Routine to Research การพฒั นางานประจาสูง่ านวจิ ยั Paphanphon Paphangkornphurin (Ton) @July 21, 2021
ปภาณภณ ปภงั กรภรู ินท์ บคุ ลากรชานาญการพิเศษ สถาบนั บณั ฑิตพฒั นบริหารศาสตร์ 2557 วิทยาศาสตรมหาบณั ฑิต (เกียรตินิยม) สาขาการพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ยแ์ ละองคก์ าร จากสถาบนั บณั ฑิตพฒั นบริหารศาสตร์ 2552 ประกาศนียบตั รวิชาว่าความ จากสานกั ฝึ กอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ 2551 นิติศาสตรบณั ฑิต จากมหาวิทยาลยั รามคาแหง [email protected] ifaradorn @ifaradorn Paphanphon Paphangkornphurin
อปุ สรรค งานประจา โอกาส ปภาณภณ ปภงั กรภูรินท,์ 2563
การมองงานเป็ นภาระมากกวา่ เป็ นโอกาสของการเรียนรู้ เป็ นการตดั ตอน การพฒั นาตนเองของมนษุ ยท์ ี่จะเติบโตใหเ้ ต็มศกั ยภาพ เพราะการเรียนรทู้ ี่เขา้ ปปร่วม คลกุ คลีกบั บคุ คลเป้ าหมาย ด่านแรกที่ปดเ้ รียนรกู้ ค็ ือ การเปลี่ยนแปลงตนเองใหเ้ ป็ น ผูท้ ี่เขา้ ใจคนอ่ืน เขา้ ใจวธิ ีคิดและมมุ มองของคนอ่ืน ก่อนที่จะเรียกรอ้ งใหค้ นอ่ืนเขา้ ใจ และเชอ่ื ในส่งิ ท่ีเราพดู เราสอน เพื่อขดั เกลาชีวติ ปปสกู่ ารบรรลเุ ป้ าหมาย ของความเป็ นมนษุ ย์ ดงั หลกั การบริหารงานแนวใหม่วา่ Seek First to Understand, then to Be Understood Convey (1989)
Research is… “…the systematic process of collecting and analyzing information (data) in order to increase our understanding of the phenomenon about which we are concerned or interested.” (Leedy, P. D., & Ormrod, J. E., 2001 อา้ งถงึ ใน ดาวิษา ศรีธญั รัตน์, 2563)
การวิจยั และการพฒั นา... การวิจยั เป็ นการศึกษาคน้ ควา้ อย่างเป็ นระบบเพ่ือแสวงหาความจริงใน เรอ่ื งที่เป็ นสาระและประโยชนต์ ่อวิชาการ การวิจยั บริสทุ ธ์ิ คือ สรา้ งองคค์ วามรใู้ หมห่ รอื แสวงหาความรเู้ พ่ิมเติม การวิจยั ประยกุ ต์ คือ แสวงหาความจรงิ เพ่ือตอบปัญหาท่ีเกดิ ข้ึน การพัฒนา เป็ นการนาความจริงที่คน้ พบไปใช้อย่างมีแบบแผน เพ่ือ เสรมิ สรา้ งเน้ือหาสาระที่ดี ปรบั แกแ้ ละป้ องกนั เน้ือหาสาระท่ีไม่ดีไม่งาม หรอื ไม่ เหมาะสม ที่เรยี กว่า ประยกุ ตใ์ ช้ (ดจุ เดอื น พันธมุ นาวิน, 2551)
การพัฒนาในปัจจบุ นั ทง้ั ในประเทศและระดับโลกถกู ขบั เคลอื่ นโดยองคค์ วามรู้ ดงั นัน้ งานวิจัยจงึ ลว้ นมีบทบาท สาคัญในการพฒั นาและสรา้ งศักยภาพใหก้ บั ประเทศและ ยกระดบั ความกา้ วหนา้ ทางเศรษฐกจิ สังคม และ ส่ิงแวดลอ้ ม ภายใตค้ าว่า “การวจิ ัยและการพฒั นา (Research and Development: R&D)” วสิ าขา ภูจ่ นิ ดา, 2563
พฒั นา ผลงานองคค์ วามรู้ งานประจา สู่ 2 สิ่งท่ีทาใหเ้ กิดผลงาน ปภาณภณ ปภงั กรภรู นิ ท,์ 2564
What is “Routine to Research”? R2R ยอ่ มาจาก Routine to Research แปลว่าพฒั นางานประจาสงู่ านวิจยั Q: มีคาถามวา่ งานวิจยั แบบไหนที่ถือวา่ เป็ น R2R A: ไมม่ ีคาตอบตายตวั นะครบั แตล่ ะหน่วยงานตอ้ งนิยามเอาเองให้ เหมาะสมต่อสถานการณ์ และความตอ้ งการของตน เป็ น R2R หรือปม่ ใหด้ ทู ่ีโจทยว์ จิ ัย ผูท้ าวจิ ัย ผลลพั ธข์ องการ วิจัยและการนาผลการวจิ ัยปปใชป้ ระโยชน์ โจทยว์ ิจัยของงาน R2R ตอ้ งมาจากงานประจา เป็ นการ แกป้ ัญหาหรือพฒั นางานประจา ผูท้ าวิจัยตอ้ งเป็ นผูท้ างานประจานน้ั เองเป็ นผูแ้ สดงบทบาท หลกั ของการวิจัย
ปม่ตอ้ งเนน้ การนยิ ามตายตวั เก่ียวกบั คาวา่ R2R หรือ Routine to Research ปม่มีกติกาตายตวั ขอเพียงเนน้ วา่ \"หลกั การตอ้ ง ทางานประจาใหด้ ีข้นึ \" งานท่ีทาเป็ นประจาทุกวนั สามารถนามาใชเ้ ป็ น แหล่งขอ้ มลู สาหรบั วางแผนวจิ ัยอยา่ งเป็ นระบบ มีการ ป้ องกนั อคติปวอ้ ยา่ งรดั กมุ มีการตั้งคาถามวิจัยอยา่ ง ชดั เจน มีการประมวลขอ้ มลู อยา่ งนา่ เชอื่ ถือ และปด้ ขอ้ สรปุ ที่เป็ นประโยชนต์ ่อการพฒั นาคณุ ภาพงาน คนท่ี ทางานในหนว่ ยงานปดม้ ีการพฒั นาอยตู่ ลอดเวลา ดังนน้ั การวจิ ัยและพฒั นา เป็ นสว่ นหน่ึงของการจัดการระบบ ความรใู้ นหนว่ ยงาน หรือองคก์ าร
“ไม่” เคยมีความรเู้ ร่ืองวิจัย ก็เริ่มทา R2R ได้ (ระเบียบวิธีวิจัยและ สถิติ สามารถเรยี นรแู้ ละรบั การสนบั สนนุ จากทีมคณุ อานวยระหวา่ ง ทาวิจยั R2R ได)้ R2R “ไม่” ใชร่ ะเบียบวิธีวิจยั ใหม่ การเร่ิมทา R2R “ไม่” ไดเ้ ร่มิ จากความอยากทาวิจยั แต่เริ่มจากใจ ท่ีมี R2R “ไม่” ใช่งานวิจยั ข้ึนห้ิงที่ทอดท้ิงการ ความตอ้ งการพฒั นางานประจาของตนเอง ลงสปู่ ฏบิ ตั ิ ผเู้ รมิ่ ทาวิจยั R2R “ไม่” ควรเรม่ิ ดว้ ยการอบรมระเบียบวิธีวิจัยและสถิติ แต่ R2R “ไม่” จากัดเฉพาะปั ญหาทาง ควรเริ่มจากการค้นหาประเด็นคาถามท่ีสอดคลอ้ งกับปั ญหาจาก งาน คลิ นิ ก ฝ่ าย สนับ สน นุ ร วม ถึ ง Back ประจาที่ผ่านการวิเคราะห์จากผ้รู ่วมงาน และผ่านการสืบค้น อย่ าง Office กส็ ามารถทา R2R ได้ เหมาะสม งานวิจัย R2R “ไม่” ควรมาเด่ียว ชวนผู้ ความสาเรจ็ ของงาน R2R “ไม่” ไดว้ ดั ท่ีจานวนผลงานวิจยั ขอ้ งเกีย่ วทากนั เป็ นทีม งานวิจยั R2R “ไม่” ใช่งานวิจยั ชนั้ สอง งานวิจยั R2R ตอ้ งมีความแม่นยา R2R มกั “ไม่” ตอ้ งการทนุ วิจยั จานวนมาก และเชื่อถือได้ (แต่โดยส่วนใหญ่งานวิจยั R2R ไม่ตอ้ งการระเบียบวิจยั และ เนื่องจากเป็ นงานประจาที่ตอ้ งใหบ้ ริการอยู่ การวิเคราะหท์ างสถิติที่ซบั ซอ้ น) แลว้
หลกั สาคญั ของ R2R R2R คือ การพัฒนางานประจาส่งู านวิจัย องคป์ ระกอบที่สาคญั ของ R2R ผลลพั ธข์ อง R2R ไมไ่ ดห้ วงั เพียงไดผ้ ลงานวิจยั แตม่ ี เป้ าหมายเพื่อนาผลงานวิจัยไปใชเ้ พื่อพฒั นางาน โจทยว์ ิจยั R2R : ควรมาจากแกป้ ัญหาหนา้ งานจาก ประจานนั้ ๆ R2R จึงเป็ นเครอ่ื งมือในการพฒั นาคน งานประจา เพ่ือพฒั นางาน ขบั เคล่ือนองคก์ รไปส่อู งค์กรแห่ง การเรยี นรู้ (Learning Organization) ผทู้ าวิจยั : ควรเป็ นผทู้ างานประจานนั้ เองโดยแสดง บทบาทหลกั ของงานวิจยั R2R ใชร้ ะเบียบวิธีวิจยั อะไรก็ได้ ทง้ั การวิจยั เชิง ปริมาณ (Quantitative Research) การวิจัยเชิง ผลลพั ธข์ องงานวิจยั : ควรวดั ถึงผลตอ่ ตวั ผปู้ ่ วยหรอื คณุ ภาพ (Qualitative Research) หรอื การวิจัยเชิง ผู้รับ บ ริ ก า ร โ ด ย ต ร ง เ ช่ น ผ ล ก า ร รัก ษ า ท่ี ดี ข้ึ น ปฏิบัติการ (Action Research) ท่ีมี ความเหมาะสม ภาวะแทรกซอ้ นหรอื ระยะเวลาวนั นอนลดลง เป็ นตน้ (ไม่ใช่ และเช่ือถือได้ วดั ที่ตวั ช้ีวดั ทตุ ิยภมู ิเทา่ นน้ั ) การนาเสนอผลการวิจัยไปใช้ : สามารถนาไป ปรบั ปรงุ การบรกิ ารใหด้ ีข้นึ ในบรบิ ทขององคก์ รนน้ั ๆ ได้
งานประจา ไมส่ าเรจ็ สาเรจ็ ระบปุ ัญหา ระบคุ วามสาเรจ็ R2R วิจยั ถอดบทเรยี น/แสวงหา KM พฒั นางาน พฒั นางาน/ปรบั ใช/้ BP ประเมนิ ผล จดั เกบ็ /เผยแพร่ องคค์ วามรู้ การพฒั นางานประจาดว้ ยการวิจยั และการจดั การความรู้ ปภาณภณ ปภงั กรภรู นิ ท,์ 2563
Common cycle of CQI and Research Steps CQI Research Action Research Management Frame the Plan Literature Planning Planning question & Find review the best practice Test ‘the Best Do Conduct the Acting Implementation Practice’ research Observing Evaluation Analyze the Check Analysis & result & publish result distribute the knowledge Implement the Act Implement the Reflecting Feedback ‘Proved Best ‘Proved Best Practice’ Practice’ Common cycle of CQI and Research, Jacqueline Fowler Byers. Journal of วงจรการวจิ ยั เชิงปฏบิ ตั กิ ารสาหรบั ครู(ปรบั จาก ปรบั จาก ผศ.ดร.กิตตยิ า วงษข์ นั ธ,์ 2560 Healthcare Quality. 2002;1:4-8 Hitcock and Hughes, 1995:29)
ผลงานวชิ าการเพ่อื พฒั นาการ ผลงานวิชาการรบั ใช้ เรียนการสอนและการเรียนรู้ สงั คม R2R ผลงานวิชาการเพ่ือ ผลงานวิชาการเพ่ือพฒั นา อตุ สาหกรรม นโยบายสาธารณะ
ผลงานวิชาการตามเกณฑ์ ก.พ.อ.
การปรับปรุงกระบวนการจดั ประชุมคณะกรรมการพจิ ารณาตาแหน่งทางวชิ าการ สถาบันบัณฑติ พฒั นบริหารศาสตร์ วตั ถุประสงค์การศึกษา 1. เพ่ือประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั การ ECRSIT ในการปรับปรุงกระบวนการจดั ประชุมคณะกรรมการพิจารณาตาแหน่งทางวชิ าการ สถาบนั บณั ฑิตพฒั นบริหารศาสตร์ 2. เพ่ือวเิ คราะห์ ปรับปรุง และประเมนิ ผลสมั ฤทธ์ิจากการปรับปรุงกระบวนการจดั ประชุมคณะกรรมการพจิ ารณาตาแหน่งทางวิชาการ สถาบนั บณั ฑิตพฒั นบริหารศาสตร์ ดว้ ยหลกั การ ECRSIT 4,507 110,802 35,087.29 1,930 6,338 2,928.16 ผลการวิจัย รตั ตรินทร์ เรืองแจ่ม และวงศกร จอ้ ยศรี, 2563
Conceptual Framework การเพม่ิ ประสทิ ธิภาพ กระบวนการจดั ทา งบประมาณในลกั ษณะ บรู ณาการเชงิ ยทุ ธศาสตร์
การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคนคิ แบบลีน (ECRS) เพ่ือเพ่ิมประสทิ ธิภาพของการทางานระบบตรู้ บั คืน หนงั สืออตั โนมตั ิ สานกั บรรณสารการพัฒนา (อตกิ านต์ มว่ งเงนิ , 2562)
การเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการติดตามผลการดาเนินงานตามแผนบรหิ ารความเสยี่ ง และการติดตามการประเมินผลการควบคมุ ภายใน ดว้ ยแนวคิดลนี (อญั ญา น่ิมสขุ , 2562) -25.16 -14.52 -49.69 3.66 (มาก)
การปรบั ปรงุ การปรบั ปรงุ การปรบั ปรงุ การปรบั ปรงุ การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคนคิ แบบลนี กระบวนการจดั ประชมุ กระบวนงานประเมิน กระบวนการคดั เลือก กระบวนการวิเคราะห์ เพื่อเพิม่ ประสิทธภิ าพของ คณะกรรมการพิจารณา สมรรถนะบคุ ลากร ผบู้ รหิ ารสายสนบั สนนุ และระบคุ วามเสย่ี งเพ่ือ กระบวนการทางานระบบตู้ ตาแหนง่ ทางวิชาการ ประจารอบประเมินใน สถาบันบณั ฑติ พฒั นบริ จดั ทาแผนบริหารความ รับคืนหนงั สืออตั โนมัติ เสี่ยงระดบั สถาบนั ระบบ HRIS หารศาสตร์ การประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคิด การปรบั ปรงุ การเพิ่มประสทิ ธภิ าพ การปรบั ปรงุ การใชแ้ นวคิดลนี เพ่ือเพมิ่ ลนี ในการปรบั ปรงุ กระบวนงานจดั ปรญิ ญา งานจดั หาทรพั ยากร กระบวนการจดั การ ประสิทธภิ าพงานตรวจ บัตร พิธีพระราชทาน สารสนเทศ (หนงั สือ) รปู แบบวิทยานิพนธจ์ าก กระบวนการจดั การคา โดยการประยกุ ตใ์ ช้ Lean วารสารวิชาการ ระบบ e-Thesis ของ รบั รองการปฏิบัติ ปรญิ ญาบตั ร ภาษาไทยฉบบั ลว่ งเวลา ราชการประจาปี บรรณารกั ษ์ โดยใชแ้ นวคิดลีน ประเด็นท่มี อี ิทธผิ ลตอ่ การปรบั ปรงุ กระบวนการ การพัฒนาหลกั สตู ร การวิเคราะหเ์ กณฑ์ การวิเคราะหผ์ ลสมั ฤทธ์ิใน การประเมนิ คณุ ภาพ ใหบ้ ริการจดั ทาขอ้ มลู ทาง ฝึ กอบรมเทคนคิ การ มาตรฐานสากลเพ่ือ การสมคั รสอบคดั เลือกเขา้ ผลงานเพ่ือกาหนด บรรณานกุ รมหนงั สือโดย เขยี นคมู่ อื ปฏิบตั ิงาน สนบั สนนุ ยทุ ธศาสตร์ ตาแหนง่ ทางวิชาการ การประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั การ เชิงรกุ สถาบนั บัณฑติ ศึกษาตอ่ นิดา้ ระดบั พฒั นบรหิ ารศาสตร์ ปรญิ ญาโท ภาคปกติ ECRS
แนวทางจดั ทารายงานโครงการท่ีไดร้ บั งบประมาณ จากกรมส่งเสรมิ การเกษตร ▪ งานประจา คือ จัดทารายงานผลการดาเนินโครงการส่งเสริมการเกษตรที่ไดร้ ับ งบประมาณ ▪ ปัญหา คอื การทารายงานไมม่ ีคณุ ภาพและจดั สง่ ชา้ ไมต่ รงตามกาหนดเวลา ▪ สาเหตุ คอื แตล่ ะงาน/โครงการมชี ว่ งเวลาในการจดั เก็บและประมวลผลขอ้ มลู ตา่ งกนั ▪ การตง้ั โจทยว์ ิจัย คือ สรา้ งรปู แบบการจดั ทารายงานผลการดาเนินกิจกรรม/งาน/ โครงการสง่ เสริมการเกษตรมีขน้ั ตอนดงั นี้ (1) ศึกษา/รวบรวมขอ้ มลู การรายงานและ การใชป้ ระโยชน์ เพื่อวางแผนดาเนินการเรียนรรู้ ่วมกันระหว่างผรู้ ับผิดชอบการ รายงานของาน/โครงการตา่ งๆ (2) จดั เวทแี ลกเปลย่ี นเรียนรู้ เพ่ือการสรปุ ปัญหา และ แนวทางพัฒนากระบวนการจัดเก็บขอ้ มูลและประมวลผลร่วมกัน (3) พัฒนา กระบวนการจดั เก็บขอ้ มลู และประมวลผล และ (4) ทบทวนผลการจัดทารายงาน เพ่ือ ประเมินขนั้ ตอน/กระบวนการอยา่ งตอ่ เนอื่ ง
แนวทางจดั ทารายงานโครงการที่ไดร้ บั งบประมาณ จากกรมส่งเสริมการเกษตร ▪ วัตถุประสงค์ คือ เพ่ือหาแนวทางพัฒนารูปแบบการจัดทารายงานที่มี ประสทิ ธิภาพ สามารถแสดงใหเ้ ห็นผลการส่งเสริมการเกษตร ขององคก์ รทั้งใน เชงิ คณุ ภาพและปริมาณ ▪ วธิ ีการวจิ ยั คือ การวิจยั เชงิ ปฏิบตั กิ าร ▪ ผลที่ตอ้ งการ คือ รปู แบบการจัดทารายงานผลการดาเนินโครงการส่งเสริม การเกษตรทีใ่ ชป้ ระโยชนไ์ ดจ้ ริงและตรงตามกาหนดเวลา
ประเด็นท่ีมีอิทธิพลตอ่ ผลการประเมินคณุ ภาพผลงานทางวิชาการเพื่อกาหนด ตาแหน่งทางวิชาการ (ปภาณภณ ปภังกรภูรินท,์ 2563) งานประจา (Topic) ประเด็นปัญหา (Focus) งานพิจารณาตาแหนง่ ทางวิชาการ ผลงานทางวิชาการไมผ่ า่ นการประเมนิ คณุ ภาพ ผลงานทางวิชาการไดร้ บั การตพี ิมพเ์ ผยแพรใ่ นฐานขอ้ มลู แตไ่ มผ่ า่ นการ กระบวนการที่สาคญั (Narrowed) ประเมนิ คณุ ภาพ กระบวนการประเมนิ คณุ ภาพผลงาน ขอ้ คิดเห็น จดุ เดน่ ขอ้ บกพรอ่ ง และขอ้ จากัดท่พี บคอ่ ยขา้ งบ่อยในการทา ทางวิชาการ ผลงานทางวิชาการของผขู้ อตาแหนง่ ทางวิชาการ คาถามที่อยากไดค้ าตอบ (Research Problems + Question) ประโยชน์ (เมื่อแกไ้ ขปัญหาไดแ้ ลว้ ผมู้ ีสว่ นไดเ้ สยี จะไดอ้ ะไรจากงานวิจยั น้ี) ประเด็นและชอ่ งวา่ งของเกณฑก์ าร ผขู้ อกาหนดตาแหนง่ มีแนวทางในการพฒั นาผลงานทางวิชาการทม่ี คี ณุ ภาพ ประเมนิ คณุ ภาพใดที่ทาใหผ้ ลงานทาง สาหรบั การกาหนดตาแหนง่ ทางวิชาการ วิชาการไมผ่ า่ นการประเมิน ยกระดบั คณุ ภาพผลงานทางวิชาการเพ่ือกาหนดตาแหนง่ ทางวิชาการ ผขู้ อกาหนดตาแหนง่ ทางวิชาการมีโอกาสไดร้ บั ตาแหนง่ ทางวิชาการมากขนึ้ ปภาณภณ ปภงั กรภรู นิ ท,์ 2563
ประเด็นท่ีมีอิทธิพลตอ่ ผลการประเมินคณุ ภาพผลงานทางวิชาการเพ่ือกาหนด ตาแหน่งทางวิชาการ (ปภาณภณ ปภังกรภูรินท,์ 2563) วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพ่ือศึกษาประเด็นท่ีมีอิทธิพลตอ่ ผล การประเมินคณุ ภาพผลงานทางวิชาการ เพื่อกาหนดตาแหนง่ ทางวิชาการ 2. เพื่อวิเคราะหช์ อ่ งว่างในการยกระดบั คณุ ภาพผลงานทางวิชาการเพ่ือกาหนด ตาแหนง่ ทางวิชาการ 3. เพื่อนาเสนอแนวทางในการพัฒนา ผลงานทางวิชาการที่มีคณุ ภาพสาหรับ การกาหนดตาแหนง่ ทางวิชาการ ปภาณภณ ปภงั กรภรู ินท,์ 2563
Workshop 1. ▪ งานประจา: ▪ กระบวนการทีส่ าคัญของงานประจา: ▪ ประเด็นปัญหา: ▪ สาเหตุของประเด็นปญั หา: ▪ คาถามท่อี ยากไดค้ าตอบ: ▪ วตั ถุประสงค์: ▪ ผลทีต่ ้องการ (เมอ่ื แก้ไขปัญหาไดแ้ ลว้ ผ้มู ีส่วนได้เสยี จะได้อะไร):
การพฒั นางานประจาส่งู านวจิ ยั การเขียนบทนา ปภาณภณ ปภงั กรภรู ินท,์ 2564
เทคนิคการกาหนดหวั ขอ้ ▪ ตรงตามวตั ถปุ ระสงคแ์ ละเน้อื หาทจ่ี ะศกึ ษา ▪ เขยี นเป็นประโยคบอกเลา่ ใหค้ รอบคลมุ ประเดน็ ท่ศี กึ ษา ▪ สะทอ้ นขอบเขตการศกึ ษา ไมก่ วา้ งหรอื แคบเกนิ ขอบเขตการศกึ ษา ▪ กระชบั ชดั เจน และไมใ่ ชภ้ าษาซา้ ซอ้ นหรอื คาฟ่มุ เฟือย ▪ ทาใหท้ ราบตวั แปรและสถติ หิ รอื เคร่ืองมอื ทใ่ี ชใ้ นการศึกษา
เทคนิคการเขียนความเป็ นมาและความสาคญั หลกั การท่ีควรนาไปใช้ ▪ ใหเ้ ทคนิคการเขยี นแบบสามเหลย่ี มหวั กลบั (นาเสนอประเดน็ กวา้ งไป ส่งิ ท่ีไม่ควรทา แคบ) เล่าประวตั ิหน่วยงานหรืออธิบายหนา้ ท่ีความรบั ผิดชอบข อง ▪ ช้ใี หเ้หน็ ความสาคญั ของเร่ืองทท่ี าการวจิ ยั และพฒั นา (เหตใุ นการทาการ หน่วยงานหรอื ผูท้ าวจิ ยั วิจยั และพฒั นา) และทาไมตอ้ งทาการวิจยั และพฒั นาเร่ืองน้ี (ผลหรือ หลกี เลย่ี งการกลา่ วอา้ งเอาเอง หรอื ใชถ้ อ้ ยคาทเ่ี ป็นนามธรรม ประโยชนท์ ไ่ี ดจ้ ากการวจิ ยั และพฒั นา) โดยการจบั ประเด็นความสาคญั มาจากคาสาคญั ของหวั ขอ้ ไม่ใส่เหตุผลส่วนตวั ท่ีไม่เก่ียวขอ้ ง เช่น การทาวิจยั เพ่ือนาไปขอ ▪ ใชข้ อ้ มลู และขอ้ เทจ็ จริงสนบั สนุนการนาเสนอความสาคญั กาหนดตาแหน่ง ▪ นาเสนอปญั หาทค่ี รอบคลมุ ทุกประเดน็ การศกึ ษา ไม่คดั ลอกขอ้ ความจากแหล่งขอ้ มูลต่าง ๆ โดยผิดจริยธรรมและ จรรยาบรรณทางวชิ าชพี
เทคนิคการเขียนวตั ถปุ ระสงค์ หมายถงึ ความมงุ่ หมายท่ผี ูว้ จิ ยั ตอ้ งการคน้ หาความจรงิ และพฒั นางานโดยระเบยี บวธิ ี วตั ถปุ ระสงคเ์ ปรียบเสมอื นเขม็ ทศิ หรอื ประเดน็ ทต่ี อ้ งการวจิ ยั และพฒั นางาน วตั ถปุ ระสงคจ์ ะช่วยใหผ้ ูว้ ิจยั ทราบว่าจะวิจยั และพฒั นางานประเดน็ ใดบา้ ง เป็นการ จาแนกประเดน็ การวจิ ยั ใหเ้หน็ เป็นขอ้ ยอ่ ยๆ ทช่ี ดั เจน ทาใหส้ ามารถดาเนินการวิจยั และพฒั นาไดอ้ ย่างเป็นรูปธรรม โดยมี หลกั การทส่ี าคญั คือ – ลกั ษณะวตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั คือการบอกวา่ จะ “ทาอะไร” – ครอบคลมุ ประเดน็ ท่จี ะทาการวจิ ยั – นิยมข้นึ ตน้ ประโยคดว้ ยคาวา่ “เพ่อื ” – เป็นประโยคบอกเลา่ ท่กี ระชบั ชดั เจน ในแต่ละขอ้ ควรมปี ระเดน็ แค่ 1-2 ประเดน็ หลกั
ตวั อย่างการเขียนวตั ถุประสงค์ ประเด็นท่มี อี ทิ ธิพลต่อผลการประเมินคุณภาพผลงานทางวิชาการเพอ่ื กาหนดตาแหน่งทาง วชิ าการ วตั ถปุ ระสงค์ ▪ เพอ่ื ศึกษาประเดน็ ทม่ี อี ทิ ธพิ ลต่อผลการประเมนิ คุณภาพผลงานทางวชิ าการเพ่อื กาหนดตาแหน่ง ทางวชิ าการ ▪ เพอ่ื วเิ คราะหช์ ่องว่างในการยกระดบั คณุ ภาพผลงานทางวชิ าการเพอ่ื กาหนดตาแหน่งทางวชิ าการ ▪ เพ่อื นาเสนอแนวทางในการพฒั นาผลงานทางวิชาการท่มี คี ุณภาพสาหรบั การกาหนดตาแหน่งทาง วชิ าการ
เทคนิคการเขียนประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะไดร้ บั หมายถึง ส่ิงท่ีไดจ้ ากการทาการวิจยั และพฒั นางาน ซ่ึงมีความหมายตง้ั แต่การตอบประเด็นท่ีไดต้ ั้งวตั ถุประสงค์ไว้ (Output) และสง่ิ ท่จี ะไดร้ บั จากการนาผลผลติ จากการวิจยั ไปใชป้ ระโยชน์ (Outcome) โดยมหี ลกั การท่สี าคญั คือ – มงุ่ ตอบคาถามวา่ “ทาแลว้ ไดอ้ ะไร” – ครอบคลุมวตั ถปุ ระสงคเ์ ป็นลาดบั แรก และเพม่ิ การช้ใี หเ้หน็ ว่าผลผลติ (output) นนั้ จะนาไปใชป้ ระโยชนอ์ ะไร หรือช้ใี หเ้หน็ วา่ ผลท่ไี ดจ้ ากการนาผลผลติ ดงั กลา่ วไปใช้ (Outcome) ดงั นน้ั ประโยชนค์ ือ วตั ถปุ ระสงค+์ + – ตอ้ งเป็นประโยชนโ์ ดยตรงจากผลการศกึ ษานน้ั
ตวั อย่างการเขียนประโยชนท์ ่คี าดว่าจะไดร้ บั ประเด็นท่ีมีอิทธิพลต่อผลการประเมินคุณภาพผลงานทางวิชาการเพ่ือกาหนด ตาแหน่งทางวชิ าการ ประโยชนท์ ่คี าดว่าจะไดร้ บั – ทราบประเดน็ ท่มี อี ทิ ธิพลต่อผลการประเมนิ คุณภาพผลงานทางวชิ าการเพอ่ื กาหนดตาแหน่งทางวชิ าการ – ทราบช่องว่างในการยกระดบั คุณภาพผลงานทางวชิ าการเพอ่ื กาหนดตาแหน่งทางวชิ าการ – ผูข้ อกาหนดตาแหน่งมีแนวทางในการพฒั นาผลงานทางวิชาการท่ีมีคุณภาพสาหรบั การกาหนดตาแหน่งทาง วชิ าการ – ยกระดบั คณุ ภาพผลงานทางวชิ าการเพอื่ กาหนดตาแหน่งทางวชิ าการ – ผขู้ อกาหนดตาแหน่งทางวชิ าการมโี อกาสไดร้ บั การกาหนดตาแหน่งทางวชิ าการมากข้นึ
เทคนิคการกาหนดขอบเขตการศกึ ษา เน้ือหา ประชากรหรอื ตวั อยา่ งการเขียนประโยชนท์ ่คี าดวา่ จะไดร้ บั พ้นื ท่ี แหล่งขอ้ มูล การศกึ ษาครง้ั น้เี ป็นการศกึ ษาอตั ราค่าตอบแทนของคณะกรรมการพิจารณาตาแหน่ง เวลา ทางวชิ าการ และคณะกรรมการผูท้ รงคณุ วุฒเิ พอ่ื ทาหนา้ ทป่ี ระเมนิ ผลงานทางวชิ าการ และ จริยธรรมและจรรยาบรรณทางวชิ าการ ซง่ึ ประกอบดว้ ย ค่าเบ้ยี ประชมุ ค่าสมนาคุณในการ ประเมนิ คณุ ภาพผลงาน และเงนิ รางวลั ทจ่ี ่ายใหก้ บั ผูไ้ ดร้ บั การแต่งตง้ั ใหด้ ารงตาแหน่งทาง วิชาการ ครอบคลุมสถาบันอุดมศึกษาของรัฐทวั่ ประเทศ 4 กลุ่ม ไดแ้ ก่ กลุ่ม สถาบนั อุดมศึกษาท่ีเป็นส่วนราชการ กลุ่มสถาบนั อุดมศึกษาในกากบั ของรัฐ กลุ่ม สถาบนั อดุ มศกึ ษาราชภฏั และกลมุ่ สถาบนั อุดมศึกษาราชมงคล ทง้ั น้ี การศึกษาครงั้ น้ีไม่ รวมถงึ ค่าตอบแทนทเ่ี ป็นค่าเดนิ ทาง ค่าทพ่ี กั และค่าจดั เล้ยี งหรอื ค่าอาหาร
เทคนิคการเขียนนิยามศพั ท์ เป็นอธิบายช้ีแจงใหผ้ ูอ้ ่านทราบถงึ คาศพั ทท์ ่ปี รากฏในงานวจิ ยั ซ่งึ เป็นคาศพั ทท์ ่มี คี วามหมาย เฉพาะหรือมคี วามหมายแตกต่างจากทวั่ ไป หรือมีเฉพาะในงานวิจยั หรือในงานดงั กล่าว เทา่ นน้ั อาจเป็นภาษาไทย ภาษาองั กฤษ หรอื คาย่อก็ได้ ทง้ั น้ี เพ่อื ใหผ้ ูอ้ ่านเขา้ ใจตรงกนั ถึง ความหมายทก่ี ลา่ วถงึ ในงานวจิ ยั รวมทงั้ เป็นการนิยามศพั ทป์ ฏบิ ตั กิ ารดว้ ย
ตวั อย่างการเขียนนิยามศพั ท์ คา่ ตอบแทน สถาบนั อุดมศึกษาของรฐั ส่งิ ตอบแทนในรูปตัวเงนิ ท่สี ถาบนั อดุ มศึกษาจ่ายใหก้ บั บุคคลท่ีไดร้ บั แต่ งตง้ั ใหท้ าหนา้ ท่ใี น กระบวนการพจิ ารณาตาแหน่งทางวชิ าการเพ่อื จูงใจและตอบแทนการปฏิบตั ิหนา้ ท่ี ทง้ั ท่ีเป็นค่าเบ้ยี สถานศึกษาของรฐั ในสงั กดั สานกั งานคณะกรรมการการ ประชมุ ค่าสมนาคณุ ในการประเมนิ คุณภาพผลงานทางวชิ าการ และเงนิ รางวลั แก่ผไู ้ ดร้ บั การแต่งตง้ั ให้ อุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการและกรุงเทพมหานครท่จี ัด ดารงตาแหน่งทางวชิ าการ การศกึ ษาระดบั อุดมศึกษาในดา้ นวชิ าการและวิชาชีพชนั้ สูงซ่งึ มภี ารกิจในการสอน วิจยั บริการวิชาการ และทานุบารุง คณะกรรมการพจิ ารณาตาแหน่งทางวิชาการ ศิลปวฒั นธรรม เพ่ือใหป้ ระกาศนียบตั ร อนุปริญญา หรือ ปริญญาแก่ผูส้ าเร็จการศึกษาในหลายระดบั ทง้ั ปริญญาตรี คณะบุคคลซ่ึงเป็ นผูท้ รงคุณวุฒิทางวิชาการระดับศาสตราจารย์ เป็ นบุคคลภายนอ ก ปริญญาโท และปริญญาเอก ซ่ึงหมายความรวมท้ัง สถาบนั อดุ มศึกษาของรฐั ทไ่ี ดร้ บั แต่งตง้ั มคี วามรูแ้ ละความเช่ียวชาญครอบคลมุ สาขาวิชาการต่างๆ สถาบนั อุดมศึกษาท่ีเป็นส่วนราชการ สถาบนั อุดมศึกษาใน ของสถาบนั อดุ มศกึ ษาของรฐั ไดร้ บั การแต่งตง้ั จากสภาสถาบนั อดุ มศึกษาของรฐั ใหท้ าหนา้ ท่กี าหนด ก า กั บ ข อ ง รัฐ ส ถ า บัน อุ ด ม ศึ ก ษ า ร า ช ภัฏ แ ล ะ หลกั เกณฑ์ แนวปฏบิ ตั ิ ขน้ั ตอนและวธิ กี ารเก่ยี วกบั การประเมนิ ผลการสอน เอกสารประกอบการสอน สถาบนั อดุ มศึกษาราชมงคล เอกสารคาสอน และการประเมนิ ผลงานทางวิชาการ และวิธีการอ่นื ๆ ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การพิจารณา ตาแหน่งทางวชิ าการ คดั เลอื กและแต่งตงั้ คณะกรรมการผทู ้ รงคณุ วุฒเิ พ่อื ทาหนา้ ท่ีประเมนิ ผลงานทาง วชิ าการ และจริยธรรมและจรรยาบรรณทางวชิ าการ พจิ ารณาอทุ ธรณ์ในกรณีท่บี ุคลากรผูข้ อแต่งตงั้ ตาแหน่งทางวชิ าการเสนอขอทบทวนผลการพจิ ารณาผลงานทางวชิ าการ
เทคนิคการกาหนดกรอบแนวคดิ ตวั อย่างการกาหนดกรอบแนวคดิ เป็ นการสรุปใหเ้ ห็นภาพรวม ของประเด็นการศึกษา โดย ห ล ัก ก า ร ท่ี ส า ค ัญ คื อ ก า ร น า วัต ถุ ป ร ะ ส ง ค์ม า ใ ช้ใ น ก า ร กาหนดกรอบแนวคิดเพ่ือให้ ครอบคลมุ ประเด็นท่ศี ึกษา
ตวั อยา่ งการกาหนดกรอบแนวคิด วตั ถปุ ระสงคก์ ารศกึ ษา 1. เพอ่ื ประยุกตใ์ ชห้ ลกั การ ECRSIT ในการปรบั ปรุงกระบวนการจดั ประชมุ คณะกรรมการพจิ ารณาตาแหน่งทางวชิ าการ สถาบนั บณั ฑติ พฒั นบรหิ าร ศาสตร์ 2. เพ่อื วเิ คราะห์ ปรบั ปรุง และประเมนิ ผลสมั ฤทธ์จิ ากการปรบั ปรุงกระบวนการจดั ประชมุ คณะกรรมการพจิ ารณาตาแหน่งทางวชิ าการ สถาบนั บณั ฑติ พฒั นบริหารศาสตร์ ดว้ ยหลกั การ ECRSIT การปรบั ปรุงกระบวนการจดั ป ร ะ ชุ ม ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร พจิ ารณาตาแหน่งทางวิชาการ สถาบนั บณั ฑิตพฒั นบริหาร ศาสตร์ รตั ตรินทร์ เรอื งแจ่ม และวงศกร จอ้ ยศรี, 2563
การพฒั นางานประจาสูงานวจิ ยั หวั ขอ้ การทบทวนวรรณกรรมและ เอกสารท่ีเก่ียวขอ้ ง ปภาณภณ ปภงั กรภรู นิ ท,์ 2564
งานประจา ความเป็ นมาและความสาคญั ขอบเขตการศึกษา เคร่ืองมอื การวจิ ยั ประเดน็ ปญั หาในการพฒั นา กรอบแนวคิด การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู การทบทวนวรรณกรรมและ เอกสารทีเ่ กี่ยวขอ้ ง ประเด็นทจี่ ะพฒั นา ประยุกตจ์ าก วชั รินทร์ อินทรพรหม, 2558 การวเิ คราะหข์ อ้ มลู วตั ถปุ ระสงค์ อภปิ รายผล ความสมั พนั ธข์ อง ขอ้ เสนอแนะ การทบทวนวรรณกรรม กบั เน้ือหาตา่ ง ๆ ของงานวจิ ยั
วตั ถุประสงคก์ ารเขียน ทบทวนวรรณกรรมและเอกสารท่เี ก่ยี วขอ้ ง ▪ การเขยี นวรรณกรรมและเอกสารท่เี ก่ยี วขอ้ ง มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พ่อื นาเสนอแนวคิดทฤษฎแี ละเอกสารท่ี เก่ยี วขอ้ งกบั ประเดน็ ท่จี ะวจิ ยั และพฒั นา เพอ่ื ใชเ้ป็นฐานในการวจิ ยั และพฒั นา จงึ ตอ้ งสารวจว่าประเด็น ทจ่ี ะศึกษามแี นวคดิ ทฤษฎแี ละเอกสารท่เี ก่ยี วขอ้ งใดบา้ ง แลว้ นามาเรียบเรยี งนาเสนอไว้ เพอ่ื พสิ ูจนว์ ่า ผูท้ าวจิ ยั มคี วามรูเ้พยี งพอต่อการทาวจิ ยั นน้ั
แนวทางการเขียน ทบทวนวรรณกรรมและเอกสารท่เี ก่ยี วขอ้ ง ข้ันตอน ่ที 1 ข้ันตอน ่ที 2 ข้ันตอน ่ที 3 นาประเด็นทจ่ี ะวจิ ยั นาแนวคดิ ทฤษฎแี ละ นาแกนแนวคดิ ทง้ั หมดมาพจิ ารณา เอกสารท่เี กย่ี วขอ้ ง ทฤษฎใี นแตล่ ะกลมุ่ ว่ามีแนวคดิ ทฤษฎี ทง้ั หมดมาจดั กลมุ่ มากาหนดหวั ขอ้ และเอกสารท่ี โดยกาหนดแกนหลกั เกย่ี วขอ้ งใดบา้ ง ของแนวคดิ ทฤษฎวี า่ ประยุกตจ์ าก บรรเจดิ สงิ คะเนติ, 2564 มีกแ่ี กน
ตวั อย่างการวางโครงบทท่ี 2 ทบทวนวรรณกรรมและเอกสารท่เี ก่ยี วขอ้ ง การวเิ คราะหเ์ กณฑม์ าตรฐานสากลเพ่ือสนบั สนุนยทุ ธศาสตร์ เชิงรกุ ของสถาบนั บณั ฑติ พฒั นบรหิ ารศาสตร์ วตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื ศึกษาเกณฑม์ าตรฐานสากลทค่ี ณะ/วทิ ยาลยั เลอื กสมคั ร เพอ่ื เขา้ รบั การรบั รอง เพ่ือศึกษาความสอดคลอ้ งและความแตกต่างของเกณฑ์ มาตรฐานสากลตามทฤษฎรี ะบบ เพ่ือศึกษาความสอดคลอ้ งของเกณฑ์มาตรฐานสากลกบั ยุทธศาสตรข์ องสถาบนั เพอ่ื จดั ทาขอ้ มูลพ้นื ฐานสาหรบั สถาบนั คณะ/วทิ ยาลยั และ หน่วยงานต่าง ๆ ภายใน สถาบนั ดดั แปลงจาก เสมอมาศ ล้มิ จาเริญ, 2558
ตวั อย่างการวางโครงบทท่ี 2 ทบทวนวรรณกรรมและเอกสารทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง ช่ือเร่ือง บทท่ี 2 เอกสารท่เี ก่ยี วขอ้ ง การวเิ คราะหส์ ารเคมี วสั ดุ อปุ กรณ์ และการจดั การ 2.1 สารเคมี วสั ดุ อปุ กรณ์ ท่ีตอ้ งใชใ้ นปฏบิ ตั กิ ารเคมีส่งิ ทอ ของเสยี ใน การปฏบิ ตั กิ ารเคมสี ง่ิ ทอ (Textile 2.2 การวเิ คราะหง์ านเพอ่ื ความปลอดภยั (Job Safety Analysis : JSA) Chemistry Laboratory) ภาควชิ าวสั ดุ 2.3 การแบง่ ประเภทเคร่อื งแกว้ ตามวตั ถปุ ระสงคก์ ารใชง้ าน 2.4 หลกั การทางานกบั สารเคมอี ยา่ งปลอดภยั ศาสตร์ คณะวทิ ยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั 2.5 อนั ตรายและขอ้ ปฏบิ ตั เิ ม่อื ใชส้ ารเคมี 2.6 แนวทางปฏบิ ตั ิ การจดั เกบ็ สารเคมใี นหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารอยา่ งปลอดภยั 2.7 การจดั การของเสยี เคมีในหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร 2.8 หลกั ปฐมพยาบาลเบ้อื งตน้ 2.9 ความปลอดภยั เม่อื เกดิ เพลงิ ไหม้ ภวรรณพ เหมพนั ธุพ์ ริ ุฬห,์ 2564
ตวั ทอบยทว่านงวรกรณารกรวรามแงลโะคเอกรสงาบรททเ่ี ก่ยีทวข่ี อ2้ ง เร่ือง การวิเคราะหอ์ ปุ กรณ์สาธิตการแลกเปล่ยี นความรอ้ นแบบท่อสองชน้ั บทท่ี 2 เอกสารท่เี กย่ี วขอ้ ง 2.1 อุปกรณ์แลกเปล่ียนความรอ้ นแบบท่อสองช้นั (Double สาหรบั การทดลองในรายวิชา 2314485 ปฏิบตั ิการวิศวกรรมกระบวนการ ชีวภาพ ของภาควิชาเทคโนโลยที างอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ Tube Heat Exchager) มหาวิทยาลยั 2.2 การเรยี นรูแ้ บบปฏิบตั กิ ารหรือแบบทดลอง วตั ถปุ ระสงค์ 2.3 ส่อื การเรียนการสอน 2.4 การประเมินคณุ ภาพของสอ่ื 1) เพ่อื วเิ คราะหค์ ุณภาพอปุ กรณส์ าธิตการแลกเปล่ยี นความรอ้ นแบบทอ่ สอง 2.5 การวดั และประเมินผล ชน้ั สาหรบั การทดลอง 2.6 การหาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน 2) เพ่อื วิเคราะหป์ ระสิทธิภาพอปุ กรณ์สาธิตการแลกเปล่ียนความรอ้ นแบบ 2.7 การประเมนิ ความพงึ พอใจ ท่อสองชน้ั สาหรบั การทดลอง 3) เพ่ือวิเคราะห์ความพึงพอใจของผู้เรียนท่ีมีต่ออุปกรณ์ส าธิตการ สราวุฒิ แถลงกิจ, 2564 แลกเปล่ยี นความรอ้ นแบบท่อสองชน้ั สาหรบั การทดลอง
ปัญหาการเขียน ทบทวนวรรณกรรมและเอกสารท่เี ก่ยี วขอ้ ง ขาดการประเมนิ ขาดการตงั้ การเขยี นแบบ เนอ้ื หาไมต่ รงกับ เขยี นรวบรวมทกุ แยกผลวิจยั ไทย วิเคราะห์ หัวขอ้ แสดง หัวขอ้ ผี หวั ขอ้ / ทบทวน อยา่ งทอี่ า่ นมา ออกจากผลวิจยั ความเชอื่ มโยง (เนน้ ปริมาณ) สงั เคราะห์ งานท่ี กับประเด็นที่จะ การเขยี นแบบ ไมค่ รบถว้ น ตา่ งประเทศ ไดอ้ า่ น ขนมชนั้ โดย ไมม่ ีการเชื่อมโยง ศึกษา เรยี งตามปี / เน้ือหามาสู่ Copy & Paste แยกทฤษฎี ตวั อกั ษรของชื่อ และขาดการ แนวคิดจาก ประเด็นปัญหา งานวิจยั ท่ี ผเู้ ขยี น ในการศึกษา อา้ งองิ เก่ียวขอ้ ง
การพฒั นางานประจาสูง่ านวจิ ยั หวั ขอ้ “ระเบยี บวธิ วี จิ ยั ” ปภาณภณ ปภงั กรภรู นิ ท,์ 2564
ประชากรและตวั อย่าง/ แหลง่ ขอ้ มูล ▪ ประชากร หมายถงึ กลมุ่ ของส่งิ ต่างๆ ท่สี มาชกิ ทกุ หน่วยของส่งิ นน้ั เป็นกลมุ่ เป้าหมายท่ีผูว้ จิ ยั ตอ้ งการศึกษา ▪ ตวั อยา่ ง หมายถงึ กลมุ่ ย่อยของประชากรท่ผี ูว้ จิ ยั ใชใ้ นการศึกษา ตวั อยา่ งน้จี ะตอ้ งเป็นตวั แทนท่ดี ขี องประชากรทง้ั หมด จงึ ตอ้ ง อาศยั เทคนคิ การสุ่มตวั อยา่ ง (sampling technique) ทง้ั น้ี ตวั อยา่ งท่สี ามารถจะใหข้ อ้ มลู ท่ตี อ้ งการ ภายในขอบเขต ของความผดิ พลาดทส่ี ามารถจะรบั ได้ มคี วามเป็นตวั แทน (Representative) และมขี นาดหรอื จานวนพอเพยี ง สวุ มิ ล ติรกานนั ท,์ 2548 แหลง่ ขอ้ มูล หมายถงึ แหลง่ ของขอ้ มลู (Data) ท่ผี ูว้ จิ ยั ใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูลสาหรบั การวจิ ยั เช่น รายงานการประชุม ฐานขอ้ มูล สอ่ื ต่าง ๆ หรือเอกสารทเ่ี ป็นแหลง่ ของขอ้ มลู เป็นตน้
การกาหนดขนาดตวั อยา่ ง วธิ กี ารกาหนดขนาดตวั อยา่ ง (ประชากรที่มีจานวนนบั ไดแ้ น่นอน) ▪ การกาหนดขนาดตวั อยา่ ง ควรคานึงถงึ การกาหนดเกณฑ์ เช่น – ค่าใชจ้ ่าย ถา้ ขนาดประชากรหลกั รอ้ ย ควรใชต้ วั อยา่ งอยา่ งนอ้ ย 25% – ขนาดประชากร ถา้ ขนาดประชากรหลกั พนั ควรใชต้ วั อยา่ งอยา่ งนอ้ ย 10% – ความเหมอื น/ความแปรปรวนของประชากร ถา้ ขนาดประชากรหลกั หมน่ื ควรใชต้ วั อยา่ งอย่างนอ้ ย 5% – ความแมน่ ยาชดั เจน ถา้ ขนาดประชากรหลกั แสน ควรใชต้ วั อย่างอย่างนอ้ ย 1% – ความคลาดเคลอ่ื นจากการสมุ่ ตวั อยา่ ง – ความเช่อื มนั่ การใชต้ ารางสาเร็จรูป เช่น วธิ กี ารกาหนดขนาดตวั อยา่ ง (ประชากรทมี่ จี านวนนบั ไดไ้ ม่แน่นอน) Krejcie & Morgan TaroYamane การใชส้ ูตรคานวณ เช่น สูตรของคอแครน (Cochran, 1977) การใชส้ ูตรคานวณ Krejcie & Morgan TaroYamane สูตรอื่น ๆ (ธีรวุฒิ เอกะกุล, 2543)
การกาหนดขนาดตวั อยา่ ง-ตารางสาเร็จรูป/สูตร ประชากรทีม่ จี านวนนบั ไดแ้ น่นอน
Search