แผนการจดั การเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ หนว่ ยการเรียนรู้ที่ ๓ เรื่อง เวลา 26 ช่ัวโมง วิชา วิทยาศาสตรพ์ ืน้ ฐาน รหสั วิชา ว 21101 ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒563 มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบตั ิของสิ่งมีชวี ิต หน่วยพืน้ ฐานของสิง่ มชี ีวิต การลาเลยี งสารผา่ นเซลล์ ความสมั พันธ์ ของโครงสรา้ ง และหน้าทข่ี องระบบต่าง ๆ ของสตั ว์และมนุษยท์ ี่ทางานสมั พนั ธก์ ัน ความสัมพนั ธข์ องโครงสร้างและหน้าท่ีของอวัยวะต่าง ๆ ของพชื ทที่ างานสัมพนั ธ์กนั รวมทัง้ นาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ ตัวชี้วดั ว1.2 ม.1/6 ระบุปัจจัยท่ีจาเป็นในการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงและผลผลิตที่เกดิ ขึ้นจากการสังเคราะห์ด้วยแสง โดยใชห้ ลักฐานเชิงประจักษ์ ว1.2 ม.1/7 อธบิ ายความสาคัญของการสงั เคราะห์ด้วยแสงของพืชต่อส่งิ มชี ีวติ และสิ่งแวดล้อม ว1.2 ม.1/8 ตระหนักในคุณค่าของพืชที่มีตอ่ ส่ิงมีชีวติ และสิ่งแวดล้อม โดยการร่วมกันปลูกและดแู ลรักษา ต้นไมใ้ นโรงเรียนและชมุ ชน ว1.2 ม.1/9 บรรยายลักษณะและหนา้ ทข่ี องไซเลม็ และโฟลเอม็ ว1.2 ม.1/10 เขียนแผนภาพทีบ่ รรยายทิศทางการลาเลยี งสารในไซเลม็ และโฟลเอม็ ของพชื ว1.2 ม.1/11 อธิบายการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศ และไมอ่ าศยั เพศของพืชดอก ว1.2 ม.1/12 อธิบายลักษณะโครงสร้างของดอกที่มีส่วนทาให้เกิดการถ่ายเรณูรวมท้ังบรรยาย การปฏิสนธิ ของพชื ดอก การเกดิ ผลและเมล็ด การกระจายเมล็ด และการงอกของเมลด็ ว1.2 ม.1/13 ตระหนักถึงความสาคัญของสัตว์ที่ชว่ ยในการถ่ายเรณูของพชื ดอก โดยการไม่ทาลายชวี ิตของ สตั วท์ ่ีช่วยในการถ่ายเรณู ว1.2 ม.1/14 อธิบายความสาคัญของธาตุอาหารบางชนิดท่ีมีผลต่อการเจริญเติบโตและการดารงชีวิตของ พืช ว1.2 ม.1/15 เลอื กใช้ป๋ยุ ทม่ี ีธาตอุ าหารเหมาะสมกบั พชื ในสถานการณ์ที่กาหนด ว1.2 ม.1/16 เลือกวิธีการขยายพันธ์ุพืชให้เหมาะสมกับความต้องการของมนุษย์โดยใช้ความรู้เก่ียวกับการ สืบพนั ธุ์ของพชื ว1.2 ม.1/17 อธบิ ายความสาคัญของเทคโนโลยีการเพาะเลีย้ งเน้อื เยอื่ พืชในการใช้ประโยชนด์ ้านตา่ ง ๆ ว1.2 ม.1/18 ตระหนกั ถงึ ประโยชนข์ องการขยายพนั ธพุ์ ืชโดยการนาความรู้ไปใช้ในชีวติ ประจาวัน
แผนการจดั การเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 อาเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ สานกั บริหารงานการศึกษาพิเศษ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พื้นฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ วิชา วิทยาศาสตรพ์ ืน้ ฐาน รหัสวิชา ว 21101 ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒563 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง การดารงชีวิตของ เวลา 26 ชวั่ โมง แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 1 เรื่อง การสังเคราะหด์ ้วยแสง เวลา 4 ชั่วโมง หลกั สตู รสถานศึกษาตามหลักสตู รแกนกลางกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ บรู ณาการ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี น หลกั สูตรอาเซียน ผอู้ อกแบบ นายบรุ ิศร์ กองมะลิ 1.สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของส่ิงมีชีวิต การลาเลียงสารผ่านเซลล์ ความสัมพันธ์ของ โครงสร้าง และหนา้ ทข่ี องระบบต่าง ๆ ของสตั วแ์ ละมนุษย์ทที่ างานสมั พนั ธ์กนั ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหนา้ ทข่ี องอวัยวะต่าง ๆ ของพืชท่ีทางานสมั พันธ์กนั รวมทง้ั นาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ 2.มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตวั ชี้วดั ว1.2 ม.1/6 ระบุปัจจัยท่ีจาเป็นในการสังเคราะห์ดว้ ยแสงและผลผลิตท่ีเกิดขึ้นจากการสังเคราะห์ดว้ ย แสงโดยใช้หลกั ฐานเชิงประจักษ์ ว1.2 ม.1/7 อธิบายความสาคัญของการสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพชื ต่อส่ิงมชี วี ิตและสง่ิ แวดล้อม ๓. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ เพื่อใหน้ กั เรียนสามารถ ๓.๑ ความรู้ ๑. การสังเคราะห์ดว้ ยแสงและผลผลิตท่เี กดิ ข้นึ จากการสังเคราะห์ด้วยแสง ๒. ความสาคัญของการสังเคราะหด์ ้วยแสงของพชื ต่อสิง่ มีชีวติ และส่ิงแวดลอ้ ม ๓.๒ ทักษะกระบวนการ ๑. การสังเกตจากสภาพจริง ๒. การวิเคราะห์ แยกแยะ ลกั ษณะจากรูปภาพ ๓. การใช้ระบบสารสนเทศในการค้นคว้าข้อมูล ๓.๓ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ๑. เข้าเรียน ปฏบิ ตั ิกิจกรรม และส่งงานตรงเวลา
๒. ร่วมมือในการเรียน แสวงหาความรู้ ตอบคาถาม ยอมรับความคิดเหน็ ของผ้อู ื่น และแสดง ความคิดเห็นอย่างมีเหตผุ ล ๓. บันทึกข้อมลู จากการปฏิบตั ิกิจกรรม ๔. สาระการเรียนรู้ กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) เปน็ กระบวนการสรา้ งอาหารของพชื สี เขียว โดยมีคลอโรฟิลล์ทาหน้าทีด่ ดู พลังงานแสงจากดวงอาทิตย์ แล้วเปลีย่ นสารวัตถุดิบ คือ น้า และ แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ ให้เปน็ นา้ ตาลกลูโคส นา้ และ แก๊สออกซิเจน สิง่ มีชีวิตแทบทงั้ หมดล้วน อาศัยพลงั งานทีไ่ ด้จากกระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสง เพื่อการเจริญเตบิ โตท้งั ทางตรงและทางอ้อม กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง กระบวนการน้ีประกอบด้วย ปฏกิ ิริยาเคมีทีเ่ กิดขึ้นอย่างตอ่ เนือ่ งกนั เปน็ ลาดบั ในคลอโรพลาสต์ใน เซลล์พืช โดยใช้พลงั งานจากแสงอาทิตย์ เปลี่ยนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด ์และไฮโดรเจนจากน้า หรือ แหล่งไฮโดรเจนอืน่ ๆ ใหก้ ลายเป็นสารประกอบประเภทคาร์โบไฮเดรตและมีแกส๊ ออกซิเจนเกิดขึ้น นอกจากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชจะได้ผลผลิตเป็นอาหารแล้ว ยังได้แก๊สออกซิเจนและไอน้า ซึ่งจะถูกปล่อยออกจากใบสู่อากาศ ส่วนพืชที่อาศัยอยู่ในน้าก็ปล่อยออกซิเจนสู่แหล่งน้า สัตว์ท้ังในน้าและบน บก ได้นาแก๊สออกซิเจนไปใช้ในกระบวนการหายใจ และการเผาผลาญพลังงาน ปัจจัยสาคัญใน กระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสง 1. แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เป็นแก๊สที่เกิดขึ้นจากการหายใจของพืชและสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เกิดจากการเผาไหม้ของสาร และการย่อยสลาย ของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต โดยเป็นแก๊สที่ให้ธาตุคาร์บอนแก่พืช เพื่อนาไปใช้การสร้างแป้งและน้าตาล (สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต)
2. นา้ (H2O) เป็นวัตถุดิบที่พืชดูดซึมมาจากดิน โดยอาศัยหลักการแพร่ของน้าจาก รากเข้าสู่ท่อลาเลียงน้าของพืชไปยัง ใบ น้าเป็นสารที่ให้ธาตุไฮโดรเจนแก่พืช เมื่อธาตุไฮโดรเจนรวมกับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จะได้เป็น สารประกอบคาร์โบไฮเดรต 3. แสงสวา่ ง (light) เป็นพลังงานที่มีบทบาทสาคัญต่อกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช โดยพลังงานแสงทาให้เกิดปฏิกิริยา เคมีระหว่างแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และน้า ซึ่งเป็นวัตถุดิบสาคัญในการสร้างน้าตาลกลูโคสและแก๊ส ออกซิเจน 4. คลอโรฟิลล์ (chlorophyll) เป็นสารประกอบพวกรงควัตถุที่ทาหน้าที่ดูดกลืนพลังงานแสงสีต่าง ๆ จากแสงแดด (ยกเว้นแสงสีเขียวและสี เหลือง) คลอโรฟิลล์เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่มี ธาตุแมกนีเซียม ธาตุเหล็ก และธาตุแมงกานีส เป็น องค์ประกอบอยู่ภายในโมเลกุล พบได้ในพืชและสาหร่ายทุกชนิด ซึ่งในพืชและสาหร่ายแต่ละชนิดน้ัน ประกอบด้วยคลอโรฟิลล์หลายชนิดที่แตกต่าง กนั ออกไปดังนี้ คลอโรฟิลล์ชนิดต่างๆ – คลอโรฟิลล์เอ เป็นคลอโรฟิลล์ที่มีสีเขียวแกมน้าเงิน คลอโรฟิลล์เอพบในพืชสีเขียวหรือพืชที่มีกระบวนการ สังเคราะห์ด้วยแสงทุกชนิด – คลอโรฟิลล์บี เปน็ คลอโรฟิลล์ที่มีสีเขียวแกมเหลือง พบในพืชชั้นสงู และสาหร่ายสีเขียว (green algae) – คลอโรฟิลล์ซี เป็นคลอโรฟิลล์ทีพ่ บในสาหร่ายสีน้าตาล (brown algae) และสาหร่ายสีทอง (golden algae) – คลอโรฟิลล์ดี เป็นคลอโรฟิลล์ที่พบในสาหร่ายสีแดง (red algae)
ผลผลิตที่ไดจ้ ากกระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง เมือ่ พืชเกิดกระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสง ซึง่ เป็นกระบวนการที่เปลีย่ นรูปพลังงานแสงให้เปน็ พลงั งาน เคมี โดยมกี ารสะสมพลังงานเคมีอย่ใู นผลิตภัณฑ์คือ น้าตาลกลโู คสและแก๊สออกซิเจน ดงั นี้ 1.นา้ ตาลกลโู คส (C6H12O6) น้าตาลกลโู คสทีส่ งั เคราะหไ์ ด้นี้ บางส่วนถูกนาไปใช้ในกระบวนการหายใจของพืช เพื่อเปลี่ยนเป็น พลังงานต่อไป น้าตาลบางส่วนถกู เปลีย่ นไปเป็นแป้งทันทีและพืชจะเก็บสะสมไว้ที่ ใบ ราก และลา ตน้ และน้าตาลบางส่วนถกู นาไปใช้ในการสร้างเซลลูโลส ซึง่ เป็นส่วนประกอบของผนงั เซลล์ของพืช 2. แกส๊ ออกซิเจน (O2) แก๊สออกซิเจนถูกนาไปใช้ในกระบวนการหายใจของพืช ซึ่งเมือ่ แก๊สออกซิเจนรวมกับอาหารจะ เปลี่ยนเปน็ พลงั งานให้แก่เซลล์แก๊สออกซิเจนทีม่ ากเกนิ ความต้องการของพืช พืชก็จะคายออกมาทาง ปากใบ
สรุป ความสาคญั ของ กระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสงของพืช ทีม่ ตี อ่ สิ่งมีชีวติ และสิง่ แวดลอ้ ม 1. เปน็ แหล่งอาหารและแหล่งพลงั งานที่สาคัญของสิ่งมีชีวิตทกุ ชนดิ 2. เปน็ แหล่งผลิตแก๊สออกซิเจนทีส่ าคัญของระบบนิเวศ 3. ช่วยลดปริมาณแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ในบรรยากาศ ๕. คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ ข้อที่ ๑ รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ ข้อที่ ๒ ซือ่ สัตย์สจุ ริต ข้อที่ ๓ มีวินยั ข้อที่ ๔ ใฝร่ ู้ใฝ่เรียน ข้อที่ ๕ อย่อู ย่างพอเพียง ข้อที่ ๖ มุ่งม่ันในการทางาน ข้อที่ ๗ รักความเปน็ ไทย ข้อที่ ๘ มีจิตสาธารณะ
๖. การอา่ น คิดวิเคราะห์ และการเขียน การพัฒนาและประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้กาหนดขอบเขตการประเมินและตัวชี้วัดที่แสดงความสามารถในการ อ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนของผ้เู รียน ดั้งน้ี การอ่านจากสื่อสิ่งพิมพ์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทีใ่ ห้ข้อมูลสารสนเทศ ข้อคิด ความรู้เกีย่ วกบั สังคมและสิง่ แวดล้อมทีเ่ อือ้ ให้ผ้อู ่านนาไปคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ สรุปแนวคิดคณุ ค่าทีไ่ ด้ นาไปประยกุ ต์ใช้ ด้วยวิจารณญาณ และถ่ายทอดเปน็ ข้อเขียนเชิงสร้างสรรค์หรอื รายงานด้วยภาษาทถี่ กู ต้องเหมาะสม เช่น อ่านหนงั สือพิมพ์ วารสาร หนังสือเรียน บทความ สนุ ทรพจน์ คาแนะนา คาเตือน แผนภมู ิ ตาราง แผนที่ ตัวบ่งช้ที างพฤติกรรมการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน 1.สามารถคดั สรรสือ่ ทตี่ ้องการอ่านเพื่อหาข้อมูลสารสนเทศได้ตาวตั ถุประสงค์ สามารถสร้างความเข้าใจและประยุกต์ใช้ความร้จู ากการอ่าน 2. สามารถจับประเด็นสาคัญและประเดน็ สนบั สนุน โต้แย้ง 3. สามารถวเิ คราะห์ วิจารณ์ ความสมเหตสุ มผล ความน่าเชือ่ ถือ ลาดับความและ ความเปน็ ไปได้ของเรื่องทีอ่ ่าน 4. สามารถสรปุ คณุ ค่า แนวคิด แง่คิดทไี่ ด้จากการอ่าน 5. สามารถสรุป อภิปราย ขยายความแสดงความคิดเหน็ โต้แย้ง สนับสนุน โน้มน้าวโดย การเขียนสือ่ สารในรูปแบบต่าง ๆ เชน่ ผังความคิด เปน็ ต้น ๗. สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน กาหนดสมรรถนะสาคญั ของผ้เู รียนตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ หลังจากผู้เรียนผ่านการเรียนและนาความร้ไู ปใช้ในการดารงชีวติ ในส่สู งั คม ตามหลกั การประเมิน สมรรถนะผ้เู รียน ๕ ด้าน ได้แก่ ๑) ความสามารถในการสือ่ สาร ๒) ความสามารถในการคิด ๓) ความสามารถในการแก้ปญั หา ๔) ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ ๕) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ๘. การบรู ณาการ ๘.๑ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง -
๘.๒ การบูรณาการงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน ในโครงการอนุรักษ์พนั ธกุ รรมพืชอนั เนือ่ งมาจาก พระราชดาริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีวตั ถุประสงคใ์ ห้เยาวชนได้มีโอกาส ใกล้ชิดกบั พืชพรรณไม้ ได้เรียนรถู้ ึงพืชทอ้ งถิ่นของตน ช่วยกันดแู ลไม่ให้สูญพนั ธ์ุ ซึง่ จะก่อให้เกิด จิตสานึกในการที่จะอนุรกั ษ์สืบไป การดาเนินงานประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ และ 4 สาระการ เรียนรแู้ ละฐานทรพั ยากรทอ้ งถิ่น บูรณาการงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน ๓ สาระ ธรรมชาติแห่งชีวิต ลาดบั การเรียนร้ทู ี่ 1 สมั ผสั เรียนรู้วงจรชีวิตของชีวภาพอืน่ ๆด้าน การศึกษาด้านรูปลกั ษณ์และการศกึ ษาคุณสมบตั ิ (การทดสอบแป้งในกล้วยผา ที่เกิดจากกระบวนการ สังเคราะหแ์ สง) ๙. กิจกรรมการเรียนรู้ ข้ันสรา้ งความสนใจ (Engagement) ๑. ครูทบทวนองค์ความร้เู รื่องคลาสโรพลาสต์ในพืช ๒. ครูใช้คาถามว่าพืชมีความพิเศษกว่าสิ่งมีชีวิตอืน่ อย่างไร ๓. เฉลยและนาเข้าบทเรียนของการสังเคราะห์ด้วยแสง ขัน้ สารวจและคน้ หา (Exploration) ๑. ครูให้นักเรียนศึกษาประโยชชนืทีเ่ กิดขึ้นจากการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช ๒. ครูใช้คาถามเพื่อให้เกิดการค้นคว้าต่อ นักเรียนคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจากกระบวนการ สังเคราะห์ด้วยแสงคืออะไร ๓. ทาการเรียบเรียงข้อมูลทีค่ ้นคว้ามาได้ ๔. ร่วมกนั อภิปรายหน้าช้นั เรียน ขน้ั อธิบายและลงข้อสรปุ (explanation) 1. ครูสรปุ ปญั หาทีเ่ กิดขึ้นในการค้นคว้าและให้เน้ือหาเพิ่มเติมในส่วนทีข่ าด 2. เขียนสมการเคมีของการสงั เคราะห์ด้วย พร้อมท้งั อธิบาย 3. อธิบายเชื่อมโยงให้เห้นความสาคญั ของการมีอย่ขู องพืช ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) 1. ครูต้ังคาถามว่าแล้วเราจะอย่ไู ด้อย่างไร ว่าที่ครพู ดู ท้งั หมดน้ีจริง เพื่อนาเข้าส่กู ารทดลอง 2. นักเรียนอ่านวิธีการทดลอง จากนั้นเขียนแผนภาพข้นั ตอนวิธีการทดลอง 3. ลงมือปฏิบัติการทาการทดสอบแป้งในพืชชนิดต่างๆโดยใช้สารละลายไอโอดีน 4. โดยศึกษาจากสิง่ ดงั ต่อไปนี้ ลาต้นของกล้วยผา ใบชบา น้าซาวข้าว
5. เขียนข้อสรุปและอภิปรายรายกล่มุ 6. ครแู ละนักเรียนใช้การสรุปผลการทดลอง ขนั้ ประเมิน (Evaluation) ๑. นักเรียนทาแบบฝึกหดั เรือ่ งการสงั เคราะห์ของพืช ๒. นกั เรียนเขียนความรู้ทีต่ นเองได้รบั จากการเรียนรู้ ๑๐. สื่ออปุ กรณ์และแหลง่ เรียนรู้ เครือ่ งมือ เกณฑ์ ๑๐.๑ สื่อ อปุ กรณ์ - แบบตรวจแบบฝกึ หดั ผู้เรียนมีการจดบนั ทึกที่ถกู ต้องตาม ๑. ตารางและค่มู ือการทดลอง 2. แบบสงั เกต การทากิจกรรม โจทย์ ร้อยละ ๘๐ ๑๐.๒ แหล่งเรียนรู้ ๑. ห้องปฏิบตั ิการวิทยาศาสตร์ ผ้เู รียนมีกระบวนการสังเกตและ ๒. ห้องสืบค้นข้อมูล รวบรวมข้อมูล ร้อยละ ๘๐ ๑๑. การวัดและการประเมินผล ผ้เู รียนสามารถเขียนองค์ความร้ทู ี่ฉัน วิธีการ ได้รบั ร้อยละ ๑๐๐ ๑. ตรวจสอบแบบทดสอบในหนังสือเรยี น แบบฝกึ หัด ๒. สังเกตกระบวนการในการทากิจกรรม - แบบสงั เกต 3. การเขียนองค์ความร้ทู ี่ฉันได้รบั - แบบตรวจกิจกรรม ๑๒. กิจกรรมเสนอแนะ ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ลงชื่อ................................................................. (นายบุริศร์ กองมะลิ) ผ้เู ขียนแผนการจัดการเรยี นรู้
ข้อเสนอแนะของหวั หนา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ในการใชแ้ ผนการเรียนรู้ ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ลงชื่อ................................................................. (นางกมลชนก เทพบุ) หวั หน้ากลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ข้อเสนอแนะของหัวหนา้ กลุ่มบรหิ ารงานวิชาการในการใชแ้ ผนการเรียนรู้ ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ลงชือ่ ................................................................. (นางสาวรัตติกาล ยศสุข) หวั หน้ากล่มุ บรหิ ารงานวิชาการ ข้อเสนอแนะของผ้อู านวยการโรงเรียนในการใชแ้ ผนการเรียนรู้ ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ลงชื่อ................................................................. (นางวิลาวลั ย์ ปาลี) ผ้อู านวยการโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31
๑๓. บันทึกผลการจัดการเรียนรู้ ปัญหา / อปุ สรรค ข้อเสนอแนะ / แนว หมายเหตุ ห้อง ผลการจดั การเรียนรู้ ทางแกไ้ ข ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/๔ ลงชือ่ ................................................................. (นายบุริศร์ กองมะลิ) ผ้สู อน
แผนการจดั การเรียนรู้ กล่มุ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 อาเภอแม่แจ่ม จงั หวัดเชียงใหม่ สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ วิชา วิทยาศาสตร์พืน้ ฐาน รหสั วิชา ว 21101 ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒563 หน่วยการเรียนร้ทู ี่ ๓ เรือ่ ง การดารงชีวิตของพชื เวลา 26 ชว่ั โมง แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ 2 เรื่อง การลาเลยี งสารในพืช เวลา 4 ช่วั โมง หลักสตู รสถานศึกษาตามหลกั สูตรแกนกลางกลางการศึกษาขนั้ พืน้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ บูรณาการ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี น หลกั สูตรอาเซียน ผู้ออกแบบ นายบรุ ิศร์ กองมะลิ 1.สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต การลาเลียงสารผ่านเซลล์ ความสัมพันธ์ของ โครงสร้าง และหนา้ ท่ขี องระบบตา่ ง ๆ ของสตั ว์และมนษุ ย์ทที่ างานสมั พนั ธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหนา้ ทีข่ องอวัยวะตา่ ง ๆ ของพชื ทที่ างานสมั พนั ธก์ ัน รวมทัง้ นาความรู้ไปใช้ประโยชน์ 2.มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตวั ชีว้ ัด ว1.2 ม.1/9 บรรยายลักษณะและหน้าท่ขี องไซเล็มและโฟลเอ็ม ว1.2 ม.1/10 เขียนแผนภาพท่บี รรยายทศิ ทางการลาเลียงสารในไซเลม็ และโฟลเอ็มของพืช ๓. จุดประสงค์การเรียนรู้ เพื่อใหน้ กั เรียนสามารถ ๓.๑ ความรู้ ๑. ลกั ษณะและหน้าที่ของไซเลม็ และโฟลเอ็ม ๒. ทศิ ทางการลาเลยี งสารในไซเล็มและโฟลเอ็มของพชื ๓. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ เพื่อใหน้ กั เรียนสามารถ ๓.๒ ทักษะกระบวนการ ๑. การสังเกตจากสภาพจริง ๒. การวิเคราะห์ แยกแยะ ลกั ษณะจากรปู ภาพ ๓. การใช้ระบบสารสนเทศในการค้นคว้าข้อมลู
๓.๓ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ๑. เข้าเรียน ปฏบิ ตั ิกิจกรรม และส่งงานตรงเวลา ๒. ร่วมมือในการเรียน แสวงหาความรู้ ตอบคาถาม ยอมรบั ความคิดเห็นของผ้อู ืน่ และแสดง ความคิดเหน็ อย่างมีเหตุผล ๓. บันทึกข้อมูลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม ๔. สาระการเรียนรู้ xylem:ไซเลม เน้ือเยือ่ ไซเลม ทาหน้าที่ลาเลียงน้าขึน้ ส่ลู าต้นไซเลมประกอบด้วยเวสเซลซึ่งมีลกั ษณะเปน็ ท่อยาว เปน็ เซลล์ที่\"ม่มีชีวิตต้นไม้ทแี่ ก่แล้วไซเลมจะตายไปเวสเซลจะเปน็ ส่วนตรงกลางของลาต้นและเป็นส่วน แก่นไม้ vessels and tracheids:เวสเซล และเทรคีด เปน็ ท่อยาวอย่ใู นเนื้อเยือ่ ไซเลมมีหน้าทลี่ าเลียงน้า ผนังเซลล์หนา แขง็ แรงเพราะมีสารลิกนินฉาบอยู่ ที่ผนงั เซลล์เวสเซลจะเรียงต่อกนั หลายเซลล์เซลล์จะมีผนงั เซลลและโปรโตพลาสซึมที่ไม่มีชีวิตแล้ว cambium:แคมเบียม เปน็ ช้นั เซลล์ทีม่ ีลักษณะบาง ก้ันระหว่างไซเลมและโฟลเอมโดยมีโฟลเอมอย่ดู ้านนอกและไซเลมอย่ดู ้าน ในเซลล์ช้ันแคมเบียมแบ่งเซลล์ทาให้จานวนเซลล์ไซเลมและโฟลเอมเพิม่ มากขึ้น บริเวณทีเ่ ซลล์แบ่งตัว เรียกว่า เนื้อเยื่อเจริญ Phloem:โฟลเอม เปน็ เน้ือเยื่อทาหน้าที่ลาเลียงอาหารทใี่ บสร้างขึ้นไปยงั ส่วนต่างๆ ของลาต้น เนื้อเยือ่ โฟลเอม ประกอบด้วยซีฟทิวบ์มีลกั ษณะเป็นท่อยาวด้านข้าง ซีฟทิวบม์ ีกล่มุ เซลล์ ทีเ่ รียกว่า คอมแพเนียลเซลล์ และกลุมเซลล์อืน่ ๆ ช่ายทาหน้าทีล่ าเลียงอาหาร Sieve tubes:ซีฟทิวบ์ เป็นเซลล์ยาวอย่ใู นกล่มุ เซลล์ของโฟลเอม ไม่มีนิวเคลียส และโปรโตพลาสซึม แต่ส่วนของผนงั เซลล์ยัง
แนบชิดกนั ผนงั ที่ก้นั ระหวา่ งเซลล์ซีฟทิวบ์ทตี่ ่อกนั เปน็ ท่อตามยาว มีลักษณะเปน็ รคุ ล้ายตะแกรง เรียก ซีฟเพลท สารอาหารต่างๆผ่านรนู ้ี ๕. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ข้อที่ ๑ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ข้อที่ ๒ ซือ่ สัตย์สุจริต ข้อที่ ๓ มีวินยั ข้อที่ ๔ ใฝร่ ู้ใฝ่เรียน ข้อที่ ๕ อย่อู ย่างพอเพียง ข้อที่ ๖ มุ่งม่ันในการทางาน ข้อที่ ๗ รกั ความเปน็ ไทย ข้อที่ ๘ มีจิตสาธารณะ ๖. การอา่ น คิดวิเคราะห์ และการเขียน การพฒั นาและประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ ได้กาหนดขอบเขตการประเมินและตัวชี้วัดที่แสดงความสามารถในการ อ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนของผ้เู รียน ดั้งน้ี
การอ่านจากสือ่ สิง่ พิมพ์และสือ่ อิเลก็ ทรอนิกส์ทีใ่ ห้ข้อมูลสารสนเทศ ข้อคิด ความรู้เกี่ยวกบั สงั คมและสิ่งแวดล้อมทีเ่ อือ้ ให้ผ้อู ่านนาไปคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ สรุปแนวคิดคุณค่าทีไ่ ด้ นาไปประยุกต์ใช้ ด้วยวิจารณญาณ และถ่ายทอดเปน็ ข้อเขียนเชิงสร้างสรรค์หรอื รายงานด้วยภาษาทถี่ ูกต้องเหมาะสม เช่น อ่านหนงั สือพิมพ์ วารสาร หนังสือเรียน บทความ สนุ ทรพจน์ คาแนะนา คาเตือน แผนภมู ิ ตาราง แผนที่ ตวั บ่งช้ที างพฤติกรรมการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน 1.สามารถคดั สรรสือ่ ทตี่ ้องการอ่านเพื่อหาข้อมลู สารสนเทศได้ตาวตั ถปุ ระสงค์ สามารถสร้างความเข้าใจและประยุกต์ใช้ความร้จู ากการอ่าน 2. สามารถจบั ประเดน็ สาคัญและประเดน็ สนับสนุน โต้แย้ง 3. สามารถวเิ คราะห์ วิจารณ์ ความสมเหตสุ มผล ความน่าเชือ่ ถือ ลาดับความและ ความเปน็ ไปได้ของเรือ่ งที่อ่าน 4. สามารถสรุปคณุ ค่า แนวคิด แง่คิดทไี่ ด้จากการอ่าน 5. สามารถสรุป อภิปราย ขยายความแสดงความคิดเหน็ โต้แย้ง สนบั สนุน โน้มน้าวโดย การเขียนสือ่ สารในรูปแบบต่าง ๆ เชน่ ผงั ความคิด เปน็ ต้น ๗. สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รียน กาหนดสมรรถนะสาคัญของผ้เู รียนตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ หลงั จากผู้เรียนผ่านการเรียนและนาความร้ไู ปใช้ในการดารงชีวติ ในส่สู งั คม ตามหลักการประเมิน สมรรถนะผ้เู รียน ๕ ด้าน ได้แก่ ๑) ความสามารถในการสื่อสาร ๒) ความสามารถในการคิด ๓) ความสามารถในการแก้ปัญหา ๔) ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ ๕) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ๘. การบรู ณาการ ๘.๑ หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง - ๘.๒ การบูรณาการงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน - ๙. กิจกรรมการเรียนรู้ ข้นั สร้างความสนใจ (Engagement) ๑. ครูทบทวนบทเรียนเครงั้ ก่อนเรื่องการสังเคราะห์
๒. ครใู ช้คาถามว่า นกั เรียนคิดว่าวสั ดุ สารเคมที ี่พืชใช้ในการสงั เคราะห์แสงน้นั พืชมีระบบการ ขนส่งสารเหล่านี้อย่างไร ๓. ครูเทยี บตวั อย่างระบบขนส่งสสารในโรงงานขนม ขั้นสารวจและค้นหา (Exploration) ๑. ให้นักเรียนศึกษาระบบท่อขนส่งน้าภายในตัวพืช ๒. โดยให้จาแนกตามประเภทของเซลล์คือโฟลเอมและไซเลม ๓. ทาการวาดรูปประกอบและชี้ส่วนประกอบ ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรปุ (explanation) 1. ครูอธิบายหลกั การทางานของโฟลเอมและไซเลม 2. ชี้จุดสงั เกตของเซลล์โฟลเอมและไซเลม ข้ันขยายความรู้ (Elaboration) ๑. ศึกษาวธิ ีการทดลองการดูดน้าของต้นกระสัง ๒. นกั เรียนเขียนวิธีการทดลองในรปู แบบแผนความคิด ๓. ลงมือปฏบิ ัติและบนั ทกึ การเปลี่ยนแปลง ขัน้ ประเมิน (Evaluation) ๑. นกั เรียนทาแบบฝึกหดั เรื่องการลาเลียงน้าและอาหารของพืช ๒. ครูให้นกั เรียนเขียนความรู้ทไี่ ด้รบั จาการเรียน ๑๐. สื่ออปุ กรณ์และแหลง่ เรียนรู้ ๑๐.๑ สือ่ อุปกรณ์ ๑. ค่มู ือการทดลอง การทดลองการดดู น้าของต้นกระสงั 2. แบบสงั เกต การทากิจกรรม ๑๐.๒ แหล่งเรียนรู้ ๑. ห้องปฏิบตั ิการวิทยาศาสตร์ ๒. ห้องสืบค้นข้อมลู ๑๑. การวดั และการประเมินผล วิธีการ เครือ่ งมือ เกณฑ์ ๑. ตรวจสอบแบบทดสอบในหนังเรียน - แบบตรวจแบบฝกึ หดั ผ้เู รียนมีการจดบันทึกทีถ่ กู ต้องตาม แบบฝกึ หัด โจทย์ ร้อยละ ๘๐ ๒. สงั เกตกระบวนการในการทา - แบบสงั เกต ผู้เรียนมีกระบวนการสงั เกตและ กิจกรรม รวบรวมข้อมลู ร้อยละ ๘๐
3. การเขียนองค์ความร้ทู ีฉ่ ันได้รบั - แบบตรวจกิจกรรม ผ้เู รียนสามารถเขียนองค์ความร้ทู ี่ ฉนั ได้รบั ร้อยละ ๑๐๐ ๑๒. กิจกรรมเสนอแนะ ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ลงชือ่ ................................................................. (นายบรุ ิศร์ กองมะลิ) ผ้เู ขียนแผนการจดั การเรยี นรู้ ข้อเสนอแนะของหวั หน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ในการใช้แผนการเรียนรู้ ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ลงชื่อ................................................................. (นางกมลชนก เทพบุ) หัวหน้ากลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ขอ้ เสนอแนะของหวั หนา้ กล่มุ บรหิ ารงานวิชาการในการใชแ้ ผนการเรียนรู้ ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ลงชื่อ................................................................. (นางสาวรัตติกาล ยศสขุ ) หวั หน้ากล่มุ บรหิ ารงานวิชาการ ขอ้ เสนอแนะของผ้อู านวยการโรงเรียนในการใช้แผนการเรียนรู้ ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ลงชื่อ................................................................. (นางวิลาวัลย์ ปาลี) ผ้อู านวยการโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 จงั หวดั เชียงใหม่
๑๓. บันทึกผลการจัดการเรียนรู้ ปัญหา / อปุ สรรค ข้อเสนอแนะ / แนว หมายเหตุ ห้อง ผลการจดั การเรียนรู้ ทางแกไ้ ข ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/๔ ลงชือ่ ................................................................. (นายบุริศร์ กองมะลิ) ผ้สู อน
แผนการจดั การเรียนรู้ กลมุ่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 อาเภอแมแ่ จ่ม จังหวัดเชียงใหม่ สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ วิชา วิทยาศาสตรพ์ ืน้ ฐาน รหัสวิชา ว 21101 ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒563 หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 3 เรือ่ ง การดารงชีวิตของพืช เวลา 26 ชวั่ โมง แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ 3 เรือ่ ง การเจริญเตบิ โตของพชื เวลา 6 ชั่วโมง หลกั สูตรสถานศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ บรู ณาการ หลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หลกั สตู รอาเซียน ผอู้ อกแบบ นายบรุ ิศร์ กองมะลิ 1.สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลาเลียงสารผ่านเซลล์ ความสัมพันธ์ของ โครงสรา้ ง และหนา้ ทข่ี องระบบต่าง ๆ ของสัตวแ์ ละมนุษยท์ ี่ทางานสมั พันธ์กนั ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหนา้ ที่ของอวยั วะต่าง ๆ ของพชื ท่ที างานสัมพนั ธ์กนั รวมทงั้ นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ 2.มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวชีว้ ดั ว1.2 ม.1/12 อธิบายลักษณะโครงสร้างของดอกที่มีส่วนทาให้เกิดการถ่ายเรณูรวมท้ังบรรยาย การ ปฏิสนธขิ องพชื ดอก การเกดิ ผลและเมลด็ การกระจายเมลด็ และการงอกของเมล็ด ว1.2 ม.1/14 อธิบายความสาคัญของธาตุอาหารบางชนิดที่มีผลต่อการเจริญเตบิ โตและการดารงชีวิต ของพชื ว1.2 ม.1/15 เลอื กใช้ปุย๋ ทมี่ ีธาตุอาหารเหมาะสมกบั พชื ในสถานการณ์ทกี่ าหนด ๓. จุดประสงค์การเรียนรู้ เพื่อใหน้ ักเรียนสามารถ ๓.๑ ความรู้ ๑. โครงสรา้ งของดอกท่ีมีส่วนทาให้เกดิ การถ่ายเรณรู วมท้งั บรรยาย การปฏิสนธขิ องพชื ดอก การ เกดิ ผลและเมลด็ การกระจายเมล็ด และการงอกของเมลด็ ๒. ความสาคญั ของธาตุอาหารบางชนิดทม่ี ีผลต่อการเจริญเตบิ โตและการดารงชีวติ ของพชื ๓. เลือกใช้ปยุ๋ ที่มธี าตอุ าหารเหมาะสมกบั พืช ๓.๒ ทักษะกระบวนการ ๑. การสงั เกตจากสภาพจริง
๒. การวิเคราะห์ แยกแยะ ลักษณะจากรูปภาพ ๓. การใช้ระบบสารสนเทศในการค้นคว้าข้อมูล ๓.๓ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ๑. เข้าเรียน ปฏบิ ตั ิกิจกรรม และส่งงานตรงเวลา ๒. ร่วมมือในการเรียน แสวงหาความรู้ ตอบคาถาม ยอมรบั ความคิดเหน็ ของผ้อู ื่น และแสดง ความคิดเหน็ อย่างมีเหตุผล ๓. บนั ทึกข้อมลู จากการปฏิบตั ิกิจกรรม ๔. สาระการเรียนรู้ การเจริญเตบิ โตของพชื การเจริญเตบิ โตของพืชเปน็ การเปลีย่ นแปลงของพืชทที่ าให้มีการเพิม่ น้าหนกั เพิ่มขนาด หรือมีการเปลีย่ นแปลงรปู ร่างลักษณะและหน้าที่ของโครงสร้าง เช่น ตน้ อ่อนในเมล็ดเจริญเป็นตน้ กล้า มีใบเพิ่มข้นึ ลาต้นโตขึน้ ออกดอกออกผล เราสามารถวัดการเจริญเติบโตของพืชได้จากน้าหนัก ความสูง หรอื ความยาวของต้น จานวนและ ขนาดของใบ ดอก และผล มีจานวนใบเพิ่มข้นึ ใหด้ อก ให้ผล ปัจจัยที่ควบคุมการเจริญเติบโตของพืช ภายใต้สภาพแวดล้อมทีเ่ หมาะสม พืชจะมีการเจริญเติบโตเพิม่ ข้ึนเรือ่ ยๆ แต่ถ้าปจั จยั แวดล้อมไมเ่ หมาะสมการเจริญเติบโตของพืชจะหยุดชะงกั และถ้าปล่อยท้งิ ไว้อาจทาให้พืชตาย ปจั จัย แวดล้อมที่มีผลต่อการเจรญิ เติบโตของพืช ได้แก่ อณุ หภมู ิ แสง น้า อากาศ และแรธ่ าตุ 1. อุณหภูมิ กระบวนการต่างๆ จะเกิดขึ้นตามปกติในช่วงอณุ หภมู ิที่เหมาะสมเท่าน้นั แตถ่ ้าอณุ หภูมิ สงู อากาศร้อนจดั พืชจะคายน้ามากจนต้นพืชเหี่ยวเฉา ใบไหม้เหรยี ม และตาย 2. แสง เปน็ ปัจจัยทีจ่ าเปน็ ต่อกระบวนการสร้างอาหารทีใ่ บของพืชซึ่งเรียกว่า กระบวนการสังเคราะห์ ด้วยแสง พืชนาอาหารที่สร้างขึ้นมาใช้ในการเจริญเติบโตพืชแต่ละชนิดต้องการแสงไม่เท่ากนั บางชนิด ต้องการแสงน้อย เช่น กล้วยไม้ บางชนิดต้องการแสงปานกลาง เช่น เผิน และบางชนิดตอ้ งการ แสงมาก เช่น ผกั บุ้ง
3. น้า รากพืชจะดูดน้าพร้อมกบั แร่ธาตุต่างๆ ทมี่ ีประโยชน์เข้าไปในลาต้น เพื่อใช้สร้างอาหาร ถ้าพืช ขาดน้าจะชะงกั การเจริญเติบโต เพราะขาดอาหาร นอกจากนี้ส่วนต่างๆ ของพืชจะเหี่ยวเฉา เพราะ ไม่มนี ้าอย่ภู ายใน แต่ถ้าพืชได้รับน้ามากเกินไป เช่น มนี ้าท่วมขงั เปน็ เวลานาน จะทาให้พืชตาย 4. อากาศ พืชต้องการอากาศ เพื่อใช้ในการหายใจและสร้างอาหาร ใบพืชรับอากาศ ได้ โดยตรง ส่วนรากพืชได้รับอากาศในดินถ้าดินแนน่ การถ่ายเทอากาศไม่ดี รากดดู น้าไม่สะดวก 5. แรธ่ าตุ แร่ธาตเุ ป็นสิง่ ทจี่ าเปน็ ต่อการดารงชีวิตและเจริญเตบิ โตของพืช แร่ธาตุทีพ่ ืช ต้องการและ ขาดไม่ได้มีหลายชนิด พืชจะใช้แรธ่ าตุเหล่านี้ในการเจริญเติบโต การผลิดอกออกผล คนทั่วไปมกั ร้จู กั กันรปู ของปุ๋ย ลกั ษณะการงอกของเมล็ด แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ 1. การงอกที่ชูใบเลีย้ งขนึ้ มาเหนือดิน (Epigeal germination) รากอ่อนงอกโผล่พ้นเมลด็ ออก ทางรไู มโครโพล์(micropyle) เจริญส่พู ้นื ดินจากนนั้ ไฮโปคอติล(hypocotyl) จะงอกและเจริญยึดยาวตาม อย่างรวดเรว็ ดึงส่วนของใบเลี้ยง(cotyldon) กับ เอปิคอติล(epicotyl) ขึ้นมาเหนือดิน เช่น การงอกของ พืชในเลยี้ งคู่ต่าง ๆ 2. การงอกทีฝ่ ังใบเลีย้ งไว้ใต้ดิน (Hypogeal germination) พบใน พืชใบเลี้ยงเดี่ยว พืชพวกน้ี มีไฮโปคอติล(hypocotyl) ส้นั เจริญช้า สว่ นเอปิคอติล(epicotyl) และยอดอ่อน (plumule) เจริญยืดยาวได้ อย่างรวดเร็ว เช่น เมล็ดข้าว ข้าวโพด หญา้ ฯลฯ การพกั ตวั ของเมล็ด (Dormancy) หมายถงึ สภาพที่ เอมบริโอในเมล็ดสามารถคงสภาพและมีชีวิตอย่ไู ด้โดยไม่เกิดการงอก
สาเหตุของการพักตัวของเมล็ดเนือ่ งจาก 1. เปลือกหุ้มเมล็ดแขง็ และหนาเกินไป 2. เมลด็ บางชนิดมีสารยบั ย้งั การงอก 3. เอมบริโอในเมล็ดยงั เจริญไม่เตม็ ที่ 4. เอมบริโอพกั ตวั ธาตอุ าหารหลกั ไนโตรเจน (N) ช่วยให้พืชมีสีเขียว เร่งการเจริญเติบโตทางใบและลาต้น กระตนุ้ ให้พืชเจริญเติบโต แข็งแรง อีกท้งั เพิ่มปรมิ าณโปรตนี ให้แก่พืช ฟอสฟอรสั (P) ส่งเสรมิ การออกดอกและผล ติดเมลด็ การพฒั นาเมลด็ และผล เร่งการเจริญเติบโต ของราก พร้อมช่วยเพิ่มความต้านทานต่อโรคพืช และมีส่วนช่วยในการเร่งการสกุ แก่ของผลให้เร็วขนึ้
โพแทสเซียม (K) ช่วยพืชสร้างอาหาร (สงั เคราะห์แสง) และมีส่วนช่วยทาให้รากแขง็ แรง ทนทานต่อ โรคแมลง อีกท้งั เพิม่ ขนาดผลผลิต เมลด็ และปรบั ปรงุ คณุ ภาพผลผลิต ธาตอุ าหารท้งั 3 ชนิดเป็นธาตอุ าหารหลักที่พืชจาเป็นต้องใช้ในการเจริญเติบโต ซึง่ ธาตุอาหารท้งั 3 ชนิดมีจาหน่ายในรปู แบบของปุ๋ยเคมี และปุ๋ยคอกที่มาจากมูลสตั ว์ ธาตุอาหารรอง แคลเซียม (Ca)ทาให้พืชผลิใบได้ดีและเร็ว เปน็ ส่วนประกอบให้ผวิ ของลาต้น ใบ ดอก และผลแข็งแรง ส่งเสริมการเจริญเติบโตของราก ทางานร่วมกบั ธาตโุ บรอนในการผสมเกสร การงอกของเมลด็ แมกนีเซียม (Mg) เสรมิ สร้างการดูดใช้และลาเลียงธาตุฟอสฟอรัส (P) และน้าตาลไปส่สู ่วนตา่ งๆ ของ ต้น มีความสาคญั ต่อการสังเคราะห์แสง (การเจริญเติบโต) กามะถนั (S) เปน็ ส่วนประกอบของอะมโิ น สร้างน้ามนั โปรตนี สี กลิ่น วิตามินต่างๆ มีผลทางอ้อมต่อ การสร้างคลอโรฟิลล์และการพัฒนาส่วนยอดของตน้ พืชอีกด้วย เหลก็ (Fe) ช่วยในการสงั เคราะห์คลอโรฟลี ล์ มีบทบาทสาคัญต่อกระบวนการสังเคราะห์แสงและการ หายใจในพืชให้เปน็ ไปอย่างสมบรู ณ์ แมงกานีส (Mn) กระต้นุ การทางานของเอนไซม์ (Enzyme) ในตน้ พืช ช่วยการสงั เคราะหแ์ สง เร่ง ปฏิกริ ิยาต่างๆ เชน่ กระบวนการหายใจ สังกะสี (Zn) มีส่วนช่วยทาให้ข้อปล้องของพืชมีขนาดใหญ่และสมบรู ณ์ จาเป็นต่อการสร้างแป้ง คลอโรฟีลล์ การสร้างเมล็ด ส่งเสรมิ การใช้ประโยชน์ของฟอสฟอรสั และไนโตรเจน โบรอน (B) ส่งเสริมการออกดอก ช่วยในการผสมเกสรและการติดผล ช่วยในการเคลือ่ นย้ายฮอร์โมน ในต้นพืช เพิ่มความสามารถในการเคลือ่ นย้ายแป้งและน้าตาล จาเป็นในการสร้างโปรตีน ให้พืชใช้ ประโยชน์ธาตุอืน่ เช่น ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม (K) และ แคลเซียม (Ca) ได้ดียิ่งขึ้น อีกท้ังมีส่วนช่วยเพิม่ คณุ ภาพทั้งรสชาติ ขนาด และน้าหนักของผลอีกด้วย โมลิบดีนมั (Mo) ช่วยให้พชื ใช้ประโยชน์จากไนโตรเจนได้ดียงิ่ ขึ้น สร้างโปรตนี ในพืช ทองแดง (Cu) สร้างวิตามนิ เอในพืช เปน็ ส่วนประกอบของเอน็ ไซม์หลายชนิด อีกท้งั กระต้นุ การทางาน ของเอนไซม์น้นั ๆ และช่วยในการสงั เคราะห์คลอโรฟิลล์ การหายใจ การใช้โปรตนี และแป้งในพืช คลอรีน (CI) เร่งการสร้างแป้ง สร้างฮอร์โมนบางชนิด ช่วยเรง่ การสกุ แกใ่ ห้กบั พืชเร็วขึ้น ช่วย เจริญเติบโตของราก ควบคมุ การอ้มุ น้าของเซลล์ ๕. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ ข้อที่ ๑ รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
ข้อที่ ๒ ซื่อสตั ย์สุจริต ข้อที่ ๓ มีวินยั ข้อที่ ๔ ใฝร่ ู้ใฝ่เรียน ข้อที่ ๕ อย่อู ย่างพอเพียง ข้อที่ ๖ มุ่งม่ันในการทางาน ข้อที่ ๗ รกั ความเปน็ ไทย ข้อที่ ๘ มีจิตสาธารณะ ๖. การอ่าน คิดวิเคราะห์ และการเขียน การพฒั นาและประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑ ได้กาหนดขอบเขตการประเมินและตัวชี้วัดที่แสดงความสามารถในการ อ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนของผ้เู รียน ด้ังน้ี การอ่านจากสือ่ สิง่ พิมพ์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่ให้ข้อมูลสารสนเทศ ข้อคิด ความรู้เกีย่ วกับ สังคมและสิง่ แวดล้อมทีเ่ อือ้ ให้ผ้อู ่านนาไปคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ สรปุ แนวคิดคณุ ค่าทีไ่ ด้ นาไปประยุกต์ใช้ ด้วยวิจารณญาณ และถ่ายทอดเปน็ ข้อเขียนเชิงสร้างสรรค์หรอื รายงานด้วยภาษาทถี่ ูกต้องเหมาะสม เช่น อ่านหนังสือพิมพ์ วารสาร หนังสือเรียน บทความ สนุ ทรพจน์ คาแนะนา คาเตือน แผนภูมิ ตาราง แผนที่ ตัวบ่งช้ที างพฤติกรรมการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน 1.สามารถคดั สรรสือ่ ทตี่ ้องการอ่านเพื่อหาข้อมูลสารสนเทศได้ตาวตั ถุประสงค์ สามารถสร้างความเข้าใจและประยกุ ต์ใช้ความร้จู ากการอ่าน 2. สามารถจบั ประเดน็ สาคัญและประเดน็ สนบั สนนุ โต้แย้ง 3. สามารถวเิ คราะห์ วิจารณ์ ความสมเหตสุ มผล ความน่าเชือ่ ถือ ลาดับความและ ความเปน็ ไปได้ของเรือ่ งทีอ่ ่าน 4. สามารถสรปุ คณุ ค่า แนวคิด แง่คิดทไี่ ด้จากการอ่าน 5. สามารถสรุป อภิปราย ขยายความแสดงความคิดเหน็ โต้แย้ง สนับสนนุ โน้มน้าวโดย การเขียนสือ่ สารในรปู แบบต่าง ๆ เชน่ ผังความคิด เปน็ ต้น ๗. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน กาหนดสมรรถนะสาคัญของผ้เู รียนตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ หลังจากผู้เรียนผ่านการเรียนและนาความร้ไู ปใช้ในการดารงชีวติ ในส่สู ังคม ตามหลักการประเมิน สมรรถนะผ้เู รียน ๕ ด้าน ได้แก่ ๑) ความสามารถในการสือ่ สาร
๒) ความสามารถในการคิด ๓) ความสามารถในการแก้ปัญหา ๔) ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ ๕) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ๘. การบรู ณาการ ๘.๑ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง - ๘.๒ การบรู ณาการงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน ในโครงการอนุรกั ษ์พนั ธกุ รรมพืชอนั เนือ่ งมาจาก พระราชดาริสมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี มีวตั ถุประสงคใ์ ห้เยาวชนได้มีโอกาส ใกล้ชิดกับพืชพรรณไม้ ได้เรียนรถู้ ึงพืชทอ้ งถิ่นของตน ช่วยกนั ดูแลไม่ให้สญู พนั ธ์ุ ซึ่งจะก่อให้เกิด จิตสานึกในการทีจ่ ะอนรุ กั ษ์สืบไป การดาเนินงานประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ และ 4 สาระการ เรียนรแู้ ละฐานทรพั ยากรทอ้ งถิ่น บรู ณาการงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน องค์ประกอบที่ 2 การรวบรวมพรรรณไม้เข้าปลกู ในโรงเรียน ลาดบั การเรยี นที่ 8 การปลกู แลพดแู ลรักษา ลาดับการเรียนร้ทู ี่ 9 การศึกษาของพืชพรรณทปี่ ลกู ออกแบบบนั ทึกการเปลีย่ นแปลง ๙. กิจกรรมการเรียนรู้ ขนั้ สร้างความสนใจ (Engagement) ๑. ครูทบทวนความร้จู ากการเรียนครั้งก่อน ๒. ครตู ้ังสถาณการณ์จาลอง ถ้าหากนาเรียนเปน็ ผปู้ ลูกพืชชนิดหนงึ่ นกั เรียนคิดว่าปัจจยั ใน เรือ่ งใด้บ้างที่ส่งผลต่อการเจริยเติบโตของพืช ๓. ครูช่วยกันกบั นกั เรียนในการคิดถึงปจั จยั ที่เกีย่ วข้อง 4. ครนู าเข้าเรือ่ งของการเรียนด้านสารอาหารของพืช ขน้ั สารวจและค้นหา (Exploration) ๑. นักเรียนสารวจและศึกษาประเภทของป๋ยุ ที่เกษตรกรใช้ในปจั จบุ นั ๒. ทาการจดบนั ทึกและเรียบเรียงข้อมูล ๓. จัดหมวดหม่ขู องปุ๋ยตามเกณฑ์ทนี่ ักเรยี นเข้าใจ ๔. ศึกษาส่วนประกอบอื่นๆ ของป๋ยุ ขัน้ อธิบายและลงข้อสรุป (explanation) 1. ครูอธิบายเรื่องของธาตอุ าหารของพืช
2. แจกแจงประเภทให้เหน็ ชดั เจนเช่นธาตุอาหารหลกั ธาตอุ าหารรอง ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 1. นกั เรียนศกึ ษาผลของการขาดธาตอุ าหารของพืช จากภาพพืช 2. วิเคราะห์วิธีการรักษาเป็นกล่มุ ของนักเรียน 3. ทาการจดบนั ทึกเป็นตารางเพื่อใหต้ ่อการนาไปใช้ 4. ทดลองปลกู ต้นถ่วั โดยให้มกี ารจดบันทึกตามใบงานที่กาหนด ขั้นประเมิน (Evaluation) ๑. ทาแบบฝึกหัดเรือ่ งธาตอุ าหารพืช ๒. เขียนผลการเรียนรู้ของนกั เรียน ๑๐. สื่ออปุ กรณ์และแหลง่ เรียนรู้ ๑๐.๑ สือ่ อปุ กรณ์ ๑. ภาพผลของการขาดธาตุอาหารของพืช จากภาพพืช 2. แบบสงั เกต การทากิจกรรม 3. ใบกิจกรรมการบนั ทึกการเจริญเติบโตของพืช ๑๐.๒ แหล่งเรียนรู้ ๑. ห้องสมดุ โรงเรียน ๒. ห้องสืบค้นข้อมูล ๑๑. การวัดและการประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ ๑. ตรวจสอบแบบทดสอบในหนงั เรียน - แบบตรวจแบบฝกึ หดั ผ้เู รียนมีการจดบันทึกที่ถูกต้องตาม แบบฝกึ หัด โจทย์ ร้อยละ ๘๐ ๒. สงั เกตกระบวนการในการทา - แบบสังเกต ผู้เรียนมีกระบวนการสงั เกตและ กิจกรรม - แบบตรวจกิจกรรม รวบรวมข้อมูล ร้อยละ ๘๐ 3. การเขียนองค์ความร้ทู ี่ฉนั ได้รบั ผ้เู รียนสามารถเขียนองค์ความร้ทู ี่ ฉนั ได้รบั ร้อยละ ๑๐๐
๑๒. กิจกรรมเสนอแนะ ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ลงชือ่ ................................................................. (นายบุริศร์ กองมะลิ) ผ้เู ขียนแผนการจัดการเรยี นรู้ ข้อเสนอแนะของหวั หนา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ในการใชแ้ ผนการเรียนรู้ ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ลงชือ่ ................................................................. (นางกมลชนก เทพบุ) หัวหน้ากลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ข้อเสนอแนะของหัวหนา้ กล่มุ บรหิ ารงานวิชาการในการใช้แผนการเรียนรู้ ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ลงชื่อ................................................................. (นางสาวรตั ติกาล ยศสขุ ) หวั หน้ากล่มุ บรหิ ารงานวิชาการ ขอ้ เสนอแนะของผอู้ านวยการโรงเรียนในการใชแ้ ผนการเรียนรู้ ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ลงชื่อ................................................................. (นางวิลาวัลย์ ปาลี) ผ้อู านวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จงั หวัดเชียงใหม่
๑๓. บันทึกผลการจัดการเรียนรู้ ปัญหา / อปุ สรรค ข้อเสนอแนะ / แนว หมายเหตุ ห้อง ผลการจดั การเรียนรู้ ทางแกไ้ ข ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/๔ ลงชือ่ ................................................................. (นายบุริศร์ กองมะลิ) ผ้สู อน
แผนการจดั การเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 อาเภอแม่แจม่ จังหวัดเชียงใหม่ สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ วิชา วิทยาศาสตรพ์ ื้นฐาน รหัสวิชา ว 21101 ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒563 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรือ่ ง การดารงชีวิตของพืช เวลา 26 ชั่วโมง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง การสืบพนั ธแ์ุ บบไม่อาศยั เพศของพืช เวลา 4 ชั่วโมง หลักสตู รสถานศึกษาตามหลักสตู รแกนกลางกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ บูรณาการ หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หลักสตู รอาเซียน ผอู้ อกแบบ นายบรุ ิศร์ กองมะลิ 1.สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของส่ิงมีชีวิต การลาเลียงสารผ่านเซลล์ ความสัมพันธ์ของ โครงสรา้ ง และหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตวแ์ ละมนุษย์ทที่ างานสมั พนั ธก์ นั ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าท่ีของอวยั วะต่าง ๆ ของพชื ท่ีทางานสัมพนั ธ์กัน รวมทง้ั นาความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ 2.มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวชี้วดั ว1.2 ม.1/11 อธิบายการสบื พนั ธ์ุแบบอาศัยเพศ และไม่อาศัยเพศของพืชดอก ๓. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ เพื่อใหน้ ักเรียนสามารถ ๓.๑ ความรู้ ๑. ประเภทของพืชที่แบง่ ช้นั ตามลกั ษณะการสืบพนั ธ์ุ ๒. ลกั ษณะของพืชไม่มีดอก (มอส) ๓.๒ ทักษะกระบวนการ ๑. การสังเกตจากสภาพจริง ๒. การวิเคราะห์ แยกแยะ ลกั ษณะจากรูปภาพ ๓. การใช้ระบบสารสนเทศในการค้นคว้าข้อมูล ๓.๓ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ๑. เข้าเรียน ปฏบิ ัติกิจกรรม และส่งงานตรงเวลา
๒. ร่วมมือในการเรียน แสวงหาความรู้ ตอบคาถาม ยอมรับความคิดเห็นของผ้อู ื่น และแสดง ความคิดเห็นอย่างมีเหตผุ ล ๓. บนั ทึกข้อมูลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม ๔. สาระการเรียนรู้ พืชมีดอกและพืชไรด้ อก พืชเปน็ สิ่งมีชวี ิตทมี่ ีความสาคัญต่อคนและสัตว์เปน็ อย่างมาก เพราะเป็นแหล่งอาหารและ อากาศซึ่งจาเป็นต่อการดารงชีวิตของคนและสตั ว์และยังช่วยสร้างสมดลุ ให้แก่ธรรมชาติ ซึ่งพืชในโลกนี้ มีอย่มู ากมายหลายชนิด นกั วิทยาศาสตร์จึงได้ใช้เกณฑ์ต่าง ๆ ในการจดั หมวดหมู่พืช เกณฑท์ ใี่ ช้ในการ จดั หมวดหม่พู ืชที่แสดงถึงสายสมั พนั ธุ์ของพืชทีใ่ กล้ชิดทีส่ ุดคือ การจาแนกพืชโดยการสืบพนั ธ์ุ ซึ่งทาให้ สามารถแบ่งพืชได้เปน็ 2 กล่มุ ได้แก่ พืชมีดอก และพืชไม่มีดอก พืชมีดอก หมายถงึ พืชทีเ่ มื่อเจริญเตบิ โตเต็มที่แล้วจะมีดอกไว้สาหรับสืบพันธุ์ จัดเปน็ พืชช้นั สูงได้แก่พืชส่วนมากที่ เราพบเหน็ อย่ทู ่ัวไป เช่น มะม่วง ลาไย กหุ ลาบ มะลิ ถว่ั พริก ข้าว กล้วย อ้อย ข้าวโพด
ดอกของพืชจาแนกไดต้ ามการเกิดได้ 2 ชนิด 1 ) ดอกเดี่ยว คือ ดอกทีโ่ พล่ขึ้นมาจากก้านชดู อกเพียงก้านเดียว เช่น กหุ ลาบ ดอกบัว 2) ดอกช่อ คือ ดอกหลายๆดอก ทีอ่ อกมาจากก้านดอกเดียวกัน เช่น ดอกเขม็ ดอกกล้วยไม้ การสืบพนั ธุ์ของพืชมีดอก พืชมีดอกและพืชไร้ดอก มีวิธีแพร่พนั ธ์แุ ตกต่างกนั พืชมีดอกจะอาศยั ดอกในการ สืบพันธุ์ เรียกว่า การสืบพนั ธ์ุแบบอาศยั เพศ และยงั สามารถสืบพันธโุ์ ดยวิธีอืน่ ที่ไมต่ ้องใช้ ดอก เรียกว่า การ สืบพนั ธแ์ุ บบไม่อาศยั เพศ ส่วนพืชไร้ดอก จะสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศ
พืชไร้ดอก หมายถึงพืชที่ตลอดการดารงชีวิตไม่สามารถออกดอกเพื่อใช้ในการสืบพันธ์ุ พืชไร้ดอกคือพืชชนิด หนึ่งที่ไม่มีดอก ไม่สามารถสืบพันธุ์โดยใช้เมล็ด แต่พืชไร้ดอกจะใช้การผสมพันธ์ุโดยแบ่งเซลล์ การแตก หน่อ และการใช้ สปอร์ เช่น สาหร่าย ตะไคร่ เป็นต้นพืชไร้ดอกจะเปน็ พืชช้ันต่า เป็นพืชที่มีส่วนประกอบ ไม่ครบถ้วนเหมือนกับพืชดอก การสืบพนั ธุ์ของพืชไร้ดอก การแตกหน่อ การแบ่งเซลล์ เช่น สาหร่าย ตะไคร่น้า ๕. คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ข้อที่ ๑ รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ข้อที่ ๒ ซื่อสตั ย์สุจริต ข้อที่ ๓ มีวินยั ข้อที่ ๔ ใฝร่ ู้ใฝ่เรียน ข้อที่ ๕ อย่อู ย่างพอเพียง ข้อที่ ๖ มุ่งมนั่ ในการทางาน ข้อที่ ๗ รักความเปน็ ไทย ข้อที่ ๘ มีจิตสาธารณะ ๖. การอา่ น คิดวิเคราะห์ และการเขียน การพัฒนาและประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ได้กาหนดขอบเขตการประเมินและตัวชี้วดั ที่แสดงความสามารถในการ อ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนของผ้เู รียน ด้ังน้ี การอ่านจากสือ่ สิ่งพิมพ์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทีใ่ ห้ข้อมลู สารสนเทศ ข้อคิด ความรู้เกี่ยวกับ สงั คมและสิ่งแวดล้อมที่เออื้ ให้ผ้อู ่านนาไปคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ สรุปแนวคิดคุณค่าที่ได้ นาไปประยุกต์ใช้
ด้วยวิจารณญาณ และถ่ายทอดเปน็ ข้อเขียนเชิงสร้างสรรค์หรอื รายงานด้วยภาษาทถี่ ูกต้องเหมาะสม เช่น อ่านหนงั สือพิมพ์ วารสาร หนังสือเรียน บทความ สนุ ทรพจน์ คาแนะนา คาเตือน แผนภมู ิ ตาราง แผนที่ ตวั บ่งช้ที างพฤติกรรมการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน 1.สามารถคดั สรรสือ่ ทตี่ ้องการอ่านเพือ่ หาข้อมลู สารสนเทศได้ตาวตั ถุประสงค์ สามารถสร้างความเข้าใจและประยุกต์ใช้ความร้จู ากการอ่าน 2. สามารถจับประเดน็ สาคญั และประเดน็ สนับสนุน โต้แย้ง 3. สามารถวเิ คราะห์ วิจารณ์ ความสมเหตสุ มผล ความน่าเชือ่ ถือ ลาดับความและ ความเปน็ ไปได้ของเรือ่ งทีอ่ ่าน 4. สามารถสรปุ คณุ ค่า แนวคิด แง่คิดทไี่ ด้จากการอ่าน 5. สามารถสรุป อภิปราย ขยายความแสดงความคิดเหน็ โต้แย้ง สนับสนุน โน้มน้าวโดย การเขียนสือ่ สารในรปู แบบต่าง ๆ เชน่ ผังความคิด เปน็ ต้น ๗. สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน กาหนดสมรรถนะสาคัญของผ้เู รียนตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ หลงั จากผู้เรียนผ่านการเรียนและนาความร้ไู ปใช้ในการดารงชีวติ ในส่สู ังคม ตามหลักการประเมิน สมรรถนะผ้เู รียน ๕ ด้าน ได้แก่ ๑) ความสามารถในการสือ่ สาร ๒) ความสามารถในการคิด ๓) ความสามารถในการแก้ปัญหา ๔) ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ ๕) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ๘. การบรู ณาการ ๘.๑ หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง - ๘.๒ การบูรณาการงานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน ในโครงการอนุรักษ์พนั ธกุ รรมพืชอนั เนือ่ งมาจาก พระราชดาริสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี มีวตั ถุประสงคใ์ ห้เยาวชนได้มีโอกาส ใกล้ชิดกบั พืชพรรณไม้ ได้เรียนรถู้ ึงพืชทอ้ งถิน่ ของตน ช่วยกนั ดแู ลไม่ให้สญู พนั ธ์ุ ซึง่ จะก่อให้เกิด จิตสานึกในการทีจ่ ะอนรุ กั ษ์สืบไป การดาเนินงานประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ และ 4 สาระการ เรียนรแู้ ละฐานทรัพยากรทอ้ งถิน่
บูรณาการงานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน องค์ประกอบที่ 1 การจดั ทาป้ายพรรณไม้ ลาดับการเรียนที่ 2 การสารวจพรรณไม้ในพืน้ ทีท่ ี่ ศึกษา ลาดบั การเรยี นที่ 6 ศึกษาและบันทึกลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ๙. กิจกรรมการเรียนรู้ ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engagement) ๑. ครูทบทวนส่วนประกอบท้งั หมดของตันไม้ ๒. ใช้คาถามใหน้ กั เรยี นช่วยกันพดู ชือ่ ต้นไม้ที่ต้นรู้จกั ในโรงเรียน ๓. แจ้งหวั ข้อในการเรยี นรู้ให้แก่นักเรียน ข้ันสารวจและค้นหา (Exploration) 1. ครูบอกวธิ ีการสารวจและจดบันทึกต้นไมใ้ นสวนพฤกษศาสตร์ 2. ให้นักเรียนสารวจชนิดพรรณไม้ในสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน 3. นาพรรณไมท้ ไี่ ด้มีจดั จาแนกตามเกณฑท์ ีน่ ักเรยี นเปน็ ผ้กู าหนดเปน็ กล่มุ 4. นาเสนอแนวคิดของกล่มุ ให้เพื่อนในช้นั เรียนรบั ทราบ ข้ันอธิบายและลงข้อสรปุ (explanation) 1. ครนู าเสนอการใช้ดอกเปน็ เกณฑใ์ นการจดั แนก โดยแบบ่งเปน็ พืชมีดอกและไมม่ ีดอก 2. ครอู ธิบายลักษณะในการใช้ดอกในการจาแนกชนิดของพืช 3. ในนกั เรียนทดลองจัดจาแนกชนิดพืชของนกั เรียนตามเกณฑ์ของครู 4. ส่งตัวแทนนาเสนออีกคร้งั ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 1. ครูอธิบายการทาพรรณไม้ทีถ่ กู ต้องและอปุ กรณ์ทใี่ ช้ 2. นกั เรียนหาส่วยประกอบของตน้ ไม้ เพือ่ เตรียมทาพรรณไม้แห้ง ขน้ั ประเมิน (Evaluation) ๑. นักเรียนเขียนสิ่งที่ตนเองได้รบั จากการเรียนรแู้ ล้วนามาเล่าให้เพือ่ นฟงั ๑๐. สื่ออปุ กรณ์และแหลง่ เรียนรู้ ๑๐.๑ สือ่ อปุ กรณ์ ๑. ค่มู ือการสารวจต้นไม้ 2. ค่มู ือการทาพรรณไมแ้ ห้ง 3. แบบสงั เกต การทากิจกรรม ๑๐.๒ แหลง่ เรียนรู้ ๑. สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน
๑๑. การวดั และการประเมินผล วธิ กี าร เคร่อื งมือ เกณฑ์ ๑. ตรวจชิน้ งานจากการทาของนักเรียน - แบบตรวจชนิ้ งาน ผู้เรียนทาชิน้ งานทถ่ี กู ต้องตามโจทย์ รอ้ ยละ ๘๐ ๒. สังเกตกระบวนการในการทากจิ กรรม - แบบสงั เกต ผู้เรียนมีกระบวนการสังเกตและรวบรวม ข้อมลู รอ้ ยละ ๘๐ 3. การเขียนองคค์ วามรู้ที่ฉันได้รบั - แบบตรวจกิจกรรม ผู้เรยี นสามารถเขียนองคค์ วามรู้ท่ฉี ัน ได้รบั รอ้ ยละ ๑๐๐ ๑๒. กิจกรรมเสนอแนะ ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ลงชื่อ................................................................. (นายบรุ ิศร์ กองมะลิ) ผ้เู ขียนแผนการจัดการเรยี นรู้ ขอ้ เสนอแนะของหวั หนา้ กลุม่ สาระการเรียนรู้ในการใชแ้ ผนการเรียนรู้ ........................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... ลงชือ่ ................................................................. (นางกมลชนก เทพบุ) หัวหน้ากลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ขอ้ เสนอแนะของหัวหนา้ กลมุ่ บรหิ ารงานวิชาการในการใช้แผนการเรียนรู้ ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ลงชือ่ ................................................................. (นางสาวรตั ติกาล ยศสุข) หัวหน้ากล่มุ บรหิ ารงานวิชาการ ข้อเสนอแนะของผู้อานวยการโรงเรียนในการใชแ้ ผนการเรียนรู้ ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ลงชือ่ ................................................................. (นางวิลาวัลย์ ปาลี) ผ้อู านวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31
๑๓. บันทึกผลการจัดการเรียนรู้ ปัญหา / อปุ สรรค ข้อเสนอแนะ / แนว หมายเหตุ ห้อง ผลการจดั การเรียนรู้ ทางแกไ้ ข ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/๔ ลงชือ่ ................................................................. (นายบุริศร์ กองมะลิ) ผ้สู อน
แผนการจดั การเรียนรู้ กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ 31 อาเภอแมแ่ จม่ จงั หวดั เชียงใหม่ สานกั บริหารงานการศึกษาพิเศษ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ วิชา วิทยาศาสตร์พื้นฐาน รหัสวิชา ว 21101 ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ ๑ หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 3 ปีการศึกษา ๒563 แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 5 เรือ่ ง การดารงชีวิตของพืช เวลา 26 ชว่ั โมง เรื่อง การสืบพันธุ์แบบอาศยั เพศของพืช เวลา 4 ชั่วโมง หลักสตู รสถานศึกษาตามหลกั สูตรแกนกลางกลางการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ บูรณาการ หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หลกั สตู รอาเซียน ผูอ้ อกแบบ นายบุริศร์ กองมะลิ 1.สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต การลาเลียงสารผ่านเซลล์ ความสัมพันธ์ของ โครงสรา้ ง และหน้าที่ของระบบตา่ ง ๆ ของสัตวแ์ ละมนษุ ย์ท่ีทางานสัมพนั ธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหนา้ ท่ขี องอวยั วะต่าง ๆ ของพชื ทท่ี างานสัมพันธ์กนั รวมท้ังนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ 2.มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวชี้วัด ว1.2 ม.1/8 ตระหนักในคุณค่าของพืชที่มีต่อส่ิงมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม โดยการร่วมกันปลูกและดูแล รักษาต้นไม้ในโรงเรยี นและชุมชน ว1.2 ม.1/11 อธบิ ายการสบื พันธแ์ุ บบอาศัยเพศ และไม่อาศัยเพศของพืชดอก ว1.2 ม.1/13 ตระหนกั ถงึ ความสาคญั ของสตั ว์ท่ชี ่วยในการถา่ ยเรณขู องพืชดอก โดยการไม่ทาลายชีวติ ของสัตวท์ ่ีชว่ ยในการถา่ ยเรณู ๓. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ เพื่อใหน้ กั เรียนสามารถ ๓.๑ ความรู้ ๑. โครงสร้างและองค์ประกอบของดอก ๒. สตั ว์ทช่ี ว่ ยในการถา่ ยเรณูของพชื ดอก โดยการไมท่ าลายชีวติ ของสัตวท์ ชี่ ว่ ยในการถา่ ยเรณู ๓.๒ ทกั ษะกระบวนการ ๑. การสังเกตจากสภาพจริง ๒. การวิเคราะห์ แยกแยะ ลักษณะจากรปู ภาพ
๓. การใช้ระบบสารสนเทศในการค้นคว้าข้อมูล ๓.๓ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ๑. เข้าเรียน ปฏบิ ัติกิจกรรม และส่งงานตรงเวลา ๒. ร่วมมือในการเรียน แสวงหาความรู้ ตอบคาถาม ยอมรบั ความคิดเหน็ ของผ้อู ืน่ และแสดง ความคิดเหน็ อย่างมีเหตผุ ล ๓. บันทึกข้อมูลจากการปฏิบตั ิกิจกรรม ๔. สาระการเรียนรู้ โครงสรา้ งของดอกไม้ เปน็ อวัยวะสาคญั ในการสืบพนั ธ์ุของพืชดอก โครงสร้างของดอกไม้ ประกอบด้วยส่วนต่างๆ 4 ส่วน โดยแต่ละส่วนจะเรียงตวั จากช้นั ที่อยู่ นอกสุดเข้าส่สู ่วนใน คือ กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรตัวผู้ และเกสรตวั เมีย ตามลาดบั โดยส่วนประกอบ ทั้ง 4 น้จี ะอยบู่ นฐานรองดอก ซึง่ อยู่ปลายสดุ ของก้านชดู อก โครงสร้างของดอกไม้ประกอบด้วยอวยั วะสืบพันธ์ุ รวมถึงมีกลีบเลีย้ ง และกลีบดอก ทาหนา้ ที่ ล่อแมลงผสมเกสร 1. กลีบเลี้ยง (sepal) เป็นส่วนของดอกที่อยู่นอกสุด มีสีเขียว เหมือนใบ และทาหน้าที่ สังเคราะห์ด้วยแสงได้ กลีบเลี้ยงทาหน้าที่ห่อหุ้ม และป้องกันอันตรายให้แก่ส่วนของดอกที่อยู่ภายใน เมื่อดอกบานแล้วส่วนของกลีบเลี้ยงอาจหมดหน้าทีแ่ ล้วหลดุ ร่วงไป วงของกลีบเลี้ยงเรียกว่า แคลิกซ์ (calyx) ในพืชดอกบางชนิด กลีบเลี้ยงอาจมรสีสันสดใส และทาหน้าที่ ล่อแมลงให้มาผสมเกสรได้เช่นเดียวกับกลีบดอก บางคร้ัง บริเวณใต้กลีบเลี้ยงมีกลีบสีเขียวขนาดเล็ก เรียงตัวเป็นวงอย่ดู ้วย เรียกว่า ร้วิ ประดบั (epicalyx) เช่น ในดอกชบา และพ่รู ะหง 2. กลีบดอก (petal) เป็นส่วนที่อย่ถู ดั จากกลีบเลีย้ งเข้ามากลีบดอกมกั มีสีสนั สวยงาม เนือ่ งจากมรี งควตั ถุ กลีบดอกบางชนิดสามารถเปลี่ยนสีได้ เช่นดอกพดุ ตาน บางชนิดมีกลนิ่ หอม เนือ่ งจากมตี อ่ มกลิน่ อย่ดู ้วยและทีโ่ คนกลีบดอกมักมตี ่อมน้าหวาน ช่วยในการล่อแมลง วงกลีบดอก
เรียกว่า คอโรลา (corolla) ถ้าหากกลีบเลี้ยงและกลีบดอกเหมือนกนั จนแยกไม่ออกจะเรียกรวมกนั ว่า วง กลีบรวม (perianth) ได้แก่ จาปี จาปา บวั หลวง ทิวลิป เปน็ ต้น Advertisement 3. เกสรตวั ผู้ (stamen) เปน็ ส่วนทีจ่ าเป็นต่อการสืบพันธ์ุ ทาหน้าที่สร้างเซลล์สืบพนั ธ์ุเพศผู้ เกสรตัวผู้ มกั มีหลายอันและเรียงตัวเปน็ วงเรยี กว่า แอนดรีเซียม (androecium)เกสรตัวผ้สู ่วนใหญแ่ ยกกนั เป็นอนั ๆ แต่บางชนิดอาจติดกนั หรอื อาจติดส่วนอืน่ ของดอก เช่น เกสรตวั ผ้เู ชือ่ มติดกบั กลีบดอก พบในดอกเข็ม ดอกลาโพง หรือเกสรตัวผ้ตู ิดกับเกสรตวั เมีย พบในดอกรกั ดอกเทียน เกสรตัวผ้แู ต่ละอนั ประกอบด้วย 2 ส่วน เกสรตัวผู้ เปน็ แหล่งสร้างเซลล์สืบพนั ธ์ุเพศผใู้ นพืช โดยบรรจุอยภู่ ายในอบั ละอองเรณู 3.1 กา้ นชูเกสรตัวผู้ (filament) เป็นส่วนทีม่ ีลกั ษณะเป็นเส้นอาจรวมกนั เป็นกล่มุ หรือแยกกนั อาจ ยาวหรือส้นั ซึ่งกแ็ ล้วแต่ชนดิ ของพืช ทาหน้าทีช่ อู กั เกสรตวั ผ้หู รืออบั เรณู 3.2 อบั เกสรตัวผู้ (anther) มีลักษณะเปน็ แทงกลมยาวหรือค่อนข้างกลม 2 พู ภายในแบ่งเป็นถงุ เล็กๆ 4 ถงุ เรียกว่า ถุงเรณู (pollen sac) บรรจลุ ะอองเรณู (pollen grain) จานวนมากมีลกั ษณะเปน็ เมด็ เลก็ ๆ สีเหลืองๆ ผิวของละอองเรณูแต่ละชนิดจะแตกต่างกนั ละอองเรณูทาหน้าที่ เป็นเซลล์สืบพนั ธุ เพศผู้ เมือ่ ดอกเจริญเตม็ ทีแ่ ล้วถุงละอองเรณูจะแตกออก ละอองเรณกู ็จะปลิวออกมา เกสรตัวผ้ใู นพืช แต่ละชนิดมีจานวนมากน้อยไมเ่ ท่ากนั ในพืชโบราณหรือพืชช้นั ต่าเกสรตวั ผ้มู กั มจี านวนมาก ส่วนพืชทมี่ ี วิวฒั นาการสูงจานวนเกสรตัวผ้จู ะลดน้อยลง 4. เกสรตัวเมีย (pistil) เป็นช้นั ทีอ่ ย่ใู นสุดเปลี่ยนแปลงมาจากใบเพื่อทาหน้าทีส่ ร้างเซลล์ สืบพนั ธุ์เพศเมีย จงึ เป็นอวยั วะสาคัญต่อการสืบพนั ธ์ุ ในหนึ่งดอกเกสรตวั เมียอาจมีอนั เดียวหรอื หลาย อนั เรียงตัวเปน็ วงของเกสรตวั เมยี เรียกว่า จิเนเซียม (gynaecium) เกสรตวั เมยี ประกอบด้วย 3 ส่วนคือ
พืชส่วนใหญ่ มักจะมีเกสรตวั เมยี เพียงหนึ่งอัน โดยส่วนมากจะอย่ชู นั้ ในสดุ ของโครงสร้างดอกไม้ 4.1 ยอดเกสรตัวเมีย (stigma) เปน็ ส่วนที่พองออกมีลกั ษณะเปน็ ต่มุ แผ่แบนเปน็ แฉก เปน็ พแู ละมีน้า เหนียวๆ หรือขนคอยจับละอองเรณูที่ลอยมาติด 4.2 กา้ นชเู กสรตวั เมีย (style) เป็นส่วนทีม่ ีลกั ษณะเป็นเส้นหรือก้านเลก็ ๆ อาจยาวหรือส้นั เชือ่ มต่อ จากยอดเกสรตวั เมียลงส่รู งั ไข่ เป็นทางให้เสปิร์มนิวเคลียสเข้าผสมกบั ไข่ 4.3 รังไข่ (ovary) เป็นส่วนที่พองออกมาลักษณะเปน็ กระเปาะยึดกับฐานรองดอกหรืออาจฝังอย่ใู น ฐานรองดอกภายในมีลกั ษณะเปน็ ห้องๆ เรียกว่า โลคลุ (locule) ซึ่งภายในมีออวลุ (ovule) บรรจอุ ย่แู ต่ละ หน่วยของเกสรตัวเมียที่มีโลคุลที่ห่อห้มุ ไข่ไว้ภายในเรียกว่า คารเ์ พล (carpel) ใน 1 โคคลุ อาจมี 1 คาร์ เพล หรือหลายคาร์เพลกไ็ ด้แล้วแต่ชนิดของดอกไม้ เมอื่ เกิดการปฏสิ นธิแล้วรังไข่จะเจรญิ เปน็ ผล ส่วน ออวุลเจริญเปน็ เมลด็ พืชผลชนิดต่างๆ จะติดผลหรือมีเมลด็ ไว้ใช้ขยายพันธ์ตุ ่อไปได้จะต้องมีการผสมเกสร ต้นไม้บางชนิด เกสรตัวผ้แู ละเกสรตวั เมียอย่ใู นดอกเดียวกัน ก็จะผสมกนั เองได้ แต่ ต้นไม้อีกหลายชนิดเกสรตวั ผ้แู ละเกสรตัวเมียอยู่คนละดอกหรือคน ละต้น จาเป็นต้องอาศัยสิง่ อื่นช่วยในการผสมเกสร ลมเป็นพาหะ สาคญั ช่วยพัดเกสรตัวผ้ไู ปตกบนยอดเกสรตวั เมีย แตม่ ากกว่า 60 เปอร์เซน็ ต์ของตน้ ไม้ท้งั หมด อาศัยสิง่ มีชวี ิตชนิดอื่นในการผสมเกสร เช่น หอย ทาก แมงมมุ ไร นก ค้างคาวและแมลง เปน็ ต้น แมลงเปน็ สิ่งมีชีวิตที่ช่วยในการผสมเกสรดอกไม้มากที่สุด เนือ่ งจากแมลงจะอาศัยอาหารที่ให้โปรตีนและอาศยั น้า หวานเปน็ อาหารทีใ่ ห้พลงั งาน เกสรดอกไม้จะติดตามตวั แมลงจากดอกหนึ่งไปอีกดอกหนึง่ ในขณะที่ แมลงลงกินเกสรและน้าหวานจากดอกไม้
พืชบางชนิดอาศยั แมลงชนิดเดียวในการผสมเกสร แต่พืชส่วนมากอาศยั แมลงหลายชนิด ไม่เฉพาะเจาะจง ผ้งึ จดั ว่าเปน็ แมลงผสมเกสรทีส่ าคัญทีส่ ุด เพราะในแต่ละเทีย่ วบินที่ออกหาเกสรหรือน้าหวาน ผ้ึงจะไปที่ ดอกไม้ของพืชชนิดใดชนิดหนึ่งเท่าน้นั ทาให้ไม่เกิดการปะปน หรือสญู เปล่าของละอองเกสร ผลผลิตทางการเกษตรที่เพิม่ ขึน้ เนือ่ งจากมีผึ้งช่วยผสมเกสรนนั้ เมือ่ ประเมินแล้วมมี ูลค่าสูงกว่าน้าผึ้งและผลิตภณั ฑ์อื่นๆ จากรัง ผึ้ง ดงั นน้ั ในปจั จบุ ันถือว่าผลิตผลหลักจากอตุ สาหกรรมการเลี้ยงผึ้ง คือ การทีผ่ ึ้งช่วยเพมิ่ อัตราการ ติดผลใหแ้ ก่พืช ดงั จะเหน็ ว่ามีการใหบ้ ริการเช่าผึ้งเปน็ รังๆ ไปวางไว้เป็นแห่งๆ ในสวนผลไม้ในช่วงเวลาที่ ดอกไม้เริ่มบาน แมลงทีช่ ่วยผสมเกสรดอกไม้มีท้งั หมดในโลกมีประมาณ 30,000 ชนิด นอกจากผงึ้ ทีใ่ ห้น้าหวาน (honey bee) แล้วยังมีแมลง ชนิดอื่นๆ อีก เช่น พวกผึ้งชนิดอื่น ได้แก่ ตัวชนั โรง ผงึ้ หึง่ บอมบัส ผ้งึ กัดใบ ผ้ึงอัลคาไล แมลงภแู่ ละผึ้งป่าชนิดต่าง ๆ พวกต่อ แตน ต่อเบียน แตนเบียน มด พวกแมลงวนั ได้แก่ แมลงวนั ผึ้ง แมลงวนั หวั เขียว แมลงวนั บ้าน เปน็ ตน้ พวกด้วง ได้แก่ แมลงนูน ด้วงผลไม้ ด้วงถวั่ ด้วงงวง พวกมวนและเพลี้ยต่างๆ พวกผีเส้อื กลางวัน และผีเสื้อกลางคืนชนิดต่างๆ แมลงผสมเกสรบางชนิดกเ็ ป็นแมลงศัตรูสาคญั ของพืชผลทางการเกษตร เช่น พวกด้วง พวก มวนและเพลี้ยต่าง ๆ ควรต้องพิจารณาช่งั น้าหนักดใู นแต่ละ สถานการณ์ว่าแมลงเหล่านใี้ ห้ประโยชนห์ รือโทษ จะได้ ปฏบิ ัติการอย่างถกู ต้องเพือ่ ให้ผลประโยชน์สงู สดุ ตกอย่ทู ีม่ นุษย์ เรา ปัญหาสาคญั ทีม่ ีผลกระทบต่อผึ้งและแมลงผสมเกสร ก็คือ การใช้สารเคมีกาจัดศตั รูพืช ได้แก่ สารเคมีฆ่าแมลง สารเคมกี าจดั วัชพืช และสารป้องกันกาจดั โรคพืช สารเคมีฆ่า แมลงจัดว่าเป็นสารทีม่ ีอนั ตรายต่อผึ้งมากทีส่ ดุ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในปัจจบุ นั มีสารเคมีฆ่าแมลงชนิด ต่างๆ ท้งั ถูกตวั ตาย กินตาย หรือสารรมควัน ซึ่งล้วนแล้วแต่มีอนั ตรายร้ายแรงต่อผึ้งทั้งน้นั และยังไม่ พัฒนาวธิ ีการใช้ให้ได้ผลดีครอบคลุมเน้ือทีก่ ว้างขวางขนึ้ เช่น การพน่ สารเคมีทางอากาศเพือ่ ควบคมุ
แมลงศัตรพู ืชไร่ แมลงศัตรปู ่าไม้ เป็นต้น ทาให้ผ้งึ และแมลงผสมเกสรในบริเวณน้ันถูกทาลายไปด้วย ผล ของสารพิษในสารเคมีฆ่าแมลงมิใช่จะเพียงทาลายแมลงทีเ่ ปน็ ประโยชน์เท่าน้นั แต่มีผลในแงก่ ารผสม เกสรด้วย คือถ้าฉีดพ่นในช่วงดอกไม้บาน สารพษิ จะทาลายความความงอกของเรณู ซึ่งทาให้การติดผล หรือเมล็ดของพืชลดลงอย่างมากด้วย เกษตรกรจึงควรให้ความสนใจและทาความเข้าใจในเรือ่ งการใช้สารเคมีฆา่ แมลงพยายามใช้ อย่างมีขอบเขตเมือ่ จาเปน็ จริงๆ เท่านนั้ เลือกใช้ชนิดทมี่ ีพิษตกค้างส้นั และมีพิษเจาะจงกบั แมลงที่ ต้องการทาลายเท่าน้ัน ใช้สารทีไ่ ม่มีพิษต่อผึ้งหรือสดความเข้มข้นของสารเคมที ีใ่ ช้ลงบ้างในช่วงดอกไม้ บาน การฉีดพ่นควรกระทาในตอนเย็น พลบค่าหรือเข้าตรู่ ไม่ควรฉีดพ่นในช่วงที่ผ้ึงและแมลงผสมเกสร ออกหาอาหาร ในกรณีทมี่ คี วามจาเปน็ ต้องฉีดพ่นสารเคมใี กลก้ ับบริเวณทีม่ ีการเลี้ยงผึง้ ควรคลุมรังผึง้ ด้วยผ้ากระสอบเปียกชื้น ในขณะฉีดพ่น และหลงั ฉีดพ่นจนกว่าจะแน่ใจว่าพิษของสารเคมีสลายไปแล้ว ความร่วมมือระหว่างชาวสวนชาวไร่และเกษตรกรผเู้ ลีย้ งผึ้งเปน็ สิ่งจาเป็น เพือ่ ใหเ้ กิดผลดีกับทกุ ฝ่าย ข้อปฏิบตั ิดงั กล่าวข้างต้นหากไดก้ ระทาอย่างเคร่งครดั โดยสมา่ เสมอจะ ช่วยป้องกนั อนั ตรายอันจะเกิดกบั ผึ้งและแมลงผสมเกสร ซึง่ การอนุรกั ษ์ แมลงเหล่านี้ช่วยให้สามารถเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรขึ้นได้เป็นอย่างมาก ๕. คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ ข้อที่ ๑ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ข้อที่ ๒ ซื่อสัตย์สจุ ริต ข้อที่ ๓ มีวินยั ข้อที่ ๔ ใฝร่ ู้ใฝ่เรียน ข้อที่ ๕ อย่อู ย่างพอเพียง ข้อที่ ๖ มุ่งมน่ั ในการทางาน ข้อที่ ๗ รกั ความเปน็ ไทย ข้อที่ ๘ มีจิตสาธารณะ ๖. การอา่ น คิดวิเคราะห์ และการเขียน
การพัฒนาและประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ ได้กาหนดขอบเขตการประเมินและตวั ชี้วดั ทีแ่ สดงความสามารถในการ อ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนของผ้เู รียน ดั้งน้ี การอ่านจากสื่อสิ่งพิมพ์และสือ่ อิเลก็ ทรอนิกส์ทใี่ ห้ข้อมูลสารสนเทศ ข้อคิด ความรู้เกี่ยวกับ สังคมและสิง่ แวดล้อมทีเ่ อือ้ ให้ผ้อู ่านนาไปคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ สรปุ แนวคิดคุณค่าที่ได้ นาไปประยุกต์ใช้ ด้วยวิจารณญาณ และถ่ายทอดเปน็ ข้อเขียนเชิงสร้างสรรค์หรอื รายงานด้วยภาษาทถี่ กู ต้องเหมาะสม เช่น อ่านหนังสือพิมพ์ วารสาร หนงั สือเรียน บทความ สนุ ทรพจน์ คาแนะนา คาเตือน แผนภูมิ ตาราง แผนที่ ตวั บ่งช้ที างพฤติกรรมการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน 1.สามารถคดั สรรสื่อทตี่ ้องการอ่านเพื่อหาข้อมลู สารสนเทศได้ตาวตั ถุประสงค์ สามารถสร้างความเข้าใจและประยุกต์ใช้ความร้จู ากการอ่าน 2. สามารถจบั ประเดน็ สาคญั และประเดน็ สนับสนนุ โต้แย้ง 3. สามารถวเิ คราะห์ วิจารณ์ ความสมเหตสุ มผล ความน่าเชื่อถือ ลาดบั ความและ ความเป็นไปได้ของเรื่องทีอ่ ่าน 4. สามารถสรปุ คณุ ค่า แนวคิด แง่คิดทไี่ ด้จากการอ่าน 5. สามารถสรปุ อภิปราย ขยายความแสดงความคิดเห็น โต้แย้ง สนบั สนนุ โน้มน้าวโดย การเขียนสื่อสารในรปู แบบต่าง ๆ เชน่ ผังความคิด เปน็ ต้น ๗. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน กาหนดสมรรถนะสาคัญของผ้เู รียนตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ หลงั จากผู้เรียนผ่านการเรียนและนาความร้ไู ปใช้ในการดารงชีวติ ในส่สู งั คม ตามหลักการประเมิน สมรรถนะผ้เู รียน ๕ ด้าน ได้แก่ ๑) ความสามารถในการสือ่ สาร ๒) ความสามารถในการคิด ๓) ความสามารถในการแก้ปญั หา ๔) ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ ๕) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ๘. การบูรณาการ ๘.๑ หลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
- ๘.๒ การบูรณาการงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน ในโครงการอนุรกั ษ์พนั ธกุ รรมพืชอนั เนื่องมาจากพระราชดาริ สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี มีวตั ถปุ ระสงค์ให้เยาวชนได้มีโอกาสใกล้ชิดกบั พืช พรรณไม้ ได้เรียนรถู้ ึงพืชทอ้ งถิ่นของตน ช่วยกนั ดแู ลไม่ให้สูญพนั ธ์ุ ซึง่ จะก่อให้เกิดจิตสานึกในการที่ จะอนุรักษ์สืบไป การดาเนนิ งานประกอบด้วย 5 องคป์ ระกอบ และ 4 สาระการเรียนร้แู ละฐาน ทรัพยากรท้องถิน่ บรู ณาการงานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน องค์ประกอบที่ 3 การศึกษาข้อมูลด้านต่างๆ ลาดับการเรียนที่ 4 การสรปุ ลักษณะและข้อมูล พรรณไม้ 3 สาระ สรรพสิ่งล้วนพันเกีย่ ว ลาดบั การเรียนร้ทู ี่ ๒ เรียนร้ธู รรมชาติของปัจจยั ชีวภาพอืน่ ที่เขา้ มาเกีย่ วข้องกบั ปัจจัยหลัก ๙. กิจกรรมการเรียนรู้ ขนั้ สร้างความสนใจ (Engagement) ๑. ครูทบทวนเรื่องส่วนประกอบของพืชและผลการเรียนร้ใู นการเรียนคร้งั ก่อนหน้า ๒. ชี้แจงหัวข้อของการเรียน และกิจกรรมที่ใช้ในการเรยี น ขั้นสารวจและคน้ หา (Exploration) ๑. นักเรียนเกบ็ ตวั อย่างจากดอกชบาในสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น ๒. ให้นกั เรียนเปรียบเทียบตวั อย่างดอกชบากบั ภาพส่วนประกอบของดอก ๓. ศึกษาหนา้ ที่จากแผนภาพส่วนประกอบของดอก 4. จดบนั ทึกองค์ประกอบและหน้าที่ของดอกชบา ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป (explanation) 1. ครูอธิบายกระบวนสบื พนั ธ์แุ บบอาศยั เพศของพืช 2. ครูอธิบายความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตเช่น ผึ้ง ผีเสื้อ กับกระบวนสืบพนั ธ์ุของพืช ข้ันขยายความรู้ (Elaboration) ๑. ครูอธิบายกิจกรรม การสารวจและสงั เกตสิ่งมีชิวิตในสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น ๒. ให้นักเรียนศึกษาและนบั จานวนสิง่ มีชีวิตบริเวณต้นกล้วยผา ซึง่ เป็นพืชศึกษาของโรงเรียน ๓. นาผลการสารวจมาวิเคราะห์และจดั จาแนกหน้าทีข่ องสิง่ มีชีวิตเหล่าน้นั ขั้นประเมิน (Evaluation) ๑. นกั เรียนวาดรปู สิง่ มีชีวิตและต้นกล้วยผา พร้อมแสดงจานวนและหน้าที่ของสิง่ มีชวี ิต
๒. ครูตรวจช้นิ งานของนกั เรยี น ๑๐. สือ่ อุปกรณแ์ ละแหลง่ เรียนรู้ ๑๐.๑ สื่อ อปุ กรณ์ ๑. ใบงานการสารวจสิง่ มีชวี ิตบริเวรตน้ กล้วยผา 2. แบบสงั เกต การทากิจกรรม 3. ภาพส่วนประกอบของดอก ๑๐.๒ แหล่งเรียนรู้ ๑. สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน ๑๑. การวดั และการประเมินผล วิธีการ เครือ่ งมือ เกณฑ์ ผ้เู รียนมีการจดบันทึกทีถ่ กู ต้องตาม ๑. ตรวจสอบชิ้นงานของนกั เรยี น - แบบตรวจชนิ้ งาน โจทย์ ร้อยละ ๘๐ ๒. สงั เกตกระบวนการในการทา - แบบสังเกต ผู้เรียนมีกระบวนการสังเกตและ กิจกรรม รวบรวมข้อมลู ร้อยละ ๘๐ ๑๒. กิจกรรมเสนอแนะ ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ลงชื่อ................................................................. (นายบรุ ิศร์ กองมะลิ) ผ้เู ขียนแผนการจดั การเรยี นรู้ ขอ้ เสนอแนะของหวั หน้ากลมุ่ สาระการเรียนรู้ในการใชแ้ ผนการเรียนรู้ ........................................................................................................................................................... ...........................................................................................................................................................
ลงชื่อ................................................................. (นางกมลชนก เทพบุ) หวั หน้ากล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ขอ้ เสนอแนะของหวั หน้ากลุ่มบรหิ ารงานวิชาการในการใช้แผนการเรียนรู้ ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ลงชือ่ ................................................................. (นางสาวรัตติกาล ยศสุข) หวั หน้ากล่มุ บรหิ ารงานวิชาการ ข้อเสนอแนะของผอู้ านวยการโรงเรียนในการใช้แผนการเรียนรู้ ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ลงชือ่ ................................................................. (นางวิลาวลั ย์ ปาลี) ผ้อู านวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 จังหวดั เชียงใหม่
๑๓. บันทึกผลการจัดการเรียนรู้ ปัญหา / อปุ สรรค ข้อเสนอแนะ / แนว หมายเหตุ ห้อง ผลการจดั การเรียนรู้ ทางแกไ้ ข ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/๔ ลงชือ่ ................................................................. (นายบุริศร์ กองมะลิ) ผ้สู อน
แผนการจดั การเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 31 อาเภอแมแ่ จ่ม จังหวัดเชียงใหม่ สานกั บริหารงานการศึกษาพิเศษ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พื้นฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ วิชา วิทยาศาสตรพ์ ืน้ ฐาน รหสั วิชา ว 21101 ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒563 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรือ่ ง การดารงชีวิตของพืช เวลา 26 ชัว่ โมง แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 6 เรือ่ ง เทคโนโลยชี ีวภิ าพของพืช เวลา 4 ชว่ั โมง หลกั สูตรสถานศึกษาตามหลกั สูตรแกนกลางกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ บรู ณาการ หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง งานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน หลกั สตู รอาเซียน ผ้อู อกแบบ นายบรุ ิศร์ กองมะลิ 1.สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของส่ิงมีชีวิต การลาเลียงสารผ่านเซลล์ ความสัมพันธ์ของ โครงสร้าง และหน้าทข่ี องระบบตา่ ง ๆ ของสัตว์และมนุษยท์ ่ที างานสมั พันธ์กนั ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าทีข่ องอวัยวะตา่ ง ๆ ของพืชท่ีทางานสมั พันธก์ นั รวมท้ังนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ 2.มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวชี้วัด ว1.2 ม.1/8 ตระหนักในคุณค่าของพืชท่ีมีต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม โดยการร่วมกันปลูกและดูแล รกั ษาตน้ ไม้ในโรงเรียนและชมุ ชน ว1.2 ม.1/16เลือกวธิ ีการขยายพันธ์ุพืชให้เหมาะสมกับความต้องการของมนุษย์โดยใช้ความรู้เก่ียวกับ การสบื พนั ธุข์ องพืช ว1.2 ม.1/17อธิบายความสาคญั ของเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนอ้ื เยอ่ื พืชในการใชป้ ระโยชนด์ า้ นต่าง ๆ ว1.2 ม.1/18 ตระหนักถึงประโยชนข์ องการขยายพันธพุ์ ชื โดยการนาความรไู้ ปใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ๓. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ เพือ่ ใหน้ กั เรียนสามารถ ๓.๑ ความรู้ ๑. การขยายพนั ธโุ์ ดยมนษุ ย์ เพาะเมลด็ การทาบกงิ่ ติดตา และการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ๒. การใช้ประโยชน์ของพืช การปลูกป่า ๓ อย่าง ประโยชน์ ๔ อย่าง ๓.๒ ทักษะกระบวนการ ๑. การสังเกตจากสภาพจริง
๒. การวิเคราะห์ แยกแยะ ลักษณะจากรูปภาพ ๓. การใช้ระบบสารสนเทศในการค้นคว้าข้อมูล ๓.๓ คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ ๑. เข้าเรียน ปฏบิ ัติกิจกรรม และส่งงานตรงเวลา ๒. ร่วมมือในการเรียน แสวงหาความรู้ ตอบคาถาม ยอมรับความคิดเห็นของผ้อู ื่น และแสดง ความคิดเหน็ อย่างมีเหตผุ ล ๓. บนั ทึกข้อมลู จากการปฏิบตั ิกิจกรรม ๔. สาระการเรียนรู้ การขยายพนั ธ์พุ ืชจัดว่ามีความสาคญั ในการปลกู พืช เพราะข้นั ตอนแรกของการเพาะปลูกต้องมี ต้นกล้าพืชเสียก่อน การเลือกวิธีการขยายพันธุ์พืชทีเ่ หมาะสมจะทาให้สามารถผลิตตน้ กล้าได้ตาม ปริมาณและคุณภาพทีต่ ้องการ ซึง่ เป็นผลไปถึงคุณภาพหรือปริมาณของผลผลิตของพืชนนั้ ๆ นอกจากนี้ การขยายพนั ธ์พุ ืชยงั มีความสาคัญในด้านการอนุรักษพ์ นั ธุ์พืชทีห่ ายากหรือใกล้จะสูญพันธ์ุ 2. การขยายพันธ์ุพืชวิธีต่างๆ การขยายพนั ธ์พุ ืชแบ่งออกเปน็ 2 แบบคือ การขยายพนั ธ์แุ บบอาศัยเพศ ได้แก่ การขยายพนั ธ์ุ โดยการใช้เมล็ด กับการขยายพันธ์แุ บบไม่อาศัยเพศ ได้แก่ การขยายพนั ธโุ์ ดยการใช้ส่วนต่างๆ ของตน้ พืช เช่น การปกั ชา การตอนกิง่ การติดตา การต่อกิง่ รวมถึงการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ 2.1. การขยายพันธุพ์ ืชแบบอาศัยเพศ การเพาะเมลด็ (seeding) การขยายพนั ธ์พุ ืชแบบอาศยั เพศ เปน็ การขยายพนั ธ์โุ ดยใช้ส่วนของเมลด็ ที่เกิดจากการผสมเกสร ระหว่างเกสรเพศผ้แู ละเกสรเพศเมีย โดยนามาเพาะในวัสดุเพาะ เช่น ทรายหยาบ แกลบดา ปยุ๋ คอก และดิน ในอตั ราส่วน 1 : 1 : 1 : 0.5 โดยปริมาตร วิธีการเพาะให้กดเมล็ดด้วยนิ้วมือลึกประมาณ 2-3 เท่าของขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเมล็ด ดูแลรดน้าให้ วัสดุมีความชืน้ พอเหมาะ ระวงั อย่างให้แฉะ 2.2 การขยายพันธุ์แบบไมอ่ าศยั เพศ การขยายพนั ธ์แุ บบไม่อาศยั เพศ หมายถงึ การขยายพนั ธ์พุ ืชด้วยการใช้ส่วนต่างๆ ของพืช ได้แก่ ราก ลาต้น ใบ โดยส่วนต่างๆ ของพืชเหล่าทสี่ ามารถเกิดราก และเจริญเติบโตเปน็ ต้นพืชได้ การขยายพันธุ แบบไม่อาศยั เพศ เชน่ การปกั ชากงิ่ การตอนกิ่ง การติดตา การทาบกิ่ง เป็นต้น การปกั ชากิง่ (Stem Cutting) 1. เลือกใช้กิ่งชนิดกึ่งแกก่ ึง่ อ่อนลกั ษณะสีเขยี วปนน้าตาล ความยาวประมาณ 25-30 เซนติเมตร ตดั ส่วนโคนกิง่ ใต้ข้อห่าง 1 เซนตเิ มตร เปน็ รปู ปากฉลามเอียงทามุม 45 องศา 2. แล้วนามาจุ่มในสารละลายเร่งการเกิดราก ผึง่ ให้แห้งเลก็ น้อย นากงิ่ ไปปักในถุงขีเ้ ถ้าแกลบให้กงิ่ เอียงทามุม 30 องศา จากแนวตั้งฉาก
3. ประมาณ 20-30 วัน กิง่ ปกั ชามีการเกิดราก จากน้ันนาไปย้ายเลี้ยงในดินผสมบรรจุในถงุ ดา ประมาณ 1-2 เดือน จนกงิ่ ปักชามีการแตกใบใหม่ออกมา แล้วจงึ นาลงปลกู ในแปลง การตอนกิ่ง (Layering) เปน็ การทาให้กิง่ พืชเกิดใหม่ในขณะทีย่ งั อย่บู นต้นแม่ข้อดีคือมีอาหารจากตน้ แม่มาเลี้ยงในช่วงที่รอให้ เกิดรากนิยมทาในฤดูฝน โดยเลือกตอนกิง่ ที่แข็งพอสมควร มักนิยมใช้กงิ่ ทตี่ ้ังตรง เพราะออกรากง่าย กว่ากิ่งทีอ่ ย่ใู นแนวนอน ขนาดเส้นผ่าศนู ย์กลางต้งั แต่ 0.5 ซม. ขึน้ ไป มีวิธีการดังน้ี 1. การเลือกกิง่ เลือกกิง่ ตอนที่มีความสมบูรณ์ ไม่อ่อนหรือแก่เกนิ ไป ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกิง่ ต้ังแต่ 0.5 เซนติเมตรขนึ้ ไป มกั ใช้กิง่ ต้งั ตรงมากกว่ากิง่ ทีอ่ ย่ใู นแนวนอน เช่น กงิ่ กระโดง เพราะ มีการเกิดรากดีกว่า 2. การควัน่ กิง่ เพือ่ ให้เกิดการสะสมอาหารบริเวณตอนบนของรอยควนั่ ความยาวแผลทีค่ วัน่ กิง่ ประมาณ 1 น้วิ จากนนั้ ใช้มีดขดู เนื้อเยือ่ ด้านนอกออก 3. การใช้สารเร่งราก นาเซราดิกซ์ (IBA ความเข้มข้น 3,000 ppm) ละลายด้วยน้า ใช้พู่กันทา บริเวณรอยแผลด้านบน ทงิ้ ให้แห้งพอหมาดๆ 4. การหุ้มกิ่งตอน ใช้ขุยมะพรา้ วเป็นต้มุ ตอน โดยนามาแช่น้าแล้วบบี พอหมาดๆ บรรจใุ ส่ ถงุ พลาสติกขนาดประมาณ 2 x 4 น้ิว แล้วนาไปห้มุ กิง่ ตอน 5. การดแู ลรักษากิ่งตอนขณะออกราก ต้องรักษาความชื้นให้เหมาะสม ถ้าเป็นช่วงหน้าแล้งต้องมี การให้น้าต้มุ ตอนเพมิ่ ขึ้น หลังจากตอนประมาณ 1-2 เดือน ตัดกงิ่ ตอนลงถุง และเลี้ยงไวใ้ น โรงเรือนเพาะชาประมาณ 1-2 เดือน แล้วจึงนาปลกู ในแปลงได้ การต่อกิง่ แบบเสียบยอด ( Cleft Grafting) การต่อกิง่ คือ การนากงิ่ พนั ธ์ดุ ีมาต่อบนตน้ ตอ มักใช้สาหรบั การเปลีย่ นพันธ์พุ ืชมากกว่าการขยายพันธ์ุ นิยมใช้แพร่หลายและได้ผลดีกับทงั้ ไม้ผลและไมป้ ระดบั เชน่ มะมว่ ง ขนนุ เฟอื่ งฟ้า ชบา โกศล เป็น ต้น ปัจจยั สาคัญทีส่ ดุ ในการต่อกงิ่ คือ ตน้ ตอและต้นพนั ธ์ดุ ีเมื่อต่อแล้ว เน้ือเยือ่ เจริญของตน้ ตอและกิง่ พนั ธ์ุดีต้องเชอื่ มต่อกนั ได้ สามารถเจริญเติบโต ออกดอก และตดิ ผลได้ 1. การเตรยี มต้นตอ เลือกตน้ ตอขนาดใกลเ้ คียงกบั กิง่ พันธุ์ดี ตัดตน้ ตอบริเวณทีไ่ ม่มีข้อหรือตาให้ เป็นมุมฉาก ผ่าต้นตอตามยาวให้ลึกประมาณ 1-2 น้ิว แล้วแต่ขนาดของกิง่ 2. การเตรยี มกิ่งพันธุ์ดี เลือกกิ่งพนั ธ์ดุ ีให้มีขนาดใกล้เคียงกับต้นตอ เฉือนโคนกงิ่ พนั ธ์ดุ ีให้เฉียงลง ทั้งสองข้างเปน็ รปู ลิม่ ยาวประมาณ 1-1/2 น้วิ 3. การเสียบกงิ่ พันธ์ดุ ีบนต้นตอ เผยรอยผ่าบนต้นตอโดยใช้ใบมีดสอดเข้าไป บิดมีดใหร้ อยผ่าเผย ออก สอดโคนกิง่ พนั ธุ์ดีใหแ้ นวเนือ้ เยื่อเจริญของตน้ ตอและกิง่ พันธด์ุ ีทับกนั พนั ด้วยเทป พลาสตกิ ใหแ้ นน่
Search