คาํ แนะนาํ ในการใชชดุ วิชาวิชาเลือกสําหรบั ผูเรียน คูมอื เรียนรายวิชา การปลูกผกั ปลอดสารพิษ เปนรายวชิ าเลอื ก สาระการประกอบอาชพี เปนรายวิชาท่ี ศูนยการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยอําเภอสีชมพู จงั หวัดขอนแกน จดั ทาํ ขึ้นเพือ่ ใหผ ูเรียน สามารถเรยี นไดต ามความสนใจและเพือ่ ใหเ กิดผลสมั ฤทธิ์ตามวัตถุประสงคในการเรยี นการสอน ใหเขา กบั บริบท ของชุมชน และการดํารงชีวิตในปจจบุ ัน 1. ศึกษามาตรฐานการเรียนรู โครงสรา งรายวชิ าขอบเขตเนือ้ หา 2. จัดกระบวนการเรยี นรทู ห่ี ลากหลาย เชน จัดกลมุ อภปิ ลาย ศกึ ษาดูงาน ศกึ ษาเอกสาร อ่ืนๆ ทเ่ี กี่ยวขอ งและสอ่ื การเรียนรทู างเวบ็ ไซร 3. เชิญผรู ู ปราชญช าวบา น/ครูภมู ปิ ญญาชาวบา น มาบรรยาย ศกึ ษาจากแหลง เรียนรู การ ปฏิบตั สิ ถานทจี่ รงิ 4. ศกึ ษาบทเรียนใหค รบทุกบทและจดั ทาํ สรปุ บทเรยี นอยา งยอ 5. ใหท าํ แบบฝกหดั และทําแบบทดสอบกอ นและหลงั เรียน
คาํ อธบิ ายรายวิชาการปลูกผกั ปลอดสารพษิ สาระการประกอบอาชพี ระดบั ประถมศึกษา/มธั ยมศกึ ษาตอนตน/มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย จาํ นวน 2 หนว ยกติ (80 ช่ัวโมง) มาตรฐานที่ 3.1 มคี วามรู ความเขาใจ และเจตคติท่ดี ีในงานอาชพี มองเห็นชองทางและตัดสินใจประกอบ อาชีพไดต ามความตองการและศกั ยภาพของตนเอง 3.2 มีความรู ความเขาใจ ทกั ษะในอาชพี ที่ตดั สินใจเลือก 3.3มคี วามรู ความเขา ใจ ในการจดั การอาชีพอยา งมคี ณุ ธรรม ศกึ ษาและฝก ทกั ษะเก่ยี วกบั เรอ่ื งตอ ไปนี้ ชองทางและตดั สนิ ใจเลือกประกอบอาชีพการปลกู ผักปลอดสารพิษ ปญหาการเกษตรในปจจุบัน ความหมาย และความสาํ คัญของการปลูกผักปลอดสารพษิ หลกั การการปลูกผกั ปลอดสารพิษ มาตรฐาน การปลกู ผักปลอดสารพิษ การเจริญเตบิ โตของพืช ธรรมชาติของดนิ การปรบั ปรุงดินโดยการใชสารอนิ ทรีย การปลกู พชื การดแู ลรักษา การผลติ สารอินทรยี เ พือ่ การปองกนั และการกาํ จดั ศตั รูพชื ปลกู ฝงคุณธรรมใน อาชพี เกษตรการตลาดและการทําบญั ชคี รัวเรียน การจดั ประสบการณการเรียนรู 1. จัดทําแผนการเรยี นรู 2. ศึกษาจากเอกสาร หนังสือ และส่ืออน่ื ๆ เชน วีดีโอ เทปบรรยาย สไลดเ ปนตน 3. เชญิ ผูป ระสบผลสําเรจ็ ในอาชีพมาบรรยาย สาธิต แลกเปล่ียน ประสบการณร วมกนั 4. ศึกษาดูงาน หรือฟารม ของรฐั เอกชน ชาวบาน ทดี่ าํ เนนิ กิจการการเกษตรแบบการปลูกผักปลอด สารพิษ 5. รวมกลุมอภิปรายปญหา และหาแนวทางพัฒนา ตดิ ตามผล และแกไขปญ หารว มกัน 6. ปฏบิ ัติการจดบันทึกเปน องคความรู และทําโครงการประกอบอาชพี การวดั ผลและประเมินผล 1. ประเมินจากสภาพจริงจากกระบวนการเรยี นรู 2. ประเมินผลจากแบบทดสอบความรูร ะหวา งเรียน กอ นเรยี นและหลงั เรยี น
รายละเอยี ดคําอธิบายรายวิชาการปลกู ผกั ปลอดสารพษิ จํานวน 2 หนว ยกติ (80 ชั่วโมง) สาระการประกอบอาชพี ระดบั ประถมศกึ ษา/มธั ยมศกึ ษาตอนตน /มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย มาตรฐานที่ 3.1 มคี วามรู ความเขาใจ และเจตคติที่ดใี นงานอาชพี มองเหน็ ชอ งทางและตดั สินใจประกอบ อาชีพไดต ามความตอ งการและศกั ยภาพของตนเอง 3.2 มีความรู ความเขา ใจ ทักษะในอาชีพที่ตดั สินใจเลือก 3.3มีความรู ความเขาใจ ในการจัดการอาชพี อยา งมีคุณธรรม ที่ หวั เรือ่ ง ตัวชีว้ ดั เนือ้ หา จํานวน ชว่ั โมง 1 ชองทางและการตดั สนิ ใจ อธิบายชองทาง และการ 1. ความรเู กย่ี วกบั อาชพี 6 เลอื กประกอบอาชีพการ ตัดสินใจเลือกประกอบอาชพี 2. องคประกอบในการตดั สนิ ใจ ปลกู ผกั ปลอดสารพษิ การปลูกผักปลอดสารพษิ อาชพี 2 หลกั การ การปลูกผกั ปลอด -บอกลกั ษณะและความสําคญั 1.ลักษณะและความสาํ คญั ของ 2 สารพษิ ของการปลกู ผักปลอดสารพษิ ได การปลูกผักปลอดสารพิษได -อธิบายความหมายของผกั 2.ความหมายของผกั ปลอดภัย 2 ปลอดภยั จากสารพษิ ได จากสารพิษได - อธบิ ายขอ ดขี องการปลกู ผัก 3.ขอดีของการปลกู ผักปลอด 2 ปลอดจากสารพษิ ได จากสารพษิ ได -อธิบายลกั ษณะวิธีการผลิตผกั 4.วธิ กี ารผลติ ผักปลอดจาก (58) ปลอดจากสารพิษได สารพษิ -อธบิ ายการเตรียมแปลงปลกู ได - การเตรยี มแปลงปลกู 5 -อธบิ ายการเตรียมเมลด็ พันธไุ ด - การเตรียมเมล็ดพนั ธุ 6 -อธิบายการปลกู และการดูแลได -การปลกู และการดแู ล 6 -อธิบายการใหอ าหารเสริมแกพืช -การใหอ าหารเสรมิ แกพืช 5 ได -การใชกับดกั กาวเหนยี ว 6 -อธบิ ายการใชกับดกั กาวเหนียว -การใชก บั ดกั แสงไฟ 6 ได -การใชพลาสติกหรอื ฟางขาว 6 -อธิบายการใชกบั ดกั แสงไฟได คลมุ แปลงปลูก -อธิบายการใชพ ลาสติกหรือฟาง -การปลกู ผกั ในโรงเรอื นมงุ ตา 6 ขาวคลุมแปลงปลกู ได ขา ยไนลอ น -อธิบายการปลูกผักในโรงเรอื น -การควบคมุ โดยชวี วิธกี ารใชสาร 6
มุงตาขายไนลอ นได สกดั จากพชื 6 -อธิบายการควบคุมโดยชีว -การใชส ารเคมีปอ งกนั และ วิธีการใชสารสกดั จากพืชได กาํ จัดศัตรพู ชื -อธิบายการใชส ารเคมีปอ งกนั และกําจดั ศัตรูพืชได ที่ หวั เร่อื ง ตัวช้วี ดั เนอ้ื หา จาํ นวน ชัว่ โมง 3. การตลาดและการทําบัญชี - สามารถวางแผน เรอ่ื งท่ี 1 ความรูเรื่องการตลาด -โอกาสและตลาดผกั ปลอด 10 ครวั เรอื น การตลาดได สารพิษ เรอ่ื งที่ 2 การทําบญั ชคี รัวเรือน - สามารถทําบญั ชี ครวั เรอื นได
• การปลกู ผักปลอดภยั จากสารพิษ • ความหมายของผักปลอดภัยจากสารพษิ • ขอ ดีของการปลูกผักปลอดจากสารพิษ • วิธีการผลติ ผักปลอดจากสารพิษ • การเตรียมแปลงปลกู • การเตรยี มเมล็ดพนั ธุ • การปลกู และการดูแล • การใหอาหารเสริมแกพืช • การใชก ับดกั กาวเหนียว • การใชก บั ดักแสงไฟ • การใชพ ลาสตกิ หรอื ฟางขา วคลมุ แปลงปลกู • การปลกู ผักในโรงเรอื นมงุ ตาขา ยไนลอ น • การควบคมุ โดยชวี วธิ •ี การใชส ารสกัดจากพชื • การใชส ารเคมปี อ งกนั และกําจดั ศตั รพู ืช
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพิษ 1 บทท่ี 1 ชอ่ งทางและการตดั สนิ ใจเลอื กประกอบอาชพี การปลกู ผักปลอดสารพษิ มาตรฐานท่ี 3.1 มคี วามรู้ ความเข้าใจ และเจตคติทีด่ ใี นงานอาชพี มองเห็นชอ่ งทางและตัดสินใจ ประกอบอาชีพไดต้ ามความตอ้ งการและศกั ยภาพของตนเอง ผลการเรยี นทคี่ าดหวงั 1. มคี วามรเู้ กี่ยวกับอาชีพ 2. อธบิ ายองคป์ ระกอบในการตัดสินใจอาชพี ได้ 3. บอกปัญหาและสภาพทางการเกษตรได้ ขอบขา่ ยเนอ้ื หา เรื่องท่ี 1 ความรู้เกี่ยวกบั อาชีพ เรื่องท่ี 2. องคป์ ระกอบในการตดั สินใจอาชีพ เรอ่ื งที่ 3 ปัญหาทางการเกษตร สภาพทางการเกษตร สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหัสวชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพษิ 2 แบบทดสอบกอ่ นเรยี น ให้ผู้เรยี น X ทับอักษร ก ข ค ง ที่เป็นคาตอบ ทถ่ี กู ต้องเพยี งข้อเดียว 1.การแบง่ ประเภทของอาชีพ แบง่ ได้กีป่ ระเภท ก. 1 ประเภท ข. 2 ประเภท ค. 3 ประเภท ง. 4 ประเภท 2.ขอ้ ใดคือการแบง่ อาชพี ตามลักษณะการประกอบอาชพี ก. อาชีพเกษตรกรรม ข. อาชีพรับจา้ ง ค. อาชีพอุตสาหกรรม ง. อาชีพพาณิชยกรรม 3.ขอ้ มลู ประกอบในการตดั สนิ ใจเลอื กอาชีพคือขอ้ ใด ก. ขอ้ มูลวัตถดุ ิบ เงนิ ทุน กระบวนการผลิต ข. ขอ้ มลู ตนเองข้อมลู สงั คมข้อมูลวิชาการ ค. ข้อมูลสนิ คา้ ข้อมูลตลาดข้อมลู ผ้บู ริโภค ง. ขอ้ มูลลูกค้าข้อมูลผู้ขายข้อมูลสินค้า 4.ขอ้ ใดคือข้อมูลเกีย่ วกบั ตนเอง ก. เงินทนุ ข. ตลาด ค. ทรพั ยากร ง. คมนาคม 5.ปัญหาเก่ียวกบั พอ่ คา้ คนกลางคือขอ้ ใด ก. รวมหวั กันกดสินคา้ ข. ค่าใชจ้ ่ายทางการตลาดสงู ค. ค่าจ้างแรงงานสูง ง. มาตรฐานสินค้าต่า 6.ราคาสนิ ค้าเกษตรหมายถงึ ข้อใด ก. มูลค้าแหง่ การแลกเปลยี่ นของสินค้าเกษตร ข. ขอ้ มูลการแลกเปล่ียนสินค้าในตลาด ค. ตวั ช้ีวัดการแลกเปลี่ยนสนิ คา้ เกษตร ง. ขอ้ กาหนดการแลกเปลย่ี นสนิ ค้าเกษตร 7. ปัญหาเกยี่ วกับสินค้าเกษตรหมายถึงข้อใด ก. คุณภาพสนิ คา้ ตา่ ข. ไม่มตี ลาดจาหน่าย ค. ราคาสนิ คา้ เกษตรต่า ง. คา่ ใชจ้ า่ ยในการขนสง่ ต่า 8.“อตก.” เปน็ ช่อื ยอ่ ของสถาบนั เกยี่ วกับการตลาดสนิ ค้าการเกษตรในขอ้ ใด ก. ธนาคารเพอ่ื การเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ข. องค์การคลังสินค้า ค. องคก์ ารตลาดเพื่อเกษตรกร ง. สหกรณเ์ พือ่ การเกษตร 9. ข้อใดเปน็ หน่วยงานของรฐั บาลกระทรวงพาณชิ ย์ตงั้ ข้นึ เพ่อื ชว่ ยรักษาระดบั สินค้าเกษตร ก. ธนาคารเพ่อื การเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ข. องค์การคลังสินคา้ ค. องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ง. สหกรณเ์ พื่อการเกษตร 10. ระบบการผลติ ทีคานงึ ถึงสภาพแวดลอ้ ม รกั ษาสมดลุ ของธรรมชาติและความหลากหลายทางชวี ภาพ โดยมีระบบจดั การนเิ วศวิทยาทคี่ ลา้ ยคลึงกับธรรมชาติ หลกี เล่ยี งการใช้สารสงั เคราะห์ คอื การเกษตรแบบใด ก. เกษตรยั่งยนื ข. เกษตรผสมผสาน ค. เกษตรทฤษฎีใหม่ ง. เกษตรปลอดสารพษิ สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพษิ 3 เรอื่ งที่ 1 ความรเู้ กย่ี วกบั อาชพี ความรู้เกี่ยวกบั อาชีพ อาชีพหมายถึง การทากิจกรรม การทางาน การประกอบการที่ไม่เป็นโทษต้อสังคม และมีรายได้ตอบ แทน โดยอาศัยแรงงาน ความรู้ ทกั ษะ อุปกรณ์ เครอื่ งมอื วิธกี ารแตกตา่ งกันไป ประเภทและลกั ษณะของอาชพี การแบ่งประเภทของอาชีพ สามารถแบ่งตามลักษณะ ได้เป็น 2 ลักษณะ คือแบ่งตามเน้ือหาวิชา ของ อาชพี และแบง่ ตามลกั ษณะของการประกอบอาชีพ 1. การแบง่ อาชพี ตามเนือ้ หาวิชาของอาชีพ สามารถจดั กลุ่มอาชพี ตามเนื้อหา ได้ 6 ประเภทดงั นี้ 1.1 อาชีพเกษตรกรรม ถือเป็นอาชีพหลัก และเป็นอาชีพที่สาคัญของประเภท ปัจจุบัน ประชากรของไทยไม่นอ้ ยกว่ารอ้ ยละ 60 ยงั ประกอบอาชีพน้ีอยู่ อาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพเกี่ยวเนื่องกับการ ผลิตและการจัดจาหน่ายสินค้า และบริการทางด้านการเกษตรซ่ึงผลผลิตและการจัดจาหน่ายและบริการ ทางดา้ นการเกษตรจากการใช้ในการบริโภคเป็นส่วนใหญ่แล้วยังใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตทางอุตสาหกรรมอีก ดว้ ย ไดแ้ ก่การทานา ทาไร่ ทาสวน เลี้ยงสตั ว์ ฯลฯ 1.2 อาชีพอุตสาหกรรม การทาอุตสาหกรรม หมายถึงการผลิตสินค้าอันเนื่องมาจากการ นาเอาวัสดุ หรอื สินคา้ บางชนิดมาแปรสภาพใหเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อผใู้ ช้มากข้นึ กระบวนการประกอบการอตุ สาหกรรมประกอบดว้ ย วตั ถดุ ิบหรือสนิ ค้า กระบวนการ สนิ ค้า ผลผลติ สาเร็จรูป ผ้บู ริโภค ในข้ันตอนขบวนการผลิตมีปัจจัยมากมายนับแต่แรงงาน เครื่องจักร เคร่ืองมือ เครื่องใช้ เงินทุน ท่ีดิน อาคาร รวมท้งั การบรหิ ารจัดการ การประกอบอาชีพอุตสาหกรรมแบ่งตามขนาดได้ดังนี้ อุตสาหกรรมในครอบครวั เปน็ อุตสาหกรรมทที่ ากนั ในครัวเรอื น หรือภายในบ้าน ใช้แรงงานภายใน ครัวเรือน ครอบครัวเป็นหลัก บางทีอาจใช้เครื่องจักรขนาดเล็กเข้าช่วยในการผลิต ใช้วัตถุดิบ วัสดุหาได้ใน ท้องถิ่นมาเป็นปัจจัยมนการผลิตอุตสาหกรรมในครัวเรือน ได้แก่การทอผ้า การจักสาน การทาร่ม การทาอิฐ มอญฯลฯ ลักษณะการดาเนินงานท่ีไม่เป็นระบบมากนัก รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีแบบง่ายๆ ไม่ยุ่งยากซับซ้อน และมีการลงทุนไม่มากหนัก อุตสาหกรรมขนาดขนาดยอ่ ม เปน็ อุตสาหกรรมท่ีมีการจ้างคนงาน มากกว่า 50 คน ใช้ทุนดาเนินการ ไม่เกิน 10 ล้านบาท อตุ สาหกรรมขนาดยอ่ ม ได้แก่ อู่ซ่อมรถ โรงกลึง โรงงานทาขนมปัง โรงสีข้าว เป็นต้น ใน การดาเนินอตุ สาหกรรมขนาดย่อม มีขบวนการผลติ ไม่ซบั ซ้อน ใชแ้ รงงานทม่ี ฝี มี อื ไมม่ ากนกั สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหัสวชิ า
วชิ า การปลูกผกั ปลอดสารพษิ 4 อุตสาหกรรมขนาดกลางเป็นอุตสาหกรรมที่มีการจ้างคนงานมากกว่า 50 คน แต่ไม่เกิน 200 คน ใช้ ทุนดาเนินการมากกว่า 10 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 100 ล้านบาทอุตสาหกรรมขนาดกลาง ได้แก่อุตสาหกรรมทอ กระสอบอุตสาหกรรมเสื้อผ้าสาเร็จรูป เป็นต้น การดาเนินอุตสาหกรรมขนาดกลาง ต้องมีการจัดการที่ดี แรงงานท่ีตอ้ งมที กั ษะ ความรู้ ความสามารถในกระบวนการผลติ เป็นอยา่ งดี เพ่อื ท่จี ะได้สินค้าท่ีมีคุณภาพระดับ เดยี วกนั อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มีคนงานมากกว่า 200 คนข้ึนไป เงินดาเนินการ มากกวา่ 200 ล้านบาท อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้แก่อุตสาหกรรมผลิตแบตเตอรี่ อุตสาหกรรมถลุงเหล็ก เป็น ต้นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มีระบบจัดการที่ดี ใช้คนท่ีมีความรู้ มีทักษะ ความสามารถเฉพาะด้าน หลายสาขา เช่นวิศวกรรม อีเล็กทรอนิกส์ ในการดาเนินงานการผลิตมีกรรมวิธีท่ียุ่งยาก ใช้เคร่ืองจักร คนงาน เงินทุน จานวนมากข้ึน มีกระบวนการผลิตท่ีทันสมัยและผลิตสินค้าได้ทีละมากๆ มีการว่าจ้างบุคคลระดับผู้บริหารที่มี ความสามารถ 1.3 อาชีพพาณิชยการและบรกิ าร อาชพี พาณิชยกรรม เป็นการประกอบอาชีพทีเ่ ปน็ การแลกเปลีย่ นระหวา่ งสนิ ค้ากับเงิน ส่วนใหญจ่ ะมี ลักษณะซื้อมา ขายไป ผู้ประกอบอาชีพทางพาณิชกรรม จึงจัดเป็นคนกลาง ซ่ึงทาหน้าท่ีซ้ือสินค้าจากผู้ผลิต หรือบริการต่างๆ นับต้ังแต่การนาวัตถุดิบจากผู้ผลิตด้านเกษตรกรรม ตลอดจนสินค้าสาเร็จรูป จากโรงงาน อตุ สาหกรรมรวมท้ังคหกรรม ศิลปกรรม หัตถกรรมและการนามาขายต่อผู้บริโภค ประกอบด้วย การค้าสินค้า ส่งและการค้าสินค้าปลีก โดยอาจจัดจาหน่ายในรูปของการขายตรงหรือขายอ้อม จึงเป็นกิจกรรมท่ีสอดแทรก ทุกอาชีพ การประประกอบอาชีพพาณิชยกรรม หรือบริการผู้ประกอบอาชีพมีความสามารถในการจัดหา มี ความคิดริเร่มิ และมคี ุณธรรม จึงทาให้การประกอบอาชีพเจรญิ กา้ วหนา้ อาชีพบริการ เป็นอาชพี ท่ีทาใหใ้ หเ้ กิดความพอใจแก่ผู้ซ้ือ การบริการอาจเปน็ สินค้าท่ีมตี ัวตนหรือไมม่ ี ตัวตนกไ็ ด้ การบริการทมี่ ตี วั ตน ได้แกก่ ารบรกิ ารขนสง่ บริการทางการเงิน ส่วนบริการไม่มีตัวตน ได้แก่ บริการ ท่องเท่ยี ว บริการรกั ษาพยาบาล เป็นต้น 1.4 อาชพี คหกรรม ได้แกอ่ าชีพท่ีเกย่ี วกบั อาหาร ขนม ตดั เย็บ การเสรมิ สวย ดัดผม เป็นต้น 1.5 อาชีพหตั ถกรรม การประกอบอาชีพหัตถกรรมไดแ้ ก่อาชีพที่เก่ียวกับงานช่าง โดยการใช้มือในการ ผลติ ชน้ิ งานเปน็ สว่ นใหญ่ ไดแ้ ก่อาชีพ จักสาน แกะสลกั ทอผ้าดว้ ยงาน ทอสือ่ เป็นต้น 1.6 อาชีพศิลปกรรม การประกอบอาชีพศิลปกรรม ได้แก่อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกใน ลักษณะต่างๆ เช่น การวาดภาพ การปน้ั การดนตรี ละคร การโฆษณา ถ่ายภาพ เปน็ ตน้ 2. การแบง่ อาชพี ตามลกั ษณะของการประกอบอาชีพ ลกั ษณะของการประกอบอาชีพเป็น 2 ลกั ษณะ คืออาชีพอสิ ระและอาชีพรับจา้ ง 2.1 อาชีพอิสระ หมายถึง อาชีพทุกประเภทที่มีผู้ประกอบการดาเนินการด้วยตนเองแต่เพียงผู้เดียว หรือเป็นกลุ่ม อาชีพอิสระที่ไม่ต้องใช้คนจานวนมาก แต่ถ้าหากมีความจาเป็นอาจมีการจ้างคนอ่ืนอาจมา ช่วยงานก็ได้เจ้าของกิจการเป็นผูล้ งทนุ และจาหน่ายเอง คดิ และตดั สนิ ใจดว้ ยตนเองทุกเรื่องในการบริหาร การ จัดการไปอย่างรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ การประกอบอาชีพอิสระ เช่นการขายอาหาร การขายของชา ซ่อม รถจักรยานยนต์ฯลฯ ในการประกอบอาชีพอิสระผู้ประกอบการจะต้องมีความรู้ ความสามารถในการบริหาร การจัดการ เช่นการตลาด ทาเลที่ตั้ง เงินทุน การตรวจสอบที่เกิดข้ึน มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมองเห็น ภาพการดาเนนิ งานของตนเองได้ทะลปุ รโุ ปรง่ สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลูกผกั ปลอดสารพิษ 5 2.2 อาชีพรับจ้าง ท่ีมีผู้อ่ืนเป็นเจ้าของกิจการโดยตัวเองเป็นผู้รับจ้างให้และได้รับค่าตอบแทนเป็น ค่าจ้างหรือเงินเดือน อาชีพรับจ้างประกอบด้วยบุคคล 2 ฝ่าย ซ่ึงตกลงว่าจ้างกันบุคคลฝ่ายแรกเรียกว่า “นายจ้าง” หรือผู้ว่าจ้างบุคคลฝ่ายหลังเรียกว่า “ลูกจ้าง” หรือผู้รับจ้างมีค่าตอบแทนผู้ที่ว่าจ้างจะต้องจ่าย ให้แก่ผู้รับจ้างให้แก่ผู้รับจ้างเรียกว่า “ค่าจ้าง” การประกอบอาชีพรับจ้าง โดยทั่วไปมีลักษณะเป็นการรับจ้าง ทางานในสถานประกอบการหรือโรงงาน เป็นการรับจ้างโดยท่ัวไปมีลักษณะเป็นการรับจ้างในสถาน ประกอบการหรือโรงงาน เป็นการรับจ้างในลักษณะขายแรงงาน โดยรับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือน หรือ คา่ ตอบแทนเปน็ เงินเดือน หรือค่าตอบแทนท่ีตามช้ินงานที่ทาได้ อัตราค่าจ้างขึ้นอยู่กับการกาหนดของเจ้าของ ประกอบการ หรือนายจา้ ง การทางานผ้รู ับจา้ งจะตอ้ งทางานอย่ภู ายในโรงงาน ตามเวลาที่นายจ้างกาหนด การ ประกอบอาชีพรับจ้างในลักษณะนี้มีข้อดีคือ ไม่เสี่ยงต่อการลงทุนเพราะลูกจ้างจะใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ท่ี นายจ้างจัดไว้ ให้ทางานตามนายจ้างกาหนด แต่มีข้อเสียคือ มักจะเป็นงานซ้าๆ เหมือนกันทุกวันและต้อง ปฏิบัติตามระเบียบของนายจ้างน้ัน ในการประกอบอาชีพรับจ้างน้ันมีปัจจัยหลายอย่างท่ีเอื้ออานวยให้ผู้ ประกอบอาชพี รับจ้าง มคี วามเจรญิ กา้ วหน้าได้ เช่นความรู้ความชานาญในการทางาน มีนิสัยทางานท่ีดีมีความ กระตือรือร้น มานะ อดทน ในการทางาน ยอมรับกฎเกณฑ์และเช่ือฟังคาสั่ง มีความซื่อสัตย์ สุจริตความขยัน มั่นเพียร รับผิดชอบ มีมนุษย์สัมพันธ์ท่ีดี ร่วมทั้งสุขภาพอนามัยท่ีดีอาชีพต่างๆมีมากมายหลากหลายอาชีพซึ่ง บุคคลสามารถเลือกประกอบอาชีพได้ตามความถนัด ความต้องการ ความชอบและความสนใจ ไม่ว่าจะเป็น อาชีพใด จะเป็นอาชีพอิสระหรืออาชีพรับจ้าง หากเป็นอาชีพที่สุจริตย่อมทาให้เกิดรายได้มทสู่ตนเองและ ครอบครัว ถ้าบุคลผู้นั้นมีความมุ่งมั่น ขยัน อดทน ตลอดจนมีความรู้ ข้อมูลเก่ียวกับอาชีพต่างๆจะทาให้เห็น โอกาส ในการเข้าสูอ่ าชีพและพัฒนาอาชีพใหม่ๆ ให้เกดิ ขึ้นอยู่เสมอ สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพษิ 6 เรอ่ื งที่ 2 องคป์ ระกอบในการตดั สนิ ใจอาชพี องค์ประกอบในการตัดสนิ ใจอาชพี การตัดสินใจอาชีพ คือ การนาข้อมูลหลาย ๆด้าน ที่เกี่ยวกับอาชีพที่จะเลือกมาพิจารณาอย่างถ่ีถ้วน รอบคอบ เพื่อประกอยการตัดสินใจเลือกประกอบการใหเ้ หมาะสมกับขดี ความสามารถของตนเองให้มากท่ีสดุ มีปญั หาอุปสรรคนอ้ ยที่สดุ การตดั สนิ ใจเลือกอาชีพมีองค์ประกอบท่สี าคัญมีดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ข้อมลู ประกอบการตดั สินใจ ซ่ึงพจิ ารณาขอ้ มูล 3 ดา้ น คอื ก. ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง คือข้อมูลต่างๆ ท่ีเก่ียวกับการประกอบอาชีพที่ตนเองมีอยู่ เช่น เงนิ ทนุ ท่ีดนิ อาคารสถานท่ี แรงงาน เคร่ืองมือ เครือ่ งใช้ วสั ดุ อปุ กรณ์ ความรู้ ทักษะต่างๆ ที่จะนาไปใช้ในการ ประกอบอาชีพมีหรือไม่ อยา่ งไร ข. ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมและสังคม เช่นผู้ที่มาใช้บริการ(ตลาด) ส่วนแบ่งของตลาด ทาเลการคมนาคม ทรัพยากรท่จี ะเอือ้ ที่มีในท้องถิน่ แหล่งความรู้ ตลอดจนผลท่ีจะเกิดข้นึ ตอ่ ชุมชน ค. ข้อมูลทางวิชาการ ได้แก่ความรู้เทคนิคต่างๆ ท่ีจาเป็นต่ออาชีพน้ันๆ เช่นการตรวจสอบ ซ่อมแก้ไขเทคนิคการบริการลูกค้า ทักษะงานอาชพี ตา่ งๆ ฯลฯ เปน็ ตน้ 2. ความถนัด โดยท่วั ไปคนเรามีความถนัดในเชิงชา่ ง แตล่ ะคนแตกต่างกันไป เช่นความถนดั ในการ ทาอาหาร ถนดั ในงานประดิษฐ์ ฯลฯ ผูท้ ม่ี ีความถนัดจะช่วยทาให้การทางานนั้นเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว สะดวก รวดเรว็ คล่องแคล้ว รวมทั้งยังช่วยให้การทางานน้ันเป็นไปได้อย่าง สะดวก รวดเร็ว คล่องแคล้วรวมท้ังยังช่วย ใหม้ องเหน็ ลทู่ างในการพัฒนาอาชีพนนั้ ๆ ใหร้ ดุ หน้าไดด้ ีกว่าคนทไ่ี ม่มีความ 3. เจตคติต่องานอาชีพ เป็นความรู้สึกภายในของแต่ละคนท่ีมีต่องานอาชีพ ได้แก่ความรัก ความ ศรัทธาความภูมิใจ ฯลฯ ความรู้สึกต่างๆเหล่าน้ีจะเป็นแรงผลักดันให้คนเกิดความมานะ อดทน มุ่งมั่น ขยัน กล้าสู้ กลา้ เสี่ยง ทาใหป้ ระสบความสาเร็จในการประกอบอาชีพได้ การท่จี ะตัดสนิ ใจ เลือกอาชีพผู้ประกอบการ ต้องเอาขอ้ มูลตา่ งๆ มาวเิ คราะห์โดยมีแนวทางในการพจิ ารณา คอื 1) วิเคราะห์สภาพท่ีเป็นอยู่ หมายถงึ สง่ิ ที่เป็นย่ใู นขณะนั้นเกีย่ วกบั เรื่องต่างๆ ต้องมาวิเคราะห์ ตามสภาพจรงิ ท่เี ปน็ อยู่ 2) วิเคราะห์ทางออก หมายถึง แนวทางในการดาเนินงานที่ผู้วิเคราะห์เห็นว่า ในกรณีสภาพที่ เปน็ อยนู่ ้ันเป็นไปตามความต้องการ หรอื ตามทีก่ าหนดแต่อาจมีแนวทางการดาเนินงาน หรือทางออกอ่ืนๆที่ทา ใหเ้ ป็นไปตามทต่ี อ้ งการ ไดอ้ ีกหลายวธิ ี ซง่ึ ตอ้ งตัดสินใจเลอื กทางออกหรอื วธิ ีการทเ่ี หมาะสม เป็นไปไดม้ ากทสี่ ุด 3) วิเคราะห์ความเป็นไปได้ หมายถึงการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสภาพที่เป็นอยู่กับ ทางออกแนวทางท่ีจะดาเนินการนั้น เป็นสิ่งท่ีสามารถจะทาให้เกิดข้ึน หรือเป็นไปได้จริงหรือไม่ตามตามออกท่ี คดิ ไว้ 4) ตัดสินใจเลือกเป็นการสรุปเลือกอาชีพหลังจากการวิเคราะห์ เปรียบเทียบอย่างละเอียด รอบคอบแล้วการวิเคราะห์ความพร้อมและความเป็นไปได้ของอาชีพที่ตัดสินใจเลือก เม่ือตัดสินใจท่ีประกอบ สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลูกผกั ปลอดสารพษิ 7 อาชีพใดแล้ว เพื่อให้เกิดความมั่นใจ และเชื่อม่ันว่าอาชีพที่เลือกนั้นสามารถจะดาเนินการได้ตลอดรอดฝั่ง มี ความจาเปน็ ต้องมกี าร วเิ คราะห์ความพร้อมและความเปน็ ไปได้ของอาชีพที่ตดั สินใจเลอื ก โดยมขี ้นั ตอนการวเิ คราะหด์ งั น้ี อาชพี ที่ตัดสินใจเลอื ก ความพร้อมของตนเอง ความเป็นไปได้ของอาชีพ ในการประกอบอาชีพนัน้ -เงนิ ทนุ -สว่ นแบ่งการตลาด -แรงงาน -การขยายงานกิจการ - วัสดุอปุ กรณ์ -ความมัน่ คงในอาชีพ - สถานประกอบการณ์ -วตั ถดุ บิ - คุณสมบตั ทิ ี่จาเปน็ ต่อการ ประกอบอาชีพ -สุขภาพ -ความถนัด ใจรกั ในอาชีพ ไมพ่ ร้อม พรอ้ ม พอใจ ไม่พอใจ ล้มเลกิ ลม้ เลกิ กาหนดโครงการและ แผนงานในอาชีพ สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหัสวชิ า
วชิ า การปลูกผกั ปลอดสารพิษ 8 เรอื่ งที่ 3 ปญั หาการเกษตรและสภาพการเกษตร ปญั หาการเกษตร ปญั หาตลาดสินค้าเกษตร ปญั หาการแลกเปลีย่ นสนิ ค้าเกษตรในประเทศไทย ได้แก่ 1. ปัญหาเก่ียวกับพ่อค้าคนกลาง ซึ่งมีการรวมหัวกันกดราคาและผูกขาดเพราะเห็นว่าเกษตรกรส่วน ใหญ่เปน็ เกษตรกรรายย่อย ขาดเงินทุน และขาดความรู้ทางด้านการตลาด 2. ปญั หาการขายต้องผ่านระบบการขายตลาดกลางแล้วจึงสง่ ต่อไปยังท้องถนิ่ ที่ขาดแคลนอื่นๆ เพ่ือ ประกอบการแปรรูปรวมทั้งเพ่ือส่งออกไปต่างประเทศ ทาให้เป็นอุปสรรคในเร่ืองของความไม่คล่องตัว คาใช้ จ่ายทางการตลาดสูงเกินไป 3. ปัญหาขาดสถาบันด้านการค้า เนื่องจากเกษตรกรขาดการรวมตัวกันเพ่ือให้เกิดอานาจการต่อรอง ดงั น้ันพ่อคา้ คนกลางกดราคาได้งา่ ย 4. ปัญหาเก่ียวกับคุณภาพ สินค้าเกษตรส่วนใหญ่ จัดมาตรฐานได้ยาก ผู้ซ้ือต้องไปดูสินค้าด้วยตนเอง ทาใหเ้ สียค่าใช้จ่ายสูง 5. ระบบช่างตวงวัด มีระบบท่ีแตกต่างกันในการซ้ือขายสินค้าบางชนิด และบางท้องที่ก็มีมาตราช่าง ตวง วัดแตกต่างกันออกไป การส่งเสรมิ การเกษตรในประเทศไทย 1. สภาพการเกษตรท่ัวไป ส่วนใหญ่ทาการผลิตพืชและสัตว์ ท่ีจาเป็นต่อการอุปโภคและบริโภค ของ คนไทยทั้งประเทศ ท้ังยังผลิตได้เกินความต้องการและส่งออกจาหน่ายต่างประเทศจานวนมากทุกปี ปัญหา การเกษตรสว่ นใหญจ่ ะมาจากการบรกิ ารของหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะในด้านการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐาน ทางเกษตรยังไม่กว้างขวางพอ และอาจมีปัญหาจากด้านเกษตรกร เน่ืองจากมีขีดความสามารถในการปรับตัว ไดไ้ ม่เท่ากบั การววิ ฒั นาการทางด้านการผลติ ทางการเกษตร 2. การส่งเสริมการเกษตร หมายถึง การให้บริการความรู้ ทักษะและประสบการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับการ ผลิตทางการเกษตรแก่เกษตรกร เพ่ือเปลี่ยนพฤติกรรมของเกษตรกรท่ีจะนาสิ่งใหม่ๆไปใช้ในการพัฒนาอาชีพ เกษตรให้ดีข้ึน เนื่องจากสภาวการณ์ท่ีจะร่วมมือระหว่างรัฐและเกษตรกร โดยมีแนวทางท่ีให้เกษตรกรได้รู้จัก ช่วยเหลือตนเองมากท่ีสุด และการจัดระเบียบบริหารก็มีรูปแบบสอดคล้องกับสภาพการผลิต มีหน่วยงาน รับผดิ ชอบและสะดวกต่อการรว่ มมอื ประสานงานกบั หน่วยงานที่ให้การสนบั สนนุ 3. ปัญหาการส่งเสริมการเกษตรท่ีสาคัญมาจากการบริการของรัฐ ส่วนมากจะเก่ียวกับปัจจัยการผลิต ขั้นพื้นฐานและทางด้านเกษตรกรก็จะเกี่ยวกับความไม่พร้อมที่จะนาเทคโนโลยีไปใช้ให้เหมาะสม นอกจากน้ัน ยังมีปัญหาที่เกิดจากสภาพแวดล้อมทางเกษตร ซ่ึงส่วนใหญ่ก็จะเก่ียวกับภูมิประเทศรวมต้ังท่ีต้ังสภาพภูมิ ประเทศภูมิอากาศ รวมท้ังสภาพท่ตี ้งั ถ่นิ ฐานทามาหากนิ เปน็ สาคัญ 4. นโยบายการส่งเสริมการเกษตรที่สาคัญที่จะเร่งรัดการเพ่ิมผลิตผล เพ่ือให้ได้ปริมาณคุณภาพตามที่ ตลาดต้องการด้วยวิธีต่างๆ ส่วนการแก้ปัญหาส่วนใหญ่จะเน้นการพัฒนาตัวบุคคลท่ีเกี่ยวข้องคือตัวเจ้าหน้าท่ี ของรัฐและผู้ประกอบการเพ่ือให้เกิดความร่วมมือและยกระดับความรู้ ความสามารถในการท่ีจะช่วยกัน แก้ปัญหาทีเ่ กี่ยวกบั การผลติ ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหัสวชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพิษ 9 สภาพการเกษตร 1. ลักษณะการเกษตรของไทย โดยท่ัวไปเป็นการปลกู พชื และเล้ียงสัตว์หลายชนิด ซง่ึ นอกจากสามารถ ผลิตได้เพียงพอกับความต้องการใช้อุปโภค บริโภคภายในประเทศแล้วยังสามารถผลิตส่งออกจาหน่าย ตา่ งประเทศเปน็ มูลค่าที่สงู มากอกี ดว้ ย 2. ปัญหาการเกษตรท่ีเกิดข้ึนจากการบริการของรัฐท่ีสาคัญ จะมาจากการจัดการปัจจัยการผลิตข้ัน พื้นฐานได้แก่ที่ดินทากิน น้าเพ่ือการเกษตร สินเช่ือเพ่ือการเกษตรและบริการจัดจาหน่ายผลิตผลให้แก่ เกษตรกรไมก่ วา้ งขวางเท่าทคี่ วร 3. ปัญหาการเกษตรที่เกิดขึ้นจากทางด้านการเกษตรที่สาคัญคือเกษตรกรส่วนมากยังไม่พร้อมรับ บริการทางวิชาการ ยังมีความผูกพันกับพ่อค้าหรือนายทุนท้องถ่ิน ยังใช้ทรัพยากรการผลิตท่ีมีอยู่ไม่เต็มที่และ เกษตรกรยงั ขาดความสนใจในการทางานเปน็ กลมุ่ ความหมาย บทบาท และปญั หาเก่ียวกับสนิ ค้าเกษตร 1. ราคาสินคา้ เกษตร หมายถงึ มูลค่าแห่งการแลกเปลี่ยนของสินค้าเกษตรที่วัดด้วยหน่วยของเงินตรา และบทบาทสาคญั สองประการใหญ่ๆคือตวั จัดสรรทรพั ยากรและตวั จัดสรรรายได้ 2. ปัญหาเก่ียวกับราคาสินค้าเกษตร คือราคาสินค้าเกษตรและราคาสินค้าเกษตรกรต่า ราคาและ รายได้ยงั ขาดเสถียรภาพ ซ่งึ มผี ลกระทบทางด้านสวัสดิการ ความเป็นอย่ขู องเกษตรกร 3. ราคาสินค้าอาจถูกกาหนดได้หลายวิธีภายใต้โครงสร้างตลาดประเภทต่างๆกันต้ังแต่ตลาดแข่งขัน สมบูรณจ์ นถงึ ตลาดผูกขาด แต่สินคา้ ขนั้ สดุ ท้ายจะถูกกาหนดภายใตต้ ลาดกงึ่ แข่งขันก่ึงผูกขาดเป็นส่วนใหญ่ 4. นโยบายเกี่ยวกับราคาและรายได้เน้นทางด้านนโยบายยกระดับรายได้เกษตรกรให้สูงข้ึนโดยการ พัฒนาทางการผลิตซ่งึ กระทาพร้อมการขยายตลาดและมนี โยบายพยุงราคาสาหรบั สนิ ค้าบางชนิดด้วย 5. นโยบายเกี่ยวกับสินค้าและรายได้ยังรวมถึงนโยบายจัดหาปัจจัยในการผลิตราคาถูก และนโยบาย ควบคุมราคาขายปลกี สนิ คา้ บางชนดิ เพือ่ ผู้บรโิ ภคด้วย ความหมายความสาคัญของสถาบนั และองค์กรทางการตลาดสนิ คา้ เกษตร 1. สถาบันและองคก์ รทางการตลาดสนิ คา้ เกษตร หมายถึง สถาบันและองค์กรทาหน้าท่ีการตลาดและ อานวยความสะดวกให้แกส่ นิ ค้าเกษตร 2. สถาบันและองค์กรทางการตลาดสินค้าเกษตรเป็นสถาบันและองค์กรที่มีความชานาญเฉพาะอย่าง ซงึ่ มสี ่วนทาใหร้ ะบบการตลาดสินค้าเกษตรดาเนินไปยงั สะดวกและมปี ระสิทธิภาพยิ่งข้ึนบทบาทและหน้าที่ของ สถาบันและองค์กรทางการตลาดสินค้าเกษตรหน้าที่ของสถาบันและองค์กรทางการตลาดสินค้าเกษตรได้แก่ หนา้ ทใี่ นการแลกเปลี่ยน ซึ่งเกี่ยวกับการซ้ือขาย สินค้าเกษตรและทางหน้าที่ทางกายภาพ ซึ่งเก่ียวกับการแปร รูปสินค้าทางการเกษตร ได้แก่การอานวยความสะดวกในด้านการตลาด ซึ่งเกี่ยวกับการกาหนด การข่าวสาร การเงนิ และการรับภาระการเส่ยี ง อานาจการตลาดและอานาจการเจรจาตอ่ รอง 1. อานาจการเจรจาต่อรองหมายถึง อานาจเปรียบเทียบระหว่างคู่กรณีสองฝ่ายท่ีเกี่ยวกับเงื่อนไข ต่างๆ ทีเ่ จรจาต่อรองกัน เช่นผูซ้ ้ือกับผ้ขู ายเจรจาตอ่ รองเกี่ยวกบั ราคาสินค้า สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพษิ 10 2. อานาจตลาดมาจากแหล่งต่างๆท่ีสาคัญได้แก่การผูกขาดในด้านตลาด การมีเงินทุนหรือทรัพยากร มากและการทสี่ ามารถควบคุมอุปทานของสนิ คา้ ทัง้ ด้านปรมิ าณและคุณภาพของสินค้าทผี่ ลติ ได้ ประเภทของสถาบนั และองค์กรทางการตลาดสนิ ค้าการเกษตร 1. สถาบันทางการตลาดสินค้าเกษตร สามารถแบ่งออกได้หลายประเภทสาคัญได้แก่ พ่อค้าคนกลาง ซ่ึงแบ่งออกเป็นพ่อค้าขายปลีก พ่อค้าขายส่ง พ่อค้านายหน้า พ่อค้าเก็งกาไร นอกจากน้ียังมีบริษัทขนส่ง องคก์ ารคลงั สนิ ค้าและองคก์ ารอ่นื ๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ตลาดสนิ ค้าเกษตร 2. สถาบันและองค์กรทางการตลาดสินค้าการเกษตรระหว่างประเทศ กส็ ามารถแบ่งออกเป็นสถาบันที่ ทาเป็นธุรกิจกับการค้าโดยตรง ซ่ึงได้แก่พ่อค้าส่งสินค้าออกและสั่งสินค้าเข้าและสถาบันหรือองค์กรท่ีอานวย ความสะดวกในการค้าระหว่างประเทศทสี่ าคญั ได้แก่ ธนาคารพาณชิ ย์ บทบาทของสถาบันทางการตลาดสนิ ค้าเกษตร 1. สถาบันและองค์กรทางการตลาดสินค้าเกษตรท่ีสาคัญ ได้แก่พ่อค้าคนกลาง บริษัทขนส่งและ องค์การตลาดเพือ่ เกษตรกร 2. พ่อค้าขายส่งดาเนินงานระหว่างพ่อค้าขายปลีกและเกษตรกรผู้ผลิต พ่อค้าขานส่งรับสินค้าจาก เกษตรกรมาขายใหพ้ อ่ ค้าขายปลกี อกี ต่อหนง่ึ ส่วนพ่อคา้ ขายปลกี ขายสนิ คา้ ให้ผูบ้ ริโภคโดยตรง สถาบันเก่ยี วกับตลาดสินค้าเกษตรในภาครฐั บาล 1. ธนาคารเพ่ือการเพ่ือการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธกส.) เป็นธนาคารของรัฐบาลที่ต้ังขึ้น เพ่ือให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร หรือสหกรณ์การเกษตรในการดาเนินงานต่างๆ ตลอดจนการรับฝากเงินท่ีต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม หรือสิ้นระยะเวลาที่กาหนด ธกส.มีสานักงานใหญ่อยู่ที่ กรุงเทพมหานคร และมีสาขาอยู่ในจังหวัดต่างๆท่ัวประเทศ เท่าที่ดาเนินงานมายังมีปัญหาทางด้านความไม่ เพยี งพอของเงินกู้และการชาระหนค้ี ืนของผกู้ ู้ 2. องค์การคลังสินค้า(อคส.) เป็นหน่วยงานของรัฐบาล สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ต้ังข้ึนเพ่ือช่วยเหลือ สินค้าการเกษตร โดยการต้ังฉางข้าวและคลังสินค้าในท้องที่ต่างๆ ซ่ึงเป็นแหล่งรวบรวมพืชผลเกษตรเพ่ือไว้ จาหน่ายท้ังภายในและภายนอกประเทศ จัดหาและจาหน่ายสินค้าโภคภัณฑ์ที่ประชาชนจาเป็นต้องใช้ เพื่อใช้ ช่วยรักษาระดับค่าครองชีพมิให้สูงเกินไป ตลอดจนการส่งเสริมการค้าของคนไทย โดยจัดให้มีบริษัทจังหวัด และรา้ นคา้ ย่อย องค์การคลงั สนิ ค้า ยังประสบปัญหาบางประการดาเนินงาน ซ่ึงสมควรรบั การแก้ไขโดยเรว็ 3. องคก์ ารตลาดเพอื่ เกษตรกร(อตก.) จัดตงั้ ข้ึนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร หรอื สหกรณ์การเกษตรในดา้ น การเกษตรในด้านการตลาด โดยการจดั ต้งั ตลาดเพื่อเปน็ แหลง่ กลางในการรบั ซ้อื ขายผลิตผลการเกษตรในราคา ท่ีเป็นธรรม และดาเนินการต่างๆเพื่อช่วยให้เกษตรกรในราคาที่เป็นธรรมและดาเนินการต่างๆ เพื่อช่วยงาน เกษตรกรมปี ระสทิ ธภิ าพในการผลติ และมคี วามเปน็ อยู่ดีขึ้น 4. สหกรณ์การเกษตร (สกก.) จัดตั้งขึ้นเพื่อให้สินเชื่อแก่สมาชิก ท้ังในระยะส้ันและ ระยะปานกลาง เพื่อใช้ในการจัดหาวัสดุการเกษตร จัดหาตลาดจาหน่ายผลิตผลของสมาชิก จัดปรับปรุงดิน บารุงดิน ส่งเสริม การเกษตรและให้การศึกษาฝึกอบรมทางสหกรณ์แก่สมาชิก สหกรณ์การเกษตร แบ่งออกเป็นหลายระดับและ ดาเนนิ การทง้ั ทางดา้ นการใหก้ ู้และรบั ฝากเงินจากสมาชิก ตลอดจนงานอ่ืนๆ อีกหลายประเภท การดาเนินงาน ของสหกรณ์การเกษตร ยังมีปัญหาบางประการ เช่นการขาดแคลนเงินทุน และความไม่มีประสิทธิภาพในการ ดาเนินงาน ทรพั ย์สนิ ตา่ งๆ สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลูกผกั ปลอดสารพิษ 11 สถาบันเก่ียวกับตลาดสินค้าเกษตรในภาคเอกชน 1. หอการค้าไทย เป็นแหล่งรวบรวมของบรรดาพ่อค้านักธุรกิจท่ีประกอบวิสาหกิจในสาขาต่างๆ ดาเนนิ งานท่ีอย่ใู นขอบเขตวตั ถุประสงค์ตามขอ้ บังคับของหอการคา้ ไทย มกี ารจดั องค์กรสาหรับฝ่ายต่างๆและมี การดาเนินงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่สาคัญได้แก่ การรับรองเอกสาร งานเผยแพร่เอกสาร การ ให้บริการทางการค้า ตลอดจนเจรจากับผ้แู ทนการคา้ จากต่างประเทศ 2. สภาหอการคา้ แหง่ ประเทศไทยเป็นสถาบนั ทางการค้าเป็นท่รี วมของสมาคมการคา้ และหอการคา้ ต่างประเทศ รัฐวิสาหกิจ สหกรณ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม สนับสนุนทางการค้าระหว่างสมาชิกโดยมี คณะกรรมการเปน็ ผ้ดู าเนนิ การ และมผี ลงานการดาเนินการทางการการคา้ ดา้ นต่างๆ มาก 3. สถาบันประกันภัย สถาบันประกันภัยพืชผล เป็นการช่วยลดภาระการเส่ียงจากภัยธรรมชาติและ ช่วยให้เกษตรกรมีความม่ันใจ ว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนลงแรงจองตนเองมากขึ้นกว่าเดิม การ ประกนั ภยั พืชผลในประเทศไทย ยังมีขอบเขตจากัดมากและมีปญั หาอปุ สรรคทีค่ วรไดร้ ับการแก้ไขใหด้ ีข้นึ 4. บรษิ ัทการคา้ เอกชนมีบทบาทและความสาคญั ต่อกิจการเกษตรของไทยมาก โดยการเปน็ ผสู้ ่งสนิ คา้ การเกษตรท่ีสาคัญออกนอกประเทศ เป็นผู้จัดหาและจัดจาหน่ายวัสดุการเกษตร ตลอดจนเป็นผู้ผลิตสินค้า การเกษตรเพ่ือบริโภคของประชาชน สถาบันระหว่างประเทศท่เี ก่ียวกับการตลาดสนิ ค้าเกษตร 1. องค์การน้าตาลระหว่างประเทศ จัดข้ึนตามข้อตกลงท่ีว่าด้วยน้าตาลระหว่างประเทศโดยทาหน้าที่ เป็นผู้ปฎิบัติตามความตกลง เพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารและให้คาปรึกษาหารือในการปฏิบัติงานเก่ียวกับ สมาชิกภาพอานาจหน้าที่ซึ่งกาหนดขึ้นในความตกลงแต่ละฉบับ องค์การน้าตาลระหว่างประเทศมีสานักงาน ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ มีบทบาทในการ สั่งน้าตาลเข้าของประเทศสมาชิก ซ่ึงประกอบไปด้วย ประเทศใหญ่ๆ หลายประเทศรวมทงั้ ประเทศไทยด้วย 2. องค์การยางธรรมชาตริ ะหว่างประเทศ จัดข้ึนจากผลการตกลงเรื่องยางธรรมชาติ ระหว่างประเทศ ขององค์การสหประชาชาติ ปี 2523 มีสานักงานใหญ่ต้ังอยู่ท่ีกรุงกัวลาลัมเปอร์ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐ มาเลเซีย โดยมีวัตถุประสงค์ในการรักษาระดับราคายางธรรมชาติในตลาดโลกให้มีเสถียรภาพด้วยการซื้อยาง เข้าประมูลภัณฑ์กันชนการดาเนินงานหลังจากการจัดต้ังยังไม่สู้ประสบความสาเร็จหนัก เนื่องจากไม่สามารถ ทาให้ราคายางธรรมชาติอยู่ในระดับผู้ท่ีผลิตต้องการ และมักต้องแข่งขันกับยางสังเคราะห์และการทุ่มของ ตลาดของบางประเทศ สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหัสวชิ า
วชิ า การปลูกผกั ปลอดสารพษิ 12 แบบทดสอบหลงั เรยี น ให้ผู้เรียน X ทับอักษร ก ข ค ง ที่เปน็ คาตอบ ทถ่ี ูกต้องเพยี งข้อเดียว 1.การแบง่ ประเภทของอาชีพ แบง่ ได้กีป่ ระเภท ก. 1 ประเภท ข. 2 ประเภท ค. 3 ประเภท ง. 4 ประเภท 2.ขอ้ ใดคอื การแบ่งอาชพี ตามลักษณะการประกอบอาชีพ ก. อาชีพเกษตรกรรม ข. อาชีพรับจ้าง ค. อาชีพอุตสาหกรรม ง. อาชีพพาณชิ ยกรรม 3.ข้อมลู ประกอบในการตัดสนิ ใจเลือกอาชีพคือขอ้ ใด ก. ข้อมลู วตั ถดุ ิบ เงนิ ทนุ กระบวนการผลติ ข. ข้อมูลตนเองข้อมลู สังคมข้อมูลวิชาการ ค. ข้อมลู สินคา้ ขอ้ มลู ตลาดข้อมลู ผู้บริโภค ง. ขอ้ มูลลกู ค้าข้อมลู ผ้ขู ายข้อมลู สนิ ค้า 4.ข้อใดคือข้อมลู เกี่ยวกับตนเอง ก. เงนิ ทนุ ข. ตลาด ค. ทรัพยากร ง. คมนาคม 5.ปัญหาเกีย่ วกบั พอ่ คา้ คนกลางคอื ข้อใด ก. รวมหวั กนั กดสินค้า ข. ค่าใชจ้ ่ายทางการตลาดสงู ค. คา่ จา้ งแรงงานสงู ง. มาตรฐานสนิ ค้าตา่ 6.ราคาสินค้าเกษตรหมายถงึ ขอ้ ใด ก. มูลค้าแหง่ การแลกเปล่ียนของสินค้าเกษตร ข. ขอ้ มูลการแลกเปลีย่ นสินค้าในตลาด ค. ตัวช้วี ัดการแลกเปล่ียนสินคา้ เกษตร ง. ขอ้ กาหนดการแลกเปล่ยี นสนิ คา้ เกษตร 7. ปญั หาเกีย่ วกบั สินคา้ เกษตรหมายถงึ ข้อใด ก. คุณภาพสนิ คา้ ตา่ ข. ไมม่ ตี ลาดจาหนา่ ย ค. ราคาสนิ ค้าเกษตรตา่ ง. ค่าใชจ้ า่ ยในการขนสง่ ต่า 8.“อตก.” เป็นชอ่ื ยอ่ ของสถาบนั เกีย่ วกับการตลาดสนิ ค้าการเกษตรในขอ้ ใด ก. ธนาคารเพ่ือการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ข. องคก์ ารคลงั สินคา้ ค. องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ง. สหกรณเ์ พื่อการเกษตร 9. ขอ้ ใดเปน็ หนว่ ยงานของรัฐบาลกระทรวงพาณชิ ย์ต้งั ขึน้ เพ่ือชว่ ยรกั ษาระดับสนิ ค้าเกษตร ก. ธนาคารเพือ่ การเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ข. องคก์ ารคลงั สนิ คา้ ค. องค์การตลาดเพ่ือเกษตรกร ง. สหกรณ์เพอื่ การเกษตร 10. ระบบการผลิตทีคานึงถึงสภาพแวดลอ้ ม รกั ษาสมดลุ ของธรรมชาติและความหลากหลายทางชวี ภาพ โดยมรี ะบบจัดการนเิ วศวิทยาทีค่ ลา้ ยคลึงกับธรรมชาติ หลีกเลย่ี งการใช้สารสังเคราะห์ คอื การเกษตรแบบใด ก. เกษตรย่ังยนื ข. เกษตรผสมผสาน ค. เกษตรทฤษฎใี หม่ ง. เกษตรปลอดสารพิษ เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น 1. ข 2. ข 3. ข 4. ก 5. ก 6. ก 7. ค 8. ค 9. ข 10. ง เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี น 1. ข 2. ข 3. ข 4. ก 5. ก 6. ก 7. ค 8. ค 9. ข 10. ง สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพษิ 13 บทที่ 2 หลักการ การปลกู ผกั ปลอดสารพษิ มาตรฐานที่ 3.2 มคี วามรู้ ความเข้าใจ ทกั ษะในอาชพี ทตี่ ดั สนิ ใจเลือก ผลการเรยี นทคี่ าดหวงั 1. บอกลกั ษณะและความสาคญั ของการปลกู ผกั ปลอดสารพษิ ได้ 2. อธบิ ายความหมายของผกั ปลอดภยั จากสารพิษได้ 3. อธบิ ายขอ้ ดขี องการปลกู ผกั ปลอดจากสารพษิ ได้ 4. อธบิ ายลักษณะวธิ กี ารผลติ ผกั ปลอดจากสารพษิ ได้ 5. อธบิ ายการเตรยี มแปลงปลกู ได้ 6. อธบิ ายการเตรยี มเมลด็ พนั ธุไ์ ด้ 7. อธบิ าย การปลกู และการดแู ลได้ 8. อธบิ าย การใหอ้ าหารเสรมิ แกพ่ ชื ได้ 9. อธบิ าย การใช้กบั ดักกาวเหนยี วได้ 10. อธบิ าย การใชก้ บั ดกั แสงไฟได้ 11. อธบิ าย การใชพ้ ลาสตกิ หรือฟางขา้ วคลุมแปลงปลกู ได้ 12. อธบิ าย การปลกู ผักในโรงเรอื นมงุ้ ตาขา่ ยไนลอ่ นได้ 13. อธบิ ายการควบคมุ โดยชวี วธิ ี การใชส้ ารสกดั จากพชื ได้ 14. อธบิ าย การใชส้ ารเคมปี ้องกนั และกา จดั ศตั รูพชื ได้ ขอบขา่ ยเนอ้ื หา เรอื่ งท่ี 1 การปลูกผกั ปลอดสารพษิ - ความหมายของผกั ปลอดภยั จากสารพษิ - ข้อดขี องการปลูกผกั ปลอดจากสารพิษ เร่อื งท่ี 2 ลกั ษณะวธิ กี ารผลติ ผกั ปลอดจากสารพษิ - การเตรยี มแปลงปลกู - การเตรยี มเมลด็ พนั ธ์ุ - การปลูกและการดแู ล - การให้อาหารเสรมิ แก่พชื เรอ่ื งที่ 3 วธิ กี ารป้องกนั และกาจดั ศตั รูพชื - การใช้กบั ดกั กาวเหนยี ว - การใชก้ บั ดกั แสงไฟ - การใช้พลาสตกิ หรือฟางขา้ วคลมุ แปลงปลกู - การปลกู ผักในโรงเรือนมุ้งตาขา่ ยไนล่อน - การควบคมุ โดยชวี วธิ กี ารใชส้ ารสกดั จากพชื - การใชส้ ารเคมปี อ้ งกนั และกา จดั ศตั รพู ชื สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหัสวชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพษิ 14 แบบทดสอบกอ่ นเรยี น ใหผ้ ู้เรยี น X ทบั อักษร ก ข ค ง ทีเ่ ปน็ คาตอบ ทถี่ กู ต้องเพียงขอ้ เดียว 1. ผกั ปลอดภยั จากสารพษิ หมายถึง ก. พืชผักทปี่ ลกู โดยธรรมชาติ ข. พืชผกั ท่ีปลกู โดยการใชป้ ยุ๋ อนิ ทรีย์ ค. ผลผลิตพชื ผักที่ไมม่ ีสารเคมีป้องกนั และกาจัดศัตรพู ืชตกคา้ งอยู่ ง. ถกู ทุกขอ้ 2. ขอ้ ดขี องการปลกู ผกั ปลอดภยั จากสารพษิ คือ ก. เกดิ ความปลอดภยั แก่ผ้บู ริโภค ข. เกษตรกรปลอดภยั จากสารพิษ ค. ลดปริมาณสารเคมปี ้องกันและกา จัดศตั รพู ชื ทจี่ ะปนเป้ือนเขา้ ไปในอากาศและน้า ง. ถูกทุกขอ้ 3. ไอพเี อ็ม หมายถงึ ก. การปลกู พชื ผักโดยการใช้สารเคมีในการผลติ ข. การปลกู พชื ผกั โดยการไม่ใช้สารเคมีในการผลิต ค. การปอ้ งกนั และกา จัดศตั รพู ืชโดยวิธผี สมผสาน ง. ถูกทกุ ข้อ 4. สาเหตสุ าคญั ทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ การระบาดของศตั รพู ชื ในแปลงปลูก คือ ก. ตัวเกษตรกรเอง ข. สภาพทางนเิ วศน์เปล่ยี นแปลง ค. ศัตรพู ชื เคลื่อนย้ายจากแหล่งหนงึ่ ไปยงั อกี แหลง่ หนึ่ง ง. ถกู ทกุ ขอ้ 5. การควบคมุ ศตั รูพชื ใหป้ ระสบผลสาเรจ็ มหี ลักการงา่ ยๆคอื ก. การใช้พันธ์ทุ ่ปี ราศจากโรคและแมลง ข. การไมน่ าช้ินส่วนของพืชที่มีโรคแมลงเขา้ มาในแปลงปลกู ค. ถ้ามีการระบาดแล้วต้องกาจดั ใหห้ มดไป ง. ถกู ทุกข้อ 6. ขอ้ ใดไม่ใชว่ ธิ กี ารควบคมุ ศตั รพู ชื อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ก. การไม่นาชิน้ ส่วนของพชื ท่ีมีโรคแมลงเข้ามาในแปลงปลกู ข. ต้องศึกษาชนิดของศัตรพู ชื ในแปลงปลกู น้นั ๆ กอ่ น ค. สารวจสถานการณ์ศัตรูพชื ในแปลงปลกู ง. พจิ ารณาแนวโนม้ การระบาดของศัตรูพืชแลว้ จึงหาแนวทางปอ้ งกันและกาจัด 7. ขอ้ ใดคอื ขน้ั ตอนแรกของวธิ กี ารควบคมุ ศตั รูพชื อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ก. สารวจสถานการณ์ศัตรูพชื ในแปลงปลูก ข. ศึกษาชนดิ ของศตั รพู ชื ในแปลงปลกู นน้ั ๆ ก่อน ค. พจิ ารณาแนวโนม้ การระบาดของศัตรูพืชแลว้ จงึ หาแนวทางปอ้ งกันและกาจัด ง. ควบคมุ การระบาดให้อยใู่ นระดับท่ีไมก่ ่อให้เกดิ ความเสยี หายมากขน้ึ สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหัสวชิ า
วชิ า การปลูกผกั ปลอดสารพิษ 15 8. ผลดีของการปอ้ งกนั และกาจดั ศตั รูพืชโดยวธิ ผี สมผสานคอื ก. ลดปรมิ าณศัตรูพชื ให้ต่ากว่าระดบั ท่จี ะก่อให้เกิดความเสียหายแก่พชื ข. ลดปรมิ าณการใช้สารเคมปี ้องกนั และกาจดั ศตั รูพืช ค. มีความปลอดภยั ต่อสขุ ภาพของเกษตรกรผบู้ รโิ ภครวมไปถึงสภาพแวดลอ้ ม ง. ถูกทกุ ข้อ 9. การใหธ้ าตแุ คลเซยี มตอ่ พชื ผักมคี วามตานทานโรคชนดิ ใด ก. โรคไส้กลวงดา ข. โรคผลเน่า ค. โรครากเนา่ โคนเน่า ง. โรคใบรีบ 10. ข้อใดเปน็ วธิ กี ารผสมผสานในการควบคุมศตั รูพืช ก. การใหธ้ าตุอาหารเสริม ข. การใชส้ ารสกดั จากพืช ค. การใช้สารเคมีป้องกันและกา จัดศัตรูพชื ง. ถกู ทกุ ขอ้ 11. ขอ้ ใดไมใ่ ชเ่ หตผุ ลของการกาจดั ศตั รพู ชื ก. ไม่ให้มาแย่งอาหารของพชื ข. ไมใ่ ห้มากัดกินต้นพืช ค. ใหต้ น้ พชื สะสมนา้ มากๆ ง. ปอ้ งกันแสงแดด 12. เชอ้ื บักเตรี ทนี่ ยิ มใชใ้ นการควบคุมแมลงคือขอ้ ใด ก. ชอ้ื เอน็ พวี ี (NPV) ข. เช้ือไตรโครเดอร์ ค. เชอ้ื บีที (BT) ง. ถกู ทกุ ข้อ 13. ข้อใดเปน็ เชือ้ แบคทีเรยี ในกลมุ่ Kurstaki ก. ฟลอรแ์ บค เอชพี ข. ธรู ไี ซด์ เอชพี ค. แบคโทรฟนิ เอชพี ดบั เบล้ิ ยพู ี ง. ถูกทุกข้อ 14. เชอ้ื ราทใี่ ชใ้ นการควบคมุ เชอ้ื สาเหตุของโรครากเนา่ โคนเนา่ เนา่ คอดนิ คือ ก. ไตรโครเดอร์ ข. แบคโทรฟิน ค. อะซาดิแรคตนิ ง. โปรทสเซียม 15. พชื ท่ีนยิ มนา มาใชส้ กดั เปน็ สารควบคมุ โรคและแมลง คอื ก. สะเดา ข. ตน้ หอม ค. มะม่วง ง. มะนาว 16. สะเดามสี ารซงึ่ มคี ณุ สมบตั ชิ ว่ ยในการปอ้ งกันและกาจดั แมลงคือ ก. แบคโทรฟิน ข. ไตรโครเดอร์ ค. อะซาดิแรคตนิ ง. โปรทสเซียม 17. ชนดิ ของแมลงทสี่ ามารถกาจดั ดว้ ยสะเดาที่ใชแ้ ลว้ ไดผ้ ลดคี อื ก. หนอนใยผกั หนอนหนงั เหนยี ว ข. หนอนเจาะยอด หนอนชอนใบ ค. หนอนมว้ นใบ หนอนหวั กะโหลก ง. ถูกทุกขอ้ สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหัสวชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพษิ 16 18. ชนดิ ของแมลงทส่ี ามารถกาจดั ดว้ ยสะเดาทีใ่ ชแ้ ลว้ ไดผ้ ลน้อยคือ ก. หนอนกระทชู้ นิดตา่ งๆ ข. หนอนกดั กินใบ ค. เพลี้ยไฟ ไรแดง ง. หนอนตน้ กล้าถ่วั 19. ควรใชส้ ารสกดั จากสะเดาฉดี พน่ เวลาใดจะไดผ้ ลดี ก. เวลาเชา้ ข. เวลากลางวัน ค. เวลาเย็น ง. เวลากลางคืน 20. สะเดามสี ารซงึ่ มคี ุณสมบตั ชิ ว่ ยในการปอ้ งกนั และกาจดั แมลงไดโ้ ดย ก. ใชเ้ ปน็ สารไลแ่ มลง ข. ทา ให้การเจริญเติบโตของแมลงผิดปกติ ค. เปน็ พษิ ต่อไข่ของแมลง ทา ใหไ้ ขไ่ ม่ฟัก ง. ถกู ทกุ ข้อ สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหัสวชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพษิ 17 เรอื่ งท่ี 1 การปลกู ผกั ปลอดสารพษิ การปลกู ผกั ปลอดสารพษิ พืชผักเปน็ พืชอาหารทคี่ นไทยนยิ มนา มาใช้รับประทานกันมากเนื่องจากมีคุณค่าทางอาการท้ังวิตามิน และแร่ธาตตุ ่างๆ ที่เปน็ ประโยชนต์ ่อร่างกายสูง แต่คา่ นยิ มในการบรโิ ภคผกั น้ัน มักจะเลือกบริโภคผักท่ีสวยงาม ไม่มีร่องรอยการทา ลายของหนอนและแมลงศัตรูพืช จึงทา ให้เกษตรกรที่ปลูกผักจะต้องใช้สารเคมีป้องกัน และกา จัดแมลงฉีดพ่นในปริมาณท่ีมาก เพื่อให้ได้ผักท่ีสวยงามตามความต้องการของตลาด เม่ือผู้ซื้อนา มา บริโภคแล้วอาจได้รับอันตรายจากสารพิษที่ตกค้างอยู่ในพืชผักนั้นได้เพื่อเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าว เกษตรกร จึงควรหันมา ทา การปลูกผักปลอกภัยจากสารพิษ โดยนา เอาวิธีการป้องกันและกา จัดศัตรูพืชหลายวิธีมา ประยุกต์ใช้ร่วมกัน เป็นการทดแทนหรือลดปริมาณการใช้สารเคมีให้น้อยลง เพื่อความปลอดภัยของเกษตรกร ผู้บรโิ ภคและสิง่ แวดล้อม ความหมายของผกั ปลอดภยั จากสารพษิ ผักปลอดภัยจากสารพิษ หมายถงึ ผลผลติ พชื ผกั ที่ไม่มีสารเคมีป้องกันและกา จดั ศตั รูพืชตกค้าง อยู่ หรือมตี กคา้ งอยู่ไมเ่ กนิ ระดับมาตรฐานทกี่ ระทรวงสาธารณสขุ กาหนดไว้ ในประกาศกระทรวง สาธารณสุข ฉบบั ท่ี 163 พ.ศ. 2538 ลงวนั ท่ี 28 เมษายน 2538 เร่ือง อาหารที่มสี ารพิษตกค้าง สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพษิ 18 ขอ้ ดขี องการปลกู ผกั ปลอดจากสารพษิ 1. ทา ใหไ้ ด้พชื ผักที่มีคุณภาพ ไมม่ สี ารพิษตกค้าง เกิดความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค 2. ชว่ ยให้เกษตรกรผู้ปลกู ผักมีสุขภาพอนามยั ดีข้ึนเน่ืองจากไมม่ ีการฉีดพ่นสารเคมปี ้องกนั และกาจัด ศตั รพู ืช ทา ให้เกษตรกรปลอดภยั จากสารพิษเหลา่ นดี้ ้วย 3. ลดตน้ ทนุ การผลิตของเกษตรกรด้านค่าใชจ้ ่ายในการซื้อสารเคมีป้องกันและกา จัดศตั รูพชื 4. ลดปริมาณการนา เข้าสารเคมปี อ้ งกันและกา จัดศตั รพู ชื 5. เกษตรกรจะมีรายไดเ้ พ่ิมมากขึ้น เน่ืองจากผลผลติ ท่ไี ด้มีคุณภาพ ทา ให้สามารถขายผลผลติ ไดใ้ น ราคาสูงขึ้น 6. ลดปริมาณสารเคมีป้องกันและกา จดั ศัตรูพชื ทีจ่ ะปนเป้ือนเขา้ ไปในอากาศและน้า ซึ่งเปน็ การ อนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละลดมลพษิ ของสิง่ แวดล้อมไดท้ างหนึง่ ตรารับรองสนิ คา้ เกษตรในประเทศไทย สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหัสวชิ า
วชิ า การปลูกผกั ปลอดสารพิษ 19 ความต่ืนตัวในเร่ืองความปลอดภยั ดา้ นอาหารในประเทศไทยเกดิ ขน้ึ มานานพอควร นับย้อนหลงั ไป นานกวา่ 30 ปี โดยความต่ืนตวั ดงั กลา่ วเกดิ ขึ้นกอ่ นในหมผู่ ู้บริโภค ท่สี นใจในเรอื่ งการบรโิ ภคอาหารธรรมชาติ และเปน็ ห่วงใยเกี่ยวกบั ผลกระทบต่อสุขภาพจากการบรโิ ภคอาหารที่มสี ารเคมกี ารเกษตรตกค้างและปนเป้ือน อยู่มาก ประกอบกบั ปญั หาผลกระทบทางส่ิงแวดล้อมจากการใช้สารเคมกี ารเกษตรโดยขาดความรบั ผดิ ชอบ และขาดการควบคุมดูแล ทาใหม้ ีการผลักดนั ให้มีการพัฒนามาตรฐานการผลติ การแปรรูปสาหรับสินค้าอาหาร ออกมามากมาย ท้ังโดยหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ในระยะแรก การตรวจรบั รองมาตรฐานจะเนน้ ท่ีการ รับรองผลผลติ โดยการส่มุ ผลผลติ การเกษตรมาตรวจหาสารเคมตี กคา้ งในห้องปฏิบัติการ (เชน่ ผลผลิต ปลอดภยั จากสารพิษ หรอื “ผักผลไมอ้ นามยั ” ของกรมวิชาการเกษตร ในปี 2526) แตก่ ารตรวจวธิ นี ีต้ อ้ งใช้ เวลานานและคา่ ใช้จา่ ยสูง จงึ ไดม้ กี ารพฒั นาชดุ เคร่ืองมือทดสอบแบบงา่ ยๆ ซงึ่ ใชเ้ วลาไม่นานและไมแ่ พงมาก นัก (แต่ก็จะมีข้อจากัดเกี่ยวกับความถูกตอ้ งของผลการตรวจ และชนิดของสารเคมีการเกษตรที่สามารถตรวจ ได)้ ชดุ ทดสอบสารเคมีตกค้างนี้ไดท้ าใหเ้ กดิ ความตนื่ ตัวอย่างมากในการตรวจสารเคมีตกคา้ งในผลผลิต และได้ นามาซึ่งการพัฒนาและจัดทามาตรฐานอีกหลายระบบ (เช่น ผลผลิตปลอดภยั จากสารพษิ ของกรมสง่ เสริม การเกษตร, การรบั รองระบบตรวจสอบสารพิษตกคา้ งในผักสด/ผลไม้สด ของกรมวิทยาศาสตรก์ ารแพทย์) ในขณะที่ภาคราชการมุง่ ท่ีการพฒั นามาตรฐานอาหารปลอดภยั โดยเน้นท่ีการตรวจรับรองผลผลติ ภาคเอกชน โดยการริเรม่ิ ขององคก์ รพฒั นาเอกชนได้พฒั นาระบบการตรวจรับรองเกษตรอินทรีย์ขนึ้ (สานกั งานมาตรฐาน เกษตรอนิ ทรียต์ ง้ั ขึน้ ในปี 2538) โดยเนน้ ทีก่ ารตรวจรับรองการบรหิ ารจัดการฟารม์ และผลผลิต ไม่ใชท่ ่ตี ัว ผลผลติ เท่านั้น ซง่ึ เปน็ ไปตามแนวทางการตรวจรับรองที่ใช้ในสากล ภายใตก้ ารผลักดนั ของสมาพันธ์เกษตร อินทรยี น์ านาชาติ (IFOAM) หลังจากท่ีภาคเอกชนได้รเิ รมิ่ การพัฒนา ระบบการตรวจรับรองเกษตรอินทรยี ม์ า ระยะหนึง่ หนว่ ยงานราชการจงึ ได้หันมาสนใจในการพฒั นาระบบรบั รองเกษตรอนิ ทรีย์ข้ึนมาบ้าง (สถาบันพชื อินทรยี ์ กรมวชิ าการเกษตร ตัง้ ขึน้ ในปี 2544) ในขณะเดียวกนั หนว่ ยงานราชการทร่ี ับผดิ ชอบในเรอ่ื งอาหาร ปลอดภยั ไดเ้ ริ่มทจ่ี ะเปล่ยี นแนวคิด ในเรื่องการตรวจรบั รอง จากเดิมท่เี ปน็ การตรวจผลผลติ มาเปน็ การตรวจ การบริหารจัดการฟาร์มแทน ซึ่งทาใหม้ ีการพฒั นาระบบมาตรฐานเกษตรดีท่ีเหมาะสมขน้ึ (เช่น เกษตรดีท่ี เหมาะสมสาหรบั พชื โดยกรมวชิ าการเกษตร ในปี 2546, การปฏบิ ตั ทิ ีด่ ี หรอื CoC ของกรมประมง) นอกจากน้แี ล้ว ยังมคี วามพยายามในการพฒั นามาตรฐานเกษตร ท่ีเฉพาะสาหรับสมาชิกในกลุม่ ของตัวเอง โดยเฉพาะในหมู่องค์กรพฒั นา เชน่ มาตรฐานเกษตรอนิ ทรีย์ ขององค์กรมาตรฐานเกษตรอนิ ทรยี ภ์ าคเหนือ, มาตรฐานเกษตรธรรมชาติ ของมูลนิธิเอ็มโอเอไทย, กสิกรรมไร้สารพิษ เป็นตน้ หรอื แม้แตซ่ ุปเปอรม์ าร์เก็ตบาง แห่งก็ได้พัฒนามาตรฐานและตรารบั รองผลิตภัณฑ์ ของตวั เองขนึ้ ด้วย (เช่น วงจรคุณภาพของคาร์ฟรู ) โดยภาพรวมแลว้ การมีระบบมาตรฐานและการตรวจรบั รองสาหรับระบบเกษตรตา่ งๆ ในประเทศ ไทยน่าจะเปน็ ผลดตี ่อผ้ผู ลติ เพราะอย่างน้อยก็ทาใหเ้ กดิ ความแตกต่างของผลผลิต ซง่ึ ช่วยสร้างโอกาสทาง การตลาดใหม่เพมิ่ ข้ึน แตส่ าหรับผู้บรโิ ภคแลว้ การมมี าตรฐานและตรารับรองหลากหลายทาใหเ้ กดิ ความสบั สน เพราะผบู้ รโิ ภคไมส่ ามารถท่ีจะเขา้ ใจถงึ รายละเอยี ดมาตรฐานทางเทคนิค (ซ่ึงท่ีจริงแล้ว แม้แตน่ ักวิชาการและ เจา้ หน้าทรี่ าชการเองกย็ ังไม่เข้าใจและสับสนในมาตรฐาน ต่างๆ) ในประเทศไทย สามารถแบ่งการรับรองมาตรฐานอาหารและสนิ ค้าเกษตรได้เปน็ 2 กลุ่ม คอื (ก) เกษตรอินทรีย์-เกษตรยงั่ ยืน ทเี่ น้นในเรือ่ งการอนรุ ักษส์ ่ิงแวดลอ้ ม และ (ข) อาหารปลอดภยั ทเ่ี น้นในเรอ่ื ง ความปลอดภัยต่อผบู้ รโิ ภค สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพษิ 20 ประเภท ตวั อยา่ งมาตรฐาน ปยุ๋ เคมี สารเคมีกาจดั สารเคมกี าจดั อาหารปลอดภยั ศัตรูพชื วชั พชื - ปลอดภยั จาก อนญุ าตใหใ้ ช้ สารพิษ อนญุ าตใหใ้ ช้ อนญุ าตให้ใช้ - เกษตรดที ่ี เหมาะสม เกษตรอนิ ทรยี -์ เกษตร - เกษตรอนิ ทรยี ์ ไม่อนญุ าตใหใ้ ช้ ไมอ่ นญุ าตให้ใช้ ยงั่ ยนื - เกษตรธรรมชาติ ไมอ่ นญุ าตให้ ใช้ - กสกิ รรมไรส้ ารพษิ จากการสารวจสินค้าการเกษตรในตลาดในประเทศไทยโดยกรนี เนท ในชว่ งกลางปี 2554 พบว่ามีการ ใช้ตรารับรองผลผลติ เกษตรทั้งหมด 12 ตรารับรอง ดงั นี้ ตรารบั รอง มาตรฐาน หนว่ ยรบั รอง มาตรฐานเกษตรอนิ ทรยี ์ สานักงานมาตรฐานเกษตร ที่ตัง้ อยู่ในเกณฑม์ าตรฐาน อินทรยี ์ (มกท.) เป็นหนว่ ยงานของ เกษตรอินทรยี ์สากลของ มูลนธิ มิ าตรฐานเกษตรอนิ ทรีย์ ซ่ึง สมาพนั ธ์เกษตรอนิ ทรีย์ เป็นองค์กรของภาคเอกชนไทย นานาชาติ (IFOAM) มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ที่ องค์กรมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ จัดทาขึ้นโดยการมสี ว่ นร่วม ภาคเหนอื (มอน.) เป็นองคก์ ร ของเกษตรกรและผ้บู รโิ ภค เอกชน ท่ตี ัง้ อยทู่ ่จี ังหวดั เชยี งใหม่ ในจงั หวัดเชยี งใหม่ และให้บรกิ ารตรวจสอบรบั รอง เกษตรอนิ ทรยี เ์ ฉพาะในภาคเหนือ สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหัสวชิ า
วชิ า การปลูกผกั ปลอดสารพิษ 21 มาตรฐานเกษตรอนิ ทรยี ์ ที่ สถาบนั พชื อนิ ทรีย์ (กรมวิชาการ จัดทาขนึ้ โดยหนว่ ยงาน เกษตร) ศูนยต์ รวจรับรองมาตรฐาน ตา่ งๆ ในสังกัดกระทรวง ฟารม์ และผลติ ภัณฑ์สตั วน์ ้าอินทรีย์ เกษตรและสหกรณ์ (กรมประมง) และกรมปศุสตั ว์ มาตรฐานเกษตรอนิ ทรยี ์ ท่ี มหี นว่ ยงานหลายแห่งท่ีสามารถ จัดทาโดยแผนงานเกษตร ใหบ้ รกิ ารตรวจสอบรบั รองตาม อินทรียแ์ หง่ ชาติ มาตรฐานนไี้ ด้ ส่วนใหญเ่ ป็นหน่วย (National Organic ตรวจรบั รองต่างประเทศ ใน Program - NOP) ประเทศไทย มีเพยี ง มกท. แห่ง กระทรวงเกษตรสหรัฐ เดยี ว ท่สี ามารถใหบ้ รกิ ารตรวจ รบั รองตามมาตรฐานนไ้ี ด้ มาตรฐานเกษตรอนิ ทรยี ์ มหี นว่ ยงานหลายแหง่ ทส่ี ามารถ ของสหภาพยุโรป ใหบ้ รกิ ารตรวจสอบรับรองตาม มาตรฐานน้ไี ด้ ส่วนใหญ่เปน็ หนว่ ย (โลโก้บน เปน็ โลโกเ้ ดมิ ที่ ตรวจรับรองต่างประเทศ ใน กาลงั จะเลิกใช้ ส่วนโลโก้ ประเทศไทย มเี พยี ง มกท. แหง่ ลา่ ง เป็นโลโก้ใหม)่ เดียว ทีส่ ามารถใหบ้ รกิ ารตรวจ รบั รองตามมาตรฐานนีไ้ ด้ Bio AgriCert เปน็ หนว่ ยงาน มาตรฐานเกษตรอนิ ทรีย์ รบั รองเอกชนของประเทศอติ าลี ของหนว่ ยตรวจสอบรับรอง ซ่งึ ผผู้ ลติ จะต้องได้รบั การตรวจ เอกชน Bio AgriCert รบั รองจากหนว่ ยงานนีเ้ ทา่ นั้นจึงจะ ใชต้ รารบั รองมาตรฐาน้ีได้ สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลูกผกั ปลอดสารพษิ 22 เป็นหนว่ ยงานรบั รองเอกชนของ มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งผผู้ ลติ จะต้อง ของหนว่ ยตรวจสอบรบั รอง ได้รบั การตรวจรบั รองจาก เอกชน Eco Cert หน่วยงานน้เี ทา่ น้นั จึงจะใช้ตรา รับรองมาตรฐานน้ีได้ มาตรฐานเกษตรดีที่ หน่วยราชการในสังกดั กระทรวง เหมาะสม ซึง่ เปน็ เกณฑ์ เกษตรและสหกรณ์ โดยการกากับ มาตรฐานอาหารปลอดภัย ดแู ลของสานักงานมาตรฐานเกษตร ของกระทรวงเกษตรและ และอาหารแหง่ ชาติ (มกอช.) สหกรณ์ มาตรฐานผกั และผลไม้ หน่วยราชการในสงั กัดกระทรวง ปลอดภยั จากสารพิษ หรือ เกษตรและสหกรณ์ \"อนามัย\" ซึง่ เปน็ เกณฑ์ มาตรฐานอาหารปลอดภยั ของกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ มาตรฐานสาหรับการ กรมวทิ ยาศาสตร์การแพทย์ กระท รับรองระบบตรวจสอบ รวงสาธารณสขุ สารพษิ ตกค้าง ในผักสด/ ผลไมส้ ด ซง่ึ เป็นระบบ มาตรฐานความปลอดภยั ของอาหารแบบหนึ่ง สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพิษ 23 เรอ่ื งที่ 2 วธิ กี ารผลติ ผกั ปลอดจากสารพษิ วธิ กี ารผลติ ผกั ปลอดจากสารพษิ ในการปลกู ผักปลอดภยั จากสารพิษนัน้ จะใช้หลกั การปลกู พชื ผักโดยการใช้สารเคมีในการผลิตใหน้ อ้ ย ทสี่ ดุ หรือใชต้ ามความจา เป็นและจะใชห้ ลกั “การปอ้ งกันและกา จัดศัตรูพชื โดยวิธีผสมผสาน หรอื ไอพีเอ็ม” แทนแต่การทจ่ี ะป้องกันและกา จัดศตั รูพืชใหไ้ ด้ผลนนั้ จะต้องเลอื กวิธีท่ปี ระหยัดเหมาะสมและมปี ระสิทธภิ าพ ซงึ่ ผ้ปู ลูกจะต้องเข้าใจเรอื่ งตา่ งๆ ทเ่ี กี่ยวข้อง ดังนี้ 1. สาเหตกุ ารระบาดของศตั รพู ชื 1.1 ศตั รพู ชื เคล่ือนยา้ ยจากแหลง่ หนึง่ ไปยังอีกแหลง่ หนึ่ง ท่ีมคี วามเหมาะสมมากกว่า ทา ให้มี การขยายพันธ์ุและระบาดทา ความเสียหายเพ่ิมขน้ึ 1.2 สภาพแวดล้อมและสภาพทางนเิ วศน์เปลย่ี นแปลงไปทา ใหศ้ ัตรูพืชมีการขยายพันธไุ์ ด้ดี ขน้ึ เพิม่ จานวนมากขนึ้ หรอื มีผลต่อการพฒั นาสายพนั ธ์ุให้มีความตา้ นทาน และมปี ระสิทธิภาพในการเขา้ ทา ลายมากข้ึน เช่น การกาจดั งู ทา ใหห้ นรู ะบาด การใชส้ ารเคมี ทา ให้แมลงท่ีกินแมลงศัตรูพชื ตายเปน็ ต้น 1.3 สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสงั คมของมนุษยท์ ี่เปลี่ยนแปลงไปทาให้ความต้องการ ผลิตในการบริโภคเปล่ียนไป ทา ใหค้ วามต้องการผลผลติ ในการบรโิ ภคเปล่ียนไป ทา ให้ความตอ้ งการผลผลิตที่ แตกต่างกันไปตามความต้องการของบริโภค ทา ให้บางคร้ังรอ่ งรอยการทา ลายของศตั รูพชื เพยี งจุดเดียว กถ็ ือ วา่ ผลผลิตตกเกรดไม่ไดม้ าตรฐาน มีการระบาดของศัตรูพืชได้ สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหัสวชิ า
วชิ า การปลูกผกั ปลอดสารพิษ 24 2. การควบคมุ ศตั รูพชื ใหป้ ระสบผลสาเรจ็ มหี ลักการงา่ ยๆ 2.1 ต้องป้องกนั ไม่ให้เกิดโรคในแปลงปลูก เชน่ การใชพ้ นั ธ์ุท่ปี ราศจากโรคและแมลง การไม่ นา ชิ้นส่วนของพชื ทมี่ ีโรคแมลงเข้ามาในแปลงปลกู เป็นตน้ 2.2 ถ้ามีศัตรูพืชเขา้ มาในแปลงปลูกหรอื แสดงอาการเปน็ โรคแลว้ ตอ้ งยบั ยั้งการแพรร่ ะบาด 2.3 และถา้ มีการระบาดแล้วต้องกา จดั ให้หมดไปอย่างไรก็ตามสาเหตสุ าคญั ที่ก่อใหเ้ กิดการ ระบาดของศัตรพู ืชในแปลงปลูก คอื ตัวเกษตรกรเองท่ีละเลยการควบคุมดูแลทา ให้ศตั รพู ืชสะสมในแปลงปลกู จนถงึ ระดบั ทไี่ มส่ ามารถควบคุมกา จัดได้ รปู ภาพ แสดงวงจรของแมลง 3. วธิ กี ารควบคมุ ศัตรพู ชื อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ มขี ั้นตอนดังนี้ 3.1 ตอ้ งศึกษาชนดิ ของศตั รูพืชในแปลงปลกู นนั้ ๆ ก่อน 3.2 สารวจสถานการณศ์ ตั รูพืชในแปลงปลูก 3.3 พจิ ารณาแนวโน้มการระบาดของศัตรูพชื แลว้ จงึ หาแนวทางป้องกนั และกา จัดต่อไป 3.4 เมื่อควบคุมการระบาดให้อยใู่ นระดับทีไ่ ม่ก่อใหเ้ กิดความเสยี หายมากขึ้น แลว้ ให้เลือกใช้ วิธกี ารทีเ่ หมาะสมเพื่อลดปริมาณ หรือรกั ษาระดับการเข้าทาลายให้คงท่ีหรือลดลง 3.5 ในกรณที ่ีไมส่ ามารถควบคุมสถานการณศ์ ัตรูพชื ดว้ ยวธิ การอน่ื ๆ ได้ มีความจา เปน็ ที่ จะตอ้ งใชส้ ารเคมใี ห้เลือกใชส้ ารเคมที ่ีถกู ต้องเหมาะสมกบั ชนดิ ศตั รูพชื และการระบาดตามคาแนะนา วธิ ีการใช้ ในฉลาก สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพษิ 25 4. ผลดขี องการปอ้ งกนั และกาจดั ศตั รพู ชื โดยวธิ ผี สมผสาน 4.1 ลดปรมิ าณศตั รูพชื ใหต้ ่ากวา่ ระดับท่จี ะก่อให้เกิดความเสยี หายแก่พืช 4.2 ลดปรมิ าณการใชส้ ารเคมีป้องกนั และกา จดั ศัตรูพืช 4.3 มีความปลอดภัยต่อสขุ ภาพของเกษตรกรผู้บริโภครวมไปถึงสภาพแวดลอ้ ม รปู ภาพการใชก้ บั ดกั แมลง 5. วธิ กี ารผสมผสานในการควบคมุ ศตั รพู ชื จะเป็นการนา เอาวธิ กี ารป้องกันและกา จัดศัตรู พชื หลายวธิ ีมาประยกุ ตใ์ ชร้ ่วมกนั โดยวธิ ีการปลกู ผกั ปลอดภยั จากสารพิษน้ีมีข้อแนะนา ใหเ้ กษตรกร เลือกใชว้ ธิ ีการป้องกนั และกาจดั ศตั รพู ชื ทดแทนการใช้สารเคมี ดงั นี้ 5.1 การเตรียมแปลงปลกู 5.2 การเตรยี มเมล็ดพนั ธุ์ 5.3 การปลูกและการดูแล 5.4 การใหธ้ าตอุ าหารเสริม 5.5 การใช้กับกดั กาวเหนียว 5.6 การใชก้ บั ดกั แสงไฟ 5.7 การใช้พลาสตกิ หรอื ฟางข้าวคลมุ แปลงปลกู 5.8 การปลูกผกั ในโรงเรือนมุ้งตาข่ายไนล่อน 5.9 การควบคมุ โดยชวี วิธี 5.10 การใชส้ ารสกัดจากพชื 5.11 การใช้สารเคมีป้องกนั และกาจัดศัตรพู ชื (กรณีท่ใี ช้วธิ กี ารป้องกนั และกา จดั ศตั รูพชื ข้าง ตน้ ไม่ได้ผล) สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพิษ 26 การเตรยี มแปลงปลกู เน่อื งจากเมลด็ พืชผกั สว่ นใหญ่มีขนาดเล็ก มีระบบรากละเอียดออ่ น ถา้ เกษตรกรเตรียมดินไมด่ ีก็อาจมี ผลกระทบต่อการงอกของเมล็ดและการเจรญิ เติบโตของพชื ผกั ได้ ดงั นน้ั ก่อนการปลูกพชื ควรมกี ารปรบั สภาพ ดินใหเ้ หมาะสมเสียก่อน โดยเฉพาะในพน้ื ทีท่ เ่ี คยมีการปลูกผักหรือพชื ชนดิ อืน่ โดยการปล่อยน้าใหท้ ว่ มแปลง แลว้ สบู ออก เพ่ือให้นา้ ชะลา้ งสารเคมีและกา จดั แมลงต่างๆ ที่อาศยั อยใู่ นดิน แล้วจงึ ทา การไถพลกิ หนา้ ดิน ตากแดดไว้ เพื่อทา ลายเช้ือโรคและแมลงศตั รูที่อาศยั อยู่ในดินอกี ครง้ั จากน้นั เกษตรกรควรจะปรับสภาพความ เป็นกรดเป็นด่างของดินใหอ้ ยู่ในสภาพที่เปน็ กลาง โดยใชป้ ูนขาวปูนมาร์ล หรือ แร่โดโลไมท์ อตั รา 200-300 กโิ ลกรัม/ไร่ แลว้ รดน้าตามหลงั จากการใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพดินทเ่ี ป็นกรดให้เป็นกลางนอกจากนี้ควรเพ่ิม ความอุดมสมบรู ณ์ของดินดว้ ยการใสป่ ุ๋ยอินทรยี ์เช่น ปุ๋ยคอก ป๋ยุ หมกั ในอตั รา 1,000-2,000 กโิ ลกรมั /ไร่ ซง่ึ จะ ชว่ ยใหต้ ้นพชื ผกั มีความแขง็ แรงสามารถต้านทานตอ่ การเข้าทาลายของโรคและแมลงได้ โรยปนู ขาวเพื่อปรบั สภาพดนิ การเตรียมดนิ วัตถปุ ระสงคห์ ลักของการเตรยี มดนิ คือสรา้ ง สภาพทีเ่ หมาะสมต่อการปลูกและการเจรญิ เติบโต ชว่ ยควบคมุ วชั พืช โรค แมลงและสตั วศ์ ัตรูบาง ชนดิ การเตรียมดนิ มากหรือน้อยขึ้นอยูก่ บั คุณสมบัติดนิ สภาพแวดลอ้ มในแปลงกอ่ นปลูกและ วธิ กี ารปลูก โดยไถดะ ไถแปร คราด และทาเทือก สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหัสวชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพษิ 27 การปลูกพชื ผักจาเป็นต้องมกี ารเตรยี มดินใหอ้ ุดมสมบูรณอ์ ยเู่ สมอ เพราะผักเป็นพชื ทเี่ ติบโตเร็ว ต้องการการบารุงมาก การปรับปรงุ ความอุดมสมบูรณ์ของดินโดยทวั่ ไป พบวา่ ยังไม่ถูกตอ้ ง เพราะมีการใช้ ปุ๋ยเคมีเป็นสว่ นใหญ่ และบางแห่งก็ใช้แตป่ ยุ๋ เคมเี พียงอยา่ งเดียว เพราะสะดวกและง่ายต่อการปฏิบตั ิ การใสแ่ ตป่ ุ๋ยเคมีอย่างเดียวนาน ๆ ทาให้ดินเสื่อมแหง้ แขง็ ไมร่ ่วนซุย ไม่ซึมซับนา้ และขอ้ สาคัญที่สดุ จะเกดิ การตรึงธาตุอาหารข้ึนในดนิ อาหารของพชื บางชนดิ ไมล่ ะลายออกมาใหเ้ ปน็ ประโยชน์ต่อพืช ทาให้พืช เกิดการขาดธาตอุ าหาร หรือเกิดการละลายธาตอุ าหารบางอย่างมากเกนิ ไปจนเปน็ พษิ ทาให้ผกั อ่อนแอและ เกดิ โรคไดง้ ่าย ฉะนั้นในการเตรยี มดนิ ที่จะปลกู พืชผกั ให้งามจะต้องมกี ารปรับปรงุ ดินใหอ้ ุดมสมบรู ณด์ ้วยอินทรียวตั ถุ เปน็ ส่วนใหญ่ ในการปลกู ผักแต่ละครง้ั จะต้องใสป่ ยุ๋ หมัก ปยุ๋ คอก หรือปุ๋ยอินทรยี อ์ ่ืน ๆ รว่ มกบั การใส่ปุ๋ย วทิ ยาศาสตร์ ปยุ๋ อนิ ทรีย์ควรใส่ท้ังหยาบและละเอียดไม่ควรใส่ละเอียดมากนักเพราะจะทาใหด้ ินแน่นเหนียว และระบาย น้าได้ไม่ดี ป๋ยุ อินทรีย์ทาให้พืชไดอ้ าหารครบทุกชนิดทาให้ผักงามแขง็ แรง ปุ๋ยอนิ ทรยี จ์ ะเพม่ิ เชอ้ื จุลินทรยี ด์ ินบางชนิดทค่ี อยทาลายและปราบเช้ือโรคในดนิ ของผักมากขน้ึ เช่น เชอ้ื รา โรครากเน่า และ ไสเ้ ดอื นฝอย ความจริงเร่ืองการใชป้ ุ๋ยอนิ ทรีย์จาพวกป๋ยุ คอก-ปุย๋ หมัก กระท่งั อจุ จาระ และปัสสาวะทผ่ี ่านการหมัก แลว้ ทาใหผ้ กั งามเกษตรกรมีความเข้าใจดีมาตั้งแตส่ มัยด้ังเดมิ แล้ว แต่พอมปี ๋ยุ วทิ ยาศาสตรเ์ ขา้ มาซ่ึงมี คุณสมบตั ใิ ชง้ ่าย ใหผ้ ลผลิตสูงและโตเรว็ จงึ มีการหันมาใชป้ ุ๋ยวิทยาศาสตรก์ นั มากขนึ้ จากปัญหาการปรบั ปรงุ ดงั กล่าว มาขา้ งตน้ แลว้ นนั้ เกษตรกรจงึ ควรใช้ปุ๋ยวทิ ยาศาสตรร์ ่วมกับปยุ๋ อนิ ทรยี ์จะทาให้ไดผ้ ลผลติ ท่ดี ขี ึน้ โดย ใสป่ ยุ๋ อนิ ทรยี ์ในปริมาณมากกว่าปยุ๋ วิทยาศาสตร์ สาหรบั การเตรยี มแปลงปลกู ผกั นนั้ โดยทวั่ ไปมกี ารทากนั อยู่ 2 แบบ คอื 1.การยกร่องแบบธรรมดา คือการยกร่องแปลงขน้ึ มาใหส้ ูงขึ้น มีทางระบายนา้ และทางเดินรอบแปลง ผกั ได้ 2.การยกรอ่ งแบบจีน มีคูน้าลอ้ มรอบ ใช้กันมากในบริเวณภาคกลาง หรือเขตทลี่ ุ่ม ขนาดของแปลง กว้างประมาณ 6 เมตร ร่องน้ากวา้ ง 1.5-2.0 เมตร ลกึ ประมาณ 1.0-1.5 เมตร การเตรยี มดนิ ในแปลงผัก แบ่งเปน็ 2 ขัน้ ตอนคือ 1.การเตรยี มดินชน้ั แรก เปน็ ข้ันตอนทสี่ าคัญทสี่ ุดของการเตรยี มดินปลกู พืช การเตรียมดินขัน้ แรกจะ เปน็ ตัวกาหนดความลึกของดินตามต้องการและมผี ลไปถงึ การรักษาคุณสมบัติของดนิ และความช้นื ในดนิ ทาให้ ดินรว่ นระบายน้าและอากาศได้ดีเป็นตน้ เคร่อื งมอื ท่ีใช้ในการขุดพลิกดินขั้นแรก อาจจะเป็นไถหวั หมูในพน้ื ที่ทีป่ รบั ระดบั เรียบร้อย ไม่มหี ิน ราก ไม้ ตอไม้ ถ้าเป็นดนิ เหนยี วหรือมีชัน้ ดานใต้ผวิ ดิน มีรากไม้ ตอไม้ กใ็ ชไ้ ถจาน ในพ้ืนท่ที ี่มีดินแหง้ และแข็งมากใช้ เครอ่ื งไถหวั สว่ิ สาหรับชาวสวนท่ีทาแปลงแบบยกร่อง มีคนู ้าลอ้ มรอบและให้แรงงานคนในการขุดพลกิ ดนิ เคร่ืองมอื ท่ีใช้คอื จอบสองง่าม การขดุ พลิกดนิ ในชน้ั น้ีจะขดุ ลึกประมาณ 30-40 เซนตเิ มตรหลังจากขดุ พลิกแล้ว ต้องตากดินใหแ้ หง้ ประมาณ 7 วัน เพ่อื ฆ่าเช้ือโรคในดินและแมลงศตั รูท่ีอยใู่ นดนิ สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลูกผกั ปลอดสารพิษ 28 2.การเตรียมดนิ ชน้ั ที่สอง เปน็ การเตรียมดินต่อเน่ืองจากการขุดพลกิ ดิน และตากในชน้ั ตอนแรก จดุ ประสงค์ก็เพื่อพรวนหรือย่อยดนิ ให้แตกเปน็ ก้อนเล็กลง มสี ภาพเหมาะสมกบั เมล็ดหรือกลา้ ท่จี ะปลกู โดยใช้ ลกู กลงิ้ ขนาดเบาหรอื จอบ เมื่อพรวนดนิ เป็นกอ้ นเล็กแล้ว ควรจะใสป่ ๋ยุ อินทรีย์แล้วคลุกเคลา้ ให้เขา้ กับดิน หรือ หากจาเปน็ ต้องใสป่ ูนขาวเพ่ือปรับดินใหเ้ ป็นกลาง (พเี อชระหวา่ ง 5.5-6.8) ท่ีใสใ่ นขั้น ตอนนี้แล้วคลกุ เคล้าให้ เขา้ กบั ดิน รดน้าใหช้ ่มุ และเตรียมหวา่ นเมล็ดหรอื ปลูกกล้าต่อไป แปลงปลกู ผักควรจะทาความสะอาดอยู่เสมอ ซ่งึ เปน็ เรอื่ งสาคัญมาก เพื่อไม่ให้เป็นทีส่ ะสมของเชือ้ โรค และเป็นทห่ี ลบซ่อนตวั ของหนอนและแมลงศตั รพู ืช เปน็ การลดหรือป้องกันอันตรายตอ่ ผักทจ่ี ะปลกู ใหม่ สวนของผักที่พบว่าเปน็ โรคควรถอนไปเผาทาลายเสยี มี การกาจดั วชั พืชอยู่เสมอ ๆ โดยใช้วิธถี ากหรือถอนออกใหห้ มดดีกว่าการใช้สารเคมี การทาสวนผกั ให้ไดผ้ ลดีนน้ั ไม่ควรทาเปน็ แปลงใหญโ่ ตเหมือนการปลูก พชื ไร่อ่ืน ๆ ต้องทาในเนอื้ ที่ท่ี จากดั เท่าทีก่ าลังแรงงานและความสามารถในการปรับปรงุ ดนิ และการดูแลเอาใจใส่พชื ผักอยา่ งใกลช้ ดิ ในการ ทาสวนผักเพือ่ การค้าน้นั นบั ว่าจะหาปยุ๋ อินทรีย์ไดย้ ากขึ้นทุกที วิธีแกไ้ ขในเรื่องน้ีน่าจะทาไดโ้ ดยเกษตรกร ช่วยกันเลีย้ งสัตว์ เช่น หมู เปด็ ไก่ วัว ฯลฯ เพื่อสร้างปยุ๋ อินทรีย์ข้ึนมาใช้เอง และทางที่ดี ควรหมักดว้ ย เพราะ จะทาให้ไดป้ ๋ยุ อินทรียเ์ พิ่มขึน้ ถึง 10 เทา่ ตวั นอกจากนัน้ เศษใบพืช ทเี่ หลือกน็ ากลบั มาหมกั เปน็ ปยุ๋ ใช้ในแปลง ได้อีก เกษตรกรควรรบี เร่งทาปุ๋ยอินทรียข์ ้นึ ใชเ้ อง เพราะจะไดล้ ดตน้ ทุนการผลิตโดยไมต่ ้องซื้อปุย๋ คอก และลด การใสป่ ุ๋ยวทิ ยาศาสตร์ทฟี่ ุ่มเฟือยเกินความจาเป็น และทสี่ าคญั คือทาใหผ้ ักงามสมบูรณม์ ีภูมิต้านทานโรค ตา่ ง ๆ ได้ดี ลดการใช้สารเคมลี งไปได้อีกดว้ ย ซ่ึงวิธกี ารนีใ้ นต่างประเทศกาลงั ตืน่ ตัว กนั มาก เช่น ประเทศญ่ีปุ่นที่ เกษตรกรพยายามใชป้ ๋ยุ คอก-ปุย๋ หมักแทนการใช้ปยุ๋ เคมี และสารเคมีอยา่ งไดผ้ ล การฆา่ เช้ือในดิน ผักบางประเภททเี่ มลด็ พันธุ์มีราคาแพงผปู้ ลกู จะใชว้ ธิ เี พาะเมล็ดใหง้ อกก่อนแลว้ ค่อย ย้ายไปปลูกในแปลงอีกครงั้ หนง่ึ การเพาะเมลด็ เหล่านี้อาจจะเพาะใน กระบะเพาะ ในเเปลงเพาะ หรือใน ภาชนะอื่น เชน่ ถุงกระดาษ หรือถงุ พลาสตกิ เปน็ ต้น ในการเพาะเมล็ดนัน้ วตั ถุทใ่ี ช้เพาะโดยเฉพาะดินหรอื ส่วนผสมของดนิ มักจะมโี รคแมลง ไส้เดอื นฝอย หรือเมล็ดวัชพืชปะปนอยู่เสมอ ซง่ึ นับเป็นอปุ สรรคอย่างหนึ่งท่ี ทาให้การเพาะเมล็ดไมไ่ ด้ผลดีเทา่ ท่ีควร จึงจาเป็นต้องกาจดั โรคแมลง และอปุ สรรคอ่นื ๆ ใหห้ มดเสียก่อนทีจ่ ะ ทาการเพาะเมล็ด การเตรยี มเมลด็ พนั ธ์ุ กอ่ นนา เมลด็ พนั ธุผ์ ักไปปลกู ในแปลงปลกู หรอื แปลงกล้าเกษตรกรควรทา ความสะอาดเมล็ด พนั ธุก์ ่อน ตามขน้ั ตอนดงั น้ี 1. คดั แยกเมลด็ พนั ธุ์ โดยการคัดเมลด็ ท่เี สีย เมลด็ วัชพืชทีม่ ีอยปู่ ะปน และสิง่ เจอื ปนต่างๆออก 2. แชเ่ มลด็ พนั ธใ์ุ นนา้ อุ่น ทีอ่ ุณหภูมิ 50-55 องศาเซลเซียส เวลา 15-30 นาที จะชว่ ย ลดปริมาณเช้อื โรคท่ีติดมากับเมล็ดพันธแ์ุ ละยงั กระต้นุ การงอกของเมลด็ อีกดว้ ย 3. ในพน้ื ทท่ี ี่มกี ารระบาดของโรครานา้ คา้ ง และโรคใบจุดควรคลกุ เมลด็ พนั ธดุ์ ว้ ยสารเคมี เชน่ เมทาแลก็ ซนิ 35 เปอร์เซ็นต์ SD (เอพรอน) และไอโปรไดโอน (รอฟรัล) อตั รา 10 กรมั / เมลด็ พันธ์ุ 1 กโิ ลกรมั สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลูกผกั ปลอดสารพษิ 29 การเพม่ิ ประสิทธภิ าพการงอก ของเมลด็ พนั ธุ์ เมลด็ พันธ์ทุ ่ีนามาปลูกมีความสาคัญมากสาหรบั การปลกู ผักไรส้ ารพษิ เพราะการมเี มล็ดพันธุ์ทีส่ มบูรณ์ จะนาไปสู่การเพาะปลูกทีป่ ระสบผลสาเรจ็ เมล็ดพันธทุ์ ่ีดี จะทาให้การงอกของผักดี ต้นแข็งแรง สมบูรณ์ ต่อสู้ กับแมลงและโรคได้ดี เจรญิ เติบโตเรว็ และใหผ้ ลผลิตสงู เกษตรกรผ้ปู ลูกผักควรเนน้ การเก็บเมล็ดพนั ธ์ุเอง แทนการซ้ือจากตลาด เพือ่ ลดรายจ่าย และลดความ เสย่ี งจากการได้เมลด็ พันธุท์ ่ีไม่มีคุณภาพ เพราะปัญหาของผู้ปลกู ผักในปจั จุบันก็คือ เมล็ดพันธ์ุท่ีซ้ือมาเพาะไม่ งอก เก็บพนั ธไ์ุ ว้ปลูกต่อไม่ได้ถา้ เกบ็ มาปลกู กจ็ ะกลายพนั ธ์ุ คณุ สมบตั ขิ องเมลด็ พนั ธท์ุ ดี่ ี 1. จะมเี ปอรเ์ ซน็ ต์การงอกสงู 2. ทนต่อดินฟ้าอากาศ 3. ตา้ นทานต่อโรคและแมลง 4. ปลูกแลว้ ใหใ้ บดอก ผล สวยสมบรู ณน์ ่ารบั ประทาน มีรสชาติดี เมล็ดพนั ธผุ์ กั ท่ีมลี ักษณะเช่นน้สี ่วนใหญ่จะเป็นเมลด็ พันธพ์ุ ื้นบ้าน ท่ผี ่านการพฒั นาพนั ธุกรรมโดย ธรรมชาติ และการเกบ็ คัดเลือกพนั ธข์ุ องคนทอี่ ยู่ในท่ีน้ันๆ จึงทนทานต่อสภาพแวดล้อมเป็นอยา่ งดี หลกั ในการเลอื กเมลด็ พนั ธุ์คณุ ภาพดี 1. เมล็ดถูกบรรจใุ นภาชนะท่ีสะอาดปราศจากสิ่งเจือปนตา่ งๆ เชน่ ฝ่นุ ละออง กรวด ทราย 2. ภาชนะบรรจุและเมล็ดพนั ธ์ุไมม่ คี วามชนื้ ไม่มเี ชอ้ื รา 3. ไมม่ รี อยสตั วแ์ ทะหรือแมลงตดิ กบั เมลด็ พนั ธ์ุ 4. ไมซ่ ้ือเมล็ดพันธุจ์ ากแหลง่ ผลิตเมล็ดพนั ธุท์ ี่มีโรคระบาด 5. ซอื้ เมล็ดพันธจ์ุ ากผูผ้ ลิตทเี่ ชื่อถือได้ โดยพจิ ารณาจากประสบการณ์ในการปลูกคร้ังท่ผี ่านๆ มา ว่า เม่ือนามาปลูกแลว้ มีอตั ราการงอกสงู หรือไม่ มีผลสงู มรี ปู รา่ งดี มีนา้ หนักและรสชาติดีตรงตามลักษณะท่ี โฆษณาไวห้ รือไม่ ถ้าปลกู แล้วไดผ้ ลดี เมลด็ พนั ธุจ์ ากผ้ผู ลติ นั้นกม็ ีความนา่ เชอื่ ถือสูง 6. รปู ทรงของเมลด็ ตรงตามพันธุ์ ไมบ่ ิดเบย้ี วจากพันธท์ุ ต่ี ้องการ อยา่ งไรก็ตามเมลด็ พันธุท์ ี่ซือ้ มาจากตลาด อยา่ งมากก็จะเก็บพันธ์ุไวป้ ลูกได้เพยี ง 1-2 ครั้งเท่านั้น บาง ชนดิ ก็ไมส่ ามารถเก็บพันธ์ไุ ด้เลย ดงั น้ันเกษตรกรทตี่ อ้ งการปลูกผักไรส้ ารพษิ จึงควรพฒั นาความรู้ ผลิตและ พัฒนาพันธุ์ผักเอง เพือ่ ให้เหมาะสมกับท้องถิ่นของตนเองมากทส่ี ุด สาหรบั เมล็ดพนั ธ์ทุ ซ่ี ้ือมาจากตลาด หรือเก็บไว้นานแล้ว อาจมีประสิทธิภาพการงอกตา่ หากนาไป ปลูก อาจไมง่ อกได้ ดงั นน้ั เพ่ือลดการเสียเวลาและคา่ ใช้จา่ ย กอ่ นปลูกควรไดท้ ดสอบเปอร์เซน็ ต์ การงอกของ เมลด็ พนั ธุ์เสียก่อน โดยวิธีการดังต่อไปน้ี การทดสอบประสทิ ธภิ าพการงอกของเมลด็ พนั ธุ์ การทดสอบเมลด็ พนั ธ์ุพืชวา่ เสียหรอื ดี ขอแนะนาวิธีงา่ ยๆ เพียง 2 วิธี ดงั นี้ 1. การแช่เมล็ดผักในน้า นาถังใส่น้ามา แล้วสมุ่ หยิบเมลด็ พันธจ์ุ ากภาชนะบรรจุใสล่ งไปในถงั นา้ น้นั เมล็ดท่ีเสียจะลอยน้าขึ้นมา ส่วนเมล็ดดีจะจมนา้ ถา้ มเี มล็ดลอยน้า กห็ มายความว่ามเี มล็ดเสยี มาก อย่าซ้อื มา ปลกู 2. การทดสอบหาเปอรเ์ ซ็นต์การงอกของเมล็ด สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลูกผกั ปลอดสารพิษ 30 อปุ กรณ์ 1. จานหรือกระบะ 2. วัสดุซบั น้า เช่น กระดาษทิชชู ผา้ สาสี หรือทรายสะอาด 3. เมลด็ พนั ธ์ผุ ัก 4. นา้ วธิ กี าร 1. ขดี ตารางขึ้น 100 ช่องบนกระดาษทชิ ชหู รือผา้ แล้ววางลงบนจานแบบพรมน้าใหช้ ุ่ม ถ้าเป็นทรายก็ เอาทรายใส่กระบะพรมนา้ ให้ชุม่ แลว้ ขดี ตาราง 100 ช่อง 2. ส่มุ หยิบเมลด็ ผกั ในจุดตา่ งๆ ของภาชนะท่ีใสเ่ มล็ดพนั ธุ์ ใส่ลงไปในช่องบนกระดาษ/ผา้ /ทราย ท้ัง 100 ช่อง รวม 100 เมล็ด 3. เอากระดาษทิชชูทับ และพรมนา้ อกี ที ถ้าเปน็ ผ้าก็ให้ใช้ไมม้ ว้ น ถ้าเป็นกระบะกเ็ อาผา้ ชุบนา้ คลุมไว้ 4. ทงิ้ ไวใ้ นทรี่ ่ม อากาศถา่ ยเทสบายๆ ดแู ล กระดาษ/ผา้ ให้ชมุ่ ตลอดเวลา แต่อยา่ ใหแ้ ฉะ ประมาณ 1- 3 วัน เมลด็ พชื จะเริ่มงอกออกมา 5. คลี่กระดาษ หรือผา้ ออก แล้วนับจานวนเมลด็ ท่ีงอก ถา้ งอกเกนิ 90 เมลด็ ขน้ึ ไปนาไปปลกู ได้ ถ้างอก 70-80 เมล็ดอยู่ในเกณฑ์พอใช้ ควรนาไปเพิ่มประสิทธภิ าพการงอก ถา้ งอกแค่ 60 เมล็ด ไมค่ วรนาไปปลูก การเพมิ่ ประสิทธภิ าพการงอกของเมลด็ พนั ธุ์ จากการทดสอบการงอกของเมล็ดพนั ธ์ุ และพบวา่ เมลด็ ผักทีม่ ีประสิทธภิ าพการงอกต่านั้น มสี าเหตุได้ หลายอย่าง ดังต่อไปนี้ 1. เมล็ดพนั ธุ์กาลังอยู่ในระยะการฟักตวั นอนหลับ 2. เมลด็ พนั ธุ์ถูกเกบ็ ในชว่ งที่ไมเ่ หมาะสม 3. ดูแลต้นพนั ธทุ์ เ่ี กบ็ เมลด็ มานน้ั ไม่ดี 4. ภาชนะ และวธิ กี ารเกบ็ เมล็ดพันธ์ุไม่ดี มีความช้นื 5. เมลด็ พนั ธุ์ถกู เกบ็ ไวน้ านเกินไป และบางครั้งถา้ ใชว้ ธิ ีทดสอบการงอกไมเ่ หมาะสมกบั ชนดิ ของเมล็ดผกั แลว้ อาจทาให้ประสิทธิภาพการ งอกของเมลด็ ผักตา่ ได้ จึงควรเลือกวธิ ีการทดสอบให้เหมาะสมกบั เมลด็ ผกั ดว้ ย วธิ กี ารเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการงอกของเมลด็ 1. การตดั บางส่วนของเมลด็ ออกหรือนาเมลด็ มาขดั บนกระดาษทราย ซง่ึ สว่ นใหญ่เป็นเมลด็ ผกั ที่เป็น ไมย้ นื ตน้ และเปน็ เมล็ดทีเ่ ปลือกแขง็ 2. การแชเ่ มล็ดในน้ารอ้ น 50-55 องศาเซลเซยี ส เป็นเวลา 15-20 นาที แล้วนามาตากให้แหง้ ในทรี่ ่ม วธิ ีนย้ี งั ช่วยป้องกันโรคผกั ท่ีจะเกดิ จากเชื้อราได้ดว้ ย (และมีเทอรโ์ มมิเตอร์วัดอุณหภมู ิ) สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพิษ 31 3. การแช่เมล็ดพันธ์ใุ นน้าเย็น 4-12 ช่ัวโมง แลว้ จึงนาเมล็ดพนั ธ์ุไปปลูก วธิ ีน้จี ะชว่ ยให้เมลด็ ที่เก็บไว้ นานมเี ปอร์เซน็ ตก์ ารงอกดขี ้ึน ต้นผักแขง็ แรงข้นึ ผักทเ่ี หมาะสมกบั วธิ แี ช่น้ารอ้ นหรอื เย็น ก็คือ ข้าวโพด มะเขอื มะเขือเทศ ผกั กาด แครอท หอมหวั ใหญ่ พริก พริกไทย แตงกวา และดอกทานตะวนั ผักทใี่ ชว้ ธิ ีแช่นา้ ในการเพ่ิมประสทิ ธภิ าพการงอกไม่ได้คอื ผักในตระกูลถั่ว เพราะถ่วั จะดูดซับน้าได้ดี เมอ่ื แช่น้านานๆ ซ่ึงจะทาใหเ้ นื้อเย่ือเมล็ดเสียหาย เมลด็ ผักในตระกูลถ่วั จึงต้องแช่ในขเ้ี ถ้าแกลบ/ผงถา่ น/ขี้ เล่ือย/กระดาษทชิ ชู หรอื ผา้ ท่ีชมุ่ น้า แทนการแช่ในน้าโดยตรง วสั ดุเหล่าน้ีจะคายนา้ ออกมาช้าๆ ทาใหเ้ มล็ด คอ่ ยๆ ดดู ซึมน้าไว้ และค่อยๆ ฟนื้ ตวั จากการนอนหลบั ขนึ้ มา ข้อสงั เกต โดยปกติแลว้ เมล็ดผกั จะใช้เวลาในการงอกประมาณ 1-5 วนั เร็วหรือชา้ ขนึ้ อยู่กับความสามารถในการ งอก และปรมิ าณนา้ ถา้ เปน็ เมล็ดใหม่คุณภาพสงู จะใชเ้ วลาการงอกสนั้ และใช้นา้ นอ้ ย เมลด็ ทีง่ อกช้า ส่วนใหญ่ จะเป็นเมล็ดที่มปี ญั หาเร่ืองเช้ือรา มีข้อสงั เกตอกี อย่างคือ บางคร้ังการทดสอบเปอร์เซน็ ต์การงอกไดผ้ ลดี แต่เม่ือนาไปปลูกแล้วกลับไม่ ไดผ้ ล ซง่ึ สาเหตทุ ่ีเปน็ อยา่ งนีใ้ หพ้ จิ ารณาในเรื่อง ดิน ไมเ่ หมาะสม ดนิ มีความเป็นกรดหรือดา่ งมากเกินไป หรอื ขาดธาตอุ าหารในดนิ หรอื ดินมีความชุ่มชื้นไมเ่ พียงพอ สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหัสวชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพษิ 32 การปลกู และการดแู ล การเลอื กวธิ ีการปลูก ระยะปลกู เปน็ เทา่ ใดนน้ั จะขึน้ อยูก่ บั ชนดิ ของพชื ผักทีเ่ กษตรกรเลือกปลูก แตม่ ขี ้อแนะนา คือ เกษตรกรควรปลกู ผักใหม้ ีระยะหา่ งพอสมควร อยา่ ให้แน่นจนเกินไป เพ่ือให้มีการ ระบายอากาศทีด่ ี เป็นการปรับสภาพแวดล้อมไม่ใหเ้ หมาะสมตอ่ การระบาดของโรค นอกจากนีค้ วรหมัน่ ตรวจแปลงอยูเ่ สมอ โดยอาจเลอื กสารวจเป็นจดุ ๆ ประมาณ 10-20 จดุ /ไร่ ถ้าพบว่ามีการระบาดของ โรคและแมลงในระดบั ทกี่ ่อให้เกดิ ความเสียหายแก่พชื ผักนนั้ กค็ วรดา เนินการกา จดั โรคและแมลงท่ีพบ ทนั ที การสมุ่ ตรวจนบั โรคและแมลง สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหัสวชิ า
วชิ า การปลูกผกั ปลอดสารพิษ 33 การใหธ้ าตอุ าหารเสรมิ แกพ่ ชื จะมีความจา เป็นตอ่ พืชผกั ในบางชนิดเทา่ นัน้ ท้งั น้ีเพอ่ื สร้างความตา้ นทานโรคให้แก่พืชน้ัน เชน่ พชื ในตระกลู กะหล่า จะต้องการธาตุโบรอนเพื่อสร้างความต้านทานโรคไสกล้ วงดา มะเขอื เทศ จะต้องการ ธาตุแคลเซยี มเพ่ือสร้างความตานทานโรคผลเนา่ เป็นต้น ปยุ๋ หมกั คือ ปยุ๋ อินทรียช์ นดิ หนง่ึ ที่ไดจ้ ากการนาเศษอาหาร เศษพืช เศษขยะมลู ฝอยมาหมกั ในช่วง ระยะเวลาหนง่ึ ขยะเหลา่ น้นั จะถูกย่อยสลายเปน็ ผงเป่ือยยุ่ยสีน้าตาล ซ่ึงเป็นผลมาจากการยอ่ ยสลายทาง ชวี เคมขี องจลุ นิ ทรีย์ ข้นั ตอนการทาปยุ๋ หมกั การตรวจสอบปยุ๋ หมกั ปยุ๋ ทผ่ี ่านการหมักเปน็ เวลา 60 วัน จะต้องไมม่ ีอุณหภมู สิ ูง ใช้มอื กาวัสดุหมัก เพื่อทดสอบความชนื้ โดยจะมีนา้ ออกมาตามร่องน้ิวมือเล็กน้อย หากเกดิ กลน่ิ เหม็นอย่างรนุ แรงใหพ้ ลิกกลับวสั ดุ เพอื่ ใหอ้ ากาศถา่ ยเท ป้องกันปญั หาเร่ืองกล่ินและ แมลง สถานท่ีเกบ็ ปยุ๋ หมกั ควรมหี ลังคาคลุม อากาศถ่ายเทสะดวก หา่ งไกลจากบริเวณที่น้าท่วมถึงและมี ความชน้ื สงู สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลูกผกั ปลอดสารพิษ 34 การแกป้ ญั หาในการทาปยุ๋ หมกั กล่นิ เหมน็ สาเหตุ : การถ่ายเทอากาศต่า มีความชน้ื สงู ใชพ้ ืชเปน็ วัสดหุ มักปรมิ าณมาก วิธีแก้ไข : ผสมขยะแห้ง เชน่ ใบไม้แห้ง เพื่อดูดซับความชน้ื และทาให้อากาศถ่ายเทดีขึ้น ภายในถังหมักไม่มีความร้อน สาเหตุ : ปริมาณขยะน้อยเกนิ ไป ทาใหว้ ัสดหุ มักขาดไนโตรเจนและความช้นื วธิ ีแกไ้ ข : เติมขยะให้มปี ริมาณเพียงพอกบั ถังหมกั ใช้เวลาในการหมักนาน สาเหตุ : วัสดหุ มักมีขนาดใหญเ่ กนิ ไป วธิ ีแกไ้ ข : ตัดหรือสับวสั ดุหมักให้มขี นาดประมาณ 1 - 2 นว้ิ ถงั หมกั เปียกเกินไป สาเหตุ : ความชืน้ มากเกนิ ไป การระบายอากาศไมเ่ พียงพอ วธิ ีแก้ไข : วางถังหมักในบรเิ วณที่มีการถ่ายเทอากาศสะดวก เตมิ ขยะแหง้ เพ่ือใหค้ วามช้ืนลดลง พลกิ วสั ดุ หมักเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ ประโยชนป์ ยุ๋ หมกั ใช้เปน็ วัสดใุ นการปรับปรงุ ดนิ โดยชว่ ยเพ่ิมธาตุอาหารและอินทรียวตั ถุ ทาใหด้ ินมีคณุ สมบัตทิ ่ี เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช ป๋ ยุ ชีวภาพทีผ่ ลติ จากพชื หรือขยะเปี ยก ป๋ ยุ นา้ ชีวภาพทีผ่ ลติ จากสตั ว์ สว่ นผสม สว่ นผสม เศษวสั ดุเหลือใช้ 0.5 ถงั เศษวสั ดเุ หลือใช้ 0.5 ถงั กากนา้ ตาล 1 ลติ ร กากน้าตาล 1 ลติ ร นา้ หมกั จุลนิ ทรีย์ 1 ลติ ร นา้ หมกั จลุ นิ ทรยี ์ 1 ลติ ร นา้ สะอาด 0.5 ถงั น้าสะอาด 0.5 ถงั อปุ กรณ์ อุปกรณ์ ถงั พลาสตกิ มฝี าปิ ดขนาด 20-40 ลติ ร ถงั พลาสตกิ มฝี าปิ ดขนาด 20-40 ลติ ร ถงุ ป๋ ยุ ไมส้ าหรบั คน วธิ ีทา วธิ ที า เตมิ น้าสะอาดลงในถงั พลาสตกิ จากนน้ั เตมิ เตมิ สว่ นผสมทง้ั หมดลงในถงั แลว้ ปิ ดฝา หมกั กากนา้ ตาลและหวั เช้ือจุลินทรยี ์ ผสมใหเ้ ขา้ กนั ไวใ้ นทีร่ ม่ เป็ นเวลา 1-2 เดือน นาเศษวสั ดใุ สถ่ งุ ป๋ ยุ ผกู ปากถงุ แลว้ นาไปแช่ให้ คนสว่ นผสมอยา่ งสมา่ เสมอในระหวา่ งการ จมเป็ นเวลา 7 วนั โดยเก็บในทีร่ ม่ หมกั เพือ่ ใหเ้ กดิ การยอ่ ยสลายดีขน้ึ สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพิษ 35 การทาปยุ๋ คอกหมัก 1. สว่ นผสมโดยปรมิ าณ ข้วี ัวแห้ง 1 ถงุ ปุ๋ย ข้ีไก่ไข่แห้ง 1 ถงุ ปุ๋ย ราละเอยี ด 1 ถงุ ปยุ๋ ภูไมท์ซลั เฟต 10 กก. น้าสะอาด 15 ลติ ร ฮอร์โมนไข่ 2 ชอ้ นแกง ข้วี วั สด 2 ชอ้ นแกง 2. วธิ ที า 2.1 คลุกเคลา้ ข้ีวัวและข้ีไก่ให้เข้าดว้ ยกัน 2.2 ผสมฮอรโ์ มนไข่และขี้ววั สด กับนา้ ใสบ่ ัวรดน้าราดรดกองปุย๋ คลุกเคล้าให้ท่ัว กะใหม้ ีความชนื้ 50% กล่าวคอื สามารถจบั ปนั้ ก้อนได้ แต่เมือ่ ท้งิ ลงพ้ืนจะแตกกระจาย 2.3 ใสร่ าละเอยี ดและภูไมท์ซัลเฟต ลงไปคลุกเคลา้ กับส่วนผสมดังกล่าวแลว้ ให้เข้ากันดว้ ยดี 2.4 บรรจุใสถ่ ุงปยุ๋ มดั ปดิ ปากถงุ เก็บในทรี่ ่มอากาศถ่ายเทสะดวก หมักไว้ 7 วนั หรือจนกวา่ เน้อื ปยุ๋ เยน็ ดี แลว้ จงึ นาไปใช้ได้ 3.1 พชื ผกั สวนครวั หวา่ นปุย๋ คอกหมัก 1 ก.ก.ตอ่ พืน้ ทเ่ี พาะปลูก 1 ตารางเมตร แลว้ พรวนกลบ คลมุ ดินดว้ ยแกลบดบิ ฟาง ข้าว หรือหญ้าแห้ง ใหท้ ั่วทั้งแปลง รดน้าใหช้ ุ่ม นาตน้ กล้ามาปลกู โดยแหวกปลูกใหถ้ ึงดนิ ถา้ ปลูกโดยการ หวา่ นหรือหยอดเมลด็ ใหห้ ว่านหรอื หยอดกอ่ นการคลมุ ดนิ และรดนา้ หากปลูกเป็นหลุม ให้ใช้ 2 กามือเคลา้ ดนิ รองก้นหลมุ 3.2 ไมด้ อกไม้ประดบั หากปลกู ยกแปลง กใ็ ห้ใช้วธิ เี ดียวกนั กบั พืชผกั สวนครัว ถ้าปลูกลงกระถาง ใหใ้ ช้ปุ๋ยคอกหมัก 2 กามือ เคล้าดนิ ปลูก เมื่อปลกู แล้วให้ใส่ 1-2 ชอ้ นแกง ทุก ๆ 7-10 วนั 3.3 ไมผ้ ล ใสป่ ุย๋ คอกหมัก 1 กก. ตอ่ พ้นื ที่ 1 ตารางเมตร บรเิ วณใตท้ รงพุ่มครงึ่ รัศมีวงนอก หลังเกบ็ เกยี่ วผลผลิต สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลูกผกั ปลอดสารพษิ 36 เรอื่ งที่ 3 วธิ ปี อ้ งกนั และกาจดั ศตั รพู ชื ศตั รพู ชื จัดวา่ เป็นปัญหาสาคัญของการเกษตรกรรม ทง้ั นีเ้ พราะวา่ กวา่ 30 เปอรเ์ ซน็ ต์ของผลผลติ พืช อาหารของโลกต้องลดลง เน่อื งจากการทาลายและการรบกวนของศัตรูพืช ทาให้เกษตรกรตอ้ งหาหนทางและ วิธกี ารต่างๆ นามาใชเ้ พ่อื การควบคมุ ศัตรูพืช พบว่าในแตล่ ะปีเกษตรกรไดใ้ ชจ้ า่ ยทงั้ เงนิ เวลา และความรู้ต่างๆ รวมกนั เป็นมูลค่าถึง 10 เปอร์เซ็นตข์ องมลู คา่ ผลผลิตที่ไดร้ ับ ดังน้ันจงึ กลา่ วโดยสรุปรวมกันว่าในแต่ละปี ได้ สูญเสยี แก่ศัตรูพืช และการควบคมุ ศัตรูพชื ถึงกว่า 40 เปอรเ์ ซ็นต์ของมูลค่าผลผลิตรวม (Shaw, 1982) สาหรบั ในประเทศไทยก็ไดม้ ีรายงานว่าในแตล่ ะปีประมาณการสูญเสยี ผลผลิตพชื ถึง 10-30 เปอร์เซ็นต์ เนอ่ื งจาก ศตั รพู ืชชนดิ ตา่ งๆ (Soontorn et al., 1996) ดว้ ยเหตนุ ้ีจงึ จาเป็นทจ่ี ะต้องศึกษาเกีย่ วกับศัตรูพชื และวธิ กี าร ควบคุมเพือ่ ใชเ้ ป็นพ้นื ฐานของการจัดการศัตรพู ชื ในการผลติ พชื ใหไ้ ด้ผลผลติ ตามศักยภาพของพันธุกรรมพืช แมลงศตั รูพืช หมายถงึ สตั ว์ท่ีมีลาตวั เปน็ ปล้อง (urthropods) จดั อยู่ในช้ัน (class) Insecta ประกอบด้วยสัตว์ประมาณ 26 อนั ดับ (order) ซึ่งสัตว์เหล่านไี้ ด้ก่อความเสียหายแก่พชื เพาะปลูก แมลงเปน็ สัตวไ์ ม่มกี ระดกู สนั หลัง ลาตัวแบง่ ออกเปน็ สามส่วน คือ สว่ นศรีษะ (head) อก (thorax) และท้อง (abdomen) ซง่ึ บนส่วนอกมี 3 ปลอ้ ง ซึ่งแต่ละปลอ้ งมขี า 1 คู่ สว่ นทอ้ งมี 8-11 ปล้อง แมลงมีผนงั หุม้ ลาตวั แข็ง (exoskeleton) ดังน้นั การเจรญิ เติบโตของแมลงจึงต้องอาศัยการลอกคราบ (molting) การจาแนกชนดิ ของแมลงที่ถูกต้องจะแบง่ ตามหลักการอนุกรมวิธานโดยนักกีฎวิทยา (entomologist) แต่ในที่น้จี ะขอแบง่ ชนิด ของแมลงศัตรูพชื ออกตามลกั ษณะของการทาลายดงั น้ี 1) แมลงจาพวกกัดกนิ ใบ (leaf feeder) ไดแ้ ก่ หนอนผเี สอ้ื ต๊ักแตน ดว้ งปีกแข็ง แมลงพวกนมี้ ปี ากแบบกดั กิน (chewing) สามารถกัดกินใบท้ังหมด หรือกดั กินเฉพาะตวั ใบแลว้ เหลือเสน้ ใบไว้ ทาใหพ้ ชื ขาดส่วน สงั เคราะหแ์ สง หรือขาดทสี่ ะสมอาหาร หรอื ขาดยอดอ่อนสาหรบั การเจริญเตบิ โตต่อไป 2) แมลงจาพวกดดู กินน้าเลยี้ ง (juice sucker) ได้แก่ เพลีย้ อ่อน เพลีย้ กระโดด เพลย้ี จั๊กจนั่ และมวนตา่ งๆ แมลงจาพวกนี้มีปากแบบดูด (sucking) สามารถแทงและดูดน้าเล้ยี งจากใบ ยอดอ่อน ก่งิ ลาตน้ ดอก หรือ ผล ทาให้สว่ นต่างๆ ของพืชท่ีถูกดูดกนิ นา้ เลี้ยงมีรอยไหม้ ใบมว้ นเหยี่ ว ไม่เจริญเติบโต หรือแคระแกรน็ และ นอกจากนีแ้ มลงจาพวกน้ียังเปน็ สาเหตุสาคญั ของการถ่ายทอดและแพร่กระจายโรคพชื ที่มีเช้ือไวรัสเป็นสาเหตุ อีกดว้ ย 3) แมลงจาพวกหนอนชอนใบ (leaf minor) ไดแ้ ก่ หนอนผเี สื้อ หนอนแมลงวันบางชนิด แมลงจาพวกน้ีมกั มขี นาดเล็ก กดั กนิ เนื้อเย่ืออยู่ระหวา่ งผิวใบพืช ทาให้พืชขาดส่วนสังเคราะหแ์ สงหรือขาดส่วนสะสมอาหาร 4) แมลงจาพวกหนอนเจาะลาต้น (stem borer) ได้แก่ หนอนด้วง หนอนผีเส้ือ และปลวก แมลงจาพวกน้ี มักวางไข่ตามใบหรือเปลือกไม้ เมอื่ ไข่ฟักออกเป็นตัวหนอนกจ็ ะชอนไชเขา้ ไปอยู่ในกิ่ง ลาต้น หรอื ผล ทาใหต้ น้ พืชขาดน้าและอาหารแล้วแห้งตายไป หรือทาใหผ้ ลไม้เนา่ , หลน่ เสียหาย สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหัสวชิ า
วชิ า การปลูกผกั ปลอดสารพิษ 37 5) แมลงจาพวกกัดกนิ ราก (root feeder) ไดแ้ ก่ ดว้ งดีด จ้งิ หรีด แมลงกระชอน ดว้ งดิน ด้วงงวง แมลง จาพวกนี้มปี ากแบบกัดกิน มักมชี วี ิตหรือวางไข่ตามพ้นื ดิน ตัวออ่ นและตวั เต็มวยั จะเขา้ ทาลายรากพืช ทั้งทาให้ พืชยนื ตน้ แห้งตายเน่ืองจากขาดน้าและอาหาร 6) แมลงจาพวกที่ทาใหเ้ กิดปมุ่ ปม (gall maker) ไดแ้ ก่ ตอ่ แตน และเพลี้ย แมลงจาพวกนเ้ี มื่อกดั กิน, ดดู น้าเลี้ยงหรอื วางไข่บนพืชแล้ว มกั จะปลดปล่อยสารบางชนิดลงบนพชื ทาใหเ้ กดิ อาการปุ่มปมผดิ ปกติบนส่วน ตา่ ง ๆ ของพชื เช่น ดอก ใบ ยอดอ่อน ราก และลาต้น แมลงศัตรพู ชื ทง้ั 6 จาพวก ถา้ จดั แบง่ ตามระยะเวลาการเขา้ ทาลายพชื ปลูกแลว้ แบ่งได้ 2 ประเภทคอื 1) แมลงศัตรพู ชื ประเภทท่ีเขา้ ทาลายตง้ั แตร่ ะยะปลกู จนถงึ ระยะเก็บเก่ยี ว การทาลายของแมลงศัตรูพชื ประเภทนี้เกดิ โดยการกัดกินใบ ยอดอ่อน ตาดอก ดอก และลาต้น หรือการดูดกนิ น้าเลีย้ งของยอดอ่อน ตาดอก และกงิ่ อ่อน หรอื การเจาะไชลาตน้ หรอื การเปน็ พาหะที่ทาใหเ้ กิดการระบาดหรือแพร่กระจายของโรคพชื ซึง่ การทาลายของแมลงประเภทนี้ ทาใหศ้ กั ยภาพการใหผ้ ลผลิตของพืชปลูกลดลง 2) แมลงศัตรพู ืชประเภททาลายผลผลติ ในโรงเกบ็ เกยี่ ว (stored insect pest) แมลงศัตรูประเภทน้ีอาจจะ วางไขบ่ นดอกหรือผลของพืชปลกู ขณะอยู่ในแปลง แลว้ ตวั แมลงไปเจรญิ เติบโตทาลายผลผลิตขณะท่ีอย่ใู นโรง เก็บ หรือหลังการเก็บเก่ยี วผลผลติ มาแล้ว เช่น ด้วงงวงขา้ วสาร ดว้ งถว่ั มอด แมลงวนั ผลไม้ หรืออาจจะเป็น พวกที่อาศัยอยใู่ นโรงเก็บ เชน่ แมลงสาบ มด เป็นต้น โรคพชื หมายถึงลกั ษณะอาการของพชื ทผี่ ดิ ไปจากปกติ ซงึ่ อาจเกดิ ขน้ึ บนสว่ นใดสว่ นหนงึ่ ของตน้ พชื หรอื ตลอดทง้ั ตน้ และรวมไปจนถงึ การแหง้ ตายไปทงั้ ตน้ สาเหตุทท่ี าใหเ้ กดิ โรคพชื แบง่ ได้ 2 สาเหตุคอื 1. เกดิ จากสง่ิ มชี ีวิต (pathogenic disease) เชน่ โรคพืชที่เกิดจากเชื้อไวรัส (virus) เช้อื ไมโคพลาสมา (mycoplasma) เชื้อแบคทเี รีย (bacteria) เช้ือรา (fungi) และไสเ้ ดือนฝอย โรคพชื จะเกิดข้ึนและสามารถ แพรก่ ระจายระบาดออกไปได้ถ้าหากมเี ชื้อสาเหตเุ หล่าน้ี ตลอดจนมสี ภาพแวดล้อมท่เี หมาะสมต่อการเกดิ และ การแพร่กระจายของโรคพืชนั้น ๆ การแพร่กระจายของโรคพืชอาศยั นา้ ฝน ความช้นื ลม ดิน หรือโดยการ ถา่ ยทอด (transmission) ผา่ นทางเมล็ดพนั ธุ์ ส่วนขยายพันธ์ุ หรอื โดยแมลง ลกั ษณะอาการ (symptom) ของโรคพชื ซงึ่ เกดิ จากเชอื้ สาเหตทุ ่แี ตกตา่ งกนั จะแตกตา่ งกนั ดงั ตอ่ ไปนี้ 1.1) ลักษณะอาการของโรคพชื ทีเ่ กิดจากเชือ้ ไวรัส มกั มีอาการโรคใบหด ใบหงกิ ใบสีเหลอื งส้ม ใบดา่ ง เหลือง ใบมว้ น 1.2) ลักษณะอาการของโรคพืชทีเ่ กิดจากเช้อื ไมโคพลาสมา มกั มีอาการโรคใบขาว ลาต้นแคระแกรน แตกกอเปน็ พมุ่ หรือใบเหลืองซดี กงิ่ แหง้ ตาย ลาต้นทรุดโทรมและไม่ใหผ้ ลผลติ สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลูกผกั ปลอดสารพษิ 38 1.3) ลกั ษณะอาการของโรคพืชจากเชอื้ แบคทีเรยี มลี ักษณะอาการแตกต่างกัน 5 แบบ คือ 1.3.1) เหยี่ ว (wilt) อาการเห่ยี วเฉา เกิดจากเช้ือแบคทเี รยี เขา้ ไปเจริญในทอ่ นา้ ท่ออาหาร ของตน้ พืช ทาใหเ้ กิดการอดุ ตันของท่อน้าและท่ออาหาร จึงเปน็ เหตุใหพ้ ชื ได้รบั น้าและอาหารไม่เพียงพอ เกดิ อาการเหยี่ วเฉา หรือเจรญิ เติบโตผิดปกติและจะตายไปในทส่ี ดุ เช่น โรคเหยี่ วของมะเขือเทศ มันฝรัง่ ยาสูบ ถว่ั ลิสง กล้วย แตงกวา แตงโม มีสาเหตุมาจากเชอื้ Xanthomonas spp., Pseudomonas spp., Erwinia spp. 1.3.2) เนา่ เละ (soft rot) อาการเน่าและมีกลนิ่ เหมน็ ทัง้ น้ีเพราะแบคทเี รียเข้าทาลายเซลล์ พชื และมีเชอ้ื จุลินทรยี ์อ่ืน ๆ รว่ มเข้าทาลายซา้ เติม โรคพชื แบบนี้มกั เกิดกับสว่ นของพืชทอ่ี วบน้า เชน่ โรคเนา่ เละของพืชผกั มนั ฝรั่ง มะเขอื เทศ แตงกวา กะหล่า พรกิ ส่วนใหญ่มสี าเหตมุ าจากเช้ือ Erwinia spp. 1.3.3) แผลเป็นจดุ (spot หรือ local lesion) อาการจดุ แหง้ ตาย เกิดจากเช้ือแบคทีเรยี เขา้ ไปเจริญอยู่ในช่องวา่ งระหว่างเซลล์หรือในเซลล์ ทาใหเ้ ซลล์บริเวณนน้ั ตายเป็นแผลแหง้ มีขอบเขตจากัด เชน่ โรคใบจุดของฝา้ ย โรคใบจดุ ของถ่ัวเหลือง โรคขอบใบแห้งของขา้ ว โรคแคงเคอรข์ องสม้ โรคใบจุดของยาสูบ เช้อื สาเหตุ ได้แก่ Xanthomonas sp., Pseudomonas spp. 1.3.4) ไหม้ (blight) อาการใบไหม้ตาย เริ่มจากจดุ เล็ก ๆ กอ่ น แลว้ แผข่ ยายไปเร่ือย ๆ โดย ไม่มีขอบเขตจากัด เกิดจากเชอื้ แบคทีเรียเข้าไปเจริญอยใู่ นช่องว่างระหวา่ งเซลล์ แต่ไม่ทาลายเน้ือเยื่อเซลล์ เพยี งแต่ทาให้การเคล่อื นย้ายน้าและอาหารในพชื ไม่สะดวก ทาใหใ้ บและลาต้นมีสซี ีด (necrosis) และอาจแห้ง ตายไปในทีส่ ดุ เชน่ โรคใบไหม้ของถัว่ ยางพารา แอปเปิ้ล เชื้อสาเหตไุ ดแ้ ก่ Xanthomonas spp. Phythopthora spp. และ Erwinia spp. 1.3.5) ปมุ่ ปม (gall หรอื tumer) อาการเป็นปุ่มปมเกิดจากเชอ้ื แบคทเี รียเขา้ ไปเจรญิ อยใู่ นเซลล์พืช แล้วสรา้ งสารบางชนิดออกมากระต้นุ ใหเ้ ซลลบ์ ริเวณนน้ั มีการแบง่ ตวั มากขึ้น เชน่ โรค crown gall ของมะเขือ เทศ โรค gall ของหวั บที เชื้อสาเหตไุ ดแ้ ก่ Agrobacterium spp. และ Xanthomonas spp. 1.4) ลักษณะอาการของโรคพืชจากเชอ้ื รา ลักษณะอาการของโรคพืชจากเชอ้ื รามีมากหลายแบบ เชน่ ใบเปน็ แผล ใบไหม้ ใบบิด ตน้ เหยี่ ว รากเนา่ โคนตน้ เน่า ผลเน่า เมล็ดเนา่ ต้นกล้าเน่า หรือตน้ แห้งตายไปทั้งต้น ลกั ษณะอาการของโรคพชื จากเช้ือรามักจะสงั เกตเหน็ เส้นใย (hypha) สปอร์ (spore) ส่วนสืบพนั ธุต์ ่างๆ เช่น sporangium, conidia, basidiumascus มสี ขี าว หรือสีดา หรอื สีนา้ ตาล ปรากฏตามรอยแผลอาการของโรค หรอื ตรงส่วนท่เี ช้อื สาเหตุเข้าสู่ต้นพชื ตวั อยา่ งของโรคพชื ท่เี กดิ จากเช้ือราไดแ้ ก่ โรคโคนเน่าคอดินของตน้ กล้า โรครากและโคนตน้ เน่า โรคราน้าค้าง โรคเนา่ ของผลไม้และผกั โรคราแป้งขาว โรคราสนิมเหล็ก โรคเขมา่ ดา โรคแส้ดาของอ้อย โรคไหม้ของข้าว โรคใบจุดของขา้ วโพด โรคใบจุดตานกของยางพารา โรคแอนแทรคโนส โรคเหยี่ วของมะเขือเทศ 1.5) ลักษณะอาการของโรคพชื จากไส้เดือนฝอย มักทาใหเ้ กิดโรครากปม รากขอด และลาต้นพืชเห่ยี ว เฉาตายไปในทีส่ ดุ 2) เกิดจากส่งิ ไม่มีชีวิต (nonpathogenic disease) อาการของโรคพืชอาจเกดิ จากสาเหตเุ นอ่ื งจาก สง่ิ ไมม่ ีชีวติ เชน่ การขาดธาตุอาหาร ธาตุอาหารเป็นพิษ ดินเปน็ กรด ดนิ เค็มจัด ดินเป็นด่าง หรือพิษจาก สารเคมีบางชนดิ สาเหตตุ า่ งๆ เหล่านี้ทาใหก้ ารเจรญิ เตบิ โตของต้นพชื ผดิ ปกติ ลาตน้ แคระแกร็น มีสซี ีด หรอื สี ผิดปกติ ไม่ใหผ้ ลผลิต โรคพชื ซ่ึงมีสาเหตุเกดิ จากสงิ่ ไมม่ ชี วี ิต จะเกดิ เฉพาะบรเิ วณ ไมส่ ามารถแพร่กระจายหรือ ระบาดไปยังแหลง่ อน่ื ๆ ได้ สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลูกผกั ปลอดสารพิษ 39 สาหรบั ปัจจัยทมี่ ผี ลต่อการเกดิ โรค สบื ศกั ดิ์ (2540) กล่าวว่าปัจจัยที่มผี ลต่อการเกิดโรคนั้น มีด้วยกัน 4 ประการทีส่ าคญั คือ เชอ้ื สาเหตขุ องโรค พืชอาศัย สภาพแวดลอ้ ม และเวลา ปจั จัยท้ังสีม่ ีความสมั พันธ์ต่อกัน อย่างย่ิงยวด จะขาดสง่ิ หน่งึ สิ่งใดไม่ไดเ้ ลย หากนามาเขยี นเป็นรูปจะได้รูปสามเหลย่ี มดา้ นเท่า ซงึ่ เรยี กวา่ “สามเหล่ียมโรคพืช” ดังแสดงในรปู ที่ 11.1 “สามเหล่ยี มโรคพชื ” และปัจจยั สาคัญทปี่ ระกอบกนั ขึน้ มา การผลติ จลุ นิ ทรยี ป์ ้องกนั และกาจดั ศตั รพู ชื การผลติ จลุ นิ ทรีย์ป้องกันและกาจดั ศัตรูพืช เปน็ อกี หนึ่งภมู ิปญั ญาชาวบ้านแบบอนิ ทรีย์พ่ึงพงิ ธรรมชาติมานานพอสมควร โดยวัสดุที่ใช้ในการผลติ จลุ ินทรีย์ปอ้ งกันและกาจดั ศัตรูพืช จะเป็นสมุนไพรทห่ี า งา่ ยในท้องถนิ่ สว่ นใหญ่จะเป็นสมนุ ไพร ไล่แมลงทเี่ ปน็ ท่รี ู้จักกันดี สิ่งทีต่ ้องใช้ คือ สาบเสือ ใบยคู า ใบยาสูบ ไหลแดง(โล่ตน้ิ ) หนอนตายยาก ตะไครห้ อม บอระเพ็ด กระเทยี ม พริกขีห้ นู ดปี ลี สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหัสวชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพิษ 40 วสั ดุท่ตี อ้ งใช้ – พชื สมุนไพรดังกล่าว คือ สาบเสอื ใบยูคา ใบยาสูบ ไหลแดง(โล่ตน้ิ ) หนอนตายยาก ตะไครห้ อม บอระเพ็ด กระเทยี ม พริกขห้ี นู ดปี ลี ถ้าหาไม่ครบไม่เป็นไร สามารถใชเ้ ท่าที่หามาได้ ทัง้ หมดรวมกนั 7 กโิ ลกรัม - นา้ ตาลทรายแดง 3 กิโลกรมั วธิ ีการทา- หนั่ สบั สมนุ ไพรเปน็ ชิน้ เล็กๆ แบง่ น้าตาลทรายแดงออกเปน็ 3 ส่วน สว่ นท่ี 1 คลุกเคล้าลง ไปกบั ยอดผกั โดยไมใ่ ชน้ ้าเบา ใชม้ ือคัน้ และมือคนให้ทว่ั เสรจ็ แลว้ ใชม้ ือกดลงให้สม่าเสมอ ใชข้ องหนักทบั ทงิ้ ไว้ 1 คนื จากนัน้ นานา้ ตาลทรายแดง ส่วนที่สอง และเกลอื โรยให้ท่วั จากนนั้ ปดิ ฝาทิง้ ไว้ 8-10วนั ในที่ร่ม อยา่ หมักเกิน 14 วัน จากน้ันแลว้ เอาแตน่ า้ นามารินใสข่ วด ปิดฝาเกบ็ ไวใ้ นท่รี ่ม และใชใ้ หห้ มดภายใน 1 เดือน ประโยชนแ์ ละการนาไปใช้ – ใชพ้ น่ ศตั รูพชื ผัก สวนครัว 3-4 ชอ้ น ตอ่ น้า 10 ลิตร ฉดี พน่ ทุกๆ 5 -7 วนั ช่วงทีเ่ กิดการระบาดแมลงศัตรูพืช สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหัสวชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพษิ 41 การใชก้ บั ดกั กาวเหนยี ว กับดักกาวเหนยี วนม้ี ีคุณสมบัตไิ มม่ สี ี ไม่มีกลนิ่ และไม่มีพิษต่อส่ิงแวดลอ้ ม จะใชใ้ นการควบคุม ปรมิ าณตัวเตม็ วยั ของแมลงศัตรูพืชได้หลายชนิด เชน่ เพล้ียไฟ แมลงวนั เจาะผล แมลงวันของหนอนชอน ใบ ผเี สอื้ กลางวันชนดิ ตา่ งๆ ทัง้ ของหนอนคบื และหนอนใย เป็นตน้ โดยทัว่ ไปมักจะนยิ มใช้กาวเหนยี วมา ทาบนวัสดุทม่ี สี เี หลือง เชน่ แผ่นพลาสตกิ หรอื กระป๋องน้ามนั เครือ่ งเน่อื งจากแมลงมกั ชอบสีเหลืองโดย กับดักน้ีจะใช้ลอ่ แมลงใหบ้ นิ มาติดกาวเหนียวท่ีทาไว้สา หรบั การติดต้งั นัน้ ควรติดตง้ั กับดักในแปลงผักให้ สงู ประมาณ 30 เซนติเมตร หรือสงู กว่ายอดตน้ ผักเม่ือเจริญเติบโตเต็มทแี่ ลว้ โดยจะใชก้ ับดักประมาณ 60-80 กบั ดัก/พ้ืนท่ี 1 ไร่ ในช่วงท่มี ีการระบาดมาก (ฤดูรอ้ น, ฤดฝู น) ส่วนในฤดหู นาวมีการระบาด น้อย อาจใชเ้ พยี ง 15-20 กับดัก/ไร่ วธิ กี ารทา กาวเหนยี ว วสั ดทุ ใี่ ชป้ ระกอบดว้ ย 1. น้ามนั ละหงุ่ 550 ซซี ี 2. น้ามันยางสน 380 กรัม 3. ไขคารน์ ัววา (Canova wax) 60 กรัม ขั้นแรกเคยี่ วนา้ มนั ระหงุ่ จนเดือดแล้วจึงเตมิ นา้ มันยางสนและไขคาร์นัววาลงไป คนชา้ ๆ ให้เข้า กันดีแล้วจึงยกออกจากเตา ตั้งทิ้งไวใ้ หเ้ ย็นก่อนนา ไปใช้เป็นกบั ดักกาวเหนยี วตอ่ ไป การใช้กบั ดักกาวเหนยี ว สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพิษ 42 การใชก้ บั ดกั แสงไฟ เป็นการใช้แสงไฟจากหลอดฟลอู อรเ์ รสเซนต์ (หลอดนอี อน) หรอื หลอดไฟแบล็คไลท์ ลอ่ แมลง ในเวลากลางคืน เช่น ผีเสอ้ื หนอน กระท้หู อม หนอนกระทู้ผัก ใหม้ าเล่นไฟและตกลงในภาชนะทบี่ รรจุ นา้ มนั เครือ่ งหรอื น้าท่รี องรบั อยดู่ า้ นล่าง การติดต้งั กับดักและแสงไฟจะตดิ ต้ังประมาณ 2 จุด/พ้นื ที่ 1 ไร่ โดยตดิ ต้ังใหส้ ูงจากพนื้ ดินประมาณ 150 เซนตเิ มตร และให้ภาชนะที่รองรบั อยหู่ ่างจากหลอดไฟ 30 เซนติเมตรและควรปดิ สว่ นอนื่ ๆ ทจ่ี ะทา ให้แสงสว่างกระจายเปน็ บรเิ วณกวา้ งเพ่ือล่อจบั แมลงเฉพาะ ในบรเิ วณแปลง มใิ ช่ลอ่ แมลงจากทีอ่ ื่นให้เข้ามาในแปลง การใช้กบั ดกั แสงไฟ สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหสั วชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพษิ 43 การใช้พลาสตกิ หรือฟางขา้ วคลมุ แปลงปลกู เป็นการควบคุมปริมาณวชั พชื และเกบ็ รักษาความชื้นในดนิ ไว้ได้นาน ทา ใหป้ ระหยัดน้าที่ใช้รด แปลงผกั การใชพ้ ลาสติกหรอื ฟางข้าวคลมุ แปลงปลกู นี้ ควรใชก้ บั พชื ผกั ที่มีระยะปลกู แน่นอน ในแปลง ท่พี บการระบาดของโรคทมี่ ีเชื้อไวรสั เป็นสาเหตุ และมีเพลี้ยอ่อนหรือแมลงเปน็ พาหะ แนะนา ใหใ้ ช้ พลาสติกที่มสี เี ทา-ดา โดยให้ดา้ นทีม่ ีสเี ทาอยู่ดา้ นบน เนื่องจากสเี ทาจะทา ให้เกดิ จากสะท้อนแสง จึงช่วยไล่แมลงพาหนะได้ การใช้พลาสตกิ หรอื ฟางขา้ วคลกุ แปลง ปลูก การปลกู ผกั ในโรงเรอื นมงุ้ ตาขา่ ยไนลอ่ น สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหัสวชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพิษ 44 พน้ื ทีท่ ่ีจะใชป้ ลกู ผักในโรงเรือน ควรเปน็ พนื้ ทที่ ี่สามารถปลูกผกั ได้อย่างต่อเนื่อง ไม่นอ้ ยกวา่ 3 ปี เพื่อจะได้คมุ้ คา่ ต่อการสร้างโรงเรือนและการใช้ตาข่ายไนลอ่ น โครงสร้างของโรงเรอื นอาจทา ดว้ ย เหล็กหรอื ไม้ก็ได้ ข้นึ อยกู่ บั เกษตรกรวา่ ต้องการจะใช้พ้นื ทน่ี ้ีปลูกผักนานเท่าใด ส่วนตาขา่ ยทใ่ี ชน้ น้ั จะใช้ ม้งุ ตาขา่ ยไนล่อนทีม่ ีขนาด 16 ชอ่ งต่อความยาว 1 นวิ้ โดยม้งุ สขี าวมีความเหมาะสมกบั การปลกู ผกั เน่อื งจากแสงผ่านไดเ้ กอื บปกติ ส่วนม้งุ สฟี ้าไม่คอ่ ยเหมาะสม เนอ่ื งจากแสงผ่านได้เพียงร้อยละ 70 เทา่ น้นั การปลูกผักในโรงเรือนม้งุ ตาข่ายน้ี จะไมส่ ามารถป้องกันแมลงศัตรพู ืชผกั ไดท้ ุกชนดิ มีเพยี ง หนอนผีเส้อื และดว้ งหมดั ผัก เทา่ น้นั ทสี่ ามารถปอ้ งกนั ได้ สว่ นเพลยี้ อ่อน เพล้ียไฟ หนอนแมลงวนั ชอบ ใบแมลงหวข่ี าวและไร ซึ่งเปน็ แมลงขนาดเล็กจะไมส่ ามารถปอ้ งกนั ได้ร้อยเปอรเ์ ซน็ ต์ ซงึ่ ถ้าหากใชม้ ้งุ ไน ล่อนทมี่ คี วามถ่เี พ่มิ ข้ึนเปน็ 24 และ 32 ชอ่ งตอ่ นวิ้ แลว้ จะปอ้ งกันได้ แตอ่ าจมปี ัญหาเรอ่ื งอุณหภมู ิและ ความชน้ื ภายในม้งุ ข้อควรระวังสา หรบั การปลูกผกั ในโรงเรือนมงุ้ ตาข่าย ❖ อยา่ ให้มหี นอนผีเสื้อหรือหนอนตา่ งๆ หลุดเขา้ ไปในโรงเรอื นได้ เพราะหนอนตา่ งๆ เหลา่ นี้ จะสามารถขยายพนั ธุ์ไดอ้ ย่างรวดเร็ว ❖ ในการย้ายกล้า จะต้องตรวจดกู ล้าผกั อย่าใหม้ ีไข่ตวั หนอนหรือดักแดต้ ดิ เขา้ ไปในโรงเรือน ❖ ควรดแู ลอย่าให้ม้งุ ตาขา่ ยชา รดุ ฉดี ขาด เพราะอาจทา ใหด้ ้วงหมดั ผกั เล็ดลอดเข้าไปได้ อาจจะ มกี ารรองดว้ ยผ้าหรือแผ่นยางบรเิ วณทมี่ กี ารเสยี ดสรี ะหวา่ งตาข่ายกบั โครงสรา้ งเพ่ือป้องกนั การฉดี ขาด ❖ มงุ้ ตาขา่ ยจะต้องปิดมิดชิดตลอดเวลา และควรทา ประตเู ปน็ แบบสองช้ัน ❖ การปลกู ผักในโรงเรอื นมุ้งตาข่ายไม่สามารถปอ้ งกนั แมลงขนาดเล็กได้ ดงั นั้น จงึ อาจจะตอ้ ง ใชว้ ิธีการกา จดั ศตั รูพืชอื่นๆ รว่ มด้วย ❖ ผกั ที่ปลูกได้ในมุ้งตาข่ายไนลอ่ น ประเภทกนิ ใบ ได้แก่ คะน้า ผักกาดขาว กวางตุ้ง ฮอ่ งเต้ ตั้งโอ๋ ปวยเล้ง ขึน้ ฉา่ ย เปน็ ต้น ประเภทกนิ ดอก ได้แก่ กะหล่าดอก บล็อกโคล่ี เปน็ ตน้ ประเภทกนิ ฝกั และผล ไดแ้ ก่ ถวั่ ฝักยาว มะเขือเปราะ ถ่ัวลนั เตา เปน็ ต้น ชนิดและรูปแบบของโรงเรือน (Greenhouse) การเลอื กใช้โรงเรือนจะต้องเลอื กโรงเรือนให้เหมาะกบั ชนิดของพชื ผกั ท่ที าการปลกู อีกทงั้ ยงั ต้องคานงึ ถึงปัจจยั อื่น ๆ อกี เชน่ สภาพภมู ิอากาศ ต้นทนุ การก่อสร้าง เป็ นต้น โรงเรอื นหลงั คาปดิ ถาวร คือ โรงเรอื นทีม่ ีอัตราการระบาย ความรอ้ นภายในสูง ใช้พลาสตกิ พีอเี ปน็ หลงั คาเหมาะสาหรบั ภูมิ ประเทศเขตกึ่งร้อนก่ึงหนาว สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหัสวชิ า
วชิ า การปลกู ผกั ปลอดสารพษิ 45 โรงเรอื นแบบฟนั เล่ือย (Sawtooth) เปน็ โรงเรอื นหลังคา พลาสติกพีอี ออกแบบมาเพ่ือใชก้ บั ภมู ิประเทศเขตร้อนชน้ื อากาศ ร้อนเกือบทงั้ ปีหรืออุณหภมู ิอากาศสูง เปน็ โรงเรอื นที่มีอัตราการ ระบายความร้อนสูงเนน้ การใชก้ ารระบายอากาศจากธรรมชาติเพ่อื หมุนเวียนอากาศภายในโรงเรือน กนั ร้อนกันฝน เหมาะสาหรับ ประเทศไทยมากท่ีสุด โรงเรอื นลูกผสม (Hydrid) เป็นโรงเรอื นพลาสตกิ พีอหี รอื โพลี คารบ์ อเนต ซ่ึงงา่ ยต่อการปรับให้สอดคล้องกบั สภาพภมู ิอากาศจาก รอ้ นจดั ถึงขนาดหนาวจัดซ่งึ สามารถตดิ ต้ังหนา้ ต่างสาหรบั ปิดบน หลังคาได้ถงึ 3 ชน้ิ โรงเรือนหน้ากว้าง (Wide Span) เหมาะสาหรับสภาพ ภมู ิอากาศทม่ี คี วามหลากหลาย หลงั คาคลมุ ด้วยพลาสตกิ พอี ี สามารถ ระบายความร้อนได้มาก ใช้ได้ทงั้ สภาพอากาศร้อนหรือสภาพอากาศหนาว หรือท่ที ม่ี หี มิ ะ โรงเรือนแบบอโุ มงค์ (Walking Tunnels) เป็ นโรงเรือนอยา่ ง งา่ ยสร้างขนึ ้ โดยการดดั ทอ่ เหลก็ ให้โค้งแล้วคลมุ พลาสตกิ พอี ี เหมาะสาหรับ พืชผกั ตา่ งๆ และไม้ตดั ดอก ระบบนอี ้ าจใช้ระบบเชือกให้พชื ขนึ ้ ค้างเตยี ้ ๆ ก็ ได้ ด้านข้างโรงเรือนแบบนยี ้ งั สามารถระบายความร้อนหรือปรับความชืน้ ได้บ้าง โรงเรือนตาข่าย (Net House) เป็ นโรงเรือนท่ีนิยมใช้มากใน ปัจจบุ นั หลงั คาอาจใช้พลาสตกิ ตวั โรงเรือนจะบดุ ้วยตาขา่ ย หรือบดุ ้วยตา ขา่ ยทงั้ โรงเรือน โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์เพอื่ ป้ องกนั แมลงศตั รูพืชเป็ นหลกั และ ใช้เพื่อพรางแสงแดดมีทงั้ ตาขา่ ยสดี า สขี าว หรือสอี ื่น ๆ มีขนาดความถ่ีของ ตาขา่ ยเพอื่ เลอื กใช้ให้เหมาะกบั พืชปลกู สาระการประอบอาชีพ รายวชิ าเลอื ก รหัสวชิ า
Search