Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทัศนศิลป์ ม.1

ทัศนศิลป์ ม.1

Published by niyommusic, 2021-07-27 04:25:50

Description: ทัศนศิลป์ ม.1

Search

Read the Text Version

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ใหน ักเรยี นรวมกันแสดงความคดิ เห็นเกยี่ วกับ ท้ังน้กี ารออกแบบปกให้สวยงาม สะดุดตา นอกจากจะทา� ใหห้ นังสือมีลกั ษณะเดน่ แลว้ ยงั เปน็ การส่งเสรมิ การเลือกแบบตัวอักษรและขนาดทจี่ ะใชก บั คุณคา่ ทางความงามและความน่าเชอ่ื ถือใหแ้ กผ่ จู้ ัดพมิ พด์ ้วย สอ่ื สิ่งพมิ พ จากนนั้ ใหนกั เรียนจดสาระสาํ คัญลง สมุดบนั ทึก ๑.๓) สรา้ งสรรค์งานออกแบบ การออกแบบปกหนังสอื น้นั มีหลักส�าคัญอยู่ ๓ ประการ คือ หลกั การ จดั องคป์ ระกอบศลิ ป์ เพอื่ สร้างคณุ ค่าทางความงาม หลักการก�าหนดลักษณะของภาพบนปก และหลักการก�าหนด ตัวอกั ษร ซ่ึงท้งั ๓ ประการตอ้ งนา� มาใช้ใหส้ อดคลอ้ ง กลมกลนื และท่ีสา� คญั ตอ้ งเหมาะสมกับประเภทของหนังสอื ทงั้ น้ีในการออกแบบปกหนงั สอื บางเลม่ จะมกี ารออกแบบทงั้ ปกนอกและปกหลงั พรอ้ มกนั ไปดว้ ย ซง่ึ ขน้ึ อยกู่ บั ลกั ษณะ และวตั ถปุ ระสงค์ของหนังสอื เล่มดังกล่าว เกรด็ ศิลป์ 1 การเลือกแบบตวั อกั ษรและขนาด การเลือกแบบตัวอักษรและขนาดตัวอักษรที่จะใช้กับสื่อส่ิงพิมพ์ มีหลักใน การเลือกงา่ ยๆ ดงั นี้ ๑. เหมาะสมกับประเภทงาน โดยให้พิจารณาดูลักษณะงานว่าเป็นงาน ประเภทใด หากเป็นเอกสารของหน่วยงานราชการ หรือเป็นงานวิชาการก็ใช้ ตัวอกั ษรที่เรียบงา่ ย ดแู ลว้ นา่ เชอ่ื ถือ ไมแ่ ปลกแหวกแนว มีความเรียบรอ้ ย ๒. เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ขนาดของตัวอักษรจะมีผลโดยตรงกับผลงาน ดังนั้น จึงต้องค�านึงว่า ส่ือสิ่งพิมพ์น้ันกลุ่มเป้าหมายท่ีเป็นหลักคือใคร ถ้าเป็น วยั ร่นุ อาจจะใชต้ ัวอักษรทม่ี ีขนาดเล็กได้ แต่ถา้ กลุ่มเป้าหมายเป็นผ้ใู หญ่วยั ท�างาน กค็ วรใช้ตัวอกั ษรทม่ี ขี นาดใหญ่ ๓. ใช้แบบตัวอักษรที่อ่านง่าย แบบตัวอักษรในเครื่องคอมพิวเตอร์จะมี หลายลักษณะ ทั้งชนิดตัวมีหัว ไม่มีหัว ตัวหนา ตัวบาง หรือบางแบบก็เป็น ลักษณะลายมือเขียน ในการเลือกใช้ต้องพิจารณาให้เหมาะสม ค�านึงถึงความรู้ ความเรียบร้อยดว้ ย ถา้ ไม่แน่ใจใหใ้ ช้แบบอักษรทอี่ ่านงา่ ยและมีหัว ๔. ไมค่ วรใชแ้ บบอกั ษรมากชดุ เพราะการใชแ้ บบตวั อกั ษรมากชดุ มาผสมผสาน จะรบกวนการอ่าน อาจท�าให้ผลงานดูไม่น่าเชื่อถือ ดูแล้วไม่เป็นระเบียบ แม้จะ ดงึ ดดู ความสนใจไดบ้ ้าง แต่กจ็ ะมีเพยี งชว่ งสนั้ ๆ นอกจากนี้ ในการก�าหนดกจ็ ะตอ้ งพจิ ารณาการเรยี งลา� ดบั ใหเ้ หมาะสม โดยใช้ ตวั อกั ษรขนาดใหญ่ในสว่ นทเ่ี ปน็ หวั ขอ้ ใหญส่ ดุ แลว้ ลดหลน่ั ขนาดลงมา สว่ นเนอื้ หา ก็ใช้แบบอกั ษรท่ีเป็นตัวพ้ืน 92 เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET เพราะเหตใุ ด จึงตองใหความสาํ คญั กับการออกแบบปกหนังสือ ครอู ธบิ ายเพม่ิ เติมเกย่ี วกับแบบและขนาดของตวั อกั ษร ปกติแลว ตวั อักษรท่ีใช แนวตอบ เพือ่ เปน การดึงดูดความสนใจของผพู บเห็นใหอ ยากอา นหนงั สอื ในหนังสือหน่ึงเลม จะไมมคี วามหลากหลายมากมายนกั แตอาจแตกตางกนั เลมนน้ั ในขณะเดยี วกนั ยงั เปน การสื่อใหเห็นถึงลักษณะของเนอ้ื เรอ่ื งภายใน ระหวางตัวทเ่ี ปนหัวเรอ่ื งหรือพาดหวั กับตัวทเ่ี ปนเน้อื เร่ืองเทานน้ั อยา งไรกต็ าม หนังสอื น้ันดวย ปกหนาคือสว นหนงึ่ ของหนังสือ ซึง่ ผูดูจะเหน็ เปนสงิ่ แรก ขนาดของตัวอักษรในเน้อื หาตองพิจารณาใหเ หมาะสมกบั กลุมเปาหมาย หากเปน ดงั นนั้ นกั ออกแบบจะตอ งตระหนกั วา ความหวงั ของผทู เ่ี กยี่ วขอ งกบั การจดั ทาํ เด็กหรอื ผสู งู อายตุ องเลอื กตัวอักษรท่ีมขี นาดใหญก วาตัวอกั ษรท่ีใชก ับวัยรุน หนงั สือขึ้นอยูก บั ปกหนา โดยปกหนาจะตองทาํ หนาท่รี ะบเุ อกลกั ษณของ หนังสอื ใหโดดเดน กวา หนังสอื อ่นื ๆ ปกหนาของหนังสือจะตองสามารถดึงดดู นักเรียนควรรู ความสนใจจากผทู ่พี บเห็นไดในทันที นอกจากน้ี ยงั ตองทาํ หนา ท่ีกระตนุ หรอื เรา อารมณท เ่ี หมาะสมกับหนงั สือเลม น้นั ใหผูอา นรูสึกได 1 แบบตวั อักษร หรอื ทีเ่ รยี กกันติดปากวา “ฟอนต” (Font) มีพฒั นาการมาอยา ง ตอเนอ่ื ง จากการจัดทาํ ดวยไม โลหะ จนเปน ระบบดิจติ อลอยางที่ใชก ันอยูใน เครื่องคอมพวิ เตอร ปจ จบุ ันความกา วหนาของเทคโนโลยที ําใหการประดษิ ฐฟอนต ทําไดงายและมีรปู แบบใหเ ลือกใชมากมาย แตไ มวา ฟอนตจะมมี ากแคไหน แตหลกั ในการเลือกใชฟ อนตก็ยงั ตองใหด ูอา นงาย สบายตา เปน หลักอยเู หมอื นเดมิ 92 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู 1 1. ครสู ุมตวั อยา งนักเรยี น 2-3 คน ใหออกมา ๒) การออกแบบโปสเตอร์ ภาพโปสเตอร์ หมายถึง ภาพศิลปะท่ีสามารถสื่อสารบอกรายละเอียดให้ อธิบายเกีย่ วกบั การออกแบบโปสเตอร ใน ประเดน็ ลักษณะของโปสเตอรท่มี ีคณุ ภาพ ผู้พบเห็นเข้าใจความหมายได้ในระยะเวลาส้ันๆ เปรียบเทียบได้กับภาพโฆษณาชนิดหนึ่งท่ีมีอิทธิพลต่อผู้พบเห็นได้ และสว นประกอบสําคญั ของภาพโปสเตอร บริโภคความรู้ ความหมาย และความสวยงามของโปสเตอร์ได้ครบ โดยภาพโปสเตอร์ที่พบเห็นอยู่ทั่วไป เช่น หนา ชั้นเรียน โปสเตอร์โฆษณาสนิ ค้า โปสเตอร์โฆษณาภาพยนตร์ โปสเตอรร์ ณรงคต์ ่อต้าน หรือเชิญชวน โปสเตอร์ประชาสัมพนั ธ์ ในเร่ืองต่างๆ เป็นต้น เรามักจะพบเห็นโปสเตอร์ได้จากสถานท่ีท่วั ๆ ไป เช่น ตามปา้ ยโฆษณา ป้ายรถเมล์ ตามผนงั 2. ใหนักเรียนแตล ะคนหาภาพโปสเตอรท่ตี นเอง อาคารต่างๆ ตามบอร์ด หรือสถานทท่ี ่ีมีผู้คนชุมนมุ พลกุ พลา่ น เป็นต้น ชนื่ ชอบ มาคนละ 1 ภาพ จากนั้นใหน กั เรยี น นําภาพโปสเตอรไปตดิ บนกระดานดาํ แลว ๒.๑) ลกั ษณะของโปสเตอร์ท่ีมีคุณภาพ โปสเตอร์ท่ีจัดได้วา่ มีคุณภาพ ควรมีลักษณะดังน้ี รวมกนั พิจารณาวา ภาพโปสเตอรแ ตล ะภาพ ๑. คุณภาพของการออกแบบ งานออกแบบท่ีดีจะแสดงถึงความคิดสร้างสรรค์ ใช้หลักการ มีการออกแบบแตกตางกันอยา งไร จดั องค์ประกอบศลิ ป์ มีขนาดของภาพท่เี หมาะสม ๒. ตวั อกั ษรท่ีออกแบบจดั วาง มีข้อความที่ถูกต้อง อา่ นชัดเจน และเข้าใจง่าย มคี วามหมายดี ใชถ้ ้อยค�ากระชบั นา่ สนใจ สามารถส่อื ความหมายไดส้ มบรู ณ์ ๓. การออกแบบสี มีสีสันที่สะดุดตาและมีหลักจิตวิทยาทางด้านอิทธิพลของสีและทฤษฎีสี ซ่งึ สร้างความน่าสนใจใหผ้ ้พู บเห็น นอกจากนี้ การนา� เสนอข้อความ หรอื รูปภาพในโปสเตอร์ควรนา� เสนอในทางท่ีสรา้ งสรรค์ ไม่ควรน�าเสนอ ในสิ่งที่ท�าให้เกิดความรู้สึกในทางลบหรือไม่ดี เพราะผู้ดูโปสเตอร์เป็นบุคคลทุกเพศทุกวัย ต้ังแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ จึงต้องระมัดระวังในการออกแบบภาพ ไม่ใช้ภาพที่สร้างความรู้สึกที่กระทบกระเทือนจิตใจ หรือปลูกฝังความรู้สึก ในทางเลวร้าย เช่น ภาพหวาดเสยี ว สยองขวญั ภาพอนาจารทางเพศ เป็นต้น ดังน้ัน แงม่ มุ ตา่ งๆ ของการออกแบบ จึงเปน็ สิง่ ทผ่ี ้อู อกแบบจะตอ้ งตระหนกั ถงึ ความรบั ผดิ ชอบต่อสงั คมดว้ ย ๒.๒) สว่ นประกอบสา� คัญของภาพโปสเตอร์ ๑. ช่อื เรอ่ื งหรือหวั ข้อเร่อื ง ๒. ส่วนขยายช่ือเรื่อง เพราะบางครั้งช่ือเรื่อง หรือหัวข้อเรื่องอาจไม่ชัดเจนพอในการสื่อความหมาย ส่วนขยายน้ี จะช่วยเสริมเร่อื งราวใหเ้ ขา้ ใจย่ิงขนึ้ ว่าใคร ท�าอะไร ท่ีไหน และเมอ่ื ไร ๓. การออกแบบภาพจะชว่ ยใหโ้ ปสเตอรม์ คี วาม ชดั เจนและสวยงามยง่ิ ขนึ้ อาจจะไมต่ อ้ งอา่ นคา� บรรยายภาพกส็ ามารถ เข้าใจได้ ๔. สมี สี ว่ นชว่ ยดงึ ดดู ความสนใจไดม้ าก เพราะสี จะกระทบสายตาเป็นอนั ดับแรก ท�าให้ไปกระตุ้นหรอื เรา้ ใจสงิ่ ทอ่ี า่ น ๕. บอกชือ่ หนว่ ยงานท่ีเป็นผจู้ ดั ทา� โปสเตอร์ ตวั อย่างการออกแบบโปสเตอรช์ นดิ ตา่ งๆ 9๓ บรู ณาการเชอื่ มสาระ เกร็ดแนะครู การศกึ ษาเก่ียวกบั เรอื่ งการออกแบบโปสเตอร สามารถบรู ณาการ ครคู วรอธบิ ายเพ่ิมเตมิ วา ผูคนจะใชเวลาอา นโปสเตอรไ มน านและยืนอยหู า งๆ กับการเรยี นการสอนของกลมุ สาระการเรียนรภู าษาไทย วิชาหลักภาษา ดงั นนั้ ในการออกแบบจะตอ งหลีกเลีย่ งไมใหม ีรายละเอียดมาก ไมใชขอ ความยาว และการใชภาษา เรื่องการเขียนคําขวัญหรือคาํ คมได โดยครใู หนกั เรยี น ตวั อกั ษรเล็ก หรอื ขอ ความกาํ กวม อยา งนอ ยตองทําใหผคู นสะดุดตาเม่อื แรกเหน็ ออกแบบโปสเตอรร ณรงคในโอกาสตางๆ และใหน ักเรยี นแตง คาํ ขวญั หรือ แลว รูข อมูลโดยทนั ทีวาตองการสื่อสารเกยี่ วกับอะไร หรือมวี ตั ถุประสงคอยากจะ คําคมประกอบการออกแบบโปสเตอรน น้ั ๆ เพื่อใหนักเรียนไดใ ชค วามคิด บอกอะไร สรางสรรคใ นการออกแบบ นําความรูแ ละทกั ษะในการใชภาษาไทย เพือ่ การเชญิ ชวนและรณรงคมาปรับใชใ นชวี ติ ประจาํ วนั ได นกั เรยี นควรรู 1 การออกแบบโปสเตอร ในปจ จบุ นั ดว ยความกาวหนา ทางเทคโนโลยี การออกแบบโปสเตอรก าวหนาไปถึงเทคนคิ ทเ่ี รียกวา “อิงคเ จ็ท” ซ่ึงสามารถ นํางานทอี่ อกแบบไปทําใหมีขนาดใหญข ้นึ ได วสั ดุทีร่ องรบั อาจจะเปนแผนไม แผน พลาสติก หรอื ท่นี ยิ มมากที่สุดคอื แผน ไวนลิ คูม ือครู 93

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ใหน กั เรยี นชว ยกันรวบรวมแผน พบั เสริมสาระ ประชาสมั พันธส ถานทท่ี องเท่ยี วหรือแผน พบั โฆษณาสินคาใหไดม ากที่สดุ จากนนั้ นาํ การออกแบบโบรชัวร แผน พบั ตา งๆ เหลา นนั้ มาเปน ตวั อยา งประกอบ การอภิปรายเกี่ยวกบั หลักการออกแบบโบชัวร โบรชวั ร์ หรือแผ่นพับนบั เปนสง่ิ พิมพ์ทส่ี ามารถ ใชเ้ ปนสอ่ื ในการโฆษณาประชาสมั พนั ธไ์ ดโ้ ดยตรงกับผอู้ า่ น 2. ใหนักเรยี นแบงกลุม กลมุ ละ 5-6 คน โดยให หรอื ผพู้ บเห็น สามารถออกแบบจดั ท�าผา่ นระบบคอมพิวเตอร ์ แตล ะกลุมออกแบบโบชัวรประชาสัมพันธ สถานท่ีทองเทย่ี วภายในทองถนิ่ ของตนเอง แลว้ พิมพ์ (Print) ออกมาเปนจา� นวนมาก 1 มากลุม ละ 1 แผน พับ เสรจ็ แลวนําผลงาน สงครผู ูสอน ลักษณะท่ีน่าสนใจของแผ่นพับ คือ เปน สื่อสิ่งพิมพ์ที่เข้าถึงกลุ่มเปาหมายได้ตามต้องการ เนื่องจากเปนส่ิงพิมพ์ท่ีมีขนาดเล็ก น�้าหนักเบา พกพาสะดวก เสียค่าใช้จ่ายในการจัดท�าน้อย และ การออกแบบโบรชวั ร ์ ตอ้ งระมดั ระวงั มใิ หต้ วั หนงั สอื อยตู่ รงกบั แนวทพี่ บั สามารถบรรจุขอ้ มูลรายละเอยี ดได้มากพอสมควร ในการออกแบบแผ่นพับน้ันต้องพิจารณาลักษณะการพับท่ีจะต้องไม่ท�าให้ข้อมูล และภาพเกิดรอยทับ จนอ่านข้อความ หรือภาพไม่ชัดเจน แผ่นพับท่ีพบเห็นโดยท่ัวไป เช่น แผ่นพับประชาสัมพันธ์สถานท่ี แหล่งท่องเท่ียว แผ่นพบั โฆษณาสนิ คา้ แผ่นพับแนะนา� ตัวบคุ คล เปน ตน้ หลักการออกแบบโบรชัวร ๑. ออกแบบลักษณะการพับเปนหลัก โดยยึดหลักการวางแผน การใส่เน้ือหาและรูปภาพในต�าแหน่งที่ ไม่ถูกพับ จะท�าให้เนื้อหาและภาพครบสมบูรณ์ การพับน้อยที่สุด คือ ๔ พับ (ด้านหน้า ๒ หน้า ด้านหลัง ๒ หน้า รวม ๔ หน้า) แผน่ พบั โดยทวั่ ไปไมน่ ยิ มใสเ่ ลขหน้า ๒. การออกแบบหน้าปกแผ่นพับ ซึ่งเปนส่วนส�าคัญของแผ่นพับ ควรเน้นให้มีจุดเด่นด้วยอักษรข้ึน ข้อความชัดเจน หรือใช้ภาพประกอบท่ีค่อนข้างใหญ่ และชัดเจน มีสีสันสะดุดตา สดใส น่าสนใจ สร้างความแตกต่างจากหน้าอื่นๆ ท่ีส�าคัญจะต้องสื่อถึงหน่วยงาน ตัวบุคคลที่จัดท�าขึ้นมา เช่น แผ่นพับโฆษณารีสอร์ต ควรมีรูปแบบท่ีเปนเอกลักษณ์ของรีสอร์ต ชื่อรีสอร์ตและสถานที่ ติดต่อที่ชัดเจน ท�าให้ผู้อ่านเพียงดูแผ่นพับหน้าแรกก็สามารถจะรับรู้ได้ว่า ใครเปนผจู้ ัดทา� และตอ้ งการบง่ บอกอะไร เปน ตน้ ๓. การใส่เน้ือหาและรูปภาพในหน้าพับต่อๆ ไป จา� นวนข้อมลู ตอ้ งชัดเจน เพอ่ื การจัดวางในพน้ื ท่ที ่ถี กู ก�าหนด ดว้ ยการพับ ๔. แต่ละหน้าควรแสดงลักษณะเฉพาะ เพื่อ ปองกนั การสับสนในการอา่ น โบรชวั รบ์ างประเภทใหค้ วามรู้แกผ่ ู้อ่านอยา่ งมาก 9๔ นักเรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอใดเปน องคประกอบของการออกแบบสรา งสรรคโ ปสเตอรท่มี ีคณุ ภาพ 1 แผนพบั มลี กั ษณะคลายใบปลวิ แตมขี นาดใหญก วา และมีข้ันตอนการทาํ 1. ใสขอ มลู ลงไปใหม าก ที่ซับซอนกวา เนื่องจากถูกออกแบบใหบรรจรุ ายละเอียดไดม ากกวาใบปลวิ 2. ไมควรใชสมี ากกวา 2 สี มีไดต งั้ แต 2-5 ทบ หรอื มากกวานน้ั 3. ภาพสะดุดตา ขอ ความกระชับ 4. ใชต วั อักษรเลก็ และหลากหลาย มมุ IT วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. ดวยเหตุทีผ่ ูชมจะใชเ วลาดูโปสเตอรไมนาน และอยูหา งจากโปสเตอร ดังน้นั การออกแบบโปสเตอรท ่ดี จี งึ ตองทาํ ให นกั เรยี นสามารถศกึ ษาเพิ่มเตมิ เก่ยี วกับการออกแบบโบชัวร ไดท่ี โปสเตอรดูสะดุดตา ไมกลมกลนื ไปกบั สภาพแวดลอมทต่ี ดิ ภาพจึงตอ งใช http://www2.udru.ac.th/~samaw_t/Folders1.pdf ภาพขนาดใหญ คมชัด สะดดุ ตา รวมทง้ั ขอ ความตอ งกระชบั เปนขอ ความ สัน้ ๆ หรือใชค ํานอ ยแตไ ดใจความ 94 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขาใา จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๒.๓) วธิ สี รา้ งสรรคโ์ ปสเตอร์ ครูสมุ ตวั อยางนกั เรียน 2-3 คน ใหออกมา อธบิ ายเกยี่ วกบั หลักการออกแบบปกรายงานและ ๑. ศึกษาหัวข้อของภาพโปสเตอร์ท่ีก�าหนด และวิเคราะห์เนื้อหาท่ีเก่ียวข้องกับหัวข้อ เพื่อ ภาพประกอบ หนา ชัน้ เรียน จากน้นั ครถู าม นักเรียนวา จับประเด็นส�าคัญของเรื่องและนา� ไปวาดภาพประกอบ เช่น โปสเตอร์ต่อต้านโรคเอดส์ โปสเตอร์ต่อต้านยาเสพติด • เพราะเหตใุ ด การออกแบบปกรายงานกบั โปสเตอร์เชญิ ชวนการเลิกอบายมขุ โปสเตอร์โฆษณาสนิ คา้ ต่างๆ เป็นตน้ ปกหนงั สอื จงึ ใชหลกั การเดียวกัน (แนวตอบ เพราะปกรายงานและปกหนงั สือ ๒. คิดคา� หรือข้อความประกอบภาพโปสเตอรน์ น้ั ๆ เพือ่ ส่ือสารใหช้ ดั เจนตามจุดประสงค์ของ เปนสว นหนา ทด่ี ึงดูดความสนใจตอ การ หยิบจบั มาอา น ดังนนั้ หลักการออกแบบ โปสเตอร์ โดยใช้ข้อความส้ันๆ กระชบั และกระตนุ้ ความคดิ หนา ปกรายงานจึงคลายคลึงกบั การ ออกแบบหนาปกหนงั สอื โดยใชหลักการ ๓. ออกแบบต�าแหน่งการจดั วางภาพตามเน้ือหา โดยอาจจดั องค์ประกอบของภาพเปน็ แนวตัง้ จัดองคประกอบศิลป เพอื่ สรางคณุ คา ความงามดา นการจดั วางตวั อักษรและ หรอื แนวนอนขึน้ อยกู่ ับผู้ออกแบบ ท้ังน้ตี ้องค�านงึ ถงึ ความเป็นเอกภาพ ความกลมกลืน และความสมดลุ ภาพประกอบ) ๔. ร่างภาพตามหลักการจัดองค์ประกอบศิลป์ โดยมีจุดเด่นท่ีมีท้ังภาพประกอบ มีสัญลักษณ์ และตัวอักษรแสดงข้อความประกอบตวั อักษรทเ่ี ป็นหัวข้อของภาพ ๕. เตรยี มสีให้พรอ้ ม ใชส้ ีตามความถนดั ระบายสี ตกแตง่ ภาพใหด้ สู วยงาม มสี สี นั สะดุดตา ๖. เมอื่ ระบายสเี สรจ็ และสแี หง้ แลว้ ใหใ้ ชส้ เปรยเ์ คลอื บเงาพน่ เคลอื บบนภาพบางๆ เพอ่ื ใหภ้ าพ ดสู ดใส และมคี วามทนทานมากขึ้น ๓) การออกแบบปกรายงานและภาพประกอบ ในการเรียนการสอนแต่ละวิชามักจะต้องมีการท�า รายงานเปน็ ชน้ิ งานในการนา� เสนอเพอ่ื เปน็ หลกั ฐานของการแสดงถงึ ความรคู้ วามเขา้ ใจในการเรยี นตามรายวชิ านน้ั ๆ ขยายความเขา ใจ E×pand การทา� รายงานในหลายรปู แบบมคี วามจา� เปน็ ตอ้ งใชก้ ารออกแบบ โดยใชเ้ ทคโนโลยคี อมพวิ เตอรเ์ ขา้ มาชว่ ย สง่ิ สา� คญั 1. ใหน ักเรียนสรปุ หลกั การออกแบบรปู ภาพ สญั ลกั ษณ และงานกราฟก เปนแผนผัง ของรายงานท่ีจะทา� ใหร้ ายงานนนั้ สมบูรณ์ น่าสนใจ และตรงตามจดุ มงุ่ หมายของการจัดท�า นอกจากเน้ือหาภายใน ความคดิ (mind mapping) ทําลงกระดาษ รายงาน สงครูผสู อน เลม่ แลว้ หน้าปกของรายงานและภาพประกอบภายในเลม่ ก็มีสว่ นส�าคญั เชน่ กัน 2. ใหน ักเรียนทํากจิ กรรมศลิ ปปฏิบตั ิ 7.2 ๓.๑) หลักการออกแบบปกรายงานและ กจิ กรรมที่ 1 หนา 96 จากน้นั นาํ ผลงาน สง ครูผูสอน ภาพประกอบ ๑. ปกรายงานเป็นส่วนหน้าของ รายงานที่ดึงดดู ความสนใจต่อการหยิบจบั ดงั นน้ั จงึ ควร เลือกใช้กระดาษ หรือวัสดุท�าปกที่แข็งแรงกว่าส่วนของ เนอื้ ใน ๒. การออกแบบปกรายงานควร สื่อความหมายให้สอดคล้องกับเน้ือหาภายในเล่ม เช่น ถ้าเป็นรายงานวิชาการ ก็ควรมีความเป็นมาตรฐาน ดเู รยี บงา่ ยชดั เจน ใชส้ สี นั ไดบ้ า้ ง แตไ่ มจ่ �าเปน็ ตอ้ งฉดู ฉาด และสะดุดตามากจนเกินไป อาจมีภาพประกอบของ หนา้ ปก หรอื มเี พยี งขอ้ ความเปน็ ตวั อกั ษรอยา่ งเดยี วก็ได้ โปรแกรมทอ่ี ยใู่ นคอมพวิ เตอรแ์ ละภาพประกอบในเวบ็ ไซตส์ ามารถนา� มาใชส้ รา้ งสรรคป์ กรายงานใหส้ วยงามได้ ตามความเหมาะสม เปน็ ตน้ 95 แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ บเศรู ณรากษารฐกจิ พอเพียง การทาํ ปกรายงานดว ยการวาดภาพจากฝม อื ตนเอง มกี ารจดั วางตวั อักษร งานกราฟก เปน สอ่ื ทน่ี ยิ มอยา งมากในการประชาสมั พนั ธป ระเภทตา งๆ และเปน และภาพตามหลกั การจดั องคป ระกอบศลิ ป นกั เรยี นคดิ วา เปน งานกราฟก หรอื ไม สื่อท่ีไดรับความสนใจจากผูบริโภคอยางกวางขวาง ดวยมีรูปแบบท่ีสะดุดตา ดังนั้น แนวตอบ เปน งานกราฟก เพราะคําวา “กราฟก” มคี วามหมายรวมถงึ ผูท่ีจะทําการออกแบบงานกราฟกไดดี จึงตองเปนผูที่มีความคิดสรางสรรคและมี การวาด การเขยี นตัวอักษร หรือการหาภาพประกอบตางๆ มาจัดวาง ความรเู รอื่ งการออกแบบงานกราฟก เพอ่ื เปน การฝก ทกั ษะในการออกแบบงานกราฟก เพอื่ สอ่ื ความหมายในเรือ่ งทต่ี องการนาํ เสนอ ไมว าจะเปนงานตน แบบ ครใู หนักเรียนออกแบบและสรางงานกราฟกข้นึ มาคนละ 1 ช้นิ ภายใตหัวขอ “การใช หรืองานผา นกระบวนการพมิ พดวยเครือ่ งมือ หรอื เครอื่ งพมิ พใ ดๆ กต็ าม ชวี ติ อยา งพอเพยี ง” พรอ มทงั้ ตง้ั ชอื่ ผลงาน จากนน้ั รวบรวมผลงานทง้ั หมดจดั แสดงไว ในมุมศิลปะภายในชน้ั เรยี น คมู ือครู 95

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล 1. ครูพิจารณาจากแผนผังความคิด (Mind ๓. หลักการจัดวางการออกแบบหน้าปกรายงานจะคล้ายคลึงกับการออกแบบปกหนังสือ Mapping) สรุปหลกั การออกแบบรูปภาพ โดยใช้หลักการจัดองค์ประกอบศิลป์ เพื่อสร้างคุณค่าความงามด้านการจัดวางตัวอักษรและภาพประกอบ และ สัญลกั ษณ และงานกราฟก ของนักเรยี น ก�าหนดตวั อักษรให้สอดคล้องกลมกลนื กบั ชอ่ื รายงานและเนื้อหาภายในเล่ม 2. ครพู จิ ารณาจากการออกแบบผลงานโดยใช ๔. การสรา้ งภาพประกอบของหนา้ ปกรายงาน รวมทง้ั ภาพประกอบภายในเลม่ สามารถทา� ได้ คอมพิวเตอรข องนกั เรียน หลายวิธี เช่น ใชภ้ าพวาดจากฝีมือของตนเอง ภาพวาดผลงานของศลิ ปินไทย หรือของศลิ ปนิ ต่างประเทศ ภาพถ่าย โปสการด์ ภาพท่ถี ่ายโอนข้อมลู (Download) มาจากอนิ เทอรเ์ นต็ หรือภาพ Clip Art จากแผน่ ซอฟต์แวร์ เปน็ ตน้ หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู กจิ กรรม ศิลป์ปฏิบตั ิ ๗.๒ 1. ผลงานการออกแบบรปู ภาพโดยใชความรู เกี่ยวกับการออกแบบรูปภาพดวยจดุ และ กิจกรรมท่ี ๑ ให้นักเรียนแบง่ กลมุ่ ๕ คน เลอื กออกแบบผลงานดังต่อไปนเี้ พียง ๑ ชิ้น โดยใช้ การออกแบบรปู ภาพดวยเสน เคร่ืองคอมพวิ เตอร์ 2. แผนผังความคดิ (mind mapping) สรุป • โปสเตอร์รณรงค์ตอ่ ต้านยาเสพติด หลักการออกแบบรูปภาพ สญั ลักษณ • ปกรายงานวชิ าทัศนศิลป์ และงานกราฟก กจิ กรรมที่ ๒ จงตอบคา� ถามตอ่ ไปนี้ 3. ผลงานการออกแบบโดยใชค อมพวิ เตอร ๒.๑ การออกแบบมีความสา� คญั อยา่ งไรกบั สังคมปัจจบุ นั จงอธิบาย ๒.๒ การออกแบบรปู ภาพ สญั ลักษณ์ หรอื งานกราฟิก ต้องค�านงึ ถึงหลักการอะไรบา้ ง สรปุ การออกแบบเปน็ งานสรา้ งสรรค์ทีต่ อ้ งใชค้ วามคดิ และจินตนาการ เพอื่ ใหเ้ กดิ ส่งิ ทแี่ ปลกใหม่ หรอื ปรับปรงุ ดัดแปลงสงิ่ ที่มีอยเู่ ดิมใหด้ ียง่ิ ขึ้น ดว้ ยเทคนคิ วธิ กี ารท่หี ลากหลาย การออกแบบท่ดี ตี อ้ งนำา ความรดู้ า้ นการจดั องคป์ ระกอบศลิ ปเ์ ขา้ มาใชใ้ นงานดว้ ย เพอื่ ใหผ้ ลงานมคี ณุ ภาพสมบรู ณ์ ทง้ั ดา้ นประโยชน์ ใช้สอยตามวตั ถุประสงค์และความงามทางศิลปะ การออกแบบรูปภาพ สัญลักษณ์ และงานกราฟิก (ส่ิงพิมพ์) เป็นงานศิลปะท่ีมีความเชื่อมโยงกัน หรืออาจประกอบอยู่ร่วมกันในช้ินงาน โดยหลักพ้ืนฐานทั้งหมดจะใช้หลักของการจัดองค์ประกอบศิลป์ การจัดวางทางศิลปะ ความเป็นเอกภาพ ความกลมกลืน และความสมดุล มาเป็นส่วนสำาคัญในการ สร้างสรรค์ผลงาน ซ่ึงการท่ีจะก้าวสู่ความเป็นผู้ที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานการออกแบบ ที่มีคุณภาพนั้น ผู้ศึกษาจะต้องหมั่นฝึกฝนและเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติจริง เพื่อจะได้เกิดทักษะและ ความชาำ นาญมากย่งิ ข้ึน 96 แนวตอบ กิจกรรมศิลปปฏบิ ัติ 7.2 กิจกรรมที่ 2 1. การออกแบบมบี ทบาทมากในสังคมปจ จบุ นั เพราะวถิ ชี ีวติ มนษุ ยม คี วามเก่ียวของกับการส่อื สารเพ่อื การรบั รขู อ มูลตางๆ ซง่ึ การสอ่ื สารดว ยสิง่ พมิ พท แี่ สดงออก เปน รูปภาพ สัญลักษณ และงานกราฟก กน็ ับเปนวิธที ่ีแพรหลายและเขาถงึ ผคู นไดง า ย ทง้ั นกี้ ารสอื่ ความหมายดงั กลา วตองผานกระบวนการในการออกแบบ โดยอาศยั หลักการจัดองคประกอบศิลปใหเ หมาะสม 2. การออกแบบรูปภาพ สญั ลกั ษณ และงานกราฟก เปน งานศลิ ปะท่มี คี วามเช่อื มโยงกัน หรอื อาจประกอบอยรู ว มกนั ในชนิ้ งาน โดยใชหลักของการจัดองคประกอบศลิ ป การจดั วางทางศลิ ปะ ความเปน เอกภาพ ความกลมกลืน และความสมดลุ มาเปน สว นสาํ คัญในการสรา งสรรคผ ลงาน 96 คมู อื ครู

กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรยี นรู ประเมนิ งานทัศนศลิ ป และบรรยายถงึ วธิ กี าร ปรบั ปรงุ งานของตนเอง และผอู นื่ โดยใชเ กณฑที่ กาํ หนดให สมรรถนะของผูเรยี น 1. ความสามารถในการคิด 2. ความสามารถในการใชท กั ษะชวี ิต คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค 1. มวี ินยั 2. ใฝเ รียนรู 3. มุงมน่ั ในการทํางาน øหนวยที่ กระตนุ ความสนใจ Engage หลกั การประเมนิ งานทัศนศิลป ครูพานักเรียนไปชมนิทรรศการแสดงผลงาน ก ารเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะน้ัน ทัศนศิลปท จี่ ัดแสดงตามสถานทใี่ นทอ งถ่ิน เชน ตวั ชว้ี ดั หอศลิ ปส มเดจ็ พระนางเจา สริ กิ ติ ิ์ พระบรมราชนิ นี าถ ศ ๑.๑ ม.๑/๖ นอกจากให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติด้านการเขียนภาพ การปน กรงุ เทพมหานคร หอศลิ ปริมนา น จงั หวดั นาน การออกแบบ หรืองานสร้างสรรค์อื่นๆ แล้ว ยังต้องได้ เปนตน ครูใหน ักเรยี นแสดงความรูส ึกหลงั จาก ■ ประเมนิ งานทศั นศลิ ป และบรรยายถึงวิธกี ารปรบั ปรงุ งาน เรียนรู้เก่ียวกับการประเมินผลงาน เพื่อเป็นการฝึกให้ผู้เรียน การเดนิ ชมผลงานทศั นศิลป แลวถามนกั เรยี นวา ของตนเองและผอู ่ืนโดยใชเกณฑท่ีกําหนดให สามารถแสดงความคิดเห็น และมีสมรรถนะทางการส่ือสาร โดยสามารถวิจารณ์ผลงานที่พบเห็นได้ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ • การทมี่ ีผลงานทัศนศลิ ปจ าํ นวนมาก สาระการเรียนรูแกนกลาง ผู้เรียนได้เรียนรู้แนวคิดและวิธีการใหม่ๆ มีทักษะในการคิด หลากหลายรูปแบบมาจัดแสดงในพ้ืนที่ วิเคราะห์ และรู้จักปรับปรุงผลงานของตนให้เหมาะสมในทางที่ เดยี วกนั นักเรยี นเลือกชมผลงานจากสิ่งใด ■ การประเมินงานทัศนศลิ ป ถูกตอ้ งดีงามตามเกณฑท์ ่กี าำ หนด (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น ไดอยางอิสระ) ๙๗ เกรด็ แนะครู การเรยี นการสอนในหนว ยการเรียนรูน้ี ครคู วรอธิบายใหนกั เรียนเขา ใจวา การเรยี นรูศิลปะนอกจากการเรยี นรเู กี่ยวกบั เนอ้ื หาสาระควบคูกับการฝก ปฏบิ ัติ สรางสรรคง านศิลปะแลว นกั เรยี นควรมีพนื้ ฐานความรูความเขา ใจเกย่ี วกับหลักการ ประเมนิ งานทศั นศลิ ป เพอ่ื ใหนักเรยี นสามารถประเมนิ งานทัศนศิลป และบรรยายถงึ วิธกี ารปรบั ปรงุ งานทัง้ ของตนเองและผอู นื่ ไดต ามเกณฑท ก่ี ําหนด เพราะการประเมินงานทศั นศิลปเปน ข้นั ตอนสาํ คัญที่ผูเรียนควรฝกปฏบิ ตั ิและเปน ข้นั ตอนของการสรุปรวบยอดทางความคิดและรปู แบบของผลงานหลังจากที่ไดผ าน กระบวนการออกแบบและสรา งสรรคผ ลงานมาแลว คูมือครู 97

กกรระตะตนุ Eุนnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ ํารรEวxวpจจloคคrนeน หหาา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore กระตนุ ความสนใจ Engage ครูขออาสาสมัครนักเรยี น 2-3 คน ใหออกมา ñ. ¤ÇÒÁࢌÒã¨à¡ÕèÂÇ¡ºÑ ¡ÒÃÇ¨Ô Òó¼Å§Ò¹·ÈÑ ¹ÈÔŻРวาดรปู เสน รอบนอกของวัตถุ เชน แกวนา้ํ โตะ เกาอี้ หรือวาดภาพจากจินตนาการของตนเองก็ได การวจิ ารณผ ลงานทศั นศลิ ป  หมายถงึ การต ิ การชม การวเิ คราะห ์ หรอื การแสดงความคดิ เหน็ บนพนื้ ฐาน คนละ 1 ภาพ ภายในเวลาทีก่ ําหนด โดยครูกาํ หนด ของการใชเ้ กณฑท์ ่ีก�าหนดมาพจิ ารณาผลงานในแขนงต่างๆ เช่น ภาพเขียน งานปน งานสร้างสรรค์ต่างๆ เปน็ ต้น หมายเลขผลงานเปน 1 2 และ 3 จากนั้นให การวจิ ารณเ์ พอ่ื ประเมนิ งานทศั นศลิ ป ์ จะตอ้ งมหี ลกั เกณฑแ์ ละเหตผุ ล ทง้ั น ้ี เพราะการปฏบิ ตั งิ านศลิ ปะ แมจ้ ะกา� หนด นกั เรยี นชวยกันสงั เกตวา ใหท้ า� ในส่งิ เดยี วกนั แตผ่ ลงานท่ีได้กแ็ ตกต่างกันตามประสบการณ์ ฝม อื และแนวคิดของผ้สู รา้ งสรรค์ การปฏิบัติงานศิลปะท�าให้เกิดผลงานสร้างสรรค์ด้วยรูปแบบและวิธีการต่างๆ ผลงานบางชิ้นอาจมีรูป • ภาพท้ัง 3 ภาพมคี วามแตกตา งกนั อยา งไร แบบที่แปลกไปจากธรรมชาติ มลี กั ษณะที่ไม่คุน้ เคย หรือไม่เคยพบเหน็ ในชีวิตประจ�าวัน ถ้าผปู้ ระเมินงานไมเ่ ขา้ ใจ • นักเรยี นชน่ื ชอบภาพของหมายเลขใด ก็จะวิจารณ์ไปตามความรู้สึกของตนที่มีต่อผลงานน้ัน บางคร้ังก็ให้เหตุผลไม่ได้ว่าที่เป็นเช่นน้ันเพราะอะไร เช่น ท�าไมจึงชอบ หรือไม่ชอบผลงานชิ้นนี้ เป็นต้น การวิจารณ์งานศิลปะท่ีดี ผู้วิจารณ์จะต้องพิจารณาอย่างมีเหตุผล เพราะเหตุใด มคี วามยตุ ธิ รรม ไมล่ า� เอยี ง การวิจารณฝ์ กใหผ้ ถู้ กู วจิ ารณ์เป็นผรู้ ับฟงความคิดเหน็ ของผู้อน่ื และฝก ความมีเหตผุ ล ให้กับผู้ถูกวิจารณ์ไปพร้อมๆ กนั สาํ รวจคน หา Explore ใหน กั เรยี นศึกษา คน ควาเกี่ยวกับความหมาย ของการวิจารณผลงานทัศนศลิ ปและคุณสมบัตขิ อง ผูวิจารณผ ลงานทัศนศลิ ป จากแหลงเรยี นรูตางๆ เชน หนังสอื เรียน หองสมดุ อินเทอรเ น็ต เปนตน การพนิ จิ พิจารณาผลงานอยางละเอียดถถี่ ว น จะชว ยทําใหมีขอ มลู ทีส่ ามารถนํามาวจิ ารณผลงานทศั นศิลปทีช่ มไดอ ยา งสรา งสรรค ๙๘ เกร็ดแนะครู บูรณาการเช่ือมสาระ การศกึ ษาเก่ียวกับการวจิ ารณผ ลงานทศั นศลิ ปส ามารถเชือ่ มโยงกับ ครเู นน ยาํ้ กบั นกั เรยี นเกยี่ วกบั การวจิ ารณว า การวจิ ารณส ง่ิ ใดกต็ ามตอ งใชค วามรู การเรยี นการสอนกลุม สาระการเรียนรภู าษาไทย วชิ าหลกั ภาษาและการใช ความมีเหตมุ ีผล มหี ลกั เกณฑ และมคี วามรอบคอบดว ย โดยปกตแิ ลวเม่ือจะวจิ ารณ ภาษา เรือ่ งคุณสมบัติของนกั วิจารณวรรณคดี เพราะในการวิจารณผ ลงาน ส่ิงใดจะตอ งผานข้ันตอนและกระบวนการของการวเิ คราะห วนิ ิจฉยั และประเมนิ ไมว า จะเปน ดา นใด สาขาใด ผูวจิ ารณจะตอ งมคี วามรูใ นสาขาวิชาน้นั ๆ คุณคา ของสง่ิ ท่ีจะวิจารณใ หช ดั เจนเสียกอน แลวจงึ คอ ยวจิ ารณแ สดงความคดิ เหน็ อยางกวางขวาง ปราศจากอคติ และตองเปนผทู ่ีหมน่ั ศกึ ษาหาความรใู หมๆ ออกมาอยา งมีเหตมุ ีผล ใหน า คดิ นาฟง และเปน คาํ วิจารณท ี่เช่ือถือได อยเู สมอ จึงจะทาํ ใหก ารวจิ ารณม ีคุณคา นาเชือ่ ถือ นอกจากน้ี ครคู วรเสริมวา ในกรณที ่ีเปนการวจิ ารณโดยใชคาํ พดู การแสดงออก ดวยกิริยาทา ทาง ทาที คาํ พดู ที่สุภาพ ดอู บอุน เปน มติ ร จะชวยใหผูสรางสรรค ผลงาน ผูช มผลงานมีความรูส กึ วา ผวู จิ ารณท่ีมีใจเปน กลางชวยชีแ้ นะขอมูล ใหเห็นจรงิ ๆ ไมมอี คติ 98 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู เสริมสาระ ครสู ุมตวั อยางนกั เรียน 2-3 คน ใหออกมา อธบิ ายความหมายของการวจิ ารณผ ลงานทศั นศลิ ป คณุ สมบตั ขิ องผูวิจารณผลงานทศั นศิลป หนา ช้นั เรยี น จากนน้ั ครูถามนักเรียนวา คุณสมบัติของผูวิจารณผลงานทัศนศิลปที่ดีนั้นจะตองมีพ้ืนฐานความรูในงานศิลปะแตละประเภทจาก • การวจิ ารณผลงานทศั นศลิ ปหมายถึงอะไร การศึกษาและการพบเห็นมา หรือไดรับฟงคําวิจารณมามาก และตองตระหนักอยูอยางหนึ่งวา การวิจารณน้ันเพ่ือ และการวิจารณงานศิลปะทดี่ เี ปนอยางไร ปรับปรุง แกไข และช้ใี หเ หน็ ถึงความบกพรอ งตา งๆ อยางยตุ ธิ รรม นอกจากนน้ั ยงั เปน การเชิดชผู ลงานทัศนศลิ ปท ี่ดี (แนวตอบ การวจิ ารณผลงานทัศนศิลป มีคณุ คา อกี ดว ย ซึ่งคุณสมบตั ิของผูวิจารณทดี่ ี มดี ังตอไปนี้ หมายถึง การตชิ ม การวเิ คราะห หรอื การ แสดงความคดิ เหน็ ตอผลงานทศั นศิลป ๑. ตอ งรหู ลักการวิจารณต ามหลักสากล 1มีพื้นฐานในวิชาศิลปะท่ัวไปและรูจักผลงานประเภทใด บนพ้ืนฐานของการใชเกณฑท กี่ าํ หนดมา ๒. เปนผูที่มีความรูในวิชาศิลปะอยางกวางขวาง พจิ ารณาผลงานในแขนงตา งๆ เชน ภาพเขียน งานปน งานสรา งสรรคต า งๆ ประเภทหนง่ึ เพอ่ื ทจ่ี ะไดว จิ ารณเ ฉพาะในแตล ะสาขา สามารถเสนอแนะและแสดงความคดิ เหน็ เพอ่ื ปรบั ปรงุ ผลงานนน้ั ๆ เปนตน การวิจารณงานศลิ ปะท่ีดี ผวู จิ ารณ จะตองพจิ ารณาอยางมีเหตผุ ล มคี วาม ใหด ีขึน้ ได ยุตธิ รรม ไมล าํ เอยี ง ) ๓. เปนผูท่ีมีความรอบรูที่สามารถเชื่อมโยงวิชาความรูอ่ืนๆ กับทัศนศิลปไดเปนอยางดี เพื่อจะไดชวย • คณุ สมบัติทส่ี ําคัญของผวู ิจารณผ ลงาน ทศั นศิลปท ี่ดีเปน อยา งไร ใหผ สู นใจชื่นชมไดตามระดับความรูความสามารถ (แนวตอบ ผูว จิ ารณผ ลงานทัศนศิลปที่ดี จะตอ งมีพ้นื ฐานความรูในงานศิลปะแตล ะ ๔. เปนผูที่มีความใจกวาง ยอมรับความคิดเห็นของผูอ่ืน แบงปนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะ ประเภท จากการศึกษา จากประสบการณ ทั้งการปฏบิ ัติและพบเห็นงานศลิ ปะมา ความคดิ เห็นจากผูถูกวจิ ารณ หรอื อาจไดร บั ฟงคาํ วจิ ารณมามาก แตทั้งนี้ผูวจิ ารณท่ีดตี องตระหนกั เสมอวา ๕. เปนผทู ่มี ีความจรงิ ใจ มคี วามยุตธิ รรม ไมม ีความโนม เอียงเขา ขางตนเอง การวิจารณน้ันเพ่อื ปรบั ปรุง แกไ ข และชใ้ี ห เห็นความบกพรองตางๆ อยา งยุตธิ รรม ๖. เปนผูที่มีความซาบซึ้งและรักในศิลปะอยางแทจริง สนใจตอการเคลื่อนไหวในวงการศิลปะ ตลอดจน และยังเปน การเชดิ ชูผลงานทัศนศลิ ปที่ดี และมีคุณคา ดวย) แนวคดิ ใหมๆ ทางศิลปะ ๗. เปนนักคดิ คนควา สนใจในสง่ิ ใหมๆ และศึกษาหาความรอู ยเู สมอๆ ๙๙ แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ เกร็ดแนะครู การวจิ ารณเพือ่ ประเมินงานทัศนศลิ ป ควรคํานงึ ถงึ เรือ่ งใดเปน สาํ คญั ครูเนนยา้ํ กับนักเรยี นวา การวจิ ารณงานศลิ ปะเปน การแสดงความคดิ เห็น 1. หลักเกณฑและแบบประเมิน เกยี่ วกับศิลปะที่มองเหน็ หรือทศั นศลิ ปโ ดยตรง การวจิ ารณผลงานทศั นศลิ ป 2. หลกั เกณฑและเหตุผล บางครั้งสามารถชว ยใหผ ูดูรูจกั เลือกดูและเห็นบางสิง่ บางอยา งทอ่ี าจหลงตาไป 3. การวเิ คราะหแ ละเหตุผล เพราะยังขาดความรูและประสบการณ สว นผูส รางผลงานก็จะเกดิ แนวความคิด 4. การแสดงความคิดเห็น กวา งขนึ้ สามารถนําไปปรับปรงุ แกไ ขผลงานของตนเองใหเ กิดคณุ คามากขึน้ ได วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 3. การวจิ ารณเ พื่อประเมนิ งานทัศนศิลปต อง นกั เรียนควรรู คาํ นึงถึงการคิดวิเคราะหผลงานอยา งมีเหตุผล ทัง้ นก้ี ารวจิ ารณอ ยาง 1 มคี วามรูใ นวชิ าศิลปะอยางกวา งขวาง เปนสงิ่ สาํ คัญและจําเปนทผ่ี ูวิจารณ มเี หตุผลจะทาํ ไดก ต็ องอาศยั ความรู ความเขาใจ ตามประสบการณข อง ผลงานทศั นศลิ ปจะตองมี ซงึ่ จะทาํ ใหเกดิ ความนาเชื่อถอื ในศักยภาพทางศลิ ปะ แตล ะบุคคล หากขาดคุณสมบตั ิท่แี สดงถึงความรอบรูทางดา นศลิ ปะแลวมาเปน ผูวิจารณก อ็ าจ จะทําใหข าดความนา เช่ือถอื ไป ดงั คาํ คมท่วี า “นักวิจารณคอื คนทีไ่ มม ีขา แตส อน ใหค นอนื่ เขาวงิ่ ” คูมือครู 99

กกรระตะตนุ Eุนnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ าํ รรEวxวpจจloคคrนeน หหาา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore กระตนุ ความสนใจ Engage ครูนาํ ภาพผลงานทศั นศิลปต ดิ บนกระดานดํา ò. ¨´Ø »ÃÐʧ¤¢ ͧ¡ÒûÃÐàÁ¹Ô §Ò¹·ÑȹÈÅÔ »Š หนา ช้ันเรยี น จํานวน 3 ภาพ แลว ใหน ักเรียนสังเกต ภาพผลงานทศั นศิลปท้งั 3 ภาพ ครถู ามนักเรียนวา การประเมนิ งานทศั นศิลป์มีจุดประสงค ์ ดงั นี้ • ภาพแตละภาพมีความแตกตางกัน ๑) การประเมินเพ่ือความช่ืนชม เป็นความรู้สึกส่วนตัวที่มีต่อผลงานศิลปะนั้นๆ โดยข้ันตอนของ ในประเดน็ ใดบาง การวิจารณ์จะเป็นขั้นตอนท่ีเกิดขึ้นก่อนการประเมิน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการถ่ายทอดความคิดเห็นและความรู้สึก • นกั เรียนชืน่ ชอบภาพใดมากทสี่ ดุ ให้ผู้อื่นไดร้ บั รู้ หรือแลกเปลีย่ นทศั นะซ่งึ กันและกัน ช่วยใหเ้ กิดความเข้าใจทีด่ ีตอ่ กัน เพราะเหตุใด ๒) การประเมนิ เพื่อปรบั ปรงุ และพัฒนาผลงานทัศนศลิ ป  เป็นการประเมนิ ผลงานจากการพิจารณา จากน้นั ครูเชือ่ มโยงเขาสหู ลักการประเมิน งานทศั นศิลป และวจิ ารณง์ านในกจิ กรรมการเรยี นการสอนศลิ ปะ โดยใชเ้ กณฑห์ รอื หลกั การในการประเมนิ งาน พรอ้ มทงั้ การวจิ ารณ์ หรือแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล เช่น ครูวิจารณ์ผลงานของนักเรียน หรือนักเรียนวิจารณ์แสดงความคิดเห็น สาํ รวจคน หา Explore ผลงานของตนเองหรอื ของเพอ่ื น เปน็ ต้น ซึง่ ถอื เปน็ กระบวนการในระหว่างปฏบิ ัติงาน เพ่อื นา� ข้อคิดเห็นมาปรบั ปรุง ใหน กั เรยี นศกึ ษา คน ควา เกยี่ วกบั จดุ ประสงคข อง และพัฒนาผ๓ล)ง ากนาใรหป้ดรยี ะ่งิเมข้ึนนิ ใเนพกอื่ าใรหสเรขา้ างใสจรเรรคอ่ื ผ์ งลรงาาวนขคอรงัง้ ผตล่องไาปนทศั นศลิ ป  การวจิ ารณเ์ พอื่ ประเมนิ ผลเ1ปน็ การวจิ ารณ์ การประเมนิ งานทัศนศิลป หลักเกณฑการพจิ ารณา เพื่อประเมินผลงานทัศนศลิ ป และประโยชนของ และรวบรวมขอ้ มลู ในทกุ ๆ ดา้ น ทเี่ กย่ี วกบั ผลงานทศั นศลิ ป ์ เพอื่ นา� ขอ้ มลู มาใชป้ ระกอบการตดั สนิ ใจใหค้ ะแนนในการ การประเมินงานทัศนศิลป จากแหลงเรยี นรูตา งๆ วัดและประเมนิ ผล จึงต้องมหี ลักเกณฑ์และเครอ่ื งมอื ในการประเมนิ หรอื มกี ติกาทกี่ �าหนดไว้อยา่ งชัดเจน เชน หนงั สอื เรยี น หองสมุด อินเทอรเน็ต เปน ตน ท้ังน้ี ผู้ประเมินผลงานจะต้องพิจารณาและ วิเคราะห์จากตัวผลงาน โดยใช้องค์ความรู้ทางศิลปะ มาประกอบการแสดงความคดิ เหน็ ทง้ั ดา้ นรปู ทรงของงาน และเรื่องราวทีถ่ กู ถา่ ยทอดออกมาจากตวั ผลงาน การฝก ใหร้ จู้ กั วจิ ารณแ์ ละประเมนิ ผลงานทศั นศลิ ปท์ กุ ครง้ั จะชว่ ย ใหผ้ เู้ รยี นไดร้ บั รเู้ รอื่ งราวตา่ งๆ ครอบคลมุ ทกุ ดา้ น ชว่ ยพฒั นา สติปญญาและทักษะการคิดวเิ คราะห์ นอกจากนี้ การวิจารณ์เพ่ือการประเมินผล ยังมีความส�าคญั ในการตัดสนิ ผลงานการประกวด ซงึ่ การ ประกวดผลงานทางศลิ ปะทว่ั ไป คณะกรรมการจะร่วมกนั คัดเลือกผลงานที่มีคุณภาพจ�านวนหน่ึง เพื่อส่งเข้ารอบ และร่วมกันวิจารณ์ผลงานอย่างกว้างขวาง โดยยึดตาม หลักเกณฑ์ในการประกวดที่วางไว้ก่อนที่จะลงมติชี้ขาด หากผลงานกลุ่มใดมีคุณภาพใกล้เคียงกัน จะต้องน�า ผลงานกลมุ่ นน้ั มาวพิ ากษว์ จิ ารณ์โดยละเอยี ดอกี ครง้ั หนงึ่ การวิจารณงานทัศนศลิ ป ผวู ิจารณจะตอ งมคี วามรู ความเขาใจศลิ ปะ แลว้ จึงทา� การตัดสิน ดา นที่จะวิจารณ จงึ จะทาํ ใหก ารวจิ ารณมีนํ้าหนกั นา เชื่อถอื 100 เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอ ความในขอ ใดถือวา เปนการวิจารณง านศิลปะท่ีไมถ ูกตอ ง ครูควรอธบิ ายเสริมวา การไดอ า น หรือฟง การประเมนิ หรอื วจิ ารณงานทัศนศลิ ป 1. ผลงานนี้แสดงถงึ อตั ชีวประวัติบคุ คล สําหรบั ผูสรางสรรคผลงานเสมอื นวา มีกระจกสะทอนมมุ มองของผอู ่นื ออกมา จะชว ย 2. ผลงานน้ไี มมีคุณคาเลยแมแตนิดเดียว ทําใหเรามีขอมูลนําไปปรับปรุงแกไขผลงาน โดยใหนักเรียนระลึกไวเสมอวา กอนที่ 3. ผลงานนี้มกี ารจัดองคป ระกอบไดอ ยา งเหมาะสม ศลิ ปน แตล ะทา นจะเดนิ มาอยแู ถวหนา ของวงการศลิ ปะ ผลงานของทา นเปน ทยี่ อมรบั 4. ผลงานน้ีสามารถกระตนุ อารมณความรูสกึ ของผชู มได ชื่นชมในทุกวนั นี้นั้น ทุกทานลวนผานการขัดเกลา บม เพาะ ไดร บั คําช้ีแนะตชิ ม และ วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. แนวทางสรา งสรรคตัวบุคคลและสังคม ถูกประเมิน ถูกวจิ ารณมาแลวท้งั ส้นิ ในลักษณะของการใหข อเสนอแนะ สงเสรมิ ใหกาํ ลงั ใจ สาํ หรับตวั ผูวจิ ารณ หรอื ผปู ระเมนิ ผลงานศิลปะ จําเปน ตองมคี วามเขาใจในเรือ่ งของสุนทรยี ภาพ นักเรียนควรรู และทัศนศิลปเฉพาะแขนงเปนอยางดี ไมใ ชวจิ ารณดว ยการตําหนติ เิ ตยี น 1 การวจิ ารณเพือ่ ประเมนิ ผล มไิ ดหมายความวาเปน การตัดสินผลงาน ทัศนศลิ ปว าถูกหรอื ผดิ เพราะในทางทัศนศลิ ปเปนการสรปุ การตดั สนิ วา ผลงาน ชนิ้ นนั้ มีคณุ คา มคี วามงามอยางไร หรอื ควรปรบั ปรุงแกไ ข โดยใชหลกั วชิ าศลิ ปะ ทปี่ ราศจากอคติและอารมณค วามรสู ึกสว นตวั 100 คูม ือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ó. ËÅ¡Ñ à¡³±¡ Òþ¨Ô ÒóÒà¾èÍ× »ÃÐàÁÔ¹¼Å§Ò¹·ÑȹÈÔŻРใหน กั เรียนรวมกนั อภปิ รายเก่ียวกบั จดุ ประสงค ของการประเมินผลงานทศั นศลิ ปและหลกั เกณฑ ผลงานทางทศั นศิลป์ทกุ ชิน้ งานมอี งคป์ ระกอบท่ีแตกตา่ งกัน ซงึ่ สามารถประเมนิ ค่าได้ ดงั นี้ การพิจารณาเพื่อประเมินผลงานทัศนศลิ ปตามที่ ๑) การสอ่ื ความหมาย ผลงานทศั นศลิ ปจ์ ะตอ้ งมกี ารสอ่ื ความหมาย หรอื สอ่ื ความคดิ และขอ้ มลู ไดช้ ดั เจน ไดศ กึ ษามา จากนน้ั ใหสรุปผลการอภิปรายลงสมดุ บันทกึ ครูถามนักเรยี นวา สอดคลอ้ งกบั หัวเรื่องทก่ี า� หนด • นกั เรยี นสามารถประเมินคา ผลงาน ๒) ความคดิ รเิ รมิ่ สรา งสรรค  พจิ ารณาการใช้ ทศั นศิลปทมี่ อี งคป ระกอบแตกตางกัน ไดอ ยางไร จงอธบิ าย ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ในผลงานทัศนศิลป์ที่แสดงถึง (แนวตอบ ผลงานทัศนศลิ ปท ่ีมอี งคป ระกอบ แตกตา งกนั แตส ามารถประเมนิ คา ได ความก้าวหนา้ ความแปลกใหม่ของลกั ษณะรูปแบบ และ ตามหลักเกณฑพ ้นื ฐานในการพิจารณา เพื่อประเมนิ ผลงานทัศนศลิ ป คอื การสือ่ เนื้อหาสาระใหม่ท่ีดีกว่าของเดิมท่ีมีอยู่แล้ว ไม่ใช่เป็น ความหมาย ความคดิ รเิ ริ่มสรางสรรค การแสดงออก วิธกี ารและเทคนิค การจัด ผลงานที่คัดลอกเลียนแบบจากผู้อน่ื องคป ระกอบ และความประณีต) ๓) การแสดงออก วิธีการแสดงออกที่ช่วย ท�าให้ผลงานมีคุณค่า และมีลักษณะเฉพาะของตนเอง โดยไม่ลอกเลียนแบบผลงานของผู้อ่ืน รู้จักใช้ทักษะ การจะประเมินผลงานทัศนศิลปไดอยางมีคุณภาพ จะตองพิจารณา ในการนา� วสั ดุตา่ งๆมาสรา้ งสรรค์ผลงาน องคประกอบของผลงานใหครอบคลุมทกุ ดา น ๔) วิธีการและเทคนิค วิธีการและเทคนิค ในการสร้างสรรคผ์ ลงานทางทัศนศลิ ป ์ มคี วามเปน็ อิสระ มไี หวพรบิ ในการดดั แปลง สามารถปรบั ปรงุ แกไ้ ขผลงาน จนได้รปู แบบใหมๆ่ หรือได้เทคนิคใหม่ ๕) การจดั องคป ระกอบ มหี ลกั การจดั ภาพ ท่เี หมาะสม สวยงาม ทง้ั น ้ี ผลงานทศั นศิลป์ที่สรา้ งสรรค์ ออกมาจะต้องมีองค์ประกอบที่มีความเป็นเอกภาพ กลมกลนื และสมดุล ๖) ความประณตี ความสมบรู ณข์ องผลงาน ทศั นศลิ ป์นน้ั นอกจากพจิ ารณาในด้านมิตทิ างความงาม และความคิดสร้างสรรค์แล้ว ในด้านความประณีตและ ความเรียบร้อยของผลงานก็เป็นส่ิงส�าคัญที่ต้องค�านึงถึง งานศิลปะท่ีดีและสมบูรณ์แบบจะต้องแสดงออกถึง ความสะอาด เรียบร้อย มีความประณีต เพราะเป็น การสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจ ความมุ่งม่ัน ตลอดจน วิธีการและเทคนิคในการสรางสรรคงาน เปนเกณฑประการหนึ่ง ความมีสุนทรยี ภาพของผู้สรา้ งงาน ที่จะนาํ มาใชในการประเมินงานทศั นศิลป 101 แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tิด เกร็ดแนะครู คณุ สมบัตขิ อใดไมมีความจําเปนสําหรับประเมนิ หรือวจิ ารณงานทัศนศิลป ครเู พ่ิมเติมเกีย่ วกับเทคนิคการพิจารณาผลงานทศั นศลิ ป เพือ่ ใหผชู มเขาใจใน 1. มีความรอบรใู นงานศิลปะ ผลงานทัศนศิลปเ บื้องตน โดยเฉพาะงานจติ รกรรมและประติมากรรมควรสังเกต 2. มีประสบการณส รา งงานศลิ ปะ ดงั นี้ 3. เคยทําการคาเกี่ยวกับงานศิลปะ 4. มีทศั นคติทดี่ แี ละรกั งานศิลปะ 1. ดกู ารด ท่ีตดิ บนผลงาน (ถา ม)ี เพราะบนการดจะบอกช่ือผูสรา งผลงาน ช่ือผลงาน เทคนิคผลงาน วา ทาํ จากอะไร แบบใด อยา งไร เพ่ือใหเ ขา ใจ วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 3. ทกุ ขอ ท่ีกลา วมาลว นมคี วามจาํ เปน สําหรบั เน้ือหาเร่อื งราวของผลงานเปน อันดบั แรก ผูที่จะทาํ การประเมิน หรือวจิ ารณงานศิลปะ สว นการทําการคา เก่ียวกบั 2. ดูวาเปนศิลปะสาขาอะไร ทศั นศลิ ปแขนงใด ลักษณะใด และประเภทใด เชน งานศลิ ปะ แมจะชว ยทาํ ใหทราบวาสว นใหญผซู ้ือผลงานศลิ ปะไปเก็บสะสม สาขาวิจิตรศิลป แขนงจิตรกรรม มักจะชอบผลงานแนวไหน แตกไ็ มใชคุณสมบตั ทิ จ่ี ําเปน เนื่องจากมผี ูร ู ศลิ ปน นกั วิชาการ ครอู าจารยจ ํานวนมาก สามารถจะประเมนิ และวิจารณ 3. ดสู ่งิ ที่ทําใหเ กิดมติ ใิ นผลงานทัศนศลิ ป ไดแก มติ ใิ นดานรปู ภาพและรูปทรง งานศลิ ปะไดด ี และไดแ งค ดิ ทม่ี ีประโยชนมากมาย โดยมไิ ดท ําการคา ขาย 4. ดูสว นประกอบของความงาม จุด (ถามี) เสน 2 ประเภท รปู ราง 3 ประเภท เกี่ยวกบั งานศิลปะแตอ ยางใด (ถาม)ี รูปทรง 3 ประเภท ความรูสกึ ของสแี ละสตี รงขา ม แสงเงา พนื้ ผวิ จงั หวะ ความกลมกลืนของเสน สี รปู ทรง และหลกั ของการจดั ภาพ 5. ดูเกี่ยวกบั การจัดภาพวา เปน ลกั ษณะใด คมู อื ครู 101

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู 1. ใหนกั เรยี นศึกษาตัวอยางการประเมนิ ผลงาน ô. µÑÇÍ‹ҧ¡ÒûÃÐàÁ¹Ô §Ò¹·ÈÑ ¹ÈÔŻРทัศนศิลป ในหนงั สือเรียนหนา 102 แลว รวมกนั แสดงความคิดเห็นวา นกั เรียนประเมินผลงาน การสื่อความหมาย เหมอื นหรอื แตกตา งจากหนังสือเรียนอยางไร ภาพนี้มีชื่อภาพวา “สมเด็จพระเทพฯ ที่เรารัก” ผูวาดส่ือความหมายในภาพตรงตามชื่อภาพ 2. ใหน กั เรยี นแบง ออกเปน 3 กลมุ โดยใหแ ตล ะกลมุ และมเี นอ้ื หาตรงตามวตั ถปุ ระสงคทีต่ อ งการ คัดเลอื กผลงานทศั นศลิ ป มากลุม ละ 1 ผลงาน ความคิดริเรม่ิ สรา งสรรค จากนน้ั ติดภาพผลงานทัศนศิลปลงบน แผน พลาสติกลูกฟกู อเนกประสงค หรือแผน ภาพน้ีไมแสดงถึงความคิดสรางสรรคมากนัก เน่ืองจากมีเนื้อหาและรูปแบบที่ส่ือถึงเหตุการณจริง ฟว เจอรบ อรด แลว ประเมนิ ผลงานทศั นศลิ ป เปน ความประทับใจทเี่ กดิ ขน้ึ ไมใ ชภาพตามจนิ ตนาการ แตก ็สามารถใหร ายละเอยี ดไดด ี ดังกลาวโดยใชหลกั เกณฑก ารพจิ ารณาเพ่อื การแสดงออก ประเมินผลงานทัศนศลิ ปตามท่ไี ดศกึ ษามา ตกแตง ผลงานใหสวยงาม นาํ สงครผู ูสอน วิธีการแสดงออกท่ีทําใหผลงานมีคุณคาตามความตองการท่ีจะสื่อความหมาย โดยเนนที่อากัปกิริยา ของผูคนท่ีมีจุดรวมความสนใจเปนหนึ่งเดียว นอกจากน้ี ยังใหเห็นพฤติกรรมของคนบางสวนท่ีเปนวิถีชีวิต เชน คนข่คี วาย คนนั่งอยบู นบันไดบา น เด็กปนปา ยอยบู นร้วั มีพระสงฆอยรู วมกับผคู นภายในชุมชน เปน ตน วธิ ีการและเทคนคิ ภาพน้ีไมแสดงวิธีการหรือเทคนิคของการใชวัสดุสรางสรรคผลงาน แตเลือกมุมมองจากท่ีคอนขางสูง จึงเห็นภาพในมุมกวาง ซ่ึงสามารถเก็บรายละเอียดไดมาก มีการเลือกใชสีที่อยูในวรรณะสีเย็นจนเกือบเปน สเี ดียวกัน ชว ยทําใหภาพดเู ย็นตา การจัดองคป ระกอบ มีการจัดองคประกอบของภาพแบบกลมกลืนดวยสี รูปทรงท่ีเปนคนหลายๆ คนนั้นก็เกาะกลุมกันอยู สรางความรูสึกเปนอันหน่ึงอันเดียวกัน โดยสะทอนถึงความเปนเอกภาพทางรูปทรงและเน้ือหาสาระ ภาพมี ระยะใกล-ไกล มีสวนตางๆ ที่เลาเรื่องสื่อความหมายอยูในพื้นท่ีเต็มภาพ เกิดความสมดุล ไมมีน้ําหนักถวง มากไปทางขา งใดขางหน่งึ ความประณตี ความประณีตของภาพจะปรากฏชัดเจนบนหลังคาบาน บันได เสา ปาย ตัวอักษรบนปายที่เก็บ รายละเอียดไวอยางคมชัด ใบหนา รูปรางของผูคน ตลอดจนเสื้อผา มีความชัดเจน มีการระบายสีเต็มพื้นท่ี แลดูสะอาด เรียบรอย แสดงใหเห็นวาผูสรางผลงานมีสมาธิ มีความต้ังใจ และมุงมั่น ตลอดจนมีสุนทรียภาพ ในการสรา งสรรคผลงานทางศิลปะ 10๒ เกรด็ แนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครอู ธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา การวจิ ารณผ ลงานศลิ ปะมอี งคป ระกอบทสี่ มั พนั ธก นั 3 ประการ ใหน ักเรียนสรปุ หลักเกณฑการพิจารณาเพ่ือประเมินผลงานทัศนศลิ ป ดงั น้ี ลงกระดาษรายงาน สง ครูผสู อน 1. ผสู รา งสรรคผลงานศิลปะ หรือศิลปนที่สรางสรรคง านศิลปะ กิจกรรมทาทาย 2. ผลงานศลิ ปะ คอื ผลงานศิลปะทีเ่ กดิ ขึ้นจากการสรา งสรรคของศลิ ปน ใหน กั เรียนหาภาพงานศลิ ปะทต่ี นเองชนื่ ชอบมาคนละ 1 ภาพ จากนนั้ โดยผานกระบวนการของความคิดสรา งสรรคแ ละจินตนาการ ศลิ ปน สามารถ ตดิ ภาพลงบนกระดาษรายงาน แลว เขียนประเมินผลงานทัศนศลิ ป สรางสรรคไดท้งั งานดา นวจิ ิตรศิลปและประยุกตศ ลิ ป โดยประเมนิ ตามหัวขอทค่ี รกู าํ หนดให ดงั น้ี 3. ผชู มผลงานศลิ ปะ คอื ผชู มทไี่ มใ ชผ สู รา งสรรคผ ลงานศลิ ปะนน้ั ๆ แตเ ปน ผรู บั รู 1. การสือ่ ความหมาย 2. ความคดิ รเิ รม่ิ สรา งสรรค ถึงการแสดงออกของศลิ ปน ท่ีสรางสรรคผ ลงานศิลปะ ผูชมผลงานศิลปะจึงมี 3. การแสดงออก 4. วิธีการและเทคนคิ ความสําคญั ทีท่ ําใหว งจรการแลกเปล่ียนเรยี นรูในงานศิลปะสมบรู ณขึ้น 5. การจัดองคป ระกอบ 6. ความประณีต 102 คูม อื ครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขาใา จใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู õ. »ÃÐ⪹¢Í§¡ÒûÃÐàÁ¹Ô §Ò¹·ÈÑ ¹ÈÅÔ »Š ใหน ักเรยี นรวมกนั อภปิ รายเกย่ี วกบั ประโยชน ของการประเมนิ งานทศั นศิลป โดยสรุปผลการ การประเมินงานทัศนศิลป์ เป็นการเรียนรู้ อภิปราย ลงสมดุ บนั ทกึ จากนนั้ ครูถามนกั เรียนวา ท่ีส�าคัญ เน่ืองจากข้ันตอนก่อนการประเมินคุณค่าของ ผลงาน หรือก่อนการประเมนิ เพอ่ื ตดั สินผลงานจะตอ้ งให้ • การประเมินงานทศั นศิลปมปี ระโยชน ผเู้ รยี นไดฝ้ ก การวจิ ารณผ์ ลงานกอ่ น ซงึ่ การวจิ ารณผ์ ลงาน ตอ การศกึ ษาวิชาศลิ ปะอยา งไร ทางทัศนศิลป์เพ่ือการประเมินน้ัน จะท�าให้ผู้เรียนรู้จัก (แนวตอบ เน่อื งจากผลงานทัศนศลิ ปใ น การคิดและวิเคราะห์ผลงานอย่างมีเหตุผล ซ่ึงจะท�าให้ ปจจบุ ันมรี ปู แบบทีแ่ ปลกใหม หรอื เปน เกิดความรู ้ ความเข้าใจ ตามประสบการณ์ของแตล่ ะคน การสัมผัสรับรูผลงานศิลปะจากตนแบบจริง มีสวนชวยใหเขาใจ นามธรรมมากข้นึ ซ่ึงดูไดย าก การศกึ ษา ขณะเดียวกันก็มีผลงานทัศนศิลป์อีกหลากหลายประเภท รปู แบบ เนือ้ หา และเทคนิคในการสรางสรรคง านของศลิ ปน ไดดีขึน้ เกี่ยวกบั การวจิ ารณง านทศั นศลิ ปจงึ เปน ท่ีสามารถน�ามาเป็นตัวอย่างในการฝกหัดวิจารณ์เพ่ือการประเมินได้ดี และง่ายต่อการท�าความเข้าใจ โดยเฉพาะ ข้นั ตอนแรกท่ีจะนาํ ไปสคู วามเขาใจในการ ผลงานทศั นศลิ ป์ในปจ จบุ นั จะมรี ปู แบบทแ่ี ปลกใหม ่ หรอื เปน็ นามธรรม ซง่ึ อาจดยู ากเนอื่ งจากไม่ใชร่ ปู แบบทส่ี ามารถ ชมผลงานทัศนศลิ ปในระดบั ทส่ี ูงข้นึ ไป) ส่ือความหมายให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่ายน่ันเอง ดังน้ัน การได้ฝกวิจารณ์งานทัศนศิลป์ จึงเป็นข้ันตอนแรกท่ีจะน�าไปสู่ ความเข้าใจในการชมผลงานทัศนศิลป์ในระดบั ทส่ี งู ขนึ้ ต่อไป ขยายความเขา ใจ E×pand เกร็ดศลิ ป แงค ิดในการวิจารณ 1. ใหนกั เรยี นรวมกนั เพ่ิมเตมิ หลักเกณฑการ การวจิ ารณ ์ เปน็ การแสดงความคดิ เหน็ ตอ่ สง่ิ หนงึ่ สง่ิ ใดตามความร ู้ ความเขา้ ใจ ประเมนิ งานทัศนศิลปนอกเหนอื จากทมี่ ใี น ตลอดจนจากประสบการณ์ของผู้วิจารณ์ พร้อมท้ังให้ข้อเสนอแนะเพ่ิมเติมต่อส่ิงที่ หนงั สือเรยี น พรอ มอธบิ ายวธิ กี ารพจิ ารณา พบเห็น ไมว่ ่าจะเป็นการชนื่ ชม หรือกลา่ วช้ีแนะตอ่ ผลงานน้ัน ทง้ั น้ี การวิจารณจ์ ะ ผลงานตามหลักเกณฑที่เพิ่มเติมขนึ้ มา ต้องมีเหตผุ ล เป็นการชว่ ยชแ้ี นะเพอ่ื ปรบั ปรุงผลงานท่เี กิดจากการสรา้ งสรรคน์ ั้นๆ ประกอบดว ย แลวสรุปลงสมดุ บันทึก ให้สมบูรณ์ยง่ิ ขน้ึ ดว้ ยความสจุ รติ ใจ สงครูผูสอน ศาสตราจารยศ์ ิลป์ พีระศรี กลา่ ววา่ “การวจิ ารณ์ท่ีถกู ต้องถ่องแทเ้ รื่องศลิ ปะ เปน็ สง่ิ ทยี่ ากทส่ี ดุ ถา้ จะกลา่ วโดยทว่ั ไปในการวจิ ารณ์ไมค่ วรดว่ นวนิ จิ ฉยั เมอื่ ไดเ้ หน็ 2. ใหนักเรียนแบงกลุม กลมุ ละ 5-6 คน เปน็ ครัง้ แรก” ทํารายงานเกีย่ วกับการประเมนิ งานทศั นศิลป ตามประเดน็ ทค่ี รูกําหนดให ดงั นี้ • ความหมายและจดุ ประสงคข องการวิจารณ ผลงานทศั นศลิ ป • คุณสมบตั ขิ องผูวิจารณผ ลงานทศั นศิลป • หลกั เกณฑก ารพจิ ารณาเพ่อื ประเมนิ ผลงาน ทศั นศิลป • ประโยชนข องการประเมนิ งานทศั นศลิ ป ทัง้ นใี้ หแ ตล ะกลมุ หาภาพประกอบ และ ตกแตง รูปเลม รายงานใหสวยงาม สงครผู สู อน 10๓ แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ เกรด็ แนะครู การประเมินงานทัศนศิลปม ปี ระโยชนอ ยา งไร ครูแนะนาํ ใหน ักเรยี นศึกษาเพ่ิมเติมเก่ียวกบั ศพั ทท างศลิ ปะและศพั ทท ใี่ ชสาํ หรับ แนวตอบ การประเมนิ งานทัศนศิลปม ีประโยชนท ั้งตอผูสรา งสรรค วิจารณงานศิลปะจากแหลง เรียนรูต างๆ เชน หนังสือพจนานุกรมศัพทศ ิลปะ ผลงานศลิ ปะ ผูช มผลงาน และตอแวดวงศิลปะ กลาวคือผสู รางสรรค ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน หรอื จากเวบ็ ไซตทางอนิ เทอรเ น็ต ซ่งึ รวบรวมขอมลู เกี่ยวกับ จะไดท ราบขอดี จุดท่คี วรแกไ ขปรบั ปรงุ เสมือนมีกระจกมาชวยสะทอน ศพั ทเ ฉพาะทางศลิ ปะไว เปน ตน เพอ่ื ประโยชนใ นการสรา งความเขา ใจและ งานของตนวาเปน อยางไร ไดรแู นวคิด เทคนคิ วิธกี ารท่ีจะนาํ ไปใชใ น การวจิ ารณงานศลิ ปะตอ ไป การพัฒนาผลงาน ผูชมก็จะไดค วามรู ชมผลงานดว ยความเขาใจ ไดเ หน็ มมุ มองใหมๆ มโี อกาสเขา ถึงและเกิดความซาบซงึ้ ในผลงานศิลปะได บูรณาการอาเซยี น มากข้นึ สําหรับแวดวงศิลปะจะทําใหมีการเคลือ่ นไหว ยกระดบั ผลงาน ศลิ ปะไดดยี ิ่งๆ ขึน้ มกี ารพัฒนาข้ึน รวมทงั้ ยังชว ยกระตุนใหผ ูคนในสังคม การศึกษาเก่ียวกับหลักการประเมินงานทัศนศลิ ปส ามารถบูรณาการอาเซยี นได หนั มาชนื่ ชมผลงานศิลปะมากข้นึ โดยครนู ําผลงานทศั นศลิ ปของศลิ ปนที่มีชื่อเสยี งในอาเซยี นมาใหน กั เรียนดู แลวฝก ประเมินผลงานตามหลกั เกณฑการประเมินงานทัศนศิลปท่ีไดศ กึ ษามา ซ่งึ นอกจาก นักเรียนจะไดฝ กการประเมนิ ผลงานทัศนศิลปแลว นักเรยี นยงั ไดมีโอกาสศึกษา ผลงานศลิ ปะของศลิ ปน ชาตติ า งๆ ในกลมุ ประเทศสมาชกิ อาเซยี นประกอบกนั ไปดว ย คมู ือครู 103

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Expand Engage Evaluate Evaluate ตรวจสอบผล ครูพจิ ารณาจากรายงานการประเมินผลงาน กิจกรรม ศิลป์ปฏบิ ัติ ๘.๑ ทศั นศลิ ปข องนกั เรยี น โดยพจิ ารณาดา นความถกู ตอ ง และความสวยงาม กจิ กรรมท่ี ๑ ใหน้ กั เรยี นหาตวั อยา่ งการวจิ ารณง์ านทศั นศลิ ป์ ๑ เรอ่ื ง ของนกั วจิ ารณท์ ม่ี ชี อื่ เสยี งเปน็ ทยี่ อมรบั แล้วนา� มาวเิ คราะห ์ ประเมินงาน และสรุป น�าส่งครผู ู้สอน โดยให้ตวั อยา่ งแหลง่ ทีม่ าของข้อมูล หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู ไว้ด้วย รายงานการประเมนิ ผลงานทศั นศลิ ป กจิ กรรมท่ ี ๒ ให้นักเรียนทดลองน�าภาพของศิลปินต่างๆ มาวิจารณ์และประเมินภายในชั้นเรียน โดยอาศัย หลกั วชิ าทางศลิ ปะที่ได้เรยี นมา กิจกรรมท ่ี ๓ จงตอบคา� ถามตอ่ ไปน้ี การประเมนิ งานทัศนศิลป์มีความสา� คัญต่อการสรา้ งสรรค์ผลงานทางศลิ ปะอยา่ งไร สรุป การฝึกหัดวิจารณ์และประเมินผลงานทัศนศิลป์ โดยใช้หลักการสำาคัญ คือ การมี ความคิดสร้างสรรค์ การสื่อความหมายของภาพและข้อมูล โดยอาศัยหลักการออกแบบงานทัศนศิลป์ ที่มีความเป็นเอกภาพ ความกลมกลืน ความสมดุล และเจตคติในการปฏิบัติงานเป็นแนวทางสำาคัญ ซ่ึงหลักการน้ีสามารถนำาไปใช้ประเมินงานทัศนศิลป์ท้ังของตนเองและของผู้อื่นได้ ซ่ึงจะสามารถทำาให้ ทราบวา่ ผลงานทศั นศลิ ปน์ น้ั มสี งิ่ ใดทที่ าำ ไดด้ แี ละมสี ง่ิ ใดทคี่ วรแกไ้ ขปรบั ปรงุ บา้ ง หลกั การดงั กลา่ วจะชว่ ย ให้สามารถพัฒนาส่ิงท่ีดีให้ดีย่ิงข้ึน รวมถึงแก้ไขปรับปรุงส่ิงท่ีบกพร่องให้ดีข้ึนด้วย และเป็นการพัฒนา ผลงานทศั นศิลปใ์ ห้มีคุณภาพดขี น้ึ เร่ือยๆ นอกจากนี้ ประสบการณท์ ีไ่ ด้จากการวิจารณ์และประเมินงานจะเปน็ ประโยชน์อยา่ งมาก เมือ่ ผเู้ รยี น ได้มีโอกาสไปชมนิทรรศการทางศิลปะที่จัดแสดงตามสถานท่ีต่างๆ จะช่วยทำาให้เกิดความเข้าใจ และ เกดิ ความรู้สึกชน่ื ชมในคุณคา่ ของผลงานศิลปะเหลา่ น้นั มากย่งิ ข้นึ 104 แนวตอบ กิจกรรมศิลปป ฏบิ ัติ 8.1 กิจกรรมท่ี 3 การประเมนิ งานทศั นศิลปมีความสําคญั อยา งมากตอ การสรางสรรคผ ลงานทางศิลปะ เพราะผูสรางสรรคงานศลิ ปะจะได มีโอกาสแสดงแนวความคิดใหมๆ ของตนเอง และรับทราบแนวความคดิ ของผูอน่ื เพื่อนาํ ไปปรบั ปรุง แกไข พฒั นาผลงาน ของตนเองใหด ยี ง่ิ ขน้ึ เกดิ พลงั การสรา งสรรคผ ลงานศลิ ปะชน้ิ ตอ ไป จนนาํ ไปสผู ลงานทางศลิ ปะทม่ี ปี ระโยชนต อ สว นรวมมากยงิ่ ขน้ึ 104 คมู อื ครู

กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สาํ รวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปา หมายการเรยี นรู 1. ระบแุ ละบรรยายเก่ียวกบั ลักษณะรปู แบบ งานทัศนศลิ ปของชาตแิ ละของทองถิน่ ตนเอง จากอดตี จนถงึ ปจจบุ ัน 2. ระบแุ ละเปรียบเทียบงานทัศนศิลปของ ภาคตา งๆ ในประเทศไทย สมรรถนะของผเู รยี น 1. ความสามารถในการคดิ 2. ความสามารถในการใชท ักษะชีวิต ๙หนว่ ยท่ี คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค ทัศนศิลปข์ องชาติและท้องถ่ิน 1. มวี ินยั 2. ใฝเรยี นรู 3. มงุ ม่นั ในการทํางาน 4. รกั ความเปน ไทย กระตนุ ความสนใจ Engage ตัวช้วี ัด สังคมไทยมีพัฒนาการที่ยาวนานมาตั้งแต่สมัยก่อน ครูใหนกั เรียนดูภาพวาดประเพณีวัฒนธรรม ศ ๑.๒ ม.๑/๑-๒ ของภาคตางๆ ในประเทศไทย แลวใหนักเรียน ประวัตศิ าสตร์จนถึงสมัยปัจจุบนั เห็นไดจ้ ากหลกั ฐานทาง ชว ยกนั แสดงความคิดเห็นวา ภาพวาดประเพณี ■ ระบุและบรรยายเกย่ี วกบั ลักษณะรูปแบบงานทัศนศลิ ป์ ประวตั ศิ าสตรแ์ ละโบราณคดที ปี่ รากฏตามแหลง่ อารยธรรม ของแตละภาค มีความเหมือนหรอื แตกตา งกัน ของชาตแิ ละของทอ้ งถ่ินตนเองจากอดีตจนถึงปจั จุบัน ในภูมิภาคต่างๆ ที่มีการค้นพบทรัพยากรทางวัฒนธรรม อยางไร หรอื “ผลงานทศั นศลิ ป”์ เปน็ จำานวนมากท่ีกระจายอยู่ ■ ระบแุ ละเปรยี บเทียบงานทัศนศิลปข์ องภาคต่างๆ ปัจจัยท่ีทำาให้งานทัศนศิลป์ของไทยมีความแตกต่างกัน (แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็ ในประเทศไทย ไดแ้ ก่ สภาพทางภูมิศาสตร์ ประวัตศิ าสตร์ ศาสนา ความเชอื่ และ ไดอ ยา งอสิ ระ ครอู ธบิ ายเพม่ิ เตมิ วา สภาพภมู ศิ าสตร สังคมวัฒนธรรมในแต่ละพื้นท่ี ซ่ึงล้วนแล้วแต่ทำาให้เกิดรูปแบบ ประวัตศิ าสตร ศาสนา ความเช่อื ประเพณี สังคม สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ผลงานที่เป็นลักษณะเฉพาะของชาติและท้องถิ่นตามลำาดับ ซ่ึงเป็น และวัฒนธรรม ลวนเปนปจจัยที่ทาํ ใหงานทัศนศลิ ป สงิ่ ท่ีคนในท้องถ่นิ และคนในชาตคิ วรภาคภูมใิ จเปน็ อย่างย่งิ ภาคตา งๆ ของไทยมีความแตกตางกัน) ■ ลกั ษณะ รปู แบบงานทัศนศิลปข์ องชาติและท้องถิ่น ■ งานทศั นศลิ ป์ภาคต่างๆ ในประเทศไทย 105 เกรด็ แนะครู การเรียนการสอนในหนวยการเรยี นรนู ี้ ครผู สู อนควรใหนกั เรียนไดศกึ ษางาน ทัศนศลิ ปของชาติและของทองถ่ินจากผลงานจริง หรือศึกษาจากภาพตวั อยา ง ผลงานทศั นศลิ ปป ระเภทตา งๆ ของไทย ทงั้ จติ รกรรม ประตมิ ากรรม สถาปต ยกรรม เพอื่ ใหนักเรยี นไดรูจ กั สงั เกต เปรียบเทียบ และอธิบายลกั ษณะความแตกตา งของ งานทศั นศลิ ปของชาตแิ ละของทอ งถ่ินของตนไดอยา งถูกตองตามหลกั เกณฑ คูมอื ครู 105

กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ าํ รรEวxวpจจloคคrนeน หหาา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore กระตนุ ความสนใจ Engage ครูใหนักเรยี นดภู าพจิตรกรรมฝาผนัง ñ. ลกั ษณะรูปแบบงานทศั นศลิ ป์¢องªาµิ เรอื่ งรามเกียรต์ิ บนระเบยี งพระอโุ บสถ วดั พระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร งานทัศนศิลป์ของชาติ หมายถึง ศิลปะที่ถูกถ่ายทอดและสร้างข้ึนโดยช่างจากราชส�านักหรือช่างหลวง ในหนังสอื เรยี น หนา 106 แลว ใหนกั เรยี นรว มกนั แสดงความคิดเหน็ เกี่ยวกบั ลักษณะรูปแบบของ โดยมีรูปแบบทีแ่ ตกต่างกนั ไปตามลักษณะของการใช้สื่อ วัสดุ กรรมวิธี ช่วงเวลา และพัฒนาการทางศลิ ปะในแตล่ ะ ผลงานดังกลาวอยา งอสิ ระ ยคุ สมัย ท่มี ลี ักษณะและรปู แบบในอดุ มคติ ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณข์ องความเปน็ ไทย ซงึ่ สามารถวเิ คราะห์ ได้จากผลงานทศั นศิลป์ในแตล่ ะประเภท ดงั นี้ ๑.๑ จิตรกรรม สาํ รวจคน หา Explore 1 จิตรกรรม คือ การแสดงออกดว้ ยการใช้สี โดยท่วั ไปมลี ักษณะทางกายภาพเปน็ ๒ มติ ิ การแสดงออก ใหนักเรยี นศึกษา คน ควา เก่ยี วกับงานทัศนศิลป ของผลงานจะใช้สีหรือท�าด้วยกรรมวิธีอื่นๆ ให้เกิดภาพบนแผ่นวัสดุหรือบนพ้ืนผิวของวัสดุ อาคารสถานที่ มิติลึก ของชาติ ในประเดน็ ดา นความหมายและประเภท ของผลงานทศั นศิลป จากแหลง เรยี นรตู า งๆ เชน หรือระยะของภาพที่ปรากฏในงานจติ รกรรมมักจะเป็นมติ ิลวง หนงั สอื เรียน หองสมุด อนิ เทอรเน็ต เปนตน ๑) ลักษณะของจิตรกรรมไทย ในสมัย โบราณงานจิตรกรรมหรือภาพเขียนสีของไทยจะนิยม เขยี นข้นึ เพอื่ เป็นพุทธบชู าตามผนงั โบสถ์ วหิ าร ศาลา- การเปรยี ญ ในคหู าองค์พระปรางค์ พระสถปู เจดยี ์ และ ที่ผนังถ�้า มีจุดประสงค์เพ่ือต้องการเล่าเรื่องพุทธประวัติ หรือเรอื่ งราวทางศาสนาด้วยภาพ ๒) ประเภทของจติ รกรรม ไทย แสดงภาพดว้ ยการวาดเสน้ 2จิตรกรรมฝาผนัง เรื่องรามเกียรต์ิ บนระเบียงรอบพระอุโบสถ และระบายสลี งบนแผน่ ผวิ เรยี บ วัดพระศรรี ัตนศาสดาราม กรงุ เทพมหานคร รปู ทรงทปี่ ระกอบจากเสน้ สีบนแผ่นผิวเรียบ ซึ่งมีเน้ือท่ีเพียงความกว้างและความยาว เช่น เขียนไว้บนผนัง เรียกว่า “จิตรกรรมฝาผนัง” เขียนบนผืนผ้า เรียกว่า “พระบฏ” เขียนบนกระดาษ ทับซ้อน เรียกว่า “จติ รกรรมสมดุ ภาพ” เปน็ ต้น ๑.๒ ประตมิ ากรรม ประติมากรรม คือ งานทัศนศิลป์ที่แสดงด้วยรูปทรงท่ีมีลักษณะ ทางความงาม มีคุณสมบัติในการสะเทือนอารมณ์ หรือกระตุ้นความคิด โดยท่ัวไปเป็นภาพแบบ ๓ มิติ คือ มีความกว้าง ความยาว และ ความหนา อาจผลิตดว้ ยวธิ ีการป้ัน การหล่อ การแกะสลกั ซ่ึงรจู้ ักกัน ในชื่อของรูปปัน้ รูปหล่อ และรปู แกะสลกั พระพทุ ธชินราช เป็นพทุ ธศิลป์ทีม่ คี วามงดงามมาก ปฏมิ ากรผ้สู ร้าง ย่อมมคี วามศรทั ธาในพระพุทธศาสนาอย่างเปยมลน้ 10๖ นักเรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอใดเปน การสรปุ ลักษณะผลงานทัศนศลิ ปของชาตไิ ทยไดถ กู ตองทส่ี ุด 1 ลกั ษณะทางกายภาพ หมายถงึ ลักษณะของสง่ิ แวดลอมทางธรรมชาตทิ ่มี อี ยู 1. แตล ะสมัยมรี ูปแบบเปนเอกลักษณเฉพาะ รอบตัว ไดแ ก พน้ื ดิน แหลง น้ํา อากาศ ตนไม และสง่ิ มชี ีวิตตา งๆ 2. ทกุ สมัยมรี ูปแบบท่ีไมแตกตา งกนั มาก 2 จิตรกรรมฝาผนัง เปนการวาดบนฝาผนงั ของวดั หรือวงั เพ่อื ชวยทําใหฝ าผนงั 3. เทคนคิ และวัสดทุ ใ่ี ชทุกสมยั จะเหมอื นกนั ท่โี ลงวา งเปลาดสู วยงามมีชวี ติ ชีวามากขนึ้ ซ่งึ ภาพท่ีนาํ มาวาดบนฝาผนังสว นใหญ 3. บางสมัยจะไมนิยมสรา งงานทศั นศิลป จะเกย่ี วของกับพุทธประวัติ ชาดก เหตุการณสําคัญทางพระพทุ ธศาสนา ไตรภูมิ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. ผลงานทศั นศิลปของไทยในแตละสมัย รองลงมาก็จะเปนเรื่องราวในวรรณคดี เหตุการณสาํ คญั ของบา นเมอื ง จะมคี วามแตกตา งกนั ไมวาจะเปนรูปแบบ เทคนิค วัสดุอปุ กรณท่ใี ช การดําเนนิ ชวี ติ ของผูคนในทองถิ่น ลกั ษณะภาพทีว่ าดโดยมากกจ็ ะใชภาพลายเสน แนวคดิ เชน สมยั สโุ ขทยั กบั สมัยรัตนโกสนิ ทรจะมคี วามแตกตา งกัน ลกั ษณะภาพแบน ไมเนน ภาพเหมอื นจรงิ ใชสีเอกรงค มงุ สือ่ ความหมาย อยางเหน็ ไดช ัด ซงึ่ ความแตกตางนี้เอง เราไดน ํามาใชเ ปน หลกั ฐาน และเปน หรอื บอกเลาเรือ่ งราวเปน หลัก เกณฑในการจัดหมวดหมแู ละแบง แยกยุคสมัย เพื่อใหเห็นพฒั นาการ ของงานทัศนศิลปข องชาติ และเพ่อื สะดวกแกการศกึ ษาทาํ ความเขา ใจ 106 คมู ือครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู เกรด็ ศลิ ป ประตมิ ากรรมและปฏมิ ากรรม 1 ใหน ักเรยี นรวมกนั อภิปรายเกย่ี วกบั รูปแบบ งานทศั นศลิ ปของชาตติ ามทไี่ ดศ ึกษามา จากนั้น ค�าท่ีใช้เรยี กผลงานทัศนศลิ ป์ด้วยวธิ กี ารป้ัน การหลอ่ หรือการแกะสลกั จนเกดิ ใหน ักเรียนสรุปความหมายและลักษณะรูปแบบ เป็นรูปทรง ๓ มิติ มีใช้อยู่ ๒ ค�า ได้แก่ “ประติมากรรม” และ “ปฏิมากรรม” งานทัศนศลิ ปข องชาติ ลงสมดุ บนั ทึก ค�าทั้ง ๒ คา� มีความหมายและการนา� ไปใชท้ ี่ต่างกัน กล่าวคอื คา� แรกใช้เรยี กผลงาน แลวถามนกั เรยี นวา ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับการปน้ั หรอื การแกะสลักโดยทวั่ ไป สว่ นคา� หลงั ใช้เรียกผลงานที่เป็น พระพุทธรปู เทา่ น้นั • งานทศั นศลิ ปข องชาตหิ มายถึงงาน ทศั นศิลปประเภทใดบาง จงอธิบาย ๑) ลกั ษณะของประตมิ ากรรมไทย เปน็ ทศั นศลิ ปแ์ ขนงหนง่ึ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งทง้ั ทางตรงและทางออ้ มกบั งาน (แนวตอบ งานทศั นศลิ ปของชาติ เปน งาน ศลิ ปะท่ีถกู ถายทอดและสรางข้นึ โดยชา ง สถาปตั ยกรรมทเี่ กย่ี วขอ้ งโดยตรง ไดแ้ ก่ ประตมิ ากรรมทสี่ รา้ งขน้ึ เพอ่ื การตกแตง่ สถาปตั ยกรรม เชน่ ลวดลายประดบั จากราชสาํ นักหรอื ชา งหลวง โดยรปู แบบจะ แตกตา งกนั ไปตามลกั ษณะของการใชส่ือ ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทางอ้อม ได้แก่ ประติมากรรมที่มีคุณสมบัติเฉพาะที่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง ท้ังด้านเน้ือหา วัสดุ กรรมวธิ ี และพัฒนาการทางศลิ ปะใน แตล ะยคุ สมัย ตลอดจนอดุ มคติของ รปู ทรง และการแสดงออก เชน่ พระพุทธรูปท่ีประดิษฐานอยภู่ ายในพระอุโบสถ วหิ าร เป็นตน้ ผสู รางสรรคผ ลงาน แตงานศลิ ปะทุกชิน้ ๒) ประเภทของประติมากรรมไทย เป็นผลงานศลิ ปกรรมแขนงหนงึ่ ทีเ่ กดิ ขึน้ จากฝมอื ความคิด และ ลว นสะทอนใหเหน็ ถงึ เอกลักษณข อง ความเปน ชาตไิ ทย ซึง่ งานทศั นศิลปข องไทย ขควนาบมธสรารมมาเนปรถยีระขมตอิมปงคารกะนเรไพรทณมยแี สตบรล่งา้ อองดอขจก้ึนนเดปสว้ ็นรยา้ วง๓ตั ขถ้นึ ปุชตรนาะิดมสคงตคตาต์ินมา่ิยมงมๆ2ิตขิสกอัมันงชผเุมัสชชน่3นคคือหวราอืรมูปทศท้อรงรัทถงธน่นิ าูนตเข่อปึ้นศน็ จาตสา้นกนแาผค่นวหามลังเชเล่อื ็กทนา้องไยสยเศรียาสกตวร่า์ แบงออกไปไดเปน 3 ประเภทหลกั ๆ คือ งานจิตรกรรม งานประติมากรรม และ “ประติมากรรมนูนตํา่ ” หากรูปทรงนนู ขึน้ จากแผ่นหลังมาก แตย่ ังตดิ อยูบ่ นแผ่นหลงั เรยี กวา่ “ประตมิ ากรรมนนู สงู ” งานสถาปตยกรรม) ชนิดสุดท้าย คือ ประติมากรรมท่ีไม่ติดอยู่กับแผ่นหลัง สามารถดูประติมากรรมชนิดน้ีได้โดยรอบ เรียกว่า • นักเรียนชนื่ ชอบหรือสนใจงานทัศนศิลป ของไทยลักษณะใดมากท่ีสุด เพราะเหตุใด “ประตมิ ากรรมแบบลอยตัว” (แนวตอบ นักเรยี นแสดงความคดิ เห็นได ๑.๓ สถาปัตยกรรม อยางอสิ ระ) สถาปตั ยกรรม คอื งานทัศนศลิ ป์การก่อสรา้ ง ซึ่งความงามเกิดจากลักษณะรูปทรง การจัดท่ีว่างท้ัง ภายนอกและภายในเป็นงานประเภท ๓ มติ ิ เชน่ เดยี วกับ ประติมากรรม แต่ต่างกันตรงที่สถาปัตยกรรมเป็นส่ิงท่ี สร้างข้ึนด้วยวิธีการก่อสร้าง และไม่นิยมสร้างรูปทรง เลยี นแบบสง่ิ มชี วี ติ จดุ ประสงคใ์ นการสรา้ งเพอ่ื การใชส้ อย เป็นหลัก สถาปัตยกรรมที่ถึงพร้อมด้วยคุณลักษณะทาง 4พระท่ีน่ังจักรีมหาปราสาท ภายในพระบรมมหาราชวัง จัดเป็น ทัศนศิลป์จะเป็นงานศิลปะแท้ท่ีสร้างความประทับใจแก่ ผู้ชมได้ เช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระท่ีนั่งจักรี- สถาปัตยกรรมท่ีรับอิทธิพลของศิลปะตะวันตก ท่ีเข้ามาในสมัย มหาปราสาท เปน็ ต้น รัชกาลท่ ี ๕ 107 ขอสอบ O-NET นกั เรียนควรรู ขอสอบป ’52 ออกเก่ียวกบั ลักษณะเดน ของจติ รกรรมไทย 1 ปฏมิ ากรรม หมายถึง รปู เปรียบเทียบหรือรปู แทนองคพ ระพทุ ธเจาหรอื ขอ ใดไมใชลกั ษณะเดนของจิตรกรรมไทย พระพุทธรูป เรยี กวา พระพทุ ธปฏมิ า หรือพระพุทธปฏมิ ากร เชน พระพุทธมหา- 1. เปน ภาพเขยี นแบบสองมิติ มณีรัตนปฏมิ ากร เปนตน 2. แสดงความรูส กึ ของภาพดว ยเสนและทา ทาง 2 คตนิ ยิ ม คอื แบบอยางความคิดเหน็ ความเช่ือ หรือวิธกี ารคดิ เปนลกั ษณะ 3. แสดงความแตกตา งระหวา งบคุ คลดว ยสี กลุมชน เชน คตินิยมของกลุม อาชีพ คตินยิ มทางศาสนา คตนิ ยิ มทางการเมือง 4. แสดงจุดสนใจโดยคํานึงถึงสัดสวน 3 มิตสิ มั ผัส สง่ิ ทบ่ี อกคุณสมบัตขิ องวัตถุ ในเรื่องความกวาง ความยาว และ ความสูง วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 4. จิตรกรรมไทยมลี ักษณะเดน คือ 4 พระทน่ี งั่ จกั รีมหาปราสาท รูปแบบของสถาปต ยกรรมจะผสมผสาน ระหวา งศลิ ปะไทยกับศิลปะตะวันตก โดยตัวอาคารจะสรา งแบบตะวันตก เปนภาพเขยี นแบบสองมิติ แสดงความรสู กึ ของภาพดวยเสน และทา ทาง แตบ รเิ วณหลงั คาจะมกี ารประดบั ยอดมณฑปไวเบื้องบนตามแบบศิลปะไทย แสดงความแตกตางระหวา งบคุ คลดวยสี แสดงจดุ สนใจโดยไมค าํ นึงถึง จงึ มผี เู ปรียบเทียบพระที่นง่ั องคนว้ี า เปรยี บเสมอื น “ฝรงั่ สวมชฎา” สัดสว น ดังน้นั ขอ 4. จึงไมใ ชล ักษณะเดนของจิตรกรรมไทย คมู อื ครู 107

กกรระตะตนุ Eุน nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ ํารรEวxวpจจloคคrนeน หหาา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore กระตนุ ความสนใจ Engage ครูใหน กั เรยี นดูภาพสมยั กอ นประวัติศาสตร ๑) ลักษณะของสถาปัตยกรรมไทย ไทยเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมในการสร้างอาคารที่เป็นเอกลักษณ์ และสมยั ประวัตศิ าสตรข องทอ งถ่ินในภูมิภาคตางๆ ของประเทศไทย เชน ภาพเขยี นสีเลาเรอ่ื งขบวน เฉพาะมาแตโ่ บราณ ดงั จะเหน็ ได้จากสงิ่ กอ่ สรา้ งต่างๆ เชน่ ปราสาท สถูป เจดีย์ พระปรางค์ โบสถ์ วหิ าร บา้ นเรือน แหผะเหวดทีส่ มิ วดั สนวนวารพี ัฒนาราม จังหวัด เปน็ ตน้ ซงึ่ อทิ ธพิ ลทท่ี า� ใหเ้ กดิ ลกั ษณะเฉพาะทางสถาปตั ยกรรมไทยนน้ั ไดแ้ ก่ อทิ ธพิ ลทางดา้ นศาสนาและวฒั นธรรม ขอนแกน ภาพบานเรือนของคนไทยภาคตา งๆ ตลอดจนอิทธิพลทางดา้ นสภาพดนิ ฟ้าอากาศ และวสั ดทุ ีใ่ ช้ในการกอ่ สร้าง นอกจากนี้ จะเห็นไดว้ ่าลักษณะรูปแบบ เปนตน แลวใหนกั เรยี นรว มกันแสดงความคดิ เห็น ของสถาปตั ยกรรมไทยประเภททีไ่ ด้รับอทิ ธพิ ลศาสนา และวฒั นธรรม เชน่ สถูป เจดยี ์ พระปรางค์ เปน็ ตน้ รูปแบบ เกี่ยวกบั ลกั ษณะรูปแบบงานทศั นศลิ ปท อ งถนิ่ จะมีการเปลี่ยนแปลงมากกว่าสถาปัตยกรรมที่สร้างให้สอดคล้องกับสภาพดินฟ้าอากาศ เช่น อาคาร บ้านเรือน เป็นต้น ท้ังน้ี เนอ่ื งจากอทิ ธิพลทางศาสนาและวัฒนธรรม ประเทศไทยได้รับอิทธพิ ลจากหลายแหล่งจึงท�าใหร้ ปู แบบ สาํ รวจคน หา Explore สถาปตั ยกรรมทางศาสนา มีลักษณะหลากหลายตามแหลง่ ทีม่ าดว้ ย ใหนกั เรียนศึกษา คน ควาเกย่ี วกับความหมาย ๒) ประเภทของสถาปตั ยกรรมไทย สามารถจา� แนกไดเ้ ปน็ ๒ ประเภท ตามลกั ษณะการใชพ้ น้ื ท่ี ไดแ้ ก่ และลกั ษณะรูปแบบงานทศั นศิลปทองถิ่น จาก แหลง เรียนรูต า งๆ เชน หนงั สอื เรียน หอ งสมดุ • สถาปัตยกรรมแบบเปิด ซ่งึ หมายถงึ สง่ิ ก่อสร้างทีใ่ ช้ประโยชนจ์ ากพืน้ ท่ีภายใน สามารถเข้าไปอยู่ อินเทอรเนต็ เปน ตน อาศัยในตวั อาคารนัน้ ๆ ได้ เชน่ โบสถ์ วิหาร บา้ นเรอื น เปน็ ต้น • สถาปัตยกรรมแบบปิด เป็นส่ิงก่อสร้างท่ีไม่ได้เว้นที่ว่างภายในตัวอาคารส�าหรับเข้าไปอยู่อาศัย ส่วนใหญ่จะมีรปู ทรงเป็นแท่ง เป็นก้อนทึบตัน เช่น เจดยี ์ พระปรางค์ อนสุ าวรีย์ เปน็ ตน้ ๒. ลกั ษณะรูปแบบงา1นทัศนศิลปท์ ้องถ่นิ งานทัศนศิลป์ท้องถิ่น หมายถึง ศิลปกรรมในสาขาภูมิปัญญาไทยทางด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ท่ีเป็นผลงานสร้างสรรค์ของท้องถิ่นที่เกิดจากภูมิปัญญาของชาวบ้าน ได้คิดประดิษฐ์ข้ึนมาเป็น เอกลกั ษณข์ องตนเอง ซงึ่ สามารถวิเคราะหไ์ ดจ้ ากผลงานทัศนศลิ ปใ์ นแต่ละประเภทได้ ดงั น้ี ๒.๑ จิตรกรรมท้องถนิ่ จิตรกรรมท้องถิ่น คือ ผลงาน การวาดภาพ ระบายสีลงบนพ้นื ที่ตา่ งๆ ตาม ความรู้สึกนึกคิดของชาวบ้าน ที่มีลักษณะ เรยี บงา่ ย ไมแ่ สดงรายละเอยี ด แตแ่ สดงออก ถึงความทรงจ�า ตลอดจนแรงบนั ดาลใจจาก สงิ่ ทเ่ี คยพบเหน็ ในธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม ผ่านทางภาพวาดจิตรกรรมในลักษณะต่างๆ เช่น จิตรกรรมฝาผนัง จิตรกรรมประกอบ เครอ่ื งใช้ จติ รกรรมประเภทเคร่ืองเล่นต่างๆ และจิตรกรรมที่เกิดจากความศรัทธาทาง ศาสนา เป็นตน้ ภาพเขยี นส ี (ฮูปแตม้ ) เลา่ เรื่องราวขบวนแหผ่ ะเหวด แทรกอยู่ในชาดกเร่ืองเวสสนั ดร ท่สี ิมวดั สนวนวารพี ัฒนาราม จงั หวดั ขอนแก่น 108 เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอ ใดไมใ ชลักษณะของการสรา งสรรคง านทศั นศิลปท อ งถ่ิน ครอู าจอธิบายเสริมวา ทศั นคตคิ วามงามของผคู นในแตล ะทอ งถ่นิ รวมถึงผูคน 1. ใชว ัสดุทหี่ าไดงายในทองถิน่ ในทอ งถิน่ เดียวกัน แตตา งยุคสมัยกนั ทัศนคตเิ กย่ี วกับความงามก็อาจจะตางกัน 2. รปู แบบทาํ ตามที่นยิ มในทองถ่ิน ดงั นัน้ เราจึงไมค วรสรปุ วา ผลงานของทอ งถิน่ ใดงามกวาทอ งถนิ่ ใด แตควรศกึ ษาวา 3. สว นใหญเกยี่ วของกบั ศาสนา ผลงานของแตละทองถนิ่ เปน แบบใด หรือมลี กั ษณะเดนอยา งไร 4. มกั ใชชางหลวงในการจดั สรา ง วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 4. งานทศั นศิลปทองถิ่น ในการจดั สรางจะใช นกั เรยี นควรรู ชางทอ งถ่นิ ทัง้ นเ้ี พอ่ื ตอ งการถายทอดรปู แบบ วธิ ีการ เทคนิคท่ที อ งถ่นิ น้ัน ยึดถือเปน แบบปฏิบัตเิ อาไว และเพือ่ ใหเปนเอกลกั ษณของทองถนิ่ สําหรบั 1 งานทัศนศิลปท อ งถน่ิ ปจจยั สาํ คัญที่มผี ลตอ ลักษณะรปู แบบของ ชา งหลวงจะใชส รา งงานทศั นศิลปส าํ หรับราชธานีหรอื ราชสํานัก ซ่งึ จะมี ทศั นศิลปท อ งถ่นิ กค็ อื สภาพแวดลอมทางธรรมชาติ ขนบธรรมเนยี มประเพณี ความประณตี และรูปแบบในการสรา งสรรคผลงานจะเปนอกี แบบหนงึ่ วฒั นธรรม วิถกี ารดํารงชวี ติ ของผคู น ศาสนา ลัทธคิ วามเช่อื อิทธิพลจากภายนอก 108 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๒.๒ ประติมากรรมทอ้ งถิ่น 1. ใหน กั เรยี นรวมกนั อภปิ รายเก่ยี วกบั รูปแบบ งานทศั นศิลปท องถน่ิ ตามทไ่ี ดศ กึ ษามา ประติมากรรมทอ้ งถิ่น คือ ผลงานที่เกดิ จากการปัน้ การแกะสลัก การหลอ่ โดยครใู หน ักเรยี นสรปุ ความหมายและลักษณะ การกลงึ การดนุ การทุบตี การเคาะ ซึง่ ผลงานจากการสร้างสรรค์ในแตล่ ะท้องถิ่น รปู แบบงานทศั นศลิ ปข องทอ งถนิ่ ลงสมดุ บนั ทกึ จะมคี วามแตกตา่ งกนั ดว้ ยกรรมวธิ ใี นการผลติ ซง่ึ การผลติ ผลงานสว่ นใหญจ่ ะมงุ่ ผลติ จากนน้ั ครูถามนักเรียนวา เพอื่ ประโยชนใ์ นการใชส้ อยเปน็ สา� คญั การจา� แนกลกั ษณะของประตมิ ากรรมทอ้ งถน่ิ • งานทัศนศลิ ปของทองถนิ่ มลี กั ษณะเดน สามารถจา� แนกได้ตามประเภทของวัตถุและวธิ ีการสรา้ งสรรค์ ไดแ้ ก่ งานแกะสลัก อยา งไร งานป้ัน งานกระดาษ และงานโลหะ หรอื จา� แนกตามประเภทของการใช้สอย ไดแ้ ก่ (แนวตอบ งานทศั นศลิ ปท อ งถ่นิ เปน ผลงาน ผลงานท่ีใช้ประดับบ้านเรือน ผลงานท่ีใช้ประกอบในเรื่องความเชื่อและพิธีกรรม สรางสรรคข องทอ งถิน่ ท่ีเกิดจากภูมปิ ญ ญา ต่างๆ ผลงานที่ใชป้ ระกอบการละเล่น รวมถงึ เครอื่ งประดบั ตา่ งๆ ของชาวบานท่ไี ดค ิดประดษิ ฐขึ้นมา เปน เอกลักษณของตนเอง ท้งั งานจติ รกรรม พระพุทธรูปแบบท้องถิ่น สมัยทวารวดี พบท่ีเมืองศรีมโหสถ ทองถิน่ ประตมิ ากรรมทอ งถนิ่ และ จังหวัดปราจนี บุรี สถาปตยกรรมทองถ่นิ ) ๒.๓ สถาปตั ยกรรมท้องถิน่ 2. ใหน ักเรยี นแบงกลมุ กลุมละ 5-6 คน ใหแ ตล ะกลมุ ยกตวั อยางงานทัศนศลิ ป สถาปัตยกรรมท้องถ่ิน คือ สิ่งปลูกสร้าง ในทองถิ่นของตนเองมา 1 ผลงาน แลว เขยี น ประเภทอาคารบ้านเรือนท่ีมีลักษณะและรูปแบบตาม บรรยายถงึ ประวัตคิ วามเปน มา ลกั ษณะ ความนิยมในท้องถ่ินมีลักษณะเฉพาะตัวในแต่ละภูมิภาค รปู แบบของผลงาน และความงาม มาพอสงั เขป โดยมีความสอดคล้องกับประเพณีและวัฒนธรรมของ พรอมหาภาพประกอบ โดยทําลงกระดาษ กลมุ่ คนเหลา่ นนั้ ซงึ่ สามารถจา� แนกรปู แบบสถาปตั ยกรรม รายงาน สง ครูผูสอน ท้องถ่ินได้ ๒ รูปแบบ คือ สถาปัตยกรรมทางศาสนา และสถาปัตยกรรมอาคารบ้านเรือนและท่ีอยู่อาศัย เช่น สิมวัดปา แสงอรณุ อ�าเภอเมอื ง จังหวดั ขอนแกน่ ภายในมคี วามวจิ ิตร บา้ นเรอื นในทอ้ งถนิ่ ประเภทเครอื่ งผกู ทใี่ ชว้ สั ดไุ มค่ งทนใน งดงามของภาพเขียนลายผ้าไหมมัดหม่ี สะท้อนให้เห็นถึงความเป็น การสรา้ ง มวี ธิ ใี นการปลกู สรา้ งงา่ ยๆ โดยการนา� วสั ดตุ า่ งๆ เอกลกั ษณข์ องท้องถิ่น มาผูกยึดเข้าด้วยกัน ประเภทเคร่ืองสับท่ีใช้วัสดุคงทน โดยน�ามาประกอบกันดว้ ยวธิ กี ารเขา้ ไม้ เปน็ ตน้ กิจกรรม ศลิ ป์ปฏิบัติ ๙.๑ กจิ กรรมที่ ๑ ให้นักเรียนแต่ละคนหาภาพผลงานทัศนศิลป์ทางด้านจิตรกรรมไทย ประติมากรรมไทย และ สถาปัตยกรรมไทยมาประเภทละ ๑ ภาพ พร้อมทั้งเขียนค�าอธิบายใต้ภาพด้วยว่า ผลงาน ดงั กล่าวเป็นงานทัศนศิลป์แบบใด และมีความน่าสนใจอยา่ งไร กจิ กรรมที่ ๒ ใหน้ กั เรียนแบ่งกลุ่ม ๕ คน ไปท�าการสา� รวจผลงานทัศนศลิ ปท์ สี่ �าคญั ในทอ้ งถ่นิ มา ๓ ผลงาน โดยให้บอกประวัตคิ วามเปน็ มา ลกั ษณะของผลงาน ความงาม ความโดดเดน่ พรอ้ มถา่ ยภาพ ประกอบแลว้ จดั ทา� เป็นรายงานส่งครูผู้สอน 109 แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ บูรณาการอาเซยี น การศกึ ษาผลงานทศั นศลิ ปข องทองถนิ่ มคี วามสาํ คัญอยา งไร ครใู หนักเรยี นรวมกนั หาภาพผลงานทศั นศลิ ปประเภทจิตรกรรม ประตมิ ากรรม แนวตอบ จะชวยทําใหเรามคี วามรูความเขา ใจเก่ียวกับลักษณะงาน สถาปต ยกรรม ทเี่ ปนเอกลกั ษณหรือสะทอ นลกั ษณะเดน ทางศิลปะของประเทศ ทศั นศิลปท ่เี ปน ของทอ งถิน่ สามารถนําความรูไปใชในการอธิบายรปู แบบ สมาชกิ อาเซียนในแตล ะประเทศ โดยนาํ ภาพและขอมูลมาอภิปรายรวมกนั จากนน้ั งานทัศนศิลปข องทอ งถน่ิ ตนเองได รวมทั้งเปรียบเทียบงานทัศนศลิ ป ใหทาํ การเปรียบเทยี บความแตกตางและอัตลักษณข องแตล ะประเทศ ตวั อยา งเชน ของทองถน่ิ หรือในแตล ะภูมิภาคอยา งสงั เขปได ขณะเดยี วกันกจ็ ะชวยทําให ผลงานศิลปะของไทย ลาว เมยี นมา แมจ ะมีรากฐานมาจากพระพุทธศาสนา เรามีความรอบรแู ละภาคภมู ิใจในทองถน่ิ ของตนเองมากขนึ้ เหมอื นกัน แตก็จะมีรูปแบบทแี่ ตกตา งกนั เม่ือเห็นแลว สามารถจะระบุไดทนั ทีวา เปน ของประเทศใด บรู ณาการเชื่อมสาระ การศึกษาเกยี่ วกับรปู แบบงานทัศนศลิ ปข องชาติสามารถบรู ณาการ กบั กลมุ สาระการเรียนรสู งั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม วชิ าประวตั ิศาสตร ที่เนน เนอื้ หาเก่ียวกบั ประวัตศิ าสตรไทย ศลิ ปวัฒนธรรมไทยในแตละยุคสมยั คูมอื ครู 109

กกรระตะตนุ Eนุ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ าํ รรEวxวpจจloคคrนeน หหาา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore กระตนุ ความสนใจ Engage ครใู หนักเรยี นดภู าพจติ รกรรมฝาผนังแบบไทย ó. §Ò¹·ÑȹÈÅÔ »Šã¹áµÅ‹ ÐÀÁÙ ÀÔ Ò¤ แนวประเพณี ซ่งึ เปนจิตรกรรมฝาผนงั ทว่ี ัดภูมินทร จงั หวัดนาน ในหนังสือเรียน หนา 110 หรอื ภาพ ประเทศไทยในแต่ละภูมิภาคมีลักษณะทางภูมิศาสตร์ ประวัติความเป็นมา และลักษณะทางสังคม อน่ื ๆ ทีเ่ ปน จติ รกรรมทอ งถน่ิ ภาคเหนอื จากน้ันให วัฒนธรรมท่ีแตกต่างกัน ปัจจัยดังกล่าวล้วนมีผลต่อการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ในภูมิภาคต่างๆ ไม่ว่าจะเพ่ือ นักเรียนชวยกนั หาจุดเดน ในภาพทแ่ี สดงถงึ ประโยชน์ใชส้ อย หรอื ตอบสนองความเชอ่ื ทางศาสนา และความพงึ พอใจของตนก็ตาม ซ่ึงงานทศั นศิลป์ภาคตา่ งๆ ความเปน ภาพจติ รกรรมทอ งถน่ิ ภาคเหนอื เชน ของไทย มีดงั น้ี การแตง กาย ประเพณี วฒั นธรรม การประกอบอาชพี เปนตน ๓.๑ ภาคเหนอื ภาคเหนือขทอัศงนปศริละเปท์ใศนไภทายคเ1หอนยือู่ในชห่วรงือเทวัศลนารศะิลหปว์ใ่านงสพมุทัยธเชศียตงวแรสรษนทหี่ ๑รือ๘ล-้า๒น๓นานับมเีศปูน็นยย์กุคลสามงขัยอขงอองาศณิลปาจะักไทรอยยอู่ทยา่างง สาํ รวจคน หา Explore แท้จริง ซึ่งปรากฏหลักฐานซากเมืองโบราณอยู่ริมฝังแม่น�้าโขงท่ีอ�าเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย อ�าเภอเมือง ใหน กั เรียนแบง กลมุ ออกเปน 4 กลุม ใหแตล ะ จงั หวดั เชยี งใหม่ และในพน้ื ท่ีบรเิ วณจังหวดั ล�าพนู โดยมีผลงานส่งิ ปลกู สร้างต่างๆ ทสี่ ะทอ้ นให้เหน็ ถงึ ความศรทั ธา กลมุ ศึกษา คนควาเกย่ี วกับงานทศั นศลิ ปในแตละ ในพระพุทธศาสนา ส่วนประติมากรรมที่พบมากจะเป็นพระพุทธรูป ซ่ึงมีความร่วมสมัยกับสมัยสุโขทัยในยุคต่อมา ภมู ภิ าค จากแหลงเรียนรูต างๆ หนังสือเรียน นอกจากนี้ ก็มีภาพเขียนบนฝาผนังท่ีมีการสร้างสรรค์กันมายาวนานแล้ว โดยเฉพาะพ้ืนท่ีของจังหวัดเชียงใหม่ใน หอ งสมดุ อนิ เทอรเน็ต เปน ตน ตามหัวขอ ทค่ี รู ปัจจุบันมีผลงานทัศนศิลป์เป็นจ�านวนมาก ทั้งท่ีได้รับอิทธิพลจากศิลปะพม่าและอิทธิพลจากส่วนกลาง ซึ่งผลงาน กาํ หนดให ดังน้ี ทัศนศิลป์ที่ส�าคัญของภาคเหนือ มีดังนี้ กลมุ ที่ 1 งานทัศนศลิ ปภาคเหนือ ๑) จิตรกรรม เปน็ ผลงานทีเ่ กิดขน้ึ จากการเขียนภาพระบายสีที่สะท้อนถึงเรอ่ื งราวของสังคม ประเพณี กลมุ ท่ี 2 งานทศั นศิลปภาคกลาง กลมุ ที่ 3 งานทศั นศิลปภาคตะวันออก- วัฒนธรรม และสภาพแวดลอ้ มในชว่ งสมัยทช่ี ่างกา� ลงั เขียนภาพอยู่ โดยมีเรื่องราวสะท้อนถึงเหตุการณ์ เฉยี งเหนือ ตา่ งๆ เชน่ การแตง่ กายของผคู้ น ประเพณีวฒั นธรรม กลุม ที่ 4 งานทศั นศลิ ปภาคใต การประกอบอาชีพ การใช้ชีวิตของชาวบ้านในช่วง เวลานน้ั เปน็ ตน้ ตัวอย่างจิตรกรรมแบบล้านนาท่ีโดดเด่น เช่น จิตรกรรมฝาผนัง วัดบวกครกหลวง จังหวัด เชียงใหม่ วัดป่าแดด จังหวัดเชียงใหม่ วัดหนองบัว และวัดภูมินทร์ จงั หวดั นา่ น เป็นต้น ๒) ประติมากรรม เป็นผลงานท่ีเกิดขึ้น จากการปั้น การหล่อ และการแกะสลัก ส่วนมาก พบในบริเวณภาคเหนือตอนบน ผลงานที่โดดเด่น ได้แก่ พระพุทธรูปแบบล้านนามี ๒ ลักษณะ คือ “แบบลา นนารุนตน” และ “แบบลา นนารุนหลัง” จิตรกรรมฝาผนังแบบไทยแนวประเพณี (จากภาพ) จิตรกรรมฝาผนัง ที่วัดภมู ินทร ์ จงั หวัดน่าน 110 นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET สวนใดของภาพท่ที ําใหผ ูชมสามารถจะ 1 ภาคเหนือของประเทศไทย ประกอบดวยพน้ื ที่ 9 จงั หวดั ไดแ ก เชียงราย ประเมินไดว า ภาพนีเ้ ปนผลงานจติ รกรรมทองถน่ิ เชยี งใหม แมฮองสอน พะเยา ลําพูน ลําปาง แพร นา น และอตุ รดิตถ ลกั ษณะ ภาคเหนอื ภมู ิประเทศเปน ภเู ขาสลบั ซบั ซอ นตอเนือ่ งกันเปนทวิ เขาแนวยาว ระหวา งทิวเขา 1. ลักษณะอาคารบา นเรือน จะมีหุบเขา แองทีร่ าบที่เปนท่ตี ้ังของชมุ ชน มแี มนํ้าหลายสาย แมน ้ําสาํ คัญ เชน 2. การแตง กายของผูคน แมน้ําปง แมนํา้ นาน แมน้ํายม เปน ตน สภาพภมู อิ ากาศโดยทว่ั ไปรอ นแหง แลง 3. การจดั องคป ระกอบของภาพ ในฤดรู อน ฤดฝู นมีฝนตกชุก และหนาวเยน็ ในชว งฤดหู นาว อณุ หภูมิเฉลย่ี ประมาณ 4. การใชสีเอกรงคเ ปน หลัก 26.5 องศาเซสเซยี ส ซ่ึงสภาพแวดลอ มทางธรรมชาตเิ หลา น้ีเปนอิทธิพลสาํ คัญ วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 2. ภาพนนี้ ําเสนอเร่ืองราวทีเ่ ปนวถิ กี ารดํารง อยางหน่ึงตอการสรา งสรรคงานทศั นศลิ ป ชวี ิตของผูคน ลกั ษณะเดนทดี่ แู ลวสะดุดตา ทาํ ใหสามารถจะประเมนิ ไดว า เปน เร่ืองราวของผคู นในทองถนิ่ ภาคเหนอื ก็คอื รปู แบบของเคร่อื งแตงกาย ทรงผม ใบหนา ของผูคน ทเ่ี ปน อัตลักษณทแี่ ตกตางจากทองถิน่ ภาคอืน่ 110 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ประตมิ ากรรมแบบลา้ นนารนุ่ ตน้ จะมพี ทุ ธลกั ษณะทสี่ า� คญั คอื พระพทุ ธรปู ประทบั ใหนกั เรียนกลมุ ที่ 1 สงตัวแทน 2-3 คน ออก มาอธิบายเกย่ี วกบั งานทัศนศิลปภาคเหนอื ตามที่ ปางขดั สมาธเิ พชร และพระหตั ถแ์ สดงปางมารวชิ ยั มชี ายสงั ฆาฏทิ ส่ี นั้ อยเู่ หนอื พระถนั ไดศ ึกษามาหนาชน้ั เรยี น พรอ มทงั้ ยกตวั อยางงาน ทศั นศิลปท่สี าํ คญั ของภาคเหนอื มาประกอบการ และทปี่ ลายสงั ฆาฏิจบี เป็นริ้ว พระอรุ ะมขี นาดค่อนข้างอว้ นกลม ทีพ่ ระเกตุมาลาเป็น อธบิ ายความรู โดยครูใหนักเรยี นสรุปสาระสาํ คัญ เกย่ี วกับงานทศั นศิลปภ าคเหนอื ลงสมุดบันทึก ทรงดอกบัวตูม ส่วนประติมากรรมล้านนารุ่นหลังจะคาบเกี่ยวกับสมัยสุโขทัย จะมี จากนนั้ ครถู ามนกั เรียนวา พุทธลักษณะที่ส�าคัญ คือ มีพระวรกายสะโอดสะอง พระพักตร์กลมรีเป็นรูปไข่ • ผลงานทศั นศลิ ปภ าคเหนอื สว นใหญสะทอ น ใหเ หน็ ถงึ ส่งิ ใด ชายสงั ฆาฏิยาวลงมาจรดพระนาภี มีปลายตดั เปน็ รอยเขย้ี วตะขาบ และประทับ (แนวตอบ ผลงานทศั นศิลปภ าคเหนอื ทัง้ งาน จติ รกรรม ประติมากรรม และสถาปต ยกรรม ปางขัดสมาธิราบเป็นส�าคัญ เช่นเดียวกับพระพุทธรูปในสมัยสุโขทัย โดยสวนใหญสะทอนถึงเรือ่ งราวประเพณี ความเชอ่ื และวฒั นธรรมในทองถน่ิ ลา นนา ซง่ึ สมยั สุโขทยั ยคุ แรกได้รับอิทธิพลจากลังกา แตก่ ็ได้แสดงความงดงามตาม นอกจากน้ี ยังมผี ลงานทัศนศลิ ปอ กี เปน จาํ นวนมากท่ไี ดร บั อทิ ธพิ ลจากศลิ ปะพุกาม) อดุ มคตแิ บบไทยใหป้ รากฏไวอ้ ยา่ งชดั เจน แบบมอี ดุ มคตสิ งู สดุ (Classic Art) แบบอย่างของประติมากรรมที่เห็นได้ชัด คือ พระพุทธชินราช ท่ีวัดพระ- ศรรี ตั นมหาธาตุวรมหาวิหาร จงั หวดั พษิ ณุโลก ๓) สถาปัตยกรรม เป็นส่ิงก่อสร้างท่ีมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เห็นได้จากโบสถ์ วิหาร ที่สะท้อนถึงความโดดเด่นของทัศนศิลป์ประเภทนี้ มกั นยิ มสรา้ งเปน็ วหิ ารขนาดใหญ่ มเี สาเรียงรายภายใน และมีหลังคาซอ้ น สามช้ันเปน็ ส่วนมาก ตัวอย่างสถาปัตยกรรมแบบล้านนาที่โดดเด่น ได้แก่ โบสถ์ วดั พระสงิ หว์ รวหิ าร จงั หวดั เชยี งใหม่ ซงึ่ เปน็ โบสถโ์ บราณกอ่ ดว้ ยอฐิ ผสมไม้ “พระอัฏฐารส” เป็นพระพุทธรูปยืนปาง และวหิ ารโบราณ ไดแ้ ก่ วหิ ารลายคา� วดั พระสงิ หว์ รวหิ าร ภายในประดษิ ฐาน ห้ามญาติ ประดิษฐานอยู่บริเวณเนินวิหาร เก้าห้อง วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร พระพุทธสิหิงค์ วิหารน้�าแต้ม วัดพระธาตุล�าปางหลวง อ�าเภอเกาะคา จงั หวดั พิษณโุ ลก จังหวัดล�าปาง นอกจากน้ี ยังมีเจดีย์รูปทรงต่างๆ อีกมาก เช่น เจดีย์ ทรงเหล่ียม เจดีย์ทรงกลมหรือทรงระฆังคว่�า เป็นต้น ในระยะแรกการสร้างสถาปัตยกรรมจะได้ รับอิทธิพลจาก ประเทศเพ่ือนบ้าน ต่อมาได้มีการพัฒนารูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของศิลปะล้านนามากข้ึน เเปชน็่นตน้เจดสว่ียน์วัดสถสาวปนตัดยอกกรรเมจแดบียบ์วสัดโุเขชทียยังมท่ันม่ี ลี กัจษังหณวะัดเดเชน่ ียเปงใน็ หเอมก่ ลเจกั ดษียณ์วค์ ัดอื พร“เะจธดายี ตท์ ุหรรงิภพุญมุ ขชาัยวบจณิ ังหฑว”์ ัด1ล�าพูน นอกจากนี้ ส่ิงปลูกสร้างแบบล้านนายังมีกลุ่มเรือนท้องถิ่นในเขตจังหวัดทาง ภาคเหนือตอนบน ได้แก่ จงั หวดั ล�าพนู ล�าปาง แพร่ น่าน เชียงราย เชยี งใหม่ และ 2 แมฮ่ อ่ งสอน ตามแบบวฒั นธรรมดง้ั เดมิ คอื การปลกู เรอื นเครอ่ื งผกู การสรา้ ง “รา นนา้ํ ” ไว้ท่ีหัวบนั ได สา� หรับตอ้ นรบั แขก หรือคนทีส่ ัญจรผา่ นไปมา วสั ดทุ ่ใี ชท้ า� ฝาบา้ นจะใช้ ฝาขดั แตะจากไมไ้ ผ่ หลงั คามงุ ดว้ ยใบตองตงึ สว่ นเรอื นเครอ่ื งสบั แบบลา้ นนาจะเปน็ เรอื นชนิดท่ีมจี ่ัวสูงทางดา้ นหน้า ส่วนบนของจั่วมีไม้ที่แกะสลักเปน็ ลวดลาย ตา่ งๆ ไขวก้ นั แบบเรยี บงา่ ยเรยี กวา่ “เรอื นกาแล” เจดีย์วัดเชียงม่ัน จังหวัดเชียงใหม่ สถาปัตยกรรมท่ีได้รับอิทธิพลจาก ศลิ ปะพกุ าม แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ นักเรียนควรรู จากภาพนักเรยี นคดิ วา เปนพระพทุ ธรปู สัมฤทธิ์ 1 เจดียทรงพมุ ขา วบิณฑ หรือเจดยี ท รงดอกบวั ตูม เปน ศลิ ปะทเี่ ปนเอกลกั ษณ ท่ีไดรับอทิ ธิพลจากศิลปะรปู แบบใด เฉพาะของสโุ ขทัย โดยชา งสโุ ขทยั ไดนาํ เอาองคประกอบทางดานสถาปตยกรรม มาออกแบบใหเปนเจดียท รงใหม ฐานทาํ เปนสเี่ หลี่ยม องคเ จดยี ม ลี ักษณะ 1. ศลิ ปะลานนาตอนตน เปนทรงปรางคส ูงขึ้นไป เพอ่ื รองรับเรอื นยอดท่ีเปน รปู ดอกบัวตมู ลกั ษณะเจดยี  2. ศลิ ปะลา นนารุน หลงั ทรงพุมขา วบณิ ฑน ้นี ิยมสรา งข้ึนในสมัยสโุ ขทยั เทานน้ั ไมปรากฎในสมยั อ่ืน 3. ศลิ ปะหรภิ ญุ ชัย 2 รานนํ้า เปน หงิ้ สําหรบั วางหมอ น้าํ ด่ืม พรอ มทแี่ ขวนกระบวยหิ้งนํ้า 4. ศิลปะสุโขทยั หากหิ้งน้าํ อยทู ีช่ านโลง แจง เจา ของบานจะทําหลงั คาคลุมลกั ษณะคลา ยเรือนเลก็ ๆ เพ่อื มใิ หแสงแดดสองลงมาท่ีหมอน้ํา หมอ น้ํานีย้ ิง่ เกายงิ่ ดีเพราะมกั จะมีตะไครน ้ํา วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 1. ศิลปะไทยแบบลานนาตอนตน ชว งตน เกาะภายนอกชว ยใหน าํ้ ในหมอเยน็ กวาเดิม ขา งๆ หมอ นํ้าจะวางกระบวยทใี่ สน ํ้า ทําจากไมร ะแนง เปน รปู สามเหลีย่ มตัว V ใสกระบวยทท่ี าํ จากกะลามะพราว พุทธศตวรรษท่ี 19 พระพทุ ธรูปจะมลี กั ษณะพระพักตรกลม พระโอษฐอ มยมิ้ ตอ ดามไมสัก บางทีสลักเสลาปลายดา มเปนรูปสตั วต า งๆ พระหนุเปนปม ขมวดพระเกศาใหญเหนือพระเกตมุ าลา ปรากฏพระรศั มี เปน รปู ดอกบวั ตมู พระศอเปน ปลอ ง พระองคอ วบอว น พระอรุ ะนนู ครองจวี ร คูมอื ครู 111 หมเฉยี ง ชายจีวรเหนือพระองั สาซายส้ัน ปลายเปน ลายเข้ยี วตะขาบ ประทบั นง่ั ขดั สมาธิเพชรแสดงปางมารวิชัยโดยวางพระหัตถขวาอยเู หนอื พระชานุขวา พระหตั ถซา ยวางอยูเหนอื พระเพลา น้ิวพระหัตถไมเ สมอกนั

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ใหนักเรียนกลมุ ที่ 2 สง ตัวแทน 2-3 คน ออก 1จิตรกรรมฝาผนังรอบระเบียง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เรื่องรามเกียรต์ิ ตอนทศกัณฐ์ออกศึกกับพระรามครั้งแรก มีเทคนิคการเขียนภาพ มาอธิบายเกีย่ วกบั งานทศั นศิลปภ าคกลางตามที่ ไดศึกษามา หนา ชน้ั เรียน พรอมทง้ั ยกตัวอยางงาน แบบ ๒ มิต ิ โดยเน้นความงามและเน้ือหาเป็นสา� คญั ทัศนศิลปท่สี าํ คัญของภาคกลางมาประกอบการ อธิบายความรู โดยครูใหนกั เรียนสรปุ สาระสําคัญ ๓.๒ ภาคกลาง เกยี่ วกับงานทศั นศิลปภาคกลาง ลงสมุดบนั ทึก จากนั้นครูถามนักเรยี นวา ทศั นศลิ ปใ์ นภาคกลางเป็นผลงานทถ่ี อื ก�าเนดิ ข้ึนบรเิ วณตอนกลางของประเทศไทย ท่ีมภี มู หิ ลังทางศิลป- วัฒนธรรมท่ียาวนาน ต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นต้นมาจนถึงสมัยการสร้างบ้านแปลงเมืองและการสถาปนา • ผลงานทศั นศิลปภาคกลางสว นใหญไดร ับ อาณาจกั รตา่ งๆ ผลงานทศั นศลิ ปส์ ว่ นมากจะสรา้ งขนึ้ ตามคตคิ วามเชอื่ ทางพระพทุ ธศาสนาและศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู อิทธิพลจากสงิ่ ใด และการรบั อทิ ธพิ ลทางศลิ ปวฒั นธรรมจากชาตอิ น่ื ๆ เชน่ วฒั นธรรมอนิ เดยี วฒั นธรรมเขมร เปน็ ตน้ เขา้ มาผสมผสาน (แนวตอบ ผลงานทศั นศลิ ปภาคกลาง กับผลงานทัศนศิลป์ของตน จนกลายเป็นรูปแบบท่ีเป็นลักษณะเฉพาะของช่างราชส�านักและแพร่หลายไปยัง สว นใหญจ ะสรางขนึ้ ตามคตคิ วามเชื่อทาง ภูมิภาคอ่ืนตามการแผอ่ ทิ ธพิ ลทางการเมอื งการปกครอง พระพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ- ฮนิ ดู และรับอทิ ธิพลทางศลิ ปวัฒนธรรมจาก ผลงานทศั นศลิ ป์ท่สี �าคัญของภาคกลาง มดี ังนี้ ชาตอิ นื่ ๆ เชน วฒั นธรรมอนิ เดยี วฒั นธรรม เขมร เขามาผสมผสานกับผลงานทศั นศิลป ๑) จติ รกรรม ผลงานจติ รกรรมที่พบในภาคกลาง เป็นภาพเขยี นท่สี รา้ งสรรค์ขนึ้ จากความศรัทธาทาง ของตนเอง จนกลายเปน รปู แบบทเ่ี ปน ลักษณะ เฉพาะของชางราชสาํ นกั ของภาคกลาง) ศาสนาเปน็ ส่วนใหญม่ ีลกั ษณะเดน่ คอื เป็นภาพเลา่ เร่อื งต่างๆ เชน่ ภาพบคุ คล สตั ว์ ต้นไม้ เป็นตน้ ท่ีมีวิธีการ แสดงออกท่ีชัดเจน ต่อมาเม่ือได้รับอิทธิพลจากตะวันตก จิตรกรรมไทยเร่ิมมีรูปแบบและเน้ือหาที่เปลี่ยนแปลงไป โดยรบั เอาแบบอยา่ งเขา้ มา จนมีผลใหจ้ ิตรกรรมไทยมกี ารเปลย่ี นแปลงในดา้ นรปู แบบ เน้อื หา และวธิ กี ารน�าเสนอ มากขึน้ จิตรกรรมไทยท่ีพบในภาคกลาง นิยมส่ือความหมายด้วยการเล่าเรอ่ื งภาพพทุ ธประวตั ิ นทิ านชาดก และ เรื่องราวในไตรภูมิพระร่วง โดยเป็นการเล่าเร่ืองผ่านภาพเขียนบนฝาผนังของพระปรางค์ พระอุโบสถ พระวิหาร หอสวดมนต์ ซ่ึงมีวิธีการเขียนภาพด้วยลายเส้น โดยใช้สีแบบสีเดียว เรียกว่า “จิตรกรรมสีเอกรงค์” ที่นิยมมา ต้ังแต่สมยั โบราณ และรูปแบบระบายสีหลายสี เรียกว่า “จิตรกรรมสีพหรุ งค์” เปน็ วิธีระบายสที ่ีใชส้ หี ลายสี มสี ีสนั 112 นกั เรียนควรรู บูรณาการเชื่อมสาระ การศึกษาเกี่ยวกบั ภาพจิตรกรรมฝาผนังรอบระเบียง วดั พระศรรี ตั น- 1 จติ รกรรมฝาผนังรอบระเบียง วดั พระศรีรตั นศาสดาราม เร่ืองรามเกยี รติ์ ศาสดาราม เรือ่ งรามเกียรต์ิ สามารถบรู ณาการเชื่อมโยงกับการเรยี นการ เขยี นข้นึ ในสมัยรัชกาลที่ 1 ตอมาชํารดุ เนื่องจากความชนื้ จงึ เขียนซอมเมอ่ื มี สอนของกลมุ สาระการเรียนรภู าษาไทย วชิ าวรรณคดีและวรรณกรรม เรอ่ื ง การฉลองพระนครในสมยั รัชกาลท่ี 3 รัชกาลที่ 5 รัชกาลท่ี 7 และรัชกาลท่ี 9 รามเกยี รต์ิ เพราะถา นกั เรยี นมคี วามรเู กยี่ วกบั วรรณคดไี ทย เรอื่ งรามเกยี รต์ิ ภาพชดุ รามเกยี รตเ์ิ ริ่มตง้ั แตภาพนารายณอ วตารปางตางๆ กอ นทีจ่ ะอวตารเปน มาพอสมควร จะเปนการเพิ่มอรรถรสในการเดนิ ดภู าพมากยง่ิ ขน้ึ ทงั้ นี้ใน พระราม ปรากฏอยตู ามซมุ ประตแู ละมขุ ระเบยี ง ประมาณ 80 ภาพ แลว ตอ ดว ย หนึง่ ภาพอาจมตี วั ละครตัวเดียวกันอยูห ลายจดุ หากนักเรียนมคี วามรู เรอ่ื งรามเกยี รต์ิ ตง้ั แตห อ งท่ี 1-178 มีคําบรรยายใตภาพและคาํ บรรยายเปน โคลง เร่ืองรามเกียรต์ิกจ็ ะสามารถลําดบั ภาพและเขาใจเนอ้ื เร่ืองได สลักบนแผนหินออนตดิ อยทู ่เี สารอบระเบยี ง มมุ IT นกั เรยี นศกึ ษาเพม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั จติ รกรรมเรอื่ งรามเกยี รต์ิ ทวี่ ดั พระศรรี ตั นศาสดาราม ไดท ี่ www.youtube.com โดยคน หาจากคาํ วา จติ รกรรมฝาผนงั วดั พระศรรี ตั น- ศาสดาราม เปน ตน แลว เลอื กชมคลปิ วดิ โี อเฉพาะเรอื่ งทเ่ี กยี่ วกบั ภาพจติ รกรรม 112 คูม ือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู สดใส เขียนด้วยสีฝุ่น และปิดทองค�าเปลวในบางส่วนที่ส�าคัญ ผลงานจิตรกรรมช้ินส�าคัญ เช่น จิตรกรรมฝาผนัง ครูสุมตวั อยา งนกั เรียน 2-3 คน ใหยกตัวอยา ง ภาพพระอดีตพุทธภายในพระปรางค์วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จิตรกรรมฝาผนังโบสถ์วัดใหญ่- ผลงานทศั นศิลปภ าคกลางที่โดดเดนประเภท สุวรรณาราม จงั หวดั เพชรบรุ ี จิตรกรรมฝาผนงั โบสถ์วดั ใหญ่อนิ ทาราม จงั หวดั ชลบุรี เปน็ ต้น จติ รกรรมและประตมิ ากรรม มาประเภทละ 1 ผลงาน พรอมอธบิ ายลกั ษณะของผลงาน ผลงานจิตรกรรมไทยที่พบในภาคกลาง นอกจากจะสะท้อนถึงเรื่องราวและเนื้อหาทางพระพุทธศาสนา ดังกลาว ครคู อยเสรมิ เพมิ่ เติมเกยี่ วกับขอมูลของ แล้ว ยังสะท้อนเรอ่ื งราวเก่ียวกับประเพณี ความเช่ือ วถิ ีชวี ติ และสภาพแวดลอ้ มต่างๆ ในช่วงสมยั ท่มี กี ารเขยี นภาพ ผลงานท่นี กั เรยี นยกตัวอยา งมา จากน้นั ครถู าม อีกด้วย เช่น แม่น้�าล�าคลอง พืชพันธุ์ไม้ต่างๆ สัตว์ ชุมชนบ้านเรือนท่ีปลูกสร้างอยู่ริมน้�าและบนบกให้เห็นอย่าง นกั เรียนวา ชัดเจน เป็นต้น การเรียนรู้เรื่องราวบนจิตรกรรมฝาผนังผ่านภาษาภาพ โดยใช้องค์ประกอบท่ีเก่ียวข้องข้างต้น อย่างพินิจพิจารณาจะช่วยให้ผู้ชมมีความเข้าใจถึงประวัติศาสตร์สังคมของท้องถิ่นที่ถูกถ่ายทอดเป็นเรื่องราว • งานจติ รกรรมทพ่ี บในภาคกลางสว นใหญ แทรกอยู่ในภาพจิตรกรรมฝาผนงั ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี มีลักษณะเปนอยางไร (แนวตอบ งานจิตรกรรมสวนใหญท ีพ่ บ ๒) ประติมากรรม ประติมากรรมที่พบในภาคกลางเป็นผลงานทัศนศิลป์ท่ีแสดงถึงรูปทรง ๓ มิติ ที่ ในภาคกลางจะเปน ภาพเขยี นทส่ี รา งสรรค ขน้ึ จากความศรทั ธาทางศาสนา นยิ มส่ือ ประกอบดว้ ยความสงู ความกวา้ ง ความนนู (ลกึ ) โดยตอบสนองความเชอื่ ทางดา้ นศาสนา และตอ่ มาประตมิ ากรรมได้ ความหมายดวยการเลาเรอื่ งพทุ ธประวตั ิ พฒั นารูปแบบการสร้างสรรคเ์ ปน็ ผลงานทเี่ หมอื นจริงมากขน้ึ ผลงานในระยะแรกมีความเก่ยี วข้องกบั สถาปัตยกรรม นิทานชาดก และเร่ืองราวในไตรภูมพิ ระรว ง ทง้ั ทางตรงและทางออ้ มทเ่ี กยี่ วขอ้ งโดยตรง ไดแ้ ก่ การปน้ั และการแกะสลกั เพอ่ื ประดบั ตกแตง่ อาคารและศาสนสถาน ผานภาพเขยี นบนฝาผนงั ของพระอโุ บสถ เช่น ลวดลายประดบั ตา่ งๆ ส่วนท่เี กีย่ วขอ้ งทางออ้ ม ไดแ้ ก่ พระพุทธรปู ทปี่ ระดษิ ฐานอยใู่ นวิหาร เปน็ ต้น พระวหิ าร หรอื หอสวดมนต ซ่ึงมีวิธีการ เขียนภาพดว ยลายเสน แลวลงสที ั้งแบบ ประติมากรรมที่พบในภาคกลาง สามารถแบ่งออกได้เป็น ประติมากรรมรูปเคารพ สีเดียว หรือท่ีเรยี กวา “จติ รกรรมสเี อกรงค” ประติมากรรมเร่ืองเล่า และประติมากรรมตกแต่ง กรณีการสร้างรูปเคารพนั้นมีการสร้าง และแบบระบายสีหลายสี หรอื ทเี่ รียกวา ตามคติความเช่ือของศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู เช่น เทวรูปพระศิวะ พระนารายณ์ เปน็ ต้น หรือ “จิตรกรรมสีพหุรงค”) การสรา้ งรูปเคารพในพระพทุ ธศาสนา นิกายมหายาน ได้แก่ รูปพระโพธสิ ตั ว์ แล1ะรปู เคารพใน พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทที่เป็นรปู พระพทุ ธเจ้าปางต่างๆ เชน่ ปางมารวิชยั ซงึ่ เป็นปางที่ แสดงเหตกุ ารณต์ อนใกลจ้ ะตรสั รขู้ องพระพทุ ธเจา้ ซงึ่ พระพทุ ธรปู ปางนจ้ี ะนยิ มสรา้ งประดษิ ฐาน ไวเ้ ปน็ พระประธานในพระอโุ บสถของวดั ต่างๆ ท่วั ประเทศไทย เปน็ ต้น นอกจากนี้ ประติมากรรมตกแต่งภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัด พระแก้ว) และพระบรมมหาราชวัง ท่ีทา� เปน็ รูปเทวดา รปู สตั วห์ ิมพานต์ หรอื ลวดลาย ประดับต่างๆ ยังสามารถสื่อถึงความหมาย ความงาม และความเกี่ยวขอ้ งกบั สถาบนั กษัตริย์ของไทย เนื่องจากพระบรมมหาราชวังเป็นท่ีประทับ ที่เสด็จออกว่าราชการ และที่ทรงงานของพระมหากษัตริย์ ดังน้ัน ประติมากรรมการตกแต่งใน บริเวณต่างๆ จึงได้รับการออกแบบการแต่งอย่างพิถีพิถันและวิจิตรงดงาม มาทกุ ยคุ ทกุ สมยั เพอื่ ใหพ้ ระบรมมหาราชวงั มคี วามงดงามสมกบั เปน็ ทป่ี ระทบั ของสมมตเิ ทพตามความเช่อื ในศาสนาพราหมณ-์ ฮินดู เทพกินนร เป็นประติมากรรมที่เกิดจาก จินตนาการของผูส้ ร้าง แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETิด เกร็ดแนะครู ผลงานประตมิ ากรรมของไทยสว นใหญจ ะเกย่ี วของกบั อะไร การจดั การเรียนการสอนเกยี่ วกับงานจิตรกรรม ประตมิ ากรรม สถาปตยกรรม 1. พทุ ธประวตั ิ ของภาคตางๆ เพื่อใหนักเรยี นมคี วามรคู วามเขา ใจมากขึน้ ครคู วรใหนักเรยี นเลือก 2. บคุ คลสําคญั ดภู าพประกอบผลงานดงั กลาวจากหนังสือตา งๆ เว็บไซต โดยใหน กั เรียนจดจาํ 3. ส่งิ ตา งๆ ในธรรมชาติ และทําความเขาใจลกั ษณะเดน ของผลงานในแตละประเภทของแตล ะภาค 4. ตัวละครในวรรณคดี นักเรยี นควรรู วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 1. ผลงานประตมิ ากรรมของไทยสวนใหญ 1 ปางมารวชิ ยั คําวา มารวชิ ยั แปลวา ชนะมาร ลักษณะของพระพทุ ธรปู จะอยู จะเปน การสรา งพระพทุ ธรปู ไวเคารพบชู า หรือเพื่อแสดงออกถึงความศรัทธา ในอิริยาบถประทับนัง่ ขัดสมาธิ พระหัตถซา ยหงายลงบนพระเพลา (ตกั ) ในพระพทุ ธศาสนา ทัง้ นใ้ี นแตละสมัยจะมีลักษณะของพทุ ธศิลปแตกตา งกัน พระหัตถขวาวางคว่ําลงทพ่ี ระชานุ (เขา ) นิ้วพระหัตถชลี้ งทพ่ี ื้น ออกไป เปน การแสดงออกถงึ ความงามในเชงิ อดุ มคติ คมู อื ครู 113

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ครสู มุ ตัวอยา งนกั เรยี น 2-3 คน ใหย กตัวอยา ง ๓) สถาปัตยกรรม เป็นผลงานทัศนศิลป์ สถาปตยกรรมภาคกลางทมี่ คี วามโดดเดน มาคนละ 1 ผลงาน พรอ มอธิบายลกั ษณะของสถาปต ยกรรม ที่เกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน โบสถ์ วิหาร ท่ียกมาเปนตัวอยา ง ครูคอยเสรมิ เพม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั ปราสาทราชวัง ผลงานส่วนมากพัฒนาการมาตั้งแต่ ขอมลู ของผลงานทน่ี กั เรียนยกตวั อยางมา จากน้นั สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ หลักฐานส�าคัญที่ ครูถามนกั เรียนวา ปรากฏ ได้แก่ อาคาร เช่น โบสถ์ วิหาร และมณฑป มีการปลูกสร้างให้มีขนาดท่ีใหญ่โต มีการออกแบบ • เรือนไทยภาคกลางมีลกั ษณะโดดเดน อยางไร ลวดลายตกแต่งบนสถาปัตยกรรมอย่างวิจิตร เช่น (แนวตอบ สถาปตยกรรมเรือนไทยภาคกลาง เครอ่ื งบนของอาคารมชี อ่ ฟ้า ใบระกา หางหงส์ เปน็ ตน้ วดั พระศรรี ตั นศาสดาราม เปน็ สถานทีซ่ ่งึ ประกอบดว้ ยงานจิตรกรรม สามารถแบงออกไดเปน 3 ลกั ษณะ คือ เหน็ ไดจ้ ากสถาปตั ยกรรมภายในวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม ประติมากรรม และสถาปตั ยกรรม อนั ทรงคณุ คา่ หลายอยา่ ง เรอื นเคร่อื งผกู เรือนเครื่องสับ และเรือนแพ หรอื เรือนริมน้าํ ตวั เรือนไทยภาคกลาง ที่เป็นจดุ รวมของสถาปัตยกรรมเดน่ ๆ สมยั รตั นโกสนิ ทร์ไวเ้ กือบท้ังหมด สว นใหญจะทําดว ยไมสกั เชน โครงหลังคา นอกจากนี้ สถูป เจดีย์ และพระปรางค์ นบั ไดว้ า่ เปน็ ธาตเุ จดยี ์ หรืออเุ ทสิกะเจดีย์ (เจดยี ส์ า� หรบั บรรจอุ ฐั ิ) ฝา พ้ืนหอ งนอน พน้ื ระเบียง สว นเสาและ พืน้ ชานใชไมเ นือ้ แขง็ เชน ไมเ ตง็ ไมแดง ที่นิยมสร้างกันอย่างแพร่หลาย และมีรูปแบบที่เป็นลักษณะเฉพาะของงานทัศนศิลป์ประเภทนี้ เช่น พระปรางค์ 1 เปนตน) วัดพระราม เจดีย์ทรงกลม หรือทรงระฆังคว่�า วัดพระศรีสรรเพชญ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระปรางค์ วัดอรุณราชสว่วรนารบา้ามนกไทรงุยเทหพรมือหเราือนนครไทเยปภน็2าตคน้ กลาง จะมีลักษณะเฉพาะของการปลูกสร้างเป็นแบบแผนท่ีเห็นได้ เชน่ เรือนครอบครัวเด่ียว เรือนครอบครัวขยาย เรอื นแพ เปน็ ตน้ เมอื่ พจิ ารณาถงึ รูปแบบเรือนไทยในภาคกลาง ลกั ษณะเด่นจะมีหลังคาทรงสงู ใต้ถุนสูง ชานกว้าง และไม่มีฝ้าเพดาน เกรด็ ศลิ ป เรอื นไทย สถาปัตยกรรมเรือนไทย หรือบ้านไทยภาคกลาง แบง่ ออกได้เปน็ ๓ ลกั ษณะ ดงั น้ี 11๔ ๑. เรือนเคร่ืองผูก หมายถึง เรือนท่ีใช้ไม้ไผ่เป็นโครงสร้างหลักในการสร้าง มีส่วนประกอบของเคร่ืองมุงหลังคาท�าด้วยจากหญ้าคา หรือทางมะพร้าว โดยมี กรรมวธิ ี และขน้ั ตอนในการปลกู สรา้ งอยา่ งงา่ ยๆ โดยประกอบโครงสรา้ งเขา้ ดว้ ยกนั ดว้ ยการใชต้ อก และหวายเป็นวัสดุในการผูกมดั ๒. เรือนเครื่องสับ หมายถึง เรือนที่มีโครงสร้าง และส่วนประกอบท�าด้วย ไม้จริงทั้งหลัง มักพบทั่วไปในภาคกลาง และภาคตะวันออก ข้ันตอนในการปลูก สร้างเรอื นจะมีการใชเ้ ครือ่ งมอื หลายชนดิ เชน่ มีด ขวาน เปน็ ต้น นา� มาถาก เจาะ สับ หรือฟันไม้ แล้วน�ามาประกอบตามโครงสร้างท่ีต้องการ ส่วนประกอบส�าคัญ ของเรอื นเครอ่ื งสบั คือ ฝาเรือนท่มี กี ารเขา้ ไม้อย่างประณตี เรียกวา่ “ฝาปะกน” ๓. เรือนแพ หรือเรือนริมนํ้า เป็นรูปแบบทางสถาปัตยกรรมลักษณะหน่ึงที่ ปรากฏตามบริเวณริมแม่น้�าต่างๆ ลักษณะทว่ั ไปของเรอื นแพ มกั จะท�าเปน็ รูปแบบ ของเรือนทรงไทย มีหลังคาปั้นลม ตัวเรือนทั่วไปเป็นเรือนฝากระดาน ด้านหน้า ของเรือนแพเปิดโลง่ ตลอด ส่วนพนื้ ของเรือนแพจะรองรบั ดว้ ย “ลกู บวบ” เรียกวา่ “แพลูกบวบ” นกั เรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET 1 พระปรางค เปนงานสถาปตยกรรมที่ไทยรับเอาอทิ ธพิ ลการสรา งองคปราสาท จากภาพเปนสถาปตยกรรมทีอ่ ยใู นจังหวดั ใด และมีลกั ษณะรปู แบบ ของขอมมาปรบั เปล่ยี นใหเรียวเปนทรงสูง ถอื เปน หลักประธานของวดั รวมถงึ ส่อื ถงึ เปนอยางไร คตคิ วามเชื่อวาเปนสญั ลกั ษณของเขาพระสเุ มรุ ตามคติของศาสนาพราหมณ-ฮินดู แนวตอบ พระปรางคส ามยอด เปนศลิ ปะแบบบายน ซึ่งมีอายรุ าว ทง้ั นพี้ ระปรางคแ บง ออกเปน 4 แบบ ไดแ ก ทรงศิขร มีรูปแบบดง้ั เดมิ ตามแบบขอม พทุ ธศตวรรษที่ 18 กอ ดว ยศลิ าแลงขน้ึ ไปเปน สามยอด สงู ประมาณ 15 เมตร ทรงงาเนียม ลกั ษณะใหญแตส ้ัน ตอนปลายโคงเรียว ทรงฝกขา วโพด มลี กั ษณะ โดยกอ ทบั ขนึ้ ไปแลว โบกดว ยปนู ขาว พรอ มพมิ พเ ปน ลวดลายอยา งงดงาม ผอมบางและตรงคลา ยฝก ขาวโพด และทรงจอมแห มลี กั ษณะคลา ยแหท่ีถูกยกข้นึ ทงั้ สามองคภ ายในเดนิ ตดิ ตอ กนั ไดต ลอด การประดบั ดา นนอกของพระปรางค 2 เรือนไทย เปน ตวั อยา งของงานสถาปต ยกรรมท่ีสรา งขนึ้ ใหส อดรบั กับ จัดทําอยางประณตี ปจ จบุ ันพระปรางคส ามยอดถือเปน สัญลกั ษณของ สภาพแวดลอมทางธรรมชาติ ตวั อยางเชน หลงั คาสงู ลาดเอียงเพื่อใหระบายน้าํ ฝน จังหวดั ลพบรุ ี ทตี่ กชุกไดด ี ใตถนุ สงู เพื่อปอ งกันปญ หาอุทกภัยในฤดูน้ําหลาก มีหนา ตา งโดยรอบ เพ่อื ชว ยระบายความรอน ตัวบานเปนชานเรอื นกวางเพื่อสะดวกแกการทํากจิ กรรม เนอื่ งจากในอดตี ครอบครวั ไทยเปน ครอบครวั ใหญม สี มาชกิ อาศยั อยรู วมกนั หลายคน เปนตน 114 คูมอื ครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู เสริมสาระ ใหน ักเรียนศึกษางานทศั นศลิ ปใ นสมัย รตั นโกสนิ ทร ในหนงั สือเรียน หนา 115 จากนัน้ ครู งานทัศนศิลปในสมยั รตั นโกสนิ ทร ถามนักเรยี นวา แบบอยา่ งของงานทศั นศลิ ปใ์ นสมยั รตั นโกสนิ ทรเ์ รมิ่ ตน้ ตง้ั แตพ่ ระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา จฬุ าโลกมหาราช ทรงสถาปนา • งานทศั นศลิ ปข องไทยในสมัยรัตนโกสินทร กรุงเทพมหานครขึ้นเป็นราชธานี ต้ังแต ่ พ.ศ. ๒๓๒๕ ลงมาจนถงึ สมยั ปัจจุบนั พอสรุปได้ ดังนี้ เปลี่ยนแปลงไปอยางไร (แนวตอบ งานทัศนศิลปของไทยในสมยั ๑. จิตรกรรม สมัยรัตนโกสินทร์จิตรกรรมที่เขียนขึ้น ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๓๒๕ ลงมาจนถึง รัตนโกสนิ ทรม กี ารเปล่ยี นแปลงไปตาม ปัจจุบัน มีรูปแบบการเขียนตามแบบไทยแนวประเพณีและแบบร่วมสมัย โดยเฉพาะจิตรกรรมฝาผนัง ยุคสมัย โดยงานจิตรกรรมจะมลี กั ษณะ ทเี่ ขยี นขน้ึ ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท ี่ ๓) จดั เปน็ จติ รกรรมไทยทมี่ คี ณุ คา่ เปน สากลมากขนึ้ มีความรว มสมยั กับ ทางความงามมาก เช่น ท่ีวดั สวุ รรณาราม คลองบางกอกน้อย เปน็ ตน้ แตห่ ลงั จากรบั อทิ ธพิ ลตะวนั ตก ศลิ ปะนานาชาติอยา งชัดเจน สว นงาน ท�าให้รูปแบบจิตรกรรมไทยมีรูปลักษณะเป็นสากลเพิ่มมากข้ึน จนถึงปัจจุบันรูปแบบจิตรกรรมไทย ประตมิ ากรรมมีการเปลยี่ นแปลงอยาง มีความร่วมสมัยกับศิลปะนานาชาตอิ ย่างชัดเจน ชัดเจนหลงั พ.ศ. 2475 เพราะไดเกิดการ ๒. ประตมิ ากรรม สมยั รตั นโกสนิ ทรป์ ระตมิ ากรรมในชว่ งระยะแรกมหี ลกั ฐานการสรา้ งนอ้ ย สรา งศลิ ปะสมัยใหมแ ละรวมสมัยข้ึน และ ส่วนใหญ่มักอัญเชิญพระพุทธรูปท่ีมีอยู่แต่เดิมมาบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ หรือไม่ก็อัญเชิญมาเป็น งานสถาปต ยกรรมก็ไดปรบั ตัวตามกระแส พระประธานอยใู่ นวดั สา� คญั ๆ ในเขตกรงุ เทพมหานคร สว่ นใหญเ่ ปน็ แบบสโุ ขทยั สา� หรบั ประตมิ ากรรม ตะวนั ตก มรี ูปลักษณะของการผสมผสาน แบบรัตนโกสินทร ์ พอจะประมวลได ้ ดังนี้ หรอื รับแบบอยา งสถาปตยกรรมตะวนั ตก ๑) พระพุทธรูปท�าตามแบบอย่างของเดิม เป็นรูปแบบที่สร้างขึ้นคล้ายกับพระพุทธรูป เขามาใชใ นสถาปตยกรรมไทย สงั เกตได สมัยอยธุ ยาปนอูท่ อง แต่ลกั ษณะความมชี ีวิตจติ ใจไมเ่ ดน่ เทา่ ในสมยั รัชกาลท่ี ๓ โปรดเกล้าฯ ใหส้ รา้ ง ชดั เจนในสมัยรัชกาลท่ี 5 ไดแก การสรา ง พระพทุ ธรปู เพม่ิ เตมิ ขน้ึ นบั รวมกบั แบบเดมิ เปน็ ๔๐ ปาง แลว้ อญั เชญิ ไปประดษิ ฐานยงั วดั วาอารามตา่ งๆ พระทน่ี ั่งจักรีมหาปราสาท ๒) พระพุทธรูปผสมผสานกับตะวันตก ในรัชกาลที่ ๔ มีการแก้ไขพุทธลักษณะให้ พระพทุ ธรปู ปางขอฝน พระทีน่ ง่ั อนันตสมาคม เปนตน) คมลีก้าายรมตนิดุษต่อยกส์ ัาบมตญั ่างยป่ิงขรึ้นะเ ทคศือม ไามกม่ ขพี ้ึนร ะจเกึงเตกมุ ิดามลีกาา หรสรอืรข้ามงพวดรพะพระุทเธมราูปลี ใมหีจ้เหีวรมเืปอน็นมริ้วน ุษเชยน่ ์ต พามระแนบิรบนั พตรระาพยุท เธปรน็ ูปตค้นัน ธพาอรถรงึ าสฐมข1ยัอรงัชอกินาเลดทีย ่ี ๕เช-่น๖ พระพุทธรูปปางขอฝน พระไสยาสน์ ท่ีวดั ราชาธิวาส กรุงเทพมหานคร เป็นตน้ ๓) ประติมากรรมสมัยใหม ่ ภายหลัง พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลย่ี นแปลงในประวตั ิศาสตรศ์ ิลปะของเมอื งไทย โดยมีการก่อต้ังมหาวิทยาลัยศิลปากรขึ้นภายใต้การดูแลของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ท�าให้เกิดการสร้างศิลปะสมัยใหม่และร่วมสมัย ขนึ้ มากมาย ๓. สถาปตยกรรม ในสมัยรัตนโกสินทร์ระยะแรกเป็นการสืบทอดแบบอยุธยาตอนปลายและต่อมามีวิวัฒนาการ ตามลา� ดับ คือ ๑) สถาปัตยกรรมแบบแผนอยุธยา เป็นอาคารสร้างเลียนแบบอยุธยาโดยเฉพาะอาคารประเภทเครื่องก่อ เช่น โบสถ์ วหิ าร ปราสาทราชมณเฑียร ลว้ นแต่ท�าฐานแอน่ โคง้ รบั หลังคา และเชิงชายกม็ แี นวเส้นอ่อนกลางปลายเชดิ สัมพนั ธก์ บั ฐาน เป็นต้น ๒) สถาปตั ยกรรมแบบสมยั รชั กาลท ่ี ๓ สมยั นม้ี แี บบสถาปตั ยกรรมทเี่ รยี กวา่ “อยา งใน” และ “อยา งนอก” คอื แบบลายไทย กบั แบบลายจนี แบบลายไทยนน้ั ไมน่ ิยมรูปเทพเปน็ ลายประธานและไมน่ ิยมลายกระหนก มกั ใชล้ ายใบเทศเปน็ หลัก อาคารไม่มตี ัวหวั เสา ไมต่ ิดคนั ทวย ๓) สถาปัตยกรรมยุคปรับตัวตามกระแสตะวันตก มีรูปลักษณะ ผสมผสาน หรอื รบั แบบอยา่ งสถาปตั ยกรรมตะวนั ตกเขา้ มาใชใ้ นสถาปตั ยกรรมไทย สังเกตไดอ้ ย่างชัดเจนในสมัยรัชกาลท ี่ ๕ เช่น การสร้างพระที่นงั่ จกั รีมหาปราสาท ภายในพระบรมมหาราชวงั พระทน่ี ่งั อนนั ตสมาคม เป็นตน้ นอกจากน ้ี ยงั มกี ารปรบั ปรุงแนวคดิ ให้เหมาะสมโดยการน�า วสั ดุใหมๆ่ เข้ามาประกอบในงานสถาปัตยกรรม พระทนี่ ง่ั อนนั ตสมาคม สถาปัตยกรรมทส่ี ร้าง ตามแบบตะวนั ตก แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ เกรด็ แนะครู ขอใดกลาวถึงผลงานทศั นศิลปใ นสมัยรัตนโกสนิ ทรไดถกู ตอ ง ครคู วรนาํ ภาพงานทัศนศลิ ปในสมัยรัตนโกสินทรมาใหน กั เรียนดปู ระกอบ 1. ทาํ ตามแบบอยา งศลิ ปะสมัยอยุธยา การอธบิ าย เพอื่ ใหนักเรยี นไดเห็นความเปลี่ยนแปลงของผลงานทศั นศลิ ปจ ากอดตี 2. นิยมสรา งสรรคง านแบบอตั ลกั ษณไทย จนถึงปจ จุบัน ทัง้ นี้ครูอาจเชญิ วิทยากรในทองถิน่ ท่ีมคี วามรูเรอ่ื งงานทัศนศลิ ป 3. ไดร ับอิทธพิ ลอยา งมากจากศลิ ปะตะวนั ตก ในยุคสมยั ตางๆ ของไทย มาอธิบายเพิ่มเตมิ ใหน กั เรยี นฟงแลว เปด โอกาสให 4. นําศลิ ปะอินเดยี และจีนมาผนวกรวมกนั นักเรียนซักถามขอสงสยั เพือ่ ใหนักเรยี นเกิดความสนใจและภาคภมู ใิ จในศิลปะของ ชาติไทย วิเคราะหค าํ ตอบ ตอบ 3. ในสมัยรตั นโกสินทรน ับต้งั แตร ชั กาลที่ 3 นกั เรยี นควรรู เปน ตนมา อิทธพิ ลจากศิลปะตะวันตกไดแ พรหลายเขาสูสังคมไทย และเขา มามีบทบาทตอศิลปะไทยในการสรา งสรรคผ ลงานทุกประเภท ไมว าจะเปน 1 พระพทุ ธรูปคนั ธารราฐ เปนสมยั แรกทีม่ กี ารสรา งพระพทุ ธรูปขึน้ โดยไดร ับ จติ รกรรม ประติมากรรม สถาปตยกรรม ตามแบบอยา งศิลปะตะวันตก อิทธพิ ลจากศิลปะกรกี เกิดขึ้นเมือ่ ราว พ.ศ. 370 ลกั ษณะเดนของพระพทุ ธรูป คือ อยา งแพรห ลาย มีพระพักตรต ามอยา งเทพเจากรีก เสน พระเกศาหยกิ สลวย มแี ผน รศั มีอยูหลัง พระเศียร หม ผาคลุมมีร้วิ แบบธรรมชาติ มีอณุ าโลมระหวางค้ิว พระกรรณยาว คูมือครู 115

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ใหนักเรียนกลมุ ท่ี 3 สงตวั แทน 2-3 คน ออกมา ๓.๓ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื (ภาคอีสาน) อธบิ ายเกย่ี วกบั งานทัศนศลิ ปภ าคตะวนั ออกเฉยี ง- เหนือ (ภาคอสี าน) ตามทไ่ี ดศ กึ ษามา หนา ชัน้ เรยี น ผลงานทัศนศิลป์มีพัฒนาการมาต้ังแต่สมัยโบราณจากหลักฐานท่ีปรากฏ นักวิชาการได้สันนิษฐานว่า พรอ มทั้งยกตัวอยางงานทัศนศิลปท ส่ี ําคญั ของ เมอื่ ประมาณ ๒,๕๐๐ ปม าแลว้ จนถงึ หลงั พ.ศ. ๕๐๐ พระพทุ ธศาสนาและศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดจู ากอนิ เดยี ไดถ้ กู นา� ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื มาประกอบการอธิบาย มาเผยแผ่บริเวณดินแดนสองฝังโขงและภาคอีสาน ท�าให้ศิลปวัฒนธรรมของบ้านเมืองรุ่นแรกๆ ในบริเวณน้ีจึงเริ่ม ครูคอยเสริมเพมิ่ เตมิ เกย่ี วกับขอ มลู ของผลงานท่ี ปรากฏข้ึน และพัฒนาต่อมาจนมีรูปแบบเฉพาะตัว พร้อมกับมีการรับแบบอย่างของงานทัศนศิลป์จากดินแดนอ่ืน นักเรยี นยกตวั อยา งมา เชน่ ทวารวดี เขมร ลาว เปน็ ตน้ เขา้ มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นวถิ ชี วี ติ ของตนเอง จนทา� ใหเ้ กดิ สถาปตั ยกรรมตา่ งๆ ทสี่ วยงาม เชน่ ปราสาทหนิ เจดยี ์ โบราณสถาน โบราณวตั ถอุ น่ื ๆ ทปี่ รากฏในภาคอสี านอกี มากมาย เปน็ ตน้ ซงึ่ มรี ายละเอยี ดดงั น้ี ๑) จิตรกรรม ภาพเขยี นสีของภาคอสี านมักปรากฏบน ผนังของสมิ เรียกวา่ “ฮูปแตม ” มีเรอ่ื งราวทีเ่ ขยี นบนผนังด้านในของ สิมท่เี ก่ียวกบั เร่อื งราวในพทุ ธประวัติ นิทานพ้ืนบ้านเร่อื งสงั ขศ์ ิลป์ชัย (สินไซ) และมหาเวสสันดรชาดก ซึ่งรูปแบบการเขียนจะมีลักษณะ ของการจัดภาพ การใช้สีสัน รูปร่างหน้าตาของภาพ ที่มีการผสมผสานระหว่างงานทัศนศิลป์ภาคกลางและ ภาคอสี านไดอ้ ยา่ งลงตวั อกี ทง้ั ชา่ งเขยี นยงั ไดส้ อดแทรก เร่ืองราวของวัฒนธรรมในภาคกลางและภาคอีสาน สะท้อนออกมาในฮูปแต้มอีกด้วย โดยเฉพาะวิธีการ เขียนภาพจะมีการใช้เทคนิคในการระบายสี ที่มี การเน้นเส้นที่หนักแน่น ไม่ประณีตแบบงาน ภาพฮปู แต้มผนงั สิม จังหวดั มหาสารคาม บ่งบอก จขติ อรงกกรารมรเไขทียยนในภภาาพคแกลบาบงฮสูปง่ิ แทตเ่ี ป้มน็ ล1คกั ือษณกะาเดรน่เขียนเภรื่อางพราทวส่ีผักลนาังยขดา้าขอนงใชนายแชาลวะอผีสานนังด้านนอกของ ศาสนสถาน ซึง่ แตกต่างจากงานจติ รกรรมในภาคอื่นๆ ที่มีการเขยี นรปู เฉพาะผนงั ดา้ นในของ ศาสนสถานเทา่ นน้ั ๒) ประตมิ ากรรม การสรา้ งสรรคผ์ ลงานประตมิ ากรรมจะนยิ มสรา้ งสรรคผ์ ลงาน ในรปู แบบตา่ งๆ ทค่ี ลา้ ยกบั ภาคกลางและภาคเหนอื อาจจะมสี ว่ นของลกั ษณะและลวดลาย ในการตกแต่งที่แตกต่างกัน เช่น นิยมท�า2หัวบันไดเป็นรูปพญานาคบริเวณทางขึ้น ทางเขา้ ของศาสนสถาน ศาลาการเปรยี ญ สิม เป็นต้น นิยมป้นั ลวดลายตกแตง่ ตาม ฐานพระธาตุ หรอื ตกแตง่ แบบรงั ผง้ึ ในบรเิ วณหนา้ บนั ของสมิ เปน็ ตน้ ความโดดเดน่ ของประตมิ ากรรมอีสานอีกลักษณะหนง่ึ ไดแ้ ก่ พระพทุ ธรปู จะมกี ารออกแบบ ส่วนของฐานให้มีความสูงมาก และลักษณะของใบหน้าทรวดทรงก็มีความ เป็นทอ้ งถิน่ คือ ดูเรยี บง่าย แต่ในการปน้ั หลอ่ หรือแกะสลกั จะไม่ประณตี เรยี บร้อยเหมอื นผลงานของช่างภาคกลาง หรือช่างหลวง นักเรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ผลงานจติ รกรรมพน้ื บา นของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เราจะพบวา 1 ฮูบแตม เปนคําทค่ี นอสี านใชเรียกรูปรอยบนผนงั ถ้าํ ทเ่ี ปนรูปวาด นยิ มเขยี น มกี ารสอดแทรกเรอ่ื งราวในขอ ใดมากท่ีสดุ ท้ังผนังดานในและดา นนอกของสิม (โบสถ) โดยนิยมเขียนเรอ่ื งราวเกี่ยวกับ 1. การผจญภัยกลางมหาสมทุ ร พทุ ธประวตั ิ ทศชาตชิ าดก เวสสันดรชาดก พระมาลัย นทิ านพ้ืนบา นตา งๆ 2. วิถีการดํารงชีวิตของชาวบา น 2 ศาลาการเปรยี ญ ในสมยั โบราณเรยี กวา “การบุเรยี น” หมายถึง 3. การทําสงครามระหวางยักษ- ลิง โรงท่ีพระสงฆใชแ สดงธรรมหรือศึกษาธรรมะ 4. การเผยแผศาสนาของสมณทตู วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. เรอื่ งราวทีส่ อดแทรกลงไปในภาพเขียน ตางๆ ของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ศิลปนจะนยิ มวาดเร่ืองราว วิถกี ารดาํ เนนิ ชีวติ ของชาวบานในทองถิ่นในดา นตางๆ ไมวาจะเปน ขนบธรรมเนียมประเพณี การประกอบอาชพี การแตง กาย ความเช่อื และเรื่องราวอนื่ ๆ สอดแทรกลงไปในผลงานดว ย 116 คูมอื ครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ๓) สถาปตั ยกรรม เปน็ ศาสนสถานทใี่ ชส้ า� หรบั ประกอบพธิ กี รรมทางพระพทุ ธศาสนา มชี อื่ เรยี กเฉพาะวา่ ครสู มุ ตวั อยา งนกั เรยี น 2-3 คน ใหอ อกมาอธบิ าย เกยี่ วกบั สถาปตยกรรมภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื “สมิ ” ไดร้ บั อทิ ธพิ ลการกอ่ สรา้ งจากรปู แบบของศลิ ปะลาว (ลา้ นชา้ ง) ทไี่ ดแ้ พรห่ ลายเขา้ มาสภู่ าคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื พรอมทง้ั ยกตวั อยางประกอบการอธิบาย ครคู อย เสริมเพิม่ เตมิ ขอมลู จากนัน้ ครูถามนกั เรยี นวา เมื่อประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๒๔-๒๕ โดยมีการผสมผสานกบั ศิลปะดั้งเดิมและศิลปะสมัยรัตนโก1สินทรจ์ นกลายเป็น • สถาปต ยกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนอื เอกลกั ษณข์ องสถาปัตยกรรมแบบอีสาน เชน่ สิม (โบสถ)์ หอแจก (ศาลาการเปรียญ) หอไตร เปน็ ต้น ที่มีรูปแบบ มีความโดดเดน ในดา นใด ทแ่ี ตกตา่ งไปจากภมู ภิ าคอืน่ (แนวตอบ สถาปต ยกรรมของภาคตะวนั ออก- เฉยี งเหนอื สวนใหญจะเปนศาสนสถานทีใ่ ช สิม เป็นสถาปัตยกรรมทางพระพุทธศาสนา มีความหมายอย่างเดียวกับโบสถ์ หรืออุโบสถของทาง สาํ หรบั ประกอบพธิ กี รรมทางพระพทุ ธศาสนา ภาคกลาง ซ่ึงกร่อนมาจากค�าว่า “สีมา” ในภาษากลาง หมายถึง ขอบเขตท่ีก�าหนดขึ้นส�าหรับสงฆ์ แบ่งได้เป็น ไดร บั อทิ ธพิ ลการกอสรา งจากรูปแบบของ ๓ ประเภท คือ สิมในบา้ นในเมือง สิมในป่า และสมิ กลางน�้า มีลกั ษณะสา� คญั คอื มรี ูปทรงเต้ีย มีขนาดเลก็ ในอดีต ศิลปะลาว (ลานชา ง) ท่ีแพรห ลายเขามาสู มีการสร้างท้ังสิมนา้� และสมิ บก ถา้ เป็นสมิ นา้� กจ็ ะใชน้ ้า� เป็นขอบเขตของพทั ธสีมา (สถานท่ปี ระกอบพธิ กี รรม) ถา้ เปน็ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื เมอื่ ประมาณ สมิ บกจะใช้ใบเสมาปกั แสดงขอบเขตของสถานทีท่ ่ีใช้ในการประกอบพธิ กี รรมต่างๆ พุทธศตวรรษที่ 24-25 โดยมกี ารผสมผสาน กับศิลปะด้ังเดิมจนกลายเปนเอกลักษณของ หอแจก (ศาลาการเปรียญ) หรอื บางท้องถนิ่ อสี านเรยี กวา่ “บัวแจก” หรือ “โรงธรรม” เปน็ สถาปตั ยกรรม สถาปต ยกรรมแบบอสี าน เชน สมิ (โบสถ) อีกลักษณะหนึ่งที่ใช้เป็นสถานท่ีในการปฏิบัติศาสนกิจของพระสงฆ์ มีลักษณะคล้ายศาลาการเปรียญของภาคกลาง หอแจก (ศาลาการเปรยี ญ) หอไตร เปนตน) นอกจากน้ี ยังมี “หอไตร” เป็นอาคารที่เก็บรกั ษาพระไตรปฎิ กและคมั ภรี เ์ กี่ยวกับศาสนา รวมถงึ พระธาตุ หรือ “ธาต”ุ ซ่ึงมีความหมายเดียวกับเจดีย์ทางภาคกลาง ส�าหรับบรรจุอัฐิของบุคคลสา� คัญ ถือเป็นงานสถาปัตยกรรมประเภท “อนสุ าวรีย”์ ทสี่ รา้ งขน้ึ เพอ่ื ร�าลกึ ถงึ คุณงามความดขี องผู้ทลี่ ่วงลบั ไปแลว้ หอไตรกลางน้�า วัดท่งุ ศรีเมือง จงั หวดั อุบลราชธาน ี เป็นสถานที่ที่ใช้เก็บหนงั สอื ผกู คัมภรี ใ์ บลาน หรือพระไตรปิฎก 117 กจิ กรรมสรา งเสรมิ นกั เรยี นควรรู ใหน ักเรียนรวบรวมภาพผลงานทัศนศิลปภ าคใตทโ่ี ดดเดนและแสดง 1 หอไตร คอื อาคารทใ่ี ชเ ปน ทเ่ี กบ็ หนงั สอื คมั ภรี ใ บลาน หรอื หนงั สอื พระไตรปฎ ก เอกลกั ษณของชาวใตไ ดอยางชัดเจน มาจัดทาํ เปนสมดุ ภาพ “ผลงาน นยิ มสรางขน้ึ ในสวนของสงั ฆาวาส ตวั อาคารจะปลกู อยกู ลางนา้ํ เพอื่ ปอ งกนั มด ทัศนศลิ ปภาคใต” โดยตกแตง ใหส วยงาม สง ครูผสู อน ปลวก และแมลง มากัดกินหนงั สือหรอื ใบลาน กจิ กรรมทาทาย มมุ IT ใหน กั เรียนหาภาพเรอื นไทยภาคใตท่มี หี ลงั คาเรือนแตกตา งกันท้ัง นักเรยี นสามารถศึกษาเพิม่ เตมิ เก่ียวกับสถาปตยกรรมทองถน่ิ ภาคใต ไดท่ี 4 แบบ ไดแ ก หลังคาทรงจั่ว หลังคาทรงปนหยา หลังคาทรงบราเนอร http://suebpong.rmutl.ac.th/Vernweb/southarch.pdf และหลังคาทรงมนิลา จากนัน้ ตดิ ลงกระดาษรายงาน แลวเขยี นบรรยาย ความแตกตา งของเรอื นไทยภาคใตท งั้ 4 แบบ วาแตละแบบมีลกั ษณะ คมู อื ครู 117 อยางไรและไดรบั อทิ ธิพลมาจากส่งิ ใด นําผลงานสงครูผสู อน

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู ใหน ักเรยี นกลมุ ท่ี 4 สง ตัวแทนออกมาอธบิ าย ๓.๔ ภาคใต้ เกีย่ วกับงานทศั นศิลปภ าคใตตามที่ไดศ ึกษามา หนาช้นั เรียน พรอมทงั้ ยกตวั อยา งงานทศั นศลิ ป ภาคใต้มีผืนแผ่นดินย่ืนออกไปในทะเลขนาบด้วยอ่าวไทยและทะเลอันดามันโดยรอบ ท�าให้จังหวัดต่างๆ ทีส่ าํ คัญของภาคใตม าประกอบการอธิบาย ครคู อย เสรมิ เพิม่ เติมเกี่ยวกบั ขอ มูลของผลงานที่นักเรยี น ในภาคใต้มีสภาพภูมิอากาศที่ไม่เหมือนกับภูมิภาคอื่นๆ คือ มีเพียงฤดูร้อนและฤดูฝน นอกจากนี้ ภาคใต้ยังมี ยกตวั อยางมา จากนั้นครูถามนกั เรยี นวา ทรพั ยากรธรรมชาติท่ีอุดมสมบรู ณ์มาตงั้ แต่สมยั โบราณ ช่วยดงึ ดดู ความสนใจของผคู้ นจากที่ต่างๆ ใหอ้ พยพเข้ามา • สถาปต ยกรรมภาคใตไ ดร บั อทิ ธิพลมาจาก ส่ิงใดเปน สาํ คญั ตงั้ หลักแหล่งอยู่อย่างตอ่ เนื่อง พรอ้ มกับการเผยแผเ่ ขา้ มาของพระพทุ ธศาสนา ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู และศาสนา (แนวตอบ สถาปตยกรรมในภาคใต สวนใหญเ กิดขึ้นพรอ มกบั การเขา มาของ อสิ ลาม ทา� ใหอ้ ทิ ธพิ ลทางศลิ ปวฒั นธรรมจากภายนอกไดเ้ ผยแผเ่ ขา้ มาและชว่ ยพฒั นาใหเ้ กดิ เปน็ อาณาจกั รสา� คญั ใน พระพุทธศาสนา นิกายมหายาน หลักฐานทส่ี าํ คญั ไดแก พระบรมธาตุ บรเิ วณดนิ แดนคาบสมทุ รภาคใต้ เช่น อาณาจักรลังกาสุกะ อาณาจักรตามพรลงิ ค์ อาณาจักรศรวี ชิ ยั เป็นตน้ เหน็ ได้ เมืองนครศรีธรรมราช (องคเดิม) และ พระบรมธาตุไชยา) จากหลักฐานทีป่ รากฏ โดยเฉพาะโบราณสถาน โบราณวตั ถจุ า� นวนมากทพี่ บตามชุมชน และวัดวาอารามต่างๆ ๑) จิตรกรรม การเขียนภาพบนฝาผนัง หรือเขียนลงบนวัตถุอื่นๆ จะมีรูปแบบที่คล้ายกับ ภาคกลาง คือ นยิ มน�าเรอื่ งราวทางพุทธประวตั ิ ไตรภมู ิ หรอื นทิ านชาดกมาถา่ ยทอดเปน็ เรอ่ื งราวลงในภาพเขยี น โดยเขียนลงบนผนังตามส่วนต่างๆ ของอุโบสถ วิหาร หอไตร ภาพเขยี นบางแหง่ จะไดร้ บั อทิ ธพิ ลตามแบบอยา่ ง ของสกุลช่างหลวงโดยตรง เช่น วัดมัชฌิมาวาส จังหวัดสงขลา เป็นต้น บางวัดเขียนข้ึนจาก ฝมือของช่างในท้องถ่ินเอง ภาพชูชกพบทหารแห่งนครสีพี เป็นจิตรกรรมฝาผนังวัดคูเต่า โดยมีการเลียนแบบ หรือรับ จงั หวดั สงขลา อิทธิพลจากจิตรกรรมของช่างหลวงมาปรับใช้ในการท�างานของตน ในระยะหลัง การเขียนภาพลงบนฝาผนังฝมือจะไม่ประณีตเท่าเดิม อย่างไรก็ตามก็ยังคงมีการ แสดงออกถึงเอกลักษณ์ของช่างในท้องถิ่นอยู่มาก เช่น ความจริงใจ ความกล้า แสดงออกในการสรา้ งสรรคผ์ ลงาน เปน็ ตน้ ๒) ประติมากรรม ผลงานท่เี กิดจากการปน้ั การหล่อ และการแกะสลักของ ปาภงาตคา่ ใงตๆ้ในกายรุคทแา� รพกรไะดพ้รับมิ อพิทด์ ธนิ ิพดลบิ ม1จานจถางึกสศมิลยัปพะรอะินบเาดทียสมมเีกดาจ็ รพสรระ้าจงลุเปจอ็นมรูปเกพลรา้ ะเโจพา้ อธิยสหู่ัตววั ์ รชั กาลที่ ๕ เปน็ ตน้ มา สกลุ ชา่ งประตมิ ากรรมทางภาคใตเ้ รม่ิ เสอ่ื มลงตามลา� ดบั การสรา้ ง ผลงานทศั นศลิ ปม์ กั นิยมน�าแบบอยา่ งจากชา่ งหลวงมาเป็นแนวทางทา� ใหแ้ บบอย่างของ ความเป็นท้องถ่ินค่อยๆ มีนอ้ ยลง อยา่ งไรกต็ ามวัดวาอารามท่อี ยูน่ อกเมอื งออกไป 2พระโพธสิ ตั ว์อวโลกเิ ตศวร ปฏิมากรรมสมยั ศรีวชิ ยั กย็ งั สามารถพบเหน็ ประตมิ ากรรมทอ้ งถนิ่ แบบภาคใตท้ ยี่ งั คงอนรุ กั ษ์ สืบสานรูปแบบของวฒั นธรรมทอ้ งถนิ่ ไวอ้ ยู่บา้ งในบางพืน้ ที่ 118 นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET แนวคดิ ในการสรา งผลงานจติ รกรรมไทยในสมยั โบราณมาจากเรอ่ื งใดมากทส่ี ดุ 1 พระพิมพดินดบิ เหตทุ ท่ี าํ เปน พระพิมพด นิ ดิบ เน่ืองจากมวลสารที่นํามาสราง 1. บคุ คลสําคญั เชื่อวา นาจะเอาเถาอฐั ขิ องพระเถระ หรอื บคุ คลสาํ คญั มาผสมกบั ดนิ พมิ พเ ปน 2. พทุ ธประวัติ พระพทุ ธรปู และดว ยเหตทุ เ่ี ถา อฐั นิ น้ั ไดผ า นการเผามาแลว จงึ ไมน าํ เอาไปเผาซา้ํ อกี 3. นิทานพื้นบาน 2 ประติมากรรมสมัยศรีวชิ ัย ศาสนาทีม่ อี ทิ ธพิ ลตอชาวศรีวชิ ัยอยางมาก คอื 4. เหตุการณในยุคนัน้ ๆ พระพทุ ธศาสนานิกายมหายานและศาสนาพราหมณ- ฮนิ ดู โดยประติมากรรมท่ี วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. ผลงานจติ รกรรมไทยในอดีตนิยมเขียน เกย่ี วเน่อื งกับพระพุทธศาสนาที่เดน ชัดทีส่ ุดก็คอื รูปพระโพธสิ ัตวอวโลกิเตศวร เกยี่ วกบั พุทธประวัตจิ ากพระปฐมสมโพธิกถา และเรอ่ื งราวทางศาสนา ซ่ึงจะมหี ลายอิรยิ าบถ โดยไดรับอทิ ธิพลจากศิลปะชวาภาคกลางและศลิ ปะ โดยจะนิยมเขียนข้ึนเพอ่ื เปนพุทธบูชาตามผนงั โบสถ วหิ าร ศาลาการเปรียญ สมยั คุปตะของอนิ เดยี สวนประติมากรรมในศาสนาพราหมณ- ฮินดูจะเปน และผนังถา้ํ ทั้งนีเ้ พื่อประดบั ตกแตง สถานท่ีแลว ยงั ถอื เปนการเผยแผศาสนา รปู เทพเจา องคส าํ คัญๆ เชน พระนารายณ พระศวิ ะ พระพิฆเนศวร เปนตน ในอกี ทางหนึง่ ดว ย 118 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธิบายความรู ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขา ใา จใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Engage Explore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ E×pand ๓) สถาปตั ยกรรม สถาปตั ยกรรมในพน้ื ทภ่ี าคใตส้ ว่ นมากเกดิ ขน้ึ พรอ้ มกบั การเขา้ มาของพระพทุ ธศาสนา 1 ใหน กั เรยี นรวบรวมขอ มลู เกยี่ วกบั งานทศั นศลิ ป ในแตล ะภมู ิภาคมารวมกันจดั นทิ รรศการในหวั ขอ นกิ ายมหายาน หลกั ฐานทสี่ า� คญั ไดแ้ ก่ โบราณสถานและโบราณวตั ถทุ สี่ า� คญั ทางศาสนาหลายแหง่ เชน่ พระบรมธาตุ “ความงามของงานศลิ ปะบนผืนแผนดินไทย” โดยหาภาพประกอบและตกแตง ใหส วยงาม เมืองนครศรีธรรมราช (องค์เดิม) พระบรมธาตุไชยา เป็นต้น รวมท้ังมีการสร้างบ้านเรือนตามแบบอย่างของ ช่างหลวงสมัยรัตนโกสินทร์ โดยได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรูปแบบสถาปัตยกรรมให้เหมาะสมกับท้องถ่ิน เช่น ตรวจสอบผล เจดยี ์วัดราษฎรบ์ รู ณะ (วดั ช้างให)้ วัดชลธาราสิงเห วัดถ้�าขวญั เมือง เป็นต้น Evaluate กรณบี า้ นเรอื นในภาคใตจ้ ะมคี วามสอดคลอ้ งกบั สภาพแวดลอ้ มทางภมู ศิ าสตรแ์ ละสภาพสงั คม วฒั นธรรม ครูพิจารณาจากการจดั นิทรรศการในหัวขอ “ความงามของงานศลิ ปะบนผนื แผนดินไทย” เปน็ อยา่ งยงิ่ โดยมกี ารสรา้ งทพ่ี กั แยกออกเปน็ หลงั เมอื่ มกี ารขยายของครอบครวั และแยกครอบครวั ออกจากเรอื นนอน ของนกั เรียน โดยพจิ ารณาในดานความถกู ตอง ความสวยงาม และความมุง มน่ั ในการทาํ งานของ โดยมนี อกชานเปน็ ตวั เชอื่ ม สว่ นลกั ษณะของหลงั คาเรอื นจะนยิ มสรา้ งเปน็ สแ่ี บบ คอื หลงั คาทรงจว่ั หลงั คาทรงปน้ั หยา นักเรียน หลังคาทรงบราเนอร์ และหลงั คาทรงมนลิ า ลกั ษณ2 ะเด่นของเรือนในภาคใต้จะนิยมวางเสาไวบ้ นตีนเสา (ตอม่อ) ท่ี กอ่ อิฐและฉาบปูน เมื่อในกรณีท่ีตอ้ งการย้ายบา้ นสามารถจะหามและยา้ ยไปท่ตี ง้ั ใหม่ได้สะดวก พระบรมธาตุไชยา จังหวดั สรุ าษฎร์ธาน ี สถาปัตยกรรมทม่ี ลี กั ษณะเด่นเป็นเอกลักษณ ์ และแสดงถงึ ความงดงามของอาณาจกั รศรีวิชยั 119 แนวขอสNอบTเนนOก-าNรคE Tดิ นกั เรียนควรรู ผลงานทศั นศิลปภ าคตางๆ ของไทย มรี ูปแบบการสรางสรรคท่ีแตกตา ง 1 พระบรมธาตุ หมายถงึ สถปู เจดยี  หรอื พระปรางคท บ่ี รรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตุ กันไปตามอิทธิพลของส่งิ ตา งๆ ทแี่ วดลอมในภมู ิภาคนนั้ แตห ากวิเคราะหแลว ในวดั ที่สรา งขนึ้ เปนหลักของเมือง ท้งั น้ีพระบรมธาตุมีช่ือเรียกอกี วา พระศรรี ตั น- จะมสี ่ิงทเี่ หมอื นกนั ทุกภูมิภาคคือสิง่ ใด มหาธาตุ พระมหาธาตุ เปนตน แนวตอบ ผลงานดานจิตรกรรม ประตมิ ากรรม และสถาปต ยกรรม 2 ยา ยบา น การออกแบบบา นเรอื นท่ีวางเสาไวบ นตอมอ ตนี เสา ซง่ึ จะกออฐิ ในภาคตางๆ ของไทย มีความเหมือนกนั ในเรือ่ งของเนอ้ื หาเรื่องราวของ ฉาบปนู ไว ถือเปนภูมปิ ญญาทอ งถนิ่ ของภาคใต เหตุที่ออกแบบเชนน้ี เพ่อื ให ผลงานทีส่ วนใหญจ ะสะทอนถึงการนับถือพระพทุ ธศาสนา โดยสะทอนเปน สอดรบั กับสภาพภมู ิอากาศทีม่ ฝี นตกชุก หากมีนํ้าหลากจะไดเ คลื่อนยา ยไดง า ย ภาพเขยี นสเี รือ่ งราวพุทธประวตั ิ การปน และหลอองคพระพุทธรูปปางตา งๆ รวมถงึ ปอ งกนั เสาผจุ ากความชื้นและการกัดกนิ ของปลวก การกอ สรางเจดยี  พระธาตุ สถูป พระปรางคตา งๆ หรือกลาวอยางสรปุ ได วา ผลงานทศั นศลิ ปท ่สี รา งขนึ้ สว นใหญไดร ับอิทธิพลจากพระพทุ ธศาสนา ท้ังสน้ิ คูมือครู 119

กกรระตะตนุ Eุนnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสาํ าํ รรEวxวpจจloคคrนeน หหาา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Expand Evaluate Engage Explore Explain กระตนุ ความสนใจ Engage ครูใหนกั เรยี นดภู าพจติ รกรรมในหนังสอื เรยี น ô. à»ÃÕºà·Õº§Ò¹·ÈÑ ¹ÈÅÔ »ÀŠ Ò¤µÒ‹ §æ ¢Í§ä·Â ภาคเหนือ หนา 120 แลว ครถู ามนักเรียนวา ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื ทัศนศิลป์ของไทยและท้องถิ่นถือก�าเนิดขึ้น ภาคกลาง • หากนกั เรียนไมมีความรเู รื่องลกั ษณะผลงาน ตามภมู ภิ าคตา่ งๆ ของประเทศ ทมี่ ลี กั ษณะทางภมู ศิ าสตร์ ทัศนศลิ ปใ นแตล ะภูมิภาคของประเทศไทย ประวัติความเป็นมา สังคมและวัฒนธรรมท่ีเป็นลักษณะ ภาคใต นักเรยี นจะสามารถระบุไดไ หมวา ผลงาน เฉพาะ ซ่ึงปัจจัยดังกล่าวล้วนมีอิทธิพลต่อรูปแบบและ ชิ้นใดเปน ของภาคใด ลักษณะของงานทัศนศิลป์เป็นอย่างมาก การที่จะเข้าใจ (แนวตอบ นักเรยี นตอบไดอยา งอิสระ) ถึงงานทัศนศิลป์ในภาคต่างๆ ของไทยเพื่อให้เห็นภาพ อยา่ งชดั เจน ผเู้ รยี นจะตอ้ งมองผลงานทศั นศลิ ปใ์ หเ้ ปน็ ไป • นักเรียนมีวธิ ีการจาํ แนกผลงานทัศนศลิ ปข อง ตามปจั จยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งดว้ ย ซง่ึ อาจจะมที ง้ั สว่ นทเ่ี หมอื นกนั แตล ะภูมภิ าคอยางไร หรอื สว่ นท่แี ตกต่างกนั ตามรายละเอยี ด ดังนี้ (แนวตอบ นักเรียนสามารถตอบไดอยา งอิสระ) สาํ รวจคน หา Explore ใหนกั เรยี นศึกษา คน ควาตวั อยา งการ ภาคเหนอื ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ภาคกลาง ภาคใต เปรยี บเทยี บงานทศั นศลิ ปป ระเภทจิตรกรรม ประตมิ ากรรม และสถาปต ยกรรมภาคตา งๆ ของไทย จากหนงั สอื เรยี น หนา 120-121 พรอ มท้งั สบื คน ตัวอยางภาพงานทัศนศลิ ปภาคตา งๆ ของไทย ท่ีนอกเหนือจากหนังสอื เรียน จากแหลง เรยี นรตู างๆ เชน หองสมุด อนิ เทอรเ น็ต เปน ตน อธบิ ายความรู Explain จติ รกรรมในภาคเหนอื นยิ ม จิตรกรรมในภาคตะวนั ออก- จิตรกรรมในภาคกลาง นิยม จติ รกรรมในภาคใต นิยมเขียน เขียนโดยชางพื้นบา น มีเนอื้ เรอ่ื ง เฉียงเหนือ นยิ มเขียนโดยชา ง เขยี นโดยชางหลวง มีเนือ้ เรอ่ื ง โดยชา งพ้ืนบาน มเี นอื้ เรอ่ื ง 1. ใหนักเรียนรว มกันอภปิ รายเก่ียวกบั ความ 1เกี่ยวกบั พุทธประวัติจาก พน้ื บา น มเี นอ้ื เรอื่ งเกย่ี วกบั พทุ ธ- เกีย่ วกบั พทุ ธประวตั ิจาก เก่ียวกบั พทุ ธประวัตจิ าก แตกตา งของผลงานดานจิตรกรรมภาคตางๆ ประวตั ิจากพระปฐมสมโพธกิ ถา พระปฐมสมโพธิกถา ไดแ ก พระปฐมสมโพธิกถา และ ของไทย แลว สรปุ สาระสาํ คัญ ลงสมดุ บนั ทึก พระปฐมสมโพธิกถา และ ตาํ นานพื้นบา นตา งๆ การเขียน และวรรณกรรมพื้นบา น เชน ทศชาติชาดก มารผจญ หรอื เร่อื งราวทองถ่ินสอดแทรก 2. ครใู หนักเรียนนาํ ตัวอยา งผลงานจิตรกรรม ภาพจะปรากฏในพระวหิ าร หอคาํ พระศรมี โหสถ เปนตน ภาพพระอดตี พทุ ธ และเรอ่ื งราว โดยเฉพาะเรื่องราวในศาสนา ภาคตางๆ ของไทย ที่นักเรยี นสืบคนมานัน้ และศาสนสถานอ่ืนๆ การเขียน การเขียนภาพจะมีปรากฏภายใน ทางประวตั ศิ าสตร วรรณคดตี า งๆ พราหมณ-ฮินดู ศาสนาอิสลาม นาํ มาแปะบนกระดานดาํ โดยเรยี งลาํ ดบั ผลงาน ภาพระบายสนี ิยมใชสีเหลือง โบสถท่ีเรียกวา “สมิ ” และ การเขียนภาพทป่ี รากฏบน ท่ปี รากฏผานการตกแตงดว ย ภาคเหนอื ภาคกลาง ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื สีทอง และสีแดงเปน หลกั ศาลาการเปรยี ญทเ่ี รยี กวา ผนังอาคาร ไดแ ก โบสถ วหิ าร รูปแบบ และลวดลายตางๆ และภาคใต ตามลาํ ดับ จากนัน้ ใหนกั เรียน สาํ หรบั การตกแตง ลวดลายและ “หอแจก” เทคนคิ ในการเขยี นภาพ ศาลาการเปรยี ญ รวมถงึ ใน อยางนา สนใจ รว มกนั วิเคราะหว า ลกั ษณะของผลงาน การใชสหี ลายสใี นการเขยี นเปน จะใชส ีฝุนผสมกาวจากธรรมชาติ สมุดขอย เทคนคิ การเขยี นจะใช จติ รกรรมแตละภาคมีสวนใดทีเ่ หมอื นกนั ภาพ และเรอ่ื งราวในพทุ ธประวตั ิ ระบายแบบเรียบงา ย ดูหยาบ สีฝุนผสมกาวจากธรรมชาติ เปน หรือมสี วนใดทแ่ี ตกตา งกัน วรรณคดีจะมรี ายละเอียดท่ี แตด ูมีความอสิ ระ และจริงใจ วตั ถดุ บิ ในการสรางสรรคผ ลงาน งดงามมาก 120 เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ผลงานจิตรกรรมไทยของแตละภาคมีความคลายคลงึ กันมากทส่ี ุดในเรอ่ื งใด ครูอธบิ ายเพมิ่ เติมเก่ียวกับผลงานทศั นศิลปภาคตา งๆ ของไทยวา โดยทว่ั ไปแลว 1. รปู แบบการเขียน ปจ จัยที่เปนเคร่อื งกําหนดลกั ษณะของผลงานทัศนศิลปป ระกอบดว ยดนิ ฟา อากาศ 2. เรื่องราวทน่ี ําเสนอ เทคนคิ วัสดุอุปกรณ การคมนาคม การปกครอง เศรษฐกจิ ระบบสังคม วัฒนธรรม 3. การจดั องคประกอบ ความเชือ่ และรสนิยม ซึ่งปจจยั ทเ่ี ปลย่ี นแปลงงา ยท่ีสดุ เชน ปจ จัยดานรสนิยม 4. สภาพของชมุ ชน เทคนิค สวนปจ จยั ทเ่ี ปลี่ยนแปลงไดย ากหรอื เปลย่ี นแปลงชา เชน ปจจัยดานดนิ วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 2. จติ รกรรมไทยถงึ แมในแตล ะภาคจะมี ฟา อากาศ วฒั นธรรม และความเช่ือ วิธกี ารเขียน รปู แบบที่ใช คตนิ ิยมในการสรางท่ีแตกตางกันไป ทําใหผ ลงาน ทีแ่ ลว เสร็จออกมามีความแตกตางกัน ดแู ลว สามารถจะบอกไดวาเปน นักเรยี นควรรู ของภาคใด แตเรือ่ งราวทนี่ ยิ มนาํ มาวาดสว นใหญจะเปนเรอื่ งราวพทุ ธประวตั ิ หรือแสดงเรื่องราวทเ่ี กยี่ วของกบั พระพุทธศาสนา 1 พระปฐมสมโพธกิ ถา ช่อื คัมภีรแสดงเร่ืองราวของพระพทุ ธเจา ตงั้ แตประทบั อยบู นสวรรคช น้ั ดุสติ เทวดาอัญเชิญใหมาอบุ ัติในมนุษยโลก แลว ออกบวช ตรัสรู ประกาศพระศาสนา ปรนิ ิพพาน จนถึงการแจกพระธาตุ ตอ ทา ยดวยเรื่อง พระเจา อโศกมหาราชยกยอ งพระศาสนา และการอันตรธานแหงศาสนาในทีส่ ดุ 120 คูม ือครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู ู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู ภาคเหนอื ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ภาคกลาง ภาคใต 1. ใหน กั เรียนรวมกนั อภปิ รายเก่ียวกบั ความแตกตางของผลงานประตมิ ากรรม ปฏิมากรรมพระพุทธรูปใน ปฏิมากรรมพระพทุ ธรปู ใน ปฏิมากรรมภาคกลาง ได ปฏิมากรรมภาคใต ไดร ับ และสถาปต ยกรรมภาคตา งๆ ของไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื นิยม รบั อิทธิพลมาจากศิลปะลังกา แลวสรุปสาระสาํ คญั ลงสมุดบนั ทกึ ภาคเหนอื ไดร บั อิทธพิ ลจาก ทําเปน ปางตา งๆ เชน เขมร และตะวันตก นิยมทําเปน อทิ ธิพลจากศิลปะอินเดยี อินเดีย พมา และลังกา นิยม ปางมารวชิ ยั ปางขดั สมาธิ (ตรสั ร)ู พระพทุ ธรูปในปางตางๆ กนั ชวา และจามปา นิยมทาํ เปน 2. ครใู หน กั เรยี นนาํ ตวั อยางผลงานประตมิ ากรรม ทาํ เปน พระพทุ ธรปู ปางมารวชิ ัย ปางประทบั ยืน ปางนาคปรก เชน ปางสมาธิ ปางมารวชิ ัย พระพทุ ธรปู และพระโพธิสตั ว ภาคตา งๆ ของไทย ทีน่ ักเรียนสืบคน มานั้น เชน แบบเชียงแสน แบบสุโขทยั เปนตน มีวสั ดุทใี่ ช คือ โลหะ เปน ตน การปน พระพทุ ธรปู องคท ม่ี ชี อ่ื เสยี ง และมรี ปู ลกั ษณะ นาํ มาแปะบนกระดานดาํ โดยเรยี งลาํ ดบั ผลงาน เปนตน โดยเฉพาะพระพุทธรปู และไม โดยเฉพาะพระพทุ ธรูป ในระยะหลงั จะนิยมทาํ ทง่ี ดงามมาก ไดแ ก พระโพธสิ ตั ว ภาคเหนอื ภาคกลาง ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื สมัยสโุ ขทัยในหมวดแรกจะมี ท่แี กะสลักจากไม มพี ทุ ธลักษณะ พระพทุ ธรูปแบบ อวโลกเิ ตศวร หลอดวยสํารดิ และภาคใต ตามลาํ ดบั จากนัน้ ใหน ักเรยี น พุทธลกั ษณะทงี่ ดงามมาก เชน โดดเดน เปนแบบพ้ืนบาน เหมือนจริงตาม พบทอี่ ําเภอไชยา รว มกันวิเคราะหว า ลักษณะของผลงาน พระพทุ ธชินราช มพี ระพกั ตรแ บบกลม แบบอยา ง จังหวดั สุราษฎรธานี ประติมากรรมแตละภาคมสี วนใดท่ีเหมอื นกัน ทป่ี ระดิษฐาน แบบเหลีย่ ม ของตะวันตก ปจจบุ ันจดั แสดงอยทู ี่ หรอื มสี ว นใดท่แี ตกตา งกนั อยทู ี่วดั พระศรี- และพระพกั ตรร ี หองศรวี ิชัย รัตนมหาธาตุ เปนรูปไข ประทบั พพิ ิธภณั ฑสถาน- 3. ครูใหน กั เรยี นนําตัวอยางผลงานสถาปต ยกรรม จังหวัด น่งั อยูบนฐาน แหง ชาติ พระนคร ภาคตางๆ ของไทย ทน่ี กั เรียนสืบคน มานั้น พิษณุโลก นาํ มาแปะบนกระดานดาํ โดยเรยี งลาํ ดบั ผลงาน เปนตน ทสี่ ูงมาก ภาคเหนอื ภาคกลาง ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และภาคใต ตามลําดับ จากน้นั ใหนักเรียน รวมกนั วเิ คราะหวา ลกั ษณะของผลงาน สถาปต ยกรรมแตล ะภาคมสี ว นใดทเ่ี หมอื นกัน หรอื มสี วนใดท่ีแตกตา งกัน สถาปต ยกรรมในภาคเหนือ สถาปต ยกรรมในภาค สถาปตยกรรมในภาคกลาง สถาปตยกรรมในภาคใต มีลักษณะศลิ ปะแบบลา นนาท่ไี ด ตะวันออกเฉยี งเหนือ มลี กั ษณะ รบั อทิ ธพิ ลจากพมา และศิลปะ การกอ สรางสถูป หรอื เรยี ก มลี กั ษณะการกอสรา ง สิง่ ปลูกสรางเปน อาคารใน สมยั ทวารวดี มรดกทางทศั นศลิ ป วา “พระธาตุ” โบสถ หรอื เรียก สถาปตยกรรมในหลายรปู แบบ พระพทุ ธศาสนาแบบมหายาน ทส่ี าํ คญั เชน เจดยี วัดเจด็ ยอด วา “สมิ ” กบั ปราสาทหนิ ใน เชน พระอโุ บสถ พระวหิ าร ลกั ษณะเดน ไดแก พระบรม- (วดั โพธาราม) วดั พระสิงห- ชวงสมัยตา งๆ กนั โดยเฉพาะ พระปรางค พระสถปู เจดีย ธาตุไชยา จงั หวัดสุราษฎรธานี วรวิหาร วดั พระธาตดุ อยสเุ ทพ ปราสาทหินท่มี กี ารกอ สรางมาก เปน ตน การปลูกสราง มีการ มรี ปู แบบคลา ยกบั สถาปต ยกรรม วัดกกู ุด (วดั จามเทว)ี เปน ตน ในบรเิ วณอีสานใต แถบจังหวดั ออกแบบตกแตงอยางวิจติ ร บนเกาะชวา สถาปต ยกรรม สว นบานเรอื นนิยมทําแบบ บุรรี ัมย สุรนิ ทร ศรีสะเกษ บรรจง มกี ารจดั วางแผนผงั ของ อกี ลกั ษณะหน่ึง คือ สถูปเจดยี  เรือนทรงกาแล สง่ิ กอ สรา งอยางสมบูรณแ บบ ที่ไดร ับอทิ ธิพลจากลังกา คอื เชน วัดพระศรรี ัตนศาสดาราม พระบรมธาตเุ จดยี  วัดพระ- วัดพระเชตุพนวิมลมงั คลาราม มหาธาตวุ รมหาวิหาร จังหวัด เปนตน นครศรธี รรมราช ดัดแปลงมา จากสถาปต ยกรรมแบบศรีวิชยั 121 บูรณาการเช่ือมสาระ เกรด็ แนะครู การศึกษาเก่ียวกับงานทัศนศิลปใ นแตละภูมิภาคสามารถบูรณาการ ครูใหนักเรียนชวยกนั หาผลงานเดนๆ ทงั้ ทางดา นจิตรกรรม ประตมิ ากรรม กับการเรียนการสอนของกลมุ สาระการเรยี นรสู งั คมศึกษา ศาสนา และ และสถาปต ยกรรมของแตล ะภาค พรอ มท้ังขอ มลู จากนน้ั นําภาพและขอ มลู วัฒนธรรม วิชาภมู ศิ าสตร เรอื่ งการแบงเขตหรือภาคในทางภูมศิ าสตร มาอภิปรายเพื่อเปรยี บเทียบใหเห็นความแตกตา ง โดยเฉพาะดานรูปแบบ เพราะหากนกั เรยี นมคี วามรคู วามเขา ใจและศกึ ษาขอ เทจ็ จรงิ ของแตล ะภมู ภิ าค และองคป ระกอบทางดา นเรือ่ งราวทส่ี อดแทรกอยู ซึง่ จะชวยทําใหนกั เรยี นมีความรู ไดช ดั เจน รจู กั สภาพแวดลอ มของแตล ะภาค รวมทง้ั ปญ หาของแตล ะทอ งถน่ิ ความเขาใจเกย่ี วกบั ผลงานทัศนศิลปข องแตละภาความีจดุ ใดทีค่ ลา ยคลึง จะทาํ ใหนักเรยี นเขาใจลกั ษณะรูปแบบสถาปตยกรรมของภูมิภาคตางๆ หรือแตกตา งกนั บา ง ทง้ั นีค้ รคู วรเปนผูส รุปสาระสาํ คัญ แลว ใหนกั เรยี นจดบันทึก ของไทยไดดยี งิ่ ข้นึ สาระสาํ คัญลงสมุด คูมือครู 121

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขขา าใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Engage E×pand Expand Evaluate ขยายความเขา ใจ ครูใหนักเรียนแบง กลมุ ออกเปน 3 กลุม ให กจิ กรรม ศลิ ปป์ ฏบิ ตั ิ ๙.๒ แตล ะกลุม สืบคนผลงานทัศนศลิ ปภาคตางๆ ของไทย จากแหลงเรยี นรูต า งๆ เชน หนงั สือเรียน กจิ กรรมท่ี ๑ ครูเชิญวิทยากรมาบรรยายในหัวข้อ ผลงานทัศนศิลป์ท่ีส�าคัญของชาติและผลงานทัศนศิลป์ท่ี หอ งสมุด อนิ เทอรเน็ต เปน ตน ตามหัวขอ ท่คี รู สา� คญั ในทอ้ งถน่ิ จากนน้ั นา� ขอ้ มลู ท่ีไดม้ าสรปุ สง่ ครผู สู้ อน และนา� ขอ้ มลู ไปจดั แสดงทปี่ า้ ยนเิ ทศ กาํ หนดให ดงั น้ี เปน็ เวลา ๑ สัปดาห์ กลุมที่ 1 ผลงานดานจติ รกรรม กจิ กรรมท่ี ๒ ให้นักเรียนแต่ละคนน�าผลงานทัศนศิลป์ในประเภทจิตรกรรม หรือประติมากรรม หรือ กลุมท่ี 2 ผลงานดา นประติมากรรม สถาปัตยกรรมของภูมภิ าคตา่ งๆ มาเปรียบเทยี บกัน เลอื กทา� เพียง ๑ ประเภท เชน่ ลักษณะ กลมุ ที่ 3 ผลงานดานสถาปตยกรรม อาคารบา้ นเรอื นของแตล่ ะภาค เป็นต้น โดยให้น�าเสนอข้อมลู สังเขปพรอ้ มภาพประกอบ แลวใหแ ตละกลมุ นาํ ผลงานทศั นศิลปภาคตา งๆ ของไทยมาเปรยี บเทียบกัน โดยจดั ทาํ เปน รายงาน กิจกรรมที่ ๓ จงตอบคา� ถามตอ่ ไปน้ี พรอ มหาภาพประกอบ นําผลงานสงครูผูส อน ๓.๑ ผลงานทศั นศิลปข์ องชาติกบั ทอ้ งถนิ่ มคี วามแตกต่างกนั อย่างไร ๓.๒ ปจั จัยอะไรบ้างทีท่ า� ใหผ้ ลงานทัศนศิลป์ในแต่ละภูมิภาคมีความเหมือน หรือแตกต่างกนั ตรวจสอบผล Evaluate ครูพิจารณาจากรายงานการเปรียบเทียบผลงาน สรปุ งานทศั นศลิ ป์ นบั เปน็ มรดกทางวฒั นธรรมทางภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ และภมู ปิ ญั ญาไทยทส่ี ำาคญั ทศั นศลิ ปภ าคตางๆ ของไทยของนกั เรียน โดย พิจารณาดานความถูกตองของเนอ้ื หาสาระและ ของชาติ ซ่งึ งานทัศนศิลป์ของชาติและของท้องถนิ่ มีรูปแบบที่แตกต่างกนั ไปตามภูมิภาค ด้วยปัจจยั ทาง ความสวยงาม ภมู ศิ าสตร์ สงั คมและวฒั นธรรมในแตล่ ะพน้ื ท่ี ตอ่ มาเมอื่ ความเจรญิ ทางสงั คมมมี ากขน้ึ ทำาใหร้ ปู แบบงาน ทัศนศิลป์ของชาติได้แพร่หลายออกไปยังท้องถิ่นต่างๆ ในแต่ละภูมิภาค ทำาให้ผลงานทัศนศิลป์ประเภท หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู ต่างๆ ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมในท้องถ่ิน เริ่มรับเอาแบบอย่างและรูปแบบ วิธีการของส่วนกลางมากข้ึนตามลำาดับ ท้ังน้ี งานทัศนศิลป์ในแต่ละภูมิภาคต่างก็มีรูปแบบของผลงาน 1. การจัดนิทรรศการในหัวขอ “ความงามของ ทั้งทมี่ คี วามเหมอื นกนั และแตกตา่ งกนั ขึ้นอยกู่ ับปัจจยั ต่างๆ กัน ดว้ ยเหตนุ กี้ ารศึกษาเก่ียวกบั ทศั นศิลป์ งานศลิ ปะบนผนื แผน ดนิ ไทย” ของชาติและของท้องถิ่น จึงมีจุดประสงค์ท่ีจะให้คนไทยได้มีความรู้ ความเข้าใจ และภาคภูมิใจใน ความเป็นไทยทบ่ี รรพบุรุษได้ส่ังสม จนเป็นมรดกสบื ทอดมาจนถึงปจั จุบัน 2. รายงานการเปรียบเทียบผลงานทัศนศลิ ป ภาคตา งๆ ของไทย 122 แนวตอบ กิจกรรมศลิ ปปฏิบัติ 9.2 กิจกรรมที่ 3 1. งานทัศนศลิ ปข องชาติ หมายถึง ศลิ ปะที่ถูกถายทอดและสรา งขนึ้ โดยชา งจากราชสํานัก หรอื ชางหลวง โดยมีรูปแบบทแ่ี ตกตา งกนั ไปตามลกั ษณะของการใชส่อื วสั ดุ กรรมวธิ ี ชว งเวลา และพฒั นาการทางศิลปะในแตล ะยคุ สมัย สะทอ นใหเ หน็ ถึงเอกลักษณข องความเปนไทย สวนงานทัศนศิลปทองถ่นิ เปน ศาสตรท างศลิ ปกรรม ในดานจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปตยกรรม ท่ีสรา งสรรคจ ากภูมิปญ ญาของชาวบา นท่ีไดคดิ ประดษิ ฐข น้ึ มาเปนเอกลกั ษณข องทอ งถิน่ ท่ีตนอาศัยอยู 2. ปจจัยท่ีมีผลตอ งานทัศนศิลปของแตละภูมภิ าค คอื ลักษณะทางภูมิศาสตร ประวัตคิ วามเปน มา สงั คมและวฒั นธรรมที่แตกตางกัน ลวนมีผลตอ การสรางสรรคผ ลงาน ทศั นศิลปในภมู ภิ าคตางๆ ของไทย 122 คูม ือครู

กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Engage Expand Evaluate เปาหมายการเรียนรู เปรียบเทียบความแตกตา งของจดุ ประสงคใน การสรา งสรรคงานทัศนศิลปข องวฒั นธรรมไทย และสากล สมรรถนะของผูเ รียน 1. ความสามารถในการคดิ 2. ความสามารถในการใชท กั ษะชีวติ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค 1. มวี ินยั 2. ใฝเ รียนรู 3. มุงม่ันในการทาํ งาน 4. รักความเปนไทย ๑๐หนว่ ยที่ กระตนุ้ ความสนใจ Engage ทศั นศลิ ปใ์ นวฒั นธรรมไทยและสากล ครูใหน กั เรยี นดูภาพหนา หนวย แลว ถาม ผลงานทัศนศิลป์ล้วนมีปรากฏอยู่ในแต่ละวัฒนธรรม นักเรียนวา ตัวชี้วัด ศ ๑.๒ ม.๑/๓ ซ่ึงการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ขึ้นมาล้วนแต่ต้องการ • ภาพดังกลา วเปน งานทัศนศลิ ปท่มี ชี อ่ื วา ตอบสนองความตอ้ งการของสงั คมทง้ั สนิ้ สาำ หรบั สงั คมไทย อะไร และมลี ักษณะรปู แบบเปน อยา งไร ■ เปรียบเทียบความแตกต่างของจุดประสงค์ในการสร้างสรรค์ (แนวตอบ โคลอสเซียม (Colosseum) เปน งานทศั นศลิ ป์ของวฒั นธรรมไทยและสากล งานสถาปตยกรรมสมยั โรมนั เปน อาคาร ประเภทอฒั จนั ทร สรางขึ้นดว ยการกอ อิฐ ผลงานทางด้านทัศนศิลป์มีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง มีรปู แบบโรมันโบราณผสมผสานกับแบบ คลาสสิก) สาระการเรียนรแู้ กนกลาง จุดประสงค์ในการสร้างสรรค์งานมีอยู่หลายปัจจัยเช่นเดียวกับ ทัศนศิลป์สากลจะมีรูปแบบแตกต่างไปจากของไทย และมี • ผลงานทศั นศลิ ปใ นภาพปรากฏอยูทใี่ ด และ มคี วามโดดเดน อยา งไร ■ ค วามแตกต่างของงานทัศนศิลปใ์ นวัฒนธรรมไทย จุดประสงค์ในการสร้างสรรค์ท่ีมีบางด้านทั้งเหมือนและแตกต่าง (แนวตอบ โคลอสเซยี มตั้งอยูท่ีกรงุ โรม และสากล จากทศั นศลิ ปไ์ ทย การเรยี นรทู้ ำาความเขา้ ใจทศั นศลิ ปไ์ ทยและสากล ประเทศอติ าลี ถือเปนอฒั จนั ทรถ าวร คร้ังแรกทีส่ รา งขึ้นในกรุงโรมและยังเปน จะช่วยทำาให้เราสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างของจุดประสงค์ อนุสาวรียทส่ี งางาม) ในการสร้างสรรค์ทศั นศลิ ป์ระหวา่ งสองวัฒนธรรมได้ 123 เกร็ดแนะครู การเรยี นการสอนในหนวยการเรียนรูนี้ ครูผสู อนควรใหนักเรียนไดศ กึ ษางาน ทัศนศลิ ปในวฒั นธรรมไทยและสากลจากผลงานจริง หรอื ศกึ ษาจากภาพตวั อยาง ผลงานทัศนศลิ ปป ระเภทตางๆ ท้งั ของไทยและสากล ซง่ึ จะเปนการชวยให นกั เรียนสามารถเปรียบเทียบความแตกตา งของจุดประสงคในการสรา งสรรค ผลงานทศั นศลิ ปทั้งสองวฒั นธรรมได คมู่ อื ครู 123

กกรระตะตนุ้ Eุน้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครใู หน ักเรียนดภู าพผลงานทศั นศิลปในอดีต ๑. ผลงานทศั นศลิ ป์ในวัฒนธรรมไทย เชน ภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยอยธุ ยา วดั เกาะแกว สทุ ธาราม จังหวัดเพชรบรุ ี ภาพลวดลายปูนปน งานทัศนศิลป์ของไทยเป็นการสร้างสรรค์ทางศิลปะ ท่ีเกิดจากการประดิษฐ์ คิดค้น และการแสดงออก รูปกินรี สมยั สุโขทัย เปน ตน จากน้ันใหนักเรียน ของช่างศิลป์ หรือศิลปินไทยผ่านผลงานทัศนศิลป์ในรูปแบบประเภทต่างๆ ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม และ รวมกันวเิ คราะหวา ภาพแตล ะภาพมีประเด็นใด สถาปัตยกรรม การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์อาจจะเป็นไปเพ่ือตอบสนองความต้องการทางจิตใจ โดยเน้นคณุ คา่ ท่สี มั พันธก นั ทางความคดิ ความงาม หรอื เพอ่ื ตอบสนองในเรอื่ งของประโยชน์ใชส้ อย เพอ่ื อา� นวยความสะดวกในชวี ติ ประจา� วนั สา� รวจคน้ หา Explore ผ1ลงานทัศนศิลป์ที่สร้างข้ึนเพื่อตอบสนองความต้องการทางจิตใจ และความงาม จัดอยู่ในประเภท ใหนกั เรยี นศึกษา คนควาเกีย่ วกบั ผลงาน “วจิ ติ รศลิ ป”์ (Fine Arts) หรอื “ศลิ ปะแท”้ ไดแ้ ก ่ ผลงานจติ รกรรม ประติมากรรม และสถาปตั ยกรรม สว่ นผลงาน ทศั นศิลปใ นวฒั นธรรมไทย ดา นปจ จยั ทมี่ อี ิทธิพล ท่ีสรา้ งข้นึ เพอ่ื เน้นประโยชน์ใชส้ อยเป็นหลกั มคี วามงามรองลงมาจัดอยู่ในประเภท “ประยุกตศ์ ลิ ป”์ (Applied Arts) ตอ การสรางสรรคผ ลงาน จากแหลงเรียนรูตา งๆ ได้แก่ การออกแบบตกแตง่ การออกแบบเสอื้ ผา้ เปน็ ตน้ เชน หนังสือเรยี น หองสมดุ อนิ เทอรเน็ต เปนตน ปัจจยั ทม่ี ีอทิ ธิพลตอ่ การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศลิ ปท์ ง้ั ๒ ประเภท ไดแ้ ก่ ๑.๑ แนวความคดิ และปรัชญาความเชอ่ื การแสดงออกทางความคดิ ของบคุ คล หรอื คา่ นยิ มตา่ งๆ รวมถงึ ปรชั ญาและความเชอื่ ยอ่ มมผี ลกระทบตอ่ การสร้างสรรคผ์ ลงานทศั นศลิ ป์ เชน่ แนวความคิดเกยี่ วกับศิลปะเพ่ือศิลปะ หรือแนวความคิดเก่ยี วกบั ศลิ ปะเพือ่ ชีวติ ไดส้ รา้ งแรงบันดาลใจใหก้ ับผู้สรา้ งงานทศั นศลิ ป์ใหเ้ ห็นคลอ้ ยตามแนวความคดิ นัน้ เปน็ ตน้ จิตรกรรมฝาผนังสมัยอยธุ ยา วดั เกาะแกว้ สุทธาราม จังหวดั เพชรบรุ ี และลวดลายปนู ป้นั รูปกินรี สมยั สุโขทัย ตวั อยา่ งผลงานทศั นศิลปท์ ส่ี ะทอ้ น ถึงคติความเชื่อของคนสมัยโบราณเกยี่ วกับศาสนา 124 นักเรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอ ใดเปน ปจ จยั ทีม่ ีอทิ ธพิ ลตอการสรา งสรรคผ ลงานทัศนศลิ ป 1 วิจติ รศิลป ผลงานศิลปะท่มี นุษยสรา งขึน้ ถึงขัน้ งามบริสทุ ธิ์ มกี ารแสดงออก ในวัฒนธรรมไทยมากที่สุด ถึงอารมณส ะเทือนใจท่ีผชู มรับรูได เปน ผลงานสรา งสรรค มคี วามคดิ ริเริ่ม และ 1. การทาํ มาหากิน แสดงเอกลักษณ ปรากฏจดุ มงุ หมายในดา นความรสู ึกและจินตนาการทางจติ ใจ 2. ศาสนาและความเชอื่ มากกวาประโยชนใชส อย 3. สภาพลมฟา อากาศ 4. การตอสูทาํ ศกึ สงคราม มุม IT วเิ คราะหค ําตอบ ตอบขอ 2. ศาสนาและความเชื่อเปนปจจยั สําคัญ ที่ทาํ ใหเ กิดการสรางสรรคผ ลงานทัศนศิลปป ระเภทตา งๆ โดยเฉพาะผลงาน นกั เรียนศึกษาเพม่ิ เตมิ เก่ียวกบั จิตรกรรมไทยและภาพวาดจติ รกรรมไทย ไดท่ี ที่มคี วามย่ิงใหญแ ละมคี วามประณตี สวยงาม ศิลปนและผรู วมสรางสรรค http://www.jitdrathanee.com ผลงานจะตอ งมคี วามเชื่อถอื และความศรัทธาเปน หลกั จึงจะมีพลงั กาย และพลงั ใจท่ีจะสรางสรรคผลงานดังกลา วไวเปนมรดกของแผน ดนิ สบื ตอ ไป 124 คูม่ อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ๑.๒ วัสดแุ ละสง่ิ แวดล้อม ใหนกั เรยี นรวมกันอภิปรายเกยี่ วกับผลงาน ทศั นศลิ ปในวัฒนธรรมไทย ดานปจจัยทม่ี ีอทิ ธพิ ล การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์เพ่ือให้เกิดรูปทรง โครงสร้าง หรือเกิดเป็นภาพได้น้ัน การพิจารณาใน ตอการสรางสรรคผ ลงาน โดยใหน กั เรยี นสรุป ลกั ษณะของผลงานทัศนศิลปในวัฒนธรรมไทย เรื่องของวัสดุที่ใช้ประกอบการสร้าง และเทคนิคในการออกแบบมีความจ�าเป็นอย่างย่ิง เพราะคุณสมบัติของวัสดุ และปจจัยท่มี อี ิทธิพลตอการสรา งสรรคผลงาน เปนแผนผังความคิด (Mind Mapping) ทแ่ี ตกตา่ งกนั จะทา� ใหเ้ กดิ คณุ คา่ ความงามและมเี นอ้ื หาสาระทแี่ ตกตา่ งกนั ทง้ั น ้ี หากผสู้ รา้ งมคี วามร ู้ และความเขา้ ใจ สง ครูผูสอน จากนั้นครถู ามนกั เรียนวา เกยี่ วกับวัสดเุ ปน็ อย่างดี จะท�าให้การสรา้ งสรรค์ผลงานเมอื่ ส�าเรจ็ ออกมาก็จะไดผ้ ลเป็นท่นี ่าพอใจ • จุดประสงคหลักของการสรางสรรคผลงาน ทศั นศลิ ปในวฒั นธรรมไทยคืออะไร ในเรื่องของสิ่งแวดล้อมก็เป็นปัจจัยส�าคัญต่อแนวความคิดและแรงบันดาลใจให้ผู้สร้างสรรค์ การศึกษา (แนวตอบ หลกั การสรา งสรรคผ ลงานทศั นศลิ ป ในวัฒนธรรมไทย สามารถสรปุ ไดเ ปน ธรรมชาติกระท�าได้ทั้งมุมแคบและมุมกว้าง ซ่ึงแต่ละคนจะเห็นแง่มุมท่ีจะใช้ส�าหรับการสร้างสรรค์แตกต่างกันไป 6 ประการท่สี าํ คญั คอื ประการที่ 1 ทัศนศลิ ปไทยสรางสรรคข น้ึ เพ่อื ถา ยทอด เรื่องของศิลปะไม่มีผดิ ไมม่ ีถกู ขึ้นอย่กู บั วา่ ใครจะสามารถสรา้ งสรรค์ หรอื ถา่ ยทอดความงามออกมาได้มากกว่ากนั ประสบการณแ ละความรสู ึกนึกคิดตอ การรับรูเ ร่ืองราวในสงั คมและวัฒนธรรมไทย เทา่ นนั้ และก็ไมม่ เี ครือ่ งมือใดๆ จะมาวัดผลการแสดงออกดงั กล่าวไดด้ ว้ ย ประการท่ี 2 ทศั นศลิ ปไ ทยสรา งสรรคข้ึน เพื่อความภาคภมู ิใจของคนไทย ประการที่ 3 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งธรรมชาตแิ ละการสรา้ งสรรคท์ ศั นศลิ ปจ์ งึ เปน็ ไปในลกั ษณะทเ่ี ออื้ ตอ่ กนั โดยธรรมชาติ ทศั นศลิ ปไทยสรา งขึ้นเพอ่ื จุดประสงค อยา งใดอยา งหนึ่งบนพ้ืนฐานสังคมและ จะให้บทเรยี นแกม่ นษุ ย์ในดา้ นความรสู้ กึ ใหมๆ่ เช่น ท้องทะเลทีม่ ีพ้ืนน�้าใสเรยี บราวกบั กระจก ดอกไมท้ ีม่ ีกลบี ดอก วฒั นธรรมไทย ประการที่ 4 ทัศนศลิ ปไทย สรา งสรรคข นึ้ เพอื่ เปน แนวทางในการออกแบบ สสี นั สวยงาม เป็นต้น ตกแตงเครอื่ งใชสอยและสภาพแวดลอ ม ประการที่ 5 ทศั นศิลปไ ทยสรา งสรรคขน้ึ ด้วยเหตนุ ้ี บรรดาศลิ ปนิ จงึ ไดอ้ าศยั ธรรมชาติเป็นครูส�าหรับการสรา้ งสรรค์ทัศนศิลป์แบบใหม่ๆ อยเู่ สมอ เพ่ือความสะดวกในการดาํ รงชวี ิต และ ประการที่ 6 ทศั นศิลปไ ทยสรางสรรคขึ้น ขณะเดยี วกนั ผลงานทศั นศิลปก์ ถ็ ือเปน็ แบบจา� ลองความงามทางธรรมชาตไิ ด้อยา่ งหน่ึง เพอื่ รบั ใชหรอื แสดงออกดา นความเช่อื ๑.๓ การรบั อทิ ธิพลทางศิลปะ ความศรทั ธาตอศาสนาและสถาบนั พระมหากษตั รยิ ) มนุษยส์ ามารถด�ารงชีวิตอยู่ในสังคมได ้ ตอ้ งอาศยั ปจั จัยเก้อื หนุนในหลายด้าน ไดแ้ ก ่ ปัจจัยส่ที ป่ี ระกอบ ด้วยอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ท่ีอยู่อาศัย และยารักษาโรค เป็นความต้องการพ้ืนฐานท่ัวไป แต่มนุษย์มีความต้องการ พัฒนาคุณภาพชีวิตของตนให้ดีข้ึนใน ทกุ ดา้ น ดังนั้น จงึ ได้มกี ารประดิษฐ์คดิ ค้น และสร้างสรรค์ส่ิงอ�านวยความสะดวกต่างๆ มากมายมาอยา่ งต่อเน่อื ง การคิดค้น และการสร้างสรรค์ผลงาน ทศั นศิลป์ นอกจากการศึกษาเรยี นรู้จากวัฒนธรรมไทย แลว้ ยงั มกี ารเรยี นรจู้ ากวธิ กี ารจากภายนอกเพอ่ื นา� มาปรบั ปรงุ และพัฒนาผลงานของตนให้มีความเจริญก้าวหน้าอีกด้วย เช่น การรบั แบบอยา่ งทางศลิ ปะจากตะวันออก เชน่ อินเดีย จนี เปอร์เซยี เปน็ ต้น มาใช้ในการสรา้ งสรรค์งานทัศนศลิ ป ์ หรือการศึกษา แหลง่ เรยี นรศู้ ลิ ปะตามแนวทางตะวนั ตก เปน็ ตน้ ซง่ึ อทิ ธพิ ล ของศลิ ปะจากวฒั นธรรมภายนอกไดม้ สี ว่ นชว่ ยใหผ้ ลงาน 1“อิสรภาพ” ประติมากรรมปั้นหล่อไฟเบอร์กลาสส์ทําสี ผลงานของ ทัศนศิลป์ของไทยมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงทั้งใน ดา้ นรปู แบบ เนอ้ื หา และการนา� เสนอมาโดยตลอด จารุพงษ์ พลชยั เปน็ การสร้างสรรคผ์ ลงานตามแนวศิลปะตะวันตก 12๕ กจิ กรรมสรา งเสรมิ เกรด็ แนะครู ใหน กั เรยี นสรปุ ลกั ษณะของงานทศั นศลิ ปใ นวฒั นธรรมไทยมาพอสงั เขป ครอู ธิบายเพ่ิมเติมเกยี่ วกบั อิทธิพลของศลิ ปะตะวันตกท่ีมีตอ พฒั นาการ โดยทําลงกระดาษรายงาน สงครผู ูสอน ศิลปะไทย ผลงานศิลปะสมัยใหมของไทยนบั ตง้ั แต พ.ศ. 2300 เปนตน มา รปู แบบ ของผลงานจะมลี ักษณะเปน สากลและสะทอนอตั ลักษณเ ฉพาะของศลิ ปนมากข้ึน กิจกรรมทา ทาย มีการใชวสั ดุและเทคนคิ ใหมๆ รวมทัง้ การเปลี่ยนแปลงโลกทัศนอ ยางรวดเร็ว ทาํ ให รปู แบบของศลิ ปะมคี วามหลากหลายมากยง่ิ ขนึ้ รวมถงึ ผลงานจาํ นวนมากกเ็ นน หนกั ทค่ี วามคดิ ริเร่มิ เปน สาํ คัญมากกวาจะเนน เพื่อความสวยงาม ใหน ักเรยี นยกตัวอยา งงานทัศนศลิ ปท แี่ สดงถึงวัฒนธรรมไทยอยาง นักเรยี นควรรู ชดั เจนมา 1 ผลงาน จากน้ันเขยี นอธบิ ายลักษณะของผลงานมาพอสังเขป โดยทาํ ลงกระดาษรายงาน สงครูผสู อน 1 ไฟเบอรก ลาส เสน ใยแกว ท่ีถูกนาํ ไปใชเปนวสั ดเุ สรมิ แรงใหกบั พลาสตกิ เรซนิ่ และขน้ึ รปู เปนผลติ ภณั ฑตางๆ เชน หลงั คารถ ชิ้นสว นเครื่องบนิ ขนาดเลก็ ช้ินสวน รถแขง ผลิตภณั ฑคอนกรตี เสริมใยแกว เปน ตน คมู่ ือครู 125

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขข้าา้ใจใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Explore Explain Engage E×pand Expand Evaluate ขยายความเขา้ ใจ ใหน ักเรียนแบงกลุม กลุม ละ 6 คน นาํ ตวั อยาง ๑.๔ หนา้ ที่ใชส้ อย ผลงานทศั นศลิ ปในวฒั นธรรมไทย มากลมุ ละ 1 ผลงาน พรอ มวเิ คราะหในประเด็นตอ ไปนี้ ทศั นศลิ ปเ์ ปน็ กจิ กรรมประเภทหนง่ึ ทมี่ นษุ ยส์ รา้ งสรรคข์ นึ้ เพอื่ ตอบสนองความตอ้ งการ ในด้านต่างๆ โดยการแสดงออกผ่านผลงานจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ซ่ึง • แนวคิดในการสรา งสรรคผลงาน การสรา้ งสรรคผ์ ลงานทศั นศลิ ปเ์ หลา่ นน้ั ไดม้ สี ว่ นชว่ ยใหก้ ารดา� รงชวี ติ อยขู่ องมนษุ ย์ในสงั คม • วสั ดทุ ใ่ี ชในการสรางสรรคผลงาน ปจั จุบันให้มคี ณุ ภาพท่ดี มี ากข้ึน ดังน้ี • คุณคาความงามที่ไดร บั จากผลงาน ๑. เป็นเคร่อื งยกระดบั อารมณแ์ ละความรสู้ กึ ในเร่อื งความงาม โดยใหน ักเรียนทาํ ลงกระดาษรายงาน นาํ สง ๒. ช่วยในการออกแบบการปรงุ แตง่ สิง่ แวดลอ้ มให้มีสภาพทีเ่ หมาะสม สวยงาม ครูผสู อน ๓. ช่วยปรับปรุงเทคนิคในการตกแต่งเคร่ืองอุปโภคบริโภคให้มีความน่าสนใจ มากขึน้ ตรวจสอบผล Evaluate จงึ อาจสรปุ ไดว้ า่ จดุ ประสงคข์ องการสรา้ งสรรคผ์ ลงานทศั นศลิ ปใ์ นวฒั นธรรมไทย เมื่อพจิ ารณาจากหลักฐานทางโบราณสถาน โบราณวัตถุและศลิ ปวัตถุท่ปี รากฏตาม 1. ครูพจิ ารณาจากแผนผงั ความคิดสรปุ ลักษณะ ภูมิภาคต่างๆ ส่วนใหญ่จะพบความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน ในเรื่องของความเชื่อ ของผลงานทัศนศลิ ปในวัฒนธรรมไทย และ ความศรัทธาทางศาสนา ประเพณี วัฒนธรรมในแต่ละท้องถ่ินเป็นปัจจัยหลัก ซึ่ง ปจ จยั ท่ีมีอทิ ธพิ ลตอการสรางสรรคผ ลงาน จุดประสงค์ในการสร้างสรรค์ผลงานโดยรวม มดี ังนี้ ทศั นศลิ ปในวฒั นธรรมไทยของนักเรียน ประการที่ ๑ ทศั นศิลป์ไทยสรา้ งสรรคข์ น้ึ เพอ่ื ถ่ายทอดประสบการณ์และความ รสู้ กึ นึกคิดตอ่ การรับรเู้ รื่องราวในสงั คมวฒั นธรรมไทย 2. ครูพจิ ารณาจากการวเิ คราะหผลงานทัศนศิลป ประการที่ ๒ ทศั นศลิ ป์ไทยสร้างสรรค์ขึ้น เพอ่ื ความภาคภูมิใจของตนเองและหมู่คณะ หรือ ในวฒั นธรรมไทยในประเดน็ ตา งๆ ของนักเรียน เป็นผลงานท่แี สดงถงึ อนสุ รณแ์ ห่งคณุ งามความดีตา่ งๆ ที่เกดิ ข้นึ ในอดตี หรอื ปจั จบุ นั 1 ประการท่ี ๓ ทศั นศิลป์ไทยสร้างสรรค์ขน้ึ เพอ่ื ดึงดดู ความสนใจของ โขนเรอื พระทนี่ ั่งนารายณ์ทรงสบุ รรณ ผพู้ บเหน็ ทจี่ ะนา� ไปสจู่ ดุ ประสงคอ์ ยา่ งใด อยา่ งหนง่ึ บนพื้นฐานสงั คมวัฒนธรรมไทย ประการท่ี ๔ ทัศนศิลป์ไทยสร้างสรรค์ขึ้น เพ่ือเป็นแนวทาง ในการออกแบบ และตกแต่งเครื่องใช้สอยและสภาพแวดล้อมให้มี ความงามทีน่ า่ พงึ พอใจ ประการท่ี ๕ ทศั นศลิ ป์ไทยสรา้ งสรรคข์ น้ึ เพอื่ ความสะดวก ในการดา� รงชวี ิตของผสู้ ร้างสรรคง์ านทศั นศิลป์และผู้อน่ื ประการที่ ๖ ทัศนศลิ ป์ไทยสร้างสรรค์ข้ึน เพ่อื รบั ใช้ หรอื แสดงออกด้านความเชื่อ ความศรัทธาต่อสถาบันกษัตริย์ และสถาบัน ศาสนา ซง่ึ ส่วนใหญจ่ ะเปน็ ผลงานทางดา้ นพระพุทธศาสนา ตัวหนังใหญแ่ กะเป็นรปู พาลีข่สี งิ ห์ 12๖ นกั เรียนควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET งานศิลปะประเภทใดทเี่ หมาะแกการนาํ ไปใชต กแตง สวนสาธารณะนอยที่สุด 1 เรอื พระทน่ี ง่ั นารายณท รงสบุ รรณ เรอื นารายณท รงสบุ รรณเปน เรอื พระทน่ี ง่ั กง่ิ 1. สถาปตยกรรม ประเภทเรอื รปู สตั ว กลาวคอื เปนเรอื ที่แกะสลกั หัวเรอื เปน รูปสัตวตา งๆ ทง้ั สตั วจ รงิ 2. เทคนคิ ผสม และสตั วใ นเทพนยิ าย โขนเรอื แตเ ดมิ จาํ หลกั ไมร ปู พญาสบุ รรณหรอื พญาครฑุ ยดุ นาค 3. จติ รกรรม เทานั้น มชี องกลมสาํ หรับตดิ ตงั้ ปนใหญอ ยูทหี่ ัวเรือใตตัวครุฑ จนรชั สมยั พระบาท- 4. ประติมากรรม สมเดจ็ พระจอมเกลาเจาอยหู ัว (รชั กาลท่ี 4) มพี ระราชดาํ ริใหเสรมิ รปู พระนารายณ วิเคราะหคําตอบ ตอบขอ 3. เนอ่ื งจากงานจติ รกรรมเปน การเขียนภาพ ประทบั ยืนบนหลงั พญาสุบรรณ เพือ่ ความสงา งามของลําเรือและเพ่อื ใหถ ูกตอง ระบายสี ซึ่งผลงานอาจจะชาํ รดุ เสยี หายได ถานาํ ไปตั้งไวไ มถ กู ที่ เชน ตามคตใิ นเทพปกรณมั ของศาสนาพราหมณว า พญาสุบรรณน้ันเปนเทพพาหนะ โดนน้ําฝนหรือโดนแดด ดังน้นั ผลงานจติ รกรรมทุกประเภทจงึ ไมเหมาะกับ ของพระนารายณ การนําไปใชตกแตง สวนสาธารณะ 126 คู่มอื ครู

กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคr้นeน้ หหาา อธิบายความรู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explain Evaluate Engage Explore Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ò. ผลงานทศั นศิลป์ในวฒั นธรรมÊา¡ล ครใู หน กั เรยี นดภู าพวาดสมยั กอ นประวตั ศิ าสตร และสมัยประวตั ิศาสตร รปู ปน พระเศยี รของ ศิลปะสากล เป็นศิลปะท่ีมีพื้นฐานมาจากศิลปะตะวันตก มีวิวัฒนาการ พระนางเนเฟอรต ิติ ภาพพระราชวงั แวรซายส มาหลายยุคหลายสมัย และแพร่หลายไปยังชาติต่างๆ ซ่งึ ผลงานทศั นศิลปท์ ีส่ ร้าง สถาปต ยกรรมที่ไดรับอิทธพิ ลจากวฒั นธรรมกรกี กันข้ึนมาในสมัยหลังๆ ส่วนใหญ่จะใชแ้ บบแผนตามแบบอย่างของศิลปะสากล และโรมัน ประเทศฝร่ังเศส ในหนงั สอื เรียน ศิลปะสากลเป็นศิลปะที่ผสมผสานแนวคิด ตลอดจนรูปแบบต่างๆ หนา 127 จากนนั้ ใหน ักเรียนรว มกันวิเคราะหวา อย่างเป็นกลางและกว้างขวาง การใช้วัสดุอุปกรณ์และวิธีการสร้างสรรค์กระท�า ผลงานทศั นศิลปแ ตล ะผลงานเกยี่ วขอ ง ได้อย่างอิสระไม่จ�ากัดขอบเขตตายตัว ผลงานที่ส�าเร็จออกมาไม่นับว่าเป็น และสมั พนั ธกันอยา งไร รูปแบบของชาติใดชาติหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งคนทุกชาติทุกภาษามองแล้วเข้าใจ ผลงานนนั้ ๆ ได้ เพราะมีความเปน็ นานาชาติ สา� รวจคน้ หา Explore การสรา้ งสรรค์ทัศนศลิ ป์ในวัฒนธรรมสากล การสรา้ งสรรคง์ านทศั นศลิ ป์ ในระยะแรกๆ ส่วนใหญเ่ กิดจากความเชอ่ื และความศรทั ธาของอ�านาจล้ีลับต่างๆ ใหน ักเรยี นศกึ ษา คนควาเกีย่ วกบั ผลงาน ท่มี องไมเ่ หน็ และมีรูปแบบในการแสดงออกของผลงานเปน็ การเลียนแบบ ทศั นศลิ ปใ นวัฒนธรรมสากล ดานปจ จยั ทีม่ ี ธรรมชาตแิ ละสงิ่ ทอ่ี ยใู่ กลต้ วั รวมทง้ั มกี ารพฒั นารปู แบบตามความคดิ สรา้ งสรรค์ อิทธิพลตอ การสรา งสรรคผลงานทัศนศิลปใน ของมนษุ ย ์ จนในที่สดุ รูปแบบเหล่านั้นกค็ อ่ ยคลีค่ ลายเป็นรปู แบบทางศิลปะทเ่ี ป็น รูปปั้นพระเศยี รของพระนางเนเฟอร์ติติ วัฒนธรรมสากล จากแหลง เรยี นรตู า งๆ เชน เอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั ในสมยั อียปิ ต์ กรกี โรมนั หนังสอื เรยี น หอ งสมดุ อินเทอรเ น็ต เปนตน งานทัศนศิลป์ในวัฒนธรรมกรีกและโรมัน 1ถือได้ว่ามีบทบาทต่องานทัศนศิลป์ในระยะหลัง จนพัฒนามา เปน็ งานทัศนศิลป์รปู แบบต่างๆ ในยุคศิลปะสมยั ใหม่ (Modern Art) และยคุ ศลิ ปะหลงั สมัยใหม่ (Postmodern Art) ประเทศทีม่ ีบทบาทส�าคัญในการพฒั นางานทศั นศลิ ป ์ ไดแ้ ก่ ประเทศฝรง่ั เศส โดยเฉพาะในช่วงปลายครสิ ต์ศตวรรษ ที่ ๑๙ ลงมา แ2บบอย่างงานทัศน3ศิลป์ในวัฒนธรรมสากลจะมีแนวโน้มของการแสดงออกใน ๒ แบบ คือ แนวนโี อคลาสสิกและแนวโรแมนติก เปน็ การคน้ หาความงามสงู สุดบนพืน้ ฐานของความสมบูรณ์แบบตามธรรมชาติ พระราชวังแวรซ์ ายส์ สถาปตั ยกรรมที่ไดร้ ับอทิ ธิพลจากวฒั นธรรมกรีกและโรมนั สรา้ งขนึ้ ในสมัยพระเจา้ หลยุ สท์ ี่ ๑๔ แหง่ ฝรั่งเศส เป็นสถานที่ ท่ไี ด้รับการตกแต่งให้มีความวิจิตรตระการตา หรหู รา และอลงั การมาก แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ นักเรียนควรรู ขอ ใดเปนลกั ษณะของศิลปะสากล 1 ศลิ ปะสมัยใหม เปนรูปแบบเฉพาะของศิลปนแตล ะกลุม เนน ความ 1. เปน รูปแบบศิลปะตะวนั ตก เปนตัวของตัวเอง มีเทคนคิ วธิ ีการท่หี ลากหลาย มักจะเรยี กวา “ศลิ ปะรว มสมยั ” 2. มลี กั ษณะเหมือนศลิ ปะยุโรป 2 แนวนีโอคลาสสกิ หมายถงึ การนาํ รปู แบบคลาสสกิ เดมิ มาถา ยทอดเปน 3. คลายคลึงกับศลิ ปะของอเมรกิ า รปู แบบใหมท ี่สมั พันธก ับสภาพสังคม 4. เปนนานาชาตไิ มส ื่อวาเปนของชาติใด 3 แนวโรแมนตกิ เปน ศลิ ปะทย่ี ดึ มนั่ ในอารมณและจติ ใจมากกวาเหตุผล และกฎเกณฑ การแสดงออกของศลิ ปะรูปแบบนีม้ กั เปนการตัดกนั ของแสงเงา วิเคราะหค ําตอบ ตอบขอ 4. ศลิ ปะสากลเปนศลิ ปะทีผ่ สมผสานแนวคดิ มเี ร่อื งราวและรูปแบบทเี่ กนิ ความจรงิ มรี อยแปรงท่แี สดงถงึ การเคลอื่ นไหว เปน เรอื่ งราวของการผจญภัย เน้ือเร่ืองนา ตน่ื เตน ประทับใจ รปู แบบหรือสไตลจ ากศิลปะสกลุ ตา งๆ จนออกมาเปนศลิ ปะสากลที่มี ความเปนนานาชาติ ไมส ื่อวาเปนของชาตใิ ดหรือศลิ ปะสกุลใดโดยเฉพาะ แมจ ะมรี ากฐานมาจากศิลปะตะวันตกกต็ าม ทาํ ใหผ ูค นจากทุกวัฒนธรรม ดแู ลวมคี วามเขาใจตรงกนั ได คมู่ ือครู 127

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ใหนักเรียนรว มกันอภปิ รายเก่ียวกับผลงาน เสริมสาระ ทศั นศลิ ปในวัฒนธรรมสากล จากน้นั ให นักเรียนสรปุ ลกั ษณะและปจ จัยทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ ปจจัยทม่ี ีอทิ ธพิ ลตอ การสรา งสรรคผ ลงานทศั นศิลป การสรา งสรรคผลงานทศั นศลิ ปในวัฒนธรรม สากลเปน แผนผงั ความคิด (Mind Mapping) ๑. อิทธิพลทางดานภูมิศาสตร สภาพส่ิงแวดล้อมเป็นปัจจัยสําคัญอย่างหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ผลงาน สงครผู สู อน ซ่ึงผู้สร้างสรรค์จะเลือกพิจารณาภูมิประเทศ ทําเลท่ีตั้งท่ีเหมาะสมต่อการสร้างสรรค์สิ่งสวยงามให้กับถ่ินท่ีอยู่ของตน เช่น อาคาร ที่พักอาศัยบริเวณชายทะเลจะมีความแตกต่างจากอาคารบ้านเรือนท่ีอยู่ในทะเลทราย ผู้คนที่อยู่ชายทะเลก็นิยมวาดภาพทิวทัศน์ 2. ครูใหนกั เรียนศกึ ษาปจจัยทมี่ ีอทิ ธิพลตอ การ ทางทะเลมากกวา่ วาดภาพอน่ื ๆ ผู้ที่อาศยั อยูใ่ นปากน็ ิยมนาํ ไมม้ าแกะสลักมากกวา่ การใชว้ ัสดอุ ่นื ๆ เป็นตน้ สรางสรรคผ ลงานทศั นศลิ ป ในหนงั สอื เรียน หนา 128 จากนัน้ ครถู ามนกั เรียนวา ฤดกู าลถือได้ว่ามอี ทิ ธิพลตอ่ การสรา้ งสรรค์ผลงานทัศนศลิ ปเ์ ช่นกัน ความแตกตา่ งของฤดกู าลจะมอี ทิ ธพิ ล • ผลงานเทวรปู สาํ ริด สถปู เจดีย วัดวาอาราม ต่อการสรา้ งสรรค์งานทศั นศลิ ป ์ เช่น เรอื นไทยภาคกลางกจ็ ะมลี ักษณะยกพืน้ เรือนสูงใหพ้ ้นจากระดบั นํา้ ทว่ มถึง เปน ผลงานสถาปต ยกรรมที่ไดร ับอทิ ธพิ ลมา มีหลงั คาทรงสูง เพอื่ ให้เกิดการถา่ ยเทความรอ้ นและระบายนาํ้ ฝนไดด้ ี ในขณะท่เี รือนไทยภาคเหนอื จะมหี น้าตา่ ง จากส่ิงใด น้อยกว่า เพื่อปอ งกนั อากาศหนาวเยน็ ในช่วงฤดูหนาว เปน็ ต้น (แนวตอบ ผลงานสถาปตยกรรมที่เปน ทางด้านจิตรกรรม ฤดูกาลมีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ในเรื่องของการใช้สีที่สว่างสดใสตาม เทวรปู สําริด สถูป เจดยี  และวดั วาอาราม แบบประเทศทางแถบร้อน ซึ่งจะตา่ งไปจากประเทศทางแถบอากาศเยน็ จะใชส้ ีหมน่ ทึบ สอดคลอ้ งไปตาม เปนสถาปต ยกรรมทีไ่ ดรับอิทธิพลจากการ สภาพบรรยากาศจรงิ นบั ถอื ศาสนา เพราะศาสนาแตละศาสนา ยอ มมีคตธิ รรม พิธีกรรม ระเบยี บวิธปี ฏิบัติ ๒. อิทธิพลทางดานศาสนา ศาสนาแต่ละศาสนาย่อมมีคติธรรม พิธีกรรม ระเบียบวิธีการ ทางศาสนาทแี่ ตกตา งกนั ซึง่ สิง่ เหลาน้ีเปน ปฏิบัติทางศาสนาแตกต่างกัน ซ่ึงสิ่งเหล่าน้ีเป็นเหตุผลและมีอิทธิพลสําคัญต่อการสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ เหตุผลและมีอทิ ธพิ ลตอ การสรางสรรคผลงาน ทง้ั ด้านรปู แบบ ขนาด สัดสว่ น และการตกแต่ง อิทธิพลนี้ทําให้มีเรอื่ งราวเน้ือหาสําหรับใช้ในทางสถาปัตยกรรม ทัศนศิลปท้ังดานรปู แบบ ขนาด และสดั สว น ประติมากรรม และจิตรกรรม ให้เกิดเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละศาสนา เช่น การสร้างรูปเคารพ รูปแบบของ รวมท้ังการตกแตง) ศาสนสถานในพระพุทธศาสนากจ็ ะแตกต่างจากศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ด ู เปน็ ต้น ๓. อิทธิพลทางดานสังคม คนในสังคม หรือผู้คนของประเทศแต่ละแห่งย่อมมีนิสัย คติความเชื่อ ตลอดจนการทาํ มาหาเลย้ี งชพี ทแ่ี ตกตา่ งกนั ออกไปตามสภาพภมู ปิ ระเทศและภมู อิ ากาศ การดาํ รงชวี ติ ในแตล่ ะสงั คม ท่ีแตกต่างกันออกไปเช่นน้ี ได้กลายเป็นอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์วัฒนธรรมทางทัศนศิลป์ เช่น คนไทย มีวิถีชีวิตแบบเกษตรกรรม จะมีลักษณะนิสัยเป็นคนรักถิ่นฐาน มีความเป็นอยู่เรียบง่าย ผูกพันอยู่กับธรรมชาติ การสรา้ งสรรค์งานทัศนศลิ ปท์ างด้านสถาปัตยกรรม ประตมิ ากรรม และจิตรกรรม กส็ ะท้อนวิถีชีวิตการทําเกษตร แทรกลงไปในเน้ือหาของงานด้วย เปน็ ต้น ๔. อิทธิพลทางดานเศรษฐกิจ จะสะท้อนออกมาอย่างเด่นชัดในตัวเนื้องาน ถ้าบ้านเมืองมีฐานะ เทวรปู สําริด ทางเศรษฐกิจดี ผลงานที่สร้างออกมาก็จะมีขนาดใหญ่โต มีความหรูหรา ฟุมเฟอย เพราะมีกําลังทรัพย์ในการสร้าง แต่ถ้าบ้านเมือง มสี ภาพแรน้ แคน้ ศิลปกรรมในบา้ นเมอื งนน้ั ก็จะเสื่อมโทรม มีขนาดเล็ก หรือมีปริมาณน้อย สถูปทส่ี าญจ ี จะมลี กั ษณะแบบโอคว่ําหรอื ขันควํ่า ซงึ่ เปน็ แมแ่ บบของ ความงดงามและอลงั การของนครวดั เมอื งเสยี มเรยี บ ประเทศกมั พชู า การสรา้ งสถูปในสมยั ต่อมา แสดงใหเ้ ห็นถึงอทิ ธพิ ลของศาสนาทม่ี ีตอ่ งานทัศนศิลป์ 12๘ เกร็ดแนะครู กจิ กรรมสรา งเสรมิ ครอู ธิบายเสริมใหน ักเรียนเขา ใจเก่ยี วกบั อิทธิพลของศาสนาทมี่ ตี อรูปแบบ ใหน ักเรียนสรปุ ลกั ษณะของงานทัศนศิลปใ นวัฒนธรรมสากล การสรางสรรคผลงานทศั นศลิ ป ซึง่ การสรางสรรคผ ลงานทัศนศิลปก็คือแนวคดิ มาพอสงั เขป โดยทําลงกระดาษรายงาน สง ครผู สู อน ในการสราง ตัวอยางทเ่ี ห็นไดเดนชดั ไดแ ก คติความเช่อื ของศาสนาพราหมณ-ฮนิ ดู ที่วา ศาสนสถานนอกจากจะเปนสถานที่ประกอบพธิ กี รรมทางศาสนาแลว กจิ กรรมทา ทาย ยังถือเปนท่ปี ระทบั ของเทพองคตา งๆ หรอื เปน เทวาลยั ดงั นัน้ การออกแบบ ศาสนสถานจึงมลี กั ษณะยิง่ ใหญ สรา งดวยหนิ มยี อดท่ีสื่อถึงเขาพระสุเมรุ อันเปน ใหน กั เรียนยกตัวอยา งงานทศั นศลิ ปท ีแ่ สดงถึงวัฒนธรรมสากลอยา ง ท่ีประทบั ของทวยเทพและเปนศูนยกลางของจักรวาล ซึ่งแตกตา งจากการสรา งวดั ชัดเจนมา 1 ผลงาน จากนั้นเขยี นอธบิ ายลักษณะของผลงานมาพอสังเขป สรางโบสถ สรา งวหิ ารของพระพทุ ธศาสนาท่สี รา งขนึ้ เพอ่ื เนน สาํ หรบั การปฏิบัติ โดยทาํ ลงกระดาษรายงาน สง ครูผสู อน ศาสนกิจ เปน ทพ่ี กั อาศัยของพระสงฆ เพ่อื ศึกษาพระธรรมคําสงั่ สอน และเผยแผ หลกั ธรรม รูปแบบจงึ เรียบงายกวาและมขี นาดยอ มกวา สามารถใชวัสดุท่ีหาได ในแตละทอ งถน่ิ เปนหลกั 128 คู่มอื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธบิ ายความรู้ ขขยยาายยEคคxวpวaาาnมมdเขเขา้ ใา้ จใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Engage Explore Explain Expand Evaluate ขยายความเขา้ ใจ E×pand เมื่อเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมขึ้นในยุโรป วิทยาการ ใหน กั เรยี นแบง กลมุ กลมุ ละ 6 คน นาํ ตวั อยา ง ผลงานทัศนศิลปในวฒั นธรรมสากล มากลมุ ละ สมยั ใหมเ่ รมิ่ มคี วามเจรญิ กา้ วหนา้ มากขน้ึ ตามลา� ดบั มกี ารประดษิ ฐ์ 1 ผลงาน พรอ มวิเคราะหในประเด็นตอไปน้ี กล้องบันทึกภาพและมีการค้นพบแสงสีในธรรมชาติ มีการพัฒนา • แนวคิดในการสรา งสรรคผลงาน • วัสดทุ ใ่ี ชในการสรา งสรรคผลงาน ทางเทคโนโลยีและการใช้เคร่ืองมือต่างๆ ที่ทันสมัย ตลอดจน • คณุ คาความงามทีไ่ ดร บั จากผลงาน โดยใหนกั เรียนทําลงกระดาษรายงาน นําสง รับรู้ถึงความเป็นจริงของสีตามธรรมชาติ ซึ่งมีบทบาทส�าคัญต่อ ครูผูส อน ความเจริญก้าวหน้าของงานทัศนศิลป์สากลเป็นอย่างมาก มีการ แสนร้าวปงสระรทรคับ์ผใจลนงิยามน 1ท(ัIศmนpศreิลsปs์ตioาnมisแmน)ว ค แิดนหวรเืหอนลัทือคธวิตา่ามงเๆป ็นเจชร่นิง 2 (Surrealism) แนวบาศกนิยม (Cubism) และศิลปะนามธรรม ตรวจสอบผล Evaluate (Abstract Art) เป็นตน้ 1. ครูพจิ ารณาจากแผนผงั ความคิด สรุปลักษณะ ของผลงานทัศนศลิ ปใ นวฒั นธรรมสากลและ จดุ ประสงค์ในการสรา้ งสรรค์งานทัศนศลิ ป์ในวัฒนธรรม ปจจัยท่มี อี ิทธิพลตอการสรา งสรรคผ ลงาน ทัศนศิลปใ นวัฒนธรรมสากลของนกั เรยี น สากลมีปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ 2. ครพู จิ ารณาจากการวิเคราะหผลงานทัศนศลิ ป เชน่ เดยี วกบั ทศั นศลิ ป์ในวฒั นธรรมไทย จดุ ประสงค์ในการสรา้ งสรรค์ “ผหู้ ญงิ รอ้ งไห”้ ผลงานของ ปาโบล รยุ ซ ์ ปกิ สั โซ (Pablo ในวัฒนธรรมสากลในประเด็นตางๆ ของ งานทัศนศลิ ป์ในวฒั นธรรมสากลจะมีลักษณะ ดังน้ี Ruiz Picasso) เปน็ จติ รกรรมบาศกนยิ มแบบสงั เคราะห์ นกั เรียน ประการท่ี ๑ งานทัศนศิลป์สากลถูกสร้างสรรค์ข้ึน สเพ่ิงอ่ืแกวาดรลค้อน้ มคบวนา้ ทพด้ืนลฐอางนแขลอะงกหารลแักสววิชงาหศาิลคปวะา ม3(จAรcงิ aตdาeมmธรicร มAชrาt)ต แิ ทล่ีมะี การถา่ ยทอดผลงานโดยใชท้ กั ษะฝมี อื และมแี บบแผนในการทา� งาน อย่างเปน็ ขนั้ ตอน ประการท่ี ๒ งานทัศนศิลป์สากลถูกสร้างสรรค์ข้ึน เพื่อผสมผสานแนวความคิดและรูปแบบของศิลปะในลัทธิต่างๆ หรือคตคิ วามเชือ่ ในชว่ งเวลาใดเวลาหน่งึ ทีส่ ะท้อนถงึ การแสดงออก ทีม่ เี อกลักษณข์ องศลิ ปิน ประการที่ ๓ งานทัศนศิลป์สากลถูกสร้างสรรค์ขึ้น เพื่อการค้นหาข้อเท็จจริงเก่ียวกับแนวคิด ความหมาย ความงาม “Houses at L’ Estaque” ผลงานของ จอร์จ บราก ในมุมมองใหม่ และอาศัยวัตถุดิบรวมท้ังวิธีในการสร้างสรรค์อย่าง (George Braque) เปน็ จติ รกรรมบาศกนยิ มแบบหนา้ ตดั มากมาย เพื่อให้ผลงานทศั นศลิ ปม์ ีความสมบูรณ์แบบและลงตัวตามความต้องการมากที่สดุ ประการท่ี ๔ งานทัศนศิลป์สากลถูกสร้างสรรค์ขึ้น เพื่อการแสดงออกทางรูปแบบศิลปะอย่างเป็นกลาง โดยไมเ่ นน้ รปู แบบของความเปน็ ชาติใดชาตหิ นงึ่ โดยเฉพาะ เพอื่ ใหผ้ ลงานทสี่ รา้ งสรรคส์ า� เรจ็ มคี วามเปน็ สากลทมี่ นษุ ย์ ทกุ คนในโลกสามารถรับรู้ได้จากคณุ ค่าท่เี กดิ ข้ึนในตัวของผลงาน ความหมาย และความงามไดอ้ ย่างเปน็ อิสระ 129 บรู ณาการเชอื่ มสาระ นักเรียนควรรู การศกึ ษาเก่ยี วกับลักษณะของงานทัศนศิลปในวฒั นธรรมสากล 1 แนวประทับใจนิยม ศลิ ปะลทั ธิหน่งึ ทนี่ าํ เอาความรทู างวทิ ยาศาสตรใ นเร่อื ง สามารถบรู ณาการกับการเรยี นการสอนกลมุ สาระการเรยี นรูสังคมศกึ ษา แสงและสีมาใช เพ่ือแสดงบรรยากาศธรรมชาตติ ามเวลาและฤดูกาลตา งๆ เกิดขนึ้ ศาสนา และวัฒนธรรม วชิ าสงั คมศกึ ษา เรอ่ื งสงั คมอตุ สาหกรรม เพราะ ในชว งคริสตศ ตวรรษที่ 19 อนั เปน ระยะแรกของกระบวนการศลิ ปะสมัยใหม สังคมอุตสาหกรรมไดนาํ มาซ่งึ วิทยาการสมัยใหม มีการประดษิ ฐคิดคน 2 แนวเหนอื ความเปน จริง หรอื ลัทธิเหนอื จรงิ หมายถึงคตนิ ิยมทางศลิ ปะ กลอ งบนั ทกึ ภาพและมกี ารคนพบแสงสีในธรรมชาติ มีการพัฒนาเทคโนโลยี ซงึ่ พฒั นามาจากอุดมคติบางประการของคตดิ าดา โดยนําทฤษฎจี ติ วทิ ยาในเรอื่ ง และเคร่อื งมอื เครือ่ งใชต างๆ ซึง่ มบี ทบาทสําคญั ตอความเจรญิ กาวหนาของ จติ ใตสํานกึ มาผสมผสานเปน มูลเหตุ งานทัศนศลิ ปในวฒั นธรรมสากลอยา งมาก 3 หลกั วชิ าศลิ ปะ งานศลิ ปกรรมทสี่ รางสรรคขึน้ ตามทฤษฎี โดยมมี าตรฐาน และหลักเกณฑต ามหลกั วิชาท่ีสถาบนั หรอื สกุลศิลปะนั้นๆ ไดกาํ หนดไวว า ดีงาม ถกู ตอ ง เปนทีน่ ยิ ม และถือเปน หลักปฏบิ ัตสิ บื ทอดกันมา คู่มือครู 129

กกรระตะตนุ้ Eุ้นnคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� �ารรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explain Expand Evaluate Engage Explore กระตนุ้ ความสนใจ Engage ครใู หนักเรียนดภู าพผลงานประติมากรรม กจิ กรรม ศิลป์ปฏบิ ัติ ๑๐.๑ “โลกตุ ตระ” ของชลูด นม่ิ เสมอ ในหนังสือเรยี น หนา 130 จากน้นั ครถู ามนกั เรียนวา กจิ กรรมที่ ๑ ใหน้ ักเรยี นจัดท�าตารางแสดงจดุ ประสงค์ในการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลปข์ องวฒั นธรรมไทย และสากล คดั เลือกผลงานทีจ่ ัดท�าได้ดีนา� ไปแสดงท่ีปา ยนิเทศ • ผลงานทศั นศิลปในวฒั นธรรมไทยมคี วาม แตกตา งกันอยางไร กจิ กรรมท่ี ๒ หาภาพผลงานทัศนศิลป์ในวฒั นธรรมไทย ๑ ภาพ และวฒั นธรรมสากล ๑ ภาพ แล้วเขียน อธบิ ายวา่ ภาพดงั กล่าวสะท้อนให้เห็นถงึ จุดประสงค์ในการสร้างสรรคผ์ ลงานอย่างไร • เพราะเหตใุ ด ผลงานทศั นศลิ ปในวัฒนธรรม ไทยจึงมคี วามแตกตา งกนั ó. à»ÃÕºà·ÂÕ º¤ÇÒÁᵡµ‹Ò§¢Í§·ÑȹÈÅÔ »Šã¹ÇѲ¹¸ÃÃÁä·ÂáÅÐÊÒ¡Å (แนวตอบ นกั เรยี นสามารถตอบไดอ ยางอิสระ) สา� รวจคน้ หา Explore ทัศนศิลป์ในวัฒนธรรมไทยและสากล มีจุดเริ่มต้นในการสร้างสรรค์ผลงานต่างๆ ท่ีมี ใหนักเรยี นแบง ออกเปน 4 กลุม ศกึ ษาคนควา ความเป็นมาท่ีคล้ายคลึงกัน จากปัจจัยพ้ืนฐานในการด�ารงชีวิตของมนุษย์สะท้อนถึง เก่ยี วกับลกั ษณะรปู แบบงานทัศนศลิ ปใ นวัฒนธรรม ไทย ตั้งแตส มยั กอนสุโขทยั จนถึงสมยั รัตนโกสินทร ความเชือ่ และความศรัทธาทางศาสนา รวมถึงลทั ธิ ปรัชญาตา่ งๆ ซ่งึ สรุปได ้ ดงั น้ี จากแหลง เรยี นรูตางๆ เชน หนังสอื เรยี น หอ งสมุด ๓.๑ ทศั นศลิ ป์ในวฒั นธรรมไทย อนิ เทอรเนต็ เปนตน ตามหวั ขอ ทีค่ รกู ําหนดให ดังนี้ ศลิ ปะทางดา้ นทศั นศลิ ปข์ องไทยทค่ี งไวใ้ นรปู ของขนบธรรมเนยี ม ประเพณี กลมุ ที่ 1 ทัศนศลิ ปในวัฒนธรรมไทย และวัฒนธรรม เปน็ ศิลปะประจ�าชาติท่ีเราควรภาคภูมิใจ เห็นคณุ ค่า และหวงแหน สมยั กอ นสโุ ขทยั รกั ษาไวเ้ ป็นสง่ิ ทเ่ี ราตอ้ งให้ความส�าคญั และใส่ใจศึกษา เพราะเป็นสภาพแวดลอ้ ม กลุมที่ 2 ทัศนศลิ ปใ นวัฒนธรรมไทย สมัยสโุ ขทยั ทอ่ี ยรู่ อบตวั เรา ซง่ึ ศลิ ปะไดจ้ ะแบง่ ชว่ งเวลาในการศกึ ษา กลมุ ที่ 3 ทศั นศลิ ปใ นวฒั นธรรมไทย ออกเปน็ สมยั ตา่ งๆ ได้แก ่ สมยั กอ่ นประวตั ิศาสตร ์ สมัยอยธุ ยา สมยั ประวตั ิศาสตร์ (ยคุ กอ่ นสมยั สโุ ขทัย : กลมุ ท่ี 4 ทัศนศิลปใ นวฒั นธรรมไทย สมัยรัตนโกสินทร ศลิ ปะทวารวดี ศรวี ิชัย ลพบุรี เชยี งแสน) สมยั สโุ ขทัย สมยั อยุธยา สมยั รตั นโกสินทร์ และ 1“โลกุตตระ” ผลงานของ ชลูด งานทศั นศลิ ปส์ มยั ใหม่ในยคุ หลงั ) ซง่ึ ในแตล่ ะสมยั น่ิมเสมอ จะมกี ารสรา้ งสรรคผ์ ลงานทงั้ ทางจติ รกรรม เป็นประติมากรรมที่มีการจัดองค์ประกอบ ท่ีแสดงความเป็นเอกภาพ และเป็น ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ท่ีมี ประติมากรรมลอยตัวแบบร่วมสมยั ความงดงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แตกตา่ งกนั ออกไป ทง้ั นหี้ ากพจิ ารณาถงึ รปู แบบและเนอ้ื หาของงานทศั นศลิ ป์ ในวัฒนธรรมไทยจะพบว่า งานทัศนศิลป์ท่ีเกิดขึ้นในแต่ละยุคสมัยจะมี เรอ่ื งราวเก่ียวกบั ความศรทั ธาทางศาสนา ความเชอื่ และวิถชี ีวติ ความเปน็ อย ู่ ท�าให้เกิดความงาม และคณุ ค่าท่แี ตกตา่ งกนั ไปในแต่ละ ช่วงเวลา เนื่องจากผลงานทัศนศิลป์เกิดจากการสร้างสรรค์ขึ้นโดย ศิลปิน มีปัจจัยต่างๆ เป็นองค์ประกอบส�าคัญที่ท�าให้เกิดรูปแบบที่เป็น พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะทวารวดี ปัจจุบัน จดั แสดงที่พพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาต ิ พระนคร 13๐ เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET เพราะเหตใุ ด งานทศั นศลิ ปท่ีเกีย่ วของกบั ศาสนาจึงมีความงดงาม ประณีต ครอู ธิบายวา ผลงานทศั นศิลปใ นแตล ะสมยั จะมีรปู แบบ คตินิยม และการไดรับ และสรา งขนึ้ อยา งยง่ิ ใหญ อทิ ธิพลจากศลิ ปะสกุลตางๆ ท่ีแตกตางกนั ออกไป ทําใหศ ลิ ปะแตละสมัยมอี ัตลักษณ แนวตอบ ความเชอ่ื ความศรทั ธาทีม่ ีตอ ศาสนา ถอื เปน แรงผลักดนั เฉพาะ แมจะมีลักษณะรว มกันบางประการ หรอื มีความคลายคลึงกัน ซง่ึ เราสามารถ ท่ที ําใหศ ลิ ปน ผูส รา งสรรคพ ยายามจะสรา งผลงานทศั นศลิ ปใหสดุ ฝม ือ จดั แบงผลงานแตล ะสมยั เพ่ือสะดวกแกการศกึ ษาทําความเขาใจและเปรียบเทยี บได ของตน เพราะนอกจากจะตอ งการใหผ ลงานมีความงดงามแลว ยังถือเปน การไดท าํ บุญอยา งสงู อีกดวย ขณะเดยี วกันการรวบรวมปจ จยั ทุนทรพั ย นกั เรียนควรรู ทจี่ ะนาํ มาสราง กส็ ามารถขอรบั บริจาคไดงายกวา เนือ่ งจากผูบรจิ าค ก็มคี ติวาเปนการทําบญุ ทําใหตนไดร วมผลบญุ ดวย เม่ือไดฝ ม อื ชา งทด่ี ี 1 โลกุตตระ เปนผลงานทีม่ คี วามงดงามและมีช่ือเสียงมากท่สี ดุ ผลงานหนึง่ และมีทุนทรพั ยมากพอท่ีจะสรา ง จึงสงผลใหผ ลงานทัศนศลิ ปท่ีเกีย่ วเนือ่ ง ของ ชลดู นม่ิ เสมอ เปนประติมากรรมกลางแจงรูปเปลวรศั มขี องพระพทุ ธรปู กับศาสนามคี วามยิ่งใหญและมคี วามประณตี งดงามมากเปนพิเศษ หรืออาจจะวาเปน รปู ดอกบัว หรอื เปนรปู พนมมือก็ได สรางขน้ึ เมือ่ พ.ศ. 2534 ทาํ ดวยไฟเบอรกลาส ตัง้ แสดงอยู ณ บริเวณศนู ยการประชมุ แหง ชาติสริ กิ ิต 130 คูม่ ือครู

กระต้นุ ความสนใจ สา� รวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ลักษณะเฉพาะของงานทัศนศิลป์ในแต่ละยุคสมัย ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นสมัยที่มนุษย์ยังไม่รู้จักการประดิษฐ์ 1. ใหน ักเรยี นกลมุ ที่ 1 และกลุม ที่ 2 สง ตวั แทน กลมุ กลุมละ 2-3 คน ออกมานาํ เสนอความรู อักษร แต่มนุษย์รวมตัวอยู่เป็นชุมชน รู้จักท�าการเพาะปลูก เล้ียงสัตว์ ทอผ้า ท�าเคร่ืองปันดินเผาท่ีมีลวดลาย เกย่ี วกบั ทศั นศิลปใ นวัฒนธรรมไทยสมยั กอน สุโขทยั และสมัยสโุ ขทยั ตามทไ่ี ดศึกษามา เคร่ืองมือเครือ่ งใชใ้ นชว่ งแรกๆ มักท�าขน้ึ จากหนิ ต่อมาร้จู ักน�าเอาโลหะมาสร้างเป็นเครือ่ งมอื เคร่อื งใช้แทนหินและ หนาชัน้ เรยี น รู้จักสร้างสรรค์ผลงานศิลปะด้วยการขีดเขียนภาพตามผนังถ�้า เช่น ภาพการล่าสัตว์ชนิดต่างๆ ท่ีผาแต้ม จังหวัด 2. ครยู กตวั อยา งผลงานทศั นศลิ ปใ นวฒั นธรรมไทย สมยั กอนสุโขทยั และสมยั สุโขทยั มาสมัยละ อุบลราชธานี เป็นต้น ส่วนสมัยประวัติศาสตร์เป็นสมัยท่ีมนุษย์รู้จักคิดประดิษฐ์ตัวอักษร บันทึกเร่ืองราวต่างๆ ท่ี 1 ผลงาน จากน้นั ใหน กั เรียนรวมกันอภิปราย เก่ียวกับลกั ษณะของผลงานทศั นศิลปท ค่ี รู เกี่ยวกับความเชื่อ กิจกรรมต่างๆ จึงท�าให้เรารู้เร่ืองราวที่ละเอียดชัดเจนมากขึ้น ซึ่งการศึกษาเรื่องราวของงาน ยกตัวอยางมา พรอ มแสดงความคิดเหน็ เกี่ยวกบั ความแตกตางของผลงานทัศนศลิ ป ทัศนศลิ ป์ในสมัยประวตั ิศาสตร์สามารถแบ่งออกเปน็ ๔ ชว่ งใหญๆ่ ดังนี้ ในวฒั นธรรมไทยสมัยกอนสโุ ขทัยและสมยั ๑) สมยั กอ่ นสโุ ขทยั เปน็ ชว่ งเวลาท่ีในอาณาบรเิ วณแผน่ ดนิ ไทยมชี นชาตติ า่ งๆ สุโขทยั เสคมยยั ตท้ังวถา่ินรวฐดาน ี 1ศมลิ าปกะ่อในนส มแยั ลทะวไดาร้ทด้ิงสี รว่่อนงใรหอญยอจ่ ะาเรกยย่ี ธวรขรอ้มงทกาบั งพดร้าะนพศทุ ิลธปศะาไสวน้มาานกกิมาายยเ ถไรดวา้แทก ่ ซง่ึ รบั อิทธพิ ลมาจากอินเดียตอ่ มาก็น�ามาประยุกตจ์ นมีเอกลกั ษณ์เปน็ ของตนเอง เช่น พระพุทธรูปปางลีลา พบท่ีวดั เขาสมอคอน สถาปัตยกรรมสมยั ทวารวดี เช่น พระปฐมเจดยี ์องคเ์ ดมิ หรอื จุลประโทณเจดยี ์ จังหวดั นครปฐม เปน็ ตน้ สมยั ศรีวชิ ัย ศลิ ปะสมยั น้มี ีการคน้ พบรูปเคารพและ พระพิมพด์ ินดิบเปน็ รูปพระโพธิสตั วอ์ วโลกิเตศวร ทางดา้ นสถาปตั ยกรรมท่เี หน็ ชดั เจน ได้แก่ พระบรมธาตไุ ชยา จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ าน ี สมยั ลพบรุ ี หรือละโว้ในประเทศไทย มีวัฒนธรรม พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสมัยอู่ทอง ที่หลากหลายอันเกิดจากการผสมผสาน ซ่ึงได้รับอิทธิพลจากศิลปะขอมและลพบุรี ช่วง พุทธศตวรรษท่ี ๑๘-๑๙ นับเป็นพระพุทธรูป ระหว่างวัฒนธรรมเดิมท่ีเป็นทวารดีกับ ขนาดใหญ่ทงี่ ดงามมาก วัฒนธรรมขอม จะเห็นได้ว่ามีหลักฐานทางสถาปัตยกรรมท่ีเรียกว่า “ปราสาทหิน” กระจายอยู่ท่ัวไปในบริเวณต่างๆ เช่น พระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี ปราสาท เมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี สมัยเชียงแสนหรือล้านนา ประติมากรรมท่ีพบจะเป็น พระพทุ ธรปู เปน็ ต้น ๒) สมัยสุโขทัย มีความเจริญบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ศิลปะแบบสุโขทัย จัดได้ว่าเป็นศิลปะไทยท่ีงดงามท่ีสุดและมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองมากท่ีสุด โดยเฉพาะ ในด้านการสร้างพระพุทธรูป ในสมัยสุโขทัยได้รับพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทลัทธิ ลังกาวงศ์มาจากลังกา ดังน้ัน อิทธิพลของศิลปะแบบลังกาจึงเข้ามามีอิทธิพลต่อศิลปะ สุโขทัยด้วย แต่ช่างสุโขทัยก็ได้ประดิษฐ์คิดค้นและสร้างสรรค์รูปแบบงานท่ีเป็น พระพทุ ธรปู ปางลลี า สมยั สโุ ขทยั ประดษิ ฐาน เอกลักษณ์เฉพาะของตน เช่น เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ หรือดอกบัวตูม อยู่ที่ระเบียงพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร- ทีพ่ ระเจดียป์ ระธานวัดมหาธาตุ จงั หวัดสโุ ขทยั เปน็ ตน้ ดสุ ิตวนารามราชวรวหิ าร กรุงเทพมหานคร 131 แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETิด เกร็ดแนะครู ผลงานทโ่ี ดดเดนของสถาปต ยกรรมแบบศิลปะขอมคอื อะไร ครคู วรใหน กั เรยี นหาภาพผลงานทศั นศลิ ปท โ่ี ดดเดน ในแตล ะประเภท แตล ะสมยั 1. ปราสาทหนิ โดยนํามาดูประกอบการศึกษา เพอ่ื ใหนักเรียนไดเ หน็ ลกั ษณะและรปู แบบวา 2. เจดยี ท รงโอควํ่า มคี วามคลา ยคลึงหรือแตกตางกนั อยา งไร โดยครูชวยอธิบายเสรมิ ความรู 3. ศาลาจตรุ มขุ 4. ปรางคกลีบมะเฟอ ง นกั เรียนควรรู วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 1. ผลงานทางดานสถาปต ยกรรมของขอม 1 ทวารวดี (พุทธศตวรรษท่ี 11-16) เปนชื่อของอาณาจกั รและสกลุ ศลิ ปะ ถอื เปน อาณาจกั รแรกในดินแดนไทยทไี่ ดรับอทิ ธพิ ลจากพระพทุ ธศาสนานิกายเถรวาท ทโ่ี ดดเดน คอื การสรา งเทวาลยั ในลกั ษณะทเ่ี ปน ปราสาทหนิ เพอ่ื ประดษิ ฐาน ซ่ึงมกี ารสรา งสรรคผ ลงานทัศนศลิ ปหลายประเภท โดยเฉพาะสถาปตยกรรม รปู เทพองคส าํ คญั ของศาสนาพราหมณ-ฮนิ ดู และใชเ ปน ทปี่ ระกอบพธิ กี รรม และประตมิ ากรรมทสี่ ะทอนถงึ ความเชือ่ ความศรัทธาที่มีตอ พระพทุ ธศาสนา ทางศาสนา รปู แบบผลงานทัศนศลิ ปข องทวารวดไี ดเ ปน แบบอยา งใหอ าณาจกั รตา งๆ ท่ัวดนิ แดนไทยนาํ ไปพฒั นาเปน สกุลศิลปะของตนเอง คู่มือครู 131

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ใหน ักเรียนกลุมท่ี 3 และกลุมท่ี 4 สงตัวแทน ๓) สมัยอยุธยา ศูนย์กลางความเจริญอยู่ กลุม กลมุ ละ 2-3 คน ออกมานําเสนอความรู เกย่ี วกบั ทัศนศิลปในวัฒนธรรมไทยสมยั อยธุ ยา บริเวณตอนกลางของไทย เน่ืองด้วยในสมัยอยุธยามี และสมัยรตั นโกสนิ ทรตามท่ีไดศกึ ษามา ความเจริญรุ่งเรืองต่อเน่ืองยาวนานถึง ๔๑๗ ปี จึงมี หนาช้นั เรยี น ความเจรญิ ทางดา้ นศลิ ปวฒั นธรรมมาก สว่ นใหญผ่ ลงาน ทางดา้ นศลิ ปวฒั นธรรมมกั จะเกยี่ วขอ้ งกบั พระพทุ ธศาสนา 2. ครยู กตวั อยา งผลงานทศั นศลิ ปใ นวฒั นธรรมไทย โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ ผลงานด้าน สมัยอยุธยาและสมยั รัตนโกสินทร มาสมัยละ ศิลปวัฒนธรรมเด่นๆ ของอยธุ ยา เชน่ เจดียว์ ดั พระศรี- 1 ผลงาน จากนนั้ ใหนักเรยี นรวมกนั อภปิ ราย สรรเพชญ์ เจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล เจดีย์วัดภูเขาทอง เกยี่ วกับลกั ษณะของผลงานทัศนศิลปท ่คี รู เป็นต้น ยกตวั อยา งมา พรอ มแสดงความคดิ เหน็ เกยี่ วกบั ความแตกตางของผลงานทัศนศลิ ปใน ๔) สมยั รตั นโกสนิ ทร ภายหลงั การสถาปนา วฒั นธรรมไทยสมยั อยธุ ยาและสมยั รตั นโกสนิ ทร กรงุ รตั นโกสนิ ทรข์ น้ึ เปน็ ราชธานแี หง่ ใหมข่ องไทย ผลงาน พระประธานวัดหน้าพระเมรุ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็น ทศั นศลิ ปด์ า้ นจติ รกรรม ประตมิ ากรรม และสถาปตั ยกรรม พระพุทธรูปทรงเครื่องสมัยอยุธยาตอนปลาย ที่มีลักษณะงดงาม ได้ถูกสร้างสรรค์ข้ึนอย่างมากมาย ผลงานทัศนศิลป์ท่ี มากท่ีสุดองค์หน่ึง สา� คญั เชน่ จติ รกรรมฝาผนงั ภายในพระทนี่ งั่ พทุ ไธสวรรย ์ “ความสงบสขุ ในจิตใจ” ผลงานของ เฉลมิ ชัย โฆษติ พิพัฒน์ ผลงาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร กรุงเทพมหานคร จิตรกรรมฝาผนังไทย มกี ารผสมผสานกบั คตินิยมใหมจ่ ากตะวนั ตก และจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดสุวรรณาราม- ราชวรวิหาร กรงุ เทพมหานคร เป็นต้น ตอ่ มาเมื่อได้รบั อทิ ธพิ ลจากตะวนั ตก จิตรกรรมไทยได้รับการผสมผสาน ใหเ้ กิดเป็นรูปแบบใหม่เพ่ิมขึ้น กล่าวคอื มีการนา� เทคนิค การเขียนภาพให้มีมิติตามแบบอย่างตะวันตก เช่น จติ รกรรมของขรัวอนิ โขง่ ภายในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศ ราชวรวหิ าร เป็นต้น ปัจจบุ ันจติ รกรรมฝาผนงั ไทยมีการ ผสมผสานกับคตินิยมจากตะวันตก ท�าให้มีลักษณะร่วม สมัยกับนานาชาติมากขึ้น เช่น ผลงานจิตรกรรมของ เฉลมิ ชยั โฆษติ พพิ ฒั น ์ ผลงานขององั คาร กลั ยาณพงศ ์ เป็นต้น ภายหลงั การเปลยี่ นแปลงการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ ทศั นศลิ ป์ในวฒั นธรรมไทยมกี ารเปลยี่ นแปลงและ พฒั นารปู แบบไปตามอทิ ธพิ ลจากปจั จยั ภายนอกและตาม แบบอยา่ งวฒั นธรรมตะวนั ตกอยา่ งชดั เจน โดยเฉพาะดา้ น ประตมิ ากรรมและสถาปตั ยกรรม 132 เกร็ดแนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET ขอใดไมใ ชผลงานทัศนศลิ ปท่ีมชี อื่ เสยี งสมัยอยธุ ยา ครูอธิบายเพิม่ เตมิ เกี่ยวกบั ผลงานศลิ ปกรรมไทยสมยั อยธุ ยาวา ทศั นศลิ ปส มัย 1. พระพทุ ธรปู ทรงเคร่ือง อยธุ ยาถอื ตามชวงเวลาทีก่ รงุ ศรอี ยุธยาเปน ราชธานีของไทย คอื พ.ศ. 1893 - 2310 2. เครอ่ื งเบญจรงค อนั เปน ชวงเวลาท่ยี าวนานถงึ ประมาณ 4 ศตวรรษ สภาพบานเมอื งกม็ ที ง้ั ความเจริญ 3. เจดยี ย อ มมุ ไมสบิ สอง รุงเรอื ง เสอื่ มโทรม สงบสุข สงคราม โดยตลอดระยะเวลา 4 ศตวรรษนน้ั ทศั นศิลป 4. เคร่ืองสงั คโลก ทกุ สาขาไดพ ฒั นาไปอยางกวางขวาง จนกลายเปนแบบแผนศิลปกรรมเกือบทกุ สาขา วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. เคร่อื งสังคโลกเปนผลงานที่มีชื่อเสียงและ สืบตอ กนั มาถงึ สมัยกรุงธนบรุ ีและรัตนโกสนิ ทร เชน จิตรกรรม สถาปต ยกรรม โดดเดน ของสมัยสุโขทัย ซึ่งไดรับแบบอยางมาจากการทาํ เครือ่ งปน ดนิ เผา ประติมากรรมตกแตง ประณตี ศิลป เปน ตน โดยเฉพาะผลงานจิตรกรรมและ ของจีน ผลงานดงั กลาวจงึ ไมใชศิลปะสมัยอยุธยา จติ รกรรมตกแตงในสมัยอยุธยาไดมวี ิวัฒนาการไปสคู วามงามสูงสดุ พ้ืนท่ีท่ผี ลงาน จติ รกรรมสมยั อยธุ ยาปรากฏอยา งงดงามและโดดเดน คอื อยธุ ยา ราชบรุ ี และเพชรบรุ ี นอกจากน้ี ผลงานจติ รกรรมสมยั อยธุ ยาจะปรากฏอยตู ามผนังโบสถแลว ยังปรากฏ ตามผนงั ดานในองคพ ระปรางค สมดุ ภาพเรือ่ งไตรภมู ิ และตเู กบ็ พระไตรปฎก ซ่ึงเปนการสรา งจิตรกรรมลายรดน้าํ ทจี่ ดั วา วจิ ิตรทสี่ ดุ สมัยหน่งึ 132 คู่มอื ครู

กกรระตะตนุ้ Eนุ้ nคคgววaาgามeมสสนนใจใจ สสา� า� รรEวxวpจจloคคrน้eน้ หหาา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explain Evaluate Engage Explore Expand Engage กระตนุ้ ความสนใจ ๓.๒ ทศั นศลิ ป์ในวัฒนธรรมสากล ครูใหนกั เรียนดูภาพพีระมดิ แหงกเิ ซห ประเทศ อยี ปิ ตแ ละภาพวหิ ารพารเ ธนอน ประเทศกรซี ศลิ ปะสากลมพี น้ื ฐานมาจากศลิ ปะตะวนั ตกและมวี วิ ฒั นาการมาหลายยคุ หลายสมยั จนอทิ ธพิ ลขยายไปยงั จากนน้ั ครูถามนกั เรยี นวา ชาตติ ่างๆ ในโลกอยา่ งกวา้ งขวาง ค�าว่า “สากล” ความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ หมายถึง ทั้งหมด ทั้งสิ้น ท่ัวไป และระหว่างประเทศ ศิลปะสากลจึงเป็นศิลปะท่ีมีการผสมผสานแนวความคิด • ผลงานทศั นศลิ ปใ นวัฒนธรรมสากลทั้งสอง ตลอดจนรปู แบบตา่ งๆ ไว้อย่างกวา้ งขวาง มกี ารใชว้ ัสด ุ อุปกรณ ์ และวธิ ีการสร้างสรรคผ์ ลงานได้โดยอสิ ระ ดงั นัน้ ผลงานแตกตา งกนั อยา งไร ศิลปะสากลจึงจ�าแนกไดต้ ามช่วงเวลาและยคุ สมยั ได้อยา่ งกว้างๆ ดังน้ี ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เป็นยุคแรกเร่ิมของมนุษย์ท่ีมีสภาพความเป็นอยู่เร่ร่อน ยังมิได้ต้ังบ้านเรือน • เพราะเหตใุ ด ผลงานทัศนศลิ ปใ นวัฒนธรรม อยู่เป็นหลักแหล่ง ยังชีพด้วยการล่าสัตว์ มีอาวุธและเคร่ืองมือที่ท�าจากหิน กระดูก และเขาสัตว์อย่างหยาบๆ สากลจึงมีความแตกตางกนั ผลงานด้านจิตรกรรมส่วนใหญ่จะเป็นจิตรกรรมฝาผนังในถ้�า ซึ่งเป็นภาพเขียนเก่ียวกับฝูงสัตว์หรือการล่าสัตว์ เช่น (แนวตอบ นกั เรียนสามารถตอบไดอยางอสิ ระ) ภาพเขยี นในถา้� ลาส์โกซ ์ (Lascaux Cave) ประเทศฝรัง่ เศส และถ�า้ อัลตามรี า (Altamira Cave) ประเทศสเปน เปน็ ต้น ต่อการมีพัฒนาการในด้านการผลิตโลหะข้ึนใช้เอง รู้จักประดิษฐ์เครื่องประดับตกแต่งให้มีความสวยงามมากขึ้น สา� รวจคน้ หา Explore ผลงานของยคุ โลหะท่เี ดน่ และนา่ สนใจคอื อนุสาวรียห์ ิน ซ่งึ ปรากฏอยทู่ ่ัวไปในยุโรป ในสมัยประวตั ศิ าสตร ์ แบง่ ออก ไดเ้ ป็น ๓ สมัยใหญ่ๆ ดงั นี้ ใหน กั เรยี นแบง ออกเปน 3 กลมุ ศกึ ษาคนควา เกี่ยวกบั ลกั ษณะรปู แบบงานทัศนศลิ ปในวัฒนธรรม ๑) สมัยโบราณ เปน็ สมยั แหง่ ความเจริญรุ่งเรอื งทางศิลปวฒั นธรรมดา้ นตา่ งๆ มากมาย งานทศั นศิลป์ สากล ต้งั แตส มัยโบราณจนถงึ สมยั ใหม จาก แหลงเรียนรตู า งๆ เชน หนังสอื เรยี น หอ งสมุด ในยุคแรกๆ เช่น อารยธรรมอียิปต์บริเวณลุ่มแม่น�้าไนล์ เป็นชุมชนท่ีมีความเจริญมาก มีการสร้างสรรค์ผลงานใน อินเทอรเ น็ต เปนตน ตามหัวขอ ทคี่ รูกาํ หนดให ดังนี้ หลายๆ ด้าน เช่น ด้านจติ รกรรม ศลิ ปนิ อียปิ ตม์ ีความเข้าใจใน1การถา่ ยทอดรปู แบบได้ดี มคี วามมุง่ หมายส่งเสริม กลมุ ท่ี 1 ทัศนศิลปในวฒั นธรรมสากล ความเชือ่ ความศรัทธาของฟาโรห์ เช่น พีระมิดแห่งเมืองกเิ ซห ์ สฟิงซ์ เปน็ ต้น ซงึ่ การสร้างสรรคผ์ ลงานทศั นศิลป์ สมัยโบราณ ของอียิปต์ไดส้ ง่ อทิ ธิพลตอ่ งานทศั นศิลป์ในยคุ คลาสสกิ สมัยกรกี และโรมนั ดว้ ย กลมุ ท่ี 2 ทศั นศิลปในวัฒนธรรมสากล พรี ะมดิ แหง่ กเิ ซห ์ เปน็ พรี ะมดิ ทใี่ หญท่ ส่ี ดุ และมชี อ่ื เสยี งทส่ี ดุ ของอยี ปิ ต์ สมยั กลาง กลมุ ที่ 3 ทศั นศลิ ปใ นวฒั นธรรมสากล สมัยใหม แนวขอสNอบTเนน Oก-าNรคETิด นกั เรยี นควรรู ภาพวาดสมยั กอนประวตั ิศาสตรในถาํ้ ท่ียุโรปสว นใหญบ อกเลา เรอื่ งราวใด 1 พรี ะมดิ แหง เมืองกเิ ซห สรางข้นึ โดยฟาโรหค ฟู แู หงอยี ปิ ตโบราณ เมอื่ ประมาณ 1. การถือกาํ เนิดของศาสดา 4,600 ปม าแลว ไดรับการยกยองวาเปน 1 ใน 7 สิ่งมหศั จรรยของโลกยคุ โบราณ 2. สิง่ แวดลอ มใกลตวั พีระมดิ แหง นมี้ ีความสงู 147 เมตร (เทยี บไดก ับอาคารสงู 40 ชน้ั ) ฐานเปน 3. การทาํ เกษตรกรรม รปู ส่ีเหลีย่ มจัตุรสั ยาวดานละ 230 เมตร โดยดา นทั้ง 4 ของพรี ะมดิ จะหันไป 4. สงครามระหวา งชนเผา ในแนวทศิ เหนอื ทิศใต ทิศตะวันออก และทิศตะวนั ตก ไดอ ยา งถูกตองแมนยํา ใชหินในการกอสรางประมาณ 2.3 ลา นกอน วเิ คราะหคําตอบ ตอบขอ 2. ภาพวาดบนผนงั ถา้ํ หลายแหง ในยุโรป พีระมดิ แหงเมอื งกเิ ซหนมี้ ีประเด็นใหน กั วทิ ยาศาสตรแ ละนักวชิ าการ สว นใหญจ ะวาดเปน สัญลักษณ บางภาพก็จะเปนเร่อื งราวของการลา สตั ว สาขาตางๆ พยายามหาเหตุผลมาอธบิ ายใหไดวา สรา งข้นึ ดว ยวิธีการใด ฝงู สตั ว เนอ้ื หาโดยรวมจะสอื่ เรอื่ งราวทเี่ ปน ธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ มใกลต วั ทัง้ ๆ ทเี่ ทคโนโลยีในการกอสรา งยงั ไมเจรญิ ตลอดจนยังเปนสถาปตยกรรมที่มี ความถูกตองแมนยาํ ในการคิดคํานวณมาก รวมท้ังใชแรงงานและระยะเวลา ในการจดั สรางเปน เวลานาน ค่มู ือครู 133

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเขา้ ใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ใหนกั เรยี นกลมุ ท่ี 1 สง ตัวแทนกลุม กลุมละ ในสมัยกรีก มีความเจริญรุ่งเรืองด้านศิลปวิทยาหลายๆ สาขา เช่น ด้านจิตรกรรม พบการเขียนสีบน 2-3 คน ออกมานําเสนอความรเู กย่ี วกับ ทศั นศลิ ปใ นวัฒนธรรมสากลสมยั โบราณตามท่ี ภาชนะเครื่องใช้ต่างๆ ด้านประติมากรรม พบรูปแกะสลักหินอ่อนท่ีมี ไดศ ึกษามา หนา ชน้ั เรยี น ชื่อเสียงปรากฏอยู่เป็นจ�านวนมาก โดยเฉพาะรูปปันนักขว้างจักร 2. ครยู กตัวอยางผลงานทศั นศลิ ปใ นวัฒนธรรม สากลสมยั โบราณ มา 1 ผลงาน จากนน้ั ให ฝมี อื ของไมรอน สถาปตั ยกรรมทง่ี ดงามและมชี อ่ื เสยี ง ไดแ้ ก ่ นักเรียนรวมกนั อภปิ รายเก่ยี วกับลักษณะของ ผลงานทัศนศลิ ปที่ครูยกตวั อยา งมา วิหารพาร์เธนอน ในกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ และ วิหารของเทพีอะธีนา และการสร้างอาคารบ้านเรือน ตา่ งๆ ตามแบบวิหาร เชน่ ท่ีประชุมสภา ตลาด ศาล หรืออน่ื ๆ อีกมากมาย เปน็ ตน้ ในสมัยโรมนั ทางดา้ นวฒั นธรรมชนชาติ โรมนั ได้รบั อิทธิพลจากกรกี ในหลายๆ ดา้ น ชาวโรมนั วิหารพาร์เธนอน ในกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ สร้างขึ้นตามแบบ ได้น�าศิลปะกรีกมาปรับปรุงใหม่ให้มีความหรูหรา สถาปัตยกรรมดอริก โออ่ า่ และเสรมิ ความมอี า� นาจแบบชนชาตนิ กั รบ ผลงานดา้ นจติ รกรรมทมี่ คี วามสมบรู ณส์ ว่ นใหญพ่ บทเ่ี มอื งปอมเปอ ี นอกจากนี้ ชาวโรมันยังนิยมน�าโมเสกมาประดับตกแต่งภาพอีกด้วย ด้านประติมากรรมผลงานท่ีมีช่ือเสียงคือ การท�าหนา้ กากขผี้ ึง้ และการปนั ภาพเหมอื น สว่ นดา้ นสถาปตั ยกรรมมกี ารสรา้ งเพดานโค้งและนิยมสร้างโรงมหรสพ ขนาดใหญ่ สนามกีฬา ๒) สมัยกลาง 1 มีรูปแบบทางศิลปะที่ส�าคัญ คือ ศิลปะแบบโรมาเนสก์ (Romanesque) เน้นเร่ืองราวเกี่ยวกบั ศาสนา เชน่ รูปแม่พระ พระเยซ ู นกั บุญตา่ งๆ เป็นตน้ สถาปัตยกรรมโรมาเนสกน์ ยิ มใช้แนวโคง้ แบบประทุนเกวยี น และโดม ซ่ึงถือเป็นหัวใจของการก่อสร้าง ส่วนประติมากรรมและจิตรกรรมจะมี ลกั ษณะเปน็ ภาพแบนราบ ไมม่ มี ติ ิ เนอ่ื งจากสถาปตั ยกรรมแบบโรมาเนสก์ มีส่วนที่เป็นผนังหนาทึบมาก ดังนั้น จึงมักตกแต่งตัวอาคารด้วย ภาพเขียนสีปูนเปียก และศลิ ปะแบบกอทิก (Gothic) เป็นศิลปะ เพื่อคริสต์ศาสนา มีรูปแบบอ่อนช้อยมีชีวิตชีวามากกว่าศิลปะ แบบโรมาเนสก ์ การตกแตง่ โบสถว์ หิ ารทง้ั ภายในและภายนอก ก็ท�าอย่างประณีตงดงาม เครื่องตกแต่งมีทั้งประติมากรรม และการประดบั หน้าตา่ งด้วยกระจกสี โครงสรา้ งของโบสถ์ มีวิวัฒนาการโดยเปลี่ยนจากแนวโค้งธรรมดามาเป็น แนวโค้งยอดแหลม ดังนั้น จะเห็นว่าอาคารต่างๆ จึงมี รปู สลกั หินออ่ น “ปเ อตา” ผลงานประติมากรรมของไมเคิล แองเจโล ลักษณะสูงแหลมเสียดฟา แสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ (Michelangelo) ที่อาศัยความรู้ทางกายวิภาคศาสตร์เข้าช่วย ของศิลปะแบบกอทิก เช่น โบสถ์ซาเครเกอร์ โบสถ์- ทาํ ให้ผลงานมีความสมดุล กลมกลนื และสมจรงิ อยา่ งมาก นอตเตอรด์ าม กรุงปารสี ประเทศฝรงั่ เศส เปน็ ต้น 134 เกรด็ แนะครู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET สถาปตยกรรมแบบศิลปะกอทกิ (Gothic) มลี ักษณะเปนอยา งไร ครูอธบิ ายใหน ักเรยี นเขาใจวา ศาสนาเปน แรงผลักดนั สําคญั ทีท่ าํ ใหเกดิ แนวตอบ สถาปต ยกรรมแบบศลิ ปะกอทกิ นยิ มสรา งใหม รี ปู ทรงสงู ชะลดู การสรางสรรคผลงานศลิ ปะขึน้ มาหลายประเภท โดยศลิ ปน ผูสรา งสรรคจ ะได มสี วนบนเปนยอดแหลม วศิ วกรตองคาํ นวณนาํ้ หนักโครงสรางตางๆ ใน รบั การอปุ ถมั ภจ ากกษตั รยิ  ขนุ นาง และคริสตจกั ร ดว ยเหตุท่ีผคู นสว นใหญ การสราง โดยเฉลย่ี นํ้าหนักของหลังคาลงบนเสาและบนผนงั ตอมา ในทวปี ยโุ รปนับถอื ศาสนาครสิ ต ดังนน้ั จงึ มผี ลงานศลิ ปะชิน้ เดน ๆ ของโลก สถาปตยกรรมแบบน้ไี ดแพรหลายในยุโรป โดยเฉพาะอยา งย่ิงในฝรัง่ เศส ท่เี กย่ี วเนอื่ งกับศาสนาครสิ ตอ ยูมากมายในหลายประเทศของยโุ รป ศลิ ปะแบบกอทกิ นิยมแสดงเร่อื งราวทางศาสนาในแนว เหมือนจริง (Realistic Art) ไมใ ชสัญลักษณเ หมอื นศลิ ปะยคุ กอน ดงั นั้น นักเรียนควรรู ผลงานสถาปต ยกรรมจึงมโี ครงสรา งทรงสูง มียอดหอคอยรปู ทรงแหลมอยู ดา นบน ทําใหตวั อาคารมีรูปรา งสูงระหงข้นึ สูเ พดาน ซมุ ประตู หนา ตาง 1 ศิลปะแบบโรมาเนสก เปนการผสมผสานระหวา งศิลปะโรมนั กับศิลปะ ชอ งลม มสี ว นโคง แปลกกวาศิลปะแบบใดๆ ของอนารยชนเยอรมนั ในชว งครสิ ตศตวรรษท่ี 11-12 โดยงานดานสถาปต ยกรรมจะ มลี ักษณะท่เี ดน คือ การสรางวิหารที่มีหลังคาเปน รปู โคง อาคารหนาทบึ มีหนา ตา ง แบบวงลอ เชน หอเอนปซ าในอิตาลี เปนตน สว นงานประตมิ ากรรมนิยมสลกั หิน เปน รปู คน สตั ว และลายเรขาคณติ เพอ่ื ใชต กแตง เปน สว นประกอบในสถาปต ยกรรม สาํ หรับงานจิตรกรรมท่ีหลงเหลอื อยูจะเปนภาพประกอบในพระคัมภีร 134 ค่มู ือครู

กระตุ้นความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ บิ Eาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ เ ขา้ ส่ยู ุคสมนัยแบั หตง่งั้ กแาตร ่ ฟคน.ศฟ. ูศ๑ิล๓ป๐ว๐ิท ยเาปก็นาตร น้ 1(Tมhาe เRมe่ือnยaุโรisป- 1. ใหน ักเรียนกลมุ ที่ 2 สง ตวั แทนกลุม กลมุ ละ 2-3 คน ออกมานําเสนอความรเู กี่ยวกบั sance) ได้มีการรื้อฟนศิลปวัฒนธรรมของกรีก โรมัน ทศั นศลิ ปใ นวัฒนธรรมสากลสมัยกลางตามที่ ไดศกึ ษามา หนา ชัน้ เรียน ข้ึนมาอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะมนุษยนิยม (Humanism) 2. ครยู กตวั อยา งผลงานทัศนศลิ ปในวฒั นธรรม ท่ีได้รับการถ่ายทอดจากสมัยคลาสสิกและได้พัฒนาให้ สากลสมัยกลาง มา 1 ผลงาน จากน้นั ให นักเรียนรวมกันอภิปรายเกย่ี วกบั ลักษณะของ มีระดับความเจริญถึงขั้นสุดยอด การฟนฟูศิลปวิทยา ผลงานทัศนศลิ ปท คี่ รูยกตัวอยา งมา การเกิดขึ้นในอิตาลีก่อน หลังจากนั้นจึงแพร่หลายไปยัง ประเทศอ่ืนๆ เชน่ อังกฤษ ฝรง่ั เศส เยอรมนี เป็นตน้ ลักษณะของทัศนศิลป์สมัยน้ีมีลักษณะเด่น คือ งานจิตรกรรมหรือการวาดภาพมีการใช้ท้ังสีน�้า สนี า�้ มนั และไมจ่ า� กดั เรอ่ื งราวอยกู่ บั ศาสนาเพยี งอยา่ งเดยี ว แต่น�าเอาภาพบุคคลส�าคัญ หรือการน�าเอาต�านานสมัย กรีกและโรมัน และเร่ืองราวทางประวัติศาสตร์มาสร้าง เป็นภาพ หรือภาพแสดงชีวิตความเป็นอยู่ภายใน ภาพ “โมนา ลิซา” (Mona Lisa) ผลงานของ เลโอนารโ์ ด ดาวินช ี ครอบครัวมาเป็นแกนของเนื้อเร่ือง ซ่ึงวิธีในการ (Leonardo da Vinci) จิตรกรชาวอิตาลี ท่ีให้แสงและเงานุ่มละมุน เขยี นภาพมกี ารใชส้ ที ส่ี ดใส มคี วามกลมกลนื เหมอื นล่องลอยอยทู่ ่ามกลางธรรมชาติ มแี สงเงา มสี ว่ นลกึ ทา� ใหด้ เู หมอื นของจรงิ ยงิ่ ขน้ึ เชน่ เดียวกับงานประตมิ ากรรม ที่มีเทคนิคการแกะสลักและการปนั ท่แี สดงใหเ้ หน็ ถงึ ความกา้ วหนา้ เป็นอย่างมาก โดยมกี ารแสดงใหเ้ ห็นโครงสร้าง สดั ส่วนของรูปทรงมนษุ ย์ท่สี วยงาม และเปน็ แบบอย่างในการสรา้ งสรรคง์ านประตมิ ากรรมในเวลาตอ่ มา ในทางสถาปตั ยกรรมสมยั ฟน ฟศู ลิ ปวทิ ยาการ มี การสรา้ งสรรคผ์ ลงานทศั นศลิ ปท์ ี่ไมไ่ ดม้ งุ่ ไปทกี่ าร แสดงออกเพ่ือเทิดทูนศาสนา หรือสิ่งศักด์ิสิทธิ์ เพียงอย่างเดียว หากเป็นการแสดงออกถึง วถิ ชี วี ติ และความตอ้ งการของมนษุ ย์ในแงต่ า่ งๆ ดว้ ย เชน่ การสรา้ งอาคารบา้ นเรอื น ปราสาท ราชวัง หอสมุด หอศิลปะ สวนสาธารณะ แม้แต่ที่ฝังศพก็นิยมสร้างกันอย่างใหญ่โต และวิจิตรพิสดารอยา่ งยิง่ เปน็ ตน้ โบสถ์เซนตป์ เ ตอร์ ศูนย์กลางนครรฐั วาติกนั ในกรงุ โรม ประเทศ อติ าล ี เปน็ สถาปตั ยกรรมทโี่ ดดเด่นในยคุ ฟ้นฟูศลิ ปวิทยาการ แนวขอ สNอบTเนนOก-าNรคETดิ เกรด็ แนะครู ศลิ ปะทม่ี คี วามหรูหรา ฟมุ เฟอ ย คอื ศิลปะในสมยั ใด ครอู ธบิ ายวา ในสมัยฟนฟูศิลปวทิ ยาการ ศลิ ปน ไดหันมาสรา งสรรคผ ลงาน 1. สมัยโรมนั ทีส่ ะทอนความเปน ตัวตนของศิลปน สื่อความคดิ ทเี่ ปน อิสระ ไมไ ดสรา งสรรคข ึ้นมา 2. สมัยกอทิก เพือ่ ตอบสนองหรือเนน เพือ่ คริสตจักรเหมือนทีเ่ คยปฏิบตั ิกันมา 3. สมยั ฟน ฟูศิลปวิทยาการ 4. สมัยโรโกโก นักเรียนควรรู วิเคราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 4. ศลิ ปะสมัยโรโกโก เปน ศลิ ปะตอนปลาย 1 ฟนฟูศลิ ปวทิ ยาการ อยูในชว งครสิ ตศตวรรษที่ 14-17 ถอื วา เปนยคุ สมัย ท่ียุโรปไดผา นพนยุคกลางหรอื ยุคมดื ออกมา เปน การเกิดใหมเ กีย่ วกบั การศกึ ษา สมัยฟน ฟศู ิลปวิทยาเช่ือมตอกับศลิ ปะยุคใหม มีการจัดองคป ระกอบศลิ ปท ่ี การฟน ฟอู ดุ มคติ ศลิ ปะ วรรณกรรม การแสวงหาสทิ ธเิ สรภี าพและแนวความคดิ เนนรายละเอียดสว นยอยอยางฟุมเฟอย โดยเฉพาะการใชสวนโคง สวนเวา อนั เปน อสิ ระจากกรอบท่เี คยถกู จํากดั โดยกฎเกณฑแ ละขอบงั คบั ของคริสตจ กั ร งานจิตรกรรมและประติมากรรมยังคงเนนรปู รา ง รูปทรงธรรมชาติ การฟน ฟศู ิลปวทิ ยาการไดเริม่ ตน ขึน้ ที่อติ าลี กอ นจะแพรก ระจายไปยงั ดนิ แดนตา งๆ (Realistic) แตใ ชส ีรนุ แรงข้ึน งานสถาปต ยกรรมประกอบดว ยเสนโคง มน ทวั่ ยุโรป ตกแตง โครงสรา งเดิม มีลวดลายออ นชอย งดงาม เชน โบสถเซนตคารโ ล (Church of St. Carlo) ท่ีประเทศอิตาลี พระราชวังแวรซายส (Versailles ค่มู อื ครู 135 palace) ท่ปี ระเทศฝรั่งเศส เปน ตน

กระต้นุ ความสนใจ ส�ารวจคน้ หา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Explore Expand Evaluate Engage Explain Explain อธบิ ายความรู้ 1. ใหน กั เรียนกลมุ ท่ี 3 สง ตัวแทนกลุม กลุมละ เกร็ดศิลป ศิลปกรรมของอิตาลสี มัยฟน ฟศู ิลปวิทยาการ 2-3 คน ออกมานาํ เสนอความรเู กีย่ วกบั ศลิ ปกรรมของอติ าลีในสมัยฟน ฟศู ิลปวิทยาการสามารถสรุปได ้ ดงั น้ี ทัศนศลิ ปใ นวัฒนธรรมสากลสมัยใหมตามทไี่ ด ๑. ด้านจิตรกรรม เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคริสต์ศาสนาท่ีส�าคัญ เช่น ภาพก�าเนิดวีนัส ศึกษามา หนาชั้นเรยี น (Birth of Venus) ผลงานของ ซานโดร บอตติเชลล ี (Sandro Botticlli) ภาพพระกระยาหาร มื้อสุดทา้ ย (The Last Supper) ภาพโมนา ลซิ า (Mona Lisa) ผลงานของ เลโอนาร์โด ดา วินช ี 2. ครยู กตัวอยางผลงานทศั นศลิ ปในวัฒนธรรม (Leonardo da Vinci) ภาพกา� เนิดอดมั (The Creation of Adam) ผลงานของ ไมเคลิ แองเจโล สากลสมัยใหม มา 1 ผลงาน จากน้นั ให (Michelangelo) ภาพโรงเรียนของกรงุ เอเธนส ์ (The School of Athens) ผลงานของ ราฟาเอล นกั เรยี นรวมกนั อภปิ รายเก่ียวกับลกั ษณะของ เปเรยร์ า ดา ซิลวา (Rafael Pereira da Silva) เป็นต้น ผลงานทัศนศลิ ปทค่ี รยู กตัวอยางมา ๒. ด้านประติมากรรม นิยมปันรูปบุคคลเหมือนจริงได้สัดส่วน เช่น รูปเดวิด (David) ปิเอตา (Pieta) โมเสส (Moses) ผลงานของ ไมเคลิ แองเจโล (Michelangelo) เป็นต้น ๓. ด้านสถาปัตยกรรม นิยมสร้างโบสถ์ให้มีหลังคารูปโดมวงกลม เช่น โดมของโบสถ์ เซนตป์ ีเตอร ์ ในนครวาติกันผลงานของ ไมเคิล แองเจโล (Michelangelo) เปน็ ต้น ๓) สมัยใหม่ ศิลปะสากลยังมีความเจริญรุ่งเรืองมากในช่วงคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๙ โดยมีฝรั่งเศสเป็น จุดศูนย์รวม ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวได1้เกิดผลงานสร้างสรรค์โดยเฉพาะทางด้านจิตรกรรมข้ึนมาหลายลัทธิหรือ หลายแบบ เช่น ผลงานแนวจินตนิยม (Romanticism) แสดงความรู้สึกออกมาเกินความจริง หรือผลงานแนว ประทับใจท่ีสื่อความประทับใจออกมาให้ได้แสงสีตามบรรยากาศท่ีเป็นจริง หรือเน้นความเป็นจริงตามธรรมชาต ิ แนวบาศกนิยม (Cubism) มกี ารสรา้ งสรรค์โดยการน�ากลวิธภี าพปะตดิ ดว้ ยกระดาษและเศษผ้า หรอื การใชแ้ ผน่ โลหะ และเศษวัสดุต่างๆ มาประกอบเข้าด้วยกัน การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ตามแนวบาศกนิยมเป็นการบุกเบิกให้ วงการทศั นศลิ ปส์ มยั ใหมก่ ้าวรดุ หนา้ ไปจากแนวทางเดิมอยา่ งสนิ้ เชิง เป็นตน้ หลังจากนั้นความเจริญก้าวหน้าในการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ก็ได้เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงก่อนและหลังสงครามโลกคร้ังท่ี ๒ จนถึงปัจจุบัน ท2�าให้เกิดลัทธิทางศิลปะแบบใหม่ขึ้นอย่างมากมาย เช่น แนวนามธรรม (Abstract) แนวส�าแดงพลังทางอารมณ์ (Abstract Expressionism) แนวตาชิสม์ (Tachism) แนวปอ ปอาร์ต (Pop art) เปน็ ต้น “นาฬก าเหลว” ผลงานของ ซัลวาดอร ์ ดาล ี (Salvador Dali) เปน็ ดังนั้น การที่จะเปรียบเทียบความแตกต่าง ผลงานจติ รกรรมในลทั ธเิ หนือจริง ของงานทศั นศลิ ป์ในวฒั นธรรมไทยและสากลใหเ้ หน็ ภาพ อย่างละเอียดและมีความเด่นชัดอาจเป็นไปได้ยาก เนอ่ื งจากมเี นอื้ หาสาระและรายละเอยี ดมาก ในระดบั ชน้ั น้ี คงตอ้ งอาศยั การเปรยี บเทยี บความแตกตา่ งของทศั นศลิ ป์ ท้ัง ๒ เป็นภาพรวม โดยการเปรียบเทียบจากลักษณะทมี่ ี ความโดดเดน่ ชดั เจนในแตล่ ะชว่ งเวลาของไทยและสากล มาเปรยี บเทยี บกนั วา่ มอี ะไรเกดิ ขน้ึ ในชว่ งเวลารว่ มสมยั กนั เพือ่ นา� มาประกอบการศึกษา ซ่งึ นักเรียนสามารถเหน็ ได้ จากตารางเปรยี บเทยี บตอ่ ไปน้ี 13๖ นักเรยี นควรรู ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ภาพจติ รกรรมนเ้ี ปน แนวศลิ ปะแบบใด 1 ผลงานแนวจนิ ตนยิ ม การแสดงออกทางจนิ ตนาการหรอื มโนทศั นท เี่ ตม็ ไปดว ย 1. บาศกนยิ ม (Cubism) ความเพอฝน ความแปลกประหลาด นาพิศวง ความนาทงึ่ ตืน่ เตน เรอ่ื งราว 2. จนิ ตนิยม (Romanticism) อนั เรา ใจอยา งสดุ ขดี ความรนุ แรง ความหวาดเสยี ว นา สยดสยอง หรอื เรอื่ งราว 3. สัจนยิ ม (Realisticism) เกย่ี วกบั อารมณภายในอนั ปนปวน 4. ประชานยิ ม (Pop Art) 2 แนวสาํ แดงพลงั ทางอารมณ มีการแสดงออกผสมผสานกนั ระหวา งรูปทรง วเิ คราะหคาํ ตอบ ตอบขอ 1. ผลงานดงั กลา วเปน แนวศิลปะแบบ นามธรรมกับอารมณส ะเทือนใจทพี่ วยพุงออกมา โดยปราศจากการควบคุม บาศกนิยม ทน่ี ําเสนอผลงานใหม ีลักษณะผันแปรไปจากความเปนจริง ของจิตรกร ผลงานจะแสดงใหเ หน็ ถึงความกลา หาญ เดด็ ขาด และเตม็ ไปดว ยพลงั โดยทาํ เปน เหล่ยี มมุมอยา งลูกบาศก หรือเปนอยา งทรงเรขาคณติ เพือ่ เนน ท่ีรุนแรง ใหเ หน็ มิติท้งั ดานความสูง ความกวา ง และความลกึ มที ง้ั ผลงานทเี่ ปน จติ รกรรมและประติมากรรม 136 คมู่ ือครู

กระตุ้นความสนใจ สา� รวจค้นหา ออธธบิ ิบEาาxยยplคคaวiวnาามมรรู้ ู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Evaluate Explain Expand Explain อธบิ ายความรู้ ตารางเปรียบเทยี บงานทศั นศลิ ปใ นวฒั นธรรมไทยและสากล ครูใหนักเรยี นศกึ ษาตารางเปรียบเทยี บ งานทัศนศิลปในวัฒนธรรมไทยและสากลใน ทศั นศิลปในวฒั นธรรมไทย ทศั นศิลปในวัฒนธรรมสากล หนังสือเรียน หนา 137-138 จากนนั้ ครอู ธบิ าย เสริมแกนกั เรียนวา พุทธศตวรรษท่ี ๗ ครสิ ตศักราช ๓๐๖-๓๐๗ งานทัศนศิลปอินเดียเร่ิมเขามาเผยแผพรอมกับ งานทัศนศิลปในอาณาจักรออตโตมัน (Ottoman) • ศลิ ปะไทยกับสากลจัดแบง ออกเปน ประเภท จติ รกรรม ประติมากรรม สถาปต ยกรรม การคาขายในแถบดินแดนสุวรรณภูมิ มีรูปแบบเปน เปน แบบไบแซนไทน (Byzantine) คือ มีการผสมผสาน เหมอื นกนั ศลิ ปะแบบอนิ เดียอยา งชดั เจน แบบโรมันและแบบเอเชียกลาง (มุสลิม) เชน วิหาร ฮาเกยี โซเฟย ที่กรงุ อสิ ตนั บูล ประเทศตุรกี เปนตน • ผลงานศิลปะของไทยและสากลลวนมี พัฒนาการในแตล ะยุคสมัย ซึ่งตา งก็มี ลกั ษณะเฉพาะของตนเอง • ผลงานศิลปะของไทยในชว งสมัยหลงั ไดรบั แบบอยาง หรอื ไดรับอิทธิพลจาก ศลิ ปะตะวันตกอยา งมาก • ศิลปะไทยสะทอนความศรัทธา ความเชื่อ ทางพระพุทธศาสนาเปนหลัก ขณะที่ ศิลปะสากลสะทอนความศรัทธา ความเช่ือ ในศาสนาครสิ ต พทุ ธศตวรรษที่ ๑๒-๑๘ คริสตศ กั ราช ๔๗๖-๑๔๙๒ งานทัศนศิลปในสมัยอาณาจักรโบราณ ไดแก งานทัศนศิลปยุคกลางในยุโรป รูปแบบทัศนศิลป อาณาจักรทวารวดี ศรีวิชัย และละโว มีรูปแบบของ จะเปนการถายทอดผลงานทัศนศิลป โดยเนนเรื่องราว งานทัศนศิลปแบบผสมผสานกับศิลปะอินเดียและ ทางศาสนาเปนหลัก แบบพื้นเมือง ตามคติความเช่ือของพระพุทธศาสนา และศาสนาพราหมณ- ฮนิ ดู 13๗ แนวขอ สNอบTเนน Oก-าNรคETดิ เกร็ดแนะครู ศลิ ปะอนิ เดยี มคี วามสําคัญตอ งานทัศนศลิ ปในวฒั นธรรมไทยอยางไร ครเู นนยํา้ เกีย่ วกบั คุณคา ของงานทศั นศิลปท ง้ั ในวัฒนธรรมไทยและสากลวา แนวตอบ ศลิ ปะอนิ เดยี ถือเปน รากฐานของศิลปะไทยนบั ตง้ั แตส มัยโบราณ งานจิตรกรรมเปนศิลปะทีส่ ่ือความงามและความรสู ึกไปสูผดู หู รอื ผูชน่ื ชม กอนทค่ี นไทยจะนาํ มาดดั แปลงประยกุ ตจ นมีลกั ษณะเฉพาะเปน ของตนเอง ไดโ ดยงา ย คุณคา เบ้ืองตน เปน คณุ คาทางดา นจติ ใจในการชมความงาม จนภายหลังไดรบั อทิ ธพิ ลจากศิลปะสากลซ่ึงเขา มาแทนท่ี เหตผุ ลที่ ความละเอยี ดออ นของเสน สี แสงเงา และองคประกอบศิลปตา งๆ ชว ยผอ นคลาย ศลิ ปะอินเดยี มบี ทบาทมากในชวงเรมิ่ แรก อาจเน่ืองมาจากเปนศลิ ปะท่ีมี อารมณ ใหค ติธรรม แนวคิดในการดาํ รงชีวิต และยงั รักษาขนบธรรมเนียมประเพณี ความเจรญิ มากกวารปู แบบศิลปะของผูคนในทอ งถ่ิน รวมถึงศลิ ปะอนิ เดยี ใน วัฒนธรรม ศาสนา และประวตั ิศาสตร จากจติ รกรรมฝาผนังตา งๆ สมัยนั้นไดผสมผสานอยูในพระพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ- ฮินดู งานประติมากรรม เปน ศิลปะที่สอื่ ความงามและความรสู กึ ไปสผู ดู ูหรอื ผชู ่ืนชม การยอมรบั จึงเปน ไปโดยงาย ดงั นั้น การแสดงออกตองานทศั นศิลป ไดดว ยรปู ทรงและพน้ื ผวิ โดยมีแสงสวา งมากระทบใหเ กดิ เงาจากมติ คิ วามตนื้ ลึก ในวัฒนธรรมไทย จึงมรี องรอยของศลิ ปะในวัฒนธรรมอนิ เดยี ปรากฏอยู ของรูปทรงนั้นๆ โดยทั่วไป ไมว าจะเปน การสรา งผลงานประติมากรรมเปนรปู เคารพ งานสถาปต ยกรรม เปนศิลปะทเี่ นน ประโยชนใ ชส อยมากกวา เพราะเปน อาคาร รปู แบบผลงานสถาปตยกรรมท่เี ปนศาสนสถาน เปนตน สถานที่และเปนท่ีอยูอาศยั ของมนุษยนนั่ เอง เชน พระราชวัง โบสถ ตําหนกั วดั วหิ าร เจดีย สถูป เปน ตน คู่มอื ครู 137

กระตุน้ ความสนใจ สา� รวจค้นหา อธิบายความรู้ ขขยยาายยEคคxpววaาาnมมdเเขข้าา้ใจใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Evaluate Engage E×pand Expand ขยายความเขา้ ใจ ใหน ักเรยี นแตล ะคนนําภาพงานทศั นศิลปใน ทัศนศลิ ปในวฒั นธรรมไทย ทศั นศลิ ปในวฒั นธรรมสากล วฒั นธรรมไทยและสากล มาอยางละ 1 ภาพ จากนั้นนํามาวเิ คราะหจดุ ประสงคในการสรางสรรค พุทธศตวรรษท่ี ๑๘-๒๓ ครสิ ตศักราช ๑๐๙๖-๑๒๙๑ ผลงานของแตละภาพ ตามหวั ขอ ตอไปนี้ งานทัศนศิลปในสมัยอาณาจักรลานนา สุโขทัย ในชวงการทําสงครามศาสนาระหวางชาวคริสเตียน • จุดประสงคใ นการสรางสรรคงานทศั นศิลป มีรูปแบบทางทัศนศิลปที่ไดรับอิทธิพลจากศิลปะลังกา กับชาวมุสลิม เรียกวา สงครามครูเสด ทําใหการ ของวัฒนธรรมไทย และพมา ในยุคแรกๆ ตอมาไดมีการพัฒนารูปแบบ สรา งสรรคผลงานทัศนศิลปใ นยุโรปชะลอตัวลงไป เปน ลักษณะเฉพาะของตนเอง • จุดประสงคใ นการสรางสรรคงานทศั นศิลป ของวัฒนธรรมสากล • เปรยี บเทยี บความแตกตา งของจุดประสงค ในการสรา งสรรคง านทศั นศิลปของ วัฒนธรรมไทยและสากล แลวใหนกั เรียนนําผลงานสงครูผสู อน โดยครู คัดเลือกผลงานของนกั เรียนไปติดปายนิเทศ พทุ ธศักราช ๑๘๙๓-๒๓๙๔ ครสิ ตศกั ราช ๑๓๐๐-๑๔๙๐ งานทศั นศลิ ปใ นสมยั อยธุ ยาจนถงึ สมยั รตั นโกสนิ ทร งานทัศนศิลปเร่ิมตนเขาสูยุคฟนฟูศิลปวิทยาการ ตอนตน (สมัยรัชกาลที่ ๓) รูปแบบทางศิลปะไดรับ ในยุโรป มีการสรางสรรคผลงานตามหลักมนุษยนิยม อิทธิพลจากเขมร จีน ตะวันตก ผลงานจิตรกรรม ศิลปวิทยาการมีความกาวหนามากขึ้น มีการเขียน มคี วามเจรญิ รงุ เรอื งในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา - ภเอากพลเกัหษมณือนเ ฉจพราิงะจตนวั พเัฒชน นศาลิมปาเะปบนารโรูปกแ(1บBบarทoาqงuศeิล)ปศะลิ ทปี่มะี เจา อยูหัว แนวคลาสสิกใหม (Neoclassicism) ศลิ ปะแ2นวจินตนยิ ม (แRลoะmศaิลnปtะicแisนmว)สัจศนิลยิปมะแ(นR3วeธaรlisรmม)ชเาปตน ินติยน ม (Naturalism) 13๘ ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ผลงานทศั นศลิ ปข องไทยกบั สากลมคี วามคลายคลงึ กนั ในเรื่องใดมากท่สี ดุ นกั เรียนควรรู 1. หนาทใี่ ชสอย 2. การรบั อทิ ธิพลศลิ ปะ 1 ศิลปะบาโรก กระบวนแบบศิลปะสมัยหนึง่ ของยุโรป เริ่มตั้งแตศตวรรษท่ี 17 3. ประวตั คิ วามเปนมา สบื ตอ มาจากสมัยฟน ฟูศิลปวิทยาการ และสนิ้ สุดลงในปลายคริสตศตวรรษที่ 18 4. การเลอื กใชอุปกรณ ลักษณะของผลงานศิลปะจะมกี ารประดบั ตกแตง อยา งอลงั การ หรูหรา ฟุมเฟอย วเิ คราะหค าํ ตอบ ตอบขอ 1. หนาทใ่ี ชสอย กลาวคอื ผลงานทัศนศลิ ป ลวดลายเนนความออนชอ ย สวยงาม สที นี่ ิยมนาํ มาใชจ ะเปน สที อง เพ่อื ใหตดั กบั ทัง้ ไทยและสากลสรางขึ้นเพอ่ื นาํ ไปใชต อบสนองเกย่ี วกับเรื่องดงั ตอ ไปนี้ สีอื่นๆ และเพอื่ แสดงถงึ ความโออ า หรูหรา มง่ั ค่ัง คอื เพ่อื ชนื่ ชมหรือเพื่อแสดงออกทางความงาม ใชป ระดบั ตกแตง 2 ศิลปะแนวธรรมชาตนิ ยิ ม คตนิ ิยมทางศิลปกรรมทม่ี งุ นาํ เสนอเร่ืองราวตาม เพ่อื เปน ทีเ่ คารพบูชา หรือเพ่อื เผยแผศาสนา ธรรมชาติ เน้อื หาสาระสําคัญ คือ การแสดงความขัดแยงกับความไมคอยเปน ธรรมชาติของอดุ มคตนิ ยิ ม และไมเห็นดว ยกับการใชอารมณ และจินตนาการ อยา งฟุมเฟอ ยจนเกนิ ไป 3 ศิลปะแนวสัจจนยิ ม เริม่ ตนราวศตวรรษที่ 18 โดยท่ัวไปศิลปนแนวน้มี กั จะ สรางสรรคผลงานข้ึนมาเพ่ือสะทอ นความจรงิ ในสงั คม ใชผลงานบอกเลา เร่อื งราว ท่ีเกดิ ขนึ้ ในสมยั น้ัน โดยเฉพาะเรื่องราวของชนช้ันกรรมาชพี ไมไดเ นน เพยี ง เรือ่ งราวของศาสนา สถาบนั กษตั รยิ  หรือชนชนั้ สูงเหมือนที่ผา นมา 138 คมู่ อื ครู

กระตนุ้ ความสนใจ ส�ารวจค้นหา อธิบายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตตรรวEวvจจaสสluออaบtบeผผลล Engage Explore Explain Expand Evaluate ตรวจสอบผล Evaluate กจิ กรรม ศลิ ปป์ ฏบิ ตั ิ ๑๐.๒ ครพู จิ ารณาจากผลงานการวเิ คราะหจ ดุ ประสงค ในการสรางสรรคผ ลงานทศั นศลิ ปในวฒั นธรรม กจิ กรรมท่ี ๑ ให้นักเรียนคัดเลือกผลงานทัศนศิลป์ในวัฒนธรรมไทยและงานทัศนศิลป์ในวัฒนธรรมสากล ไทยและสากล รวมทงั้ การเปรยี บเทยี บความแตกตา ง มาอย่างละ ๑ ภาพ แล้วน�ามาแสดงความคิดเห็นและรายงานให้เพ่ือนในช้ันได้ร่วมรับรู้ถึง ของจุดประสงคในการสรา งสรรคงานทศั นศลิ ป ความหมาย ความนา่ สนใจ ความงาม พรอ้ มทง้ั วเิ คราะหว์ า่ ผลงานแตล่ ะประเภทมคี วามเหมอื น ของวฒั นธรรมไทยและสากลของนกั เรยี น หรอื แตกตา่ งกนั อย่างไร หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู กจิ กรรมที่ ๒ ให้นักเรียนหาตัวอย่างท่ีสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างของงานทัศนศิลป์ในวัฒนธรรมไทย และสากลท่ชี ัดเจน แล้วน�ามาเขยี นอธิบายเปรียบเทยี บ ท�าเป็นรายงานสง่ ครูผูส้ อน 1. แผนผงั ความคิดสรุปลกั ษณะของผลงาน ทัศนศิลปในวฒั นธรรมไทยและสากลและปจ จยั กจิ กรรมท่ี ๓ จงตอบคา� ถามตอ่ ไปน้ี ทม่ี อี ทิ ธิพลตอ การสรางสรรคผ ลงานทศั นศิลปใน ผลงานทัศนศิลป์ในวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมสากลมีความแตกต่างกันอย่างไร จงสรุปมา วัฒนธรรมไทยและสากล เป็นข้อๆ 2. ผลงานการวิเคราะหจ ดุ ประสงคใ นการ สรา งสรรคผ ลงานทัศนศลิ ปในวฒั นธรรมไทย สรุป ความแตกต่างของงานทัศนศิลป์ในวัฒนธรรมไทยและสากล เม่ือพิจารณาโดยภาพรวมจะ และสากล รวมทงั้ การเปรยี บเทียบความ แตกตางของจดุ ประสงคใ นการสรางสรรค มองเห็นส่วนท่ีคล้ายคลึงกันและส่วนที่แตกต่างกัน เช่น การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ในสมัยก่อน ผลงานทัศนศิลปในวฒั นธรรมไทยและสากล ประวัตศิ าสตรแ์ ละสมยั ประวตั ศิ าสตร์ชว่ งแรกๆ ของไทยและสากลจะมีความเกย่ี วข้องกนั โดยมีรากฐาน เก่ียวกับความเชื่อทางศาสนาเป็นหลัก ต่อมาในสมัยฟ้ืนฟูศิลปวิทยาการของยุโรป และการปฏิวัติ อุตสาหกรรมในยุโรป ผลงานทัศนศิลป์ของยุโรปเร่ิมมีการให้ความสำาคัญกับเรื่องราวเก่ียวกับความเชื่อ ทางศาสนาน้อยลง ทำาให้สามารถสร้างสรรค์และพัฒนารูปแบบของผลงาน เพ่ือแสดงเอกลักษณ์ในตัว ผลงานมากยง่ิ ขน้ึ ในขณะทง่ี านทศั นศลิ ปใ์ นวฒั นธรรมไทยยงั คงดาำ รงรปู แบบและคตคิ วามเชอ่ื อยเู่ ชน่ เดมิ จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลท่ี ๕) งานทัศนศิลป์ของไทยจึงเริ่ม มกี ารสรา้ งสรรค์ โดยอาศยั การเลยี นแบบงานทศั นศลิ ปใ์ นวฒั นธรรมตะวนั ตก จนถงึ สมยั การเปลยี่ นแปลง การปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทาำ ให้งานทัศนศิลป์ไทยมี การเปลยี่ นแปลงแนวทางการสรา้ งสรรคม์ าเปน็ แบบสากลอยา่ งเหน็ ไดช้ ดั เชน่ เดยี วกบั งานทศั นศลิ ปไ์ ทย ในด้านประเพณีและวฒั นธรรมที่มกี ารสืบสาน และพัฒนารปู แบบผลงานจติ รกรรม ประติมากรรม และ สถาปตั ยกรรมให้มรี ปู แบบทีแ่ ปลกใหม่เพ่มิ มากขึน้ ตามไปด้วย 139 แนวตอบ กจิ กรรมศลิ ปป ฏบิ ตั ิ 10.2 กิจกรรมที่ 3 ผลงานทัศนศิลปใ นวฒั นธรรมไทยและสากล มคี วามแตกตางที่พอจะสรปุ เปนภาพรวมได ดงั น้ี 1. แนวคดิ และปรัชญาความเชือ่ ผลงานทัศนศิลปไทยจะสะทอ นเรอ่ื งราวเกย่ี วกบั พระพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ- ฮินดู ผลงานทัศนศิลปต ะวนั ตกจะสะทอ น เรื่องราวเกีย่ วกับศาสนาครสิ ตเปนหลกั 2. วสั ดแุ ละสงิ่ แวดลอ ม การสรางสรรคผ ลงานทัศนศลิ ปข องไทยจะใชว สั ดทุ ห่ี าไดง า ยในทองถน่ิ สงิ่ แวดลอมจะมคี วามเปน ชนบท สว นผลงานทัศนศิลปข องสากล วสั ดทุ ่ใี ชแ ละส่งิ แวดลอ มมีความหลากหลายและสลับซับซอ นกวา 3. การรบั อิทธพิ ลศลิ ปะ ผลงานทัศนศลิ ปไ ทยไดรบั อทิ ธิพลแบบอยางมาจากศิลปะอนิ เดียในชวงเร่ิมตน สว นผลงานทศั นศิลปสากลจะผสมผสานรูปแบบสกลุ ศิลปะ จาํ นวนมาก โดยมีพ้ืนฐานมาจากศิลปะตะวนั ตก จนพฒั นาไปสคู วามเปนนานาชาติ 4. หนาที่ใชส อย มีจดุ มงุ หมายไมแ ตกตา งกัน ทง้ั เพอื่ ชน่ื ชมหรอื แสดงออกทางความงาม หรือนําไปใชในเรื่องเกี่ยวกับศาสนา ค่มู ือครู 139

กระตนุ้ ความสนใจ สำ� รวจคน้ หา อธบิ ายความรู้ ขยายความเข้าใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ºÃóҹءÃÁ กรม ศิลปากร. ๒๕๔๒. นําชม พพิ ิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ หอศิลป. กรุงเทพมหานคร : ศกั ดโิ สภาการพมิ พ.์ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร สา� นกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา. ๒๕๕๑. ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง กลมุ่ สาระ การเรยี นรู้ศิลปะ. กรงุ เทพมหานคร : ชุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย. จริ ะพัฒน์ พติ รปรีชา. ๒๕๕๒. โลกศลิ ปะศตวรรษท่ี ๒๐. กรงุ เทพมหานคร : เมืองโบราณ. ฉัตร์ชยั อรรถปักษ.์ ๒๕๕๒. องคประกอบศลิ ปะ. กรงุ เทพมหานคร : วทิ ยพฒั น์. ประพันธ์ งามเนตร. ๒๕๔๕. คูม่ ือ Graphic Design ออกแบบส่งิ พิมพ. กรงุ เทพมหานคร : สขุ ภาพใจ. ประเสริฐ ศลี รตั นา. ๒๕๔๒. สนุ ทรยี ะทางทัศนศลิ ป์. กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์. พยงุ ศกั ด์ ิ ประจศุ ิลป. ๒๕๕๐. การออกแบบสาํ หรับนทิ รรศการ. กรงุ เทพมหานคร : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั . ราชบณั ฑติ ยสถาน. ๒๕๔๒. พจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. พมิ พ์คร้งั ที่ ๑. กรงุ เทพมหานคร : นานมบี คุ ส ์ พับลิเคช่นั ส์. ศลิ ป์ พีระศรี. ๒๕๕๐. ประวตั ศิ าสตรและแบบอยา่ งศิลปะโดยสังเขป. นครปฐม : มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร. ศภุ ชัย สงิ หย์ ะบุศย.์ ๒๕๔๖. ทศั นศลิ ปป์ รทิ ศั น. กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร.์ สมชาต ิ มณีโชติ. ๒๕๔๕. จติ รกรรมไทย. กรงุ เทพมหานคร : โอเดยี นสโตร.์ สุชาติ เถาทอง. ๒๕๔๕. การเขยี นภาพสีน้าํ . กรงุ เทพมหานคร : แพรพ่ ทิ ยา. ___________. ๒๕๕๐. วาดเส้น. กรุงเทพมหานคร : โอเดยี นสโตร.์ ___________. ๒๕๔๔. ศลิ ปะกบั มนุษย. กรุงเทพมหานคร : โอเดยี นสโตร์. ___________. ๒๕๔๔. ศิลปวัฒนธรรมและภูมปิ ญ ญาพน้ื ถ่ินภาคตะวันออก. กรุงเทพมหานคร : โอเดยี นสโตร์. ___________. ๒๕๔๔. ศลิ ปวิจารณ. กรุงเทพมหานคร : โอเดยี นสโตร.์ หอศลิ ป์สมเดจ็ พระนางเจ้าสิรกิ ิติ ์ พระบรมราชินีนาถ. ๒๕๔๖. นิทรรศการศลิ ปกรรม ในวโรกาสเสดจ็ พระราชดาํ เนิน ทรงเปนองคประธานในพิธีเปดหอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ. กรุงเทพมหานคร: อมรนิ ทรพ์ รน้ิ ตงิ้ แอนดพ์ บั ลิชช่งิ . ___________. ๒๕๕๒. ศลิ ปะจากศลิ ปนิพนธ. กรงุ เทพมหานคร : อมรินทร์พรนิ้ ตง้ิ แอนด์พับลิชชิง่ . ___________. ๒๕๕๒. หยาดนํ้าใจ จากปลายพู่กัน. กรุงเทพมหานคร : อมรนิ ทร์พริ้นต้ิงแอนด์พบั ลิชชิ่ง. Canady, John. 1999. What is Art. London : Hutchinson Co.Ltd. Crabb, Thomas, 2006. Painting& Drawing. London : Treasure Press. Faulkner, Ray and Edwin Ziegfeld. 2007. Art Today. New York : Holt, Rinehart&Winston. Rainer Metzger, Ingo F. Walt. 2000. Van Gogh. London : Hohen Zollerning Press. 14๐ 140 คมู่ ือครู

สรา้ งอนาคตเดก็ ไทย ดว้ ยนวตั กรรมการเรยี นรรู้ ะดบั โลก >> ราคาเลม่ นกั เรยี นโปรดดจู ากใบสง่ั ซอ้ื ของ อจท. คู่มือครู บร. ทัศนศิลป์ ม.1 บรษิ ทั อกั ษรเจรญิ ทศั น์ อจท. จำกดั 142 ถนนตะนาว เขตพระนคร กรงุ เทพมหานคร 10200 โทร./แฟกซ.์ 02 6222 999 (อตั โนมตั ิ 20 คสู่ าย) 8 8 5 8 6 4 9 1 32 10206 4.- www.aksorn.com Aksorn ACT ราคาน้ี เปน็ ของฉบบั คมู่ อื ครเู ทา่ นน้ั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook