Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore general fishery

general fishery

Published by 888panu, 2019-06-14 03:03:43

Description: general fishery

Search

Read the Text Version

แผนการจัดการเรียนรู้บรู ณาการ ฐานสมรรถนะตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง รหัสวชิ า 2501-2005 วชิ า การประมงทั่วไป หลักสตู รประกาศนียบตั รวชิ าชพี พุทธศกั ราช 2556 ประเภทวชิ าเกษตรกรรม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 จัดทาโดย นายภานุมาศ ปยิ ะภานกุ ูล วทิ ยาลยั การอาชวี ศึกษาปทมุ ธานี สานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธิการ

1 เนือ้ หาตามโครงสรา้ งหลกั สตู ร ชอื่ วิชา การประมงทว่ั ไป รหสั วิชา 2501-2005 (General Fisheries) หลกั สูตรประกาศนยี บัตรวิชาชีพ หน่วยกติ 2 (1-2-2) เวลาเรยี น 3 ช่ัวโมง/สปั ดาห์ จานวน 18 สัปดาห์/ภาคเรียน รวม 54 คาบเรยี น ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2562 ...................................................................................................................................................................... จุดประสงคร์ ายวิชา เพือ่ ให้ 1.เข้าใจหลักการเบื้องต้นในการทาการประมง การผลิตสัตว์น้าและสถานการณ์ประมงใน ประเทศ และประชาคมเศรษฐกิจอาเซยี น 2.สามารถปฏบิ ัติงานเบ้ืองตน้ เกีย่ วกบั การประมงและการผลิตสัตว์น้า โดยคานึงถึงการอนุรักษ์ ทรพั ยากรประมง 3.มีเจตคติท่ีดีต่ออาชีพการประมงและการผลิตสัตว์น้า และมีกิจนิสัยในการทางานด้วยความ รอบคอบ ปลอดภยั ขยนั อดทน และมีความรบั ผิดชอบต่อส่งิ แวดลอ้ ม สมรรถนะรายวชิ า 1.แสดงความรพู้ น้ื ฐานเก่ยี วกบั หลักการทาการประมง การผลิตสัตว์น้าและสถานการณ์ประมง ในประเทศและประชาคมเศรษฐกิจอาเซยี น 2.แสดงความรู้พื้นฐานเก่ียวกับหลักการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมทางการ ประมง แหล่งทาการประมงและสตั วน์ า้ ที่สาคัญทางเศรษฐกิจ 3.วางแผนเพาะพนั ธุ์และเลย้ี งสัตวน์ ้าแบบตา่ งๆ เบอื้ งตน้ ตามหลกั การและกระบวนการ 4.ผลิตสตั ว์นา้ เบ้ืองต้นตามหลกั การและกระบวนการ 5.ใช้ประโยชน์จากสัตว์นา้ ตามหลกั การและกระบวนการ คาอธบิ ายรายวิชา ศึกษาและปฏิบัติเก่ียวกับ ความสาคัญและหลักการทาการประมง สถานการณ์การประมงใน ประเทศและประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน แหล่งทาการประมง สัตว์น้าท่ีสาคัญทางเศรษฐกิจ วิธีการ เพาะพนั ธุแ์ ละเลี้ยงสัตว์น้าแบบตา่ งๆ การใช้ประโยชนจ์ ากสตั วน์ ้า และการอนรุ กั ษท์ รัพยากรประมง

วทิ ยาลัยการอาชีวศกึ ษาปทุมธานี 2 ปฏทิ ินการเรยี นรู้ วิชา การประมงทว่ั ไป รหสั วิชา 2501-2005 จานวน 2 หน่วยกิต จานวน 3 คาบ/สัปดาห์ ผสู้ อน นายภานุมาศ ปิยะภานุกูล ชัน้ ปวช. ปฏทิ ินการเรียนรูร้ ายวชิ า การประมงทัว่ ไป รหัสวชิ า 2501-2005 สัปดาหท์ ่ี เร่อื ง (หนว่ ยท)่ี ทฤษฎี ปฏิบตั ิ 1 ปฐมนเิ ทศก่อนเรยี น 1- 1-3 1.ความสาคญั และหลกั การทาการประมง 26 4 2.สถานการณ์การประมงในประเทศ 12 5 3.สถานการณ์การประมงในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 12 6 4.แหล่งทาการประมง 12 7-9 5.สตั วน์ า้ ทีส่ าคัญทางเศรษฐกจิ 36 10-12 6.วิธีการเพาะพนั ธแ์ุ ละเลย้ี งสตั ว์นา้ แบบตา่ งๆ 36 13-15 7.การใชป้ ระโยชน์จากสตั ว์นา้ 36 16-17 8.การอนรุ ักษ์ทรพั ยากรประมง 24 18 สอบปลายภาค 3- 20 34 รวม 54 ชว่ั โมงเรียน การวัดผลประเมินผล ใช้วิธีการประเมินผลจากสภาพจริง (Authentic Assessment) จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน แบง่ ออกไดด้ ังน้ี 1.คณุ ธรรมจรยิ ธรรม 20 คะแนน 2.ปฏบิ ัตกิ ารเล้ียงปลา 20 คะแนน 3.รายงาน 10 คะแนน 4.งานภาคสนาม 20 คะแนน 5.คะแนนวดั ผลปลายภาคเรียน 30 คะแนน รวม 100 คะแนน

3 การวิเคราะหห์ น่วยการเรยี นรตู้ ามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง มีเหตมุ ผี ล พอประมาณ มีภมู คิ ้มุ กัน -เลือกใช้เคร่อื งมืออย่างถูกต้องเหมาะสมกับงาน -ผลิตภณั ฑ์สุดท้ายท่ีมีคณุ ภาพ -ใชท้ รัพยากรอย่างคุ้มค่า -สามารถเลอื กใชเ้ ครือ่ งมือตรงตอ่ การใช้งาน -ไม่ใช้วัตถดุ บิ ทมี่ ีคุณภาพตา่ ทาใหผ้ ลติ ภณั ฑส์ ุดท้ายมีคณุ ภาพ ซ่งึ จะทาให้เกิดความเสยี หาย -การใช้วัตถดุ ิบท่ดี ี ทาให้ลดค่าใช้จ่าย -ใช้วัตถดุ ิบอยา่ งคุม้ ค่า และลดตน้ ทุนการผลิต การประมงทั่วไป เครื่องมือและอุปกรณ์ ได้แก่ บ่อเล้ียงปลา ความรู้ สวิง ลอบนอน ไซปรอด ไซหมู ตะแกรง โทง คณุ ธรรม 1.มีความรใู้ นการเลอื กใช้เครอื่ งมอื 1.มีความมานะ อดทนทจ่ี ะทางาน และอปุ กรณ์ในการประมง ให้ประสบความสาเร็จ 2.ใช้วสั ดอุ ุปกรณ์อย่างถกู ต้องตามกระบวนการ 2.ขยนั อดทน มีคณุ ธรรมตอ่ วชิ าชีพ 3.มีความเสยี สละ แบง่ ปนั ผู้อื่น ทางสายกลาง >>> พอเพยี ง สมดลุ /พรอ้ มรบั ตอ่ การเปลี่ยนแปลง/ย่ังยืน เศรษฐกิจ สังคม สิง่ แวดลอ้ ม วัฒนธรรม -ใช้ทรัพยากรอยา่ งคุ้มคา่ -ประชากรในท้องถ่นิ มี -ใช้ทรัพยากรอยา่ งคุ้มคา่ -ปลูกจิตสานกึ ในการ -ลดค่าใช้จ่าย ตน้ ทนุ รายได้ ประหยดั ทางาน การดาเนนิ ธุรกิจ -ลดปัญหาการวา่ งงาน -การเตรยี มวัตถดุ ิบ อย่างมคี ณุ ธรรม อยา่ งค้มุ คา่ -ฝึกทางานร่วมกัน

แผนการเรยี นรู้ 4 สอนครัง้ ท่ี 1 ชอ่ื วชิ า การประมงทั่วไป จานวน 1 ชว่ั โมง ชอื่ หน่วย ปฐมนเิ ทศกอ่ นเรยี น ชือ่ เร่อื งหรืองาน การเตรยี มความพรอ้ มในการเรยี น สาระสาคญั การเตรยี มความพรอ้ มให้กับผเู้ รียนโดยให้ทราบวิธีการปฏิบัติตนในการเรียน วิธีการวัดผล การ วัดความรู้ผู้เรียน กิจกรรมการเรียนการสอน จุดประสงค์การเรียนรู้ และขอบเขตการเรียนรู้ จะช่วยให้ ผู้เรยี น เกิดแรงจูงใจในการเรยี น กระตอื รอื รน้ ต้งั ใจเรยี นและมคี วามสขุ ในการเรียน จุดประสงค์ทว่ั ไป เพ่ือเสริมสร้างให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับเน้ือหาวิชา การปฏิบัติตนในการเรียน เพือ่ ให้บรรลุจุดประสงค์การเรยี น จุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม 1.ผเู้ รียนสามารถบอกวิธกี ารปฏบิ ัติตนในการเรยี นวิชาการประมงทั่วไป 2.บอกหัวขอ้ เนือ้ หาวิชาการประมงท่ัวไป 3.บอกหัวข้อในการประเมินผลการเรียนวิชาการประมงท่วั ไป 4.ปฏบิ ัติตนตามข้อตกลงในการเรยี นวิชาการประมงท่วั ไป เช่น มคี วามตรงตอ่ เวลา การแตง่ กาย ถกู ตอ้ งตามระเบียบ เข้าร่วมกจิ กรรมในภาคปฏบิ ตั ิ เนอื้ หาสาระ 1.เนื้อหาสาระสาคญั ของการเรียน 1.1ความสาคัญและหลักการทาการประมง สถานการณ์การประมงในประเทศ สถานการณ์การประมงในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน แหล่งทาการประมง สัตว์น้าที่สาคัญทาง เศรษฐกิจ วิธีการเพาะพันธุ์และเลี้ยงสัตว์น้าแบบต่างๆ การใช้ประโยชน์จากสัตว์น้า การอนุรักษ์ ทรพั ยากรประมง 2.ชแ้ี จงเกณฑแ์ ละรายละเอียดการประเมนิ ผลการเรยี น คดิ เป็น 100 คะแนน ดังนี้ -คุณธรรมจริยธรรม 20 คะแนน - ปฏบิ ตั ิการเล้ยี งปลา 20 คะแนน

5 -รายงาน 10 คะแนน - งานภาคสนาม 20 คะแนน -คะแนนวดั ผลปลายภาคเรียน 30 คะแนน รวม 100 คะแนน กจิ กรรมการเรยี นการสอน ขั้นเตรยี มความพรอ้ มกอ่ นเรียน ผู้สอนดูความเรียบร้อยของวัสดุอุปกรณ์ ส่ือต่างๆ เพื่อใช้ประกอบการสอน เช่น แอพพลิเคชั่น เนื้อหาสาระด้านการประมง การปฏบิ ัติเพาะเลยี้ งปลา ขั้นนาเข้าสบู่ ทเรียน 1.ผูส้ อนแนะนาตนเอง 2.ใช้โปรแกรมประกอบการอธบิ ายเร่อื ง คาอธิบายรายวชิ า จุดประสงค์รายวิชา การประเมินผล ซึ่งในสว่ นของการประเมินผลจะเปิดโอกาสได้แสดงความคิดเห็นในเร่ืองของสัดส่วนคะแนน การปฏิบัติ ตนในการเรยี นท้ังภาคทฤษฎีและภาคปฏบิ ตั ิ ในสว่ นของการเรยี นการสอนครจู ะกาหนดพฤติกรรมท่ีพึงประสงค์คือ การตรงต่อเวลา การแต่ง กาย นกั เรยี นจดบันทึก คาอธิบายรายวิชา จุดประสงค์รายวิชา ร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็นในการ กาหนดสัดสว่ นของคะแนนในแตล่ ะส่วน โดยแสดงเหตุผลประกอบการปรับสัดส่วนคะแนน และใช้หลัก ประชาธิปไตยในการตัดสนิ 3.ครูใช้แผ่นโปรแกรมแบบฟอร์มท่ีนักเรียนจะต้องใช้ในการเรียนภาคปฎิบัติ ได้แก่ แบบฟอร์ม การเขยี นรายงาน ลาดับขั้นการปฏบิ ัตหิ ลงั การปฏิบัติงานภาคสนาม แบบประเมินผลการทางาน พร้อม อธิบายการใช้แบบฟอร์มบันทึกการปฏิบัติงานภาคสนามจากตัวอย่างจริงหรือจากกรณีศึกษาจริง นักศกึ ษาศกึ ษารายละเอียดการใชแ้ บบฟอรม์ แตล่ ะแบบ และซกั ถามข้อสงสัยในการใชแ้ บบฟอร์ม ขน้ั ประกอบกิจกรรมการเรยี น 1.ใหน้ ักเรียนแบ่งกล่มุ เพือ่ เตรยี มความพร้อมในการเรียนภาคปฏบิ ตั ิ โดยแบ่งเป็นกลุ่มละ 3 คน ซึ่งการแบ่งกลุ่มการเรียนในภาคปฏิบัตินี้ นักเรียนจะต้องเรียนร่วมกันตลอดทั้งภาคเรียน เพราะมีงาน กลุ่มที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบ ในเร่ืองของการปฏิบัติการประมงทั่วไปตลอดภาคเรียน การศึกษาดูงาน ภาคสนาม ในการแบ่งกลุ่มให้นักเรียนแบ่งกลุ่มโดยจับฉลาก นักเรียนร่วมกันจับฉลาก ใช้กระบวนการ ประชาธิปไตย และสรุปเป็นโครงการในปลายภาคเรียน

6 ข้ันสรปุ 1.ครูและนกั เรยี นช่วยกันสรุปในส่วนของสัดสว่ นของคะแนนและภาระงานต่าง ๆ ในการประเมิน ทีน่ กั เรยี นรว่ มแสดงความคิดเห็น 2.นักเรยี นจดบนั ทึกสรปุ การแบ่งสดั ส่วนการประเมินผล การจัดส่วนแบ่งคะแนน นกั เรียนบันทกึ รายชอื่ สมาชิกกลุม่ ในการเรยี นภาคปฏบิ ัติ สื่อการเรียนการสอน 1.โปรแกรมไมโครซอฟเวริ ์ด แสดงการแบ่งสัดส่วนคะแนน ในการประเมนิ ผล 2.โปรแกรมไมโครซอฟเวิร์ด แสดงการเรยี นภาคปฏิบตั ิ 3.แอพพลิเคชัน่ youtube แสดงการผสมเทยี มปลา การเพาะพนั ธุ์ปลา เปน็ ตน้ 4.สรปุ การประเมนิ ผลการเรยี น คุณธรรมจรยิ ธรรม 1.กลา้ แสดงออก สามารถแสดงความคดิ เหน็ อย่างมเี หตุผล 2.มมี นุษยส์ ัมพันธ์ โดยการทางานรว่ มกัน เปน็ ผู้นาและผตู้ ามที่ดี 3.ยอมรบั ความคิดเห็นของผู้อน่ื การวดั ผลประเมนิ ผล 1.แบบวัดพืน้ ฐานความรู้ของผเู้ รยี น 2.สังเกตการให้ความร่วมมอื ในการทางานเป็นกลมุ่ การแบ่งกลมุ่ การแบ่งหน้าทใ่ี นกลุ่ม 3.การจดสรปุ ผลขอ้ ตกลงตา่ ง ๆ ในชั้นเรยี น 4.แบบประเมินพฤติกรรม บันทึกหลงั การเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………..… …………………………………………………………………………………………………………..… …………………………………………………………………………………………………………..… …………………………………………………………………………………………………………..… …………………………………………………………………………………………………………..… ลงชือ่ …………………………………..อาจารยป์ ระจาวชิ า

7 แผนการเรียนรู้ หน่วยที่ 1 ชอื่ วชิ า การประมงท่ัวไป สอนคร้ังท่ี 1-3 ชอ่ื หนว่ ย ความสาคัญและหลกั การทาการประมง ช่อื เร่ืองหรอื งาน ความสาคญั และหลกั การทาการประมง จานวน 8 ชว่ั โมง สาระสาคญั ความสาคญั ของการทาการประมง 1.เป็นแหล่งเงินตราต่างประเทศ 2.เป็นแหล่งสร้างรายได้ 3. กอ่ ใหเ้ กิดอุตสาหกรรมต่อเนื่อง 4.เป็นแหล่งอาหาร 5.เป็นแหล่งจ้างงาน หลักการทาการประมง 1.การ จับสตั วน์ า้ ด้วยเคร่อื งมือ 2.การจดั การของมนุษย์ด้านการจับปลา 3.การเลี้ยงสัตว์น้าเพื่อเป็นอาหาร 4. การปลูกสาหรา่ ยและพืชนา้ รายการสอน 1.ศึกษาความสาคัญของการทาการประมง 2.ศึกษาหลกั การทาการประมง จุดประสงคท์ ัว่ ไป เพื่อเสริมสร้างให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความสาคัญของการทาการประมง และ หลักการทาการประมง จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 1.ผู้เรียนเข้าใจและอธิบายถงึ ความสาคญั ของการทาการประมง 2.ผู้เรียนเขา้ ใจและอธิบายถึงหลกั การทาการประมง สาระการเรียนรู้ ศึกษาถึงความสาคัญของการทาการประมง เพ่ือช่วยให้ผูเ้ รยี นได้รู้ถึงความสาคัญ และหลักการ ทาการประมง ความสาคัญของการทาการประมง 1.เป็นแหล่งเงนิ ตราตา่ งประเทศ สินคา้ ประมงทีส่ ่งออก ไดแ้ ก่ กุง้ สดแช่แข็ง ปลาหมึกสดแช่แข็ง เน้ือปลาแช่แข็ง กุ้งต้มสุกแช่แข็ง ปลาหมึกแห้ง ปลาแห้งใสเ่ กลือรมควัน ปลามีชีวิต พันธ์ุปลา ปูแช่เย็น ปูนึ่ง ปูต้ม หอยลาย แมงกะพรุน แหง้ ตะพาบนา้ กบ อาหารทะเลกระปอ๋ งและแปรรปู ทนู า่ กระป๋อง ซาร์ดนี กระป๋อง กุ้งกระป๋อง หอยลาย กระปอ๋ ง ปลาหมึกกระปอ๋ ง ก้งุ แปรรูป

8 2.เปน็ แหล่งสรา้ งรายได้ การเล้ียงปลาดุกลกู ผสมบ๊ิกอยุ ในเขตชุมชนทะเลน้อยในพ้ืนที่ลุ่มน้าทะเลสาบสงขลา สามารถ ทากาไรใหช้ าวได้ 22,116 บาท/บ่อ/ปี โดยมเี น้อื ทีเ่ ลยี้ งเฉล่ยี ครึ่งไร่ ในขณะท่ีใช้ทด่ี ินทานาใหผ้ ลกาไรปีละ 6,000-7,000 บาท/ไร่/ปี 3.กอ่ ใหเ้ กดิ อุตสาหกรรมตอ่ เนื่อง ได้แก่ อุตสาหกรรมต่อเรือ ผู้นาเข้าเครื่องจักรและเคร่ืองยนต์ การผลิตแหอวน โรงงานน้าแข็ง อุตสาหกรรมปลากระปอ๋ ง อุตสาหกรรมห้องเย็น โรงงานแปรรปู โรงงานปลาป่น โรงงานอาหารสัตว์ โรง ผลติ น้าปลา กจิ การแพปลา การขนสง่ ภัตตาคาร ธนาคาร 4.เป็นแหลง่ อาหาร สัตว์น้าเป็นอาหารโปรตีน กรดไขมันไม่อ่ิมตัว วิตามิน และแร่ธาตุ ท่ีจาเป็นต่อการดารง ชวี ติ ประจาวนั 5.เป็นแหลง่ จา้ งงาน ต้งั แตจ่ า้ งงานประมงเพ่อื จบั สตั วน์ ้า เพาะเล้ียงเพาะพันธปุ์ ลา กุง้ ชว่ ยใหเ้ กษตรกรมงี านทาเสริม ตลอดท้งั ปี หลักการทาการประมง ในหลักการทาการประมง ประกอบด้วย 1.การจบั สัตว์น้าด้วยเคร่ืองมือ ได้แก่ แห อวนลาก อวนล้อม เบ็ดตกปลา สวิง หรือวิธีอย่างใด อย่างหน่งึ ในเขตประมงไทย รวมทงั้ การใชเ้ รือทาการจับสตั ว์นา้ หรอื เปน็ พาหนะไปทาการจบั สตั ว์นา้ 2.การจัดการของมนษุ ยด์ ้านการจบั ปลา หรอื สัตว์น้าอื่นๆ การดูแลรักษาปลาสวยงาม การแปร รูปเป็นผลิตภณั ฑป์ ระมง เชน่ นา้ มนั ปลา กิจกรรมการทาประมง ซึง่ จัดแบง่ ตามชนิดสัตว์น้าและตามเขต เศรษฐกิจ เชน่ การทาประมงปลาแซลมอนในชิลี แคนนาดา ออสเตรเลยี นิวซแี ลนด์ นอรเ์ วย์ เป็นตน้ 3.การเลี้ยงสัตว์น้าเพ่ือเป็นอาหาร เช่น การทาฟาร์มปลา ฟาร์มกุ้ง ฟาร์มหอยมุก หอยนางรม หอยแครง หอยแมลงภู่ ฟาร์มปเู นื้อ ปูไข่ 4.การปลกู สาหร่ายและพืชนา้ ต่อมาได้มีการพัฒนาองค์ความรู้ด้านการประมงเป็นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรียกว่า วิทยาศาสตร์การประมง ท่ีมีพื้นฐานมาจากวิชาชีววิทยา นิเวศวิทยา สมุทรศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การ จัดการ มีการจัดการศึกษาด้านการประมงในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ อนุปริญญา ไปจนถึง ปริญญาเอก

9 เอกสารอ้างอิง 1.การประมงทว่ั ไป 554257.blogspot.com/ 2.ภานุมาศ ปิยะภานุกูล. 2556. แผนการจัดการเรียนรู้บรูณาการฐานสมรรถนะตามหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง วชิ าการประมงทั่วไป. วิทยาลยั การอาชีวศกึ ษาปทุมธานี, จังหวัดปทุมธานี. 53 น. 3.วกิ พิ ีเดีย สารานุกรมเสรี. 2556. การประมง แบบฝกึ หัดใบความรู้ท่ี 1 ความสาคัญและหลกั การทาการประมง แบบฝึกหัดเป็นแบบเลือกตอบ โดยกากบาท ทับตัวเลือกที่ถูกท่ีสุดเพียงตัวเลือกเดียวจาก ตวั เลอื ก ก. ข. ค. และ ง . (คะแนนเตม็ 10 คะแนน) 1.ความสาคญั ของการทาการประมง ก.เปน็ แหล่งเงินตราตา่ งประเทศ ข.ทาใหท้ รพั ยากรธรรมชาติเสอื่ มโทรม ค.ทาให้ทรพั ยากรธรรมชาตหิ มดไป ง.สูญเสยี สมดุลของระบบนเิ วศ 2.ข้อใดเป็นสนิ คา้ ประมงท่สี ง่ ออกของไทย ก.หอยปีกนก ข.โพนยางคา ค.กงุ้ แชแ่ ข็ง เนอื้ ปูต้ม ปลากระป๋อง ง.คูโรบตู ะ 3.ข้อใด ไมใ่ ช่สนิ คา้ ประมงทีส่ ง่ ออกของไทย ก.หอยเป๋าฮอ้ื ข.ไขป่ ลาแซลมอน ค.กุง้ ขาวแวนนาไมด์ ง.เนอื้ ปลาแช่แขง็ 4.การประมงกอ่ ให้เกิดอตุ สาหกรรมต่อเนอ่ื งใด ก.อตุ สาหกรรมหอ้ งเย็น โรงงานแปรรูป ข.โรงงานปลาป่น โรงงานอาหารสัตว์ ค.โรงผลิตน้าปลา กิจการแพปลา ภตั ตาคาร ง.ถูกทุกขอ้ 5.จุดเดน่ ของปลาทะเลและปลาน้าจืด มสี ารอาหารใดเปน็ สาคัญ ก.คาร์โบไฮเดรต

10 ข.วติ ามิน และแร่ธาตุ ค.กรดไขมันไม่อิม่ ตวั ง.กรดไขมันอ่มิ ตวั 6.ขอ้ ใด เป็นหลักการทาการประมง ก.การจดั การของมนษุ ยด์ ้านการจับปลาหรอื สัตวน์ ้า ข.การเล้ยี งสตั ว์น้าเพอ่ื เปน็ อาหาร ค.การปลูกสาหร่ายและพชื น้า ง.ถกู ทกุ ขอ้ 7.ปลาแซลมอน มกี รดไขมันไมอ่ ่ิมตัวสงู การทาประมงแซลมอนเกดิ ขึน้ ในประเทศใด ก.จีน ไทย อนิ เดยี ข.นอรเ์ วย์ ชลิ ี แคนนาดา ค.เวียดนาม กมั พชู า พมา่ ง.มาเลเซยี ฟิลปิ ปนิ ส์ อนิ โดนเิ ซยี 8.ข้อใด เป็นสถานศกึ ษาดา้ นการประมงทีส่ ังกดั สานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ก.วิทยาลยั ประมงตณิ สลู านนท์ ข.คณะประมง มหาวิทยาลยั ราชมงคล ค.ภาควิชาประมง มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ ง.ภาควชิ าวทิ ยาศาสตรท์ างทะเล มหาวิทยาลัยบรู พา 9.วทิ ยาศาสตรก์ ารประมง มีพน้ื ฐานมาจากวิชาใด ก.ชีววิทยา ข.นิเวศวิทยา ค.สมทุ รศาสตร์ ง.ถูกทกุ ขอ้ 10.ความรูด้ า้ นการประมงในปจั จบุ นั จัดการศึกษาสูงสุดถงึ ระดบั ชั้นใด ก.ปรญิ ญาตรี ข.ปรญิ ญาโท ค.ปริญญาเอก ง.การศกึ ษาค้นคว้าวจิ ยั หลังปรญิ ญาเอก

11 เฉลยแบบฝกึ หัดใบความรทู้ ี่ 1 ขอ้ ที่ คาตอบ ข้อที่ คาตอบ 6ง 1ก 7ข 2ค 8ก 3ข 9ง 4ง 10 ง 5ค เอกสารอา้ งองิ 1.การประมงท่ัวไป 554257.blogspot.com/ 2.ภานุมาศ ปิยะภานุกูล. 2556. แผนการจัดการเรียนรู้บรูณาการฐานสมรรถนะตามหลักปรัชญา เศรษฐกจิ พอเพียง วชิ าการประมงทัว่ ไป. วทิ ยาลัยการอาชวี ศึกษาปทุมธานี, จังหวัดปทุมธานี. 53 น. 3.วกิ ิพีเดีย สารานกุ รมเสร.ี 2556. การประมง กิจกรรมการเรยี นรู้ 1.นกั ศึกษาจดั ทาโครงการเปน็ รายงาน โดยจัดแบ่งกลุ่มๆ ละ 3 คน 2.ทาความสะอาดบ่อปลา ขนาดเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 80 เซนตเิ มตร 3.ตากบอ่ ปลาให้แหง้ แลว้ เติมนา้ ใหส้ งู ประมาณ 50 เซนติเมตร 4.นาปลากลุ่มที่กินลูกน้ามาปล่อย กลุ่มละ 5 คู่ แยกตัวผู้ตัวเมียให้มาจากคนละแหล่ง หรือนามา แลกเปล่ียนตัวผตู้ วั เมียกนั ปอ้ งกันการผสมเลอื ดชดิ 5.เลี้ยงปลาจนออกลูกแลว้ นาไปจาหนา่ ย 6.จดั พมิ พ์รูปเล่มเป็นโครงการมาส่งครใู นปลายภาคเรยี น 7.ให้เล้ียงเฉพาะปลากลุ่มท่ีกินลูกน้าเท่านั้น เน่ืองจากปลาอื่นรอบการเลี้ยงยาวนานไม่ทันจาหน่ายใน ภาคเรยี น และมีปญั หาปลาสญู หายในภาคเรยี นท่ผี ่านมา เช่น ปลาดุก เป็นต้น บนั ทกึ หลงั การเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ…………………………………..อาจารยป์ ระจาวชิ า

12 แผนการเรียนรู้ หนว่ ยท่ี 2 ช่อื วชิ า การประมงท่ัวไป สอนครงั้ ท่ี 1 ชือ่ หนว่ ย สถานการณป์ ระมงในประเทศ ช่อื เรอื่ งหรอื งาน สถานการณ์ประมงในประเทศ จานวน 3 ชว่ั โมง สาระสาคัญ สถานการณป์ ระมงในประเทศ1.ทรพั ยากรสัตว์น้าทะเลเสื่อมโทรม 2.แหล่งการทาประมงลดลง 3.ปัจจัยการผลิตมีราคาสูง 4.ราคาสัตว์น้าตกต่า 5.การประมงพ้ืนบ้านและการประมงชายฝ่ัง 6.การ ประมงพาณิชย์ 7.การเพาะเล้ยี งสัตวน์ า้ ชายฝั่ง 8.มาตรการอนรุ กั ษ์ทรพั ยากรประมงเป็นตวั ป้องกันไม่ให้ ทรัพยากรถูกทาลาย 9.องค์การสะพานปลา รายการสอน 1.ศกึ ษาสถานการณ์ประมงในประเทศ จดุ ประสงคท์ ั่วไป เพื่อเสริมสร้างให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเน้ือหาวิชา ศึกษาสถานการณ์ประมงใน ประเทศ จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม 1.ผเู้ รียนอธบิ ายถึงสถานการณ์ประมงในประเทศ เนอื้ หาสาระ สถานการณป์ ระมงในประเทศ สถานการณป์ ระมงในเขตเศรษฐกจิ จาเพาะของไทย พบกับ 1.ทรพั ยากรสตั วน์ า้ ทะเลเส่ือมโทรม ทเี่ กิดได้จาก 1.1การเสื่อมโทรมตามธรรมชาติ เช่น การเปลี่ยนแปลงกระแสน้า การพังทลายของดินตาม ชายฝัง่ ทะเล การเปลี่ยนแปลงอณุ หภมู ขิ องนา้ ในทะเล การเกดิ คลน่ื ลมอย่างรุนแรง 1.2การใช้ประโยชน์ของมนุษย์ ได้แก่ การทาประมงมากเกินไป จากการเพิ่มขึ้นของจานวน เรอื ประมง ประสิทธิภาพของเรอื ประมง และเครอ่ื งมอื ประมงทที่ ันสมัย 2.แหลง่ การทาประมงลดลง เรือประมงบางส่วนลักลอบจับสัตว์น้าในเขตน่านน้าประเทศเพื่อนบ้าน เสี่ยงต่อการถูกจับกุม เสยี ชีวติ และทรัพย์สิน ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เน่ืองจากกฎหมายทะเลระหว่าง

13 ประเทศได้ประกาศเขตเศรษฐกจิ จาเพาะ 200 ไมล์ทะเล ทาให้ไทยสูญเสียพ้ืนท่ีทาการประมงประมาณ 300,000 ตารางไมล์ ผลผลติ สว่ นน้ลี ดลงประมาณ 10 เปอร์เซน็ ต์ 3.ปจั จัยการผลติ มีราคาสงู ราคาน้ามนั เปน็ ตน้ ทุนร้อยละ 40-60 ของเรืออวนลาก ทาให้เรือประมงจานวนมากต้องหยุดทา การประมง เกิดปัญหาการวา่ งงาน ขาดรายได้ สง่ ผลต่ออตุ สาหกรรมต่อเนอื่ ง เชน่ โรงงานแปรรูปสัตว์น้า โรงนา้ แขง็ โรงงานหอ้ งเยน็ โรงงานปลาป่น 4.ราคาสัตวน์ ้าตกต่า การนาเข้าสัตว์น้าจากเวียดนาม และจีน จะมีราคาต่ากว่าของไทย ทาให้ราคาสัตว์น้าใน ประเทศไมส่ ามารถแข่งขนั ได้ 5.การประมงพื้นบ้านและการประมงชายฝ่งั เป็นการประมงเพ่ือยังชีพ หาอาหาร และรายได้ ใช้เรือขนาดเล็กติดเครื่องยนต์ ใช้แหและเบ็ด แบบงา่ ย ปรมิ าณการจบั สตั วน์ า้ จากการประมงพน้ื บ้าน คดิ เป็นรอ้ ยละ 10 จากปริมาณผลผลติ ประมง การเพาะเล้ียงสัตว์น้าจืดมีมากข้ึนกว่าการจับสัตว์น้าจากแหล่งน้าธรรมชาติประมาณสองเท่า การจบั สตั ว์น้าจืดกระจายอยตู่ ามแมน่ า้ ลาคลอง หนองบึง และอ่างเก็บน้า ผลผลิตท่ีได้มีแนวโน้มลดลง เนอ่ื งจากการจบั สัตว์น้าที่มากเกนิ ไป 6.การประมงพาณิชย์ เปน็ การทาประมงแบบธรุ กจิ ผกู พนั กับกองเรอื ท่ีจบั ปลาโดยอวนลาก อวนลอย เบ็ดราวทะเลลึก ท่ัวไปเจ้าของจะดาเนนิ การเอง สตั วน์ ้าท่ีไดจ้ ะขายทั้งในท้องถ่ินและตลาดคา้ สตั ว์นา้ 7.การเพาะเล้ยี งสัตว์น้าชายฝั่ง ได้แก่ การเพาะเล้ียงปลาในกระชัง ปลากะรัง ปลากะพงขาว กุ้งมังกร หอยนางรม หอยแครง หอยแมลงภู่ แนวโน้มผลผลิตและปริมาณการเล้ียงลดลงเน่ืองจากน้าเสีย มลพิษทางน้า การขยายตัว ของเมอื งและชมุ ชน 8.มาตรการอนุรักษ์ทรัพยากรประมงเปน็ ตัวป้องกนั ไมใ่ ห้ทรพั ยากรถกู ทาลาย 9.องค์การสะพานปลา เป็นรัฐวสิ าหกิจท่ีดาเนินงานสนับสนุนกิจการประมง ในอดีตเป็นท่ีขนถ่ายสินค้า ประมง ปจั จุบันสถานท่ดี าเนินธุรกจิ คับแคบ กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1.นกั ศกึ ษาจดั เขยี นใบงาน โดยแบ่งกล่มุ ๆ ละ 3 คน 2.เรอื่ ง ประเมนิ สถานการณ์ประมงในประเทศ กลุ่ม 10 นาที 3.ครูสรปุ 4.นักศึกษาสอบถานขอ้ สงสัยรว่ มกัน

14 แบบฝกึ หดั ใบความรทู้ ่ี 2 เรอ่ื ง สถานการณป์ ระมงในประเทศ แบบฝกึ หดั เป็นแบบเลอื กตอบ โดยกากบาท ทับตัวเลอื กท่ีถูกทส่ี ุดเพียงตวั เลือกเดยี วจาก ตัวเลอื ก ก. ข. ค. และ ง . (คะแนนเตม็ 10 คะแนน) 1.ขอ้ ใดเปน็ เคร่อื งมอื ประมงประจาที่ ก.โป๊ะ โพงพาง ข.ลอบ ไซ ค.เบ็ด ตาขา่ ย ง.อีจู้ ลัน ฉมวก สมุ่ 2.ข้อใดไมใ่ ชเ่ ครื่องมอื ประมงนา้ จืด ก.ลอบยืน อีจู้ ข.ฉมวก ลัน ค.โปะ๊ โพงพาง ง.ไช สุ่ม สวิง เบ็ด 3.over fishing หมายถงึ ก.การจับปลาขนาดใหญ่ ข.การจบั ปลาเกินกาลังผลติ ของธรรมชาติ ค.การจับปลาโดยวธิ ีผิดกฎหมาย ง.การจบั ปลาท่ีใกล้สญู พันธุ์ 4.เขตเศรษฐกิจจาเพาะมคี วามยาวเท่าใด ก.100 ไมลท์ ะเล ข.200 ไมล์ทะเล ค.300 ไมล์ทะเล ง.400 ไมลท์ ะเล 5.หน่วยงานที่ดูแลแนะนา ขยายการจับสัตว์น้าเพ่ือเป็นอาหาร กาหนดเขตและฤดูที่อนุญาตให้จับสัตว์ นา้ ตามพระราชบญั ญตั ิอากรค่านา้ คือหน่วยงานใด ก.กรมประมง ข.กรมการประมง ค.กรมเจา้ ท่า ง.กรมรักษาสัตว์น้า 6.สถานปี ระมงแหง่ แรกของประเทศไทยคือ ก.สถานีประมงกวา๊ นพะเยา จังหวดั พะเยา

15 ข.สถานปี ระมงหนองหาร จงั หวดั สกลนคร ค.สถานีประมงปทมุ ธานี จังหวดั ปทมุ ธานี ง.สถานีประมงบงึ บอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ 7.การประกาศเขตเศรษฐกิจจาเพาะของประเทศเพ่ือนบ้าน มผี ลกระทบตอ่ การประมงของไทยคือ ก.ทรพั ยากรลดน้อยลง ข.สัตวน์ า้ ถูกจบั มากขึ้น ค.ชาวประมงสญู เสยี พืน้ ที่ทาการประมงในทะเลลดลง ง.เกิดกรณพี น้ื ท่ีทับซ้อน 8.ผลทางบวกตอ่ การประมงจากปรากฎการณเ์ อลนโี นคอื ก.กระแสนา้ ในมหาสมุทรแปซิฟกิ ทาใหซ้ ูโอแพลงค์ตอนอาหารของแซลมอนเพม่ิ ข้ึนรวดเรว็ ข.ชาวประมงตอ้ งออกไปจบั ปลาไกลจากชายฝง่ั มากขึน้ ค.ปรมิ าณปลาลดลง ง.ปลามีความสมบรูณ์เพศมากขนึ้ 9.ขอ้ ใดเปน็ การเสื่อมโทรมตามธรรมชาติ ก.การเปล่ยี นแปลงกระแสนา้ ข.การพงั ทลายของดินตามชายฝัง่ ทะเล ค.การเปล่ยี นแปลงอุณหภมู ิของนา้ ในทะเล และการเกิดคล่นื ลมอย่างรุนแรง ง.ถูกทุกขอ้ 10.การเพาะเล้ยี งสัตว์นา้ ชายฝงั่ แนวโนม้ ผลผลติ และปริมาณการเล้ียงลดลงเนอื่ งจาก ก.นา้ เสีย ข.มลพษิ ทางน้า ค.การขยายตัวของเมืองและชมุ ชน ง.ถกู ทุกข้อ เฉลยแบบฝึกหดั ใบความรู้ที่ 2 ข้อที่ คาตอบ ขอ้ ท่ี คาตอบ 6ง 1ก 7ค 2ค 8ก 3ข 9ง 4ข 10 ง 5ก

16 เอกสารอา้ งองิ 1.กรมประมง. 2550. ขอ้ มลู จากกลุม่ วิเคราะห์การคา้ สินคา้ ประมงระหว่างประเทศ วิเคราะห์จากข้อมูล สถิติกรมศุลกากร. ในเอกสารประกอบการสัมมนาคณะอนกุ รรมการขอ้ มูลเพอื่ การจดั ทาแผนแม่บทการ จัดการประมงทะเล วันที่ 21-23 กุมภาพันธ์ 2550 ณ โรงแรมชลพฤกษ์รีสอร์ท จังหวัดนครนายก, กรุงเทพฯ. 2.ภานุมาศ ปิยะภานุกูล. 2556. แผนการจัดการเรียนรู้บรูณาการฐานสมรรถนะตามหลักปรัชญา เศรษฐกจิ พอเพียง วิชาการประมงทว่ั ไป. วทิ ยาลยั การอาชวี ศึกษาปทมุ ธานี, จงั หวดั ปทมุ ธานี. 53 น. บันทกึ หลงั การเรยี นรู้ …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ…………………………………..อาจารยป์ ระจาวชิ า

แผนการเรียนรู้ 17 หน่วยที่ 3 ชือ่ วชิ า การประมงทว่ั ไป ชือ่ หน่วย สถานการณป์ ระมงในประชาคมเศรษฐกจิ อาเซยี น จานวน 3 ชว่ั โมง ช่อื เร่อื งหรืองาน สถานการณป์ ระมงในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน สาระสาคญั ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ประกอบด้วยสมาชิกจานวน 10 ประเทศ ได้แก่ ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย สงิ คโปร์ บรูไน ฟิลิปปินส์ และอินโดนิเซีย มีพ้ืนที่ประมาณ 4.4 ล้านตาราง กิโลเมตร มีประชากรประมาณ 590 ล้านคน ในปีพ.ศ.2553 มีผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติรวมกัน ประมาณ 1.8 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา อยู่ในลาดับที่ 9 ของโลก โดยจะรวมกันไปสู่ประชาคม เศรษฐกจิ อาเซียนภายในปพี .ศ.2558 เพื่อสร้างตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน มีการเคลื่อนย้ายสินค้า บรกิ าร การลงทุน แรงงานฝีมือ และเงินทุนเสรีมากข้นึ รายการสอน สถานการณป์ ระมงในประชาคมเศรษฐกจิ อาเซียน จดุ ประสงคท์ ั่วไป เพื่อเสริมสรา้ งใหผ้ ้เู รยี นมคี วามรูค้ วามเข้าใจเก่ยี วกบั สถานการณ์ประมงในประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียน จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม 1.ผ้เู รียนอธิบายถึงสถานการณป์ ระมงในประชาคมเศรษฐกิจอาเซยี น เน้อื หาการเรยี นรู้ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ประกอบด้วยสมาชิกจานวน 10 ประเทศ ได้แก่ ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวยี ดนาม มาเลเซีย สงิ คโปร์ บรูไน ฟิลิปปินส์ และอินโดนิเซีย มีพ้ืนท่ีประมาณ 4.4 ล้านตาราง กิโลเมตร มีประชากรประมาณ 590 ล้านคน ในปีพ.ศ.2553 มีผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติรวมกัน ประมาณ 1.8 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา อยู่ในลาดับที่ 9 ของโลก โดยจะรวมกันไปสู่ประชาคม เศรษฐกิจอาเซยี นภายในปีพ.ศ.2558 เพอ่ื สรา้ งตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน มีการเคลื่อนย้ายสินค้า บรกิ าร การลงทุน แรงงานฝีมือ และเงินทนุ เสรีมากขนึ้

18 การเพาะเลีย้ งสตั ว์นา้ ของประเทศไทย ไดไ้ ปผูกพันไว้กบั ประเทศสมาชิกอาเซียนว่าจะต้องมีการ เปดิ เสรี จากเดมิ ที่กาหนดให้นักลงทุนต่างชาติท่ีประสงค์มาประกอบธุรกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าต้องถือ หุน้ ไม่เกินร้อยละ 49 สามารถถือห้นุ ได้สูงสุดรอ้ ยละ 51 สาหรับ 2 สาขาคือการเลี้ยงทูน่าในกระชังและ การเล้ียงกงุ้ มงั กรชนิดพนั ธ์ุท้องถ่ินไทยท่ีได้จากการเพาะพันธ์เุ ทา่ น้นั ภาคเอกชนสาขาประมง สามารถหาแหล่งวัตถุดิบในประเทศสมาชิกอาเซียนท่ีจะนาเข้ามาใน ประเทศไทยซ่งึ มอี ตั ราภาษเี ป็นศนู ย์ ผู้ประกอบการจะไดว้ ัตถดุ ิบนาเขา้ ในราคาถูกลง โดยผู้ประกอบการ สามารถสอบถามข้อมลู ไดจ้ ากสานักงานคณะกรรมการสง่ เสรมิ การลงทุนหรือบีโอไอ และติดตามข้อมูล ได้จากกรมประมง ขณะที่ทางกรมประมงได้กาหนดกรอบงบประมาณระหว่างปี 2556-2558 จานวน 3,000 ล้าน บาท โดยมีโครงการ ดังนี้ 1.สินค้าประมงหลักท้ัง 4 ชนิด คือ กุ้งทะเล กุ้งก้ามกราม ปลานิล และทูน่า กระป๋อง ใหส้ ามารถขยายตัวเพม่ิ ข้ึนในตลาดอาเซียนปีละ 5 % 2.พัฒนาขบวนการผลิตสินค้าประมงที่ เป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อม 3.พัฒนาเทคโนโลยีการเพาะเล้ียงสัตว์น้าและการประมงเพื่อลดต้นทุน เพิ่ม ผลผลิต และลดการใช้แรงงาน 4.จัดตั้งศูนย์สาธิตการเล้ียงปลาน้าจืดเชิงพาณิชย์ จานวน 4 แห่ง 5. จัดตัง้ และบริหาร shrimp cluster 6.พฒั นาสายพันธุ์สัตว์น้าเศรษฐกิจโดยเฉพาะกุ้งทะเล กุ้งก้ามกราม ปลาสวาย และปลานลิ 7.อนุรักษ์และฟน้ื ฟูทรพั ยากรประมงแบบมีส่วนร่วม 8.พัฒนาระบบการรับรอง มาตรฐานฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้า 9.เพ่ิมประสิทธิภาพการตรวจสอบการนาเข้าสินค้าสัตว์น้า 10.เพิ่ม ประสิทธิภาพห้องปฏิบัติการตรวจสอบสัตว์น้าและผลิตภัณฑ์ประมง 11.จัดสัมมนาวิชาการและงาน แสดงสินค้า จะเริ่มต้นปี 2558 12.เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียน 13.จัดต้ังศูนย์ข้อมูล ข่าวสารการประมงกบั ประชาคมอาเซียน กจิ กรรมการเรียนรู้ 1.นกั ศกึ ษาจดั ทาใบงาน โดยแบ่งกลมุ่ ๆ ละ 3 คน 2.เร่ือง ประเมนิ สถานการณ์ประมงในประชาคมเศรษฐกิจอาเซยี น กลมุ่ 10 นาที 3.ครูสรปุ 4.นกั ศกึ ษาสอบถานขอ้ สงสัยรว่ มกนั แบบฝึกหัดใบความรทู้ ี่ 3 เรื่อง สถานการณป์ ระมงในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน แบบฝึกหัดเปน็ แบบเลอื กตอบ โดยกากบาท ทบั ตัวเลอื กที่ถูกท่ีสุดเพียงตัวเลือกเดยี วจาก ตัวเลือก ก. ข. ค. และ ง . (คะแนนเตม็ 10 คะแนน) 1.ประชาคมเศรษฐกจิ อาเซยี น ประกอบดว้ ยสมาชกิ จานวนกีป่ ระเทศ ก.5 ประเทศ ข.10 ประเทศ

19 ค.15 ประเทศ ง.20 ประเทศ 2.ประเทศใด ไม่อยูใ่ นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ก.จีน ญ่ีปุ่น เกาหลี ข.ไทย พม่า ลาว ค.กมั พชู า เวียดนาม มาเลเซีย ง.สงิ คโปร์ บรไู น ฟลิ ปิ ปินส์ 3.ประชาคมเศรษฐกจิ อาเซยี น มีพืน้ ท่ีประมาณเท่าไร ก.1.4 ลา้ นตารางกิโลเมตร ข.2.4 ล้านตารางกโิ ลเมตร ค.3.4 ลา้ นตารางกิโลเมตร ง.4.4 ลา้ นตารางกิโลเมตร 4.การรวมกันของสมาชกิ ทัง้ 10 ประเทศ นาไปสปู่ ระชาคมเศรษฐกจิ อาเซยี น ภายในปพี .ศ.ใด ก.2556 ข.2557 ค.2558 ง.2559 5.การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เพอ่ื วตั ถปุ ระสงคใ์ ด ก.สรา้ งตลาดและฐานการผลติ เดียวกนั ข.มกี ารเคลือ่ นย้ายสนิ คา้ บรกิ าร การลงทนุ ค.มกี ารเคลื่อนย้ายแรงงานฝมี ือ และเงินทนุ เสรีมากข้นึ ง.ถกู ทุกข้อ 6.การเพาะเลี้ยงสัตว์น้าของประเทศไทย จากเดิมท่ีกาหนดให้นักลงทุนต่างชาติในประเทศสมาชิก อาเซียน ที่ประสงคม์ าประกอบธุรกจิ การเพาะเลย้ี งสัตว์นา้ ต้องถอื ห้นุ ไมเ่ กนิ รอ้ ยละเท่าไร ก.49 ข.50 ค.51 ง.52 7.จากคาถามข้อท่ี 6 ปรบั มาเปน็ ให้ถอื หนุ้ ได้สงู สดุ ร้อยละเท่าไร ก.49 ข.50

20 ค.51 ง.52 8.สาขาใดท่ถี ือหนุ้ ได้สูงสุด ก.การเลี้ยงทูน่าในกระชัง ข.การเล้ยี งก้งุ มังกรชนดิ พนั ธทุ์ ้องถิน่ ไทย ค.เป็นพันธก์ุ ุง้ ทไ่ี ด้จากการเพาะพนั ธเุ์ ทา่ นนั้ ง.ถูกทกุ ขอ้ 9.สนิ ค้าประมงหลักทั้ง 4 ชนิด ได้แกส่ นิ คา้ ใด ก.แซลมอน ก้ังกระดาน หอยลาย และหอยแครง ข.ก้งุ ทะเล กงุ้ ก้ามกราม ปลานิล และทูนา่ กระปอ๋ ง ค.ปลาสวาย ปลาตะเพยี น ปลายส่ี ก และปลาบึก ง.หอยแมลงภู่ หอยนางรม หอยแครง และหอยลาย 10.กรมประมงมีแผนพัฒนาสายพันธส์ุ ัตวน์ ้าเศรษฐกจิ ใด ก.ก้งุ ทะเล กุ้งกา้ มกราม ปลาสวาย และปลานิล ข.หอยแมลงภู่ หอยนางรม หอยแครง และหอยลาย ค.ปลาสวาย ปลาตะเพียน ปลายส่ี ก และปลาบึก ง.กุ้งทะเล กุง้ ก้ามกราม ปลานลิ และปลาทนู า่ เฉลยแบบฝึกหดั ใบความรู้ท่ี 3 ขอ้ ที่ คาตอบ ข้อที่ คาตอบ 6ก 1ข 7ค 2ก 8ง 3ง 9ข 4ค 10 ก 5ง เอกสารอา้ งองิ 1.www.fisheries.go.th/foriegn 2.ภานุมาศ ปิยะภานุกูล. 2556. แผนการจัดการเรียนรู้บรูณาการฐานสมรรถนะตามหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง วิชาการประมงทัว่ ไป. วทิ ยาลยั การอาชวี ศกึ ษาปทุมธานี, จังหวดั ปทมุ ธานี. 53 น.

21 บนั ทึกหลงั การเรยี นรู้ …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอื่ …………………………………..อาจารย์ประจาวิชา

22 แผนการเรยี นรู้ หน่วยที่ 4 ชอื่ วชิ า การประมงท่ัวไป จานวน 3 ชวั่ โมง ชื่อหน่วย แหล่งทาการประมง ชือ่ เร่ืองหรืองาน แหลง่ ทาการประมง สาระการเรียนรู้ 1.แหลง่ ทาการประมง 2.ปัจจยั ทมี่ ผี ลต่อแหลง่ ทาการประมง 3.แหล่งประมงในน่านน้าไทย ในอา่ วไทย และทางฝัง่ อันดามนั 4.แหล่งทาการประมงนอกนา่ นน้าไทย 1.แหลง่ ทาการประมง (Fishing ground) สามารถจาแนกแหล่งทาการประมง ได้หลายลักษณะ ดังนี้ 1.1จาแนกตามลกั ษณะแหล่งนา้ 1.2จาแนกตามกลุม่ ชาวประมง 1.3จาแนกตามชนดิ สตั ว์นา้ 1.1จาแนกตามลกั ษณะแหล่งน้าได้ ดังนี้ ก.น้าจดื -นา้ น่ิง (Lentic water) ได้แก่ หนอง บงึ ทะเลสาบ บ่อ -น้าไหล (Lotic water) ได้แก่ แม่นา้ ลาคลอง ข.นา้ เค็ม - ชายฝ่ัง - ใกล้ฝ่งั - นอกฝง่ั - ทะเลลกึ และทะเลหลวง 1.2จาแนกตามกลุม่ ชาวประมง ดงั น้ี ก.ประมงพนื้ บ้านหรอื ประมงขนาดเลก็

23 ข.ประมงพาณชิ ย์ - ในน่านนา้ ไทย - นอกนา่ นนา้ ไทย 1.3จาแนกตามชนดิ สัตวน์ ้า - ปลาผิวน้า (Pelagic fish) เช่น ปลากระแหทอง กระโห้ กระสูบขีด กราย ตะพดั ตะเพยี น นวลจันทร์ นลิ เทพา เทโพ ชะโด เสือพ่นน้า สวาย แรด สลิด บึก ทูน่า ฉลาม หลังเขียว กระตัก ปลาทปู ลาโอ ปลาลัง - ปลาหน้าดิน (Demersal fish) เช่น ทรายแดง ตาหวาน กะพงแดง ล้ินหมา ตาเดียว 2.ปัจจยั ทม่ี ีผลตอ่ แหลง่ ทาการประมง 2.1ทตี่ ้ัง 2.2สภาพอากาศของลมมรสุม 2.3ความเค็มและออกซเิ จน 2.4การหมุนเวียนของกระแสน้า 2.5ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของประเทศ ประเทศไทยต้ังอยู่ในเขตร้อน มีด้านที่ติดทะเล 2 ด้าน คือฝ่ังอา่ วไทย และฝ่งั อนั ดามนั 3.แหล่งประมงในนา่ นนา้ ไทย ในอา่ วไทย และทางฝง่ั อนั ดามัน แหล่งประมงในน่านน้าไทย ในอา่ วไทย ลักษณะทางภูมิศาสตร์ทางฝง่ั อา่ วไทยเปน็ ดังนี้ - พ้ืนทช่ี ายฝง่ั ทะเลยาวทงั้ หมด 1,875 กโิ ลเมตร - มีลักษณะเปน็ ทีล่ าด - มีความลกึ ไม่มากนัก ประมาณ 70-85 เมตร - สภาพพน้ื ทอ้ งทะเลเป็นโคลน โคลนปนทราย ทรายปนโคลน และทราย - เป็นอ่าวแบบก่ึงปดิ - แมน่ า้ สาคัญหลายสายไหลลงสู่อา่ วไทย ไดแ้ ก่ 1.อา่ วไทยตอนบน เชน่ แม่นา้ เจา้ พระยา ทา่ จีน บางปะกง แม่กลอง 2.ฝงั่ ตะวนั ของอ่าวไทย เชน่ แมน่ ้าเวฬุ จันทบุรี 3.ฝ่ังตะวนั ตอนใต้ของอา่ วไทย เชน่ แมน่ า้ ตาปี - ลมมรสมุ

24 1.ลมมรสุมตะวันเฉียงเหนอื หมุนตามเข็มนาฬกิ า 2.ลมมรสมุ ตะวนั ตกเฉียงใต้ หมุนทวนเขม็ นาฬกิ า - แหล่งทาการประมงในอ่าวไทยตามประกาศเขตเศรษฐกิจจาเพาะ เม่ือวันที่ 23 กมุ ภาพนั ธ์ 2524 ครอบคลุมพ้นื ที่ทงั้ หมด 252,000 ตารางกิโลเมตร มีเขตทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชา 34,000 ตารางกิโลเมตร ไทย-กัมพูชา-เวียดนาม 14,000 ตารางกิโลเมตร และไทย-มาเลเซีย 4,000 ตารางกิโลเมตร เขตการประมงทางฝัง่ อา่ วไทย แบ่งออกเปน็ 5 เขต ดงั นี้ เขต 1 อา่ วไทยดา้ นตะวนั ออก ประกอบด้วยทะเลทีอ่ ยู่ในเขตจังหวดั ระยอง จนั ทบรุ ี และตราด -มีลักษณะพน้ื ทอ้ งทะเลบริเวณชายฝั่งเปน็ ทรายปนโคลนและเปลอื กหอย บริเวณห่างฝั่งออกไป เปน็ ทรายปนเปลอื กหอย พน้ื ทอ้ งทะเลราบเรยี บ เหมาะสาหรับการลากอวน เขต 2 อ่าวไทยตอนใน ประกอบด้วยทะเลท่ีอยู่ในเขตจังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบรุ ี และกรุงเทพมหานคร -มลี ักษณะพ้นื ท้องทะเลบรเิ วณชายฝั่งเป็นโคลนเลน พื้นท้องทะเลราบเรียบ เหมาะสาหรับการ ลากอวน เขต 3 อ่าวไทยด้านตะวันตกตอนบน ประกอบด้วยทะเลท่ีอยู่ในเขตจังหวัดชุมพร ประจวบคีรีขนั ธ์ และสุราษฎร์ธานี บางส่วนไมส่ ามารถลากอวนได้ -มลี กั ษณะพ้นื ท้องทะเลบรเิ วณชายฝงั่ เป็นโคลนเลน เขต 4 อ่าวไทยด้านตะวันตกตอนล่าง ประกอบด้วยทะเลท่ีอยู่ในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี และนราธวิ าส -พื้นทอ้ งทะเลบางส่วนไมส่ ามารถลากอวนได้ เขต 5 อา่ วไทยตอนกลาง ประกอบด้วยทะเลท่ีอยู่บริเวณกลางอ่าวไทย มีอาณาเขตติดต่อกับ เส้นแบง่ เขตเศรษฐกจิ จาเพาะของประเทศมาเลเซยี เวยี ดนาม และกัมพชู า -มีลักษณะพื้นท้องทะเลบริเวณชายฝั่งเป็นโคลนเลนเหลว แต่ห่างจากฝ่ังออกไปเป็นโคลนปน ทรายกบั ทรายและเปลือกหอย พื้นทอ้ งทะเลบรเิ วณกลางอา่ วและพืน้ ท่ีท้องทะเลสว่ นใหญ่เป็นสันสูง 1-2 เมตร ไม่สามารถลากอวนได้ แหล่งทาการประมงฝ่งั อนั ดามัน มลี ักษณะทางภมู ศิ าสตร์ ดังนี้ - พน้ื ทชี่ ายฝัง่ ทะเลยาวท้ังหมด 740 กิโลเมตร - เปน็ ท่รี าบลาดชนั มีความลึกมากกว่าทางอ่าวไทย

25 - แม่น้าทไ่ี หลเข้าสู่ทะเลอนั ดามนั ส่วนใหญเ่ ป็นแมน่ า้ สายส้ัน - ลกั ษณะของพ้นื ทอ้ งทะเลสว่ นใหญ่เปน็ โคลนปนทราย มีไหล่ทวีปค่อนข้างแคบ มีความลึกของ นา้ มาก กระแสนา้ แรง บางแห่งห่างออกจากฝั่งประมาณ 30 กิโลเมตรมีความลึกของน้าเกิน 100 เมตร ได้รบั อิทธิพลจากลมมรสุมตะวนั ตกเฉียงใต้โดยตรง มีแหล่งปะการังมาก แหล่งทาการประมงครอบคลุม พ้ืนท่ีทงั้ หมด 126,000 ตารางกโิ ลเมตร แบง่ เขตการประมงเป็น 2 เขต คอื เขต 6 ทะเลอันดามันตอนบน ประกอบดว้ ยทะเลทอ่ี ยใู่ นเขตจงั หวัดระนอง พงั งา และภเู ก็ต เขต 7 ทะเลอนั ดามันตอนลา่ ง ประกอบด้วยทะเลที่อย่ใู นเขตจงั หวดั กระบี่ ตรงั และสตูล 4.แหลง่ ทาการประมงนอกน่านน้าไทย แหล่งทาการประมงนอกนา่ นน้าไทย แบง่ ออกเป็น 5 เขต คอื - แหลง่ ประมง A ครอบคลมุ พ้นื ที่ทะเลจนี ใตต้ อนบน - แหล่งประมง B ครอบคลมุ พ้ืนท่ีทะเลจนี ใต้ตอนบน - แหล่งประมง C ครอบคลมุ พ้นื ทท่ี ะเลอนั ดามนั บรเิ วณชอ่ งแคบมะละกา - แหล่งประมง D ครอบคลุมพ้ืนทท่ี ะเลอันดามันด้านประเทศพมา่ - แหลง่ ประมง E ครอบคลุมพืน้ ท่ีทะเลอันดามนั ด้านประเทศบงั คลาเทศ พน้ื ทีท่ าการประมงนอกน่านน้า ในประเทศทีม่ ีการทาสญั ญาทาการประมงรว่ ม ได้แก่ เวียดนาม กมั พชู า บรไู น มาเลเซยี อนิ โดนิเซีย บังคลาเทศ อินเดยี และซาอดุ อิ าระเบยี กจิ กรรมการเรียนรู้ 1.นักศกึ ษาทาใบงาน โดยแบ่งกล่มุ ๆ ละ 3 คน 2.เรือ่ ง แหลง่ ทาการประมงในนา่ นน้าไทย ในอา่ วไทย และฝ่งั อันดามัน กลุ่มละ 10 นาที 3.ครสู รปุ 4.นกั ศึกษาสอบถานข้อสงสัยรว่ มกนั แบบฝกึ หัดใบความร้ทู ่ี 4 เร่อื ง แหลง่ ทาการประมง แบบฝึกหัดเปน็ แบบเลอื กตอบ โดยกากบาท ทบั ตัวเลอื กที่ถกู ทส่ี ุดเพียงตัวเลือกเดยี วจาก ตัวเลือก ก. ข. ค. และ ง . (คะแนนเตม็ 10 คะแนน) 1.แหล่งนา้ จืดใด ท่ีจดั เป็นนา้ น่งิ ก.แมน่ า้ ข.ลาคลอง ค.หนอง บึง ทะเลสาบ ง.ถูกทุกข้อ

26 2.แหลง่ นา้ จดื ใด ที่จดั เป็นนา้ ไหล ก.แม่น้า ลาคลอง ข.ทะเลสาบ ค.หนอง บงึ ทะเลสาบ ง.บ่อ 3.ขอ้ ใด เป็นปลาผิวน้า ก.ทรายแดง ตาหวาน ข.ตะเพยี น นิล บกึ ค.กะพงแดง ล้นิ หมา ง.ตาเดยี ว ฉลาม 4.ขอ้ ใด เปน็ ปลาหนา้ ดนิ ก.กระโห้ กระสูบขดี ข.กราย ตะพดั ค.กะพงแดง ตาเดียว ง.แรด สลิด 5.ปัจจยั ทีม่ ีผลตอ่ แหลง่ ทาการประมง ก.ที่ตัง้ และสภาพอากาศของลมมรสุม ข.ความเคม็ และออกซเิ จน ค.การหมุนเวยี นของกระแสนา้ ง.ถูกทกุ ข้อ 6.ลักษณะทางภมู ศิ าสตรข์ องฝง่ั อา่ วไทยเปน็ อยา่ งไร ก.พืน้ ทชี่ ายฝ่งั ทะเลยาวท้ังหมด 1,875 กิโลเมตร ข.มลี ักษณะเป็นที่ลาด มีความลึกไม่มากนัก ค.สภาพพืน้ ทอ้ งทะเลเปน็ โคลน โคลนปนทราย ทรายปนโคลน และทราย ง.ถูกทกุ ข้อ 7.แมน่ ้าทีไ่ หลลงสู่อา่ วไทย ไดแ้ ก่ ก.เจ้าพระยา ท่าจีน บางปะกง แม่กลอง ข.แมน่ า้ เวฬุ ค.แม่นา้ ตาปี ง.ถกู ทกุ ข้อ 8.แหล่งทาการประมงฝัง่ อันดามนั มีลักษณะทางภมู ิศาสตร์อยา่ งไร ก.พื้นทชี่ ายฝั่งทะเลยาวทัง้ หมด 740 กโิ ลเมตร ข.เป็นทร่ี าบลาดชัน มีความลึกมากกว่าทางอา่ วไทย

27 ค.แมน่ ้าท่ไี หลเขา้ สู่ทะเลอันดามันส่วนใหญ่เป็นแมน่ ้าสายส้ัน ง.ถูกทุกข้อ 9.แหลง่ ทาการประมงนอกนา่ นนา้ ไทย แบง่ ออกเป็นก่ีเขต ก.5 เขต ข.6 เขต ค.7 เขต ง.8 เขต 10.ประเทศใด ทม่ี ีการทาประมงนอกน่านน้ารว่ มกบั ไทย ก.เปรู ชิลี ข.เวยี ดนาม กัมพชู า ค.จีน ไต้หวัน ง.เกาหลีใต้ ญีป่ ุ่น เฉลยแบบฝกึ หดั ใบความรทู้ ี่ 4 คาตอบ ขอ้ ท่ี คาตอบ ขอ้ ท่ี ค 6 ง 1 ก 7 ง 2 ข 8 ง 3 ค 9 ก 4 ง 10 ข 5 เอกสารอา้ งอิง http://cyberlab.lh1.ku.ac.th/elearn/faculty/fisher/fi14/lesson4.htm lms.mju.ac.th/fisheries_law/lesson23.php บนั ทึกหลังการเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ…………………………………..อาจารยป์ ระจาวิชา

28 แผนการเรยี นรู้ หน่วยท่ี 5 ชอ่ื วชิ า การประมงทัว่ ไป จานวน 9 ชว่ั โมง ชื่อหน่วย สัตว์น้าทีส่ าคัญทางเศรษฐกจิ ช่อื เรือ่ งหรอื งาน สัตวน์ า้ ท่สี าคญั ทางเศรษฐกจิ สาระการเรยี นรู้ 1.สตั ว์น้าจืดท่สี าคญั ทางเศรษฐกิจ 2.สัตวน์ า้ กร่อยทสี่ าคัญทางเศรษฐกจิ 3.ปลาสวยงามทส่ี าคัญทางเศรษฐกิจ จุดประสงคท์ ว่ั ไป 1.เพ่อื เสริมสร้างให้ผ้เู รยี นมคี วามรูค้ วามเข้าใจ เกย่ี วกับสัตว์นา้ จดื ท่ีสาคญั ทางเศรษฐกจิ 2.เพื่อเสรมิ สรา้ งให้ผู้เรยี นมีความรคู้ วามเข้าใจ เก่ียวกับสัตว์น้ากรอ่ ยท่ีสาคัญทางเศรษฐกจิ 3.เพ่อื เสริมสร้างใหผ้ ู้เรยี นมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจ เกี่ยวกบั ปลาสวยงามท่สี าคญั ทางเศรษฐกจิ จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 1.ผเู้ รียนอธบิ ายถึง สัตว์นา้ จืดท่ีสาคญั ทางเศรษฐกิจ 2.ผู้เรียนอธิบายถงึ สัตวน์ า้ กรอ่ ยทส่ี าคญั ทางเศรษฐกิจ 3.ผเู้ รยี นอธบิ ายถงึ ปลาสวยงามท่ีสาคัญทางเศรษฐกิจ เน้อื หาการเรียนรู้ สัตว์น้าที่สาคัญทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ปลา กุ้ง กั้ง ปู หอย กบ ตะพาบน้า จระเข้ และสาหร่าย เปน็ ตน้ นามาเป็นอาหาร เครือ่ งประดับ พักผ่อนหยอ่ นใจ โดยสามารถแยกเป็นกลมุ่ ตา่ งๆ ดังน้ี 1.สตั วน์ ้าจดื ท่ีสาคญั ทางเศรษฐกิจ สัตว์น้าจืดเปน็ อาหารคกู่ บั คนไทยมาต้ังแต่โบราณ โดยจับมาจากธรรมชาติ ปัจจุบันแหล่งที่อยู่ อาศัยตามธรรมชาติของสัตว์น้าเสื่อมโทรม มีความต้องการจับสัตว์น้าเพื่อการบริโภคเพ่ิมขึ้น มีการ พัฒนาการเพาะเลี้ยงสตั วน์ า้ จืดเพื่อใหเ้ พียงพอกบั ความต้องการของตลาด ทาใหอ้ าชีพการทาประมงน้า จืดโดยมีสตั ว์นา้ ที่มีความสาคญั ทางเศรษฐกจิ ของไทย ไดแ้ ก่

29 1.1ปลานิล (Nile tilapia) เป็นปลาเศรษฐกิจท่ีรู้จักกันอย่างแพร่หลาย ไม่ใช่ปลาพื้นเมืองของไทยแต่นาเข้ามาจากญ่ีปุ่น แตถ่ นิ่ กาเนดิ เดมิ อยูใ่ นทวปี แอฟรกิ า เมือ่ ปีพ.ศ.2508 มกุฎราชกมุ ารอากิฮโิ ตแหง่ ประเทศญ่ีปุ่น ได้จัดส่ง ปลานิลขนึ้ ทูลเกลา้ ทลู กระหม่อมถวายพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั ในหลวงทรงโปรดเกล้าฯ ให้เล้ียงใน พระตาหนักสวนจิตรลดา และพระราชทานช่ือว่า ปลานิล หลังจากน้ัน 1 ปี ทรงพระราชทานปลานิล ให้แกก่ รมประมงเพอ่ื เพาะและขยายพันธุ์ ส่งเสริมการเพาะเลยี้ งและขยายพนั ธไ์ุ ปท่ัวประเทศ ปลานิล มลี ักษณะคลา้ ยปลาหมอเทศ แพร่พันธุ์ได้เร็ว อัตราการเจริญเติบโตสูง รสชาติดี เล้ียง ในบ่อ หรอื ในกระชังกไ็ ด้ 1.2ปลาไน (Common carp) อยใู่ นตระกูลเดยี วกับปลาตะเพียน เชอ่ื วา่ คนจีนอพยพเป็นผู้นาเข้ามาเล้ียงในประเทศไทย เป็น ปลาที่เลยี้ งง่าย เจริญเตบิ โตไดด้ ใี นน้าทีเ่ ปน็ ด่างอ่อน กินพชื ตะไครน่ ้า ไรน้า แหน กากถวั่ 1.3ปลาตะเพยี นขาว (Thai silver barb) เปน็ ปลาพ้นื เมอื งของไทย พบทั่วไปในแม่น้าสายต่างๆ เป็นปลากินพืชท่ีขยายพันธุ์เร็ว มีความ เป็นอยคู่ ล้ายปลานลิ 1.4 ปลาสลดิ (Sepat siam) เป็นปลาพน้ื เมอื งของไทย มีรปู รา่ งคล้ายใบไม้ จงึ เรยี กอีกช่อื ว่าปลาใบไม้ ชอบอาศัยในแหล่งน้า นง่ิ เจริญเติบโตไดด้ ีในบอ่ และในนา เปน็ ปลากินพชื พวกแหน ตะไคร่นา้ ผักบงุ้ ราข้าว 1.5ปลาจีน เป็นปลาที่มีแหล่งกาเนิดมาจากประเทศจีน ที่นิยมเล้ียงมี 3 ชนิด คือ ปลากินหญ้า (เฉาฮื้อ ,Grass carp), ปลาเกล็ดเงิน (ลิ่นฮ้ือ, Silver carp) และปลาหัวโต (ซ่งฮื้อ, Bighead carp) ท้ังหมดจัด อยใู่ นพวกเดยี วกับปลาตะเพยี นสามารถเลยี้ งรวมกนั ได้ มลี กั ษณะตา่ งกัน ดงั นี้ - ปลากนิ หญา้ หรือเฉาฮ้อื มลี าตัวยาวกลม สีค่อนขา้ งเขยี ว หากินผวิ น้า ชอบกินผัก มูลของปลา เฉาเป็นอาหารของปลาล่นิ และปลาซ่ง - ปลาเกลด็ เงนิ หรอื ล่ินฮอ้ื ตวั แบนเกลด็ ละเอยี ด สีเงนิ หากินกลางนา้ - ปลาหัวโต หรอื ซง่ ฮือ้ ลักษณะคลา้ ยปลาล่นิ ฮ้อื แต่หวั โตกวา่ หากนิ ตามพ้นื บ่อ 1.6ปลาดกุ (Catfish) นิยมเลี้ยงเป็นปลาลูกผสมระหว่างพ่อปลาดุกยักษ์ (African catfish) กับแม่ปลาดุกอุย (Walking catfish) เรียกปลาดกุ บ๊ิกอุย เป็นปลาทีเ่ ลย้ี งงา่ ย โตเร็ว เนื้อมีสีเหลืองน่ารับประทาน เป็นปลา กนิ เนื้อ นิยมเลีย้ งในบอ่ ดนิ กินอาหารพวกแมลง เศษเนื้อสตั ว์ ซากสตั ว์ ปลาบด อาหารสาเร็จรปู

30 1.7ปลาชอ่ น (Snake head fish) เป็นปลากินเนื้อที่พบกระจายในแหล่งน้าจืดท่ัวประเทศ มีความอดทน ปรับตัวเข้ากับ สภาพแวดล้อมต่างๆได้ดี ในธรรมชาติปลาช่อนชอบอยู่โดดเด่ียว หรือเป็นคู่ตามพื้นหน้าดินที่เป็นโคลน ในฤดูแล้งชอบหมกตวั อย่ใู นโคลนและมีชีวติ อยู่ไดเ้ ปน็ เวลานาน 1.8ปลาสวาย (Striped catfish) เปน็ ปลานา้ จดื ขนาดใหญ่ ไม่มีเกล็ด มีความอดทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดี กินอาหารง่าย ชอบ ทั้งเน้ือสัตว์และพชื มูลของไกแ่ ละสกุ ร จึงนามาเลี้ยงร่วมกันแบบผสมผสาน 1.9ปลาบู่ทราย (Sand goby) เปน็ ปลาทน่ี ิยมในตลาดตา่ งประเทศ คนไทยไม่คอ่ ยนิยมบรโิ ภค นยิ มเล้ียงในกระชงั เป็นปลากิน เนื้อ เช่น ปลาสด ปลาเป็ด 1.10ปลายีส่ กเทศ (Rohu) มถี ิ่นกาเนดิ ในประเทศอินเดีย นิยมเลยี้ งในบ่อดนิ กนิ พชื เป็นอาหาร แพลงตอนพชื 1.11ปลาแรด (Giant gourami) เป็นปลาน้าจืดที่มีขนาดใหญ่ มีน้าหนัก 6-7 กิโลกรัม ยาวประมาณ 65 เซนติเมตร เป็นปลา จาพวกเดียวกับปลาหมอ ปลากระดี่ ปลาสลิด แต่มีขนาดใหญ่กว่า ปลาแรดมีเน้ือนุ่มสีเหลืองอ่อน รสชาติดี มีถ่ินกาเนิดในประเทศอินโดนิเซีย หมู่เกาะสุมาตรา ชวา บอร์เนียว ไม่มีหลักฐานว่าเป็นปลา พน้ื บา้ นของไทย แต่พบเหน็ ได้ตามแหล่งนา้ ทัว่ ไป เป็นปลากนิ พชื นา้ ไข่น้า แหน ผักบงุ้ เศษอาหาร แมลง ในน้า นิยมเล้ยี งทง้ั ในบอ่ และในกระชงั 1.12ปลาหมอไทย (Climbing fish) เป็นปลากินเน้ือท่ีพบทั่วทุกภาคของประเทศ จัดอยู่ในกลุ่มปลาแปลกที่สามารถปีนขึ้นมาคืบ คลานอยู่บนบกได้ หลบซ่อนในดินที่แตกระแหง มีอวัยวะช่วยหายใจ มีครีบหูท่ีแข็งแรง มีเกล็ดแข็ง ใช้ ปอ้ งกันตัวเวลาอยู่บนบกได้เป็นเวลานาน เป็นปลาที่มีความอดทนสูง สามารถเล้ียงได้ทั้งในบ่อและใน กระชัง กินปลาเป็ดผสมราและปลายข้าว ติดไฟลอ่ แมลงเปน็ อาหารเสริม 1.13ปลาบึก (Mekong giant catfish) เป็นปลาน้าจืดไม่มีเกล็ดที่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โตเต็มท่ีมีน้าหนักประมาณ 200 กิโลกรัม อาศัยอยู่ในแม่น้าโขงและลาน้าสาขา เช่น แม่น้ามูล แม่น้าสงคราม แม่น้างึม เป็นปลาท่ีกินอาหารได้ หลายชนิด สามารถเลี้ยงเชิงพาณิชย์แบบปลาสวายในบ่อดิน กระชัง คอก หากเลี้ยงปล่อยท้ิงจะ เจริญเติบโตได้ปลี ะ 2 กโิ ลกรมั /ตัว ถ้าเลยี้ งดูแลดีจะโตไดป้ ลี ะ 5 กิโลกรมั /ตัว แต่จะไดไ้ ขมันหนาคุณภาพ เนื้อจะด้อยกวา่ ปลาธรรมชาติ

31 1.14กุง้ กา้ มกราม (Giant freshwater prawn) เป็นกุ้งน้าจืดท่ีมีขนาดใหญ่ที่สุด อาศัยในแหล่งน้าจืดที่มีทางติดต่อกับทะเล เนื่องจากระยะ วางไขแ่ ลว้ ตวั อ่อนต้องอาศยั อยูใ่ นน้ากร่อย ปจั จบุ ันนยิ มเลย้ี งในบ่อ เน้อื มีรสชาติดี ราคาค่อนข้างสูง ใช้ อาหารสาเร็จรูปเลี้ยง 1.15ตะพาบน้า (Soft shelled turtles) นิยมเลี้ยง 2 ชนดิ คือตะพาบนา้ พันธุ์ไทย และพนั ธไ์ุ ตห้ วัน เป็นสัตว์ที่ชอบกินเน้ือ จะผสมราข้าว ข้าวเปลอื ก แรธ่ าตุแคลเซียม ทองแดง และวิตามินรวม เสริมพวกไส้เป็ด ไส้ไก่ และผักกระถิน ทาเลบ่อ ควรต้งั หา่ งไกลแหลง่ ชมุ ชน เพราะเม่อื ตกใจตะพาบจะยอมกินอาหาร 1.16กบ (Forg) เปน็ สัตวเ์ ลยี้ งง่าย ใช้เวลาน้อย ลงทุนต่า ดูแลรักษาง่าย ในธรรมชาติลูกกบจะกินอาหารมีชีวิต เช่น แมลง ไส้เดือน หนอน ปลวก ลูกปลา ลูกกุ้ง แต่หัดให้กินอาหารสาเร็จรูปหรือปลาสับได้ ใช้ปลาย ข้าวต้มสุกคลุกอาหารไก่ และใช้แสงไฟล่อแมลงไว้ในบ่อกบ นิยมเลี้ยงท้ังในบ่อซีเมนต์ บ่อดิน ปลอก ซเี มนต์ 2.สัตว์นา้ กรอ่ ยท่ีสาคญั ทางเศรษฐกิจ 2.1กุ้งทะเล ประเทศไทยเลี้ยงกุ้งทะเลมากว่า 60 ปีแล้ว ในลักษณะการทานากุ้งเป็นการ ดัดแปลงพืน้ ท่ที านาเกลอื และนาข้าวมาใชเ้ ล้ยี งกงุ้ มีการบุกรุกป่าชายเลน กงุ้ ทะเลทีเ่ ล้ียงไดแ้ ก่ กงุ้ ขาววา นาไม ก้งุ กลุ าดา กงุ้ แชบ๊วย 2.2ปลาน้ากร่อย มีการเลี้ยงกันมานานกว่า 40 ปี ได้แก่ ปลากะพงขาว ปลากะรัง ปลา นวลจนั ทร์ทะเล ปลากระบอก ปลากะพงแดง 2.2.1ปลากะพงขาว (Seabass) เปน็ ปลากนิ เนอ้ื เล้ยี งง่าย โตเรว็ ปรับตวั ไดด้ ีทั้งน้าจืด น้ากร่อย และน้าเค็ม เล้ียงกันทั้ง ในบอ่ ดิน กระชงั ในคอก และท่ลี อ้ มขงั 2.2.2ปลากะรังหรอื ปลาเก๋า (Grouper) พบในน้านา่ นไทยได้กว่า 40 ชนิด แพร่กระจายท้ังในย่านน้าเค็ม น้ากร่อย ท่ีนิยมเล้ียง ไดแ้ ก่ ปลากะรงั จุดสีน้าตาล (Epinephelus malabaricus) ปลากะรังลายตุ๊กแก (E moara) เนื่องจาก หาลูกพนั ธุ์ไดง้ า่ ยกว่าชนิดอนื่ ส่วนใหญย่ ังอาศยั รวบรวมลกู พนั ธ์ุจากธรรมชาติ จงึ มีปัญหาขาดแคลนลูก พันธ์ุ ปลากะรังนยิ มเลยี้ งในกระชงั 2.3หอย หอยทส่ี าคัญไดแ้ ก่ หอยแมลงภู่ หอยนางรม หอยแครง หอยลาย หอยกะพง หอยเชลล์ 2.3.1หอยแมลงภู่ ใชไ้ มไ้ ผ่เปน็ หลกั ทาเปน็ แปลง ใหล้ ูกหอยมาเกาะ

32 2.3.2หอยนางรม เลยี้ งบนหลักซีเมนต์ ท่อซีเมนต์ 2.3.3หอยแครง เลยี้ งในพ้นื โคลน 2.3.5หอยเปา๋ ฮ้อื เลย้ี งกนั ในจงั หวัดภูเกต็ 3.ปลาสวยงามทีส่ าคัญทางเศรษฐกจิ 3.1ปลากัด (Siamese fighting fish) เลี้ยงไว้ดูเล่นและการกัดปลา มีหลายชนิดเช่น ปลากัด หม้อ ปลากดั ทุ่ง ปลากัดจีน ปลากัดเขมร แพร่กระจายไปท่ัวทุกภาคของประเทศ 3.2ปลาทอง (Goldfish) มีถนิ่ กาเนดิ จากจนี แลว้ นาเขา้ มาเพาะขยายพันธใ์ุ นประเทศไทย ได้แก่ พันธุห์ ัวสงิ ห์ ออแรนดา เกล็ดแกว้ ตาโปน ริวกิ้น ตาลกู โป่ง มาจากญ่ปี ุ่น เช่น รันชู 3.3ปลาหางนกยงู (Guppy) มีถ่ินกาเนิดจากอเมริกาใต้แถบเวเนซูเอล่า ออกลูกเป็นตัว อาศัย อยู่ในน้าจืดและน้ากร่อย ตวั ผู้มขี นาด 3-5 เซนติเมตร ตัวเมียมีขนาด 5-7 เซนติเมตร นิยมเล้ียงเป็นปลา สวยงาม และกนิ ลกู นา้ 3.4ปลาสอดหรือปลาหางดาบ (Swordtail) มถี น่ิ กาเนดิ ในอเมรกิ ากลางและเม็กซิโก กินอาหาร ไดท้ กุ ชนิด เล้ียงงา่ ย โตเรว็ เพาะพันธ์ไุ ด้งา่ ย 3.5ปลาแฟนซีคาร์พ (Fancy carp) เป็นปลาน้าจืดกลุ่มปลาตะเพียน มีความสวยงาม เชื่อง อายุยืน 3.6ปลาตะพัดหรืออะโรวาน่า (Arowana) มี 4 กลุ่มคือ ปลาตะพัด ลาตัวเรียวยาว แบนข้าง หางกลมใหญค่ ลา้ ยพดั , อะโรวาน่า ลาตัวแบนข้าง ปลายหางเรียวเลก็ , อะราไพม่า ลาตวั กลมยาว คล้าย ปลาช่อน และอะโรวาน่าแอฟริกา ลาตวั ยาวแบนขา้ เลก็ นอ้ ย หัวแบนส้ัน 3.7ปลาปอมปาดัวร์ (Discus) ถิ่นกาเนิดในลุ่มน้าอะเมซอน ที่นิยมเลี้ยง เช่น ปอมปาดัวร์ห้าสี ปอมปาดวั ร์เจ็ดสี ปอมปาดัวรบ์ ลเู ยอรมนั 3.8ปลาหมอสี 3.9ปลาออสก้า (Oscars) เป็นปลากินเนื้อ ถ่นิ กาเนิดในอเมรกิ าใต้ เช่น ออสก้าลายเสอื ออสก้า สีทอง ออสกา้ หางยาว ควรเลีย้ งขนาดใกล้เคียงกนั เพื่อป้องกันการกัดกนั เอง ชอบกินเนือ้ ปลา กงุ้ 3.10ปลาเทวดา (Angle fish) ถ่ินกาเนิดในลุ่มน้าอะเมซอน ลาตัวแบนกว้าง นิสัยเรียบร้อย กิน พืชและแมลง มหี ลายสายพนั ธ์ุ เช่น เทวดาดา เทวดาลาย เทวดาหนิ ออ่ น เทวดาเผอื ก เทวดาหางยาว กิจกรรมการเรยี นรู้ 1 1.นักศกึ ษาทาใบงาน โดยแบง่ กลมุ่ ๆ ละ 3 คน 2.ผู้เรียนอธิบายถึง สัตว์น้าจืดท่ีสาคัญทางเศรษฐกิจ สัตว์น้ากร่อยท่ีสาคัญทางเศรษฐกิจ และปลา สวยงามทสี่ าคัญทางเศรษฐกิจ กลุ่มละ 15 นาที

33 3.ครูสรปุ 4.นักศึกษาสอบถามข้อสงสยั รว่ มกัน กจิ กรรมการเรยี นรู้ 2 1.นานักศึกษาไปดูงาน วันประมงน้อมเกล้า วันท่ี 27 มิ.ย.-6 ก.ค. 59 หรือสถานแสดงพันธ์ุสัตว์น้าวัง ปลา ต.ชา้ งใหญ่ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา 2.นกั ศึกษาทารายงานสง่ 1 ฉบับ แบบฝึกหัดใบความรูท้ ี่ 5 สตั วน์ า้ ท่ีสาคญั ทางเศรษฐกิจ แบบฝึกหัดเป็นแบบเลือกตอบ โดยกากบาท ทับตัวเลือกท่ีถูกที่สุดเพียงตัวเลือกเดียวจาก ตัวเลือก ก. ข. ค. และ ง . (คะแนนเต็ม 10 คะแนน) 1.ข้อใด จดั เป็นสตั วน์ า้ ทีส่ าคญั ทางเศรษฐกิจ ก.สุกร ไก่เนือ้ ข.ไก่ไข่ โคเน้ือ ค.ปลา กงุ้ หอย ง.ถกู ทุกข้อ 2.ปลาใด ทีพ่ ัฒนาสายพนั ธ์ุมาจากปลานลิ (Nile tilapia) ก.ปลาทับทมิ ข.ปลากะรงั ค.ปลาตะเพียนทอง ง.ปลาอะโรวาน่าทอง 3.ปลาสลดิ (Sepat siam) ชอบอาศยั ในแหลง่ นา้ นง่ิ กินพืชพวกแหน ตะไคร่นา้ ผกั บงุ้ เรยี กอกี ชอื่ หน่ึงว่า ก.ปลาทบั ทมิ ข.ปลานิลแดง ค.ปลาตะเพยี น ง.ปลาใบไม้ 4.ปลาจีนมีแหล่งกาเนิดมาจากประเทศจีน อยู่ในพวกเดียวกับปลาตะเพียนสามารถเล้ียงรวมกันได้ ที่ นยิ มเล้ยี งมี 3 ชนดิ คอื อะไร ก.ปลานลิ ปลานลิ แดง และปลาทับทิม ข.ปลากินหญ้า/เฉาฮ้อื , ปลาเกลด็ เงนิ /ล่ินฮอื้ และปลาหวั โต/ซง่ ฮอ้ื ค.ปลาตะเพียน ปลาตะเพียนทอง และปลาตะเพียนแดง ง.ปลากะรัง ปลาเกา๋ และปลากดุ สลาก

34 5.ขอ้ ใด เปน็ ปลานา้ จืดไม่มีเกลด็ ทีม่ ีขนาดใหญ่ทสี่ ดุ ในโลก มีน้าหนักตวั ถึง 200 กิโลกรมั ก.ปลาบึก ข.ปลาสวาย ค.ปลากระโห้ ง.ปลาเทโพ 6.ขอ้ ใด เปน็ สัตว์นา้ ท่ีเลย้ี งง่าย ใชเ้ วลานอ้ ย ลงทุนต่า ดแู ลรักษาไม่ยาก และใช้แสงไฟลอ่ แมลง ก.กงุ้ ก้ามกราม (Giant freshwater prawn) ข.ตะพาบนา้ (Soft shelled turtles) ค.กบ (Forg) ง.หอย 7.สตั ว์นา้ กร่อย ที่เปน็ ปลากินเนื้อ เล้ียงง่าย โตเร็ว ปรบั ตัวไดด้ ีทง้ั น้าจดื น้ากร่อย และน้าเค็ม เลี้ยงกันทั้ง ในบ่อดิน กระชงั ในคอก และทีล่ ้อมขงั ก.ปลากะรังหรอื ปลาเก๋า (Grouper) ข.ปลากะพงขาว (Seabass) ค.ปลากะพงแดง ง.ปลากระบอก 8.หอย ชนดิ ใดที่เลี้ยงบนหลักซีเมนต์ ก.หอยแมลงภู่ ข.หอยเปา๋ ฮ้อื ค.หอยแครง ง.หอยนางรม 9.ปลาสวยงามทน่ี ยิ มเลีย้ งไว้กินลกู น้ายุงลาย ก.ปลาหางนกยูง (Guppy) ข.ปลาแฟนซคี ารพ์ (Fancy carp) ค.ปลาตะพัดหรืออะโรวานา่ (Arowana) ง.ปลาปอมปาดัวร์ (Discus) 10.ปลาออสก้า (Oscars) มถี ่นิ กาเนิดในอเมรกิ าใต้ เชน่ ออสกา้ ลายเสือ ออสก้าสีทอง ออสก้าหางยาว เปน็ ปลาทก่ี ินอาหารประเภทใด ก.ตะไคร่น้า ข.สาหร่าย ค.เนื้อปลา กุ้ง ง.ซากสตั ว์

35 เฉลยแบบฝึกหดั ใบความรูท้ ี่ 5 ขอ้ ที่ คาตอบ ข้อท่ี คาตอบ 1ค 6ค 2ก 7ข 3ง 8ง 4ข 9ก 5ก 10 ค เอกสารอา้ งองิ 1.lms.mju.ac.th/fisheries_law/lesson22.php 2.ภานุมาศ ปิยะภานุกูล. 2556. แผนการจัดการเรียนรู้บรูณาการฐานสมรรถนะตามหลักปรัชญา เศรษฐกจิ พอเพยี ง วชิ าการประมงทั่วไป. วทิ ยาลัยการอาชีวศึกษาปทมุ ธานี, จังหวดั ปทุมธานี. 53 น. บันทกึ หลงั การเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… ลงชือ่ …………………………………..อาจารย์ประจาวชิ า

36 แผนการเรยี นรู้ หน่วยท่ี 6 จานวน 9 ชว่ั โมง ชอ่ื วชิ า การประมงทวั่ ไป ชื่อหน่วย วิธีการเพาะพนั ธแ์ุ ละเลีย้ งสตั วน์ ้าแบบต่างๆ ช่ือเรื่องหรืองาน วธิ กี ารเพาะพันธุแ์ ละเลีย้ งสตั วน์ ้าแบบต่างๆ รายการสอน 1.การเพาะเล้ยี งปลาสลิด 2.การเพาะเลี้ยงก้งุ ก้ามกราม 3.การเพาะเล้ียงปลาหางนกยงู จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1.อธบิ ายถึงการเพาะเล้ยี งปลาสลดิ 2.อธบิ ายถึงการเพาะเลย้ี งก้งุ ก้ามกราม 3.อธบิ ายถึงการเพาะเลย้ี งปลาหางนกยงู เน้อื หาสาระ การเพาะพันธ์ุและเลี้ยงสตั ว์นา้ การเพาะขยายพนั ธ์ปุ ลา (Fish Propagation) 1.ปจั จัยทเ่ี กย่ี วข้องกบั การเจรญิ พันธแุ์ ละการวางไข่ 1.1อายุเมื่อถึงวัยเจรญิ พนั ธใ์ุ นสัตว์นา้ แตล่ ะชนิด ชนิด อายุ (เดอื น) นา้ หนัก (กรมั ) 80-200 ปลานิล 4-6 200-500 500-1,000 ปลาตะเพียน 6-12 500-1,000 300-800 ปลาไน 12-24 1,000-2,000 ปลาสวาย 12-24 130-150 20-200 กก. ปลาดกุ อุย 6-12 500-1,000 200-600 ปลาดุกรัสเซยี 16-24 ก้งุ ก้ามกราม 7-12 ปลาบกึ 10-15 ปี ปลาสลิด 6-7 กบบลฟู รอ็ ท 12-16

37 1.2แหล่งวางไขแ่ ละการอพยพ - ปลาท่ชี อบวางไข่ในน้าไหล เชน่ ปลาย่สี ก ปลาจีน ปลาตะเพียน ปลาบกึ - ปลาท่ชี อบวางไข่ในน้านงิ่ เช่น ปลากัด ปลาแรด ปลาทราย - ปลาท่ชี อบอพยพไปวางไข่ เช่น แซลมอน จะเจริญพันธุ์ในมหาสมุทร เม่ือถึงฤดูวางไข่ จะว่ายน้ากลับไปวางไข่ในแมน่ า้ แลว้ ตายทง้ั ตวั ผแู้ ละตัวเมยี 1.3ฤดวู างไข่ - ปลาในเขตหนาว เชน่ ปลาเทร้า วางไขเ่ ดอื นพฤศจกิ ายน-กมุ ภาพนั ธ์ - ปลาในเขตอบอุ่นร้อน เช่น ปลานิลวางไข่ได้ตลอดทั้งปี ปลาตะเพียนวางไข่เดือน มนี าคม-พฤษภาคม ปลาไน ยส่ี กเทศวางไข่เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม ปลาดุก ปลาสวายวางไข่เดือน พฤษภาคม-กันยายน ปลาบกึ วางไขเ่ ดือนมถิ นุ ายน-กรกฎาคม 1.4ปจั จยั ที่กระต้นุ ให้เกดิ การวางไข่ - ปัจจยั ภายใน สรีระและความสมบรณู ์ของปลา - ปัจจยั ภายนอก สงิ่ แวดล้อม อณุ หภมู ิของน้า กระแสนา้ และฝนตก 1.การเพาะเล้ยี งปลาสลิด ปลาสลดิ เปน็ ปลานา้ จืดในแถบเอเชีย พบมากในไทย เขมร เวยี ดนาม มาเลเซยี อินโดนิเซีย และ ฟิลิปปนิ ส์ ไทยพบในแถบภาคกลางและนยิ มเล้ยี งในนาขา้ ว รูปรา่ งและลักษณะนสิ ัย เป็นปลาท่ีรูปร่างคล้ายปลากระด่ี แต่มีขนาดใหญ่กว่า ลาตัวแบนข้าง ครีบท้องยาวครีบเดียว ลาตวั สเี ทาออกเขยี วคล้า มีรวิ้ ดาพาดขวางตามลาตัวจากหัวถึงโคนหาง มีเกล็ดบนเส้นข้างลาตัว 42-47 เกลด็ ปากเล็กยืดหดได้ เมอื่ มขี นาดโตเตม็ ท่ีมคี วามยาวประมาณ 20 เซนตเิ มตร ปลาสลิดชอบอยู่ในน้านิ่ง เช่น หนอง บึง อาศัยอยู่บริเวณที่มีพืชน้า เช่น ผักบุ้ง กระเฉด แพงพวย ใชเ้ ป็นทีพ่ ักกาบังและก่อหวอดวางไข่ เตบิ โตได้เรว็ ในแหล่งน้าธรรมชาติท่ีมีพืชน้า สาหร่าย ผัก สตั ว์ และแมลงขนาดเล็ก จึงนยิ มเล้ยี งในนาขา้ ว ปลาตัวผมู้ ลี าตัวยาวเรยี ว มคี รบี หลังยาวเลยโคนหาง มีสีตัวเขม้ และสวยกวา่ ตัวเมีย ตัวเมียมีสัน ทอ้ งยาวมน ครบี หลงั มนไมย่ าวถึงโคนหาง สีจางกว่าตัวผู้ ฤดูวางไข่ท้องอูมเป่งออกมาท้ังสองข้าง ปลา สลดิ เมอ่ื อายุประมาณ 7 เดือน เฉล่ียมีลาตัวยาว 6-7 นิ้ว น้าหนัก 130-140 กรัม มักวางไข่ในฤดูฝน แม่ ปลาตวั หนึ่งสามารถวางไข่ได้หลายครงั้ แต่ละคร้งั จะมีไข่ประมาณ 4,000-10,000 ฟอง ไขม่ ีสีเหลือง บ่อเลี้ยงปลาสลิด ขนาดเลก็ ทส่ี ุดควรมีความกว้าง 10 เมตร ยาว 20 เมตร และลึก 1.50 เมตร หากต้องการให้ปลา วางไข่ ควรมชี านบ่อกว้าง 1 เมตร

38 การเตรียมบอ่ 1.ใส่ปนู ขาว โดยเฉพาะบอ่ ดินขดุ ใหมค่ ุณภาพดินทัว่ ไปมกั เป็นกรด โรยปูนขาวให้ทั่วบ่อในอัตรา 1 กโิ ลกรมั /พ้ืนท่ี 10 ตารางเมตร 2.หากเปน็ บ่อเก่ากาจัดวัชพชื ออก ลอกเลน ตกแตง่ คันบอ่ ตากบ่อใหแ้ หง้ นาน 1 สัปดาห์ แล้วใช้ โลต่ ๊นิ สด 1 กโิ ลกรัมแช่น้า 2 ปี๊บ ขยาใหน้ า้ สีขาวออกมาหลายๆ คร้ัง สาดใหท้ ว่ั บอ่ ในพน้ื ท่ี 100 ลูกบาศก์ เมตร เกบ็ ซากศัตรูปลาออกใหห้ มด แล้วทิ้งบอ่ ไว้ 1 สัปดาหใ์ หโ้ ลต่ ี๊นสลายตัว 3.เพาะตะไครน่ า้ ใชป้ ุ๋ยคอก 100 กก./ไร่ แล้วไขน้าเข้าบ่อสูง 10-20 เซนติเมตรจากก้นบ่อ ท้ิงไว้ 7-10 วัน จะเกิดตะไคร่น้าหรือข้ีแดดข้ึนในบ่อ แล้วไขน้าให้สูงตามระดับท่ีต้องการประมาณ 1.5 เมตร แลว้ ใส่พืชนา้ เช่น ผกั บุ้ง กระเฉด 4.ปล่อยปลาสลิดลงเล้ียงในเวลาเช้าอากาศไม่ร้อน ปลาปรับตัวเข้ากับส่ิงแวดล้อมได้ง่าย ใน อัตราสว่ นพน้ื ที่ผวิ น้า 1 ตารางเมตร/ปลา 5-10 ตวั การให้อาหารปลา ควรให้เป็นเวลาโดยท่ัวไประยะ 7 เดือนแรกหากมีอาหารตามธรรมชาติ เพียงพอ จะให้ปลาหาอาหารกินเอง และระยะเดอื นท่ี 7-9 ท่จี ะส่งตลาดทาเปน็ ปลาสลิดแดดเดียว จึงจะ ขนุ อาหารเม็ดก่อนสง่ ตลาด โดยทั่วไป ปลาสลิดเป็นปลาท้องถ่ินจะไม่มีโรครบกวน ยกเว้นน้าเสีย และศัตรูตามธรรมชาติ เช่น นกกินปลา ปลากินเน้ือพวกปลาช่อน ชะโด ปลาไหล ปลากัด ปลากริมท่ีกินไข่และลูกปลาสลิด สัตว์เล้ือยคลานพวกงู ตะพาบ เหย้ี สตั วพ์ วกกบ เขยี ด และนาก การจบั ปลาจาหนา่ ย ควรจบั ให้หมดท้ังบ่อในเดือนมีนาคมท่ีปลาไม่ได้วางไข่ วิดน้าออกแล้วใช้ เฝือกลอ้ มสวิงตักปลาออก 2.การเพาะเลย้ี งกุ้งก้ามกราม (Giant freshwater prawn) กุ้งก้ามกราม (Macrobrachium rosenbcrgii) เป็นกุ้งขนาดใหญ่ท่ีนิยมบริโภค เน้ือรสชาติดี ประกอบอาหารไดห้ ลายชนดิ เรียกไดห้ ลายช่ือ กงุ้ นาง กงุ้ หลวง กุ้งก้ามเกลี้ยง กุ้งแห กุ้งใหญ่ แม่กุ้ง พบ ในเขตร้อน ในไทยแพรก่ ระจายไดท้ ่วั ไปในแหล่งน้าจดื ทม่ี ที างนา้ ไหลติดตอ่ กับน้าทะเล เคยพบตัวโตที่สุด ที่จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา ความยาวจากหัวถึงหางประมาณ 25 เซนตเิ มตร น้าหนัก 470 กรัม ลกั ษณะทัว่ ไป กุ้งก้ามกรามมีลาตัวเป็นข้อเป็นปล้อง ส่วนหัวและอกจะคลุมด้วยเปลือกชิ้นเดียวกัน ลาตัว เปลอื กจะแยกเป็นปลอ้ งๆ มีหนวด 2 คู่ ขาเดิน 5 คู่ ขาวา่ ยน้า 5 คู่ ปลายหางแหลม ขาเดินคู่ที่ 2 จะเป็น ก้ามที่มีขนาดยาวมาก โดยเฉพาะกงุ้ ตัวผู้ปลายขาคูท่ ่ี 2 จะแยกเป็นแขนง 4 อัน กุ้งตัวเมียแยกเป็น 3 อัน

39 และตัวผู้มีกา้ มใหญก่ ว่าตวั เมยี ชอ่ งเปิดน้าเชื้อตัวผู้อยู่ที่ขาเดินคู่ที่ 5 และตัวเมียช่องเปิดสาหรับไข่อยู่ที่ โคนขาคู่ท่ี 3 การผสมพนั ธุแ์ ละวางไข่ กุ้งก้ามกรามสามารถผสมพันธ์ุและวางไข่ได้ตลอดปี การผสมพันธุ์จะเกิดขึ้นเม่ือตัวเมียลอก คราบและเปลือกยังอ่อนอยู่ ตัวผู้จะเข้าผสมโดยให้น้าเชื้อตัวผู้ที่คล้ายสารเหนียวไปติดกับส่วนหน้าอก ระหว่างขาเดินหนา้ ของตัวเมยี และจะวางไขภ่ ายใน 2-3 ชั่วโมง หลงั จากการผสมพนั ธ์ุไข่ที่ปล่อยออกมา จะถูกผสมกบั เช้อื ตวั ผู้ทตี่ ดิ อย่ทู ่ีสว่ นอก และไขจ่ ะถูกเก็บอยู่สว่ นทอ้ งระหว่างขาวา่ ยน้า ใ ระยะแรกไข่ทถี่ กู ผสมมสี เี หลอื งอมส้ม ขนาดเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง0.6-0.8 มม. และไข่จะพัฒนาไป จนมีอวยั วะครบทกุ ส่วน ไขจ่ ะเปลย่ี นเป็นสเี ทาดา และรปู ร่างกุ้งพับงออยู่ภายในเปลือกไข่เห็นได้ด้วยตา เปล่า ใช้เวลาประมาณ 17-21 วัน ข้ึนกับอุณหภูมิของน้า จากนั้นจึงฟักเป็นตัวที่ความเค็มของน้า 2-5 ppt. จะทาใหไ้ ขพ่ ฒั นาได้เรว็ กวา่ ปกติ การเลีย้ งกุง้ กา้ มกราม 1.ลกู กุ้งที่คว่าแล้วอายุประมาณ 1 สัปดาห์ ปรับสภาพให้อยู่ในน้าจืด 1-2 วัน ระดับน้าในบ่อไม่ต่ากว่า 60 เซนตเิ มตร อัตราปล่อย 10 ตัว/ตารางเมตร 80,000-100,000 ตวั /ไร่ อนุบาล 2-3 เดือน ไดก้ ุ้งขนาด 2- 5 กรัม ในอัตรารอด 40-50 % แล้วย้ายไปเลี้ยงในบ่อกุ้งโตปล่อยในอัตรา 20,000-30,000 ตัว/ไร่ เล้ียง นาน 4 เดือน แลว้ ทยอยจบั ก้งุ บางส่วนขายเดือนละครั้ง จบั ให้หมดเมอ่ื เลี้ยงนาน 6-10 เดือน มีอัตรารอด 80 % 2.การให้อาหารในระยะลูกกุ้ง ให้วันละ 2-4 คร้ัง มื้อเช้าให้น้อยและม้ือเย็นให้มาก เป็นอาหารชนิดเม็ด จมน้าเป็นอาหารที่มีความคงทนอยู่ในน้าได้นาน 4 ช่ัวโมง มีโปรตีน 30-40 % ในระยะ 2 เดือนแรกให้ อาหารสาเร็จรปู ประมาณ 30-40 % ของนา้ หนกั ตัว/วนั หรอื ประมาณ 1 กก./ไร่ในเดือนแรก และ 2 กก./ ไร่ในเดอื นท่ี 2 และให้อาหาร 5 % ของนา้ หนักตวั ในเดือนท่ี 3 สุดทา้ ยในเดอื นถัดมาใหอ้ าหาร 3 % ของ นา้ หนกั ตวั 3.การถ่ายเทน้าในบอ่ ควรมกี ารตรวจสภาพน้าเปน็ ประจา น้าในบ่อทเ่ี ขยี วจดั จะเกิดภาวะขาดออกซิเจน ทาใหก้ งุ้ ตาย แกไ้ ขโดยเปล่ียนถ่ายน้า การเล้ียง 1-2 เดือนแรกไม่จาเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายน้าแต่ใช้วิธีเพ่ิม ระดับน้าทุกสัปดาห์ จากนั้นในเดือนที่ 3 ถ่ายน้า 2-4 ครั้ง/เดือน โดยถ่ายน้าคร้ังละ 1 ใน 2 หรือ1 ใน 3 ของบ่อ ขึน้ กับสภาพน้าในบ่อ ฤดกู าล 4.การถา่ ยน้าควรควบคไู่ ปกบั การลากโซ่กน้ บอ่ 2-3 ครัง้ /การเปล่ียนถ่ายน้า 1 ครั้ง เพื่อกาจัดของเสียก้น บ่อท่ีมีเศษอาหารและคราบก้งุ ทห่ี มกั หมม 5.หลังถา่ ยนา้ จะมกี งุ้ บางส่วนทไ่ี ดน้ า้ ใหมจ่ ะลอกคราบ ทาใหอ้ ่อนแอไมก่ ินอาหาร

40 เชอ้ื ไวรัสท่ีพบ พบเช้ือไวรัส Extra small virus (XSV) และMacrobrachium rosenbergii nodavirus (MrNv) เกดิ ความเสียหายแกโ่ รงเพาะฟัก ถา้ พบในลูกกุ้งจะทยอยตาย ต้งั แต่ 13-25 วัน หากลูกกุ้งรอดแล้วนาไป เลยี้ งในบอ่ ดนิ ก้งุ จะทยอยตายบางส่วน โดยกุ้งท่ีป่วยลาตัวมีสีส้ม เม่ือดูดเลือดจะมีสีส้มแตกต่างจากกุ้ง ปกติ มกั เกดิ ในช่วงอากาศรอ้ นจัดระหว่างเดือนมีนาคม และเมษายน พบในภาคกลางกุ้งจะทยอยตาย มาก ในพ่อแม่พันธุ์ทาให้เกิดกล้ามเนื้อขาวขุ่น หากพบเฉพาะเชื้อ XSV หรือMrNv ตัวใดตัวหน่ึงกุ้งจะ ตายยากกวา่ แต่ถา้ พบเช้ือ XSV และMrNv ท้งั 2 ชนดิ พร้อมกนั กงุ้ จะตายไดง้ า่ ยมาก การตลาด บริษทั หอ้ งเย็นนิยมกงุ้ ขนาด 10-22 ตัว/กก. การจับกุ้งใช้อวนขนาดช่องตา 4 เซนติเมตร จับกุ้ง ในตอนเชา้ มดื หลังจากเลย้ี งก้งุ ได้ 6 เดือนจะเร่ิมจบั กุ้งขนาดใหญ่และกุ้งตัวเมียออกขายก่อน เพื่อให้กุ้ง ตัวผทู้ ่เี หลอื อยูเ่ จริญเติบโต หลังจากนัน้ จะจบั กุ้งทุกเดือนครง่ึ ถงึ สองเดอื นจนหมดบอ่ 3.การเพาะเลยี้ งปลาหางนกยงู (Guppy) ปลาหางนกยงู เป็นปลาทอ่ี อกลกู เปน็ ตวั มถี ิ่นกาเนดิ ทางทวีปอเมริกาใต้แถบเวเนซูเอลล่า อาศัย อยู่ในแหล่งน้าจืด น้ากร่อย ตัวผู้มีขนาด 3-5 เซนติเมตร ตัวเมียมีขนาด 5-7 เซนติเมตร นิยมเลี้ยงเป็น ปลาสวยงามท่ีได้รบั การคัดเลอื กและปรับปรงุ สายพนั ธ์ุมาจากพนั ธุ์พนื้ เมือง จะได้ลักษณะสายพันธุ์ใหม่ ทีม่ ีสีและลวดลายนครบี หาง ลกั ษณะทดี่ ขี องปลาหางนกยูง - ลาตวั มีขนาดใหญ่ หนาสมสว่ น ไมค่ ดงอ - ครีบหางใหญ่ พลว้ิ หนา แขง็ แรงสมบรณู ์ไมฉ่ ีกขาด ขณะวา่ ยน้าพลวิ้ ไม่พับ - สีและลวดลาย ตรงตามสายพนั ธุ์ คมเขม้ ชดั เจน - ความสมบรณู ์ของลาตัว ทรงตัวได้ตามปกติ การเพาะพันธุ์ ปลาหางนกยูง จะเจริญพันธุ์เม่ือปลามีอายุ 3 เดือน ลูกปลาพอท่ีจะแยกเพศได้เม่ืออายุ ประมาณ 1-1.5 เดอื น ควรเล้ยี งแยกเพศเพ่อื ไมใ่ หป้ ลาผสมกนั เอง นา้ ทใ่ี ช้เล้ยี งมพี เี อช 6.5-7.5 มอี อกซิเจนละลายในน้าไม่ต่ากว่า 5 มก./ลิตร อุณหภูมิน้า 25-29 องศาเซลเซยี ส ปลาหางนกยูงกินอาหารได้ท้ังพืชและสัตว์ (Omnivorous) ในการเล้ียงพ่อแม่พันธ์ุจึงให้ อาหารพวกสตั ว์นา้ ขนาดเลก็ เช่น ลกู น้า ไรแดง หนอนแดง ไรสีน้าตาล (อาร์ทีเมีย) และอาหารสาเร็จรูป ท่ีมีโปรตีนไม่ต่ากว่า 40 % โดยอาหารสดให้แช่ในด่างทับทิมเข้มข้น 500-1,000 ส่วนในล้านส่วน หรือ 0.5-1.0 กรัม/น้า 1 ลิตร เปน็ เวลา 10-20 วินาที ให้อาหารสดปริมาณ 10 % ของน้าหนักตัว อาหารแห้ง

41 ให้วนั ละ 2-4 % ของน้าหนกั ตวั ใหอ้ าหารวนั ละ 2 ครง้ั เชา้ และเยน็ ถา่ ยเทน้าทุกวนั โดยดูดน้าออก 1 ใน 3 แลว้ เติมน้าให้เทา่ ระดับเดมิ การคัดเลือกพอ่ แม่พนั ธุ์ ควรเลือกปลาท่มี อี ายุ 3 เดือนขึน้ ไป ทม่ี ลี าตวั ใหญ่ หนา สมส่วน ไมค่ ดงอ โคนหางใหญ่แข็งแรง ครีบสมบรูณ์ ครีบหางใหญ่พล้ิวหนาไม่ฉีกขาด รูปร่างได้สัดส่วน ว่ายน้าปราดเปรียว มีสีและลวดลาย สวยงาม เพศผมู้ ีอวยั วะสบื พันธ์ทุ ่ดี ัดแปลงมาจากครบี ก้นเรียก gonopodium การเพาะเล้ยี ง 1.เตรียมบอ่ ซเี มนต์ ขนาด 1 ตารางเมตร ระดบั น้าลึก 30-50 เซนตเิ มตร ใสพ่ ุ่มเชอื กฟาง ตะกร้า หรอื ฝาชี เพอ่ื ให้ลกู ปลาใชเ้ ป็นท่ีหลบซ่อน 2.คัดพ่อแม่พันธุ์อายุ 4-6 เดือน ปล่อยรวมกันในอัตราส่วน 120-180 ตัว/ลบ.ม. สัดส่วนตัวผู้ : ตัวเมีย เท่ากับ 1 : 3 หรือ1 : 4 ให้ไรแดงเป็นอาหารในตอนเช้า ให้อาหารสาเร็จรูปในตอนเย็น ปลาเพศเมียที่ ได้รบั การผสมแล้ว จะเหน็ จดุ สดี าบริเวณท้อง 3.หลงั การผสมพันธุป์ ระมาณ 26-28 วนั จะมีลูกปลาวยั อ่อนเกิด และหลบซ่อนอยู่ตามวัสดุที่มาใส่ไว้ใน บอ่ ใหร้ วบรวมลูกปลาทุก 4-5 วัน/บ่อ เพ่ือให้ลูกปลามขี นาดใกลเ้ คียงกัน แล้วปล่อยในบ่ออนุบาลความ หนาแน่น 150-300 ตัว/ลบ.ม. 4.ใน 2 สัปดาหแ์ รก ใหไ้ รแดงเปน็ อาหารทัง้ เช้าและเยน็ จากน้ันจึงใหอ้ าหารสาเร็จรูป เมื่อลูกปลาอายุได้ 3 สัปดาห์จงึ เริม่ แยกเพศ โดยปลาตัวเมียมีจุดสีดาบริเวณรูเปิดช่องท้อง ส่วนปลาตัวผู้มีรูปร่างเรียวยาว กว่าตัวเมีย 5.คดั ขนาดและแยกเพศปลา นาไปเลี้ยงในบ่อ อัตรา 200-300 ตัว/ลบ.ม. ใหก้ นิ ไรแดงในตอนเช้า และให้ อาหารสาเร็จรปู ในตอนเย็น เลย้ี งนาน 3 เดือน (รวมอายปุ ลาได้ 4 เดอื น) จึงคดั ขนาดเลอื กปลาที่สมบรูณ์ แข็งแรงไปเล้ียงในบ่อพักเพอ่ื เตรียมสง่ จาหน่าย โรคทีพ่ บในปลาหางนกยงู 1.โรคจดุ ขาว เกิดจากสัตว์เซลล์เดียวช่ือ Ichthyophthirus multifilis (Ich) เข้าเกาะตัวปลาและฝังตัวท่ีผนัง ชั้นนอกของปลา สรา้ งความระคายเคอื ง ปลาจึงสร้างเซลล์ผิวหนังหุ้มเห็นเป็นจุดสีขาว ยังไม่มีวิธีกาจัด Ich ทีฝ่ งั อยใู่ ตผ้ ิวหนงั แต่ให้ทาลายตัวอ่อนทอ่ี ยใู่ นนา้ โดยฟอร์มาลิน 25-30 ซีซี/น้า 1,000 ลิตร ผสมกับ มาลาไคทก์ รนี 0.1 กรมั /นา้ 1,000 ลิตร แชท่ ้ิงไว้ และทาซ้าอีก 3-4 ครง้ั ทกุ สปั ดาห์ 2.โรคปลิงใส เกิดจากปาราสิตตัวแบน 2 ชนิด คือ Gyrodactylus และDactylogyrus มักพบตามบริเวณ เหงอื ก และผิวหนัง การรักษาใช้ฟอร์มาลินเข้มข้น 40 ซีซี./น้า 1,000 ลิตร แช่ท้ิงไว้ตลอด ทาซ้าอีก 3-4 ครัง้ ห่างกนั ครงั้ ละ 7 วนั โดยเฉพาะน้าอณุ หภมู ิ 28-30 องศาเซลเซียส

42 3.โรคที่เกิดจากหนอนสมอ (Lerneae) หนอนสมอ มีลาตัวเป็นรูปทรงกระบอก ส่วนหัวคล้ายสมอทาหน้าที่ยึดเกาะกับตัวปลา การ รกั ษาใชด้ พิ เทอร์เรกซเ์ ขม้ ข้น 0.25-0.50 กรัม/นา้ 1,000 ลติ ร แชท่ งิ้ ไว้ 4.โรคท่เี กิดจากแบคทีเรีย แบคทีเรยี Aeromonas และPsudomonas มีอาการครีบและหางกร่อน ท้องบวมน้า เกล็ดพอง รักษาโดยปฏิชีวนะ เช่น ไนโตรฟูราโซน 1-2 กรัม/น้า 1,000 ลิตร แช่ปลานาน 2-3 วัน หรือออกซีเตตร้า ซัยคลนิ หรือเตตรา้ ซยั คลิน ผสมน้าอัตรา 10-20 มิลลกิ รัม/นา้ 1 ลิตร หรอื เกลือแกง 0.5-1.0 % แบบฝกึ หดั ใบความรู้ที่ 6 เร่ือง วธิ กี ารเพาะพันธแุ์ ละเล้ยี งสัตวน์ า้ แบบต่างๆ แบบฝึกหัดเป็นแบบเลือกตอบ โดยกากบาท ทับตัวเลือกท่ีถูกท่ีสุดเพียงตัวเลือกเดียวจา ก ตัวเลอื ก ก. ข. ค. และ ง . (คะแนนเตม็ 5 คะแนน) 1.ปลาใด ทช่ี อบวางไขใ่ นนา้ ไหล ก.ปลาย่ีสก ปลาบกึ ข.ปลาแรด ปลากัด ค.ปลาทราย ปลาทนู า่ ง.ปลาแซลมอน 2.ปลาใด ที่ชอบวางไขใ่ นนา้ นงิ่ ก.ปลายสี่ ก ปลาบึก ข.ปลาแรด ปลากัด ค.ปลาทราย ปลาทูนา่ ง.ปลาแซลมอน 3.การใชโ้ ล่ติน๊ สดสาดให้ทัว่ บ่อ เพ่อื อะไร ก.เกดิ แพลงตอน ข.เกดิ ตะไคร่น้า ค.กาจดั ศัตรปู ลา เชน่ งู กบ ง.เกดิ ข้ีแดด 4.ปลอ่ ยปลาสลดิ ลงเลี้ยงในเวลาเช้าอากาศไมร่ ้อน ในอตั ราส่วนพืน้ ที่ผิวน้าปลาก่ตี ัว/ตารางเมตร ก.1-3 ข.2-3 ค.4-5 ง.5-10

43 5.การให้อาหารปลาสลดิ ควรจะให้เมอื่ ปลามอี ายุไดก้ เี่ ดือน ก.4-5 เดอื น ข.6-7 เดอื น ค.7-9 เดอื น ง.10 เดอื นขึ้นไป 6.ขอ้ ใด เปน็ ศัตรขู องปลาสลิด ก.ปลานิล ปลาตะเพยี น ข.ชะโด ตะพาบ กบ เขียด ค.ปลาจีน ง.ฉลาม แมวนา้ 7.กุ้งกา้ มกราม มหี ลายช่อื ไดแ้ ก่ขอ้ ใด ก.กุง้ หลวง กงุ้ ใหญ่ กุง้ นาง ข.กุ้งมังกรน้าจดื ค.กุง้ แชบ๊วย ง.ก้งุ ขาว 8.ก้งุ ก้ามกราม ขนาด 2-5 กรมั ควรปล่อยในอตั ราส่วนใด และใชเ้ วลาเลย้ี งนานเท่าไร ก.5,000-10,000 ตัว/ไร่ เลีย้ งนาน 2 เดอื น ข.10,000-15,000 ตัว/ไร่ เลยี้ งนาน 5 เดอื น ค.30,000-40,000 ตวั /ไร่ เลยี้ งนาน 3 เดอื น ง.20,000-30,000 ตวั /ไร่ เลย้ี งนาน 4 เดอื น 9.ปลาหางนกยูง เจริญพนั ธใ์ุ นอายุกี่เดอื น ก.1 เดือน ข.2 เดือน ค.3 เดือน ง.4 เดอื น 10.โรคปลงิ ใส เกดิ จากปาราสติ ใด ก. Aeromonas และPsudomonas ข.Gyrodactylus และDactylogyrus ค.Ichthyophthirus ง. Lerneae เฉลยแบบฝึกหัดใบความรูท้ ี่ 6 ขอ้ ท่ี คาตอบ ขอ้ ที่ คาตอบ 6ข 1ก 7ก 2ข 8ง 3ค 9ค 4ง 10 ข 5ค

44 เอกสารอ้างอิง 1.www.nicaonline.com 2.ภานุมาศ ปิยะภานุกูล. 2556. แผนการจัดการเรียนรู้บูรณาการฐานสมรรถนะตามหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง วชิ าการประมงท่ัวไป. วิทยาลัยการอาชีวศกึ ษาปทมุ ธานี, จังหวดั ปทุมธานี. 53 น. กิจกรรมการเรยี นรู้ 1.นกั ศกึ ษานาส่งโครงการ (แบ่งกลุ่มเลยี้ งปลาตน้ ภาคเรียน) รายงานผลการเลี้ยงปลา 2.ผลการจาหนา่ ย 3.สรุป โครงการส่งครู 4.ครูสรปุ บนั ทกึ หลงั การเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………… ลงชอื่ …………………………………..อาจารยป์ ระจาวิชา

45 แผนการเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี 7 จานวน 9 ช่ัวโมง ชือ่ วชิ า การประมงท่ัวไป ชอ่ื หนว่ ย การใชป้ ระโยชน์จากสัตว์น้า ช่อื เรื่องหรอื งาน การใชป้ ระโยชนจ์ ากสัตวน์ ้า รายการสอน 1.การใช้ประโยชน์จากสตั ว์น้า 2.ประเภทผลิตภณั ฑส์ ตั ว์นา้ 3.ผลติ ภัณฑ์สัตวน์ ้าพน้ื เมือง 4.ผลติ ภัณฑ์เนอ้ื ปลาบด และซรู ิมิ 5.สตั ว์นา้ สด จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1.ทราบการใช้ประโยชนจ์ ากสัตว์นา้ 2.ทราบประเภทผลติ ภัณฑส์ ัตวน์ ้า 3.ทราบผลิตภัณฑส์ ัตว์น้าพื้นเมือง 4.ทราบผลิตภณั ฑ์เนือ้ ปลาบด และซูรมิ ิ 5.ยกตวั อยา่ งของสัตวน์ า้ สด เนื้อหาสาระ 1.การใช้ประโยชน์จากสตั ว์นา้ สตั ว์น้ามคี ณุ ประโยชน์แก่มนุษย์ ก่อใหเ้ กดิ อุตสาหกรรมครัวเรอื น ท้องถน่ิ ธรุ กจิ ขนาดเล็ก ขนาด กลาง และขนาดยอ่ ม เกิดการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจ มีอตุ สาหกรรมต่อเนอื่ ง เช่น โรงงานปลาป่น โรงงานทาปลาบด ลกู ชนิ้ ปลากระป๋อง ปลาป่น ปลาแปรรูป อาหารสาเร็จ อาหารปลา น้ามันปลา การ ทาแคลเซยี มจากก้างปลาบด เปน็ ต้น สัตว์นา้ ใชท้ าผลิตภัณฑอ์ าหาร เชน่ การทาแหง้ การทาเค็ม การรมควัน การบรรจุในภาชนะปิด สนิท การทาผลติ ภณั ฑอ์ ุตสาหกรรม เช่น การทานา้ มันจากปลา การทาหนงั แมวน้า ทาผลิตภัณฑ์เกษตร เช่น ปลาป่น ปุ๋ยชีวภาพจากเศษเหลือของสัตว์น้า ผลิตภัณฑ์ยา และอาหารเสริม เช่น น้ามันตับปลา นา้ มันปลา อินซลู ินจากตบั ออ่ นของปลา

46 นอกจากน้ี ยังมีสินค้าส่งออกไปจาหน่ายยังต่างประเทศ เช่น ผลิตภัณฑ์เน้ือปลาบด ซูริมิ ท่ี สามารถนาไปแปรรปู เป็นผลติ ภัณฑ์อ่ืนๆ เช่น ลกู ชิน้ ปลา ปอู ดั เตา้ หปู้ ลา ชกิ วู า (ปลาหมึกเทียม) 2.ประเภทผลิตภณั ฑส์ ตั วน์ ้า ผลติ ภัณฑ์สัตว์น้า แบง่ ออกเปน็ 4 ประเภท ก.ผลติ ภณั ฑอ์ าหาร หมายถงึ สัตว์น้าท่ีนามาแปรรูปแล้ว ใช้เป็นอาหารมนุษย์ เช่น การทาแห้ง การทาเคม็ การรมควัน และการบรรจุในภาชนะปิดสนิท ข.ผลติ ภัณฑ์อุตสาหกรรม หมายถึง สัตว์น้าท่ีใช้ในอุตสาหกรรมอ่ืนที่ไม่ใช่อุตสาหกรรมอาหาร เชน่ การทาน้ามนั และไขมันจากวาฬ การทาหนงั แมวนา้ ค.ผลติ ภัณฑ์เกษตรกรรม หมายถึง สัตว์น้าท่ีนามาใช้เป็นอาหารสัตว์หรือเป็นปุ๋ย เช่น ปลาป่น ปุย๋ ชีวภาพจากเศษเหลอื ของสัตว์น้า ง.ผลติ ภัณฑ์ยาและอาหารเสริม หมายถึง สัตว์น้าที่นามาใช้ทางการแพทย์ เช่น น้ามันตับปลา น้ามันปลา อนิ ซูลนิ จากตบั ออ่ นของปลา 3.ผลติ ภัณฑส์ ัตวน์ า้ พ้นื เมอื ง ผลิตภัณฑ์สัตว์น้าพื้นเมือง เป็นผลิตภัณฑ์ท่ีเป็นเอกลักษณ์ประจาท้องถิ่น เป็นภูมิปัญญา พนื้ บา้ นทสี่ ืบทอดต่อกันมา ไดแ้ ก่ -ผลติ ภัณฑส์ ตั ว์นา้ หมกั ดอง เชน่ กะปิ นา้ ปลา ปลารา้ ไตปลา น้าบูดู ปลาส้ม ส้มฟัก ปลาจ่อม ปลาเจา่ เค็มบักนทั กง้ั ดอง ปูดอง หอยดอง -ผลิตภณั ฑ์สตั วน์ า้ ทาเค็ม เช่น ปลาอินทรีเค็ม ปลากเุ ลาเคม็ ปลาสลิดเคม็ ปลาทเู คม็ -ผลิตภัณฑ์สัตว์น้าแห้ง เชน่ ปลาแห้ง กงุ้ แห้ง หอยแหง้ ปลาหมึกแห้ง -ผลติ ภณั ฑ์สตั วน์ า้ รมควัน เช่น ปลารมควนั ปลากรอบ -ผลิตภณั ฑ์สัตว์น้าจากเนื้อปลาบด เช่น ลูกชิ้นปลา ปลาเส้น ปลายอ ปลาแผ่นทรงเครื่อง ข้าว เกรียบปลา 4.ผลิตภณั ฑ์เน้อื ปลาบด และซรู มิ ิ เนอื้ ปลาบด (Minced fish) หมายถึง ผลิตภัณฑ์ท่ีได้จากการนาปลาที่ผ่านการเตรียมเบื้องต้น เพยี งแคก่ ารตัดหวั ควักไส้ หรอื ช้นิ เนือ้ ปลาท่ีได้จากการแลไ่ ปแยกเน้ือออกจากส่วนของก้างและหนังปลา ดว้ ยเคร่อื งแยกเน้ือ (Deboner) เนื้อปลาบดท่ไี ดจ้ ึงยงั คงองค์ประกอบทางเคมี สี และกล่ิน เช่นเดียวกับ เนื้อปลาปกติ ซูรมิ ิ (Surimi) หมายถงึ เนื้อปลาบดท่ีผ่านการแยกก้างออก แล้วล้างออกด้วยน้าเพ่ือขจัดไขมัน และองคป์ ระกอบทีล่ ะลายนา้ ได้ ส่วนใหญท่ ่ีขจดั ออก ไดแ้ ก่ โปรตีนท่ีละลายนา้ ออกไป จากน้ัน กาจัดน้า

47 บางส่วนออก ผลิตภัณฑ์ท่ีได้อาจนาไปทาผลิตภัณฑ์ทันที หรือผสมสารเจือปนอาหาร เช่น น้าตาล ฟอสเฟต แล้วเก็บไว้ในรูปผลิตภัณฑ์แช่เยือกแข็งเพื่อแปรรูป เช่น ลูกชิ้นปลา ปูอัด เต้าหู้ปลา ชิกูวา (ปลาหมกึ เทยี ม) องค์ประกอบของซูริมิ จะแตกต่างจากเนื้อปลาบด มีคุณลักษณะสาคัญคือ มีสีขาว ไม่มีกล่ิน คาวปลา และมคี วามสามารถในการเกิดเจลทดี่ ี 5.สัตวน์ ้าสด สตั วน์ า้ สด หมายถงึ สตั ว์นา้ หลังตายใหม่ๆ มีคุณภาพดี มีความสด ยังไม่เกิดการเปล่ียนแปลง ใดๆ โดยปฏิกริ ิยาเคมี และกจิ กรรมของจุลนิ ทรีย์ การตรวจสอบคณุ ภาพสัตว์น้าสด 1.กงุ้ ตามีสีดาใส ผิวตามันและเต่ง ผิวเปลือกสดใสเป็นมัน เน้ือใสแน่น กล่ินสดคล้ายสาหร่ายทะเล สด หรอื คลา้ ยกล่นิ ทะเล 2.ปลา ลูกตานูนเต่ง ใส ตาดาสดใส หนังใสมีประกาย เมือกใสไม่เหนียว มีกล่ินคาวแต่กลิ่นไม่แรงจัด เหงือกแดงใส เน้ือเมื่อกดเบาๆ จะรู้สึกแน่นมีสปริง เมื่อปล่อยรอยน้ิวจะจางและหายเร็ว ส่วนท้อง สมบรณู แ์ น่น ไม่ยบุ หรอื บวม เมื่อผา่ ดูอวัยวะภายในชอ่ งท้องยังสมบรูณ์ 3.ปู ก้านตาต้ัง ตาสีดาใส ผิวตามันและเต่ง เปลือกสีกระดองใสเป็นมัน เม่ือกดท้องจะแน่น เนื้อ คล้ายวนุ้ กลน่ิ คลา้ ยทะเลสด 4.หมกึ ตานูนเต่ง ตาดากลม ตาขาวสีเงินเป็นมันวาว เย่ือหุ้มตาใส ผิวตัวใสประกายเป็นเงามัน เนื้อ แนน่ จนถงึ แขง็ กลน่ิ คาวตามธรรมชาติ กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1.ครูนานกั ศึกษาไปดูสัตวน์ า้ สดที่ตลาดสด หรือห้างสรรพสนิ ค้าทอี่ ยู่ใกลว้ ิทยาลัย 2.นักศึกษาจดบันทึก คุณภาพสัตว์น้าสดท่ีพบเห็น เช่น กุ้ง หอย ปู ปลาน้าจืด ปลาน้าเค็ม ผลิตภัณฑ์ แปรรูปจากสตั ว์น้าตา่ งๆ ทีว่ างจาหน่าย 3.นกั ศึกษาทาใบงาน เรอื่ งการใช้ประโยชนจ์ ากสตั ว์น้า ผลติ ภัณฑ์สัตว์น้า 4.ครสู รุป

48 แบบฝึกหดั ใบความรู้ท่ี 7 เรอื่ ง การใช้ประโยชน์จากสัตวน์ า้ แบบฝึกหัดเป็นแบบเลือกตอบ โดยกากบาท ทับตัวเลือกที่ถูกที่สุดเพียงตัวเลือกเดียวจาก ตัวเลอื ก ก. ข. ค. และ ง . (คะแนนเตม็ 10 คะแนน) 1.สตั ว์นา้ มีคุณประโยชน์แก่มนษุ ย์ อยา่ งไร ก.กอ่ ใหเ้ กดิ อตุ สาหกรรมครัวเรือน ข.เกดิ การหมนุ เวียนของระบบเศรษฐกจิ ค.มีอตุ สาหกรรมต่อเน่อื ง เช่น โรงงานปลาปน่ ง.ถูกทกุ ข้อ 2.สัตว์น้า ใชท้ าผลิตภัณฑอ์ าหารอย่างไร ก.การทาแห้ง ข.การทาเคม็ ค.การรมควัน ง.ถกู ทกุ ขอ้ 3.ข้อใด เป็นผลิตภณั ฑส์ ตั ว์นา้ ท่ใี ช้ในอตุ สาหกรรม ก.ไขมันจากวาฬ การทาหนงั แมวนา้ ข.การทาแหง้ รมควัน ค.ปลาปน่ ง.น้ามนั ตับปลา 4.ขอ้ ใด เปน็ ผลิตภัณฑ์สัตว์น้าทีเ่ ป็นผลติ ภณั ฑ์ยา ก.ไขมันจากวาฬ การทาหนังแมวน้า ข.การทาแหง้ รมควัน ค.ปลาปน่ ง.น้ามนั ตบั ปลา 5.ขอ้ ใด จัดเปน็ ผลติ ภัณฑ์สตั ว์น้าหมักดอง ก.ปลาอินทรีเคม็ ปลากุเลาเคม็ ข.กะปิ นา้ ปลา ปลารา้ ไตปลา น้าบดู ู ปลาสม้ ค.ปลาแหง้ กุ้งแห้ง ง.ลูกชิน้ ปลา ปลาเสน้ ปลายอ 6.เน้อื ปลาบด หมายถึง ก.ช้นิ เน้อื ปลา ข.แยกเนอื้ ออกจากกา้ งและหนงั ค.ยังคงองค์ประกอบเชน่ เน้ือปลาปกติ ง.ถูกทุกข้อ

49 7.ซรู ิมิ หมายถึง ก.เนื้อปลาบดทีผ่ ่านการแยกกา้ งออก ข.ลา้ งออกดว้ ยนา้ เพือ่ ขจัดไขมันและโปรตนี ทลี่ ะลายนา้ ออก ค.เก็บไว้ในรปู ผลติ ภณั ฑ์แช่เยือกแขง็ เพือ่ แปรรปู ง.ถูกทกุ ขอ้ 8.ซูริมิ ต่างจากเน้ือปลาบดอย่างไร ก.เป็นช้นิ เนอื้ ปลา ข.แยกเน้อื ออกจากก้างและหนัง ค.มสี ีขาว ไมม่ ีกล่ินคาวปลา และมีความสามารถในการเกดิ เจลท่ีดี ง.ยังคงองค์ประกอบเชน่ เน้ือปลาปกติ 9.ลกั ษณะของกุง้ สด ก.ลกู ตานนู เตง่ ใส ตาดาสดใส ข.ผวิ ตามันและเต่ง ผวิ เปลือกสดใสเปน็ มัน เนอ้ื ใสแนน่ ค.ตาขาวสีเงนิ เป็นมนั วาว เย่ือหมุ้ ตาใส ง.เนือ้ เมอ่ื กดเบาๆ จะรู้สึกแนน่ มีสปรงิ 10.ลกั ษณะของปลาสด ก.เหงือกแดงใส เนื้อเม่อื กดเบาๆ จะรสู้ ึกแน่นมสี ปรงิ ท้องสมบรูณ์แน่น ไมย่ ุบหรอื บวม ข.ผิวเปลอื กสดใสเปน็ มัน เนือ้ ใสแนน่ กลิ่นสดคลา้ ยสาหรา่ ยทะเล ค.เปลอื กสีกระดองใสเป็นมัน เมอื่ กดท้องจะแนน่ เน้อื คลา้ ยวุ้น กล่นิ คล้ายทะเลสด ง.เยอ่ื หมุ้ ตาใส ผวิ ตวั ใสประกายเปน็ เงามนั เน้ือแน่นจนถงึ แขง็ กล่ินคาวตามธรรมชาติ เฉลยแบบฝกึ หดั ใบความรู้ท่ี 7 ขอ้ ที่ คาตอบ 6ง ขอ้ ท่ี คาตอบ 7ง 1ง 8ค 2ง 9ข 3ก 10 ก 4ง 5ข


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook