Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ 3, 7 ปกิณณกสังคหะสมุจจยสังคหะ

อภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ 3, 7 ปกิณณกสังคหะสมุจจยสังคหะ

Published by Pareploy, 2021-01-05 16:15:03

Description: รวบรวมเรียบเรียงโดย พระอาจารย์ ทวี เกตุธมฺโม

Keywords: religion

Search

Read the Text Version

อภธิ ัมมัตถสงั คหะ ปรจิ เฉทที่ ๓, ๗ ปกณิ ณกสงั คหะ สมจุ จยสังคหะ รวบรวมเรยี บเรยี งโดย พระอาจารย์ ทวี เกตุธมโฺ ม วัดราชสิทธาราม คณะ ๕

คานา หนังสือค่มู อื จฬู อาภิธรรมกิ ะโทฉบับนี้ อาตมาไดร้ วบรวมเรยี บเรียงข้ึน เพ่อื ให้นักศึกษาใช้ประกอบ การเรยี นอภธิ รรมในชนั้ จูฬอาภธิ รรมิกะโท อันเป็นหลกั สตู รซง่ึ พระสทั ธมั มโชตกิ ะ ธัมมาจริยะ ไดร้ จนาไว้ ไว้ดีแลว้ โดยท่ีอาตมา ยงั คงเนือ้ หาสาระเดมิ ไว้ทุกประการ เพียงแต่รวบรวมในส่วนหัวขอ้ เนอื้ หาสาระทสี่ าคญั นาเสนอในรปู แบบของผังภาพ ตาราง เพ่ือใหเ้ ห็นภาพพจนช์ ดั เจนยง่ิ ขึน้ อนั จะเป็นประโยชนแ์ ก่นักศึกษา ในการทาความเข้าใจ และจดจาได้แม่นยาย่ิงข้ึน อยา่ งไรก็ตาม การทางานทุกอยา่ ง ย่อมมีขอ้ ผดิ พลาด ขอ้ บกพร่องเกิดขน้ึ ได้ หนงั สือคู่มือ จฬู อาภิธรรมกิ ะโท ฉบบั น้ี จึงเป็นฉบบั ท่ปี รับปรงุ แก้ไขจากฉบับเดิม ซงึ่ ใชป้ ระกอบการเรยี นของปกี ารศึกษา ๒๕๔๙ ท่ีผา่ นมา โดยแก้ไขส่วนท่ีผิดพลาด และเพม่ิ เติมในส่วนที่สาคัญ เช่น คาถาต่างๆ ลงในแต่ละบท ถึงกระนนั้ หากหนงั สอื คู่มือฉบับน้ี ยงั คงมขี ้อบกพรอ่ งประการหนงึ่ ประการใด อาตมา ขอนอ้ มรับไว้แต่เพียงผู้ เดียว และยินดีรับฟงั ข้อเสนอแนะของทกุ ท่าน เพ่อื นามาแกไ้ ขปรับปรงุ ให้เปน็ คู่มอื ที่สมบูรณ์ย่ิงขน้ึ ทง้ั นี้ เพ่อื ใหเ้ กิดประโยชนส์ งู สุด แก่นกั ศึกษารุ่นตอ่ ๆ ไป หนังสอื จูฬอาภธิ รรมกิ ะโทฉบบั น้ี ไม่อาจสาเรจ็ ลงได้ โดยลาพัง อาตมาแต่เพียงผู้เดยี ว ถ้าหากขาด อุปการะจากญาติโยมผ้มู กี ศุ ลเจตนาทั้งหลาย โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ อาจารย์ ประทุม เตมิยสตู ผเู้ ป็นกาลงั สาคญั ใน การจดั การเรยี นการสอนพระอภิธรรม ท่ีไดใ้ ห้โอกาส อาตมา เป็นอาจารยผ์ ูส้ อนในช้ัน จฬู อาภธิ รรมกิ ะโท ณ วดั สามพระยา น้ี รวมท้ัง ทา่ น อศิ เรศ ธมฺมวโร และ น .ส. มณีรัตน์ อธิราษฎรไ์ พศาล ที่ไดช้ ว่ ยพิมพ์ตน้ ฉบบั นกั ศึกษาชน้ั จูฬอาภิธรรมิกะโท ภาคเรยี นที่ ๒ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๔๓ และญาติโยมทุกท่าน ท่ไี มไ่ ดอ้ อกนาม ณ ทนี่ ี้ อาตมา ขออนโุ มทนาในจิตอันเป็นมหากุศลของทา่ นท้งั หลาย และขออานาจคุณพระศรรี ตั นตรัย และ คณุ งามความดที ีข่ า้ พเจา้ กระทามาแล้วต้ังแตอ่ ดตี ชาติ จนถงึ ปัจจบุ ัน จงปกปกั ษ์รักษาประสทิ ธิ์ประสาทพร ให้ ญาตโิ ยมท้งั หลาย มีแตค่ วามสุขกายสุขใน ปราศจากโรคภัย ให้มีชวี ิตท่ดี ีงาม มปี ัญญารักษาตน มีตนเปน็ ทพี่ ง่ึ จนกวา่ จะเข้าถงึ ซ่ึงพระนิพพาน ในอนาคตกาล เทอญ...... พระทวี เกตธุ มฺโม วัดราชสิทธาราม ( คณะ ๕ ) ๑๕ มกราคม ๒๕๔๔

สารบัญ หน้า ปรจิ เฉทที่ ๓ บาลีและคาแปล ปกณิ ณกสงั คหะ ๑ ๗ มาตกิ าที่ ๑ เวทนาสังคหะ ๙ - จาแนกจิตและเจตสิก โดย เวทนา ๑๔ ๑๖ มาตกิ าที่ ๒ เหตุสังคหะ ๑๙ - จาแนกจติ โดย เหตุ ๒๐ - จาแนกจิตและเจตสิก โดย เหตุ ๒๑ - แผนผงั เหตุสังคหะ ๒๒ ๒๕ มาติกาท่ี ๓ กิจจส์ งั คหะ ๒๕ - แสดงฐาน ๑๐ ๒๖ - แผนผงั จาแนกจติ โดยกิจ ๑๔ ๒๗ - แผนผังจาแนกเจตสิก ๕๒ โดยกิจ ๑๔ ๓๐ - อายขุ องจติ พรอ้ มดว้ ยเจตสิกและรปู ๓๒ - วถิ ีจติ มี ๑๕๒ วธิ ี ๓๖ - อปุ มาการเกดิ ข้ึนของวถิ ีจติ ทางปัญจทวาร ๓๗ - แสดงฐาน โดย พสิ ดาร ๓๗ ๓๙ มาติกาท่ี ๔ ทวารสังคหะ ๔๐ - แสดงการจาแนกจติ โดยทวาริกจติ โดยแน่นอนและไม่แน่นอน ๔๓ - ตารางแสดงเอกทวารกิ จติ ฯลฯ ทวารวิมตุ ตจิต โดยแนน่ อนและไม่แนน่ อน ๔๘ - แผนผงั จาแนกจติ ๑๒๑ โดยทวาร ๔๙ ๕๑ มาตกิ าท่ี ๕ อารัมมณสังคหะ ๕๒ - คาถาแสดงจิตทร่ี บั อารมณ์แน่นอน ๔ ประเภท และไม่แน่นอน ๓ ประเภท ๕๓ - แผนผังจาแนกจิต ๑๒๑ โดยอารมณ์ ๕๔ - ตารางแสดงอารมณโ์ ดย พสิ ดาร ๕๕ ๕๕ มาติกาท่ี ๖ วตั ถุสังคหะ ๕๕ - คาถาแสดงการจาแนกภมู ิ ๓๐ โดยวตั ถุ ๖ และวญิ ญาณธาตุ ๗ - ตารางแสดงการจาแนกจิตและเจตสิกทีอ่ าศัยวัตถุรูปเกิด โดยแนน่ อน และไมแ่ นน่ อน โดยวัตถรุ ูป ๖ - แผนผังจาแนกจิต ๑๒๑ โดยวตั ถุ - แสดงภาพประกอบการจาแนกวิญญาณธาตุ ๗ - แสดงภาพทีเ่ กดิ ในกามภูมิ ๑๑ รูปภมู ิ ๑๕ อรูปภมู ิ ๔

ปรจิ เฉทที่ ๗ บาลแี ละคาแปล สมุจจยสงั คหะ ๕๖ ๖๒ - อธิบายวตั ถุธรรม ๗๒ ประการ ๖๔ อกุศลสงั คหะ คาถาแสดงองค์ธรรม ของอกศุ ลสงั คหะ ทั้ง ๙ หมวด ๖๕ - อาสวะ, โอฆะ, โยคะ ๖๕ - คนั ถะ, อุปาทาน, นวี รณะ ๖๗ - อนสุ ยั , สงั โยชน์, กิเลส ๗๑ มสิ สกสงั คหะ คาถาแสดงองคธ์ รรม ของมสิ สกะสังคหะ ท้งั ๗ หมวด ๗๑ - เหตุ, ฌานงั คะ, มัคคงั คะ ๗๒ - อินทรยี ์, พละ ๗๓ - อธบิ ดี, อาหาร ๗๖ โพธปิ ักขยิ สังคหะ ๘๗ - สติปัฏฐาน ๗๗ - สัมมัปปธาน, อทิ ธบิ าท ๗๗ - อินทรีย์, พละ ๗๘ - โพชฌงค์ ๗๘ - มัคคงั คะ ๘๑ สัพพสังคหะ ๘๑ - ขันธ์ ๘๒ - อปุ าทานกั ขันธ์ ๘๓ - อายตนะ ๘๔ - ธาตุ ๑๘ ๘๔ - อริยสัจจะ ๔ ๘๖ คากรวดน้า คานาแผ่เมตตา

คาถาสาคญั ในจูฬอาภิธรรมิกะโท ๑ ปรจิ เฉทท่ี ๓ ปกณิ ณกสงั คหะ มาติกาทง้ั ๖ และคาปฏญิ ญา คาถาสังคหะ ๑. สมปฺ ยุตตฺ า ยถาโยคํ เตปญฺ าส สภาวโต จิตฺตเจตสกิ า ธมมฺ า เตสนฺทานิ ยถารหํ ๒. เวทนาเหตุโต กจิ จฺ - ทฺวาราลมพฺ นวตฺถโุ ต จติ ฺตุปฺปาทวเสเนว สงฺคโห นาม นยี เต สภาวธรรม ๕๓ คือ จติ และเจตสกิ ชอ่ื วา่ นามเตปญฺญาส ว่าโดยลกั ษณะของตนๆ ประกอบดว้ ย เอกปุ ฺปาทตา เปน็ ตน้ ตามที่ประกอบได้ ดงั แสดงแลว้ โดยพิสดาร ( ในปรจิ เฉทท่ี ๒ ) บดั น้ี ขา้ พเจ้าจะแสดงปกณิ ณกสังคหะของจิตและเจตสิก วา่ ด้วยอานาจแหง่ การเกดิ ขน้ึ ของจิต โดยประเภทแหง่ เวทนา เหตุ กจิ จ์ ทวาร อารมณ์ และวตั ถตุ ามสมควร ๑. เวทนาสังคหะ . . คาถาแสดงเวทนา ๓ และ ๕ ๑. สขุ ํ ทกุ ขฺ มเุ ปกขฺ าติ ตวิ ธิ า ตตฺถ เวทนา โสมนสฺสํ โทมนสสฺ มติ ิ เภเทน ปญจฺ ธา ในเวทนาสังคหะนน้ั วา่ โดย อารมั มณานภุ วนลักขณะ คือ ลกั ษณะแหง่ การเสวยอารมณ์แลว้ มีเวทนา ๓ อยา่ งคือ ๑ สุขเวทนา ๒ ทกุ ขเวทนา ๓ อุเบกขาเวทนา วา่ โดย อินทรยิ เภท คือ ประเภทแหง่ อินทรียแ์ ลว้ มีเวทนา ๕ อย่าง คือ ๑ สุขเวทนา ๒ ทกุ ขเวทนา ๓ โสมนสั เวทนา ๔ โทมนสั เวทนา ๕ อเุ บกขาเวทนา คาถาแสดงการจาแนกจติ ๑๒๑ โดยเวทนา ๕ ๒. สขุ เมกตถฺ ทกุ ขฺ ญฺจ โทมนสฺสํ ทวฺ เย ติ ํ ทฺวาสฏฺ สี ุ โสมนสสฺ ํ ปญจฺ ปญฺ าสเกตรา สุขเวทนา และทกุ ขเวทนา ประกอบอยใู่ นกายวญิ ญาณจติ อยา่ งละ ๑ ดวง โทมนัสเวทนา ประกอบอยใู่ นจติ ๒ ดวง โสมนสั เวทนา ประกอบอยใู่ นจติ ๖๒ ดวง เวทนาทีน่ อกจากน้ี คอื อเุ บกขาเวทนา ประกอบอยใู่ นจิต ๕๕ ดวง {{{{{{{{{{{{{{{{{{

๒ ๒. เหตุสงั คหะ . . คาถาแสดงเหตุ ๖ หรอื ๙ ๑. โลโภ โทโส จ โมโห จ เหตู อกสุ ลา ตโย อโลภาโทสาโมโห จ กุสลาพฺยากตา ตถา ฯ อกศุ ลเหตุ มี ๓ คือ โลภเหตุ โทสเหตุ โมหเหตุ กศุ ลเหตุ และอพยากตเหตุ มีอยา่ งละ ๓ คอื อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ คาถาแสดงการจาแนกจติ โดย เหตุ ๒. อเหตุกาฏฺ ารเสก เหตุกา เทวฺ ทวฺ าวสี ติ ทวฺ ิเหตุกา มตา สตตฺ จตฺตาลีส ตเิ หตุกา ฯ นักศกึ ษาทั้งหลายพงึ ทราบวา่ อเหตกุ จิต มี ๑๘ เอกเหตกุ จิต มี ๒ ทวิเหตุกจิต มี ๒๒ ติเหตุกจิต มี ๔๗ ๓. กิจจสังคหะ . . คาถาแสดงกิจ ๑๔ และฐาน ๑๐ ๑. ปฏสิ นธฺ าทโย นาม กิจจฺ เภเทน จุทฺทส ทสธา าน{เ{ภ{เ{ท{น{{{{{{{{จ{ิต{ฺต{ปุ{{ฺปาทา ปกาสิตา ฯ แสดงจิตตุปปาทะ ทม่ี ีนามวา่ ปฏสิ นธิจติ เป็นตน้ วา่ โดยประเภทแหง่ กจิ มี ๑๔ กจิ วา่ โดยประเภทแหง่ ฐาน มี ๑๐ ฐาน คาถาแสดงการจาแนกจติ โดย กจิ และฐาน ๒. อฏฺ สฏฺ ิ ตถา เทวฺ จ นวาฏฺ เทวฺ ยถากฺกมํ เอก ทฺวิ ติ จตุ ปญจฺ กจิ จฺ ฏฺ านานิ นิทฺทเิ ส ฯ แสดงจานวนจิต โดยหน้าทแี่ ละฐาน ตามลาดบั ดงั น้ี คอื จิตท่ีมีหนา้ ที่ ๑ และฐาน ๑ มีจานวน ๖๘ ดวง จิตทีม่ ีหน้าที่ ๒ และฐาน ๒ มจี านวน ๒ ดวง จิตท่มี หี นา้ ท่ี ๓ และฐาน ๓ มจี านวน ๙ ดวง จติ ทม่ี หี น้าที่ ๔ และฐาน ๔ มจี านวน ๘ ดวง จติ ท่มี หี นา้ ท่ี ๕ และฐาน ๕ มีจานวน ๒ ดวง คาถาแสดงฐานโดยพิสดาร ๓. สนฺธิ เอกํ ฉ ภวงฺคํ ทวฺ าวชฺชนํ ปญฺจาทเฺ ยกํ เทฺว โว โช{ฉ{{ต{{{ท{{า{{เ{ท{{{วฺ {{ต{{{ิ {{{{{{จ{{ตุ {{ตี{{ิ{{ป{{ญ{ฺจวีสติ ปฏสิ นธฐิ าน มี ๑ ภวงั คฐาน มี ๖ อาวชั ชนฐาน มี ๒ ปญั จวิญญาณฐาน มี ๑ สัมปฏจิ ฉนฐาน มี ๑ สันตรี ณฐาน มี ๑ โวฏฐพั พนฐาน มี ๒ ชวนฐาน มี ๖ ตทารมั มณฐาน มี ๒ จุติฐาน มี ๓ รวมเป็น ฐาน ๒๕

๔. ทวารสังคหะ . . คาถาแสดงการจาแนกจิต ๕ ประเภท ๓ ๑. เอกทฺวารกิ จติ ตฺ านิ ปญฺจฉทฺวารกิ านิ จ ฉทวฺ ารกิ วิมตุ ตฺ านิ วิมตุ ฺตานิ จ สพฺพถา ฯ ๒. ฉตฺตสิ ติ ตถา ตณี ิ เอกตตฺ สิ ยถากกฺ มํ ทสธา นวธา เจติ ปญฺจธา ปรทิ ปี เย ฯ จิตที่เกดิ ในทวารเดียว จิตท่เี กดิ ในทวาร ๕ จติ ทเ่ี กดิ ในทวาร ๖ จติ ทีบ่ างทีเกดิ ในทวาร ๖ บางทีเกดิ พ้นจากทวาร ๖ และจิตท่ีเกดิ พ้นจากทวาร ๖ เสมอ มีจานวนตามลาดบั ดังน้ี คือ ๓๖, ๓, ๓๑, ๑๐ และ ๙ ๕. อารมั มณสังคหะ คาถาแสดงจิตท่รี บั อารมณแ์ นน่ อน ๔ ประเภท และไมแ่ นน่ อน ๓ ประเภท ๑. ปญฺจวสี ปรติ ฺตมหฺ ิ ฉ จติ ตฺ านิ มหคฺคเต เอกวีสติ โวหาเร อฏฺ นิพฺพานโคจเร ฯ ๒. วสี านุตตฺ รมตุ ตฺ มหฺ ิ อคฺคมคฺคผลุชฌฺ ิเต ปญจฺ สพฺพตถฺ ฉจเฺ จติ สตตฺ ธา ตตฺถ สงฺคโห ฯ ๑. จติ ๒๕ ดวง คือ ทวิปัญจวญิ ญาณจติ ๑๐ มโนธาตุ ๓ สันตรี ณจติ ๓ มหาวปิ ากจติ ๘ หสิตปุ ปาทจติ ๑ เกดิ ไดใ้ นอารมณ์ ๖ ที่เปน็ กามธรรม อย่างเดยี ว จิต ๖ ดวง คอื วิญญาณัญจายตนฌานจติ ๓ เนวสญั ญานาสัญญายตนฌานจิต ๓ เกดิ ได้ในธรรมารมณ์ ทเี่ ปน็ มหคั คตะ อยา่ งเดียว จติ ๒๑ ดวง คอื รปู าวจรจิต ๑๕ ( เวน้ อภิญญาจติ ๒ ) อากาสานญั จายตนฌานจติ ๓ อากญิ จัญญายตนฌานจติ ๓ เกดิ ได้ในธรรมารมณ์ที่เปน็ บญั ญัติ อยา่ งเดียว จติ ๘ ดวง คือ โลกตุ ตรจติ ๘ เกดิ ได้ในธรรมารมณ์ ที่เป็น นิพพาน อย่างเดยี ว ๒. จติ ๒๐ ดวง คอื อกศุ ลจิต ๑๒ มหากศุ ลญาณวปิ ปยุตตจติ ๔ มหากริ ิยาญาณวปิ ปยุตตจิต ๔ เกดิ ไดใ้ นอารมณ์ ๖ ทเ่ี ปน็ กามะ มหัคคตะ บัญญตั ิ ( เวน้ โลกตุ ตรธรรม ๙ ) จิต ๕ ดวง คือ มหากศุ ลญาณสมั ปยตุ ตจติ ๔ กศุ ลอภิญญาจิต ๑ เกดิ ได้ในอารมณ์ทง้ั ๖ ทเ่ี ปน็ กามะ มหคั คตะ โลกตุ ตระ บัญญตั ิ ( เวน้ อรหตั ตมรรค อรหตั ตผล ) จติ ๖ ดวง คือ มหากริ ยิ าญาณสมั ปยุตตจิต ๔ กริ ิยาอภิญญาจติ ๑ มโนทวาราวัชชนจติ ๑ เกดิ ได้ในอารมณ์ท้งั ๖ ทเ่ี ปน็ กามะ มหคั คตะ โลกตุ ตระ บญั ญัติ โดยไมม่ ีเหลอื ในอารัมมณสงั คหะน้ี มีการสงเคราะหจ์ ิต ๗ นัย โดยประเภทแหง่ เอกนั ตะ ๔ อเนกนั ตะ ๓ ดงั ท่กี ลา่ วมาแลว้ ดว้ ยประการฉะนี้

๔ ๖. วตั ถสุ ังคหะ . . คาถาแสดงการจาแนกภูมิ ๓๐ โดยวตั ถรุ ปู ๖ และ วิญญาณธาตุ ๗ ๑. ฉวตฺถุ นสิ ฺสติ า กาเม สตฺต รเู ป จตุพฺพิธา ตวิ ตถฺ ุ นิสฺสิตารเู ป ธาเตวฺ กานิสสฺ ิตา มตา ฯ นักศกึ ษาท้งั หลาย พึงทราบ วญิ ญาณธาตุ ๗ ที่อาศยั วตั ถรุ ปู ๖ เกดิ ใน กามภูมิ ๑๑ พึงทราบ วญิ ญาณธาตุ ๔ คือ จกั ขุวญิ ญาณธาตุ โสตวิญญาณธาตุ มโนธาตุ มโนวิญญาณธาตุ ท่อี าศยั วตั ถรุ ปู ๓ คือ จกั ขวุ ตั ถุ โสตวัตถุ หทยวตั ถุ เกดิ ในรปู ภูมิ ๑๕ ( เวน้ อสัญญสตั ตภูมิ ) พึงทราบ มโนวญิ ญาณธาตุ ๑ ท่ีไมไ่ ดอ้ าศยั วตั ถรุ ปู เกดิ ในอรูปภูมิ ๔ คาถาแสดงการจาแนกจิตทอี่ าศัยและไมไ่ ด้อาศัยวัตถุรปู เกดิ โดยแนน่ อน และไมแ่ นน่ อน ๒. เตจตตฺ าลสี นสิ สฺ าย เทวฺ จตฺตาลีส ชายเร นสิ ฺสาย จ อนิสฺสาย ปาการปุ ฺปา อนิสฺสิตา ฯ จติ ๔๓ ดวง คือ ปญั จวิญญาณธาตุ ๑๐ มโนธาตุ ๓ มโนวญิ ญาณธาตุ ๓๐ ได้แก่ โทสมลู จิต ๒ สนั ตีรณจิต ๓ หสิตปุ ปาทจิต ๑ มหาวปิ ากจิต ๘ รูปาวจรจติ ๑๕ โสดาปัตตมิ รรคจิต ๑ เหลา่ นี้ เกดิ ขนึ้ โดยอาศยั วัตถรุ ูปแน่นอน จติ ๔๒ ดวง คอื โลภมลู จติ ๘ โมหมลู จติ ๒ มโนทวาราวชั ชนจิต ๑ มหากศุ ลจิต ๘ มหากริ ยิ าจิต ๘ อรปู าวจรกศุ ลจติ ๔ อรปู าวจรกริ ยิ าจติ ๔ โลกตุ ตรจิต ๗ ( เว้น โสดาปัตติมรรค ) เหลา่ นี้ เกดิ ขน้ึ โดยอาศยั วตั ถรุ ปู ไมแ่ น่นอน อรปู วิปากจิต ๔ ย่อมเกดิ ขน้ึ โดยไมไ่ ดอ้ าศยั วัตถรุ ูปเลย

๕ ปริจเฉทที่ ๓ ปกณิ ณกสงั คหะ แสดงมาตกิ าท้ัง ๖ และคาปฏญิ ญา คาถาสังคหะ ๑. สมปฺ ยตุ ฺตา ยถาโยค เตปญฺญาส สภาวโต จิตตฺ เจตสิกา ธมฺมา เตสนทฺ านิ ยถารห ๒. เวทนาเหตุโต กจิ ฺจ- ทวฺ าราลมพฺ นวตฺถโุ ต จิตตฺ ปุ ฺปาทวเสเนว สงคฺ โห นาม นยี เต สภาวธรรม ๕๓ คือ จิตและเจตสกิ ชอื่ วา่ นามเตปญฺญาส วา่ โดยลกั ษณะของตนๆ ประกอบดว้ ย เอกปุ ปฺ าทตา เป็นตน้ ตามทปี่ ระกอบได้ ดังแสดงแล้วโดยพิสดาร (ในปริจเฉท ท่ี ๒ ) บดั นีข้ า้ พเจ้าจะแสดง ปกิณณกสังคหะของจิตและเจตสกิ วา่ ดว้ ยอานาจแห่ง การเกิดขนึ้ ของจิต โดยประเภทแห่ง เวทนา เหตุ กจิ จ์ ทวาร อารมณ์ และวัตถุ ตามสมควร ปกณิ ณกสงั คหะ หมายความว่า การแสดงสงเคราะห์จิต เจตสกิ โดยเร่ยี รายท่ัวๆ ไป ในสงั คหะ ๖ อยา่ ง คอื เวทนา เหตุ กจิ จ์ ทวาร อารมณ์ วตั ถุ ปกณิ ณกสงั คหะ เมอ่ื แยกบทว่า มี ๒ บท คือ ปกิณณก - สงั คหะ ปกณิ ณกะ แปลวา่ กระจัดกระจาย คละกนั เบ็ดเตลด็ เรีย่ รายทั่วๆ ไป สงั คหะ แปลวา่ รวบรวม การแสดงสงเคราะห์ คาถาท่ี ๑ สมปฺ ยุตตฺ า ยถาโยค ฯลฯ ยถารห คาถาที่ ๒ แสดงเพื่อมุ่งหมายเปน็ ปุพพานสุ ันธิ ( สนธกิ ่อน ) คือ กล่าวเช่ือมระหวา่ งปริจเฉทท่ี ๒ กบั ปรจิ เฉทที่ ๓ ต่อกนั เวทนาเหตุโต ฯลฯ นียเต แสดงเพ่ือมงุ่ หมายเปน็ อปรานุสันธิ ( สนธิหลงั ) คือ กลา่ วแสดงหัวขอ้ มาติกาทง้ั ๖ ของปริจเฉทท่ี ๓ และกลา่ วปฏญิ ญา ( คารบั รอง ) ว่าจะแสดงขยายความแหง่ การเกดิ ขนึ้ ของจิตเจตสกิ โดย แบ่งประเภทแหง่ หวั ขอ้ ท้ัง ๖ นน้ั คอื เวทนา เหตุ กจิ จ์ ทวาร อารมณ์ วตั ถุ

๖ ปกิณณกสงั คหะ ๖ อยา่ ง ( หรือ เรยี กว่า มาตกิ า ๖ ) ๑. เวทนาสงั คหะ การแสดงสงเคราะหจ์ ิต เจตสกิ โดยประเภทแหง่ เวทนา ๓ หรอื ๕ ๒. เหตุสังคหะ การแสดงสงเคราะห์จิต เจตสิก โดยประเภทแหง่ เหตุ ๖ หรอื ๙ ๓. กิจจสงั คหะ การแสดงสงเคราะหจ์ ิต เจตสิก โดยประเภทแห่ง กจิ ๑๔ และฐาน ๑๐ ๔. ทวารสังคหะ การแสดงสงเคราะห์จิต เจตสิก โดยประเภทแหง่ ทวาร ๖ ๕. อารัมมณสังคหะ การแสดงสงเคราะหจ์ ิต เจตสิก โดยประเภทแห่ง อารมณ์ ๖ ๖. วัตถุสังคหะ การแสดงสงเคราะห์จิต เจตสิก โดยประเภทแหง่ วตั ถุ ๖ (๑) เวทนาสังคหะ (๒) เหตสุ ังคหะ (๓) กิจจสังคหะ (๔) ทวารสงั คหะ (๕) อารัมมณสงั คหะ (๖) วัตถสุ งั คหะ เว. ๓ เหตุ ๖ กจิ ๑๔ ทวาร ๖ อา ๒ วตั ถุ ๖ เว. ๕ เหตุ ๙ ฐาน ๑๐ ทวาร ๕ อา ๔ ปจั จยั ๓ ภูมิ๓๐ วิญ ๗ จติ ๔ ฐานพิ ๒๕ เอก ๓๖ ปญจ๕ จิต ๔๓ / ๔๒/๔ เจตสิก ๒ ฉ ๖ ทวาร๑๐ อา ๖ อคหติ คั ทวารวิมุต ๙ คหติ ัค อา ๒๑ นามเตปญฺ าส ไดแ้ ก่ สภาวธรรม ๕๓ คือ จติ ๑ เจตสิก ๕๒ รวมเป็น สภาวธรรม ๕๓ ที่นบั อยา่ งนี้ คือ นบั ลกั ษณะอาการของตนๆ ดงั นี้  จิต ๘๙ – ๑๒๑ ดวง นับเป็น ๑ เพราะ เมอื่ วา่ โดยลักษณะแล้ว มีลกั ษณะอย่างเดียว คอื มกี ารไดร้ บั อารมณ์อยเู่ สมอ เหมอื นกันหมด ( อารมมฺ ณวิชานนลกฺขณา )  เจตสกิ ๕๒ ดวง เมอ่ื วา่ โดยลกั ษณะแลว้ มลี ักษณะของตนโดยเฉพาะ เช่น ผสั สเจตสกิ มลี กั ษณะกระทบอารมณ์ ( ผุสนลกขฺ ณา ) เหลา่ นีเ้ ปน็ ตน้ เมื่อรวมจิตและเจตสกิ แลว้ มี ๕๓ จึงเรียกชื่อภาษาบาลวี า่ นามเตปญฺ าส

๗ มาติกาที่ ๑ เวทนาสังคหะ เวทนาสงั คหะ หมายความวา่ การแสดงสงเคราะห์จิต เจตสกิ โดยประเภทแหง่ เวทนา ๓ และ ๕ แสดงเวทนา ๓ และ ๕ ๑. สุข ทกุ ฺขมเุ ปกขฺ าติ ติวธิ า ตตฺถ เวทนา โสมนสสฺ โทมมสฺส- มิติ เภเทน ปญจฺ ธา ในเวทนาสังหคะน้นั วา่ โดย อารัมมณานุภวนลักษณะ คอื ลกั ษณะแหง่ การเสวยอารมณแ์ ล้ว มเี วทนา ๓ อย่าง คือ ๑. สุขเวทนา ๒. ทุกขเวทนา ๓. อุเบกขาเวทนา ว่าโดย อนิ ทรยิ เภท คอื ประเภทแห่งอนิ ทรีย์แล้ว มเี วทนา ๕ อย่าง คือ ๑. สุขเวทนา ๒. ทกุ ขเวทนา ๓. โสมนสั เวทนา ๔. โทมนสั เวทนา ๕. อเุ บกขาเวทนา ในเวทนาสังคหะนนั้ เมอื่ ว่าโดย อารัมมณานภุ วนลักขณนยั คอื ลักษณะแห่งการเสวยอารมณแ์ ลว้ มี ๓ คือ ๑. ในขณะท่ีเสวยอารมณอ์ ยู่นัน้ บางครงั้ รูส้ ึกสบาย เรยี กวา่ สุขเวทนา ๒. ในขณะท่เี สวยอารมณ์อยู่นน้ั บางครง้ั รู้สกึ ไม่สบาย เรยี กวา่ ทกุ ขเวทนา ๓. ในขณะทีเ่ สวยอารมณอ์ ยนู่ น้ั บางคร้ังรู้สึกเฉย ๆ ไม่สขุ ไมท่ ุกข์ เรยี กวา่ อเุ บกขาเวทนา เมื่อว่าโดย อนิ ทรยิ เภทนยั คอื ประเภทแหง่ อนิ ทรีย์แล้ว ( คือ ความเป็นใหญ่ เปน็ ผปู้ กครอง ) การเสวยอารมณ์ของสัตว์ท้งั หลาย เกี่ยวเนอ่ื งดว้ ยกายบา้ ง และเกี่ยวเน่อื งดว้ ยใจบา้ ง รวมแลว้ มี ๕ คือ ๑. ความรสู้ กึ สบายทเี่ กย่ี วดว้ ยกายน้นั เวทนาเจตสิกท่อี ยู่ใน สุขสหคตกายวิญญาณจิต เปน็ ใหญ่ เป็นผู้ปกครอง เรยี กว่า สุขเวทนา ๒. ความร้สู กึ ไม่สบายทเ่ี กย่ี วดว้ ยกายน้นั เวทนาเจตสิกทีอ่ ยูใ่ น ทุกขสหคตกายวญิ ญาณจติ เปน็ ใหญ่ เป็นผปู้ กครอง เรียกว่า ทุกขเวทนา ๓. ความรสู้ กึ สบายท่ีเกี่ยวด้วยใจน้ัน เวทนาเจตสิกที่อย่ใู น โสมนัสสหคตจิต เปน็ ใหญ่ เปน็ ผ้ปู กครอง เรยี กว่า โสมนสั เวทนา ๔. ความรสู้ ึกไมส่ บายท่เี กย่ี วดว้ ยใจน้นั เวทนาเจตสกิ ท่อี ยูใ่ น โทสมูลจิต เป็นใหญเ่ ปน็ ผ้ปู กครอง เรียกวา่ โทมนสั เวทนา ๕. ความรสู้ กึ เฉย ๆ นัน้ เวทนาเจตสิกทอ่ี ยูใ่ น อุเบกขาสหคตจิต เปน็ ใหญ่ เป็นผู้ปกครอง เรยี กว่า อุเบกขาเวทนา

๘ แสดงการจาแนกจิตโดยเวทนา ๕ ๒. สขุ เมกตถฺ ทุกขฺ ญจฺ โทมนสฺส ทวฺ เย ติ ทฺวาสฏฺ ีสุ โสมนสฺส ปญฺจปญฺญาสเกตรา สขุ เวทนาและทกุ ขเวทนาประกอบอยู่ในกายวญิ ญาณจิต อย่างละ ๑ ดวง โทมนัสเวทนาประกอบอย่ใู นจติ ๒ ดวง โสมนัสเวทนาประกอบอยูใ่ นจติ ๖๒ ดวง เวทนาทีน่ อกจากนี้ คือ อเุ บกขาเวทนาประกอบอยใู่ นจติ ๕๕ ดวง .............................................................. พทุ ธองค์ ช่วยใคร ไม่ได้หรอก ทรงเป็นเพยี ง ผ้บู อก หนทางให้ เปน็ ผชู้ ้ี ทางเดิน ดาเนินไป ใหผ้ ้ทู ี่ มุง่ หมาย ไปนพิ พาน โลภโกรธหลงวงวน แห่งวฏั ฏะ ลดเลิกละ บว่ งกเิ ลส เหตุเผาผลาญ เพอ่ื ขจัด ความมดื มน พน้ บว่ งมาร เพือ่ กา้ วขา้ ม สงสาร สิน้ ภพไป พระอาจารย์ ทวี เกตุธมฺโม

๙ จาแนกจติ ๑๒๑ และเจตสิก ๕๒ โดย เวทนา ๕ จิต เจตสิก จิตท่เี กดิ พรอ้ มด้วย สุขเวทนา มี ๑ คือ เจตสิกที่เกิดพร้อมด้วย เวทนา ๑ มี ๖ คือ สขุ สหคตกายวิญญาณจติ ๑ ปตี เิ จตสกิ ๑ เกดิ พร้อมดว้ ย โสมนัสเวทนา จิตท่เี กดิ พร้อมด้วย ทุกขเวทนา มี ๑ คอื โทจตุกเจตสิก ๔ เกดิ พร้อมด้วย ทุกขสหคตกายวิญญาณจติ ๑ โทมนสั เวทนา วิจกิ จิ ฉาเจตสิก ๑ เกดิ พร้อมด้วย จิตท่เี กดิ พรอ้ มด้วย โสมนสั เวทนา มี ๖๒ คอื อุเบกขาเวทนา โสมนัสสหคตจติ ๖๒ เจตสิกทเ่ี กดิ พร้อมด้วย เวทนา ๒ มี ๒๘ คือ จติ ทเ่ี กิดพร้อมด้วย โทมนัสเวทนา มี ๒ คือ โลติกเจตสิก ๓ โสภณเจตสกิ ๒๕ โทสมลู จติ ๒ เกิดพรอ้ มด้วย โสมนัสและอเุ บกขาเวทนา จิตที่เกิดพร้อมดว้ ย อุเบกขาเวทนา มี ๕๕ คอื เจตสิกทเ่ี กิดพร้อมดว้ ย เวทนา ๓ มี ๑๑ คือ อเุ บกขาสหคตจติ ๕๕ ปกิณณกเจตสกิ ๕ (เว้นปีติ) โมจตกุ เจตสิก ๔ ถีทกุ เจตสกิ ๒ เกิดพรอ้ มด้วย โสมนัส โทมนสั และ อุเบกขาเวทนา เจตสิกท่ีเกดิ พรอ้ มดว้ ย เวทนา ๔ ไม่มี เจตสิกทเี่ กดิ พร้อมด้วย เวทนา ๕ มี ๖ คือ สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๖ ( เว้นเวทนา ) เกิดพร้อมด้วยเวทนา ๕ ทง้ั หมด เจตสกิ ท่ีไมเ่ กดิ พร้อมดว้ ยเวทนา มี ๑ คือ เวทนาเจตสิก

๑๐ หมายเหตุ การท่ี โลภมูลจิต ๘ เกดิ พรอ้ มดว้ ย เวทนา ๒ คือ โสมนัสเวทนา และ อุเบกขาเวทนา น้ันเพราะอารมณ์ ท่ีโลภมลู จิตเขา้ ไปรบั นนั้ มี ๒ ประเภทดว้ ยกัน คือ อติอิฏฐารมณ์ (อารมณท์ ป่ี รารถนาย่ิง) และอิฏฐมชั ฌัตตารมณ์ ( อารมณ์ทปี่ รารถนาปานกลาง ) การที่ โทสมูลจิต ๒ เกดิ พรอ้ มดว้ ย โทมนสั เวทนา น้นั ก็เพราะโทสมลู จิต เขา้ ไปรองรับอารมณป์ ระเภท เดียวกนั คอื อนิฏฐารมณ์ การท่ี โมหมลู จติ ๒ เกิดพร้อมดว้ ย อุเบกขาเวทนา อยา่ งเดยี วน้ัน ก็เพราะโมหมูลจติ นั้นเปน็ จติ ทม่ี กี าลัง อ่อนโดยสภาวะ เพราะประกอบด้วย ความซดั ส่าย และฟงุ้ ซ่าน การท่ี จกั ขุ โสต ฆาน ชิวหา ท้งั ๘ ดวงนี้ เกดิ พร้อมด้วย อุเบกขาเวทนา อยา่ งเดยี วน้ันกเ็ พราะจิตเหลา่ นี้ เกิดขน้ึ ดว้ ยอานาจแหง่ การกระทบกนั ระหว่าง อุปาทายรูป กับ อุปาทายรูป ฉะนน้ั การกระทบกันจึงมกี าลงั อ่อน ดจุ การกระทบกันระหวา่ งสาลีกบั สาลี ฉันนั้น การที่ กายวญิ ญาณจติ ๒ เกดิ พรอ้ มด้วย ทุกขเวทนาในอารมณท์ ี่ไมด่ ี และเกดิ พร้อมสุขเวทนาในอารมณ์ ทีด่ นี ัน้ กเ็ พราะ จิต ๒ ดวงนี้ เกิดขึน้ จากการกระทบกนั ระหวา่ ง กายปสาท กับ โผฏฐพั พารมณ์ อนั เป็นการ กระทบกนั ระหวา่ ง อุปาทายรูปกบั มหาภตู รปู การกระทบจงึ ลว่ งเลยกายปสาทไปถึงมหาภตู รปู อนั เปน็ ท่ีตัง้ ของ กายปสาท ฉะนั้น การกระทบกันจงึ มกี าลงั ดุจเอาฆ้อนทุบสาลที ่วี างอยู่บนทง่ั ฆอ้ นย่อมลว่ งเลยสาลีไปกระทบ กับท่ัง อันเป็นทต่ี ้งั อาศัยของสาลี ฉันน้นั การที่ สัมปฏจิ ฉนจิต ๒ เกดิ พร้อมดว้ ย อเุ บกขาเวทนา ทั้งในปัญจารมณ์ทีด่ ีและไม่ดี ก็เพราะในลาดบั แห่งการเกดิ ข้ึนน้ันติดตอ่ กบั ปญั จวญิ ญาณ อนั มที อี่ าศยั ต่างกันกบั ตน ฉะนัน้ จงึ มีกาลังอ่อน เพราะไมไ่ ด้รบั อนันตรปัจจยั จากจติ อนั มีทอ่ี าศัยเหมือนกัน ดจุ บุรุษผู้ขาดมิตรทส่ี ภาคะกนั คอยชว่ ยเหลือ ฉนั นัน้ การท่ี สันตีรณอกศุ ลวบิ าก ๑ เกิดพร้อมดว้ ย อเุ บกขาเวทนา อย่างเดยี วท้งั ในอารมณท์ ่ไี มด่ ีและไม่ดมี าก นั้น ก็เพราะ ผลของอกุศลกรรม มสี ภาพทรามโดยรอบ ผลจะมากหรือน้อย ก็ไม่มใี ครปรารถนา แต่ตอ้ งรับเมอื่ ไม่อาจขดั ขืนได้ ก็ต้องวางเฉย ดจุ บุรษุ ออ่ นแอถูกบุรษุ ทีม่ ีกาลงั กว่าข่มเหง เม่ือไมอ่ าจจะโต้ตอบได้ จึงต้อง วางเฉย การท่ี สนั ตรี ณกศุ ลวบิ าก ๑ เกดิ พรอ้ มดว้ ย อเุ บกขาเวทนา ในอฏิ ฐมชั ฌัตตารมณ์ และโสมนัสเวทนาใน อติอฏิ ฐารมณ์ ก็เพราะในลาดบั แห่งการเกิดข้ึนนนั้ ตดิ ต่อกับ สมั ปฏิจฉนจิต อนั มที ีอ่ าศัยเหมือนกันกับตน จงึ มี กาลงั เพราะไดร้ บั อนันตรปัจจัยจากจิตอนั มที ี่อาศัยเหมือนกัน ดจุ บุรษุ ผ้ไู ด้รบั การช่วยเหลือจากมติ รท่สี ภาคะกัน ฉนั นั้น

๑๑ การที่ ปญั จทวาราวัชชนจติ ๑ เกิดพร้อมด้วย อุเบกขาเวทนา ท้งั ในปัญจารมณ์ที่ดีและไม่ดีน้นั ก็เพราะ เปน็ จติ ทเ่ี กดิ ขึ้นรับปัญจารมณเ์ ป็นดวงแรก ฉะนั้น จึงมกี าลังออ่ น ไมส่ ามารถเสวยรสอารมณ์ได้เต็มท่ี ดุจเดก็ แรกเกิด ฉนั นน้ั การท่ี มโนทวาราวชั ชนจิต ๑ เกดิ พรอ้ มด้วย อเุ บกขาเวทนา ท้ังในอารมณ์ทีด่ ีและไม่ดีนน้ั ก็เพราะใน ขณะทที่ าหนา้ ท่ี โวฏฐพั พนะ ในทางปัญจทวารกเ็ สวยอารมณไ์ ดเ้ ลก็ น้อยตามหนา้ ที่ ดจุ ตน้ เคร่อื งของพระราชา ฉนั น้นั ส่วนในขณะทาหน้าท่พี ิจารณาอารมณท์ างมโนทวาร กเ็ ป็นจติ ทเี่ กิดเปน็ ดวงแรก ฉะนัน้ จงึ มีกาลังออ่ น การท่ี หสิตุปปาทจติ ๑ เกิดพร้อมด้วย โสมนสั เวทนา นนั้ ก็เพราะจติ ดวงนเี้ ปน็ จิตของพระอรหันต์ ท่ี ปรารถนากามธรรมทไี่ มห่ ยาบเกิดขนึ้ เชน่ ทางตา ท่านเหน็ สถานท่ีที่เหมาะสมกบั การบาเพ็ญเพียร ทา่ นก็รา่ เริง อยู่ด้วยจิตดวงนี้เปน็ ต้น การที่ มหากุศลจติ ๘ เกิดพรอ้ มด้วย โสมนสั เวทนา และ อุเบกขาเวทนา น้ัน เอาศรัทธา และการเหน็ อานิสงฆ์ในการสร้างกุศลเปน็ ตน้ มาเป็นเครอ่ื งตดั สิน ถ้าเป็นผมู้ ากไปด้วยศรทั ธาและการเห็นอานิสงฆก์ ารทา กศุ ลก็จะเกดิ พร้อมดว้ ยโสมนสั เวทนา แตถ่ า้ เป็นผนู้ อ้ ยไปดว้ ยศรทั ธา และไม่เห็นอานิสงส์ การทากุศลกจ็ ะเกดิ พร้อมดว้ ยอุเบกขาเวทนา สว่ น มหาวิปากจิต ๘ มีเวทนาเช่นเดียวกบั มหากุศล ถ้ามหาวบิ ากเปน็ ผลของมหากุศลดวงไหน ก็จะมี เวทนาเช่นเดียวกนั กบั มหากุศล ดวงน้นั การท่ี มหากรยิ าจิต ๘ เกดิ พร้อมดว้ ย โสมนัสเวทนา และ อุเบกขาเวทนา น้นั ก็เพราะเป็นจิตของ พระอรหนั ตท์ ี่ปราศจากวิปลาสธรรม ฉะนั้น จึงข้ึนอยูก่ ับอารมณ์ ถ้าเป็นอารมณ์ท่ดี ยี ่ิง เวทนาก็เป็นโสมนัส ถ้าเปน็ อารมณท์ ดี่ ีปานกลาง หรือไมด่ ี เวทนานัน้ ก็เปน็ อเุ บกขา การที่พระอรหันต์รบั อารมณท์ ไี่ มด่ แี ล้ว เวทนา ทเ่ี ขา้ ไปเสวยอารมณ์นน้ั เปน็ อุเบกขาเวทนา เพราะวา่ อรหันตน์ ัน้ ละวิปลาสธรรมไดแ้ ล้ว ฉะนน้ั เวทนาที่เข้าไป เสวยอารมณ์อยนู่ น้ั จึงเปน็ อเุ บกขาเวทนา การท่ี รูปาวจรฌานจติ ๑๒ (เว้นปัญจมฌานจิต ๓) เกิดพร้อมด้วย โสมนัสเวทนา น้นั ก็เพราะยงั ไม่ สามารถละสุขขององค์ฌาน อันมีปทฏั ฐานมาจากปสั สทั ธิได้ การที่ รูปาวจรปัญจมฌานจิต ๓ และ อรปู ฌานจติ ๑๒ เกิดพรอ้ มด้วย อเุ บกขาเวทนา น้นั กเ็ พราะวา่ ปญั จมฌานจิต เปน็ จิตทีล่ ะสุขขององคฌ์ านได้ ฉะนนั้ จงึ เปน็ ไประหวา่ งสุขกับทุกขเ์ วทนาจึงเป็นอุเบกขาเท่านั้น

๑๒ การท่ี โลกุตตรจิต โดยพิสดาร ๔๐ มเี วทนาเชน่ เดยี วกันกับฌานท่เี ข้า หรอื พจิ ารณา ในชว่ งวฏุ ฐานคามินี กอ่ นหนา้ ท่มี รรคผลจะเกดิ คือ ถ้าในชว่ งน้ันเขา้ หรอื พิจารณาปฐมฌาน มรรคจติ ผลจิตก็เกิดพร้อมดว้ ย ปฐมฌาน เปน็ ต้น สว่ น โลกุตตรจิต โดยย่อ ๘ บางคร้ังเกดิ พรอ้ มดว้ ย โสมนสั เวทนาบ้างอเุ บกขาเวทนาบ้าง ทีเ่ ปน็ เชน่ นี้ก็ เพราะ ในชว่ งวฏุ ฐานคามินวี ิปสั สนา ถ้าท่านพิจารณาสังขารธรรมด้วยจิตทเ่ี ปน็ โสมนสั มรรคจติ และผลจิต ก็เกดิ พร้อมดว้ ย โสมนสั เวทนา ถ้าในช่วงวฏุ ฐานคามนิ วี ปิ สั สนา ทา่ นพจิ ารณาสงั ขารธรรม ด้วยจิตท่ีเปน็ อุเบกขา มรรคจติ ผลจิตก็เกดิ พร้อมด้วยอเุ บกขาเวทนา เวทนาเจตสกิ ทีไ่ มไ่ ดเ้ กิดพร้อมด้วยเวทนาอยา่ งใดอย่างหนงึ่ นน้ั ก็เพราะวา่ การเสวยอารมณ์ ทเี่ กี่ยว ด้วยทางกายก็ดี เก่ยี วดว้ ยทางใจก็ดี เป็นสภาพของเวทนาเจตสกิ ทงั้ สิ้น นอกจากเวทนาเจตสกิ แล้วไมม่ สี ภาพอ่ืน ทาการเสวยอารมณ์ได้ ฉะนน้ั เวทนาเจตสิกทเี่ สวยอารมณท์ ด่ี ี เก่ียวดว้ ยทางกาย เรยี กวา่ สขุ เวทนา เวทนาเจตสิกท่ีเสวยอารมณท์ ไี่ มด่ ี เกีย่ วด้วยทางกาย เรียกว่า ทกุ ขเวทนา เวทนาเจตสกิ ท่ีเสวยอารมณ์ท่ีดี เกย่ี วดว้ ยทางใจ เรียกวา่ โสมนัสเวทนา เวทนาเจตสิกที่เสวยอารมณท์ ่ีไมด่ ี เกย่ี วดว้ ยทางใจ เรียกว่า โทมนัสเวทนา เวทนาเจตสกิ ทเ่ี สวยอารมณ์ปานกลาง เกีย่ วดว้ ยทางใจ เรียกวา่ อเุ บกขาเวทนา ด้วยเหตนุ ้ี เวทนาเจตสิก จึงไม่ได้เกดิ พรอ้ มกบั เวทนาอ่ืน ๆ จบเวทนาสงั คหะ  ๑. เขตตฺ ปู มา อรหนโฺ ต อุปมา ๓ ประเภท ๒. ทายกา กสฺสถูปมา พระอรหันตท์ ง้ั หลายเปรยี บด้วยนา ๓. พชี ูปม เทยฺยธมมฺ ทายกทงั้ หลายเปรียบด้วยชาวนา ไทยธรรมเปรยี บด้วยพชื ข.ุ เปต. ๒๖/๘๖/๑๕๗

มี ก–าจมุ จิต๒ ๑๓ ๕ดว๔ง นัตถิภาว บญั ญตั ิ คอื เวทนาสงั คหะ ความไมม่ ี จาแนกจิต ๑๒๑ โดย เวทนา ๕ จาแนกเจตสิก ๕๒ โดย เวทนา ๕ อะไร ๆ ของ จิต อากาสานัญ โส โส โส โส จายตนกุศล อุ อุ อุ อุ สุ - สุข ๑ ๕ - ๕๕๕๕๕ หรอื กริยา โท โท ทุ - ทกุ ข์ ๑ ๓๓๓๓ ๑ ๓ โส - โสมนสั ๖๒ เปน็ อารมณ์ อุ อุ โท - โทมนัส ๒ ๓๓๓๓ อุ - อุเบกขา ๕๕ ๒๒๒ ๑๑๑๑ อุ อุ อุ อุ ทุ อุ อุ ๓๓ ๑ อุ อุ อุ อุ สุ อุ อุ โส อุ อุ โส โส โส โส โส โดยเวทนา ๓ ๒๒๒๒๒๒๒ อุ อุ อุ อุ - เกิดพรอ้ มด้วย สุขเวทนา มี ๖๓ ๒๒๒ ๒๒ สขุ สหคตกายวิญญาณจติ ๑ โส โส โส โส โสมนัสสหคตจิต ๖๒ ๒๒ ๒๒ อุ อุ อุ อุ โส โส โส โส - เกดิ พรอ้ มดว้ ย ทกุ ขเวทนา มี ๓ ๒ ๒๒ อุ อุ อุ อุ ทุกขสหคตกายวิญญาณจติ ๑ โทมนสั สหคตจติ ๒ ๒ ๒๒ โส โส โส โส อุ โส โส โส โส อุ - เกดิ พร้อมด้วย อเุ บกขาเวทนา มี ๕๕ ๒๒ โส โส โส โส อุ อุเบกขาสหคตจิต ๕๕ ๒๒ อุ อุ อุ อุ เจตสิก อุ อุ อุ อุ ๑ เกิดพร้อมด้วยเวทนาอย่างเดียวมี ๖ อุ อุ อุ อุ ปตี ิเจตสิก ๑ ( โสมนัสเวทนา ) โทจตุกเจตสกิ ๔ ( โทมนัสเวทนา ) โส โส โส โส อุ โดยเวทนา ๕ วิจิกิจฉาเจตสิก ๑ ( อเุ บกขาเวทนา ) โส โส โส โส อุ โส โส โส โส อุ - เกิดพรอ้ มด้วย สขุ เวทนา มี ๑ ๒ เกดิ พร้อมด้วยเวทนา ๒ มี ๒๘ โส โส โส โส อุ สุขสหคตกายวญิ ญาณจติ ๑ โลติกเจตสกิ ๓, โสภณเจตสิก ๒๕ ( โสมนสั เวทนา และอุเบกขาเวทนา ) โส โส โส โส อุ - เกิดพร้อมด้วย ทกุ ขเวทนา มี ๑ โส โส โส โส อุ ทกุ ขสหคตกายวิญญาณจติ ๑ ๓ เกดิ พร้อมเวทนา ๓ มี ๑๑ ปกณิ ณกเจตสกิ ๕ ( เว้นปีติ ) โส โส โส โส อุ - เกดิ พร้อมด้วย โสมนสั เวทนา มี ๖๒ โมจตุกเจตสิก ๔, ถีทกุ เจตสิก ๒ โสมนัสสหคตจิต ๖๒ ( โสมนสั โทมนัสและอเุ บกขาเวทนา ) โส โส โส โส อุ - เกิดพรอ้ มด้วย โทมนัสเวทนา มี ๒ ๔ เกดิ พร้อมเวทนา ๔ ไม่มี โทสมลู จติ ๒ ๕ เกิดพร้อมเวทนา ๕ มี ๖ - เกดิ พรอ้ มดว้ ย อเุ บกขาเวทนา มี ๕๕ สพั พจติ ตสาธารณเจตสกิ ๖ ( เวน้ เวทนา ) อุเบกขาสหคตจติ ๕๕ - ไมเ่ กดิ พรอ้ มดว้ ยเวทนา มี ๑ เวทนาเจตสกิ

๑๔ มาตกิ าที่ ๒ เหตสุ งั คหะ เหตสุ ังคหะ หมายความว่า การแสดงสงเคราะห์ จิต เจตสิก โดยประเภทแหง่ เหตุ ชอ่ื ว่า เหตสุ ังคหะ แสดงเหตุ ๖ หรอื ๙ โลโภ โทโส จ โมโห จ เหตู อกุสลา ตโย อโลภาโทสาโมโห จ กุสลาพฺยากตา ตถา ฯ อกศุ ลเหตุ มี ๓ คือ โลภเหตุ โทสเหตุ โมหเหตุ กศุ ลเหตแุ ละอพยากตเหตุ มีอยา่ งละ ๓ คือ อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ คาว่า เหตุนี้ หมายความว่า เปน็ ธรรมชาตทิ ส่ี ามารถใหผ้ ลเกดิ ขึ้นได้ และผลเหล่านั้นก็ตง้ั อย่ไู ด้โดย อาศยั ธรรมชาตนิ ัน้ ฉะน้ัน ธรรมชาตินั้นจึงช่ือวา่ เหตุ ได้แก่ เหตุ ๖ ( คอื โลภเหตุ โทสเหตุ โมหเหตุ อโลภเหตุ อโทสเหตุ อโมหเหตุ ) เหตมุ ี ๔ อยา่ ง คือ ๑. เหตเุ หตุ ได้แก่ เหตุ ๖ คอื โลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ (ปัญญา) ๒. ปจฺจยเหตุ ไดแ้ ก่ มหาภตู รูป ๔ อันเปน็ เหตใุ นการเรียกช่อื ของรูปขันธ์ ๓. อุตฺตมเหตุ ได้แก่ กศุ ลกรรม และ อกศุ ลกรรม อนั เป็นเหตุใหเ้ กิด กศุ ลวิบาก และ อกศุ ลวิบาก ๔. สาธารณเหตุ ไดแ้ ก่ อวิชชา อนั เป็นเหตุให้เกิดสังขาร ( ปฏั ฐานอรรถกถา น. ๓๗๑ ) ในปรจิ เฉทที่ ๓ นี้ ทรงหมายเอาเหตุ ขอ้ ท่ี ๑ คือ เหตุเหตุ ไดแ้ ก่ เหตุ ๖ มี โลภเหตุ เป็นต้น ธรรมที่เป็นผลของเหตุเหล่าน้นั ไดแ้ ก่ สเหตกุ จิต ๗๑ เจตสกิ ๕๒ ( เว้น โมหเจตสิกทใ่ี นโมหมลู จิต ๒) สเหตกุ จติ ตชรูป สเหตุกปฏสิ นธิกมั มชรปู เม่อื วา่ โดย บคุ คลาธษิ ฐานแลว้ ไดแ้ ก่ สัตว์ท้ังหลายและการกระทา ต่าง ๆ ทีเ่ ก่ยี วด้วย กาย วาจา และกรยิ าอาการพเิ ศษ ท่ปี รากฏในรา่ งกายของสัตว์ เช่น หนา้ ตายมิ้ แยม้ แจ่มใส ผอ่ งใส เป็นต้น เหลา่ นี้ เป็นผลทีเ่ กิดมาจากเหตทุ ั้งสนิ้ และผลตา่ ง ๆ เหล่านเี้ ม่ือเกดิ แลว้ กไ็ มไ่ ดส้ ญู หายไปทันที ย่อมตง้ั อยูไ่ ดเ้ จริญข้ึนได้ กเ็ พราะอาศยั เหตเุ หล่าน้ี เช่นเดยี วกนั เหตตุ า่ งๆ มโี ลภะ เป็นตน้ เหลา่ นี้ เป็นมูลรากอัน สาคญั ที่จะทาให้เกดิ ผลดงั กลา่ ว อปุ มาเหมือนรากแกว้ ของต้นไม้ ผลนัน้ เหมือนกนั กับตน้ ไม้ และก่ิงกา้ น สาขาดอกผล หน้าทีข่ องเหตุมี ๓ คือ ๑. ใหผ้ ลเกิดขึ้น ๒. ให้ผลทเ่ี กดิ ขึน้ แลว้ เจริญข้ึน ๓. ใหผ้ ลตั้งมน่ั อยู่ในอารมณ์

๑๕ โลภะ มคี วามยดึ มน่ั ในอารมณ์ เปน็ ลักษณะ เหมอื นลงิ ติดตัง มีความติดในอารมณ์ เปน็ รส เหมอื นชนิ้ เนือ้ ท่ใี ส่ในกระเบ้ืองอันร้อน มกี ารไมล่ ะ เป็นอาการปรากฏ เหมือนเปื้อนสีน้ามัน มีความเหน็ ชอบในธรรมอันเปน็ เป็นเหตใุ กล้ เมอื่ เจรญิ ขนึ้ โดยความเป็นแม่นา้ คือ อารมณ์ของสังโยชน์ ตณั หา พงึ ทราบว่า ยอ่ มพาไปส่อู บาย เทา่ นนั้ เหมือ นแมน่ า้ ทีม่ ีกระแสเช่ยี ว ยอ่ มพัดพาไปสู่มหาสมุทร ฉะน้ัน โทสะ มคี วามดุร้าย เป็นลกั ษณะ เหมือนอสรพิษทถี่ ูกตี มีความกระสบั กระส่าย เปน็ รส เหมอื นถกู วางยาพษิ หรือมีการเผาที่อยขู่ องตน เปน็ รส เหมือนไฟไหมป้ า่ มีการประทษุ รา้ ย เปน็ อาการปรากฏ เหมอื นศัตรูทไ่ี ด้โอกาส มีวัตถุอันเปน็ ท่ตี ั้งแหง่ ความอาฆาต เป็นเหตใุ กล้ เหมอื นน้ามตู รเน่าเจือด้วยยาพษิ โมหะ มคี วามมดื มนแหง่ จติ เปน็ ลกั ษณะ หรอื มคี วามไม่รู้ เปน็ ลกั ษณะ มีความไม่แทงตลอด เป็นรส หรือมีความปกปิดสภาวะแหง่ อารมณ์ เป็นรส มีการไม่ปฏบิ ัติชอบ เป็นอาการปรากฏ หรอื มีความมืดมน เป็นอาการปรากฏ มกี ารทาไวใ้ นใจโดยอุบายไมแ่ ยบคาย เป็นเหตใุ กล้ พึงทราบวา่ โมหะ เปน็ รากเหง้าแห่งอกศุ ลกรรมทั้งปวง อโลภะ มคี วามท่จี ติ ไม่กาหนดั ในอารมณ์ เปน็ ลกั ษณะ เหมือนหยดนา้ ไม่ติดบนใบบัว หรอื มจี ิตที่ไมต่ ิดในอารมณ์ เปน็ ลกั ษณะ มกี ารไมห่ วงแหน มกี ารไม่ตดิ ใจ เปน็ รส เหมอื นภกิ ษผุ ู้ปล่อยวางแลว้ เปน็ อาการปรากฏ เหมอื นบรุ ุษผูไ้ มจ่ ับต้องของไม่สะอาด อโทสะ มกี ารไม่ดุร้าย เป็นลักษณะ เหมอื นมิตรผูค้ อยช่วยเหลือ หรอื มกี ารไม่พิโรธ เป็นลักษณะ เหมือนเนือ้ ไม้จันทน์ มกี ารกาจดั ความอาฆาต เป็นรส เหมือนจนั ทร์เพ็ญ หรอื มคี วามกาจดั ความเรา่ รอ้ น เป็นรส มคี วามร่มเยน็ เป็นอาการปรากฏ

๑๖ เป็นลักษณะ เหมือนการตามประทีปในทีม่ ืด เป็นลักษณะ เหมอื นแพทย์ผฉู้ ลาดยอ่ มรเู้ ภสชั อโมหะ มกี ารส่องสว่าง อันเป็นท่สี บายและไม่สบายแก่ มกี ารรู้ท่ัว เป็นลักษณะ บุคคลผปู้ ว่ ย ดุจการแทงของลกู ศรที่นายธนู มกี ารแทงตลอดสภาวะ เป็นรส ผู้ฉลาดยิงไป เป็นอาการปรากฏ ดจุ ประทปี สอ่ งในท่มี ืด มีการส่องใหเ้ ห็นอารมณ์ ดุจผชู้ ที้ างแก่บคุ คลผูไ้ ปมาฉะน้นั มีความไม่หลงใหล แสดงการจาแนกจติ โดย เหตุ อเหตุกาฏฺ ารเสก เหตกุ า เทวฺ ทฺวาวีสติ ทฺวิเหตกุ า มตา สตฺต จตฺตาลสี ติเหตุกา ฯ นกั ศกึ ษาทัง้ หลายพงึ ทราบว่า อเหตุกจิต คือ จิตท่ไี มม่ ีเหตุ มี ๑๘ ดวง เอกเหตกุ จิต คือ จติ ทมี่ ีเหตุ ๑ มี ๒ ดวง ทวเิ หตุกจติ คือ จติ ทมี่ ีเหตุ ๒ มี ๒๒ ดวง ติเหตุกจิต คือ จิตทม่ี เี หตุ ๓ มี ๔๗ ดวง หมายเหตุ เมอ่ื เราอยากทราบวา่ จติ ดวงนี้มเี หตเุ ท่าไร ใหย้ กจติ ดวงนน้ั ขึ้นเป็นประธานแล้วหาตอ่ ไปวา่ จิตดวงน้นั มเี จตสิกประกอบรว่ มเทา่ ไร ในบรรดาเจตสกิ เหล่านั้น มเี จตสกิ ท่ีเปน็ เหตไุ ดก้ ี่ดวง เราก็จะ ทราบไดท้ ันทีว่า จติ ดวงน้นั มเี หตุเท่าไร เชน่ โทสมูลจิตดวงท่ี ๑ มเี จตสกิ ประกอบ ๒๐ ดวง คอื อัญญสมานเจตสกิ ๑๒ ( เวน้ ปตี ิ ) โมจตุกเจตสกิ ๔ โทจตกุ เจตสิก ๔ ในเจตสิก ๒๐ ดวงน้ี มีเจตสิกทเ่ี ป็นเหตุได้ ๒ ดวง คอื โทสะ โมหะ ฉะนน้ั โทสมูลจิตดวงท่ี ๑ จึงมีเหตุสอง คือ โทสะ โมหะ เมอ่ื เราทราบไปเชน่ นท้ี ลี ะดวงจนครบ กจ็ ะพบวา่ จิตทม่ี ีเหตุ ๔-๕-๖ นัน้ ไมม่ ี เพราะ โลภะ โทสะ โมหะ ท่ีเปน็ ฝา่ ยอโสภณ และอโลภะ อโทสะ อโมหะ ท่ี เปน็ ฝ่ายโสภณเหตเุ หลา่ นี้ ประกอบกบั จติ ร่วมกันไม่ได้

๑๗ หมายเหตุ การจาแนก เจตสิกโดยเหตุ ท่ีวา่ โดย อคหิตัคคหนนัย ( เจตสกิ ที่นบั แล้วไม่นบั อีก ) เมอ่ื เราตอ้ งการทราบวา่ เจตสิกดวงนมี้ เี หตเุ ท่าไร ใหย้ กเจตสิกดวงนั้นขึน้ เปน็ ประธานแล้วหาตอ่ ไปว่า เจตสกิ ดวงนน้ั มีเจตสกิ ประกอบได้เทา่ ไร และในจานวนเจตสิกท่ปี ระกอบนนั้ มีเจตสกิ ท่เี ป็นเหตุได้ กี่ดวง เรากจ็ ะทราบไดท้ ันทีว่า เจตสิกดวงนมี้ เี หตเุ ท่าไร เช่น ปีติ มีเจตสกิ ประกอบ ๔๖ ( เวน้ โทจตุก ๔ วิจกิ ิจฉา ๑ ตวั เอง ๑ ) ตามหลกั ตทุภยมสิ สกนยั และในบรรดาเจตสกิ ๔๖ ดวงน้นั มีเจตสิกทีเ่ ปน็ เหตุได้ ๕ ดวง คือ โลภะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ฉะน้ัน ปตี เิ จตสกิ จงึ มีเหตุ ๕ หมายเหตุ การจาแนก เจตสกิ โดยเหตุ ที่วา่ โดย คหิตัคคหนนัย ( เจตสกิ ที่นับแลว้ นบั อกี ) กอ่ นอน่ื จะตอ้ งแบ่งจติ ออกเป็นกลุ่มๆ ตามเหตุ จะได้จติ ๔ กลุม่ คอื อเหตกุ เอก ทฺวิ ติ แล้วหาเจตสิก ท่ีประกอบกบั จติ กลุ่มนนั้ ว่ามกี ี่ดวง เมอื่ เรายกเจตสิกดวงใดข้ึนเป็นประธานแล้ว กห็ าดูว่าเจตสกิ ที่ เหลอื มีเจตสกิ ท่เี ห็นเหตุไดเ้ ท่าไร การคดิ หาเช่นน้เี จตสิกอาจจะซา้ กันได้ ฉะนั้นทา่ นจึงเรียกวา่ นับแล้วนบั อีก เชน่ สัพพจติ ตสาธารณเจตสิก ๗ ประกอบไดใ้ นจติ ทวั่ ไปทงั้ หมด ในขณะท่ีประกอบกบั อเหตกุ จติ กเ็ ปน็ เจตสกิ ทไี่ มม่ ีเหตุ ในขณะที่ประกอบกับ เอกเหตกุ จติ ก็เป็นเจตสกิ ท่ีมเี หตุ ๑ ในขณะท่ปี ระกอบกับ ทวฺ เิ หตุกจติ ก็เปน็ เจตสกิ ท่ีมเี หตุ ๒ ในขณะทปี่ ระกอบกับ ตเิ หตกุ จิต ก็เปน็ เจตสิก ทม่ี ีเหตุ ๓ เปน็ ต้น หมายเหตุ การหาจานวนเหตุโดยพิสดาร ๒๘๓ นน้ั หาจากจานวนจติ ท่ีเหตุนัน้ ๆ ประกอบได้ เช่น โลภเหตุ ประกอบได้ในจิต ๘ ดวง ฉะนัน้ โลภเหตุโดยพิสดารจึงมี ๘ โทสะ ๒ โมหะ ๑๒ อโลภะ ๙๑ อโทสะ ๙๑ อโมหะ ๗๙

๑๘ แสดงการจาแนกเหตุ โดย พสิ ดาร มี ๒๘๓ อกศุ ลเหตุ มี ๒๒ คือ โลภเหตุ มี ๘ โทสเหตุ มี ๒ โมหเหตุ มี ๑๒ กุศลเหตุ มี ๑๐๗ คอื อโลภเหตุ มี ๓๗ อโทสเหตุ มี ๓๗ อโมหเหตุ มี ๓๓ วปิ ากเหตุ มี ๑๐๗ คือ อโลภเหตุ มี ๓๗ อโทสเหตุ มี ๓๗ อโมหเหตุ มี ๓๓ กริยาเหตุ มี ๔๗ คือ อโลภเหตุ มี ๑๗ อโทสเหตุ มี ๑๗ อโมหเหตุ มี ๑๓ โลภเหตุ ทป่ี ระกอบกับโลภมูลจิต ๘ รวมอกศุ ลเหตุ ๒๒ อกุศลเหตุ มี ๒๒ คอื โทสเหตุ ทป่ี ระกอบกบั โทสมลู จิต ๒ โมหเหตุ ทีป่ ระกอบกบั อกุศลจติ ๑๒ อโลภเหตุท่ปี ระกอบกบั มหากุ. ๘ มหคั คตกุ. ๙ มรรค ๒๐ = ๓๗ รวม กศุ ลเหตุ มี ๑๐๗ คือ อโทสเหตุท่ีประกอบกบั มหากุ. ๘ มหคั คตกุ. ๙ มรรค ๒๐ = ๓๗ กศุ ลเหตุ ๑๐๗ อโมหเหตุทีป่ ระกอบกับมหากุ.ส ๔ มหัคคตกุ. ๙ มรรค ๒๐ = ๓๓ อโลภเหตทุ ี่ประกอบกับมหาวิ. ๘ มหคั คตว.ิ ๙ ผล ๒๐ = ๓๗ รวม วิปากเหตุ มี ๑๐๗ คอื อโทสเหตุท่ีประกอบกับมหาวิ. ๘ มหคั คตว.ิ ๙ ผล ๒๐ = ๓๗ วิปากเหตุ ๑๐๗ อโมหเหตุทป่ี ระกอบกับมหาวิ.ส ๔ มหคั คตว.ิ ๙ ผล ๒๐ = ๓๓ กรยิ าเหตุ มี ๔๗ คือ อโลภเหตทุ ปี่ ระกอบกบั มหากริยา ๘ มหคั คตกิ. ๙ = ๑๗ รวม อโทสเหตุทป่ี ระกอบกบั มหากริยา ๘ มหคั คตกิ. ๙ = ๑๗ กริ ิยาเหตุ อโมหเหตทุ ีป่ ระกอบกบั มหากรยิ า ส ๔ มหัคคตกิ. ๙ = ๑๓ ๔๗ ………………………………………  ผูใ้ ดตเิ ตียนผ้อู น่ื วา่ ไม่ดี ก็ชอ่ื ว่าตเิ ตยี นตนเชน่ เดยี วกัน เพราะว่าเจตนาน้นั เปน็ โทษ ชอ่ื ว่า เป็นพาล คอื ไม่ชอบใจผู้อืน่ นั่นเอง วา่ อยา่ งนี้เปน็ บาป  ส่วนผู้ใดติเตือนตนเอง อย่างนค้ี วรทาให้เกิด อยา่ งน้คี วรละ หรือเปน็ บญุ ชือ่ ว่า บัณฑิต รรู้ ูปนามด้วยปัญญา พ้นทุกขด์ ้วยความเพยี ร  กาหนดรูปนามด้วยสติ  ฆ่ากิเลสด้วยปัญญา พระอาจารย์ ทวี เกตธุ มฺโม

๑๙ หมายเหตุ อโลภะ อโทสะ อโมหะ - เป็นขา้ ศึกตอ่ ความตระหนี่ - เปน็ ขา้ ศกึ ต่อความเป็นผูท้ ุศีล - เปน็ ขา้ ศกึ ตอ่ ความไม่เจริญในกศุ ล - คฤหัสถอ์ ย่รู ว่ มกนั เปน็ สุข - คฤหัสถ์ บรรพชติ อยรู่ ว่ มกัน - บรรพชิตอยู่รว่ มกันเปน็ สุข เป็นสุข - เปน็ เหตแุ ห่งการใหท้ าน - เป็นเหตุแหง่ ศีล - เปน็ เหตแุ หง่ ภาวนา - ไมเ่ กดิ เป็นเปรต - ไม่เกดิ ในนรก - ไม่เกดิ เป็นสัตวด์ ิรัจฉาน - ทาลายอภชิ ฌากายคันถะ - ทาลายพยาบาทกายคันถะ - ทาลายสลี ัพพต-อทิ งั สัจจาภนิ ิเวส - เป็นปจั จยั แกค่ วามไม่มโี รค - เปน็ ปัจจัยแก่ความเป็นหนุ่ม- - เป็นปจั จัยแกค่ วามมอี ายยุ ืน เปน็ สาว - ย่อมถอื เอาไมม่ ากเกนิ ไป - ยอ่ มไม่ถอื เอาความบกพร่อง - ย่อมไม่ถือเอาผิด - ไมข่ ้องแวะด้วยอานาจราคะ - ไมข่ ้องแวะด้วยอานาจโทสะ - ไมข่ อ้ งแวะดว้ ยอานาจโมหะ - ยอมรับโทษด้วยความเปน็ โทษ - ยอมรับความดีโดยความเปน็ - ยอมรับสภาพตามความเป็นจริง คนดี - ไม่ทุกข์เพราะพลัดพราก - ไมท่ ุกข์เพราะประสบกับ - ไมท่ กุ ขเ์ พราะไมไ่ ด้สิง่ ทีอ่ ยากได้ ส่งิ ที่ไมเ่ ปน็ ทีร่ กั - ไม่มีชาตทิ กุ ข์เปน็ ปัจจยั แก่ - ไมม่ ชี ราทกุ ข์...เป็นปจั จัยแก่ - ไม่มมี รณทุกข์...เป็นปจั จัยแก่ โภคสมบตั ิ มิตรสมบัติ อัตตสมบัติ - เจริญกายา-เวทนาเหน็ อนจิ จ- - เจรญิ กายา-เวทนาเหน็ อนิจจ- - เจรญิ จติ ตา-ธมั มาเหน็ อนตั ตลกั ษณะ ลักษณะ ลักษณะ - เปน็ ปัจจัยแก่ ทิพพาวหิ ารธรรม- - เป็นปจั จยั แกพ่ รหมวิหารธรรม- - เป็นปจั จยั แก่พรหมวิหารธรรม- อสภุ สญั ญา ธาตุสญั ญา ธาตุสญั ญา จาแนกเจตสิก โดยเหตทุ ี่วา่ โดย คหติ ัคคหนนยั ( คอื เจตสิกทนี่ บั แลว้ นับอกี ) คหติ ัคคหนนยั คือ เจตสิกทน่ี ับแล้วนับอีก หมายความว่า นบั ในชนิดของจิต ( อเหตุกจิต เอกเหตกุ จิก ทวิเหตกุ จิต ตเิ หตกุ จิต ) เช่น นบั ในทวเิ หตุกจติ ซงึ่ ทวเิ หตกุ จิตนั้นมี โลภมลู จิต ๘ โทสมลู จติ ๒ และญาณวปิ ป- ยุตตจิต ๑๒ เม่อื ยกโมหเจตสกิ ข้นึ มา ซง่ึ โมหเจตสิก มีอกุศลจติ ๑๒ ประกอบ มที ัง้ ทวเิ หตกุ จติ และเอกเหตกุ จิต แต่เมอ่ื ยกโมหเจตสิกเปน็ ประธานท่ปี ระกอบกับโลภมลู จติ ๘ ซึ่งมโี ลภเหตุ โมหเหตุ ฉะนน้ั โมหเจตสกิ ท่ี ประกอบกบั โลภมูลจิต ๘ ก็จะเปน็ เอกเหตุกเจตสิก เพราะโมหะเป็นตวั เหตุ ต้องละโมหเหตุออก เหลือเพียง โลภเหตุ ฉะนนั้ จงึ เป็น เอกเหตกุ เจตสกิ เปน็ ต้น

๕มดวี ก๔–๒งาจม๐ุ จติ ๒ เหตสุ งั คหะ นัตถิภาว บัญญตั ิ คือ ความไมม่ ี จาแนกจิต ๑๒๑ โดย เหตุ จาแนกเจตสกิ ๕๒ โดย เหตุ ออะากไารสๆานข๒ัญอง ๒ ๒ ๒ เจตสกิ ๒๐ ๓๑ ๒๐ ๓๑ ๒๐ ๓๑ ๒๐ ๓๑ ๒๐ ๓๑ ๒๐ ๓๑ ๒๐ ๓๑ จายตนกศุ ๒ล ๒ ๒ ๒ ๒๐ ๓๑ ๒๐ ๓๑ ๒๐ ๓๑ ๒๐ ๓๑ ๒๐ ๓ ๒ ๓ หรือ กรยิ ๒า ๒ คหิตัคคหนนัย ๐๑ ๒๑ ๒๑ ๒๑ เปน็ อารม๑ณ์ ๑ ๐ - อเหตุกเจตสกิ ๑๓ ดวง ๑๒ ๒ ------- ๑ - เอกเหตกุ เจตสกิ ๒๐ ดวง ๑๒ ๒ ๒ -------- ๒ - ทวเิ หตุกเจตสิก ๔๘ ดวง --- ๒๒ ๓ - ติเหตุกเจตสิก ๓๕ ดวง ๑ ๓๓๒๒ ๒๓ ๒๓ ๒๓ ๒๓ ๒๑ ๒๑ ๒๓ ๓๓๒๒ ๒๓ ๒๓ ๒๓ ๒๓ ๒๓ ๓๓๒๒ ๓๓๒๒ ๒๓ ๒๓ ๒๓ ๒๓ ๓๓๒๒ ๒ ๒๓ ๒๓ ๓๓๒๒ ๒๓ ๒๓ ๒๓ ๒๓ ๓๓๓๓๓ ๒๓ ๒๓ ๓๓๓๓๓ ๓๓๓๓๓ อคหิตัคคหนนัย ๖๖๖๖๖๖๖ ๖ ๖ ๖ ๖๕๖ ๓๓๓๓ ๐ - อเหตกุ เจตสิก ไมม่ ี ๓๓๓๓ ๑ - เอกเหตุกเจตสิก ๓ ดวง ๒๓๓๓ ๓๓๓๓ ๒ - ทวิเหตุกเจตสกิ ๙ ดวง ๑ ๒๒ ๓ - ตเิ หตุกเจตสกิ ๒๗ ดวง ๑ ๒๒๒ ๓๓๓๓๓ ๔ - จตเุ หตกุ เจตสกิ ไม่มี ๓๓ ๓๓๓๓๓ ๕ - ปัญจเหตุกเจตสิก ๑ ดวง ๑ ๓๓๓๓๓ ๖ - ฉเหตุกเจตสิก ๑๒ ดวง ๓๓๓๓๓ ๓๓๓๓๒๒๓ ( เว้นปตี ิ ) ๓๓๓๓๓ ๓๓๓ ๓๓ ๓๓๓๓๓ ๓๓๓๓๓ ๒๓ ๓ ๓ ๓ ๓๓๓๓๓ ๒ ๓๓ จิต ๒ ๓๓ - - อเหตกุ จิต ๑๘ ดวง ๑ - เอกเหตุกจติ ๒ ดวง ๓๓ ๒ - ทวิเหตกุ จิต ๒๒ ดวง ๓ - ติเหตกุ จติ ๔๗/๗๙ ดวง ๓๓

๒๑ มาตกิ าที่ ๓ กิจจสงั คหะ กิจสังคหะ หมายความว่า การสงเคราะห์ จิต เจตสิก โดย ประเภทแห่งกจิ ช่ือวา่ กจิ จสังคหะ แสดงกิจ ๑๔ และฐาน ๑๐ ปฏสิ นธฺ าทโย นาม กิจจฺ เภเทน จุทฺทส ทสธา านเภเทน จติ ตฺ ปุ ฺปาทา ปกาสิตา ฯ แสดงจิตตปุ ปาทะ ทีม่ นี ามวา่ ปฏสิ นธจิ ิต เป็นต้น ว่าโดยประเภทแห่งกจิ มี ๑๔ กิจ วา่ โดยประเภทแหง่ ฐานมี ๑๐ ฐาน อธบิ าย การงานต่าง ๆ ที่เกย่ี วด้วย กาย วาจา ใจ เหล่าน้ี จะสาเร็จลง ได้ ก็ต้องอาศยั จิต เจตสิก เปน็ ผู้ ควบคมุ การงานทเ่ี ก่ยี วดว้ ย กาย วาจา จงึ สาเรจ็ ได้ ส่วนการงานทเ่ี กย่ี วกบั ใจ คอื การนึกคดิ เรื่องราวต่างๆ นน้ั จิต เจตสกิ เป็นผ้กู ระทาเอง ขอ้ น้แี สดงให้เหน็ ว่า จติ เจตสิก ท่เี กดิ ขน้ึ และดบั ลงไป เหมอื นกระแสนา้ ไหลน้นั ย่อมมี หนา้ ทข่ี องตนเองอยูท่ กุ ๆ ดวง จิต เจตสกิ ท่เี กิดขน้ึ โดยไมม่ หี นา้ ทีน่ ้ันไม่มเี ลย และจิต เจตสกิ ท่กี าลงั ทาหน้าท่ี ของตนอยู่น้ัน ก็ตอ้ งมีสถานที่อนั เป็นทต่ี ัง้ แหง่ การงานนน้ั ๆ โดยเฉพาะๆ สถานทีเ่ หลา่ นแี้ หละ ชอ่ื วา่ ฐาน ถ้าจะอปุ มาแลว้ จติ เจตสิก เปรียบเหมือนคนทางาน กิจ เ ปรยี บเหมอื น การงานต่างๆ ฐาน เปรียบเหมอื น สถานที่ ทคี่ นทางาน แสดง กจิ ๑๔ อย่าง ๑. ปฏสิ นธกิ ิจ ทาหนา้ ท่ี สบื ต่อภพใหม่ ไดแ้ ก่ อุเบกขาสนั ตีรณจิต ๒ มหาวิปากจิต ๘ มหัคคตวิปากจติ ๙ รวม ๑๙ ดวง ๒. ภวงั คกจิ ทาหนา้ ท่ี รักษาภพ ไดแ้ ก่ อเุ บกขาสันตีรณจิต ๒ มหาวปิ ากจติ ๘ มหคั คตวปิ ากจิต ๙ รวม ๑๙ ดวง ๓. อาวัชชนกจิ ทาหน้าที่ พิจารณาอารมณ์ใหม่ ไดแ้ ก่ ปญั จทวาราวชั ชนจติ ๑ มโนทวาราวชั ชนจติ ๑ รวม ๒ ดวง ๔. ทสั สนกิจ ทาหน้าท่ี เห็น ไดแ้ ก่ จกั ขวุ ญิ ญาณจิต ๒ รวม ๒ ดวง ๕. สวนกจิ ทาหนา้ ท่ี ได้ยนิ ไดแ้ ก่ โสตวญิ ญาณจติ ๒ รวม ๒ ดวง ๖. ฆายนกิจ ทาหนา้ ท่ี รู้กล่ิน ไดแ้ ก่ ฆานวิญญาณจติ ๒ รวม ๒ ดวง ๗. สายนกิจ ทาหนา้ ท่ี ร้รู ส ไดแ้ ก่ ชิวหาวญิ ญาณจติ ๒ รวม ๒ ดวง ๘. ผุสนกจิ ทาหนา้ ที่ รู้ถูกตอ้ ง ได้แก่ กายวญิ ญาณจติ ๒ รวม ๒ ดวง

๒๒ ๙. สัมปฏจิ ฉนกิจ ทาหนา้ ที่ รับอารมณ์ ได้แก่ สมั ปฏจิ ฉนจิต ๒ รวม ๒ ดวง ๑๐. สนั ตีรณกจิ ทาหนา้ ท่ี ไตส่ วนอารมณ์ ไดแ้ ก่ สนั ตรี ณจติ ๓ รวม ๓ ดวง ๑๑. โวฏฐพั พนกิจ ทาหนา้ ท่ี ตัดสนิ อารมณ์ ไดแ้ ก่ มโนทวาราวัชชนจิต ๑ รวม ๑ ดวง ๑๒. ชวนกิจ ทาหน้าท่ี เสพอารมณ์ ไดแ้ ก่ อกศุ ลจิต ๑๒ หสิตปุ ปาทจิต ๑ มหากศุ ลจติ ๘ มหากรยิ าจิต ๘ มหัคคตกศุ ลจติ ๙ มหคั คตกรยิ าจติ ๙ โลกตุ ตรจติ ๘ รวม ๕๕ ดวง ๑๓. ตทารมั มณกิจ ทาหนา้ ท่ี รบั อารมณต์ อ่ จากชวนกจิ ได้แก่ สนั ตีรณจติ ๓ มหาวิปากจติ ๘ รวม ๑๑ ดวง ๑๔. จตุ ิกจิ ทาหนา้ ที่ ส้นิ จากภพเกา่ ไดแ้ ก่ อเุ บกขาสันตีรณจติ ๒ มหาวิปากจิต ๘ มหัคคตวิปากจิต ๙ รวม ๑๙ ดวง ๑ ปฏสิ นธฐิ าน แสดงฐาน ๑๐ จุ ภ วุ อา ๒ ภวงั คฐาน สถานท่ีทางานสืบตอ่ ภพใหม่ มี ๑ คือ ต จุ สถานที่ที่ทางานรักษาภพ มี ๖ คือ ป อา ช จุ ต อา ช อา มต มภ ๓ อาวชั ชนฐาน สถานทีท่ ี่ทางานพจิ ารณาอารมณ์ใหม่ มี ๒ คือ ภ ปัญ ม จุ ภช ๔ ปัญจวญิ ญาณฐาน สถานทท่ี ่ที างาน เห็น ได้ยนิ รู้กลิ่น รรู้ ส รถู้ ูกต้อง มี ๑ คอื อา สํ ณ ๕ สัมปฏิจฉนฐาน สถานทีท่ ีท่ างานรับอารมณ์ มี ๑ คือ ปัญ วุ ๖ สนั ตรี ณฐาน สถานทท่ี ีท่ างานไต่สวนอารมณ์ มี ๑ คือ สํ ช ภ ๗ โวฏฐพั พนฐาน สถานทท่ี ี่ทางานตดั สินอารมณ์ มี ๒ คือ ณ ณ ๘ ชวนฐาน สถานที่ทท่ี างานเสพอารมณ์ มี ๖ คือ วุ ต วุ ภ วุ จุ ๙ ตทารมั มณฐาน สถานทที่ ี่ทางานรบั อารมณต์ ่อจากชวนะ มี ๒ คือ ชภ ช จุ ๑๐ จุตฐิ าน สถานท่ีที่ทางานสิ้นจากภพเกา่ มี ๓ คือ ตป ชป ภป

๒๓ คาถาแสดงการจําแนกจติ โดย กจิ และฐาน อฏฺ สฏฺ ิ ตถา เทฺว จ นวาฏฺ เทวฺ ยถากกฺ มํ เอก ทวฺ ิ ติ จตุ ปญจฺ กิจฺจฏฺ านานิ นทิ ฺทเิ ส ฯ แสดงจานวนจติ โดยหน้าทแี่ ละฐานตามลาดับ ดังนี้ คือ จติ ท่ีมหี นา้ ท่ี ๑ และฐาน ๑ มจี านวน ๖๘ ดวง จิตท่ีมีหนา้ ที่ ๒ และฐาน ๒ มีจานวน ๒ ดวง จติ ที่มหี นา้ ท่ี ๓ และฐาน ๓ มจี านวน ๙ ดวง จิตที่มีหน้าที่ ๔ และฐาน ๔ มีจานวน ๘ ดวง จติ ที่มหี นา้ ที่ ๕ และฐาน ๕ มจี านวน ๒ ดวง การจาํ แนกกจิ ๑๔ โดย จติ ๑. จติ ทีท่ าหน้าที่ ปฏิสนธิ, ภวงั ค์, จุติ มี ๑๙ ดวง คอื อุเบกขาสันตรี ณจิต ๒, มหาวปิ ากจติ ๘, มหคั คตวปิ ากจติ ๙ ๒. จติ ทีท่ าหนา้ ที่ อาวัชชนกิจ มี ๒ ดวง คือ ปญั จทวาราวชั ชนจติ ๑, มโนทวาราวชั ชนจติ ๑ ๓. จิตทีท่ าหน้าที่ ทัสสนกิจ มี ๒ ดวง คือ จักขุวญิ ญาณจิต ๒ ๔. จิตที่ทาหนา้ ท่ี สวนกิจ มี ๒ ดวง คือ โสตวญิ ญาณจติ ๒ ๕. จติ ท่ีทาหน้าที่ ฆายนกจิ มี ๒ ดวง คือ ฆานวญิ ญาณจิต ๒ ๖. จติ ทีท่ าหนา้ ที่ สายนกจิ มี ๒ ดวง คือ ชิวหาวญิ ญาณจติ ๒ ๗. จิตท่ีทาหน้าท่ี ผสุ นกจิ มี ๒ ดวง คือ กายวิญญาณจติ ๒ ๘. จติ ท่ที าหนา้ ท่ี สัมปฏิจฉนกิจ มี ๒ ดวง คือ สมั ปฏิจฉนจติ ๒ ๙. จิตทท่ี าหน้าที่ สนั ตรี ณกิจ มี ๓ ดวง คอื สนั ตีรณจติ ๓ ๑๐. จติ ทีท่ าหน้าที่ โวฏฐพั พนกจิ มี ๑ ดวง คือ มโนทวาราวชั ชนจติ ๑ ๑๑. จติ ทที่ าหน้าที่ ชวนกิจ มี ๕๕ ดวง คอื อกุศลจิต ๑๒, หสิตุปปาทจิต๑, มหากศุ ลจิต๘, มหากิริยาจิต๘, มหคั คตกศุ ลจติ ๙, มหคั คตกิรยิ าจติ ๙, โลกุตตรจิต ๘ ๑๒. จติ ท่ีทาหนา้ ท่ี ตทารมั มณกิจ มี ๑๑ ดวง คอื สนั ตีรณจิต ๓, มหาวิปากจติ ๘ การจําแนกจิต โดย กจิ ๑๔ ๑. จิตทท่ี าหนา้ ที่ ๕ อยา่ ง มี ๒ ดวง คือ อเุ บกขาสันตรี ณจติ ๒ - ปฏิ ภ จุ ณ ต ๒. จิตที่ทาหนา้ ที่ ๔ อยา่ ง มี ๘ ดวง คอื มหาวิปากจติ ๘ - ปฏิ ภ จุ ต ๓. จิตที่ทาหนา้ ท่ี ๓ อยา่ ง มี ๙ ดวง คอื มหคั คตวปิ ากจติ ๙ - ปฏิ ภ จุ ๔. จติ ทที่ าหนา้ ท่ี ๒ อยา่ ง มี ๒ ดวง คือ โสมนสั สนั ตีรณจิต - ณ ต, มโนทวาราวชั ชนจิต - อา วุ ๕. จติ ท่ีทาหนา้ ที่ ๑ อยา่ ง มี ๖๘ / ๑๐๐ ดวง คือ อกศุ ลจติ ๑๒, ทวิปญั จวิญญาณจติ ๑๐, มโนธาตุ ๓, หสิตุปปาทจิต ๑, มหากศุ ลจิต ๘, มหากิริยาจิต ๘, มหคั คตกุศลจติ ๙, มหัคคตกริ ิยาจิต ๙, โลกุตตรจิต ๘/๔๐

๒๔ การจําแนกเจตสกิ โดย กจิ ๑๔ ๑. เจตสิกทีท่ าหนา้ ที่ ๑ มี ๑๗ ดวง คือ อกศุ ลเจตสิก ๑๔, วิรตเี จตสกิ ๓ - ช ๒. เจตสกิ ทีท่ าหนา้ ท่ี ๔ มี ๒ ดวง คือ อัปปมัญญาเจตสกิ ๒ - ปฏิ ภ ช จุ ๓. เจตสิกทที่ าหน้าท่ี ๕ มี ๒๑ ดวง คอื ฉันทเจตสิก, โสภณเจตสิก ๑๙, ปญั ญาเจตสิก ๑ - ปฏิ ภ ช ต จุ ๔. เจตสิกทท่ี าหนา้ ท่ี ๖ มี ๑ ดวง คอื ปีตเิ จตสิก - ปฏิ ภ ณ ช ต จุ ๕. เจตสกิ ท่ที าหน้าท่ี ๗ มี ๑ ดวง คือ วรี ิยเจตสิก - ปฏิ ภ อา วุ ช ต จุ ๖. เจตสกิ ทีท่ าหน้าที่ ๙ มี ๓ ดวง คือ วิตกเจตสิก, วจิ ารเจตสกิ , อธิโมกข์เจตสิก - ปฏิ ภ อา ส ณ วุ ช ต จุ ๗. เจตสกิ ทท่ี าหน้าท่ี ๑๔ มี ๗ ดวง คือ สพั พจิตตสาธารณเจตสิก ๗ - กจิ ๑๔ การแสดงสงเคราะห์ จติ โดยกจิ ๑๔ และฐาน ๑๐ ฐาน ๑๐ กจิ ๑๔ จติ ๘๙ โลกียจติ ๘๑ กามาวจรจติ ๕๔ อเหตุกจติ ๑๘ ๑. ปฏสิ นธฐิ าน ๑. ปฏสิ นธกิ จิ ๑๙ ๑๙ ๑๐ ๒ ๑๙ ๑๐ ๒ ๒. ภวงั คฐาน ๒. ภวังคกิจ ๑๙ ๒ ๒ ๒ ๒ ๒ ๒ ๓. อาวชั ชนฐาน ๓. อาวัชชนกจิ ๒ ๒ ๒ ๒ ๒ ๒ ๒ ๔. ทสั สนกิจ ๒ ๒ ๒ ๒ ๒ ๒ ๒ ๕. สวนกิจ ๒ ๒ ๒ ๒ ๓ ๓ ๓ ๔. ปญั จวญิ ญาณฐาน ๖. ฆายนกิจ ๒ ๑ ๑ ๑ ๔๗(8) ๒๙ (26) ๑ ๗. สายนกจิ ๒ ๑๑ ๑๑ ๓ ๑๙ ๑๐ ๒ ๘. ผสุ นกจิ ๒ ๕. สัมปฏิจฉนฐาน ๙. สมั ปฏจิ ฉนกจิ ๒ ๖. สนั ตีรณฐาน ๑๐. สันตีรณกจิ ๓ ๗. โวฏฐพั พนฐาน ๑๑. โวฏฐัพพนกิจ ๑ ๘. ชวนฐาน ๑๒. ชวนกจิ ๕๕ ๙. ตทารัมมณฐาน ๑๓. ตทารัมมณกจิ ๑๑ ๑๐. จตุ ฐิ าน ๑๔. จตุ กิ ิจ ๑๙

๒๕ กจิ จสงั คหะ จาํ แนกเจตสกิ ๕๒ โดย กิจ ๑๔ จําแนกจิต ๑๒๑ โดย กิจ ๑๔ ชชชช ๑๔ ๑๔ ๑๔ ๑๔ ๑๔ ๑๔ ๑๔ ๙ ๙ ๙ ๗ ๖ ๕ ปฏิ ภ ช ต จุ ๑ ชชชช ชช ปฏิ ภ ณ ช ต จุ ปฏิ ภ จุ ณ ต ปฏิ ภ อา วุ ช ต จุ ชช ปฏิ ภ อา สํ ณ วุ ช ต จุ ทัส สว ฆา สา ผุส สํ ๕ ๑๔ ทสั สว ฆา สา ผุส สํ ๕ ๒ ณ ต กามชวน ๒๙ อา ๒ ช อา วุ ชชชช ชชชช ชชช ชชชช ช ช ๒ช ช ชช ๕ ๔๔๔๔ ปฏิ ภ จุ ต ๔๔๔๔ ช ชชชช ๕๕๕๕๕๕๕ ชชชช ชชช ๕๕ ชชชชช ๒๔ ๔ ๕ ๕ ๓๓๓๓๓ ปฏิ ภ จุ ๕ ๕๕ ๒ ปฏิ ภ ช จุ ๕ ๕ ๔ ชชชชช ๕๕ ชชชช ัอปปนาชวน ๒๖ / ๕๘ ๓๓๓๓ ๕๕ ชชชช เจตสกิ ชชชชช อกั ษรย่อ กจิ ๑๔ ทํากิจได้ ๑ กจิ มี ๑๗ ดวง ชชชชช ชชชชช ๑. ปฏิ = ปฏสิ นธิกิจ ทํากิจได้ ๔ กจิ มี ๒ ดวง ทํากจิ ได้ ๕ กจิ มี ๒๑ ดวง ๑ ชชชชช ๒. ภ = ภวงั คกจิ ทาํ กจิ ได้ ๖ กจิ มี ๑ ดวง ๓. อา = อาวัชชนกจิ ชชชชช ๔. ทัส = ทสั สนกจิ ทาํ กิจได้ ๗ กจิ มี ๑ ดวง ชชชชช ๕. สวน = สวนกจิ ทํากิจได้ ๙ กิจ มี ๓ ดวง ชชชชช ทาํ กิจได้ ๑๔ กจิ มี ๗ ดวง ชชชชช ๖. ฆา = ฆายนกจิ ๗. สาย = สายนกิจ หมายเหตุ : เมื่อจิตและเจตสกิ สัมปยตุ ตธรรมกัน จติ กลา่ วคือ ประกอบกันและร่วมกันทา ๘. ผสุ = ผุสนกิจ กิจนัน้ ๆ ให้สาเร็จ ทาํ กจิ ได้ ๑ กิจ มี ๖๘/๑๐๐ ดวง ๙. ส = สัมปฏจิ ฉนกิจ ทาํ กิจได้ ๒ กจิ มี ๒ ดวง ๑๐. ณ = สนั ตรี ณกจิ ทํากิจได้ ๓ กิจ มี ๙ ดวง ๑๑. วุ = โวฏฐพั พนกจิ ทํากิจได้ ๔ กิจ มี ๘ ดวง ๑๒. ช = ชวนกจิ ทํากิจได้ ๕ กิจ มี ๒ ดวง ๑๓. ต = ตทารมั มณกิจ ๑๔. จุ = จุตกิ จิ

๒๖ อายุของจติ พรอ้ มดว้ ยเจตสกิ และรูป ในจานวนจติ ๘๙ หรอื ๑๒๑ ดวงนั้น จิตดวงหนงึ่ ๆ มขี ณะเลก็ (อนุขณะ) อยู่ ๓ ขณะ คอื ๑ อปุ ปาทกั ขณะ ( ขณะเกิดขนึ้ ) ๒ ฐตี ิขณะ ( ขณะตั้งอยู่ ) ๓ ภงั คกั ขณะ ( ขณะดบั ไป ) และขณะ ทั้ง ๓ เหล่านี้ เป็นอายขุ องจติ ( รวมท้ังเจตสกิ ) ดวงหนึง่ ๆ ปฏิ - ปฏิสนธิ คือ จติ ทเ่ี กิดข้ึนสบื ตอ่ ภพใหม่ ภังคกั ขณะ คือ ขณะดบั ไป ฐีติขณะ คือ ขณะทีต่ ั้งอยู่ ขณะท้งั 3 ขณะนเี้ ปน็ อายขุ องปฏสิ นธิจิตดวงหนึง่ ๆ อุปปาทกั ขณะ คอื ขณะท่ีเกิดขนึ้ จิตที่เหลอื คือ ภวังคจิต ๑๙ ปญั จทวารวถิ แี ละมโนทวารวิถี ปัญจทวาราวชั ชนจติ และมโนทวาราวัชชนจิต เปน็ ต้น และจตุ ิ ๑๙ ก็เปน็ ไปทานองเดียวกนั ส่วนรูป ๒๒ รปู ( เวน้ วิญญตั ิรปู ๒ ลักขณรปู ๔) รปู ใดรูปหนง่ึ มีอายเุ ท่ากนั กับระยะเวลาของขณะจิตท่เี กดิ ขึ้น แลว้ ดับไป ๑๗ ดวง หรอื ๕๑ ขณะเลก็ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑๓ ๑๔ ๑๕ ๑๖ ๑๗ ภ ตี น ท ป ปญั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ อปุ ปาทักขณะ ๑ ขณะ ฐีติขณะ – ขณะตง้ั อยู่ ๔๙ ขณะ ภังคักขณะ ๑ ขณะ ขณะทัง้ ๕๑ ขณะเหลา่ น้ี เปน็ อายขุ องรปู ๒๒ รปู อายขุ องนามและรปู ในขณะทง้ั ๓ น้นั มคี วามแตกต่างกนั ตรงฐตี ขิ ณะ คอื - ฐีตขิ ณะของนาม มี ๑ ขณะ - สว่ นฐีติขณะของรูปมี ๔๙ ขณะ - สาหรับอุปปาทกั ขณะและภังคักขณะน้นั มี ๑ ขณะเท่ากนั คาว่า ขณะ หมายความว่า ชัว่ ระยะเลก็ นอ้ ยทีส่ ดุ จะหาอะไรมาเปรยี บเทยี บมไิ ด้

๒๗ วถิ ีจิต มี ๑๕๒ วถิ ี วิถี หมายความว่า การเกิดขึน้ โดยลาดับตดิ ตอ่ กนั เปน็ แถวของจติ เจตสิก รปู วิถจี ติ ที่เป็นหลักใหญ่ มี ๒ วถิ ี ดว้ ยกัน คอื ๑ ปญั จทวารวถิ ี หมายความวา่ วถิ ีจิตทีเ่ กดิ ข้นึ ติดต่อกันเป็นแถวของจิตและเจตสิกในทางปญั จทวาร มีจกั ขทุ วารกิ จิต เป็นต้นจนถงึ กายทวาริกจิตเปน็ ท่ีสดุ ปญั จทวารวิถมี ี ๗๕ หรือ ๑๐๐ วิถี วา่ โดยจานวนวิถจี ติ ท่เี กดิ ขึน้ ในปัญจทวารทัง้ หมดมี ๕๔ ดวง คอื กามจติ ๕๔ นนั้ เอง ๑ ๒๓๔๕ ๖ ๗ วิถจี ติ ๗ จิตตกั ขณะ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑๓ ๑๔ ๑๕ ๑๖ ๑๗ จติ ตปุ บาท ๑๔ ภ ตี น ท ป ปญั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ กามจติ ๕๔ วถิ ีมตุ ตจติ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑๓ ๑๔ ๑ ๑๐ ๒ ๓ ๑ ๒๙ ๑๑ วิถีจิตท่เี กดิ ทางปัญจทวาร โดยอาศัยวสิ ยัปปวตั ติทัง้ ๔ มี อติมหนั ตารมณ์ เปน็ ตน้ นัน้ สรปุ ได้ดงั น้ี คอื ๑ อตมิ หันตารมณ์ วิถีในหนง่ึ ทวารโดยย่อมี ๑ วถิ ี โดยพสิ ดาร มี ๓ วิถี ๒ มหันตารมณ์ วิถใี นหนึง่ ทวารโดยยอ่ มี ๒ วถิ ี โดยพสิ ดาร มี ๔ วิถี ๓ ปรติ ตารมณ์ วิถใี นหนงึ่ ทวารโดยย่อมี ๖ วิถี โดยพสิ ดาร มี ๖ วิถี ๔ อติปริตตารมณ์ วิถีในหน่งึ ทวารโดยย่อมี ๖ วถิ ี โดยพสิ ดาร มี ๗ วิถี รวมวถิ จี ติ ทเ่ี กดิ ในทวารใดทวารหนง่ึ ในปญั จทวารน้นั โดยย่อมี ๑๕ วถิ ี โดยพสิ ดารมี ๒๐ วถิ ี เม่อื รวมวถิ ี จิตท้ัง ๕ ทวาร เป็นปญั จทวารวถิ ที ั้งหมดโดยย่อมี ๗๕ วถิ ี (๑๕ x ๕) โดยพสิ ดารมี ๑๐๐ วิถี (๒๐ x ๕) ๒ มโนทวารวถิ ี หมายความว่า การเกิดขน้ึ โดยลาดับตดิ ตอ่ กนั เปน็ แถวของจิตและเจตสกิ ทางใจ มี ๕๒ วถิ ี คอื ๑. กามชวนมโนทวารวิถี มี ๔๕ วถิ ี ๒. อปั ปนาชวนมโนทวารวิถี มี ๗ วถิ ี รวมเป็นมโนทวารวถิ ี ๕๒ วถิ ี

๒๘ แสดงอารมณ์ทีป่ รากฏทาง ปญั จทวารและมโนทวาร อารมณข์ องวถิ ีจิตทางมโนทวาร อารมณข์ องวิถีจติ ทางปญั จทวาร ๑ อตวิ ภิ ตู ารมณ์ คือ อารมณ์ทปี่ รากฏชัดมากทางใจ ๑ อติมหนั ตารมณ์ คอื อารมณ์ท่ีปรากฏชัดมาก (ปัญจ) ๒ วิภตู ารมณ์ คือ อารมณ์ทป่ี รากฏชัดทางใจ ๒ มหันตารมณ์ คือ อารมณท์ ่ปี รากฏชดั (ปญั จ) ๓ อวภิ ตู ารมณ์ คือ อารมณ์ทไ่ี มป่ รากฏชัดทางใจ ๓ ปรติ ตารมณ์ คือ อารมณ์ทไี่ ม่ปรากฏชดั (ปัญจ) ๔ อติอวิภตู ารมณ์ คอื อารมณ์ท่ีไมป่ รากฏชัดเลย ๔ อตปิ รติ ตารมณ์ คือ อารมณ์ท่ไี ม่ปรากฏชดั เลย (ปัญจ) อปั ปนาชวนมโนทวารวถิ ี อัปปนาชวนมโนทวารวถิ ี เป็นมโนทวารวิถีทยี่ กอปั ปนาชวนะขึน้ เป็นประธานโดยมีญาณสัมปยตุ ต กามาวจรชวนะ ๘ ดวง ๆ ใดดวงหนงึ่ ซงึ่ ช่อื วา่ ปริกรรม – อปุ จาร เป็นตน้ เกดิ ขึน้ เปน็ บาทรองรบั อปั ปนาชวนะ เหล่าน้ี ดงั นนั้ จึงควรทราบคาย่อ คาเตม็ และความหมายในอปั ปนาวถิ ี เปน็ เบือ้ งตน้ ดงั ต่อไปนี้ คือ ปริ – อุ – นุ – โค – โว ( ปรกิ รรม – อุปจาร – อนุโลม – โคตรภู – โวทาน ) ๑ ปริ-ปรกิ รรม คือ กามชวนะทช่ี ื่อวา่ ปริกรรม เพราะวา่ เป็นเหตุแหง่ การจดั แจงปรุงแต่งเพ่อื ให้อัปปนาชวนะ ( หรือเป็นเบอื้ งต้นของอัปปนา ) เกดิ คือ ฌาน, อภญิ ญา, มรรค, ผล ๒ อ-ุ อุปจาร คือ กามชวนะท่ชี อ่ื วา่ อปุ จาร เพราะเปน็ ชวนะทเี่ กิดขึน้ ใกลข้ อบเขตของอัปปนาชวนะ ( หรือเกดิ ขึน้ ใกลช้ ิดอปั ปนา ) ๓ นุ-อนุโลม คือ กามชวนะที่ชอ่ื ว่า อนโุ ลม เพราะเป็นไปตามสมควรแก่อปั ปนา โดยการกาจัดธรรมทเี่ ป็น ปฏิปักษ์ตอ่ กนั ฉะนั้น ชวนจิตน้ันชอื่ ว่า อนุโลม ( เปน็ ไปตามสมควรแกอ่ ปั ปนา หรือ ไหลสูก่ ระแสอปั ปนา(ฌาน) ) ๔ โค-โคตรภู คือ กามชวนะท่ชี อ่ื วา่ โคตรภู เพราะในขณะนนั้ ทาการทาลายตัดเชือ้ ชาตกิ าม ( ในฌานวิถี ) และทาการทาลายตดั เชอื้ ชาติปถุ ุชน ( ในมคั ควถิ ี ) ๕ โว-โวทาน คือ กามชวนะทช่ี ื่อวา่ โวทาน เพราะทาใหอ้ รยิ บุคคลเข้าถงึ ความบริสุทธเิ์ ป็นพิเศษยิง่ ๆ ขน้ึ ไป กลา่ วคอื พระโสดาบันบุคคลขณะทีไ่ ดส้ กทาคามมิ รรค สกทาคามิผล ยอ่ มมีกามชวนะที่มี หน้าท่ีตอ้ นรับพระนิพพานและทิ้งสังขตธรรมกอ่ น เพื่อทจ่ี ะใหส้ กทาคามมิ รรคเกิดข้นึ รับ พระนิพพานเปน็ อารมณ์ พรอ้ มทง้ั ทาการประหาณอนสุ ัยกเิ ลส ท่มี อี านาจพิเศษย่งิ ข้นึ ไป กวา่ การประหาณอนุสัยกเิ ลสของโสดาปัตติมรรค สว่ นพระสกทาคามบี คุ คล ขณะที่ได้ อนาคามิมรรค อนาคามิผลและพระอนาคามบี คุ คล ขณะทีไ่ ด้ อรหัตตมรรค อรหตั ตผล ยอ่ มมีกามชวนะทมี่ ีหนา้ ที่เช่นเดียวกันเพอื่ ให้อนาคามมิ รรคและอรหตั ตมรรค เกิดขึน้ รบั พระนพิ พานเป็นอารมณ์พรอ้ มทงั้ ทาการประหาณอนุสยั กเิ ลสที่มีอานาจพิเศษยง่ิ ๆ ข้ึนไป กวา่ การประหาณอนสุ ยั กิเลสของมรรคจิตเบ้อื งตา่ ฉะนนั้ จงึ ชื่อวา่ โวทาน ดงั มวี จนัตถะ แสดงว่า : โวทาเนตตี ิ = โวทานํ ชวนจิตใดยอ่ มทาใหอ้ รยิ บุคคลเขา้ ถึงความบริสุทธเิ์ ปน็ พเิ ศษย่งิ ๆ ขนึ้ ไป ฉะน้นั ชวนจิตน้ันจงึ ชอื่ ว่า โวทาน

๒๙ แสดงภาพ อปั ปนาชวนมโนทวารวิถี ๗ วิถี ๑. อาทกิ ัมมกิ ฌานวิถี ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ภ ภ ภ ๑๓ ๑ ๘ ๑๘ ๑๓ ๒. ฌานสมาปัตติวิถี ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ฌานจติ เกดิ ดับเรอื่ ยไป ฌ ภ ภ ภ ๑๓ ๑ ๘ ๑๘ ๑๓ ๓. ปาทกฌานวถิ ี ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ รปู ปญั จมฌานจิตเกิดดับเรอ่ื ยไป ฌ ภ ภ ภ ๙๑ ๔ ๒ ๙ ๔. อภิญญาวิถี ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค อภิ ภ ภ ภ ๕. มัคควิถี ๙ ๑ ๔ ๒๙ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค มคั ผ ผ ภ ภ ภ ๙ ๑ ๔ ๑๑ ๙ มคั ควิถีเบ้ืองบน ๓ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โว มัค ผ ผ ภ ภ ภ ๑๓ ๑ ๔ ๓๓ ๑๓ ๖. ผลสมาปตั ติวถิ ี ภ น ท ม นุ นุ นุ นุ ผ ผลจิตเกิดดับเรือ่ ยไป ผ ภ ภ ภ ๑๓ ๑ ๘ ๔ หรอื ๒๐ ๑๓ ๗. นโิ รธสมาปัตติวิถี ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌ ฌ จิต เจตสิกและจติ ตชรปู ดับ ผ ภ ภ ภ ๙๑ ๔ ๒ ๒๙ หมายเหตุ : ภาพอปั ปนาชวนมโนทวารวถิ ีท้ัง ๗ วถิ ีนี้ แสดงเฉพาะท่เี กิดขึ้นแก่ มันทบคุ คล เทา่ นน้ั ( คอื บคุ คลท่รี ้ไู ด้ชา้ หรือเฉือ่ ยชา ) และพงึ สังเกตว่า - ถ้าเป็นวิถจี ิตที่เกดิ ขน้ึ แก่ มนั ทบคุ คล จะมคี าว่า “ ปริ ” (ปริกรรม) อยู่ในภาพวถิ ดี ว้ ย - ในภาพ มคั ควิถี จะมีผลจติ เกดิ ขนึ้ ๒ ขณะ - ในภาพ ผลสมาปัตตวิ ิถี จะมคี าว่า “นุ” (อนุโลม) เกิดขึน้ ๔ ขณะ - แต่ถา้ เป็นวิถจี ิตท่ีเกดิ ขึ้นแก่ ตกิ ขบคุ คล ( คือบคุ คลทีร่ ู้ไดเ้ ร็ว ) ในภาพวิถีจะไม่มคี าวา่ “ ปริ ” (ปรกิ รรม) แตอ่ ยา่ งใด - ในภาพ มัคควถิ ี จะมผี ลจติ เกิดข้นึ ๓ ขณะ - ในภาพ ผลสมาปัตติวิถี จะมคี าวา่ “ นุ ” (อนโุ ลม) เกดิ ขึน้ ๓ ขณะ

๓๐ อุปมาการเกดิ ขน้ึ ของวถิ จี ิตทางปญั จทวาร อุปมาพวกเดก็ ชาวบา้ นหลายคน พากันเล่นฝุ่นอยูท่ ่ีระหวา่ งทาง ในเดก็ กล่มุ น้ัน เด็กคนหนงึ่ เอามอื ไป กระทบกับกหาปณะ เดก็ คนนัน้ จงึ พดู ว่า “ นนั้ อะไร กระทบมอื เรา ” ในลาดบั น้ัน เด็กอีกคนหน่ึงจงึ พดู วา่ “ นัน่ สีขาวน่ี ” เด็กอีกคนหนง่ึ จึงกาไวแ้ น่นพรอ้ มกับฝนุ่ เด็กอกี คนหน่ึงพดู ว่า “ น่นั สีเ่ หลยี่ มหนา ” เด็กอีกคนจึง พูดวา่ “ นัน่ กหาปณะน่ี ” ลาดบั นั้น พวกเด็กเหล่านน้ั จงึ นากหาปณะน้ันมาใหม้ ารดา “ มารดากน็ ากหาปณะไป ใช้ในการงาน ” ปัญจทวารวิถจี ติ ๕๔ ภ ภ ตี น ท ป ปญั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ ๑ ๑๐ ๒ ๓ ๑ ๒๙ ๑๑ ความเปน็ ไปของภวังคจติ พงึ เห็นเหมือน ในเวลาทพ่ี วกเด็กชาวบา้ นพากันเลน่ ฝนุ่ อยู่ทร่ี ะหว่างทาง อารมณก์ ระทบประสาท ” ในเวลาทมี่ อื ไปกระทบกับกหาปณะ ปญั จทวาราวัชชนจิต ” ในเวลาที่เดก็ คนหนึ่งพูดว่า “นน้ั อะไร กระทบมอื เรา” จักขุวญิ ญาณจติ ” ในเวลาทเี่ ด็กคนหนง่ึ พดู ว่า “นน่ั สขี าว” สัมปฏจิ ฉนจิต ” ในเวลาท่เี ดก็ อีกคนหน่ึง กากหาปณะนน้ั ไวแ้ นน่ สนั ตีรณจิต ” ในเวลาท่ีเดก็ อกี คนหนง่ึ พดู ว่า “นน่ั สี่เหลย่ี มหนา” โวฏฐพั พนจิต ” ในเวลาทีเ่ ดก็ อีกคนหนึง่ พดู วา่ “น่ันกหาปณะน่ี” ชวนจิต ” ในเวลาทมี่ ารดานากหาปณะไปใช้งาน อุปมานี้ ยอ่ มแสดงให้รู้วา่ กริยามโนธาตุ มิได้เห็นเลยยังภวงั ค์ให้เปลย่ี นไป วบิ ากมโนธาตุก็ไม่เหน็ ยอ่ ม ทาหนา้ ที่รบั อารมณ์ วิบากมโนวิญญาณธาตุกไ็ มเ่ หน็ ย่อมทาหนา้ ทีพ่ จิ ารณาอารมณ์ กรยิ า มโนวญิ ญาณธาตุก็ไม่ เหน็ ย่อมทาหน้าที่กาหนดอารมณ์ ชวนจิตก็ไมเ่ หน็ ยอ่ มทาหน้าที่เสพอารมณ์ จักขวุ ิญญาณเทา่ นัน้ ยอ่ มทาหนา้ ที่ เหน็ โดยสว่ นเดยี ว

๓๑ พระราชาพระองคห์ น่ึง บรรทมหลบั อยบู่ นแท่นบรรทม มหาดเลก็ ของพระองค์ น่งั ถวายงานนวด พระยุคลบาทอยู่ มนี ายทวารหูหนวกยืนอยู่ท่พี ระทวาร มีทหารยามเฝา้ อยู่ ๓ นาย ยนื เรยี งกนั ตามลาดบั คร้งั นั้นมชี ายชนบทคนหนง่ึ ถือเคร่อื งบรรณาการมาเคาะประตเู รยี ก นายทวารหหู นวกไม่ได้ยนิ เสยี ง มหาดเลก็ ผ้ถู วายงานนวดพระยุคลบาทจึงให้สญั ญาณ เขาจงึ เปดิ ประตูด้วยสญั ญาณน้นั มองดู ทหารยามคนท่ี ๑ จงึ รบั เคร่อื งบรรณาการแลว้ สง่ ใหค้ นที่ ๒ คนท่ี ๒ ส่งให้คนท่ี ๓ ทลู เกล้าถวายพระราชา พระราชาจึงเสวย อารมณ์มากระทบกับประสาท เหมอื น ชายชนบทถือเครือ่ งบรรณาการมาเคาะประตูเรียก เวลาที่มหาดเล็กผู้นวดพระยคุ ลบาทใหส้ ัญญาณ ปัญจทวาราวชั ชนจิต ” เวลาที่นายทวารหหู นวกเปดิ ประตูดว้ ยสัญญาณที่ มหาดเลก็ นัน้ ให้ จักขวุ ญิ ญาณจิต ” เวลาทน่ี ายทหารยามคนที่ ๑ รับเคร่อื งบรรณาการ เวลาทท่ี หารยามคนที่ ๑ สง่ เครื่องบรรณาการให้ สัมปฏิจฉนจติ ” ทหารยามคนที่ ๒ สันตรี ณจติ ” เวลาท่ที หารยามคนท่ี ๓ ทลู เกลา้ ถวายเคร่อื ง บรรณาการแดพ่ ระราชา โวฏฐัพพนจิต ” เวลาท่พี ระราชาเสวยเคร่ืองบรรณาการ ชวนจิต ” อุปมานย้ี อ่ มแสดงใหร้ ู้ว่า กิจของอารมณ์มเี พียงกระทบกับประสาทเท่านั้น กิจทง้ั หลายของ จักขุวญิ ญาณ เป็นตน้ เป็นเพยี งการเห็นอารมณ์ การรบั อารมณ์ การพิจารณาอารมณ์ และการกาหนดอารมณเ์ ทา่ นน้ั ชวนจิต เทา่ นั้นยอ่ มเสวยรสอารมณ์ ดงั นี้ ลักษณะคนบริสุทธิ์ ๓ ๑. สมคคฺ า ความพรอ้ มเพรยี ง ๒. นปิ กา มีปัญญาเป็นเคร่อื งรักษาตน ๓. ทุกฺขสฺสนตฺ ิ กระทาทสี่ ุดแหง่ ทุกขไ์ ด้ ข.ุ สุต. ๒๕/๓๘๐

๓๒ แสดงฐานโดยพสิ ดาร สนธฺ ิ เอกํ ฉ ภวงฺคํ ทฺวาวชชฺ นํ ปญฺจาทฺเยกํ เทฺว โว โช ฉ ตทา เทวฺ ติ จตุ ีติ ปญจฺ วีสติ ฐานพิสดาร มี ๒๕ คือ ปฏสิ นธิฐาน มี ๑ ภวงั คฐาน มี ๖ อาวัชชนฐานมี ๒ ปญั จวญิ ญาณฐานมี ๑ สัมปฏิจฉนฐานมี ๑ สนั ตีรณฐานมี ๑ โวฏฐพั พนฐานมี ๒ ชวนฐานมี ๖ ตทารัมมณฐานมี ๒ จตุ ิฐานมี ๓ รวมเป็น ฐาน ๒๕ แสดงฐาน ๒๕ โดยวถิ ี ๑. ปฏสิ นธฐิ าน มี ๑ ฐาน คือ จุ – ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ต ต จุ ปฏิ ภ ภ ภ ในมรณาสันนวถิ ี ๒. ภวงั คฐาน มี ๖ ฐาน คือ ปฏิ – อา ต – อา ช – อา วุ – อา ต – จุ ช – จุ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ต ต จุ ปฏิ ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ทเ่ี กดิ ตอ่ จากมรณาสนั นวิถี จนถงึ ภวนิกนั ตโลภชวนวิถี ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ในระหว่างตทารมั มณวารวถิ ี กบั วถิ ีอืน่ ๆ ท่เี กดิ ตดิ ตอ่ กัน ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ในระหวา่ งชวนทวารวิถี กับวิถีอ่นื ๆ ทเี่ กดิ ตดิ ตอ่ กนั ตี ตี ตี ตี ตี น ท ม ปญั สํ ณ วุ วุ วุ ภ ภ น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ในระหว่างปัญจทวารวถิ ที ่เี ปน็ โวฏฐัพพนวาระ กับวิถอี ื่นๆ ทเี่ กิดตดิ ต่อกัน ตี น ท ม ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ จุ ปฏิ ภ ภ ในมรณาสันนวถิ ที ี่เปน็ ตทารัมมณวาระ ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี น ท ม ช ช ช ช ช ภ จุ ในมรณาสันนวิถที ี่เปน็ ชวนวาระ ๓. อาวชั ชนฐาน มี ๒ ฐาน คอื ภ – ปญั ภ – ช ในปัญจทวารวิถี ในกามชวนมโนทวารวิถี ตี น ท ป ปัญ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ

๓๓ ๔. ปัญจวญิ ญาณฐาน มี ๑ ฐาน คือ อา – สํ ในปัญจทวารวิถี ตี น ท ป ปญั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ๕. สมั ปฏิจฉนฐาน มี ๑ ฐาน คือ ปญั – ณ ในปัญจทวารวิถี ในปัญจทวารวถิ ี ตี น ท ป ปัญ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ๖. สันตรี ณฐาน มี ๑ ฐาน คอื สํ – วุ ตี น ท ป ปญั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ๗. โวฏฐัพพนฐาน มี ๒ ฐาน คือ ณ – ช ณ – ภ ตี น ท ป ปญั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ในปัญจทวารวิถที ีเ่ ป็นตทารัมมณวาระ ตี ตี ตี น ท ป ปญั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ภ และ ชวนวาระ ตี ตี ตี ตี ตี น ท ป ปัญ สํ ณ วุ วุ วุ ภ ภ ภ ภ ในปัญจทวารวิถี ทเ่ี ป็นโวฏฐพั พนวาระ ๘. ชวนฐาน มี ๖ ฐาน คอื วุ – ต วุ – ภ วุ – จุ ม – ต ม – ภ ม – จุ ตี น ท ป ปญั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ในปญั จทวารวถิ ี ทเ่ี ป็นตทารัมมณวาระ ตี ตี น ท ป ปญั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ภ ในปัญจทวารวถิ ี ทีเ่ ป็นชวนวาระ ตี ตี ตี น ท ป ปัญ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช จุ ปฏิ ในปัญจทวารมรณาสันนวถิ ี ที่เป็นชวนวาระ ตี น ท ป ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ ภ ภ ในกามชวนมโนทวารวิถี ที่เป็นตทารมั มณวาระ ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ภ ภ ในกามชวนมโนทวารวิถี ทเ่ี ปน็ ชวนวาระ ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี น ท ม ช ช ช ช ช จุ ปฏิ ในมโนทวารมรณาสันนวถิ ี ท่ีเปน็ ชวนวาระ ๙. ตทารัมมณฐาน มี ๒ ฐาน คอื ช – ภ ช – จุ ตี น ท ป ปญั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ในปญั จทวารวิถแี ละมโนทวารวิถี ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ ทเ่ี ปน็ ตทารมั มณวาระ ตี น ท ป ปญั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ต ต จุ ปฏิ ในมรณาสันนวิถี ท่ีเปน็ ตทารัมมณวาระ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ต ต จุ ปฏิ ภ ภ ๑๐. จุติฐาน มี ๓ ฐาน คือ ต – ปฏิ ช – ปฏิ ภ – ปฏิ ตี น ท ป ปญั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ต ต จุ ปฏิ ภ ในมรณาสนั นวถิ ี ที่เป็นตทารัมมณวาระ ตี ตี ตี น ท ป ปญั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช จุ ปฏิ ภ ในมรณาสนั นวิถี ทเ่ี ป็นชวนวาระ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ จุ ปฏิ ภ ภ ภ ในมรณาสนั นวถิ ี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี น ท ม ช ช ช ช ช ภ จุ ปฏิ

๓๔ ปฏิ ปฏิสนธิ ได้แก่ วบิ ากจิตท่ีเกดิ เปน็ ดวงแรก ในภพหนง่ึ ๆ ทาหนา้ ทส่ี ืบต่อภพใหม่ ภ ภวงั คจติ ได้แก่ จติ ทีเ่ กดิ ในระหว่างจิตดวงแรกและดวงสดุ ท้ายในภพหนึ่งๆ ทาหนา้ ท่ีรักษาภพ ซ่ึงมอี ยู่ ๕ ประเภท คอื ภ มลู ภวังค์ ได้แก่ ภวงั คท์ เี่ นอ่ื งมาจากปฏสิ นธิ หมายความว่า จิตดวงใด ทาหน้าท่ีปฏิสนธิ จติ ดวงน้นั ก็ทาหน้าทภ่ี วังค์ ตี อดตี ภวังค์ ไดแ้ ก่ ภวงั ค์ทผี่ า่ นไปกอ่ นในขณะทอ่ี ารมณ์ ๖ คือ ปจั จบุ ันนิปผนั นรปู ๑๘ ปรากฏแล้วแตย่ ังไม่กระทบกับทวาร ๖ น ภวังคจลนะ ได้แก่ ภวงั ค์ไหวทเ่ี กดิ ขนึ้ ด้วยอานาจ กระทบกันระหวา่ ง อารมณ์ ๖ กับทวาร ๖ ท ภวังคุปัจเฉทะ ไดแ้ ก่ ภวงั ค์ไหวทีเ่ กดิ ขน้ึ เป็นดวงสองแลว้ ตดั กระแสภวงั ค์ขาด อา อาคันตุกภวงั ค์ ได้แก่ ภวงั ค์ทจี่ รมาใหม่ เกิดขนึ้ ค่ันระหว่างจิตท่ีเป็นโทมนัสและ โสมนัสมใิ ห้เกิดตอ่ กนั ป ปญั จทวาราวัชชนจติ ที่เกดิ ข้นึ ทาหน้าที่ อาวชั ชนะ ( พจิ ารณาอารมณใ์ หม่ ) ในทางปัญจทวาร ปัญ ทวปิ ญั จวญิ ญาณจติ ทีเ่ กิดข้นึ ทาหนา้ ท่ี เห็น ได้ยนิ เปน็ ตน้ ในทางปัญจทวาร สํ สมั ปฏิจฉนจิต ท่กี ดิ ขนึ้ ทาหน้าทีร่ บั อารมณท์ างปญั จทวาร ณ สันตีรณจติ ทีเ่ กิดขน้ึ ทาหน้าทไ่ี ตส่ วนอารมณท์ างปัญจทวาร วุ โวฏฐพั พนจิต ได้แก่ มโนทวาราวชั ชนจิต ทเี่ กิดข้ึนทาหนา้ ทีต่ ดั สินอารมณ์ทางปญั จทวาร ช ชวนจติ ได้แก่ กามชวนะ ๒๙ ทเี่ กิดข้ึนเสพอารมณ์ ต ตทารมั มณจติ ไดแ้ ก่ สันตีรณจติ และมหาวปิ ากจติ ที่เกิดขึ้นทาหน้าทร่ี ับอารมณต์ ่อจากชวนะ จุ จตุ จิ ิต ไดแ้ ก่ จิตท่ีเกดิ ดวงสุดท้ายในภพหน่ึงๆ ทาหนา้ ทีส่ ิ้นจากภพเกา่ ม มโนทวาราวชั ชนจิต ที่เกดิ ขึ้นทาหนา้ ท่อี าวชั ชนะ ( พจิ ารณาอารมณ์ใหม่ ) ในทางมโนทวาร หมายเหตุ ในวิถหี น่งึ ๆ น้ัน มวี าระส้ินสดุ แหง่ วิถีน้ันๆ อยู่ ๔ วาระ คอื (๑) ตี น ท ป ปัญ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต เมอื่ อารมณ์ผ่านไปกอ่ น ๑ ขณะจติ แล้ว จึงกระทบกบั ทวาร เม่ือวถิ จี ติ แล่นไปจนถงึ ชวนจิตดวงที่ ๗ แลว้ อารมณ์กย็ งั ไมด่ ับยงั เหลืออีก ๒ ขณะจิต ฉะนั้น ตทารัมมณจิต จึงเกิดขึ้นรับเอาอารมณต์ ่อจากชวนจติ อกี ๒ ขณะ และดบั ลงพร้อมกบั อารมณ์ จากน้นั ก็ลงสู่ภวังค์ วิถจี ิตน้ีเรยี กวา่ ตทารัมมณวาระ (๒) ตี ตี ตี น ท ป ปัญ สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช เม่ืออารมณ์ผ่านไปก่อน ๒ – ๓ ขณะจิต จึงกระทบกบั ทวาร เม่อื วิถีจิตแลน่ ไปถึงชวนจิตดวงที่ ๗ แลว้ อารมณ์ยังเหลืออีก ๑ ขณะก็ดี ดับพร้อมกบั ชวนจิตดวงที่ ๗ ก็ดี ตทารมั มณจติ ไม่มโี อกาสทจี่ ะเกิดไดเ้ มอ่ื ชวนจติ ดวงที่ ๗ ดับลง จากน้ันจติ กล็ งสภู่ วงั ค์ วถิ ีจติ นี้เรยี กวา่ ชวนวาระ

๓๕ (๓) ตี ตี ตี ตี น ท ป ปญั สํ ณ วุ วุ วุ ภ ภ เมื่ออารมณ์ผา่ นไปกอ่ น ๔ – ๙ ขณะจติ แลว้ จึงกระทบกบั ทวาร เม่อื วิถีจติ แลน่ ไปถึง โวฏฐพั พนจิต อารมณย์ งั เหลอื เพยี ง ๖ ขณะจิตเท่าน้ัน ชวนจิตไมม่ ีโอกาสทจ่ี ะเกิด เพราะตามธรรมดา ชวนจติ ตอ้ งเกดิ ๗ ขณะ เสมอ เมอ่ื เปน็ เช่นน้ี โวฏฐัพพนจติ จงึ เกิด ๒ – ๓ ขณะจิตแล้วลงสู่ภวังค์ วถิ ีน้ีเรยี กว่า โวฏฐัพพนวาระ (๔) ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี ตี น ภ ภ เมอ่ื อารมณผ์ า่ นไปกอ่ น ๑๐ – ๑๖ ขณะจิตแล้วจึงกระทบกบั ทวาร อารมณ์นน้ั สามารถตงั้ อยไู่ ด้จนถงึ โวฏฐัพพนจิต ฉะนัน้ จติ จงึ ไมข่ ้ึนสู่วถิ ี มีแต่ภวงั คไ์ หวเทา่ นั้นเ กิด ๒ ขณะ เรยี กวถิ ีนว้ี า่ โมฆวาระ จบ กจิ จสงั คหะ คติธรรมคาํ คม คนจะดนี ี้ต้องฝกึ และศกึ ษา กายวาจาต้องอบรมบ่มนิสยั ตอ้ งฝึกจติ ให้หนกั แน่นเปน็ หลักชัย ชนะภัยสารพดั ................สวสั ดี เครื่องประดับขอ้ มอื คือการให้ เครือ่ งประดบั จติ ใจคอื เมตตา เครื่องประดบั คอคอื เปลง่ ปิยะวาจา เครื่องประดับหูนัน่ หนา ฟังส่ิงเปน็ มงคล โดย กฤษณาวดี...

๓๖ มาติกาที่ ๔ ทวารสงั คหะ ทวารสังคหะ หมายความวา่ การแสดงสงเคราะห์ จิต เจตสกิ โดยประเภทแห่งทวาร ช่ือว่า ทวารสงั คหะ ทวาร มี ๖ คอื ๑. จกั ขทุ วาร ไดแ้ ก่ จักขปุ สาท ๒. โสตทวาร ไดแ้ ก่ โสตปสาท ๓. ฆานทวาร ได้แก่ ฆานปสาท ๔. ชวิ หาทวาร ได้แก่ ชวิ หาปสาท ๕. กายทวาร ไดแ้ ก่ กายปสาท ๖. มโนทวาร ได้แก่ ภวังคจติ ๑๙ คาวา่ ทวาร แปลวา่ ประตู สาหรบั เปน็ ทเ่ี ข้าออกของคนทั้งหลาย จักขทุ วารเปน็ ตน้ ช่ือวา่ ทวาร เพราะ เสมือนหน่งึ ประตูเป็นท่ีเข้าออกของวถิ จี ิตทัง้ หลาย ธรรมดาสตั วท์ ้งั หลาย ถา้ ไมม่ ปี สาทรูปทงั้ ๕ และภวงั คจติ แลว้ วิถจี ิตก็เกิดข้ึนไม่ได้ เม่อื วถิ ีจิตเกิดขนึ้ ไม่ไดแ้ ลว้ ก็เปน็ อันวา่ การทา การพูด การคดิ ท่ดี ี กต็ าม ไม่ดกี ต็ าม ก็มี ไม่ไดเ้ ชน่ เดียวกนั ๑. จกั ขุทวาริกจติ ๔๖ ภ ตี น ท ป จกั สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ๑ ๒๒๓ ๑ ๒๙ ๑๑ ๒. โสตทวาริกจิต ๔๖ ภ ตี น ท ป โส สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ๑ ๒๒๓ ๑ ๒๙ ๑๑ ๓. ฆานทวาริกจติ ๔๖ ภ ตี น ท ป ฆา สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ๑ ๒๒๓ ๑ ๒๙ ๑๑ ๔. ชวิ หาทวารกิ จติ ๔๖ ภ ตี น ท ป ชิว สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ๑ ๒๒๓ ๑ ๒๙ ๑๑ ๕. กายทวารกิ จติ ๔๖ ภ ตี น ท ป กา สํ ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ๑ ๒๒๓ ๑ ๒๙ ๑๑ รวม ๔๑ ( -๑๐, ๓) ๖. มโนทวาริกจติ ๖๗ / ๙๙ - กามชวนะ ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช ช ช ต ต ๒+๘ ๑ ๒๙ ๓+๘ - อัปปนาชวนะ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค ฌา ภ ภ ๑ ๘ ๑๘ รวม ๒๗ รวม ๑๕ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โค มัค ผ ผ ภ รวม ๓๕ ๑ ๔ ๕๕ ภ น ท ม ปริ อุ นุ โว มคั ผ ผ ภ ๑ ๔ ๑๕ ๑๕

๓๗ ๗. ทวารวมิ ุตตจติ คือ จิตทพี่ ้นจากปญั จทวารวิถีและมโนทวารวิถี หรือ เรียกวา่ จิตท่พี น้ จากทวารท้งั ๖ มี ๑๙ ดวง คอื อุเบกขาสันตีรณจิต ๒ มหาวิปากจติ ๘ มหคั คตวิปากจิต ๙ รวมจติ ๑๙ ดวงน้ี - เกดิ พน้ ทวารโดยแนน่ อน มี ๙ ดวง คอื มหคั คตวิปากจิต ๙ - เกิดพน้ ทวารโดยไม่แน่นอน มี ๑๐ ดวง คอื อเุ บกขาสันตีรณจิต ๒ มหาวิปากจติ ๘ เพราะว่าจิต ๑๐ ดวงน้ี ถ้าทาหนา้ ท่ี ปฏสิ นธิ ภวังค์ จุติ แล้วก็เกิดพ้นจากทวาร และถา้ ทาหน้าท่ี สันตีรณกจิ ตทารัมมณกจิ กเ็ กิดในทวาร แสดงการจําแนกจติ โดยทวาริกจิต โดยแนน่ อน และ ไมแ่ นน่ อน ทวารกิ จิต มี แน่นอน ( เอกันตะ) ไมแ่ น่นอน ( อเนกนั ตะ) ๔๔ - กามจติ ๔๔ ( ทว.ิ ๑๐) ๑. จักขุทวาริกจิต ๔๖ - กามจิต ๔๖ ๒ - จักขุวญิ . ๒ ๔๔ - กามจติ ๔๔ ( ทวิ.๑๐) ๔๔ - กามจติ ๔๔ ( ทวิ.๑๐) ๒. โสตทวาริกจติ ๔๖ - กามจติ ๔๖ ๒ - โสตวิญ. ๒ ๔๔ - กามจิต ๔๔ ( ทว.ิ ๑๐) ๔๔ - กามจิต ๔๔ ( ทว.ิ ๑๐) ๓. ฆานทวาริกจิต ๔๖ - กามจติ ๔๖ ๒ - ฆานวิญ. ๒ ๔๑ - กามจิต ๔๑ ( ทวิ.๑๐, มโนธาตุ ๓) ๔. ชวิ หาทวาริกจิต ๔๖ - กามจติ ๔๖ ๒ - ชิวหาวิญ. ๒ [ หรือ มโน.๑ กามช.๒๙ ตทา.๑๑ ] ๑๐ - อุ.สัน ๒ มหาว.ิ ๘ ๕. กายทวารกิ จิต ๔๖ - กามจิต ๔๖ ๒ - กายวญิ . ๒ ๖. มโนทวาริกจิต ๖๗/๙๙ - กาม.๔๑ (๑๐,๓) ๒๖/๕๘ - อัป.ช. ๒๖/๕๘ อัป.ช. ๒๖/๕๘ ๗. ทวารวิมตุ ตจติ ๑๙ - ๒, ๘, ๙ ๙ - มหัค.วิ.๙ แสดงเอกทวาริกจิต ปัญจทวารกิ จติ ฉทวาริกจิต และ ทวารวมิ ตุ ตจิต โดยแน่นอน และ ไมแ่ น่นอน ทวาริกจิต มี แน่นอน ( เอกนั ตะ) ไมแ่ นน่ อน ( อเนกันตะ) ๑. เอกทวาริกจิต ๘๐/๑๑๒ - กามจิต ๕๔, ๓๖/๖๘ -ทว๑ิ ๐, อัป.ช. ๒๖/๕๘ ๔๔ -กามจิต ๔๔ อปั .ช. ๒๖/๕๘ ( เวน้ ทวิ.๑๐ ) ๒. ปญั จทวาริกจติ ๔๔ - กามจติ ๔๔ ๓ -มโนธาตุ ๓ ๔๑ -กามจิต ๔๑ ( เวน้ ทว.ิ ๑๐ ) ( เวน้ ทวิ.๑๐, ๓ ) ๓. ฉทวาริกจิต ๔๑ - กามจติ ๔๑ ๓๑ -โส.สนั .๑, มโน.๑ ๑๐ -อุ.สนั .๒, มหาว.ิ ๘ ( เว้น ทว.ิ ๑๐, ๓ ) กามชวน ๒๙ ๔. ทวาริกจติ ๘๐/๑๑๒ -กามจติ ๕๔, ๗๐/๑๐๒ -กาม.๔๔ ( อุ.สัน.๒ ม.วิ.๘ ) ๑๐ -อ.ุ สัน.๒, มหาว.ิ ๘ อัป.ช. ๒๖/๕๘ อปั .ช. ๒๖/๕๘ ๕. ทวารวิมุตตจติ ๑๙ -อุ.สนั .๒, ม.ว.ิ ๘, ๙ -มหัค.ว.ิ ๙ ๑๐ -อุ.สนั ๒, มหาว.ิ ๘ มหัค.ว.ิ ๙

๓๘ การจาํ แนกเจตสกิ โดย ทวาร ทวารกิ เจตสกิ มี แน่นอน ( เอกนั ตะ) ไมแ่ น่นอน ( อเนกนั ตะ) ๒ – อปั ปมัญญา ๒ ๕๐ - เจตสิก ๕๐ ( อัป.๒) ๑. เอกทวารกิ เจตสกิ ๕๒ - เจตสกิ ๕๒ ๕๐ - เจตสิก ๕๐ ( อัป.๒) ไม่มี ๓๓ - อญั ญ.๑๓, โสภณ.๒๐ (วิรตี.๓, อัป.๒) ๒. ปญั จทวารกิ เจตสกิ ๕๐ - เจตสกิ ๕๐ ( อปั .๒) ๑๗ - อก.ุ ๑๔, วริ ตี ๓ ๓๕ - อญั ญ.๑๓, โสภณ.๒๒ (วิรตี.๓) ๑๗ - อก.ุ ๑๔, วริ ตี ๓ ๓๕ - อัญญ.๑๓, โสภณ.๒๒ (วิรตี.๓) ๓. ฉทวาริกเจตสิก ๕๐ - เจตสกิ ๕๐ ( อปั .๒) ไม่มี ๔. ทวาริกเจตสิก ๕๒ - เจตสกิ ๕๒ ๕. ทวารกิ วิมุตตเจตสิก ๓๕ - อญั ญ. ๑๓, โสภณ.๒๒ (วิรต.ี ๓) อปุ มาภวงั คจติ ตี. เปรียบเหมือน เราน่ังอย่ใู นห้องเรยี น มคี นเดินผา่ นมาหน้าห้อง น. เปรยี บเหมือน คนมาทาเสยี งดัง ความสนใจในการเรียนก็ไมค่ อ่ ยม่นั คง ท. เปรียบเหมือน คนทาเสยี งดงั เรียกชอื่ เราดว้ ย เรากท็ งิ้ อารมณจ์ ากการเรยี นมารบั อารมณ์ใหม่ ป. เปรียบเหมอื น รับอารมณใ์ หม่ จบ ทวารสงั คหะ คนมธี รรม ๓ ประการนี้ ย่อมหาทรัพยไ์ ด้ ๑. ปฏริ ปู การี ผู้ทาการงานตามสมควร ๒. ธรุ วา ผมู้ ีธุระไม่วา่ งเวน้ ๓. อุฏฐาตา ผู้มคี วามขยนั หม่นั เพียร ขุ. สุต. ๒๕/๓๑๑/๓๖๑

กามจติ ๓๙ ๕๔ ทวารสงั คหะ จาํ แนกเจตสิก ๕๒ โดย ทวาร จําแนกจติ ๑๒๑ โดย ทวาร ๖๖๖๖ ๖/๐ ๖/๐ ๖/๐ ๖/๐ ๖/๐ ๖/๐ ๖/๐ ๖๖๖๖ ๖/๐ ๖/๐ ๖/๐ ๖/๐ ๖/๐ ๖/๐ ๖๖ ๖๖ ๑ ๕ ๖/๐ ๖๖๖๖ ๑ ๕ ๖/๐ ๖ ๖๖๖ ๑๑๑๑ ๖๖๖๖ ๑๑๑๑ จติ ๖๖ ๕๖ ๖ ๖ ๖๖๖๖ ๖/๐ ๖/๐ ๖/๐ ๖/๐ ๖/๐ ๖/๐ ๖/๐ ๖๖๖๖ ๖/๐ ๖/๐ ๖/๐ ๖/๐ เอกทวาริกจิต จิตทีเ่ กิดในทวารเดียว มี ๘๐/๑๑๒ ๖ ๖๖ ๖/๐ ๖/๐ ๖/๐ ๖/๐ ๖/๐ ๖/๐ เอกนั ตะ ๓๖/๘๖( ทว๑ิ ๐, อปั ปนา. ๒๖/๕๘ ) ๒๑ ๑ มโนทวาร ๖/๐ ๖/๐ ๖๖๖๖ อเนกนั ตะ ๔๔ ( กามจติ ๔๔ เวน้ ทว๑ิ ๐ ) ๖/๐ ๖๖๖๖ ๖/๐ ๖/๐ ปัญจทวาริกจติ จิตท่ีเกดิ ในทวาร ๕ มี ๔๔ ๑๑๑๑ เอกนั ตะ ๓ ( มโนธาตุ ๓ ) ๖/๐ ๖/๐ ๐๐๐๐ อเนกันตะ ๔๑ ( กามจติ ๔๑ เวน้ ทว๑ิ ๐ ๑๑๑๑ ๖/๐ ๖/๐ ๑ มโนธาตุ ๓ ) ๑๑๑๑ ๐ ๖/๐ ๖/๐ ๑๑๑๑ ๑ ๑๑๑๑ เจตสกิ ๑๑๑๑ ๑๑๑๑ ๑๑๑๑ ๐๐๐๐ เอกทวาริกเจตสกิ เจตสิกทเี่ กดิ ในทวารเดยี ว มี ๕๒ ๑๑๑๑ ๑๑๑๑ เอกันตะ ๒ ( อัปปมัญญา ๒ ) ๑๑๑๑ อเนกนั ตะ ๕๐ ( เจตสกิ ๕๐ เวน้ อปั .๒ ) ๑๑๑๑ ๑ ฉทวารกิ จิต จิตท่เี กดิ ในทวาร ๖ มี ๔๑ ๑ เอกนั ตะ ๓๑( โส.สัน.๑ มโน.๑ กามชวน๒๙ ) ปัญจทวารกิ เจตสิก เจตสิกที่เกดิ ในทวาร ๕ มี ๕๐ เอกนั ตะ ไม่มี ๑ อเนกันตะ ๑๐ ( อุ.สนั .๒ มหาวิ.๘ ) อเนกันตะ ๕๐ ( เจตสกิ ๕๐ เวน้ อัป.๒ ) ๑ ทวาริกจติ จติ ท่เี กิดในทวาร มี ๘๐/๑๑๒ ฉทวาริกเจตสกิ เจตสกิ ที่เกดิ ในทวาร ๖ มี ๕๐ เอกันตะ ๑๗ ( อกศุ ลเจตสิก ๑๔, วริ ตี.๓ ) ๑ เอกนั ตะ ๗๐ ( กามจิต ๔๔ เว้น อ.ุ สนั .๒ อเนกนั ตะ ๓๓ ( อัญญ ๑๓, โสภณ ๒๐ ๑ มหาวิ.๘ อปั ปนา. ๒๖/๕๘ ) เวน้ วริ ตี.๓ อปั .๒ ) ๑ อเนกันตะ ๑๐ ( อุ.สนั .๒ มหาวิ.๘ ) ทวาริกเจตสิก เจตสิกท่ีเกดิ ในทวาร มี ๕๒ เอกันตะ ๑๗ ( อกุศลเจตสกิ ๑๔, วิรตเี จตสกิ ๓ ) ๑ ทวารวมิ ตุ ตจติ จติ ท่เี กิดพ้นจากทวาร มี ๑๙ อเนกนั ตะ ๓๕ ( อญั ญ.๑๓, โสภณ.๒๒ เว้นวิรตี.๓ ) เอกันตะ ๙ ( มหคั คตว.ิ ๙ ) ทวารกิ วิมตุ ตเจตสิก เจตสิกทเ่ี กิดพ้นจากทวาร มี ๓๕ อเนกันตะ ๑๐ ( อุ.สัน.๒ มหาวิ.๘ ) เอกันตะ ไมม่ ี อเนกันตะ ๓๕ ( อญั ญ.๑๓, โสภณ.๒๒ เวน้ วริ ตี.๓ )

๔๐ มาตกิ าท่ี ๕ อารมั มณสงั คหะ อารัมมณสังคหะ หมายความวา่ การแสดงสงเคราะหจ์ ติ เจตสิก โดยประเภทแหง่ อารมณ์ ชือ่ วา่ อารมั มณสังคหะ อารมณ์ มี ๖ คือ ๑. รูปารมณ์ ได้แก่ สีตา่ งๆ ๒. สัททารมณ์ ไดแ้ ก่ เสยี งต่างๆ ๓. คันธารมณ์ ไดแ้ ก่ กล่ินตา่ งๆ ๔. รสารมณ์ ได้แก่ รสตา่ งๆ ๕. โผฏฐพั พารมณ์ ได้แก่ เย็น รอ้ น ออ่ น แขง็ หย่อน ตึง ๖. ธรรมารมณ์ ได้แก่ จิต เจตสกิ ปสาทรูป ๕ สุขมุ รูป ๑๖ นพิ พาน บัญญัติ อารมณ์ หมายความวา่ เปน็ ทยี่ ินดี เหมอื นหน่ึงสวนดอกไม้ เป็นทยี่ นิ ดีแก่คนทัง้ หลาย อารมณ์ ๖ มี รูปารมณ์ เป็นตน้ กย็ ่อมเปน็ ทีย่ ินดแี ก่ จิตและเจตสิกทั้งหลาย อารมณน์ เ้ี รยี กวา่ อาลมั พนะ ก็ได้ หมายความวา่ เปน็ ที่ยดึ หน่วงของจติ และเจตสกิ ทัง้ หลาย ดจุ คนชรา หรือทุพพลภาพ ย่อมตอ้ งอาศัยไมเ้ ทา้ หรือเชือก เปน็ เครอ่ื งยึดเหนย่ี วทรงตัวให้ลกุ ขนึ้ จิตและเจตสิกทงั้ หลาย กเ็ ชน่ เดียวกัน ต้องมีอารมณเ์ ป็นเคร่ืองอาศัยยดึ เหน่ียวเพ่อื เกิดสบื ตอ่ กนั ฉนั นั้น แสดงการจาแนกทวารกิ จิต และ ทวารวมิ ุตตจิต โดย อารมณ์ ๖ ๑. จกั ขุทวารกิ จิต ๔๖ มรี ูปารมณ์ ทเ่ี ปน็ ปจั จุบันอย่างเดยี ว ๒. โสตทวารกิ จิต ๔๖ ๓. ฆานทวาริกจติ ๔๖ ภ ตี น ท ป จัก ส ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ ๔. ชวิ หาทวาริกจติ ๔๖ ๑ ๒๒๓ ๑ ๒๙ ๑๑ มสี ทั ทารมณ์ ท่เี ปน็ ปัจจุบันอยา่ งเดยี ว ภ ตี น ท ป โส ส ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ ๑ ๒๒๓ ๑ ๒๙ ๑๑ มีคันธารมณ์ ทเ่ี ป็นปจั จบุ ันอยา่ งเดยี ว ภ ตี น ท ป ฆา ส ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ ๑ ๒๒๓ ๑ ๒๙ ๑๑ มีรสารมณ์ ทเ่ี ปน็ ปจั จบุ นั อยา่ งเดยี ว ภ ตี น ท ป ชวิ ส ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ ๑ ๒๒๓ ๑ ๒๙ ๑๑

๔๑ ๕. กายทวารกิ จติ ๔๖ มีโผฏฐัพพารมณ์ ทเ่ี ปน็ ปัจจบุ นั อยา่ งเดยี ว ๖. มโนทวาริกจิต ๖๗/๙๙ ภ ตี น ท ป กา ส ณ วุ ช ช ช ช ช ช ช ต ต ภ ภ ๑ ๒๒๓ ๑ ๒๙ ๑๑ มีอารมณ์ ๖ ทีเ่ ป็น ป. อดีต.อนา. และกาลวมิ ตุ ติ ตามสมควรแกอ่ ารมณ์ ภนทมช ช ช ชช ช ช ตต ภภ ๑ ๒๙ - ๒๖/๕๘ ๑๑ ๗. ทวารวิมตุ ตจติ ๑๙ ทเี่ กดิ ขึ้นทาหน้าท่ี ปฏิสนธิ ภวงั ค์ จตุ ิ ทง้ั ๑๙ ดวงน้ัน มีอารมณ์หนง่ึ อารมณใ์ ดใน บรรดาอารมณ์ ๖ ที่เรียกวา่ กรรม กรรมนิมติ คตินิมิต ซึง่ เป็น ปัจจุบัน อดตี และ บัญญตั ิ ท่ี ฉทวาริกมรณาสันนชวนะรับเอามาจากภพกอ่ นเม่อื ใกล้จะตายเปน็ สว่ นมาก อารมณ์ ๖ เหล่านี้ แบ่งออกเป็น ๒ อยา่ ง คือ ๑. สามัญญอารมณ์ อารมณช์ นดิ สามญั ธรรมดาทัว่ ๆ ไป ไม่มีอะไรเป็นพเิ ศษ ๒. อธิบดอี ารมณ์ อารมณช์ นดิ พิเศษ ทม่ี อี านาจครอบครองจติ และเจตสิก และเหนี่ยวจติ เจตสกิ ใหเ้ ข้ามาหาตน อารมณ์ ๖ เหลา่ น้ี แบ่งออกเป็น ๒ พวก คอื ๑. เตกาลิกอารมณ์ ได้แก่อารมณ์ทเ่ี ก่ยี วเนอ่ื งด้วยกาลทง้ั ๓ คือ ปจั จบุ นั อดีต อนาคต ได้แก่ จิต เจตสกิ รปู ๒. กาลวิมตุ ตอารมณ์ ได้แก่ อารมณ์ทีไ่ มเ่ ก่ียวเน่อื งดว้ ยกาลทัง้ ๓ ไดแ้ ก่ นพิ พาน บญั ญตั ิ (เพราะธรรม ๒ พวกน้ี เปน็ อสงั ขตธรรม ไม่ไดถ้ ูกปรงุ แตง่ ดว้ ยปัจจยั ๔) ฉะนน้ั การเกิดขนึ้ ของธรรม ๒ พวกน้จี งึ ไมม่ ี เมือ่ ไมม่ กี ารเกดิ ขน้ึ แลว้ กก็ ลา่ วไมไ่ ด้ว่า นพิ พาน หรือ บญั ญตั ิ เหลา่ น้ี เป็น ปจั จุบัน อดีต อนาคต ฉะนั้นจึงเรียกว่า กาลวิมตุ ตอารมณ์

๔๒ ภพเก่า ภพใหม่ ปฏ.ิ ภ. จุ ในภพเกา่ มีอารมณ์เดียวกนั ปฏิ ภ .. ฯลฯ .. ภ ตี น ท ป ปัญ ส ณ วุ ช ช ช ช ช จุ ปฏิ ภ ภ .. ฯลฯ .. ภ จุ มรณาสนั น.ชวน ในภพเก่า กับ ปฏ.ิ ภ. จุ ในภพใหม่ มอี ารมณ์เดียวกัน ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑๓ ๑๔ ๑๕ ๑๖ ๑๗ ภ ตี น ท ม ช ช ช ช ช จุ ปฏิ ภ ภ ภ ภ ภ ภ ภ ภ .. ฯลฯ .. ภ มีกรรมนมิ ิต หรือคตินิมิตอารมณ์เดยี วกนั มีกรรมนิมิต หรอื คตินิมิตอารมณเ์ ดยี วกนั กับ เป็นปัจจุบนั อารมณ์ มรณาสนั น.ชวน ในภพเก่า, ปฏ.ิ ในภพใหม่และ ภ.๖ ดวงแรก แตอ่ ารมณ์นน้ั เป็นปจั จุบนั ไม่ได้ ภวังคจติ ที่เกิดตอ่ อยา่ งมาก ๖ ดวง ทมี่ อี ารมณ์เปน็ ปัจจุบนั ภพเกา่ ภพใหม่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑๓ ๑๔ ๑๕ ๑๖ ๑๗ ภ ตี น ท ป ปัญ ส ณ วุ ช ช ช ช ช ต ต ภ จุ ปฏิ .. ฯลฯ .. ภ มีอารมณท์ เ่ี ป็นปัจจุบนั นปิ ผนั นรปู มกี รรมนิมติ หรอื คตินมิ ติ อารมณเ์ ดียวกนั ท่ีเรียกวา่ กรรมนิมติ หรอื คตนิ มิ ิต กบั มรณาสนั น.ชวน ในภพก่อนท่ีเป็นอดีต นปิ ผนั นรูปอารมณ์ ดบั ลงพร้อมกับจุติจิต และปฏิ. ภ. จ.ุ ในภพใหม่กม็ ีอารมณ์เป็นอดตี ช ช ช ช ช จุ ..ปฏ.ิ ดว้ ยชวี ิตนวกกลาปและจตุ ิด้วย ปฏิ ภ ภ ภ ภ ภ ภ ภ ชีวติ นวกลาปเมอ่ื อายุ ๕๐๐ มหากัปป์ เม่อื ตายจากอสญั ญสตั ตพรหมแลว้ มาเกดิ ในกามภูมิ เป็นมนษุ ย์หรอื เทวดา ปฏิ . ภ. จุ ย่อมมีอารมณท์ ่ี เป็น กรรมอารมณ์ กรรมนมิ ิตอารมณ์ คตินิมติ อารมณ์ อย่างใดอย่างหน่งึ ทไี่ ดร้ ับมาจากอปราปริยกรรม ( คอื กรรมทตี่ นเคยทามาแล้วในภพก่อนๆ นบั ตัง้ แตภ่ พท่ี ๓ เป็นตน้ ไปตามสมควร )

๔๓ อารมณ์ ๖ เหลา่ นเี้ มื่อจาแนกโดยประเภทใหญแ่ ลว้ มี ๔ ประเภท คอื ๑. กามอารมณ์ ไดแ้ ก่ อารมณ์ ๖ (องคธ์ รรม คอื กามาวจรจิต ๕๔ เจตสกิ ๕๒ รูป ๒๘) ๒. มหคั คตอารมณ์ ไดแ้ ก่ ธรรมารมณ์ ๑ (องคธ์ รรม คือ มหคั คตจติ ๒๗ เจตสกิ ๓๕) ๓. โลกุตตรอารมณ์ ไดแ้ ก่ ธรรมารมณ์ ๑ (องค์ธรรม คือ โลกุตตรจติ ๘ เจตสิก ๓๖ นพิ พาน ๑) ๔. บญั ญตั อิ ารมณ์ ได้แก่ ธรรมารมณ์ ๑ (องคธ์ รรม คอื อตั ถบัญญตั ิ สทั ทบัญญัติ ) คาถาแสดงจิตทร่ี บั อารมณแ์ นน่ อน ๔ ประเภท และไมแ่ นน่ อน ๓ ประเภท ๑. ปญจฺ วสี ปรติ ตฺ มฺหิ ฉ จติ ฺตานิ มหคฺคเต เอกวสี ติ โวหาเร อฏฺ นพิ พฺ านโคจเร ฯ ๒. วสี านตุ ตฺ รมุตตฺ มฺหิ อคคฺ มคคฺ ผลชุ ฺฌิเต ปญจฺ สพพฺ ตถฺ ฉจเฺ จติ สตตฺ ธา ตตฺถ สงฺคโห ฯ ๑. จิต ๒๕ ดวง คือ ทวิปญั จวิญญาณจิต ๑๐ มโนธาตุ ๓ สนั ตีรณจติ ๓ มหาวิปากจติ ๘ หสิตปุ ปาทจิต ๑ เกดิ ได้ในอารมณ์ ๖ ที่เปน็ กามธรรมอย่างเดียว จติ ๖ ดวง คือ วญิ ญาณัญจายตนฌานจติ ๓ เนวสัญญานาสญั ญายตนฌานจิต ๓ เกดิ ได้ในธรรมารมณ์ทเ่ี ป็นมหัคคตะอย่างเดยี ว จิต ๒๑ ดวง คือ รูปาวจรจติ ๑๕ (เวน้ อภญิ ญาจิต ๒) อากาสานญั จายตนฌานจิต ๓ อากญิ จัญญายตนฌานจติ ๓ เกดิ ได้ในธรรมารมณท์ ่ีเปน็ บญั ญัติอย่างเดียว จิต ๘ ดวง คือ โลกตุ ตรจติ ๘ เกิดได้ในธรรมารมณท์ ่เี ป็นนิพพานอย่างเดียว ๒. จติ ๒๐ ดวง คือ อกศุ ลจิต ๑๒ มหากุศลญาณวปิ ปยตุ ตจติ ๔ มหากริยาญาณวิปปยุตตจติ ๔ เกดิ ได้ในอารมณ์ ๖ ที่เปน็ กามะ มหคั คตะ บญั ญตั ิ (เวน้ โลกุตตรธรรม ๙) จติ ๕ ดวง คือ มหากุศลญาณสัมปยตุ ตจติ ๔ กศุ ลอภิญญาจิต ๑ เกิดไดใ้ นอารมณ์ทงั้ ๖ ท่ีเปน็ กามะ มหัคคตะ โลกุตตระ บญั ญตั ิ ( เวน้ อรหตั ตมรรค อรหตั ตผล ) จิต ๖ ดวง คอื มหากริยาญาณสัมปยตุ ตจติ ๔ กรยิ าอภิญญาจติ ๑ มโนทวาราวัชชนจติ ๑ เกดิ ไดใ้ นอารมณ์ทง้ั ๖ ท่ีเปน็ กามะ มหคั คตะ โลกตุ ตระ บญั ญัติ โดยไมม่ ีเหลือ ในอารัมมณสังคหะน้ี มีการสงเคราะหจ์ ิต ๗ นัย โดยประเภทแห่งเอกนั ตะ ๔ อเนกันตะ ๓ ดงั ทีก่ ล่าวมาแล้ว ด้วยประการฉะน้ี

๔๔ จาแนกจิต ๖๐ หรือ ๙๒ ดวง ที่รบั อารมณแ์ นน่ อน โดยอารมณ์ ๖ และ กาล ๓ ตามลาดับ ปญฺจวีส ปรติ ตฺ มฺหิ คอื จติ ๒๕ ดวง เกดิ ไดใ้ นอารมณ์ ๖ ท่ีเปน็ กามธรรมอยา่ งเดยี ว ๑. จักขุวิญญาณจติ ๒ มี รปู ารมณ์ ท่เี ป็น ปัจจุบนั อยา่ งเดียว ๒. โสตวิญญาณจติ ๒ มี สัททารมณ์ ที่เป็น ปัจจุบนั อยา่ งเดยี ว ๓. ฆานวญิ ญาณจติ ๒ มี คนั ธารมณ์ ที่เปน็ ปัจจุบนั อยา่ งเดยี ว ๔. ชิวหาวญิ ญาณจิต ๒ มี รสารมณ์ ทเี่ ปน็ ปัจจบุ ันอย่างเดยี ว ๕. กายวญิ ญาณจติ ๒ มี โผฏฐัพพารมณ์ ที่เป็น ปจั จบุ นั อย่างเดียว ๖. มโนธาตุ ๓ (สมั ปฏิจฉนจิต ๒ ปัญจทวาราวัชชนจติ ๑) มี ปัญจารมณ์ (อา. ๕) ที่เปน็ ปจั จุบนั อย่างเดยี ว ๗. สันตรี ณจติ ๓ มหาวปิ ากจิต ๘ หสิตปุ ปาทจติ ๑ รวม ๑๒ ดวงนี้ มี อารมณ์ ๖ ทีเ่ ปน็ ปจั จุบนั อดีต อนาคต ฉ จติ ฺตานิ มหคฺคเต คือ จติ ๖ ดวงเกิดไดใ้ นธรรมารมณ์ทีเ่ ปน็ มหัคคตะ อย่างเดียว ๘. วญิ ญาณัญจายตนกุศลจิต ๑ วิปากจติ ๑ มี มหคั คตธรรมารมณ์ คือ อากาสานัญจายตนกุศล ทเ่ี ป็น อดีตอยา่ งเดยี ว ๙. วญิ ญาณัญจายตนกรยิ าจิต ๑ มี มหัคคตธรรมารมณ์ คือ อากาสานญั จายตนกศุ ลและกริยา ท่เี ป็น อดีตอยา่ งเดยี ว ๑๐. เนวสญั ญานาสญั ญายตนกุศลจิต ๑ วปิ ากจติ ๑ มี มหัคคตธรรมารมณ์ คือ อากญิ จญั ญายตนกุศล ทเ่ี ปน็ อดตี อยา่ งเดียว ๑๑. เนวสัญญานาสญั ญายตนกริยาจิต ๑ มี มหัคคตธรรมารมณ์ คือ อากิญจัญญายตนกศุ ล และกรยิ า ท่เี ปน็ อดตี อยา่ งเดียว เอกวสี ติ โวหาเร จติ ๒๑ ดวง นี้ เกิดไดใ้ นธรรมารมณท์ เ่ี ปน็ บัญญตั อิ ยา่ งเดียว ๑๒. รปู าวจรปฐมฌานจิต ๓ มี บญั ญัตธิ รรมารมณ์ คอื กสิณบญั ญัติ ๑๐ อสภุ บญั ญตั ิ ๑๐ โกฏฐาสบญั ญตั ิ ๑ อานาปานบัญญตั ิ ๑ ปิยมนาปสัตวบญั ญัติ ๑ ทุกขติ สตั วบญั ญตั ิ ๑ สขุ ติ สตั วบัญญตั ิ ๑ ทเี่ ปน็ กาลวิมตุ ตอ์ ย่างเดียว ๑๓.รปู าวจรทุตยิ ฌานจิต ๓ ตติยฌานจติ ๓ จตุตถฌานจติ ๓ รวม ๙ ดวงนี้ มี บัญญตั ธิ รรมารมณ์ คือ สิณบญั ญตั ิ ๑๐ อานาปานบญั ญัติ ๑ ปยิ มนาปสัตวบญั ญัติ ๑ ทกุ ขติ สัตวบญั ญัติ ๑ สุขติ สัตวบญั ญตั ิ ๑ ที่เปน็ กาลวมิ ุตตอ์ ยา่ งเดยี ว ๑๔. รปู วจรปัญจมฌานจติ ๓ (เวน้ อภญิ ญา) มี บญั ญตั ธิ รรมารมณ์ คอื กสณิ บัญญตั ิ ๑๐ อานาปานบัญญัติ ๑ มชั ฌตั ตสัตวบัญญตั ิ ๑ ทเ่ี ปน็ กาลวมิ ุตตอ์ ยา่ งเดียว ๑๕.อากาสานัญจายตนฌานจติ ๓ มี บญั ญัตธิ รรมารมณ์ คือ กสิณุคฆาฏมิ ากาสบัญญตั ิ ทีเ่ ป็น กาลวมิ ุตตอ์ ยา่ งเดยี ว ๑๖. อากิญจัญญายตนฌานจิต ๓ มี บัญญัติธรรมารมณ์ คือ นัตถิภาวบัญญตั ิ ทเ่ี ปน็ กาล วิมุตต์อย่างเดยี ว อฏฺ นิพฺพานโคจเร จิต ๘ ดวงน้ี เกิดได้ในธรรมารมณ์ท่ีเปน็ นิพพานอย่างเดยี ว ๑๗.โลกุตตรจติ ๘/๔๐ มี ธรรมารมณ์ คอื นิพพาน ทเี่ ป็น กาลวมิ ตุ ตอ์ ยา่ งเดยี ว (หมายถงึ สอุปาทเิ สสนพิ พาน)

๔๕ จาแนกจติ ๓๑ ดวง ทร่ี บั อารมณไ์ มแ่ นน่ อนโดยอารมณ์ ๖ และ กาล ๓ วีสานตุ ฺตรมตุ ตฺ มหฺ ิ จติ ๒๐ ดวงนี้ เกิดได้ในอารมณ์ ๖ ที่เป็น กามะ มหัคคตะ บัญญัติ (เวน้ โลกตุ ตร. ๙) ๑. อกศุ ลจติ ๑๒ มหากศุ ลญาณวิปปยุตตจติ ๔ มหากรยิ าญาณวิปปยตุ ตจติ ๔ รวม ๒๐ ดวงนี้ มี อารมณ์ ๖ คอื รูปารมณ์ สทั ทารมณ์ คันธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ และ ธรรมารมณ์ ได้แก่ โลกียจติ ๘๑ เจตสกิ ๕๒ ปสาทรูป ๕ สุขมุ รปู ๑๖ บัญญตั ิ ทีเ่ ป็น ปัจจบุ นั อดตี อนาคต และกาลวิมุตต์ อคคฺ มคคฺ ผลชุ ฌฺ ิเต ปญจฺ จิต ๕ ดวงน้ี เกดิ ไดใ้ นอารมณ์ท่ีเปน็ กามะ มหคั คตะ โลกตุ ตระ บัญญตั ิ (เว้น ๒) ๒. มหากุศลญาณสัมปยุตตจติ ๔ กุศลอภญิ ญาจิต ๑ รวม ๕ ดวงน้ี มอี ารมณ์ ๖ คือ รปู ารมณ์ สทั ทารมณ์ คนั ธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐพั พารมณ์ และ ธรรมารมณ์ ได้แก่ จติ ๘๗ (เว้นอรหัตตมรรค อรหตั ตผล) เจตสกิ ๕๒ ปสาทรูป ๕ สขุ มุ รูป ๑๖ บัญญัติ นิพพาน ทีเ่ ป็น ปัจจุบัน อดตี อนาคต และกาลวมิ ุตต์ สพพฺ ตถฺ ฉ จ จิต ๖ ดวงนเี้ กดิ ไดใ้ นอารมณ์ ๖ ทเ่ี ป็นกามะ มหัคคตะ โลกุตตระ บญั ญตั ิ ท้งั หมดโดยไมม่ เี หลอื ๓. มโนทวาราวชั ชนจิต ๑ มหากริยาญาณสัมปยุตตจิต ๔ กรยิ าอภิญญาจิต ๑ รวม ๖ ดวงนี้ มีอารมณ์ ๖ คอื รปู ารมณ์ สทั ทารมณ์ คนั ธารมณ์ รสารมณ์ โผฏฐัพพารมณ์ และ ธรรมารมณ์ ได้แก่ จติ ๘๙ เจตสกิ ๕๒ ปสาทรปู ๕ สุขมุ รูป ๑๕ บญั ญัติ ทเี่ ป็นปัจจบุ นั อดีต อนาคต และ กาลวิมตุ ต์ ทง้ั หมดโดยไมม่ เี หลอื ๑. จติ ทร่ี ับ กามธรรม แสดงจติ ทร่ี บั อารมณแ์ น่นอน ๔ ประเภท คอื ๒. จิตที่รับ มหคั คตธรรม เป็นอารมณ์แน่นอน มี ๒๕ ดวง คอื ทวิปัญจ ๑๐ มโนธาตุ ๓ สนั ตีรณจิต ๓ ๓. จติ ทรี่ ับ บัญญตั ิธรรม หสติ ุปปาทจติ ๑ มหาวปิ ากจติ ๘ ๔. จติ ที่รบั โลกุตตรธรรม เป็นอารมณ์แนน่ อน มี ๖ ดวง คือ วญิ ญาณัญจายตนฌานจติ ๓ เนวสัญญานาสัญญายตนฌานจติ ๓ เป็นอารมณ์แน่นอน มี ๒๑ ดวง คอื รปู าวจรจติ ๑๕ ( เว้น อภิญญาจิต ๒ ) อากาสานญั จายตนฌานจติ ๓ อากิญจัญญายตนฌานจิต ๓ เปน็ อารมณ์แน่นอน มี ๘ ดวง คือ โลกุตตรจิต ๘ แสดงจิตที่รบั อารมณไ์ ม่แน่นอน ๓ ประเภท คอื ๑. จติ ท่ีรับ กามะ-มหคั คตะ-บัญญตั ิ เปน็ อารมณ์ได้ มี ๒๐ ดวง คือ อกุศลจติ ๑๒ มหากุศลญาณวปิ ปยุตตจติ ๔ มหากริยาญาณวิปปยตุ ตจติ ๔ ๒. จติ ท่รี ับ กามะ-มหัคคตะ-โลกตุ ตระ-บัญญตั ิ (เว้น อรหัตตมรรค-ผล) เป็นอารมณไ์ ด้ มี ๕ ดวง คือ มหากศุ ลญาณสมั ปยตุ ตจิต ๔ กศุ ลอภิญญาจิต ๑ ๓. จิตที่รับ กามะ-มหคั คตะ-โลกุตตระ-บญั ญตั ิ เปน็ อารมณไ์ ด้ มี ๖ ดวง คอื มโนทวาราวัชชนจิต ๑ มหากริยาญาณสัมปยุตตจติ ๔ กริยาอภิญญาจติ ๑

๔๖ จาแนกอารมณ์เปน็ คู่ได้ ๓ ประเภท คอื ๑. รูปอารมณ์ กบั นามอารมณ์ รูปอารมณ์ ได้แก่ รปู ๒๘ นามอารมณ์ ได้แก่ จิต ๘๙ เจตสิก ๕๒ นพิ พาน ๒. ปรมัตถอารมณ์ กบั บัญญัติอารมณ์ ปรมตั ถอารมณ์ ได้แก่ จติ เจตสิก รูป นพิ พาน บัญญตั อิ ารมณ์ ไดแ้ ก่ อัตถบัญญัติ และ สัททบญั ญตั ิ ไดแ้ ก่ บญั ญัติทกุ อย่างนีไ้ ม่มสี ภาวะปรมตั ถ์ ๓. อัชฌตั ตารมณ์ กบั พหิทธารมณ์ อชั ฌตั ตารมณ์ ไดแ้ ก่ จิต เจตสิก รูป ทีม่ อี ย่ใู นตัวเราเปน็ อารมณ์ภายใน พหิทธารมณ์ ไดแ้ ก่ จิต เจตสิก รูป ท่ีอยูน่ อกตัวเรา และบญั ญัติ นพิ พาน เป็นอารมณ์ภายนอก สรปุ จิตทีร่ บั อารมณ์แน่นอน มี ๕ หมวด คอื จติ ๑๓+๑๒+๒๑+๖+๘ รวม ๖๐ ดวง จติ ที่รับอารมณ์ไมแ่ นน่ อน มี ๓ หมวด คอื จิต ๒๐+๕+๖ รวม ๓๑ ดวง รวมทั้ง ๒ นัย มี ๙๑ ดวง อภญิ ญา คอื ปัญญาทีร่ ยู้ ิ่ง มีทง้ั โลกีย์และโลกุตตระ รวม ๗ อยา่ ง คือ ๑. อทิ ธวิ ญิ ญาณ คอื การแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ๒. ทิพยจักษญุ าณ คอื ตาทิพย์ หมายถึงจุตปู ปาตญาณ คือร้จู ตุ ิและปฏสิ นธิของสัตวท์ ง้ั หลาย จตุ ูปปาตญาณ ยงั แยกเปน็ 2 คือ ๒.๑ ยถากัมมปู คญาณ คือ ร้วู ่าสัตวม์ ีสุขมีทกุ ขเ์ พราะทากรรมอะไรมา ๒.๒ อนาคตงั สญาณ คือ รวู้ า่ อนาคตของสัตวจ์ ะเปน็ ไปอย่างไร ๓. ทพิ โสต คือ หูทพิ ย์ ๔. ปรจิตตวชิ านน คือ รู้วาระจติ ของผ้อู ่ืน หรอื เจโตปรยิ ญาณก็ได้ ๕. ปพุ เพนวิ าสานุสตญิ าณ คอื ร้รู ะลึกชาตแิ ตป่ างก่อน ๖. วปิ สั สนาญาณ คอื เหน็ นามรูปเป็นไตรลกั ษณ์ ๗. อาสวกั ขยญาณ คือ รูว้ ่ากเิ ลสส้ินแลว้ อภิญญาโลกีย์ทอ่ี าศยั รปู ปัญจมฌานเปน็ บาทมี ๕ อย่าง คือ ขอ้ ที่ ๑ ถงึ ขอ้ ท่ี ๕ อภญิ ญา ขอ้ ที่ ๑ ถงึ ขอ้ ที่ ๖ เป็นโลกยี ธรรม ข้อที่ ๗ เป็นโลกุตตรธรรม