Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ที่สุดเเห่งธรรมถึงได้ด้วยความเคารพ 3

ที่สุดเเห่งธรรมถึงได้ด้วยความเคารพ 3

Published by Pareploy, 2021-01-10 07:24:01

Description: หลวงพ่อทัตตชีโว

Keywords: religion

Search

Read the Text Version

ความหมายของสามัญญผล ความย่อของสามัญญผลสตู ร สามัญญผลเบอ้ื งต้น... ยกตนจากฐานะเดมิ ศรัทธาอนั ประกอบดว้ ยปญั ญา น�ำมาสู่การบวช สิ่งใดพงึ กระทำ� และสิ่งใด พงึ ละเวน้ เมอ่ื เขา้ มาบวชใน พระพุทธศาสนา สามัญญผลเบ้ืองกลาง... สยบนวิ รณธรรมทัง้ ปวง สามัญญผลเบอื้ งสูง...เขา้ ถงึ คณุ วเิ ศษและขจัดกิเลส ไปตามล�ำดบั บทสรุปสามญั ญผลสูตร... คุณลักษณะของพระสงฆ์ทีด่ ี ในพระพุทธศาสนา www.kalyanamitra.org

ความหมายของสามัญญผล เม่ือเราทราบแล้วว่า พระสงฆ์คือใครและมีความส�ำคัญต่อ ความเส่ือมและความเจริญของพระพุทธศาสนาอย่างไร ต่อไปเรา จะไดเ้ ข้าสู่ ข้อวัตรปฏบิ ัติของพระสงฆ์ ทพี่ ระพทุ ธองคไ์ ดต้ รัสไว้เป็น มรดกธรรม และอานิสงส์หรือผลท่ีจะได้รับเมื่อพระสงฆ์ได้ลงมือ ปฏบิ ตั ขิ อ้ วตั รทง้ั หลายเหลา่ นนั้ ไมเ่ พยี งแตพ่ ทุ ธศาสนกิ ชนเท่านั้นท่ีพึง ทราบ แม้แต่ตัวของพระสงฆ์เองย่ิงต้องตระหนักทราบเป็นอย่างย่ิง เป็นบุญลาภของพวกเราอย่างย่ิง ที่พระสงฆ์ในกาลก่อนได้ ให้ความส�ำคัญกับการศึกษาทรงจ�ำพระธรรมวินัย ตั้งใจประพฤติ ปฏบิ ตั ธิ รรม รกั ษาและสืบทอดพระสัทธรรมโดยเอาชวี ติ เปน็ เดมิ พนั จนกระท่ังท�ำให้พระสัทธรรมค�ำสอนมาถึงมือของพวกเราในวันน้ี ซ่ึง พระสูตรส�ำคัญที่กล่าวถึง ข้อวัตรปฏิบัติและอานิสงส์ที่จะได้รับ นคี้ อื สามัญญผลสตู ร นน่ั เอง ค�ำว่า สามัญญผล ในสามัญญผลสูตร หมายถึง ผลหรือ อานิสงส์ของความเป็นสมณะ หรือ ผลดีของการเป็นนักบวชใน พระพุทธศาสนา 40 ทสี่ ดุ แหง่ ธรรม ถึงไดด้ ้วยความเคารพ www.kalyanamitra.org

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงผลดีหรืออานิสงส์ของการบวช ในพระพุทธศาสนา ท่ีพระภิกษุสงฆ์จะพึงได้รับว่า มีเป็นข้ัน ๆ ตาม ล�ำดับ เริ่มจากอานิสงส์ที่เห็นประจักษ์ได้ในปัจจุบันคือ ได้รับการ ยกย่องเคารพนับถือจากบุคคลโดยท่ัวไป มีความสงบกาย วาจา ใจ มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญาพิจารณาไตร่ตรองเร่ืองต่าง ๆ รอบคอบ ขนึ้ มคี วามเขา้ ใจเร่อื งโลกและชวี ิตอย่างแท้จริง อันเปน็ เหตุปจั จัยให้ สามารถเป็นกัลยาณมิตรให้ตนเอง ครองชีวิตโดยถูกต้องตามท�ำนอง คลองธรรม ไม่ตกอยู่ใตอ้ �ำนาจกเิ ลส และสามารถเปน็ กัลยาณมติ รให้ ผู้อื่น คือ เป็นผู้ชี้ทางถูกให้แก่บุคคลใกล้ชิดรอบข้างและชาวโลกได้ ตลอดไป จนบรรลุถงึ ข้นั สงู สดุ คือ มรรคผลนพิ พานในที่สุด หากยังไม่สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานในชาตินี้ได้ ประสบการณ์และบุญกุศลทั้งปวงที่นักบวชได้บ�ำเพ็ญไว้ในปัจจุบัน ชาติก็ไม่สูญเปล่า ย่อมส่ังสมไว้เป็นรากฐานหรือกองทุนเพื่อรอเวลา ออกผลในชาตภิ พต่อ ๆ ไป สมดังพทุ ธภาษติ ทีว่ า่ “บคุ คลอยา่ ส�ำคัญ วา่ บญุ เลก็ นอ้ ยคงจกั ไมม่ าถงึ แมห้ มอ้ นำ้� ยงั เตม็ ดว้ ยนำ�้ ทตี่ กลงมาทลี ะ หยาด ๆ ได้ ฉันใด คนมีปัญญา เม่ือส่ังสมบุญแม้ทีละเล็กทีละน้อย ก็เต็มด้วยบญุ ได้ ฉันนน้ั ”๑๑ เม่อื บญุ เต็มเป่ียมแลว้ ยอ่ มเป็นเหตใุ ห้ได้ บรรลุมรรคผลนพิ พาน อนั เป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา ๑๑ ขุ.ธ. ๒๕/๑๒๒/๖๙ (แปล.มจร) 41 สังฆคารวตา เคารพในพระสงฆ์ www.kalyanamitra.org

ความยอ่ ของสามญั ญผลสูตร ในปลายสมัยพทุ ธกาล พระสมั มาสัมพุทธเจ้าประทบั ณ สวน อมั พวนั ของหมอชวี กโกมารภัจจ์ ในเขตกรงุ ราชคฤห์ เมืองหลวงของ แคว้นมคธ ครัง้ นน้ั พระเจ้าอชาตศัตรู พระเจา้ แผ่นดินแควน้ มคธ ได้ เสด็จไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อกราบทูลถามปัญหา ซ่ึงค้าง พระทัยพระองค์มานาน ปัญหาน้ันคือ สมณพราหมณ์ หรือผู้ที่เป็น นักบวชท้ังหลายน้ัน ได้รับประโยชน์อะไรจากการบวช ท่ีสามารถ เห็นประจักษ์ในปัจจุบันชาติบ้าง ด้วยเหตุท่ีพระเจา้ อชาตศัตรูได้ทรง กระท�ำปิตุฆาต ปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นพระราชบิดา เพราะหลงเช่ือและยกย่องบูชานักบวชอย่างพระเทวทัต แต่ในขณะ เดยี วกนั กท็ รงพศิ วงนกั หนาวา่ เหตใุ ดพระเทวทตั จงึ ไดช้ กั นำ� พระองค์ ให้ก่อกรรมท�ำบาปอย่างอุกฤษฏ์ถึงปานน้ัน และทรงมีค�ำถามเกิด ข้ึนในพระทัยเสมอว่า นักบวชในแว่นแคว้นของเราน้ี ออกบวชเพื่อ วตั ถุประสงค์อะไร และมีขอ้ วตั รปฏิบตั ิอยา่ งไรบ้าง แม้จะทรงทราบดีว่า ในกลุ่มคนหมู่มากย่อมมีทั้งคนดีและ เลว แม้ผเู้ ปน็ นกั บวชกเ็ ช่นกนั ยอ่ มมีท้ังนกั บวชทีท่ รงศีลและนักบวช ทศุ ลี แต่จะทราบได้อยา่ งไรว่า นักบวชรปู ใดทรงศีลหรอื ทุศลี เพราะ มีนักบวชอยู่มากมาย มคี วามเช่ือ แนวคดิ แนวการสงั่ สอน ตลอดจน แนวปฏิบัติแตกต่างกันออกไปอีก สิ่งเหล่าน้ีย่อมท�ำให้พระองค์และ 42 ทสี่ ุดแห่งธรรม ถงึ ได้ดว้ ยความเคารพ www.kalyanamitra.org

ข้าราชบริพารเกิดความสับสน และไม่รู้ว่าจะหาเกณฑ์มาตรฐานของ ความเป็นนักบวชที่ทรงศีลทรงธรรมได้อย่างไร พระเจ้าอชาตศัตรูซึ่ง แม้ได้เสด็จไปถามครูเจ้าลัทธิทง้ั ๖ ท่าน๑๒ ซง่ึ มชี ่ือเสียงมากในยุคนัน้ มาแล้ว แต่ก็ได้รับค�ำตอบที่ไม่กระจ่างแจ้งนัก จึงได้เสด็จไปเข้าเฝ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพือ่ ทูลถามปัญหาดังกล่าว พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าไดท้ รงแสดงประโยชน์ หรอื คุณคา่ ของ การบวชต้ังแต่ประการแรกสุด ซ่ึงจัดเป็น สามัญญผลเบื้องต้น คือ การยกฐานะของผู้บวชเอง โดยเปลี่ยนจากสถานภาพเดิม ไปสู่ สถานภาพของบุคคลทค่ี วรแก่การบูชากราบไหว้ ก่อนทพ่ี ระสมั มา สัมพุทธเจ้าจะตรัสถึงสามัญญผลเบื้องกลางและเบ้ืองสูงในระดับต่อ ไปน้ัน ได้ทรงแสดงถึงข้อปฏิบัติที่นักบวชต้องปฏิบัติให้บริบูรณ์ บริสุทธิ์ เพื่อการบรรลุสามัญญผลแต่ละข้ัน ข้อปฏิบัติส�ำคัญที่ทรง แสดงไว้ในพระสูตรนี้ คือ การถึงพร้อมด้วยศีล การคุ้มครองทวาร ในอินทรีย์ทั้งหลาย การมีสติสัมปชัญญะ และการเป็นผู้สันโดษ ๑๒ ครเู จา้ ลทั ธทิ ั้ง ๖ ท่าน ได้แก่ ๑) ปูรณกสั สปะ เปน็ ผู้มคี วามเห็นว่า วญิ ญาณเป็นสิ่งเที่ยงแทถ้ าวร ไมม่ ี การเปล่ียนแปลง ไม่เชื่อท้ังเหตุและผลของการกระท�ำ กล่าวคือ ไม่เชื่อบุญ บาป และกฎแห่งกรรมนั่นเอง ๒) มักขลิโคสาล เปน็ ผู้มคี วามเห็นวา่ วญิ ญาณเป็นส่งิ เที่ยงแท้ถาวร ไมม่ ีการเปลีย่ นแปลง สิ่งทดี่ ีและไม่ดีใน ชีวติ ล้วนเกดิ ขึ้นเพราะโชค ว่าดหี รอื ร้าย และเมื่อเวยี นเกิดเวยี นตายไปเรื่อย ๆ กจ็ ะบริสทุ ธไิ์ ด้เอง ๓) อชิต เกสกัมพล เป็นผ้มู คี วามเห็นตรงขา้ มกบั สมั มาทิฏฐิ ๑๐ ประการ กล่าวคือ ทานไม่มีผล การบชู าไม่มีผล โลก นี้โลกหนา้ ไมม่ ี เป็นตน้ และสัตว์ท้งั หลายส้ินสดุ ลงท่ีความตายในชาติน้ี ไมม่ ีส่งิ ใดเหลอื ๔) ปกุทธกัจจายนะ เปน็ ผู้มีความเห็นวา่ สภาวะท้งั ๗ คือ ดิน น้�ำ ลม ไฟ สุข ทุกข์ และชวี ะ เป็นสิ่งไม่หว่ันไหว เท่ยี งแท้ นิรนั ดร์ ไม่ขึน้ กบั การกระท�ำใด ๆ ทง้ั ดแี ละช่ัว ๕) นิครนถนาฏบุตร เปน็ ผ้มู มี คี วามเห็นว่า ความจรงิ มิไดม้ ีเพียงหนงึ่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ การเปลื้องผ้าและทรมานตน รวมถึงข้อปฏิบัติในเรื่องอหิงสา (ความไม่เบียดเบียน) เปน็ หนทางหลดุ พ้น ๖) สัญชยั เวลฏั ฐบตุ ร เป็นผมู้ ีความเห็นว่า ไมม่ ีความจรงิ อันเปน็ สัจจะ มุ่งการกลา่ วถึง สง่ิ ท่ไี ม่ควรพยากรณ์ ไดแ้ ก่ โลกเทยี่ งหรือไม่เท่ยี ง และกลา่ วซัดส่ายไปมา เชน่ อย่างน้กี ม็ ิใช่ อยา่ งนน้ั ก็มิใช่ อย่างอื่นกม็ ิใช่ เป็นตน้ สังฆคารวตา เคารพในพระสงฆ์ 43 www.kalyanamitra.org

จากน้ันพระพุทธองค์จึงได้ตรัสถึงสามัญญผลเบื้องกลาง อันได้แก่ การบรรลุสมาธิในระดับตา่ ง ๆ ต้งั แต่ปฐมฌาน ทุตยิ ฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ซึ่งล้วนท�ำให้จิตใจม่ันคงและสงบสุข และสามัญญผล เบ้ืองสูง คือ การบรรลุวิชชา ๘ ประการ อันได้แก่ วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิญาณ อิทธิวิธญาณ ทิพพโสตธาตุญาณ เจโตปริยญาณ ปพุ เพนวิ าสานสุ สตญิ าณ จตุ ปู ปาตญาณ และอาสวกั ขยญาณตามลำ� ดบั ในท่สี ุดแห่งพระธรรมเทศนา พระเจ้าอชาตศัตรูทรงปฏญิ าณ พระองค์เป็นอุบาสก ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นท่ีพ่ึงตลอดพระชนม์ชีพ ท้ังกราบทูลขอขมาในการท่ีปลงพระชนม์ชีพพระเจ้าพิมพิสาร ผู้เป็น พระราชบิดา ซ่ึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสรับการขอขมานั้น และ ภายหลงั ทพี่ ระเจา้ อชาตศตั รเู สดจ็ กลบั ไปแลว้ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ได้ ตรสั กับภิกษุท้ังหลายวา่ ถา้ พระเจ้าอชาตศตั รยู ังไม่ทรงปลงพระชนม์ พระราชบดิ า จะตอ้ งไดบ้ รรลธุ รรมเปน็ พระโสดาบนั ในค่ำ� คนื นัน้ เอง 44 ทสี่ ุดแห่งธรรม ถึงได้ด้วยความเคารพ www.kalyanamitra.org

เมอื่ ผู้บวชตง้ั ใจปฏิบัติตาม พระธรรมวินัยอยา่ งจรงิ จงั จริงใจ ย่อมไดร้ บั ผลของการบวช ท้งั เบือ้ งตน้ ทา่ มกลาง และทสี่ ุดคอื บรรลมุ รรคผลและนพิ พาน www.kalyanamitra.org

สามญั ญผลเบอื้ งตน้ ...ยกตนจากฐานะเดิม เมื่อได้ทราบถึงความย่อของสามัญญผลสูตรในข้างต้นแล้ว เพื่อให้เกิดความกระจ่างมากขึ้นในผลดี หรืออานิสงส์ของความเป็น สมณะ และขอ้ วัตรท่ีพงึ ปฏิบัตขิ องนักบวชในพระพุทธศาสนา เราจะ มาพจิ ารณาถงึ เนอ้ื ความท่ีปรากฏในพระสูตรนด้ี ว้ ยกนั พระเจา้ อชาตศตั รู ครน้ั ไดร้ บั พทุ ธานญุ าตใหท้ รงถามปญั หาได้ แลว้ จึงทรงเริม่ ปญั หาวา่ “อาชพี ทอ่ี าศัยศิลปะมากมายเหลา่ นี้ คือ พลชา้ ง พล มา้ พลรถ พลธนู พนกั งานเชญิ ธง พนกั งานจดั กระบวนทพั พวก จัดส่งเสบียง ราชนิกุลผู้ทรงเป็นนายทหารระดับสูง พลอาสา ขนุ พล พลกลา้ พลสวมเกราะ พวกทาสเรือนเบี้ย พวกท�ำขนม ชา่ งกลั บก พนกั งานเคร่ืองสรง พวกพอ่ ครัว ชา่ งดอกไม้ ช่าง ยอ้ ม ช่างหูก ช่างจักสาน ชา่ งหม้อ นักค�ำนวณ นกั บัญชี หรือ อาชีพที่อาศัยศิลปะอย่างอื่นท�ำนองนี้ คนเหล่านั้นได้รับผล จากอาชีพที่อาศัยศิลปะที่เห็นประจักษ์มาเลี้ยงชีพในปัจจุบัน จึงบ�ำรุงตนเอง บิดามารดา บุตรภรรยา มิตรสหายให้เป็นสุข บำ� เพญ็ ทกั ษณิ าในสมณพราหมณซ์ ง่ึ มผี ลมาก เปน็ ไปเพอ่ื ใหไ้ ด้ อารมณด์ มี สี ขุ เปน็ ผลใหเ้ กิดในสวรรค์ พระองค์จะทรงบัญญตั ิ ผลแหง่ ความเปน็ สมณะทเี่ หน็ ประจกั ษใ์ นปจั จบุ นั ไดเ้ ชน่ นน้ั บา้ ง หรอื ไม่ พระพทุ ธเจา้ ข้า” ๑๓ ๑๓ ที.สี. ๙/๑๘๒/๖๐-๖๑ (แปล.มจร) 46 ท่ีสุดแห่งธรรม ถึงได้ด้วยความเคารพ www.kalyanamitra.org

ในการตรัสตอบปัญหาครั้งน้ี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงใช้ 47 วธิ ี การตอบปญั หาโดยการยอ้ นถาม ทเี่ รยี กวา่ ปฏปิ จุ ฉาพยากรณ์๑๔ เพอ่ื ใหพ้ ระเจา้ อชาตศตั รสู ามารถตระหนกั ในสามญั ญผลดว้ ยพระองค์ เอง โดยตรัสตอบว่า “บัญญัติได้ มหาบพิตร แต่ในเรื่องนี้ อาตมภาพขอ ยอ้ นถามพระองคก์ อ่ น โปรดตอบตามพอพระทยั พระองคท์ รง เขา้ พระทยั เรือ่ งนีว้ า่ อยา่ งไร คอื สมมติวา่ พระองค์มบี ุรุษทาส กรรมกรผตู้ นื่ กอ่ น นอนทหี ลงั เฝา้ รบั พระบญั ชาตามรบั สงั่ คอย ประพฤติให้ถูกพระทัย ต้องเพ็ดทูลอย่างไพเราะ คอยสังเกต พระพักตร์ เขาคิดว่า น่าอัศจรรย์ผลบุญนัก แท้จริง พระเจ้า อชาตศตั รู เวเทหบิ ุตร พระองค์น้ที รงเป็นมนษุ ย์ แม้เรากเ็ ปน็ มนุษย์ แต่พระองค์ทรงเอิบอิ่มพร่ังพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ดุจ เทพเจ้า ส่วนเราเป็นทาสกรรมกรของพระองค์ ต้องต่ืนก่อน นอนทีหลัง เฝ้ารับพระบัญชาตามรับส่ัง คอยประพฤติให้ถูก พระทัย ต้องเพ็ดทูลอย่างไพเราะ คอยสังเกตพระพักตร์ เรา ควรท�ำบุญไว้จะไดเ้ ปน็ เหมือนพระองคท์ ่าน ทางทีด่ เี ราพึงโกน ผมและหนวด นงุ่ หม่ ผา้ กาสาวพสั ตร์ ออกจากเรอื นไปบวชเปน็ บรรพชิต ตอ่ มา เขาโกนผมและหนวด นุ่งห่มผา้ กาสาวพัสตร์ ออกจากเรือนไปบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้วเป็นผู้ส�ำรวม กาย วาจา ใจ อยสู่ นั โดษดว้ ยอาหารพอประทงั ความหวิ และผา้ พอคมุ้ กาย ยนิ ดยี งิ่ ในความสงดั ถา้ ราชบรุ ษุ กราบทลู พฤตกิ ารณ์ ของเขาอยา่ งนวี้ า่ “ขอเดชะ พระองค์ทรงทราบเถิดวา่ บุรุษผู้ เคยเปน็ ทาสกรรมกรของพระองคท์ ต่ี อ้ งตนื่ กอ่ น นอนทหี ลงั ...... ๑๔ การตอบปัญหาของพระสัมมาสัมพุทธเจา้ มี ๔ แบบ ได้แก่ ๑) เอกงั สพยากรณ์ คอื การตอบปัญหาแง่ เดยี ว ๒) วิภัชพยากรณ์ คอื การตอบปญั หาโดยการจำ� แนกธรรม ๓) ปฏิปจุ ฉาพยากรณ์ คือ การตอบปญั หา โดยการย้อนถาม ๔) ฐปนยี พยากรณ์ คือ การงดตอบ เพราะเปน็ ปญั หาทีไ่ มค่ วรตอบ สังฆคารวตา เคารพในพระสงฆ์ www.kalyanamitra.org

www.kalyanamitra.org

(บัดน้)ี เขาโกนผมและหนวด นงุ่ หม่ ผา้ กาสาวพัสตร์ ออกจาก เรอื นไปบวชเปน็ บรรพชติ เมอ่ื บวชแลว้ เปน็ ผสู้ ำ� รวมกาย วาจา ใจ......ยินดียิ่งในความสงัด” พระองค์จะตรัสอย่างน้ีเชียวหรือ ว่า “เฮย้ เจา้ คนนัน้ จงมาหาขา้ จงเป็นทาสกรรมกรท่ีต้องตืน่ กอ่ น นอนทหี ลัง คอยรบั คำ� สั่ง คอยประพฤตใิ หถ้ ูกใจ พดู อยา่ ง ไพเราะ คอยเฝ้าสังเกตดหู นา้ ตามเดิม”๑๕ พระเจ้าอชาตศัตรูจึงทูลปฏิเสธว่า “จะท�ำอย่างน้ันไม่ได้ พระพุทธเจ้าข้า ท่ีจริง หม่อมฉันเสียอีกควรจะไหว้ ลุกรับ เชื้อเชิญ ให้เขานง่ั บำ� รุงด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจยั เภสชั บรขิ าร (ยารกั ษาโรคและเครอ่ื งยา) และจดั การรกั ษา ปกปอ้ ง คมุ้ ครอง เขาอย่างชอบธรรม”๑๖ ครั้นเม่ือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถามพระเจ้าอชาตศัตรูว่า ทรงพบค�ำตอบหรอื ยังวา่ ผลของการบวชมีหรือไม่ พระเจา้ อชาตศัตรู ก็ทรงตอบอย่างม่ันพระทัยว่า ผลของการบวชท่ีเห็นในปัจจุบันมีอยู่ อย่างแนน่ อน พระสมั มาสมั พุทธเจา้ จึงตรัสว่า นี้เปน็ เพียงสามญั ญผล ขอ้ แรกเทา่ นนั้ ยงั มขี อ้ อนื่ ๆ อกี มาก เปน็ การจดุ ประกายความใครร่ ขู้ อง พระเจา้ อชาตศตั รใู หล้ กุ โพลงขน้ึ จนอดไมไ่ ดท้ จ่ี ะทลู ถามถงึ สามญั ญผล ขอ้ อน่ื ๆ อีกต่อไป ๑๕ ท.ี ส.ี ๙/๑๘๓/๖๑-๖๒ (แปล.มจร) 49 ๑๖ ที.ส.ี ๙/๑๘๔/๖๒ (แปล.มจร) สงั ฆคารวตา เคารพในพระสงฆ์ www.kalyanamitra.org

แม้ครั้งท่ีสอง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังทรงใช้วิธีปฏิปุจฉา พยากรณ์ ใหพ้ ระเจา้ อชาตศตั รทู รงขบคดิ อกี ครงั้ หนงึ่ วา่ ถา้ หากชาวนา ผู้มั่งคั่ง เคยเสียภาษีให้แก่พระเจ้าอชาตศัตรู ได้ออกบวชเป็น บรรพชิต มีวัตรปฏิบัติเป็นนักบวชท่ีดีพร้อมทุกประการ พระเจ้า อชาตศัตรูยังจะมีบัญชา ให้ชาวนาผู้น้ันกลับมาท�ำงานเพื่อเสียภาษี อากรเหมือนเดิมหรือไม่ พระเจ้าอชาตศัตรูก็ทรงตอบเหมือนในข้อ แรกว่า จะไม่ทรงท�ำเช่นนั้นเด็ดขาด แต่จะทรงให้ความเคารพกราบ ไหว้ จะถวายการตอ้ นรับอยา่ งเหมาะสม จะบ�ำรงุ ด้วยปจั จยั ๔ และ จะถวายความคุม้ ครองปอ้ งกันอยา่ งเปน็ ธรรมอีกดว้ ย จากปจุ ฉาและวสิ ชั ชนาระหวา่ งพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ และพระ เจา้ อชาตศตั รนู ี้ ทำ� ใหเ้ ราเหน็ วา่ ผลดขี องการบวชเปน็ สมณะในขน้ั ตน้ หรือสามัญญผลขัน้ ต้น กค็ อื การยกตนให้พ้นจากฐานะเดมิ น่ันคือ แมจ้ ะเปน็ เพยี งทาสกรรมกร หรอื พอ่ คา้ ชาวไร่ ชาวนา แตเ่ มอื่ บวชเปน็ บรรพชิตแล้ว กษัตริย์อย่างพระองค์ยังต้องให้ความเคารพกราบไหว้ ในขณะเดียวกันนั้น เรายังสามารถตรองเห็นค�ำสอนที่แฝงอยู่ใน คำ� ถามของพระสมั มาสัมพุทธเจ้าอกี วา่ ๑. คุณธรรมพ้ืนฐานที่ผู้บวชจะต้องมีคือ สัมมาทิฏฐิ หรือ ความเขา้ ใจถูกตอ้ ง บางทีใชว้ า่ ความเหน็ ถูก กล่าวคือ เห็นถูกวา่ ท�ำ ดีตอ้ งไดด้ ี ทำ� ช่ัวตอ้ งไดช้ ั่ว โลกนโ้ี ลกหนา้ มีจรงิ บุญ-บาปมีจริง บุญให้ ผลเป็นความสุข แต่บาปให้ผลเป็นความทุกข์ท้ังโลกนี้และโลกหน้า เหล่านเ้ี ปน็ ตน้ 50 ที่สดุ แหง่ ธรรม ถงึ ไดด้ ้วยความเคารพ www.kalyanamitra.org

๒. การบวชเปน็ หนทางหนงึ่ ในการสรา้ งบญุ บารมี เพราะบญุ สามารถเอ้ืออ�ำนวยให้คนเราเจริญก้าวหน้าท้ังทางโลกและทางธรรม ส่วนบาปนัน้ สง่ ผลใหช้ วี ติ คนเราตกตำ่� ลงเร่อื ย ๆ ๓. เมื่อบวชแลว้ ตอ้ งสำ� รวมกาย วาจา ใจ อยู่อย่างสนั โดษ รกั สงบ จริงอยูว่ า่ เมอื่ ใครก็ตามทเ่ี ขา้ มาบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว มี สทิ ธิ ในการรับการบ�ำรงุ ดว้ ยปจั จัย ๔ และการค้มุ ครองแล้ว แตใ่ น ขณะเดียวกัน ก็ตอ้ งมี หน้าที่ ท่ีพงึ ปฏิบตั เิ พ่ือใหส้ มกับสิทธนิ ั้น ๆ น่ัน คอื การสำ� รวมระวงั พอใจในปจั จยั อนั เปน็ เครอ่ื งดำ� รงชวี ติ ของสมณะ ตามสมควร ไมป่ รารถนาความฟงุ้ เฟอ้ รกั การปฏบิ ัติธรรม คำ� สอนที่แฝงอยใู่ นบทสนทนานี้ ขอ้ ที่ ๑ และ ๒ อยใู่ นระดบั ของความเห็นที่ถูกต้อง หรือสัมมาทิฏฐิของพระสงฆ์ผู้ที่เร่ิมเข้ามาสู่ ร่มผา้ กาสาวพสั ตร์ และเม่อื เขา้ มาแลว้ ต้องปฏิบตั ิตามในข้อที่ ๓ คอื สำ� รวมกาย วาจา ใจ อยอู่ ยา่ งสันโดษ และรักสงบ นี้เองคอื ขอ้ วตั ร ปฏิบัติเบื้องต้นท่ีพระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ให้แก่พระสงฆ์ผู้ท่ีเริ่มเข้า มาสูพ่ ระธรรมวนิ ัยนี้ ค�ำตอบของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นที่กระจ่างในพระทัย ของพระเจา้ อชาตศตั รูเปน็ อยา่ งยง่ิ ทรงรสู้ กึ เสมือนไดร้ ับน้�ำอมฤต จึง กระหายใคร่รทู้ จ่ี ะไดเ้ สพเพิ่มขนึ้ อีก พระเจ้าอชาตศตั รจู งึ ตรัสถามถงึ สามัญญผลทลี่ ะเอียดประณีตยิง่ ข้นึ ไปอกี สังฆคารวตา เคารพในพระสงฆ์ 51 www.kalyanamitra.org

ความเหน็ ถกู ในเรอื่ ง บญุ บาป โลกนี้ และโลกหนา้ ทำ� ให้เกิดศรัทธาในการออกบวช ยกฐานะตนสู่ผู้ควร แกก่ ารเคารพกราบไหว้ www.kalyanamitra.org

ศรัทธาอนั ประกอบดว้ ยปญั ญา... นำ� มาสกู่ ารบวช ผทู้ บี่ วชเขา้ มาในพระพทุ ธศาสนา มใิ ชบ่ วชเพราะถกู บงั คบั แต่ เปน็ เพราะมีศรทั ธาในพระธรรม และมีปญั ญาไตร่ตรองถึงสภาวะอนั แท้จรงิ ของชวี ิต จงึ ตัดสินใจเขา้ มาบวช ดังท่พี ระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าได้ ตรัสกับพระเจ้าอชาตศัตรูวา่ “คหบดี บตุ รคหบดี หรอื อนชุ น (คนผเู้ กดิ ภายหลงั ) ใน ตระกลู ใดตระกลู หนง่ึ ไดส้ ดบั ธรรมนน้ั แลว้ เกดิ ศรทั ธาในตถาคต เมอ่ื มศี รทั ธายอ่ มตระหนกั วา่ การอยคู่ รองเรอื นเปน็ เรอ่ื งอดึ อดั เปน็ ทางแหง่ ธลุ ี การบวชเปน็ ทางปลอดโปรง่ การที่ผคู้ รอง เรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ครบถ้วนดุจ สงั ขข์ ัด ไม่ใชท่ ำ� ได้ง่าย ทางท่ีดเี ราควรโกนผมและหนวดนุง่ ห่มผ้ากาสาวพัสตรอ์ อกจากเรอื น ไปบวชเปน็ บรรพชิต”๑๗ จากพระธรรมเทศนาท่ียกมาน้ี เราจะเห็นว่า สิ่งท่ีน�ำกลุ บตุ ร เข้ามาบวชในพระพทุ ธศาสนาน้ันมี ๓ ประการ คือ ๑. มีศรทั ธาในพระธรรมค�ำสั่งสอนของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ๒. มีปัญญาตรองเห็นโทษภัยในชีวิตฆราวาส ว่าท้ังคับแคบ และเป็นท่มี าของกเิ ลส ๓. มปี ญั ญาตรองเหน็ คณุ ของชวี ติ นกั บวช วา่ มโี อกาสประพฤติ พรหมจรรยไ์ ด้เตม็ ท่ี ๑๗ ท.ี สี. ๙/๑๙๑/๖๔ (แปล.มจร) สังฆคารวตา เคารพในพระสงฆ์ 53 www.kalyanamitra.org

๑๖ องฺ.สตฺตก. ๒๓/๗๐/๑๕๐ (แปล.มจร) 54 ทส่ี ดุ แห่งธรรม ถงึ ได้ดว้ ยความเคารพ www.kalyanamitra.org

นั่นหมายความว่า ศรัทธาอันเกิดข้ึนจากการฟังธรรม เป็น ปจั จยั แรกทจ่ี ดุ ประกายใหก้ ลุ บตุ รเกดิ ปญั ญา ซง่ึ เปน็ ปญั ญาในการ พิจารณาเห็นโทษภัยในชีวิตฆราวาสและเห็นคุณค่าของนักบวช ดังนั้นเมื่อกุลบุตรตัดสินใจเข้ามาบวช จึงเป็นการบวชท่ีมีเป้าหมาย อันน�ำไปสกู่ ารกำ� หนดเปา้ หมายในการบวชได้ ๒ ประการ คอื ๑. บวชเพ่อื ละบาปอกศุ ลทั้งปวง หรอื บวชเพือ่ ละกาม ๒. บวชเพ่อื ประพฤตพิ รหมจรรยใ์ หบ้ รสิ ทุ ธบ์ิ รบิ รู ณย์ งิ่ ๆ ขนึ้ ไป เมื่อมาถึงตอนนี้ เราคงเข้าใจมากข้ึนแล้วว่า เหตุใดการท�ำ หน้าที่กัลยาณมิตรของพระภิกษุสงฆ์ดังท่ีกล่าวไว้ในบทที่ผ่านมา จึง เปน็ เหตทุ ที่ ำ� ใหพ้ ระพทุ ธศาสนาเจรญิ รงุ่ เรอื ง ทงั้ นเี้ ปน็ เพราะวา่ ตราบ เท่าที่พระภิกษุสงฆ์ท�ำหน้าที่กัลยาณมิตรด้วยการเป็นต้นแบบและ แสดงพระสทั ธรรมอยเู่ นอื งนจิ ยอ่ มเปน็ เหตใุ หก้ ลุ บตุ รทงั้ หลายเกดิ ปัญญาไตร่ตรอง จนเกิดศรทั ธาเข้ามาบวชในพระพทุ ธศาสนา การท�ำหนา้ ทีก่ ัลยาณมติ ร 55 และเป็นตน้ แบบทีด่ ขี องพระภิกษุสงฆ์ ย่อมเป็นเหตุท�ำใหก้ ลุ บุตรเกดิ ศรทั ธา เขา้ มาบวชในพระพุทธศาสนา สังฆคารวตา เคารพในพระสงฆ์ www.kalyanamitra.org

สงิ่ ใดพึงกระทำ� และสิง่ ใดพึงละเวน้ ... เมอื่ เข้ามาบวชในพระพทุ ธศาสนา ก่อนท่ีพระผมู้ พี ระภาคเจา้ จะตรสั ถงึ สามัญญผลเบอ้ื งกลาง พระองคไ์ ดต้ รสั ถงึ ขอ้ วตั รปฏบิ ตั ทิ พี่ งึ กระทำ� รวมถงึ ขอ้ ทพ่ี งึ ละเวน้ สำ� หรบั ผู้ท่ีบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ซ่ึงเป็นการขยายความในข้อ ทีว่ ่าด้วย ความส�ำรวมกาย วาจา ใจ อยู่อยา่ งสนั โดษ รกั สงบ อย่าง เปน็ รปู ธรรม เพอื่ ใหพ้ ระเจา้ อชาตศตั รทู รงทราบถงึ สงิ่ ทคี่ วรกระทำ� และ ควรงดเว้นของนกั บวชในพระพทุ ธศาสนา ด้วยพระพุทธด�ำรัสท่ีว่า “เมอ่ื บวชแลว้ อยา่ งน้ีสำ� รวมดว้ ยการสงั วรในพระปาตโิ มกข์ เพียบพร้อมด้วยมารยาทและโคจร (การเที่ยวไป) เห็นภัยใน โทษแมเ้ พียงเลก็ นอ้ ย สมาทานศึกษาอย่ใู นสกิ ขาบท ประกอบ ด้วยกายกรรมและวจีกรรมอันเป็นกุศล มีอาชีวะบริสุทธิ์ สมบรู ณด์ ว้ ยศลี คมุ้ ครองทวารในอนิ ทรยี ท์ งั้ หลาย สมบรู ณด์ ว้ ย สตสิ ัมปชัญญะ (และ) เป็นผ้สู ันโดษ”๑๘ ๑. ส�ำรวมระวังในพระปาติโมกข์ หมายถึง เจตนาในการ สำ� รวมระวงั ตนใหป้ ระพฤตดิ งี าม โดยมวี ธิ ปี ฏบิ ตั อิ อกเปน็ ๓ หวั ขอ้ ดงั นี้ ๑.๑) ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร คือ เป็นผู้มี มารยาทงดงาม เปน็ ทตี่ ง้ั แหง่ ศรทั ธา ซงึ่ โดยมากมรี ายละเอยี ด ปรากฏอยใู่ น เสขยิ วตั ร๑๙ นอกจากนยี้ งั ไมพ่ งึ เทย่ี วไปในสถานท่ี ทไ่ี ม่ควรไป หรอื ทเี่ รามักเรียกวา่ สถานทีอ่ โคจร อาทิ แหลง่ ๑๘ ท.ี สี. ๙/๑๙๓/๖๕ (แปล.มจร) ๑๙ ศึกษาเพมิ่ เตมิ ในรายละเอียดของ เสขยิ วัตร ได้ใน ว.ิ มหา. ๒/๕๗๖-๖๕๔/๖๔๙-๗๓๕ (แปล.มจร) 56 ทสี่ ดุ แห่งธรรม ถึงไดด้ ้วยความเคารพ www.kalyanamitra.org

บนั เทงิ เรงิ รมย์ หา้ งสรรพสนิ คา้ เปน็ ตน้ อยา่ งไรกต็ าม สำ� หรบั บางสถานท่ี ถา้ เขาเชอ้ื เชญิ นมิ นต์ พระภกิ ษกุ ส็ ามารถไปปฏบิ ตั ิ หน้าที่ในฐานะนักบวชได้ แต่ต้องมีความส�ำรวมระวัง เพราะ อาจจะถกู เขา้ ใจผดิ ไดว้ า่ มคี วามประพฤตผิ ดิ ไปจากพระธรรม วินัย ๑.๒) เหน็ ภยั ในโทษแมเ้ พยี งเลก็ นอ้ ย คือจะตอ้ งเป็นผู้ ไม่ประมาท ตระหนักอยู่เสมอว่า ความผิดพลาดแม้เพียง เล็กน้อย ก็ยังเป็นความผิดอยู่นั่นเอง ถึงแม้จะมีโทษเพียง เลก็ นอ้ ย กย็ งั เปน็ โทษอยนู่ น่ั เอง ไมม่ ที างจะเปน็ คณุ ไปไดเ้ ลย หากพระภิกษุตั้งอยู่ในความประมาท มองข้ามภยั ของโทษแม้ เพียงเล็กน้อย ก็อาจจะประสบความหายนะได้ เพราะขึ้นชื่อ วา่ อสรพษิ แล้ว ไมว่ า่ จะตัวเลก็ แค่ไหนกต็ าม ย่อมมอี ันตราย ๑.๓) สมาทานศกึ ษาอยใู่ นสกิ ขาบททง้ั หลาย คอื การ ศึกษาเจตนารมณ์ หรือจุดมุ่งหมายของสิกขาบท หรือท่ีมัก เรียกว่า ศีล ๒๒๗ สิกขาบท ท่ีพระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ ทั้งหมด ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ท้ังต้องจ�ำได้ขึ้นใจ เพ่ือให้ สามารถปฏิบัติสิกขาบทแต่ละข้อ ๆ ได้โดยบริสุทธ์ิบริบูรณ์ ไมม่ ีผดิ พลาด ๒. มีอาชีพบริสุทธ์ิ หมายถึง การไม่ประกอบอาชีพใด ๆ แบบคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน ด�ำรงชีวิตอยู่ด้วยปัจจัย ๔ คือ จีวร (ผ้า นุ่งห่ม) บิณฑบาต (อาหาร) เสนาสนะ (ท่ีอยู่อาศัย) และคิลานเภสัช (ยารักษาโรค) ซงึ่ ไดร้ บั มาจากทายกทายกิ า ไมม่ งุ่ แสวงหาปจั จยั ๔ มา ปรนเปรอตนเองด้วยกลอุบายวธิ ตี า่ ง ๆ สังฆคารวตา เคารพในพระสงฆ์ 57 www.kalyanamitra.org

www.kalyanamitra.org

๓. ถงึ พรอ้ มดว้ ยศลี หมายถงึ เปน็ ผมู้ ศี ลี สมบรู ณ์ ซงึ่ ความเปน็ ผมู้ ศี ลี สมบรู ณท์ ป่ี รากฏในสามญั ญผลสตู รน้ี หมายเอา ศลี ๓ อยา่ ง คอื ๓.๑) จุลศีลเป็นบทฝึกทางกายและวาจา ให้ภิกษุละ การท�ำชั่ว พูดชั่ว ให้ประกอบกายกรรมและวจีกรรมที่เป็น กุศล มีทั้งหมด ๒๖ ข้อ อาทิเช่นการละเว้นจากการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ เป็นต้น๒๐ ๓.๒) มัชฌิมศีล เป็นบทขยายความของจุลศีลให้ ละเอียดย่ิงข้ึน ด้วยการยกตวั อยา่ งใหเ้ หน็ ชดั เจน เพอื่ เปน็ ขอ้ ปฏบิ ตั ทิ ่ีดีงามของภกิ ษุใหเ้ ด่นชัดย่งิ ๆ ขึน้ ไปอกี มที ัง้ หมด ๑๐ ขอ้ อาทกิ ารละเว้นจากการเล่นการพนัน การประดบั ตกแต่ง รา่ งกาย เปน็ ต้น๒๑ ๓.๓) มหาศีล เป็นข้องดเว้นท่ีมุ่งห้ามพระภิกษุไม่ให้ เลี้ยงชีพด้วยติรัจฉานวิชา ๗ ประการ เช่น การงดเว้น การท�ำนายทายทัก พยากรณ์ บนบานศาลกล่าว เป็นต้น๒๒ เมอ่ื พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั มาถงึ มหาศลี น ี้ จงึ ทรงกลา่ ว ถึงอานิสงส์ของพระภิกษุผู้มีความถึงพร้อมดว้ ยศีลว่า “ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยศีลอย่างน้ี ย่อมไม่ประสบภัย อันตรายจากการส�ำรวมในศีลเลย เปรียบเหมือนกษัตริย์ผู้ได้ ๒๐ ศึกษาเพิ่มเตมิ ในรายละเอียดของ จลุ ศีล ไดใ้ น ที.สี. ๙/๑๙๔/๖๕-๖๗ (แปล.มจร) 59 ๒๑ ศึกษาเพม่ิ เติมในรายละเอยี ดของ มัชฌมิ ศลี ไดใ้ น ท.ี ส.ี ๙/๑๙๕-๒๐๔/๖๗-๖๙ (แปล.มจร) ๒๒ ศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ในรายละเอยี ดของ มหาศลี ได้ใน ท.ี ส.ี ๙/๒๐๕-๒๑๑/๖๙-๗๒ (แปล.มจร) สงั ฆคารวตา เคารพในพระสงฆ์ www.kalyanamitra.org

รบั มรู ธาภเิ ษกเปน็ พระราชา กำ� จดั ขา้ ศกึ ไดแ้ ลว้ ยอ่ มไมป่ ระสบ ภยั อนั ตรายจากขา้ ศกึ เลย ภกิ ษผุ สู้ มบรู ณด์ ว้ ยอรยิ สลี ขนั ธอ์ ยา่ ง น้ี ย่อมเสวยสุขอันไม่มีโทษในภายใน มหาบพิตร ภิกษุช่ือว่า สมบูรณ์ด้วยศลี เปน็ อย่างนแี้ ล”๒๓ ๔. คุ้มครองทวารในอินทรีย์ท้ังหลาย ในข้อน้ีพระผู้มีพระ ภาคเจ้าได้ตรัสขยายความถึงข้อปฏิบัติที่เรียกว่า การคุ้มครองทวาร ในอนิ ทรียท์ งั้ หลาย ไวด้ ังน้ี “ภิกษุช่ือว่าคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย เป็น อย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยน้ีเห็นรูปด้วยตาแล้วไม่รวบถือ ไมแ่ ยกถอื ยอ่ มปฏบิ ตั เิ พอื่ สำ� รวมในจกั ขนุ ทรยี ์ ซง่ึ เมอ่ื ไมส่ ำ� รวม แลว้ กจ็ ะเปน็ เหตใุ หถ้ กู บาปอกศุ ลธรรม คอื อภชิ ฌาและโทมนสั ครอบงำ� ได้ จงึ รกั ษาจกั ขนุ ทรยี ์ ถงึ ความสำ� รวมในจกั ขนุ ทรยี ์ ฟงั เสยี งดว้ ยหู ฯลฯ ดมกลิน่ ดว้ ยจมกู ฯลฯ ลิ้มรสด้วยลิ้น ฯลฯ ถกู ตอ้ งโผฏฐพั พะดว้ ยกาย ฯลฯ รธู้ รรมารมณด์ ว้ ยใจแลว้ ไมร่ วบถอื ไม่แยกถือ ย่อมปฏิบัติเพ่ือสำ� รวมในมนินทรยี ์ ซึง่ เมือ่ ไม่ส�ำรวม แลว้ กจ็ ะเปน็ เหตใุ หถ้ กู บาปอกศุ ลธรรมคอื อภชิ ฌาและโทมนสั ครอบงำ� ได้ จงึ รกั ษามนนิ ทรยี ์ ถงึ ความสำ� รวมในมนนิ ทรยี ์ ภกิ ษุ ผปู้ ระกอบดว้ ยความสำ� รวมอนิ ทรยี อ์ นั เปน็ อรยิ ะนี้ ยอ่ มเสวยสขุ อนั ไม่ระคนกับกเิ ลสในภายใน มหาบพติ ร ภิกษชุ ่อื วา่ คุม้ ครอง ทวารในอนิ ทรีย์ทงั้ หลายเปน็ อย่างน้ีแล”๒๔ ๒๓ ท.ี สี. ๙/๒๑๒/๗๒ (แปล.มจร) ๒๔ ที.ส.ี ๙/๒๑๓/๗๒-๗๓ (แปล.มจร) 60 ที่สุดแหง่ ธรรม ถึงไดด้ ้วยความเคารพ www.kalyanamitra.org

การคมุ้ ครองทวารในอนิ ทรยี ท์ ง้ั ปวงนี้ กลา่ วคอื สำ� รวมระวงั ตา 61 ในการมองรปู สำ� รวมระวงั หใู นการฟงั เสยี ง สำ� รวมระวงั จมกู ในการดม กลิ่น สำ� รวมระวังลิน้ ในการลมิ้ รส สำ� รวมระวังกายในการสัมผัส และ สำ� รวมใจในอารมณท์ มี่ ากระทบ ซงึ่ ทวารทง้ั ๕ คอื ตา หู จมกู ลนิ้ และ กาย เมอื่ รบั อารมณต์ า่ ง ๆ ทผ่ี า่ นมาทาง รปู เสียง กลน่ิ รส และสมั ผัส แน่นอนวา่ ในท้ายที่สดุ แล้ว ยอ่ มไหลไปรวมกันอย่ทู ี่ใจ ทวารทัง้ ๕ จงึ เปรยี บเสมือนเมืองหนา้ ดา่ น ถ้าเราค้มุ ครองป้องกนั ไดด้ ี กย็ ากทบ่ี าป อกุศลธรรมจะเข้าไปสู่ใจที่เปรียบเสมือนเมืองหลวงได้ และในขณะ เดียวกัน หากเรามพี นื้ ฐานของการเจรญิ สมาธิภาวนา สมาธิภาวนาน้ี กจ็ ะเสริมความแข็งแกรง่ ให้กบั ใจ เฉกเชน่ เดยี วกับก�ำแพงเมืองท่คี อย ปกป้องเมอื งหลวงอีกชน้ั หนง่ึ ๕. ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เมื่อตรัสอธิบายเรื่อง คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายจบลงแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงแสดงสติสัมปชัญญะแก่พระเจ้าอชาตศัตรูว่า “มหาบพิตร ภิกษุช่ือว่าประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ท�ำความรู้สึกตัวในการ ก้าวไป การถอยกลับ การแลดู การเหลียวดู การคู้เข้า การเหยียดออก การครองสังฆาฏิ บาตร และจีวร การ ฉัน การด่ืม การเค้ียว การลิ้ม การถ่ายอุจจาระปัสสาวะ การเดิน การยืน การน่ัง การนอน การต่ืน การพูด การ นิ่ง มหาบพิตร ภิกษุช่ือว่าประกอบด้วยสติสัมปชัญญะเป็น อย่างน้ีแล”๒๕ ๒๕ ท.ี ส.ี ๙/๒๑๔/๗๓ (แปล.มจร) สังฆคารวตา เคารพในพระสงฆ์ www.kalyanamitra.org

www.kalyanamitra.org

ในพระพทุ ธศาสนาถอื วา่ สติ เปน็ ธรรมทม่ี อี ปุ การะมาก กลา่ ว คอื สตชิ ่วยไม่ใหง้ านการเสยี หายเพราะลมื ทั้งยังเปน็ นาถกรณธรรม คือ ธรรมอันเป็นที่พ่ึงของตนเอง เพราะช่วยไม่ให้เราเผลอ ไม่ให้ หลงลืมในสิ่งท่ีควรท�ำหรือต้องท�ำ ย่ิงกว่านั้นสติยังเป็นพื้นฐาน ส�ำคัญย่ิงในการเจริญสมาธิภาวนา เพ่ือบรรลุมรรคผลนิพพานต่อไป อกี ดว้ ย คำ� วา่ สมั ปชญั ญะ หมายถงึ ความรสู้ กึ ตวั หรอื อาการรตู้ วั ในขณะ ทำ� อยู่ เชน่ รู้วา่ เรากำ� ลังพดู อะไร กำ� ลงั คดิ อะไร หรือก�ำลังท�ำอะไร ใน ทางพระพุทธศาสนาถือว่า สมั ปชัญญะ เปน็ ธรรมทม่ี อี ปุ การะมากอกี ข้อหนงึ่ โดยทว่ั ไปจะใช้คู่กบั สติ เรยี กวา่ สติสมั ปชัญญะ สติสัมปชญั ญะ จึงเปน็ ข้อปฏิบัตทิ ี่ส�ำคญั ยงิ่ สำ� หรบั ทกุ ๆ คน ไมว่ า่ นกั บวชหรอื คฤหสั ถ์ ผทู้ ย่ี อ่ หยอ่ นในธรรม ๒ ประการนี้ นอกจาก ตนเองจะประสบความลม้ เหลว ขาดความยกยอ่ งนบั ถอื จากผอู้ น่ื แลว้ ยงั ทำ� ลายชอ่ื เสยี งเกยี รตคิ ณุ ของสงั คมสว่ นรวมดว้ ย โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ถ้าเป็นพระภิกษุสงฆ์ด้วยแล้ว ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้าย แรงตอ่ พระพุทธศาสนาทีเดยี ว ทงั้ นเ้ี พราะเมอื่ พระภกิ ษสุ งฆย์ อ่ หยอ่ น ในธรรมทง้ั ๒ ประการนี้ ยอ่ มไมส่ ามารถสำ� รวมอนิ ทรยี ไ์ ด้ ไมส่ ามารถ มีอาชีพบริสุทธ์ิ ไม่ถึงพร้อมด้วยศีล ไม่สามารถส�ำรวมระวังใน เร่ืองโคจรและอโคจรได้ เป็นต้น ส่ิงเหล่าน้ีนอกจากจะเป็นทางก่อ ให้เกิดอภชิ ฌาและโทมนสั แกต่ วั พระภกิ ษเุ องโดยตรงแลว้ พฤตกิ รรม ของภกิ ษทุ ป่ี รากฏต่อสาธารณชน ยังท�ำให้ประชาชนเสื่อมศรทั ธา ในพระพทุ ธศาสนาอีกด้วย ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจา้ จงึ ตรสั ยนื ยนั วา่ พระภกิ ษสุ งฆ์ผู้เป็นสาวกของพระองค์ต้องประกอบด้วย สติสัมปชัญญะ สังฆคารวตา เคารพในพระสงฆ์ 63 www.kalyanamitra.org

๖. เป็นผู้สันโดษ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สตสิ ัมปชัญญะ แก่พระเจ้าอชาตศัตรจู บลงแล้ว จงึ ทรงแสดงสันโดษ ต่อไปว่า “มหาบพติ ร ภกิ ษุชอื่ วา่ ผสู้ ันโดษเปน็ อย่างไร” ตรสั ดังนแี้ ล้ว จึงทรงวิสัชนาดว้ ยพระองคเ์ องว่า “ภิกษุในธรรมวินัยน้ีสันโดษด้วยจีวรพอคุ้มร่างกาย และบิณฑบาตพออมิ่ ท้อง จะไป ณ ท่ีใด ๆ กไ็ ปได้ทนั ทเี หมอื น นกบนิ ไป ณ ที่ใด ๆ กม็ ีแต่ปีกเป็นภาระ มหาบพิตร ภิกษชุ ่ือว่า ผสู้ ันโดษเป็นอย่างนแ้ี ล”๒๖ สันโดษ คอื ความยนิ ดีในของของตน พอใจด้วยปจั จัย ๔ ที่ ได้มาด้วยการมีอาชีพบริสุทธิ์และก�ำลังความเพียรพยายามอันชอบ ธรรมของตน ไม่โลภ ไม่ริษยาใคร พระพุทธศาสนาจัดสันโดษเป็น นาถกรณธรรม คอื ธรรมอันเป็นท่ีพึ่งด้วยขอ้ หนงึ่ เพราะเปน็ ธรรมท่ี ชว่ ยปรบั ปรงุ ตวั เราใหเ้ หน็ คณุ คา่ และไมด่ ถู กู ตนเอง มคี วามพอใจและ เชอ่ื มน่ั ในตนเอง อกี ทงั้ ปอ้ งกนั ไมใ่ หป้ ระพฤตผิ ดิ ศลี ธรรมและกฎหมาย ไดด้ ้วย ในแง่ที่เปน็ ธรรมปฏิบตั ขิ องภิกษุนน้ั แบ่งออกเปน็ ๓ ประการ คอื ยถาลาภสันโดษ ยถาพลสันโดษ ยถาสารปุ ปสนั โดษ๒๗ ๑) ยถาลาภสนั โดษ คือ ยินดีตามทไ่ี ด้ หมายความวา่ เมื่อได้ สิ่งใดมาด้วยความเพียรของตน ก็พอใจในส่ิงน้ัน ไม่เดือดร้อนเพราะ ของทีไ่ ม่ได้ ไมเ่ พง่ เล็งอยากได้ของของผูอ้ ื่น ไม่ริษยาผ้อู ื่น ๒) ยถาพลสนั โดษ คือ ยนิ ดีตามกำ� ลัง หมายความว่า พอใจ เพยี งแค่พอแก่กำ� ลังร่างกาย สขุ ภาพ และขอบเขตการใช้สอยของตน ของที่เกินก�ำลงั กไ็ ม่หวงแหนเสยี ดาย ๒๖ ที.ส.ี ๙/๒๑๕/๗๓ (แปล.มจร) ๒๗ วิ.มหา.อ. ๑/๗๓๔, ท.ี สี.อ. ๑๑/๔๔๔, ม.มู.อ. ๑๘/๓๖๕-๓๖๖, สํ.ส.อ. ๒๔/๓๙๕ (แปล.มมร) เป็นต้น 64 ทสี่ ดุ แหง่ ธรรม ถึงได้ด้วยความเคารพ www.kalyanamitra.org

๓) ยถาสารุปปสันโดษ คอื ยินดีตามสมควร หมายความวา่ พอใจตามท่ีสมควรแก่ภาวะ ฐานะ และจุดหมายแห่งการบ�ำเพ็ญกิจ ของตน เช่น ภิกษุพอใจแต่ของอันเหมาะสมกับสมณสารูป หรือได้ ของใช้ท่ีไม่เหมาะกับตน แต่จะมีประโยชน์แก่ผู้อื่นก็น�ำไปมอบให้แก่ เขา เปน็ ต้น ความเปน็ ผสู้ นั โดษของพระภกิ ษนุ ี้ ยอ่ มเปน็ เหตทุ ที่ ำ� ใหป้ ลอด โปรง่ คลายกงั วล ยนิ ดีในปัจจัย ๔ ตามมีตามได้ ไม่เสียเวลาไปกับการ แสวงหาปัจจัยเกินความจ�ำเป็น อน่งึ แม้จะไดร้ ับปจั จยั ๔ มามากมาย ดว้ ยอานุภาพแห่งความเป็นผมู้ ศี ีลมกี ัลยาณธรรมกต็ าม แต่กใ็ ชป้ ัจจัย ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นไปเพ่ืองานเผยแผ่พระสัทธรรมอันบริสุทธิ์ของ พระสมั มาสัมพทุ ธเจ้า หาใช่เพ่อื แสวงหาประโยชน์ใหแ้ ก่ตนเองไม่ เมอื่ กลา่ วถงึ ตรงน้ี เราจะพบวา่ การทผ่ี ใู้ ดผหู้ นงึ่ จะเขา้ มาบวช ในพระพทุ ธศาสนานไ้ี ด้ ต้องเป็นผ้ทู ่ีมศี รัทธาอนั ประกอบด้วยปญั ญา พจิ ารณาเหน็ ถงึ คณุ คา่ ของการบวช จงึ ไดต้ ดั สนิ ใจสละความสนกุ สนาน ในทางโลก ก้าวเข้ามาสู่ในเส้นทางของนักบวช เพ่ือแสวงหาหนทาง พระนิพพาน โดยเริ่มตน้ ท่ี การสำ� รวมระวังในพระปาตโิ มกข์ เพยี บ พร้อมด้วยมารยาทและโคจร เห็นภัยในโทษแม้เพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบท ประกอบด้วยกายกรรมและวจี กรรมอนั เปน็ กศุ ล มอี าชวี ะบริสุทธ์ิ สมบรู ณด์ ว้ ยศลี คุ้มครองทวาร ในอินทรียท์ ัง้ หลาย สมบรู ณด์ ว้ ยสตสิ ัมปชญั ญะ และเป็นผู้สนั โดษ ในทสี่ ดุ จติ กจ็ ะคลายความกงั วล นมุ่ นวล ควรแกก่ ารงาน จะเปน็ ปจั จยั ของการบรรลสุ ามญั ญผลทล่ี ะเอยี ดประณตี ย่ิงขึน้ ไปอีก สังฆคารวตา เคารพในพระสงฆ์ 65 www.kalyanamitra.org

อนึ่ง ข้อปฏบิ ตั ทิ ้งั หลายเหล่านี้ มีรายละเอียดอย่มู ากมาย จน ในบางครงั้ อาจทำ� ใหพ้ ระภกิ ษผุ บู้ วชเขา้ มาใหม่ เกดิ ความทอ้ ใจในการ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ จนอาจถงึ ขน้ั ลาสกิ ขา ทง้ั ๆ ทใี่ นเบอ้ื งตน้ ตง้ั ใจบวชเขา้ มาดว้ ยศรทั ธากต็ าม แตห่ ากลองพจิ ารณาดดู ี ๆ แลว้ เราจะพบวา่ มขี อ้ ท่ีกล่าวว่า พึงละเว้น มากกวา่ ขอ้ ทกี่ ลา่ วว่า พึงปฏิบัติ นนั้ หมายความ วา่ พระภิกษไุ ม่ต้องทำ� อะไรเลยกบั ขอ้ ท่วี า่ ดว้ ยพึงละเวน้ ยกตวั อย่าง เชน่ จุลศลี แมจ้ ะมีอยถู่ งึ ๒๖ ขอ้ แต่ทั้งหมดนัน้ ว่าดว้ ย พึงละเวน้ มี การละเว้นจากการฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ เป็นต้น ขอเพียงพระภกิ ษุ ไม่ไปฆ่าสตั วห์ รอื ลกั ทรพั ย์ ก็ได้ชื่อวา่ ปฏบิ ัตติ ามจลุ ศลี น้ีแล้ว เหมือน กับการทเี่ ราอาจจะรกู้ ฎหมายทส่ี �ำคัญ ๆ บางข้อ แตไ่ ม่รทู้ ่วั ถึงตัวบท กฎหมายทกุ มาตราทกุ ฉบบั แตเ่ รากส็ ามารถดำ� เนนิ ชวี ติ อยใู่ นประเทศ ได้ โดยไมก่ ระทำ� ผดิ กฎหมายใด ๆ ทงั้ นกี้ ไ็ มไ่ ดห้ มายความวา่ พระภกิ ษุ ผบู้ วชเขา้ มาในพระศาสนานี้ ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งศกึ ษาในขอ้ ปฏบิ ตั ทิ ม่ี มี าใน สกิ ขาบททงั้ ปวง ยงั คงมคี วามจำ� เปน็ ตอ้ งศกึ ษา และตอ้ งศกึ ษาใหเ้ ขา้ ใจ อย่างถ่องแท้ด้วย เพราะพระภิกษุสงฆ์มีหน้าท่ีท่ีส�ำคัญ ในการรักษา และสบื ทอดพระธรรมวนิ ยั ตอ่ ไป เพยี งแตใ่ หเ้ ปน็ ในลกั ษณะคอ่ ยเปน็ คอ่ ยไป ไมก่ อ่ ใหเ้ กดิ ความวติ กกงั วลในการรกั ษาสกิ ขาบททง้ั หลาย มากเกนิ ไป จนเกิดความท้อแท้ และสกึ หาลาเพศไปในทีส่ ุด 66 ท่ีสุดแหง่ ธรรม ถงึ ได้ดว้ ยความเคารพ www.kalyanamitra.org

การที่ผู้ใดผู้หนงึ่ จะเขา้ มาบวช ในพระพทุ ธศาสนานไี้ ด้ ต้องเป็นผทู้ ี่มีศรัทธา อนั ประกอบดว้ ยปัญญา พจิ ารณาเห็นถงึ คณุ คา่ ของการบวช จึงไดต้ ดั สนิ ใจสละความสนุกสนาน ในทางโลก ก้าวเขา้ มาสใู่ นเส้นทางของนักบวช เพือ่ แสวงหาหนทางพระนิพพาน สงั ฆคารวตา เคารพในพระสงฆ์ 67 www.kalyanamitra.org

www.kalyanamitra.org

สามัญญผลเบือ้ งกลาง... สยบนวิ รณธรรมทั้งปวง สามัญญผลเบื้องกลาง คือ อานิสงส์หรือผลดีท่ีภิกษุได้รับ จากการเจริญสมาธภิ าวนา กล่าวคอื เม่อื ภิกษเุ ปน็ ผูถ้ ึงพร้อมด้วยศีล คมุ้ ครองทวารในอินทรยี ์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสตสิ มั ปชญั ญะ เป็นผู้ สนั โดษ ยอ่ มเปน็ ผูส้ งบทั้งกาย วาจา และใจ ดงั ที่กล่าวมาแล้วในข้าง ตน้ จากนน้ั เมือ่ ไดเ้ จรญิ สมาธภิ าวนา ยอ่ มบรรลฌุ านไปตามล�ำดบั ๆ ดงั ที่พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าตรัสกบั พระเจา้ อชาตศัตรูวา่ “ภกิ ษนุ น้ั ประกอบดว้ ยอรยิ สลี ขนั ธ์ อรยิ อนิ ทรยี สงั วร อริยสติสัมปชัญญะและอริยสันโดษอย่างนี้แล้ว พักอยู่ ณ เสนาสนะเงยี บสงดั คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถำ้� ปา่ ชา้ ป่า ชฏั ทแ่ี จง้ ลอมฟาง เธอกลบั จากบณิ ฑบาต ภายหลงั ฉนั อาหาร เสร็จแลว้ นงั่ ขัดสมาธติ ้ังกายตรงดำ� รงสตเิ ฉพาะหนา้ เธอละอภิชฌา (ความเพ่งเล็งอยากได้ของเขา) ใน โลก มใี จปราศจากอภชิ ฌาอยู่ ช�ำระจติ ให้บรสิ ทุ ธ์จิ ากอภิชฌา ละความมุ่งร้ายคือพยาบาท มีจิตไม่พยาบาท มุ่งประโยชน์ เกื้อกูลสรรพสัตว์อยู่ ช�ำระจิตให้บริสุทธ์ิจากความมุ่งร้ายคือ พยาบาท ละถีนมิทธะ (ความหดหแู่ ละเซื่องซึม) ปราศจากถนี มทิ ธะ กำ� หนดแสงสวา่ ง มสี ตสิ มั ปชญั ญะอยู่ ชำ� ระจติ ใหบ้ รสิ ทุ ธิ์ สงั ฆคารวตา เคารพในพระสงฆ์ 69 www.kalyanamitra.org

จากถีนมิทธะ ละอุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่านและร�ำคาญ ใจ) เปน็ ผไู้ มฟ่ งุ้ ซา่ น มจี ติ สงบอยภู่ ายใน ชำ� ระจติ ใหบ้ รสิ ทุ ธจ์ิ าก อุทธัจจกุกกจุ จะ ละวิจิกิจฉา (ความลงั เลสงสัย) ขา้ มวจิ กิ จิ ฉา ได้แล้ว ไม่มีวิจิกิจฉาในกุศลธรรมอยู่ ช�ำระจิตให้บริสุทธ์ิจาก วิจิกิจฉา”๒๘ จากพระดำ� รสั ท่ียกมาน้ี ยอ่ มเหน็ แล้วว่า ถา้ พระภิกษุ เปน็ ผทู้ บ่ี รบิ รู ณด์ ว้ ยศลี ทง้ั ปวง อนิ ทรยี สงั วร สตสิ มั ปชญั ญะและ สนั โดษ อนั เปน็ อรยิ ะแลว้ ยอ่ มเปน็ อปุ การะตอ่ การเจรญิ สมาธิ ภาวนา อนั เปน็ เหตใุ หส้ ามารถสยบนวิ รณธรรม ใจของภกิ ษรุ ปู น้ันจึงสงัดจากกามและอกุศลธรรม เข้าสู่ฌานสมาบัติไปตาม ลำ� ดับ นวิ รณธรรม หรือ นิวรณ์ น้คี ือ กิเลสท่ีปิดก้นั ใจไมใ่ หบ้ รรลุ ความดี ไมใ่ หก้ า้ วหนา้ ในการเจรญิ ภาวนา ทำ� ใหใ้ จซดั สา่ ย ไมย่ อมใหใ้ จ รวมหยุดนง่ิ เปน็ หนง่ึ หรอื เป็นสมาธิ นวิ รณจ์ ดั ว่าเป็นกเิ ลสอย่างกลาง มี ๕ ประการ คอื ๑. กามฉนั ทะคอื ความหมกมนุ่ ครนุ่ คดิ เพง่ เลง็ ถงึ ความนา่ รกั นา่ ใคร่ในกามคณุ อนั ได้แก่ รูป เสยี ง กลน่ิ รส สมั ผัส เนอ่ื งจากใจ ยังหลงตดิ ในรสของกามคุณทงั้ ๕ น้นั จนไม่สามารถสลัดออกได้ พระ สมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทรงเปรยี บกามฉนั ทะเหมอื นหน้ี คอื ผทู้ ่เี ป็นหนีเ้ ขา แม้จะถูกเจ้าหนี้ทวงถามด้วยค�ำหยาบ ก็ไม่อาจโต้ตอบอะไรได้ ต้อง สู้ทนนิ่งเฉย เพราะเป็นลูกหน้ีเขา แต่ถ้าเมื่อใดช�ำระหนี้หมดสิ้นแล้ว ยอ่ มมที รพั ยเ์ หลอื เป็นกำ� ไร ยอ่ มมีความรูส้ ึกเป็นอิสระ และสบายใจ ๒๘ ท.ี ส.ี ๙/๒๑๖-๒๑๗/๗๓-๗๔ (แปล.มจร) 70 ท่ีสุดแหง่ ธรรม ถงึ ไดด้ ว้ ยความเคารพ www.kalyanamitra.org

อปุ มาข้อนี้ ฉันใด ผทู้ ่ีสามารถละกามฉนั ทะในจติ ใจได้เด็ดขาดแลว้ ยอ่ มมีความปราโมทย์ยินดีอยา่ งยง่ิ ฉนั นนั้ ๒. พยาบาท คือ ความคิดร้าย ความรู้สึกไม่ชอบใจสิ่ง ทงั้ หลายทั้งปวง ได้แก่ ความขุ่นใจ ความขัดเคืองใจ ความไม่พอใจ ความโกรธ ความผูกโกรธ ความเกลียด ความรู้สึกเหล่านี้ท�ำให้ ใจกระสับกระส่ายไม่เป็นสมาธิ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบ พยาบาทเหมือนโรค ผูท้ ่เี ป็นโรคต่าง ๆ มโี รคดี โรคตบั เปน็ ต้น ยอ่ ม ฝืนใจต้มยาท่ีมีรสขมไว้กินแก้โรคฉันใด ผู้ท่ีตกอยู่ในอ�ำนาจพยาบาท นิวรณ์ ย่อมฝืนใจรับโอวาทของพระอุปัชฌาย์อาจารย์ ผู้มีความหวัง ดตี ่อตนฉนั นน้ั ดว้ ยเกรงวา่ ถา้ ตนไมร่ บั ฟังโอวาทก็อาจจะต้องเคลอื่ น จากพรหมจรรย์ ในวันใดวันหนึ่งเป็นแน่แท้ ผู้ท่ีฝืนใจรับฟังโอวาท จากพระอปุ ชั ฌายอ์ าจารยผ์ หู้ วงั ดตี อ่ ตน ยอ่ มไมม่ คี วามเขา้ ใจ และ ซาบซง้ึ ในโอวาทเหลา่ นนั้ ฉนั ใด ผทู้ ตี่ กอยใู่ นอำ� นาจพยาบาทนวิ รณ์ กไ็ มไ่ ด้พบรสพระธรรม ไมไ่ ด้พบความสุขอันเกดิ จากฌาน ฉันนนั้ ๓. ถีนมิทธะ คือ ความง่วงเหงาซึมเซา ความหดหแู่ ละ เซอื่ งซมึ ขาดความกระตอื รอื รน้ ในการทำ� กจิ กรรมตา่ ง ๆ ขาดกำ� ลงั ใจ และความหวังในชีวิต เกิดความเบื่อหน่ายชีวิต ไม่คิดอยากท�ำสิ่ง ใด ๆ บุคคลที่ใจหดหู่ ย่อมขาดความวริ ิยอตุ สาหะในการท�ำสิ่งต่าง ๆ ไดแ้ ต่ปลอ่ ยใหค้ วามคดิ เลือ่ นลอยไปเรอ่ื ย ๆ จงึ ไมส่ ามารถรวมใจเปน็ หนึ่งได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบถีนมิทธะเหมือนการ ถูกจองจ�ำอยู่ในเรือนจ�ำ คนที่ถูกจองจ�ำอยู่ในเรือนจ�ำนั้น ย่อมหมด โอกาสทจี่ ะได้รับความบันเทิงจากการเท่ียวดูหรอื ชมมหรสพต่าง ๆ สังฆคารวตา เคารพในพระสงฆ์ 71 www.kalyanamitra.org

ในงานนักขัตฤกษ์ ฉันใด ผู้ท่ีตกอยู่ในอ�ำนาจถีนมิทธะนิวรณ์ ย่อม หมดโอกาสทจ่ี ะไดร้ บั รรู้ สแหง่ ธรรมบนั เทงิ คอื ความสงบสขุ อนั เกดิ จากฌาน ฉันนั้น ๔. อุทธจั จกุกกุจจะ คอื ความฟุ้งซา่ นและร�ำคาญ อันเกิด จากการปล่อยใจให้เคลบิ เคลม้ิ ไปกับเรอ่ื งท่ีมากระทบใจ แลว้ จิตก็ คิดปรุงแต่งเร่ือยไปไม่ส้ินสุด บางคร้ังก็ท�ำให้หงุดหงิดงุ่นง่าน ความ รำ� คาญใจและความฟุง้ ซา่ นเหล่านี้ ยอ่ มท�ำให้ใจซดั ส่าย ไม่อยู่นิง่ ไม่ เป็นสมาธิ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบอุทธัจจกุกกุจจะเหมือน ความเป็นทาส ผูท้ ี่เปน็ ทาสเขา ถึงแมว้ ่าจะไปพกั ผอ่ นดหู นังดูละครก็ ตอ้ งรบี กลบั เพราะกลัวนายจะลงโทษฉนั ใด ภกิ ษุผู้เกิดความฟุ้งซ่าน รำ� คาญในเรอื่ งวนิ ยั วา่ ส่ิงท่ีตนกระท�ำไปนั้นจะผิดถูกประการใด ก็ ตอ้ งรบี ไปหาพระวนิ ยั ธร เพอื่ ทำ� ศลี ของตนใหบ้ รสิ ทุ ธิ์ จงึ ไมไ่ ดเ้ สวย สขุ อนั เกดิ จากวเิ วก ฉันนั้น ๕. วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ มีค�ำถามเกิด ข้ึนในใจตลอดเวลา ท�ำให้ลังเลสงสัย ไม่แน่ใจในการปฏิบัติของตน เช่นน้ีย่อมไม่สามารถท�ำใจให้รวมเป็นหนึ่งได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเปรียบวิจิกิจฉาเหมือนบุรุษผู้มั่งคั่งเดินทางไกลและกันดาร พบ อปุ สรรคมากมาย บรุ ษุ ทเ่ี ดนิ ทางไกล หากเกดิ ความสะดงุ้ กลวั ตอ่ พวก โจรผู้ร้าย ย่อมเกิดความลังเลใจวา่ ควรจะไปตอ่ หรอื จะกลับดี ความ สะดุ้งกลัวพวกโจรผู้ร้าย เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางไกลของบุรุษ ฉันใด ความลังเลสงสัยในค�ำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อม เป็นอปุ สรรคตอ่ การบรรลอุ ริยภูมขิ องภิกษุ ฉนั น้นั 72 ทส่ี ุดแหง่ ธรรม ถึงได้ดว้ ยความเคารพ www.kalyanamitra.org

ขณะที่นิวรณ์ท้ัง ๕ อย่างนี้ แม้เพียงอย่างใดอย่างหน่ึง ครอบงำ� ใจอยู่ ผเู้ จรญิ ภาวนายอ่ มไม่สามารถรวมใจให้เป็นหน่ึงได้ ต่อเม่ือท�ำใจให้หยุดนิ่งแน่วแน่ ไม่ซัดส่ายไปมา ตั้งม่ันอยู่ในอารมณ์ เดียวอยา่ งตอ่ เนอ่ื งเป็นเอกคั คตา เมอื่ นน้ั ใจกจ็ ะรวมเป็นหนงึ่ ซ่ึงเรียก ว่า สมาธิ กล่าวคือ เข้าถงึ ฌานสมาบัติ ๔ ระดบั ได้แก่ ปฐมฌาน ทุติย ฌาน ตตยิ ฌาน และจตุตถฌาน ซ่งึ ฌานแตล่ ะระดบั จะมอี ารมณท์ ่ีลุ่ม ลึกไปตามลำ� ดับ ตามท่พี ระผมู้ พี ระภาคเจ้าตรสั กับพระเจา้ อชาตศัตรู ดังนี้ “ภกิ ษนุ นั้ สงดั จากกามและอกศุ ลธรรมทง้ั หลายแลว้ บรรลปุ ฐมฌานทมี่ วี ติ ก วจิ าร ปตี แิ ละสขุ อนั เกดิ จากวเิ วกอยู่ เธอท�ำกายนี้ให้ชุ่มชื่นเอิบอ่ิมด้วยปีติและสุขอันเกิดจากวิเวก รสู้ กึ ซาบซา่ นอยู่ ไมม่ สี ว่ นไหนของรา่ งกายทปี่ ตี แิ ละสขุ อนั เกดิ จากวเิ วกจะไมถ่ กู ตอ้ ง...ขอ้ นจี้ ดั เปน็ ผลแหง่ ความเปน็ สมณะท่ี เหน็ ประจกั ษ์ ซง่ึ ดกี วา่ และประณตี กวา่ ผลแหง่ ความเปน็ สมณะ ที่เห็นประจักษข์ อ้ ก่อน ๆ ยังมีอีก มหาบพิตร เพราะวิตกวิจารสงบระงับไป ภิกษุบรรลุทุติยฌานมีความผ่องใสในภายในมีภาวะที่จิตเป็น หน่ึงผุดขึ้น ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจาก สมาธิอยู่ เธอท�ำกายนี้ให้ชุ่มชื่นเอิบอ่ิมด้วยปีติและสุขอันเกิด จากสมาธิ รสู้ กึ ซาบซา่ นอยู่ ไมม่ สี ว่ นไหนของรา่ งกายทป่ี ตี แิ ละ สุขอันเกิดจากสมาธิจะไม่ถูกต้อง...ข้อนี้จัดเป็นผลแห่งความ สงั ฆคารวตา เคารพในพระสงฆ์ 73 www.kalyanamitra.org

เป็นสมณะท่ีเห็นประจักษ์ ซึ่งดีกว่าและประณีตกว่าผลแห่ง ความเป็นสมณะ ท่ีเห็นประจักษข์ ้อกอ่ น ๆ ยังมีอีก มหาบพิตร เพราะปีติจางคลายไป ภิกษุมี อุเบกขา มสี ติสมั ปชัญญะ เสวยสขุ ดว้ ยนามกาย บรรลตุ ติย ฌานท่พี ระอริยะท้งั หลายสรรเสริญว่า ผูม้ อี เุ บกขา มสี ติ อยู่ เป็นสุข เธอท�ำกายนี้ให้ชุ่มช่ืนเอิบอ่ิมด้วยสุขอันไม่มีปีติ รู้สึก ซาบซ่านอยู่ ไม่มีส่วนไหนของร่างกายท่ีสุขอันไม่มีปีติจะไม่ ถูกต้อง...ข้อน้ีจัดเป็นผลแห่งความเป็นสมณะที่เห็นประจักษ์ ซง่ึ ดกี วา่ และประณตี กวา่ ผลแหง่ ความเปน็ สมณะ ทเี่ หน็ ประจกั ษ์ ขอ้ ก่อน ๆ ยงั มอี ีก มหาบพติ ร เพราะละสขุ และทุกข์ได้ เพราะ โสมนัสและโทมนัสดับไปก่อน ภิกษุบรรลุจตุตถฌานที่ไม่มี ทกุ ขไ์ มม่ สี ขุ มสี ตบิ รสิ ทุ ธเิ์ พราะอเุ บกขาอยู่ เธอมใี จอนั บรสิ ทุ ธิ์ ผุดผ่องน่ังแผ่ไปทั่วกายน้ี ไม่มีส่วนไหนของร่างกายท่ีใจอัน บริสุทธ์ิผุดผ่องจะไม่ถูกต้อง...ข้อน้ีจัดเป็นผลแห่งความเป็น สมณะที่เห็นประจักษ์ ซ่ึงดีกว่าและประณีตกว่าผลแห่งความ เปน็ สมณะ ท่ีเห็นประจกั ษข์ ้อกอ่ น ๆ”๒๙ ๒๙ ท.ี สี. ๙/๒๒๖-๒๓๓/๗๕-๗๗ (แปล.มจร) 74 ที่สุดแห่งธรรม ถึงได้ดว้ ยความเคารพ www.kalyanamitra.org

ความบรบิ ูรณ์ดว้ ยศลี สำ� รวมอินทรยี ์ มสี ตสิ ัมปชญั ญะตง้ั มัน่ และสนั โดษ ย่อมเป็นอปุ การะต่อการเจรญิ สมาธิภาวนา อันเปน็ เหตุใหส้ ามารถสยบนวิ รณ์ ทำ� ใจให้หยดุ นงิ่ ได้ www.kalyanamitra.org

สามญั ญผลเบ้ืองสูง... เข้าถงึ คณุ วเิ ศษและขจดั กิเลสไปตามลำ� ดับ ในล�ำดับนั้นเอง พระพุทธองค์จึงทรงแสดงสามัญญผลท่ี ละเอียดประณีตย่ิงขึ้น จนถึงขั้นสูงสุด อันได้แก่ วิชชา ๘ ประการ ซ่ึงเปน็ การเขา้ ถงึ คณุ วเิ ศษตา่ ง ๆ และบรรลมุ รรคผลไปตามลำ� ดบั ตงั้ แต่ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี จนกระท่ังขจัดกิเลสจน หมดสนิ้ เปน็ พระอรหันตใ์ นทส่ี ดุ ซง่ึ ผู้ทจ่ี ะเข้าถงึ วิชชา ๘ ประการนไ้ี ด้ จติ ของผนู้ น้ั ตอ้ งมคี วามตงั้ มนั่ ในระดบั ฌานสมาบตั ิ ดงั ทพี่ ระพทุ ธองค์ ตรสั แสดงไวว้ า่ “เมอ่ื จติ เปน็ สมาธบิ รสิ ทุ ธผ์ิ ดุ ผอ่ ง ไมม่ กี เิ ลสเพยี งดงั เนนิ ปราศจากความเศรา้ หมอง ออ่ น เหมาะแก่การใชง้ าน ตัง้ มั่น ไม่หว่นั ไหวอย่างนี้” จากนนั้ จึงค่อยน้อมใจไปเพ่อื วิชชา ๘ ประการ อันไดแ้ ก่ ๑) วิปัสสนาญาณ ๒) มโนมยิทธิญาณ เนรมติ กายที่เกิดแต่ใจ ๓) อิทธิวิธญาณ แสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง ๔) ทิพพโสตธาตุญาณ ได้ยินเสียงด้วยหูทิพย์อันบริสุทธ์ิเหนือมนุษย์ ๕) เจโตปริยญาณ ก�ำหนดรู้จติ ของสตั ว์และคนอนื่ ดว้ ยจิตของตน ๖) ปุพเพนิวาสานสุ สตญิ าณ ระลกึ ชาตกิ อ่ นไดห้ ลายชาติ ๗) จตุ ปู ปาตญาณ เหน็ หมสู่ ตั ว์ ผูก้ �ำลังจุตแิ ละก�ำลงั เกดิ ๘) อาสวักขยญาณ๓๐ สำ� หรบั วชิ ชา ๘ ประการสดุ ท้าย คอื อาสวกั ขยญาณ เมอื่ ผู้ เจริญสมาธภิ าวนา สามารถประคองจิตให้เป็นสมาธิแนว่ แน่ยิ่งขึ้นต่อ ไปอีก จิตย่อมบริสุทธ์ิหมดจดจากกิเลสและอุปกิเลส จิตจึงผ่องแผ้ว สว่างไสวถึงที่สุด ยงั ผลใหบ้ รรลุญาณหยั่งรูอ้ ริยสจั ๔ รู้ว่าจติ ของตน ๓๐ ศึกษาเพม่ิ เตมิ ในรายละเอยี ดของ วิชชา ๘ ไดใ้ น ท.ี ส.ี ๙/๒๓๔-๒๔๙/๗๗-๘๔ (แปล.มจร) 76 ทส่ี ุดแหง่ ธรรม ถงึ ไดด้ ว้ ยความเคารพ www.kalyanamitra.org

หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะท้ังปวงแล้ว น่ันคือ บรรลุอรหัตตผลซึ่งเป็น สามัญญผลขั้นสูงสุด ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระเจ้า อชาตศัตรูดังนี้ “เม่ือจิตเป็นสมาธิบริสุทธ์ิผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเพียงดัง เนิน ปราศจากความเศรา้ หมอง ออ่ น เหมาะแกก่ ารใชง้ าน ตง้ั มนั่ ไม่หว่ันไหวอย่างนี้ ภิกษุนั้น น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า น้ีทุกข์ น้ีทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา น้ีอาสวะ น้ีอาสวสมุทัย น้ีอาสว นิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอยู่อย่างน้ี จติ ยอ่ มหลุดพ้นจากกามาสวะ ภวาสวะ และอวชิ ชาสวะ เมอื่ จติ หลุดพ้นแลว้ กร็ วู้ า่ หลดุ พน้ แล้ว ร้ชู ดั ว่า ชาตสิ ้ินแล้ว อยู่ จบพรหมจรรย์แลว้ ท�ำกิจทค่ี วรท�ำเสรจ็ แล้ว ไมม่ กี ิจอ่ืนเพือ่ ความเปน็ อยา่ งนีอ้ กี ตอ่ ไป”๓๑ อานิสงส์หรือสามัญญผลในข้อน้ีเอง เป็นผลของการบวชเข้า มาในพระพุทธศาสนาขน้ั สูงสุด ประณีตทีส่ ดุ ก้าวล่วงจากสมมติสงฆ์ เข้าสู่ภูมิของพระอริยสงฆ์ เป็นพระสงฆ์สาวกผู้สมควรกับสังฆคุณทั้ง ๙ ประการ สมดงั พทุ ธดำ� รสั ทว่ี า่ “ไมม่ ผี ลแหง่ ความเปน็ สมณะทเี่ หน็ ประจกั ษอ์ ยา่ งอนื่ ทยี่ อดเยยี่ มกวา่ หรอื ประณตี กวา่ ผลแหง่ ความเปน็ สมณะที่เห็นประจกั ษ์นเ้ี ลย”๓๒ ๓๑ ที.สี. ๙/๒๔๘/๘๔ (แปล.มจร) 77 ๓๒ ท.ี สี. ๙/๒๔๙/๘๔ (แปล.มจร) สงั ฆคารวตา เคารพในพระสงฆ์ www.kalyanamitra.org

อานสิ งส์ขั้นสูงสุดของการบวช ในพระพุทธศาสนา ยอ่ มทำ� ให้ผบู้ วช ก้าวล่วงจากสมมตสิ งฆ์ เข้าสคู่ วามเป็นพระอรยิ สงฆ์ เปน็ เนือ้ นาบุญอนั เลศิ www.kalyanamitra.org

บทสรุปสามัญญผลสตู ร... คณุ ลักษณะของพระสงฆ์ท่ีดใี นพระพุทธศาสนา สามัญญผลสูตร เป็นพระสูตรท่ีว่าด้วย ผลของความเป็น สมณะ คอื ประโยชนท์ จี่ ะไดจ้ ากการดำ� รงเพศเปน็ สมณะ หรอื บำ� เพญ็ สมณธรรม สามารถแบ่งออกได้เป็น ๓ ระดับ และเพ่ือให้ได้ผลของ ความเปน็ สมณะทั้ง ๓ ระดับน้ี ผูท้ บ่ี วชเขา้ มาในพระพทุ ธศาสนาจะ ตอ้ งฝึกฝนอบรมตนเองไปตามระดับด้วยเช่นกนั ระดับที่ ๑ ท�ำให้ผู้บวชสามารถยกตนจากฐานะเดิม คือ แมแ้ ต่ผู้ท่ีมฐี านะเดิมต่�ำต้อยในสงั คม เช่น เปน็ ทาส เปน็ กรรมกร หรือ เปน็ ชาวนา กพ็ น้ จากฐานะเดมิ นนั้ ไดร้ บั การเคารพยกยอ่ งปฏบิ ตั ดิ ว้ ยดี จากฆราวาสทงั้ หลาย ซง่ึ สงิ่ ทผ่ี บู้ วชเขา้ มาในพระพทุ ธศาสนาพงึ ปฏบิ ตั ิ คอื ๑) บวชอยา่ งมเี ปา้ หมาย คอื ไมว่ า่ จะบวชระยะสนั้ หรอื ระยะ ยาวก็ตาม ก็ตั้งใจบวชเพื่อฝึกฝนอบรมตนเอง ตามวัตถุประสงค์ท่ีได้ ปฏิญาณในท่ามกลางสงฆ์ว่า จะบวชเพ่ือก�ำจัดทุกข์ทั้งหลายให้สิ้น และ ท�ำพระนิพพานให้แจ้ง ด้วยการศึกษาท้ังภาคทฤษฎีในพระ ไตรปิฎก และลงมือปฏิบัติตามธรรมที่ได้ศึกษา โดยได้รับการช้ีแนะ จากพระอุปชั ฌาย์หรือพระอาจารย์ ๒) ส�ำรวมระวงั ในพระปาติโมกขอ์ ยู่เสมอ คอื ถงึ พรอ้ มดว้ ย มารยาทและโคจร มปี กตเิ หน็ ภยั ในโทษแมเ้ พยี งเลก็ นอ้ ย และสมาทาน ศกึ ษาอยูใ่ นสกิ ขาบททั้งหลาย สงั ฆคารวตา เคารพในพระสงฆ์ 79 www.kalyanamitra.org

๓) มีอาชพี บริสทุ ธ์ิ อาชพี ของพระภกิ ษตุ ามพระพทุ ธบญั ญตั ิ คือ การบิณฑบาต ซงึ่ เปน็ การขอตามแบบอรยิ ประเพณี ๔) ถงึ พรอ้ มดว้ ยศลี อันไดแ้ ก่ ข้อควรปฏิบตั แิ ละข้อควรเวน้ ใน จลุ ศีล มชั ฌมิ ศีล และมหาศลี เป็นต้น คณุ สมบตั ิท้ัง ๔ ประการน้ี ย่อมสงั เกตเห็นได้จากพฤติกรรม ของพระภิกษุแต่ละรูป พระภิกษุรูปใดที่มีคุณสมบัติครบท้ัง ๔ ข้อ ดังกล่าว ย่อมถือได้ว่าเป็นพระภิกษุท่ีมีคุณลักษณะของพระสงฆ์ที่ดี ในพระพทุ ธศาสนาเบอ้ื งตน้ สมควรไดร้ บั การเคารพ นบั ถอื กราบไหว้ และทำ� นุบำ� รงุ จากฆราวาสโดยท่วั ไป ระดบั ที่ ๒ ท�ำให้ผ้บู วชมโี อกาสอบรมจติ ใจใหส้ งบประณีต ขึน้ ไปตามระดับ จนกระทง่ั บรรลฌุ านสมาบตั ิ ตัง้ แตฌ่ านท่ี ๑ ถงึ ๔ ตามลำ� ดับ ซึ่งท�ำใหส้ ามารถละกเิ ลสอยา่ งกลาง ทเ่ี รยี กวา่ นิวรณ์ ได้ เมื่อพระภิกษุสามารถฝึกฝนอบรมจิตได้เช่นนี้ ย่อมสมควรได้ช่ือว่า เปน็ พระภกิ ษทุ ม่ี คี ณุ ลกั ษณะของพระสงฆท์ ดี่ ใี นพระพทุ ธศาสนาเบอ้ื ง กลาง ซึ่งการฝึกฝนอบรมจิตใจเพ่ือให้สามารถละนิวรณ์ได้นั้น พระ ภิกษุพึงปฏบิ ตั ิดังตอ่ ไปน้ี ๑) สำ� รวมอนิ ทรยี ์ ระมดั ระวงั ในการดู การฟงั การลม้ิ รส เหลา่ นเี้ ปน็ ต้น เพ่อื มใิ หม้ สี ิ่งท่มี ากระทบใจ และเมื่อปรากฏตัวต่อหน้าผู้อน่ื ยง่ิ จะตอ้ งสำ� รวมระวงั กริ ยิ ามารยาทและการพดู จาอยเู่ สมอ ใหส้ มควร ทจ่ี ะไดร้ บั การเคารพกราบไหวจ้ ากฆราวาส อยา่ งไรกต็ าม พระภกิ ษทุ ่ี ส�ำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่เสมอ ย่อมเป็นอุปการะเกื้อหนุนให้ สามารถสำ� รวมอินทรีย์ไดท้ ้งั ต่อหน้าและลบั หลงั ผ้อู ืน่ เปน็ ปกติ 80 ทสี่ ุดแห่งธรรม ถึงไดด้ ว้ ยความเคารพ www.kalyanamitra.org

๒) ประกอบดว้ ยสตสิ มั ปชญั ญะ คอื ไมป่ ลอ่ ยใจเลอื่ นลอยหรอื เผลอสติ ๓) เป็นผสู้ ันโดษ พระภกิ ษุผสู้ ันโดษจะต้องมีความพอใจตามมี ตามได้ แม้เป็นโยมผ้ทู ่ีปวารณาไวก้ ต็ าม กไ็ มอ่ อกปากขอจนเกนิ ความ จำ� เปน็ ๔) ละนวิ รณ์ ๕ เขา้ ถงึ ฌานสมาบตั ิ คอื ตงั้ ใจเจรญิ สมาธภิ าวนา เพอื่ ใหจ้ ติ เปน็ สมาธิ ตงั้ มน่ั ไมห่ วนั่ ไหว ละนวิ รณท์ งั้ ๕ จนมคี วามบรสิ ทุ ธิ์ ผุดผอ่ ง ปราศจากความเศรา้ หมอง นมุ่ นวล ควรแกค่ ุณธรรมคณุ วิเศษ ทสี่ งู ขึน้ ไปตามลำ� ดับ ระดบั ท่ี ๓ ทำ� ใหผ้ บู้ วชสามารถบรรลวุ ชิ ชา ๘ เขา้ ถงึ คณุ ธรรม คุณวเิ ศษทปี่ ระณตี ยงิ่ ๆ ขนึ้ ไป อนั ไดแ้ ก่ ๑) วิปสั สนาญาณ ญาณรู้เห็นไปตามความเปน็ จริง ๒) มโนมยิทธิญาณ เนรมติ กายท่ีเกิดแต่ใจ ๓) อทิ ธิวิธญาณ แสดงฤทธไิ์ ด้หลายอยา่ ง ๔) ทพิ พโสตธาตญุ าณ ไดย้ นิ เสยี งดว้ ยหทู พิ ยอ์ นั บรสิ ทุ ธเิ์ หนอื มนษุ ย์ ๕) เจโตปรยิ ญาณ กำ� หนดรจู้ ติ ของสัตว์และคนอ่ืนดว้ ยจติ ของตน ๖) ปุพเพนวิ าสานสุ สติญาณ ระลกึ ชาตกิ ่อนไดห้ ลายชาติ ๗) จตุ ูปปาตญาณ เหน็ หมสู่ ตั ว์ผู้กำ� ลังจุตแิ ละกำ� ลังเกิด ๘) อาสวักขยญาณ ญาณทที่ �ำอาสวกิเลสให้สน้ิ สงั ฆคารวตา เคารพในพระสงฆ์ 81 www.kalyanamitra.org

จากคำ� ตอบของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ใน ๓ ระดบั ดงั กลา่ ว นี้ ทำ� ใหเ้ ราไดเ้ หน็ ถงึ ผลของความเปน็ สมณะหรอื อานสิ งสข์ องการ บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา พร้อมทั้งข้อปฏิบัติของพระภิกษุ ท่ีจะต้องฝึกฝนอบรมตนเองเพื่อให้ได้ตามอานิสงส์ของการบวช ในแต่ละระดับ ตั้งแต่ระดับเบ้ืองต้นถึงระดับสูง นอกจากนี้เรา ยังสามารถกล่าวได้ว่า ทั้งข้อปฏิบัติและอานิสงส์ท้ังหลายเหล่านี้ คอื มาตรฐานในการดำ� เนนิ ชีวติ บนเสน้ ทางบรรพชิต ซึง่ ทงั้ หมดนี้ ข้นึ อยู่กับการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิของพระภิกษสุ งฆเ์ องเปน็ สำ� คัญ แม้ ตัวของพุทธศาสนิกชนเอง ก็จะได้มีมาตรฐานในการพิจารณาถึง คณุ ลักษณะท่ดี ีของพระภกิ ษสุ งฆด์ ว้ ยเชน่ กัน อยา่ งไรกต็ าม อานสิ งสใ์ นระดบั กลางและระดบั สงู ทวี่ า่ ดว้ ย การเขา้ ถงึ ฌานสมาบตั แิ ละวชิ ชา ๘ นน้ั เปน็ เรอ่ื งภายในจติ ใจ เปน็ เรอื่ งท่รี ู้ได้เฉพาะตัวพระภกิ ษเุ อง จัดวา่ เปน็ อตุ ตริมนุสสธรรม คือ ธรรมอนั ยอดยง่ิ ของมนษุ ย์ เปน็ สงิ่ ยากทบ่ี คุ คลใดจะสามารถลว่ งรู้ ได้ เมือ่ พระภิกษุไม่เปดิ เผยคุณวิเศษ เรากย็ อ่ มไมม่ ีโอกาสรู้ แตเ่ รา ทา่ นท้ังหลายกพ็ อจะสงั เกตได้จากวตั รปฏิบัติ หรอื การแสดงออก ของท่าน เชน่ ไมแ่ สดงความโกรธความเกลยี ดบคุ คลอนื่ ไม่แสดง ความหดหทู่ อ้ แท้ หรือเบ่อื หนา่ ยชวี ิต ไม่แสดงความลงั เลสงสัยใน พระธรรมวนิ ยั เปน็ ตน้ ในทำ� นองตรงขา้ ม เปน็ ผทู้ มี่ วี ตั รปฏบิ ตั สิ งบ ส�ำรวม สามารถให้ก�ำลงั ใจหรอื ช้ที างสว่างใหแ้ ก่ฆราวาสได้ 82 ทสี่ ดุ แห่งธรรม ถงึ ไดด้ ้วยความเคารพ www.kalyanamitra.org

การศึกษาสามัญญผลสูตร ทำ� ให้พระภกิ ษุมมี าตรฐาน ในการดำ� เนนิ ชีวติ บนเสน้ ทางบรรพชิต แม้ตัวของพุทธศาสนกิ ชนเอง กจ็ ะได้มีมาตรฐานในการพจิ ารณา ถึงคณุ ลกั ษณะที่ดขี องพระภกิ ษสุ งฆ์ www.kalyanamitra.org

สังฆคารวตากบั ความเจรญิ รุ่งเรอื งในพระพุทธศาสนา www.kalyanamitra.org

การบวช คือ การประกาศ สงครามกับกิเลส วัตถุประสงคข์ อง พระธรรมวินยั ขาดเสยี ซึ่งครูด.ี .. ยากท่ีจะดไี ด้ พระสารบี ตุ ร... ผู้เปน็ ครูต้นแบบ ขาดเสียซึ่งสงั ฆคารวตา... ยากทจ่ี ะไปได้ตลอดรอดฝัง่ www.kalyanamitra.org

การบวช คอื การประกาศสงครามกบั กเิ ลส ในหวั ข้อที่ผา่ นมา เป็นการพดู ถงึ การฝึกฝนอบรมตนเองและ รักษาพระธรรมวินัยของคณะสงฆ์ต้ังแต่คร้ังโบราณกาล ท�ำให้เราได้ ทราบถึงอานิสงส์ของความเป็นสมณะและข้อวัตรปฏิบัติของผู้ที่บวช เขา้ มาในพระพทุ ธศาสนา เปน็ การแสดงใหเ้ หน็ ถงึ เหตแุ ละผลของการ บวช ตง้ั แตร่ ะดบั เบอื้ งตน้ ระดบั กลาง และระดบั สงู ผา่ นพระสตู รทช่ี อ่ื วา่ สามัญญผลสตู ร เราจะเห็นได้ว่า การบวชนั้นไม่ใช่เร่ืองเล็กน้อยเลย ไม่ว่าจะ เปน็ การบวชในระยะสนั้ หรอื ระยะยาว เพราะเปน็ การประกาศสงคราม กบั กเิ ลสอยา่ งกล้าหาญ โดยใช้ชีวิตของตนเองเป็นเดิมพัน ดว้ ยการ ๑) สละหมดจากความเป็นฆราวาส ๒) เว้นหมดจากความชัว่ ๓) หยุดความวุ่นวายทางกาย วาจา ใจ ในกรอบของพระธรรมวนิ ยั ทพ่ี ระพทุ ธองคท์ รงวางรากฐานไว้ เม่ือบวชแล้วต้องอาศัยอยู่ในวัด ปฏิบัติธรรมกับพระอุปัชฌาย์ หรือ พระอาจารย์ เพอ่ื บรรลุวัตถปุ ระสงค์ตามที่ได้ประกาศไว้ในทา่ มกลาง สงฆ์ คอื ๑) กำ� จดั ทุกข์ท้ังหลายให้สนิ้ (สพพฺ ทุกฺขนสิ สฺ รณ) และ ๒) ท�ำพระนิพพานให้แจ้ง (นิพฺพานสจฺฉิกรณตฺถาย) การบวชเข้ามาใน พระพุทธศาสนา นอกจากจะเป็นการบ�ำเพ็ญเนกขัมมบารมีแล้ว ยัง เป็นการบ�ำเพ็ญสัจจบารมีและอธิษฐานบารมีอย่างหนักแน่นอีกด้วย ดงั นน้ั เม่อื เราพจิ ารณาถึงหลกั การบวชที่แท้จรงิ จะเห็นไดว้ ่า 86 ท่ีสุดแหง่ ธรรม ถงึ ได้ด้วยความเคารพ www.kalyanamitra.org

๑) การบวชเป็นการกระท�ำของผู้มีปัญญามาก เพราะต้อง อาศัยปัญญาในระดบั ที่รู้ เข้าใจ และมองเห็นทุกขไ์ ด้ จงึ ปรารถนาท่ี จะออกจากทุกข์นน้ั ๆ ๒) การบวชเป็นความกล้าหาญ เพราะสมัครใจท่ีจะท�ำ สงครามกับกเิ ลส ดว้ ยการฝึกฝนอบรมตนเองตามพระธรรมวินยั ๓)การบวชมวี ตั ถปุ ระสงคช์ ดั เจนตงั้ แตเ่ รม่ิ ตน้ กลา่ วคอื เพอื่ มุ่งก�ำจัดสรรพทกุ ขใ์ หส้ ิ้นไป และเพ่อื ท�ำพระนพิ พานใหแ้ จง้ ๔)การบวชเป็นจุดเริม่ ตน้ ของความเคารพในพระรัตนตรัย เพราะตอ้ งกระท�ำใหถ้ กู ต้องตามพระธรรมวนิ ยั อย่างเครง่ ครดั สังฆคารวตา เคารพในพระสงฆ์ 87 www.kalyanamitra.org

การบวชเปน็ การประกาศสงคราม กบั กิเลสอย่างกล้าหาญ โดยใช้ชวี ิตของตนเองเป็นเดิมพนั ด้วยการสละหมดจากความเป็นฆราวาส เวน้ หมดจากความช่ัว หยุดความวนุ่ วายทางกาย วาจา ใจ www.kalyanamitra.org


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook