Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อิทธพลผลงานทัศนศิลป์จากวัฒนธรรมตะวันตก

อิทธพลผลงานทัศนศิลป์จากวัฒนธรรมตะวันตก

Published by Dree Ma, 2020-11-15 21:36:00

Description: อิทธพลผลงานทัศนศิลป์จากวัฒนธรรมตะวันตก

Search

Read the Text Version

อทิ ธพลผลงานทศั นศลิ ป์ จากวฒั นธรรมตะวนั ตก ลงั กา ศรีลงั กาเป็นประเทศบ้านพเ่ี มืองน้องของไทยในด้านพทุ ธศาสนา ทวา่ ออกจะพลดั พรากจากกนั ไกลไปสกั นิด เนอื่ งเพราะ ไมม่ อี าณาเขตติดตอ่ กนั แตค่ วามสมั พนั ธ์ของสองประเทศนมี ้ มี าช้านาน ดงั่ ที่เคยเขยี นเลา่ ถงึ ทมี่ าของ “ลงั กาวงศ์” และ “สยามวงศ์” ซงึ่ นนั่ ทาให้ไทยและศรีลงั กาไมห่ า่ งเหินกนั จนเกินไป โดยเฉพาะในระยะเวลา 10 กวา่ ปีมานที ้ ่ีคนไทยนยิ ม เดินทางไปทอ่ งเทย่ี วศรีลงั กากนั มากขนึ ้ ประวตั ิศาสตร์อนั ยาวนานที่จารึกไว้ในคมั ภีร์ตา่ งๆ ของศรีลงั กา ทาให้ได้ค้นพบวา่ พทุ ธศาสนาในศรีลงั กามีทงั้ ยคุ เจริญรุ่งเรืองสดุ ขดี (สมยั พระเจ้าเทวานมั ปิยตสิ สะ) และช่วงตกตา่ จนถงึ ขีดสดุ พทุ ธศาสนาในศรีลงั กาดาเนนิ ไปไมค่ อ่ ย ราบรื่นสกั เทา่ ไรนกั เริ่มตงั้ แตก่ ารตอ่ ส้กู ้เู อกราชคนื จากทมิฬ (สมยั พระเจ้าทฏุ ฐคามนี) การแตกแยกกนั ของคณะสงฆ์ (สมยั พระเจ้าวฏั ฏคามนีอภยั ) พทุ ธศาสนาในลงั กาถกู กลบั มาฟืน้ ฟคู ไู่ ปกบั การกอบก้เู อกราชอีกครัง้ (ในสมยั พระเจ้าวชิ ยั พาหทุ ี่ 1) หนกั สดุ กเ็ ห็นจะ เป็นการตกอยภู่ ายใต้อาณานิคมของชาตติ ะวนั ตก ทงั้ โปรตเุ กส (สมยั พระเจ้าปรากรมพาหทุ ี่ 8) ฮอลนั ดา (สมยั พระเจ้าราช สงิ หะท่ี 2) และยคุ สดุ ท้ายเป็นการสนิ ้ สดุ ระบอบกษัตริย์ ผ้ซู งึ่ มหี น้าท่คี อยกอบก้ฟู ืน้ ฟเู อกราชและพทุ ธศาสนา เมือ่ องั กฤษ เข้ามายดึ ครองศรีลงั กา ในสมยั พระเจ้าศรีวกิ รมราชสงิ หะ ประมาณพ.ศ. 2358 อยา่ งไรก็ดี ศรีลงั กายงั คงมรี ่องรอยทางพทุ ธประวตั ิท่งี ดงาม สอื่ สารผา่ นงานสถาปัตยกรรมเกา่ แกแ่ ละลา้ คา่ อดุ มด้วย คติธรรมแหง่ พทุ ธะท่ปี รากฏอยใู่ นทกุ ๆเนอื ้ งาน เนือ่ งเพราะรากฐานของศรีลงั กาท่มี กั จารึกเร่ืองราวทางประวตั ิศาสตร์ไว้ใน คมั ภีร์ การสานตอ่ ด้านศาสตร์และศลิ ป์ จงึ เป็นหน้าที่ของผ้ปู กครองทกุ คน นกั ประวตั ศิ าสตร์เช่ือวา่ ไทยและศรีลงั กามคี วามสมั พนั ธ์กนั มายาวนานกวา่ 700 ปี ซงึ่ ไมใ่ ช่เพียงแคด่ ้านหลกั ธรรมทาง พทุ ธศาสนาเทา่ นนั้ ทวา่ ในแง่ของคตกิ ารก่อสร้างในศาสนสถาน ก็ถือได้วา่ ศรีลงั กามอี ทิ ธิพลตอ่ การสร้างเจดยี ์ในประเทศ ไทยไมน่ ้อย ยกตวั อยา่ งเช่น “เจดยี ์ทรงระฆงั ควา่ ” ซงึ่ บางครัง้ เรียกกนั วา่ “เจดยี ์ทรงลงั กา” รูปแบบเดน่ ชดั ของเจดยี ์ทรงระฆงั ลงั กา คือองค์ระฆงั ทรงโอควา่ ขนาดใหญ่ ฐานเตีย้ มีบลั ลงั ก์สเ่ี หลยี่ มเหนอื องค์ระฆงั และ ตอ่ ด้วยกรวยแหลม ที่เรียกกนั ภายหลงั วา่ “ปล้องไฉน” ในประเทศไทย พระบรมธาตเุ จดยี ์ จงั หวดั นครศรีธรรมราช ถกู ถา่ ยถอดแบบจากเจดยี ์ลงั กาในช่วงราว พ.ศ. 1700 มชี ้าง ล้อมทฐี่ านอนั เป็นลกั ษณะพเิ ศษเฉพาะของศรีลงั กา รวมทงั้ ข้อมลู ตานานพระบรมธาตเุ มืองนครที่เลา่ สบื กนั มา กม็ เี ค้ามา จากตานานพระทนั ตธาตขุ องสงิ หลโบราณด้วยครับ หลงั พ.ศ. 1800 ลงมา รัฐตา่ งๆท่เี กิดขนึ ้ ใหม่ เช่น ล้านนา สโุ ขทยั อยธุ ยา เร่ิมนิยมเจดยี ์ทรงระฆงั คไู่ ปกบั การเปลย่ี นศาสนาจากฮินดู-มหายาน มาเป็นพทุ ธศาสนาเถรวาทตามแบบศรีลงั กา กนั เกือบทงั้ สนิ ้ เช่น เจดียว์ ดั ช้างล้อม ทอ่ี าเภอศรีสชั นาลยั จงั หวดั สโุ ขทยั เป็นเจดยี ์ทรงระฆงั กลม ฐานมีรูปช้างล้อมรอบ นบั วา่ เป็นเจดีย์ที่งดงามที่สดุ องคห์ นง่ึ ของสมยั สโุ ขทยั เลยครับ

นอกจากนี ้ยงั มเี จดียว์ ดั สวนดอก เจดยี ์วดั ป่าแดงหลวง จงั หวดั เชยี งใหม่ เจดีย์วดั ช้างคา้ จงั หวดั นา่ น ตา่ งก็เป็นเจดยี ์ช้าง ล้อมทรงกลมท่ไี ด้อิทธิพลมาจากศรีลงั กาด้วยกนั ทงั้ สนิ ้ ความแพร่หลายของเจดยี ์ช้างล้อม เป็นสง่ิ ทีช่ าวไทยพทุ ธใน ขณะนนั้ เห็นวา่ เป็นสญั ลกั ษณ์ทสี่ ะท้อนถึงความเป็นพระพทุ ธศาสนา และสะท้อนการยอมรับวา่ พทุ ธศาสนาในศรีลงั กา เป็นพทุ ธศาสนาท่ปี ระเสริฐและบริสทุ ธ์ิ อกี ทงั้ ยงั เป็นการฉายภาพความสมั พนั ธ์ของทงั้ 2 ประเทศผา่ นงานพทุ ธศิลป์ ได้เป็น อยา่ งดอี กี ด้วยครับ ย้อนกลบั ไปราว พ.ศ. 200-300 เจดยี ์ทรงระฆงั มีถ่ินกาเนิดจากอนิ เดียโบราณ สมยั ราชวงศ์โมริยะ-ศงุ คะ ทางลมุ่ นา้ คงคา จดุ เร่ิมต้นมาจากพธิ ีฝังศพในสมยั กอ่ นทน่ี ิยมนาดนิ มากลบและสร้างเป็นเนนิ ดนิ เลก็ ๆ อาจจะมกี ารปัก สญั ลกั ษณ์ เพอื่ บอกความสาคญั ของบคุ คลผ้นู นั้ เมอื่ การทาเนนิ ดนิ ไมถ่ าวร จึงมกี ารใช้หินมาสร้างเจดยี ์เป็นครัง้ แรก ใน สมยั พระเจ้าอโศกมหาราช (พ.ศ. 270-311) กาเนดิ สถปู สาญจี ทรงชามควา่ พร้อมประต(ู โตรณะ) ระเบยี งล้อมรอบ ประดบั ด้วยลวดลายสลกั อยา่ งงดงาม ภายในบรรจพุ ระบรมสารีริกธาตุ และปักร่ม(ฉตั รวล)ี จากนนั้ เจดีย์รูปแบบนจี ้ งึ แผข่ ยายไป ทว่ั อนิ เดยี สง่ ไปถึงอนิ เดียใต้ (ศิลปะอมราวดี) ข้ามเกาะไปศรีลงั กาในสมยั พระเจ้าเทวานมั ปิยติสสะ ราวพทุ ธศตวรรษที่ 3 สว่ นเจดยี ์ในศรีลงั กา ซง่ึ พฒั นาจากสถปู ของอินเดยี ทวา่ ปรับเปลยี่ นรูปแบบเป็นทรงชามควา่ ขนาดใหญ่มาก ฉตั รวลยี ดื สงู กลายเป็นปลยี อด (ยอดเจดยี ์) บางครงั้ มีช้างยืนล้อมสถปู เมอื่ มีการเดินเรือค้าขายมากขนึ ้ ทางศรีลงั การับพทุ ธศาสนาไป พร้อมสร้างเจดียเ์ ป็นมหาสถปู ประจาเมอื ง ทส่ี าคญั คอื รุวนั เวลเิ สยะ(Ruwanveli Seya) หรือที่รู้จกั กนั วา่ สวุ รรณมาลกิ เจดยี ์ เจดยี ์อภยั คีรี และเจดีย์เชตวนั ทงั้ สามองค์นอี ้ ยใู่ นเมอื งอนรุ าธปรุ ะ(Anuradhapura) ราชธานเี ก่าของศรีลงั กาใน บรรดาสถปู อนั งดงามแปลกตาในเมืองอนรุ าธปรุ ะ คงไมม่ สี ถปู ใดเกินไปกวา่ “สถปู รุวนั เวลเิ สยะ” บริเวณโดยรอบกาแพง ของสถปู มรี ูปปัน้ ช้างขนาดใหญ่เรียงรายแลดมู นั่ คง โดยรอบเหลยี่ มมมุ ของกาแพงเป็นสญั ลกั ษณ์วา่ บรรดาช้างเหลา่ นไี ้ ด้ ทาหน้าท่ีในการปกปอ้ งรักษาสถปู แหง่ นเี ้อาไว้นน่ั เองครับ และแม้จะมขี นาดไมใ่ หญ่โตนกั แตส่ ถปู รุวนั เวลเิ สยะ ก็ถกู จดั ให้ มคี วามสาคญั ในลาดบั ต้นๆ เพราะท่ีมาของสถปู แหง่ นี ้สร้างขนึ ้ โดยพระเจ้าทฏุ ฐคามนี (พ.ศ. 382-406) โดยโปรดให้สร้าง ขนึ ้ ภายหลงั จากเสร็จศกึ ยทุ ธหตั ถีกบั กษัตริย์ทมิฬ ตอ่ มาศรีลงั กาย้ายเมืองหลวงลงมาอยทู่ ่โี ปโฬนนารุวะ(Polonnaruva) ในสมยั พระเจ้าปรากรมพาหมุ หาราช ได้ยดึ ครองอาณาจกั รโปโฬนนารุวะได้ทงั้ หมด ทรงครองราชยร์ ะหวา่ งปีพ.ศ. 1696- 1729 กลายเป็นยคุ ทองของพทุ ธศิลป์ ศรีลงั กา พระองค์ทรงชาระพทุ ธศาสนาเสยี ใหม่ โบราณสถานตา่ งๆ ท่ีโปโฬนนารุวะ มี ความสมบรู ณ์กวา่ อนรุ าธปรุ ะมาก เพราะแม้เป็นซากกาแพงเมือง วิหาร พระราชวงั ล้วนยงั คงรูปร่างเค้าโครงเดิมทงั้ สนิ ้ มศี าสนสถานท่เี กย่ี วเนือ่ งกบั พทุ ธศาสนาในศรีลงั กามากมาย อาทิหารถปู าราม (Thuparama Cetiya) เป็นหนงึ่ ในโสฬส บณุ ยสถานอนั ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ของชาวพทุ ธศรีลงั กา ถือวา่ เป็นเจดยี แ์ หง่ แรกของลงั กา เป็นปฏมิ าฆระ ประดิษฐานพระพทุ ธรูปนงั่ อยภู่ ายใน สร้างขนึ ้ จากอฐิ ทงั้ หลงั จงึ มคี วามแขง็ แรง เพราะต้องรองรับนา้ หนกั เป็นพิเศษ และยงั สวยงามเน่ืองเพราะมี หลงั คาเป็นรูปโค้งแบบกระทะควา่ ทเี่ รียกวา่ “เคทเิ ค” หลงั คาอยภู่ ายในคอ่ นข้างมดื ทบึ ครับ มีพระพทุ ธรูปสลกั หินอยหู่ ลาย องค์ด้วยกนั มีประตเู ข้าด้านหน้าเพียงทางเดยี ว มพี นื ้ ทปี่ ระมาณ 16 ตารางเมตร ไมก่ ว้างขวางนกั มีฝาผนงั สงู กอ่ ด้วยอฐิ มี ความหนาถึง 2.10 เมตร สว่ นยอดของอาคารมีการประดบั ตกแตง่ ลวดลายดอกบวั สว่ นสถปู แบบวฏทาเค (Vatadage) ใน ภาษาสงิ หล ใช้เรียกสถปู ทมี่ ีหลงั คาคลมุ เป็นศลิ ปะของพทุ ธศาสนานิกายมหายานแบบตนั ตระ มรี ูปทรงแบบลอมฟาง มี เสาหินเรียงรายอยู่ 3 แถวโดยรอบ แตเ่ ดมิ มหี ลงั คาเครื่องไม้มงุ กระเบอื ้ งครอบอยู่ ตรงกลางเป็นเจดีย์ทรงกลม บางครงั้่ กอ่ กาแพงด้วยอิฐ ถือปนู บางครงั้ ปลอ่ ยโลง่ ไมม่ ีพระพทุ ธปฏิมาประดิษฐาน มีความหมายคือเพอื่ ให้เป็นตวั แทนของ พระพทุ ธเจ้าในฐานะพระธรรมกายกลั วิหาร (Gal Viharaya) หรือช่ือเดมิ คอื อตุ ตราราม แปลวา่ วหิ ารหิน เป็นวิหารที่สลกั บนวหิ ารหินแกรนติ ประตมิ ากรรมขนาดใหญ่ของพระพทุ ธรูปจานวน 4 องค์ ในอริ ิยาบถตา่ งกนั แกะลงเนอื ้ หิน ถือเป็น

ผลงานชนั้ เอกอเุ ชิงศลิ ป์ ของศรีลงั กา ประกอบด้วย 3 ถา้ คอื ถา้ วชิ ชาธรคหู า ถา้ นิสนิ นปฏมิ าคหู า ถา้ นิปันนปฏมิ าคหู า และ ถา้ ที่สร้างขนึ ้ มาใหมภ่ ายหลงั ในสมยั พระเจ้านิสสงั กมลั ละ คอื ถา้ อตุ ติตปฏมิ าคหู า ตอ่ มาถา้ ตา่ งๆถกู ทงิ ้ ร้างภายหลงั อาณาจกั รโปโฬนนารุวะลม่ สลาย และถกู ค้นพบอกี ครัง้ เมอ่ื ปีพ.ศ. 2450 สมยั ท่อี งั กฤษเข้ามาปกครอง และได้รับความ สนใจจากทวั่ โลก หากวิเคราะห์ในภาพรวมจะพบวา่ มีการผสานคติความเชื่อแบบเถรวาทดงั้ เดมิ เข้ากบั คาสอนมหายาน และฮินดู สะท้อนวา่ คติความเช่อื ของมหายานและฮินดยู งั คงเจริญเตบิ โตคขู่ นานไปกบั พทุ ธศาสนาในศรีลงั กา ทวา่ ยก สถานภาพของพระพทุ ธเจ้าให้สงู สง่ เหนือเทพเจ้าทงั้ ปวง จนกลายเป็นอตั ลกั ษณ์ทางวฒั นธรรมท่สี าคญั ของศรีลงั กามา จนถงึ ปัจจบุ นั นคี ้ รับ สว่ นอาคารรูปสเี่ หลย่ี มช่ือวา่ “อาตทาเค” (Atadage) และ “ฮาตทาเค” (Hatadage) มลี กั ษณะ แผนผงั โดยทว่ั ไปเหมอื นกนั เพียงแตฮ่ าตทาเคจะใช้หินเป็นวสั ดหุ ลกั และทงั้ คเู่ คยเป็นสถานทปี่ ระดษิ ฐานพระเขีย้ วแก้วทงั้ 2 วิหาร เพราะฉะนนั้ ลานแหง่ นจี ้ งึ เรียกวา่ ลานพระเขยี ้ วแก้ว ซงึ่ จะมีกลมุ่ โบราณสถานสาคญั รวม 12 แห่ง มีประตทู างเข้า ทางทศิ ตะวนั ออก มีอา่ งนา้ ขนาดยาวอยหู่ นง่ึ ใบ ใช้สาหรับล้างเท้ากอ่ นจะขนึ ้ ไปบนลานอนั ศกั ดิส์ ทิ ธิ์ ฮาตทาเคมกี าแพงหนิ ล้อมรอบ ตวั วหิ ารก็สร้างด้วยหนิ ภายในเป็นห้องรูปสเี่ หลย่ี มจตรุ ัส มพี ระพทุ ธรูปประทบั ยนื 3 องค์ประดษิ ฐานอยู่ มมี ขุ ย่ืน ออกมาทางด้านหน้า ท่ีผนงั ของมขุ ด้านหน้ามีอกั ษรจารึกเร่ืองราวของพระเจ้านสิ สงั กมลั ละ และมีภาพหงส์สลกั ยาวเป็น แนวอยดู่ ้วย ประตทู างเข้าจะประดบั ด้วยรูปนกั ฟอ้ นรา นกั ดนตรี ทาจากปนู ปัน้ สว่ นหน้าบนั ไดทางขนึ ้ จะมีทวารบาลและ อฒั จนั ทร์อยดู่ ้วย วหิ ารนแี ้ ตเ่ ดิมเป็น 2 ชนั้ แตช่ นั้ บนเป็นไม้ ซง่ึ ผพุ งั ไปหมดแล้ว รังโกตฏเวเหระ (Rankot vehera) แปลวา่ เจดีย์ท่มี ยี อดเป็นทอง เป็นเจดยี ์ใหญ่ท่สี ดุ ในเมอื งเกา่ โปโฬนนารุวะ เจดยี ์มีรูปทรงเป็นบาตรคว่าหรือทรงฟองนา้ สร้างโดย พระเจ้านิสสงั กมลั ละ (พ.ศ. 1730 – 1739) เป็นเจดยี ์ทมี่ ีขนาดใหญ่ทสี่ ดุ ในโปโฬนนารุวะ สงู กวา่ 55 เมตร เส้น ผา่ นศนู ย์กลาง 54 เมตร ตงั้ ใจจาลองมาจากรุวลั เวลเิ สยะทเี่ มอื งอนรุ าชปรุ ะ นสิ สงั กลฎามณฑป (Nissanka Lata Mandapa) เป็นอาคารขนาดเลก็ สร้างด้วยหิน ตงั้ อยใู่ นเขตรวั้ หนิ ทส่ี ลกั เลยี นแบบเครื่องไม้ หลงั คาได้ผพุ งั ไปหมดแล้ว เหลอื แตเ่ สาหนิ ภายในอาคาร ซง่ึ สลกั เป็นรูปก้านดอกบวั สว่ นบวั หวั เสาสลกั เป็นรูปดอกบวั กาลงั แย้ม บริเวณตรงกลาง วิหารจะมีพระเจดยี ์เลก็ ๆ ตงั้ อยภู่ ายใน ซงึ่ เป็นสถานทที่ ่พี ระเจ้านสิ สงั กมลั ละ เสด็จมาทรงฟังพระภกิ ษุสงฆ์สวดพระปริตร เนื่องจากพทุ ธศาสนาในศรีลงั กามีความรุ่งเรืองสลบั กบั ความตกตา่ มาหลายยคุ หลายสมยั โดยเฉพาะในสมยั อนรุ าธปรุ ะ ถือวา่ เป็นยคุ ทพ่ี ทุ ธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นอยา่ งมาก เราจงึ พบวดั วาอารามน้อยใหญ่มากมายเหมือนเช่นประเทศไทย ทงั้ ในระดบั หมบู่ ้านหรือเมืองอารามท่สี ร้างโดยกษัตริย์ มกั จะมอี งค์ประกอบสาคญั และเป็นแบบอยา่ งให้กบั อารามทว่ั ไปน่ัน คือ สถปู อโุ บสถ ปฏมิ าฆระ และโพธิมณฑลโพธิมณฑล หมายถึงบริเวณทป่ี ลกู ต้นโพธิ์ครับ เนือ่ งจากศรีลงั กาให้ความนบั ถือต้นโพธิ์เป็นอยา่ งยิ่ง เพราะเป็นสงิ่ สกั การะบชู าแทนองค์สมเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า และกิ่งโพธิ์กิ่งแรกของศรีลงั กามา จากพทุ ธคยา ประเทศอินเดยี ปลกู ไว้ ณ มหาวหิ าร ในสมยั พระเจ้าเทวานมั ปิยติสสะรรมเนียมชาวพทุ ธศรีลงั กา มปี ระเพณี บชู าต้นพระศรีมหาโพธิ์สองครัง้ ตอ่ วนั คอื ในตอนเพลถวายภตั ตาหารหวานคาว ดอกไม้และธูปเทยี น สว่ นตอนเย็นถวายนา้ ปานะพร้อมดอกไม้และธูปเทยี น ประหนง่ึ ได้เข้าเฝา้ พระพทุ ธเจ้า ในแตล่ ะวนั จะมีชาวศรีลงั กาเข้ามากราบสกั การะและสวด มนต์อยบู่ ริเวณต้นโพธิ์ เป็นจานวนมาก และชาวพทุ ธในศรีลงั กามกั จะนานา้ มารดที่โคนต้นโพธ์ิอยเู่ สมอ เพราะเช่ือวา่ เป็น การทาให้พทุ ธศาสนาเจริญรุ่งเรือง และทาให้ชีวติ ตนเองนนั้ รุ่งเรือง งอกงาม ร่มเย็นอกี ด้วยครับ ในการเดนิ ทางไปศรีลงั กา นนั้ ผมได้มีโอกาสเดินขนึ ้ ไปบนเขาสคี ีริยา (Sigiriya) หรือสงิ หคีรี แปลวา่ ภเู ขาแหง่ พญาราชสหี ์ ซง่ึ เป็นพระราชวงั ของพระ เจ้ากสั สปะท่ี 1 (พ.ศ. 1020-1038)





เมอื งหลวงเดมิ ทีโ่ ปโฬนนารุวะ เขาสคี ีริยา

มอญ สหภาพเมียนมาร์หรือประเทศพมา่ ในปัจจบุ นั เป็นดินแดนหนงึ่ ทเ่ี ริ่มมกี ารเข้ามาใช้งานพนื ้ ท่ีตงั้ แตย่ คุ ก่อนประวตั ศิ าสตร์ ซง่ึ พบหลกั ฐานทางโบราณคดีตา่ งๆ อาทิ ขวานหินขดั ลกู ปัด เครื่องประดบั งานสาริด และภาชนะดนิ เผาเทคนคิ พนื ้ ๆ ที่ มลี กั ษณะคล้ายคลงึ กบั แหลง่ โบราณคดีอ่ืนๆในภมู ภิ าคใกล้เคียงบริเวณเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ จนถึงพทุ ธศตวรรษท่ี 7 ทงั้ นพี ้ นื ้ ท่นี อี ้ ดุ มสมบรู ณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ทงั้ ภเู ขา พนื ้ ทร่ี าบลมุ่ แมน่ า้ และยงั มพี นื ้ ทีบ่ างสว่ นตดิ ทะเลจึงดงึ ดดู ให้ มนษุ ยเ์ ข้ามาใช้งานอยา่ งตอ่ เนือ่ งยาวนาน จนกระทงั่ ราวพทุ ธศตวรรษท่ี 7 – 8 อารยธรรมอนิ เดยี เร่ิมแพร่ขยายเข้ามาใน เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้โดยการเดินเรือตดิ ตอ่ ค้าขาย จึงได้นาอารยธรรมเหลา่ นนั้ เข้ามาเผยแพร่ด้วย โดยมีเมืองทา่ สาคญั ท่ีตงั้ ติดอยกู่ บั ชายอา่ วเบงกอลอยา่ ง เมืองสะเทิม แถบอา่ วเมาะตะมะ เมอื งธญั ญวดี เมืองเวสาลใี นรัฐยะไข่ เป็นจดุ แรก รับอารยธรรมอนิ เดยี ในแผน่ ดินของพมา่ กอ่ นทจี่ ะสง่ ผา่ นตดิ ตอ่ ค้าขายยงั สว่ นอ่นื ๆตอ่ ไป ชว่ งเร่ิมรับอารยธรรมอนิ เดียใน พทุ ธศตวรรษที่ 7-11 มจี ดหมายเหตขุ องจีน ได้กลา่ วถึงอาณาจกั รปยซู งึ่ ได้รับอทิ ธิพลจากวฒั นธรรมอินเดยี ในราวพทุ ธ ศตวรรษท่ี 8 สว่ นวฒั นธรรมทางพทุ ธศาสนากลา่ วไว้เกี่ยวกบั การเดนิ ทางมาเผยแพร่พทุ ธศาสนาของสมณทตู จากอินเดยี ในช่วงเวลาเดยี วกบั การเผยแพร่พทุ ธศาสนาในศรีลงั กา ประเทศสหภาพพมา่ (Burma) ปัจจบุ นั เปลย่ี นช่ือเป็น เมยี นมาร์ (Myanmar) ตงั้ อยทู่ างตะวนั ตกของคาบสมทุ รอิน โดจีนหรือเอเชียอาคเนย์ ภมู อิ ากาศอยใู่ นยา่ นมรสมุ เขตร้อน สภาพภมู ิประเทศตอนบนคอ่ นข้างแห้งแล้งกวา่ ตอนลา่ ง มี แมน่ า้ อิระวดเี ป็นแมน่ า้ สายสาคญั ไหลผา่ นจากทิศเหนือสอู่ า่ ว เบงกอล ทางทศิ ใต้ ประเทศพมา่ ประกอบด้วยหลายชนชาติ เมอื งสาคญั ตา่ งๆด้านประวตั ิศาสตร์ ศิลปวฒั นธรรม การปกครอง และเศรษฐกิจ สว่ นใหญ่ตงั้ อยบู่ ริเวณทีร่ าบลมุ่ แมน่ า้ ซงึ่ ศิลปะพมา่ สว่ นใหญ่ได้รับอทิ ธิพลจากประเทศอนิ เดีย โดยเฉพาะอินเดยี ตะวนั ออกซงึ่ อยใู่ กล้ประเทศพมา่ มากทีส่ ดุ แต่ พมา่ ก็นามาปรับเปลยี่ นให้มีลกั ษณะเฉพาะตวั และรักษาเอกลกั ษณ์ทางศิลปวฒั นธรรมดงั้ เดมิ ไว้ได้อยา่ งมาก ศลิ ปะพมา่ สว่ นใหญ่ได้รับอทิ ธิพลจากพระพทุ ธศาสนา รวมทงั้ จิตวญิ ญาณและวถิ ีชีวติ ของชาวพมา่ ด้วย เนื่องจากพมา่ ยงั นบั ถือพทุ ธ ศาสนาอยา่ งเคร่งครัด แบบแผนในงานศลิ ปะจงึ ปฏิบตั ิเข้มงวดตามประเพณี และสะท้อนให้เหน็ ความเชื่อและวฒั นธรรม ของพระพทุ ธศาสนาในประเทศพมา่ สนั นิษฐานวา่ ได้รับอทิ ธิพลจากอินเดยี ตงั้ แตส่ มยั พระเจ้าอโศกมหาราช ฝ่ายนกิ ายหินยานหรือเถรวาทแบบลงั กาวงศ์ ควบคไู่ ปกบั การนบั ถือผสี างเทวดา เช่น คตคิ วามเชื่อเรื่องผนี ตั วิญญาณบรรพบรุ ุษ และศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ศิลปกรรมแสดงปรากฏออกมาสบื เนอ่ื งผสมผสานมาจากแบบหนิ ยานและมหายาน ซงึ่ กลา่ วได้วา่ ศลิ ปะเกี่ยวกบั พทุ ธ ศาสนาได้รับการอปุ ถมั ภ์มากท่ีสดุ เพราะมีรูปแบบเฉพาะตวั และสร้างขนึ ้ ภายใต้ความศรัทธาอยา่ งลกึ ซงึ ้ ทงั้ ความงาม ทางสถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม ศลิ ปหตั ถกรรมหรืองานประยกุ ต์ศิลป์ ตา่ งๆ จนกลา่ วได้วา่ เป็นแดนพทุ ธ ศิลป์ ที่ใหญ่ทสี่ ดุ ในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ศิลปะพมา่ มีประวตั คิ วามเป็นมายาวนาน แตก่ ารศกึ ษาเร่ิมขนึ ้ เม่ือได้รับอิทธิพลจากวฒั นธรรมอนิ เดยี ดงั นนั้ การจดั สมยั ศิลปะพมา่ ของนกั วชิ าการสว่ นใหญ่จะเร่ิมตงั้ แตส่ มยั ประวตั ศิ าสตร์เป็นต้นมา การจดั สมยั จะเรียกตามเมอื งหรือ อาณาจกั รซง่ึ เคยเป็นศนู ย์กลางปกครองในอดีต เพราะเมอื งเหลา่ นเี ้ปลยี่ นแปลงตามกาลเวลาและววิ ฒั นาการการสร้าง ประเทศ ดงั นนั้ ศลิ ปะพมา่ อาจแบง่ ยคุ สมยั ได้ดงั นี ้ (ศ.หมอ่ มเจ้าสภุ ทั รดิศ ดิศกลุ ,2538 : 316)

สมยั ปยู ปยถู ือได้วา่ เป็นอาณาจกั รแรกของประเทศพมา่ อาศยั อยใู่ นประเทศพมา่ มาตงั้ แตก่ ่อนพทุ ธศตวรรษที่ 10 อพยพ ลงมาจากเทอื กเขาทเิ บตทางตอนเหนือ เชือ้ สายอินโดทเิ บเตยี น รับอารยธรรมอินเดียร่วมสมยั กบั เมอื งมอญทางตอนใต้ คอื สธุ รรมวดี หรือสะเทมิ (Thaton) และวฒั นธรรมมอญ ทวารวดใี นประเทศไทยด้วย อาณาจกั รปยตู งั้ อยทู่ างตอนกลาง ของลมุ่ แมน่ า้ อริ ะวดีและอาณาจกั รมอญมบี ทบาทสาคญั ในการกอ่ กาเนดิ ศิลปะพมา่ ขนึ ้ สว่ นแคว้นยะไข่ (Arakan) นนั้ เนื่องจากสภาพภมู ศิ าสตร์ของทต่ี งั้ จงึ เป็นตวั เชื่อมความสมั พนั ธ์ระหวา่ งดนิ แดนของประเทศพมา่ และภาคตะวนั ออกเฉียง ใต้ของประเทศอนิ เดยี สมยั นจี ้ งึ ได้รับอิทธิพลของศิลปะอมราวดี ความเกา่ แกข่ องวฒั นธรรมศาสนาพทุ ธศาสนาที่ แพร่หลายจากอนิ เดียมาสภู่ าคกลางของพมา่ เริ่มมาตงั้ แตพ่ ทุ ธศตวรรษท่ี 11 แล้ว ในราวพทุ ธศตวรรษที่ 12-13 พทุ ธ ศาสนาลทั ธิเถรวาทสองนิกายใหญ่เจริญควบคกู่ นั คอื นกิ ายเถรวาทหรือหนิ ยานซงึ่ ใช้ภาษาบาลี และนกิ ายมลู สรรวาสติ วาทซงึ่ ใช้ภาษาสนั สกฤต นิกายมลู สรรวาสติวาทแยกมาจากนิกายเถรวาทโดยตรง มีหลกั ธรรมใกล้เคยี งกนั ได้แพร่หลาย ไปทวั่ อินเดียภาคกลางและอนิ เดยี ภาคเหนอื ปัจจบุ นั วนิ ยั ของนิกายนนี ้ บั ถือโดยพระภกิ ษุในทิเบต แตใ่ นขณะเดยี วกนั ก็พบ หลกั ฐานเกี่ยวกบั ศาสนาพราหมณ์ด้วย ซงึ่ สนั นษิ ฐานวา่ เป็นศาสนาแรกรับกอ่ นพทุ ธศาสนา อาณาจกั รปยดู ินแดนเกา่ แก่ ซง่ึ จดหมายเหตจุ ีนเรียกวา่ เมือง ศรีเกษตร (Srikshetra) แปลวา่ ดนิ แดนอนั ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ ปัจจบุ นั คอื เมืองแปร เมืองศรี เกษตรเป็นราชธานีแหง่ แรก มีหลกั ฐานวา่ มกี ษัตริย์ราชวงศว์ ิกรม (Vikarama) เป็นผ้ปู กครอง เมอื งเบคทาโน่ (Beikthano) เป็นราชธานแี หง่ ทส่ี องเจริญอยใู่ นชว่ งพทุ ธศตวรรษที่ 12 จนถึงช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี 13 จึงได้ย้ายราชธานีไป อยทู่ ฮ่ี าลนิ (Ha-lin) ซง่ึ อยทู่ างทศิ เหนอื (เหนอื เมืองมณั ฑะเลย์) จนถงึ พทุ ธศตวรรษท่ี 14 จงึ เสอื่ มลงเนอื่ งมาจากการ รุกรานของอาณาจกั รนา่ นเจ้าที่แผอ่ ิทธิพลลงมาจากภาคเหนอื แถวมณฑลยนู นานได้กวาดต้อนชาวปยู 3,000 ครอบครัว จากเมืองฮาลนิ ไปอยอู่ าศยั บริเวณท่ตี งั้ ของเมืองคนุ หมงิ ปัจจบุ นั สมยั มอญ มอญโบราณ เป็นชนชาตอิ กี กลมุ่ หนงึ่ ท่พี บหลกั ฐานวา่ อาศยั อยใู่ นแถบอา่ วเมาะตะมะ เช่นที่เมอื งสะเทิม เมอื งทวาย เมืองมะริด และเมอื งใกล้เคยี ง ตงั้ แตพ่ ทุ ธศตวรรษที่ 11-15 บริเวณเมืองทา่ ชายฝ่ังเหลา่ นไี ้ ด้พบหลกั ฐานทางโบราณคดี ของกลมุ่ ชนชาติมอญโบราณกระจายอยปู่ ระปราย สว่ นอาณาจกั รมอญตงั้ อยทู่ างภาคใต้ใกล้กบั ปากแมน่ า้ อิระวดีของ ประเทศพมา่ นนั้ ปรากฏวา่ ตอ่ มาได้ย้ายราชธานไี ปอยทู่ างทศิ ตะวนั ตก เมืองพะโค(Pegu) หรือหงสาวดี ได้สร้างราชธานี ขนึ ้ ในพ.ศ. 1368 (กลางพทุ ธศตวรรษท่ี 14) ในชนั้ ต้นพวกมอญได้นบั ถือศาสนาพราหมณ์และตอ่ มาได้หันมานบั ถือ พระพทุ ธศาสนาอาณาจกั รมอญ (Mon) หรือ รามญั เทศ (Ramannadesa) ซง่ึ มรี าชธานชี ื่อ สธุ รรมวดี (Sudhammavati) และตอ่ มาคอื เมอื งสะเทมิ หรือถะทน (Thaton) มีความสมั พนั ธ์กบั ประเทศอินเดียทางใต้ สง่ อทิ ธิพลพทุ ธศาสนาลทั ธิเถรวาทได้เข้ามาแพร่หลายตงั้ แตร่ าวพทุ ธศตวรรษที่ 10 เดมิ เป็นรัฐอิสระแตถ่ กู พระเจ้าอนิรุทธ (พ.ศ. 1587-1626) มหาราชกษัตริย์พมา่ แหง่ เมืองพกุ ามปราบปรามลงได้ อาณาจกั รมอญต้องตกเป็นประเทศราชของ อาณาจกั รพกุ ามเป็นระยะเวลาอนั ยาวนาน ซงึ่ ตอ่ มาได้กลบั เป็นเอกราชภายหลงั ทอี่ าณาจกั รพกุ ามเสอ่ื มอานาจลง ซง่ึ มี เมืองเมาะตะมะ (Martaban) และเมอื งพะโค(Pegu) ได้ซอ่ มแซมดดั แปลงโบราณสถานสว่ นใหญ่ จนเป็นการยากทจี่ ะ ทราบถงึ สภาพดงั้ เดิมของโบราณสถานเหลา่ นนั้ ได้ ศลิ ปกรรมได้รบั อิทธิพลอนั เดียวกนั ซง่ึ สบื เนื่องมาจากเมืองศรีเกษตร และหลกั ฐานแสดงถงึ ประตมิ ากรรมทีส่ ร้างขนึ ้ ในศาสนาฮินดู สมยั นมี ้ หี ลกั ฐานวา่ เริ่มรับอารยธรรมอินเดยี เข้ามาแล้ว พบ

หลกั ฐานทางโบราณคดี เชน่ พระพทุ ธรูปศิลปะแบบอมราวดี ใกล้เมอื งสะเทมิ ราวพทุ ธศตวรรษที่ 9 เช่ือมโยงกบั อารย ธรรมโบราณ แถบตอนใต้ของพมา่ ด้านทีต่ ดิ กบั ทะเลอนั ดามนั และมหาสมทุ รอินเดยี ศลิ ปะมอญสามารถแบง่ เป็นยคุ ของ ศิลปะมอญโบราณและยคุ ศลิ ปะอาระคนั โบราณ (ยะไข)่ ในพทุ ธศตวรรษที่ 7-15 อยทู่ างภาคตะวนั ตกของพมา่ สมยั โบราณด้านท่ีตดิ กบั ชายทะเลอา่ วเบงกอล หลกั ฐานทางศิลปกรรมมที งั้ ทเี่ กี่ยวเน่ืองกบั ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพทุ ธ (ใน สมยั หลงั อิทธิพลศาสนาอสิ ลามเข้ามาปะปนด้วย) เมื่อพทุ ธศตวรรษท่ี 7-11 พบหลกั ฐานวา่ ชาวมอญโบราณอาศยั อยใู่ น แถบภาคกลางของประเทศไทย คือ บริเวณเดียวกบั พนื ้ ท่ตี งั้ เจดยี จ์ ลุ ประโทน จ.นครปฐม (ปัจจบุ นั ) เมืองราชบรุ ี และเมือง อทู่ อง จ.สพุ รรณบรุ ี พบหลกั ฐานเดน่ คอื โบราณสถานเจดยี จ์ ลุ ประโทน ซง่ึ มีลวดลายปนู ปัน้ ประดบั สถาปัตยกรรมในพทุ ธ ศาสนานกิ ายสรรวาสติวาส (ปัจจบุ นั เก็บรักษาไว้ ณ พพิ ิธภณฑสถานแหง่ ชาติ พระปฐมเจดยี ์ จ.นครปฐม) สมยั พกุ าม สมยั พกุ ามมอี ายตุ งั้ แตพ่ ทุ ธศตวรรษท่ี 16-18 เมอื งพกุ ามตงั้ อยทู่ างฝ่ังตะวนั ออกของ แมน่ า้ อริ ะวดใี นเขตแห้ง แล้งทางภาคกลาง เป็นศนู ยก์ ลางการเมืองการปกครองและศิลปวฒั นธรรมของชาวพมา่ สร้างขนึ ้ และสถาปนาราชธานเี มื่อ ปีพ.ศ. 1392 มอี ายอุ ยรู่ าว 250 ปี (นบั เข้าสยู่ คุ ประวตั ศิ าสตร์โดยมหี ลกั ฐานทางโบราณคดจี ารึกไว้อยา่ งชดั เจนตงั้ แตพ่ ทุ ธ ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา) เมอื่ พระเจ้าอนริ ุทธ์ (Anuruddha) มหากษัตริย์ของประเทศพมา่ ทรงครองราชย์ในปี พ.ศ. 1587-1620 ถือได้วา่ เป็นยคุ ทองหรือยคุ คลาสสกิ ที่สดุ ของชาวพมา่ และเป็นสมยั จกั รวรรดทิ ี่ 1 ของชนชาติพมา่ ด้วย มี การขยายอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ครอบคลมุ ถงึ ภาคใต้แถบอา่ วเมาะตะมะ ภาคตะวนั ออกถงึ แคว้นอาระคนั (ยะไข)่ ภาคเหนอื ถงึ ตอนต้นแมน่ า้ อิรวดแี ละชินด์วิน รวมทงั้ ท่ีราบสงู ไทใหญ่ (รัฐฉาน) อีกด้วย สาหรับทางด้านศลิ ปกรรมนนั้ อาจ แบง่ ออกได้เป็นสองสมยั คอื ชว่ งแรกรับอทิ ธิพลจากศิลปะมอญ และชว่ งหลงั เป็นแบบเอกลกั ษณ์ของพมา่ เอง ซงึ่ จดั เป็น ศลิ ปะของชนชาตพิ มา่ โดยแท้ หลงั จาก อาณาจกั รศรีเกษตรได้เสอื่ มลงเม่ือปีพ.ศ. 1300 อาณาจกั รพกุ ามได้เจริญขนึ ้ มา แทนที่ ในชว่ งแรกศิลปวฒั นธรรมได้รับอิทธิพลจากศิลปะมอญและศลิ ปะปยซู งึ่ ปรากฏในงานศิลปกรรมตา่ งๆ โดย เฉพาะงานสถาปัตยกรรม เมอื งพกุ ามจึงเต็มไปด้วยโบราณสถาน ไมว่ า่ จะเป็นเจดยี ์หรือวิหารรูปทรงตา่ งๆมากมาย เน่อื งจากศิลปะพกุ ามในสมยั พระเจ้าอนริ ุทธมหาราชและพระเจ้าจนั ชิตถา (Kyanzittha) ยงั เป็นศลิ ปะแบบมอญ แตเ่ มื่อ มาตเี มอื งสะเทมิ จึงรับพทุ ธศาสนาลทั ธิเถรวาทไปจากมอญด้วย ศาสนสถานจงึ มกั กอ่ ด้วยอฐิ เป็นชนั้ เดยี วและใช้หนิ เป็น เครื่องตกแตง่ บ้าง แสดงถงึ อิทธิพลผสมระหวา่ งศลิ ปะพนื ้ เมืองกบั ศลิ ปะของอนิ เดยี ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ในระยะต้น ถึงกลางของสมยั พกุ าม ศลิ ปะพมา่ แบบเมอื งพกุ ามหรือพมา่ อยา่ งแท้จริงพฒั นาขนึ ้ เมือ่ ราวกลางพทุ ธศตวรรษที่ 16 (พ.ศ. 1656 -1830) เป็น สมยั ซงึ่ เกิดขนึ ้ ภายหลงั ระยะเวลาหวั เลยี ้ วหวั ตอ่ ของอทิ ธิพลวฒั นธรรมมอญกาลงั เสอ่ื มลง ศิลปะพกุ ามมวี วิ ฒั นาการ ปรับเปลยี่ นและตอ่ ยอดไปจากเดมิ โดยมีเอกลกั ษณ์เป็นตวั เองมากขนึ ้ เร่ิมตงั้ แตใ่ นสมยั พระเจ้าอลองสทิ ธู สร้างวหิ าร ขนาดใหญ่ไว้มากมาย โดยภายในวหิ ารมหี ้องและระเบยี งทางเดนิ ภายในซงึ่ ทาโปร่งกวา่ สมยั กอ่ น ศิลปะพมา่ สมยั พกุ าม นบั วา่ มคี วามรุ่งเรืองเป็นอยา่ งมาก อทิ ธิพลของมอญเริ่มจางหายไป และตวั หนงั สอื พมา่ ได้เริ่มเข้ามาแทนทีภ่ าษามอญที่ หมดความนยิ มลง แตเ่ มอ่ื กองทพั มองโกลแหง่ ประเทศจีนตเี มืองพกุ ามได้ในปีพ.ศ. 1830 ซงึ่ ตรงกบั การปกครองของพอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช สมยั สโุ ขทยั ของไทย หลงั จากนนั้ ศิลปะพมา่ และอาณาจกั รเมอื งพกุ ามจึงเสอ่ื มลง

สมยั องั วะ เมืององั วะ (Ava) หรือรัตนปรุ ะ (Ratanapura) หมายถึงเมืองแก้ว สถาปนาขนึ ้ ในปีพ.ศ. 1907 และเป็นราชธานีในปี พ.ศ. 2179 (พทุ ธศตวรรษท่ี 22-24) ภายหลงั ทพ่ี วกมองโกลได้ยดึ เมอื งพกุ ามแล้วนนั้ อาณาจกั รพกุ ามแตกพา่ ยลม่ สลายไป พมา่ ได้แตกออกเป็นหลายกลมุ่ เชน่ กลมุ่ ตองอู กลมุ่ แปร กลมุ่ องั วะ ทางภาคใต้มีกลมุ่ ชาวมอญตงั้ ตนเป็น ใหญ่ท่ีเมืองเมาะตะมะ ชนชาตพิ มา่ ไปรวมกนั อยทู่ ่เี มืองตองอู ตงั้ ราชธานอี ยทู่ เี่ มืองหงสาวดี (สมยั พระเจ้าหงสาวดบี เุ รง นอง) พวกยะไขไ่ ด้แยกตวั เป็นอสิ ระตงั้ ราชธานีอยทู่ เ่ี วสาลที างภาคตะวนั ตกของพมา่ ชาวไทใหญต่ งั้ ตวั เป็นกษัตริย์อยทู่ ี่ ภาคเหนอื แถวเมอื งสะกายอกี ด้วย ในสมยั ของพระเจ้าบเุ รงนองขนึ ้ ครองราชย์ (พ.ศ. 2094 – 2124) พระเจ้าบเุ รง นองทาสงครามขยายอาณาเขตได้รับชยั ชนะหลายครงั้ แผอ่ าณาเขตพมา่ ยง่ิ กว้างใหญ่ไพศาล ได้ดนิ แดนโดยรอบเป็น เมอื งขนึ ้ รวมถึงไทใหญ่ เมืองเชียงใหม่ และกรุงศรีอยธุ ยา เม่ือ พ.ศ. 2112 นบั เป็นยคุ จกั รวรรดิท่ี 2 ของชาวพมา่ เมอ่ื สนิ ้ รัชกาลของพระเจ้าบเุ รงนอง พระโอรสคอื พระเจ้านนั ทบเุ รง ได้ทาสงครามกบั ไทยแตพ่ า่ ยแพ้ถงึ 4 ครงั้ ติดกนั (ครงั้ สาคญั คือสงครามยทุ ธหตั ถีระหวา่ งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกบั พระมหาอปุ ราชา) ตอ่ มาปลายรชั กาลเกิดความวนุ่ วาย รักษาเมืองหงสาวดีไว้ไมไ่ ด้ จึงเสด็จกลบั ตองอแู ละถกู ราชบตุ รพระเจ้าตองอวู างยาพิษจนสนิ ้ พระชนม์ หลงั จากนพี ้ มา่ ได้ แตกออกเป็นแคว้นใหญ่น้อยอกี ครัง้ หนง่ึ เป็นอนั สนิ ้ สดุ ยคุ จกั รวรรดิที่ 2 หลงั สมยั เสอื่ มของเมืองพกุ ามจนถงึ การ สถาปนาเมืององั วะหรือรัตนปรุ ะ ถึงแม้จะมกี ารแยกออกเป็นหลายอาณาจกั รตามแคว้นตา่ งๆ ด้วยสภาพทางการเมอื งไม่ มนั่ คง เกิดการแตกแยกภายในและการรุกรานสงครามจากเพ่ือนบ้านโดยรอบ ทาให้ศลิ ปกรรมและสถาปัตยกรรมเสอ่ื มลง จนกระทงั่ ถงึ ตอนปลายของอาณาจกั รองั วะ (สถาปนา พ.ศ. 2179) จงึ เริ่มมกี ารฟืน้ ฟศู ลิ ปกรรมตอ่ จากพกุ าม พระพทุ ธรูปก็แสดงถงึ ศิลปะอินเดียแบบปาละตอ่ มา โบราณสถานสว่ นใหญก่ อ่ ด้วยอิฐและไม้ สถาปัตยกรรมเองก็แสดง ให้เห็นถงึ ความบนั ดาลใจมาจากศลิ ปกรรมทีก่ อ่ สร้างสร้างเลยี นแบบเครื่องไม้ สมยั หลงั หรือสมยั อมรปรุ ะและมณั ฑเลย์ (Amarapura and Mandalay) ศิลปะสมยั หลงั หรือศิลปะของเมอื งอมรปรุ ะและเมืองมณั ฑเลย์ ตงั้ แตพ่ ทุ ธศตวรรษที่ 24 จนถงึ ปัจจบุ นั ราชธานซี ง่ึ สบื ตอ่ มาหรืออยรู่ ่วมสมยั ระหวา่ งหลงั เมอื งพกุ ามจนถงึ สมยั เมอื งองั วะ ตงั้ อยบู่ นฝ่ังแมน่ า้ อิร วดี พระเจ้าโบดอปยะ (Bodawpaya) ได้ย้ายราชธานีจากเมืององั วะไปที่เมืองอมรปรุ ะในต้นพทุ ธศตวรรษที่ 24 ปัจจบุ นั ได้รวมเป็นเมอื งเดยี วกนั กบั มณั ฑะเลย์ (สร้างโดยพระเจ้ามนิ ดงเมอื่ พ.ศ. 2400) ซงึ่ หลงั จากหมดสมยั อาณาจกั รพกุ าม แล้ว ศลิ ปกรรมพมา่ ดอู อ่ นด้อยลงไปกวา่ สมยั พกุ ามมาก สมยั นเี ้องที่เริ่มมกี ารฟืน้ ฟศู ิลปกรรมแบบพมา่ ขนึ ้ มาอกี ครงั้ หนง่ึ ในสมยั พระเจ้ามินดง (พ.ศ.2396-2421) ขนึ ้ ครองราชยใ์ น พ.ศ. 2396 ได้ทาไมตรีกบั องั กฤษ พมา่ จึงถกู แบง่ เป็น 2 สว่ น คอื ทางภาคใต้ องั กฤษเป็นผ้ปู กครอง เมืองหลวงตงั้ อยทู่ ยี่ า่ งก้งุ และทางภาคเหนือนนั้ พมา่ เป็นผ้ปู กครองเอง เมืองหลวง อยทู่ ีอ่ มรปรุ ะ ตอ่ มาพ.ศ. 2400 ได้ย้ายเมืองหลวงมาสร้างใหมท่ ี่เมอื งมณั ฑะเลย์ ให้ชื่อวา่ กรุงรัตนปรุ ะ ตามชื่อเดมิ ของ เมืององั วะ และได้ทาสงั คายนาพระไตรปิฎกครัง้ ใหญเ่ พื่อสบื ทอดพระพทุ ธศาสนา ตอ่ มาปีพ.ศ. 2428 ยคุ ของพระเจ้า สปี ่ อ องั กฤษได้สง่ กองทพั เข้ายดึ พมา่ ภาคเหนือทเี่ มืองมณั ฑะเลย์ จบั ตวั พระเจ้าสปี ่ อไว้ที่ภาคตะวนั ตกของอนิ เดยี จนกระ ทง่ั สนิ ้ พระชนม์ และในปีพ.ศ. 2468 เป็นอนั สนิ ้ สดุ สถาบนั กษตั ริย์ของพมา่ ทางด้านศิลปะสมยั หลงั ได้หนั ไปเลยี นแบบ ศลิ ปะแบบประเพณีของพกุ าม การสลกั ไม้ของพมา่ ในสมยั มณั ฑเลย์นยี ้ งั คงความงดงาม ซงึ่ ศาสนาสถานในสมยั นนี ้ ิยม ก่อสร้างด้วยเครื่องไม้ มีลวดลายเครื่องประดบั อยา่ งอลงั การและประณีตวจิ ิตรเป็นอยา่ งยงิ่ สถาปัตยกรรมอาคารเรือนไม้ นยิ มสร้างแบบเรือนปราสาทชนั้ ซ้อนแบบพมา่ ทางพมา่ ออกเสยี งวา่ ปะยาทาต (Pyathat) พระพทุ ธรูปในสมยั หลงั

พกุ ามเชื่อวา่ มกี ารกอ่ สร้างมากมาย การสร้างพระพทุ ธรูปจากหนิ สลกั ไม้ และโลหะ สาหรับประติมากรรมได้แกะสลกั (ทงั้ ท่เี ป็นประติมกรรมลอยตวั และสภาพสลกั นนู ) มกั จะปิดทองหรือทาสหี ลากสี ซงึ่ เป็นการแสดงอยา่ งดยี งิ่ ถึงประเพณี ของศลิ ปะพมา่ สมยั ใหมน่ ี ้ สาหรับภาพจิตรกรรมฝาผนงั พบวา่ เริ่มนาสวี ิทยาศาสตร์ (สสี งั เคราะห์) มาใช้ เน้นเทคนคิ การใช้สที ่ีสดใส เชน่ สฟี า้ สเี ขยี ว เช่ือวา่ ได้รับแนวคดิ และวตั ถดุ บิ จากจีน ตวั อยา่ งศิลปะพมา่ ในไทย วดั มงิ่ เมอื ง วดั มงิ่ เมือง ได้รับพระราชทานวสิ งุ คามสมี า เมอื่ พ.ศ. ๒๕๑๓ เดมิ เป็นวดั ไทยใหญ่ มีอายเุ ทา่ กบั เมืองเชียงราย เน่อื งด้วย ในสมยั กอ่ นมชี มุ ชนไทยใหญ่อาศยั อยรู่ อบบริเวณวดั ประกอบกบั มีศลิ ปะศาสนสถานและศาสนวตั ถแุ บบพมา่ จงึ ถกู เรียก ขานวา่ เป็น วดั เงีย้ ว แตช่ ่ือที่ชาวเชียงรายรู้จกั กนั แพร่หลายคือ วดั จ๊างมบู เป็นภาษา เหนอื แปลวา่ วดั ช้างหมอบ ตามหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์และคาบอกเลา่ ของคนโบราณ วดั นมี ้ คี วามสาคญั เก่ียวกบั ช้างคบู่ ารมขี องพอ่ พิธีการเคลอ่ื นขบวนแหพ่ ระแก้วมรกตออกทกั ษิณาวรรต รอบเมอื งเชียงรายทางสถลมารค ในวนั สาคญั ทางประเพณี เช่น วนั สงกรานต์ หรือ ปีใหมเ่ มือง จะมีการจดั เตรียมสถานท่ใี ห้พญาช้างคบู่ ารมขี องพอ่ ขนุ เมง็ รายมหาราชมาหมอบรอเทยี บที่ วดั เทินบษุ บกเพอ่ื รับพระแก้วมรกต ทแ่ี หม่ าด้วยขบวนเสลย่ี ง จากวดั พระแก้ว ซง่ึ อยหู่ า่ งจากวดั ไปทางทิศเหนือประมาณ 200 เมตร ปัจจบุ นั ได้มกี ารบรู ณปฏสิ งั ขรณ์พระเจดยี ์โบราณ ศลิ ปะไทยใหญ่ พระอโุ บสถและพระวหิ ารไม้ลายคาศลิ ปะ ล้าน ของวดั มิ่งเมอื งอยา่ งถกู ต้องตามหลกั พทุ ธศิลป์ ล้านนาและทศั นศลิ ป์ เชงิ โบราณคดี ระหวา่ งการบรู ณะได้ขดุ ค้นพบ ลายอกั ษรโบราณจารึกบนแผน่ เงนิ เป็นภาษาพมา่ กลา่ วถึงประวตั ผิ ้สู ร้างเจดีย์ประดษิ ฐานพระบรมสารีริกธาตุ เม่อื สบื ค้น จากพงศาวดาร จงึ ทาให้ทราบวา่ ผ้สู ร้างวดั มงิ่ เมอื ง คือ มหาเทวีอสุ าปายะโค หรือเจ้านางตะละแมศ่ รี เป็นมเหสขี องพอ่ ขนุ เมง็ รายมหาราช ซงึ่ พระนางเป็นราชธิดาของพระเจ้าสทุ ธโสม (เจ็งพะยเุ จ็ง) กษัตริย์มอญแหง่ เมอื งหงสาวดี

วดั ศรีชมุ (จ.ลาปาง) วดั ศรีชมุ สร้างขนึ ้ เม่อื ปีพ.ศ.2433 ในสมยั รัชกาลท่ี 5 โดยคหบดีชาวพมา่ ชื่อจองตะกาอโู ย ร่วมกบั ลกู เขยช่ืออู หมอ่ งยี และแมเ่ ลยี ้ งปอ้ ม บริบรู ณ์ตงั้ อยทู่ ถี่ นนทพิ ย์วรรณ ตาบล สวนดอก อาเภอเมอื ง จงั หวดั ลาปาง ซง่ึ เป็นวดั ท่สี วยงาม ทางด้านศิลปะของพมา่ มีพระบรมธาตุ ซงึ่ เป็นพระบรมธาตสุ ที องเป็นศลิ ปะแบบพมา่ และมอญ ภายในบรรจพุ ระบรม สารีริกธาตทุ ี่อนั เชิญจากพมา่ เมอ่ื พ.ศ.2449 วดั ศรีชมุ เป็นวดั ทก่ี รมศลิ ปากรประกาศให้เป็นโบราณสถานแหง่ ชาติ เมือ่ ปี พ.ศ.2524 นา่ เสยี ดายเมอื่ วหิ ารเดิมถกู ไฟไหม้เมือ่ วนั ท่ี 16 มกราคม พ.ศ.2535 ได้รับความเสยี หายมาก เหลอื เพยี งความ งามทส่ี วยงามวจิ ิตรพสิ ดารทเ่ี น้นศลิ ปะในด้านการแกะสลกั ไม้สกั สลกั เป็นลายลวดลายการขดและลายเครือเถาห้อมย้อย ลงมาคล้ายมา่ น ของทางขนั้ บนั ไดทงั้ สองข้าง ทม่ี หี ลงั คาย่นื ออกมาคลมุ ท่ีหน้าบนั ไดเพยี งเทา่ นนั้ วหิ ารหลงั นจี ้ งึ ต้องสร้างขนึ ้ ใหมต่ าม รูปแบบสถาปัตยกรรมเดมิ

พระนอนวดั ไทยวฒั นาราม จ.ตาก วดั แหง่ นสี ้ ร้างขนึ ้ ใน พ.ศ.2400 โดยนายม้งุ ซง่ึ เป็นชาวรฐั ฉาน ประเทศพมา่ อพยพเข้ามาอาศยั อยใู่ นบริเวณแม่ สอด ตอ่ มานายม้งุ ยงั ได้เป็นผ้ใู หญ่บ้านคนแรกของหมบู่ ้านแมต่ าว พร้อมได้รับพระราชทานนามวา่ “หมื่นอาจคาแหงหาญ” วดั สร้างโดยชาวพมา่ และตอ่ มายงั ได้เป็นศนู ย์รวมจิตใจของชาวพมา่ ชาวไทยใหญ่ ในละแวกใกล้เคยี ง จงึ ไมแ่ ปลกหากวดั แหง่ นจี ้ ะเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมและศลิ ปะท่ไี ด้รับอทิ ธิพลมาจากประเทศพมา่ โดยตรง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook