Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วัสดุศาสตร์ 1 พว12011 (ประถม)

วัสดุศาสตร์ 1 พว12011 (ประถม)

Published by teerawat.payathainfe, 2017-11-20 00:04:07

Description: วัสดุศาสตร์ 1 พว12011 (ประถม)

Search

Read the Text Version

ชดุ วิชา วสั ดศุ าสตร์ 1 รายวชิ าเลอื กบังคับ ระดับประถมศึกษา รหสั พว12011 หลักสตู รการศึกษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551สานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สานักงานปลดั กระทรวงศึกษาธกิ าร กระทรวงศึกษาธกิ าร

ก คำนำ ชุดวิชาวัสดุศาสตร์ 1 รหัสวิชา พว12011 ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับประถมศึกษานี้ ประกอบด้วยเนื้อหาวัสดุในชีวิตประจาวัน สมบัติของวัสดุ การเลือกใช้และผลกระทบจากการใช้วัสดุและการจัดการและกาจัดวัสดุที่ใช้แล้ว เน้ือหาความรู้ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับวัสดุและการเลือกใช้วัสดุในชีวิตประจาวัน ตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดจากการใช้วัสดุ ตลอดจนสามารถนาความรู้ไปใช้ในการจัดการและกาจัดวัสดุที่ใช้แล้วในชีวิตประจาวันของตนเอง และชมุ ชน สานักงาน กศน. ขอขอบคุณมหาวิทยาลัยราชภัฎอุบลราชธานี ที่ให้การสนับสนุนองค์ความรู้ประกอบการนาเสนอเนื้อหา รวมทั้งผู้มีส่วนเก่ียวข้องในการจัดทาชุดวิชา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าชุดวิชาน้ี จะเกิดประโยชน์ต่อผู้เรียน กศน. และสร้างความตระหนักในการจดั การวสั ดุทใ่ี ชแ้ ล้วอย่างรูค้ ุณค่าตอ่ ไป สานกั งาน กศน.

ข คำแนะนำกำรใช้ชดุ วชิ ำ ชุดวชิ าวัสดุศาสตร์ 1 รหสั วิชา พว12011 ใช้สาหรับนกั ศกึ ษาหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 ระดบั ประถมศึกษา แบง่ ออกเปน็2 สว่ น คอื ส่วนที่ 1 โครงสร้างของชดุ วชิ า แบบทดสอบกอ่ นเรียน โครงสร้างหน่วยการเรียนรู้เน้ือหาสาระ กิจกรรมเรยี งลาดับตามหนว่ ยการเรียนรู้ และแบบทดสอบหลงั เรียน สว่ นท่ี 2 เฉลยแบบทดสอบและกิจกรรม ประกอบด้วย เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรยี น เฉลยและแนวตอบกิจกรรมท้ายหนว่ ยการเรยี น เรยี งลาดับตามหน่วยการเรียนรู้วธิ ีกำรใชช้ ดุ วชิ ำ ใหผ้ ู้เรียนดาเนนิ การตามข้ันตอน ดังนี้ 1. ศึกษารายละเอยี ดโครงสร้างชุดวชิ าโดยละเอียด เพ่อื ให้ทราบว่าผเู้ รยี นตอ้ งเรยี นรู้เน้ือหาในเรอื่ งใดบา้ งในรายวิชาน้ี 2. วางแผนเพอ่ื กาหนดระยะเวลาและจดั เวลาท่ีผู้เรยี นมีความพรอ้ มทจี่ ะศึกษาชุดวิชาเพื่อให้สามารถศึกษารายละเอยี ดของเนอื้ หาไดค้ รบทุกหนว่ ยการเรียนรู้ พร้อมทากิจกรรมตามท่ีกาหนดใหท้ ันก่อนสอบปลายภาค 3. ทาแบบทดสอบกอ่ นเรียนของชดุ วิชาตามทกี่ าหนด เพอ่ื ทราบพนื้ ฐานความรู้เดิมของผู้เรียน โดยให้ทาลงในสมุดบันทึกกิจกรรมการเรียนรู้และตรวจสอบคาตอบจากเฉลยแบบทดสอบ เฉลยและแนวตอบกจิ กรรมท้ายหนว่ ยการเรยี น 4. ศึกษาเนอ้ื หาในชุดวชิ าในแตล่ ะหนว่ ยการเรียนรอู้ ย่างละเอียดให้เข้าใจ ท้ังในชุดวชิ าและส่อื ประกอบ (ถ้ามี) และทากจิ กรรมทก่ี าหนดไวใ้ หค้ รบถว้ น 5. เมื่อทากิจกรรมเสร็จแต่ละกิจกรรมแล้ว ผู้เรียนสามารถตรวจสอบคาตอบได้จากเฉลยและแนวตอบกิจกรรมท้ายหน่วยการเรียน หากผู้เรียนตรวจสอบแล้วมีผลการเรียนรู้ไม่เป็นไปตามท่ีคาดหวัง ให้ผู้เรียนกลับไปทบทวนเน้ือหาสาระในเร่ืองนั้นซ้าจนกว่าจะเข้าใจแลว้ กลบั มาทากจิ กรรมน้นั ใหม่

ค 6. เม่ือศึกษาเนื้อหาสาระครบทุกหน่วยแล้ว ให้ผู้เรียนทาแบบทดสอบหลังเรียนและตรวจคาตอบจากเฉลยแบบทดสอบหลังเรียนท่ีให้ไว้ในท้ายเล่ม เพื่อประเมินความรู้หลังเรียนหากผลไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ให้ผู้เรียนกลับไปทบทวนเน้ือหาสาระในเรื่องน้ันให้เข้าใจอีกครั้งหนึ่ง แล้วกลับมาทาแบบทดสอบหลังเรียนและตรวจให้คะแนนตนเองอีกคร้ัง ผู้เรียนควรทาแบบทดสอบหลังเรียนให้ได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 ของแบบทดสอบท้ังหมด(หรือ 24 ข้อ) เพื่อให้ม่ันใจว่าจะสามารถสอบปลายภาคผา่ น 7. หากผเู้ รียนไดท้ าการศกึ ษาเน้ือหาและทากจิ กรรมแลว้ ยังไม่เขา้ ใจ ผ้เู รยี นสามารถสอบถามและขอคาแนะนาได้จากครู ผรู้ ู้ หรือแหลง่ คน้ ควา้ อื่น ๆ เพ่ิมเติมกำรศึกษำคน้ ควำ้ เพ่มิ เตมิ ผู้เรียนอาจศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมได้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น หนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานพุทธศกั ราช 2551 คมู่ ือการจดั การขยะมลู ฝอยชมุ ชนอย่างครบวงจร คมู่ ือการคัดแยกขยะมลู ฝอยและนากลบั มาใช้ใหม่ วารสาร แผน่ พับประชาสมั พันธ์ อินเทอร์เนต็ ผ้รู ู้ และแหล่งเรยี นรู้ในชมุ ชน เป็นต้นกำรวัดผลสัมฤทธทิ์ ำงกำรเรียน การวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หลักสูตรรายวชิ าเลือกบังคับ “วสั ดุศาสตร์ 1” เปน็ ดังน้ี 1. ระหว่างภาค วัดผลจากการทากิจกรรมหรอื งานทไี่ ด้รับมอบหมายระหว่างเรียน 2. ปลายภาค วัดผลจากการทาขอ้ สอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิปลายภาค

ง โครงสรา้ งชดุ วชิ า พว12011 วัสดศุ าสตร์ 1 ระดับประถมศึกษาสาระการเรยี นรู้ สาระความรพู้ ้นื ฐานมาตรฐานการเรยี นรู้ มาตรฐานที่ 2.2 มคี วามรู้ ความเข้าใจ และทกั ษะพ้ืนฐานเกยี่ วกบั คณติ ศาสตร์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาตรฐานการเรยี นรู้ระดับ มคี วามรู้ความเข้าใจ ทักษะและเห็นคุณคา่ เก่ียวกบั กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ส่ิงมีชีวติ ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมในทอ้ งถ่นิ สาร แรงพลงั งาน กระบวนการเปล่ียนแปลงของโลกและดาราศาสตร์ มีจิตวทิ ยาศาสตรแ์ ละนาความรไู้ ปใช้ประโยชนใ์ นการดาเนินชวี ิตผลการเรียนรู้ที่คาดหวงั 1. มคี วามรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับวัสดุในชีวิตประจาวัน สมบัติของวัสดุ การเลือกใช้และผลกระทบจากการใช้วสั ดุ และการกาจดั วัสดุทใ่ี ชแ้ ล้ว 2. ทดลองสมบตั ิของวัสดุชนิดต่าง ๆ ได้ 3. ตระหนักถึงผลกระทบท่เี กิดจากการใช้วสั ดใุ นชวี ิตประจาวัน

จสรปุ สาระสาคญั 1. วัสดุศาสตร์ เป็นการศึกษาองค์ความรู้ท่ีเกี่ยวข้องกับวัสดุ ที่นามาใช้ประกอบกันเป็นช้ินงาน ตามการออกแบบ มีตัวตน สามารถสัมผัสได้ โดยวัสดุแต่ละชนิดจะมีสมบัติเฉพาะตัว ได้แก่ สมบัติทางฟิสิกส์ สมบัติทางเคมี สมบัติทางไฟฟ้า และสมบัติเชิงกล ท้ังนี้ วัสดุที่เราใชห้ รือพบเห็นในชีวิตประจาวัน สามารถจาแนกประเภทตามแหล่งที่มาของวัสดุ คือ วัสดุ-ธรรมชาติ และวัสดุสงั เคราะห์ 2. วัสดุแต่ละชนิดท่ีนามาทาเป็นสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ บางอย่างทาจากวัสดุชนิดเดียวกัน บางอย่างทาจากวัสดุต่างชนิดกัน ซ่ึงวัสดุแต่ละชนิดจะมีสมบัติบางอย่างคล้ายคลึงกันและมีสมบตั บิ างอยา่ งที่แตกต่างกัน การศกึ ษาสมบัติของวัสดุแต่ละชนิด ประกอบด้วย ความแข็งความเหนียว ความยืดหยุ่น การนาความร้อน การนาไฟฟ้าและความหนาแน่นของวัสดุการศึกษาสมบัติของวัสดุ ดังกล่าวทาให้สามารถนาวัสดุไปใช้ประโยชน์ได้ตามความเหมาะสมกับการใชง้ าน 3. ผลิตภัณฑ์ท่ีเป็นมิตรต่อส่ิงแวดล้อม หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ โดยมี ฉลากส่ิงแวดล้อมเป็นเคร่ืองมือแยกผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อส่ิงแวดล้อมออกจากผลิตภัณฑ์ทั่วไปในท้องตลาด ปัจจุบันเทคโ นโ ลยีได้ เข้ ามามีบทบาทและ ความจาเป็นต่ อก า รด ารงชีวิต ข องมนุษ ย์เป็นอย่างมากทง้ั ภายในบ้านและภายนอกบ้าน เพ่ืออานวยความสะดวกสบายในชีวิตประจาวัน แต่เทคโนโลยีเหล่านั้นก็ส่งผลกระทบต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อมในด้านต่าง ๆ หากละเลยและไม่คานึงถึงการใช้วสั ดุหรอื ผลติ ภณั ฑ์อยา่ งรคู้ ุณค่า 4. การจดั การวสั ดทุ ่ีใช้แลว้ ด้วยหลกั 3R เป็นแนวทางปฏิบตั ิในการลดปรมิ าณวสั ดุที่ใชแ้ ลว้ ในครัวเรือน โรงเรียน และชุมชน โดยใช้หลกั การ การใชน้ ้อยหรือลดการใช้ (Reduce)การใช้ซ้า (Reuse) และการผลติ ใชใ้ หม่ (Recycle) เพื่อลดปญั หาท่ีเกิดขึน้ จากการใชว้ ัสดุในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสาเหตุสาคัญที่ทาให้มีปริมาณวัสดุท่ีใช้แล้วเพ่ิมมากข้ึน ทั้งน้ีเนื่องจากความเจรญิ เตบิ โตทางด้านเศรษฐกิจ การเพ่มิ ขน้ึ ของจานวนประชากร ตลอดจนพฤติกรรมการอุปโภคบริโภคของคนที่เร่ิมเปลี่ยนไป ส่งผลให้ต้องศึกษาวิธีการกาจัดวัสดุท่ีใช้แล้วให้ถูกต้องตามหลักสขุ าภิบาล เพอ่ื ลดปัญหาและผลกระทบทีเ่ กดิ ขน้ึ ต่อชมุ ชนและสงั คม

ฉขอบข่ายเน้ือหา จานวน 10 ชั่วโมง จานวน 30 ชว่ั โมง หนว่ ยที่ 1 วสั ดุในชวี ิตประจาวัน จานวน 20 ช่ัวโมง หน่วยท่ี 2 สมบัติของวสั ดุ จานวน 20 ชั่วโมง หนว่ ยที่ 3 การเลือกใชแ้ ละผลกระทบจากการใช้วัสดุ หนว่ ยท่ี 4 การจัดการและกาจัดวสั ดุที่ใชแ้ ล้วการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ 1. บรรยาย 2. ศึกษาคน้ คว้าดว้ ยตนเองจากส่ือที่เกยี่ วข้อง 3. พบกลุ่ม ทาการทดลอง อภปิ ราย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ วิเคราะห์ และสรปุ การเรียนรู้ทไี่ ดล้ งในเอกสารการเรียนร้ดู ว้ ยตนเอง (กรต.)สอ่ื ประกอบการเรียนรู้ 1. ส่ือเอกสาร ได้แก่ 1.1 ชดุ วิชา วสั ดศุ าสตร์ 1 รหสั วิชา พว12011 1.2. สมดุ บันทึกกจิ กรรมการเรียนรู้ ชุดวชิ า วัสดุศาสตร์ 1 2. สอื่ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ไดแ้ ก่ 2.1 เวป็ ไซต์ 2.2 หนงั สอื เรียนอิเล็กทรอนกิ ส์ กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ 2.3 CD,DVD ท่เี ก่ียวขอ้ ง 3. แหล่งเรียนรูใ้ นชุมชน ได้แก่ 3.1 มมุ หนงั สือ กศน.ตาบล 3.2 ห้องสมดุ ประชาชนอาเภอ 3.3 ห้องสมดุ ประชาชนจังหวดั 3.4 ศูนย์วิทยาศาสตร์เพ่ือการศึกษา 3.5 เทศบาลและสานกั งานสิ่งแวดล้อม

ชจานวนหนว่ ยกิต ระยะเวลาเรยี นตลอดหลักสตู ร จานวน 80 ช่วั โมง รวม 2 หนว่ ยกติกจิ กรรมการเรียนรู้ 1. ทาแบบทดสอบกอ่ นเรียนและตรวจสอบคาตอบจากเฉลยท้ายเลม่ รายวชิ าวสั ดุศาสตร์ 1 2. ศึกษาเน้ือหาสาระในหนว่ ยการเรียนรู้ทกุ หน่วย 3. ทากจิ กรรมตามทก่ี าหนดและตรวจสอบคาตอบจากเฉลยและแนวตอบในท้ายเลม่ รายวชิ าวัสดศุ าสตร์ 1 4. ทาแบบทดสอบหลงั เรียนและตรวจสอบคาตอบจากเฉลยท้ายรายวิชาวสั ดุศาสตร์ 1การวดั และประเมินผล 1. ประเมินความกา้ วหน้าผเู้ รียน จานวน 60 คะแนน ไดแ้ ก่ 1.1 แบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน 1.2 การสังเกต การซักถาม ตอบคาถาม 1.3 ตรวจกจิ กรรมในแตล่ ะหนว่ ยการเรียนรู้ (กรต.) 2. ประเมนิ ผลรวมผู้เรยี น จานวน 40 คะแนน โดยการทดสอบปลายภาคเรยี นจานวน 40 คะแนน

สารบญั ซคาํ นาํ หนา้คําแนะนาํ การใช้ชดุ วิชา กโครงสร้างชดุ วิชา ขสารบญั งหนว่ ยที่ 1 วัสดุในชีวิตประจาํ วัน ซ 1 เร่อื งที่ 1 ความหมายของวสั ดุศาสตร์ 2 เรอ่ื งท่ี 2 ประเภทของวสั ดุ 4 เรอื่ งท่ี 3 ประโยชนข์ องวัสดุ 5หน่วยท่ี 2 สมบตั ิของวสั ดุ 12 เรื่องที่ 1 ความแข็ง 14 เรอ่ื งท่ี 2 ความเหนยี ว 15 เร่อื งท่ี 3 ความยดื หยุ่น 18 เรอื่ งท่ี 4 การนําความร้อน 20 เรอื่ งท่ี 5 การนําไฟฟา้ 21 เร่ืองที่ 6 ความหนาแนน่ 22หน่วยท่ี 3 การเลือกใชแ้ ละผลกระทบจากการใชว้ สั ดุ 25 เรื่องที่ 1 การเลือกใชว้ ัสดทุ ี่เป็นมติ รต่อสงิ่ แวดลอ้ ม 26 เรือ่ งท่ี 2 ผลกระทบจากการใชว้ สั ดุในชีวิตประจําวนั 31หน่วยที่ 4 การจดั การและกําจัดวัสดทุ ใี่ ชแ้ ลว้ 40 เรื่องท่ี 1 การจดั การวสั ดทุ ี่ใชแ้ ล้วดว้ ยหลกั 3R 41 เรือ่ งท่ี 2 การกําจดั และการทําลาย 46บรรณานุกรม 58คณะผจู้ ัดทาํ 67

1  หน่วยที่ 1 วสั ดุในชวี ิตประจําวนัสาระสําคญั วัสดุศาสตร์ เป็นการศึกษาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับวัสดุ ที่นํามาใช้ประกอบกันเป็นชิ้นงาน ตามการออกแบบ มีตัวตน สามารถสัมผัสได้ โดยวัสดุแต่ละชนิดจะมีสมบัติเฉพาะตัว ได้แก่ สมบัติทางฟิสิกส์ สมบัติทางเคมี สมบัติทางไฟฟ้า และสมบัติเชิงกล ท้ังน้ี วัสดุที่เราใช้หรือพบเห็นในชีวิตประจําวัน สามารถจําแนกประเภทตามแหล่งที่มาของวัสดุ ได้แก่วสั ดธุ รรมชาติ และวสั ดุสังเคราะห์ตัวชวี้ ดั 1. อธิบายความหมายของวัสดุศาสตรไ์ ด้ 2. จําแนกประเภทของวสั ดไุ ด้ 3. บอกประโยชน์ของวสั ดุท่ีใชใ้ นชีวติ ประจําวนั ได้ขอบขา่ ยเนอ้ื หา 1. ความหมายของวสั ดศุ าสตร์ 2. ประเภทของวสั ดุ 3. ประโยชน์ของวสั ดุเวลาท่ใี ช้ในการศกึ ษา ใชเ้ วลาเรยี น โดยศึกษาจากเอกสารและสอื่ ต่าง ๆ ฝึกปฏิบตั กิ จิ กรรม และรวมกลุ่มเพอื่ แลกเปล่ียนเรยี นรู้ จาํ นวน 10 ช่ัวโมงส่อื การเรยี นรู้ 1. ชดุ วชิ าวสั ดุศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา 2. ศึกษาคน้ คว้าจากอนิ เตอร์เนต็ 3. ศึกษาคน้ ควา้ จากหนังสือในหอ้ งสมุดประชาชน

2  หน่วยที่ 1 วัสดุในชีวิตประจาํ วนัเรอ่ื งที่ 1 ความหมายของวสั ดศุ าสตร์ วัสดุศาสตร์ เป็นการศึกษาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับวัสดุ ที่นํามาใช้ประกอบกันเป็นช้ินงาน ตามการออกแบบ มีตัวตน สามารถสัมผัสได้ โดยวัสดุแต่ละชนิดจะมีสมบัติเฉพาะตวั ไดแ้ ก่ สมบัติทางฟสิ ิกส์ สมบตั ทิ างเคมี สมบตั ิทางไฟฟา้ และสมบัติเชงิ กล ท้ังนี้ วัสดุ ท่ีเราใช้หรือพบเห็นในชีวิตประจําวัน สามารถจําแนกตามแหล่งท่ีมาของวัสดุ ได้แก่ วัสดุธรรมชาติ แบ่งออกเป็น วัสดุธรรมชาติที่ได้จากส่ิงมีชีวิต เช่น ไม้ เปลือกหอยขนสตั ว์ ใยไหม ใยฝา้ ย หนังสตั ว์ ยางธรรมชาติ วัสดุธรรมชาตทิ ี่ได้จากสิ่งไมม่ ชี ีวิต เชน่ดินเหนียว หินปูน ศิลาแลง กรวด ทราย เหล็ก และ วัสดุสังเคราะห์ ซ่ึงเป็นวัสดุท่ีเกิดจากกระบวนการทางเคมี เชน่ พลาสติก เสน้ ใยสังเคราะห์ ยางสงั เคราะห์ โฟม กระเบ้ือง เป็นตน้    ตวั อย่างวัสดุศาสตร์ท่ี    ใชใ้ นชีวติ ประจําวัน     ภาพที่ 1.1 ตวั อย่างวสั ดุทใี่ ช้ในชวี ติ ประจําวัน

3  กล่าวโดยสรุป วัสดุศาสตร์มีความผูกพันกับการดําเนินชีวิตของมนุษย์มาเป็นเวลาช้านาน หรืออาจกล่าวได้ว่า “วัสดุศาสตร์อยู่รอบตัวเรา” ซ่ึงวัตถุต่าง ๆ ล้วนประกอบขึ้นจากวัสดุทั้งสิ้น และวัสดุแต่ละประเภทจะมีลักษณะและสมบัติแตกต่างกันออกไป ข้ึนอยู่กับการนําไปใช้ประโยชน์ในแต่ละประเภทงาน ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาสมบัติของวัสดุให้สามารถนําไปใชง้ านได้อยา่ งหลากหลาย เพ่อื อํานวยความสะดวกต่อการดาํ เนนิ ชวี ิตของมนุษยม์ ากขึ้น

4 เรอ่ื งที่ 2 ประเภทของวสั ดุ ในชีวิตประจําวันมีการนําวัสดุมาทําส่ิงของเคร่ืองใช้มากหมาย เช่น ผ้า ทําเป็นเสื้อกระโปรง ผ้าพนั คอ ตุก๊ ตา หนัง นาํ มาทาํ เป็นกระเป๋า โซฟา เหล็ก สามารถทํารั้ว สแตนเลสใช้ทําเป็นหม้อ ช้อมส้อม พลาสติก ใช้ทําดอกไม้ เก้าอี้ กล่องใส่ของ กล่องดินสอ กล่องสบู่สิ่งของเคร่ืองใช้อยู่ในชีวิตประจําวัน อาจทํามาจากวัสดุชนิดเดียว เช่น ยางลบทําจากยางบางอย่างทาํ มาจากวัสดุหลายชนิด เช่น กระทะทํามาจากวัสดุ 2 ชนิด คือ สแตนเลสกับพลาสติกหรือเหล็กกบั ไม้ เป็นต้น ประเภทของวสั ดุ วสั ดุรอบ ๆ ตัวเราทใี่ ช้ในชวี ิตประจําวัน แบง่ ออกตามลกั ษณะที่มาของวัสดุ ดังน้ี วัสดุธรรมชาติ ไดม้ าจากสิ่งท่ีมีอยู่ในธรรมชาติทั้งจากส่ิงมีชีวิต เช่น ไม้ เปลือกหอยขนสตั ว์ ใยไหม ใยฝา้ ย หนังสัตว์ ยางธรรมชาติ และจากส่ิงไมม่ ีชีวติ เช่น ดนิ เหนียว หนิ ปนูศิลาแลง กรวด ทราย เหลก็ ซงึ่ อาจนํา มาใชโ้ ดยตรงหรือนาํ มาแปรรูป เพื่อใหเ้ หมาะกับการใช้งาน ภาพที่ 1.2 ตัวอย่างวัสดธุ รรมชาติ วัสดุสังเคราะห์ เป็นวัสดุท่ีเกิดจากกระบวนการทางเคมี เช่น พลาสติก เส้นใยสังเคราะห์ ยางสังเคราะห์ โฟม วัสดุท้ังหลายเหล่าน้ีนํามาใช้ทดแทนวัสดุธรรมชาติ ซึ่งอาจมีปริมาณไม่เพยี งพอหรือคุณภาพไม่เหมาะสม ภาพท่ี 1.3 ตัวอยา่ งวสั ดุสงั เคราะห์ ท่ีมา : http://118.174.133.140

5 เร่ืองท่ี 3 ประโยชน์ของวสั ดุ ในชีวิตประจําวันมีการนําวัสดุ มาทําเป็นส่ิงของเคร่ืองใช้ต่าง ๆ มากมาย เพื่ออํานวยความสะดวกในการใช้สอย ซึ่งวัสดุเหล่านั้น ล้วนมีลักษณะท่ีแตกต่างกันออกไป วัสดุมีทั้งที่ได้จากธรรมชาติ เช่น ไม้ หิน ดิน ทราย เหล็ก ขนสัตว์ และเส้นใยพืช และวัสดุท่ีมนุษย์สร้างขึ้นเรียกว่า วัสดุสังเคราะห์ ซ่ึงสร้างข้ึนด้วยกระบวนการทางเคมี เพ่ือใช้ทดแทนวัสดุจากธรรมชาติท่ีขาดแคลน เช่น พลาสติก โฟม เส้นใยสังเคราะห์ ยางสังเคราะห์ เป็นต้น การนําวัสดุต่าง ๆ เหลา่ น้ัน มาใชป้ ระโยชนจ์ งึ จาํ เป็นต้องเลือกใช้วัสดทุ ่มี ีสมบตั ิเหมาะสมกับการใชส้ อยดว้ ย 3.1 การเลือกใช้วสั ดใุ นชวี ติ ประจาํ วนั การนาํ วสั ดไุ ปใช้ประโยชนใ์ นชีวิตประจําวันจาํ เปน็ ตอ้ งเลือกใช้วัสดทุ มี่ สี มบัติเหมาะสมกับการใชง้ าน ดงั น้ี 1. วัสดทุ ี่มคี วามยืดหยุ่น เชน่ ยาง นยิ มนํามาใช้ทาํ ของเล่นต่าง ๆ เช่นต๊กุ ตา ลูกบอล นอกจากนยี้ ังนํามาทําของใช้ต่าง ๆ เช่น ทาํ ยางรถยนต์ ยางวงสาํ หรับใชร้ ัดสง่ิ ของ สายยาง ยางยืด เปน็ ต้น 2. วสั ดุที่มีความแขง็ เชน่ โลหะชนดิ ต่าง ๆ นํามาทาํ โครงสรา้ งอาคาร เครือ่ งบนิ รถยนต์ อาวธุ ตา่ ง ๆ เครื่องมอื ชา่ ง เชน่ ประแจไขควง นอต เปน็ ตน้ 3. วัสดทุ มี่ ีความเหนยี ว เชน่ โลหะชนิดต่าง ๆ ใชท้ าํ โซ่ รอก เส้นลวดมุ้งลวด เสน้ เอ็น นํามาทําสายเบด็ ตกปลา เอน็ ไม้เทนนสิเอน็ ไม้แบดมินตัน เปน็ ตน้ 4. วสั ดทุ ี่มสี มบัตนิ าํ ความรอ้ น ไดแ้ ก่ โลหะต่าง ๆ ใช้ทาํ ภาชนะหุงตม้ เชน่หมอ้ กระทะ กาตม้ นํ้า เปน็ ตน้ ส่วนวัสดทุ เ่ี ปน็ ฉนวนความร้อนเช่น พลาสติก ไม้ ใช้ทําสว่ นประกอบของภาชนะหงุ ต้มในสว่ นทีเ่ ปน็ ดา้ มจบั

6  5. วสั ดทุ ม่ี สี มบัตนิ าํ ไฟฟ้า ไดแ้ ก่ โลหะต่าง ๆ เช่น ทองแดงทองคาํ อะลมู เิ นยี ม ใชท้ าํ สายไฟ ปลั๊กไฟ ส่วนวสั ดทุ เ่ี ปน็ฉนวนไฟฟ้า เชน่ ไม้ ยาง พลาสติก ใช้ทาํ อปุ กรณเ์ พอ่ื ป้องกันไฟฟ้ารัว่ หรอื ไฟฟ้าดูด ภาพที่ 1.4 การเลอื กใชว้ ัสดุที่มีสมบัติเหมาะสมกบั การใชง้ าน 3.2 วัสดใุ นชีวติ ประจําวนั ไม้ เปน็ วัสดทุ ไ่ี ด้จากไมย้ ืนตน้ ซงึ่ เจรญิ เติบโตสงู กวา่ 6 เมตร อาจไดจ้ ากลาํ ตน้ หรือกิ่งกา้ นสาขาของลาํ ตน้ ก็ได้ เราสามารถแบง่ ได้เปน็ 2 กลมุ่ คือ ไม้เน้อื แขง็ และไมเ้ น้อื ออ่ น 1. ไมเ้ น้ือแข็ง คอื ไม้ทม่ี คี วามแขง็ แรงทนทาน ทําการตดั หรือเล่ือยไดย้ าก เช่นไม้สกั ไมม้ ะขาม ไมช้ ิงชัน ไมม้ ะม่วง นยิ มนํามาใชท้ าํ เคร่อื งเรอื น เครือ่ งมอื และเสาบา้ น 2. ไมเ้ นอื้ อ่อน คือ ไมท้ ม่ี ี ภาพท่ี 1.5 บา้ นเรอื นไทยความหนาแนน่ ตาํ่ น้ําหนกั เบา รบั นา้ํ หนักไดไ้ มค่ อ่ ยดี ทาํ การตดั เลอ่ื ย ไสกบ หรอื ที่มา : http://www.bloggang.comแกะสลกั ตกแตง่ ไดง้ ่าย เช่น ไม้ฉําฉา ไมก้ ะบาก ไมย้ คู าลิปตสั ไมย้ างพารา นยิ มนาํ มาใชท้ าํเฟอรน์ เิ จอร์ ของเด็กเล่น ของใชใ้ นครัวเรอื น กรอบรปู ลังใสผ่ ลไม้ เป็นต้น

7  กระดาษ เปน็ วสั ดทุ ท่ี าํ ขึ้นจากไม้เนอ้ื ออ่ นใชท้ าํ ของใช้ตา่ ง ๆ มากมาย เชน่ สมุด หนงั สอืกระดาษชําระ ถุงใส่ของ กลอ่ งใส่ของ เป็นต้น ภาพที่ 1.6 ผลิตภัณฑท์ ไ่ี ด้จากการแปรรปู ไมเ้ ป็นกระดาษ ยาง เป็นวัสดุท่ีมนุษย์ค้นพบประโยชน์จากน้ํายางที่ได้จากต้นยางพารา โดยต้นยางพาราจะผลติ นํ้ายางเรียกว่า “ลาเทกซ์” โดยยางพารา 1 ตน้ จะใหน้ ้ํายาง นาน 25 – 30 ปี ขนาดของตน้ ยางพาราที่พร้อมจะกรีดเอานํ้ายางน้ันต้องมีความยาวรอบต้นไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตรและวัดความสูงจากพื้นดิน 150 เซนติเมตร น้ํายางท่ีกรีดได้จะต้องนํามาทําเป็นแผ่นโดยผสมกับกรดนํา้ ส้มผสมกับนํ้าใหเ้ จอื จาง เทลงในนาํ้ ยางตามอัตราส่วนท่ีกําหนดเพ่อื ใหน้ ้ํายางแขง็ ตวัจบั กนั เปน็ ก้อนจากนน้ั นาํ ไปรดี เป็นแผน่ ผ่ึงให้แห้งแลว้ นําไปรมควนั เก็บไว้ ของใช้หลายอยา่ งทําขน้ึ จากยาง เชน่ ยางรัดของ ยางลบ ถุงมอื ยาง สายยาง พนื้ รองเท้า ภาพที่ 1.7 แผน่ ยางทไ่ี ดจ้ ากต้นยางพาราและตวั อย่างผลติ ภณั ฑท์ ี่ทาํ จากยาง ทม่ี า : http://118.174.133.140/

8 ผ้าทอหรือส่ิงทอเปน็ วสั ดทุ ่ีมนุษย์ทําขึ้นจากการป่ันเส้นใยให้เป็นเสน้ และถกั ทอเป็นผา้ เพ่อื นาํ ไปตัดเย็บทาํ เป็นเสื้อผ้าและของใชต้ ่าง ๆ เชน่ ผา้ หม่ ผ้าคลมุ เตยี ง ผ้าเช็ดหนา้ ผ้ามา่ น ถุงใส่ของกระเป๋า หมุ้ เบาะรองนัง่ เปน็ ตน้ตวั อย่างเส้นใยทไ่ี ด้จากพชื เช่น ฝ้าย ลนิ นิ ปอปา่ นนุน่ และเสน้ ใยที่ได้จากสตั ว์ เชน่ ขนแกะ ใยไหม1. เส้นใยฝา้ ย ไดจ้ ากดอกของต้นฝ้าย เม่อื นํามาถกั ทอเปน็ ผา้ จะได้ผ้าทมี่ ีเนอื้ นมุ่ ผวิ ของผา้ จะเรียบเนยี นทนทาน ซับน้าํ และเหง่ือไดด้ ี2. เสน้ ใยลนิ ิน ไดจ้ ากเปลือกของตน้ ลินนิ ภาพท่ี 1.8 ดอกของต้นฝ้ายเม่อื นาํ มาถักทอทําเป็นผา้ จะไดผ้ ้าทีม่ ี ทีม่ า : http://puechkaset.comความมันเงา มีผวิ เรียบแข็ง ดดู ซับน้ําได้ดี แตย่ ับงา่ ยและรดี ให้เรยี บยาก3. เสน้ ใยไหม ไดจ้ ากรงั ไหมทีต่ วั อ่อนของผเี สอ้ื ไหมสรา้ งขนึ้ เมอ่ื นาํ มากรอและถักทอจะได้ผ้าทมี่ คี วามมันเงา ออ่ นนุม่ คงรปู รา่ งไดด้ ไี มย่ บั ง่าย ดดู ความชน้ื ได้ดี4. เส้นใยจากขนสตั ว์ ได้จากสตั ว์ เช่น แกะ แพะ กระตา่ ย แตท่ ผ่ี ลติ ไดม้ ากท่ีสดุ คือขนแกะ ผา้ ท่ถี ักทอจากขนสัตวจ์ ะดดู ซบั ความช้นื ไดด้ แี ละใหค้ วามอบอุ่น มกั ใชต้ ดั เย็บทาํ เป็นเส้อื กันหนาว ผา้ พันคอ เสน้ ใยสังเคราะห์ ผลิตดว้ ยกระบวนการทางเคมี เช่น โพลเี อสเตอร์ ไนลอน เรยอน มสี มบตั คิ ล้ายกนัคือ เนอื้ ผ้าโปรง่ ซกั รีดง่าย แห้งเร็ว ไมค่ อ่ ยยบัภาพที่ 1.9 ผลติ ภัณฑ์จากผ้าใยสังเคราะหโ์ พลเี อสเตอร์ที่มา : http://www.ideasquareshop.com

9  ดนิ เผา เป็นวัสดุท่ีทําขึ้นจากดินเหนียวเม่ือผสมเข้ากันกับน้ําจะทําให้ดินมีความเหนียว และสามารถปั้นเป็นของใช้ต่าง ๆ เช่น จาน ชาม แจกัน ไห โอ่ง กระถาง เรียกว่า เครื่องป้ันดินเผาจากนั้นนําดินท่ีปั้นเสร็จไปตากแดดให้แห้งแล้วนําเข้าเตาเผาจะได้เคร่ืองปั้นดินเผาที่มีความแข็งและทนทาน ภาพที่ 1.10 เคร่ืองปัน้ ดินเผา แกว้ เป็นวัสดุท่ผี ลิตขึ้นจากกระบวนการอตุ สาหกรรมจากสว่ นผสมของทราย 63%หินปูน 15% และสารโซดาแอช 20% นาํ เขา้ เตาหลอมที่อุณหภูมิ 1,500 องศาเซลเซยี สส่วนผสมจะหลอมรวมกนั เป็นแกว้ เหลว จากนนั้ ส่งไปยังเคร่อื งข้ึนรปู เพ่ือทําเปน็ ผลิตภณั ฑต์ า่ ง ๆตอ่ ไป เชน่ 1. ทาํ ภาชนะตา่ ง ๆ เชน่ แกว้ น้ํา ขวดโหล จานชาม ถ้วย 2. ทาํ เปน็ แผ่นกระจกใส กระจกฝา้ หรอื กระจกเงานาํ ไปติดทบ่ี านหน้าต่าง ผนังกัน้ หอ้ ง ใชเ้ ปน็ สว่ นประกอบของเครื่องเรือน เช่น โตะ๊ ตู้ ช้นั วางกระจกส่องหนา้ กระจกรถยนต์ 3. ทําเปน็ เคร่อื งประดบั ตกแตง่ เชน่โคมไฟระย้า พวงกุญแจ ของท่รี ะลกึ 4. ใช้เปน็ ส่วนประกอบของหลอดไฟจอโทรทัศน์ จอคอมพิวเตอร์ แวน่ ตา แวน่ ขยายเลนสก์ ล้องถ่ายรปู หน้าปดั นาฬิกา ภาพท่ี 1.11 ตัวอย่างผลติ ภัณฑจ์ ากแกว้  

10  โลหะ เปน็ วัสดุทีเ่ ป็นชิน้ สว่ นประกอบอยู่ในหนิ และแร่ โลหะมีหลายชนดิ เช่น เหลก็ทองแดง ทองคํา เงิน เปน็ ต้น ตวั อยา่ งการใชป้ ระโยชน์จากโลหะ 1. เหลก็ อะลูมเิ นียม ใชท้ ําภาชนะหุงต้ม เชน่ หมอ้ กระทะ มดี 2. เหลก็ เม่อื นําไปผสมกบั คาร์บอนจะไดเ้ หล็กกลา้ ท่ีมคี วามแขง็ แรงมากกวา่ เหลก็บรสิ ุทธิ์ใชท้ ําวสั ดกุ ่อสร้าง ใบเลอ่ื ย ตะไบเหลก็ ดอกสว่าน 3. ทองแดง ใชท้ าํ สายไฟ และสว่ นประกอบของอปุ กรณไ์ ฟฟา้ เชน่ สายไฟเนือ่ งจากนาํ ไฟฟ้าไดด้ ี 4. เงนิ ทองคาํ ทองคาํ ขาว ใช้ทําเครอ่ื งประดบั เชน่ แหวน กาํ ไล ตา่ งหู สรอ้ ยคอ ภาพที่ 1.12 ประโยชน์จากโลหะ ทมี่ า : http://118.174.133.140/

11  พลาสติก เป็นวัสดุทีส่ งั เคราะห์ขนึ้ จากนํ้ามันดบิ และแกส๊ ธรรมชาติ เม่ือพลาสติกไดร้ บัความร้อนจะออ่ นตวั และเมื่อเย็นจะแขง็ ตวั และคงรปู ร่างได้ ทําให้สามารถหลอ่ พลาสติกใหเ้ ปน็รูปรา่ งตา่ ง ๆ ได้ และถูกใช้ทาํ ส่งิ ของต่าง ๆ มากมาย เชน่ ขวดนาํ้ ถงั นาํ้ ขันน้ํา กลอ่ งใสข่ องถุงใส่อาหาร เสอื้ กันฝน ของเล่น ปากกา ไมบ้ รรทดั ฯลฯ ภาพที่ 1.13 ผลิตภัณฑจ์ ากพลาสติก กล่าวโดยสรปุ วสั ดคุ อื สง่ิ ท่อี ยรู่ อบ ๆ ตวั เรา เกดิ ข้ึนได้เองตามธรรมชาติและมนุษย์สังเคราะหข์ ึ้น วสั ดุแตล่ ะชนดิ มลี ักษณะและสมบัติทแ่ี ตกตา่ งกัน การศกึ ษาทเ่ี กีย่ วขอ้ งกบัสมบตั ิของวสั ดุแต่ละชนดิ ทาํ ใหส้ ามารถเลือกวัสดแุ ละนําวัสดุเหลา่ นั้นมาพัฒนาเป็นเครอื่ งใช้ต่าง ๆ ท่ีเหมาะสมกบั การใช้งานไดอ้ ยา่ งหลากหลาย กิจกรรมท้ายหน่วยท่ี 1  หลงั จากทผี่ ู้เรียนศึกษาเอกสารชดุ การเรยี นหน่วยที่ 1 จบแล้ว ใหศ้ กึ ษาค้นคว้าเพิ่มเตมิ จากแหลง่ เรยี นรตู้ า่ ง ๆ แล้วทาํ กิจกรรมการเรียนหนว่ ยที่ 1 ในสมุดบันทกึ กจิ กรรมการเรยี นรู้ แลว้ จดั สง่ ตามทีค่ รูผ้สู อนกําหนด

12  หน่วยท่ี 2 สมบัตขิ องวสั ดุสาระสําคญั วัสดุแต่ละชนิดท่ีนํามาทําเป็นส่ิงของเคร่ืองใช้ต่าง ๆ บางอย่างทําจากวัสดุชนิดเดียวกัน บางอย่างทําจากวัสดุต่างชนิดกัน ซ่ึงวัสดุแต่ละชนิดจะมีสมบัติบางอย่างคล้ายคลึงกันและมีสมบัติบางอย่างท่ีแตกต่างกัน การศึกษาสมบัติของวัสดุแต่ละชนิดประกอบด้วย ความแข็งความเหนียว ความยืดหยุ่น การนําความร้อน การนําไฟฟ้าและความหนาแน่นของวัสดุการศึกษาสมบัติของวัสดุ ดังกล่าวทําให้สามารถนําวัสดุไปใช้ประโยชน์ได้ตามความเหมาะสมกับการใชง้ านตัวชวี้ ัด 1. อธบิ ายสมบตั ิของวสั ดุชนดิ ต่าง ๆ ได้ 2. ทดลองสมบตั ิของวสั ดุชนิดตา่ ง ๆ ได้ขอบขา่ ยเน้ือหา 1. ความแขง็ 2. ความเหนยี ว 3. ความยืดหยนุ่ 4. การนําความรอ้ น 5. การนาํ ไฟฟ้า 6. ความหนาแนน่เวลาที่ใช้ในการศึกษา ใชเ้ วลาเรยี น โดยศึกษาจากเอกสารและสื่อตา่ ง ๆ ฝกึ ปฏบิ ตั กิ จิ กรรม และรวมกลุ่มเพอ่ื แลกเปลี่ยนเรยี นรู้ จาํ นวน 30 ช่ัวโมง

13 สอ่ื การเรยี นรู้ 1. ชดุ วชิ าวสั ดุศาสตร์ระดับประถมศึกษา 2. วดี ีทศั นท์ เี่ กี่ยวขอ้ ง 3. ศึกษาค้นคว้าจากอินเตอรเ์ น็ต 4. ศึกษาคน้ คว้าจากหนงั สือในห้องสมุดประชาชน 5. ชุดวัสดอุ ปุ กรณก์ ารทดลองวทิ ยาศาสตร์

14  หน่วยที่ 2 สมบตั ขิ องวัสดุเรื่องที่ 1 ความแข็ง ความแขง็ หมายถงึ ความทนทานตอ่ การตดั และการขดู ขีดของวัสดุ ความแขง็ เป็นสมบตั ิที่แสดงถึงความทนทานของวัสดุต่อการถูกกระทําหรือถูกขูดขีดเม่ือนําวัสดุชนิดหน่ึงขูดบนวัสดุอีกชนิดหน่ึง ถ้าวัสดุมีความแข็งต่างกันจะทําให้เกิดรอย วัสดุที่มีความแขง็ มาก จะสามารถทนทานต่อการขดี ขว่ นไดม้ าก และเมือ่ ถูกขดี ขว่ นจะไม่เกิดรอยบนวัสดุชนิดน้ัน เช่น ตะปูกับไม้ เม่ือเราเอาตะปูไปขูดกับไม้ จะพบว่า ไม้เกิดรอย นั้นแสดงว่าวัสดใุ ดทเ่ี กิดรอยจะมีความแข็งน้อยกวา่ วสั ดทุ ไ่ี ม่เกิดรอย แสดงวา่ ตะปูมีความแข็งมากกวา่ ไม้ กล่าวโดยสรปุ เมื่อนําวสั ดชุ นิดหนง่ึ ขีดบนวัสดุอกี ชนดิ หน่งึ ถา้ 1. วัสดุที่ถกู ขดู เกดิ รอย แสดงวา่ ความแขง็ นอ้ ยกว่าวัสดุท่ีใชข้ ดู 2. วัสดุทีถ่ กู ขดู ไม่เกดิ รอย แสดงวา่ ความแขง็ มากกวา่ วัสดทุ ่ใี ชข้ ดู ภาพที่ 2.1 ไม้มีความแข็งนอ้ ยกว่าเหรยี ญ เมือ่ ถกู ขดู จงึ เกิดรอย

15 เรือ่ งที่ 2 ความเหนยี ว ความเหนยี ว หมายถึง ความสามารถในการรับนาํ้ หนักมากระทาํ ตอ่ 1 หน่วยพ้ืนทห่ี น้าตดั ของวสั ดทุ ่ีทาํ ใหว้ สั ดขุ าดไดพ้ อดี วัสดุเส้นใหญ่มีพื้นท่ีหน้าตัดมาก จะทนต่อแรงดึงสูงสุดได้มากกว่า วัสดุเส้นเล็กท่ีมีพ้ืนที่หน้าตัดน้อย วัสดุเส้นใหญ่จะมีความเหนียวมากกว่าเส้นเล็ก วัสดุท่ีรับน้ําหนักได้มากจะมีความเหนียวมากกว่าวัสดุท่ีรับนํ้าหนักได้น้อย หรือกล่าวได้ว่า ความเหนียวเป็นลักษณะของวัสดุท่ีดึงขาดยาก ไม่ขาดง่ายเม่ือต้องรับแรง หรือนํ้าหนักมาก ๆ หรือไม่ขาดเมื่อถูก ดึง ยืด ทุบ ตีเพ่อื ให้เปลี่ยนรปู รา่ งไปจากเดมิ ความเหนียว จึงเป็นสมบัติประการหนึ่งของวัสดุท่ีสามารถรับแรงหรือน้ําหนักที่มากระทําได้มากและสามารถนํามาเปล่ียนรูปร่างต่าง ๆ ได้ตามความต้องการของการนํามาใช้ประโยชน์ เช่น การใช้เส้นเอ็นทําสายเบ็ดตกปลา เพราะมีความเหนียวมากสามารถทนแรงดึงหรอื รับนา้ํ หนักของปลาได้ ดินน้ํามันและดินเหนียวสามารถนํามาเปลี่ยนรูปร่างโดยการนํามาป้ันเป็นก้อนกลมทุบให้เป็นแผ่นแบน ๆ และดึงยืดให้เป็นเส้นยาว ๆ ได้ แต่ดินทรายไม่สามารถนํามาปั้นเปน็ รปู ร่างตา่ ง ๆ ได้ แสดงวา่ ดินนาํ้ มนั และดินเหนยี วมสี มบัติด้านความเหนยี ว แต่ดินทรายไม่มีความเหนียว และเน่ืองจากดินเหนียวเป็นวัสดุที่หาได้ง่ายในบางท้องถ่ิน จึงนิยมนํามาปั้นเป็นผลิตภณั ฑ์ตา่ ง ๆ เช่น โอ่ง กระถาง กอ้ นอฐิ ภาพที่ 2.2 ผลิตภัณฑจ์ ากดินเหนยี ว การนําดินเหนียวมาปน้ั เป็นผลติ ภณั ฑ์ต่าง ๆ เมอ่ื ขนึ้ รปู ดินเหนียวเป็นผลิตภัณฑ์ตามต้องการแล้ว จึงนํามาตกแต่งรายละเอียดอีกครั้งหน่ึง จากน้ันก็นําเข้าเตาเผา เพ่ือให้ผลิตภัณฑ์คงรปู

16  นอกจากดนิ เหนยี วแลว้ วัสดอุ กี ชนิดหนง่ึ ท่ีมีสมบัตคิ วามเหนยี ว กค็ อื โลหะตา่ ง ๆเช่น ทองคํา เงิน เหล็ก ดีบุก การเปลี่ยนรูปโลหะต้องใช้ความร้อน เม่ือโลหะร้อน จึงสามารถนํามาตีแผ่ให้เปน็ แผ่นหรอื รดี ให้เป็นเส้นได้ โดยไม่แตกเปน็ ผงหรอื หกั ทองคํา และเงินเป็นโลหะท่นี ยิ มนํามาทาํ เป็นเครือ่ งประดบั ชนดิ ตา่ ง ๆ เชน่ สรอ้ ย แหวน กาํ ไล ต่างหู ภาพท่ี 2.3 สิง่ ของเครื่องใช้และเคร่อื งประดับท่ีทํามาจากเงิน และทองคํา ทมี่ า : http://raanmon.com ส่วนอลูมิเนียม และสแตนเลส เป็นโลหะท่ีนิยมนํามาผลิตเป็นอุปกรณ์ในครัวเรือนเช่น กระทะ หม้อ กะละมัง มีด ช้อน ส้อม เคร่ืองครัวที่ทําจากอลูมิเนียมและสแตนเลสจะมีความทนทาน และไม่เป็นสนมิ ภาพท่ี 2.4 เครอ่ื งครวั ทที่ าํ จากอลูมเิ นยี มและสแตนเลส ท่ีมา : http://118.174.133.140/

17  นอกจากนี้เรายังใช้เชือกลากสิ่งของแต่ในการยกของท่ีมีมวลมาก ๆ นิยมใช้โซ่ดึงยกสง่ิ ของ เนอ่ื งจากโซ่มีความเหนยี วมากกวา่ เชือกจึงใชย้ กของทม่ี มี วลมากได้ดีกวา่ เชอื ก ภาพที่ 2.5 วสั ดทุ ใ่ี ชป้ ระโยชนจ์ ากสมบัติความเหนียว ท่ีมา : http://118.174.133.140/ กล่าวโดยสรุป วัสดุแต่ละชนิดมีความเหนียวไม่เท่ากัน วัสดุที่รับน้ําหนักได้มากแล้วจงึ ขาด จะมีความเหนยี วมากกวา่ วสั ดุท่ีรบั นา้ํ หนักไดน้ อ้ ยแล้วขาด

18 เรื่องที่ 3 ความยืดหยนุ่ ความยืดหยุ่น หมายถึง ลักษณะท่ีวัตถุนั้นสามารถกลับคืนรูปร่างทรงเดิมได้หลังจากแรงท่มี ากระทาํ ตอ่ วัตถุหยดุ กระทําต่อวตั ถนุ นั้ ความยืดหยุ่นเป็นสมบัติของวัสดุที่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ หลังจากหยุดแรงกระทําที่ทําให้เปล่ียนรูปร่างไป เช่น การดึง บีบหรือกระแทก วัสดุแต่ละชนิดมีความยืดหยุ่นไม่เท่ากัน บางชนิดออกแรงมาก ๆ แต่สภาพยืดหยุ่นยังคงอยู่ แต่บางชนิดเม่ือออกแรงมากเกินไปกห็ มดสภาพยดื หย่นุ ได้ วัสดุท่ีถูกแรงกระทําแล้วสามารถเปลี่ยนรูปร่างหรือขนาดของวัสดุ และเม่ือเราหยุดออกแรง วัสดุน้ันจะกลับคืนสู่สภาพเดิม เรียกว่า วัสดุนั้นมีสภาพความยืดหยุ่น เช่น ถุงมือยางยางยืด ฟองนํ้า และวัสดุที่เราออกแรงกระทําแล้ว วัสดุเกิดการเปล่ียนรูปร่างหรือขนาด แต่เม่ือหยุดออกแรง วัสดุไม่คืนสภาพเดิม เราเรียกวัสดุน้ันว่า วัสดุไม่มีความยืดหยุ่น เช่น ดินนํ้ามัน ไม้แผน่ พลาสติก กระดาษ (ก) (ค) (ข) (ง) ภาพท่ี 2.6 แสดงการเปรยี บเทยี บการออกแรงกระทําต่อวัสดุ จากภาพ 2.6 ขณะออกแรงกระทําต่อฟองนํ้า และดินนํ้ามัน จะพบว่า วัสดุทั้งสองเกดิ การยุบตวั แต่เมื่อหยุดออกแรงกระทํา ฟองน้ําจะเปล่ียนรูปร่างและเม่ือหยุดออกแรงกระทําวัสดุกลับสู่สภาพเดิม แสดงว่า วัสดุนั้นมีสภาพยืดหยุ่น ดินนํ้ามันเม่ือหยุดออกแรงกระทําจะไม่กลับสู่สภาพเดิม แสดงว่า วสั ดุน้ันไมม่ ีสภาพยดื หยนุ่

19  การนําความรู้เก่ียวกับสมบัติของวัสดุ ด้านความยืดหยุ่น มาใช้ในชีวิตประจําวันไดแ้ ก่ ยาง นํามาทาํ ยางรถยนต์ ช่วยลดแรงสั่นสะเทอื นขณะรถยนต์ถกู ขบั เคลื่อนไป ฟองน้ํา นํามาทาํ เบาะเก้าอี้ ชุดรบั แขก หรอื ทีน่ อน ทาํ ให้น่งั นอน รสู้ ึกนุม่ สบาย ลวดสปรงิ ถกู ประดษิ ฐใ์ หย้ ดื หยุ่น ใชป้ ระกอบของใช้ได้หลายอย่าง เช่นทน่ี อนสปริง เกา้ อเี้ บาะสปริง ปากกาลกู ล่นื ทเี่ ย็บกระดาษ ไฟฉาย เปน็ ตน้ ภาพที่ 2.7 ตัวอยา่ งวสั ดทุ ี่มสี มบตั ิด้านความยดื หยนุ่ ในชีวิตประจําวนั

20 เรื่องที่ 4 การนาํ ความร้อน การนําความร้อน หมายถึง การถ่ายเทพลังงานความร้อนจากอนุภาคหน่ึงสู่อนุภาคหนง่ึ และถ่ายทอดกนั ไปเร่อื ย ๆ ภายในเนอ้ื ของวตั ถุ การนาํ ความร้อน เป็นสมบัติของวสั ดทุ ่ีพลังงานความร้อนสามารถ ถ่ายโอนผ่านวัสดุนน้ั ได้ ซ่งึ วัสดแุ ตล่ ะชนิดสามารถนําความร้อนได้แตกต่างกันและบางชนิดไม่นําความร้อน วัสดุท่ีนําความร้อนได้ดีจะถ่ายเทพลังงานความร้อนได้เร็ว และมาก เม่ือวัสดุชนิดน้ันได้รับความร้อนท่ีบริเวณใดบรเิ วณหนึ่ง จะถา่ ยโอนความร้อนไปสูบ่ รเิ วณอืน่ ด้วย การจาํ แนกสมบตั กิ ารนําความรอ้ นของวัสดุ แบง่ เปน็ 2 ประเภท คอืตัวนาํ ความร้อน และฉนวนความร้อน 1. ตัวนําความร้อน หมายถึง วัสดุท่ีความร้อนผ่านได้ดี ส่วนใหญ่เป็นโลหะ เช่นเหล็ก อะลูมิเนียม เงิน ทอง ทองแดง นิยมนํามาใช้ทําภาชนะหุงข้าว เช่น หม้อ กาต้มน้ํากระทะ 2. ฉนวนความร้อน หมายถงึ วสั ดทุ ไี่ ม่นาํ ความรอ้ นหรอื นาํ ความร้อนนอ้ ย สว่ นใหญ่เป็นอโลหะ เช่น ผ้า ไม้ ยาง พลาสติก กระเบ้ือง นิยมนํามาทํา ด้ามตะหลิว ด้ามหม้อ หูหม้อท่ีจบั หมอ้ เพือ่ ป้องกนั ความรอ้ น ฉนวนความรอ้ นภาพท่ี 2.8 กลไกการถ่ายเทความร้อน ตัวนําความร้อน ทม่ี า : http://www.lesa.biz/ ภาพที่ 2.9 การใช้ประโยชนจ์ ากสมบตั ิ การนาํ ความร้อนของวัสด ุ

21 เร่อื งท่ี 5 การนําไฟฟา้ การนาํ ไฟฟา้ หมายถึง สมบตั ใิ นการยอมให้ประจุไฟฟา้ หรอื กระแสไฟฟ้าไหลผา่ นได้ วัสดุบางชนิดมีสมบัติในการนําไฟฟ้า คือ ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ดี แต่วัสดุบางชนิดไม่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ เราจึงสามารถนําสมบัติการนําไฟฟ้าของวัสดุมาใช้ในการผลิตอปุ กรณ์ต่าง ๆ ได้ สมบัติการนําไฟฟ้าของวสั ดุ แบ่งออกเปน็ 1. วัสดุท่ีนําไฟฟ้า คือ วัสดุที่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ เรียกว่า ตัวนําไฟฟ้าได้แก่ วัสดุประเภทโลหะต่าง ๆ เช่น ทองแดง เงิน เหล็ก อะลูมิเนียม จึงมีการนําโลหะต่าง ๆมาทําอุปกรณ์เคร่ืองใช้ไฟฟ้า เช่น ทองแดงนําไฟฟ้าได้ดี จึงนํามาใช้ทําสายไฟฟ้า ไส้หลอดไฟเป็นตน้ทมี่ า : http://www.atom.rmutphysics.com ท่ีมา : http://www.sci-mfgr.com ภาพท่ี 2.10 การนาํ ความรู้เร่อื งสมบัตกิ ารนาํ ไฟฟา้ ของวสั ดมุ าใชใ้ นการผลติ อุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อใช้ในชวี ิตประจาํ วัน 2. วัสดุท่ีไม่นําไฟฟ้า คือ วัสดุที่ไม่ยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ เรียกว่าฉนวนไฟฟ้า ได้แก่ วัสดทุ ่ไี มใ่ ช่โลหะ เชน่ พลาสตกิ ไม้ แกว้ จงึ มกี ารนําวัสดเุ หลา่ นี้มาทาํ อุปกรณ์ที่ป้องกันไฟฟ้าดูด หรือไฟฟ้ารั่ว เช่น พลาสติก นํามาทําท่ีหุ้มปล๊ักไฟฟ้า สวิตซ์ไฟฟ้า เป็นต้นเน่อื งจากไม่นําไฟฟ้าจึงปลอดภัย ในการใชง้ าน กล่าวโดยสรุป การเลือกวัสดุท่ีใช้ในการผลิตอุปกรณ์ต่าง ๆ หรือทําอุปกรณ์ไฟฟ้าต้องอาศัยความรู้ด้านสมบัติการนําไฟฟ้าของวัสดุมาใช้ เน่ืองจากวัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติการนําไฟฟ้าที่แตกตา่ งกัน เพอ่ื ความสะดวกและความปลอดภัยในการใชง้ าน

22 เรอ่ื งท่ี 6 ความหนาแนน่ ความหนาแน่นของวัสดุ คือ ค่าท่ีบอกมวลของวัตถุ 1 หน่วยปริมาตร หรืออาจกล่าวได้ว่า ถ้าวัสดุมีปริมาตรเท่ากัน วัสดุท่ีมีมวลมากจะมีความหนาแน่นมากกว่าวัสดุที่มีมวลนอ้ ย ความหนาแนน่ เป็นสมบัตเิ ฉพาะของสารหรอื วัสดแุ ต่ละชนิด แม้วัสดุนั้น จะมีขนาดเท่ากันแตท่ าํ จากวัสดแุ ตกตา่ งกัน ก็จะมีความหนาแน่นแตกต่างกัน สามารถเขยี นความสัมพนั ธ์ทางคณิตศาสตร์ ไดด้ ังน้ี ความหนาแนน่ = มวล คา่ มวลมีหน่วย เช่น กรัม ปริมาตร ปรมิ าตรมหี น่วย เช่น ลูกบาศก์ เซนติเมตร (ความหนาแนน่ มหี น่วยทีอ่ ยู่ในรปู ของมวลต่อปริมาตร เชน่กรัมตอ่ ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร กโิ ลกรมั ตอ่ ลูกบาศกเ์ มตร ) การหาปริมาตรของวัตถทุ ี่มที รงสเ่ี หลย่ี มมุมฉากสามารถใชส้ ตู รการคาํ นวณ ดงั นี้ ปรมิ าตรทรงสีเ่ หล่ียม = กว้าง x ยาว x สงู กว้าง สูง กว้าง x ยาว x สงู = ปรมิ าตรของวตั ถุ ยาว ภาพที่ 2.11 แสดงการหาปรมิ าตรทรงส่เี หลย่ี ม

23  การหาความหนาแน่นของวตั ถทุ ่ีไมเ่ ป็นทรงเรขาคณิต สามารถหาค่าความหนาแน่น โดยใช้วิธีการแทนท่ีนํ้าในถ้วยยูรีกา แล้ววัดปริมาตรของนํ้าท่ีล้นออกมา โดยปริมาตรของน้ําที่ล้นออกมาจะเท่ากับปริมาตรของวัตถุน้ัน แล้วนําปริมาตรท่หี าได้นี้ไปหามวลของวตั ถุ ภาพที่ 2.12 วธิ กี ารหาปรมิ าตรของวตั ถทุ ี่ไม่เป็นทรงเรขาคณติ ทม่ี า : หนังสือเรียนวทิ ยาศาสตร์ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 เรอื่ งสมบัติของวสั ดุ หนา้ ท่ี 61 สรปุ การหาความหนาแนน่ ของวสั ดทุ แี่ น่นอน จากความสัมพนั ธ์ ดงั นี้ ความหนาแนน่ = มวล ปรมิ าตร จากสมการความสมั พันธ์ มวล คอื ปรมิ าณเนื้อของวตั ถุ มีหน่วยเปน็ กิโลกรัม มวลจะมีคา่ คงที่เสมอ นาํ้ หนัก คอื แรงดงึ ดูดของโลกท่กี ระทาํ ต่อมวลของวตั ถุ มหี น่วยเปน็ นวิ ตนั **นํา้ หนัก (นวิ ตัน) = มวล (กโิ ลกรัม) x แรงโนม้ ถว่ งโลก (นิวตนั /กโิ ลกรมั ) ปรมิ าตร หาได้ดังนี้ - ถ้าหาปริมาตรของแข็ง จะหาโดยการแทนที่น้ํา หรือ ถ้าเป็นรูปทรงส่ีเหลี่ยมมุมฉากใช้สูตรนี้ ปริมาตร = กวา้ ง X ยาว X สูง - ถ้าเปน็ ของเหลว โดยใชก้ ระบอกตวงวดั ปรมิ าตรแล้วอ่านคา่ ทไ่ี ด้

24  ตวั อยา่ งการหาความหนาแนน่ โจทย์ แทง่ ไม้ มีมวล 30 กรมั และมปี รมิ าตร 15 ลูกบาศก์เซนตเิ มตร วธิ คี ดิ ความหนาแนน่ ของแท่งไม้ = มวลของแทง่ ไม้ (กรมั ) ปรมิ าตรของแทง่ ไม้ (ลกู บาศก์เซนติเมตร) = 30 กรัม 15 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร = 2 กรมั / ลูกบาศก์เซนตเิ มตร ดังนน้ั ความหนาแน่นของแท่งไม้ = 2 กรมั / ลกู บาศก์เซนตเิ มตร หมายความว่า แทง่ ไม้ทม่ี ีปริมาตร 1 ลกู บาศก์เซนติเมตร มมี วล เท่ากับ 2 กรมั กิจกรรมท้ายหน่วยท่ี 2  หลงั จากทผี่ ูเ้ รยี นศึกษาเอกสารชดุ การเรียนหน่วยที่ 2 จบแล้ว ขอใหศ้ กึ ษาคน้ คว้าเพิ่มเตมิ จากแหลง่ เรยี นรตู้ า่ ง ๆ แลว้ ทาํ กิจกรรมการเรยี นหนว่ ยท่ี 2 ในสมุดบันทึกกจิ กรรมการเรยี นรู้ แลว้ จัดสง่ ตามทีผ่ ู้สอนกําหนด แนะนาํ แหลง่ เรยี นรู้บนอนิ เตอร์เน็ต วสั ดุและสมบัตวิ ัสดุ http://krootonwich.com/data-3801.html นาํ ไฟฟา้ ของวัสดุ วิทยาศาสตร์ ป. 5 https://www.youtube.com/watch?v=xUI5Dxwk1xM

25 หนว่ ยท่ี 3 การเลือกใช้และผลกระทบจาการใชว้ ัสดุสาระสาํ คญั ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หมายถึง ผลิตภัณฑ์ท่ีส่งผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมน้อยกว่าเม่ือเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์อ่ืน ๆ โดยมี ฉลากสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องมือแยกผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อส่ิงแวดล้อมออกจากผลิตภัณฑ์ท่ัวไปในท้องตลาด ปัจจุบันเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทและความจําเป็นต่อการดํารงชีวิตของมนุษย์เป็นอย่างมาก ทั้งภายในบ้านและภายนอกบ้าน เพ่ืออํานวยความสะดวกสบายในชีวิตประจําวัน แต่เทคโนโลยีเหล่านั้นก็ส่งผลกระทบต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อมในด้านต่าง ๆ หากละเลยและไม่คํานึงถึงการใช้วัสดหุ รือผลติ ภัณฑ์อย่างรู้คณุ ค่าตัวชว้ี ัด 1. อธบิ ายความหมายผลิตภณั ฑ์ทเี่ ปน็ มติ รต่อสิง่ แวดล้อมได้ 2. อธิบายแนวทางการเลือกใชว้ ัสดุในชีวติ ประจําวนั ได้ 3. อธบิ ายความหมายของสญั ลกั ษณ์ผลิตภณั ฑ์ทเ่ี ปน็ มิตรกบั สง่ิ แวดล้อมได้ 4. อธบิ ายผลกระทบท่ีเกดิ จากการใชว้ ัสดใุ นชีวิตประจาํ วันได้ 5. ตระหนกั ถงึ ผลกระทบที่เกดิ จากการใชว้ สั ดุในชวี ิตประจาํ วนัขอบขา่ ยเนื้อหา 1. การเลือกใชว้ สั ดุท่ีเปน็ มติ รตอ่ สิง่ แวดลอ้ ม 2. ผลกระทบจากการใชว้ สั ดุในชีวิตประจําวนัเวลาทีใ่ ช้ในการศกึ ษา ใช้เวลาเรยี น โดยศกึ ษาจากเอกสารและส่อื ตา่ ง ๆ ฝึกปฏบิ ัติกจิ กรรม และรวมกลุ่มเพื่อแลกเปล่ียนเรยี นรู้ จาํ นวน 20 ชวั่ โมงสอ่ื การเรียนรู้ 1. ชุดวิชาวสั ดุศาสตรร์ ะดับประถมศึกษา 2. ศึกษาค้นคว้าจากอินเตอร์เน็ต 3. ศึกษาค้นควา้ จากหนังสือในหอ้ งสมุดประชาชน

26 หน่วยท่ี 3การเลือกใช้และผลกระทบจาการใชว้ สั ดุเรือ่ งที่ 1 การเลอื กใชว้ ัสดทุ ี่เป็นมิตรต่อสง่ิ แวดลอ้ ม ปจั จุบันเทคโนโลยมี ีผลต่อการพฒั นาผลติ ภณั ฑห์ รือส่ิงของเคร่ืองใชม้ ากมายหลายชนิด ทําให้มนุษย์มีชีวิตท่ีสะดวกสบายมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีก็มีผลกระทบต่อมนุษย์หลายด้าน เช่น ทําให้เกิดมลภาวะ ทําลายสภาพแวดล้อม ปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจ การใช้ผลิตภัณฑ์ท่ีเป็นอันตรายต่อส่ิงแวดล้อม ส่งผลให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ซ่ึงการแกป้ ัญหานอกจากจะใชก้ ระบวนการเทคโนโลยี โดยการหาวธิ ีใหม่ ๆ แลว้ ทกุ คนควรมีจิตสํานึกในการอนุรักษ์พลังงาน รวมท้ังคํานึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าประโยชน์สว่ นตวั เลือกใช้ผลติ ภณั ฑอ์ ย่างรู้คุณคา่ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยท่สี ดุ เป็นตน้ สิ่งของเครื่องใช้ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หมายถึง ส่ิงของเคร่ืองใช้ท่ีผลิตจากกระบวนการทางเทคโนโลยีที่ใส่ใจกับผลกระทบท่ีจะเกิดขึ้นกับส่ิงแวดล้อม โดยเร่ิมตั้งแต่กระบวนการออกแบบจนกระทง่ั กระบวนการผลติ ได้แก่ 1) วธิ ีการผลิตโดยการใชว้ สั ดทุ ีส่ ิ้นเปลอื งให้นอ้ ยทส่ี ุด 2) วิธีการผลิตโดยใช้วัสดุต่าง ๆ ที่ไม่เป็นอันตรายต่อผู้อ่ืน เช่น ลดการใช้ถงุ พลาสตกิ โฟม เปน็ ตน้ หรือหลกี เลีย่ งวัสดทุ ่ีก่อให้เกิดมลพิษตอ่ สิ่งแวดลอ้ ม 3) ก่อนการผลิตจะต้องศึกษาว่าผู้ใช้งานหรือผู้บริโภคจะนําไปใช้ในสถานการณ์ใดหรือภาวะการณ์ใด เพอ่ื จะนําไปเปน็ ข้อมลู ในการผลติ 4) การออกแบบการผลิตจะต้องคํานึงถึงความปลอดภัย และคํานึงถึงผลเสียที่จะกระทบต่อ ส่ิงแวดลอ้ มมากที่สุด

27 1.1 ความหมายของผลติ ภัณฑ์ทเ่ี ป็นมิตรต่อสงิ่ แวดล้อม ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ โดยมี ฉลากสิ่งแวดล้อมเป็นเคร่ืองมือแยกผลิตภัณฑ์ท่ีเป็นมิตรต่อส่ิงแวดล้อมออกจากผลิตภัณฑ์ทั่วไปในท้องตลาด และให้ข้อมูลทางดา้ นส่งิ แวดลอ้ มท่ถี ูกตอ้ งของผลิตภัณฑ์แก่ผบู้ ริโภค สาํ หรบั ประเทศไทยไดใ้ ชค้ ําว่า “ฉลากสเี ขยี ว” แทน “ฉลากสิ่งแวดล้อม” Green label หรือ Eco-label) เปน็ ฉลากที่ให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าเมื่อนํามาเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่ทําหนา้ ที่อย่างเดยี วกนั1.2 สัญลักษณ์ผลิตภณั ฑท์ ี่เปน็ มิตรตอ่ สิง่ แวดลอ้ ม ในปัจจุบัน ประเทศไทยได้มีฉลากทางด้านส่ิงแวดล้อมที่ริเร่ิมโดยหน่วยงานต่าง ๆ ที่เก่ียวข้อง ได้แก่ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) สํานักงานพิทักษ์ส่ิงแวดล้อม (EPA)เป็นตน้ ดังน้ี1. ฉลากสีเขียว (Green Label) “ฉลากเขียว” คือฉ ล า ก ที่ ใ ห้ กั บ ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ ท่ี มี คุ ณ ภ า พ แ ล ะ มี ผ ล ก ร ะ ท บ ต่ อส่ิงแวดล้อมน้อยกว่า เมื่อนํามาเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ท่ีทําหน้าที่อย่างเดียวกัน ฉลากเขียว เร่ิมใช้เป็นคร้ังแรกในประเทศเยอรมนีต้ังแต่ปี พ .ศ. 2520 ปัจจุบันมีการใช้ในประเทศต่าง ๆมากกวา่ 30 ประเทศทั่วโลก ได้มีการจัดทําโครงการฉลากเขียว ภาพที่ 3.1 สญั ลกั ษณ์ฉลากสําหรับประเทศไทย ริเริ่มขึ้นโดยคณะกรรมการนักธุรกิจ สีเขียวเพ่อื สง่ิ แวดลอ้ มไทย (Thailand Business Council forSustainable Development, TBCSD) ในปี พ.ศ. 2536 ที่มา : คู่มอื การประเมินสาํ นักงาน สีเขียว กรมส่งเสรมิ คุณภาพ ส่งิ แวดลอ้ ม หนา้ 115 ฉลากเขียว สนับสนุนสินค้าทุกประเภท ยกเว้น ยารักษาโรค เคร่ืองดื่มและอาหารเน่ืองจากท้ังสามประเภทที่กล่าวจะเกี่ยวข้องกับสุขภาพความปลอดภัยในการบริโภคมากกว่าดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม

282. ฉลากประหยดั ไฟเบอร์ 5คอื ฉลากแสดงประสิทธิภาพอปุ กรณ์ไฟฟ้า ยกตัวอย่างเช่น เครื่องปรับอากาศท่ีมีปริมาณกําลังไฟฟ้า 1 หน่วยของอุปกรณ์ไฟฟ้าท่ีได้รับฉลากประหยดั ไฟฟ้าเบอร์ 5 จะได้ความเย็นไม่น้อยกว่า 10,600บีทียู เปรียบเทียบกับเคร่ืองปรับอากาศปกติโดยท่ัวไปที่ค่าไฟฟ้า 1 หน่วยจะได้ความเย็น ประมาณ 7,000 -8,000 บีทียู เทา่ นัน้ แสดงวา่ ถ้าใชเ้ ครอ่ื งปรับอากาศ ภาพท่ี 3.2 สญั ลกั ษณฉ์ ลากเบอร์ 5 ประหยัดไฟฟ้าประมาณ 35% ประหยัดไฟเบอร์ 5 ท่มี า : คูม่ อื การประเมนิ สาํ นกั งานสีเขยี ว กรมสง่ เสรมิ คุณภาพ สง่ิ แวดลอ้ มปัจจุบนั การไฟฟ้าฝา่ ยผลิตได้ดําเนนิ การ หนา้ 116ออกฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ใหแ้ ก่ ผลติ ภณั ฑต์ า่ ง ๆ 17 ชนดิ ดงั น้ี1. เครื่องรับโทรทศั น์ 10. จอคอมพิวเตอร์2. กระติกนํา้ รอ้ นไฟฟา้ 11. ต้เู ยน็3. เครอ่ื งปรบั อากาศ 12. บัลลาสต์นริ ภัย4. บัลลาสตอ์ ิเล็กทรอนกิ ส์ T5 13. หลอดผอม5. พดั ลมชนดิ ตั้งโตะ๊ ต้ังพ้นื ติดผนงั 14. พดั ลมชนดิ สา่ ยรอบตวั6. หลอดคอมแพคตะเกยี บ 15. หมอ้ หุงขา้ วไฟฟ้า7. โคมไฟประสิทธิภาพสงู 16. ข้าวกล้อง8. โคมไฟฟา้ สาํ หรับหลอดผอม 17. พัดลมระบายอากาศ9. เครอ่ื งทําน้ําอุ่นไฟฟา้

29 3. ฉลากประสิทธิภาพสงู ภาพท่ี 3.3 ฉลากประสทิ ธิภาพสูง การเกิดข้ึนของฉลากประสทิ ธิภาพสงู ทม่ี า : คมู่ อื การประเมนิ สํานกั งานสีเขยี วเปน็ ไปตาม พระราชบญั ญัตกิ ารส่งเสริมการอนรุ ักษ์ กรมสง่ เสรมิ คุณภาพ สิง่ แวดลอ้ มพลงั งาน โดยได้เริ่มดําเนินการมาตัง้ แต่ปี พ.ศ. 2549 หนา้ 116เป็นโครงการนําร่องของกรมพฒั นาพลงั งานทดแทนและอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน สาํ หรบั อุปกรณไ์ มใ่ ช้ไฟฟา้ 4ผลิตภณั ฑ์ ได้แก่ 1. เตาหงุ ต้มในครวั เรือนหรอื เตาแกส๊ 2. อุปกรณ์ปรบั ความเรว็ รอบมอเตอร์ 3. ฉนวนกันความร้อน 4. กระจกอนรุ กั ษพ์ ลังงาน 1.3 แนวทางการเลอื กซือ้ สนิ ค้าที่เป็นมิตรตอ่ ส่งิ แวดล้อม ผู้บริโภค มีแนวทางการเลือกผลิตภัณฑ์หรือสินค้าท่ีเป็นมิตรต่อส่ิงแวดล้อมโดยพิจารณาคุณสมบัติของผลิตภัณฑห์ รอื สนิ คา้ ไดด้ งั นี้ 1) ใชว้ สั ดทุ ีม่ ีผลกระทบต่อสง่ิ แวดลอ้ มนอ้ ย เช่น วสั ดไุ มม่ ีพิษ วัสดหุ มนุ เวยี นทดแทนได้ วสั ดรุ ไี ซเคลิ และวัสดทุ ี่ใชพ้ ลงั งานตาํ่ ในการจัดหามา 2) ใชว้ สั ดุนอ้ ย เชน่ นํ้าหนกั เบา ขนาดเลก็ มจี ํานวนประเภทของวสั ดนุ ้อย 3) มเี ทคโนโลยกี ารผลิตทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพสูงสดุ เช่น ใชพ้ ลังงานสะอาดลดการเกดิ ของเสยี จากกระบวนการผลติ และลดขัน้ ตอนของกระบวนการผลิต 4) มรี ะบบขนสง่ และจดั จาํ หน่ายทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพสงู สดุ เชน่ ลดการใช้หีบห่อบรรจุภัณฑ์ท่ีฟุ่มเฟือย ใช้บรรจุภัณฑ์ท่ีทําจากวัสดุที่ใช้ซํ้าหรือหมุนเวียนใช้ได้ใหม่ได้ และเลอื กใชเ้ ส้นทางการขนสง่ ท่ีประหยัดพลงั งานทสี่ ุด 5) ลดผลกระทบต่อสง่ิ แวดลอ้ มท่เี กดิ ในช่วงการใชง้ าน เชน่ ใช้พลงั งานตํ่ามกี ารปล่อยมลพิษต่าํ ในระหว่างการใชง้ าน ลดการใชว้ ัสดสุ นิ้ เปลอื ง และลดการใชช้ ิ้นสว่ นที่ไม่จําเป็น 6) มีความคุม้ ค่าตลอดชวี ิตการใชง้ าน เชน่ ทนทาน ซอ่ มแซมและดแู ลรกั ษางา่ ย ปรบั ปรงุ ตอ่ เติมได้ ไมต่ อ้ งเปลยี่ นบอ่ ย

30 7) มีระบบการจัดการระบบหลังหมดอายุการใช้งานท่ีมีประสิทธิภาพสูง เช่นการเก็บรวบรวมที่ก่อผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมน้อย มีการออกแบบให้สามารถนําสินค้าหรือชิ้นส่วนกลับมาใช้ซ้ํา หรือหมุนเวียนใช้ใหม่ได้ง่าย หรือหากต้องกําจัดท้ิงสามารถนําพลังงานกลับคืนมาใช้ได้และมคี วามปลอดภัยสําหรบั การฝังกลบ กล่าวโดยสรุป การพิจารณาว่าสินค้าใดเป็นมิตรต่อส่ิงแวดล้อมควรพิจารณาว่าสินค้าน้ันส่งผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมมากในช่วงใดของวัฏจักรชีวิต เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า จะก่อผลกระทบมากในช่วงใช้งานมากกว่าในช่วงการผลิต และหากมีการลดผลกระทบในช่วงดังกล่าวให้นอ้ ยกวา่ สินค้าอ่นื ที่มีลักษณะการทาํ งานเหมอื นกนั รวมท้ังประเดน็ ดา้ นส่ิงแวดลอ้ มอนื่ ๆซึ่งจะถอื ไดว้ า่ เปน็ สนิ ค้าทเ่ี ปน็ มติ รต่อส่ิงแวดล้อม

31เรื่องท่ี 2 ผลกระทบจากการใชว้ สั ดุในชีวิตประจาํ วนั ในปัจจุบนั เทคโนโลยไี ดเ้ ขา้ มามีบทบาทและความจําเปน็ ตอ่ การดํารงชีวติ ของมนุษย์เป็นอย่างมาก ทั้งภายในบ้านและภายนอกบ้าน เพื่ออํานวยความสะดวกสบายในชีวิตประจําวันเช่น การทํางานบ้าน การคมนาคม การส่ือสาร การแพทย์ การเกษตร และการอุตสาหกรรมเป็นตน้ ซ่งึ ความเจริญกา้ วหน้าอย่างตอ่ เนอ่ื งของเทคโนโลยชี ่วยพฒั นาใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสุดแก่มนุษย์ อย่างไรก็ตาม แม้เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทต่อมนุษย์ แต่หลายครั้งเทคโนโลยีเหล่านั้นก็ส่งผลกระทบต่อชีวิตและส่ิงแวดล้อมในด้านต่าง ๆ ผลกระทบท่ีจะตามมามีทั้งความสูญเสียทางด้านส่ิงแวดล้อม ก่อให้เกิดมลพิษทางน้ํา ดินเส่ือมสภาพ ส่งกลิ่นเหม็นรบกวนรวมถึงเป็นแหล่งท่ีอยู่อาศัยของสัตว์พาหะนําโรค เสียหายต่ออุตสาหกรรมการท่องเท่ียว ความสูญเสียทางดา้ นเศรษฐกจิ และส้นิ เปลอื งงบประมาณของรัฐท่ีใช้ในการแกไ้ ขปญั หาวสั ดุทใี่ ชแ้ ล้ว การท้ิงวัสดุที่ใช้แล้วท่ีเป็นอันตรายปะปนกับวัสดุมูลฝอยทั่วไปอาจเกิดอันตรายหรือทําให้สารอนั ตรายปนเปื้อนสิ่งแวดล้อมไดท้ งั้ ในระหว่างขน้ั ตอนการเกบ็ ขนและการกําจัดการจดั การวสั ดุอนั ตรายไม่ถูกวธิ จี ะสง่ ผลกระทบหลายดา้ น เช่น กอ่ ใหเ้ กิดโรค ระบบนเิ วศถูกทาํ ลาย เกิดความเสยี หายตอ่ ทรพั ย์สินและสังคมกลับคนื สู่มนษุ ย์ แพรไ่ ปในอากาศ ของเสียอันตรายท่ีท้งิ รวมกบั ขยะมลฝอยท่วั ไป ปนเป้อื นในดนิสตั ว์ และแหล่งนาํ้ ต้นไม้และพชืภาพที่ 3.4 ผลกระทบจากการทง้ิ วัสดอุ นั ตรายปะปนกบั วสั ดมุ ูลฝอยในชีวติ ประจําวนั ทม่ี า : http://www.wangitok.com

32 ผลกระทบจากความเส่ียงต่อการเกิดโรค การได้รับสารอันตรายบางชนิดเข้าไปในร่างกาย อาจทําให้เจบ็ ปว่ ยเปน็ โรคต่าง ๆ จนอาจถงึ ตายได้ ผลกระทบต่อระบบนิเวศ หากสารอันตรายซึมหรือไหลลงสู่พ้ืนดิน หรือแหล่งน้ําจะไปสะสมในห่วงโซ่อาหาร เป็นอันตรายต่อสัตว์น้ําและพืชผัก เม่ือเรานําไปบริโภคจะได้รับสารนัน้ เข้าสูร่ ่างกายเหมอื นเรากนิ ยาพษิ เข้าไปอยา่ งช้า ๆ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม สารอันตรายบางชนิดนอกจากทําให้เกิดโรคต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลแล้ว อาจทําให้เกิดไฟไหม้ เกิดการกัดกร่อนเสียหายของวัสดุ เกิดความเส่ือมโทรมของสิ่งแวดล้อม ทําให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบํารุงรักษาสภาพแวดลอ้ มและทรัพย์สิน จากวงจรดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าการไม่คัดแยกวัสดุที่ใช้แล้วประเภทอันตรายออกจากวัสดุทั่วไป แล้วนําไปท้ิงรวมกัน จะส่งผลกระทบต่อหลายด้านและท้ายท่ีสุดก็จะกลับคืนสู่มนุษย์ 2.1 ผลกระทบตอ่ สขุ ภาพ 2.1.1 ความเส่ียงตอ่ การเกิดโรค การไดร้ บั สารอันตรายบางชนิดเข้าไปในร่างกาย อาจทาํ ให้เจบ็ ป่วยเป็นโรคต่าง ๆ จนอาจถึงตายได้ พษิ ของขยะอันตรายสามารถเข้าสู่รา่ งกายของเราจาก 3 ทาง คอื 1) ทางการหายใจ โดยการสูดดมเอาไอ ผง หรือละอองสารพิษเข้าสู่รา่ งกาย เช่น สี สารระเหย ไอนํา้ มันรถยนต์ 2) ทางปาก โดยการรับประทานเข้าไปโดยตรง ท้ังต้ังใจและไม่ต้ังใจเช่น สารพิษที่ปนเปื้อนจากภาชนะใส่อาหาร หรือจากมือ รวมถึงสารพิษท่ีสะสมอยู่ในผักและเนอ้ื สัตว์ 3) ทางผวิ หนงั โดยการสมั ผัสหรือจับตอ้ งสารพิษ ซึง่ สามารถซมึเข้าสู่ผิวหนังและจะดดู ซึมได้มากยิ่งข้นึ หากมีบาดแผลทผี่ ิวหนัง หรือเป็นโรคผิวหนังอยูก่ อ่ นแล้ว

33ตารางท่ี 3.1 ตัวอยา่ งวัสดุอันตรายและอาการเจบ็ ปว่ ยเมือ่ สารพิษเข้าสู่รา่ งกายผลิตภณั ฑใ์ นชวี ิตประจาํ วนั สารพิษ/สาร อาการ/ผลกระทบตอ่ สขุ ภาพ อนั ตรายถา่ ยไฟฉาย กระป๋องสี สารแมงกานสี เม่ือสารพิษเข้าสู่ร่างกายทําให้ปวดศีรษะ ง่วงนอน อ่อนเพลีย ซึมเศร้าประสาทหลอน เกดิ ตะคริวกินทแ่ี ขน ขาหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ สารปรอท เม่ือสารพิษเข้าสรู่ า่ งกายเกิดการระคายสารฆ่าแมลง ถ่านกระดุม เคอื งตอ่ ผวิ หนงั เหงือกบวม อกั เสบ เลอื ดออกงา่ ย กล้ามเนอ้ื กระตกุ หงุดหงิด โมโหง่ายแบตเตอร่ีรถยนต์ สารตะกวั่ เมื่อสารพษิ เข้าสูร่ า่ งกาย ทาํ ใหป้ วดศรี ษะสารฆา่ แมลง กระป๋อง ออ่ นเพลีย ตวั ซีด ปวดเม่ือยกล้ามเนอ้ื ความจาํ เสือ่ มสเปรย์ นํา้ ยายอ้ มผม สารระเหย เม่ือสารพษิ เข้าสรู่ า่ งกายเกิดการระคายนา้ํ ยาทาเล็บ นํา้ ยาล้างเลบ็ แอลกอฮอล์ เคอื งต่อผิวหนังคัน หรอื เห่อ บวมปวดศีรษะเครือ่ งสาํ อางหมดอายุ หายใจขดั เป็นลม

34ตัวอยา่ งผลกระทบของสารพิษอนั ตรายทีม่ ตี ่อร่างกายมนษุ ย์ เบรลิ เลียม เปน็ สารก่อมะเร็งชนดิ หนึ่งหาก หายใจเข้าไปอย่างตอ่ เนื่องจะเป็น โรคทมี่ ผี ลกับปอด หากสมั ผัสจะ  ทาํ ใหเ้ กดิ แผลท่ผี ิวหนงั อย่างรนแรงภาพท่ี 3.5 แสดงผลกระทบของสารพิษอนั ตรายที่มตี ่อร่างกายมนษุ ย์ที่มา : คู่มือการคัดแยกขยะอนั ตราย สําหรบั เยาวชน หนา้ 47

35 2.1.2 เป็นแหลง่ เพาะพันธ์ุของแมลง และพาหะของโรค วัสดุท่ีใช้แล้วและของเสีย มีปริมาณเพิ่มมากข้ึนทุกขณะ เน่ืองจากการขยายตัวของเมือง การพัฒนาเทคโนโลยีเพ่ืออํานวยความสะดวกสบาย การอยู่อาศัยอย่างหนาแน่น หากใช้วิธีกําจัดที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม ย่อมก่อให้เกิดปัญหาตามมา นอกจากน้ันวัสดุที่ใช้แล้วที่ถูกปล่อยท้ิงไว้นาน ๆ จะเป็นท่ีอยู่อาศัยของสัตว์พาหะที่จะเข้ามาทํารัง ขยายพันธุ์เพราะมีท้ังอาหารและที่หลบซ่อน ดังน้ันวัสดุท่ีใช้แล้วท่ีขาดการเก็บรวบรวม และการกําจัดจึงทําให้เกิดเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่สําคัญของเชื้อโรค แมลงวัน หนู แมลงสาบ ซ่ึงเป็นหาหะนําโรคมาส่คู น 2.1.3 ก่อใหเ้ กดิ ความรําคาญ การเก็บรวบรวมวัสดุที่ใช้แล้วไม่หมดก่อให้เกิดกล่ินรบกวน กระจายอยู่ทัว่ ไปในชุมชน นอกจากน้นั ฝนุ่ ละอองท่เี กดิ จากการเก็บรวบรวม การขนถ่าย และการกําจัดแล้วยังคงเป็นสาเหตุสาํ คัญท่ีกอ่ ให้เกิดปญั หาเรอ่ื งกลน่ิ รบกวน สัตวพ์ าหะนําเช้ือโรค ทัศนวิสัยในการใช้ที่ดนิ และนา้ํ เสียจากน้ําชะขยะ 2.2 ผลกระทบต่อระบบนเิ วศและสิ่งแวดลอ้ ม วัสดุที่ใช้แล้วเป็นสาเหตุสําคัญที่ทําให้เกิดมลพิษของนํ้า มลพิษของดิน และมลพษิ ของอากาศ เน่อื งจากวัสดสุ ่วนทีข่ าดการเก็บรวบรวมหรือไมน่ าํ มากาํ จดั ให้ถูกวิธี ปล่อยท้ิงค้างไว้ในพื้นที่ของชุมชน เม่ือมีฝนตกลงมาจะไหลชะนําความสกปรก เชื้อโรค สารพิษจากวัสดุท่ใี ช้แลว้ ไหลลงสู่แหลง่ นํา้ ทําให้แหล่งนํ้าเกดิ เนา่ เสียได้ หากสารอันตรายซึมหรือไหลลงสู่พ้ืนดินหรือแหล่งน้ํา จะไปสะสมในห่วงโซ่อาหาร เป็นอันตรายต่อสัตว์นํ้าและพืชผัก เม่ือเรานําไปบรโิ ภคจะไดร้ ับสารนั้นเข้าสรู่ ่างกายเหมอื นเรากนิ ยาพษิ เข้าไปอย่างชา้ ๆ 2.2.1 มลพษิ ทางดิน วัสดุที่ใช้แล้วและของเสียต่าง ๆ ถ้าเราท้ิงลงในดินขยะส่วนใหญ่จะสลายตัวให้สารประกอบ อินทรีย์และอนินทรีย์มากมายหลายชนิดด้วยกัน แต่ก็มีวัสดุบางชนิดท่ีสลายตัวได้ยาก เช่น ผ้าฝ้าย หนัง พลาสติก โดยเฉพาะเกลือไนเตรตสะสมอยู่เป็นจํานวนมากแล้วละลายไปตามน้ํา สะสมอยู่ในบริเวณใกล้เคียง การทิ้งของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมตา่ ง ๆ เป็นแหลง่ ผลิตของเสียทส่ี าํ คญั ยิ่ง โดยเฉพาะของเสยี จากโรงงานท่มี ีโลหะหนักปะปนทําให้ดินบริเวณน้ันมีโลหะหนักสะสมอยู่มาก โลหะหนักท่ีสําคัญ ได้แก่ ตะก่ัว ปรอท และแคดเมยี ม ซึ่งจะมผี ลกระทบมากหรอื น้อยขึน้ อยูก่ บั คุณลกั ษณะของขยะ ถา้ ขยะมี

36ซากถ่านไฟฉาย ซากแบตเตอร่ี ซากหลอดฟลูออเรสเซนต์มาก ก็จะส่งผลต่อปริมาณโลหะหนักพวกปรอท แคดเมียม ตะก่ัว ในดินมาก ซึ่งจะส่งผลเสียต่อระบบนิเวศน์ในดิน และสารอินทรีย์ในขยะ เม่ือมีการย่อยสลาย จะทําให้เกิดสภาพความเป็นกรดในดิน และเม่ือฝนตกมาชะกองขยะ จะทําให้น้ําเสียจากกองขยะไหลปนเป้ือนดินบริเวณรอบ ๆ ทําให้เกิดมลพิษของดินได้การปนเป้ือนของดิน ยังเกิดจากการนําวัสดุที่ใช้แล้วไปฝังกลบ หรือการลักลอบนําไปทิ้ง ทําให้ของเสียอนั ตรายปนเป้ือนในดนิ นอกจากน้นั การเลย้ี งสตั ว์เปน็ จาํ นวนมาก ก็ส่งผลต่อสภาพของดิน เพราะสิ่งขับถ่ายของสัตว์ท่ีนํามากองทับถมไว้ ทําให้เกิดจุลินทรีย์ย่อยสลายได้ อนุมูลของไนเตรตและอนุมลู ไนไตรต์ ถ้าอนมุ ลู ดังกล่าวนี้สะสมอยู่จํานวนมากในดิน บริเวณนั้นจะเกิดเปน็ พิษได้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อมนุษย์โดยทางอ้อม โดยได้รับเข้าไปในรูปของน้ําดื่มท่ีมีสารพิษเจือปน โดยการรับประทานอาหาร พืชผักท่ีปลูกในดินท่ีมีสารพิษสะสมอยู่ และยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพดิน ภาพที่ 3.6 ปญั หามลพิษทางดิน ท่มี า : https://www.sites.google.com 2.2.2 มลพิษทางน้าํ วัสดุที่ใช้แล้วจําพวกสารอินทรีย์(คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน) เช่นส่ิงปฏิกูลจากคน เศษอาหาร นํ้ายาทําความสะอาด เป็นต้น หากถูกท้ิงลงสู่แม่นํ้าลําคลอง จะส่งผลให้แม่น้ําลําคลองเกิดการเน่าเสียซึ่งสารอินทรีย์ในน้ําเสียมีท้ังที่อยู่ในรูปสารแขวนลอยและสารละลาย สามารถถกู ยอ่ ยสลายได้ โดยจุลินทรีย์ท่ีใช้ออกซิเจน ทําให้เกิดสภาพขาดออกซิเจนส่งผลให้แม่นํ้าเกิดการเน่าเสียมีกลิ่นเหม็นเน่า เป็นแหล่งเพาะพันธ์ุของสัตว์นําโรค ต่าง ๆ เกิดการแพร่ระบาดของเช้ือโรค และทําให้เกิดการสูญเสียทัศนียภาพ เกิดภาพท่ีไม่น่าดู เช่น สภาพนํ้ามสี ดี าํ มีขยะและส่งิ ปฏกิ ูลลอยนาํ้

37 ปริมาณของสารอินทรีย์นิยมวัดด้วยค่าปริมาณออกซิเจนท่ีจุลินทรีย์ต้องการใช้ในการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุ (BOD) เม่ือ ค่าบีโอดีในน้ําสูง แสดงว่า มีสารอินทรีย์ปะปนอยู่มาก สง่ ผลใหส้ ภาพเหม็นเน่าเกิดข้ึนได้ง่าย นอกจากนี้ ในน้ําเสียยังมีจุลินทรียบ์ างชนิดอาจเปน็ เช้ือโรคทเ่ี ป็นอนั ตรายต่อมนษุ ยไ์ ด้ ภาพท่ี 3.7 ผลกระทบต่อระบบนิเวศทางนํา้ ท่มี า : http://www.suriyothai.ac.th 2.2.3 มลพษิ ทางอากาศ ถ้ามีการเผาวัสดุที่ใช้แล้วกลางแจ้งทําให้เกิดควัน มีสารพิษทําให้คณุ ภาพของอากาศเสีย สว่ นมลพิษทางอากาศจากวัสดุที่ใช้แล้วน้ัน อาจเกิดข้ึนได้ทั้งจากมลสารท่ีมีอยู่ในวัสดุและพวกแก๊สหรือไอระเหย ที่สําคัญก็คือ กลิ่นเหม็นที่เกิดจากการเน่าเปื่อย และสลายตัวของอนิ ทรีย์สารเป็นส่วนใหญ่ ปัญหาส่ิงแวดล้อมเป็นพิษ ซ่ึงเป็นปัญหาใหญ่ของคนไทยอีกปัญหาหนึ่ง ซ่ึงส่งผลมาจากฝีมือของมนุษย์ ที่เกิดจากการกําจัดวัสดุท่ีใช้แล้วไม่ถูกวิธี เช่นการฝังกลบมูลฝอยท่ีไม่ถูกวิธี ทําให้เกิดก๊าซมีเทน (CH4) การใช้สารเคมีที่ทําลายชั้นโอโซนการเผาไหมข้ ยะมูลฝอย การเผาไหม้เชือ้ เพลงิ ถ่านหนิ ก๊าซธรรมชาติ ทาํ ใหเ้ กิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซ่ึงเป็นก๊าซท่ีสะสมพลังงานความร้อนในชั้นบรรยากาศโลกไว้มากท่สี ุด และมผี ลทาํ ให้อุณหภมู ิของโลกสงู ข้นึ เร่ือย ๆ เกิดภาวะโลกรอ้ น ซึ่งปรากฏการณ์ที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น เราเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก นอกจากการเผาไหม้ท่ีไม่สมบูรณ์แล้วอีกปัจจัยหน่ึง ท่ีเป็นสาเหตุในการทําลายช้ันบรรยากาศโอโซน ท่ีทําให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้นได้แก่ กระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การทําความเย็นในตู้เย็นเคร่ืองปรับอากาศ โฟม กระป๋องสเปรย์ สารดับเพลิง สารชะล้างในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ซง่ึ สารเหล่านี้ เรยี กวา่ สารคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน (CFC) และในอนาคต ถา้ เราไมช่ ่วยกัน

38ลดการใชส้ ารทําลายช้ันโอโซนท่เี กดิ จากสาร CFC โลกของเราก็จะเจอกับปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภาพที่ 3.8 มลพิษทางอากาศ ท่ีมา : http://www.thaihealth.or.th 2.3 ผลกระทบด้านเศรษฐกจิ และสงั คม 2.3.1 เกิดความเสยี หายต่อทรัพยส์ นิ สารอันตรายบางชนิดนอกจากทําให้เกิดโรค ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลแล้ว อาจทําให้เกิดไฟไหม้ เกิดการกัดกร่อนเสียหายของวัสดุ เกิดความเสื่อมโทรมของส่ิงแวดล้อม ทําใหต้ อ้ งเสยี ค่าใชจ้ า่ ยในการบํารุงรกั ษาสภาพแวดล้อมและทรพั ย์สนิ 2.3.2 เกิดการสญู เสยี ทางเศรษฐกจิ วสั ดุทใี่ ชแ้ ล้วหากมปี ริมาณมาก ๆ ย่อมตอ้ งส้ินเปลืองงบประมาณในการจัดการเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพ นอกจากนี้ผลกระทบจากวัสดุท่ีใช้แล้วไม่ว่าจะเป็นน้ําเสียอากาศเสยี ดินปนเปื้อนสารพิษ เหล่านยี้ อ่ มส่งผลกระทบตอ่ เศรษฐกจิ ของประเทศ

39 2.3.3 ทาํ ใหข้ าดความสงา่ งาม การเก็บ ขนและกําจัดวัสดุท่ีใช้แล้วที่ดีจะช่วยให้ชุมชนเกิดความสวยงาม มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งแสดงถึงความเจริญและวัฒนธรรมของชุมชน ฉะน้ันหากกระบวนการเก็บ ขนไม่หมดและกําจัดไม่ดี ย่อมก่อให้เกิดความไม่น่าดู ขาดความสวยงามบา้ นเมอื งสกปรก และความไม่เป็นระเบยี บ สง่ ผลกระทบตอ่ อตุ สาหกรรมการท่องเทยี่ ว ภาพที่ 3.9 ผลกระทบตอ่ ระบบนเิ วศ ท่ีมา : https://www.pantip.com กล่าวโดยสรุป เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อการพัฒนาวัสดุและผลิตภัณฑ์ เพ่ืออํานวยความสะดวกสบายในการดํารงชีวิตประจําวนั ของมนุษย์ ทั้งภายในบ้านและภายนอกบ้านแต่เทคโนโลยีเหล่าน้ันก็ส่งผลกระทบต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อมในด้านต่าง ๆ หากทุกคนยังละเลยและไมค่ ํานึงถึงการใชว้ สั ดุหรอื ผลิตภณั ฑอ์ ยา่ งร้คู ุณคา่ กจิ กรรมทา้ ยหนว่ ยที่ 3  หลงั จากทีผ่ เู้ รียนศกึ ษาเอกสารชุดการเรยี นหน่วยท่ี 3 จบแลว้ ใหศ้ กึ ษาคน้ คว้าเพ่ิมเติมจากแหลง่ เรียนรตู้ ่าง ๆ แลว้ ทาํ กิจกรรมการเรียนหนว่ ยท่ี 3 ในสมุดบันทกึ กิจกรรมการเรยี นรู้ แล้วจัดส่งตามทค่ี รูผูส้ อนกําหนด

40  หน่วยท่ี 4 การจดั การและกําจัดวัสดทุ ีใ่ ช้แล้วสาระสาํ คญั การจัดการวัสดทุ ี่ใช้แล้วด้วยหลัก 3R เป็นแนวทางปฏบิ ตั ิในการลดปรมิ าณวสั ดุทใ่ี ชแ้ ล้วในครัวเรอื น โรงเรยี น และชุมชน โดยใชห้ ลกั การใช้น้อยหรอื ลดการใช้ (Reduce)การใช้ซ้าํ (Reuse) และผลิตใช้ใหม่ (Recycle) เพ่ือลดปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้วัสดุในปัจจุบันซ่ึงเป็นสาเหตุสําคัญที่ทําให้มีปริมาณวัสดุท่ีใช้แล้วเพิ่มมากข้ึน ท้ังน้ีเนื่องจากความเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ การเพ่ิมข้ึนของจํานวนประชากร ตลอดจนพฤติกรรมการอุปโภค บริโภคของคนท่ีเริ่มเปลี่ยนไป ส่งผลให้ต้องศึกษาวิธีการกําจัดวัสดุที่ใช้แล้วให้ถูกต้องตามหลักสุขาภิบาล เพื่อลดปญั หาและผลกระทบทเี่ กดิ ขึ้นต่อชมุ ชนและสังคมตัวชวี้ ัด 1. อธบิ ายความหมายและวธิ กี ารจัดการวสั ดทุ ีใ่ ช้แลว้ ดว้ ยหลกั 3R ได้ 2. อธิบายวธิ กี ารกาํ จดั และทําลายวัสดุทใ่ี ชแ้ ลว้ ได้ 3. บอกระยะเวลาการย่อยสลายของวสั ดทุ ่ใี ชแ้ ล้วได้ 4. กําจดั วสั ดทุ ี่ใช้แล้วอย่างถูกต้องตามหลักสขุ าภบิ าลได้ขอบขา่ ยเนอ้ื หา 1. การจดั การวัสดทุ ใ่ี ช้แล้วดว้ ยหลกั 3R 2. การกําจดั และทําลายเวลาท่ีใชใ้ นการศึกษา ใชเ้ วลาเรยี น โดยศกึ ษาจากเอกสารและสือ่ ต่าง ๆ ฝกึ ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม และรวมกลุม่เพ่อื แลกเปล่ียนเรยี นรู้ จาํ นวน 20 ชั่วโมงสอ่ื การเรียนรู้ 1. ชุดวชิ าวสั ดุศาสตรร์ ะดับประถมศึกษา 2. ศึกษาค้นควา้ จากอินเตอรเ์ น็ต 3. ศึกษาค้นคว้าจากหนงั สือในห้องสมุดประชาชน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook