สมบตั ิของธาตุ และสารประกอบ Properties of Element and Compounds
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ ทบทวน 1. ธาตหุ รือไอออนในขอใดจดั เรยี งอเิ ลก็ ตรอนเหมอื นกนั และมีอเิ ลก็ ตรอนเทาใด A : Na , Mg , Al3+ , Si4+ B : Ca2+ , Mg2+ , Na+ , F- C : N3- , O2- , F , Ne D : Na+ , O2- , F , Ne E : Si4- , Cl- , Ar , Ca2+ F : Na+ , Ca2+ , Al3+ , Cl- 2. สารประกอบคูใดทีไ่ อออนลบจดั เรียงอเิ ลก็ ตรอนไดเ หมอื นกนั A : KF กบั MgCl2 B :CaOกับ NaS2 C :LiCl กับ BaBr2 D : SrCl2 กบั Na2S E : BaCl2 กับ K2O 1
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ เวเลนซอ เิ ลก็ ตรอนใน Sub shell หรอื Sub energy level กบั ตาํ แหนง ของธาตใุ นตารางธาตุ เมือ่ พจิ ารณาการจดั อเิ ลก็ ตรอนของธาตุโดยดวู าเวเลนซอ ิเลก็ ตรอนอยู ใน subshell s p d หรอื f เราสามารถแบงธาตใุ นตารางออกเปน 4 กลมุ คอื 1. กลมุ s ( s-block) คอื กลุมทมี่ เี วเลนซอ เิ ลก็ ตรอนอยทู ่ี subshell s ไดแ ก ธาตหุ มู 1A 2A 2. กลมุ p (P-block)คอื กลุม ที่มเี วเลนซอ เิ ลก็ ตรอนอยทู ่ี subshell p ไดแก ธาตุหมู 3A ถงึ 8A 3. กลมุ d (d-block)คือกลมุ ท่มี เี วเลนซอ เิ ลก็ ตรอนอยทู ี่ subshell d ไดแก ธาตุแทรนซิชนั หรอื ธาตุหมุ B 4. กลมุ f (f-block)คือกลมุ ที่มเี วเลนซอ เิ ลก็ ตรอนอยทู ่ี subshell f ไดแก ธาตแุ ทรนซชิ นั ชนั้ ใน (inner transition) มี 2 คาบคอื - คาบบนหรอื แถวบน (แลนทาไนด) ไดแ กธาตุท่มี เี ลขเชงิ อะตอม 57-71 เปน สว นหนง่ึ ของธาตุ คาบท่ี 6 - คาบลา งหรอื แถวลา ง(แอคทไิ นด) ไดแ กธาตทุ ม่ี ีเลขเชิงอะตอม 89-103 เปน สว นหนึ่ง ของธาตคุ าบท่ี 7 ธาตุกลมุ น้ี เปน ธาตหุ ายาก (rare earth) 2
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ 1. สมบตั ิของคาบตามหมูแ ละตาม จากการศกึ ษาการจดั เรียงธาตใุ นตารางธาตุ ชวยใหท ราบวาตารางธาตใุ นปจจุบันจดั ธาตุเปน หมู และเปนคาบโดยอาศยั สมบตั ิ บางประการทค่ี ลายกนั สมบตั ิของธาตุตามหมแู ละตามคาบซง่ึ ไดแ ก ขนาด อะตอม รัศมไี อออน พลังงาน ไอออไนเซชนั อิเลก็ โทรเนกาตวิ ติ ี สมั พรรคภาพอเิ ลก็ ตรอน จดุ หลอมเหลว และจดุ เดอื ด และเลขออกซเิ ดชนั สมบตั ดิ งั กลาวนจ้ี ะมีแนวโนม เปน อยา งไรศึกษาไดด ังน้ี 1.1 ขนาดอะตอม ขนาดของอะตอม จะบอกโดยใชรศั มอี ะตอม ซงึ่ มีคา เทา กบั ครึ่งหนง่ึ ของระยะระหวา งนวิ เคลียส ของอะตอมทงั้ สองทม่ี แี รงยดึ เหน่ียวอะตอมไวด ว ยกนั หรอื ทอี่ ยูช ดิ กนั รศั มอี ะตอมมหี ลายแบบ ขน้ึ อยกู ับ ชนดิ ของแรงทย่ี ดึ เหน่ยี วระหวางอะตอมซ่งึ หนว ยทใี่ ชอาจเปน พโิ กเมตร (pm) (1 pm = 10 -12 m) รศั มโี คเวเลนต รศั มแี วนเดอรว าลล รศั มโี ลหะ โดยขนาดอะตอมจะใหญห รอื เลก็ ขน้ึ อยกู บั ปจ จยั ตอ ไปนี้ 1. จํานวนระดบั พลงั งาน 2. ถา จาํ นวนระดับชนั้ พลังงานเทากนั จะตองพจิ ารณาทีป่ ระจบุ วกหรือโปรตรอนในนิวเคลยี ส 3. อตั ราสวนของจํานวนโปรตรอนในนิวเคลียสตอ จาํ นวนอิเลก็ ตรอน (P/e) ไอออนของธาตุใดที่ มคี า P/e มากจะมขี นาดเลก็ กวา ไอออนของธาตุทีม่ คี า P/e นอ ยกวา 3
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ ตามหมู ขนาดจะอะตอมจะโตขน้ึ ถาเลขอะตอมเพิ่มขนึ้ (บนลงลาง) เพราะ ระดบั พลังงานเพม่ิ ข้นึ ตามคาบ ขนาดจะเลก็ ลง ถา เลขอะตอมเพมิ่ ขึ้น (ซา ยไปขวา) เพราะธาตแุ ตล ะตัวอยูในระดับ พลงั งานเดยี วกนั แตจ าํ นวนโปรตรอนเพม่ิ มากขึ้น จงึ ดึงดดู อเิ ลก็ ตรอนใหเลก็ ลง ตามลําดบั หมายเหต:ุ ภายในคาบเดียวกัน ถาวัดรศั มีอะตอมดวยวธิ ีเดยี วกนั อะตอมของธาตหุ มู IA จะมี ขนาดโตทส่ี ุดและหมู VIIIA จะมขี นาดเลก็ ท่สี ดุ แตอะตอมของธาตุหมู VIIIA วัดได เฉพาะรัศมแี วนเดอรว าลล ซง่ึ มคี า มากกวา รัศมอี ะตอมอนื่ ทําใหแนวโนม ของขนาด อะตอมของหมู VIIIA ในตารางธาตมุ ขี นาดโตผดิ ปกติ ในการเปรยี บเทียบขนาด อะตอมจงึ ตองยกเวน หมู VIIIA Ex จงเปรยี บเทยี บขนาดอะตอมของธาตตุ อ ไปน้ี 4A ,7B , 11C , 16D , 19E , 20F 4
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ 1.2 ขนาดไอออน (รศั มไี อออน) ไอออน คือ อะตอมของธาตหุ รอื กลุมอะตอมของธาตทุ ม่ี ปี ระจุ คือ ไอออนทกุ ชนดิ จะตอ งมี จํานวนโปรตอนไมเ ทากับอเิ ล็กตรอนถา จาํ นวนโปรตอนมากกวาอเิ ลก็ ตรอนเปน ไอออนบวก และถา มี จาํ นวนโปรตอนนอ ยกวา อเิ ลก็ ตรอนเปน ไอออนลบ ไอออนบวก เกิดการจา ยอิเลก็ ตรอน ขนาดจะเลก็ ลงและถาเปน ประจุบวกมากขน้ึ ขนาดยงิ่ เลก็ ลง ไอออนลบเกดิ จากการรบั อเิ ล็กตรอน ขนาดจะใหญขน้ึ และถาเปน ประจุลบมากข้ึน ขนาดจะใหญข ึ้น แบบฝก หดั 1. จงเปรยี บเทยี บรศั มไี อออนของ K+Ca2+ Cl- S2- P3- จากใหญไ ปหาเลก็ 5
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ 2. จงเปรยี บเทยี บรศั มอี ะตอมและรศั มไี อออนทเี่ สถยี รของ 15A17B 20C 35D 37E จากใหญไ ปหาเลก็ 3. กาํ หนดขอ มลู บางประการของธาตใุ หด งั น้ี จาํ นวนเวเลนตอ เิ ลก็ ตรอน 6 ธาตุ ระดบั พลงั งานสงู สดุ 2 A2 7 B3 2 C3 D4 จงเรยี งลาํ ดบั ขนาดไอออนทเี่ สถยี ร จากใหญไ ปหาเลก็ 1.3 พลงั งานไออนไนเซชนั (Ionization Energy; IE) คอื พลังงานจาํ นวนนอ ยท่ีสดุ ทีใ่ ชด ึงอเิ ล็กตรอน1 ตวั ออกจากอะตอมของธาตุในสถานะแกส สามารถเขียนสมการไดด งั นี้ IE1 = 520 kJ/mol IE2 = 7,394 kJ/mol X(g) + IE —-> X+ (g) + e– IE3 = 11,815 kJ/mol ตวั อยา ง คา IE1 ถงึ IE3 ของ Li Li(g) Li+(g) + e– Li+(g) Li2+(g) + e– Li2+(g) Li3+(g) + e– 6
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ - ธาตุในหมูเดียวกัน พลังงานไอออไนเซชันลดลงจากบนลงลาง เพราะระยะหางระหวาง นิวเคลียสกับเวเลนซอิเล็กตรอนเพ่ิมข้ึน ทําใหแรงดึงดูดระหวางนิวเคลียสกับเวเลนซอิเล็กตรอนลดลง อิเล็กตรอนจึงหลุดจากอะตอมไดง า ย เชน ธาตุในหมู IA พลังงานไอออไนเซชัน Li > Na > K >Rb> Cs >Fr - ธาตุในคาบเดียวกัน พลังงานไอออไนเซชันเพ่ิมข้ึนจากซายไปขวา เพราะคาประจุนิวเคลียส สุทธิมากขึ้น อะตอมขนาดเล็ก จึงมีแรงดึงดูดระหวางนิวเคลียสกับเวเลนซอิเล็กตรอนมากข้ึน ทําให อเิ ล็กตรอนหลุดยาก จงึ ตองใชพ ลังงานสงู ในการดงึ อเิ ลก็ ตรอนออกจากอะตอม เชน ธาตใุ นคาบท่ี 2 พลงั งานไอออไนเซชนั Li < Be < B < C < N < O < F ตามหมู คา IE จะตํ่าลง ถา เลขอะตอมเพ่ิมข้ึน (บนลงลาง) ตามคาบ คา IE จะสูงข้ึนถาเลขอะตอมเพ่ิม (ซายไปขวา) ยกเวนหมู 2 จะสูงกวาหมู 3 และ หมู 5 จะสงู กวาหมู 6 เพราะ หมู 2 และหมู 5 จัดเรียงอเิ ล็กตรอนในระดบั พลงั งาน ยอยเสถยี รมาก 7
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ 1.4 อเิ ลก็ โทรเนกาติวติ ี (EN) EN (Electronegativity)คอื คาท่ีแสดงความสามารถในการดึงอเิ ลก็ ตรอนครู วมพันธะของ อะตอมของธาตตุ า งๆทีร่ วมกนั เปน สารประกอบธาตุทมี่ คี า EN สงู จะดงึ ดดู อเิ ลก็ ตรอนไดด กี วา ธาตุทม่ี ี EN ตา่ํ พอลิงนักเคมีชาวอเมรกิ าเปน คนแรกทไี่ ดก ําหนดคา EN ของธาตขุ ้นึ ลกั ษณะทว่ั ไป • โลหะทัว่ ไปมีคา EN ต่าํ กวา จงึ เสยี อเิ ลก็ ตรอนไดง า ยกวา เกิดไอออนบวก อโลหะทวั่ ไปมคี า EN สงู จงึ ชิงอเิ ลก็ ตรอนไดด เี กดิ ไอออนลบ ธาตเุ ฉือ่ ยไมม ีคา EN • คา EN ขน้ึ อยกู บั ก. ขนาดอะตอม หรือจํานวนระดับพลงั งาน ข. ถา อะตอมท่มี จี ํานวนระดบั พลงั งานเทา กนั คา EN ขน้ึ อยกู ับจํานวนโปรตอนในนวิ เคลียส เปน เกณฑ 8
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ 1.5 สัมพรรคภาพอิเลก็ ตรอน (Electron Affinity; EA) สมั พรรคภาพอเิ ลก็ ตรอน คอื พลงั งาน ทอี่ ะตอมในสถานะแกส คายออกมา เมื่อได รบั อเิ ลก็ ตรอน ตามหมู คา EA จะต่าํ ลง ถา เลขอะตอมเพ่มิ ขน้ึ เพราะ ธาตุมีขนาดใหญข น้ึ แรงดงึ ดดู ระหวางประจุ บวกกับ อเิ ลก็ ตรอนจะนอยลง ถึงแมวา โปรตรอนในนิวเคลยี สจะมากขน้ึ กต็ าม แตร ะดับ พลงั งานทเ่ี พิม่ ขนึ้ ทาํ ใหอเิ ลก็ ตรอนกั้นกลางระหวา งนิวเคลยี สกบั อิเลก็ ตรอนระดับวงนอก อาํ นาจดงึ ดดู อิเลก็ ตรอนออ นลง ตามคาบคา EA จะสูงขนึ้ เพราะ ธาตทุ ม่ี ขี นาดเลก็ จะรบั อิเล็กตรอนไดง า ยกวา ธาตทุ ่มี ขี นาดใหญ เพราะ ประจุบวกในนวิ เคลยี สดึงดดู อิเลก็ ตรอนไดด ีกวา * สาํ หรับธาตหุ มู 2 และ หมู 5 จะมคี า EA ต่าํ เพราะ การจดั เรียงอิเล็กตรอนในระดับพลงั งาน ยอยเสถียรอยแู ลว จึงไมตอ งการรบั อิเลก็ ตรอนเพมิ่ 9
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ 1.6 แรงยดึ เหนยี่ วระหวา งอนภุ าค ถาเราแบง กลมุ ธาตใุ นตารางธาตุโดยอาศยั แรงยดึ เหนยี่ วเปน เกณฑจ ะสามารถแบง ออกเปน 3 กลมุ คือ 1. กลมุ ธาตทุ แ่ี รงยดึ เหนี่ยวอะตอมเปน พนั ธะโลหะ 2. กลุมธาตทุ ม่ี ีแรงยดึ เหนยี่ วอะตอมเปน พนั ธะโคเวเลนตแ บบโครงผลกึ รางตาขา ย 3. กลุมธาตุทอ่ี ยูใ นรปู รา งโมเลกลุ เดย่ี วและมแี รงยึดเหน่ียวระหวา งโมเลกุลเปน แรงแวนเดอร วาลลชนิดลอนดอน 10
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ 11
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ 12
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ 2. เลขออกซเิ ดชัน เลขออกซเิ ดชนั คอื ตัวเลขทีแ่ สดงคาประจทุ างไฟฟา หรือประจไุ ฟฟา สมมติของธาตุ หรอื หมธู าตุ ซึง่ อาจอยูในรูปสารประกอบ เลขออกซิเดชนั สวนใหญจ ะอยูใ นรปู จาํ นวนเตม็ บวก ศนู ย และ ลบ สารประกอบไอออนกิ – เลขออกซิเดชนั จะตรงกบั ประจไุ ฟฟา ทแี่ ทจ รงิ ของไอออนนน้ั ๆ สารประกอบโคเวเลนต – เลขอออกซิเดชนั ของธาตทุ ม่ี ี EN สูงจะเปน -, ธาตทุ ี่มี EN ตาํ่ จะเปน + หลกั เกณฑใ นการหาเลขออกซเิ ดชนั 1. โมเลกุลของธาตอุ สิ ระทุกชนดิ จะมเี ลขออกซเิ ดชนั เปน O 2. เลขออกซเิ ดชนั ของ H ในสารประกอบทว่ั ไปจะเปน +1 ยกเวน สารประกอบไฮไดรดของโลหะ จะเปน -1 3. เลขออกซเิ ดชนั ของ O ในสารประกอบทวั่ ไปมคี า เทากบั -2 ยกเวน สารประกอบเปอร ออกไซด (H2O2 , BaO2) เทากับ -1 สารประกอบซปุ เปอรอ อกไซด (KO2) เทา กับ -1/2 และในสารประกอบ OF2 เทานน้ั ท่ี O มีเลขออกซเิ ดชนั เทากบั +2 4. ไอออนใดๆกต็ าม เลขออกซิเดชนั รวมจะเทา กบั ไอออนทป่ี รากฏอยู เชน SO4 2- , SO3 2-, PO4 3-, PO3 3-, ClO- , ClO2 -, ClO4 - , NO3 -, NO2 -, CN - , SCN- 5. เลขออกซเิ ดชนั ของสารประกอบใดๆกต็ ามจะมคี าเทากบั 0 หมธู าตุ คา เลขออกซเิ ดชน่ั IA +1 IIA +2 IIA +3 IVA VA -4 ถงึ +4 VIA -3 ถงึ +5 VIIA -2 ถึง +6 -1 ถงึ +7 ธาตุแทรนซิชนั ยกเวน F จะเปน -1 เสมอ มไี ดมากกวา 1 คา Ag Zn Sc จะมเี ลขออกซเิ ดชนั เปน +1 +2 +3 ตามลาํ ดบั 13
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ จงหาเลขออกซเิ ดชนั ของสารตอ ไปน้ี 14
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ แบบฝก หดั เพม่ิ เตมิ ตะลยุ โจทย 1. (โควตา มอ) โลหะแทรนซชิ นั ในขอใดมีเลขออกซิเดชนั สงู ทส่ี ุด ก. KMnO4 ข. PbCrO4 ค. K3Fe(CN)6 ง. K2Cr2O7 2. ธาตทุ ีข่ ดี เสน ใตในขอ ใดมเี ลขออกซเิ ดชนั เรียงตามลาํ ดบั ดงั น้ี +5, +3, +1, -2 ก. K4P2O7 , NaAuCl4 , ICl , K2S ข. K4P2O7 , Ca(ClO2)2 , ICl , OF2 ค. MnO4 2- , NaAuCl4 , OF2 , K2S ง. MnO4 2- , Ca(ClO2)2 , ICl , K2S 3. (Entrance) ในสารใดท่ี V มเี ลขออกซเิ ดชันสูงสดุ ก. NH4VO3 ข. VSO4. 7H2O ค. VOSO4 ง. V2(SO4). 3H2O 4. จงหาเลขออกซิเดชันของธาตคุ ารบ อน ในสารประกอบตอไปน้ี CaCO3 CH3OH C3H7OH C2H5COOH CH3CH2OOH3 15
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ 3. สมบตั ขิ องสารประกอบของธาตตุ ามคาบ 3.1 สารประกอบคลอไรด สมบตั ิ คลอไรดของโลหะ คลอไรดข องกง่ึ โลหะ คลอไรดของอโลหะ 1. สถานะ ของแข็ง BCl3 (g) , SiCl4 (l) แกส และ ของเหลว 2. จดุ หลอมเหลว ตํ่า (พันธะโคเวเลนต) ตํ่า (พนั ธะโคเวเลนต) 3. การละลายนา้ํ สงู (พันธะไอออนกิ ) ดี ไดสารละลายอิเล็ก ดี ละลายนา้ํ ได 4.การละลายนา้ํ แลว ยกเวน CCl4 , NCl3 ไมล ะลายนา้ํ ทดสอบกรด – เบส โทรไลตน าํ ไฟฟา กรด กลาง กรด ยกเวน BeCl2 AlCl3 เปน กรด 3.2 สารประกอบออกไซด สมบตั ิ ออกไซดข องโลหะ ออกไซดข องกงึ่ โลหะ ออกไซดของอโลหะ 1. สถานะ ของแข็ง ของแขง็ ของแข็ง ของเหลว แกส 2. จุดหลอมเหลว สงู สูง 3. การละลายนา้ํ ต่าํ ยกเวน P2O5 ละลายนํ้าได B2O3 ละลายไดเล็กนอ ย ละลายน้าํ ได 4.การละลายนา้ํ แลว ยกเวน BeO Al2O3 SiO2 ไมล ะลายนํา้ ทดสอบกรด – เบส กรด O2 ละลายนาํ้ เล็กนอย เบส กรด ยกเวน BeO Al2O3 เปน Amphoteric 16
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ 3.3 สมบตั บิ างประการของธาตใุ นคาบที่ 2 และ คาบท่ี 3 ธาตใุ นคาบท่ี 2 มี 8 ธาตุ เรียงตามเลขอะตอมจากนอ ยไปหามากคอื Li, Be, B, C, N, O, F และ Ne ธาตใุ นคาบท่ี 3 มี 8 ธาตุ เรียงลาํ ดบั ตามเลขอะตอมจากนอ ยไปหามากคอื Na, Mg, Al, Si, P, S, Clและ Ar คาบที่ 2 สมบตั บิ างประการของธาตใุ นคาบท่ี 2 สมบัติ / ธาตุ Li Be B C N O F Ne แกรไ ฟต 10 2,8 เลขอะตอม 3456789 20.2 2087 การจดั เรยี งอิเล็กตรอน 2,1 2,2 2,3 2,4 2,5 2,6 2,7 - 160 มวลอะตอม 6.9 9.0 10.8 12.0 14.0 16.0 19.0 1.2 16.7 IE1 (kJ/mol) 526 906 807 1093 1407 1320 1687 -249 อเิ ล็กโทรเนกาติวติ ี 1.0 1.5 2.0 2.5 3.0 3.5 4.0 -245 0.33 รศั มอี ะตอม (pm)* 123 89 80 77 74 74 72 ความหนาแนน (g/cm3) 0.53 1.85 2.34 2.26 0.8 1.15 1.5 1.8 ปรมิ าตรตอ โมล(cm3) 13.1 4.9 4.6 5.3 17.3 14.0 17.1 จดุ หลอมเหลว (0C) 180 1280 2030 3500 -210 -218 -220 - จุดเดอื ด(0C) 1330 2480 3930 - -200 -180 -190 0.00042 ความรอนแฝงของการ 3.0 11.7 22.2 - 0.36 0.22 0.26 อโลหะ หลอมเหลว (kJ/mol) อะตอม ความรอ นแฝงของการเกิด 135 295 539 717 2.8 3.4 3.3 - ไอ (kJ/mol) --- การนาํ ไฟฟา(ohm-1cm-4) 8 51 - 0.14 การนาํ ความรอ นที่ 25 0C 0.71 1.6 0.01 0.24 - 0.0002 0.0002 (J/cm.S.K) 55 ชนดิ ของธาตุ โลหะ โลหะ กึ่งโลหะ กง่ึ โลหะ อโลหะ อโลหะ อโลหะ ชนดิ โครงสราง โลหะโมเลกลุ ใหญ โมเลกุลขนาดใหญ โมเลกลุ อะตอมคู ชนดิ ของพนั ธะ พนั ธะโลหะ พนั ธะโคเวเลนต * หมายถึง รศั มีโคเวเลนต ยกเวน Ne หมายถึงรัศมีวนั เดอรวาลส ** ความหนาแนนของ N, O, F และ Ne พิจารณาจากสถานะของเหลว 17
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ คาบท่ี 3 สมบตั บิ างประการของธาตใุ นคาบท่ี 3 สมบตั ิ / ธาตุ Na Mg Al Si P S Cl Ar (ขาว) รอมบกิ เลขอะตอม 11 12 13 14 15 16 17 18 การจดั เรยี งอเิ ล็กตรอน 2,8,1 2,8,2 2,8,3 2,8,4 2,8,5 2,8,6 2,8,7 2,8,8 มวลอะตอม 23.0 24.3 27.0 28.1 31.0 32.1 35.5 39.9 IE1 (kJ/mol) 502 744 504 793 1018 1006 1257 1527 อเิ ล็กโทรเนกาตวิ ิตี 0.9 1.2 1.5 1.8 2.1 2.5 3.0 - รศั มอี ะตอม (pm)* 157 136 125 117 110 104 99 192 ความหนาแนน (g/cm3) 0.97 1.74 2.7 2.33 2.35 2.07 1.56 1.40 ปรมิ าตรตอ โมล(cm3) 23.7 14.6 10.0 12.1 16.9 15.6 22.8 28.5 จดุ หลอมเหลว (0C) 98 649 660 1410 44 113 -101 -189 จุดเดอื ด(0C) 890 1120 2450 2680 280 445 -34 -186 ความรอ นแฝงของการ 2.60 8.95 10.75 46.4 0.63 1.41 3.20 -1.18 หลอมเหลว (kJ/mol) ความรอนแฝงของการเกดิ 89.0 128.7 293.7 376.7 12.4 9.6 10.2 6.5 ไอ (kJ/mol) การนาํ ไฟฟา (ohm-1cm-4) 10 16 38 4 10-16 10-22 - - การนําความรอ นที่ 25 0C 1.34 1.6 2.1 0.84 - 0.0002 0.0000 0.00017 (J/cm.S.K) 98 ชนดิ ของธาตุ โลหะ ก่ึงโลหะ อโลหะ ชนดิ โครงสรา ง โลหะโมเลกุลใหญ โมเลกุลใหญ โมเลกลุ คู อะตอ ม ชนดิ ของพนั ธะ พันธะโลหะ พนั ธะโคเวเลนต - * หมายถงึ รัศมโี คเวเลนต ยกเวน Arหมายถงึ รศั มวี นั เดอรว าลส ** ความหนาแนน ของ Clและ Arพิจารณาจากสถานะของเหลว ธาตตุ า งๆเหลา น้ีโดยเฉพาะธาตอุ อกซเิ จนและคลอรีนเปน ธาตทุ ี่มีความวอ งไวตอการเกดิ ปฏกิ ิรยิ า มาก สามารถเกดิ ปฏกิ ริ ยิ ากบั ธาตอุ นื่ ๆ ไดเกอื บทกุ ชนดิ และสามารถเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าไดโ ดยตรงกบั ธาตคุ าบ ท่ี 2 และคาบท่ี 3 ดังในตารางตอไปน้ี 18
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ ปฏกิ ริ ยิ าบางชนดิ ของธาตใุ นคาบที่ 3 ธาตุ เผาใน Cl2 แหง เผาใน O2 แหง เผาใน H2 แหง Na เกดิ ปฏกิ ริ ยิ ารนุ แรงมาก เกดิ ปฏกิ ริ ิยารนุ แรงมาก เกิดปฏกิ ริ ยิ ารนุ แรงมาก ได NaCl ได Na2O และ Na2O2 ได NaH Mg เกิดปฏกิ ริยารนุ แรงได เกิดปฏกิ ริ ยิ ารนุ แรงมากได เกิดปฏกิ ริ ิยารนุ แรงได MgH2 MgCl2 MgO Al เกดิ ปฏกิ ริ ยิ ารนุ แรงได Al2Cl6 เกดิ ปฏกิ ริ ิยารนุ แรงได Al2O3 ไมเ กดิ ปฏกิ ิรยิ า ซึง่ จะเคลือบทผ่ี วิ ทาํ ใหไ ม เกิดปฏกิ ริ ิยาตอ ไป Si เกิดปฏกิ ริ ยิ าชา ๆ ได SiCl4 เกิดปฏกิ ริ ิยาชา ๆ ได SiO2 ไมเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า P เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าชา ๆ ได PCl3 เกดิ ปฏกิ ริ ิยารนุ แรงได P4O6 ไมเกดิ ปฏกิ ิริยา และ PCl5 และ P4O10 S เกิดปฏกิ ริ ิยาชา ๆ ได SCl2 เกิดปฏกิ ริ ิยาชา ๆ ได SO2 เกิดปฏกิ ริ ิยาชา มากได H2S และ S2Cl2 Cl ไมเกดิ ปฏกิ ริ ิยา ไมเ กดิ ปฏกิ ิรยิ า เกดิ ปฏกิ ริ ยิ ารนุ แรงใน แสงอาทติ ย ได HCl Ar ไมเกดิ ปฏกิ ิริยา ไมเ กดิ ปฏกิ ิรยิ า ไมเกดิ ปฏกิ ิรยิ า เม่ือธาตใุ นคาบท่ี 2 และคาบที่ 3 เกิดเปน สารประกอบคลอไรด ออกไซด และซัลไฟด จะมสี ูตรเปน ดงั น้ี สตู รและสารประกอบบางชนดิ ของธาตใุ นคาบที่ 2 สตู รสารประกอบ/ ธาตุ Li Be B C N O F Ne คอลไรด LiCl BeCl BCl3 CCl4 NCl3 Cl2O ClF - 2 ClO2 Cl2O7 ออกไซด LiO2 BeO B2O3 CO2 N2O5 O2 OF2 - CO NO2 N2O3 NO N2O ซลั ไฟด Li2S BeS B2S3 CS2 N2S5 SO2 SF6 - ไฮไดรด SO3 SF4 SF2 LiH BeH2 BH3 CH4 NH3 H2O HF - 19
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ สตู รและสารประกอบบางชนดิ ของธาตใุ นคาบที่ 3 สตู รสารประกอบ/ ธาตุ Na Mg Al Si P S Cl Ar - คลอไรด NaCl MgCl2 AlCl3 SiCl4 PCl3 SCl2 Cl2 - AlCl6 PCl5 - ออกไซด Na2O MgO Al2O3 SiO2 P4O6 SO2 Cl2O - Na2O2 P4O10 SO3 ClO2 Cl2O7 ซลั ไฟด Na2S MgS Al2S3 SiS2 P2S5 - SCl2 S2Cl2 ไฮไดรด NaH MgH2 AlH3 SiH4 PH3 H2S HCl จะเห็นไดวาธาตุบางชนิดในคาบที่ 2 และคาบท่ี 3 สามารถเกิดเปนสารประกอบคลอไรด ออกไซด และซัลไฟดไดหลายชนิด เนื่องจากธาตุอโลหะเหลานั้นสามารถมีเลขออกซิเดชันไดหลายคาจึง เกิดสารประกอบไดหลายชนิด ในขณะท่ีโลหะทางซายของคาบเกิดสารประกอบไดชนิดเดียว เพราะมีเลข ออกซิเดชันคา เดียว จากสูตรของสารประกอบของธาตใุ นคาบที่ 2 และ 3 ตอ ไปจะศึกษาสมบัติบางประการ เชน จดุ หลอมเหลว จดุ เดอื ด ความเปน กรดเบสของออกไซดของสารประกอบดังกลาว สมบตั บิ างประการของสารประกอบคลอไรดข องธาตใุ นคาบท่ี 2 สมบตั ิ / สตู ร LiCl BeCl2 BCl3 CCl4 NCl3 Cl2O ClF สถานะ ของแขง็ ของแข็ง แกส ของเหลว ของเหลว แกส แกส โครงสรางโมเลกลุ โมเลกุลใหญ โมเลกลุ เด่ยี ว จดุ หลอมเหลว (0C) 610 405 -107 -23 -27 -20 -154 จุดเดอื ด (0C) 1350 520 12 77 71 4 -101 การละลายน้าํ ละลาย ละลาย ละลาย ไมละลาย ไมละลาย ละลาย ละลาย สมบตั ิกรด-เบสของ กลาง กลาง กรด - - กรด กรด สารละลาย การนําไฟฟา เมอื่ นาํ นาํ ไมนํา ไมนาํ ไมน าํ ไมนาํ ไมน ํา หลอมเหลว เลก็ นอ ย 20
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ สมบตั บิ างประการของสารประกอบคลอไรดข องธาตใุ นคาบที่ 3 สมบตั ิ / สูตร NaCl MgCl2 AlCl3 SiCl4 PCl3 SCl2 Cl2 แกส สถานะ ของแขง็ ของแข็ง ของเหลว ของเหลว ของเหลว ของเหลว -101 โครงสรางโมเลกุล โมเลกุลขนาดใหญ โมเลกลุ เดี่ยว -35 ละลาย จุดหลอมเหลว (0C) 810 712 193 -68 -91 -80 กรด จดุ เดอื ด (0C) 1465 1418 180 57 74 54 2.0 ไมนาํ การละลายน้าํ ละลาย ละลาย ละลาย ละลาย ละลาย ละลาย สมบัติกรด-เบสของ กลาง กลาง กรด กรด กรด กรด สารละลาย pH ของสารละลาย 7.0 7.0 3.0 2.0 2.0 การนาํ ไฟฟา เมือ่ นํา นํา นาํ ไมน ํา ไมน ํา ไมน าํ หลอมเหลว เล็กนอย 3.4 ปฏกิ ิรยิ าของธาตแุ ละสารประกอบตามหมู หมู IA สมบตั บิ างประการของธาตหุ มู IA สมบัติ / ธาตุ Li Na K Rb Cs 37 55 เลขอะตอม 3 11 19 2,8,18,8,1 2,8,18,18,8,1 85.468 132.905 การจดั เรียงอิเลก็ ตรอน 2,1 2, 8, 1 2, 8, 8, 1 85Rb, 87Rb 133Cs 248 265 มวลอะตอม 6.941 22.990 39.098 409 382 ไอโซโทปท่ีสําคัญ 6Li, 7Li 23Na 39K,40K, 41K 0.82 0.79 - - รศั มีอะตอม (pm) 152 186 227 39 29 688 690 IE1 (kJ/mol) 526 502 425 1.53 1.87 อิเล็กโทรเนกาตวิ ิตี 0.98 0.92 0.82 0.031 0.0007 มวงแดง น้าํ เงนิ อเิ ลก็ ตรอนอฟั ฟนติ (ี kJ/mol) 57 21 - จดุ หลอมเหลว (0C) 180 98 64 จดุ เดอื ด(0C) 1330 892 760 ความหนาแนน (g/cm3) 0.53 0.97 0.86 % โดยมวลทพ่ี บบนโลก 0.0065 2.6 2.4 สขี องเปลวไฟ แดงสด เหลือง มว งนํา้ เงนิ 21
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ จากขอ มูลในตารางและจากขอ มลู อน่ื ๆ จะสรปุ สมบัตทิ ว่ั ๆ ไปของธาตหุ มู IA ไดดังน้ี 1. เปน ธาตุทม่ี ี 1 เวเลนตอ เิ ล็กตรอน 2. เปน ของแขง็ ยกเวน Cs เปน ของเหลว แตจดั วาเปน ประเภทโลหะออ น สามารถตัดดวยมดี ไดงาย ทาํ ใหเปน ชนิ้ แผน หรอื ดึงเปน เสน ลวดไดงาย 3. เปนโลหะท่ีนําไฟฟา และนาํ ความรอ นไดดมี าก เพราะมีพนั ธะโลหะ 4. ความเปน โลหะเพม่ิ ข้ึน เมอ่ื เลขอะตอมเพ่ิมขนึ้ 5. ทําปฏกิ ิริยากับนาํ้ เกิดปฏิกิรยิ ารนุ แรง คายความรอนมาก และตดิ ไฟไดไดส ารละลายทแี่ สดง สมบตั เิ ปน เบส จึงเรียกวา โลหะแอลคาไลน เขียนสมการทว่ั ๆ ไป สําหรบั แสดงปฏกิ ริ ยิ ากบั นาํ้ ไดด ังนี้ 2M + 2H2O → 2MOH + H2 เชน 2Na + 2H2O → 2NaOH + H2 2Li + 2H2O → 2LiOH + H2 เนอ่ื งจากเกิดปฏกิ ิริยากบั นาํ้ ไดง าย และยงั สามารถทาํ ปฏกิ ิรยิ ากับ O2 ไดด วย ดงั นัน้ จงึ ตอ งเกบ็ โลหะแอลคาไลนใ นน้ํามนั 6. เปน ธาตทุ ชี่ อบใหอเิ ลก็ ตรอนแกธ าตอุ นื่ ๆ เรียกวา electropositive element แลว กลายเปน ไอออนทปี่ ระจุ +1 7. รศั มอี ะตอมและรศั มไี อออนเพิ่มขนึ้ เมอื่ เลขอะตอมเพิม่ ขน้ึ 8. มีคา IE1 นอ ยทส่ี ดุ ในคาบเดยี วกนั และคา IE1 จะลดลงเมอื่ เลขอะตอมเพ่มิ ขน้ึ เพราะขนาด อะตอมใหญขนึ้ 9. มคี าอิเลก็ โทรเนกาตวิ ิตนี อ ย เมอ่ื เทยี บกับธาตอุ นื่ ๆ ในคาบเดยี วกนั และคา อเิ ล็กโทรเนกา ตวิ ติ จี ะลดลงเม่อื เลขอะตอมเพมิ่ ขนึ้ 10. เปนโลหะทีม่ ีจุดหลอมเหลวต่าํ กวาโลหะอนื่ ๆ ในคาบเดียวกนั นอกจากนจี้ ดุ หลอมเหลวและ จดุ เดอื ดจะลดลงเมื่อเลขอะตอมเพิม่ ขนึ้ เพราะความแรงของพันธะโลหะลดลง 11. เปน ตัวรดี วิ ซทด่ี ีมาก โดยเฉพาะ Li เปนตัวรดี ิวซทดี่ ที ีส่ ุด 12. ความหนาแนน นอ ยกวาโลหะอื่นๆ ทอ่ี ยูในคาบเดยี วกัน แตค วามหนาแนน มแี นวโนมเพ่ิมขน้ึ เมือ่ เลขอะตอมเพ่มิ ขน้ึ 13. ทําปฏิกิริยากับธาตุตางๆ เกิดเปนสารประกอบไดงาย และเปนสารประกอบไอออนิก สารประกอบคลอไรด คารบอเนต ซัลเฟต ไนเตรต ฟอสเฟต โดยมจี ุดหลอมเหลวสูงมาก 14. สารประกอบของธาตหุ มู IA ละลายน้ําไดด มี าก 15. เมอ่ื เผาสารประกอบของหมู IA จะไดเปลวไฟทม่ี สี ตี างๆ กนั เชน Li มสี แี ดงสด หรอื แดง เลือดนก Na ใหส เี หลอื ง K ใหส ีมวงนา้ํ เงนิ เปน ตน 22
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ แสดงจดุ หลอมเหลวของสารประกอบของธาตหุ มู IA บางชนดิ ธาตุ จดุ หลอมเหลวของสารประกอบ (0C) Cl- SO42- CO32- NO32- PO43- Li 610 857 618 261 - Na 801 884 854 310 1340 K 770 1074 897 338 1340 Rb 772 1060 837 305 - Cs 645 1010 610* 414 - * สลายตัวขณะหลอมเหลว แสดงการละลายของสารประกอบของธาตหุ มู IA บางชนดิ (25 0C) ธาตุ การละลายของเกลอื (g/H2O 100 g) เกลอื Cl- เกลอื CO32- เกลอื NO3- เกลอื SO42- Li LiCl.H2O 85 Li2CO3 1.29 LiNO3.3H2O 85 Li2SO4.H2O 35 Na NaCl 36 Na2CO3.10H2O 2.94 NaNO3 92 Na2SO4.10H2O 28 K KCl Rb RbCl 35 K2CO3. 3 H2O 112 KNO3 38 K2SO4 12 2 94 Rb2CO3 450 RbNO3 65 Rb2SO4 51 Cs CsCl 190 Cs2CO3 มาก CsNO3 27 Cs2SO4 182 สําหรับสมบัตขิ องธาตุหมู IIA และสารประกอบของธาตหุ มู IIA เปนดงั น้ี หมู IIA แสดงสมบตั บิ างประการของธาตหุ มู IIA สมบัติ / ธาตุ Be Mg Ca Sr Ba เลขอะตอม 4 12 20 38 56 การจดั เรยี งอเิ ลก็ ตรอน 2,2 2, 8, 2 2, 8, 8, 2 2,8,18,8,2 2,8,18,18,8,2 รัศมีอะตอม (pm) 112 160 197 215 217 ความหนาแนน (g/cm3) 1.85 1.74 1.55 2.60 3.50 จุดหลอมเหลว (0C) 1280 469 839 770 714 จดุ เดอื ด(0C) 2770 1110 1440 1380 1640 IE1 (kJ/mol) 906 744 596 556 509 อเิ ลก็ โทรเนกาติวติ ี 1.6 1.3 1.0 0.9 0.9 อิเลก็ ตรอนอฟั ฟน ติ (ี kJ/mol) -66 -67 - - - E0 (V) -1.85 -2.36 -2.87 -2.89 -2.90 23
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ สมบัติ / ธาตุ Be Mg Ca Sr Ba ไอโซโทปท่สี าํ คญั 9Be 24Mg 40Ca 86Sr , 87Sr 136Ba 25Mg 42Ca 88Sr , 89Sr 137Ba มวลอะตอม 9.012 26Mg 44Ca 138Ba % โดยมวลทพี่ บบนโลก 0.0006 87.62 สีของเปลวไฟ 24.312 40.08 0.030 137.34 - แดงเขม 1.9 3.4 0.025 - แดงอิฐ เขียว สรปุ สมบตั ทิ ว่ั ๆ ไปของธาตหุ มู IIA ไดด งั นี้ 1. เปน ธาตทุ ม่ี ี 2 เวเลนตอ เิ ล็กตรอน เมื่อเปนไอออนจึงมปี ระจุเปน +2 2. เปน ธาตทุ จี่ ัดอยใู นกลมุ ของโลหะ ความเปน โลหะเพม่ิ มากขน้ึ เมือ่ เลขอะตอมเพ่มิ ข้นึ 3. เปน โลหะทนี่ ําความรอ นและนาํ ไฟฟา ไดดี เพราะมพี ันธะโลหะ 4. มคี วามหนาแนน มากกวา โลหะหมู IA ดงั นน้ั จึงมีความแขง็ แรงมากกวาโลหะหมู IA และ ความหนาแนน มแี นวโนมเพ่มิ มากขนึ้ เมอื่ เลขอะตอมเพ่มิ ขนึ้ 5. รัศมีอะตอมเลก็ กวาหมู IA และคอยๆ เพม่ิ ขนึ้ เม่ือเลขอะตอมเพมิ่ ขน้ึ 6. จุดหลอมเหลวและจดุ เดอื ดมคี าคอ นขา งสงู แตมแี นวโนมท่ลี ดลงเมือ่ มวลอะตอมเพิ่มขนึ้ 7. IE1 มีคาคอนขางนอย (แตมากกวาหมู IA ในคาบเดียวกัน) และมีแนวโนมลดลงเม่ือเลข อะตอมเพิ่มข้ึน 8. EN มีคา นอ ย และมคี า ลดลงเมื่อเลขอะตอมเพม่ิ ขน้ึ 9. เปน ตวั รดี ิวซท ดี่ ี คา E0 มคี าลดลงตามลาํ ดบั เม่ือเลขอะตอมเพมิ่ ข้นึ แสดงวาความสามารถ ในการเปน ตัวรีดิวซจ ะเพิ่มขน้ึ เมอ่ื เลขอะตอมเพมิ่ ขน้ึ 10. ทาํ ปฏกิ ริ ิยากับน้ําไดแ กส H2 และสารละลายแสดงสมบตั เิ ปน เบส แตป ฏิกริ ยิ าไมร ุนแรง เหมอื นกับธาตุหมู IA เม่อื เลขอะตอมเพม่ิ ขนึ้ การทาํ ปฏกิ ิริยากับน้ําจะเกดิ ไดเ รว็ ขน้ึ เขยี นสมการทวั่ ๆ ไปไดดงั น้ี M + 2H2O → M(OH)2 + H2 เชน Mg + 2H2O → Mg(OH)2 + H2 Ca + 2H2O →Ca(OH)2 + H2 11. เกิดเปน สารประกอบตางๆ ไดเ ชน คลอไรด ออกไซด ซลั ไฟด ซลั เฟต เปน ตน โดยมีสตู ร และสมบัติตา งๆ คลายๆ กนั 12. สารประกอบของหมู IIA สวนมากเปนสารประกอบไอออนิก(ยกเวน BeCl2 , BeSO4 เปน สารประกอบโคเวเลนต) ดงั นั้นสวนมากจึงละลายน้าํ ได เชน เกลอื ไนเตรต เกลอื คลอไรด ละลายนํา้ ได แต เกลอื คารบ อนเนต เกลอื ซัลเฟต (ยกเวน MgSO4) และเกลอื ฟอสเฟต ละลายนา้ํ ไดนอยมาก 24
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ 13. เม่ือเผาสารประกอบของธาตหุ มู IIA จะใหเปลวไฟสตี างๆ กัน เชน สารประกอบของ ตวั อยา ง สีของเปลวไฟ Ca CaCO3 CaCl2 แดงเขม Sr SrCO3 SrSO4 แดงเขม แดงเลือดนก Ba BaCO3 BaSO4 เขียว แสดงการละลายที่ 250C ของสารประกอบของหมู IIA บางชนดิ ธาตุ การละลายของเกลือ (g/H2O 100 g) คาการละลาย เกลือ SO42- คาการละลาย เกลอื CO32- 1.3 x 10-4 1.3 x 10-5 Mg MgSO4 0.36 MgCO3 7.0 x 10-6 Ca CaSO4 1.1 x 10-3 CaCO3 9.0 x 10-6 Sr SrSO4 6.2 x 10-5 SrCO3 Ba BaSO4 9.0 x 10-7 BaCO3 หมู VIIA แสดงสมบตั บิ างประการของธาตหุ มู VIIA สมบตั ิ / ธาตุ F Cl Br I เลขอะตอม 9 17 35 53 การจดั เรียงอเิ ลก็ ตรอน 2,7 2, 8, 7 2, 8, 8, 7 2,8,18,8,7 มวลอะตอม 18.998 35.453 79.909 126.904 รัศมอี ะตอม (pm)* 71 99 144 133 114 จุดหลอมเหลว (0C) -220 -101 -7 184 4.93 จุดเดอื ด(0C) -188 -34.5 59 ความหนาแนน (g/cm3)** 1.51 1.56 3.12 IE1 (kJ/mol) 1687 1257 1146 1015 อิเล็กโทรเนกาตวิ ติ ี 4.0 3.0 2.8 2.5 อเิ ลก็ ตรอนอฟั ฟน ติ (ี kJ/mol) 333 348 340 297 E0 (V) +2.87 +1.36 +1.09 +0.54 สถานะปกติ แกส แกส ของเหลว ของแขง็ สี เหลืองออ น เขยี วออ น นาํ้ ตาลแดง มว งเขม ไอโซโทปท่สี าํ คญั 19F 35Cl, 37Cl 79Br, 81Br 127I % โดยมวลทพ่ี บบนโลก 0.027 0.19 0.00016 0.00003 * หมายถงึ รัศมโี คเวเลนต ** ความหนาแนนของ F2 , Cl2 ในสถานะของเหลว ถาเปน แกสจะเทา กบั 0.00170 และ 0.00312 g/cm3ตามลาํ ดับ 25
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ สรปุ สมบตั ทิ วั่ ๆ ไปของธาตหุ มู VIIA ไดด งั นี้ 1. เปนพวกอโลหะ มีเวเลนตอเิ ลก็ ตรอนเทา กับ 7 สภาวะปกติ F2 และCl2 เปนแกสสเี หลอื งออ น และเขียวออนตามลาํ ดับ Br2 เปน ของเหลวสีนํ้าตาลแดง และ I2 เปน ของแขง็ สีมวง ซ่ึงสีของธาตุ แฮโลเจนจะเขม ขึน้ เมอ่ื เลขอะตอมเพมิ่ ขน้ึ ทุกตวั เปน สารพษิ 2. ความเปน อโลหะจะลดลงเมื่อเลขอะตอมเพิ่มขนึ้ หรือความเปนโลหะจะเพม่ิ ขนึ้ เมอื่ เลขอะตอม เพ่ิมขนึ้ 3. ธาตแุ ฮโลเจนทกุ ตวั อยูในสภาพโมเลกลุ อะตอมคู (diatomic molecule) ทุกสถานะทัง้ ของแข็ง ของเหลวและแกส โดยยดึ เหน่ยี วกนั ดว ยพนั ธะโคเวเลนต 4. ไมนําความรอนและไฟฟาเพราะเปน อโลหะ 5. อะตอมมขี นาดเลก็ เม่ือเปรยี บเทยี บกบั ธาตุในคาบเดียวกนั แตม ขี นาดใหญข ึ้นเมอื่ เลขอะตอม เพม่ิ ขนึ้ 6. ธาตุหมู VIIA ละลายในน้าํ ไดเ ล็กนอ ยและใหสตี างๆ กัน เนอ่ื งจากเปน โมเลกุลไมมขี ั้วจึง ละลายไดด ใี นตัวทําละลายอนิ ทรีย เชน ใน CCl4 Cl2 ใน CCl4 ไมมีสี Br2 ใน CCl4 สีสม I2 ในCCl4 สมี ว ง ซ่งึ ในตวั ทําละลายดงั กลาวนธี้ าตุหมู VIIA ทกุ ชนดิ จะอยูใ นรูปของโมเลกุลอสิ ระเหมอื นกบั ใน สภาวะเปน แกส ในตวั ทาํ ละลายทม่ี ขี ้ัว เชน H2O, C2H5OH , CH3COCH3 , ทั้ง Br2 และ I2 จะมสี นี ํ้าตาลแดง เนื่องจากเกดิ สารประกอบเชิงซอนขึน้ 7. ความหนาแนนนอ ย แตความหนาแนนจะเพม่ิ ขึ้นเมอ่ื เลขอะตอมเพ่มิ ขน้ึ 8. มจี ดุ หลอมเหลว จดุ เดอื ดและความรอนแฝงของการเกดิ ไอต่าํ เนอ่ื งจากมแี รงยดึ เหน่ยี ว ระหวา งโมเลกลุ (คือแรงวันเดอรวาลส) นอ ย แตจุดหลอมเหลว จดุ เดอื ดและความรอ นแฝงของการเกดิ ไอเพมิ่ ขนึ้ เม่อื เลขอะตอมเพิ่มขนึ้ เพราะมแี รงวนั เดอรวาลสเพ่ิมขนึ้ นอกจากน้กี ารระเหยของธาตหุ มู VIIA จะคอ ยๆ ลดลงเมอ่ื เลขอะตอมเพ่มิ ขึ้น เพราะแรงวนั เดอรว าลสเพิ่มขน้ึ 9. มีคา อเิ ล็กโทรเนกาติวติ ีสูงท่สี ุด ในคาบเดยี วกนั และคาอเิ ล็กโทรเนกาตวิ ติ จี ะคอยๆ ลดลง เม่ือเลขอะตอมเพม่ิ ขน้ึ 10. มี IE1 คอ นขางสูง และคา IE1 จะคอ ยๆ ลดลงเมื่อเลขอะตอมเพม่ิ ขน้ึ เนือ่ งจากขนาดใหญ ขน้ึ 11. มเี ลขออกซิเดชนั ไดห ลายคา เน่ืองจากมี 7 เวเลนตอเิ ล็กตรอน ซึ่งสามารถจะใหห รอื รบั อิเลก็ ตรอนจากธาตอุ ืน่ หรอื ใชอ เิ ลก็ ตรอนรวมกับธาตอุ ื่นๆ ซง่ึ มีคาอเิ ล็กโทรเนกาตวิ ติ ตี า งๆ กันได ทาํ ให มีเลขออกซเิ ดชันหลายคา เชน ตัวอยา งของธาตุ Cl มีเลขออกซเิ ดชนั ตว้ั แต -1 ถึง +7 26
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ 12. เกดิ สารประกอบไดหลายชนดิ เชน NaCl CaF2 HF KI และยงั เกดิ สารประกอบทมี่ ธี าตุ องคประกอบชนิดเดยี วกันไดห ลายชนดิ เพราะมเี ลขออกซเิ ดชันหลายคา เชน NaClO NaClO2 NaClO3 NaClO4 Cl2O ClO2ClO3 และCl2O7 เปน ตน 13. ธาตุที่อยตู อนบนของหมู สามารถทําปฏิกิริยากับสารประกอบแฮไลดข องธาตทุ ี่อยูตอนลางได แตธาตุอยูตอนลา งจะไมท ําปฏกิ ิรยิ ากบั สารประกอบแฮไลดของธาตทุ ่ีอยตู อนบน จงึ สรุปไดว า “ความสามารถในการทําปฏกิ ริ ยิ าของธาตุหมู VIIA จะลดลงจากบนลงลาง” เชน F2 ทาํ ปฏกิ ิรยิ ากับNaClได แต Cl2 ไมท ําปฏกิ ิริยากับ NaF F2 + 2NaCl → 2NaF + Cl2 Cl2 +NaF→ ไมเ กดิ ปฏกิ ริ ยิ า ธาตอุ น่ื ๆ ก็เชน เดยี วกนั Cl2 + 2NaBr → 2NaCl + Br2 Br2 +NaCl→ ไมเกดิ ปฏกิ ริ ยิ า 14. การเตรยี มธาตุแฮโลเจนบางธาตทุ ําไดดังน้ี 2KMnO4 + 16HCl (conc) →KCl + 2MnCl2 + 8H2O + 5Cl2 MnO2 + 4HCl (conc) → MnCl2 + 2H2O + Cl2 2NaBr + MnO2 + 3H2SO4 (conc) → 2NaHSO4 + MnSO4 + 2H2O + Br2 15. ปฏิกริ ิยาท่สี าํ คญั ของสารประกอบแฮไลด เปน ดงั นี้ ปฏกิ ริ ยิ าของสารประกอบแฮไลด เม่ือเตมิ สาร ผลทส่ี งั เกตได F- (aq) Cl- (aq) Br- (aq) I- (aq) Pb(NO3)2 ตะกอนขาว ตะกอนขาว ตะกอนเหลอื ง ตะกอนเหลอื ง AgNO3 (aq) PbF2 PbCl2 PbBr2 PbBr2 - ตะกอนขาว ตะกอนเหลอื ง ตะกอนเหลอื ง AgCl ออน AgBr AgI การละลายของ AgXใน ก. Dil. NH3 ละลาย ละลาย ไมล ะลาย ไมละลาย ข. conc.NH3 AgXเมอ่ื ถกู แสง ละลาย ละลาย ละลาย ละลาย - AgClกลายเปน AgBrกลายเปน - สมี ว งเทา สเี ขยี วเหลือง 27
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ ปฏกิ ริ ยิ ากับสารละลาย AgNO3 และ NH3 หรอื แสงสวา ง จัดไดว าเปน วธิ กี ารทดสอบแฮไลดไอออน F- (aq) ไมใ หต ะกอนกบั AgNO3 (aq) Cl- (aq) ใหตะกอนขาว AgCl ซง่ึ เปล่ยี นเปน สเี ทาเม่อื ถกู แสงและละลายไดใ น NH3 (aq) Br- (aq) ใหต ะกอนเหลอื งออ น AgBr ซ่งึ เปลี่ยนเปน สีเขียว-เหลอื ง เม่ือถกู แสงและละลายได I- (aq) ใน NH3 เขม ขน ใหตะกอนเหลอื ง AgI ซึ่งไมเ ปลยี่ นสีเมอ่ื ถกู แสงและไมละลายใน NH3 การละลายไดใ น NH3 (aq) เพราะเกดิ สารประกอบเชงิ ซอ นท่ลี ะลายได 3.5 ตําแหนง ของไฮโดรเจนในตารางธาตุ โดยท่ัวๆ ไปการจัดธาตุใหอ ยใู นหมูเดียวกนั จะใชเวเลนตอ เิ ลก็ ตรอนและสมบัติของธาตุเปน เกณฑ ถา มเี วเลนตอ ิเล็กตรอนเทา กนั และมสี มบัตติ า งๆ คลา ยกันจะจัดวา อยูใ นหมูเดยี วกัน สําหรับไฮโดรเจนมีเลขอะตอมเทากับหน่ึง เม่ือพิจารณาการจัดเรียงอิเล็กตรอน จะพบวามี เวเลนตอิเล็กตรอนเทากับ 1 และอยูในระดับพลังงานแรก ซ่ึงถาใชเวเลนตอิเล็กตรอนเปนเกณฑควรจะ จัดใหไฮโดรเจนอยูในหมู IA คาบ 1 ได แตอยางไรก็ตาม อาจจะพิจารณาวาอยูในหมู VIIA ไดเหมือนกัน เพราะยังขาดอิเล็กตรอน เพียง 1 ตัวจะมีการจัดอิเล็กตรอนเหมือน He เมื่อพิจารณาสมบัติบางประการ ของธาตไุ ฮโดรเจนเทียบกบั สมบตั ิของธาตุหมู IA และหมู VIIA จะได ดังน้ี สมบตั บิ างประการของไฮโดรเจนเทยี บกบั ธาตหุ มู IA และหมู VIIA สมบัติ ไฮโดรเจน ธาตหุ มู IA ธาตหุ มู VIIA เวเลนตอ ิเลก็ ตรอน 11 7 จํานวนอะตอมในโมเลกลุ 2 ไมแนน อน 2 เลขออกซเิ ดชนั ในสารประกอบ -1, +1 +1 -1,+1, +3, +5, +7 การนําไฟฟาในสถานะของแข็ง ไมนําไฟฟา นําไฟฟา ไมน ําไฟฟา IE1 (kJ/mol) 1318 382-526 1015-1687 อเิ ล็กโทรเนกาติวิตี 2.1 1.0 - 0.7 4.2 - 2.2 จากตารางเหน็ ไดว า ไฮโดรเจนมสี มบัติบางประการเหมอื นธาตุหมู VIIA เชน มเี ลขออกซิเดชัน มากกวา 1 คา ไมน าํ ไฟฟา มคี า IE1 และอเิ ลก็ โทรเนกาตวิ ติ สี ูง ในขณะเดยี วกนั มีสมบัตบิ างประการ เหมอื นธาตหุ มู IA เชน มเี วเลนตอ เิ ลก็ ตรอนเทากบั 1 การที่ไฮโดรเจนมสี มบตั บิ างประการคลา ยท้งั หมู IA และ VIIA จงึ ไดแยกไฮโดรเจนออกจากหมูท ง้ั สอง ดงั ปรากฏอยูในตารางธาตุ 28
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ 4. ธาตแุ ทรนซชิ นั ธาตุแทรนซิชัน หมายถึง กลุมธาตุซ่ึงอยูระหวางหมู IIA และหมู IIIA หรือธาตุที่อยูในเขต d และเขต f รปู แสดงตําแหนงของกลมุ ธาตุแทรนซชิ นั ในตารางธาตุ เขต s และ เขต p คือ ธาตุกลุม A เรียกวา ธาตเุ รพพรเี ซนเตทฟี เขต d และ เขต f คอื ธาตกุ ลมุ B เรียกวา ธาตแุ ทรนซชิ ัน โดยทั่วไปธาตุแทรนซิชันจะมีการจัดเรียงอิเล็กตรอนใน d หรือใน f - orbital ไมเต็ม พวกท่ีมี อิเล็กตรอนใน d - orbital ไมเต็ม จัดวาเปนกลุมธาตุแทรนซิชันหลัก (main transition element) พวกท่ีมีอิเล็กตรอนใน f - orbital ไมเต็ม เรียกวา ธาตุอินเนอรแทรนซิชัน (inner transition element) สําหรับ Zn , Cd และ Hg แมวาจะมีอิเล็กตรอนเต็มใน d - orbital ก็อนุโลมวาเปน ธาตุแทรนซิชนั 29
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ ธาตแุ ทรนซชิ ันแบง ออกเปน คาบ โดยทแ่ี ตละคาบมีชือ่ เรียกตา งๆ กันดงั น้ี 1. อนุกรมแทรนซิชันที่ 1 (first transition series) คือ ธาตุแทรนซิชันแถวแรกต้ังแต Sc ถึง Cu (เลขอะตอม 21 - 29) ธาตุเหลา นีอ้ ิเลก็ ตรอนใน 3d - orbital ไมค รบ 2. อนุกรมแทรนซิชันท่ี 2 (second transition series) คือ ธาตุแทรนซิชันแถวท่ี 2 ตั้งแต ธาตุ Y ถงึ Ag (เลขอะตอม 39 - 47) ธาตุเหลา นอ้ี เิ ล็กตรอนใน 4d - orbital ไมค รบ 3. อนุกรมแทรนซิชันท่ี 3 (third transition series) คือ ธาตุแทรนซิชันในแถวที่ 3 ตั้งแต La ถงึ Au (เลขอะตอม 57 - 79) ธาตเุ หลา นีอ้ ิเล็กตรอนใน 5d - orbital ไมค รบ 4. อนุกรมแลนทาไนด (lanthanide series) คือธาตุอินเนอรแทรนซิชันตั้งแตธาตุ Ce ถึง Lu (เลขอะตอมตง้ั แต 58 - 71) ธาตุเหลานี้มีอเิ ลก็ ตรอนใน 4f - orbital ไมค รบ 5. อนุกรมแอคติไนด (actinide series) คือ ธาตุอินเนอรแทรนซิชันตั้งแต Th ถึง Lr (เลขอะตอม 90 - 103) ธาตเุ หลา นี้ มีอเิ ล็กตรอนใน 5f - orbital ไมค รบ สําหรับอนุกรมแลนทาไนดและแอคติไนด จัดอยูในสวนลางของตารางธาตุ แยกออกจากกลุม ธาตุหลักของแทรนซิชัน ธาตุแทรนซิชันท้ังหมดรวมกันมีจํานวนมากกวาครึ่งหนึ่งของธาตุทั้งหมด บาง ธาตุไมมีอยูในธรรมชาติแตมนุษยสังเคราะหขึ้น (man made element) เชน ธาตุเลขอะตอมตั้งแต 93 – 103 บางธาตุเปนกัมมันตรังสี เชน Es, Am, Pu ธาตุแทรนซิชันท้ังหมดจัดวาเปนโลหะ เปนตัวนํา ไฟฟาและนําความรอนท่ีดี (Ag มีการนําความรอนและไฟฟาดีที่สุด) เปนของแข็งที่มีจุดหลอมเหลวสูง (W เปน ธาตทุ ่มี จี ุดหลอมเหลวสงู สดุ ถงึ 3400 0C) สมบัตขิ องธาตุแทรนซิชัน การที่ธาตุแทรนซิชันมีสมบัติแตกตางจากโลหะท่ัวๆ ไป ทําใหตองแยกออกเปนกลุมๆ ตางหาก ลกั ษณะทส่ี ําคัญของ ธาตแุ ทรนซิชันเปนดงั น้ี 1. มีเลขออกซิเดชันมากกวา 1 คา ยกเวนหมู IIIB เชน Sc เปน +3 คาเดียว และหมู IIB (Zn, Cd) เปน +2 คาเดยี ว 2. ธาตุแทรนซิชันเปน โลหะ จึงดึงดูดกบั แมเหลก็ และมีบางธาตุ เชน Fe, Co, และ Ni สามารถ แสดงสมบัติเปนแมเหล็ก ไดเมื่อนําไปวางไวในสนามแมเหล็กนานๆ นอกจากนี้ยังมีสารประกอบของ ธาตุแทรนซิชันอกี หลายชนิดที่สามารถดูดกับแมเหล็กได 3. สารประกอบสวนใหญ มีสี (ยกเวนหมู IIIB) ซ่ึงเปนสีของไอออนเชิงซอนของ ธาตุแทรนซิชัน 4. ธาตุแทรนซชิ ันมแี นวโนม ทจี่ ะเกิดสารประกอบเชงิ ซอ นได 5. มเี วเลนตอิเล็กตรอนเทากับ 2 (ยกเวน Cr, และ Cu มีเวเลนตอ ิเลก็ ตรอนเทา กับ 1) และ อเิ ลก็ ตรอนถัดจากวงนอกสุด ไมค รบ 18 (ยกเวน Cu และ Zn) 30
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ 6. รัศมีอะตอมมีแนวโนมลดลงจากซายไปขวาของคาบ (หรือเม่ือเลขอะตอมเพ่ิมข้ึน รัศมีอะตอม จะเล็กลง) ซงึ่ เหมือนกบั ธาตใุ นคาบเดยี วกันทัว่ ๆ ไป) 7. มจี ดุ หลอมเหลวและจดุ เดือดคอนขา งสูง เพราะมพี นั ธะโลหะ 8. ความหนาแนนเพิม่ ข้นึ เม่อื เลขอะตอมเพ่ิมขึน้ เนอื่ งจากมวลเพิม่ ข้ึนขณะที่ขนาดเลก็ ลง 9. คา IE1 , IE2 , และ IE3 มีแนวโนมเพิ่มขึ้นเมื่อเลขอะตอมเพิ่มขึ้น แตคาตางกันไมมากนัก เพราะขนาดใกลเคยี งกัน 10. อเิ ลก็ โทรเนกาตวิ ิตีมีแนวโนมเพิ่มขน้ึ เม่อื เลขอะตอมเพ่มิ ข้ึน 11. เปนโลหะทนี่ ําความรอนและนาํ ไฟฟา ไดด ีเหมอื นกับโลหะทว่ั ๆ ไป ทั้งน้เี พราะมีพันธะโลหะ อยางไรก็ตามแมวาธาตุแทรนซิชันจะมีสมบัติทั่วๆ ไป แตกตางจากธาตุกลุม A ก็ยังมีบางสวนท่ี คลา ยกนั เชน มีอตั ราสวนของอะตอมของธาตุทรี่ วมกนั เปน สารประกอบคลา ยกนั ดังในตารางตอ ไปนี้ 4.1 การจดั อิเลก็ ตรอนของธาตุแทรนซชิ ัน โดยทั่วๆไป การจัดอิเล็กตรอนลงใน orbital ตางๆของธาตุจะตองจัดในระดับพลังงานที่ต่ํากวา จนเต็มกอนแลวจึงจะจัดใหอยูในระดับที่สูงขึ้น สําหรับธาตุแทรนซิชันมีการจัดอิเล็กตรอน ใน d-orbital ดวย ซึ่งระดบั พลังงานของ 3d-orbital สูงกวา 4sorbital ดังนั้นอิเล็กตรอนจึงตองจัดลงใน 4s-orbital กอนจนเต็มแลวจึงจัดลงใน 3d-orbital เปนผลให อิเล็กตรอนใน d-orbital ไมครบ ซึ่งก็เรียกธาตุที่มี ลกั ษณะน้วี าธาตุแทรนซชิ ัน อยางไรก็ตามธาตแุ ทรนซชิ นั กลายเปนไอออนจะเสียอิเล็กตรอน ใน 4s-orbital กอนและในบาง กรณีก็เสียอิเล็กตรอนใน 3d-orbital ดวย ทําใหอิเล็กตรอนธาตุแทรนซิชันสามารถเกิดเปนไอออนได หลายชนิดและมีเลขออกซเิ ดชนั ไดห ลายคา ตัวอยางเชน การจดั อเิ ลก็ ตรอนของธาตุ Mn เปนดงั นี้ 25Mn 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 4s2 3d5 หรอื เขียนเปน block diagram คือ 31
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ เน่ืองจากโครงสรา งของอเิ ลก็ ตรอน ในชวงแรกคอื 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 เหมือนกบั ธาตุ Ar ดงั นน้ั เพอื่ ใหส ะดวก แกการเขียนโครงสรา งอิเล็กตรอน จะแสดงเฉพาะในระดบั 3d และ 4s เทานั้น ใน สว นที่ตํา่ กวา นจ้ี ะใชเปน โครงสราง Ar แทน [Ar] = 1s2 2s2 2p6 3s2 3p6 เพราะฉะนั้น 25Mn จงึ มกี ารจดั อเิ ลก็ ตรอนเปน [Ar] 4s2 3d5 หรือแบบ block diagram คือ เมอ่ื Mn เกดิ เปน ไอออน จะเสยี อเิ ลก็ ตรอนใน 4s กลายเปน Mn2+ และสามารถเสียอิเลก็ ตรอน ใน 3d ไดดวยกลายเปน Mn3+ ซ่งึ มกี ารจดั เรียงอิเลก็ ตรอนเปรยี บเทียบกนั ได ดังน้ี ตารางแสดงโครงสรา งการจดั เรยี งอเิ ลก็ ตรอนของธาตแุ ทรนซชิ นั ในคาบ 4 32
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ การจดั เรียงอิเลก็ ตรอนของธาตุโพแทสเซยี ม แคลเซียม และธาตแุ ทรนซิชนั ในคาบท่ี 4 4.2 สารประกอบของธาตแุ ทรนซชิ นั 1. ธาตุแทรนซิชันสวนใหญเสียอิเล็กตรอนไดงาย จึงมีความวองไวในการทําปฏิกิริยากับอโลหะ ทําใหม ีเลขออกซเิ ดชนั ไดห ลายคา 2. สารประกอบและไอออนสว นใหญจะมีสีตาง ๆ กนั ขนึ้ อยกู บั ชนิดของธาตุแทรนซชิ นั เลขออกซิ ชนั ชนดิ และจํานวนของสารทร่ี วมตัวกับธาตุแทรนซิชัน สาเหตุที่ทําใหสารประกอบของธาตุแทรนซิชันมีสี เน่ืองจากอิเล็กตรอนใน d-Orbital สามารถดูดกลืนแสงในชวงท่ีเห็นดวยตาเปลาบางชวงคลื่น แสงท่ีไม ถูกดูดกลนื กค็ อื สีของสารประกอบหรือของไอออน 33
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ สขี องสารประกอบและไอออนของโครเมยี มและแมงกานสี ในนาํ้ ตวั อยางปฏิกริ ิยาทธี่ าตแุ ทรนซชิ นั มีเลขออกซิเดชนั เปลย่ี นแปลง 1. การเปลี่ยนแปลงเลขออกซิเดชันของโครเมยี ม ( Cr ) 1. เมอื่ เตมิ ไฮโดรเจนเปอรออกไซด ( H2O2 ) ลงในสารละลายโพแทสเซยี มไดโครเมต ( K2Cr2O7 ) ในกรดซัลฟว รกิ ( H2SO4 ) จะเกิดปฏกิ ริ ยิ า ดงั น้ี Cr2O72− + 3H 2O2 + 8H + ⎯⎯→ 2Cr 3+ + 3O2 + 7H 2O สีสม สีเขียว Cr ใน Cr2O72− และ Cr3+ มีคาเลขออกซิชันเทากับ +6 และ +3 ตามลําดับ แสดงวา Cr มีเลข ออกซเิ ดชันลดลงจาก +6 เปน +3 ทาํ ใหมีสีเปลย่ี นไป 2. เมื่อเติมสารละลายโซเดียมซัลไฟต ( Na2S ) ลงในสารละลายของ Cr3+ ท่ีไดจากขอ 1 จะ เกดิ ปฏกิ ริ ิยา ดงั น้ี 2Cr 3+ + S 2− ⎯⎯→ 2Cr 2+ + S สีเขยี ว สนี ํา้ เงนิ Cr มเี ลขออกซิเดชนั ลดลงจาก +3 เปน +2 ทาํ ใหสีเปลี่ยนไป 34
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ การจดั เรยี งอเิ ลก็ ตรอนของโครเมยี มและโครเมยี มไอออนทมี่ เี ลขออกซเิ ดชนั ตา งๆ 2. การเปลี่ยนเลขออกซิเดชันของ Mn 1. เมื่อเผาโซเดียมไฮดรอกไซด ( NaOH ) กับ แมงกานีส (IV) ออกไซด ( MnO2 ) จะ เกิดปฏิกริ ิยา ดังน้ี 2MnO2 + 4OH − + O2 ⎯⎯→ 2MnO42− + 2H 2O สดี าํ สเี ขยี ว Mn ใน MnO2 และ MnO42− มีเลขออกซิเดชันเทากับ +4 และ +6 ตามลําดับ แสดงวา Mn มี เลขออกซเิ ดชนั เพิม่ ข้ึนจาก +4 ไปเปน +6 สีจึงเปล่ียนไป 2. เม่ือเติมกรดซัลฟวริก (H2SO4) ลงในสารละลายของ MnO42− ที่ไดในขอ 1 จะเกิดปฏิกิริยา ดังน้ี O2 + 4MnO42− + 4H + ⎯⎯→ 4MnO4− + 2H2O Mn ในสารละลาย MnO42− และ MnO4− มีคาเลขออกซิเดชันเทากับ +6 และ +7 ตามลําดับ แสดงวา Mn มีเลขออกซิเดชันเพิม่ ขึ้นจาก +6 เปน +7 จงึ ทําใหสีเปล่ยี นไป 3. เมื่อเติมสารละลาย Na2S ลงในสารละลาย MnO4− ที่ไดจากขอ 2 ตอไปอีก จะเกิดปฏิกิริยา ดังสมการ 2MnO4− +16H + + 5S 2− ⎯⎯→ 2Mn2+ + 8H2O + 5S Mn ใน MnO4− และ Mn2+ มีคาเลขออกซิเดชันเทากับ +7 และ +2 ตามลําดับ แสดงวา Mn มี เลขออกซเิ ดชนั ลดลงจาก +7 เปน +2 จึงทาํ ใหส ีเปลี่ยนไป 4. เม่อื เติมสารละลาย NaOH ลงในสารละลาย Mn2+ ทีไ่ ดจากขอ 3 จะเกิดปฏกิ ิริยา ดงั น้ี 4Mn2+ + O2 + 2H 2O ⎯⎯→ 4Mn3+ + 4OH − 35
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ Mn ใน Mn2+ และ Mn3+ มีคาเลขออกซิเดชันเทากับ +2 และ +3 ตามลําดับ แสดงวา Mn มี เลขออกซิเดชันเพิม่ ข้นึ จาก +2 เปน +3 สจี ึงเปลย่ี นแปลง 4.3 สารประกอบเชงิ ซอ นของธาตุแทรนซชิ นั ไอออนเชิงซอน (Complex ion) หมายถึง ไอออนท่ีประกอบดวยอะตอมของธาตุอยางนอย 2 ชนิด มีท้ังไอออนบวกและไอออนลบ นอกจากน้ันไอออนเชิงซอนมักมีธาตุแทรนซิชันเปนองคประกอบอยู ดวย โดยทําหนาท่ีเปนอะตอมกลาง แลวมีอะตอมหรือไอออนอ่ืนมาลอมรอบ เชน โครเมตไอออน ( CrO42− ) ไดโครเมตไอออน ( Cr2O72− ) เปอรแ มงกาเนตไอออน ( MnO4− ) ฯลฯ สารประกอบเชิงซอน (Complex compound) หมายถึง สารประกอบท่ีประกอบดวยไอออน เชงิ ซอ น สารประกอบเชงิ ซอ น สตู ร ไอออนบวก ไอออนลบ ไอออนเชงิ ซอ น โพแทสเซียมเปอรแ มงกาเนต โพแทสเซียมเฮกซะไซยาโนเฟอเรต(III) KMnO4 K+ MnO4− MnO4− เฮกซะแอมมีนโคบอลต(III)คลอไรด K3[Fe(CN)6] K+ แอมโมเนียมฟอสเฟต [Cu(NH3)6]Cl3 [Cu(NH3)6]3+ [Fe(CN)6]3- [Fe(CN)6]3- เตตระแอมมนี คอปเปอร(II)ซลั เฟต (NH4)3PO4 Cl- [Cu(NH3)6]3+ [Cu(NH3)4]SO4 NH4+ PO43− NH4+ PO43− [Cu(NH3)4]2+ SO42− [Cu(NH3)4]2+ SO42− ไอออนเชิงซอนและสารประกอบเชิงซอนสวนใหญจะมีโลหะแทรนซิชันเปนองคประกอบอยูดวย เพราะโลหะแทรนซชิ ันมีโครงสรางทางอิเลก็ ตรอนท่แี ตกตางจากโลหะหมอู น่ื ๆ เม่อื เปนไอออนจะมขี นอด เล็กและมีประจุบวกสูง ทําใหรวมตัวกับอะตอม โมเลกุล หรือไอออนของสารอื่นไดงาย ไอออนเชิงซอน และสารประกอบสวนใหญประกอบดวยอะตอมหรือไอออนของโลหะ อยูตรงกลาง เรียกวา นิวเคลียร อะตอม ( Nuclear atom ) แลวมกี ลุมอะตอม โมเลกลุ หรือไอออนตา ง ๆ หอ มลอมอยู เรยี กวา 36
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ ลิแกนด (Ligand ) แรงยดึ เหนีย่ วระหวา งลิแกนดก ับนวิ เคลียรอ ะตอม เปนพันธะโคออรดิเนตโคเวเลนต สารท่ีจะเปนลิแกนดไดจึงตองมีอิเล็กตรอนคูโดดเดี่ยว ดังนั้นจึงเรียกสารประกอบนี้วา สารประกอบโค ออดเิ นชัน (Coordination Compound ) และจาํ นวนลิแกนดที่หอมลอมและชิดนิวเคลียร เรียกวา เลข โคออดิเนชัน (Coordination number ) ตวั อยางสารที่เปน ลิแกนดได เชน NH3 H2O CN- เปน ตน เลขโคออดิเนชัน หรือจํานวนลิแกนด มีคาไดต้ังแต 2 ถึง 8 แตที่พบมาก คือ 2 4 และ 6 ซึ่งมี รูปรางเปน เสนตรง (Linear) ทรงส่ีหนา (Tetrahedral) หรือส่ีเหลี่ยมแบนราบ (Square plana) และทรงแปดหนา (Octahedral) ตามลาํ ดบั สารประกอบเชงิ ซอ นของธาตแุ ทรนซชิ นั บางชนดิ และไอออนองคป ระกอบ 37
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ 1. จงพิจารณาสารประกอบออกไซดและคลอไรดของธาตุแทรนซิชันตอไปน้ีแลวเขียนเลขออกซิเดชันของ ธาตุแทรนซิชันลงในชองวางใหถูกตอง ธาตุ Sc Ti V Cr Mn Fe Co Ni Cu Zn สารประกอบ ออกไซด Sc2O3 Ti2O3 V2O3 Cr2O3 MnO FeO CoO NiO Cu2O ZnO ไอออน (O2-) TiO2 V2O5 CrO3 MnO2 Fe2O3 Co2O3 CuO Mn2O7 เลข ออกซิเดชนั คลอไรด ScCl3 TiCl3 VCl3 CrCl2 MnCl2 FeCl2 CoCl3 NiCl2 CuCl ZnCl2 ไอออน (Cl-) TiCl2 CrCl3 MnCl3 Fe2Cl6 CuCl2 เลข ออกซิเดชนั 2. X เปน ธาตุแทรนซิชันชนดิ หนึ่ง จงหาเลขออกซิเดชันของธาตุ X ในสารท่กี ําหนดใหตอไปน้ี 2.1 X ………………………..….. 2.4 KXO4 …………………………………… 2.2 XO2 ………………………… 2.5 Ba(XO4)2 ……………………………….. 2.3 X(SO4)2⋅4H2O ……………… 2.6 K2XO4 …………………………………... 3. จงหาเลขออกซเิ ดชนั ของโลหะแทรนซชิ นั ในสารประกอบหรอื ไอออนตอไปน้ี 3.1 [Cr(H2O)5Cl]SO4 …………………… 3.5 [Co(NH3)4SO4]NO3 ……………………….. 3.2 Na[Au(CN)2] ………………………. 3.6 [Ti(H2O)6]3+ ……………………………….. 3.3 ZnCrO4 …………………………….. 3.7 Na2ZnO2 …………………………………… 3.4 [Ni(CN)4]2- …………………………. 4. จงบอกสมบตั ขิ องธาตุแทรนซิชนั ท่ีแตกตา งจากโลหะหมู IA และ IIA ในคาบเดยี วกนั 38
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ 5. จงเขียนการจัดเรียงอิเล็กตรอนของไอออนตอ ไปนี้ Cr2+ ………………………………………… 5.6 Fe3+ …………………………………… Cr3+ ………………………………………… 5.7 Mn2+ …………………………………… Cu+ ………………………………………… 5.8 Sc3+ …………………………………… Cu2+ ………………………………………… 5.9 Zn2+ …………………………………… Fe2+ ………………………………………… 5. ธาตุก่ึงโลหะหรอื เมทลั ลอยด (Semimetals or Metalloids) ธาตุกึ่งโลหะ คือ ธาตุที่อยูชิดเสนแบงระหวางโลหะกับอโลหะ ซึ่งเปนเสนทึบท่ีมีลักษณะคลาย ขั้นบันได ไดแก B, Si, Ge, As, Sb, Te, PO และ At He Li Be B C N O F Ne Na Mg Al Si P S Cl Ar K Ca Ga Ge As Se Br Kr Rb Sr In Sn Sb Te I Xe Cs Ba Tl Pb Bi Po At Rn Fr Ra ตารางแสดงสมบตั ขิ องธาตกุ งึ่ โลหะ ธาตโุ ลหะ และธาตอุ โลหะ ธาตุ Mg B Si Ge As Sb Te Po At P สมบตั ิ ของแข็ง ของแข็ง ของแขง็ 2030 302 44 สถานะ ของแข็ง ของแข็ง ของแขง็ ของแขง็ ของแขง็ ของแข็ง ของแขง็ 2550 1410 937.4 358 631 450 254 337 280 จุ ด ห ล อ ม เ ห ล ว 650 2.04 2.20 2.19 (°C) -26.7 2680 2830 313 1380 990 962 -270 -72 จุดเดือด(°C) 1107 807 1.90 2.01 2.18 2.05 2.10 2.00 926 1018 EN 1.31 เปราะ -134 -119 -78.2 -103 -190 -183 - เปราะ EA (kJ/mol) +230 ไมนาํ 793 768 953 840 876 818 - ไมนาํ IE1 (kJ/mol) 744 กงึ่ โลหะ เปราะ เปราะ เปราะ เปราะ เปราะ กึง่ โลหะ อโลหะ ความเหนียว เหนยี ว นําเลก็ นอ ย นําเล็กนอย นํา นํา นําเลก็ นอย - การนาํ ไฟฟา นาํ ก่งึ โลหะ ก่งึ โลหะ กงึ่ โลหะ ก่ึงโลหะ ก่งึ โลหะ - ประเภทของธาตุ โลหะ กึ่งโลหะ 39
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ ธาตุก่ึงโลหะเปนธาตุท่ีมีสมบัติก้ํากึ่งระหวางสมบัติของโลหะกับสมบัติของอโลหะ และสวนใหญมี โครงสรางแบบโครงรางผลึกตาขาย เชน B มจี ดุ หลอมเหลว จุดเดอื ดสูงเหมือนโลหะ แตเปราะ ไมนําไฟฟาเหมือนอโลหะ Si มีจุดเดือด จุดหลอมเหลวสูงเหมือนโลหะ แตเปราะ มีคา EA เปนบวกเหมือนอโลหะ นํา ไฟฟา ไดเล็กนอ ย Ge มีจุดหลอมเหลว จุดเดือดสูง เหมือนโลหะ นําไฟฟาไดเล็กนอย เปราะ คา EN สูง คา EA เปนลบมากเหมือนอโลหะ As จุดเดอื ด จดุ หลอมเหลวสงู นาํ ไฟฟา เหมอื นโลหะ แตเ ปราะ คา EN สูงเหมอื นอโลหะ Sb จุดเดือด จุดหลอมเหลวสูง นําไฟฟาได ผิวหนาเปนมันวาวเหมือนโลหะ แตคา EA เปนลบ มากและเปราะเหมือนอโลหะ เปน ตน 6. ธาตุกัมมนั ตรงั สี อองตวน อองรี แบก็ เคอเรล ( พ.ศ. 2439 ) นักเคมชี าวฝร่งั เศส เปน คนแรกท่คี นพบวาธาตบุ าง ชนิดสามารถปลอยรังสีบางชนิดออกมาได ( โดยเฉพาะธาตุท่ีมีมวลอะตอมมาก ) คือ เมื่อเขานําฟลม ถายรูปวางไวใกล ๆ เกลือโพแทสเซียมยูเรซิลซัลเฟต ( K2UO2(SO4)2 ) และมีกระดาษดําหุม ปรากฏวา เกิดรอยดําบนแผนฟลมเหมือนถูกแสง เขาจึงใหเหตุผลวา จะตองมีรังสีท่ีมีพลังงานสูงบางอยางปลอย ออกมาจากเกลือยูเรเนียมน้ี เม่ือไปกระทบกับแผนฟลมทําใหเกิดเปนสีดํา และพบวาการปลอยรังสีของ เกลือแปลผันตรงกับปริมาณของเกลือ หลังจากนั้น ปแอร กูรี และมารี กูรี ไดคนพบวา พอโลเนียม เรเดียมและทอเรียม ก็สามารถแผรังสีได เรียกปรากฏการณที่ธาตุแผรังสีออกมาไดเองอยางตอเนื่องวา กมั มันภาพรังสี ซึ่งเกิดจากการเปลย่ี นแปลงภายในนิวเคลยี สของไอโซโทปทไ่ี มเ สถียร และเรียกธาตุที่สาร มารถแผร ังสีไดวา ธาตุกัมมันตรังสี ตอมารัทเทอรฟอรดไดศึกษาเพ่ิมเติมและแสดงใหเห็นวา รังสีท่ีธาตุ กมั มันตรังสีปลอยออกมาอาจเปน รังสีแอลฟาหรืออนุภาคแอลฟา (α-particle ) รังสีบีตาหรืออนุภาค บีตา (β-particle ) และรงั สแี กมมา ( γ-ray ) รังสีแอลฟาหรืออนุภาคแอลฟา ( สัญลักษณ α หรือ 4 He ) คืออนุภาคที่มีประจุไฟฟาบวก ( 2 +2 ) มีมวลเปนส่ีเทาของอะตอมไฮโดรเจน หรือ นิวเคลียสของอะตอมฮีเลียม ( ฮีเลียมไอออนท่ีมีประจุ +2 ) เบนเขา หาขวั้ ลบในสนามไฟฟา มีอํานาจทะลนุ อย สามารถใชกระดาษ 1 หรือ 2 แผนกั้นได วิ่งผาน อากาศไดเ พยี ง 3-5 เซนตเิ มตร เมอื่ รงั สีแอลฟาผา นสารสามารถทําใหสารเกิดการแตกตัวเปนไอออนได ดี จงึ ทาํ ใหเสียพลังงานอยา งรวดเร็ว 40
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ รงั สีบีตาหรืออนภุ าคบีตา ( สญั ลกั ษณ β หรอื 0 e ) คอื อนภุ าคท่มี ีสมบัติเหมอื นอเิ ล็กตรอน มี −1 ประจไุ ฟฟา -1 มีมวลเทา กับมวลของอิเลก็ ตรอน มีพลังงานสูง เบนเขาหาข้ัวบวกในสนามไฟฟา มีอํานาจ ทะลุทะลวงสูงกวารังสีแอลฟาประมาณ 100 เทา สามารถผานแผนโลหะบาง ๆ ได เชน ตะกั่วหนา 1 มิลลิเมตร แผน อะลมู เิ นยี มหนา 5 มิลลิเมตร มีความเรว็ ใกลเ คยี งความเร็วแสง มอี ํานาจในการไอออไนซ นอยกวา รังสแี อลฟา รังสีแกมมา ( สัญลักษณ γ ) คือ คลื่นแมเหล็กไฟฟาท่ีมีความยาวคลื่นสั้นมาก ไมมีมวล ไมมี ประจุ ไมเบ่ียงเบนในสนามไฟฟา มีอํานาจทะลุทะลวงสูง สามารถทะลุผานแผนไม โลหะ และเนื้อเยื่อได แตถูกกน้ั ดวยคอนกรีตหรอื แผน ตะกว่ั หนาได และมีอํานาจในการไอออไนซต่ํามาก ธาตุกัมมันตรังสีสวนใหญมีเลขอะตอมมากกวา 83 พบในธรรมชาติหลายชนิด เชน U235 23920Th 92 222 Rn นอกจากน้ันยังมีการสังเคราะหธาตุกัมมันตรังสี เพ่ือใชประโยชนตาง ๆ โดยวิธีการยิงนิวเคลียส 86 ของไอโซโทปทเ่ี สถียรดว ยอนุภาคที่เหมาะสมและมีความเรว็ สงู เชน 14 N + 24He ⎯⎯→187O+11H 7 14 N คอื ธาตไุ อโซโทปทีเ่ สถยี รของไนโตรเจน 7 4 He คอื อนภุ าคแอลฟาที่ใชในการยิงเขาไปในนิวเคลียสของไนโตรเจน 2 187O คอื ธาตทุ ต่ี องการสงั เคราะห 1 H คอื โปรตอนทไ่ี ดจากการยงิ อนุภาคแอลฟาเขา ไปในนวิ เคลยี สของไนโตรเจน 1 ไอโซโทปกัมมันตรงั สีบางชนดิ จะสลายตัวตอไปจนไดไอโซโทปทีเ่ สถียร เชน 24 Mg + 24He ⎯⎯→ 0 e+1238Al ⎯⎯→1248 Si+ −10e 12 +1 ซ่งึ Al ไมเ สถียร จึงสลายตัวไปเปน Si ประโยชนของไอโซโทปกัมมันตรังสี ไอโซโทปกัมมันตรังสีสามารถนํามาใชประโยชนในหลาย ๆ ดาน เชน 2670Co ใชในการถนอมอาหารและรักษาโรคมะเร็ง 226 Ra ใช รั กษ า โรคม ะ เ ร็ง I131 ใชในการ 88 53 ติดตามเพื่อรักษาความผิดปกติของตอมไทรอยด 164C ใชคํานวณหาอายุของวัตถุโบราณหรือซากดึกดํา บรรพ และใชศึกษากลไกของการเกิดปฏิกิริยา 24 Na ใชตรว จ อั ตราการไห ลเวี ย น ของโลหิ ต ใชU238 11 92 คาํ นวณหาอายุของแร 32 P ใชศ กึ ษาความตอ งการปุยของพชื 198 Au ใชต รวจตับและไขกระดูก 15 79 41
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ 6.1 การสลายตวั ของธาตุกมั มันตรงั สี เมื่อธาตุกัมมันตรังสีแผรังสีออกมาจะเกิดการสลายตัวเปนธาตุใหมหรือยังเปนธาตุเดิมอยูก็ได ข้ึนอยูก บั ชนิดของรงั สที ีแ่ ผอ อกมา 1. การแผรังสีแอลฟา จะเกิดการเปล่ียนแปลงภายในนิวเคลียส โดยมีเลขมวลลดลง 4 และเลข อะตอมลดลง 2 ทําใหเกิดเปนธาตุใหม สวนใหญเกิดกับธาตุที่มีเลขอะตอมมากกวา 82 ที่มีจํานวน นิวตรอนตอ โปรตอนไมเหมาะสม ให P = นิวเคลียสเดิม ( parent nucleus ) D = นิวเคลียสเกิดใหม ( Daughter nucleus ) เขยี นสมการแสดงการสลายตวั และแผร ังสีไดดังนี้ Z P ⎯⎯→ZA−−24D+24H + Energy A เชน U238 ⎯⎯→23940Th+ 24H 92 2. การแผรังสีบีตา เกิดกับนิวเคลียสที่มีอัตราสวนจํานวนนิวตรอนตอโปรตอนมากหรือนอย เกินไป 1. กรณี n/p มากเกินไป นวิ ตรอน ( )01n ในนวิ เคลยี สจะเปล่ียนไปเปนโปรตอน ( p)1 และให 1 อิเล็กตรอนออกมาเปนรังสีบีตา ดังน้ัน เม่ือนิวเคลียสสลายตัวและแผรังสีบีตาลบ จะเกิดนิวเคลียสใหม ดงั สมการ A P ⎯⎯→ Z A D+ −10e Z +1 เชน 23940Th ⎯⎯→29314 Pa+ −10e 2. กรณีที่ n/p นอยเกินไป โปรตอนในนิวเคลียสจะเปลี่ยนไปเปนนิวตรอน และปลอยรังสีบีตา บวกหรือโพสิตรอน ( β+ หรือ )0 e ออกมา เม่ือนิวเคลียสสลายตัวและแผรังสีบีตาบวก จะเกิด +1 นิวเคลียสใหม ดงั สมการ A P ⎯⎯→ Z A D + +10e Z −1 เชน 13 N ⎯⎯→163C + +10e 7 42
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ 3. การแผรงั สีแกมมา เกิดจากการเปลย่ี นระดับพลงั งานของนิวเคลยี สจากสถานะกระตุนกลับมา ยังสถานะพ้ืนท่ีมีระดับพลังงานต่ํากวา โดยการคายพลังงานออกมาในรูปของคล่ืนแมเหล็กไฟฟา ที่ไมมี มวล ไมม ีประจุ และไดน วิ เคลยี สเดมิ ดงั สมการ A X * ⎯⎯→ A X +γ Z Z และนิวเคลียสที่แผรังสีแอลฟาหรือบีตาแลวอาจแผรังสีแกมมาตามมาดวย ถานิวเคลียสนั้นยังอยูใน สถานะกระตุน เชน 212 Bi ⎯⎯→ 4 He+ 20881Tl * ⎯⎯→20881Tl + γ ซึ่งการสลายตัวและการแผรังสีของธาตุ 83 2 กัมมันตรังสี ถาไดนิวเคลียสใหมที่ไมเสถียร ก็จะเกิดการสลายตัวและแผรังสีตอไปจนกลายเปน นิวเคลียสท่ีเสถียร อัตราการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีข้ึนอยูกับจํานวนนิวเคลียสในขณะเกิดการ สลายตัว และเรียกปฏิกิริยาการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีวา ปฏิกิริยานิวเคลียร และเรียกสมการที่ แสดงปฏิกิริยาวา สมการนิวเคลียร ซึ่งตองเขียนสัญลักษณของธาตุใหเปนสัญลักษณนิวเคลียรและ พิจารณาเลขอะตอม เลขมวลของสารตง้ั ตน และสารผลติ ภณั ฑใ หเ ทา กนั เชน 210 Pb ⎯⎯→ 210 Bi+ −10e 82 83 27 Al + 24He ⎯⎯→1350 P + 01n 13 การตรวจสอบการแผรังสีของสาร 1. ใชฟลมถายรูปหุมสารที่ตองการตรวจสอบวางไวในท่ีมืด แลวนําฟลมไปลาง ถาเกิดสีดําบน ฟล ม แสดงวา สารนนั้ มีการแผร ังสี 2. ใชสารทเ่ี รอื งแสงไดเมอ่ื รังสีตกกระทบ เชน ZnS มาวางใกล ๆ สารที่ตองการตรวจสอบ ถามี แสงเรืองเกิดขึน้ แสดงวาสารน้ันมกี ารแผรังสี 3. ใชเ ครอ่ื งมอื ไกเกอรมลู เลอรเ คานเตอรต รวจสอบ ซึ่งสามารถบอกปริมาณรงั สีได 4. ใชเคร่ืองวัดรังสีหองหมอก ( Cloud Chamber ) โดยอาศัยหลักการ เม่ือรังสีผานไปใน อากาศทอี่ ่ิมตัวดว ยไอนํ้า รงั สีจะไปทาํ ใหกา ซเกิดการแตกตัวเปน ไอออนข้นึ ตลอดทางท่ีรงั สีผา น และไอนํ้า ทอี่ ่ิมตัวจะเกดิ การควบแนน รอบ ๆ ไอออนเหลานัน้ ทาํ ใหเ กดิ เปน ทางขาว ๆ ตามแนวทางที่รังสผี า นไป 43
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ การตรวจสอบการแผร ังสีของสาร 1. ใชฟลมถายรูปหุมสารที่ตองการตรวจสอบวางไวในที่มืด แลวนําฟลมไปลาง ถาเกิดสีดําบน ฟลม แสดงวา สารน้ันมกี ารแผร ังสี 2. ใชส ารทเ่ี รืองแสงไดเมอ่ื รงั สีตกกระทบ เชน ZnS มาวางใกล ๆ สารท่ีตองการตรวจสอบ ถามี แสงเรอื งเกิดขึน้ แสดงวาสารนนั้ มีการแผรงั สี 3. ใชเครอ่ื งมอื ไกเกอรม ูลเลอรเคานเตอรตรวจสอบ ซงึ่ สามารถบอกปรมิ าณรงั สีได 4. ใชเครื่องวัดรังสีหองหมอก (Cloud Chamber) โดยอาศัยหลักการ เม่ือรังสีผานไปในอากาศ ที่อ่ิมตัวดวยไอน้ํา รังสีจะไปทําใหกาซเกิดการแตกตัวเปนไอออนขึ้นตลอดทางท่ีรังสีผาน และไอนํ้าที่ อม่ิ ตวั จะเกิดการควบแนนรอบ ๆ ไอออนเหลานน้ั ทําใหเกดิ เปน ทางขาว ๆ ตามแนวทางทร่ี ังสีผานไป 6.2 ครึง่ ชีวิตของธาตุ ครึ่งชีวิตของ ( Half life ) สัญลักษณ “t1 ” หมายถึง ระยะเวลาที่ปริมาณของสาร 2 กัมมันตรังสีสลายตัวเหลือครึ่งหนึ่งของปริมาณเร่ิมตน เชน S-35 มีคร่ึงชีวิต 87 วัน ถามี S-35 อยู 8 กรัม เม่ือเวลาผานไป 87 วัน จะเหลืออยู 4 กรัม และเม่ือเวลาผานไปอีก 87 วัน จะ เหลืออยู 2 กรัม ถาเร่ิมตนจาก 1 กรัม เม่ือเวลาผานไป 87 วัน จะเหลืออยู 0.5 กรัม และเมื่อ ผา นไปอกี 87 วนั จะเหลอื อยู 0.25 กรมั , C-14 มีครงึ่ ชีวติ 5730 ป ถามี C-14 อยู 5 กรัม เม่ือเวลาผานไป 5730 ป จะเหลืออยู 2.5 กรัม และเม่ือผานไปอีก 5730 ป จะเหลืออยู 1.25 กรัม เปนตน แสดงตวั อยา งครง่ึ ชวี ติ ของไอโซโทปกมั มนั ตรงั สบี างชนดิ ไอโซโทปกมั มนั ตรงั สี ครง่ึ ชวี ติ รงั สที แ่ี ผอ อกมา U238 4.5 x 109 ป แอลฟา 92 164C 5,730 ป บตี า 60 Co 5.3 ป บีตา 27 140 Ba 12.5 วัน บีตา 56 131 I 8.1 วนั บตี า 53 140 La 40 ช่วั โมง บีตา 57 25 Na 1 วินาที บีตา 11 214 Po 1.6 x 10-4 วนิ าที แอลฟา 84 44
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ การคาํ นวณเกยี่ วกบั ครงึ่ ชวี ติ ของธาตุ ตัวอยา งท่ี 1 I – 131 มีคร่ึงชีวิต 8.1 วัน ถามี I – 131 จํานวน 30 กรัม จะตองท้ิงไวนานก่ีวัน จึงจะเหลือ 1.875 กรมั วธิ ีทาํ I – 131 จํานวน 30 g ⎯8.1⎯วนั→ 15 g ⎯8.1⎯วัน→ 7.5 g ⎯8.1⎯วัน→ 3.75 ⎯8.1⎯วนั→ 1.875 g ∴ ตอ งทงิ้ I – 131 ไวเ ปน เวลา = 8.1 x 4 = 32.4 วนั ตวั อยางท่ี 2 ไอโซโทปกัมมันตรังสีชนิดหน่ึงจํานวน 40 กรัม เม่ือท้ิงไว 60 วันปรากฏวาเหลืออยู 1.25 กรมั ไอโซโทปกัมมันตรังสีนม้ี ีครึง่ ชีวิตเทาใด วิธที ํา 40g ⎯→1 20 g ⎯→2 10g ⎯→3 5g ⎯→4 2.5g ⎯→5 1.25g 5t1 = 60 2 t1 60 = 5 = 12 วนั 2 ∴ ไอโซโทปกมั มันตรงั สีชนดิ น้มี ีคร่งึ ชีวิต = 12 วัน 45
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ 4.6.3 ปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลยี ร เปนปฏิกิริยาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในนิวเคลียสของอะตอม แลวไดนิวเคลียสของธาตุใหม เกิดขึน้ และใหพลังงานจํานวนมหาศาลออกมา แบง เปน 2 ประเภท คอื 1. ปฏิกิริยาฟชชัน ( Fission reaction ) คือปฏิกิริยานิวเคลียรที่เกิดขึ้นเน่ืองจากการยิง อนุภาคนิวตรอนเขาไปยงั นวิ เคลียสของธาตหุ นัก แลวทําใหนิวเคลียสแตกออกเปนนิวเคลียสที่เล็กลงสอง สวนพรอมกับใหอนุภาคนิวตรอนออกมา 2-3 อนุภาค และคายพลังงานมหาศาลออกมา เชน เมื่อยิง อนุภาคนิวตรอนไปยังนิวเคลียสของ 238 U นิวตรอนที่เกิดขึ้น 2-3 ตัว ซึ่งมีพลังงานสูงจะวิ่งไปชน 92 นิวเคลียสของอะตอมท่ีอยูใกลเคียง ทําใหเกิดปฏิกิริยาตอเน่ืองไปเปนลูกโซ ซึ่งเรียกวา ปฏิกิริยา ลูกโซ ซงึ่ ทาํ ใหไดพ ลงั งานมหาศาล ปฏิกิริยาลูกโซนี้ถาไมมีการควบคุม จะเกิดปฏิกิริยารุนแรงท่ีเรียกวา ลูกระเบิดปรมาณู (Atomic bomb) เพ่ือควบคุมปฏิกิริยาลูกโซไมใหเกิดรุนแรง นักวิทยาศาสตรจึงไดสรางเตาปฏิกรณ ปรมาณู เตาปฏิกรณปรมาณูสามารถควบคุมการเกิดปฏิกิริยาไดโดยการควบคุมปริมาณนิวตรอนท่ี เกิดขึ้นไมใหมากเกินไป และหนวงการเคลื่อนท่ีของนิวตรอนใหชาลง เพื่อใหอัตราการเกิดปฏิกิริยาชา ลง สวนท่ีทาํ หนา ท่คี วบคุมการเคลอื่ นท่ขี องนิวตรอนใหชาลงในเตาปฏิกรณปรมาณู เรียกวา มอเดอเร เตอรหรือตัวชะลอความเร็ว ซ่ึงทําดวยแกรไฟต หรือ Heavy water (D2O) สวนท่ีทําหนาที่ควบคุม ปริมาณนิวตรอนท่ีเกิดข้ึนไมไดมากเกินไปหรือควบคุมอัตราการเกิดปฏิกิริยาลูกโซในเตาปฏิกรณปรมาณู มาใชประโยชนในทางสันติ เชน ใชในการผลิตไอโซโทปกัมมันตรังสีสําหรับใชในการแพทย การเกษตร และอุตสาหกรรม สวนพลังงานความรอนท่ีไดจากปฏิกิริยาฟชชันที่ถูกควบคุมสามารถนําไปใชผลิต กระแสไฟฟาได 2. ปฏกิ ริ ยิ าฟว ชนั (Fussion reaction) คอื ปฏกิ ิรยิ านิวเคลียรทีน่ วิ เคลยี สของธาตเุ บา หลอมรวมกันเขาเปน นิวเคลียสทีห่ นักกวา และมีการปลอ ยพลงั งานนิวเคลยี รออกมา ( พลังงานเกดิ ข้ึน เกดิ จากมวลสว นหน่ึงท่หี ายไป ) พลังงานจากปฏกิ ริ ิยานวิ เคลียรฟ ว ชันมีคา มากกวาพลังงานจาก ปฏกิ ริ ยิ านิวเคลยี รฟ ชชันเมอื่ เปรยี บจากมวลสวนทีเ่ ขาทําปฏกิ ริ ยิ า ปฏิกิรยิ าฟวชนั ที่รจู ักกันในนาม ลกู ระเบดิ ไฮโดรเจน (Hydrogen bomb) คอื ปฏกิ ริ ยิ าดังน้ี 2 H+ 1 H → 4 He+ 1 n+พลงั งาน เชื่อ 1 3 2 0 กนั วา พลังงานจากดวงอาทิตยเกดิ จากปฏกิ ริ ิยานวิ เคลยี รฟ วชนั คอื นิวเคลยี สของไฮโดรเจน 4 ตัว หลอมรวมกันไดน ิวเคลยี สของฮเี ลยี ม อนุภาคโพสติ รอน มมี วลสวนหนึ่งหายไป มวลสวนหายไป 46
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ เปลย่ี นไปเปน พลังงานจาํ นวนมหาศาล 4 1 H → 4 He+2+ 0 e+พลงั งาน ปฏกิ ริ ิยานิวเคลียรฟ วชันจะ 1 2 1 เกิดขน้ึ ไดจ ะตอ งใชค วามรอ นเร่มิ ตน สงู มาก เพ่ือเอาชนะแรงผลกั ระหวางนวิ เคลียสท่จี ะเขา รวมตวั กนั ประมาณกนั วา จะตอ งมอี ณุ หภูมิถงึ 2 x 108 °C ความรอ นอาจไดจ ากปฏกิ ิรยิ าฟชชนั เชน ระเบิด ไฮโดรเจนจะตองใชความรอ นจากระเบดิ ปรมาณูเปน ตวั จุดชนวน 4.6.4 เทคโนโลยที เ่ี กยี่ วขอ งกบั การใชส ารกมั มนั ตรงั สี สารกมั มันตรังสี สามารถนาํ ไปใชป ระโยชนในหลายๆ ดา น ดังน้ี 1. ดานธรณีวิทยา มีการใช C-14 คํานวณหาอายุของวัตถุโบราณ หรืออายุของซากดึกดํา บรรพซ่ึงหาไดดังน้ี ในบรรยากาศมี C-14 ซ่ึงเกิดจากไนโตรเจนรวมตัวกับนิวตรอนจากรังสีคอสมิก เกิดปฏิกิริยาดังน้ี 14 N + 1 n → 14 C+ 1 H C-14 ที่เกิดข้ึน จะทําปฏิกิริยากับกาซออกซิเจน 7 0 6 1 กลายเปน 14CO2 ซ่ึงอยูปนกับ 12CO2 ดังนั้นในอากาศที่หายใจเขาไปจึงมี 14CO2 ปะปนอยูดวย และ 14CO2 ที่เกดิ ขน้ึ นพี้ ชื ไมไ ปในกระบวนการสงั เคราะหแสงดว ยสตั วกนิ พชื คนกินสตั วแ ละพืชในขณะที่ พชื หรอื สตั วย งั มีชีวิตอยู C-14 จะถูกรับเขาไปและขับออกตลอดเวลา ทําใหปริมาณ C-14 ในส่ิงมีชีวิต มีปริมาณคงที่ เมื่อส่ิงมีชีวิตตายลง การรับC-14 เขาสูรางกายก็จะสิ้นสุดลง และ C-14 มีการ สลายตัวทําใหปริมาณ C-14 มีปริมาณลดลงเร่ือย ๆ ตามคร่ึงชีวิตของ C-14 ซึ่งเทากับ 5730 ป ดังน้ันถาทราบอัตราการสลายตัวของ C-14 ในขณะที่ยังมีชีวิตอยูและทราบอัตราการสลายตัวในขณะท่ี ตองการคํานวณอายุวัตถุนั้น ก็สามารถทํานายอายุได เชน ซากสัตวโบราณชนิดหนึ่งมีอัตราการ สลายตัวของ C-14 ลดลงไปครึ่งหนึ่งจากของเดิมขณะท่ียังมีชีวิตอยู เน่ืองจาก C-14 มีครึ่งชีวิต 5730 ป จงึ อาจสรปุ ไดว า ซากสตั วโบราณชนดิ นั้นมีอายปุ ระมาณ 5730 ป 2. ดานการแพทย เชน ใช 131 I ใชศึกษาความผิดปกติของตอมไธรอยด 24 Na ใช 53 11 ตรวจอัตราการไหลเวียนของโลหิต 198 Au ใชตรวจตับและไขกระดูก 9493Tc ใชตรวจหัวใจ ตับ ปอด 79 2670Co และ 226 Ra ใชร กั ษาโรคมะเร็ง เปน ตน 88 3. ดานเกษตรกรรม มีการใชธาตุกัมมันตรังสีติดตามระยะเวลาหมุนเวียนแรธาตุในพืชโดย เริ่มตนจากการดูดซึมรากจนกระท่ังถึงการคายออกท่ีใบ หรือใชศึกษาความตองการแรธาตุของพืช เชน ใช 32 P ศึกษาวา พืชตอ งการเอาไปใชใ นสว นใดบาง เปน ตน นอกจากนั้นยังมกี ารใชรงั สใี นการปรับปรุง 15 47
เคมี (ครแู นน) สมบตั ิของธาตแุ ละสารประกอบ เมล็ดพันธุพืชใหไดพันธุกรรมตามตองการ โดยการนําเมล็ดพันธุพืชมาปรับปรุงเมล็ดพันธุพืชใหได พนั ธกุ รรมตามตอ งการ โดยการนาํ เมล็ดพันธพุ ืชมาอาบรังสนี วิ ตรอนเพอื่ ใหกลายพนั ธุ 4. ดานอุตสาหกรรม มีการใชไอโซโทปกัมมันตรังสีตรวจหารอยตําหนิในโลหะ เชน ใช ตรวจหารอยแตกราวของโลหะ มีการนําสารกัมมันตรังสีของหินและดินที่เจาะขึ้นมา ใชตรวจสอบวาได ขุดเจาะลงไปถึงไหนแลว โดยการตรวจสอบกัมมันตรังสีของหินและดินที่เจาะขึ้นมา ใชตรวจหารอยรั่ว ของทอขนสงของเหลว เชน นํ้ามัน โดยผสมไอโซโทปกัมมันตรังสีกับของเหลวที่จะสงไปตามทอแลว ติดตามวัดการแผรังสี ใชวัดความหนาของวัตถุ เชน ความหนาของแผนโลหะ กระดาษ พลาสติก เนื่องจากรังสีแตละชนิดมีอํานาจทะลุผานวัตถุไดไมเทากัน ดังนั้นเม่ือผานรังสีไปยังแผนวัตถุแลววัด ความสามารถในการดูดซับรังสีของวัตถุนั้นดวยเครื่องไกเกอรมูลเลอรเคารเตอร เปรียบเทียบจํานวน นับกบั ตารางขอมูลก็จะทําใหทราบความหนาของวัตถุไดหรือใชควบคุมความหนาของวัตถุใหเทากันได ใช เปน สารตดิ ตามกลไกการเกิดพลาสติกและเสนใยสังเคราะห เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการทําอัญมณมี กี ารใช รงั สีฉายไปบนอัญมณี เพ่ือใหอญั มณีเปลย่ี นสี จะทาํ ใหอ ัญมณมี ีสสี นั สวยงามขึน้ มรี าคาแพงขนึ้ 5. ดานการถนอมอาหาร ใชรังสีแกมมาที่ไดจาก 60 Co ในการถนอมอาหารใหมีอายุ 27 ยาวนานขนึ้ เพราะรงั สแี กมมาจะชว ยทําลายแบคทีเรียและรงั สแี กมมาจะไมต กคางในอาหารอีกดว ย 6. ดานวิเคราะหว จิ ยั มีการใชธาตุกัมมันตรงั สีศึกษากลไกการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี เชน ศกึ ษา วา ปฏกิ ริ ิยาเคมีผนั กลบั ไดห รอื ไม หรอื ศึกษาปฏิกิริยาเคมีหนึง่ เกิดข้นึ อยา งไร เกิดขนึ้ กี่ขัน้ เปนตน ตัวอยาง การเผาหินปูน ( CaCO3 ) ในภาชนะปดจะไดแคลเซียมออกไซด ( CaO ) และกาซ คารบอนไดออกไซด ( CO2 ) ปรากฏวาไมสามารถเผาให CaCO3 สลายตัวหมดได เน่ืองจาก CaO ทําปฏิกิริยากับ CO2 กลับไปเปน CaCO3 ไดอีก ทราบไดเน่ืองจากเมื่อเติม CO2 ที่มี C-14 ซ่ึง เปน ไอโซโทปกัมมันตรงั สีปรากฏวา เกิด CaCO3 ท่มี ี C-14 แสดงวาการเผา CaCO3 ทไ่ี มหมดเพราะ เปนปฏกิ ริ ยิ าผนั กลับได แบบฝึ กหดั 1. จงเขียนสัญลกั ษณน วิ เคลยี รของอนภุ าคตอไปน้ี ข. อนุภาคบตี า..................................... 1.1 อนุภาคแอลฟา.......................... 48
เคมี (ครแู นน) สมบตั ขิ องธาตแุ ละสารประกอบ 1.3 อนภุ าคโพซติ อน............................... 2. ธาตุใดตอไปนไี้ มม ไี อโซโทปทเ่ี สถียรในธรรมชาติ 2.1 แฟรนเซยี ม................................................. 2.5 คารบอน ............................................ 2.2 นีอออน ..................................................... 2.6 ทอเรยี ม ............................................. 2.3 ตะกั่ว ....................................................... 2.7 เรเดียม .............................................. 2.4 โซเดยี ม .................................................. 2.8 พอโลเนยี ม ........................................ 3. จงเขยี นสมการตอไปนใ้ี หสมบรู ณ 27 0 ………………… + +1 e 3.1 14 Si 3.2 66 Cu 66 Zn + ……………………… 29 30 27 4 30 3.3 13 Al + 2 He 14 Si + ……………………… 14 13 3.4 6 C 6 C + ………………………. 226 226 3.5 89 Ac 88 Ra + ……………………. 226 222 3.6 89 Ac 87 Fr + ……………………. 4. ไอโอดนี -131 มคี รึง่ ชีวติ 8 วัน จํานวน 10 g เมอื่ เวลาผา นไปกีว่ ันจงึ จะมไี อโอดีน -131 เหลอื 2.5 g ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… 49
Search