Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2. หลักสูตรนายสิบอาวุโส

2. หลักสูตรนายสิบอาวุโส

Published by ตำราเรียน, 2019-11-16 17:50:34

Description: 2. หลักสูตรนายสิบอาวุโส _ปรับปรุง ๕๗

Search

Read the Text Version

๔๗ ตงั้ บ้านตงั้ เมืองมา ยังไมเ่ คยมใี ครเรยี นไวไ้ ดห้ มดทุกข้อสักคนเดียว มีบ้างก็แต่จําตรงน้ันนิดตรงนี้หน่อย ซ่ึงแม้จะ จําของท่านได้เพียงบางส่วนและเพียงส่วนน้อยเท่าน้ัน ก็กลายเป็นคนเฉลียวฉลาด มีคนนับหน้าถือตา และ พูดจาอะไรก็ถูกต้องดี เราลองหลับตานึกดูซิว่า ถ้ามีใครเรียนรู้รอบจบหมดทั้งพระไตรปิฎก คนน้ันจะเก่งสักแค่ ไหน ก็พระพุทธเจ้าน้ันพระองค์ทรงรู้รอบหมด จบสิ้นทุกข้อทุกกระทงและยังแถมตรัสรู้เองเสียด้วยอีก นึกดูแค่ น้ีก็น่าอัศจรรย์พอแล้ว และเชื่อได้แล้วว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐจริงๆ ทั้งน้ี แสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง เป็น ทางนึกคิดอย่างสามัญสํานึกเท่าน้ัน ก็ยังพอเช่ือได้อย่างสนิทใจแล้วว่าพระพุทธเจ้ามีจริง และเป็นผู้ประเสริฐ จรงิ ๆ ทางคิดอ่นื ๆ กย็ งั มีอกี มาก ข้อท่ี ๒ ศีลบริสุทธ์ิ ที่ว่ามีศีลบริสุทธ์ิก็คือพยายามรักษาศีลให้ได้ ท่ีเป็นพื้นฐานจริงๆ ก็คือศีลห้า การท่จี ะรักษาศลี ให้ได้นัน้ บางคนพอได้ยนิ เขา้ ก็ท้อใจ เพราะตนเองตั้งใจผิด คือนึกไปว่า ต่อแต่นี้ไปตนจะต้องมี งานหนักเพ่ิมขึ้นอีกอย่างหน่ึง คือจะต้องรักษาศีลถึง ๕ ข้อ เม่ือก่อนไม่ต้องรักษาศีลก็เหน่ือยพออยู่แล้ว ทีน้ี จะต้องเอาศีลจากพระมารักษา พอไปคิดต้ังโจทย์ผิดเข้าเท่านี้ก็เลยท้อใจ อันท่ีจริงการรักษาศีล ๕ น้ัน ก็คือ รักษาตัวเองไวเ้ ท่านั้น รกั ษามือรกั ษาปากของเรานี้เอง และรักษาก็คือรักษาไวใ้ ห้มั่นดตี ามเดิมเท่าน้ัน ชื่อสิ่งท่ีจะ รักษาท่านก็บอกอยู่แล้วว่ารกั ษาศลี คอื รกั ษาปกติเดมิ ของตนเอง ข้อที่ ๓ เช่ือกรรม ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ความจริงข้อนี้จะพูดแต่ว่า เช่ือกรรมเฉยๆ ก็ได้ เพราะคนท่ี เช่ือกรรมก็ย่อมจะไม่ถือมงคลตื่นข่าวอยู่เอง มงคลที่ว่าน้ีตรงกับท่ีชาวบ้านเราพูดกันว่า “ของดี” เช่น ที่เขาพูด กันวา่ อาจารยน์ ้นั มีของดี อาจารย์โนน้ มขี องดี แลว้ กเ็ ท่ียวไปขอของดีจากที่นั่นที่นี่ คําว่า ของดี ท่ีพูดกันนี้บางที เรียกว่าของขลัง ของศักดิ์สิทธ์ิ แต่แล้วจะเรียกกันไป ภาษาทางศาสนาท่านเรียกรวมกันเลยว่า “มงคล” ทีน้ี มงคลนั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนว่ามีอยู่สองประเภท คือมงคลของพวกที่รู้จริงอย่างหน่ึง อีกอย่างหน่ึงเป็นมงคล ของพวกท่ีงมงาย คอื ต่นื เต้นไปตามคําเล่าลือของคนอื่น เห็นเขาว่าอะไรดี ก็พลอยไปกับเขา คนท่ีถือมงคลอย่าง น้ีเรียกว่า ถือมงคลต่ืนข่าว มีปัญหาว่า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงห้ามการถือมงคลต่ืนข่าวแล้ว พระองค์จะทรงให้ พวกเราถือมงคลแบบไหนล่ะ แน่นอน พระองค์ทรงสอนให้เราถือมงคลแบบตื่นตัว ไม่ใช่ตื่นข่าว มงคลแบบ ตื่นตัวที่ว่านี้ หมายความว่า ให้เราหันเข้ามาดูท่ีตัวเราเอง จะได้รู้ความจริงว่า กรรมคือการกระทําของเรานี้ ต่างหาก จะทาํ ให้เรามีมงคลหรอื มอี ัปมงคล กศุ ลกรรมทีเ่ ราทาํ ยอ่ มเปน็ มงคลแกเ่ รา อกุศลกรรมท่เี ราทาํ ย่อมเป็นอัปมงคลแก่เรา อุบาสก คอื ผทู้ เี่ ปน็ ชาวพุทธแท้ เป็นคนของพระพทุ ธเจา้ จะตอ้ งเชอื่ กรรม ข้อท่ี ๔ ไม่แสวงบุญนอกพระพุทธศาสนา คุณสมบัติข้อนี้ มีลักษณะเป็นข้อห้าม คือห้ามไม่ให้ ชาวพุทธแสวงหาบุญนอกพระพุทธศาสนา เรื่องน้ีมีบางคนเข้าใจผิด คือ เข้าใจว่า ท่านห้ามมิให้ชาวพุทธ ช่วยเหลือคนท่ีนับถือศาสนาอื่น ย่ิงไปอ่านคุณสมบัติข้อท่ี ๕ มาบวกกันเข้าด้วย ก็ยิ่งชวนให้สงสัย ประการ สําคัญคอื ในหนังสือนวโกวาทอันเป็นหลักสูตรนักธรรม ท่านไปแปลข้อ ๕ ไว้ว่า “ทําบุญแต่ในพระพุทธศาสนา” ก็ย่ิงชวนให้เข้าใจเอาสนิทว่า ชาวพุทธเรานี้ บําเพ็ญประโยชน์แก่ศาสนาอื่นไม่ได้ พอเข้าใจเสียอย่างนี้แล้วก็เลย คิดเตลิดไปว่า ถ้าไปช่วยศาสนาอ่ืนก็ผิดศาสนา เลยไปกันใหญ่ พาให้ชาวโลกเขาตําหนิติเตียนเอาว่า พวก ชาวพุทธเป็นคนเห็นแก่ตัว รับของคนอื่นได้แต่ให้แก่คนอ่ืนไม่เป็น ซึ่งเป็นลักษณะของคนท่ีคบไม่ได้ชัดๆ อันท่ี จริงเราต้องเข้าใจว่า การทําบุญกับการสงเคราะห์เป็นคนละอย่าง ทําบุญคือทําให้ใจเราบริสุทธิ์สะอาด ส่วน

๔๘ สงเคราะห์ หรอื การชว่ ยเหลอื กัน หรือจะเรียกว่า ทําคุณก็ได้ เราต้องแยกความมุ่งหมายกันได้ เมื่อแยกอย่างนี้ แล้วพึงเข้าใจว่า การสงเคราะห์กันนั้น เราจะสงเคราะห์ใครก็ได้ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาท่ีสอนให้คนใจ กวา้ ง ตามปกติเรากค็ ดิ แผเ่ มตตาแกส่ รรพสตั ว์ทกุ อย่างอยูแ่ ล้ว แม้แตส่ ัตว์เดียรจั ฉาน เราก็แผ่เมตตาให้ได้ ก็แล้ว ทําไมเราจะช่วยคนที่นับถือศาสนาอ่ืนไม่ได้เล่า เขาช่ัวช้าเลวทรามอย่างไร ที่เขามีศาสนาประจําตัวนั้น ก็ย่อม แสดงอยแู่ ลว้ ว่า เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง เฉพาะเรื่องการทําบุญเท่าน้ัน ท่ีท่านกล่าวไว้ในคุณสมบัติข้อน้ี ที่ห้ามนั้นก็ ห้ามอย่างมีเหตุผล คือการแสวงบุญเพ่ือทําให้จิตใจสะอาดนั้น ก็มีทํากันอยู่ทุกศาสนา แต่ละศาสนาก็มีวิธีทําไป ต่างๆ กัน เชน่ - พวกศาสนาคริสต์ การแสวงบญุ ก็ทําโดยการไปสารภาพบาปกับบาทหลวง ไปกราบไหว้พระเยซูหรือ นักบุญต่างๆ เดินทางไปไหว้ท่ีเกิดที่ดับของพระศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ท่ีประเทศจอร์แดน ถ้าศรัทธาแรงกล้า ผูช้ ายก็ไปบวชเป็นบาทหลวง ผู้หญิงกไ็ ปบวชเปน็ แม่ชี (ฝรง่ั ) - ศาสนาอสิ ลาม การแสวงบญุ ก็ไปสวดอ้อนวอนพระเจ้าในสุเหรา่ ไปอา่ นไปฟงั คมั ภรี ์อลั กุรอาน พอถึง เดือนรอมฎอน (เดือนท่ี ๙ ของอาหรับ) ก็ไปถือศีลอด ทําพิธีละหมาด (ไหว้พระเจ้า) วันละห้าครั้ง ใครที่มีทรัพย์ก็ เดินทางไปนมัสการหินศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิทเ่ี มอื งมักกะฮ์ ประเทศซาอุดอิ าระเบีย - ศาสนาฮินดู การแสวงบุญก็พากันไปล้างบาปที่แม่นํ้าคงคา ไปไหว้พระศิวะ พระนารายณ์ ไปกราบ ไหว้ศิวลึงค์ ไหว้รูปนางอุมา ทศ่ี รัทธาแรงกล้ากอ็ อกบวชเป็นฤาษีไป เขา้ ไปอย่ทู เ่ี ขาหิมาลัย น่ียกตัวอย่างให้เห็นว่า วิธีแสวงบุญของศาสนาอื่นก็มีทุกศาสนา จะว่าของใครดีกว่าของใครไม่น่าจะ ว่าได้ เพราะแต่ละศาสนาก็มีวิธีชําระจิตใจครบตามส่วนสัดของตน เหมือนกับยาเป็นขนานๆ นั่นแหละ แต่ละ ขนานกม็ ีตัวยาผสมกันหลายอย่าง ที่ฝ่ายศาสนาพุทธก็มีวิธีทําจิตใจบริสุทธ์ิ ที่เรียกว่าทําบุญ เป็นอีกแบบหน่ึงต่างหาก ก็เป็นชุดหน่ึงของ เราเอง ได้แก่ ทาน – ศีล – ภาวนา รวมสามอย่าง ใครสมัครมานับถือศาสนาพุทธแล้วต้องทําบุญแบบนี้ เท่ากับว่าถ้าจะให้หมอคนไหนรักษา ก็ต้องกินยาของหมอคนนั้น คนท่ีบอกว่าให้หมอคนนี้รักษา แต่ยังว่ิงพล่าน ไปกินยาหมอไหนๆ ทั่วบ้านทั่วเมือง นอกจากจะแสดงว่าตนเป็นคนขาดความนับถือในหมอประจําแล้ว โรคของ แกกค็ งไม่หาย พลาดท่าเลยจะสาํ ลักยาตายเอางา่ ยๆ แล้วลงใครเป็นคนไข้แบบนี้ หมอไหนๆ ก็คงไม่มีใครอยากจะ ช่วยจริง คนถือศาสนาหน่ึงแล้ว ยังเที่ยววิ่งพล่านไปเที่ยวแสวงบุญแบบศาสนาอ่ืนก็เหมือนกัน ในที่สุดก็คงเอาดี ไม่ได้สักอย่างเดียว ท่านลองนึกวาดภาพดูสักคนหน่ึงก็ได้ ติต่างว่ามีนายคนหนึ่งชื่อนายเหลาะแหละ ที่คอแก แขวนพระพุทธรูปหน่ึงองค์ ไม้กางเขนหนึ่งอัน ศิวลึงค์หน่ึงอัน วันพระไปถืออุโบสถท่ีวัดพุทธ พอวันศุกร์ไปทํา ละหมาดที่สุเหร่าอิสลาม วันอาทิตย์ไปล้างบาปที่โบสถ์คริสต์ อายุ ๒๐ ปีบวชเป็นพระสงฆ์ อายุ ๒๑ ปี ไปบวชเป็น บาทหลวง อายุ ๒๒ ปี ไปทําพิธีฮัจย์ที่เมืองมักกะฮ์ ปีน้ีนายเหลาะแหละทําบุญอายุ ไปเชิญบาทหลวงสวดมนต์ ปีหน้าลูกสาวจะแต่งงานไปเชิญอิหม่ามมาสวด ปีต่อไปเกิดไปเชิญพราหมณ์มาบังสุกุลศพแม่ แม้ท่ีโต๊ะบูชาใน บ้านของอีตาเหลาะแหละ ก็ตั้งรูปเคารพสารพัดอย่าง เพียงเท่านี้ก็ขอให้ท่านตรองดูเองว่า แกเป็นคนดีหรือคน บ้า แล้วก็พระของศาสนาไหน จะเอาเป็นธุระคุ้มครองให้แกจริงจัง ที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้ชาวพุทธ แสวงหาบุญนอกศาสนานนั้ คอื หา้ มไม่ให้เอาอย่างอีตาเหลาะแหละนต้ี ่างหาก ขอ้ ท่ี ๕ ทําบญุ ในพระพุทธศาสนา เม่ือเข้าใจข้อท่ี ๔ แล้ว ขอ้ ที่ห้าน้ีก็ไมต่ อ้ งอธิบายมาก เพียงแตว่ ่า ข้อที่ ๔ น้นั ท่านห้าม แต่ข้อท่ี ๕ นี้ท่านใหท้ ํา

๔๙ คุณสมบัติข้อท่ี ๕ น้ี พึงเข้าใจว่าชาวพุทธที่แท้นั้น นอกจากจะไม่ทําบาปแล้ว ยังต้องทําบุญอีกด้วย ไมใ่ ชอ่ ยู่เฉยๆ ทาํ บญุ โดยสุจรติ กค็ อื ให้ทาน รักษาศีล และบาํ เพ็ญจิตภาวนา ๑๐. มจิ ฉาวณชิ ชา ๕ การคา้ ขายที่ผิดหรือไม่ชอบธรรม อุบาสกไมค่ วรประกอบ มี ๕ ประการ คอื ๑. สัตถวณิชชา ค้าขายอาวธุ ๒. สตั ตวณชิ ชา ค้าขายมนุษย์ ๓. มังสวณิชชา คา้ ขายเนื้อสตั ว์ หรอื เลี้ยงสัตวไ์ วข้ าย ๔. มชั ชวณิชชา คา้ ขายนํ้าเมา ส่งิ เสพติดใหโ้ ทษ ๕. วิสวณชิ ชา ค้าขายยาพิษ ๑๑. อารยวัฑฒิ หรอื อารยวัฒิ เคร่ืองวดั ความเจริญของชาวพทุ ธ ความเจริญงอกงามด้วยคุณธรรมของชาวพุทธ ท่ีเรียกว่า อริยวัฑฒิ หรืออารยวัฒิ ท้ัง ๕ ประการ ดงั ต่อไปน้ี ๑. งอกงามดว้ ยศรทั ธา คอื มคี วามเช่อื มัน่ ในพระรัตนตรยั ในคณุ ความดี มีหลกั ยดึ เหนีย่ วจติ ใจ ๒. งอกงามด้วยศีล คือ ให้มีความประพฤติดีงาม สุจริต รู้จักเลี้ยงชีวิต มีวินัย และมี กิริยามารยาทงาม ๓. งอกงามด้วยสุตะ คือ ให้มีความรู้จากการเล่าเรียนสดับตรับฟัง โดยการแนะนําหรือขวนขวาย ศึกษาหาความรู้ และฟนื้ ฟปู รับปรุงจติ ใจ ๔. งอกงามด้วยจาคะ คือ ให้มีความเอ้ือเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ําใจต่อกัน และพอใจทําประโยชน์แก่เพื่อน มนษุ ย์ ๕. งอกงามด้วยปัญญา คอื ให้มคี วามรูค้ ิด เขา้ ใจเหตุผล และความจริงตามสภาวะ มวี จิ ารณญาณ ๑๒. นาถกรณธรรม ธรรมะเพ่อื ให้บุคคลพึง่ ตัวเองได้ ธรรมะดังกล่าวคือ หลักธรรมท่ีมีผลให้ผู้ปฏิบัติ ทําตนให้เป็นที่พ่ึงของตนได้ พร้อมที่จะรับผิดชอบ ตนเอง ไม่ทําตนให้เป็นปัญหา หรือเป็นภาระถ่วงหมู่คณะหรือหมู่ญาติ ด้วยการประพฤติธรรม สําหรับสร้างท่ี พงึ่ แกต่ นเอง เรยี กวา่ ประพฤตินาถกรณธรรม มี ๑๐ ประการ คือ ๑. ศีล ประพฤติดีมีวินัย คือดําเนินชีวิตโดยสุจริตท้ังทางกาย ทางวาจา มีวินัย และประกอบ สมั มาชพี ๒. พาหสุ ัจจะ ได้แก่การสดับตรับฟังมาก คือศึกษาเล่าเรียน สดับตรับฟังมาก อันใดเป็นสายวิชาของ ตน หรอื ตนศึกษาศลิ ปวทิ ยาใด กศ็ ึกษาให้ช่ําชอง มคี วามเข้าใจกวา้ งขวางลึกซ้ึง รชู้ ัดและใชไ้ ด้จริง ๓. กัลยาณมิตตตา รู้จักคบคนดี คือกัลยาณมิตร รู้จักเลือกเสวนา เข้าหาที่ปรึกษา หรือผู้แนะนํา สั่งสอนท่ีดี เลือกสมั พันธเ์ ก่ยี วขอ้ งและถอื เยี่ยงอยา่ งสงิ่ แวดลอ้ มทางสงั คมทด่ี ี ซง่ึ จะทําให้ชีวิตเจริญงอกงาม ๔. โสวจัสสตา เป็นคนว่าง่าย คือไม่ดื้อรั้นกระด้าง รู้จักฟังเหตุผล และข้อเท็จจริง พร้อมที่จะ แก้ไขปรับปรุงตนเอง

๕๐ ๕. กิงกรณเี ยสุ ทักขตา ขวนขวายกิจของหมู่คณะ คอื เอาใจใส่ชว่ ยเหลอื ธรุ ะ และกิจการของคนร่วม หมู่คณะ ญาติ เพื่อนพ้องและชุมชน รู้จักใช้ปัญญาไตร่ตรองหาวิธีดําเนินการที่เหมาะสม ทําได้ จัดได้ ให้สําเร็จ เรียบร้อยดว้ ยดี ๖. ธัมมกามตา เป็นผู้ใคร่ธรรม คือรักธรรม ชอบศึกษาค้นคว้าสอบถามหาความรู้ หาความจริง รจู้ กั พดู รจู้ กั รับฟงั สรา้ งความรูส้ กึ สนิทสนม สบายใจ ชวนให้ผู้อ่นื อยากเข้ามาปรึกษาและรว่ มสนทนา ๗. วิริยารัมภะ มีความเพียร ขยัน คือขยันหมั่นเพียร พยายามหลีกละความช่ัว ประกอบความดี บากบ่นั ไมย่ อ่ ทอ้ ไม่ละเลยทอดทง้ิ ธุระหนา้ ท่ี ๘. สันตุฏฐี มีสันโดษ รู้พอดี คือพอใจยินดีแต่ในลาภผล ผลงาน และผลสําเร็จต่างๆ ที่ตนสร้างหรือ แสวงหามาได้ด้วยเร่ยี วแรง ความเพยี รพยายามของตนเองโดยชอบธรรม และไมม่ วั เมาเห็นแก่ความสขุ ทางวตั ถุ ๙. สติ มีสติมั่น คือรู้จักกําหนดจดจํา ระลึกในการท่ีทํา คําที่พูด กิจที่ทําแล้วและจะต้องทําต่อไปได้ จะทําอะไรก็รอบคอบ รู้จักยับย้ังช่ังใจ ไม่ผลีผลาม ไม่เลินเล่อ ไม่เล่ือนลอย ไม่ประมาท ไม่ยอมถลําไปในทางท่ี ผดิ พลาด ไมป่ ล่อยปละละเลย ทิง้ โอกาสสาํ หรับทําความดีงาม ๑๐. ปัญญา มีปัญญาเหนืออารมณ์ คือมีปัญญาหยั่งรู้เหตุผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้คุณรู้โทษ รู้ประโยชน์มิใช่ ประโยชน์ มองเห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง รู้จักพิจารณาวินิจฉัยด้วยใจเป็นอิสระ ทําการต่างๆ ด้วย ความคดิ และวจิ ารณญาณ

๕๑ บทที่ ๓ หลกั การครองคน ................................................................................................................................... สาระการเรยี นรู้ ๑. พรหมวิหาร ๔ คุณธรรมสาํ หรับผู้ใหญ่ ๒. อคติ ความไมล่ าํ เอยี งเพราะเหตุ ๔ ประการ ๓. สังคหวัตถุ หลักสร้างมนษุ ยสมั พันธ์ ๔ ประการ ๔. ฆราวาสธรรม ๔ หลักการครองเรอื น ๕. สขุ ของคฤหสั ถ์ ความสขุ สมบรู ณข์ องผ้คู รองเรอื น ๔ ประการ ๖. กุลจริ ัฏฐติ ธิ รรม ๔ หลกั ในการรักษาวงศต์ ระกลู ให้ต้งั อยไู่ ด้นาน ๗. สาราณียธรรม ๖ หลกั การอยู่รว่ มกัน ธรรมเป็นท่ตี ้ังแห่งความใหร้ ะลึกถงึ กนั ๘. ทศิ ๖ หลกั มนษุ ยสัมพันธ์ วัตถปุ ระสงค์ เมือ่ ศึกษาบทเรียนน้จี บแล้ว ผูเ้ ขา้ รับการศึกษาสามารถ เข้าใจและอธิบายหลักธรรม สําหรับการครองคน ในการใช้ชีวิตในสังคม และสามารถนําไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจําวันได้ กิจกรรมระหว่างเรยี น ๑. บรรยาย ๒. สอบถาม ๓. ใบงาน ส่ือการสอน ๑. เพาเวอรพ์ อยท์ ๒. เอกสารตาํ รา ๓. คลิปวดี ิโอท่ีเกีย่ วข้อง ประเมินผล ๑. ใหต้ อบคําถาม ๒. แบบทดสอบหลังเรยี น

๕๒ ๑. พรหมวหิ าร ๔ คณุ ธรรมสาํ หรับผูใ้ หญ่ ความรักใคร่นับถือและจงรักภักดี ย่อมมีความสําคัญอย่างย่ิงในการปกครองบังคับบัญชา เพราะจะ นาํ มาซงึ่ ความเคารพเชื่อฟังของผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้น้อย จะเป็นประโยชน์ท้ังในการปกครอง และการสั่งการ ตา่ งๆ ความเคารพนับถือและความจงรักภักดีจะเกิดขึ้นได้ จะต้องอาศัยการประพฤติธรรมของผู้ใหญ่ หรือของ ผู้บังคับบัญชาเปน็ ประการสําคัญ หลกั ธรรมเพือ่ สรา้ งความจงรักภักดี มดี ังน้ี ๑. เมตตา ความรกั คอื ความปรารถนาดี มไี มตรี ตอ้ งการใหผ้ ู้นอ้ ยมคี วามสุขความเจรญิ ๒. กรุณา ความสงสาร คือเมื่อผู้น้อยประสบทุกข์ มีความเดือดร้อนด้วยประการใด ก็มีใจฝักใฝ่ อยากจะปลดเปลอ้ื งบําบดั ความทุกข์ร้อนน้นั ๆ ใหห้ มดสน้ิ ไป ๓. มุทิตา ความเบิกบานพลอยยินดี เมื่อเห็นผู้น้อยอยู่ดีมีสุข หรือประสบความสําเร็จในชีวิต หนา้ ที่การงาน ๔. อุเบกขา ความมีใจเป็นกลาง คือมองตามความเป็นจริง มีความมั่นคงเที่ยงตรง ดุจตราชั่งไม่ เอนเอียงหว่นั ไหว โดยสรุปคือเวน้ จากอคติ ๔ ๒. อคติ ๔ อคติ คือความลําเอียง ความไม่ยุติธรรม ๔ ประการ เพราะอคติธรรมเป็นอุปสรรค และมีแต่จะสร้าง ความเส่ือมทรามให้แก่การปกครองตลอดมา ในทุกสมัยและทุกวงการ ผู้ใหญ่ที่ขาดความยุติธรรม ย่อมจะไม่ได้รับ ความเคารพหรอื นบั ถอื และความจงรักภกั ดี ฉะน้ัน บุคคลผู้เป็นใหญ่ หากหวังจะให้เป็นท่ีเคารพนับถือและเป็น ทจี่ งรักภกั ดขี องผนู้ อ้ ย จะต้องเวน้ อคติ ๔ ประการ คอื ๑. ฉนั ทาคติ ลําเอียงเพราะรักใคร่ เหน็ แก่หนา้ เห็นแก่พวกพอ้ ง หรือคนใกล้ชิด เหน็ แกป่ ระโยชน์ตน ๒. โทสาคติ ลําเอียงเพราะไม่ชอบกัน เช่น เพราะชะตาไม่ต้องกัน หรือเคยมีเร่ืองโกรธเคืองกันมา ก่อน ตลอดจนเปน็ คนอื่น พวกอ่นื ผใู้ หญต่ ้องร้จู ักใหอ้ ภัย ไมถ่ อื โทษโกรธาโดยไมม่ ีวนั สิน้ สดุ ๓. โมหาคติ ลาํ เอยี งเพราะเขลา คอื รูเ้ ทา่ ไมถ่ ึงการณ์ ขาดการตรวจสอบพิจารณา ๔. ภยาคติ ลําเอียงเพราะกลัว คือกลัวเส่ือมลาภ เส่ือมยศ ตลอดจนกลัวอันตรายต่างๆ จนยอมเสีย ความยตุ ธิ รรม ๓. สังคหวตั ถุ หลักสร้างมนษุ ยสมั พันธ์ ทุกส่ิงในโลกจะเจริญขึ้นได้ และจะดํารงอยู่ในความเจริญได้ ย่อมต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมช่วยเหลือ สนับสนุน ดังเช่นเมล็ดผลไม้ ที่จะงอกงามข้ึนได้ ก็ต้องได้ดิน น้ํา ปุ๋ย อากาศเข้าสนับสนุน อาคารตึกรามที่ ใหญ่โต จะทรงตวั อยไู่ ด้ ก็ตอ้ งได้ไม้ อิฐ หนิ ปนู ทราย เหล็ก และอ่นื ๆ คมุ กันเขา้ ไมต่ อ้ งอื่นไกล ร่างกายของเรา นี้ เติบโตขึ้นมาและมีชีวิตอยู่ได้ ก็ต้องได้รับความสนับสนุนจากอาหาร อากาศ และเครื่องอุปโภคอื่นๆ อีกมาก ข้อท่ีว่า ทุกส่ิงจะเจริญข้ึนได้ ต้องอาศัยการสนับสนุนของส่ิงแวดล้อมนี้ เป็นความจริงอย่างหนึ่ง ชีวิตของเราก็ เหมือนกัน จะมีความเจริญรุ่งโรจน์ไม่ว่าทางการครองชีพ ทางการศึกษา ทางการสังคม หรือทางการงานก็ตาม จําเป็นจะต้องได้รับความสนับสนุนจากบุคคลอ่ืนจึงจะสําเร็จได้ ไม่มีผู้ใดท่ีจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้โดยลําพังคน

๕๓ เดียว โดยไมต่ ้องอาศัยคนอนื่ เลย การท่คี นอืน่ เขาจะยินดสี นับสนุนช่วยเหลอื แก่เราเพียงใดน้ัน ส่วนสําคัญก็อยู่ท่ี ใจของเขา ท่ีจะต้องมีความรักใคร่นับถือในตัวเราเป็นทุนอยู่ก่อน ดังน้ัน เราจึงมีปัญหาสําคัญท่ีจะต้องแก้ใน ลําดบั แรก คือปญั หาทว่ี ่า ทาํ อยา่ งไรคนอน่ื จึงจะรกั ใคร่นบั ถือเรา และทาํ อยา่ งไรผทู้ รี่ ักและนบั ถืออยู่แล้วจึงจะมี ความรกั นับถือไม่จืดจาง พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมะเครื่องยึดเหนี่ยวใจคนอ่ืนไว้ เรียกว่า สังคหวัตถุ (หลักสร้างมนุษย- สมั พันธ)์ มี ๔ ประการคือ ๑. ทาน การให้ปันของของตนแก่คนท่ีควรให้ปัน ทาน ในท่ีนี้ต่างจากทานในบุญกิริยาวัตถุ คือใน บญุ กิริยาวตั ถุน้ัน เปน็ การให้โดยการมุ่งจะทําบุญ แต่ในทีน่ ้ี มุ่งการสงเคราะหแ์ กผ่ ู้รบั มีการปฏิบตั ิ และผล คือ ๑.๑ วิธีปฏิบัติ คือ รู้จักแบ่งของกินของใช้แก่คนอ่ืนบ้าง เพ่ือแสดงอัธยาศัยไมตรีต่อกัน ไม่เป็น คนตระหนใี่ จแคบหวงกินหวงใชแ้ ตค่ นเดียว ๑.๒ ผลที่ผูใ้ หจ้ ะได้จากผูร้ ับ ลําดับแรกทส่ี ุด คอื จะได้รบั ความรกั จากผู้รับทนั ทที ใี่ ห้ ตอ่ จากนั้นไป ยังจะได้รบั ไมตรีจิตและอามิสตอบแทน คนทง้ั หลายทรี่ ู้เหน็ จะสรรเสรญิ ๒. ปิยวาจา ไดแ้ ก่ การเจรจาถอ้ ยคําน่ารกั ซง่ึ คําพดู โดยทว่ั ไปน้ันมีสองประเภท คอื ๒.๑ ปิยวาจา คาํ พดู ที่พดู แลว้ ทําใหค้ นฟังรกั คนพูด ๒.๒ อัปปยิ วาจา คําพูดทพ่ี ดู แลว้ ทาํ ให้คนฟงั ชังคนพดู ในคาํ ทงั้ สองนี้ ปิยวาจาเท่าน้ันทคี่ รองใจคนฟงั ได้ ในทางปฏิบตั ิ ผู้ปฏิบัติจะต้องรู้จักคําหยาบ แล้วเว้น จากการพูดคําหยาบเสีย พูดแตค่ าํ ท่ีตรงกันขา้ ม คําหยาบมลี กั ษณะตา่ งๆ คือ - คาํ ดา่ ไดแ้ ก่ การกล่าวโดยกดใหต้ ํา่ ลง - ประชด ไดแ้ ก่ การกล่าวโดยยกให้สงู เกนิ ตัว - กระทบ ไดแ้ ก่ การกล่าวโดยเลียบเคียงให้เจบ็ ใจ - แดกดัน ได้แก่ การกลา่ วด้วยเจตนาจะแดกดนั - สบถ ได้แก่ คาํ กลา่ วเข่นฆา่ นา่ สยอง - คําตํา่ ไดแ้ ก่ ใชค้ ํากล่าวทส่ี งั คมถอื ว่าตํ่าทราม คํากลา่ วทัง้ หมดน้ี จะเปน็ คําหยาบหรือไม่ วินิจฉัยด้วยเจตนาของผู้กลา่ วน่ันเอง ถ้าเจตนาหยาบกเ็ ปน็ คําหยาบ บางคนเข้าใจผิดว่า การกล่าวคําหยาบเป็นการแสดงอํานาจในตัวคนกล่าว แต่ความจริงแล้ว คําหยาบได้ลด ความศักด์ิสิทธ์ิและละลายอํานาจในตัวคนกล่าวลงทุกคร้ังท่ีกล่าวคําหยาบ ผู้กล่าวคําหยาบ เป็นผู้สร้างเสนียด ข้ึนในตัว ในครอบครัว และในสังคมอย่างน่าอับอาย ทุกคนควรจําไว้ว่า ส่ิงที่จะมัดส่ิงอื่นไว้ได้ ต้องเป็นของอ่อน และคาํ ท่จี ะมัดใจคนอ่นื ไวไ้ ด้ ก็มแี ตค่ ําสุภาพอ่อนโยนเท่านัน้ ๓. อัตถจริยา คือการบําเพ็ญประโยชน์ การบําเพ็ญประโยชน์หมายความว่า รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น ด้วยแรงตน มิใช่ประพฤติเป็นคนตัดช่องน้อยเอาตัวรอด ในทางปฏิบัติ ผู้บําเพ็ญอัตถจริยา จะต้องคํานึงถึงการ ปฏบิ ัติตน ๒ สถาน คือ ๓.๑ การทําตนให้เป็นคนมีประโยชน์ คือ สร้างกําลังกาย กําลังความคิด กําลังความรู้ กําลัง ทรพั ย์ขึ้นในตน ใหพ้ อท่ีจะใช้กําลังอย่างใดอย่างหนึ่งช่วยเหลือคนอืน่ ได้ คนอย่างน้ี เรียกวา่ คนมปี ระโยชน์

๕๔ ๓.๒ บําเพญ็ ส่ิงทีเ่ ป็นประโยชน์แก่เพื่อนฝูง เพ่ือนบ้าน ตลอดจนเพื่อนมนุษย์ทั่วไปตามสมควร แก่เร่ือง การบําเพ็ญประโยชน์ดังกล่าวน้ี หมายถึงการไม่ดูดายในการช่วยเหลือคนอื่น เป็นการแสดงอัธยาศัย นา่ รกั น่านบั ถือของผูบ้ าํ เพ็ญ อนึ่ง ผู้บําเพ็ญอัตถจริยา จะต้องเว้นการกระทําอันเป็นภัยแก่ผู้อื่นเสีย แม้แต่การกระทําเล็กๆ น้อยๆ เช่น ท้ิงเศษแกว้ ลงตามทางเดิน หรอื ถา่ ยเทของสกปรกในท่อี นั จะทาํ ลายความสขุ ของคนอืน่ เป็นต้น ๔. สมานัตตตา คือการวางตนเหมาะสม เสมอสมาน ความเป็นผู้มีตนเสมอ หมายถึงการวางตัวสม กับภาวะและฐานะของตน ไม่ลืมตัว กลายเป็นคนเย่อหย่ิงจองหอง เหยียบยํ่าญาติพ่ีน้องและคนที่เคยนับถือกัน เปน็ คนประพฤติความดสี ม่าํ เสมอ ความมีตนเสมอมี ๒ นัย คือ ๑. ความมตี นเสมอในบุคคล หมายความถึง นับถือกันสมํ่าเสมอ หรือเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ถือตัว เช่น บุคคลใดเป็นพ่อแม่หรือญาติช้ันใด ควรจะนับถือยกย่องอย่างใด และเคยนับถือกันมาอย่างใด ก็นับถืออย่างนั้น ไม่ เปล่ียนแปลง แม้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะมีฐานะเปล่ียนแปลงไปตามเวลาและเหตุการณ์ อีกอย่างหนึ่ง หมายถึง ความสามารถทีป่ ฏิบัติตนเข้ากับบุคคลอืน่ ได้ ๒. ความมีตนเสมอในธรรม หมายความว่า สิ่งใดเป็นความดี และเคยประพฤตมิ าอยา่ งใด กป็ ระพฤติ อย่างน้ัน ไม่ใช่ต่อหน้าอย่างหนึ่ง ลับหลังอย่างหน่ึง หรือเมื่อก่อนน้ีประพฤติอย่างหน่ึง คร้ันบัดน้ี ลืมความดี ประพฤติวิปริตไป ซ่ึงคําว่าธรรมในท่ีน้ี หมายถึง กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ แบบแผน สุจริตธรรม และคําว่า การวางตนเสมอภาค ในความหมายทางธรรมกค็ อื การวางตนเสมอต้นเสมอปลาย ๔. ฆราวาสธรรม ๔ ทางศาสนาแยกคนออกเปน็ ๒ ประเภท ตามลักษณะการดํารงชีวติ คอื ๑. คนท่ีไม่ได้บวชทั้งหมด รวมเรียกว่า ฆราวาส แปลว่า คนครองเรือน ท้ังน้ี ไม่จํากัดว่าจะเป็นโสด หรือมคี รอบครัวแลว้ กต็ าม และ ๒. คนท่ีสละเหย้าเรอื นออกบวชท้งั หมด รวมเรยี กวา่ บรรพชิต ผู้ท่ีจะครองเรือนได้อย่างมีความสุขและราบรื่นนั้น ทางพระพุทธศาสนาสอนว่า ต้องประพฤติตัวและ ครองตนพรอ้ มชวี ติ คู่ อยใู่ นหลักการครองเรอื นท่เี รียกวา่ ฆราวาสธรรม มี ๔ ประการ คอื ๑. สัจจะ แปลว่า ความสัตย์ หรือความซ่ือสัตย์ หรือความซ่ือตรง หรือความจริง คือเป็นคนมั่นคง ไมห่ ลอก ไมล่ วง ไมก่ ลับกลาย ในทางปฏิบตั คิ วรทราบว่า สจั จะมีลักษณะ ๓ อยา่ ง คือ ๑.๑ จริง คนมีสัจจะย่อมจะเป็นคนจริง คนจริง คือ ทําอะไรก็ทําจริง ไม่ทําเล่นหรือทํา เหลาะแหละสักแต่ว่าทํา เมื่อได้ตกลงเรื่องใดกับใคร หรือได้ปลงใจท่ีจะกระทําหน้าท่ีใดแล้ว ก็จะกระทําให้ได้ จริง ๑.๒ ตรง คนมีสัจจะย่อมจะเป็นคนตรง คนตรง คือ เป็นคนซ่ือตรง ไม่คดโกง ไม่เป็นคนเจ้าเล่ห์ จิตใจ คําพูด และการกระทําตรงกัน เรียกว่าคนตรง ความตรงน้ี ถ้าตรงต่อคนด้วยกันเรียกว่า ซื่อตรง ถ้าตรง ต่อระเบยี บ แบบแผน และเหตุผล เรยี กว่า เทย่ี งตรง คนมีสจั จะตอ้ งประพฤตซิ ื่อตรง และเทีย่ งตรงอยูเ่ สมอ

๕๕ ๑.๓ แท้ คนมีสัจจะย่อมจะเป็นคนแท้ ความเป็นคนแท้ ก็คือการปรับปรุงตัวเองให้มีสมรรถภาพ สมกบั ท่ตี ัวเป็น ไมใ่ ช่สกั แตว่ า่ เปน็ แตไ่ มแ่ ท้ คอื เก๊ หรือปลอม หรือเทยี ม ๒. ทมะ แปลว่าฝึก ความฝึก หมายความว่า ฝึกฝนตนเองให้มีสมรรถภาพพอที่จะทํามาหากิน และ แปลว่าข่ม หมายความวา่ ร้จู ักข่มใจของตนเอง ไม่ให้เห่อเหิมเสริมตวั คุณลักษณะของความฝึก ความข่ม ล้วน เป็นคุณลักษณะทค่ี วรให้มใี นตวั เรา ๓. ขันติ ขันติ คือ ความอดทน หมายความว่า อดทนต่อเหตุการณ์ต่างๆ อันจะทําให้เราทอดท้ิง ความดี ทนยืนหยดั อย่ใู นทางดีใหไ้ ด้ หรือหยดุ ใจไว้ไม่ให้ถลําไปในการทําผิดทําชั่ว ในทางปฏิบัติ ขันติ พึงใช้ในท่ี ๔ สถาน คอื ๓.๑ ทนต่อความลําบาก คือกล้าสู้กับความลําบาก ทํางานของตนให้ก้าวหน้าไปได้ แม้ว่าตนจะ ลาํ บากตรากตรํากไ็ ม่พร่ันพรงึ ๓.๒ ทนต่อความเจ็บกาย (ทุกขเวทนา) คือไม่อ้างความเจ็บปวดเป็นเลศแล้วกระทําในส่ิงอันไม่ ควรทํา เชน่ ครวญครางหรือร้องไห้ เป็นการแสร้งมายาเกินเหตุ ๓.๓ ทนต่อความเจ็บใจ คือทําให้ใจหนักแน่นได้ ข่มความรู้สึก และกิริยาวาจาให้เรียบร้อย เม่ือ ถกู ผูอ้ ื่นทําใหไ้ มพ่ อใจ ๓.๔ ทนตอ่ อํานาจกิเลส ความอดทน ๓ อย่างก่อนนั้น เป็นเร่ืองทนต่อส่ิงท่ีเราเกลียด ไม่ยอมทํา เนื่องจากความไม่พอใจ แต่ข้อท่ี ๔ นี้ เป็นการทนต่อส่ิงท่ีเราชอบ ซ่ึงอาจทําให้เราเสียได้เหมือนกัน เช่น การเทยี่ วเตร่ การบาํ เรอด้วยสุรานารี และคาํ สรรเสริญเยินยอ เป็นต้น ๔. จาคะ คือ ความสละ หรือความเสียสละ คนครองเรือนจําเป็นต้องมีความเสียสละ ในท่ีน้ี หมายถึงการสละ ๒ อยา่ ง คือ ๔.๑ สละวัตถุ การสละวัตถุ หมายความถึงการสละทรัพย์ หรือสละแรงบําเพ็ญประโยชน์แก่ตน และส่วนรวม เช่น สละรายได้เป็นภาษีอากรแก่รัฐ หรือสละเงิน สละของร่วมในการก่อสร้างโรงเรียน สะพาน ฯลฯ รวมทัง้ สละแรงช่วยทําประโยชนแ์ กส่ ่วนรวม ดังเชน่ ชายฉกรรจ์สละประโยชน์ส่วนตัว แล้วเอาตวั เข้าปฏิบัติ ราชการทหารเป็นตัวอยา่ ง ๔.๒ สละอารมณ์ การสละอารมณ์ คือ เม่ือผู้อ่ืนทําส่ิงใดล่วงเกิน ทําให้เราขัดใจ ก็พึงสละอารมณ์ นั้นเสีย รู้จักให้อภัย คุณสมบัติข้อนี้ จะรักษาสันติสุขในครอบครัวและในสังคมไว้ได้ ท้ังเป็นทางเสริมสร้าง ความสขุ ใจของผู้ปฏิบตั ิด้วย ธรรมะ ๔ ขอ้ นี้ เปน็ มูลฐานแหง่ การดํารงชีวติ จําเปน็ อย่างยิ่งสําหรับผู้ต้องการความสุขในชีวิตผู้ครอง เรือน เพราะว่าถ้าผู้ครองเรือนคนใดขาดคุณธรรมทั้ง ๔ น้ีแล้ว บรรดาความดีความเจริญอื่นๆ ย่อมจะพังทลาย ส้ิน ถ้าจะเปรียบกับอาคารบ้านเรือน ธรรมะ ๔ ข้อน้ีก็เปรียบกับเสาเรือน ส่วนคุณธรรมอ่ืนๆ เปรียบกับพ้ืน ฝา หลังคา และอ่ืนๆ ซงึ่ ทรงตวั อยูไ่ ด้เพราะเสาคาํ้ เอาไว้ ความหมายฆราวาสธรรม ๔ โดยสรุป

๕๖ ๑ ๒ ๓ ๔ สจั จะ ทมะ ขันติ จาคะ ๑. ความจริง ๑. ความฝกึ ๑. ทนลําบาก ๑. สละวตั ถุ ๒. ความตรง ๒. ความข่ม ๒. ทนเจบ็ กาย ๒. สละอารมณ์ ๓. ความแท้ ๓. ทนเจ็บใจ ๔. ทนอํานาจกิเลส ๕. สุขของคฤหัสถ์ ความสขุ สมบรู ณ์ของผู้ครองเรอื น ๔ ประการ ไม่ว่าคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ต่างก็มุ่งแสวงหาความสุขด้วยกันทั้งน้ัน สําหรับคฤหัสถ์ จะมีความสุข สมบรู ณ์ไดก้ ็ด้วยเหตุ ๔ ประการคอื ๑. สุขเกิดแต่การมีทรัพย์ (อัตถิสุข) สุขเกิดแต่การมีทรัพย์นั้น แสดงว่า การมีทรัพย์เป็นเหตุให้มี ความสุขเป็นข้อแรก คนมีทรัพย์ อย่างน้อยท่ีสุดก็มีความสุขใจว่า เรามี แม้จะใช้หรือไม่ใช้ก็ตามที ฉะนั้น ผู้หวัง ความสขุ จะตอ้ งแสวงหาทรัพย์เพือ่ ใหเ้ กดิ มีขึ้น โดยอาศยั หลักการต้ังตัว (ทิฎฐธัมมิกัตถประโยชน์ ๔) และหลกี จาก อบายมขุ เปน็ ตน้ ๒. สขุ เกิดแตก่ ารจา่ ยทรัพย์บริโภค (บริโภคสุข) สุขเกิดแต่การจ่ายทรัพย์บริโภคน้ัน แสดงว่า การมี ทรพั ย์แมจ้ ะมีความสุข ก็เป็นเพียงความอิ่มใจ ต่อเม่ือได้ใช้ทรัพย์ที่จะให้ได้รับความสุข จึงมีท้ังความสุขกายและ สุขใจ การใช้ทรัพย์ต้องยดึ หลกั ดังนี้ ๒.๑ เลีย้ งตวั บิดา มารดา บุตร ภรรยา คนอาศยั ใหเ้ ปน็ สขุ ๒.๒ เลี้ยงเพือ่ นมิตรสหายให้มีสุข ๒.๓ บําบดั อันตรายท่เี กดิ ขนึ้ จากเหตตุ ่างๆ ๒.๔ ทาํ พลกี รรม (การเสียสละ) ๕ อย่างคอื - ญาตพิ ลี สงเคราะหญ์ าติ - อติถิพลี ตอ้ นรับแขก - ปุพพเปตพลี ทาํ บญุ อทุ ศิ ให้ผตู้ าย - ราชพลี มอบคนื หลวง มเี สยี ภาษีอากร เปน็ ตน้ - เทวตาพลี ทําบุญอทุ ิศให้เทวดา ๒.๕ บริจาคทานใหส้ มณพราหมณผ์ ูป้ ระพฤติชอบ ๓. สุขเกิดแต่ความไม่เปน็ หนี้ (อนณสุข) สุขเกิดแต่ความไม่เป็นหน้นี ้นั แสดงว่า การใช้ทรัพย์ แม้จะ มีความสุขกายสุขใจ แต่ถ้าหยิบยืมเขามาใช้จนมีหนี้สินติดตัว ก็ยากที่จะมีความสุข เพราะ “การเป็นหนี้” เป็น ทกุ ขอ์ ยา่ งหนึง่ เพื่อไมใ่ หม้ ีหนีส้ ิน การใชจ้ ่ายทรพั ย์ควรยดึ หลัก ๒ ประการ คอื ๓.๑ รู้จกั ประมาณตน ๓.๒ รู้จกั ประหยดั

๕๗ ๔. สุขเกิดแต่การประกอบการงานที่ไม่มีโทษ (อนวัชชสุข) สุขเกิดแต่การประกอบการงานท่ีไม่มี โทษนั้น แสดงให้เห็นว่า ทรัพย์ท่ีใช้จ่ายแลกความสุขน้ัน แม้จะมิได้หยิบยืมใครมา แต่ถ้าเป็นทรัพย์ท่ีได้จากการ งานที่มีโทษ จะทําให้ต้องเดือดร้อนในภายหลัง ฉะนั้น การทํางานเพ่ือให้ได้ทรัพย์ จึงต้องเป็นงานที่ไม่มีโทษ ซึ่งจะทาํ ให้ความสุขเกิดมีขึน้ ได้อย่างแทจ้ รงิ งานนนั้ มี ๒ ประเภท คือ ๔.๑ งานที่ผิดกฎหมาย เป็นงานผิดศีลธรรมอยู่ในตัว เช่น การค้าของเถ่ือน การฉ้อโกง เป็นต้น ใครทํา กถ็ ูกตาํ หนิตเิ ตียนท้งั น้ัน อย่างน้ีเรยี กว่า งานมโี ทษ ๔.๒ งานท่ีไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม เช่น การทําราชการ การค้าขายของไม่ผิดกฎหมาย เป็นต้น ตามปกติ เรียกว่างานไม่มีโทษ แต่งานเหล่านี้ ถ้าผู้ทําๆ ด้วยการทุจริต เช่น ฉ้อราษฎร์บังหลวง ฯลฯ อย่างนี้ ผู้นน้ั ก็ถกู เรยี กวา่ ทาํ งานมโี ทษเหมอื นกนั ฉะนั้น คนไม่มีหน้ี แต่ทํางานมีโทษ ก็ไม่ประสบความสุขท่ียั่งยืน แม้จะมีสมบัติม่ันคง ในที่สุดก็จะต้อง วบิ ตั ิ เหตุนี้ เมื่อต้องการความสขุ ที่แท้ จงึ ตอ้ งทํางานทีไ่ มม่ ีโทษเท่าน้ัน ๖. กลุ จิรัฎฐติ ิธรรม ๔ ธรรมะหมวดนี้ เป็นธรรมสําหรับทําให้ครอบครัวหรือตระกูลต้ังม่ันอยู่ได้นาน ไม่เส่ือมสลายไปก่อน เวลาอันสมควร ทําให้ตระกูลดํารงอยู่ด้วยความสงบสุข เรียบร้อย และมีฐานะอันมั่นคง ซ่ึงธรรมะดังกล่าว ได้แก่ ๑. เม่ือเครื่องอุปโภคบริโภคหายหรือหมดไป ต้องรู้จักจัดหามาไว้ ในแต่ละครอบครัวย่อมต้องมี สิ่งของที่จําเป็นในการช่วยสนองความต้องการตามธรรมชาติ และช่วยอํานวยความสะดวกสบายบางอย่าง ได้แก่ เครื่องอุปโภคบริโภค สิ่งเหล่านี้หากหมดหรือหายไป โดยผู้ดูแลบ้านไม่จัดหามาไว้ ก็จะทําให้สมาชิกในครอบครัว เดือดร้อน เช่น ข้าวสารหมดไม่หามาเตรียมไว้ อาจทําให้คนในบ้านเกิดโมโหเพราะความหิว เป็นสาเหตุของการ ทะเลาะวิวาทกัน จนกลายเป็นเร่ืองใหญ่ถึงขั้นแตกหักกันไปเลย ครอบครัวก็เกิดความระสํ่าระสาย ในบาง ครอบครัว ส่ิงจําเป็นมิใช่มีแต่อาหารและเครื่องใช้ภายในบ้านเท่านั้น ยังมีเครื่องมือสําหรับประกอบอาชีพด้วย เช่น เกวียน รถ คันไถนา เครื่องดนตรี เป็นต้น ของเหล่านี้อาจส้ินสภาพจนใช้การไม่ได้ แต่ผู้มีหน้าท่ีดูแลไม่จัดหา มาแทน การประกอบอาชีพการงานก็สะดุดหยุดลง ทําให้เกิดความเสียหายได้ สมาชิกในครอบครัวควรช่วยกัน ดูแล เม่ือพบเห็นสิ่งใดที่ขาดไป ควรบอกให้ผู้เก่ียวข้องทราบ จะได้จัดหามาเพ่ือมิให้การงานขาดช่วง ซ่ึงในบาง กรณีอาจกอ่ ให้เกิดความเสียหายแกค่ รอบครวั ได้ ๒. ซ่อมแซมสิ่งของท่ีเก่าและชํารุดเสียหาย เครื่องอุปโภคส่วนมาก เม่ือมีการใช้งานไปนานๆ อาจ ชาํ รดุ เสยี หายได้ ซึ่งถ้าไม่รบี ซ่อมแซมยังใช้ต่อไปเรื่อยๆ อาจจะยิ่งเสียมากขึ้นจนถึงขั้นซ่อมแซมไม่ได้ หรือมิฉะนั้น ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมมาก บางคนเสียดายเงินค่าซ่อมหรือเกียจคร้านไม่ดูแลเอาใจใส่ โดยไม่นึกถึง ข้อเท็จจริงท่ีว่าย่ิงทิ้งไว้นานยิ่งเสียเงินมากขึ้น เข้าทํานองเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย ในบางกรณีถ้ามี สิ่งของบางอย่างชํารุดหากไม่รีบซ่อมจะทําให้ของอ่ืนๆ เสียตามไปด้วย เช่น หลังคาบ้านร่ัวเล็กน้อย หากไม่รีบ ซ่อม เมอื่ ฝนตกอาจทาํ ใหเ้ พดานบ้าน ตลอดจนพน้ื เสยี หายได้ หรอื หมอ้ นํา้ รถยนตเ์ สยี หากไม่รีบซ่อม อาจทําให้ ส่วนอ่ืนๆ เสียโดย ไม่จําเป็นด้วย มีข้อควรคํานึงบางประการ คือของบางอย่างชํารุดมากแล้วซ่อมไปก็ใช้อีก ไม่ได้นาน ต้องซ่อมแซมบ่อยๆ เม่ือคิดคํานวณดูแล้ว ซ้ือใหม่อาจประหยัดกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ต้องพิจารณาใน

๕๘ การเลอื กใช้เคร่อื งอปุ โภคใหด้ ี ส่งิ ของโดยท่วั ไปยอมเก่าและชํารุดเม่ือกาลเวลาผ่านไป ซ่ึงเป็นเร่ืองธรรมชาติ แต่ ถา้ ผใู้ ช้ขาดการเอาใจใส่ดแู ล อาจทําให้ส่ิงของนั้นเก่าและชํารุดก่อนเวลาอันควรได้ ดังนั้น เราไม่ต้องคอยให้ของ ชํารดุ ก่อนแลว้ จงึ มาซอ่ ม แต่ควรดูแลรักษาให้ดีแล้วสิ่งของจะใช้ได้นาน เช่น จอบ เสียม ถ้าท้ิงตากแดดตากฝน ตลอดวันตลอดคนื ย่อมชาํ รุดเร็วกวา่ ทเ่ี ก็บไว้ใหเ้ รยี บรอ้ ย เป็นต้น ๓. ประมาณตนในการอุปโภค ครอบครัวบางครอบครัวใช้จ่ายเกินฐานะของตน คือหาได้น้อยแต่ใช้ มาก ครอบครัวท่ีมีสภาพอย่างนี้คงอยู่ไม่ได้นาน ต้องมีหนี้สินล้นพ้นตัว จนต้องยากจนลงในที่สุด แต่ครอบครัว บางครอบครัวก็ใช้จ่ายตํ่ากว่าฐานะของตนจนน่าสมเพช เป็นเศรษฐีแต่นุ่งกางเกงเก่าๆ ปะแล้วปะอีก จะซ้ือ ทเุ รียนรับประทานสักลูกก็คิดแล้วคิดอีก จะทําบุญทําทานสักนิดก็คิดน่ันคิดน่ี ครอบครัวแบบนี้ อาจตั้งอยู่ได้นาน แต่จะขาดความอบอุ่นจากเพื่อนร่วมสังคม การเดินสายกลางเป็นสิ่งดีที่สุด น่ันคือการรู้จักประมาณตน รู้จักความ พอดี ความเหมาะสม หมายความว่าเราต้องอยู่สายกลาง ระหว่างความสุรุ่ยสุร่ายกับความตระหนี่ถี่เหนียว คําว่า “ประมาณตน” น้ีมีความหมายไม่ตายตัว คน ๒ คนใช้เงินเท่ากัน แต่เราอาจเรียกว่าคนหนึ่งประมาณตน อีก คนหนึง่ ไมป่ ระมาณตน เชน่ คนทมี่ ีรายได้เดอื นละหนึ่งหมนื่ บาท พาครอบครวั ไปรบั ประทานอาหารท่ีภตั ตาคาร หรูๆ ทุกสัปดาห์ ท่ีบ้านดูโทรทัศน์เคร่ืองละห้าหมื่น เช่นน้ีเรียกว่าไม่ประมาณตน แต่เศรษฐีท่ีมีเงินร้อยล้านทํา อย่างเดยี วกนั น้ี จะวา่ เขาไมป่ ระมาณตนเองไม่ได้ ผู้ที่มีอาชีพเป็นดาราหรือนักร้อง อาจต้องตัดเสื้อผ้าบ่อยๆ ให้ นําสมัยอยู่เสมอ เพ่ือผดุงอาชีพของตน ไม่เรียกว่าสุรุ่ยสุร่าย แต่คนท่ีมีอาชีพเป็นครู เงินเดือนก็น้อยทําอย่างนั้น บ้างเรียกได้ว่าสุรุ่ยสุร่ายไม่ประมาณตน เพราะการมีเส้ือผ้าใหม่ๆ นําสมัยหลายๆ ชุด ไม่ใช่ส่ิงจําเป็นในการ ประกอบอาชีพเหมือนนักร้องนักแสดง แต่ทั้งน้ี มิได้หมายความว่าคนเป็นครูจะมีเสื้อผ้าใหม่ๆ ไม่ได้ มีได้ เพยี งแตต่ ้องให้พอควรกบั ฐานะของตน ๔. ตั้งผู้มีศีลธรรมเป็นพ่อบ้านแม่เรือน พ่อบ้านแม่เรือนในท่ีนี้ หมายรวมถึงผู้ท่ีมีหน้าที่ดูแล จัดการทุกอย่างภายในครอบครัว อาจเป็นพ่อ แม่ หรือใครๆ ก็ได้ คําว่าผู้มีศีลธรรมในท่ีน้ีหมายถึง คนซ่ือสัตย์ ยตุ ธิ รรม มัธยสั ถ์ มเี มตตา ขยันขันแขง็ ไม่หลงอยใู่ นอบายมขุ เปน็ ตน้ นอกจากนี้ พอ่ บ้านแมเ่ รือนยังควรเปน็ คน รอบรู้เร่ืองราวต่างๆ นอกบ้านด้วย เพราะคนเราจะดูแลภายในบ้านให้ดีไม่ได้ หากไม่รู้เรื่องนอกบ้านเลย ถ้า พ่อบ้านแม่เรือนเป็นคนสุรุ่ยสุร่าย เราก็พอวาดภาพได้ว่าครอบครัวนั้นจะตั้งอยู่ได้ไม่นาน ถ้าพ่อบ้านแม่เรือน ติดสุรา ชอบเล่นการพนัน ชอบเที่ยวเตร่ เราก็พอเห็นได้ว่าภายในครอบครัว จะต้องมีความระส่ําระสายและยุ่ง เหยิงมาก ถ้าพ่อบ้านแม่เรือนเป็นคนไม่ยุติธรรม คนในบ้านก็จะเกิดการเล่นพรรคเล่นพวก อิจฉาริษยากัน ไม่ สามัคคีปรองดองกัน ครอบครัวน้ันก็คงเจริญรุ่งเรืองได้ยาก หากพ่อบ้านแม่เรือนเป็นคนตระหน่ี ไม่ทําบุญทํา ทานเลย แม้มีฐานะท่ีพอทําได้ ครอบครัวน้ันก็จะเป็นครอบครัวท่ีแห้งแล้ง ขาดหลัก ยึดเหนี่ยวทางใจ ในระยะ ยาวก็จะหาความสงบสุขได้ยาก เพราะคนเราที่อยู่ด้วยกัน หากขาดหลักยึดเหนี่ยวทางใจแล้วจะไม่มีใครยอมรับ ฟังใคร มีแต่จะเอาเปรียบซ่ึงกันและกัน จะทะเลาะกันแม้แต่เร่ืองเล็กๆ น้อยๆ ดังน้ัน คนท่ีเป็นพ่อบ้านแม่เรือน แม้จะด้อยในเร่อื งอ่นื ๆ กย็ งั ไมร่ ้ายแรงนกั แต่ถา้ ดอ้ ยคุณธรรมแลว้ ครอบครัวจะดาํ รงอยู่ได้ยาก

๕๙ ๗. สาราณียธรรม ๖ หลักการอยรู่ ่วมกนั , ธรรมเปน็ ท่ตี ัง้ แหง่ ความใหร้ ะลึกถงึ กนั ในดา้ นความสมั พันธ์กับผู้อื่น ท่ีเป็นเพื่อนร่วมกิจการหรือชุมชน ตลอดจนพ่ีน้องร่วมครอบครัว พึงปฏิบัติ ตามหลักการอย่รู ่วมกนั ทเี่ รียกว่า สาราณียธรรม ๖ ประการ คอื ๑. เมตตากายกรรม ทําต่อกันด้วยเมตตา คือแสดงไมตรีและความหวังดี ต่อเพ่ือนร่วมงานร่วม กิจการ ร่วมชุมชน ด้วยการช่วยเหลือธุระ ของผู้ร่วมหมู่คณะด้วยความเต็มใจ แสดงอาการกิริยาสุภาพ เคารพ นับถือกันท้ังตอ่ หนา้ และลบั หลัง ๒. เมตตาวจีกรรม พูดต่อกันด้วยเมตตา คือช่วยบอกแจ้งสิ่งท่ีเป็นประโยชน์ สั่งสอนหรือแนะนํา ตกั เตอื นกันดว้ ยความหวังดี กล่าววาจาสภุ าพ แสดงความเคารพนับถือกนั ท้ังต่อหน้าและลบั หลงั ๓. เมตตามโนกรรม ต้ังจิตปรารถนาดี คิดทําแต่สิ่งท่ีเป็นประโยชน์แก่กัน มองกันในแง่ดี มีหน้าตา ยม้ิ แย้มแจ่มใสตอ่ กัน ๔. สาธารณโภคี ได้ของสิ่งใดมาแบ่งปันกัน คือแบ่งลาภผลท่ีได้มาโดยชอบธรรม แม้เป็นของ เล็กนอ้ ยก็แจกจา่ ยให้ไดม้ ีส่วนร่วมใชส้ อยบริโภคทั่วกนั ๕. สีลสามัญญตา ประพฤติให้ดีเหมือนเขา คือมีความประพฤติสุจริตดีงาม รักษาระเบียบวินัย ของส่วนรวม ไมท่ ําตนให้เป็นทร่ี ังเกยี จหรือเสยี นายแกห่ มู่คณะ ๖. ทิฏฐิสามัญญตา ปรับความเห็นเข้ากันได้ คือเคารพเช่ือฟังความคิดเห็น มีความเห็นชอบร่วมกัน ตกลงกันในหลักการสําคัญ ยึดถืออุดมคติ หลกั แห่งความดงี าม หรือจุดหมายสงู สดุ อันเดยี วกัน ๘. ทศิ ๖ หลักมนุษยสมั พนั ธ์ รอบๆ ตัวเราคนหนึง่ ๆ น้ี ทั้งขา้ งหน้า ข้างหลัง ข้างขวา และข้างซ้าย ย่อมมีคนท่ีเกี่ยวพันกับชีวิตของ เราอยู่ซึ่งหลีกไม่พ้น และก็ล้วนเป็นบุคคลท่ีมีความสัมพันธ์กับชีวิตของเราอย่างใกล้ชิด หากขาดเสียแล้ว ชีวิต ย่อมไม่มีความสมบูรณ์ บุคคลเหล่าน้ัน ท่านเปรียบเหมือนทิศต่างๆ ท่ีเรารู้ๆ กันนี้แหละ คือ ทิศเหนือ ทิศใต้ ตะวันออก ตะวันตก ทิศเหล่านี้ ย่อมให้ประโยชน์แก่คนในการกําหนดทิศทาง เรือเดินสมุทร หรือเคร่ืองบิน เดินทางโดยไม่หลงทาง ทําให้ไปสู่ที่หมายได้ถูกต้อง น่ันก็เพราะอาศัยการสังเกตทิศทางนั่นเอง นั่นคือทิศ ภายนอก แต่ทิศภายในที่ทางพระพุทธศาสนาได้แสดงไว้ หมายถึงความผูกพันระหว่างกลุ่มคนต่างๆ ที่เรา เกี่ยวข้อง และจําต้องอาศัยอยู่ร่วมกัน คํากล่าวที่ว่า “เราต้องอยู่ให้ได้ โดยมีเขาอยู่ด้วย” คือความหมายท่ี สมบรู ณพ์ ร้อมแห่งความเกี่ยวข้องผูกพันของกลุ่มคนต่างๆ ซ่ึงเปรียบได้กับทิศทางในภายนอก ท่ีเราต้องสร้างให้ เกิดขึ้น ซ่ึงทิศ ๖ ในทางพระพุทธศาสนา ก็คือการปฏิบัติหน้าที่ต่อกันระหว่างกลุ่มคนท่ีสัมพันธ์เกี่ยวข้อง เช่น ความรู้จักผู้ใหญ่ผู้น้อย ความรู้ที่ต่ําที่สูง และรู้จักตัวเอง แล้วปฏิบัติให้พอเหมาะพอควรแก่กันและกัน ซ่ึงเป็น แนวทางทจ่ี ะให้เกิดความสุขความเจรญิ เป็นสวัสดมิ งคลแก่ผปู้ ฏิบตั นิ ั้นๆ การปฏบิ ัติด้วยความเอ้ืออาทรต่อกัน ทั้งด้วยหน้าที่และความผูกพัน ซึ่งเปรียบได้กับการปฏิบัติต่อกัน ระหว่างทิศต่อทิศ เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า “หลักธรรมเพ่ือความมีมนุษยสัมพันธ์” ทางพระพุทธศาสนามี ๖ ประการ เรยี กวา่ ทิศ ๖ เป็นหลกั ธรรมสําหรับใชป้ ฏบิ ัติต่อบคุ คลตา่ งๆ ในสังคมอย่างเหมาะสม เพ่ือให้สามารถ อยู่รว่ มกนั อยา่ งสงบสุข โดยแบ่งบคุ คลทอี่ ยรู่ อบข้างออกเปน็ ๖ กลมุ่ หรอื ๖ ทิศ ดงั น้ี ๑. ทศิ เบือ้ งหน้า (ปรุ ัตถิมทศิ ) หมายถงึ บดิ ามารดา

๖๐ บิดามารดาพึงอนเุ คราะห์บุตรธิดา ดังนี้ ๑) หา้ มไมใ่ หท้ าํ ความช่ัว ๒) ใหต้ ง้ั อยู่ในความดี ๓) ให้ได้รับการศึกษา ๔) หาคูค่ รองท่ีสมควรให้ ๕) มอบทรพั ย์ให้ตามเวลาอันควร บุตรพึงบํารงุ ต่อบดิ ามารดา ดังนี้ ๑) เลย้ี งดูพอ่ แมเ่ มอื่ มีโอกาสตอบแทน ๒) ช่วยเหลอื งานของพอ่ แม่ ๓) ดาํ รงวงศ์สกลุ ๔) ประพฤติตนให้เหมาะสมกบั ความเป็นทายาท ๕) ทําบุญอุทศิ สว่ นกศุ ลให้ทา่ นเมื่อท่านลว่ งลบั ไปแลว้ ๒. ทศิ เบ้ืองขวา (ทักษิณทศิ ) หมายถึง ครูอาจารย์ ครอู าจารย์พึงอนุเคราะห์ตอ่ ศิษย์ ดงั น้ี ๑) ฝึกฝนแนะนําให้เปน็ คนดี ๒) สอนให้เขา้ ใจแจ่มแจ้ง ๓) ถา่ ยทอดความรูต้ า่ งๆ ให้แก่ศิษย์โดยไมป่ ิดบงั อาํ พราง ๔) ยกยอ่ งชมเชยใหป้ รากฏในหมูค่ ณะ ๕) ปกป้องภัยให้ศษิ ย์ สร้างเคร่อื งคมุ้ ภยั ในสารทิศ ศษิ ย์พงึ บํารงุ ครอู าจารย์ ดังนี้ ๑) ตอ้ นรับครูอาจารยต์ ามโอกาสอนั ควร ๒) ไปหาเพอ่ื บาํ รงุ และคอยรับใช้ ปรึกษา ซกั ถาม เป็นต้น ๓) ใฝ่ใจเรียนเช่อื ฟงั คําสอนของครอู าจารย์ ๔) ช่วยเหลือเกือ้ กูล ปรนนิบตั ิ ช่วยบริการครอู าจารย์เมื่อมโี อกาส ๕) เรียนศลิ ปวทิ ยาโดยเคารพ ๓. ทศิ เบื้องหลัง (ปจั ฉมิ ทศิ ) หมายถึง สามีกับภรรยา สามพี ึงบาํ รงุ ภรรยา ดงั น้ี ๑) ยกยอ่ งให้เกียรตภิ รรยา ๒) ไม่ดูหมิ่นภรรยา ๓) ไมป่ ระพฤตนิ อกใจภรรยา ๔) มอบความเป็นใหญ่ในงานบา้ นให้ ๕) ให้เครอื่ งประดับเป็นของขวญั ตามโอกาส ภรรยาพงึ ปฏบิ ัตติ อ่ สามี ดังน้ี ๑) จัดการงานดี

๖๑ ๒) สงเคราะห์ญาติมติ รทง้ั สองฝ่ายดว้ ยดี ๓) ไม่ประพฤตนิ อกใจ ๔) รักษาทรพั ย์สมบัติที่หามาได้ ๕) ขยนั ไม่เกยี จคร้านในการงานทง้ั ปวง ๔. ทิศเบือ้ งซา้ ย (อุตตรทิศ) หมายถึง มติ ร ผู้ปฏบิ ตั กิ อ่ นพงึ ปฏิบัติ ดงั น้ี ๑) เผ่อื แผป่ ันสงิ่ ของต่างๆ ใหแ้ กเ่ พอื่ น ๒) พูดจามนี าํ้ ใจ ๓) ช่วยเหลอื เก้อื กลู กัน ๔) วางตนสม่ําเสมอกับเพอื่ น ร่วมสขุ ร่วมทกุ ข์ ๕) ซือ่ สัตย์จริงใจตอ่ กัน มิตรผปู้ ฏบิ ัตติ อบแทน พงึ ปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี ๑) ตกั เตอื นเพ่ือน เม่อื เพือ่ นประมาทหรอื ประพฤติไมด่ ี และไมซ่ ้าํ เติมเพ่อื น ๒) รกั ษาทรัพย์สมบตั ขิ องเพอ่ื น เม่อื เพอื่ นขาดความรอบคอบในการรกั ษาทรพั ยส์ มบตั ิ ๓) เป็นทพ่ี ง่ึ ของเพ่ือน ยามเพอื่ นมภี ัย ๔) ไมล่ ะทิ้งเพื่อนในยามท่ีเพ่อื นลาํ บาก ๕) เคารพนับถอื วงศ์ญาตพิ น่ี ้องของเพือ่ น ๕. ทิศเบอ้ื งตํ่า (เหฏฐิมทิศ) หมายถงึ ลูกจ้าง หรือคนรับใช้ นายจา้ งพึงปฏบิ ัติต่อลกู จา้ ง ดังน้ี ๑) มอบหมายงานให้ลูกจ้างทําตามกาํ ลงั ความสามารถ ๒) ให้ค่าจ้างและรางวัลแกล่ กู จ้าง ตามสมควรแกง่ านและความเปน็ อยู่ ๓) จัดสวัสดิการดี รักษาพยาบาลลกู จา้ งในเวลาเจ็บไข้ ๔) ได้ของแปลกๆ พเิ ศษมาก็แบง่ ปันให้ ๕) ใหม้ ีการพกั ผ่อนหรอื วันหยดุ ตามโอกาสอนั ควร ลกู จา้ งพึงปฏิบัตติ อ่ นายจา้ ง ดงั น้ี ๑) เริ่มทาํ งานก่อนนาย ๒) เลิกงานหลงั นาย ๓) ถือเอาแตข่ องทนี่ ายให้ ๔) ทําการงานใหเ้ รยี บร้อยและดีย่งิ ข้นึ ๕) ยกย่องและเผยแพร่คุณความดีของนายจ้าง ๖. ทศิ เบอ้ื งบน (อปุ รมิ ทศิ ) หมายถึง พระสงฆ์ พระสงฆ์พงึ ปฏบิ ตั ติ ่อศาสนกิ ชน (บคุ คลทว่ั ไป) ดงั น้ี ๑) หา้ มปรามจากความช่ัว

๖๒ ๒) ให้ตั้งอยูใ่ นความดี ๓) อนเุ คราะห์ด้วยนํ้าใจอนั งาม ๔) ให้ไดฟ้ งั สิง่ ท่ยี งั ไมเ่ คยฟัง ๕) ทาํ สิ่งทเี่ คยฟังแล้วให้แจ่มแจ้ง ๖) บอกทางสวรรค์ คือทางชีวติ ท่มี คี วามสุขความเจรญิ ให้ ศาสนกิ ชนพึงบาํ รุงพระสงฆ์ ดังน้ี ๑) กระทาํ และประพฤติปฏิบัติตอ่ ท่านดว้ ยความเมตตา ๒) พดู จากับทา่ นด้วยความเมตตา ๓) จะคดิ สิ่งใดก็คดิ ด้วยความเมตตา ๔) ยนิ ดีต้อนรับดว้ ยความเตม็ ใจ ๕) อปุ ถัมภ์บาํ รุงท่านด้วยปจั จัย ๔ ผลดจี ากการท่ีบุคคลตา่ งๆ ปฏบิ ตั ติ ามหลักของทิศ ๖ มีดงั นี้ ๑. รู้จกั หนา้ ทีอ่ นั ควรปฏิบตั ิต่อคนรอบข้าง ๒. รฐู้ านะและหนา้ ทรี่ บั ผดิ ชอบของตน ๓. ได้รบั ความร่วมมอื รว่ มใจจากบุคคลรอบข้าง ๔. อยู่ร่วมกบั ผู้อนื่ ในสังคมได้ ๕. ประสบความสําเร็จในชีวติ ครอบครัวและการงาน ทิศ ๖ เป็นหลักธรรมท่ีสอนให้บุคคลปฏิบัติต่อบุคคลรอบๆ ข้างอย่างเหมาะสม ซึ่งหากปฏิบัติตาม ยอ่ มส่งผลใหส้ ามารถอยู่ร่วมกันไดอ้ ยา่ งสงบสุข

๖๓ บทที่ ๔ หลกั การครองงาน ................................................................................................................................... สาระการเรยี นรู้ ๑. อิทธบิ าท ๔ ๒. โกศล ๓ วตั ถปุ ระสงค์ เมื่อศึกษาบทเรยี นนจ้ี บแล้ว ผ้เู ขา้ รบั การศึกษาสามารถ ๑. เข้าใจและอธิบายอิทธบิ าท ๔ อันเป็นหลกั ธรรมทจ่ี ะทาํ ใหป้ ระสบความสาํ เร็จในงานท้ังปวงได้ ๒. เขา้ ใจและอธิบายโกศล ๓ อนั เปน็ หลกั ธรรมสาํ หรบั วางแผนการทาํ งานให้สําเรจ็ ได้ กจิ กรรมระหว่างเรียน ๑. บรรยาย ๒. สอบถาม ๓. ใบงาน สอ่ื การสอน ๑. เพาเวอรพ์ อยท์ ๒. เอกสารตาํ รา ๓. คลปิ วีดิโอท่ีเกีย่ วขอ้ ง ประเมนิ ผล ๑. ให้ตอบคาํ ถาม ๒. แบบทดสอบหลังเรยี น

๖๔ ๑. อิทธบิ าท ๔ อทิ ธิ แปลว่า “ความสาํ เร็จ” บาท แปลวา่ “ทางหรอื สงิ่ ทีช่ ว่ ยนําทาง” เมือ่ นาํ มารวมกันเป็นอิทธิบาท แปลว่า ทางแห่งความสําเร็จ ความสําเร็จ หมายถึงการได้บรรลุเป้าหมายตามที่บุคคลต้ังไว้ ซ่ึงอาจเป็น เป้าหมายกว้างๆ ไม่กําหนดลักษณะและระยะเวลาแน่นอน เช่น ตั้งความหวังไว้ว่า วันหนึ่งจะต้องเป็นนักกีฬา ระดับชาติ หรือเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีช่ือเสียง หรือเป้าหมายนั้น อาจเป็นเป้าหมายท่ีระบุเวลาและขีดข้ันไว้อย่าง แน่นอน เชน่ ตั้งเป้าหมายว่าส้ินเดอื นน้ี จะตอ้ งท่องศัพท์ภาษาอังกฤษให้ได้เพ่ิมมากขึ้น ๕๐ คํา หรือภายใน ๓ ปีน้ี จะตอ้ งสอบเล่อื นฐานะเป็นนายทหารสญั ญาบตั รให้ได้ เปน็ ตน้ ในชีวิตของแต่ละคน ย่อมมีเป้าหมายและวิธีการที่ให้เป้าหมายของตน บรรลุผลสําเร็จแตกต่างกัน รูปแบบของความสําเร็จก็มีต่างๆ กัน บางคนตั้งเป้าหมายในการศึกษา บางคนตั้งเป้าหมายในการทํางานและ อาชีพ บางคนตั้งเป้าหมายในชีวิตส่วนตัวและครอบครัว แต่ท่ีทุกคนเหมือนกัน คือ เป้าหมายน้ัน จะเป็นผลดี แก่ตัวเอง เป้าหมายท่ีดีนอกจากจะเป็นผลดีแก่ตัวเองแล้ว ก็ควรจะไม่เป็นผลร้ายแก่สังคม ความสําเร็จของ สังคมเป็นผลรวมของความสําเร็จของคนแต่ละคนไม่อาจแยกกันได้ เช่น ทีมฟุตบอลไทยชนะทีมชาติอื่น ความสําเร็จของส่วนรวม ก็คือผลรวมของความสําเร็จ หรือเป้าหมายที่นักฟุตบอลไทยแต่ละคนต้ังเอาไว้ นอกจากเปา้ หมายตอ้ งชอบธรรม เป็นผลดีแก่ตนและสังคมแล้ว วธิ ีการท่ีจะนําไปสู่เป้าหมายนั้นก็ต้องชอบธรรม ดว้ ย มิใช่ได้มาดว้ ยการทุจรติ คิดมิชอบ คดโกง เป็นต้น ถ้าเราใช้วิธีที่ไม่ชอบธรรมในการสร้างความสําเร็จให้กับ ตนเอง ความสําเร็จนั้น มักจะทําให้ผู้อ่ืนเดือดร้อน เป็นผลเสียหายแก่สังคมส่วนรวม ดังนั้น บุคคลท่ีจะได้ช่ือว่า ประสบความสําเร็จในชีวิตของตนเองและสังคม ย่อมต้องรู้จักใช้วิธีการที่ถูกต้องตามทํานองคลองธรรม เพ่ือบรรลุ เป้าหมายทด่ี ีมคี ุณประโยชน์ท้ังตอ่ ตนเองและสงั คม วิธีการท่ีบุคคลจะพึงใช้ในการสร้างความสําเร็จให้ชีวิตนั้น ในทางพระพุทธศาสนามีคุณธรรมอยู่ข้อหน่ึง เรยี กว่า อทิ ธบิ าท ๔ ซงึ่ มีองค์ประกอบอยู่ ๔ ประการ คือ ๑. ฉนั ทะ ความพอใจรักใคร่ในสิง่ นน้ั ๒. วิรยิ ะ ความพยายามหมั่นประกอบในสง่ิ น้ัน ๓. จติ ตะ ความเอาใจใส่ฝกั ใฝใ่ นสง่ิ นั้น ๔. วิมงั สา การพิจารณาไตรต่ รองหาเหตผุ ลในสง่ิ นนั้ ความหมายของอทิ ธบิ าท ๔ มดี ังน้ี ๑. ฉันทะ แปลว่า ความพอใจ ในการกระทํากิจการใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาหรือการทํางาน ถ้า ขาดความพอใจท่จี ะทาํ หรอื ความต้องการที่จะทํา ไม่มีความปรารถนาอย่างจริงจังกับงานน้ัน งานนั้นก็จะสําเร็จ ลงมิได้ เพราะเกิดความเบื่อหน่ายท้อแท้ งานง่ายก็กลายเป็นงานยาก งานเบาก็กลายเป็นงานหนัก เพราะขาด ความเต็มใจ กลายเป็นคนจับจดทําอะไรไม่สําเร็จสักอย่าง ทําไปได้หน่อยก็ทิ้งเสียกลางคัน ทําให้ไม่ก้าวหน้า ไม่ มีใครเช่ือถือ ดังนั้น ประการแรก เราต้องสร้างฉันทะในงานน้ันเสียก่อน ให้เกิดความพอใจสนใจและเต็มใจท่ีจะ ทํา ไมว่ า่ งานนนั้ จะยากหรอื งา่ ย หนกั หรอื เบา กม็ ีโอกาสจะลลุ ว่ งความสาํ เรจ็ ไปได้โดยง่าย ๒. วิริยะ แปลว่า ความเพียร ในการทํางานทุกอย่าง ย่อมต้องมีความลําบากและอุปสรรคบ้าง ไม่ มากก็น้อยแตกต่างกันไป ถ้าไม่มีความขยันหม่ันเพียร อดทน และพยายามฟันฝ่าอุปสรรค ด้วยความอุตสาหะ

๖๕ แล้ว ถึงจะมีใจรักใคร่ในงานนั้น ก็มิได้หมายความว่าส่ิงนั้นจะสําเร็จลงได้ ความท้อแท้เกิดขึ้นได้กับทุกคน บาง คนท้อแท้เพราะไม่มั่นใจในความสามารถของตนที่จะทํา บางคนท้อแท้เพราะคิดการใหญ่เกินไป ทําให้เกิด ความสําเรจ็ ไดย้ าก ทางแกค้ ือสํารวจความสามารถของตนเองให้ละเอียด อย่าเข้าข้างตัวเองหรือดูถูกตัวเองมาก เกินไป พยายามเปรียบตัวเองกับตัวเอง คือเปรียบเทียบดูว่า วันน้ีกับเมื่อวานน้ี เราทํางานได้แตกต่างกันเท่าไร และพรุ่งน้ีเราควรได้อะไรเท่าไรในเวลาเท่าน้ันเท่านี้ การเปรียบเช่นนี้ก่อให้เกิดกําลังใจ มีมานะทํางานด้วยกําลัง กายตามความสามารถจนก้าวหน้าสําเร็จลุล่วงไปได้ ไม่เกิดความเกียจคร้าน หรือกลายเป็นคนไร้ความสามารถ ซึ่งเปน็ ผลเสียตอ่ ชีวติ ของตน ๓. จิตตะ แปลว่า ความเอาใจใส่ เป็นการตั้งจิตให้แน่วแน่ในสิ่งที่ทํา ตั้งใจจดจ่ออยู่กับเร่ืองที่ตน กําลังทํา ไม่ปล่อยใจให้เล่ือนลอยไปสู่เรื่องอื่น คนที่ทําอะไรโดยขาดความตั้งใจมั่นอยู่ในเรื่องนั้น ย่อมยากท่ีจะ ทํางานให้สําเร็จได้ โดยเฉพาะงานท่ีต้องใช้เวลานาน เพราะความคิดไม่ต่อเน่ืองกันตลอดเป็นเรื่องเดียว เวลานี้ คิดเร่ืองนี้กําลังคิดๆ อยู่ ใจไพล่ไปนึกถึงส่ิงอ่ืน แล้วกลับมาเร่ืองนี้ใหม่ แล้วกลับไปเร่ืองอื่นอีก งานท่ีทําอยู่ก็ไม่ เกิดผลสําเร็จ หรือถ้าสําเร็จก็ไม่ได้ผลเต็มที่ ไม่นับว่าทํางานได้ดีกลายเป็นคนที่ขึ้นช่ือว่าเอาดีไม่ได้ สักแต่ว่า ทํางานให้แล้วเสร็จเท่านั้น แต่ถ้ามีจิตใจจดจ่อกับส่ิงที่ทํา ความคิดก็จะพุ่งมาท่ีจุดเดียว ก็ย่อมมีพลังผลักดันให้ งานสําเร็จไปได้อย่างน่าชื่นชม เหมือนแสงอาทิตย์ท่ีมารวมกันเป็นจุดเดียวท่ีกระจกนูน ย่อมมีพลังเผาไหม้ได้ คนที่มีจิตใจฝักใฝ่กับงานของตนเองน้ัน ย่อมได้รับการยกย่องเชื่อถือให้ทํางานต่างๆ จากคนทั้งปวง เป็นหนทาง พาไปสคู่ วามสาํ เร็จในชวี ติ ๔. วิมังสา แปลว่า การพิจารณา สอบสวน เป็นการใช้เหตุผลพิจารณา ตรวจสอบสิ่งท่ีทําให้ ละเอียดถ่ีถ้วนเพ่ือให้ได้งานท่ีดีที่สุด ก่อนจะลงมือกระทําต้องมีการวางแผนล่วงหน้าเป็นข้ันตอน ตริตรอง ใคร่ครวญถึงปัญหาที่อาจมี หาทางแก้ไขด้วยสติปัญญา เวลากระทําก็ดําเนินการเป็นขั้นๆ มีการประเมินผลแต่ ละขั้นว่า เป็นไปตามเป้าหมายที่ต้ังไว้หรือไม่ ถ้าไม่เป็นไปตามที่วางไว้ก็ต้องสํารวจดูว่ามีปัญหาอะไร ต้องตรวจ ตราหาเหตุผล แล้วคิดวิธีแก้ไขปรับปรุงข้อผิดพลาด ให้งานนั้นมีประสิทธิภาพไปเร่ือยๆ คนที่ทํางานด้วยความ หม่ัน ตริตรองพิจารณาหาทางแก้ปัญหาตรวจสอบข้อดีข้อเสีย ย่อมรู้จักใช้เวลาในการทํางานอย่างมีค่า ไม่ต้อง เสียเวลากลับมาริเร่ิมงานน้ันใหม่ กลายเป็นคนที่มีคนยกย่องนับถืออยากให้เป็นผู้นําในการทํากิจการต่างๆ เป็น หนทางแหง่ ความเจรญิ กา้ วหน้า ในชวี ติ การงานของตนและนาํ ความสาํ เรจ็ มาส่สู ่วนรวม คุณธรรมท้ัง ๔ ประการน้ี ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่ง งานท่ีทําก็จะสําเร็จลงมิได้ เพราะเป็นเร่ืองที่ต้อง ต่อเนื่องกันตลอด ถ้าเรามีความพอใจที่จะทําส่ิงใดสิ่งหนึ่ง แต่ไม่ลงมือกระทําเราก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ส่ิงนั้น แต่ ถา้ เราลงมือกระทาํ โดยขาดความเพียรพยายาม ทาํ แลว้ เกิดความท้อแท้ งานนั้นก็ไม่ประสบผลสําเร็จ เราจึงต้อง ตัง้ จติ ให้แน่วแน่ในสิ่งท่ีกําลังทําอยู่ ไม่วอกแวก ไม่ฟุ้งซ่าน ความเพียรจึงจะดําเนินไปได้ การทํางานโดยขาดการ พิจารณาไตร่ตรองหาเหตุผลให้รอบคอบ และมิได้คิดหาทางหนีทีไล่สําหรับปัญหาและอุปสรรคต่างๆ แม้จะทํา ด้วยความเพียรพยายามเพียงใดก็ตาม งานน้ันก็ไม่อาจลุล่วงไปได้ด้วยดี ดังน้ัน จึงต้องปฏิบัติให้ครบทั้ง ๔ วิธี โดยไมข่ าดจึงประสบความสําเร็จขน้ึ ได้ ๒. โกศล ๓ โกศล คือความฉลาด ความเช่ยี วชาญ ๓ ประการคือ

๖๖ ๑. อายโกศล ความฉลาดในความเจรญิ รอบรูท้ างเจริญ และเหตุของความเจริญ ๒. อปายโกศล ความฉลาดในความเส่อื ม รอบรทู้ างเสื่อม และเหตขุ องความเสือ่ ม ๓. อปุ ายโกศล ความฉลาดในอบุ าย รอบรูว้ ิธีแก้ไขเหตุการณ์และวธิ ที จ่ี ะทาํ ใหส้ าํ เร็จ

๖๗ บทท่ี ๕ วฒั นธรรมและเอกลกั ษณ์ของชาติ ................................................................................................................................... สาระการเรียนรู้ ๑. วฒั นธรรมของชาติ ๒. เอกลักษณ์ของชาติ ๓. มารยาทชาวพทุ ธ วัตถปุ ระสงค์ เมือ่ ศึกษาบทเรียนนจี้ บแลว้ ผู้เข้ารับการศกึ ษาสามารถ ๑. เขา้ ใจและอธบิ ายเก่ยี วกับวฒั นธรรมของชาติไทยได้ ๒. เข้าใจและอธิบายเอกลักษณ์ของชาติไทยได้ ๓. เข้าใจมารยาทชาวพทุ ธในอริ ิยาบถตา่ งๆ และนําไปปฏบิ ัตติ ามได้ กจิ กรรมระหว่างเรียน ๑. บรรยาย ๒. สอบถาม ๓. ใบงาน สือ่ การสอน ๑. เพาเวอร์พอยท์ ๒. เอกสารตํารา ๓. คลปิ วดี โิ อท่ีเกี่ยวข้อง ประเมินผล ๑. ให้ตอบคาํ ถาม ๒. แบบทดสอบหลงั เรยี น

๖๘ ๑. วฒั นธรรมของชาติ ข้อปฏบิ ัตอิ นั เปน็ การแสดงวา่ ผู้ปฏบิ ัตเิ ป็นคนทีเ่ จริญ รวมเรยี กวา่ วัฒนธรรม แปลวา่ สภาพเครื่องทํา ให้เจริญ หรือข้อปฏิบัติอันส่อแสดงถึงความเจริญ ในภาษาอังกฤษใช้คําว่า Culture ในการศึกษาน้ี ขอให้คํา จํากัดความดังนี้ “วัฒนธรรม คือ สภาพที่ทําให้เจริญงอกงาม หมายความว่า คุณสมบัติชนิดนี้ เมื่อมีอยู่ในผู้ใด แลว้ ย่อมทําใหผ้ ู้นนั้ เป็นคนเจริญขึ้นด้วย ทําให้หมู่คณะของผู้นั้นเป็นหมู่ท่ีเจริญด้วย” ส่วนที่ว่าวัฒนธรรม เป็น เคร่ืองแสดงให้ผู้อื่นรู้ว่า ผู้น้ันเป็นคนเจริญน้ัน เป็นอันไม่มีปัญหา เพราะเมื่อทําตัวให้เจริญแล้ว ก็เป็นอันบอก กล่าวแก่คนทัง้ หลายอยใู่ นตวั เชน่ การแต่งตวั สะอาดเรียบรอ้ ย นอกจากจะทําให้ตัวผู้น้ัน สบายตัวสบายใจแล้ว กเ็ ปน็ เครือ่ งแสดงให้คนอนื่ ร้อู ย่เู องว่า เขาเป็นคนสะอาดเรียบรอ้ ย เปน็ ตน้ รากฐานของวฒั นธรรม รากฐานหรือที่มาของวัฒนธรรมน้ัน ส่วนใหญ่ก็มาจากลัทธิศาสนา และขนบประเพณีของคนในชาติ น้ัน เพียงแต่ว่ามีการนิยมแสดงออกให้แน่นอนเท่าน้ัน ยกตัวอย่าง ศาสนาสอนให้คนแสดงสัมมาคารวะต่อกัน แล้ววัฒนธรรมก็กําหนดเพ่ิมเติมลงไปอีกว่า ควรจะแสดงความเคารพอย่างไร คนไทยนิยมการไหว้ ญ่ีปุ่นนิยม การโคง้ ตัว ฝรงั่ นิยมจับมือ ฉะน้ัน การไหวก้ เ็ ป็นวฒั นธรรมของไทย การโค้งตัวเป็นวัฒนธรรมของญ่ีปุ่น การจับ มือเป็นวัฒนธรรมของฝร่ัง แต่ครั้นนานๆ เข้า ก็มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างชาติกันอีกด้วย แต่เม่ือ กลา่ วอย่างรวบยอดแล้ว วัฒนธรรมย่อมมาจากลทั ธิศาสนา และขนบประเพณีของชาตนิ ้นั เปน็ ส่วนใหญ่ ประโยชน์ของการมีวัฒนธรรมมีมาก จะชี้ให้เห็นพอเป็นตัวอย่างท้ังคุณของการมีวัฒนธรรม และโทษ ของการไมม่ วี ัฒนธรรม คณุ ของการมีวัฒนธรรม ๑. มีความสุขความเจรญิ ๒. สงั คมนบั ถอื ๓. ทําใหห้ มคู่ ณะเจริญ ๔. มีคนสรรเสริญ ฯลฯ โทษของการขาดวฒั นธรรม ๑. มคี วามทกุ ขค์ วามเสือ่ ม ๒. สังคมรงั เกยี จเหยียดหยาม ๓. ทําใหห้ มคู่ ณะเส่อื ม ๔. มีคนตาํ หนติ เิ ตียน ฯลฯ จําแนกวัฒนธรรม เมอื่ กลา่ วโดยย่อ วฒั นธรรมมี ๒ แขนง คอื วัฒนธรรมทางด้านวตั ถุ กบั วัฒนธรรมทางดา้ นจิตใจ ในทางการศกึ ษา ตามรูปวัฒนธรรมของชาตทิ า่ นแยกเป็น ๔ แขนง คือ

๖๙ ๑. คติธรรม (Moral Culture) หมายถึง ความประพฤติอันเป็นคุณลักษณะของบุคคลท่ีมีหลักธรรม เป็นแนวดาํ เนินชีวติ เช่น ๑. มีความเขม้ แข็งอดทน ๒. รจู้ ักขออภัยเม่ือผิด และให้อภยั เมือ่ ผอู้ ่นื ผิด ๓. รจู้ กั ออมทรพั ย์ไมใ่ ชจ้ า่ ยเกินตวั ๔. รูจ้ ักเสียสละ ไมเ่ หน็ แก่ตวั ๕. บชู าความยุติธรรม ๖. พร้อมทจ่ี ะรับผิดชอบในหน้าทกี่ ารงานของตน ๗. เมอ่ื ตนชนะไมเ่ หยยี บยํ่าผแู้ พ้ เมอ่ื ตนแพก้ ็ไม่โอหัง ๒. เนติธรรม (Legal Culture) หมายถึง ความประพฤติอันเป็นคุณลักษณะของบุคคลที่มีความ เคารพในกฎหมาย และระเบียบวินัย เช่น ๑. ร้จู กั สิทธแิ ละหนา้ ท่ขี องตน ๒. กล้าเผชญิ กบั ความจรงิ ไมท่ าํ บตั รสนเท่ห์ ๓. ปฏบิ ัติตามคาํ แนะนาํ ของเจา้ หนา้ ที่ฝา่ ยปกครอง ๔. ไม่ละเมดิ คําสั่งเจ้าหนา้ ท่ีเวรยามและเจ้าหน้าท่จี ราจร แมต้ นเป็นผู้ใหญ่กวา่ ๕. ย่อมถือวา่ การละเมดิ กฎ กติกา ระเบยี บ วนิ ยั เป็นส่ิงน่าอับอาย ๖. ไม่เข้าขา้ งคนผดิ ๗. ไมป่ ระพฤตเิ ป็นคนนอกกฎหมาย หรือสนับสนุนนักเลงอันธพาล ๓. วัตถุธรรม (Material Culture) หมายถึง ความประพฤติอันคุณลักษณะของบุคคลท่ีมีคุณธรรม อนั สูงในความเป็นอยู่ เช่น ๑. แตง่ กายสะอาดเรียบร้อยตามควรแกฐ่ านะ ๒. จัดแจงทอ่ี ยู่ทที่ าํ งานใหม้ รี ะเบยี บเรยี บร้อย ๓. รบั ประทานอาหารเป็นเวลา ๔. ไม่ถ่ายเทสิง่ ปฏกิ ลู ลงตามถนนหนทาง และสาธารณสถาน ๕. รูจ้ ักรักษาสมบัตสิ ว่ นรวม ๖. จดั ระเบียบอาชีพของตนใหเ้ หมาะสม ๔. สหธรรม (Social Culture) หมายถงึ ความประพฤติ อนั เป็นคณุ ลักษณะของบคุ คลทเี่ หมาะสมใน การอยูร่ ่วมกนั ดว้ ยดี เช่น ๑. เปน็ คนมสี มบตั ผิ ้ดู ี ๒. มกี ริ ิยาวาจาน่ารกั ไม่เยอ่ หยิ่งจองหอง ๓. เปน็ สุภาพชนในท่ีทัง้ ปวง ๔. ร้จู กั ชว่ ยเหลอื ผู้อน่ื ๕. ไมส่ ง่ เสยี งดงั หรอื ใชเ้ ครอื่ งเสียงดงั จนทาํ ลายความสขุ ของเพ่อื นบ้าน ๖. คอยสมานสามัคคขี องหมคู่ ณะ

๗๐ ๗. รักพวกเดียวกันและผกู ไมตรีกบั คนต่างพวก ๒. เอกลักษณ์ของชาติ วัฒนธรรมและเอกลักษณ์ของชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชาติ และเป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจ ของคนในชาติ เปน็ ส่งิ จําเปน็ ทเ่ี ราจะตอ้ งหวงแหนและรกั ษาไว้ เพ่อื ให้ความเปน็ ไทของเราดํารงอยู่ต่อไป สง่ิ ทีเ่ ปน็ เอกลักษณ์ของชาติ ไดแ้ ก่ ๑. สถาบันชาติ ได้แก่ - ผืนแผ่นดินไทย - ประชาชนคนไทย - ทรัพยส์ มบัตขิ องชาติ การรักษาสถาบนั ชาติ - รักษาแผน่ ดนิ ไมใ่ หผ้ ใู้ ดมายือ้ แยง่ ไป - รกั ษาประชาชนคนไทยโดยไม่เบยี ดเบยี นทําลายกันและกนั - รักษาทรพั ย์สมบัติของชาติไทย ทง้ั ท่ีเปน็ รูปธรรมนามธรรมไว้ ๒. สถาบันพระศาสนา ประเทศชาติเป็นดุจร่างกาย เป็นท่ีอยู่อาศัยให้ความสุขแก่คนในชาติ ศาสนา คอื สถาบนั เคร่อื งยดึ เหนยี่ วจติ ใจของคนท้งั ชาติ คุณของพระศาสนา - ศาสนาเป็นที่พง่ึ ให้ความอบอุ่นแก่คน - ศาสนาเปน็ เครอ่ื งมอื อนั ประเสริฐในการพฒั นาคน - ศาสนาเป็นทพี่ ่ึงอนั สูงสดุ และดที ีส่ ุดของสงั คม ๓. สถาบันพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ คือพระประมุขของชาติ เป็นดุจจอมเจดีย์ของหมู่ มนษุ ย์ คนไทยกับสถาบนั พระมหากษัตรยิ ม์ คี วามผกู พันมาแต่อดตี บทบาทของพระมหากษัตรยิ ์ไทย - ทรงเปน็ พระประมขุ ของรัฐ “พระเจ้าอยู่หัว” - ทรงเปน็ ผ้ทู ะนุบํารุงแผน่ ดนิ ให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ “พระเจ้าแผน่ ดิน” - ทรงเปน็ ผ้คู มุ้ ครองปอ้ งกนั ให้ความอบอ่นุ แกพ่ สกนิกร “เจ้าชีวติ ” - ทรงเป็นผใู้ ห้ความยตุ ิธรรม หล่ังความร่มเยน็ แก่ปวงชน “ธรรมราชา” พระมหากษตั ริยอ์ งคป์ จั จุบนั - ทรงสมบรู ณด์ ว้ ยพระจรยิ าวัตรสว่ นพระองค์ - ทรงมพี ระมหากรณุ าธิคณุ ปกครองไพร่ฟ้าข้าแผน่ ดนิ โดยธรรม คุณลักษณะพิเศษ - ทรงมีลกั ษณะชาติ คอื ทรงกระทาํ เพือ่ ความอย่รู อดของชาติ - ทรงมลี ักษณะมหาชน ทรงทําเพ่ือความผาสกุ ของปวงชน - ทรงมีลกั ษณะต่อสู้ ไมท่ รงหวั่น ไมท่ รงหนี

๗๑ ๔. วัฒนธรรมและประเพณีอันดีงามของชาติ ๑. ความรกั ประเทศชาติ ๒. ความมศี รทั ธาในพระพทุ ธศาสนา ๓. ความเคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษตั ริย์ ๔. ความเอ้อื เฟอ้ื เผือ่ แผ่ ๕. ความมสี ัมมาคารวะ ๖. ความกตญั ญกู ตเวที ๗. ความเป็นภราดรภาพ ๘. รกั ความเปน็ ธรรม รักสงบ ๙. ความมีนสิ ัยร่าเริงแจม่ ใส ๑๐. นสิ ยั ปรับปรุงพัฒนา ๕. นิสัยของคนในชาติ ๑. รกั อสิ ระ ๒. ปราศจากหิงสา (การเบยี ดเบียนกัน) โอบอ้อมอารี ๓. รู้จกั ประสานประโยชน์ ๔. สภุ าพอ่อนโยน ๕. มีความเกรงใจ ๖. ย้มิ แยม้ แจม่ ใส ๗. ใฝส่ ันโดษ ใฝส่ นั ติ ๘. เออ้ื เฟื้อเผื่อแผ่ ๙. ประนปี ระนอม ผอ่ นสน้ั ผ่อนยาว ๑๐. ไม่ประมาท ลักษณะไม่พึงปรารถนาของคนไทย ๑. หยอ่ นระเบียบวนิ ัย ๒. เคารพเชือ่ ฟังผมู้ ีอาํ นาจเกนิ ไป ยดึ บคุ คลมากกวา่ หลักการ ๓. ขาดความมานะอดทน ๔. ขาดความสามารถในการทาํ งานเป็นหมคู่ ณะ ๕. ขาดความสามารถทางการค้า ๖. อ่อนแอเมอื่ ขาดผู้นาํ ๗. ชอบเสย่ี งโชค เลน่ การพนัน ๘. ชอบสนุกทุกโอกาส ๙. เชือ่ ไสยศาสตร์ ถือโชคลางของขลัง สาเหตุของความเส่ือมสูญทางวัฒนธรรม ๑. การไหลบ่าของวฒั นธรรมตะวนั ตก

๗๒ ๒. ขาดการเอาใจใส่ในการศึกษาอบรม ๓. มรรยาทชาวพทุ ธ มรรยาท หมายถึง ระเบียบปฏิบัติท่ีสังคมกําหนดไว้ เป็นแนวทางในการแสดงออกทางกายและทาง วาจาในด้านต่างๆ เช่น กิริยาท่าทาง การแต่งกาย การพูด การแสดงอิริยาบถต่างๆ เป็นต้น สังคมแต่ละแห่งมี ประเพณีในการแสดงออกไม่เหมือนกัน เช่น ฝร่ังทักทายกันโดยการจับมือ คนไทยทักทายกันโดยผู้น้อยไหว้ ผใู้ หญ่ก่อน เปน็ ตน้ คนไทยไดร้ บั การยกย่องจากต่างชาติมานานแล้วว่า เป็นผู้มีมรรยาทอ่อนโยน น่ิมนวลน่ารัก เราจึงควรเรียนรู้เกี่ยวกับมรรยาทในสังคมไทย เพื่อจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง เป็นการรักษาเอกลักษณ์อันดีงาม อย่างหนึ่งของไทยไว้สืบไป อีกทั้งเป็นการทําให้ตัวผู้ปฏิบัติเอง เป็นที่น่ารักชื่นชมของผู้อ่ืน และเป็นการเสริม บุคลิกภาพดว้ ย ในท่นี จี้ ะพดู ถงึ มรรยาทบางเร่อื ง คือ ๑. มรรยาทในการยนื ๑.๑ การยนื ตามลําพัง แม้จะไม่ต้องระวังตัวมากเหมือนยืนต่อหน้าผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่ควรปล่อยตัวให้ อยู่ในลักษณะที่น่าเกลียด ซึ่งอาจมีคนมาพบเห็นเข้า เช่น ไม่ควรยืนถ่างขา ท้าวสะเอวทําท่าทางเย่อหยิ่ง หัน หนา้ ไปมาลกุ ลี้ลกุ ลน ทาํ ท่าทางหลกุ หลกิ เป็นตน้ การยืนควรอยใู่ นลักษณะสภุ าพ ปลอ่ ยตัวตามสบายพอควร ขาชิดกันหรือห่างกันเล็กน้อยก็ได้ หรือจะยืนในท่าพกั กไ็ ด้ จะยนื เอยี งเล็กน้อยพองามก็ได้ แขนปลอ่ ยแนบลาํ ตัวตามสบาย ๑.๒ การยนื ต่อหนา้ ผใู้ หญ่ สมัยก่อน ถ้าไม่จําเป็นจะไม่ยืนตรงต่อหน้าผู้ใหญ่ แต่จะยืนเฉียงไปทาง ใดทางหน่งึ แตป่ จั จบุ นั เรอ่ื งนไี้ มถ่ ือกนั มากนัก การยืนทําได้สองวิธีคือ ยืนตรง ขาชิด ปลายเท้าห่างกันเล็กน้อย มือท้ังสองแนบข้าง หรือยืน ค้อมส่วนบนต้ังแต่เอวขึ้นไปเล็กน้อย ท่าทางสํารวมและมือประสานกัน การค้อมตัวจะมากน้อยแล้วแต่ผู้ใหญ่ อาวโุ สมากหรอื น้อย การประสานมือทําได้สองวิธี คือ ควํ่ามือซ้อนกัน จะเป็นมือไหนทับมือไหนก็ได้ หรือหงายมือ ทงั้ สอง สอดนวิ้ เขา้ ระหวา่ งรอ่ งนิว้ ของแตล่ ะมอื ๒. มรรยาทในการเดิน ๒.๑ การเดินตามลําพัง ปล่อยตัวตามสบายได้ แต่อย่าทําให้น่าเกลียดจะเสียบุคลิกภาพ ผู้ท่ี ระมัดระวังการเดินให้ดีนั้น จะดูสง่าแก่ผู้ท่ีพบเห็น ทําให้เกิดความนิยมเลื่อมใสแก่ผู้พบเห็นได้ ขณะท่ีเดินนั้น หลงั ควรตรง ชว่ งก้าวไม่ส้ันหรือยาวเกินไป แกว่งแขนพองาม เมื่อแกว่งแขนขวาไปข้างหน้าพร้อมกับก้าวขาซ้าย ออกไป แกวง่ แขนซ้ายไปข้างหน้าพรอ้ มกบั ก้าวขาขวาออกไป เวลาเดินตอ้ งตามองตรงไปขา้ งหน้า ๒.๒ การเดินกับผู้ใหญ่ ควรเดินอย่างสุภาพ ให้เดินทางซ้ายค่อนไปทางหลังเล็กน้อย ห่าง ประมาณหนึ่งถึงสองฟุต ท่าเดินควรนอบน้อม อย่าเดินส่ายตัว หรือโคลงศีรษะ การเดินนําผู้ใหญ่ ให้เดินเยื้อง ไปทางขวามือคอ้ มตัวลงเล็กน้อย ๒.๓ การเดินสวนกับผู้ใหญ่และเดินผ่านผู้ใหญ่ ควรหลีกให้ห่างเล็กน้อย ค้อมตัวพอสมควร ถ้า ผู้ใหญ่ทักทายให้หยุดยืนและมือประสานกัน เม่ือจบการสนทนาแล้วไหว้ แล้วค้อมตัวก่อนผ่านไป การเดินผ่าน

๗๓ ผู้ใหญ่ที่น่ังอยู่บนเก้าอ้ี ควรหลีกให้ห่างพอสมควร แล้วค้อมตัวเล็กน้อยขณะผ่านไป ถ้ามีท่ีแคบควรไหว้เสียก่อน เป็นการขอผ่านอย่างสุภาพ การเดินผ่านผู้ใหญ่ท่ีน่ังอยู่บนพ้ืน เม่ือถึงระยะใกล้ตัวผู้ใหญ่ ควรคุกเข่าลงคลาน ผ่านไป เมื่อพ้นระยะพอสมควร จึงลกุ ขึน้ ยืนแลว้ เดินตอ่ ไป ๒.๔ การเดนิ เข้าสู่ท่ีชุมนุม การเดินเข้าที่ชุมนุมที่น่ังเก้าอ้ี ให้เดินเข้าไปอย่างสุภาพ เม่ือเดินผ่านผู้ ท่ีน่ังอยู่ก่อน ให้ก้มตัวเล็กน้อย หากเป็นผู้มีอาวุโสมากก็ให้ก้มตัวมาก ระวังอย่าเดินใกล้จนเกินไป เพราะเส้ือผ้า หรือส่วนของร่างกายอาจไปกรายผู้อ่ืนได้ เม่ือผ่านไปแล้วก็เดินตามธรรมดา การเดินเข้าสู่ท่ีชุมนุมท่ีนั่งกับพ้ืน เม่ือผ่านผู้ที่น่ังอยู่ให้ก้มตัว จะก้มมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับผู้ท่ีนั่งอยู่เป็นอาวุโสมากหรือน้อย และระยะทางท่ีเดิน ผา่ น อนึ่ง ถ้าเดินผา่ นผอู้ าวโุ สมากในระยะใกลม้ าก มักจะใช้วิธี “เดนิ เขา่ ” การเดินเข่า คอื ๑. นง่ั คุกเขา่ ตัวตรง มอื อย่ขู ้างๆ ตัว ๒. ยกเขา่ ขวา-ซ้ายไปข้างหน้า สลบั ข้างกนั ปลายเทา้ ตั้ง ชว่ งก้าวพองาม ๓. มือหอ้ ยข้าง แกวง่ ได้เลก็ น้อย ๒.๕ การเดินในที่ท่ีพระมหากษัตริย์หรือพระราชินีประทับอยู่ ตามประเพณีไทยหากไม่จําเป็นจะ ไมเ่ ดินผา่ นท่ปี ระทับ หรอื เดินผา่ นหลงั ทป่ี ระทบั ในระยะใกล้ หากจําเป็นก็ทําได้ เช่น มีหน้าที่ต้องไปยกของหรือ ไปจดั การเครอ่ื งขยายเสียง หรือไปทาํ ความสะอาดหนา้ ที่ประทับ หรือมกี จิ จําเปน็ ต่างๆ อื่นใด ใหป้ ฏิบัตดิ ังนี้ ๑. เดนิ ผา่ นหน้าหรอื หลงั ท่ีประทับ ให้ลุกขึ้นจากที่ถวายคํานับ เดินไปอย่างสุภาพ เม่ือจะผ่าน ทีป่ ระทบั ให้หนั ไปถวายคํานบั เมือ่ ผา่ นไปแลว้ หันไปถวายคาํ นับ และก่อนทจ่ี ะนง่ั ถวายคํานบั อีกครั้งหนึง่ ๒. เดินไปทําธุระใดๆ ให้ลุกข้ึนจากที่แล้วถวายคํานับ เดินไปยังท่ีท่ีจะต้องทํากิจธุระ เม่ือถึงที่ ถวายคํานับ การทํากิจธุระให้ย่อเข่าหรือคุกเข่าแล้วแต่กรณี ทําเสร็จแล้วลุกขึ้นถอยหลังหน่ึงก้าว ถวายคํานับ เดินถอยหลัง ๓ ก้าว แลว้ ถวายคํานับ เดนิ กลบั ท่แี ละก่อนจะนั่งถวายคาํ นบั อีกครงั้ หน่งึ ๓. มรรยาทในการนงั่ ๓.๑ การนั่งเก้าอ้ี ควรนั่งตัวตรง คอตั้งตรง หลังพิงพนักเก้าอี้ เท้าชิดกัน เข่าชิดกัน มือวางบน หน้าขา แต่ถ้านงั่ กบั ผู้อาวโุ ส นยิ มให้มอื ประสานกนั โดยคว่าํ มอื หนงึ่ หงายมอื หนึง่ สิง่ ทค่ี วรระวงั เมือ่ น่ังใกลผ้ ูม้ อี าวุโส คอื ๑. อยา่ งนง่ั ไขว่ห้าง ๒. อย่าเอนหลังพงิ พนกั เกา้ อี้ หรือถา้ น่ังตัวตรงพิงพนักเก้าอี้ได้ ๓. อย่าเอาแขนพาดท่ที ้าวแขน (ถา้ มี) ๔. อยา่ เหยยี ดเท้าไปข้างหน้า ๕. น่ังอย่างสาํ รวม ไม่แสดงกริ ิยาหลกุ หลกิ อนึ่ง หากน่ังตามลําพังน้ัน นั่งปล่อยตัวตามสบายได้ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ก็ได้ แขนพาดท่ีท้าว แขนก็ได้ ไขว่ห้างกไ็ ด้ แต่ต้องระวังอย่าให้น่าเกลยี ด เช่น ไม่ควรยกขาข้ึนพาดโต๊ะหรือเก้าอี้ ไม่น่ังโยกเก้าอี้ไปมา ไม่นั่งโดยยกเทา้ ขา้ งหนึ่งวางบนเก้าอ้ีท่ีกาํ ลังนง่ั อยู่ เปน็ ต้น ๓.๒ การนั่งกับพ้ืน ในเมืองไทยการน่ังกับพื้น ยังเป็นอิริยาบถที่ยังนิยมทํากันอยู่ การน่ังกับพ้ืนทํา ได้ ๒ อย่าง คือ

๗๔ ๑. การนั่งพับเพียบ นั่งพับขาท้ัง ๒ ข้างให้ไปในทางเดียวกัน เบนปลายเท้าเข้าหาสะโพก ตั้ง ตัวตรง มือไว้บนตักก็ได้ ผู้หญิงจะน่ังเท้าแขนก็ได้ การเท้าแขนอย่าเอาท้องแขนไว้ข้างหน้า ให้ปลายมืออยู่ ข้างหน้า ผู้ชายไม่ควรน่ังเท้าแขน จะประสานมือ หรือปล่อยแขนวางพาดบนเข่าท้ังสองก็ได้ การน่ังพับเพียบเป็น ท่าน่ังทสี่ ภุ าพเรียบรอ้ ย เมอื่ นั่งตอ่ หนา้ ผูใ้ หญ่ คนไทยท้งั ชายและหญิงนยิ มนั่งพับเพียบ ๒. การน่ังขัดสมาธิ คือ การนั่งพับเข่าท้ัง ๒ ข้าง ให้ขาไขว้กันทับฝ่าเท้า ตั้งตัวตรง การนั่ง แบบนผี้ ู้หญงิ ไม่ควรนัง่ ถอื วา่ ไม่เรยี บร้อยไม่น่าดู ผชู้ ายนิยมนั่งแบบนี้ เพราะเป็นท่าท่ีสบาย แต่จะไม่นั่งท่านี้เม่ือ นง่ั ต่อหนา้ ผใู้ หญ่ ๔. มรรยาทในการแตง่ กาย เคร่ืองแต่งกายเป็นส่ิงแรกที่สะดุดตาผู้ที่พบเห็นเรา ถ้าเราแต่งตัวเหมาะสม ก็จะก่อให้เกิดความ ประทับใจในทางที่ดี หากแต่งตัวไม่เหมาะสม ภาพของเราในสายตาผู้อ่ืนก็จะเป็นภาพที่ไม่สู้ดี แม้จะเป็นความ จริงว่า คนเลวอาจซ่อนร่างอยู่ ในเคร่ืองแต่งกายท่ีเรียบร้อยสวยงามได้ แต่คนดีมีความรู้ความสามารถน้ัน หาก แตง่ กายไม่เหมาะสม คนเหน็ ครั้งแรกอาจไม่เกดิ ความนิยมเล่ือมใส เป็นการปิดโอกาสตนเอง ที่จะได้แสดงความ ดีและความสามารถ การแตง่ กายจึงเป็นสิ่งท่คี วรคาํ นึงเหมือนกัน หลกั สาํ คญั เกีย่ วกบั การแต่งกาย มดี งั นี้ ๑. ความสะอาด ความสะอาดเป็นส่ิงสําคัญ ความสะอาดไม่เกี่ยวกับความเก่าความใหม่ เครื่องแต่ง กายทีใ่ หมอ่ าจสกปรกกไ็ ด้ เคร่อื งแต่งกายที่เก่ามรี อยปะชุนและราคาถูกก็ดูสะอาดได้ เคร่ืองแต่งกายราคาแพงก็ ดูสกปรกได้ ดังน้ัน คนฐานะด้อยก็แต่งตัวสะอาดได้เท่ากับคนฐานะดี เส้ือผ้าก็ควรซักรีดให้เรียบร้อย รองเท้าก็ ขัดให้ดูพองาม กระเป๋าก็เช็ดถูให้ดูสะอาดเป็นสิ่งท่ีทุกคนรู้แล้ว แต่จะทําหรือไม่เท่านั้น อน่ึง การอาบน้ําชําระ กายให้สะอาด การดแู ลเลบ็ มือเล็บเท้ามใิ หส้ กปรก ก็เป็นสิ่งท่ีควรระวงั ๒. ความสภุ าพเรียบร้อย การแต่งกายควรแต่งให้เรียบร้อยพอควร คนแต่ละคนหรือสังคมแต่ละแห่ง อาจมีเกณฑ์การวัดความสุภาพเรียบร้อยต่างกันออกไป แต่ถ้าใช้สามัญสํานึก เราก็จะพอรู้ว่าในสังคมไทย อยา่ งไรถือว่าแต่งกายเรียบร้อย อย่างไรไม่เรียบร้อย การใส่เสื้อกล้ามไปรับประทานอาหารก็ดี การแต่งกายโดย เปิดเผยให้เห็นส่วนของร่างกายที่ควรสงวนก็ดี การออกรับแขกในชุดนอนก็ดี ตัวอย่างเหล่าน้ี ทุกคนก็จะรู้ว่าไม่ สภุ าพเรยี บรอ้ ย ๓. ถูกต้องกาลเทศะ การแต่งกายควรให้เหมาะสมกับสมัยนิยม และให้เหมาะสมกับสถานท่ีท่ีจะไป การแต่งกายผิดสมัยนิยมน้ัน หากสะอาดและสุภาพเรียบร้อยก็จะไม่น่าเกลียด คนอาจมองว่า “เชย” เท่าน้ัน แตก่ ารแตง่ กายใหถ้ กู กาลเทศะน้นั เปน็ เรอ่ื งสาํ คญั มีขอ้ ควรระวังดงั น้ี ๓.๑ ควรแต่งกายให้เหมาะสมกับงานท่ีจะไป เช่น ไม่แต่งชุดดําไปงานแต่งงาน ไม่แต่งสีฉูดฉาดไป งานศพ เป็นต้น ๓.๒ แต่งกายให้เกียรติเจ้าภาพของงานตามสมควร เช่น ไปงานเล้ียงสังสรรค์ระหว่างเพ่ือนฝูง จะ แต่งลําลองอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าไปงานที่จัดหรูหราเป็นพิธีรีตอง จะใส่กางเกงยีนส์เสื้อยึดไปไม่เหมาะสม ถือว่า ไม่ให้เกียรติเจ้าภาพ ถ้าเรามีเงินน้อยไม่มีชุดสากลหรือชุดพระราชทาน จะใส่กางเกงเส้ือธรรมดาไปก็ได้ ข้อ สาํ คญั คือต้องสะอาดและสุภาพเรยี บรอ้ ย

๗๕ ๓.๓ การแต่งกายอย่างหนึ่ง อาจเหมาะสมกับสถานที่หนึ่ง แต่ไม่เหมาะสมกับอีกสถานที่หนึ่ง เช่น ชุดว่ายนํ้าเหมาะสําหรับใส่อยู่ท่ีชายหาดหรือข้างสระว่ายนํ้า แต่ถ้าเดินไปในท่ีที่ห่างจากชายหาดและสระมากๆ ก็ดูไม่เหมาะสม สวมรองเท้าแตะ เหมาะสมสําหรับใส่ท่ีบ้านหรือเดินเล่นนอกบ้าน แต่ไม่เหมาะสําหรับใส่ไป โรงเรียน หรอื ไปงานบางอยา่ ง เป็นต้น ๓.๔ ความสะอาดและสุภาพเรียบร้อยสําคัญท่ีสุด คนเรานั้นต่างจิตต่างใจ คนหนึ่งว่าเหมาะสมอีก คนว่าไม่เหมาะ ดังนั้น ถ้ามีปัญหาก็ยึดหลักสะอาดและสุภาพไว้ ใช้ได้ทุกกรณี ตามความเป็นจริง การแต่งกาย นั้นเป็นเร่ืองภายนอก ความดีนั้นข้ึนอยู่ท่ีจิตใจมากกว่า หากแต่งกายสะอาดและสุภาพแล้ว ก็ไม่ต้องไปกังวลจน เกนิ เหตุ

๗๖ บทที่ ๖ ศาสนพธิ ี ................................................................................................................................... สาระการเรียนรู้ ๑. พิธีทาํ บญุ ท่วั ไป ๒. คํากล่าวอาราธนาในพทุ ธศาสนพิธี ๓. วันสําคญั ทางพระพทุ ธศาสนา วตั ถปุ ระสงค์ เมอ่ื ศกึ ษาบทเรยี นนี้จบแลว้ ผู้เข้ารับการศกึ ษาสามารถ ๑. เข้าใจและอธบิ ายเก่ยี วกบั พธิ ีทําบุญทวั่ ไป และนําไปปฏบิ ัตไิ ด้ ๒. กล่าวคําอาราธนาในพธิ ที ําบญุ ตา่ งๆ ได้ ๓. เขา้ ใจและเห็นความสําคัญของวันสาํ คัญทางพระพุทธศาสนา และนาํ ไปเผยแผแ่ กบ่ ุคคลทั่วไปได้ กิจกรรมระหว่างเรยี น ๑. บรรยาย ๒. สอบถาม ๓. ใบงาน สอื่ การสอน ๑. เพาเวอรพ์ อยท์ ๒. เอกสารตํารา ๓. คลปิ วีดโิ อท่ีเกี่ยวข้อง ประเมินผล ๑. ให้ตอบคําถาม ๒. แบบทดสอบหลงั เรยี น

๗๗ ๑. พธิ ที ําบุญทว่ั ไป พิธีทําบุญในท่ีนี้ จะพูดถึงพิธีทําบุญท่ัวๆ ไป ซึ่งเป็นกิจเบื้องต้นท่ีพุทธศาสนิกชนจะพึงทราบ และ นําไปปฏิบัติได้ ส่วนจะผิดแผกแตกต่างกันไปบ้างน้ัน ก็สุดแต่ความนิยมของแต่ละท้องถ่ิน พิธีทําบุญในศาสนา พทุ ธ สรปุ แลว้ มี ๒ พธิ ี คอื ก. พิธีทําบุญในงานมงคล เป็นการทําบุญเพื่อความเป็นสิริมงคล ความสุขความเจริญ เช่น พิธี แตง่ งาน ข้นึ บา้ นใหม่ และวนั เกิด เปน็ ต้น ข. พิธีทําบุญในงานอวมงคล เป็นการทําบุญเพื่อปัดเป่าความช่ัวร้ายให้หมดไป โดยปรารภถึงเหตุ ท่มี าไมด่ ี หรือเหตทุ ่ีกอ่ ใหเ้ กิดความทุกข์โศก เชน่ พธิ ศี พ พิธีทาํ บญุ ในการทีแ่ รง้ จับบ้าน รงุ้ กนิ นา้ํ ในบ้าน เปน็ ต้น ทัง้ ๒ พิธี มพี ธิ ีกรรมทีจ่ ะต้องปฏิบัตโิ ดยย่อๆ ดงั นี้ ๑. จัดสถานที่ ก่อนถึงวันพิธี จะต้องตบแต่งสถานท่ีรับรองพระ ท่ีจะเจริญพระพุทธมนต์และแขกท่ี จะมาในงาน ตลอดจนเคร่ืองใช้แต่ละแผนกให้เรียบร้อย โดยเฉพาะที่พระสงฆ์ ต้องจัดให้อยู่ในฐานะที่น่าเคารพ เสมอ โดยจัดท่ีบูชาไว้ทางขวามือของพระสงฆ์ท่ีจะสวดมนต์ และให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก (ถ้าท่ีจํากัดก็เว้น ได้) และอาสนะพระน้นั ต้องจัดใหเ้ ป็นสว่ นหนง่ึ ตา่ งหากจากฆราวาส โดยเฉพาะผูห้ ญิง แล้วต้งั กระโถนภาชนะน้ํา พานหมากพลูไว้ทางขวามือของพระสงฆ์ โดยต้งั กระโถนไว้ข้างในแล้วเรียงออกมาตามลาํ ดบั ๒. เครื่องสักการะ หมายถึง โต๊ะหมู่หรือที่บูชาอ่ืนใดตามฐานะ อันประกอบด้วย พระพุทธรูป ๑ องค์, แจกัน ๑ ค่,ู เชิงเทยี น ๑ คู่, กระถางธูป ๑ ที่ เป็นอย่างน้อย อย่างมากจะจัดใหเ้ ต็มท่ีตามรูปแบบการจัดของโต๊ะ หมู่ ๕, ๗ หรอื ๙ เปน็ ต้น ก็ได้ ๓. ด้ายสายสญิ จน์, บาตรนํ้ามนต์ ในงานมงคลทกุ ชนิด นิยมวงดา้ ยสายสญิ จน์รอบบ้านหรือสถานท่ี แต่จะย่อลงมาแค่ที่พระสวดมนต์ก็ได้ การวงด้ายสายสิญจน์ ให้ถือเวียนขวาไว้เสมอ ถ้าจะวงรอบบ้านด้วย ก็ให้ เริ่มต้นที่โต๊ะหมู่บูชา แล้วเวียนออกไปท่ีร้ัวบ้านหรือตัวบ้านทางขวามือ (เวียนแบบเลข ๑ ไทย) เม่ือวงรอบแล้ว กลับมาวงรอบท่ีฐานพระพุทธรูป วงไว้กับฐานพระพุทธรูป แล้วมาวงที่บาตรน้ํามนต์ เสร็จแล้วหาพานวางด้าย สายสิญจน์ที่เหลือไว้ใกล้ๆ บาตรน้ํามนต์นั้น เพื่อให้พระสงฆ์ใช้ประกอบการเจริญพระพุทธมนต์ต่อไป บาตร น้ํามนต์ให้ใส่น้ําพอควร จะใส่ใบเงินใบทองใบนาก หญ้าแพรก ฝักส้มป่อย ผิวมะกรูด ฯลฯ ก็ได้ สุดแต่จะนิยม ไมใ่ สอ่ ะไรเลยกไ็ ด้ เพราะพระพุทธมนต์ที่พระสวดเป็นของประเสริฐอยู่แล้ว และตั้งไว้ทางขวามือของพระสงฆ์ที่ เป็นประธาน ติดเทียนน้ํามนต์ไว้ที่ขอบบาตร ๑ เล่ม จะหนัก ๑ บาท หรือ ๒ บาทก็ได้ แต่ควรให้ไส้ใหญ่ๆ ไว้ เพ่ือกันลมพัดดับด้วย และเม่ือพระสงฆ์ดับเทียนนํ้ามนต์แล้วห้ามจุดอีกต่อไป ซึ่งถือว่าเป็นการดับเสนียดจัญไร ไปหมดแล้ว มิให้เกิดข้ึนมาอีก ส่วนในพิธีศพ ตั้งแต่ถึงแก่กรรมจนกระทั่งเผา ไม่มีการวงด้ายสายสิญจน์และตั้ง บาตรนา้ํ มนต์ หลงั จากเผาศพเสรจ็ แล้วจะทําบญุ อัฐิจึงกระทาํ ได้ ๔. การนิมนต์พระ เจ้าภาพจะต้องแจ้ง วัน เดือน ปี และพิธีท่ีจะกระทําให้พระสงฆ์ทราบเสมอ เพราะบทสวดมนตจ์ ะมเี พิ่มเติมตามโอกาสที่ทําบุญไม่เหมือนกัน ส่วนจํานวนพระสงฆ์นั้น มีแน่นอนเฉพาะพระ สวดพระอภิธรรม สวดรับเทศน์ และสวดหน้าไฟเท่าน้ัน คือ ๔ รูป นอกน้ันแล้ว ถ้าเป็นงานมงคลพระสงฆ์ที่ สวดมนต์ (เจริญพระพุทธมนต์) ก็นิยม ๕ รูป, ๗ รูป, ๙ รูป, ๑๐ รูป โดยเหตุผลว่า ถ้าเป็นงานแต่งงาน ซ่ึงนิยม คู่ จะนิยมพระ ๕ รูป, ๗ รูป, ๙ รูป โดยรวมพระพุทธรูปเข้าอีก ๑ องค์ เป็น ๖ รูป, ๘ รูป และ ๑๐ รูป ก็ได้ เหมอื นกนั สว่ นพธิ หี ลวงใช้ ๑๐ รปู เสมอ สาํ หรบั พธิ สี ดบั ปกรณ์ มาติกา-บังสุกุล ก็เพิ่มจํานวนพระสงฆ์มากข้ึน

๗๘ อกี เปน็ ๑๐, ๑๕, ๒๐, ๒๕ รูป หรอื จนถึง ๘๐ รูป หรอื ๑๐๐ รปู กส็ ดุ แต่จะศรัทธา ไม่จํากัดจํานวน การนิมนต์ พระเพ่ือฉันหรือรับอาหารบิณฑบาต อย่าระบุช่ืออาหาร ๕ ชนิด คือ ข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง ปลา เน้ือ สรุป แล้วระบุไม่ได้ทุกชนิด จะเป็นขนมจีน หมี่กรอบ ไม่ได้ทั้งนั้น ให้ใช้คํารวมว่า “รับอาหารบิณฑบาต เช้า-เพล” หรือ “ฉันเช้าฉันเพล” ก็พอแล้ว เม่ือพระสงฆ์ที่มาสวดมนต์ถึงบ้านแล้ว กิจที่จะต้องทําอีกอย่างหน่ึงก็คือ ควร จัดหานํ้าล้างเท้าและทําให้เสร็จ เพราะถ้าพระสงฆ์ล้างเอง นํ้ามีตัวสัตว์ พระสงฆ์ก็เป็นอาบัติ และถ้าปล่อยให้ เท้าเปียกนํ้าแล้วเหยียบอาสนะ พระสงฆ์ก็เป็นอาบัติอีก จึงต้องทําให้ท่าน แต่สมัยน้ี การไปมาสะดวกด้วย ยานพาหนะ เทา้ พระสงฆไ์ มเ่ ปรอะเปื้อน จึงไม่มกี ารล้างเท้าพระสงฆเ์ ปน็ ส่วนมาก ๕. ลําดับพิธี โดยทั่วไปพิธีมงคลจะเริ่มด้วยประธาน หรือเจ้าภาพจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ธูปไม่ควรเกิน ๓ ดอก หรืออย่างมากไม่เกิน ๕ ดอก เทียน ๒ เล่ม และจุดให้ติดจริงๆ จุดแล้วอธิษฐานใจ กราบ พระ ๓ หน แล้วอาราธนาศีล อาราธนาพระปริตร ฟังพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ เมื่อพระสงฆ์สวดถึงบท “อเสวะนา จะ พาลานัง...” ให้เจ้าภาพจุดเทียนน้ํามนต์ และเมื่อพระสงฆ์สวดถึงบทว่า “นิพพันติ ธีรา ยะถา ยัมปะทีโป” ท่านดับเทียนตรงคําว่า “นิพ.....” โดยจุ่มเทียนนํ้ามนต์ลงในบาตรน้ํามนต์ (การดับเทียนอาจจะผิด แผกไปจากน้ีบ้างก็เป็นเร่ืองของพระสงฆ์) พระสงฆ์สวดมนต์จบแล้ว ถ้าเป็นพิธีสวดมนต์ในวันเดียว ซึ่งนิยมทํา ในตอนเช้าหรือเพลก็ถวายภัตตาหาร พระสงฆ์ฉันเสร็จถวายไทยธรรม พระสงฆ์อนุโมทนา เจ้าภาพกรวดนํ้า ก็ นับว่าเสร็จพิธี แต่ถ้าทําบุญ ๒ วัน วันแรกนิยมสวดมนต์เย็นแบบนี้ เมื่อสวดมนต์เย็นเสร็จ ก็นับว่าเสร็จไปตอน หนึ่ง รุ่งข้ึนจะเช้าหรือเพล พระสงฆ์มาถึงก็ทํากิจเบ้ืองต้น มีจุดธูปเทียน อาราธนาศีล รับศีลเสร็จแล้ว พระสงฆ์ สวดถวายพรพระ ไมม่ ีอาราธนาพระปริตร จบแล้วถวายภัตตาหาร ถวายไทยธรรม พระสงฆ์อนุโมทนา เจ้าภาพ กรวดนาํ้ จงึ เสรจ็ พิธี ๖. การกรวดนา้ํ เมอ่ื พระสงฆ์เริม่ อนโุ มทนา คือ รูปหัวหน้าว่า “ยะถา…” ก็ให้เจ้าภาพกรวดน้ําทันที พอจบ “ยะถา…” พระสงฆ์รูปที่สองข้ึนบทอนุโมทนา “สัพพี…” พระสงฆ์นอกน้ันสวดรับต่อพร้อมกัน ก็ให้ เจา้ ภาพเทน้ําใหห้ มด แลว้ น่ังประนมมือฟงั พระสงฆใ์ หพ้ รตอ่ ไป จบแลว้ กราบ ๓ หน ๗. การประพรมน้ําพระพุทธมนต์ ให้กระทําหลังจากพระสงฆ์อนุโมทนา (ยะถา-สัพพี) จบแล้ว จะ นมิ นต์ให้พระสงฆ์ประพรมใครหรือทีใ่ ด กน็ มิ นตท์ า่ นตามประสงค์ ๘. การเทศน์ การนิมนต์พระสงฆ์ให้แสดงพระธรรมเทศนาด้วย ในกรณีท่ีมีสวดมนต์ก่อน แล้วก็มี เทศนต์ ิดตอ่ กนั ไป การอาราธนาตอนพระสวดมนต์ ให้อาราธนาพระปริตร ยังไม่ต้องรับศีล ต่อเม่ือถึงเวลาเทศน์ นิมนตพ์ ระสงฆ์ข้ึนธรรมาสน์แล้ว จึงอาราธนาศีล รับศีลเสร็จ อาราธนาธรรมต่อ พระสงฆ์เทศน์จบ ถ้าไม่มีพระ สวดรับเทศน์ พระท่านจะอนุโมทนาบนธรรมาสน์เลย ท่านลงมาแล้วจึงถวายไทยธรรม (เครื่องกัณฑ์) แต่ถ้ามี พระสวดรับเทศน์ เช่น ในกรณีทําบุญหน้าศพ เป็นต้น พระเทศน์จบ พระสงฆ์สวดรับเทศน์ต่อ (ระหว่างนี้พระ เทศน์จะลงมานั่งข้างล่างตรงต้นแถวพระสวด) จบแล้ว เจ้าภาพจึงถวายไทยธรรม พระสงฆ์อนุโมทนา เจ้าภาพ กรวดนา้ํ เปน็ พิธี ๙. การต้ังเครื่องบูชาหน้าศพ ถ้าเป็นพิธีอาบน้ําศพ จะต้องมีเทียน (ประทีป) ๑ เล่ม ตามไว้ข้างศพ เหนอื ศรี ษะด้วย และประทีปน้ีจะตามไว้ตลอดเวลา เมือ่ นําศพลงหีบแล้ว ก็ตามไว้ข้างหีบ ด้านเท้าของผู้ตาย ซ่ึง ถือว่าผู้ตายจะได้จุดส่องทางไป ถ้าเป็นพิธีทําบุญหน้าศพ ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน หรือวันเผาก็ตาม ด้านหน้า

๗๙ ศพจะมที ี่จุดธปู ไว้ให้ผทู้ ่เี คารพนับถอื บูชา ๑ ที่ และนอกจากนี้ เวลาประกอบพิธีทุกคร้ัง นิยมจัดเครื่องทองน้อย ไว้เบื้องหน้าศพอีก ๑ ที่ ซ่ึงประกอบด้วย กรวยปักดอกไม้ ๓ กรวย, เทียน ๑ เล่ม, ธูป ๑ ดอก, เครื่องทองน้อย น้ีตั้งไว้หน้าศพ เพ่ือให้ศพบูชาธรรม โดยเจ้าภาพจุดให้ และการต้ังให้ต้ังดอกไม้ไว้ข้างนอก ตั้งธูปเทียนไว้ข้างใน (หันธูปเทียนไว้ทางศพ) ให้ต้ังเคร่ืองทองน้อยอีกชนิดหน่ึง สําหรับเจ้าภาพในเวลาฟังธรรมระหว่างพระสงฆ์กับ เจ้าภาพ การต้งั หนั ธูปเทียนไว้ทางเจา้ ภาพ ๑๐. การจุดธูปเทียน การจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยหรืออื่นใดก็ตาม จะต้องจุดเทียนก่อนเสมอ แล้วจึงจุดธูป เพราะถือว่าเทียนสูงกว่าธูป และอีกประการหน่ึง การจุดเทียนก่อน หากเทียนเกิดดับข้ึนระหว่าง กลางคนั ก็จะไดต้ อ่ ติดกันสะดวกย่ิงขน้ึ ๑๑. ผ้าภูษาโยง พิธีศพ เวลาพระท่านจะบังสุกุล จะมีผ้าภูษาโยงซ่ึงเชื่อมโยงมาจากศพเสมอ การทอด ผ้าบนผ้าภษู าโยงนใ้ี ห้ทอดตามขวาง เพื่อพระจับชักบังสุกุล ถ้าไม่มีผ้าทอด พระสงฆ์ก็จับเฉพาะผ้าภูษาโยง หาก ไม่มีผ้าภูษาโยง จะใช้ด้ายสายสิญจน์แทนก็ได้และห้ามข้ามเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นมือหรือเท้าก็ตาม ถือว่าไม่ เคารพศพ สําหรับศพหลวง ผา้ ภูษาโยงจะถูกนําเชอ่ื มกับผ้าหรือด้ายสายสิญจน์ท่ีต่อมาจากศพ จากน้ันเจ้าภาพ จึงทอดผา้ ๑๒. ใบปวารณา ในการทําบญุ มักจะมีเงินถวายพระสงฆเ์ สมอ เพ่ือใหท้ า่ นนาํ ไปใชจ้ ่าย แต่พระสงฆ์ ท่านจับต้องเงินไม่ได้ จึงใช้ใบปวารณาแทน และใช้คําว่าจตุปัจจัย (ปัจจัย ๔ คือ เครื่องนุ่งห่ม ๑ อาหาร ที่อยู่ อาศยั และยารกั ษาโรค ) แทนคาํ วา่ เงนิ การเตรียมการในการทําบุญ ๑. การจดั สถานท่ที าํ บุญ ๑.๑ โตะ๊ หมูบ่ ูชา - ตั้งไว้ด้านขวาของอาสน์สงฆ์ สูงกว่าอาสน์สงฆ์พอสมควร หันหน้าไปทางด้านทิศตะวันออก ทศิ เหนือ หรือทศิ ใต้กไ็ ด้ ไม่นยิ มต้ังหนั หน้าไปทางทิศตะวนั ตก (ดูความเหมาะสมของสถานท่ีประกอบด้วย) - โตะ๊ หม่บู ูชา ประกอบดว้ ยสิง่ สาํ คัญอยา่ งนอ้ ย คอื ๑. พระพทุ ธรปู ๑ องค์ ๒. แจกนั ๑ คู่ พร้อมดอกไม้ประดบั (ดอกไม้นิยมใหม้ สี ีสวย-กล่ินหอม-กาํ ลังสดชื่น) ๓. กระถางธูป ๑ ใบ พร้อมธปู หอม ๓ ดอก ๔. เชิงเทียน ๑ คู่ พร้อมเทียน ๒ เลม่ ๑.๒ อาสน์สงฆ์ - จัดตั้งไว้ด้านซ้ายโต๊ะหมู่บูชา แยกเป็นเอกเทศต่างหากจากท่ีน่ังฆราวาส ประกอบด้วย เครอ่ื งรบั รอง คือ ๑. พรมเลก็ เท่าจาํ นวนพระสงฆ์ ๒. กระโถนเทา่ จาํ นวนพระสงฆ์ ๓. ภาชนะนา้ํ เยน็ เท่าจํานวนพระสงฆ์ ๔. ภาชนะน้าํ รอ้ นเท่าจาํ นวนพระสงฆ์

๘๐ - เครื่องรับรองดังกล่าว ตั้งไว้ด้านขวามือของพระสงฆ์ โดยต้ังกระโถนไว้ด้านในสุด ถัด ออกมาเป็นภาชนะนํา้ เย็น สว่ นภาชนะนํ้ารอ้ นจัดถวายเมือ่ พระสงฆเ์ ขา้ นัง่ แล้ว - ถ้าเครื่องรับรองไม่เพียงพอ จัดไว้สําหรับพระผู้เป็นประธานสงฆ์ ๑ ที่ นอกน้ัน ๒ รูปต่อ ๑ ที่กไ็ ด้ (ยกเว้นแก้วน้ํา) ๑.๓ ทนี่ ั่งเจา้ ภาพและผ้จู ดั งาน - จัดไว้ดา้ นหน้าของอาสนส์ งฆ์ โดยแยกเปน็ สว่ นหนง่ึ ต่างหากจากอาสน์สงฆ์ - ถ้าเนือ่ งเป็นอันเดยี วกับอาสนส์ งฆ์ ใหป้ เู ส่ือหรือพรมบนอาสน์สงฆ์ ทับผืนที่เป็นที่น่ังสําหรับ ฆราวาส โดยปทู บั กันออกมาตามลําดบั แล้วปพู รมเลก็ สาํ หรับพระสงฆ์แตล่ ะรูปอีกเพื่อใหส้ งู กว่าทีน่ ่งั เจ้าภาพ ๑.๔ ภาชนะนํ้ามนต์ - จัดทําเฉพาะพิธีทําบุญงานมงคลทุกชนิด โดยต้ังไว้ข้างโต๊ะหมู่บูชา ด้านขวาของประธาน สงฆ์ - พิธีทําบุญงานอวมงคลที่เกี่ยวเน่ืองกับศพ เช่น ทําบุญ ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน เป็นต้น ไม่ ต้องจดั ภาชนะน้ํามนต์ ๑.๕ เทยี นนํ้ามนต์ - ใชเ้ ทยี นขี้ผ้ึงแท้ นํา้ หนกั ๑ บาทข้นึ ไป โดยใช้ชนิดไสใ้ หญ่ เพือ่ ปอ้ งกนั มใิ หด้ บั งา่ ย ๒. การนิมนตพ์ ระสงฆ์ ๒.๑ พิธีทําบุญงานมงคล อย่างน้อยไม่ต่ํากว่า ๕ รูป ข้างมากไม่มีกําหนด (พิธีหลวง และพิธีท่ีมี การทาํ บุญทักษิณานปุ ระทานนยิ ม ๑๐ รูป) ๒.๒ งานมงคลสมรส เม่ือก่อนนิยมนิมนต์จํานวนคู่ คือ ๖ - ๘ - ๑๐ - ๑๒ รูป เพื่อฝ่ายเจ้าบ่าว และเจา้ สาวนมิ นตฝ์ า่ ยละเทา่ ๆ กนั ๒.๓ ในปัจจุบัน งานมงคลทุกประเภท รวมท้ังงานมงคลสมรส นิยมนิมนต์ ๙ รูป (เลข ๙ ออก เสียงใกลเ้ คียงคาํ ว่า “กา้ ว” หมายถงึ ก้าวหน้าหรือกําลังพระเกตุ ๙, พระพุทธคุณ ๙ และโลกุตรธรรม ๙) ๒.๔ งานทาํ บญุ อายุ นิยมนมิ นตพ์ ระสงฆเ์ กนิ กว่าอายุเจ้าภาพ ๑ รูป ๒.๕ งานอวมงคลเกย่ี วเนอื่ งกบั พธิ ีศพ นิยมนมิ นต์ดงั น้ี - สวดพระอภิธรรม ๔ รปู - สวดหน้าไฟ ๔ รูป - สวดพระพทุ ธมนต์ ๕ - ๗ - ๑๐ รปู ตามกําลงั ศรทั ธา - สวดแจง ๒๐ -๒๕ -๕๐ - ๑๐๐ - ๕๐๐ รูป หรอื ทง้ั วดั - สวดมาติกา สวดบงั สุกุล นยิ มนมิ นตเ์ ท่าอายผุ ตู้ ายหรอื ตามศรทั ธาก็ได้ ๒.๖ วิธกี ารนิมนตพ์ ระสงฆ์ - พธิ ที เ่ี ปน็ ทางราชการ นิมนต์เป็นลายลักษณอ์ ักษร - พิธที าํ บุญสว่ นตัว นิยมไปนมิ นต์ดว้ ยวาจาด้วยตนเอง ๒.๗ ข้อควรระวงั - อย่านิมนตอ์ อกชือ่ อาหาร เช่น นมิ นต์ไปฉันขนมจีน เป็นตน้ เพราะพระผิดวนิ ยั บญั ญัติ

๘๑ - นิมนต์แต่เพียงว่า “นมิ นตร์ บั บิณฑบาต รบั ภกิ ษา” หรือ “นมิ นต์ฉันเช้า ฉนั เพล” เป็นต้น ๓. การใช้ด้ายสายสิญจน์ ๓.๑ นยิ มใชท้ ้งั งานพธิ มี งคล และพธิ ีอวมงคล ๓.๒ งานพิธีอวมงคลเก่ียวกับศพ ไม่ใช้ด้ายสายสิญจน์วงรอบอาคารบ้านเรือน ใช้เป็นสายโยงจาก ศพมาถงึ อาสนส์ งฆ์ สําหรับพระสงฆ์พิจารณาบังสุกลุ ๓.๓ งานพิธีมงคล นิยมวงรอบอาคารบ้านเรือนเฉพาะพิธีขึ้นบ้านใหม่ ทําบุญบ้านประจําปี และ ทําบญุ ปดั ความเสนยี ดจัญไร ดังน้ี - อาคารบ้านเรอื นทม่ี รี ัว้ หรือกําแพง วงรอบรั้วหรือกําแพงโดยรอบ - อาคารบ้านเรือนที่มีร้ัวหรือกําแพงล้อม หรือมีแต่บริเวณกว้างขวางเกินไป ให้วงเฉพาะ รอบตัวอาคารบ้านเรอื น ๓.๔ การวงดา้ ยสายสญิ จน์ - เริ่มวงด้ายสายสิญจน์ตั้งแต่โต๊ะหมู่บูชา แต่ยังไม่ต้องวงรอบพระพุทธรูป เม่ือวงรอบอาคาร บ้านเรือน หรือรอบบริเวณงาน แล้วจึงนํามาวงรอบฐานพระพุทธรูปภายหลัง โดยวงเวียนขวา ๑ รอบ หรือ ๓ รอบ - วงด้ายสายสิญจน์เวียนขวาไปตามลําดับ และยกข้ึนให้อยู่สูงท่ีสุด เพื่อป้องกันคนข้ามกราย หรอื ทาํ ขาด - ด้ายสายสญิ จนท์ ว่ี งแลว้ ให้คงไว้ตลอดไป ไมต่ อ้ งเกบ็ - พิธีทําบุญงานมงคลอื่นๆ วงเฉพาะบริเวณห้องพิธี หรือเฉพาะรอบฐานพระพุทธรูปท่ีโต๊ะหมู่ บชู า แลว้ โยงมาวงรอบภาชนะน้าํ มนต์ วางกลมุ่ ด้ายสายสิญจน์ใส่พานไว้ด้านซา้ ยโตะ๊ หมบู่ ชู า ๓.๕ การใช้ด้ายสายสิญจน์ทอดบงั สุกุล - โยงจากศพ จากโกศอัฐิ จากรูปของผู้ตาย หรือจากรายนามของผู้ตายอย่างใดอย่างหนึ่งมา ทอดให้พระสงฆ์พิจารณาบังสกุ ุล - ในพิธีทําบุญงานมงคล หากเชิญโกศอัฐิของบรรพบุรุษมาร่วมบําเพ็ญกุศลด้วย เมื่อจะ นมิ นต์พระสงฆพ์ ิจารณาบงั สุกลุ ใหใ้ ชด้ ้ายสายสิญจน์อีกกลุ่มหนึ่งต่างหากจากกลุ่มท่ีพระสงฆ์ถือ เจริญพระพุทธ มนต์ หรอื จะเด็ดด้ายสายสิญจนจ์ ากกลุม่ เดียวกันนั้น ให้ขาดออกจากพระพทุ ธรูป แลว้ เชอื่ มโยงกบั โกศอัฐกิ ไ็ ด้ ๓.๖ การทาํ มงคลแฝด - นําดา้ ยดิบทีย่ ังไมไ่ ดท้ าํ เป็นด้ายสายสิญจน์ ไปขอให้พระเถระที่เคารพนับถือ ทําพิธีปลุกเสก และทาํ เปน็ มงคลแฝดสาํ หรับค่บู ่าวสาว ก่อนถงึ วนั งานประมาณ ๗ วนั หรอื ๓ วันเปน็ อยา่ งนอ้ ย ๔. เทยี นชนวน ๔.๑ อปุ กรณ์ - ใช้เชิงเทยี นทองเหลอื งขนาดกลาง ๑ ขา้ ง - เทียนขผี้ ้ึงไส้ใหญ่ๆ ขนาดพอสมควร ๑ เล่ม - น้ํามันชนวน (ขี้ผึ้งแท้แช่นํ้ามันเบนซิน หรือเคี่ยวขี้ผ้ึงให้เหลว ยกลงจากเตาไฟแล้วผสมน้ํามัน เบนซิน)

๘๒ ๔.๒ การถอื เชิงเทยี นชนวนสําหรับพิธีกร - ถอื ด้วยมอื ขวา โดยหงายฝ่ามือ ใช้นิ้วมือสี่น้ิว (เว้นน้ิวหัวแม่มือ) รองรับฐานเชิงเทียน ใช้หัว แมม่ อื กดฐานเชิงเทียนด้านบนให้แนน่ เข้าไว้ - ไมน่ ิยมจบั กง่ึ กลางเชงิ เทยี น เพราะจะทาํ ให้ผใู้ หญร่ ับไม่สะดวก ๔.๓ การส่งเทียนชนวนใหผ้ ้ใู หญส่ ําหรับพิธีกร - ถงึ เวลาประกอบพิธี จดุ เทียนชนวน ถือดว้ ยมือขวา เดินเข้าไปหาประธานในพิธี ยืนตรงโค้ง คาํ นบั - เดนิ ตามหลังประธานในพิธไี ปยงั ท่บี ชู า - ถา้ ประธานในพธิ ีหยุดยนื หน้าที่บูชา พธิ ีกรน้อมตวั ลงเลก็ น้อยส่งเทยี นชนวน (ถา้ ประธานใน พิธีนั่งคุกเข่า พธิ กี รกน็ งั่ คกุ เข่าตาม) แลว้ สง่ เทียนชนวนด้วยมอื ขวา มือซ้ายห้อยอยู่ข้างตัว - ส่งเทียนชนวนแล้วถอยหลังออกมาห่างจากประธานในพิธีพอสมควร พร้อมกับคอยสังเกต ถ้าเทียนชนวนดบั พงึ รบี เขา้ ไปจดุ ทนั ที - เม่ือประธานในพิธีจุดธูปเทียนเสร็จแล้ว เข้าไปรับเทียนชนวน โดยวิธีย่ืนมือขวา แบมือเข้า ไปรองรบั ถอยหลังห่างออกไปเลก็ นอ้ ย โค้งคาํ นบั แลว้ จึงกลบั หลงั หันเดนิ ออกมา ๔.๔ การจดุ ธปู เทียนสาํ หรับประธานในพธิ ี - เม่ือพิธีกรถือเทียนชนวนเข้าไปเชิญประธานฯ ประธานฯ ลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินไปที่หน้าโต๊ะ หมู่บูชา ถ้าโต๊ะหมู่บูชาตั้งอยู่สูง พึงยืน ถ้าต้ังอยู่ไม่สูงนัก พอนั่งคุกเข่าจุดถึง พึงน่ังคุกเข่าลงแล้วรับเชิงเทียน ชนวนจากพิธีกร - จุดเทียนเล่มขวาของพระพุทธรูปก่อน แล้วจุดเล่มซ้ายต่อไป แล้วจึงจุดธูปเช่นเดียวกับ เทยี น - ถา้ มสี ายชนวนเชือ่ มโยงจากธูปไปยังเทียนทกุ คู่ พงึ จุดธูปเปน็ อนั ดับแรก - ถ้าธูปมิได้จุ่มนํ้ามันชนวน พึงถอนธูปออกมาจุดกับเทียนชนวน ส่งเทียนชนวนให้พิธีกรแล้ว ปักธปู ไวต้ ามเดมิ โดยปกั เรยี งหนึ่งเปน็ แถวเดียวกัน หรอื ปกั เป็นสามเส้าก็ได้ - จุดธูปเทียนเสร็จแล้ว นั่งคุกเข่าประนมมือ กล่าวคําบูชาพระรัตนตรัย โดยว่า นะโม… ๓ จบ แล้วว่า อิมินา…. (เพียงแต่นึกในใจ) แล้วกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ขณะกราบพึงระลึกถึงพระรัตนตรัย ดว้ ย คอื กราบครั้งท่ี ๑ บรกิ รรมวา่ อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ ครั้งที่ ๒ บริกรรมว่า สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ คร้ังท่ี ๓ บริกรรมว่า สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ สงั ฆัง นะมามิ เสร็จแล้วกลบั เข้าไปนงั่ ประจาํ ท่ี ๕. การอาราธนาสาํ หรบั พิธีกร - เมื่อเจ้าภาพ หรือประธานในพิธี จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยเสร็จแล้ว พิธีกรเริ่มกล่าวคํา อาราธนาศีล - ถ้าอาสน์สงฆอ์ ยูร่ ะดับพนื้ ผ้รู ่วมพิธที ง้ั หมดน่ังกบั พืน้ พธิ ีกรพงึ น่ังคุกเข่าประนมมือ กราบ ๓ ครั้ง แล้วจึงกล่าวคําอาราธนา ถ้าอาสน์สงฆ์ยกข้ึนสูงจากพ้ืน แต่ผู้ร่วมพิธีทั้งหมดน่ังอยู่กับพื้น ก็น่ังคุกเข่าอาราธนา เช่นกัน

๘๓ - ถ้าอาสน์สงฆ์ยกสูง ผู้ร่วมพิธีทั้งหมดน่ังเก้าอี้ พิธีกรพึงยืนทางท้ายอาสน์สงฆ์ ข้างหน้าพระสงฆ์รูปท่ี ๓ จากท้ายแถวหรือท่ีอันเหมาะสม ทําความเคารพประธานในพิธี แล้วหันหน้าไปทางประธานสงฆ์ ประนมมือ กล่าวคําอาราธนาศีล โดยหยุดทอดเสียงเป็นจังหวะๆ ดังน้ี “มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ, ติสะระเณนะ สะหะ, ปญั จะ สีลานิ ยาจามะ, ทุติยัมป…ิ ฯลฯ, ตะติยัมป…ิ ฯลฯ - เมอ่ื รับศลี เสรจ็ แลว้ พงึ อาราธนาพระปริตรต่อไป จบแล้ว ถ้าน่ังคกุ เข่า กราบ ๓ คร้ัง ถ้ายืน ก็ยก มอื ไหว้ เสรจ็ แลว้ ทาํ ความเคารพประธานในพธิ ีอีกครงั้ หน่งึ ๖. การจดุ เทยี นน้าํ มนต์ - ประธานในพธิ ี หรือเจ้าภาพ จะต้องรอคอยจุดเทียนนาํ้ มนต์อีกครั้งหน่ึง - เมื่อพระเจริญพระพุทธมนต์ถึงบทมงคลสูตร พิธีกรพึงจุดเทียนชนวนเข้าไปเชิญประธานในพิธี หรอื เจ้าภาพไปจดุ เทยี นนา้ํ มนต์ ยกภาชนะนํา้ มนต์ถวายประธานสงฆ์ ยกมือไหว้ แล้วกลับไปนัง่ ทีเ่ ดมิ ๗. การถวายข้าวบชู าพระพทุ ธ - เมื่อพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ถึงบทถวายพรพระ พิธีกรยกสํารับคาวหวานไปตั้งท่ีหน้าโต๊ะ บชู าโดยต้งั บนโตะ๊ ที่มีผา้ ขาวปูรอง หรือทพี่ ื้นแต่มผี า้ ขาวปรู อง - เชญิ ประธานในพิธีหรือเจา้ ภาพทาํ พิธบี ูชา (พธิ ีกรไม่ควรจดั ทําเสียเอง) - ประธานในพิธี หรือเจ้าภาพ นั่งคุกเข่า (พิธีราษฎร์จุดธูป ๓ ดอก ปักที่กระถางธูป) ประนมมือ กล่าวคําบูชาข้าวพระพุทธจบแล้วกราบ ๓ คร้ัง - กรณียกสํารับคาวหวานสําหรับพระพุทธ และสํารับคาวหรือทั้งคาวและหวานสําหรับพระสงฆ์ เข้าไปพร้อมกัน (หลังจบบทถวายพรพระ) ประธานฯ หรือเจ้าภาพ นั่งคุกเข่ากล่าวคําบูชาข้าวพระพุทธจบแล้ว จึงยกสํารับคาวหรือท้ังคาวและหวาน ถวายพระสงฆ์เฉพาะรูปประธานฯ นอกนั้น จะมอบให้ผู้ร่วมพิธีเข้าร่วม ถวาย ก็ชื่อว่าเปน็ ความสมบูรณ์แห่งพิธกี ารที่เหมาะสม ๘. การลาข้าวพระพทุ ธ - เมื่อพระสงฆ์ฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว เจ้าภาพหรือพิธีกร เข้าไปนั่งคุกเข่าประนมมือ กล่าวคําลา ข้าวพระพทุ ธจบแลว้ กราบ ๓ คร้งั แลว้ ยกสํารับไปได้ ๙. การจดั ภตั ตาหารถวายพระสงฆ์ - เวลาเช้า จัดอาหารประเภทอาหารเบา เช่น ข้าวตม้ โจ๊ก กาแฟ ขนมปงั เป็นต้น - เวลาเพล จัดอาหารประเภทอาหารหนัก โดยมากจัดเป็นอาหารไทย และควรเป็นอาหาร พืน้ เมอื งเป็นหลัก อาจมีอาหารพิเศษแทรกบา้ งก็ได้ ๑๐. การประเคนของพระ - ถ้าเป็นชาย ยกส่งให้ถึงมือพระภิกษุผู้รับประเคน ถ้าเป็นหญิง วางถวายบนผ้าท่ีพระสงฆ์ทอดรับ ประเคน และรอให้ทา่ นจบั ทผี่ ้าทอดนัน้ กอ่ น จงึ วางสงิ่ ของลงบนผ้านนั้ - ถ้าพระสงฆ์นง่ั กับพน้ื พึงนั่งคกุ เข่าประเคน ถา้ พระสงฆน์ ่ังเก้าอี้ พงึ ยนื ประเคน - ยกภัตตาหารที่จะพึงฉันพร้อมภาชนะอาหารถวายเท่าน้ัน ส่ิงของเคร่ืองใช้ต่างๆ ไม่ต้องยก ประเคน เพียงแต่วางมอบใหเ้ ท่าน้ันก็พอ

๘๔ - ภัตตาหารทุกชนิดที่ประเคนแล้ว ห้ามคฤหัสถ์จับต้องอีก ถ้าเผลอไปจับต้องเข้า ต้องประเคน ใหม่ - ประเคนครบทุกอย่างแล้ว ถ้าน่ังคุกเข่าประเคน ก็กราบ ๓ ครั้ง ถ้ายืนประเคนก็น้อมตัว ลงยก มอื ไหว้ - ลกั ษณะการประเคนที่ถกู ต้อง ประกอบดว้ ยองค์ ๕ คอื ๑. สิ่งของที่จะประเคน ไม่ใหญ่โตหรือหนักเกินไป ขนาดปานกลางคนเดียวยกไหว และยก ส่ิงของนน้ั ให้ขนึ้ พน้ จากพนื้ ทสี่ ิ่งของนัน้ ต้ังอยู่ ๒. ผูป้ ระเคนอยหู่ า่ งจากพระภิกษุผรู้ ับประเคนประมาณ ๑ ศอก (อย่างมากไม่เกิน ๒ ศอก) ๓. ผู้ประเคนนอ้ มสิง่ ของน้นั เข้าไปใหด้ ว้ ยกริ ิยาอาการแสดงความเคารพอ่อนน้อม ๔. กิริยาอาการที่น้อมส่ิงของเข้าไปให้น้ัน จะส่งให้ด้วยมือก็ได้ ด้วยของเน่ืองด้วยกาย เช่น ใช้ ทัพพีตกั ถวายกไ็ ด้ ๕. พระภิกษุผู้รับประเคนน้ัน จะรับด้วยมือก็ได้ ด้วยของเนื่องด้วยกาย เช่น จะใช้ผ้าทอดรับ ใช้บาตรรับ หรอื ใชภ้ าชนะรับก็ได้ ๑๑. การจดั เครือ่ งไทยธรรมถวายพระสงฆ์ - เคร่ืองไทยธรรม คือวัตถุสิ่งของต่างๆ ท่ีสมควรถวายแก่พระสงฆ์ ได้แก่ ปัจจัย ๔ และส่ิงของท่ี นับเน่อื งในปัจจัย ๔ - สิ่งของที่ประเคนพระสงฆ์ได้ในเวลาเช้าช่ัวเที่ยง ได้แก่ ประเภทอาหารคาวหวานทุกชนิด ท้ัง อาหารสด อาหารแหง้ และอาหารเครื่องกระปอ๋ งทุกประเภท หากนําส่ิงของเหล่านี้ไปถวายในเวลาหลังเท่ียงวันแล้ว เพียงแต่แจ้งให้ภิกษุรับทราบแล้วมอบ สงิ่ ของเหล่านั้นแก่ศษิ ย์ของทา่ น ใหเ้ ก็บรักษาไว้ ทําถวายในวันต่อไปก็พอ - ส่ิงของที่ประเคนพระสงฆ์ได้ตลอดเวลา ได้แก่ ประเภทเคร่ืองด่ืม เครื่องยาบําบัดความเจ็บไข้ และประเภทเภสชั เชน่ นํ้าตาล นํ้าผึง้ น้ําอ้อย หมากพลู หรือประเภทสง่ิ ของท่ีไมใ่ ช่ของสําหรับขบฉนั - ส่ิงของท่ีไม่สมควรประเคนพระสงฆ์ ได้แก่ เงิน และวัตถุสําหรับใช้แทนเงิน เช่น ธนบัตร เป็น ตน้ (ในการถวาย ควรใช้ใบปวารณาแทนตัวเงิน สว่ นตัวเงินมอบไว้กบั ไวยาวัจกรของพระภิกษนุ ั้น) ๑๒. การปฏบิ ตั ิในการกรวดนํ้า - กระทําในงานทําบญุ ทกุ ชนิด เพอื่ อทุ ศิ ส่วนกศุ ลให้แก่ผู้ลว่ งลับไปแล้ว - ใชน้ ้ําที่ใสสะอาดบริสทุ ธ์ิ ไม่มีสิง่ อืน่ ใดเจือปน - ใช้ภาชนะสําหรับกรวดนํ้าโดยเฉพาะ ถ้าไม่มี ก็ใช้แก้วน้ําหรือขันน้ําแทน โดยจัดเตรียมไว้ก่อน ถงึ เวลาใช้ - กรวดน้ําหลังจากถวายเครอื่ งไทยธรรมแล้ว - เมื่อประธานสงฆ์เริ่มอนโุ มทนา (ยะถา…) กเ็ ริ่มหลง่ั นาํ้ อุทศิ ส่วนกศุ ล - ถ้านั่งอยู่กับพื้น พึงนั่งพับเพียบจับภาชนะ สําหรับกรวดน้ําด้วยมือท้ังสอง รินน้ําให้ไหลลงเป็น สาย

๘๕ - ถ้าภาชนะสําหรับกรวดนํ้าปากกว้าง เช่น ขันหรือแก้ว ควรใช้นิ้วมือขวารองรับสายน้ําให้ไหล ลงไปตามนว้ิ ชีน้ นั้ ถา้ ภาชนะปากแคบ ไมต่ ้องใชน้ ้วิ มือรองรบั สายนาํ้ - ควรรินนํ้าให้ไหลลงเป็นสาย โดยไม่ขาดตอนเป็นระยะๆ พร้อมกันนั้น ควรต้ังจิตอุทิศส่วนกุศล แกท่ า่ นผูล้ ว่ งลบั ไปแลว้ - เมื่ออุทิศเป็นส่วนรวมแล้ว ควรอุทิศระบุเฉพาะเจาะจงชื่อ นามสกุล ของผู้ล่วงลับไปแล้วอย่าง ชดั เจนอกี คร้งั หนงึ่ - เม่ือพระสงฆ์รูปที่ ๒ รับและขึ้นอนุโมทนาว่า สัพพีติโย…. พึงเทน้ําให้หมดภาชนะแล้วประนม มอื รบั พรต่อไป - ขณะทพี่ ระสงฆ์กําลังอนุโมทนา ไมพ่ ึงลกุ ไปทาํ ธุรกิจอืน่ ๆ (หากไมจ่ าํ เป็นจรงิ ๆ) - พระสงฆ์อนโุ มทนาจบแลว้ พงึ กราบหรอื ไหวต้ ามสมควรแก่สถานทน่ี ั้นๆ - น้าํ ที่กรวดแลว้ พงึ นําไปเทลงทพ่ี ้ืนดนิ โดยเทลงทีก่ ลางแจง้ ภายนอกตัวอาคารบ้านเรือน ห้ามเท ลงไปในกระโถน หรอื ในที่สกปรกเป็นอนั ขาด ศาสนพิธี เป็นองค์ประกอบท่ีสําคัญส่วนหน่ึงของพระพุทธศาสนา ซึ่งผู้รู้ได้ถือปฏิบัติกันมาจนเป็น แบบแผน และเป็นสิ่งท่ีชาวพุทธควรศึกษาและปฏิบัติให้ถูกต้อง เพ่ือให้เกิดศรัทธาปสาทะแก่ผู้พบเห็นและให้ เกดิ ความขลังความศกั ดส์ิ ิทธ์ิแกพ่ ธิ ีกรรมนนั้ ๆ ข้อควรทราบเพิม่ เตมิ ดงั น้ี ๑. การไหว้ ๑.๑ การไหว้พระ - ยกมือทั้งสองพนมอยู่ระดับอก แล้วยกมือท่ีพนมน้ันขึ้นจรดหน้าผาก โดยให้ปลาย นว้ิ หวั แม่มือทง้ั สองจรดระหว่างคว้ิ น้อมศรี ษะลงพองาม เหตุผล : การเคารพผู้ท่ีเรานับถืออย่างสูงสุด ควรพนมมือให้อยู่ระดับสูงสุดของใบหน้า และ นอบนอ้ มเคารพดว้ ยเศียรเกล้า ๑.๒ การไหว้บิดามารดา ป่ยู า่ ตายาย - ยกมอื ท่พี นมอยู่ขน้ึ ให้ปลายนว้ิ หวั แมม่ อื จรดปลายจมูก นอ้ มศรี ษะลงพองาม เหตุผล : การเคารพผู้ที่ให้ชีวิต ให้ลมหายใจแก่เรา จึงพนมมือไว้เหนือจมูก และน้อมรําลึก ถึงพระคุณดว้ ยเศยี รเกล้า ๑.๓ การไหว้ผู้ท่เี ราเคารพนบั ถอื ทั่วไป - ยกมือที่พนมอย่ใู หป้ ลายนิว้ หัวแมม่ ือจรดปลายคาง น้อมศีรษะลงพองาม เหตุผล : การเคารพผู้ที่ให้วิชาความรู้ เป็นแบบอย่างในการทํามาหาเล้ียงชีพ จึงพนมมือไว้ ระดบั ของปาก และน้อมรับเปน็ แบบอย่างการดาํ รงชวี ติ ด้วยเศยี รเกลา้ ๑.๔ การไหว้ (การรับไหว้) ผู้เสมอกันหรือผ้นู อ้ ยกวา่ - ยกมือพนมขึน้ เสมออก ให้ปลายนว้ิ ช้จี รดปลายคาง ไมต่ ้องน้อมศีรษะ

๘๖ เหตุผล : คนเสมอกันและเพื่อนมนุษย์ ควรมีน้ําใจเมตตาเอ้ือเฟื้อเก้ือกูลกัน จึงพนมไว้ใน ระดบั อก หมายถงึ จิตใจ หมายเหตุ : การไหว้น้ัน จะน่ังพับเพียบไหว้หรือยืนไหว้ก็ได้ ผู้ชายถ้ายืนต้องให้เท้าทั้งสองชิดกัน ใน ลักษณะยืนตรง ผู้หญิงถ้ายืนให้สืบเท้าข้างหน่ึงไปข้างหลังเล็กน้อย พร้อมท้ังน้อมตัวไหว้ สําหรับการไหว้ผู้อาวุโส กวา่ ข้ึนไป ๒. การกราบ ๒.๑ การกราบพระ-กราบศพพระ - กราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ ๓ คร้ัง หมายถึงให้อวัยวะ ๕ ส่วนจรดถึงพ้ืน คือ เข่า ๒ มือ หรือศอก ๒ หนา้ ผาก ๑ ท่าเตรียม : ผชู้ าย นง่ั คุกเข่าบนเส้นเท้า ปลายเท้าตงั้ : ผู้หญงิ น่งั ทบั ฝา่ เท้า ปลายเทา้ ราบ จงั หวะ ๑ (อัญชล)ี ยกมือทงั้ สองขนึ้ พนมเสมออก ปลายนวิ้ เบนออกประมาณ ๔๕ องศา จังหวะ ๒ (วันทา) ยกมอื ท่พี นมน้ันข้ึนจรดหน้าผาก ให้หวั แม่มอื ทง้ั สองจรดระหว่างคว้ิ จังหวะ ๓ (อภิวาท) กราบลงกับพื้น แบมือคว่ํา ให้ฝ่ามือท้ังสองห่างกัน พอศีรษะจรดพื้น ได้ (ผ้ชู ายใหข้ อ้ ศอกต่อหวั เข่า ผู้หญิงให้ขอ้ ศอกคร่อมเขา่ ) ๒.๒ กราบคน-กราบศพคน (กราบมือตงั้ ครั้งเดยี ว) จังหวะ ๑ น่ังพับเพียบพนมมือไหว้ขึ้น (กรณีผู้ตายอาวุโสกว่า) ให้หัวแม่มือจรดปลายจมูก (กรณผี ้ตู ายอาวุโสเท่ากนั หรือรนุ่ ราวคราวเดยี วกนั ) ใหห้ ัวแม่มอื จรดปลายคาง จังหวะ ๒ กราบลงมอื หมอบกราบครั้งเดยี ว โดยใหม้ ือท่ีพนมนั้นตง้ั กบั พนื้ หน้าผากจรดสนั มือ ๓. การจดุ เทยี นธปู บชู าพระ - จดุ เทยี นเลม่ ทางขวาของพระพุทธก่อน แลว้ จงึ จุดเทียนเลม่ ทางซ้ายของพระพุทธ - จดุ ธูป ๓ ดอก โดยจดุ ดอกทางขวาของพระพุทธ ไปทางซา้ ยตามลาํ ดบั - เสรจ็ แล้วกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ๓ คร้ัง ๔. สญั ลกั ษณ์แห่งการบูชา - เทียน เป็นสัญลักษณ์แห่งการบูชาพระธรรมและพระวินัย เปรียบเทียบว่า เทียนเป็นแสงสว่าง ส่องทาง พระธรรมใหค้ วามสวา่ งแก่จิตใจ - ธูป เป็นสัญลักษณ์แห่งการบูชาพระคุณของพระพุทธเจ้า ผู้ทรงพระคุณ ๓ ประการ คือ พระปัญญาคณุ พระวสิ ทุ ธคิ ุณ และพระมหากรุณาธิคุณ เปรียบเทียบว่า ธูปมีกลิ่นหอม เมื่อหมดดอก ความหอมจะสนิ้ ไป แต่ความหอมของพระพทุ ธคุณ มิมวี ันจางหายไป - ดอกไม้ เป็นสัญลักษณ์แห่งการบูชาพระสงฆ์ เปรียบเทียบว่า ดอกไม้จัดเป็นระเบียบแล้วดู สวยงาม พระสงฆ์อยู่ในระเบียบวินยั ปฏบิ ตั ดิ ปี ฏิบตั ิชอบ ยอ่ มสวยงามมคี ุณค่า ๕. การจดุ ธปู จุด ๑ ดอก : บชู าศพ

๘๗ จดุ ๓ ดอก : บูชาพระรัตนตรัย - บูชาพระคุณของพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ ประการ จุด ๕ ดอก : บูชาปูชนียบุคคลท้ังห้าคือ บูชาพระรัตนตรัย ๓ ดอก, บูชาบิดามารดา ๑ ดอก, บูชาครูอาจารย์ ๑ ดอก หรือบูชาพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ พระโคตมะ และพระศรอี ริยเมตไตรย จุด ๗ ดอก : บูชาองค์แห่งธรรม เป็นเครื่องตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ๗ ประการ ท่ีเรียกว่า โพชฌงค์ ๗ - บชู าวนั ท้ัง ๗ คือ อาทิตย์ – เสาร์ จุด ๙ ดอก : บชู าพระพทุ ธคุณโดยพสิ ดาร ๙ ประการ, บชู าพระภมู เิ จา้ ทท่ี ้ัง ๙ พระองค์ ๖. การอัญเชญิ พระพทุ ธรปู มาต้งั บนโต๊ะหมู่บูชา - ควรทาํ เมือ่ ใกลเ้ วลาจะประกอบพธิ ี - พระพทุ ธรูปนนั้ ควรใหญ่พอสมควร ไม่ใช่พระเคร่อื ง ซ่ึงเล็กเกนิ ไป - ถ้ามคี รอบ ควรเอาท่คี รอบออก หากมวั หมองดว้ ยธุลี ควรเชด็ ใหส้ ะอาด หรือสรงนาํ้ เสยี ก่อน - อัญเชิญโดยยกที่ฐานพระให้สูงระดับอกด้วยอาการเคารพ ห้ามจับท่ีพระศอ (คอ) หรือพระพาหา (แขน) ในลักษณะห้วิ ของ ซ่งึ เป็นอาการที่ไมเ่ คารพ - ตั้งบนโตะ๊ หมู่บชู าตวั ทีส่ งู ท่สี ดุ - ควรอญั เชญิ กลบั ไปไว้ทีเ่ ดมิ เมือ่ เสร็จพิธี ๒. คํากล่าวอาราธนาในพทุ ธศาสนพธิ ี คาํ บชู าพระรตั นตรยั อมิ นิ า สักกาเรนะ/ พทุ ธงั ปูเชมิ / (หรือ อะภิปชู ะยาม)ิ อิมินา สักกาเรนะ/ ธมั มัง ปูเชมิ / (หรือ อะภิปชู ะยาม)ิ อิมินา สกั กาเรนะ/ สงั ฆงั ปเู ชมิ / (หรอื อะภปิ ูชะยามิ) อะระหัง สมั มาสัมพทุ โธ ภะคะวา/ พทุ ธงั ภะคะวันตัง อะภวิ าเทมิ / (กราบ) สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม/ ธมั มงั นะมัสสามิ / (กราบ) สปุ ะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวกะสงั โฆ/ สงั ฆัง นะมามิ / (กราบ)

๘๘ คาํ กล่าวปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ เอเต (หญิงว่า เอตา) มะยัง ภันเต/ สุจิระปะรินิพพุตัมปิ/ ตัง ภะคะวันตัง/ สะระณัง คัจฉามะ, ธมั มญั จะ สงั ฆญั จะ/ พุทธะมามะกาติ/ โน สังโฆ ธาเรตุ ฯ ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ/ ข้าพเจ้าท้ังหลาย/ ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น/ แม้ปรินิพพานไป นานแล้ว/ ท้ังพระธรรมและพระสงฆ์/ เป็นสรณะท่ีระลึกนับถือ/ ขอพระสงฆ์จงจําข้าพเจ้าทั้งหลาย/ ว่าเป็น พทุ ธมามกะ ดังนี้ ฯ พระสงฆ์จะไดใ้ หโ้ อวาท เมอื่ จบโอวาทแล้ว พงึ รับดว้ ยคําวา่ “สาธุ” ตอ่ จากนน้ั กล่าวคําอาราธนาศลี ๕ ดังนี้ มะยัง ภนั เต วิสุง วสิ ุง รกั ขะณัตถายะ/ ติสะระเณนะ สะหะ/ ปญั จะ สีลานิ ยาจามะ/ ทตุ ยิ มั ปิ มะยงั ภันเต วิสุง วิสงุ รักขะณตั ถายะ/ ตสิ ะระเณนะ สะหะ/ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ/ ตะติยัมปิ มะยงั ภนั เต วิสุง วสิ ุง รกั ขะณตั ถายะ/ ติสะระเณนะ สะหะ/ ปัญจะ สลี านิ ยาจามะ/ รับศลี ๕ โดยว่าตามพระสงฆ์ตามลําดบั ดังน้ี บทนะโม นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสมั พทุ ธสั สะ/ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธัสสะ/ นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสัมพุทธสั สะ/ บทไตรสรณคมน์ พทุ ธัง สะระณงั คัจฉามิ/ ธมั มัง สะระณัง คัจฉามิ/ สงั ฆงั สะระณัง คจั ฉาม/ิ ทุติยมั ปิ พุทธัง สะระณงั คัจฉามิ/ ทตุ ยิ มั ปิ ธมั มัง สะระณัง คัจฉามิ/ ทตุ ยิ มั ปิ สงั ฆงั สะระณัง คัจฉามิ/ ตะตยิ มั ปิ พุทธงั สะระณัง คัจฉามิ/ ตะตยิ ัมปิ ธมั มงั สะระณัง คัจฉาม/ิ ตะติยมั ปิ สงั ฆงั สะระณงั คจั ฉาม/ิ ถ้าพระสงฆส์ รุปวา่ “ติสะระณะคะมะนัง นฏิ ฐติ งั ” ใหก้ ล่าวรบั ด้วยคาํ วา่ “อามะ ภนั เต” ศลี ๕ ปาณาตปิ าตา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทยิ ามิ อะทินนาทานา เวระมะณี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ ามิ กาเมสุ มจิ ฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทยิ ามิ มสุ าวาทา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทิยามิ สรุ าเมระยะมชั ชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทิยามิ คาํ อาราธนาพระปริตร สัพพะสัมปตั ติสทิ ธยิ า/ วิปัตติปะฏิพาหายะ/

๘๙ สัพพะ ทกุ ขะ วนิ าสายะ/ ปะริตตัง พฺรถู ะ มงั คะลงั / วิปตั ตปิ ะฏิพาหายะ/ สพั พะสมั ปตั ติสทิ ธยิ า/ สัพพะ ภะยะ วนิ าสายะ/ ปะริตตัง พรฺ ถู ะ มังคะลัง/ วปิ ตั ติปะฏิพาหายะ/ สพั พะสัมปตั ติสิทธิยา/ สพั พะ โรคะ วินาสายะ/ ปะรติ ตงั พฺรถู ะ มงั คะลงั / อาราธนาธรรม พรัหมา จะ โลกาธปิ ะตี สะหัมปะติ/ กัตอัญชะลี อันธวิ ะรัง อะยาจะถะ/ สนั ตีธะ สตั ตาปปะระชกั ขะชาติกา/ เทเสตุ ธมั มงั อะนุกมั ปมิ ัง ปะชงั / คําบชู าขา้ วพระพทุ ธ (ตัง้ นะโม กอ่ น ๓ จบ) อิมงั / สปู ะพะยัญชะนะสมั ปันนัง/ สาลีนงั / โอทะนงั / สะอุทะกัง วะรงั / พทุ ธสั สะ/ ปเู ชม/ิ คาํ ลาข้าวพระพุทธ (และใชล้ าเครือ่ งสังเวยบวงสรวงกไ็ ด้) ตัง้ นะโม กอ่ น ๓ จบ เสสงั มังคะลงั ยาจาม/ิ คําถวายสงั ฆทานทัว่ ไป ตั้ง นะโม ก่อน ๓ จบ อิมานิ/ มะยัง ภันเต/ ภัตตานิ/ สะปะริวารานิ/ ภิกขุสังฆัสสะ/ โอโณชะยามะ/ สาธุ โน ภันเต/ ภิกขุสังโฆ/ อิมานิ/ ภัตตานิ/ สะปะริวารานิ/ ปะฏิคคัณหาตุ/ อัมหากัง/ ทีฆะรัตตัง/ หิตายะ/ สุขายะ/ ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ/ ข้าพเจ้าท้ังหลาย/ ขอน้อมถวาย/ ภัตตาหาร/ กับทั้งของบริวารเหล่านี้/ แก่พระภิกษุสงฆ์/ ขอพระภิกษุสงฆ์/ จงรับภัตตาหาร/ กับท้ังของบริวารเหล่าน้ี/ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย/ เพื่อประโยชน์/ และความสุข/ แกข่ ้าพเจา้ ทง้ั หลาย/ ตลอดกาลนานเทอญ/ คาํ กรวดน้ําอุทศิ ใหญ้ าติ ขอให้ญาติท้ังหลายของข้าพเจ้า/ อทิ ัง เม/ ญาตีนงั โหต/ุ สุขิตา โหนตุ/ ญาตะโย/ ขอส่วนบุญนี้จงสําเร็จ/ แก่ญาติท้ังหลายของข้าพเจ้า/ จงมคี วามสุข/ คาํ กรวดนาํ้ ปรารถนาผลสว่ นตวั อทิ งั เม กะตัง ปญุ ญัง/ นิพพานะปัจจะโย โหตุ/ อะนาคะเต กาเล/ ๓. วันสาํ คัญทางพระพทุ ธศาสนา

๙๐ วันสําคัญทางพระพุทธศาสนา หมายถึง วันที่มีเหตุการณ์พิเศษบางอย่างเกิดข้ึนในพระพุทธศาสนา โดยมากจะเป็นวันที่เก่ียวข้องกับพระพุทธเจ้า ซ่ึงอาจจะกําหนดเอาวันที่มีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้นในชีวิตของ พระองคเ์ ปน็ หลัก ในประเทศไทย มวี ันทน่ี ิยมปฏิบตั กิ จิ กรรม เพ่อื ระลกึ ถึงคณุ ของพระรตั นตรยั ดงั น้ี ๓.๑ วันวสิ าขบขู า วันวิสาขบูชา ตรงกบั วันข้ึน ๑๕ คํ่า เดือน ๖ เป็นวันสําคัญในทางพระพุทธศาสนา หมายถึง การบูชา ในวันเพ็ญเดือนวิสาขบูชา หรือราวเดือน ๖ ของไทย เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และเสด็จดับขันธ- ปรินิพพาน เวียนมาบรรจบตรงในวันเดียวกัน คือ วันเพ็ญเดือนวิสาขะ จึงถือว่าเป็นวันสําคัญของพระพุทธเจ้า ประวตั คิ วามเป็นมา พระพุทธเจ้าประสูติ ณ สวนลุมพินีวัน อยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสด์ุกับกรุง เทวทหะ แคว้นสักกะ (ปัจจุบันอยู่ในเมืองลุมมินเด ประเทศเนปาล) เม่ือเช้าวัน ข้ึน ๑๕ คํ่า เดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี ต่อมาพระองค์ได้เสด็จออกผนวช และทรงบําเพ็ญเพียรอย่างหนัก จนได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ณ ตําบลอุรุเวลาเสนานิคม แคว้นมคธ (ปัจจุบันอยู่ในเขตเมืองพุทธคยา แคว้นพิหาร ประเทศอินเดีย) เมื่อเช้ามืด วันข้ึน ๑๕ คํ่า เดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี หลังจากตรัสรู้แล้ว พระองค์ทรงบําเพ็ญพุทธกิจโปรดผู้ควรแนะนําสั่งสอน ให้ได้ บรรลุมรรคผลจนสําเร็จนับไม่ถ้วน และเสด็จดับขันธปรินิพพาน เม่ือวันขึ้น ๑๕ คํ่า เดือน ๖ ณ สาลวโน-ทยานของมัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ (ปัจจุบันอยู่ในเขตเมืองกุสีนคระ) แคว้นอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย พระชนมายไุ ด้ ๘๐ พรรษา การถอื ปฏิบตั วิ ันวสิ าขบชู าในประเทศไทย การประกอบพิธีวิสาขบูชาในเมืองไทย เร่ิมทํามาแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะ ได้รับแบบอย่างมาจากลังกา กล่าวคือ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๔๒๐ พระเจ้าภาติกราช กษัตริย์แห่งลังกาได้ ประกอบพิธีวิสาขบูชาอย่างมโหฬาร เพ่ือถวายเป็นพุทธบูชา กษัตริย์ลังกาในรัชกาลต่อๆ มา ก็ทรงดําเนินรอย ตาม แมป้ จั จบุ ันก็ยังถือปฏิบตั ิอยู่ ในสมัยสุโขทัยนั้น ประเทศไทยกับประเทศลังกา มีความสัมพันธ์กันทางด้านพระพุทธศาสนาอย่าง ใกล้ชิดมาก เพราะพระสงฆ์ชาวลังกาได้เดินทางเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนา และเชื่อว่าได้นําการประกอบพิธี วสิ าขบูชามาปฏบิ ัตใิ นประเทศไทยด้วย ในสมัยอยุธยา สมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้มีการประกอบ พิธีวิสาขบูชา จนมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จึง

๙๑ ปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีพระราชประสงค์จะให้ ฟื้นฟูการประกอบพิธีวันวิสาขบูชาขึ้นใหม่ ให้ปรากฏในแผ่นดินไทยต่อไป กับมีพระประสงค์จะให้ประชาชน ประกอบการกุศล เป็นหนทางเจริญอายุ และอยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากทุกข์โศก โรค ภัย และอุปัทวันตรายต่างๆ โดยทั่วหน้ากัน ฉะน้ัน การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชาในประเทศไทย จึงได้ร้ือฟ้ืนให้มีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ใน รัชสมยั พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั รัชกาลที่ ๒ และถือปฏิบตั มิ าจวบจนกระทงั่ ปัจจุบนั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงนิพนธ์ไว้ในพระราชพิธีสิบสองเดือนว่า ตั้งแต่ พระพุทธศาสนาได้มาประดษิ ฐานในแผ่นดินสยามแล้ว คนทง้ั ปวงได้ทําการบูชาน้ันมาแต่เดิมหรือไม่ได้ทํา ก็ไม่มี ปรากฏชัดในทแ่ี ห่งใด แต่พอถึงสมยั สโุ ขทัย ก็มีหลักฐานปรากฏชดั ว่า ไดม้ พี ธิ ีวสิ าขบชู าแน่นอน เพราะมกี ล่าวไว้ ในตํารบั ทา้ วศรีจุฬาลักษณว์ ่า ในวันวิสาขบูชา กรุงสุโขทัยประดับประดาไปด้วยธงทิว พวงดอกไม้ต่างๆ หลากสี หลากพันธ์ุ สว่างไสวไปด้วยแสงประทีป เทียน ดอกไม้ไฟ ครึกครื้นด้วยเสียงไพเราะ สนุกสนาน ของพิณพาทย์ ฆ้อง กลอง ตลอดท้ังกลางวันและกลางคืน ผู้คนพากันหล่ังไหลมาจากทุกสารทิศ เพ่ือประกอบการกุศลใน วันวิสาขบูชา เช่น รักษาอุโบสถศีล ฟังธรรมเทศนา ถวายสังฆทาน แจกทาน ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า เป็นต้น บรรยากาศของกรุงสุโขทัยในวันวิสาขะน้ี นับว่าน่าเบิกบาน ร่ืนรมย์ สมกับคําสรรเสริญว่า “อัน พระนครสุโขทัยราชธานี ถึงวันวิสาขนักขัตฤกษ์ครั้งใด ก็สว่างไสวไปด้วยแสงประทีป เทียน ดอกไม้เพลิง และ สลา้ งสลอนด้วยธงชาย ธงประฏาก ไสวไปด้วยพู่พวงดอกไม้ กรองร้อยห้อยแขวนหอมตลบไปด้วยกลิ่นสุคนธรส รวยรน่ื เสนาะสําเนยี ง พณิ พาทย์ ฆอ้ งกลองท้ังทิวาราตรี มหาชนชายหญิงพากันกระทํากองการกุศล เสมือนจะ เผยซงึ่ ทวารพมิ านฟ้าทกุ ช่อชั้น” ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ปี พ.ศ. ๒๓๖๐ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัด “พระราชกาํ หนดพธิ ีสวดวิสาขบูชา” ข้ึน โดยมีการประดับประดาตกแต่งวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ด้วยดอกไม้ หลากสีหลากพันธ์ุ ป่าวประกาศให้ประชาชนรักษาศีล ฟังธรรม ถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ จุดประทีปและ โคมไฟ เพ่อื บชู าพระพทุ ธเจา้ ทําใหพ้ ระนครและบ้านเรอื นทัว่ ไปสว่างไสวไปทั่ว ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการเทศนาพุทธประวัติ ปฐมสมโพธิ ข้นึ ตามวดั ในวันวสิ าขบูชาเปน็ พิเศษ เพม่ิ ขึ้นจากกิจกรรมท่ีปฏบิ ตั ติ ามแบบอยา่ งในรชั กาลก่อน ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานวันวิสาขบูชาให้พิเศษไป กว่าที่เคยจัดในรัชกาลก่อน คือให้ตั้งโต๊ะเครื่องบูชาพระพุทธธรรม ณ เฉลียงพระอุโบสถวัดพระศรีรัตน- ศาสดาราม และใหท้ ําโคมแขวนไว้ตามศาลารายอีกดว้ ย ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์และ ข้าราชการฝ่ายใน เดินเวียนเทียนและสวดมนต์รอบๆ พระพุทธรัตนสถาน วิธีปฏิบัตินี้นับว่าเป็นแบบอย่าง ของการเวยี นเทยี นในรชั กาลตอ่ ๆ มา จนถงึ สมัยปัจจุบนั ต่อมาเมื่อวันท่ี ๑๓ ธันวาคม ๒๕๔๒ ท่ีประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ ๕๔ ได้ พิจารณาว่า เนื่องจากวันวิสาขบูชา เป็นวันสําคัญของพุทธศาสนิกชนท่ัวโลก เพราะเป็นวันท่ีพระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ เสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงส่ังสอนให้มวลมนุษย์ มีเมตตาธรรมและขันติธรรมต่อเพื่อน มนุษย์ด้วยกัน เพื่อให้เกิดสันติสุขในสังคม อันเป็นแนวทางของสหประชาชาติ ที่ประชุมจึงให้การรับรองโดย

๙๒ ฉันทามติว่า วันดังกล่าวเป็นวันสําคัญสากลแห่งองค์การสหประชาชาติ เป็นวันที่สํานักงานใหญ่องค์การ สหประชาชาติและท่ีทาํ การสมัชชา จะจัดให้มีการระลึกถึงตามความเหมาะสม วิธปี ฏิบตั ิพิธวี ิสาขบชู าสาํ หรบั ประชาชน สําหรับพุทธศาสนิกชน โดยทั่วไปก็จะประดับธงชาติ และธงเสมาธรรมจักร ตามหน้าบ้านของตน ตอนเช้าไปตักบาตรที่วัดในท้องถิ่นของตน หรือตามสถานท่ีที่กําหนดเป็นพิเศษ กลางวันอาจจะไปวัด สมาทาน ศลี รักษาอุโบสถศลี ฟงั เทศน์ ทําวัตรสวดมนต์ ตอนเยน็ ไปรว่ มพธิ เี วียนเทียนทีว่ ัด หรือศาสนสถานทก่ี ําหนด ระเบยี บพธิ เี วยี นเทียนตามวดั ทวั่ ไป เมื่อได้เวลากําหนดแล้ว ทางวัดตีระฆังสัญญาณให้พุทธศาสนิกชน คือ ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา มาชุมนุม พร้อมกันท่ีหน้าพระอุโบสถ วิหาร หรือลานเจดีย์ จัดรูปกระบวนให้เป็นระเบียบ โดยให้พระภิกษุยืน แถวหน้า ถัดไปเหล่าสามเณร สุดท้ายอุบาสก อุบาสิกา ทุกคนถือดอกไม้ธูปเทียน หัวหน้าพระสงฆ์ จุดธูปเทียน ทุกคนจุดตาม แล้วหันหน้าเข้าหาปูชนียสถานที่จะเวียนรอบนั้น หัวหน้ากล่าวนําว่า นะโม…. ๓ จบ คนอ่ืนก็ว่า ตาม แลว้ หัวหน้ากล่าวนําคําถวายดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ทุกคนว่าตามจนจบ ลําดับต่อไป หัวหน้าสงฆ์ เดินนําแถวด้วยการประนมมือถือดอกไม้ธูปเทียนนั้น เดินเวียนไปทางที่มือขวาของตนหันเข้าหาสถานท่ีนั้น จะ เดินแถวเรยี งหนง่ึ หรือมากกว่านน้ั กแ็ ลว้ แต่ความเหมาะสม ขอ้ สําคัญต้องรักษามารยาท เดินด้วยอาการสํารวม สงบ มีสติกํากับตลอดเวลา อย่าทําไปเพราะเห็นแก่สนุกสนานเฮฮาเบียดเสียดกัน การทําเช่นนี้เสียมาก เม่ือจะ ทาํ ท้งั ทกี ็ทําให้เป็นกุศล การเดินเวียนเทียนรอบท่ี ๑ พึงต้ังใจระลึกถึงพระพุทธคุณ บท อิติปิโส ภะคะวา….. หรือบริกรรมใน ใจว่า “พุทโธ” รอบที่ ๒ ระลึกถึงพระธรรมคุณ บท สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม… หรือบริกรรมในใจว่า “ธัมโม” รอบที่ ๓ ระลึกถึงพระสังฆคุณ บท สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต….. หรือบริกรรมในใจว่า “สังโฆ” เดิน ครบ ๓ รอบ แล้วนําดอกไม้ธูปเทียน ไปปักบูชา ณ ท่ีท่ีเตรียมไว้ต่อจากน้ัน ก็พากันเข้าไปในพระอุโบสถ พระวิหาร หรือศาลาการเปรียญ ทําวัตร สวดมนต์พร้อมกัน สมาทานศีลฟังพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับพุทธ ประวตั ิ ประโยชน์ของประเพณีวิสาขบูชา ๑. เป็นการส่งเสริมให้ชาวพุทธ แสดงความกตัญญูต่อองค์พระศาสดาของศาสนาพุทธ ในฐานะเป็น ศาสนาประจาํ ชาติไทย นับว่าพุทธศาสนาได้อํานวยประโยชน์ผลดีแก่สังคมไทยมากมาย จึงสมควรอย่างย่ิงที่คน ไทยจะแสดงความกตญั ญู โดยจดั ให้มวี นั วิสาขบชู าขึ้น ๒. เป็นประเพณีที่ช่วยกระชับความสามัคคีของชาวไทยให้แน่นแฟ้นยิ่งข้ึน เม่ือถึงเทศกาลวิสาขบูชา ก็มา รวมกันท่ีศาสนสถานโดยไม่ได้นัดหมาย แต่มาชุมนุมกันตามธรรมเนียมนิสัย ท่ีเคยปฏิบัติสืบต่อกันมายาวนาน เมอ่ื มาพบกัน รว่ มกันทาํ กิจกรรมดว้ ยกนั กย็ ิ่งเพม่ิ ความสามคั คีใหแ้ นน่ แฟน้ ยิ่งขึ้นไปอีก ๓. ทําให้ชาวพุทธมีโอกาสได้รับคําสอนที่สําคัญๆ ในพุทธศาสนา ซ่ึงเป็นการเตือนชาวพุทธให้ ตระหนกั ในสัจธรรม และความไมป่ ระมาทในการดาํ เนินชีวติ การทาํ นุบํารงุ สง่ เสริม

๙๓ ๑. การเชิญชวนใหป้ ระชาชนมาร่วมพิธเี พอ่ื ถวายเป็นพุทธบูชา ๒. การโฆษณาประชาสัมพันธ์พิธีวิสาขบูชาทางส่ือมวลชน เช่น ทางวิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ และ สือ่ หนงั สือพิมพ์ เปน็ ตน้ ๓. บรรจุเนื้อหาของวนั วสิ าขบชู าไวใ้ นหลักสูตรการศกึ ษาตั้งแตร่ ะดบั ประถมศกึ ษาขึน้ ไป ๓.๒ วนั มาฆบูชา มาฆบูชา แปลว่า การบูชาในเดือน ๓ ในท่ามกลางสงฆ์ ณ เวฬุวันมหาวิหาร พระพุทธเจ้าทรง ปรารภเหตุสําคัญ ๔ ประการ ท่ีรู้จักกันโดยทั่วไปว่า จาตุรงคสันนิบาต ซึ่งแปลว่า การประชุมที่พร้อมด้วยองค์ ๔ คือ ๑. วันนั้น เปน็ วันขนึ้ ๑๕ ค่าํ เดือน ๓ พระจนั ทรเ์ สวยมาฆฤกษ์เตม็ ดวง ๒. วันนั้น พระอรหันตขีณาสพ จํานวน ๑,๒๕๐ รูป มาชุมนุมกันพร้อมหน้าที่พระเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ ๓. พระอรหันตสาวกเหลา่ น้ี มาประชุมโดยมิไดน้ ดั หมายกันมากอ่ น ๔. พระอรหันตขีณาสพท้ังหมดนั้น เป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา คือพระพุทธเจ้าทรงบวชให้ด้วยพระองค์ เองทั้งสนิ้ เหตุการณ์อันสําคัญย่ิงท่ีเกิดข้ึนในวันเพ็ญเดือน ๓ อันเป็นปีแรกแห่งการประกาศศาสนาน้ี คือ พระพุทธองค์ได้ทรงประทานเสาหลักสําหรับให้พุทธบริษัท ๔ ยึดเป็นแกนคําสอนหลักของพระพุทธศาสนา น่นั คือ ไดท้ รงแสดงโอวาทปาติโมกข์ อนั เป็นคาํ สอนทีเ่ ปน็ หลกั ใหญ่ในพระพุทธศาสนา มีใจความย่อว่า “การไม่ทําความชั่วทั้งปวง การทําความดีให้ถึงพร้อม การทําจิตของตนให้สะอาดผ่องใส นี้เป็น คําสอนของพระพทุ ธเจ้าทัง้ หลาย” “ความอดทน คือ ความอดกล้ันเป็นตบะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าท้ังหลายกล่าวว่า นิพพานเป็นบรมธรรม ผทู้ าํ รา้ ยคนอืน่ ไม่ชื่อว่าเปน็ สมณะ”

๙๔ “การไมก่ ลา่ วร้าย การไม่ทําร้าย ความสํารวมในพระปาติโมกข์ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ที่ น่งั ที่นอนอันสงัด ความเพียรในอธจิ ิต นเี้ ปน็ คําสอนของพระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลาย” คําสอนเหล่าน้ี ถือเป็นหลักการที่สําคัญของพระพุทธศาสนา แต่เรามักจะจําได้เฉพาะคาถาแรก เทา่ นน้ั วา่ ไม่ทําชวั่ ทาํ แต่ความดี และทําจติ ให้บรสิ ทุ ธ์ิ วธิ ีปฏิบตั พิ ิธมี าฆบูชา การบูชาในวันมาฆบูชา เป็นประเพณีที่เพ่ิงเร่ิมทํากันในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลท่ี ๔ โดยในสมัยน้ัน ได้มีการบําเพ็ญพระราชกุศล คือ เวลาเช้า พระสงฆ์ทําวัตรสวดมนต์ สวดคาถาโอวาทปาตโิ มกข์ ๑ กณั ฑ์ แตส่ มัยต่อมา พระเจา้ แผ่นดนิ ทรงติดภารกิจราชการ ณ หัวเมอื งต่างๆ ก็จะ ทรงบาํ เพญ็ พิธมี าฆบชู าทีเ่ มืองนนั้ ๆ ปัจจุบนั ราชการไดใ้ ห้ความสาํ คัญตอ่ วนั มาฆบูชา โดยกาํ หนดเป็นวนั หยุดราชการ ประโยชนข์ องพธิ มี าฆบูชา ๑. ทําให้พุทธศาสนิกชนได้ทราบหลักคําสอนอันเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา คือ โอวาทปาติโมกข์ ๒. ทําให้พระพุทธศาสนาได้รับการทํานุบํารุงส่งเสริม เป็นการสนับสนุนการเผยแพร่พุทธธรรม และ การปฏิบตั ิธรรมเปน็ พิเศษ ความจรงิ การทที่ างราชการได้กําหนดให้วันมาฆบูชา เปน็ วันหยดุ ราชการนั้น ก็นบั วา่ เป็นการอนุรักษ์ ส่งเสรมิ ใหพ้ ิธกี รรมนดี้ าํ รงคงอยู่ และจะอํานวยผลอย่างแท้จริง เมื่อบรรดาข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และ ประชาชนท่ัวไป จะต้ังใจประกอบพิธีกรรมน้ีให้ครบทั้ง ๓ พิธี คือ ทานพิธี บุญพิธี และกุศลพิธี ควรละเว้น อบายมขุ ทุกชนิด ไม่ใชช้ ว่ งเวลาน้ไี ปทําอยา่ งอืน่ ๓.๓ วนั อาสาฬหบูชา อาสาฬหบูชา แปลว่า การบูชาในเดือน ๘ เปน็ วนั ที่พระพุทธเจา้ ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นคร้ัง แรก หลังจากท่ีได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เรียกว่า ปฐมเทศนา หรือธัมมจักกัปปวัตนสูตร ท่ีป่าอิสิปตน- มฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ผ้ทู พ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงธรรมโปรดในวนั น้ี คอื พระปัญจวคั คยี ์ พระพทุ ธองค์ ทรงเตือนพระปัญจวัคคีย์ว่า “บุคคลไม่ควรหมกหมุ่นในกามสุข (กามสุขัลลิกานุโยค) และไม่ควรบําเพ็ญเพียร ด้วยการทรมานตนเองให้ลําบาก (อัตตกิลมถานุโยค) แต่ควรจะปฏิบัติตนตามทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) คอื ไม่เคร่งจนเกินไป และไมห่ ย่อนยานเกินไป กจ็ ะได้บรรลคุ วามพน้ ทกุ ข์” จากน้ัน พระองค์ทรงแสดงอริยสัจ ๔ ประการ ซึ่งเป็นหลักความจริงที่ทําให้บุคคลเป็นผู้ประเสริฐ ๔ ประการ คือ ๑. ทกุ ข์ คือ ความไมส่ บายกาย ไม่สบายใจ ไดแ้ ก่ อุปาทานขนั ธ์ ๕ ๒. สมุทยั คอื เหตเุ กิดทกุ ข์ ไดแ้ ก่ตัณหา ๓ ประการ คือ กามตณั หา ภวตณั หา และวภิ วตัณหา ๓. นิโรธ คอื ความดบั ทุกข์ ไดแ้ กพ่ ระนพิ พาน ๔. มรรค คอื หนทางทีจ่ ะนาํ ไปสู่ความดบั ทุกข์ ได้แก่มรรคมีองค์ ๘

๙๕ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบลง พระโกณฑัญญะ ได้เกิดดวงตาเห็นธรรม แล้วก็ทูล ขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้อุปสมบท ด้วยวิธี เอหิภิกขุอปุ สัมปทา จึงนับว่าเป็นพระภิกษรุ ปู แรกในพระพุทธศาสนา ฉะน้ัน วันอาสาฬหบูชา จึงมีความสําคัญ ๓ ประการ คอื ๑. เป็นวันแรกทพี่ ระพทุ ธเจ้าเริม่ ประกาศศาสนา โดยทรงแสดงปฐมเทศนาชือ่ ธมั มจักกัปปวตั ตนสูตร ๒. เป็นวันกําเนิดพระสงฆ์รปู แรกในพระพุทธศาสนา คอื พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ๓. เป็นวนั แรกท่พี ระรัตนตรยั ครบบรบิ ูรณ์ คอื พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การประกอบพิธีกรรมในวันอาสาฬหบูชาในอดีต ไม่ปรากฏชัดว่ามีหรือไม่ จวบจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๑ คณะสังฆมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้กําหนดวันอาสาฬหบูชา เป็นวันสําคัญทางศาสนาวันหน่ึง เช่นเดียวกับวัน มาฆบูชา และวันวิสาขบูชา ตามข้อเสนอของสังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การศึกษา (พระธรรมโกศาจารย์ วัด มหาธาตุ) เสนอไปยังรัฐบาลให้กําหนดเป็นวันสําคัญทางราชการด้วย คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเม่ือวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๐๑ และมรี ะเบียบรับรองเม่อื วนั ท่ี ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๐๑ ๓.๔ วนั เข้าพรรษา-วันออกพรรษา วันเข้าพรรษา ตรงกับวันแรม ๑ คํ่า เดือน ๘ เป็นวันที่พระภิกษุตั้งใจว่าจะอยู่ประจํา ณ วัดใดวัด หนึง่ ตลอดเวลา ๓ เดือน ในฤดฝู น โดยไมไ่ ปค้างคืนทอ่ี ื่นในระหว่าง ๓ เดือนนี้ การปฏบิ ตั ิตนของชาวพทุ ธ ๑. จัดเคร่ืองสักการะ เช่น ดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องใช้ มาถวายพระภิกษุและสามเณร ท่ีตนเคารพ นบั ถือ ๒. มีการหลอ่ เทยี นขนาดใหญ่ สําหรบั จดุ บชู าพระประธานในโบสถ์ ใหอ้ ย่ไู ดต้ ลอด ๓ เดือน ๓. มีการถวายผ้าอาบน้าํ ฝน ในตอนทไี่ ปทาํ บุญท่ีวัด ในตอนเชา้ วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา ตรงกับวันขึ้น ๑๕ คํ่า เดือน ๑๑ ถือเป็นวันสิ้นสุดระยะการอยู่จําพรรษา ซึ่งใช้ เวลานาน ๓ เดือน บางครั้งเรียกวันนี้ว่า วันปวารณา คือเป็นวันท่ีพระสงฆ์กล่าวคําปวารณา หรือเปิดโอกาสให้ วา่ กล่าวกนั ได้ ใครมขี อ้ ข้องใจในเรอ่ื งความประพฤตเิ ก่ียวกับวินัยสงฆ์ก็ไม่ต้องนิ่งไว้ อนุญาตให้ซักถามและช้ีแจง กันได้ การปฏบิ ตั ติ นของชาวพุทธ - มีการตักบาตรเทโว หรือเทโวโรหณะ คือการตักบาตรในวันคล้าย วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจาก เทวโลก ประโยชน์ของพิธกี รรม ๑. ทําให้พุทธศาสนิกชนได้มีโอกาสปฏิบัติคุณธรรม เช่น ความกตัญญูต่อศาสนา ความสามัคคีของ พุทธศาสนิกชน เปน็ ต้น ๒. ทาํ ใหพ้ ทุ ธศาสนิกชนมีโอกาสได้รับทราบคําสอนท่ีสําคัญๆ ในพระพุทธศาสนา เพื่อยึดเป็นหลักใน การดํารงชวี ิตของตนตอ่ ไป เชน่ พุทธดาํ รัสเตือนในธมั มจกั กัปปวตั นสูตรวา่ ไมค่ วรประพฤติหย่อนยานจนเกินไป

๙๖ จะทําอะไรก็ไม่สําเร็จ แต่ก็ไม่ควรให้ตึงเกินไป จนเป็นการทรมานตัวเอง จะทําให้ไม่ประสบผลสําเร็จ ทางท่ีถูก ควรประพฤติปฏิบัติตนตามทางสายกลาง ไม่หย่อนเกินไป และไม่ตึงเกินไป ส่ิงที่ทําอยู่ก็จะประสบผลสําเร็จ อยา่ งทีพ่ ระพทุ ธองคท์ รงกระทาํ มาแลว้ การทํานุบํารงุ สง่ เสริม ๑. ให้การศกึ ษาแกป่ ระชาชน เกยี่ วกบั วนั สําคัญทางพระพทุ ธศาสนา เช่น จัดให้มีการปาฐกถา บรรยาย อภิปราย การบรรจเุ น้ือหาเรื่องนี้ไว้ในหลกั สตู รการศกึ ษา การประชาสมั พันธ์เผยแพร่ความรู้เร่ืองนที้ างส่ือมวลชน ๒. สถาบันทางศาสนา ทางการศึกษา หน่วยงานของรัฐและเอกชน ควรประกาศเชิญชวนประชาชนให้ มารว่ มกจิ กรรมวันอาสาฬหบูชา ๓. ทางราชการควรประกาศชักชวน ให้มีการสนับสนุนการประพฤติชอบ ในโอกาสวันสําคัญทาง พระพุทธศาสนา เพ่ือถวายเป็นพุทธบูชา เช่น งดอบายมุขทุกชนิด ห้ามฆ่าสัตว์ สถานเริงรมย์ทุกแห่งควรหยุด ใหบ้ ริการหยุดทําความช่วั ๑ วนั ในวนั สําคญั ทางศาสนา -------------------------------


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook