝ่าย บริหาร สาธารณะชนและผูท้ เ่ี ก่ยี วขอ้ ง ทงั้ นี้ ต้งั แต่บัดนีเ้ ป็นต้นไป สงั่ ณ วันที่ 20 เดือนเมษายน พ.ศ. 2564 (นายอดศิ ร แดงเรอื น) ผอู้ ำนวยการโรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31
ประกาศโรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ 31 เร่อื ง ใหใ้ ชห้ ลกั สูตรโรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 พทุ ธศกั ราช 2564 ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560) ………………………………. ตามที่โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ได้ประกาศใช้หลักสูตรโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 พุทธศักราช 2564 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) โดยเริ่มใช้หลักสูตรดังกล่าว กับผู้เรียนทุกระดับชั้นในปี การศึกษา 2563 ต่อมาในปีการศกึ ษา 2564 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 ได้เพิ่มรายวชิ าเพิ่มเตมิ เพือ่ ให้ สอดคลอ้ งกับนโยบายเรง่ ด่วนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศกึ ษาธกิ าร เพอ่ื ให้ผูเ้ รยี นพัฒนาทกั ษะกระบวนการ คิด วิเคราะห์ มีเวลาในการทำกิจกรรมเพ่ือพฒั นาความรู้ ความสามารถและทักษะ ปลกู ฝงั คณุ ธรรม จริยธรรม การสร้างวนิ ัย การมีจิตสำนึกรับผดิ ชอบต่อสังคม ยึดมั่นในสถาบนั ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และมีความ ภาคภมู ิใจในความเปน็ ไทย โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 ไดด้ ำเนินการจัดทำหลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 พุทธศักราช 2564 (ฉบับปรับปรงุ พุทธศักราช 2560) สอดคล้องตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรือ่ ง การบริหารจดั การเวลาเรียนและปรับมาตรฐานและ ตัวชว้ี ัด สอดคลอ้ งกับ คำสั่ง สพฐ. ท่ี 1239/60 และประกาศ สพฐ.ลงวนั ท่ี 8 มกราคม 2561 เป็นท่ีเรียบร้อย แลว้ ทั้งนี้หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 พุทธศักราช 2564 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษา ขั้นพื้นฐาน เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2564 จึงประกาศให้ใช้หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี พทุ ธศักราช 2564 (ฉบับปรับปรงุ พทุ ธศักราช 2560) ตง้ั แต่บดั น้เี ปน็ ต้นไป ประกาศ ณ วันท่ี 20 เดอื น เมษายน พ.ศ. 2564 ลงชอ่ื ลงช่อื (นายกฤกษฎ์ิ พยคั กาฬ) (นายอดิศร แดงเรือน) ประธานคณะกรรมการสถานศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน ผอู้ ำนวยการโรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31 โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ 31
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ บทนำ ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2564 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) นไี้ ดก้ ำหนด สาระการเรยี นรู้ออกเปน็ 8 สาระ ไดแ้ ก่ สาระที่ 1 วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์กายภาพ สาระ ท่ี 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ สาระท่ี 4 ชีววิทยา สาระที่ 5 เคมี สาระท่ี 6 ฟิสิกส์ สาระท่ี 7 โลก ดารา ศาสตร์และอวกาศ และสาระที่ 8 เทคโนโลยี ซึ่งองค์ประกอบของหลกั สูตร ทั้งในด้านของเนื้อหา การจัดการ เรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้นั้น มีความสำคัญอยา่ งยิง่ ในการวางรากฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ของผ้เู รยี นในแตล่ ะระดบั ช้ันให้มคี วามตอ่ เนื่องเช่ือมโยงกนั ต้งั แตช่ ้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 1 จนถึง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สำหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้กำหนดตัวชี้วัดและสาระ การเรียนร้แู กนกลางท่ผี เู้ รยี นจำเป็นต้องเรียนเปน็ พืน้ ฐาน เพือ่ ให้สามารถนำความรูน้ ไ้ี ปใช้ในการดำรงชวี ติ หรอื ศึกษาต่อ ในวิชาชีพที่ต้องใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ โดยจัดเรียงลำดับความยากง่ายของเน้ือหา ทั้ง 8 สาระ ในแต่ละระดับชั้นให้มีการเชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการเรียนรู้ และการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ ส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาความคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะท่ี สำคัญทั้งทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และทกั ษะในศตวรรษที่ 21 ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูล หลากหลายและประจกั ษพ์ ยานท่ตี รวจสอบได้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ตระหนักถึงความสำคัญของการจัด การเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มุ่งหวังให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อผู้เรียนมากที่สุด จึงได้จัดทำตัวชี้วัดและ สาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษา ข้นั พ้นื ฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.2560) ข้นึ เพ่อื ให้สถานศกึ ษา ครูผู้สอน ตลอดจนหน่วยงาน ตา่ งๆ ไดใ้ ช้เป็นแนวทางในการพัฒนาหนงั สอื เรียน คู่มือครู สอื่ ประกอบการเรียนการสอน ตลอดจนการวัดและ ประเมินผล โดยตัวชี้วดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ที่จัดทำขึ้นนี้ ได้ ปรบั ปรงุ เพือ่ ให้มีความสอดคลอ้ งและเชอ่ื มโยงกันภายในสาระการเรยี นรู้เดียวกันและระหว่างสาระการเรียนรู้ ในกลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนการเชื่อมโยงเน้ือหาความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์กับ คณิตศาสตร์ด้วย นอกจากนี้ ยงั ไดป้ รบั ปรุงเพอ่ื ให้มีความทันสมัยตอ่ การเปล่ียนแปลงและความเจริญก้าวหน้า ของวิทยาการต่างๆ และทัดเทียมกับนานาชาติ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สรุปเป็น แผนภาพได้ ดงั นี้
เปา้ หมายของวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ในการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มงุ่ เน้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรูด้ ้วยตนเองมากที่สดุ เพ่อื ใหไ้ ด้ ทง้ั กระบวนการและความรูจ้ ากวธิ ีการสงั เกต การสำรวจตรวจสอบ การทดลอง แลว้ นำผลท่ีไดม้ า จัดระบบ เป็นหลกั การ แนวคดิ และองค์ความรู้ การจัดการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี จงึ มเี ป้าหมายที่ สำคัญ ดังน้ี 1. เพอ่ื ใหเ้ ข้าใจหลกั การ ทฤษฎี และกฎทีเ่ ป็นพ้ืนฐานในวิชาวิทยาศาสตร์ 2. เพ่อื ใหเ้ ข้าใจขอบเขตของธรรมชาตขิ องวชิ าวทิ ยาศาสตรแ์ ละข้อจำกดั ในการศกึ ษาวิชาวิทยาศาสตร์ 3. เพอื่ ให้มีทักษะท่ีสำคญั ในการศกึ ษาคน้ คว้าและคิดคน้ ทางเทคโนโลยี 4. เพื่อใหต้ ระหนักถงึ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งวชิ าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวลมนษุ ย์ และสภาพแวดลอ้ ม ในเชงิ ทีม่ ีอิทธิพลและผลกระทบซึ่งกันและกัน 5. เพ่อื นำความรูค้ วามเข้าใจในวิชาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยไี ปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อสังคม และ การดำรงชีวติ 6. เพอ่ื พฒั นากระบวนการคิดและจนิ ตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการจัดการ ทกั ษะ ในการส่ือสาร และความสามารถในการตดั สินใจ 7. เพอ่ื ใหเ้ ปน็ ผู้ทมี่ ีจิตวิทยาศาสตร์ มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรมและคา่ นิยมในการใชว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี อยา่ งสรา้ งสรรค์
เรยี นรู้อะไรในวทิ ยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มงุ่ หวังให้ผู้เรยี นไดเ้ รยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ที่เน้นการเชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้ กระบวนการในการสบื เสาะหาความรูแ้ ละแก้ปญั หาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมสี ว่ นร่วมในการเรียนรู้ทุกข้ันตอน มีการทำกจิ กรรมด้วยการลงมือปฏบิ ตั ิจริงอยา่ งหลากหลาย เหมาะสมกับระดับชน้ั โดยกำหนดสำระสำคญั ดงั น้ี วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ เรยี นรเู้ ก่ียวกับ ชวี ติ ในสงิ่ แวดลอ้ ม องคป์ ระกอบของส่ิงมีชวี ติ การดำรงชีวติ ของ มนษุ ย์และสตั ว์ การดำรงชีวติ ของพืช พันธกุ รรม ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของส่งิ มีชีวิต วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การเคลื่อนที่ พลงั งานและคลนื่ วิทยาศาสตรโ์ ลกและอวกาศ เรยี นรู้เก่ยี วกับโลกในเอกภพ ระบบโลก และมนษุ ยก์ บั การเปลย่ี นแปลง ของโลก ชีววิทยา เรียนรู้เกีย่ วกับ การศึกษาชีววิทยา สารเคมีในสิ่งมีชีวิต เซลล์ของสิ่งมีชีวติ พันธุกรรมและ การถ่ายทอด วิวัฒนาการ ความหลากหลายทางชีวภาพ โครงสร้างและการทำงานของส่วนต่างๆ ในพืชดอก ระบบและการทำงานในอวัยวะตา่ งๆ ของสตั วแ์ ละมนษุ ย์และสิง่ มีชีวิตและสิง่ แวดล้อม เคมี เรียนรู้เกี่ยวกับ ปริมาณสาร องค์ประกอบและสมบัติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร ทักษะ และการแก้ปญั หาทางเคมี ฟิสิกส์ เรยี นรเู้ กี่ยวกับ ธรรมชาติและการค้นพบทางฟิสิกส์ แรงและการเคลื่อนท่แี ละพลังงาน โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ เรยี นร้เู ก่ียวกบั โลกและกระบวนการเปลยี่ นแปลงทางธรณีวิทยาข้อมูล ทางธรณีวทิ ยาและการนำไปใช้ประโยชน์ การถ่ายโอนพลงั งานความรอ้ นของโลก การเปลีย่ นแปลงลกั ษณะ ลม ฟา้ อากาศกับการดำรงชวี ิตของมนุษย์ โลกในเอกภพและดาราศาสตร์กบั มนษุ ย์ เทคโนโลยี * การออกแบบและเทคโนโลยี เรียนรู้เกี่ยวกับ การพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับ เทคโนโลยีเพื่อดำรงชีวิตในสังคมท่ีมีการเปลีย่ นแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทกั ษะทางดา้ นวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่นๆ เพื่อแก้ปัญหา หรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการ ออกแบบ เชงิ วิศวกรรม เลือกใชเ้ ทคโนโลยอี ยา่ งเหมาะสมโดยคำนึงถงึ ผลกระทบต่อชีวิต สงั คมและสงิ่ แวดล้อม * วิทยาการคำนวณ เรียนรูเ้ กี่ยวกับ การพัฒนาผู้เรยี นให้มีความรู้ความเขา้ ใจ มีทักษะการคิด เชิง คำนวณ การคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาเป็นขั้นตอนและเปน็ ระบบ ประยุกต์ใช้ความรูด้ ้านวิทยาการคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศส่อื สารในการแก้ปัญหาทีพ่ บในชวี ิตจริงไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เขา้ ใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสง่ิ ไม่มีชวี ติ กบั ส่ิงมชี วี ิต ความสัมพนั ธร์ ะหว่างส่งิ มีชีวติ กับส่งิ มชี วี ติ ต่างๆ ในระบบนิเวศการถ่ายทอดพลงั งาน การ เปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อมแนวทางในการอนรุ ักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและการแก้ไข ปัญหาสิง่ แวดล้อมรวมทง้ั นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบัติของสงิ่ มีชวี ิต หนว่ ยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลยี งสารเขา้ และออกจากเซลล์ ความสัมพนั ธ์ของโครงสรา้ ง และหน้าที่ของระบบตา่ ง ๆของสัตวแ์ ละมนษุ ย์ทที่ ำงานสมั พันธ์ กัน ความสัมพันธข์ องโครงสรา้ ง และหน้าท่ีของอวยั วะตา่ งๆ ของพืชทท่ี ำงานสมั พนั ธก์ ัน รวมท้ังนำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมสารพันธุกรรม เปลย่ี นแปลงทางพันธุกรรมท่มี ผี ลต่อส่ิงมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการ ของสงิ่ มีชีวติ รวมท้งั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ สาระท่ี 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบตั ิของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสมบัตขิ องสสารกบั โครงสร้างและแรงยึดเหนีย่ วระหวา่ งอนุภาค หลกั และธรรมชาตขิ องการเปลย่ี นแปลง สถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวติ ประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวตั ถุ ลกั ษณะการเคลอ่ื นที่ แบบต่างๆ ของวัตถรุ วมท้งั นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของพลงั งาน การเปลี่ยนแปลงและการถา่ ยโอนพลงั งานปฏิสัมพนั ธ์ ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชวี ิตประจำวนั ธรรมชาติของคล่นื ปรากฏการณท์ ่ี เกีย่ วข้องกับเสยี ง แสง และคลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า รวมทง้ั นำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ สาระที่ 3 วทิ ยาศาสตร์โลกและอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองคป์ ระกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกิด และววิ ัฒนาการของเอกภพกาแล็กซดี าวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการ ประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทัง้ ผลตอ่ สง่ิ มีชีวติ และสง่ิ แวดลอ้ ม
สาระที่ 4 ชีววทิ ยา มาตรฐาน ว 4.1 เขา้ ใจธรรมชาตขิ องส่ิงมชี ีวติ การศกึ ษาชีววิทยาและวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ สารท่เี ปน็ องค์ประกอบของส่ิงมชี ีวิต ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสง่ิ มีชวี ิต กล้องจลุ ทรรศน์ โครงสรา้ งและ หนา้ ทข่ี องเซลล์ การลำเลยี งสารเขา้ และออกจากเซลล์ การแบ่งเซลล์ และการหายใจระดับ เซลล์ มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม สมบตั ิและหน้าท่ี ของสารพันธกุ รรม การเกดิ มิวเทชนั เทคโนโลยีทางดเี อน็ เอ หลักฐาน ข้อมูลและแนวคิด เกยี่ วกบั วิวฒั นาการของส่งิ มชี ีวิต ภาวะสมดลุ ของฮาร์ดี-ไวน์เบิรก์ การเกิดสปชี ีสใ์ หม่ ความหลากหลายทางชวี ภาพ กำเนดิ ของส่งิ มชี ีวติ ความหลากหลายของสง่ิ มีชีวิต และ อนุกรมวธิ าน รวมทงั้ นำความร้ไู ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 4.3 เขา้ ใจสว่ นประกอบของพชื การแลกเปลีย่ นแก๊สและคายน้ำของพืช การลำเลียงของพืช การสังเคราะห์ด้วยแสง การสบื พันธุ์ของพืชดอกและการเจรญิ เติบโต และการตอบสนอง ของพชื รวมท้ังนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 4.4 เข้าใจการยอ่ ยอาหารของสตั วแ์ ละมนุษย์ รวมท้งั การหายใจและการแลกเปล่ยี นแกส๊ การลำเลยี งสารและการหมุนเวยี นเลือด ภูมิค้มุ กันของร่างกาย การขบั ถ่าย การรับร้แู ละ การตอบสนอง การเคลื่อนท่ี การสบื พนั ธ์ุและการเจริญเตบิ โต ฮอร์โมนกับการรักษา ดุลยภาพและพฤตกิ รรมของสัตว์ รวมทั้งนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 4.5 เขา้ ใจแนวคดิ เกย่ี วกบั ระบบนิเวศ กระบวนการถา่ ยทอดพลังงานและการหมนุ เวียนสาร ในระบบนิเวศ ความหลากหลายของไบโอม การเปลย่ี นแปลงแทนท่ีของส่งิ มชี วี ิตในระบบ นิเวศ ประชากรและรปู แบบการเพิ่มของประชากร ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ ม ปัญหาและผลกระทบทีเ่ กดิ จากการใช้ประโยชน์ และแนวทางการแกไ้ ขปัญหา สาระท่ี 5 เคมี มาตรฐาน ว 5.1 เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจดั เรียงธาตใุ นตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและสมบัติ ของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบอินทรียแ์ ละพอลิเมอร์ รวมทั้ง การนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 5.2 เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมี ปรมิ าณสัมพันธ์ในปฏิกริ ิยาเคมี อตั ราการเกดิ ปฏิกริ ยิ า เคมี สมดุลในปฏกิ ิรยิ าเคมี สมบัติและปฏิกริ ิยาของกรด–เบส ปฏกิ ิริยารีดอกซ์และเซลล์เคมี ไฟฟา้ รวมทงั้ การนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 5.3 เขา้ ใจหลกั การทำปฏิบัตกิ ารเคมี การวดั ปริมาณสาร หนว่ ยวัดและการเปล่ียนหน่วย การ คำนวณ ปริมาณของสาร ความเข้มขน้ ของสารละลาย รวมทงั้ การบรู ณาการความรู้และทักษะ ในการอธิบาย ปรากฏการณใ์ นชีวิตประจำวันและการแก้ปญั หาทางเคมี
สาระท่ี 6 ฟิสกิ ส์ มาตรฐาน ว 6.1 เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปรมิ าณและกระบวนการวัด การเคลอ่ื นท่แี นวตรง แรงและ กฎการเคลือ่ นทีข่ องนิวตนั กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสยี ดทาน สมดลุ กลของวัตถุ งาน และกฎการอนุรักษ์พลังงานกล โมเมนตัมและกฎการอนุรักษโ์ มเมนตมั การเคล่ือนทแ่ี นวโค้ง รวมท้ังนำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 6.2 เขา้ ใจการเคล่อื นท่แี บบฮาร์มอนิกสอ์ ย่างง่าย ธรรมชาตขิ องคล่นื เสยี งและการไดย้ ิน ปรากฏการณท์ ี่เกีย่ วข้องกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ที่เกย่ี วข้องกบั แสง รวมท้ัง นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว 6.3 เขา้ ใจแรงไฟฟา้ และกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟา้ ศกั ยไ์ ฟฟา้ ความจไุ ฟฟา้ กระแสไฟฟ้า และ กฎของโอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงานไฟฟา้ และกำลงั ไฟฟา้ การเปลยี่ นพลังงาน ทดแทนเป็นพลังงานไฟฟา้ สนามแม่เหลก็ แรงแมเ่ หล็กที่กระทำกับประจไุ ฟฟ้า และ กระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนำแมเ่ หล็กไฟฟ้าและกฎของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลับ คลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าและการส่ือสาร รวมทั้งนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 6.4 เข้าใจความสมั พันธข์ องความรอ้ นกับการเปลยี่ นอุณหภมู ิและสถานะของสสาร สภาพยืดหยนุ่ ของวัสดุ และมอดลู สั ของยงั ความดันในของไหล แรงพยงุ และหลักของอาร์คมิ ดี สี ความตึง ผิวและแรงหนดื ของของเหลว ของไหลอดุ มคติ และสมการแบร์นลู ลี กฎของแก๊ส ทฤษฎจี ลน์ ของแกส๊ อดุ มคติและพลังงานในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณโ์ ฟโตอิเล็กทรกิ ทวิภาวะของคล่นื และอนภุ าค กมั มันตภาพรงั สี แรงนวิ เคลยี ร์ ปฏิกริ ิยานวิ เคลียร์ พลงั งาน นวิ เคลียร์ ฟสิ ิกส์ อนุภาค รวมทั้งนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ สาระท่ี 7 โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ มาตรฐาน ว 7.1 เขา้ ใจกระบวนการเปลยี่ นแปลงภายในโลก ธรณีพิบตั ิภัยและผลต่อสิง่ มีชวี ติ และส่ิงแวดลอ้ ม การศกึ ษาลำดับชั้นหิน ทรพั ยากรธรณี แผนทแ่ี ละการนำไปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว 7.2 เขา้ ใจสมดุลพลังงานของโลก การหมุนเวยี นของอากาศบนโลก การหมนุ เวียนของนำ้ ใน มหาสมุทร การเกิดเมฆ การเปล่ียนแปลงภมู อิ ากาศโลกและผลต่อส่งิ มชี วี ติ และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการพยากรณ์อากาศ มาตรฐาน ว 7.3 เข้าใจองคป์ ระกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกดิ และวิวฒั นาการของเอกภพ กาแลก็ ซี ดาวฤกษ์ และระบบสุรยิ ะ ความสมั พนั ธข์ องดาราศาสตร์กบั มนุษย์จากการศกึ ษาตำแหน่งดาว บนทรงกลมฟ้าและปฏสิ มั พันธ์ภายในระบบสรุ ิยะ รวมทัง้ การประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ สาระที่ 8 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 8.1 เขา้ ใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพือ่ การดำรงชีวิตในสงั คมทมี่ กี ารเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทกั ษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์และศาสตรอ์ ่นื ๆ เพอ่ื แกป้ ัญหา หรอื พัฒนางานอย่างมีความคดิ สร้างสรรค์ด้วยกระบวนกำรออกแบบเชิงวิศวกรรม เลอื กใช้ เทคโนโลยอี ยา่ งเหมาะสมโดยคำนงึ ถงึ ผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสง่ิ แวดล้อม มาตรฐาน ว 8.2 เขา้ ใจและใช้แนวคดิ เชิงคำนวณในการแกป้ ญั หาที่พบในชีวติ จรงิ อย่างเปน็ ขน้ั ตอนและเป็น ระบบใชเ้ ทคโนโลยีสำรสนเทศและการสือ่ สารในการเรียนรู้ การทำงาน และการแก้ปญั หาได้ อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ ร้เู ท่าทัน และมีจริยธรรม
คณุ ภาพผเู้ รียน จบช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 6 ❖ เข้าใจการลำเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ กลไกการรักษาดุลยภาพของมนุษย์ภูมิคุ้มกันใน ร่างกายของมนุษย์และความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน การใช้ประโยชน์จากสารต่างๆที่พืชสร้างข้ึน การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมวิวัฒนาการที่ทำให้เกิดความหลากหลาย ของสิ่งมชี วี ิตความสำคัญและผลของเทคโนโลยีทางดีเอน็ เอต่อมนษุ ยส์ ่งิ มชี วี ติ และส่งิ แวดลอ้ ม ❖ เขา้ ใจความหลากหลายของไบโอมในเขตภมู ิศาสตร์ตา่ งๆของโลก การเปลยี่ นแปลงแทนท่ใี นระบบ นเิ วศปัญหา ผลกระทบทมี่ ีตอ่ ทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ ม แนวทางในการอนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการแกไ้ ขปัญหาสง่ิ แวดลอ้ ม ❖ เขา้ ใจชนดิ ของอนภุ าคสำคัญท่ีเปน็ สว่ นประกอบในโครงสร้างอะตอม สมบตั บิ างประการของธาตุ การจดั เรียงธาตุในตารางธาตุ ชนิดของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนภุ าคและสมบัติตา่ งๆของสารที่มีความสัมพันธ์ กับแรงยึดเหนี่ยวพันธะเคมีโครงสร้างและสมบัติของพอลิเมอร์ การเกิดปฏิกิริยาเคมีปัจจัยที่มีผลต่ออัตรา การเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมีและการเขยี นสมการเคมี ❖ เขา้ ใจปริมาณที่เกยี่ วกับการเคล่อื นท่ี ความสัมพันธร์ ะหวา่ งแรงมวลและความเร่งผลของความเร่ง ที่มีต่อการเคลื่อนที่แบบต่างๆของวัตถุแรงโน้มถ่วงแรงแม่เหล็ก ความสัมพันธ์ระหว่างสนามแม่เหล็กและ กระแสไฟฟ้าและแรงภายในนวิ เคลียส ❖ เข้าใจพลังงานนิวเคลียร์ความสมั พันธ์ระหว่างมวลและพลังงาน การเปลี่ยนพลังงานทดแทนเปน็ พลังงานไฟฟ้าเทคโนโลยีด้านพลังงาน การสะท้อนการหักเหการเลี้ยวเบนและการรวมคลื่น การได้ยิน ปรากฏการณ์ท่เี กี่ยวข้องกบั เสยี งสกี ับการมองเหน็ สี คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ และประโยชนข์ องคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ❖ เข้าใจการแบ่งชั้นและสมบัติของโครงสร้างโลก สาเหตุและรูปแบบการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีท่ี สัมพันธ์กับการเกิดลักษณะธรณีสัณฐาน สาเหตุกระบวนการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด สึนามิผลกระทบ แนวทางการเฝ้าระวงั และการปฏบิ ัตติ นให้ปลอดภัย ❖ เขา้ ใจผลของแรงเนื่องจากความแตกต่างของความกดอากาศ แรงคอรอิ อลิสท่ีมีตอ่ การหมุนเวียน ของอากาศการหมนุ เวียนของอากาศ ตามเขตละตจิ ดู และผลทมี่ ีตอ่ ภูมิอากาศ ความสมั พันธ์ของการหมุนเวียน ของอากาศและการหมนุ เวยี นของกระแสนำ้ ผวิ หน้าในมหาสมทุ ร และผลต่อลักษณะลมฟ้าอากาศส่ิงมีชีวิตและ ส่งิ แวดล้อมปัจจยั ต่างๆ ทีม่ ีผลตอ่ การเปลยี่ นแปลงภูมิอากาศโลกและแนวปฏิบัติ เพ่อื ลดกิจกรรมของมนุษย์ท่ี ส่งผลตอ่ การเปล่ียนแปลงภมู ิอากาศโลก รวมท้ังการแปลความหมายสญั ลกั ษณ์ลมฟา้ อากาศท่ีสำคญั จากแผนท่ี อากาศและข้อมลู สารสนเทศ ❖ เข้าใจการกำเนิดและการเปลี่ยนแปลงพลังงานสสาร ขนาดอุณหภูมิของเอกภพ หลักฐานท่ี สนับสนุนทฤษฎีบิกแบงประเภทของกาแล็กซี โครงสร้างและองค์ประกอบของกาแล็กซีทางช้างเผือก กระบวนการเกิดและการสรา้ งพลังงาน ปัจจัยทีส่ ง่ ผลตอ่ ความสอ่ งสว่างของดาวฤกษ์ และความสัมพันธ์ระหวา่ ง ความส่องสว่างกับโชติมาตรของดาวฤกษ์ ความสัมพันธ์ระหว่างสีอุณหภูมิผิวและสเปกตรัมของดาวฤกษ์ วิวัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงสมบัติบางประการของดาวฤกษ์ กระบวนการเกิดระบบสุริยะการแบ่งเขต บรวิ ารของดวงอาทิตย์ ลกั ษณะของดาวเคราะห์ท่ีเอ้อื ต่อการดำรงชีวิต การเกดิ ลมสุริยะ พายุสุริยะและผลท่ีมี ต่อโลกรวมทัง้ การสำรวจอวกาศและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ
ธรรมชาติ/ลกั ษณะเฉพาะ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 พุทธศักราช 2564 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ปรับปรุง 2560) เป็น หลักสูตรที่โรงเรียนได้พัฒนาขึ้นเพื่อพัฒนาผู้เรียน โดยยึดองค์ประกอบหลักสำคัญ 5 ส่วน คือ 1) หลักสูตร แกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐานพุทธศกั ราช 2551 2) มาตรฐานการเรยี นรู้ตวั ชว้ี ัด และผลการเรียนรู้ กล่มุ สาระ การเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2551(ฉบับ ปรับปรุง พ.ศ.2560) 2) นโยบายการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 4) กรอบหลักสูตรระดับท้องถ่ิน และ 5) สาระสำคัญ จุดเน้นที่โรงเรียนพัฒนาเพิ่มเติม เป็นกรอบในการจัดทำรายละเอียดเพื่อให้เป็นไปตาม มาตรฐานการศึกษาข้ันพื้นฐานที่กำหนด เหมาะสมกับสภาพชุมชนและท้องถิ่นและจุดเน้นของโรงเรียน โดย หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี พทุ ธศกั ราช 2564 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ข้นั พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 (ปรับปรงุ 2560) ทพ่ี ัฒนาข้ึนมีลกั ษณะของหลักสูตร ดงั น้ี 1. เปน็ หลักสูตรกล่มุ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 สำหรับจัดการศึกษาในหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐานจัดในระดบั มัธยมศึกษา (ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 4 – 6) 2. เป็นหลักสูตรที่มีความเป็นเอกภาพสอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 สำหรบั ใหค้ รผู ้สู อนนำไปจัดการเรยี นรู้ได้อย่างหลากหลาย โดยกำหนดใหม้ รี ายละเอียด ดังน้ี 2.1 สาระการเรียนรู้ที่โรงเรียนใช้เป็นหลักเพื่อสร้างพื้นฐานการคิด การเรียนรู้ และการ แก้ปัญหาประกอบด้วย ภาษาไทย คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตรแ์ ละสงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม 2.2 สาระการเรยี นรู้ท่เี สริมสร้างความเป็นมนุษย์ ศักยภาพการคิด การทำงาน ประกอบดว้ ย สุขศึกษาและพลศึกษา ศิลปะ การงานอาชีพและเทคโนโลยีและภาษาองั กฤษ 2.3 สาระการเรยี นรู้เพิ่มเติม โดยจดั ทำเปน็ รายวิชา/กิจกรรมเพิม่ เตมิ ตามความเหมาะสมและ สอดคล้องกับโครงสรา้ งเวลาเรียน สาระการเรียนรู้ทอ้ งถิ่น ความต้องการของผู้เรียน และบริบทของโรงเรยี น และเพมิ่ วิชาหนา้ ที่พลเมืองให้สอดคลอ้ งกับนโยบายหน่วยเหนือดว้ ย 2.4 กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์และ สังคม เสริมสร้างการเรียนรู้นอกจากกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ 8 กลมุ่ และการพัฒนาตนตามศกั ยภาพ 2.5 การกำหนดมาตรฐานของโรงเรียนที่สอดคล้องกับมาตรฐานระดับต่างๆ เพื่อเป็น เป้าหมายของการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน จัดทำรายละเอียดสาระการเรียนรู้ และจัด กระบวนการเรียนรู้ใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพในชมุ ชน สงั คมและภมู ิปัญญาท้องถ่นิ 3. มีมาตรฐานการเรียนรูเ้ ป็นเป้าหมายสำคัญ ของการพัฒนาคณุ ภาพหลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 พุทธศักราช 2564 ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 (ปรับปรุง 2560) เป็นหลักสูตรที่มีมาตรฐานเป็นตัวกำหนดเกี่ยวกับ ความรู้ ทักษะ กระบวนการ สมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน เพื่อเป็นแนวทางในการ ประกนั คุณภาพการศกึ ษา โดยมกี ารกำหนดมาตรฐานไว้ ดังนี้ 3.1 มาตรฐานหลักสูตร เป็นมาตรฐานด้านผู้เรียนหรือผลผลิตของหลักสูตรโรงเรียน เกิดขึ้นจาก การจัดกิจกรรมตามโครงสร้างของหลักสูตรทั้งหมดของครู และใช้เป็นแนวทางในการตรวจสอบคุณภาพ โดยรวมของการจดั การศกึ ษาตามหลักสตู รในทุกระดับ ซ่งึ โรงเรียนตอ้ งใช้สำหรับการประเมินตนเองเพ่ือจัดทำ รายงานประจำปีตามบทบญั ญตั ิในพระราชบัญญัติการศกึ ษา เพอ่ื นำมาเปน็ ข้อมูลในการกำหนดแนวปฏิบัติใน การส่งเสริม กำกับ ติดตาม ดแู ลและปรับปรงุ คณุ ภาพ เพือ่ ใหไ้ ดต้ ามมาตรฐานที่กำหนด
3.2 มตี ัวชี้วดั ชั้นปี เป็นเปา้ หมายระบุสงิ่ ทผี่ ู้เรียนพึงรู้และปฏบิ ัตไิ ด้ รวมท้ังคุณลักษณะของผู้เรียน ในแต่ละระดบั ชั้นซงึ่ สะทอ้ นถึงมาตรฐานการเรียนรู้ มคี วามเฉพาะเจาะจง และมคี วามเป็นรปู ธรรม นำไปใชใ้ นการ กำหนดเน้อื หา จัดทำหนว่ ยการเรยี นรู้ จดั การเรยี นรู้และเปน็ เกณฑส์ ำคัญสำหรบั การวัดประเมนิ ผลเพื่อตรวจสอบ คุณภาพผู้เรยี น ตรวจสอบพัฒนาการผู้เรียน ความรู้ ทกั ษะ กระบวนการ คุณธรรม จริยธรรมและคา่ นยิ มอันพึง ประสงค์ และเป็นหลักในการเทียบโอนความรู้และประสบการณ์จากการศึกษาในระบบ นอกระบบและตาม อัธยาศัย 3.3 มคี วามเป็นสากล ความเป็นสากลของหลักสตู รโรงเรยี น มงุ่ ใหผ้ ูเ้ รียนมคี วามรู้ ความสามารถ ในเรือ่ งเทคโนโลยีสารสนเทศ ภาษาอังกฤษ การจดั การส่ิงแวดล้อม ภมู ิปญั ญาทอ้ งถิ่น มคี ุณลกั ษณะท่จี ำเป็นใน การอยู่ในสังคม ได้แก่ ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ การตรงต่อเวลา การเสียสละ การเอื้อเฟื้อ โดยอยู่บน พืน้ ฐานของความพอดรี ะหวา่ งการเปน็ ผนู้ ำและผู้ตาม การทำงานเปน็ ทีม และการทำงานตามลำพงั การแข่งขนั การรู้จักพอ และการร่วมมือกันเพื่อสังคม วิทยาการสมัยใหม่และภูมิปัญญาท้องถิ่น การรับวัฒนธรรม ตา่ งประเทศและการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยการฝึกฝนทักษะเฉพาะทางและการบรู ณาการในลักษณะทเ่ี ปน็ องค์รวม 4. มีความยืดหยุ่นหลากหลาย หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียน ราชประชานุเคราะห์ 31 พุทธศักราช 2564 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ปรับปรุง 2560) เป็นหลกั สตู รทโ่ี รงเรียนจดั ทำรายละเอียดต่างๆ ขึน้ เอง โดยยดึ โครงสร้างหลักที่กำหนดไว้ใน หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 กรอบหลกั สูตรระดับท้องถนิ่ เป็นขอบข่ายในการ จดั ทำ จึงทำให้หลักสูตรของโรงเรยี นมีความยืดหยนุ่ หลากหลาย สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการ ของทอ้ งถิน่ โดยเฉพาะอย่างยิง่ มีความเหมาะสมกบั ตัวผเู้ รยี น 5. การวัดและประเมินผล เน้นหลักการพื้นฐาน 2 ประการ คือ การประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียนและ เพื่อตัดสินผลการเรียน โดยผู้เรียนตอ้ งไดร้ บั การพัฒนาและประเมนิ ตามตวั ช้ีวดั เพื่อให้บรรลุตามมาตรฐานการ เรียนรู้ สะท้อนสมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน เป็นเป้าหมายหลักในการวัดและ ประเมินผลการเรยี นรู้ในทกุ ระดับ ไมว่ า่ จะเปน็ ระดบั ช้นั เรียน ระดบั สถานศึกษา ระดบั เขตพน้ื ที่การศึกษาและ ระดบั ชาติ การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ เป็นกระบวนการพัฒนาคณุ ภาพผูเ้ รยี น และใชผ้ ลการประเมินเป็น ข้อมูลและสารสนเทศที่แสดงพัฒนาการ ความก้าวหน้าและความสำเร็จทางการเรียนของผู้เรียน ตลอดจน ข้อมลู ทเี่ ป็นประโยชนต์ อ่ การสง่ เสรมิ ให้ผู้เรยี นเกดิ การพัฒนาและเรยี นรู้อย่างเตม็ ตามศักยภาพ วสิ ยั ทัศน์หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 พทุ ธศักราช 2564 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ปรบั ปรงุ 2560) มุ่งพฒั นา ผู้เรียนให้เป็นมนุษย์ที่มีสมบูรณ์ มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง ภูมใิ จในท้องถิน่ มีสำนึกความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมัน่ ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 โดยมุ่งเน้นผูเ้ รียนเป็นสำคัญ บนพ้นื ฐานความเชือ่ วา่ ทุกคนสามารถเรยี นรแู้ ละพฒั นาตนเองไดเ้ ต็มตามศกั ยภาพ
จุดมุ่งหมายหลกั สตู รกล่มุ สาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นเรื่องของการเรียนรู้เกี่ยวกับ ธรรมชาติโดยมนุษย์ใช้กระบวนการ สังเกต สำรวจตรวจสอบและการทดลอง เกี่ยวกับ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและนำผลมาจัดระบบหลักการ แนวคิดและทฤษฎีดังนั้นการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จึงมุ่งเน้น ให้ผู้เรียนได้เป็นผู้เรียนรู้และค้นพบด้วย ตนเองมากทส่ี ดุ น่นั คือให้ไดท้ ง้ั กระบวนการและองคค์ วามรู้ ต้งั แตว่ ยั เริ่มแรกก่อนเข้าเรียนเม่อื อยใู่ นสถานศึกษา และเม่อื ออกจากสถานศกึ ษาไปประกอบอาชีพแลว้ การจัดการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตรใ์ นสถานศึกษามีเป้าหมายสำคัญดังนี้ 1. เพอ่ื ใหเ้ ข้าใจหลกั การทฤษฎที เ่ี ป็นพื้นฐานในวิทยาศาสตร์ 2. เพ่ือให้เข้าใจขอบเขตธรรมชาติและขอ้ จำกดั ของวทิ ยาศาสตร์ 3. เพอื่ ใหม้ ที ักษะท่ีสำคัญในการศึกษาค้นคว้าและคดิ ค้นทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4. เพ่ือพฒั นากระบวนการคิดและจินตนาการความสามารถในการแก้ปัญหาและการจัดการทักษะใน การสื่อสารและความสามารถในการตัดสนิ ใจ 5. เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตรเ์ ทคโนโลยีมวลมนุษย์และสภาพแวดล้อมใน เชงิ ท่มี อี ทิ ธพิ ลและผลกระทบซึง่ กนั และกัน 6. เพื่อนำความรู้ความเข้าใจในเรือ่ งวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและ การดำรงชีวติ 7. เพื่อให้เป็นคนมีจิตวิทยาศาสตร์มีคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 พุทธศักราช 2564 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พุทธศกั ราช 2560) มงุ่ ให้ผู้เรยี นเกดิ สมรรถนะสำคญั 5 ประการ ดังน้ี 1. ความสามารถในการสือ่ สาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา ถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึกและทัศนะของตนเอง เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและ ประสบการณ์ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลด ปญั หาความขดั แยง้ ตา่ งๆ การเลอื กรับหรือไม่รับข้อมูลขา่ วสาร ดว้ ยหลักเหตผุ ลและความถกู ตอ้ ง ตลอดจนการ เลือกใชว้ ธิ กี ารส่อื สารทีม่ ปี ระสทิ ธิภาพโดยคำนึงถงึ ผลกระทบที่มีต่อตนเองและสงั คม 2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่าง สรา้ งสรรค์ การคิดอย่างมวี ิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพ่อื นำไปสกู่ ารสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ เพ่อื การตัดสินใจเกย่ี วกบั ตนเองและสงั คมได้อย่างเหมาะสม 3. ความสามารถในการแกป้ ัญหา เปน็ ความสามารถในการแกป้ ญั หาและอุปสรรคต่างๆ ที่เผชิญได้ อยา่ งถูกต้องเหมาะสมบนพืน้ ฐานของหลักเหตุผล คณุ ธรรมและขอ้ มูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการ เปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไข ปญั หา และมีการตัดสนิ ใจทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพโดยคำนงึ ถึงผลกระทบท่ีเกิดขึ้นตอ่ ตนเอง สงั คมและส่งิ แวดลอ้ ม 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่างๆ ไปใช้ใน การดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องการทำงาน และการอยู่ร่วมกันใน สังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ อย่าง
เหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยง พฤติกรรมไม่พงึ ประสงค์ทส่ี ่งผลกระทบตอ่ ตนเองและผ้อู ืน่ 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลอื ก และใชเ้ ทคโนโลยีดา้ นตา่ งๆ และมี ทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพ่ือการพัฒนาตนเองและสงั คมในด้านการเรียนรู้ การส่อื สาร การทำงาน การ แก้ปัญหาอยา่ งสรา้ งสรรค์ ถูกตอ้ ง เหมาะสมและมคี ุณธรรม คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 พุทธศกั ราช 2564 ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พทุ ธศักราช 2560) มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมี ความสขุ ในฐานะเปน็ พลเมอื งไทยและพลโลก มี 8 ประการ ได้แก่ 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ 2. ซอื่ สัตยส์ ุจรติ 3. มีวินยั 4. ใฝ่เรียนรู้ 5. อยู่อย่างพอเพียง 6. มงุ่ มนั่ ในการทำงาน 7. รกั ความเปน็ ไทย 8. มีจติ สาธารณะ
สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ การกำหนดผลการเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย สาระ มาตรฐาน ผลการเรยี นรู้รายปี ม. 5 ม. 6 สาระ 1. เขา้ ใจ ม. 4 ชีววิทยา ธรรมชาตขิ อง สงิ่ มชี วี ติ 1. อธิบาย และสรุปสมบัติที่สำคัญของสิ่งมีชีวิต การศกึ ษา และความสัมพันธ์ของการจัดระบบในสิ่งมีชีวิต ชีววทิ ยาและ ที่ทำให้สิ่งมีชวี ติ ดำรงชวี ิตอยไู่ ด้ วิธีการทาง 2. อภิปราย และบอกความสำคัญของการระบุ วิทยาศาสตร์ ปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา สมมติฐาน สารท่ีเป็น และวธิ กี ารตรวจสอบสมมติฐาน รวมท้งั ออกแบบ องคป์ ระกอบ การทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน ของสิง่ มชี ีวติ 3. สืบค้นข้อมูล อธิบายเกี่ยวกับสมบัติของน้ำ ปฏิกริ ยิ าเคมีใน และบอกความสำคัญของน้ำที่มีต่อสิ่งมีชีวิต และ เซลล์ของ ยกตัวอย่างธาตุชนิดต่างๆ ที่มีความสำคัญ สง่ิ มีชีวิต กล้อง ตอ่ รา่ งกายสิง่ มชี วี ิต จลุ ทรรศน์ 4. ส ื บ ค ้ น ข ้ อ ม ู ล อ ธ ิ บ า ย โ ค ร ง ส ร ้าง ของ โครงสร้างและ คาร์โบไฮเดรต ระบุกลุ่มของคาร์โบไฮเดรต หน้าทข่ี องเซลล์ รวมทั้งความสำคัญของคาร์โบไฮเดรตที่มีต่อ การลำเลยี งสาร สง่ิ มีชีวติ เขา้ และออก 5. สบื ค้นขอ้ มูล อธบิ ายโครงสร้างของโปรตนี และ จากเซลล์ การ ความสำคัญของโปรตีนท่มี ีต่อส่งิ มชี วี ิต แบง่ เซลล์ และ 6. สืบคน้ ข้อมูล อธบิ ายโครงสรา้ งของลพิ ดิ การหายใจ และความสำคัญของลพิ ิดทมี่ ีต่อส่งิ มชี วี ิต ระดับเซลล์ 7. อธิบายโครงสร้างของกรดนิวคลิอิกและระบุ ชนดิ ของกรดนิวคลอิ กิ และความสำคัญของ กรดนิวคลิอกิ ทม่ี ตี ่อสงิ่ มชี ีวิต 8. สืบค้นข้อมูลและอธิบายปฏิกิริยาเคมีที่ เกิดขนึ้ ในส่งิ มชี ีวติ
สาระ มาตรฐาน ผลการเรยี นรู้รายปี ม. 6 ม. 4 ม. 5 สาระ ชีววิทยา 1. เขา้ ใจ 9. อธิบายการทำงานของเอนไซม์ในการ ธรรมชาติ เร่งปฏิกิริยาเคมีในสิ่งมีชีวิต และระบุ ของส่งิ มีชีวติ ปจั จยั ท่มี ผี ลตอ่ การทำงาน ของเอนไซม์ การศกึ ษา 10. บอกวิธีการ และเตรียมตัวอย่าง ชีววิทยาและ สิ่งมีชีวิตเพื่อศึกษาภายใต้กล้อง วธิ กี ารทาง จุลทรรศน์ใช้แสงวัดขนาดโดยประมาณ วทิ ยาศาสตร์ และวาดภาพท่ปี รากฏภายใต้กล้อง บอก สารท่เี ปน็ วิธีการใช้ และการดูแลรักษากล้อง องคป์ ระกอบ จลุ ทรรศน์ใช้แสงท่ถี กู ตอ้ ง ของส่งิ มชี วี ิต 11. อธิบายโครงสร้างและหน้าที่ของ ปฏกิ ิรยิ าเคมี สว่ นท่หี ่อหุ้มเซลลข์ องเซลลพ์ ืชและเซลล์ ในเซลล์ของ สตั ว์ ส่งิ มชี วี ิต 12. สืบค้นข้อมูล อธิบายและระบุชนิด กล้อง และหน้าทขี่ องออร์แกเนลล์ จลุ ทรรศน์ 13. อธิบายโครงสร้างและหน้าที่ของ โครงสร้าง นวิ เคลยี ส และหน้าท่ี 14. อธิบาย และเปรียบเทียบการแพร่ ของเซลล์ ออสโมซิส การแพร่แบบฟาซิลิเทต และ การลำเลียง แอกทฟี ทรานสปอรต์ สารเข้าและ 15. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และเขียน ออกจาก แผนภาพ การลำเลียงสารโมเลกุลใหญ่ เซลล์ การ ออกจากเซลล์ ดว้ ยกระบวนการเอกโซไซ แบ่งเซลล์ โทซิสและการลำเลียงสารโมเลกุลใหญ่ และการ เข้าสู่เซลล์ด้วยกระบวนการเอนโดไซโท หายใจระดับ ซิส เซลล์ 16. สงั เกตการแบ่งนิวเคลยี สแบบ ไมโทซิสและแบบไมโอซิสจากตัวอย่าง ภายใต้กล้องจลุ ทรรศน์ พร้อมทั้งอธิบาย และเปรียบเทียบการแบ่ง นิวเคลียส แบบไมโทซสิ และแบบไมโอซสิ 17. อธิบาย เปรียบเทียบและสรุป ขนั้ ตอน การหายใจระดบั เซลลใ์ นภาวะที่ มีออกซิเจน เพียงพอ และภาวะที่มี ออกซิเจนไม่เพยี งพอ
สาระ มาตรฐาน ผลการเรยี นรู้รายปี ม. 4 ม.5 ม.6 สาระชวี วิทยา 2. เขา้ ใจการ 1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย 1. อภิปรายความสำคัญ ถา่ ยทอดลกั ษณะ และสรุปผลการทดลอง ของความหลากหลายทาง ทางพนั ธุกรรม ของเมนเดล ชีวภาพและความเช่อื มโยง การถา่ ยทอดยนี 2. อธบิ าย และสรุปกฎ ระหว่างความหลากหลาย บนโครโมโซม ทางพันธุกรรม ความ สมบตั ิ และหน้าท่ี แห่งการแยก และกฎแห่ง หลากหลายของสปีชีส์ และ การรวมกลมุ่ อยา่ งอิสระ ความหลากหลายของ ของสารพันธกุ รรม และนำกฎของ เมนเดลนี้ ระบบนิเวศ การเกิดมวิ เทชัน ไปอธบิ ายการถา่ ยทอด 2. อธิบายการเกิดเซลล์ เทคโนโลยีทางดี ลักษณะทาง พนั ธุกรรม เริ่มแรกของสิ่งมีชีวิต และ และใชใ้ นการคำนวณ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เอน็ เอ หลกั ฐาน โอกาสในการเกดิ ฟโี น เซลล์เดียว ขอ้ มูลและแนวคิด ไทป์และจีโนไทปแ์ บบ ต่าง ๆ ของรุ่น F1 และ 3. อธิบายลักษณะสำคัญ เก่ยี วกบั และยกตัวอย่างสิ่งมีชีวิต ววิ ัฒนาการของ กลุ่มแบคทีเรีย สิ่งมีชีวิต สิ่งมีชวี ติ ภาวะ กลุ่มโพรทิสต์ สิ่งมีชีวิต สมดุลของฮารด์ ี- F2 กลุ่มพชื สง่ิ มีชวี ติ กลุ่ม ฟงั ไจ และสงิ่ มีชวี ิต ไวนเ์ บิร์ก การ 3. สืบคน้ ขอ้ มูล วิเคราะห์ เกิดสปีชสี ์ใหม่ อธิบายและสรุปเกี่ยวกับ กลุม่ สตั ว์ ความหลากหลาย การถ่ายทอดลักษณะทาง ทางชวี ภาพ 4. อธิบายและยกตัวอย่าง พันธุกรรมที่เป็นส่วน การจำแนกสิ่งมีชีวิต จาก กำเนิดของ ห ม ว ด ห ม ู ่ ใ ห ญ ่ จ น ถึ ง ขยายของพันธศุ าสตร์ หมวดหม่ยู ่อยและวธิ ี เขียน สง่ิ มชี วี ติ ความ เมนเดล ชื่อวิทยาศาสตร์ในลำดับ หลากหลาย ของ 4. สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ สิ่งมชี วี ติ และ และเปรียบเทียบลักษณะ อนุกรมวิธาน ทางพันธุกรรมที่มกี ารแปร รวมท้งั นำความรู้ ผ ั น ไ ม ่ ต ่ อ เน ื่ อ ง และ ไปใช้ประโยชน์ ลกั ษณะทางพันธุกรรมท่ีมี ขนั้ สปีชีส์ การแปรผันต่อเนือ่ ง 5. สร้างไดโคโทมัสคีย์ใน 5. อธบิ ายการถ่ายทอดยีน ก า ร ร ะ บ ุ ส ิ ่ ง ม ี ช ี ว ิ ต ห รื อ บนโครโมโซมและ ตัวอย่างที่กำหนดออกเป็น ยกตัวอย่างลักษณะทาง หมวดหมู่ พันธุกรรมที่ถูกควบคุม ด้วยยีนบนออโตโซมและ ยีนบนโครโมโซมเพศ
สาระ มาตรฐาน ผลการเรียนรรู้ ายปี ม.6 ม. 4 ม.5 สาระชวี วิทยา 2. เขา้ ใจการ 6. สบื ค้นขอ้ มูล อธิบาย ถ่ายทอดลกั ษณะ สมบัตแิ ละหน้าท่ีของ สาร ทางพันธกุ รรม พันธุกรรม โครงสร้างและ การถา่ ยทอดยีน องคป์ ระกอบ ทางเคมีของ บนโครโมโซม DNA และสรุปการจำลอง สมบตั ิ และหนา้ ท่ี DNA ของสารพันธุกรรม 7. อ ธ ิ บ า ย แ ล ะ ร ะ บุ การเกดิ มิวเทชนั ขั้นตอนในกระบวนการ เทคโนโลยีทางดี สังเคราะห์โปรตีนและ เอ็นเอ หลักฐาน หน ้าที่ขอ ง DNA และ ขอ้ มลู และแนวคดิ RNA แ ต ่ ล ะ ช น ิ ด ใ น เกี่ยวกบั กระบวนการสังเคราะห์ ววิ ัฒนาการของ โปรตนี ส่งิ มีชีวิต ภาวะ 8. สรุปความสั มพั นธ์ สมดลุ ของฮารด์ ี- ระหว่างสารพันธุกรรม ไวน์เบริ ์ก การ แอลลีล โปรตีน ลักษณะ เกดิ สปีชสี ์ใหม่ ท า ง พ ั น ธ ุ ก ร ร ม แ ล ะ ความหลากหลาย เชื่อมโยงกับความรู้เรื่อง ทางชวี ภาพ กำเนดิ ของ พนั ธศุ าสตรเ์ มนเดล สงิ่ มีชีวิต ความ 9. ส ื บ ค ้ น ข ้ อ ม ู ล และ อธิบายการเกิดมิวเทชัน หลากหลาย ของ ร ะ ด ั บ ย ี น แ ล ะ ร ะ ดั บ สิ่งมชี วี ติ และ โครโมโซม สาเหตกุ ารเกิด ม ิ ว เ ท ช ั น ร ว ม ทั้ ง อนกุ รมวิธาน ยกตัวอย่างโรคและกลุ่ม รวมท้งั นำความรู้ อาการที่เป็นผลของการ ไปใชป้ ระโยชน์ เกิดมวิ เทชัน 10. อธิบายหลักการสร้าง สิง่ มชี วี ิตดัดแปรพนั ธุกรรม โดยใช้ดีเอ็นเอรีคอม บแิ นนท์ 11. ส ื บ ค ้ น ข ้ อ มู ล ยกตัวอย่าง และอภิปราย การนำ เทคโนโลยีทางดี เอ็นเอไปประยุกต์ใช้ท้ังใน ดา้ น ส่งิ แวดลอ้ ม นิติ
สาระ มาตรฐาน ผลการเรียนร้รู ายปี ม.6 ม. 4 ม.5 สาระชวี วิทยา 2. เข้าใจการ วิทยาศาสตร์ การแพทย์ ถา่ ยทอดลกั ษณะ การเกษตรและ ทางพนั ธกุ รรม อุตสาหกรรม และข้อควร การถ่ายทอดยนี คำนึง ถึงด้านชีวจรยิ ธรรม บนโครโมโซม 12. สืบค้นขอ้ มูลและ สมบตั ิ และหน้าท่ี อธบิ ายเกยี่ วกับหลักฐาน ของสารพันธุกรรม ท่สี นบั สนุนและขอ้ มลู ทใ่ี ช้ การเกิดมวิ เทชนั อธบิ ายการเกดิ เทคโนโลยที างดี วิวฒั นาการของสงิ่ มีชวี ิต เอ็นเอ หลกั ฐาน 13. อธิบายและ ขอ้ มูลและแนวคดิ เปรยี บเทยี บแนวคิด เก่ียวกับ เกี่ยวกบั วิวฒั นาการของ วิวัฒนาการของ ส่งิ มีชวี ิตของฌอง ลา ส่ิงมชี ีวติ ภาวะ มาร์ก และทฤษฎเี กีย่ วกับ สมดุลของฮารด์ ี- วิวัฒนาการของส่ิงมชี ีวติ ไวนเ์ บิรก์ การ ของชาลส์ ดาร์วิน เกดิ สปีชสี ใ์ หม่ 14. ระบสุ าระสำคัญ และ ความหลากหลาย อธิบายเงอ่ื นไขของภาวะ ทางชีวภาพ สมดุลของฮารด์ ี-ไวนเ์ บริ ์ก กำเนิดของ ปจั จยั ท่ีทำใหเ้ กดิ การ สงิ่ มชี วี ิต ความ เปลีย่ นแปลงความถ่ขี อง หลากหลาย ของ แอลลีลในประชากร สง่ิ มีชวี ติ และ พรอ้ มทั้งคำนวณหา อนกุ รมวิธาน ความถ่ี ของแอลลีลและจี รวมทั้งนำความรู้ โนไทป์ของประชากร โดย ไปใชป้ ระโยชน์ ใชห้ ลกั ของ ฮาร์ดี-ไวน์ เบริ ์ก 15. สืบคน้ ขอ้ มูล อภปิ ราย และอธบิ าย กระบวนการเกิดสปีชสี ์ ใหมข่ องส่งิ มชี ีวิต
สาระ มาตรฐาน ผลการเรียนรูร้ ายปี ม. 6 สาระ 3. เขา้ ใจ ม. 4 ม. 5 ชีววทิ ยา สว่ นประกอบ ของพชื การ 1. อธิบายเกี่ยวกับชนิดและลักษณะของ แลกเปลย่ี นแก๊ส เนื้อเยื่อพืช และเขียนแผนผังเพื่อสรุปชนิด และคายนำ้ ของ ของเนือ้ เยือ่ พืช พืช การลำเลยี ง 2. สงั เกต อธิบายและเปรยี บเทียบ ของพชื การ โครงสรา้ ง ภายในของรากพืชใบเลีย้ งเดีย่ ว สงั เคราะห์ด้วย และรากพืช ใบเลย้ี งค่จู ากการตัดตามขวาง แสง การ 3. สังเกต อธิบาย และเปรียบเ ที ยบ สบื พนั ธ์ุของพชื โครงสรา้ ง ภายในของลำต้นพืชใบเลี้ยงเด่ียว ดอกและการ และลำต้นพืช ใบเล้ยี งคจู่ ากการตดั ตามขวาง เจรญิ เติบโตและ 4. สงั เกต และอธิบายโครงสรา้ งภายในของ การ ตอบสนอง ใบพืช จากการตัดตามขวาง ของพืช รวมทัง้ 5. สืบค้นข้อมูล สังเกต และอธิบายการ นำความรู้ไปใช้ แลกเปล่ียน แก๊สและการคายน้ำของพชื ประโยชน์ 6. สบื ค้นข้อมูล และอธบิ ายกลไกการ ลำเลยี งน้ำและธาตุอาหารของพชื 7. สืบค้นข้อมูล อธบิ ายความสำคัญของธาตุ อาหารและยกตัวอย่างธาตุอาหารที่สำคัญ ทมี่ ีผลต่อการเจรญิ เตบิ โตของพชื 8. อธิบายกลไกการลำเลียงอาหารในพชื 9. สืบค้นข้อมูล และสรุปการศกึ ษาท่ีได้จาก การ ทดลองของนักวิทยาศาสตร์ในอดีต เกี่ยวกับกระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสง 10. อธบิ ายขั้นตอนท่เี กิดข้ึนในกระบวนการ สงั เคราะหด์ ้วยแสงของพืช C3 11. เปรียบเทยี บกลไกการตรงึ คาร์บอนไดออกไซด์ในพืช C3 พชื C4 และพชื CAM
สาระ มาตรฐาน ม. 4 ผลการเรียนรรู้ ายปี ม. 6 ม. 5 สาระ 3. เข้าใจ 12. สืบค้นขอ้ มลู อภปิ รายและสรุปปัจจัย ชีววิทยา สว่ นประกอบ ความเข้มของแสงความเข้มข้นของ ของพืช การ คาร์บอนไดออกไซด์และอุณหภูมิ ที่มีผล แลกเปล่ยี นแก๊ส ต่อการสงั เคราะห์ด้วยแสงของพืช และคายน้ำของ 13. อธิบายวัฏจกั รชีวิตแบบสลับของพืช พชื การลำเลียง ดอก ของพืช การ 14. อธบิ ายและเปรียบเทยี บกระบวนการ สังเคราะหด์ ว้ ย สรา้ ง เซลลส์ ืบพนั ธ์เุ พศผู้และเพศเมียของ แสง การสืบพนั ธ์ุ พืชดอกและอธิบายการปฏิสนธิของพืช ของพชื ดอกและ ดอก การเจรญิ เตบิ โต 15. อธิบายการเกิดเมล็ดและการเกิดผล และการ ของพืชดอก โครงสร้างของเมล็ดและผล ตอบสนองของ และยกตัวอย่าง การใช้ประโยชน์จาก พชื รวมท้ังนำ โครงสรา้ งตา่ งๆ ของเมลด็ และผล ความรู้ไปใช้ 16. ทดลองและอธิบายเกี่ยวกับปัจจัย ประโยชน์ ต่างๆ ที่มีผลต่อการงอกของเมล็ด สภาพ พักตัวของเมล็ดและบอกแนวทางในการ แกส้ ภาพพกั ตวั ของเมลด็ 17. สืบค้นข้อมูล อธิบายบทบาทและ หน้าที่ของออกซิน ไซโทไคนิน จิบเบอ- เรลลิน เอทิลีนและกรด แอบไซซิก และ อภิปรายเกี่ยวกับการนำไปใช้ประโยชน์ ทางการเกษตร 18. สืบค้นข้อมูล ทดลองและอภิปราย เกี่ยวกับสิ่งเร้าภายนอกที่มีผลต่อการ เจริญเตบิ โตของพชื
สาระ มาตรฐาน ม. 4 ผลการเรียนรรู้ ายปี ม. 6 ม. 5 สาระ 4. เขา้ ใจการ 1. สืบค้นข้อมูล อธิบายและ 1. สื บค้ น ข้ อ มู ล อธ ิบาย และ ชีววทิ ยา ยอ่ ยอาหารของ เปรียบเทียบโครงสร้างและ เปรียบเทียบโครงสร้าง และหน้าท่ี สัตว์และมนษุ ย์ กระบวนการย่อยอาหารของ ของระบบประสาทของไฮดรา พลา การหายใจและ การแลกเปลย่ี น สัตว์ทไี่ ม่มีทางเดินอาหารสัตว์ท่ี นาเรีย ไส้เดือนดิน กุ้ง หอย แมลง แก๊ส การ มีทาง เดิน อ าหาร แบบไ ม่ และสัตวม์ กี ระดูกสันหลัง ลำเลียงสารและ สมบูรณ์และสัตว์ที่มีทางเดิน 2. อธบิ ายเกย่ี วกบั โครงสร้าง การหมนุ เวยี น และหนา้ ท่ขี องเซลล์ประสาท อาหารแบบสมบูรณ์ เลือด ภมู ิคมุ้ กัน 2. สงั เกต อธบิ ายการกนิ อาหาร 3. อธิบายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ของร่างกาย ของไฮดราและพลานาเรยี ของศักย์ไฟฟ้าที่เยื่อหุ้มเซลล์ของ 3. อธิบายเกี่ยวกับโครงสร้าง เซ ลล์ปร ะ สาท และ ก ลไ ก ก าร การขบั ถา่ ย การ หน้าที่และกระบวนการย่อย ถา่ ยทอดกระแสประสาท รบั รู้ และการ อ า ห า ร แ ล ะ ก า ร ด ู ด ซึ ม 4. อธิบาย และสรุปเกี่ยว กั บ ตอบสนอง การ สารอาหารภายในระบบย่อย โครงสร้างของระบบประสาท ส่วนกลางและระบบประสาทรอบ เคลือ่ นท่ี การ อาหารของมนษุ ย์ สบื พนั ธแ์ุ ละการ 4. สืบค้นข้อมูล อธิบายและ นอก เปรียบเทียบโครงสร้าง ที่ทำ 5. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้าง เจริญเติบโต หน้าที่แลกเปลี่ยนแก๊สของ และหน้าที่ของส่วนต่าง ๆ ในสมอง ฮอรโ์ มนกับ ฟองน้ำ ไฮดรา พลานาเรีย ส่วนหน้า สมองส่วนกลาง สมองสว่ น การรกั ษา ไส้เดือนดิน แมลง ปลา กบ หลงั และ และนก ไขสนั หลัง ดุลยภาพ และ 5. สงั เกต และอธบิ ายโครงสร้าง 6. สืบคน้ ข้อมลู อธบิ าย เปรียบเทียบ พฤติกรรมของ ของปอดในสัตว์ เลี้ยงลูกด้วย และ ยกตัวอย่างการทำงานของ ระบบ สตั ว์ รวมทัง้ นำ นำ้ นม 7. สบื ค้นข้อมูล อธบิ ายโครงสรา้ ง ความรไู้ ปใช้ 6. สบื ค้นข้อมูล อธิบาย และหนา้ ทขี่ องตา หู จมูก ล้นิ และ ประโยชน์ โครงสร้างท่ใี ช้ในการ แลกเปล่ยี นแก๊ส และ ผวิ หนังของมนุษย์ ยกตัวอย่างโรค กระบวนการแลกเปลี่ยน แกส๊ ต่างๆ ท่เี กย่ี วข้องและบอกแนวทาง ในการดแู ลปอ้ งกนั และรกั ษา ของมนษุ ย์ 8. สงั เกต และอธิบายการหา 7. อธิบายการทำงานของปอด ตำแหน่งของจุดบอด โฟเวยี และ และทดลองวดั ปริมาตรของ อากาศในการหายใจออกของ ความไวในการรับสัมผสั ของผิวหนงั มนษุ ย์
สาระ มาตรฐาน ม. 4 ผลการเรียนรูร้ ายปี ม. 6 ม. 5 สาระ 4. เขา้ ใจการ 8. สืบค้นข้อมูลอธิบายและ 9. สืบค้นข้อมูล อธิบายและ ชีววิทยา ยอ่ ยอาหารของ เ ป ร ี ย บ เ ท ี ย บ ร ะ บ บ เปรียบเทียบโครงสร้างและ สัตว์และมนุษย์ หมนุ เวียนเลือดแบบเปิดและ หน้าที่ของอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับ การหายใจและ ระบบหมุนเวียนเลือดแบบ การเคลื่อนท่ีของแมงกะพรุน ปดิ หมึก ดาวทะเล ไส้เดือนดิน การแลกเปลยี่ น 9. สังเกตและอธิบายทิศ แมลง ปลา และนก แกส๊ การ ทางการไหลของเลือด และ 10. สืบค้นข้อมูล และอธบิ าย ลำเลียงสารและ การเคลื่อนที่ของเซลล์เม็ด โครงสร้างและหน้าที่ของ เลือดในหางปลา และสรุป กระดูกและกล้ามเน ื้อ ที่ การหมนุ เวยี น ความสัมพันธ์ระหว่างขนาด เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว เลอื ด ภูมิค้มุ กนั ของหลอดเลือดกับความเร็ว และการเคลอ่ื นที่ของมนษุ ย์ 11. สังเกตและอธิบายการ ของร่างกาย ในการไหลของเลือด การขบั ถ่าย การ 10. อธิบายโครงสร้างและ ทำงานของข้อต่อชนิดต่าง ๆ รับรู้ และการ การทำงานของหัวใจและ และการทำงานของกล้ามเน้ือ โครงร่างที่เกี่ยวข้องกับการ ตอบสนอง การ หลอดเลอื ดในมนษุ ย์ เคล่ือนที่ การ 11. สงั เกต และอธบิ าย เคลื่อนไหวและการเคลื่อนท่ี โครงสรา้ งหวั ใจของสตั ว์ ของมนษุ ย์ สบื พันธ์แุ ละการ เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ทิศ 12. สืบค้นข้อมูล อธิบายและ เจรญิ เตบิ โต ทางการไหลของเลือดผ่าน ยกตัวอย่าง การสืบพันธุ์แบบไม่ ฮอร์โมนกับ การ หัวใจของมนุษย์ และเขียน อาศยั เพศและการสืบพันธ์ุ แบบ แผนผังสรุปการหมุนเวียน อาศัยเพศในสตั ว์ รกั ษา 13. สืบค้นข้อมูล อธิบาย ดุลยภาพ และ เลือดของมนุษย์ 12. สืบค้นข้อมูล ระบุความ โครงสร้างและหน้าที่ของ พฤตกิ รรมของ สตั ว์ รวมทง้ั นำ ความรไู้ ปใช้ ประโยชน์ แตกต่างของเซลล์เม็ดเลือด อวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศ แดง เซลล์เม็ดเลือดขาว ชายและระบบสืบพันธุ์เพศ เพลตเลต และพลาสมา หญิง 13. อธิบายหมู่เลือดและ 14. อธิบายกระบวนการสร้าง หลกั การใหแ้ ละรบั เลอื ด สเปิร์ม กระบวนการ สร้างเซลล์ ไข่ และการปฏิสนธใิ นมนุษย์ ABO และระบบ Rh 14. อ ธ ิ บ า ย แ ล ะ ส รุ ป 15. อธบิ ายการเจรญิ เติบโต เกี่ยวกับส่วนประกอบและ ระยะเอ็มบรโิ อและระยะหลัง หน้าที่ของน้ำเหลือง รวมท้ัง เอม็ บริโอของกบ ไกแ่ ละมนษุ ย์ โครงสร้างและ หน้าที่ของ 16. อธิบายการเจริญเติบโต หลอดน้ำเหลือง และต่อม ระยะเอ็มบริโอและระยะหลัง น้ำเหลือง
สาระ มาตรฐาน ม. 4 ผลการเรยี นรู้รายปี ม. 6 ม. 5 15. สบื ค้นขอ้ มูล อธิบาย เอม็ บริโอของกบ ไก่ และมนุษย์ สาระ 4. เข้าใจการ และเปรียบเทียบกลไก ชีววิทยา การตอ่ ตา้ นหรือทำลายสง่ิ 17. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และ ย่อยอาหารของ แปลกปลอม แบบไม่ เขียนแผนผังสรุปหน้าทข่ี อง สตั วแ์ ละมนุษย์ จำเพาะและแบบจำเพาะ 16. สืบค้นขอ้ มูล อธบิ าย ฮอร์โมนจากตอ่ มไรท้ อ่ และ การหายใจและ เนือ้ เยอื่ ท่ีสร้างฮอรโ์ มน การแลกเปลยี่ น แก๊ส การ และเปรยี บเทยี บการสรา้ ง 18. สืบคน้ ข้อมูล อธิบาย ภมู ิคุ้ม เปรยี บเทยี บ และยกตัวอย่าง ลำเลียงสารและ กนั ก่อเองและภมู คิ ้มุ กนั การหมุนเวียน รบั มา พฤติกรรมที่เป็นมาแต่กำเนิด 17. สบื ค้นขอ้ มูลและอธบิ าย และพฤตกิ รรมทีเ่ กิดจากการ เลอื ด ภูมิคมุ้ กัน เรียนรูข้ องสัตว์ ของรา่ งกาย เกี่ยวกับความผิดปกตขิ อง 19. สบื ค้นขอ้ มูล อธิบาย และ การขับถ่าย ระบบภมู ิคมุ้ กนั ทีท่ ำให้เกดิ ยกตัวอยา่ ง ความสัมพันธ์ การรับรู้ และ เอดส์ ภมู แิ พ้ การสร้างภูมิ การตอบสนอง ต้านทานต่อเนอื้ เยื่อตนเอง ระหว่างพฤตกิ รรมกบั 18. สบื ค้นขอ้ มูล อธบิ าย การเคลอื่ นที่ ววิ ัฒนาการของระบบประสาท การสบื พนั ธ์แุ ละ และเปรยี บเทียบ โครงสร้าง การเจรญิ เติบโต และหน้าทใ่ี นการกำจดั ของ 20. สืบคน้ ข้อมูล อธิบายและ ยกตวั อยา่ งการสอ่ื สาร ระหว่าง ฮอรโ์ มนกบั เสีย ออกจากรา่ งกายของ สตั ว์ การรักษา ฟองนำ้ ไฮดรา พลานาเรยี ทที่ ำให้สัตว์แสดงพฤตกิ รรม ดลุ ยภาพ และ ไสเ้ ดือนดิน แมลง และสตั ว์ พฤตกิ รรมของ สัตว์ รวมทั้ง มีกระดกู สันหลงั นำความร้ไู ปใช้ 19. อธิบายโครงสร้างและ ประโยชน์ หนา้ ทขี่ องไต และโครงสร้าง ทใ่ี ช้ลำเลยี งปสั สาวะออก จาก ร่างกาย 20. อธิบายกลไกการทำงาน ของหน่วยไต ในการ กำจัด ของเสยี ออกจากรา่ งกาย และเขียน แผนผงั สรุป ขัน้ ตอนการกำจัดของเสยี ออกจากร่างกายโดยหน่วย ไต 21. สบื ค้นข้อมูล อธบิ าย และยกตวั อย่างเก่ยี วกับ ความผดิ ปกติของไตอนั เน่อื งมาจากโรคต่าง ๆ
สาระ มาตรฐาน ม. 4 ผลการเรียนร้รู ายปี ม. 5 ม. 6 สาระ 5. เขา้ ใจแนวคดิ ชีววทิ ยา เกย่ี วกับระบบนเิ วศ 1. วิเคราะห์ อธิบาย และยกตัวอย่างกระบวนการ กระบวนการ ถา่ ยทอดพลงั งาน ถา่ ยทอดพลังงานในระบบนเิ วศ และ การหมุนเวียน 2. อธิบาย ยกตัวอย่างการเกิดไบโอแมกนิฟิเคชัน สารในระบบนเิ วศ และบอกแนวทางในการลดการเกดิ ไบโอแมก- ความหลากหลาย นิฟเิ คชนั ของไบโอม การ เปลี่ยนแปลงแทนที่ 3. สืบค้นข้อมูลและเขียนแผนภาพ เพื่ออธิบาย ของส่ิงมีชวี ติ ใน วัฏจักรไนโตรเจน วัฏจักรกำมะถัน และวัฏจักร ระบบนเิ วศ ฟอสฟอรัส ประชากรและ 4. สืบค้นข้อมูล ยกตัวอย่าง และอธิบายลักษณะ รปู แบบการเพมิ่ ของไบโอมท่กี ระจายอยตู่ ามเขตภูมิศาสตรต์ ่างๆ ของประชากร บนโลก ทรพั ยากรธรรมชาติ 5. สบื ค้นข้อมูล ยกตัวอย่าง อธิบาย และเปรียบเทียบ และสง่ิ แวดลอ้ ม การเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบปฐมภูมิ และ การ ปัญหาและ เปลี่ยนแปลงแทนท่แี บบทุตยิ ภูมิ ผลกระทบทเ่ี กิด จากการใช้ 6. สืบค้นข้อมูล อธิบาย ยกตัวอย่าง และสรุป ประโยชน์ และ เกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของประชากรของ แนวทางการแกไ้ ข สง่ิ มชี ีวติ บางชนิด ปัญหา 7. สบื คน้ ข้อมูล อธบิ าย เปรยี บเทียบ และยกตัวอย่าง การเพิ่มของประชากรแบบเอ็กโพเนนเชียลและการ เพมิ่ ของประชากรแบบลอจสิ ตกิ 8. อธบิ ายและยกตัวอย่างปัจจัยที่ควบคุมการเติบโต ของประชากร 9. วิเคราะห์ อภิปราย และสรุปปัญหาการขาด แคลนน้ำ การเกิดมลพิษทางน้ำ และผลกระทบที่มี ต่อมนษุ ยแ์ ละสิ่งแวดล้อม รวมทง้ั เสนอแนวทางการ วางแผนการจดั การน้ำ 10. วิเคราะห์ อภิปรายและสรุปปัญหามลพิษทาง อากาศ และผลกระทบทมี่ ีตอ่ มนษุ ย์และ สิ่งแวดล้อม รวมท้ังเสนอแนวทางการแกไ้ ขปัญหา
สาระ มาตรฐาน ม. 4 ผลการเรียนรรู้ ายปี สาระ 5. เข้าใจแนวคิด ม. 5 ม. 6 ชีววิทยา เกย่ี วกบั ระบบนเิ วศ กระบวนการ 11. วิเคราะห์ อภปิ ราย และสรุปปญั หาท่ีเกดิ กับ ถา่ ยทอดพลงั งาน ทรัพยากรดนิ และผลกระทบทม่ี ตี ่อมนษุ ยแ์ ละ และการหมุนเวียน สิ่งแวดลอ้ ม รวมทงั้ เสนอแนวทางการแกไ้ ข สารในระบบนิเวศ 12. วิเคราะห์ อภิปราย และสรุปปัญหา ผลกระทบ ความหลากหลาย ที่เกิดจากการทำลายป่าไม้ รวมทั้งเสนอแนวทางใน ของไบโอม การ การปอ้ งกันการทำลายปา่ ไมแ้ ละการอนุรักษป์ ่าไม้ เปล่ียนแปลงแทนท่ี 13. วิเคราะห์ อภิปราย และสรุปปัญหา ผลกระทบ ของสง่ิ มชี ีวิตใน ที่ทำให้สัตว์ป่ามีจำนวนลดลงและแนวทางในการ ระบบนิเวศ อนุรักษ์สัตว์ป่า ประชากรและ รปู แบบการเพิ่ม ของประชากร ทรพั ยากรธรรมชาติ และส่งิ แวดล้อม ปญั หาและ ผลกระทบท่เี กิด จากการใช้ ประโยชน์ และ แนวทางการแก้ไข ปัญหา
สาระชวี วทิ ยา 1. เข้าใจธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต การศึกษาชีววิทยาและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ สารที่เป็น องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหนา้ ทีข่ องเซลล์ การลำเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ การแบง่ เซลล์ และการหายใจระดบั เซลล์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 4 ภาคเรียนท่ี 1 ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นร้เู พิม่ เตมิ ม.4 1. อธิบาย และสรุปสมบัติที่สำคัญของ - สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องการสารอาหารและพลังงาน มีการ สิ่งมีชีวิตและความสัมพันธ์ของการ เจริญเติบโต มีการตอบสนองต่อสิ่งเร้า มีการรักษาดุลยภาพ จัดระบบในสิ่งมีชีวิต ที่ทำให้สิ่งมีชีวิต ของรา่ งกาย มกี ารสืบพนั ธุ์ มีการปรับตัวทางววิ ฒั นาการ และ ดำรงชีวิตอยไู่ ด้ มีการทำงานร่วมกนั ขององค์ประกอบต่าง ๆ อยา่ งเปน็ ระบบ สง่ิ เหลา่ นจ้ี ัดเปน็ สมบัติทสี่ ำคัญของส่ิงมีชีวติ - การจัดระบบในสิ่งมชี ีวิตเริม่ จากหน่วยเลก็ ไปหน่วยใหญ่ ไดแ้ ก่ เซลลเ์ นอื้ เย่ือ อวยั วะ ระบบอวยั วะ และสิ่งมชี ีวติ ตามลำดับ 2. อภิปราย และบอกความสำคัญของ - วธิ ีการทางวิทยาศาสตรใ์ นการคน้ หาคำตอบ เกีย่ วกบั สิง่ มีชีวิต การระบุปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่าง เริ่มจากการตั้งปัญหาหรือคำถาม ตั้งสมมติฐาน ตรวจสอบ ปัญหา สมมติฐาน และวิธีการตรวจสอบ สมมติฐาน เกบ็ รวบรวมข้อมูลวิเคราะหข์ อ้ มูล และสรปุ ผล สมมติฐาน รวมทั้งออกแบบการทดลอง - การศึกษาส่งิ มีชีวิตต้องอาศยั ความรจู้ ากแขนงวชิ า ต่าง ๆ ของ เพอ่ื ตรวจสอบสมมติฐาน ชีววิทยา และสาขาวิชาอ่ืนทเี่ กีย่ วขอ้ ง และควรคำนึงถึง ชีวจรยิ ธรรม และจรรยาบรรณ การใช้สตั วท์ ดลอง 3. สืบค้นข้อมูล อธิบายเกี่ยวกับสมบัติ - สิ่งมีชีวิตประกอบด้วย ธาตุและสารประกอบ ในร่างกายของ ของน้ำ และบอกความสำคัญของน้ำที่มี สิ่งมีชีวิตมีน้ำเป็นองค์ประกอบมากที่สุด น้ำประกอบด้วยธาตุ ต่อสิ่งมีชีวติ และยกตวั อยา่ งธาตชุ นิดตา่ ง ไฮโดรเจน และออกซิเจน มีสมบัติในการเป็นตัวทำละลายที่ดี ๆ ที่มีความสำคัญต่อร่างกายสิ่งมีชีวิต เกบ็ ความร้อนได้ดี และมคี วามจคุ วามรอ้ นสงู ซึง่ ช่วยรักษา ดลุ ยภาพของเซลลไ์ ด้ - ธาตุที่สิ่งมีชีวิตต้องการจะอยู่ในรูปของไอออนในมนุษย์และ สัตว์ ธาตุจะช่วยให้การทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ดำเนินไปตามปกติ นอกจากนใ้ี นกระดูก ฟนั และกล้ามเนือ้ จะมธี าตุ เปน็ องคป์ ระกอบด้วย 4. สืบคน้ ขอ้ มูล อธิบายโครงสรา้ งของ - คาร์โบไฮเดรตประกอบด้วย ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจนและ คารโ์ บไฮเดรต ระบุกลุม่ ของ ออกซเิ จน แบง่ ตามขนาดโมเลกุล ออกไดเ้ ปน็ 3 กลุ่ม คอื คาร์โบไฮเดรต รวมทงั้ ความสำคญั ของ มอโนแซก็ คาไรด์ ไดแซก็ คาไรด์ และพอลแิ ซ็กคาไรด์ คารโ์ บไฮเดรตที่มตี ่อส่ิงมีชีวิต 5. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของ - โปรตีนมกี รดอะมิโนเป็นหนว่ ยยอ่ ย ประกอบดว้ ย โปรตีน และความสำคัญของโปรตีนที่มี ธาตคุารบ์อน ไฮโดรเจน ออกซิเจน และไนโตรเจน บางชนิด ต่อส่ิงมชี ีวิต อาจมี ธาตุฟอสฟอรัส เหล็ก และกำมะถนั เปน็ องคป์ ระกอบ 6.สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของ - ลิพิดประกอบด้วย ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และ ออกซิเจน ลิพิด และความสำคัญของลิพิดที่มีต่อ เป็นสารประกอบที่ละลายได้ดี ในตัวทำละลายที่เป็น สิง่ มชี ีวติ
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพิ่มเตมิ สารอินทรีย์ ลิพิดกลุ่มสำคัญที่พบในสิ่งมีชีวิต เช่น กรดไขมัน ไตรกลเี ซอไรด์ ฟอสโฟลิพดิ สเตอรอยด์ 7.อธิบายโครงสร้างของกรดนิวคลิอิก - กรดนิวคลอิ ิกประกอบด้วย หน่วยย่อย เรียกว่า นิวคลีโอไทด์ และระบุชนิดของกรดนิวคลิอิก และ โมเลกลุของนวิ คลีโอไทดป์ ระกอบด้วย หมู่ฟอสเฟต น้ำตาลที่มี ความสำคัญของกรดนิวคลิอิกที่มีต่อ คารบ์ อน 5 อะตอม และเบสทม่ี ไี นโตรเจนเป็นองค์ประกอบ สิง่ มชี วี ติ - กรดนิวคลิอิกเป็นองค์ประกอบของสารพันธุกรรม ทำหน้าที่ เก็บและถ่ายทอดข้อมูลทางพันธุกรรมมี 2 ชนิดคือ DNA และ RNA 8. สืบคน้ ข้อมลู และอธิบายปฏกิ ิริยาเคมี - เมแทบอลิซึมเป็นปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของ ทเ่ี กดิ ข้ึนในส่งิ มชี ีวิต สง่ิ มีชวี ิต ปฏกิ ิรยิ าเคมี ประกอบด้วยปฏิกริ ยิ าคายพลังงาน และ 9. อธิบายการทำงานของเอนไซม์ในการ ปฏิกิริยาดูดพลังงาน ปฏิกิริยาเคมีเหล่านี้จะดำเนินไปได้อย่าง เร่งปฏิกิริยาเคมีในสิ่งมีชีวิต และระบุ รวดเร็ว จำเป็นต้องอาศยั เอนไซมช์ ว่ ยเรง่ ปฏกิ ริ ิยา ปัจจัยที่มีผลต่อการทำงานของเอนไซม์ - เอนไซมส์ ว่ นใหญเ่ ปน็ สารประเภทโปรตนี ทำหน้าท่ีเร่ง ปฏิกริ ยิ าเคมี ในขณะท่เี กดิ ปฏิกริ ยิ าเคมใี นเซลล์ สารต้งั ต้นจะ เขา้ ไปจับกับเอนไซม์ ท่บี รเิ วณจำเพาะของเอนไซม์ทีเ่ รียกว่า บริเวณเรง่ ถา้ สารตง้ั ต้นมโี ครงสร้างเข้ากับบริเวณเร่งได้ สารตั้งต้นนนั้ จะถกู เปล่ียนเป็นสารผลติ ภณั ฑ์ - อุณหภูมิ สภาพความเปน็ กรด-เบส และตัวยบั ยั้งเอนไซม์ เป็น ปัจจัยทีม่ ีผลต่อการทำงานของเอนไซม์ 10. บอกวิธีการ และเตรียมตัวอย่างส่ิง - กล้องจุลทรรศนเ์ ปน็ เครอ่ื งมือทีใ่ ช้ศึกษาสงิ่ มชี วี ิตขนาดเลก็ มีชีวิต เพื่อศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์ ท่ไี ม่สามารถเห็นได้ดว้ ยตาเปล่าและรายละเอียดโครงสร้างของ ใช้แสง วัดขนาดโดยประมาณและวาด เซลล์ ภาพที่ปรากฏภายใตก้ ลอ้ ง บอกวธิ ีการใช้ - กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงเชิงประกอบ และกล้องจุลทรรศน์ใช้ และการดูแลรักษากล้องจุลทรรศน์ใช้ แสงแบบสเตอรโิ ออาศยั เลนส์ ในการทำให้เกดิ ภาพขยาย แสงทถี่ กู ตอ้ ง - กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนทำให้เกิดภาพขยาย โดยอาศัย เลนส์แม่เหล็กไฟฟ้ารวมลำอิเล็กตรอน ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คอื ชนดิ สอ่ งผา่ น และชนิดส่องกราด - ตวั อยา่ งส่งิ มีชีวิตท่ีนำมาศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศนใ์ ช้แสง ตอ้ งมีวิธกี ารเตรียมที่ถกู ต้องและเหมาะสม กับชนดิ ของ ส่งิ มชี ีวิตเพอื่ ให้เกิดประสิทธิภาพในการศึกษา - กล้องจลุ ทรรศนใ์ ชแ้ สงเป็นเครอ่ื งมือที่มีความละเอียดซับซ้อน และราคาค่อนข้างสูง จึงควรใช้อย่างถูกวิธี มีการเก็บและดูแล รกั ษาทีถ่ กู ตอ้ ง เพอื่ ใหส้ ามารถใชง้ านได้นาน
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพิ่มเตมิ 11. อธิบายโครงสรา้ งและหน้าท่ีของส่วน - เซลล์เป็นหน่วยพื้นฐานที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิตโครงสร้าง ทหี่ อ่ หุ้มเซลล์ของเซลล์พืชและเซลลส์ ตั ว์ พนื้ ฐานของเซลลป์ ระกอบด้วย สว่ นทห่ี อ่ ห้มุ เซลล์ ไซโทพลาซึม 12. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และระบุชนิด และนวิ เคลียส และหน้าที่ของออร์แกเนลล์ - สว่ นท่ีหอ่ ห้มุ เซลลท์ ี่พบในเซลล์ทุกชนิด คือเย่อื หุ้มเซลล์ แต่ใน 13. อธิบายโครงสร้างและหน้าทีข่ อง แบทีเรีย สาหรา่ ย ฟงั ไจ และพืช จะมผี นังเซลล์เป็นส่วนห่อหุ้ม นิวเคลียส เซลลเ์ พ่ิมเตมิ ขึน้ มาอกี ชนั้ หนง่ึ - โครงสรา้ งของเยอ่ื หมุ้ เซลล์ประกอบดว้ ยโมเลกลุ ของ ฟอสโฟลิพิดเรียงเป็นสองชั้น และมีโปรตีนแทรก หรืออยู่ที่ผิว ทัง้ สองดา้ นของฟอสโฟลิพดิ - ไซโทพลาซึมอยู่ภายในเยื่อหุม้ เซลล์ ประกอบด้วย ไซโทซอลและออร์แกเนลล์ - นิวเคลียสเป็นศูนย์กลางควบคุมการทำงานของเซลล์ ยูคาริโอต ประกอบด้วยเยื่อหุ้ม ซึ่งภายใน DNA RNA และ โปรตีนบางชนดิ 14. อธิบาย และเปรียบเทียบการแพร่ - สารต่าง ๆ มีการเคลือ่ นท่ีเข้าและออกจากเซลลอ์ ยู่ตลอดเวลา ออสโมซิส การแพร่แบบฟาซลิ ิเทต และ โดยกระบวนการต่าง ๆ ได้แก่ การแพร่ออสโมซิส การแพร่ แอกทีฟทรานสปอร์ต แบบฟาซลิ ิเทต แอกทีฟทรานสปอรต์ กระบวนการ 15. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และเขียน เอกโซไซโทซสิ กระบวนการเอนโดไซโทซิส แผนภาพ การลำเลยี งสารโมเลกุลใหญ่ - แก๊สต่าง ๆ เข้าหรือออกจากเซลล์โดยการแพร่ ส่วนน้ำเข้า ออกจากเซลล์ ดว้ ยกระบวนการ หรือออกจากเซลล์ผ่านเยอื่ หุม้ เซลล์ โดยออสโมซิส เอกโซไซโทซสิ และการลำเลียงสาร - ไอออนและสารบางอย่างที่ไม่สามารถลำเลียง ผ่านเยื่อหุ้ม โมเลกลุ ใหญเ่ ข้าสู่เซลล์ด้วยกระบวนการ เซลล์โดยตรงได้ จำเป็นต้องอาศัยโปรตีนที่อยู่บนเยื่อหุ้มเซลล์ เอนโดไซโทซิส เป็นตัวพาสารนั้นเข้าและออกจากเซลล์ เรียกว่า การแพร่ แบบฟาซลิ ิเทต - แอกทีฟทรานสปอร์ต เป็นการลำเลียงสารจาก บริเวณที่มี ความเข้มข้นต่ำไปยงั บริเวณท่มี ีความเข้มข้นสูง - สารบางอยา่ งทีไ่ ม่สามารถแพร่ผา่ นเยื่อหุ้มเซลล์ หรือลำเลียง ผ่านโปรตนี ที่เป็นตัวพาได้จะถกู ลำเลยี งออกจากเซลล์ ด้วยกระบวนการเอกโซไซโทซิส - สารที่มีขนาดใหญ่จะสามารถลำเลียงเข้าสู่เซลล์ ด้วย กระบวนการเอนโดไซโทซิส ซึ่งแบ่งเป็น 3 แบบ ได้แก่ พิโนไซโทซสิ ฟาโกไซโทซสิ และการนำสารเข้าสเู่ ซลลโ์ ดยอาศัย ตวั รับ
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพิม่ เติม 16. สังเกตการแบ่งนิวเคลียสแบบไมโท - การแบง่ เซลล์ของสิ่งมชี วี ิตเปน็ การเพ่มิ จำนวนเซลล์ ซิส และแบบไมโอซสิ จากตัวอย่าง ซง่ึ เป็นกระบวนการที่เกิดขน้ึ ต่อเนือ่ งกันเปน็ วัฏจักรโดยวัฏจักร ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ พร้อมทั้งอธิบาย ของเซลล์ ประกอบด้วย อนิ เตอรเ์ ฟส การแบง่ นิวเคลยี ส และเปรียบเทียบการแบ่งนวิ เคลยี สแบบ แบบ ไมโทซสิ และการแบง่ ไซโทพลาซมึ ไมโทซสิ และแบบไมโอซสิ - การแบ่งนวิ เคลียสมี 2 แบบ คอื การแบง่ นวิ เคลียสแบบ ไมโทซสิ และการแบง่ นวิ เคลยี สแบบไมโอซิส - การแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิส ประกอบด้วย ระยะโพรเฟส เมทาเฟส แอนาเฟส และเทโลเฟส การแบง่ นิวเคลียสแบบ ไมโอซสิ ประกอบดว้ ย ระยะโพรเฟส I เมทาเฟส I แอนาเฟส I เทโลเฟส I ระยะโพรเฟส II เมทาเฟส II แอนาเฟส II และ เทโลเฟส II - การแบง่ นวิ เคลียสแบบไมโทซิสทำให้เซลล์รา่ งกายเพมิ่ จำนวน เพ่อื การเจรญิ เติบโต และซอ่ มแซมส่วนที่สึกหรอหรอื ถูกทำลาย ไปได้ สว่ นการแบง่ นวิ เคลยี สแบบไมโอซิส มีความสำคัญตอ่ สงิ่ มีชีวิต ในกระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธ์ุ - การแบ่งไซโทพลาซึมในเซลล์พืชจะมีการสร้างแผ่นกั้นเซลล์ และเซลล์สัตว์จะมกี ารคอดเวา้ เข้าหากนั ของเยื่อหุ้มเซลล์ 17. อธิบาย เปรียบเทียบ และสรุป - การหายใจระดับเซลลเ์ ป็นการสลายสารอาหารทมี่ พี ลังงานสูง ขน้ั ตอน การหายใจระดบั เซลล์ในภาวะที่ โดยมอี อกซเิ จนเปน็ ตวั รบั อเิ ล็กตรอนตวั สุดท้าย ประกอบดว้ ย 3 มีออกซิเจน เพียงพอ และภาวะที่มี ขั้นตอน คือ ไกลโคลิซิส วัฏจักรเครบส์ และกระบวนการ ออกซิเจนไม่เพยี งพอ ถา่ ยทอดอิเลก็ ตรอน - การหายใจระดับเซลล์ พลังงานส่วนใหญ่ได้จากข้ัน ตอนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน พลังงานนี้จะถูกเก็บไว้ในพันธะ เคมีในโมเลกุลของ ATP - ในภาวะท่ีมอี อกซเิ จนไม่เพียงพอ ทำให้การหายใจ ของเซลล์ ไม่สมบูรณ์ จึงเกิดได้เฉพาะไกลโคลิซิส ผลที่ได้จากการหายใจ ในสภาวะนใ้ี นสัตว์จะได้กรดแลกตกิ ในจลุ ินทรีย์และพืชอาจได้ กรดแลกติก หรือเอทิลแอลกอฮอล์
2. เขา้ ใจการถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรม การถา่ ยทอดยีนบนโครโมโซม สมบัติ และหน้าทีข่ องสาร พันธุกรรม การเกิดมิวเทชัน เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ หลักฐาน ข้อมูลและแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของ สง่ิ มชี วี ิต ภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวนเ์ บิรก์ การเกิดสปีชีส์ใหม่ ความหลากหลายทางชวภี าพ กำเนิดของสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายของสงิ่ มชี ีวิต และอนกุ รมวิธาน รวมท้งั นำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรยี นท่ี 2 ชัน้ ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นร้เู พ่มิ เตมิ ม.4 1. สบื ค้นข้อมลู อธิบาย และสรุปผลการ - เมนเดลศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ทดลองของเมนเดล โดยการผสมพันธ์ถุ ั่วลันเตา จนสรปุ เปน็ กฎแหง่ การแยก 2. อธิบาย และสรุปกฎแห่งการแยก และกฎแหง่ การรวมกลุม่ อยา่ งอสิ ระ และกฎแหง่ การรวมกลมุ่ อยา่ งอิสระ - กฎแห่งการแยกมีใจความว่า แอลลีลทอ่ี ยเู่ ปน็ คจู่ ะแยก และนำกฎของเมนเดลไปอธิบายการ ออกจากกันในระหว่างการสร้างเซลล์สืบพนั ธ์ุ โดยเซลล์ ถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมและใช้ สบื พันธุ์แต่ละเซลล์จะมีเพียงแอลลีลใดแอลลลี ในการคำนวณโอกาสในการเกดิ ฟีโนไทป์ หนงึ่ และจโี นไทป์แบบตา่ ง ๆ ของรุน่ F1 และ - กฎแห่งการรวมกลุ่มอยา่ งอสิ ระมีใจความวา่ หลังจาก F2 คู่ของแอลลีลแยกออกจากกัน แต่ละแอลลีลจะจัดกลุ่ม อย่างอิสระกับแอลลีลอื่น ๆ ที่แยกออกจากคูเ่ ช่นกนั ใน การเข้าไปอยู่ในเซลล์สบื พนั ธ์ุ 3. สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ อธิบาย และ - การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมบางลักษณะ สรุปเกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะทาง ให้อัตราส่วนที่แตกต่างจากผลการศึกษาของเมนเดล พันธกุ รรม ทีเ่ ป็นส่วนขยายของ เรียกลักษณะเหล่านี้ว่า ลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็น พนั ธุศาสตรเ์ มนเดล ส่วนขยายของพันธุศาสตร์เมนเดล เช่น การข่มไม่ 4. สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ และเปรียบ สมบูรณ์การข่มร่วมกัน มัลติเปิลแอลลีลยีนบน เทียบลักษณะทางพันธุกรรมท่ีมีการแปร โครโมโซมเพศและพอลิยนี ผัน ไ ม่ต่อเน ื่อง และ ลัก ษณะ ทาง - ลักษณะพันธุกรรมบางลักษณะมีความแตกต่างกัน พนั ธกุ รรมทีม่ กี ารแปรผันต่อเน่อื ง ชัดเจน เช่น การมตี ่งิ หหู รือไม่มตี ่ิงหู ซงึ่ เป็นลักษณะทาง พนั ธกุ รรมที่มีการแปรผนั ไม่ตอ่ เนื่อง - ลักษณะทางพนั ธกุ รรมบางลักษณะมคี วามแตกต่างกัน เล็กน้อยและลดหลั่นกันไป เช่น ความสูงและสีผิวของ มนุษย์ ถูกควบคุมโดยยีนหลายคู่ซ่ึงเป็นลักษณะทาง พันธุกรรมท่มี กี ารแปรผันต่อเนื่องและสงิ่ แวดล้อมอาจมี ผลต่อการแสดงลักษณะนนั้
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พม่ิ เติม 5. อธิบายการถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม - โครโมโซมภายในเซลล์ร่างกายแบ่งเป็นออโตโซม และ และยกตัวอย่างลักษณะทางพนั ธุกรรมท่ี โครโมโซมเพศ ลักษณะทางพันธุกรรมส่วนใหญ่ถูก ถูกควบคุมด้วยยีนบนออโตโซมและยีน ควบคุมด้วยยีนบนออโตโซม บางลักษณะถูกควบคุม บนโครโมโซมเพศ ด้วยยีนบนโครโมโซมเพศ ซึ่งส่วนมากเป็นยีนบน โครโมโซม X - เมื่อมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ยีนบนโครโมโซมเดยี วกนั ที่อยู่ใกล้กันมักจะถูกถ่ายทอดไปด้วยกัน แต่การเกิด ครอสซิงโอเวอรใ์ นการแบง่ เซลล์แบบไมโอซสิ อาจทำให้ ยีนบนโครโมโซมเดียวกันแยกจากกันได้ ส่งผลให้รูป แบบของเซลล์สืบพันธุ์ที่ได้แตกต่างไปจากกรณีที่ไม่ เกดิ ครอสซิงโอเวอร์ 6. สืบคน้ ขอ้ มลู อธบิ ายสมบตั ิและหน้าที่ - DNA เป็นพอลิเมอร์ของนิวคลีโอไทด์ แต่ละนิวคลีโอ ของสารพันธุกรรม โครงสร้างและองค์ ไทด์ประกอบด้วยน้ำตาลดีออกซีไรโบส หมู่ฟอสเฟต ประกอบทางเคมีของ DNA และสรุปการ และไนโตรจีนสั เบส คอื A T C และ G จำลองDNA - โมเลกุลของ DNA เป็นพอลนิ ิวคลีโอไทด์ 2 สาย เรียง 7. อธิบายและระบุขั้นตอนในกระบวน สลับทิศและบิดเป็นเกลียวเวียนขวา โดยการเข้าคู่กัน การสงเคราะห์โปรตีนและหน้าที่ของ ของสาย DNA เกิดจากการจับคู่ของเบสคู่สม คือ A คู่ DNA แล RNA แต่ละชนิดในกระบวนการ กับ T และ C คกู่ ับ G สงเคราะห์โปรตนี - ยีน คือสาย DNA บางช่วงที่ควบคุมลักษณะทาง 8. สรุปความสัมพันธ์ระหว่างสาร พันธุกรรมได้โดยยีนกำหนดลำดับกรดอะมิโนของ พันธุกรรมแอลลีล โปรตีน ลักษณะทาง โปรตีนซงึ่ ทำหน้าที่เป็นโครงสรา้ งเอนไซม์ และอืน่ ๆ พันธุกรรม และเชื่อมโยงกับความรูเ้ รื่อง มีผลทำให้เซลล์และส่งิ มีชวี ิตปรากฏลักษณะตา่ ง ๆ ได้ พนั ธุศาสตรเ์ มนเดล - DNA จำลองตวั เองไดโ้ ดยใช้สายหน่งึ เปน็ แมแ่ บบ และ สร้างอีกสายขึ้นมาใหม่ซึ่งจะมีโครงสร้าง และลำดับ นิวคลีโอไทด์เหมือนเดิม DNA ควบคุมลักษณะทาง พันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตได้ โดยการสร้าง RNA 3 ประเภท คือ mRNA tRNA และ rRNA ซึ่งร่วมกันทำ หนา้ ท่ีในกระบวนการสงั เคราะหโ์ ปรตีน -RNA เป็นพอลิเมอร์ของนิวคลีโอไทด์สายเดี่ยว แต่ละ นิวคลีโอไทด์ ประกอบด้วยน้ำตาลไรโบส หมู่ฟอสเฟต และไนโตรจนี ัสเบสคือ A U C และ G
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพิม่ เตมิ 9. สบื ค้นขอ้ มลู และอธบิ ายการเกิด - มิวเทชันเป็นการเปลี่ยนแปลงของลำดับ หรือจำนวน มิวเทชันระดับยีนและระดับโครโมโซม นิวคลีโอไทด์ใน DNA ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง สาเหตุก าร เก ิดมิว เทชัน ร ว มท้ัง โครงสร้างและการทำงานของโปรตีน ซึ่งถ้าการเปลี่ยน ยกตัวอย่างโรคและกลุ่มอาการที่เป็นผล แปลงดังกล่าวเกิดในเซลล์สืบพันธุ์จะสามารถถ่ายทอด ของการเกดิ ไปยังรุ่นต่อ ๆ ไปได้และทำให้เกิดความแปรผันทาง มวิ เทชนั พันธุกรรมของสง่ิ มชี วี ิต การเกิดมิวเทชันมีสาเหตุมาจาก ปัจจยั ตา่ ง ๆ เช่น รงั สแี ละสารเคมี - การขาดหายไปหรอื เพิ่มข้นึ ของนวิ คลีโอไทด์ และการ แทนทีค่ ่เู บส เป็นการเกดิ มิวเทชนั ระดบั ยนี เชน่ โรค โลหติ จาง ชนดิ ซกิ เคิลเซลล์ เปน็ ผลมาจากการแทนท่ี คเู่ บส - การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโครโมโซม เช่น หายไป หรือเพิ่มขึ้นบางส่วน และการเปลี่ยนแปลงจำนวน โครโมโซม เช่น การลดลงหรอื เพ่ิมขึ้นของโครโมโซมบาง แท่งหรือทั้งชุด เป็นสาเหตุของการเกิดมิวเทชันระดับ โครโมโซม เช่น กลุ่ม อาการคริดูชาต์และกลุ่มอาการ ดาวน์กลมุ่ อาการ เทอรเ์ นอรแ์ ละกลุ่มอาการ ไคลนเ์ ฟลเตอร์ 10. อธิบายหลักการสร้างสิ่งมีชีวิตดัด - การใช้เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ ในการสร้างดีเอ็นเอ แปรพันธุกรรมโดยใชด้ ีเอ็นเอ รคี อมบิแนนท์ สามารถนำไปใช้ในการสร้างสิง่ มชี วี ิต รีคอมบแิ นนท์ ดัดแปรพันธุกรรม โดยนำยีนท่ีตอ้ งการมาตัดต่อใส่ใน 11. สืบค้นข้อมูลยกตัวอย่าง และ สง่ิ มีชีวิต ทำให้สิ่งมีชีวิตนนั้ มีสมบัตติ ามต้องการ อภิปรายการนำเทคโนโลยีทางดีเอนเอไป - เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ใน ประยุกตใ์ ช้ทั้งในดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม ดา้ นตา่ ง ๆ เช่น สงิ่ แวดลอ้ ม นิติวิทยาศาสตร์ การแพทย์ นิติวิทยาศาสตร์การแพทย์ การเกษตร การเกษตร และอตุ สาหกรรม โดยการ ใช้เทคโนโลยที าง และอุตสาหกรรมและข้อควรคำนึงถึง ดีเอ็นเอต้องคำนงึ ถึงความปลอดภัย ดา้ นชีวจรยิ ธรรม ทางชวี ภาพ ชีวจริยธรรม และผลกระทบตอ่ สงั คม 12. สืบค้นข้อมูล และอธิบายเกี่ยวกับ - หลักฐานทที่ ำให้เชื่อว่าสิง่ มีชีวิตมวี วิ ัฒนาการ เชน่ ซาก หลักฐาน ที่สนับสนุนและข้อมูลที่ใช้ ดึกดำบรรพ์กายวิภาคเปรยี บเทียบ วทิ ยาเอ็มบรโิ อ การ อธบิ ายการเกดิ ววิ ฒั นาการของสงิ่ มชี ีวิต แพรก่ ระจายของสิง่ มีชวี ิตทาง ภูมศิ าสตร์การศึกษาทาง ชีวภมู ิศาสตร์ และดา้ นชวี วทิ ยาระดับโมเลกลุ - มนษุ ย์มกี ารสบื สายววิ ัฒนาการมาเป็นเวลานาน โดยมี หลักฐานทสี่ นับสนนุ จากซากดึกดำบรรพ์ของบรรพบุรุษ มนุษย์ที่ค้นพบ และจากการเปรียบเทียบลำดับเบสบน DNA ระหวา่ งมนุษย์กับไพรเมตอ่ืน ๆ
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพ่ิมเติม 13. อธิบายและเปรียบเทียบแนวคิด - ฌอง ลามาร์ก ได้เสนอแนวคิดเพื่ออธิบายเกี่ยวกับ เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตของ วิวฒั นาการของสิ่งมชี วี ิตว่า สง่ิ มีชวี ติ มกี ารเปล่ียนแปลง ฌอง ลามาร์กและทฤษฎีเกี่ยวกับ โครงสร้างใหเ้ ข้ากับสภาพแวดล้อม โดยอาศัยกฎการใช้ วิวฒั นาการของสงิ่ มีชีวติ ของ และไม่ใชแ้ ละกฎแหง่ การ ถา่ ยทอดลักษณะท่ีเกิดขึ้นมา ชาลส์ดารวนิ ใหม่ - ชาลส์ ดาร์วิน เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับวิวัฒนาการของ สิ่งมีชีวิต ว่าเกิดจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติ โดย สงิ่ มชี วี ิตมีแนวโนม้ ท่ีจะใหก้ ำเนดิ ลกู ท่มี ีลกั ษณะแตกต่าง กันจำนวนมาก แต่มีเพียงจำนวนหนึ่งที่เหมาะสมกับ สภาพแวดล้อม สามารถมีชีวิตรอด และถ่ายทอด ลักษณะทเ่ี หมาะสมไปยงั รนุ่ ต่อไปได้ 14. ระบุสาระสำคัญและอธิบายเงื่อนไข - เมื่อประชากรอยู่ในภาวะสมดุลของฮาร์ดีไวน์เบิร์ก ของภาวะสมดุลของฮาร์ด ไวน์เบิร์ก โดยประชากรมีขนาดใหญ่ ไม่มีการถ่ายเทยีนระหว่าง ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ประชากร ไม่เกิดมิวเทชัน สมาชิกทุกตัวมีโอกาสผสม ความถข่ี องแอลลีลในประชากรพร้อมท้ัง พนั ธุ์ได้เท่ากัน และไมเ่ กิดการคัดเลอื กโดยธรรมชาติ จะ คำนวณหาความถี่ของแอลลีลและจีโน ทำให้ความถ่ีของแอลลีลของลักษณะนนั้ ไมเ่ ปล่ยี นแปลง ไทป์ของประชากรโดยใช้หลักของฮาร์ด ไม่ว่าจะผ่านไปกี่รุ่นก็ตาม เป็นผลให้ลักษณะนั้นไม่เกดิ ไวน์เบริ ์ก ววิ ัฒนาการ - การเปล่ียนแปลงความถขี่ องยีนหรอื แอลลีล ในประชากร เกิดจากปัจจัยหลายประการนำไปสู่ การเกดิ วิวัฒนาการ 15. สืบค้นขอ้ มูล และอธบิ ายกระบวน - สปชี สี ์ใหม่จะเกิดขึน้ ไดเ้ ม่ือไมม่ กี ารถ่ายเท เคลื่อนย้าย การเกดิ สปีชสใ์ หมข่ องสิง่ มีชวี ติ ยีนระหว่างประชากรหนึ่งกับอีกประชากรหนึ่งในรุ่น บรรพบุรุษ ทำให้ประชากรทั้งสอง มีโครงสร้างทาง พนั ธุกรรมท่แี ตกต่างกัน และวิวฒั นาการเกิดเป็นสปีชีส์ ใหม่ - ปจั จัยทท่ี ำใหเ้ กิดสปีชีส์ใหม่อาจเกิดได้ 2 แนวทาง คือ การเกิดสปีชีส์ใหม่จากการแบ่งแยกทางภูมิศาสตร์และ การเกิดสปชี สี ์ใหม่ในเขตภูมิศาสตรเ์ ดยี วกัน
3. เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊ส และคายน้ำของพืช การลำเลียงของพืช การ สังเคราะห์ดว้ ยแสง การสืบพันธ์ขุ องพชื ดอกและการเจรญิ เติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทั้งนำความรู้ ไปใชป้ ระโยชน์ ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรียนท่ี 1 ชัน้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พมิ่ เติม ม.5 1. อธิบายเก่ียวกับชนดิ และลักษณะของ - เนื้อเยอื่ พชื แบง่ เปน็ 2 กลมุ่ ใหญ่ คือ เน้ือเยอ่ื เจรญิ และ เนือ้ เยื่อพืชและเขยี นแผนผังเพ่อื สรุป เนอื้ เยื่อถาวร ชนดิ ของเน้อื เยือ่ พืช - เน้ือเยือ่ เจริญแบง่ เป็นเนอื้ เยือ่ เจริญส่วนปลาย เนอ้ื เยือ่ เจริญเหนือขอ้ และเน้ือเยื่อเจรญิ ดา้ นขา้ ง - เนื้อเยื่อถาวรเปลี่ยนแปลงมาจากเนื้อเยื่อเจริญ เนื้อเยื่อถาวร อาจแบ่งได้เป็น 3 ระบบ คือ ระบบ เนื้อเยื่อผิว ระบบเนื้อเยื่อพื้น และระบบเนื้อเยื่อท่อ ลำเลียง ซ่งึ ทำหนา้ ทตี่ า่ งกัน 2. สงั เกต อธิบาย และเปรยี บเทยี บ - ราก คือ ส่วนแกนของพืช ที่โดยทั่วไปเจริญอยู่ใต้ โครงสร้างภายในของรากพืชใบเล่ยี ง ระดับผิวดิน ทำหน้าที่ยึดหรือค้ำจุนให้พืชเจริญเติบโต เด่ียวและรากพืชใบเลีย้ งคจู่ ากการตัด อย่กู ับท่ีได้ และยงั มีหนา้ ทีส่ ำคญั ในการดดู น้ำและ ตามขวาง ธาตุอาหารในดิน เพ่อื สง่ ไปยังสว่ นต่าง ๆ ของพชื - โครงสร้างภายในของปลายรากที่ตัดตามยาว ประกอบด้วย เนื้อเยื่อเจริญ แบ่งเป็นบรเิ วณต่าง ๆ คือ บริเวณหมวกราก บริเวณเซลล์กำลังแบ่งตัว บริเวณ เซลล์ขยายตัวตามยาว และบริเวณที่เซลล์มีการ เปลยี่ นแปลงไปทำหน้าทเี่ ฉพาะและเจรญิ เตบิ โตเตม็ ที่ - โครงสรา้ งภายในของรากระยะการเติบโตปฐมภมู ิ เมื่อตัดตามขวางจะเห็นโครงสร้างแบ่งเป็น 3 ชั้น เรียง จากด้านนอกเข้าไป คือ ชั้นเอพิเดอร์มิส ชั้นคอร์เทกซ์ และชนั้ สตลี ในชนั้ สตลี จะพบมัดท่อลำเลียงที่มีลักษณะ แตกตา่ งกันในพืชใบเล้ยี งเดยี่ วและพืชใบเลยี้ งคู่ - โครงสร้างภายในของรากระยะการเตบิ โตทุตยิ ภูมิ ชน้ั เอพเิ ดอรม์ ิสจะถูกแทนที่ด้วยช้ันเพรเิ ดริ ม์ ซง่ึ มีคอรก์ เปน็ เนื้อเยือ่ สำคัญ ชนั้ คอรเ์ ทกซ์ อาจมกี ารเปลยี่ นแปลง เกดิ เซลล์ทท่ี ำใหม้ ีความแข็งแรงเพ่ิมขึน้ หรือเกิดเซลล์ท่ี สะสมอาหารเพิ่มขึ้น ส่วนลักษณะมัด ท่อลำเลียงจะ เปลี่ยนไป เน่อื งจากมีการสร้างเนอ้ื เยอ่ื ลำเลยี งเพิ่มขึน้ 3. สังเกตอธิบายและเปรียบเทียบโครง - ลำต้น คือ ส่วนแกนของพชื ที่โดยทัว่ ไปเจริญอยู่เหนอื สร้างภายในของลำตนพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ระดับผิวดินถดั ข้ึนมาจากราก ทำหน้าที่สรา้ งใบและชูใบ และลำต้นพืชใบเลี้ยงคู่จากการตัดตาม ลำเลยี งนำ้ ธาตอุ าหาร และอาหารทพี่ ืชสรา้ งข้นึ ส่งไปยัง ขวาง สว่ นตา่ ง ๆ
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรูเ้ พม่ิ เติม - โครงสร้างภายในของลำต้นระยะการเติบโตปฐมภูมิ เมอ่ื ตดั ตามขวางจะเหน็ โครงสรา้ งแบ่งเปน็ 3 ชั้น เรียงจากด้านนอกเข้าไป คือ ชั้นเอพิเดอร์มิส ชั้นคอร์ เทกซ์ และชั้นสตีล ซึ่งชั้นสตีลจะพบมัดท่อลำเลียงที่มี ลักษณะแตกตา่ งกนั ในพืชใบเลยี้ งเด่ยี วและพชื ใบเล้ยี งคู่ - ลำต้นในระยะการเติบโตทุติยภูมิ จะมีเส้นรอบวง เพิ่มขึ้น และมีโครงสร้างแตกต่างจากเดิม เนื่องจากมี การสรา้ งเน้อื เยอ่ื เพริเดริ ม์ และเนอื้ เย่ือทอ่ ลำเลียง ทุติยภมู ิเพมิ่ ข้นึ 4.สังเกตและอธิบายโครงสร้างภายใน - ใบมีหน้าที่สังเคราะห์ด้วยแสง แลกเปลี่ยนแก๊สและ ของใบพชื จากการตดั ตามขวาง คายน้ำ ใบของพืชดอกประกอบด้วย ก้านใบ แผ่นใบ เส้นกลางใบ และเส้นใบ พืชบางชนิดอาจไม่มีก้านใบท่ี โคนก้านใบอาจพบหรอื ไมพ่ บหใู บ - โครงสร้างภายในของใบตัดตามขวาง ประกอบด้วย เนื้อเยื่อ 3 กลุ่ม ได้แก่ เอพิเดอร์มิส มีโซฟิลล์ และ เนอื้ เยอื่ ท่อลำเลียง 5. สืบค้นข้อมูล สังเกตและอธิบายการ - พืชมีการแลกเปล่ียนแก๊สและการคายน้ำผ่านทางปาก แลกเปลี่ยนแก๊สและการคายน้ำของพืช ใบเปน็ ส่วนใหญ่ ปากใบพบไดท้ ่ีใบและลำต้นออ่ น เม่อื ความช้ืนสัมพัทธ์ในอากาศภายนอกตำ่ กว่าความช้ืน สัมพัทธ์ภายในใบพืช ทำให้น้ำภายในใบพืชระเหยเป็น ไอออกมาทางรปู ากใบ เรยี กวา่ การคายน้ำ - ความชน้ื ในอากาศ ลม อณุ หภูมิ สภาพนำ้ ในดนิ ความเข้มของแสง เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการคายน้ำของ พืช 6. สืบค้นข้อมูลและอธิบายกลไกการ - พืชดูดน้ำและธาตุอาหารต่าง ๆ จากดิน โดยเซลล์ขน ลำเลยี งนำและธาตอุ าหารของพชื รากแล้วลำเลียงผ่านชั้นคอร์เทกซ์ เขา้ สู่เนื้อเย่ือลำเลียง 7. สืบค้นข้อมูล อธิบายความสำคัญของ นำ้ ในชน้ั สตีล ซึง่ เป็นการดดู น้ำจากดนิ สู่เน้อื เยอื่ ลำเลียง ธาตุอาหาร และยกตัวอย่าง ธาตุอาหาร น้ำในแนวระนาบ และลำเลียงไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช ท่ีสำคัญท่มี ีผลต่อการเจรญิ เติบโตของพืช ในแนวดง่ิ - ในสภาวะปกติการลำเลียงน้ำจากรากสู่ยอดของพืช อาศยั แรงดึงจากการคายน้ำ ร่วมกับแรงโคฮชี นั แรงแอดฮชี ัน - ในภาวะที่บรรยากาศมีความชื้นสัมพัทธ์สูงมากจนไม่ สามารถเกิดการคายน้ำไดต้ ามปกติ น้ำที่เข้าไปในเซลล์ รากจะทำให้เกิดแรงดันเรียกว่าแรงดันราก ทำให้เกิด ปรากฏการณก์ ัตเตชนั
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพิม่ เติม - พชื แต่ละชนิดต้องการปรมิ าณและชนดิ ของธาตุอาหาร แตกต่างกัน สามารถนำความรู้เกี่ยวกับสมบัติของธาตุ อาหารชนิดต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชใน สารละลายธาตุอาหาร เพื่อให้พืชเจริญเติบโตได้ตามที่ ตอ้ งการ 8. อธิบายกลไกการลำเลยี งอาหารในพชื - อาหารที่ได้จากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงจาก แหล่งสร้าง จะถูกเปลี่ยนแปลงเป็นซูโครส และลำเลียง ผ่านทางท่อโฟลเอ็ม โดยอาศัยกลไกการลำเลียงอาหาร ในพืชซึง่ เกี่ยวข้องกบั แรงดันนำ้ ไปยงั แหล่งรับ 9. สืบค้นข้อมูลและสรุปการศึกษาที่ได้ - การศึกษาคน้ คว้าของนกั วิทยาศาสตรใ์ นอดีตทำใหไ้ ด้ จากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ ใน ความรู้เกีย่ วกับกระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสงมาเปน็ อดีตเกี่ยวกับกระบวน การสังเคราะห์ ลำดบั ขั้นจนไดข้ อ้ สรุปวา่ คารบ์ อนไดออกไซด์ และนำ้ ดว้ ยแสง เปน็ วตั ถุดิบที่พืชใช้ในกระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง และผลผลติ ท่ีได้ คอื น้ำตาล ออกซเิ จน 10. อธบิ ายขนั้ ตอนท่เี กดิ ขึ้นในกระบวน - กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงมี 2 ขั้นตอน คือ การสงั เคราะห์ด้วยแสงของพืช C3 ปฏิกริ ิยาแสง และการตรงึ คาร์บอนไดออกไซด์ - ปฏิกริ ยิ าแสงเป็นปฏกิ ริ ิยาทเ่ี ปลีย่ นพลงั งานแสงเป็น พลังงานเคมี โดยแสงออกซไิ ดซ์โมเลกลุ สารสี ทีไ่ ทลาคอยดข์ องคลอโรพลาสต์ ทำให้เกดิ การถ่ายทอด อเิ ล็กตรอน ได้ผลิตภณั ฑ์เป็น ATP และ NADPH ใน สโตรมาของคลอโรพลาสต์ - การตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ เกิดในสโตรมา โดยใช้ RuBP และเอนไซม์รูบิสโก ได้สารที่ประกอบด้วย คารบ์ อน 3 อะตอม คอื PGA โดยใช้ ATP และ NADPH ที่ได้จากปฏิกิริยาแสงไปรีดิวซ์สารประกอบคาร์บอน 3 อะตอม ได้เป็นน้ำตาลที่มีคาร์บอน 3 อะตอม คือ PGAL ซึ่งส่วนหนึ่งจะถูกนำไปสร้าง RuBP กลับคืน เป็นวัฏจักร โดยพืชC3จะมีการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ ดว้ ยวัฏจกั รคลั วนิ เพียงอย่างเดียว 11. เปรียบเทียบกลไกการตรึงคาร์บอน- - พชื C4 ตรงึ คารบ์ อนอนนิ ทรีย์ 2 ครัง้ ครั้งแรกเกิดขึน้ ที่ ไดออกไซด์ในพืช C3 พืช C4 และพืช เซลลม์ ีโซฟิลล์ โดย PEP และเอนไซม์เพบคาร์บอกซิเลส CAM ได้สารประกอบท่ีมีคารบ์ อน 4 อะตอม คือ OAA ซึ่งจะ มีการเปลีย่ นแปลงทางเคมไี ด้สารประกอบทมี่ คี ารบ์ อน
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพิ่มเติม 4 อะตอม คอื กรดมาลกิ ซึง่ จะถูกลำเลยี งไปจนถึงเซลล์ บนั เดิลชีทและปล่อยคารบ์ อนไดออกไซด์ใน คลอโรพลาสต์เพ่อื ใช้ในวัฏจกั รคลั วนิ ต่อไป - พืช CAM มีกลไกในการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์คล้าย พืช C4 แต่มีการตรึงคาร์บอนอนินทรีย์ทั้ง 2 ครั้งใน เซลล์เดียวกัน โดยเซลล์มีการตรึงคาร์บอนอนินทรีย์ ครั้งแรกในเวลากลางคืนและปล่อยออกมาในเวลา กลางวัน เพื่อใช้ในวฏั จกั รคลั วนิ ต่อไป 12. สืบค้นข้อมูล อภิปราย และสรุป - ปัจจัยที่มีผลตอ่ การสงั เคราะห์ด้วยแสง เช่นความเข้ม ปัจจัยความเข้มของแสง ความเข้มข้น ของแสง ความเข้มขน้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์ อุณหภูมิ ของคารบ์ อนไดออกไซด์ และอุณหภูมิ ท่ี ปริมาณนำ้ ในดนิ ธาตุอาหาร อายใุ บ มีผลตอ่ การสังเคราะห์ด้วยแสงของพชื 13. อธิบายวัฏจักรชวี ติ แบบสลับของ - พืชดอกมีวัฏจักรชีวิตแบบสลับ ประกอบด้วย ระยะท่ี พืชดอก สร้างสปอร์ เรียก ระยะสปอโรไฟต์ (2n) และระยะที่ สรา้ งเซลลส์ ืบพนั ธุ์ เรยี ก ระยะแกมโี ทไฟต์ (n) - ส่วนประกอบของดอกที่เก่ียวข้องกับการสืบพันธุ์โดย ตรงคือชั้นเกสรเพศผู้และชน้ั เกสรเพศเมยี ซงึ่ จำนวน รงั ไขเ่ กยี่ วขอ้ งกบั การเจรญิ เปน็ ผลชนดิ ต่าง ๆ 14. อธิบาย และเปรียบเทียบกระบวน - พืชดอกสร้างไมโครสปอร์ และเมกะสปอร์ ซึ่งอาจ การสรา้ งเซลล์สืบพนั ธเุ์ พศผู้และเพศเมีย สรา้ งในดอกเดยี วกนั หรอื ตา่ งดอกหรือตา่ งต้นกัน ของพชื ดอก และอธบิ ายการปฏสิ นธิของ - การสร้างไมโครสปอร์ของพืชดอกเกิดขึ้นโดย พชื ดอก ไมโครสปอรม์ าเทอรเ์ ซลล์ แบง่ เซลลแ์ บบไมโอซิสได้ ไมโครสปอร์ โดยไมโครสปอรน์ ี้ แบ่งเซลล์แบบไมโทซสิ ได้ 2 เซลล์ คือ ทิวบ์เซลล์และเจเนอเรทิฟเซลล์ เมื่อมี การถ่ายเรณูไปตกบนยอดเกสรเพศเมีย ทิวบ์เซลล์จะ งอกหลอดเรณู และเจเนอเรทิฟเซลล์แบ่งไมโทซิสได้ เซลลส์ ืบพนั ธุ์ เพศผู้ 2 เซลล์ - การสร้างเมกะสปอร์เกดิ ขึ้นภายในออวลุ ในรงั ไข่ โดย เซลล์ที่เรียกว่าเมกะสปอร์มาเทอร์เซลล์ แบ่งไมโอซิสได้ เมกะสปอร์ ซึ่งในพืชส่วนใหญ่จะเจริญพัฒนาต่อไปได้ เพียง 1 เซลล์ ที่เหลืออีก 3 เซลล์จะฝ่อ เมกะสปอร์จะ แบ่งไมโทซิส 3 ครงั้ ได้ 8 นวิ เคลียส ทีป่ ระกอบด้วย 7 เซลลโ์ ดยมี 1 เซลล์ ท่ีทำหน้าท่ีเป็นเซลล์สืบพนั ธุ์ เรียกเซลล์ไข่ สว่ นอีก 1 เซลลม์ ี 2 นิวเคลยี ส เรยี ก โพลารน์ วิ คลไี อ - การปฏิสนธิของพืชดอกเป็นการปฏิสนธิคู่ โดยคู่หนึ่ง เป็นการรวมกันของสเปิร์มเซลล์หนึ่งกับเซลล์ไข่ได้เปน็
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพ่มิ เตมิ ไซโกต ซ่งึ จะเจริญและพัฒนาไปเปน็ เอม็ บริโอ และอีกคู่ ห น ึ ่ ง เ ป ็ น ก า ร ร ว ม ก ั น ข อ ง ส เ ป ิ ร ์ ม อ ี ก เ ซ ล ล ์ ห น ึ ่ ง กั บ โพลาร์นิวคลีไอได้เป็นเอนโดสเปิร์มนิวเคลียส ซึ่งจะ เจรญิ และพัฒนาตอ่ ไปเปน็ เอนโดสเปริ ์ม 15. อธิบายการเกิดเมล็ดและการเกิดผล - ภายหลังการปฏิสนธิ ออวุลจะมีการเจริญและพัฒนา ของพืชดอก โครงสร้างของเมล็ดและผล ไปเป็นเมล็ด และรังไข่จะมีการเจริญและพัฒนาไปเปน็ และยกตัวอย่างการใช้ประโยชน์จาก ผล โครงสร้างตา่ ง ๆ ของเมลด็ และผล - โครงสร้างของเมล็ดประกอบด้วย เปลือกเมล็ด เอ็มบรโิ อ และเอนโดสเปิร์ม โครงสร้างของผลประกอบ ด้วย ผนังผล และเมล็ด ซึ่งแต่ละส่วนองโครงสร้างจะมี ประโยชนต์ ่อพชื เองและต่อสงิ่ มชี วี ิตอื่น 16. ทดลอง และอธิบายเกี่ยวกับปัจจัย - เมล็ดท่เี จรญิ เต็มท่ีจะมีการงอกโดยมีปัจจยั ต่าง ๆ ท่ีมี ต่าง ๆ ที่มีผลต่อการงอกของเมล็ด ผลต่อการงอกของเมล็ด เช่น น้ำ หรือความชื้น สภาพพักตัวของเมล็ด และบอกแนวทาง ออกซิเจน อุณหภูมิ และแสง เมล็ดบางชนิดสามารถ ในการแกส้ ภาพพกั ตัวของเมลด็ งอกได้ทันที แต่เมล็ดบางชนิดไม่สามารถงอกได้ทันที เพราะอยูใ่ นสภาพพักตวั - เมล็ดบางชนิดมีสภาพพักตัวเนื่องจากมีปัจจัย บาง ประการที่มีผลยับยั้งการงอกของเมล็ดซึ่งสภาพพักตัว ของเมลด็ สามารถแกไ้ ขไดห้ ลายวิธตี ามปจั จยั ท่ยี บั ยง้ั 17. สบื ค้นขอ้ มูล อธิบายบทบาท และ - พืชสร้างสารควบคุมการเจริญเติบโตหลายชนิดทีส่ ่วน หนา้ ทขี่ องออกซนิ ไซโทไคนนิ ต่าง ๆ ซึ่งสารนี้เป็นสิ่งเร้าภายในที่มีผลต่อการเจริญ จิบเบอเรลลิน เอทลีน และ เติบโตของพืช เช่น ออกซิน ไซโทไคนิน จิบเบอเรลลิน กรดแอบไซซกิ และอภปิ รายเกีย่ วกบั การ เอทลิ ีน และกรดแอบไซซกิ นำไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตร - แสงสวา่ ง แรงโน้มถ่วงของโลก สารเคมี และนำ้ 18. สบื คน้ ข้อมลู ทดลองและอภิปราย เป็นส่ิงเรา้ ภายนอกท่มี ผี ลตอ่ การเจริญเตบิ โตของพืช เกี่ยวกับสิ่งเร้าภายนอกที่มีผลต่อการ - ความรู้เกีย่ วกบั การตอบสนองตอ่ สิ่งเร้าภายในและส่ิง เจรญิ เติบโตของพืช เร้าภายนอกที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช สามารถ นำมาประยกุ ตใ์ ชค้ วบคมุ การเจริญเตบิ โตของพืช เพิ่มผลผลิต และยดื อายุผลผลิตได้
4. เข้าใจการย่อยอาหารของสัตว์และมนุษย์ การหายใจและการแลกเปลี่ยนแก๊ส การลำเลียงสารและ การหมุนเวียนเลือด ภมู คุม้ กันของร่างกาย การขบั ถ่าย การรับรู้ และการตอบสนอง การเคลือ่ นที่ การสืบพันธุ์ และการเจริญเตบิ โต ฮอรโ์ มนกับ การรักษาดลุ ยภาพ และพฤตกิ รรมของสัตว์ รวมทั้งนำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรียนท่ี 2 ชัน้ ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพ่มิ เตมิ ม.5 1. สืบค้นข้อมูล อธิบายและเปรียบเทียบ - รา มีการปลอ่ ยเอนไซม์ออกมาย่อยอาหาร นอกเซลล์ โครงสร้างและกระบวนการย่อยอาหาร ส่วนอะมีบาและพารามีเซียมมีการย่อย อาหารภายใน ของสัตว์ที่ไม่มีทางเดินอาหารสัตว์ที่มี ฟดู แวคิวโอลโดยเอนไซม์ในไลโซโซม ทางเดินอาหารแบบไม่สมบูรณแ์ ละสัตว์ที่มี - ฟองน้ำไม่มีทางเดินอาหารแตจ่ ะมีเซลล์พิเศษ ทำหน้า ทางเดินอาหารแบบสมบรู ณ์ ที่ จับอาหารเข้าสู่เซลล์ด้วยอยู่ภายในเซลล์โดยเอนไซม์ 2. สังเกต อธบิ ายการกนิ อาหารของไฮดรา ในไลโซโซม และพลานาเรยี - ไฮดราและพลานาเรยี มีทางเดินอาหารแบบไม่สมบูรณ์ จะกินอาหารและขับกากอาหารออกทางเดียวกัน - ไส้เดือนดิน แมลง สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังส่วนใหญ่ และสัตว์มีกระดูกสันหลังจะมีทางเดินอาหารแบบ สมบูรณ์ 3. อธบิ ายเกี่ยวกบั โครงสรา้ งหนา้ ทแี่ ละ - การยอ่ ยอาหารของมนษุ ย์ประกอบด้วยการย่อยเชงิ กระบวนการยอ่ ยอาหารและการดดู ซมึ กล โดยการบดอาหารใหม้ ีขนาดเลก็ ลงและการยอ่ ยทาง สารอาหารภายในระบบยอ่ ยอาหารของ เคมโี ดยอาศัยเอนไซม์ในทางเดินอาหาร ทำใหโ้ มเลกุล มนษุ ย์ ของอาหารมีขนาดเล็กจนเซลล์สามารถดูดซึม และ นำไปใชไ้ ด้ - การยอ่ ยอาหารของมนุษย์เกดิ ขน้ึ ทช่ี อ่ งปาก กระเพาะ อาหารและลำไส้เลก็ - สารอาหารที่ยอ่ ยแลว้ วิตามินบางชนิด และธาตุอาหาร จะถูกดูดซึมที่วิลลัส เข้าสู่หลอดเลือดฝอย แล้วผ่านตับ ก่อนเข้าสู่หัวใจ ส่วนสารอาหารประเภทลิพิด และ วิตามินที่ละลายในไขมัน จะถูกดูดซึมเข้าสู่หลอด น้ำเหลืองฝอย อาหารที่ไม่ถูกย่อยหรือย่อยไม่ได้จะ เคลื่อนต่อไป ยังลำไส้ใหญ่ น้ำ ธาตุอาหาร และวิตามิน บางส่วน ดดู ซึมเข้าสผู่ นังลำไส้ใหญ่ท่ีเหลอื เป็น กากอาหาร จะถูกกำจัดออกทางทวารหนกั 4. สบื ค้นข้อมูล อธบิ ายและเปรยี บเทียบ - ไส้เดือนดินมีการแลกเปลี่ยนแก๊สผ่านเซลล์บริเวณ โครงสร้างท่ที ำหนา้ ที่แลกเปล่ียนแกส๊ ของ ผิวหนังท่ีเปยี กช้นื ฟองน้ำ ไฮดรา พลานาเรีย ไสเ้ ดือนดนิ - แมลงมกี ารแลกเปล่ยี นแก๊สโดยผ่านทางท่อลมซึ่งแตก แมลง ปลา กบและนก แขนงเป็นท่อลมฝอย 5. สังเกตและอธบิ ายโครงสร้างของปอดใน - ปลาเปน็ สตั ว์น้ำมีการแลกเปล่ียนแกส๊ ที่ละลายอยู่ในน้ำ สัตว์เลย้ี งลกู ด้วยน้ำนม ผา่ นเหงือก
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พ่มิ เติม - สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกใช้ปอดและผิวหนังในการ แลกเปล่ียนแก๊ส - สตั วเ์ ลื้อยคลาน สัตว์ปีก และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม อาศยั ปอดในการแลกเปล่ียนแก๊ส 6. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างที่ใช้ใน - ทางเดินหายใจของมนุษย์ประกอบดว้ ย ช่องจมูก การแลกเปลี่ยนแก๊ส และกระบวนการ โพรงจมูก คอหอย กล่องเสียง ท่อลม หลอดลมและถุง แลกเปลย่ี นแกส๊ ของมนุษย์ ลมในปอด 7. อธิบายการทำงานของปอด และ - ปอดเป็นบริเวณทีม่ ีการแลกเปลี่ยนแก๊สระหว่างถงุ ลม ทดลองวัดปริมาตรของอากาศในการ กับหลอดเลือดฝอยและบริเวณเซลล์ของเนื้อเยื่อต่าง ๆ หายใจออกของมนุษย์ มีการแลกเปลี่ยนแก๊สโดยการแพร่ผ่านหลอดเลือดฝอย เช่นกัน - การหายใจเข้าและการหายใจออกเกิดจากการเปลีย่ น แปลงความดันของอากาศภายในปอดโดยการทำงาน ร่วมกันของกล้ามเนื้อกะบังลมและกล้ามเนื้อระหว่าง กระดูกซโ่ี ครงและควบคุมโดยสมองส่วนพอนส์ และ เมดัลลาออบลองกาตา 8. สืบค้นข้อมูล อธิบายและเปรียบเทียบ - สิง่ มีชีวติ เซลล์เดยี วและสัตวท์ ่มี ีโครงสร้างร่างกาย ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิดและระบบ ไมซ่ ับซอ้ นมีการลำเลียงสารต่าง ๆ โดยการแพร่ระหว่าง หมนุ เวยี นเลอื ดแบบปิด เซลลก์ ับสงิ่ แวดล้อม 9. สังเกต และอธิบายทิศทางการไหลของ - สัตว์ที่มีโครงสร้างร่างกายซบั ซ้อนจะมีการลำเลียงสาร เลือดและการเคลื่อนที่ของเซลล์เม็ดเลือด โดยระบบหมุนเวยี นเลอื ด ซึ่งประกอบด้วยหวั ใจ ในหางปลาและสรุปความสัมพันธ์ระหว่าง หลอดเลือด และเลอื ด ขนาดของหลอดเลือดกบความเร็วในการ - ระบบหมนุ เวียนเลือดมี 2 แบบ คือ ระบบหมุนเวียน ไหลของเลือด เลอื ดแบบเปิดและระบบหมนุ เวียนเลือดแบบปดิ - ระบบหมุนเวียนเลือดแบบเปิดพบในสัตว์จำพวก หอย แมลง กุ้งส่วนระบบหมุนเวียนเลือดแบบปิด พบใน ไสเ้ ดือนดนิ และสัตวม์ ีกระดูกสนั หลัง 10. อธิบายโครงสร้างและการทำงานของ - ระบบหมุนเวียนเลือดของมนุษย์ประกอบด้วย หัวใจ หวั ใจและหลอดเลอื ดในมนุษย์ หลอดเลือดและเลือดซึ่งเลือดไหลเวียนอยู่เฉพาะใน 11. สงั เกตและอธบิ ายโครงสร้างหวั ใจของ หลอดเลือด สัตว์เลย้ี งลูกดว้ ยน้ำนมทศิ ทางการไหลของ - หัวใจมีเอเตรียมทำหน้าที่รับเลือดเข้าสู่หัวใจและ เลือดผ่านหัวใจของมนุษย์และเขียนแผน เวนตริเคิล ทำหนา้ ท่สี บู ฉีดเลือดออกจากหวั ใจ โดยมี ผงสรุปการหมุนเวยี นเลือดของมนุษย์ ลิ้นกั้นระหว่างเอเตรียมกับเวนตริเคิลและระหว่าง 12. สบื ค้นขอ้ มูล ระบุความแตกต่างของ เวนตรเิ คิลกับหลอดเลอื ดที่นำเลือดออกจากหัวใจ เซลล์เม็ดเลือดแดงเซลล์เม็ดเลือดขาว เพล็ตเลตและพลาสมา
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิม่ เตมิ -เลือดออกจากหัวใจทางหลอดเลอื ดเอออตาร์ อาร์เตอรี อาร์เตอรโ์ อล หลอดเลอื ดฝอย เวนูล เวนและเวนาคาวา แลว้ เข้าสู่หวั ใจ 13. อธิบายหมู่เลือดและหลักการให้และ - ขณะที่หัวใจบีบตัวสูบฉีดเลือดทำให้เกิดความดันเลือด รับเลือดในระบบ ABO และระบบ Rh และชีพจรสภาพการทำงานของรา่ งกาย อายุ และเพศ ของมนุษยเ์ ป็นปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ ความดันเลอื ดและชีพจร - เลือดมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์เม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ เพลตเลตและพลาสมาซง่ึ ทำหนา้ ทแ่ี ตกต่างกนั - หมู่เลือดของมนุษย์จำแนกตามระบบ ABO ได้เป็น เลือดหมู่ A B AB และ O ซึ่งเรียกชื่อตามชนิด ของ แอนติเจนที่เยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดงและจำแนกตาม ระบบ Rh ไดเ้ ป็น เลือดหมู่ Rh+ และ Rh• การให้และรับ เลือดมีหลักว่าแอนติเจนของผู้ให้ต้องไม่ตรงกับ แอนติบอดีของผู้รับและการให้และรับเลือดที่เหมาะสม ท่ีสดุ คอื ผ้ใู ห้และผรู้ ับควรมีเลือดหมู่ตรงกัน 14. อธิบายและสรุปเกี่ยวกับส่ว น - ของเหลวที่ซึมผ่านผนังหลอดเลือดฝอยออกมาอยู่ ประกอบและหน้าที่ของน้ำเหลืองรวมท้ัง ระหว่างเซลล์เรียกวา่ น้ำเหลือง ทำหน้าทีห่ ล่อเล้ียงเซลล์ โครงสร้างและหน้าที่ของหลอดน้ำเหลือง และสามารถแพร่เข้าสู่หลอดน้ำเหลืองฝอย ซึ่งต่อมา และตอ่ มน้ำเหลือง หลอดน้ำเหลืองฝอย จะรวมกันมีขนาดใหญ่ขึ้นและเปดิ เขา้ ส่รู ะบบ หมุนเวียนเลือดที่หลอดเลือดเวนใกลห้ วั ใจ - ระบบน้ำเหลืองประกอบด้วย น้ำเหลือง หลอดน้ำ เหลือง และต่อมน้ำเหลือง โดยทำหน้าที่นำน้ำเหลือง กลับเข้าสู่ระบบหมุนเวียนเลือดต่อมน้ำเหลืองเป็นที่อยู่ ของเซลล์เม็ดเลอื ดขาวทำหนา้ ที่ทำลายส่ิงแปลกปลอมที่ ลำเลยี งมากบั น้ำเหลอื ง
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพ่ิมเตมิ 15.สืบค้นข้อมูล อธิบายและเปรียบเทียบ - กลไกท่ีร่างกายตอ่ ตา้ นหรือทำลายสงิ่ แปลกปลอม มอี ยู่ กลไกการต่อต้านหรือทำลายสิ่งแปลก 2 แบบ คือ แบบจำเพาะ และแบบไม่จำเพาะ ปลอมแบบไมจ่ ำเพาะและแบบจำเพาะ - ต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อที่ผิวหนังช่วยป้องกันและยับยั้ง 16. สบื คน้ ขอ้ มูล อธิบายและเปรียบ การเจริญของจุลินทรีย์บางชนิดและเมื่อเชื้อโรคหรือสงิ่ เทยี บการสรา้ งภูมิคมุ้ กันกอ่ เองและ แปลกปลอมเข้าสูร่ ่างกายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทร ภูมิคมุ้ กันรับมา ฟิลและโมโนไซต์จะมีการต่อต้านและทำลายสิ่งแปลก 17. สบื คน้ ข้อมูล และอธบิ ายเก่ยี วกบั ปลอมโดยกระบวนการฟาโกไซโทซิส ส่วนอีโอซิโนฟิล ความผิดปกตขิ องระบบภมู ิคมุ้ กนั ที่ทำให้ เก่ียวขอ้ งกับการทำลายปรสิต เบโซฟิลเกีย่ วขอ้ งกับ เกดิ เอดส์ภมู ิแพก้ ารสรา้ งภูมติ า้ นทานต่อ ปฏิกิรยิ าการแพซ้ ง่ึ เป็นการต่อตา้ น หรือทำลายส่ิง เนอื้ เยื่อตนเอง แปลกปลอมแบบไมจ่ ำเพาะ - การต่อต้านหรือทำลายสิ่งแปลกปลอมแบบจำเพาะ จะเกี่ยวข้องกับการทำงานของลิมโฟไซต์ ชนิดเซลล์บี และเซลลท์ ี - อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและตอบสนองของลิม โฟไซต์ประกอบด้วยตอ่ มน้ำเหลือง ทอนซิล ม้าม ไทมัส และเนอ้ื เยอ่ื น้ำเหลืองทผ่ี นังลำไส้เล็ก - การสรา้ งภมู คิ ุ้มกนั แบบจำเพาะของร่างกาย มี 2 แบบ คอื ภมู ิคุ้มกนั ก่อเองและภมู คิ ุม้ กนั รบั มา - การได้รับวัคซีนหรือทอกซอยด์เป็นตัวอย่างของ ภูมิคุ้มกันก่อเองโดยการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิ คุ้มกันขึ้นด้วยวิธีกาใหส้ ารที่เป็นแอนติเจนเข้าสู่ร่างกาย ส่วนภูมิคุ้มกันรับมาเป็นการรับแอนติบอดีโดยตรง เช่น การไดร้ บั ซีรัม การได้รับนำ้ นมแม่ - เอดส์ ภูมิแพ้และการสร้างภูมิต้านทานต่อเนื้อเย่ือ ตนเองเป็นตัวอย่างของอาการที่เกิดจากระบบภูมิคุ้ม กันของรา่ งกายทที่ ำงานผดิ ปกติ 18. สบื ค้นข้อมลู อ ธ ิ บ า ย แ ล ะ เ ป ร ี ย บ - อะมีบาและพารามีเซียมเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่มี เทียบโครงสร้างและหน้าที่ในการกำจัด คอนแทรกไทล์แวคิวโอลทำหน้าที่ในการกำจัด และ ของเสยี ออกจากร่างกายของฟองน้ำไฮดรา รักษาดุลยภาพของน้ำและแร่ธาตุในเซลล์ พลานาเรีย ไส้เดือนดิน แมลงและสัตว์มี - ฟองน้ำและไฮดรามีเซลล์ส่วนใหญ่สัมผัสกับน้ำโดย กระดกู สันหลงั ตรงของเสียจึงถูกกำจัดออกโดยการแพร่สู่ สภาพ แวดล้อม - พลานาเรียใช้เฟลมเซลล์ซึ่งกระจายอยู่ 2 ข้างตลอด ความยาวของลำตัวทำหนา้ ท่ขี ับถ่ายของเสยี - ไส้เดือนดนิ ใชเ้ นฟริเดยี ม แมลงใช้มัลพิเกียนทิวบูลและ สตั วม์ กี ระดูกสนั หลังใช้ไตในการขับถา่ ยของเสีย
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่มิ เตมิ 19. อธิบายโครงสร้างและหน้าที่ของไต - ไตเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการขับถ่าย และ และโครงสร้างที่ใช้ลำเลียงปัสสาวะออก รักษาดุลยภาพของนำ้ และแร่ธาตใุ นร่างกาย จากรางกาย - ไตประกอบด้วยบริเวณส่วนนอกที่เรียกว่า คอร์เท็กซ์ และบรเิ วณส่วนในทเ่ี รยี กว่า เมดัลลา และบรเิ วณสว่ น 20. อธิบายกลไกการทำงานของหน่วยไต ปลายของเมดัลลาจะยื่นเข้าไปจรดกับส่วนที่เป็นโพรง ในการกำจัดของเสียออกจากร่างกายและ เรียกว่า กรวยไต โดยกรวยไตจะต่อกับท่อไตซึ่งทำหน้า เขียนแผนผังสรุปขั้นตอนการกำจัดของ ที่ลำเลียงปัสสาวะไปเก็บไว้ที่กระเพาะปัสสาวะ เพ่ือ เสียออกจากรา่ งกายโดยหน่วยไต ขับถา่ ยออกนอกรา่ งกาย 21. สบื ค้นข้อมลู อธิบายและยกตัวอย่าง - ไตแต่ละขา้ งของมนุษย์ประกอบดว้ ยหนว่ ยไต ลักษณะ เกี่ยวกับความผิดปกติของไตอันเนื่อง เป็นท่อปลายข้างหนึ่งเป็นรูปถ้วย เรียกว่า โบว์แมนส์ มาจากโรคต่าง ๆ แคปซูล ล้อมรอบกลุ่มหลอดเลอื ดฝอยท่ีเรียกว่า โกลเมอรลู สั - กลไกในการกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ประกอบ ดว้ ย การกรอง การดดู กลบั และการหลงั่ สารทเ่ี กนิ ความ ต้องการออกจากรา่ งกาย - โรคนิ่วและโรคไตวายเป็นตัวอย่างของโรคที่เกิดจาก ความผิดปกติของไต ซึ่งส่งผลกระทบต่อการรักษา ดลุ ยภาพของสารในร่างกาย - นอกจากไตที่ทำหน้าที่รักษาดุลยภาพของน้ำแร่ธาตุ และกรด-เบส ผวิ หนัง และระบบหายใจ ยังมีส่วนชว่ ยใน การรกั ษาดุลยภาพเหล่าน้ีดว้ ย
ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พิ่มเติม ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 ภาคเรยี นท่ี 1 ม.6 1. สืบค้นข้อมูล อธิบายและเปรียบเทียบ - สัตว์สว่ นใหญม่ ีระบบประสาททำให้สามารถรบั รู้ และ โครงสร้างและหน้าที่ของระบบประสาท ตอบสนองตอ่ สิง่ เรา้ ได้ เชน่ ไฮดรา มรี ่างแหประสาท ของไฮดรา พลานาเรยี ไส้เดอื นดนิ กงุ้ หอย พลานาเรีย ไส้เดือนดิน กุ้ง หอย และแมลง แมลง และสัตว์มกี ระดูกสนั หลงั มปี มประสาทและเส้นประสาท ส่วนสัตวม์ กี ระดูก 2. อธิบายเกี่ยวกับโครงสร้าง และหน้าที่ สันหลัง มีสมอง ไขสันหลงั ปมประสาท ของเซลล์ประสาท และเสน้ ประสาท 3. อธิบายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของ - หน่วยทำงานของระบบประสาท คอื เซลล์ประสาท ซึง่ ศักยไ์ ฟฟา้ ทเ่ี ยอื่ หมุ้ เซลลข์ องเซลล์ประสาท ประกอบดว้ ยตัวเซลล์ และเสน้ ใยประสาทที่ทำหน้าที่รับ และกลไกการถา่ ยทอดกระแสประสาท และส่งกระแสประสาท เรียกว่า เดนไดรต์และแอกซอน ตามลำดบั - หน่วยทำงานของระบบประสาท คอื เซลลป์ ระสาท ซึ่งประกอบด้วยตัวเซลล์ และเส้นใยประสาทที่ทำ หน้าที่รับและส่งกระแสประสาท เรียกว่า เดนไดรตแ์ ละ แอกซอน ตามลำดบั - เซลล์ประสาทจำแนกตามหน้าที่ได้เป็นเซลล์ ประสาทรับความรู้สึก เซลล์ประสาทสั่งการ และเซลล์ ประสาทประสานงาน - เซลล์ประสาทจำแนกตามรูปร่างได้เป็นเซลล์ประสาท ขั้วเดยี ว เซลลป์ ระสาทขวั้ เดียวเทยี ม เซลลป์ ระสาทสอง ขวั้ และเซลล์ประสาทหลายข้วั - กระแสประสาทเกิดจากการเปลี่ยนแปลงศักย์ไฟฟ้าที่ เยื่อหุ้มเซลล์ของเดนไดรต์และแอกซอน ทำให้มีการ ถ่ายทอดกระแสประสาทจากเซลล์ประสาทไปยังเซลล์ ประสาท หรือเซลล์อืน่ ๆ ผ่านทางไซแนปส์ - ระบบประสาทของมนุษย์แบ่งได้เป็น 2 ระบบตาม ตำแหน่งและโครงสร้าง คือ ระบบประสาทส่วนกลาง ไดแ้ ก่ สมองและไขสนั หลงั และระบบประสาทรอบนอก ได้แก่ เสน้ ประสาทสมองและเส้นประสาทไขสันหลัง
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พ่มิ เติม 4. อธิบายและสรุปเกี่ยวกับโครงสร้างของ - สมองแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ สมองส่วนหน้า สมอง ระบบประสาทส่วนกลางและระบบ ส่วนกลาง และสมองส่วนหลัง สมองแต่ละส่วนจะ ประสาทรอบนอก ควบคุมการทำงานของร่างกายแตกต่างกัน โดยมี 5. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างและ เส้นประสาทท่แี ยกออกจากสมอง 12 คไู่ ปยงั อวัยวะต่าง หน้าที่ของส่วนต่าง ๆ ในสมองส่วนหน้า ๆ ซงึ่ บางคทู่ ำหนา้ ท่รี ับความรู้สกึ เข้าสู่สมอง หรือ สมองส่วนกลาง สมองส่วนหลัง และไขสัน นำคำสั่งจากสมองไปยังหนว่ ยปฏิบัติงาน หรือทำหน้าที่ หลัง ทงั้ สองอย่าง 6. สืบค้นขอ้ มลู อธบิ าย เปรยี บเทียบ และ - ไขสันหลงั เปน็ สว่ นที่ต่อจากสมองอยู่ภายในกระดูกสัน ยก ตวั อย่าง การทำงานของระบบประสาท หลงั และมีเส้นประสาทแยกออกจากไขสันหลังเป็นคู่ โซมาตกิ และระบบประสาทอตั โนวัติ ซึ่งทำหน้าที่ประมวลผลการตอบสนองโดยไขสันหลัง เช่น การเกิดรีเฟล็กซ์ชนิดต่าง ๆ และการถ่ายทอด กระแสประสาทระหวา่ งไขสันหลงั กบั สมอง - เส้นประสาทไขสันหลังทุกคู่จะทำหน้าที่รับความรู้สึก เข้าสไู่ ขสันหลงั และนำคำสง่ั ออกจาก ไขสนั หลงั - ระบบประสาทรอบนอกส่วนที่สั่งการแบ่งเป็น ระบบ ประสาทโซมาติกซึ่งควบคุมการทำงานของกล้ามเน้ือ โครงร่าง และระบบประสาทอัตโนวัตซิ ่ึงควบคุมการ ทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจกล้ามเนื้อเรียบ และต่อม ต่าง ๆ - ระบบประสาทอัตโนวัติแบ่งการทำงานเป็น 2 ระบบ คือ ระบบประสาทซิมพาเทติก และระบบประสาทพารา ซิมพาเทติก ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานตรงกันข้ามเพื่อรักษา ดลุ ยภาพของกระบวนการตา่ ง ๆ ในร่างกาย 7. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างและ - ตา หู จมูก ลิน้ และผวิ หนงั เป็นอวัยวะรับความรู้สึกท่ี หนา้ ทขี่ อง ตา หู จมกู ลนิ้ และผิวหนังของ รับสิ่งเร้าที่แตกต่างกัน จึงมีความสำคัญที่ควรดูแล มนุษย์ ยกตัวอย่างโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ปอ้ งกัน และรกั ษาให้สามารถทำงานไดเ้ ปน็ ปกติ และบอกแนวทางในการดูแลปอ้ งกัน และ - ตาประกอบด้วย ชั้นสเคลอราโครอยด์ และเรตินา รักษา เลนส์ตาเป็นเลนส์นูนอยู่ถัดจากกระจกตาทำหน้าที่รวม 8. สงั เกต และอธบิ ายตำแหน่งของจุดบอด แสงจากวัตถุไปที่เรตินา ซึ่งประกอบด้วย เซลล์รับแสง โฟเวีย และความไวในการรับสัมผัสของ และเซลลป์ ระสาทท่ีนำกระแสประสาทสู่สมอง ผิวหนงั - หูประกอบด้วย 3 ส่วน คือ หูส่วนนอก หูส่วนกลาง และหูส่วนใน ภายในหูส่วนในมีคอเคลีย ซึ่งทำหน้าทีร่ บั และเปลี่ยนคล่ืนเสียงเป็นกระแสประสาท นอกจากนี้ยงั มีเซมิเซอร์ควิ ลารแ์ คเเนลทำหน้าทร่ี บั รเู้ กย่ี วกบั การ
ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พิม่ เตมิ ทรงตัวของร่างกาย - จมกู มีเซลล์ประสาทรบั กลิ่นอยูภ่ ายในเยือ่ บุจมกู ท่เี ป็น ตัวรับสารเคมีบางชนิดแล้วเกิดกระแสประสาทส่งไปยัง สมอง - ล้ินทำหน้าท่รี ับรส โดยมตี มุ่ รับรสกระจายอยู่ท่ัวผิวล้ิน ด้านบน ตมุ่ รบั รสมีเซลล์รับรสอยู่ภายใน เมอ่ื เซลล์รับรส ถูกกระตุ้นด้วยสารเคมี จะกระตุ้นเดนไดรต์ของเซลล์ ประสาทเกิดกระแสประสาทส่งไปยงั สมอง - ผิวหนัง มีหน่วยรับสิ่งเร้าหลายชนิด เช่น หน่วยรับ สัมผสั หนว่ ยรับแรงกด หน่วยรบั ความเจ็บปวด หน่วยรับ อุณหภมู ิ 9. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และเปรียบเทียบ - สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวบางชนิดเคลื่อนที่โดยการไหลของ โครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะ ที่ ไซโทพลาซึม บางชนิดใช้แฟลเจลลัม หรือซิเลีย ในการ เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของแมงกะพรนุ เคล่ือนท่ี หมึก ดาวทะเล ไส้เดือนดิน แมลง ปลา - สตั ว์ไม่มีกระดกู สนั หลัง เช่น แมงกะพรนุ เคล่ือนท่ีโดย และนก อาศัยการหดตัวของเนื้อเยื่อบริเวณขอบกระดิ่งและ แรงดันนำ้ - หมึกเคลื่อนทโี่ ดยอาศัยการหดตัวของกลา้ มเนื้อบริเวณ ลำตัว ทำให้น้ำภายในลำตัวพ่นออกมาทางไซฟอน ส่วน ดาวทะเลใชร้ ะบบท่อน้ำในการเคล่อื นที่ - ไส้เดือนดินมีการเคลื่อนที่โดยอาศัยการหดตัวและ คลายตัวของกล้ามเนื้อวงและกล้ามเนื้อตามยาวซ่ึง ทำงานในสภาวะตรงกนั ข้าม - แมลงเคลื่อนที่โดยใช้ปีกหรอื ขา ซึ่งมีกล้ามเน้ือภายใน เปลอื กหมุ้ ทำงานในสภาวะตรงกนั ข้าม - สัตว์มีกระดูกสันหลัง เชน่ ปลา เคล่อื นทโี่ ดยอาศัยการ หดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อที่ยึดติดอยู่กับกระดูก สันหลังทั้ง 2 ข้าง ทำงานในสภาวะตรงกันข้าม และมี ครีบที่อยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ ช่วยโบกพัดในการเคลื่อนท่ี ส่วนนกเคลื่อนที่ โดยอาศัยการหดตัวและคลายตัวของ กล้ามเนื้อกดปีกกับกล้ามเนื้อยกปีกซึ่งทำงานในสภาวะ ตรงกนั ข้าม 10. สืบค้นข้อมูล และอธิบายโครงสร้าง - มนุษย์เคลื่อนที่โดยอาศัยการทำงานของกระดูกและ และหน้าที่ของกระดูกและกล้ามเนื้อท่ี กล้ามเนื้อซงึ่ ยดึ กนั ดว้ ยเอน็ ยึดกระดูก
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรูเ้ พม่ิ เติม เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวและการ - บริเวณที่กระดูกตั้งแต่ 2 ชิ้นมาต่อกัน เรียกว่า ข้อต่อ เคลือ่ นทข่ี องมนุษย์ และยึดกันด้วยเอ็นยดึ ข้อ 11. สงั เกต และอธิบายการทำงานของ - กระดูกเป็นเนื้อเยื่อที่ใช้ค้ำจุนและทำหน้าที่ในการ ข้อต่อชนิดต่าง ๆ และการทำงานของ เคลื่อนไหวของร่างกาย แบ่งตามตำแหน่งได้เป็นกระดกู กล้ามเนื้อ โครงร่างที่เกี่ยวข้องกับการ แกนและกระดกู รยางค์ เคลอ่ื นไหวและการเคลอ่ื นท่ีของมนษุ ย์ - กล้ามเนื้อในร่างกายมนุษย์แบ่งออกเป็น กล้ามเน้ือ โครงรา่ ง กลา้ มเน้อื หัวใจ และกล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเน้ือ ทั้ง 3 ชนิด พบในตำแหน่งทต่ี า่ งกนั และมีหน้าท่ีแตกต่าง กนั - กล้ามเนื้อโครงร่างส่วนใหญ่ทำงานร่วมกันเป็นคู่ ๆ ใน สภาวะตรงกนั ข้าม 12. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และยกตัวอย่าง - การสืบพนั ธ์แุ บบไม่อาศัยเพศของสัตว์เป็นการสืบพันธุ์ การ สืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศและการ ที่ไม่มีการรวมของเซลล์สืบพันธุ์ เช่น การแตกหน่อและ สืบพันธุแ์ บบอาศยั เพศในสตั ว์ การงอกใหม่ - การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของสัตว์เป็นการสืบพันธุ์ที่ เกิดจากการรวมนิวเคลียสของเซลล์สืบพันธุ์ซึ่งมีทั้งการ ปฏสิ นธภิ ายนอกและการปฏิสนธิภายใน สตั ว์บางชนิดมี 2 เพศในตัวเดียวกัน แต่การผสมพันธุ์ส่วนใหญ่จะผสม ขา้ มตวั
ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพ่ิมเติม 13. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างและ - การสืบพันธุ์ของมนุษย์มีกระบวนการสร้างสเปิร์มจาก หนา้ ที่ของอวัยวะในระบบสบื พนั ธุ์เพศชาย เซลล์สเปอร์มาโทโกเนียมภายในอัณฑะ และกระบวน และระบบสบื พันธุเ์ พศหญิง การสรา้ งเซลลไ์ ขจ่ ากเซลล์โอโอโกเนยี มภายในรังไข่ 14. อธิบายกระบวนการสร้างสเปิร์ม - อวัยวะสืบพันธุ์ของเพศชายประกอบด้วย อัณฑะ ทำ กระบวนการสร้างเซลล์ไข่ และการ หน้าท่ีสร้างสเปิรม์ และฮอร์โมนเพศชาย และมีโครงสร้าง ปฏสิ นธิในมนุษย์ อื่น ๆ ที่ทำหน้าที่ลำเลียงสเปิร์มสร้างน้ำเลี้ยงสเปิร์ม และสารหล่อลืน่ ทอ่ ปสั สาวะ - อัณฑะประกอบด้วยหลอดสร้างสเปิร์ม ซึ่งภายในมี เซลล์สเปอร์มาโทโกเนียมที่เป็นเซลล์ตั้งต้นของ กระบวนการสรา้ งสเปริ ์ม - อวัยวะสืบพนั ธุข์ องเพศหญงิ ประกอบด้วย รงั ไข่ ท่อนำไข่ มดลกู และช่องคลอด รงั ไข่ทำหนา้ ท่ีสรา้ งเซลล์ ไข่และฮอร์โมนเพศหญิง - กระบวนการสร้างสเปิร์ม เริ่มต้นจากสเปอร์มาโทโก- เนียมแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้ สเปอร์มาโทโกเนียม จำนวนมาก ซง่ึ ต่อมาบางเซลล์พัฒนาเปน็ สเปอร์มา- โทไซต์ระยะแรก โดยสเปอร์มาโทไซต์ระยะแรกจะแบ่ง เซลล์แบบไมโอซิส I ได้สเปอร์มาโทไซต์ ระยะที่สองซ่ึง จะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส II ได้สเปอร์มาทิดตามลำดับ จากน้นั พัฒนาเป็นสเปิรม์ - กระบวนการสร้างเซลล์ไข่เริ่มจากโอโอโกเนียมแบ่ง เซลลแ์ บบไมโทซิสได้โอโอโกเนียม ซงึ่ จะพัฒนาเป็นโอโอ ไซต์ระยะแรก แล้วแบ่งเซลล์แบบไมโอซสิ I ได้โอโอไซต์ ระยะทส่ี องซงึ่ จะเกิดการตกไขต่ ่อไป เมื่อไดร้ บั การ กระตนุ้ จากสเปิร์ม โอโอไซตร์ ะยะทีส่ องจะแบง่ แบบ ไมโอซสิ II แลว้ พฒั นาเป็นเซลล์ไข่ - การปฏิสนธิเกิดขึ้นภายในท่อนำไข่ได้ไซโกต ซึ่งจะ เจริญเป็นเอ็มบริโอและไปฝังตัวที่ผนังมดลูกจนกระทั่ง ครบกำหนดคลอด 15. อธิบายการเจรญิ เตบิ โตระยะเอ็มบริโอ - การเจริญเติบโตของสัตว์ เชน่ กบ ไก่ และสตั วเ์ ล้ียงลูก และระยะหลังเอ็มบริโอของกบ ไก่ และ ด้วยน้ำนม จะเริ่มต้นด้วยการแบ่งเซลล์ของไซโกต มนษุ ย์ การเกดิ เนื้อเยือ่ เอ็มบรโิ อ 3 ชน้ั คือ เอกโทเดิรม์ เมโซเดิร์ม และเอนโดเดิร์ม การเกิดอวัยวะ โดยมีการ เพิ่มจำนวน ขยายขนาด และการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ของเซลล์เพื่อทำหน้าที่เฉพาะอย่าง ซึ่งพัฒนาการของ อวัยวะต่าง ๆจะทำให้มีการเกิดรูปร่างที่แน่นอนในสัตว์ แตล่ ะชนิด
Search