๑ กองทัพบก วิชา การศาสนาและศลี ธรรม หลักสูตรนายสบิ ชน้ั ตน้ (RELIGION AND MORALITY BASIC NCO COURSE) จดั ทําโดย กองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศกึ ษาทหารบก เมอ่ื ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๗
ก คํานํา ตําราวิชาการศาสนาและศีลธรรม สําหรับหลักสูตรนายสิบชั้นต้นเล่มน้ี กองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารบกได้รวบรวมเรียบเรียงเพื่อใช้เป็นหลักฐานทาง วิชาการและประกอบการเรียนการสอนในหลักสูตรนายสิบชั้นต้นของโรงเรียนเหล่า สายวทิ ยาการและหน่วยจดั การศึกษาของกองทพั บก เนอ้ื หาสารธรรมในตําราเล่มนี้ นอกจากจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าของผู้เข้า รับการศึกษาแล้ว ยังมุ่งประโยชน์ต่อผู้สนใจในพระพุทธศาสนาทั่วไปอีกด้วย เพราะเก่ียวข้อง กับประวัติพระพุทธศาสนาและหลักธรรมที่เก่ียวข้องกับการพัฒนาตนให้เป็นคนดีและมี ความสุข ซง่ึ ผศู้ กึ ษาสามารถนําไปประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ในการดําเนินชีวิตประจําวันและ การปฏิบัตหิ นา้ ทีใ่ นฐานะกาํ ลังพลของกองทัพบกอีกดว้ ย กองอนุศาสนาจารย์ กรมยทุ ธศึกษาทหารบก ตุลาคม ๒๕๕๗
ข . สารบญั . หนา้ คํานาํ ...............................................................................................................................ก ขอบขา่ ยรายวิชา ............................................................................................................. ง ตอนท่ี ๑ ประวัตพิ ระพทุ ธศาสนา.....................................................................................๑ ดนิ แดนเกิดพระพทุ ธศาสนา ................................................................................................๒ พื้นเพชาวชมพูทวปี ..............................................................................................................๒ ประวัตพิ ระพุทธเจา้ .............................................................................................................๓ พุทธโอวาท ..........................................................................................................................๘ พุทธจริยาอันเปน็ แบบอย่างในการดําเนนิ ชีวิต.................................................................. ๑๐ ตอนท่ี ๒ พระรตั นตรยั ..................................................................................................๑๔ ความหมายของพระรัตนตรยั ............................................................................................ ๑๕ พุทธคุณ ๙........................................................................................................................ ๑๕ ธรรมคณุ ๖....................................................................................................................... ๑๖ สงั ฆคณุ ๙......................................................................................................................... ๑๖ ไตรสรณคมน์................................................................................................................... ๑๖ ตอนท่ี ๓ หลักการครองตนเปน็ คนดี มีความสุข.............................................................๑๗ เบญจศีล - เบญจธรรม ..................................................................................................... ๑๘ หิริ - โอตตปั ปะ................................................................................................................. ๑๙ สตสิ ัมปชัญญะ.................................................................................................................. ๒๑ บพุ พการีและกตญั ญกู ตเวที .............................................................................................. ๒๒ ขนั ติโสรจั จะ ..................................................................................................................... ๒๔ อิทธบิ าท ๔....................................................................................................................... ๒๕ การบําเพญ็ จติ ภาวนา ....................................................................................................... ๒๗
ค ตอนท่ี ๔ ศาสนพิธีเบอ้ื งตน้ ...........................................................................................๓๘ การไหว้............................................................................................................................. ๓๙ การกราบ.......................................................................................................................... ๓๙ การจุดธูปเทยี นบชู าพระ................................................................................................... ๔๐ สญั ลกั ษณ์แห่งการบชู า..................................................................................................... ๔๐ การจดุ ธูป การตัง้ โตะ๊ หมู่บูชา การวงดา้ ยสายสิญจน์......................................................... ๔๑ การอัญเชญิ พระพทุ ธรูป การกรวดน้ํา และการนิมนตพ์ ระสงฆ์มาเจรญิ พระพทุ ธมนต์...... ๔๒ การไหวพ้ ระสวดมนต์........................................................................................................ ๔๒ เอกสารอา้ งอิง...............................................................................................................๔๘ ภาคผนวก..................................................................................................................... ๔๙ แบบประเมนิ ความรู้หลงั เรยี น........................................................................................... ๕๐ คณะกรรมการตรวจชาํ ระตาํ รา......................................................................................... ๖๐
ง ความมุ่งหมาย : ขอบข่ายรายวิชา วิชาการศาสนาและศีลธรรม (หลกั สตู รนายสิบชน้ั ตน้ ) 7 ช่วั โมง เพื่อใหม้ คี วามรเู้ ก่ียวกบั ประวตั ิและพระพุทธศาสนา หลักธรรม และพุทธศาสนพิธี สามารถนําหลักธรรมมาประยุกตใ์ ชด้ าํ เนินชีวิตครองตนใหเ้ ปน็ คนดี มีความสุข เรื่องและความหมาย ชม. / ชนิด ขอบเขตการสอน หลกั ฐาน - ประวัตพิ ระพทุ ธ การสอน - วิชาการศาสนาและศีลธรรม ศาสนา 1 สช. - ดนิ แดนเกดิ พระพุทธศาสนา ของ กอศจ.ยศ.ทบ. - พระรัตนตรัย - พน้ื เพชาวชมพูทวีป - ศาสนพิธีของกอศจ.ยศ.ทบ. - บรรณสารของ กอศจ.ยศ.ทบ. - หลกั การครองตน - ประวัติพระพทุ ธเจ้า ใหเ้ ปน็ คนดี มีความสขุ - พทุ ธโอวาท 3 - พทุ ธจริยาอนั เป็นแบบอย่างในการ - ศาสนพธิ ีเบื้องต้น ดาํ เนนิ ชีวิต 1 สช. - ความหมายของพระรตั นตรัย - คุณของพระพุทธเจ้า - คณุ ของพระธรรม - คณุ ของพระสงฆ์ - ไตรสรณคมน์ 2.5 สช. - เบญจศีล - เบญจธรรม - หิรโิ อตตัปปะ - สตสิ มั ปชัญญะ - บุพพการแี ละกตญั ญกู ตเวที - ขนั ติโสรัจจะ - อทิ ธบิ าท 4 - การบําเพญ็ จิตภาวนา 2 สช. - การไหว้ - การกราบ - การจุดธูปเทยี นบูชาพระ - สญั ลกั ษณ์แห่งการบูชา
เรื่องและความหมาย ชม. / ชนิด ขอบเขตการสอน จ การสอน หลกั ฐาน - การจุดธปู การตง้ั โตะ๊ หมู่บูชา การวง ด้ายสายสญิ จน์ การอัญเชิญพระพทุ ธรปู การ กรวดนํ้า และการนมิ นต์ - การสอบวดั ผล 0.5 สช. พระสงฆ์มาเจริญพระพทุ ธมนต์ - การไหวพ้ ระสวดมนต์ (ตามแบบ ธรรมเนียมทหาร) - สอบความรทู้ ่เี รียนมาทงั้ หมด
๑ ประวตั ิพระพุทธศาสนา (History of Buddhism) .............................................................................................................................. สาระการเรยี นรู้ ๑. ดนิ แดนเกิดพระพทุ ธศาสนา ๒. พ้นื เพชาวชมพทู วปี ๓. ประวัติพระพุทธเจ้า ๔. พุทธโอวาท 3 ๕. พุทธจรยิ าอันเปน็ แบบอย่างในการดําเนินชีวิต วัตถปุ ระสงค์ เมอ่ื ศกึ ษาบทเรียนนีจ้ บแลว้ ผูเ้ ขา้ รับการศึกษาสามารถ ๑. อธิบายดินแดนเกิดพระพุทธศาสนาได้ ๒. อธิบายพ้ืนเพชาวชมพูทวปี ได้ ๓. อธบิ ายประวัตพิ ระพทุ ธเจ้าได้ ๔. เขา้ ใจและระบุพุทธโอวาท 3 ได้ ๕. ยกตัวอย่างพทุ ธจริยาอันเป็นแบบอยา่ งในการดําเนนิ ชีวติ ได้ กจิ กรรมระหวา่ งเรียน ๑. บรรยาย ๒. สอบถาม ๓. ใบงาน ส่ือการสอน ๑. เพาเวอร์พอยท์ ๒. เอกสารตํารา ๓. คลปิ วดี ิโอที่เก่ยี วขอ้ ง ประเมินผล ๑. ให้ตอบคําถาม ๒. แบบทดสอบหลงั เรียน
๒ ๑. ดินแดนเกิดพระพุทธศาสนา พระพทุ ธศาสนาเกดิ ขนึ้ ณ ดนิ แดนแถบเชิงเขาหมิ าลัย ทางทิศใต้ เม่ือ ๒๕๐๐ ปเี ศษ มาแล้ว เรยี กว่า “ชมพทู วปี ” ทกุ วนั น้ีอาณาบรเิ วณดงั กลา่ วแบ่งออกเป็น ๒ สว่ น สว่ นเหนอื เปน็ ประเทศ เนปาล ภูฐาน และสขิ ิม ส่วนใตเ้ ปน็ ประเทศอนิ เดยี ๒. พืน้ เพชาวชมพูทวปี พน้ื เพเดมิ ของชาวชมพูทวีปสมัยกอ่ นพทุ ธกาลคอื ๑. เชอ้ื ชาติ ชนชาวชมพูทวปี มีอยู่ ๒ เชือ้ ชาติ คอื ๑.๑ พวกอรยิ กะ เป็นพวกท่ีฉลาด มีการศกึ ษาดี เป็นผบู้ รหิ ารกิจการของประเทศ ๑.๒ พวกมิลักขะ หรือทัสยุ เป็นพวกไม่ค่อยมีการศึกษา ส่วนมากอยู่ในตําบลชายแดน พระพุทธเจา้ เกดิ ในเผ่าอรยิ กะ ๒. การปกครอง ภาคพ้นื ชมพูทวปี น้นั ถูกแบง่ ออกเป็นรัฐ แตล่ ะรฐั มีพระราชาเป็นประมุข บางรัฐ พระราชาปกครองโดยเด็ดขาด บางรัฐมีสภาปกครอง การแบ่งวรรณะของคนสมยั นั้น แบ่งเปน็ ๔ คือ วรรณะกษตั รยิ ์ ชนชน้ั ปกครอง วรรณะพราหมณ์ พวกเจ้าพธิ ที างศาสนา วรรณะแพศย์ พวกใช้วิชาชีพ วรรณะศูทร พวกคนงาน วรรณะศทู ร ไดร้ ับการดถู กู เหยียดหยามจากวรรณะอน่ื มาก
๓ วรรณะกษตั ริย์ วรรณะพราหมณ์ วรรณะแพศย์ วรรณะศทู ร ๓. อาชพี อาชพี สว่ นใหญ่ คือ การทาํ นา เลย้ี งสตั ว์ และคา้ ขายแพร เพชร พลอย ๔. ลัทธิศาสนา ประชาชนท่ัวไปนับถือศาสนาพราหมณ์ คือเชื่อว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างโลก และสตั วท์ งั้ ปวง ลทั ธิพธิ ีกรรมต่าง ๆ มอี ยมู่ ากในสมัยนน้ั เช่น การบูชายัญ การทรมานตัว และการสวด ออ้ นวอน เปน็ ต้น ๓.ประวตั พิ ระพุทธเจา้ พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวก เพียบพร้อมด้วยความดีงามหลายประการ เช่น มีความรู้จริง เห็นจรงิ ซึง่ ความทกุ ขแ์ ละแนวทางดบั ทกุ ข์ มคี วามบริสุทธ์สิ ะอาดทางกาย วาจา และจติ ใจ และที่สําคัญ คือมีความกรุณาอันยิ่งใหญ่ ช่วยส่ังสอนแนวทางดําเนินชีวิตท่ีประเสริฐให้แก่ชาวโลก ช่วยปลดเปลื้องทุกข์ สรา้ งความสขุ ท่แี ทจ้ รงิ แกช่ าวโลก โดยไมเ่ ห็นแกค่ วามเหนื่อยยาก การศึกษาพุทธประวัติ นอกจากจะได้มีความรู้เกี่ยวกับเร่ืองราวของพระพุทธเจ้า อันเป็นการ เพิ่มพูนความเป็นผู้คงแก่เรียนแก่ตนเองแล้ว ยังมีจุดมุ่งหมายสําคัญคือ เพื่อให้รู้สึกซาบซ้ึง ในคุณงาม ความดขี องพระองค์ แลว้ พยายามนําเอามาเปน็ แบบอย่างในการดาํ เนินชวี ิตของตน ประสตู ิ (Birth) พระพุทธเจ้ามีพระนามเดิมว่า “สิทธัตถะ” เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครอง กรุงกบิลพัสด์ุ ซึ่งปัจจุบันต้ังอยู่ทางภาคใต้ของ ประเทศเนปาล พระราชมารดาทรงพระนามว่า พระ นางสิริมหามายา ซ่ึงเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์ราช สกลุ โกลิยวงศ์ แห่งกรุงเทวทหะ เมื่อพระนางสิริมหามายาทรงพระครรภ์จวนจะ ประสูติ ได้เสด็จกลับกรุงเทวทหะ แต่เมื่อขบวนเสด็จไป ถึงสวนลุมพินี ซึ่งตั้งอยู่ก่ึงกลางระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์ กบั กรงุ เทวทหะ พระนางสิริมหามายาก็ทรงประชวรพระครรภ์และประสูติพระราชโอรส ข้าราชบริพารจึง
๔ เชญิ เสดจ็ กลบั กรงุ กบิลพสั ด์ุ วันประสูติของพระราชกุมารสิทธัตถะตรงกับวันข้ึน ๑๕ ค่ํา เดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี พระราชกุมารได้รับขนานนามว่า “สิทธัตถะ” (แปลว่าผู้สําเร็จในสิ่งท่ีทรงประสงค์) พราหมณ์ท้ัง ๘ ผู้เช่ียวชาญในการทํานายลักษณะ ได้พยากรณ์ว่า ถ้าพระราชกุมารสิทธัตถะอยู่ครองเรือนจะได้เป็นพระ เจ้าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ถ้าเสด็จออกผนวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก แต่โกณฑัญญะพราหมณ์ผู้อายุ น้อยที่สุดในจํานวนนั้น ยืนยันหนักแน่นว่า พระราชกุมารสิทธัตถะจะเสด็จออกผนวชและจะได้ตรัสรู้เป็น พระพทุ ธเจา้ แน่นอน หลังประสูติได้ ๗ วัน พระราชมารดาก็สวรรคต พระนางปชาบดีโคตมี พระกนิษฐาของพระนาง สิริมหามายา ได้เป็นผูเ้ ลย้ี งดพู ระราชกุมารสิทธัตถะสืบตอ่ มา พระราชกุมารสทิ ธตั ถะทรงได้รับการศึกษาศิลปวิทยาทกุ แขนง เท่าทจี่ ําเป็นสาํ หรับ พระราชโอรส ของกษัตริย์ผู้ครองนครจะพึงศึกษาจากครูวิศวามิตร เมื่อพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา ก็ทรงอภิเษกสมรส กับพระนางยโสธราหรือพิมพา พระราชธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะ และพระนางอมิตาแห่งเทวทหนคร ทรงมีพระโอรสองค์หน่งึ พระนามวา่ “ราหลุ ” พระเจ้าสุทโธทนะ ทรงต้องการให้พระราชโอรสอยู่ครองราชสมบัติสืบแทน จึงทรงบํารุงบําเรอ ปรนเปรอความสุขทุกอย่างให้พระราชกุมาร เช่น สร้างปราสาท ๓ หลัง สําหรับประทับ ๓ ฤดู และทรง อํานวยความสะดวกสบายทุกอย่างให้ แต่พระราชกุมารสิทธัตถะก็มิได้หมกมุ่นมัวเมา ในความสุข เหล่านนั้ เลย เม่ือทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะตามลําดับ ก็ทรงคิดว่าชีวิตของทุกคน ตอ้ งตกอยู่ในสภาพเช่นนัน้ ไมม่ ีใครหลกี เลีย่ งได้ และวถิ ที างทจ่ี ะพ้นจากความทุกข์ของชีวิตเช่นนี้ได้จะต้อง สละเพศผู้ครองเรือน สิ่งที่ทรงพบเห็นนี้เรียกว่า “เทวทูต” หมายถึง ทูตสวรรค์ หรือผู้ส่งข่าวสารท่ี ประเสรฐิ ในที่สุดพระองค์ก็ตัดสินพระทัยเสด็จออกผนวช (เรียกว่า มหาภิเนษกรมณ์) ในตอนดึกของคืนวัน หน่ึง ทรงตัดพระเมาลีถือเพศบรรพชิตริมฝ่ังแม่นํ้าอโนมา เม่ือพระชนมายุ ๒๙ พรรษา ภายหลังพระ ราหุลกมุ ารประสตู เิ ล็กนอ้ ย จากนั้นได้เสด็จไปยังแคว้นมคธ ทรงศึกษาในสํานักของอาฬารดาบส กาลามโคตรและอุทก ดาบส รามบุตร จนสําเร็จฌานสมาบัติขั้นที่ ๘ ซึ่งจบสิ้นความรู้ของพระอาจารย์ทั้งสอง ทรงเห็นว่ามิใช่ ทางตรัสรู้ จึงทรงอําลาพระอาจารย์ท้ังสองไปบําเพ็ญเพียรตามลําพังที่อุรุเวลาเสนานิคม ในช่วงนี้ ปัญจวัคคีย์ คือพราหมณ์ท้ังห้า ได้แก่ ท่านโกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ ได้ตามมา คอยปรนนิบัติอยู่ด้วย พระองค์ทรงทรมานกายด้วยวิธีต่าง ๆ ตามที่ผู้แสวงหาทางพ้นทุกข์สมัยนั้นกระทํา กันอยู่ ในท่ีสุดก็ทรงบําเพ็ญหรือกระทํา “ทุกรกิริยา” (การกระทําท่ีทําได้ยากย่ิง) มี ๓ ข้ันตอน ตามลาํ ดบั คอื ขั้นที่ ๑ กัดฟนั ขั้นที่ ๒ กลนั้ ลมหายใจ ขนั้ ท่ี ๓ อดอาหาร พระองค์ทรงทาํ ถึงขั้นนี้แลว้ กย็ ังไม่ได้ตรสั รู้ ทรงได้คดิ วา่ มิใช่ทางทถ่ี กู ต้อง จงึ ทรงเลิก กระทําทุกรกิริยา หันมาเสวยพระกระยาหารตามเดิม ทําให้ปัญจวัคคีย์เส่ือมศรัทธา พากันหนีไปอยู่ที่ป่า อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั แขวงเมอื งพาราณสี การเชน่ น้ีกลบั เปน็ ผลดีแกพ่ ระสทิ ธตั ถะ เพราะได้สรา้ ง บรรยากาศอันเงียบสงดั ปราศจากเสยี งรบกวนจากบุคคลอ่ืน เออื้ ต่อการบําเพ็ญเพียรทางจติ อย่างย่ิง พระองค์ทรงฝึกฝนอบรมจิตให้สงบ ตามแนวทางแห่งมัชฌิมาปฏิปทา (ทางสายกลางซ่ึงได้แก่ อรยิ มรรคมอี งค์แปด)
๕ ตรสั รู้ (Enlighten) พระสิทธตั ถะได้เสดจ็ ดําเนินโดยลําพังไปยังตําบล อุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้าทรงรับข้าว “มธุปายาส” จากนางสุชาดา ซึ่งนํามาถวายด้วยเข้าใจว่าเป็นเทวดาท่ีตน บนบานขอลูกชายไว้ หลงั เสวยข้าวมธุปายาสแล้ว ทรงลอย ถาดในแม่น้ําเนรัญชรา ทรงรับหญ้าคา ๘ กํา จากนาย โสตถิยะมาปูลาดเป็นอาสนะ (ท่ีนั่ง) ณ โคนต้นโพธิ ประทับ น่ังขัดสมาธิ ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก พระ ปฤษฎางค์พิงต้นโพธิ ทรงพิจารณาความเป็นจริงของ ธรรมชาติทั้งหลายจนเกิดญาณ (การหยั่งรู้สิ่งทั้งหลายตาม ความเป็นจริง) ความรู้แจ่มแจ้งนั้น ปรากฏข้ึนในพระทัยของพระองค์ดุจมองเห็นด้วยตาเปล่าเกิด ความสว่าง โพลงภายในท่ีปราศจากความเคลือบแคลงสงสัยใด ๆ เป็นความรู้ที่สามารถตอบปัญหาท่ีค้างพระทัยมา เปน็ เวลา ๖ ปไี ด้สําเรจ็ สงิ่ ทพ่ี ระองค์ตรัสรเู้ รียกว่า อริยสัจ (ความจริงอนั ประเสรฐิ ) มี ๔ ประการ คือ ๑) ทกุ ข์ ความทุกข์ หรือปญั หาของชีวติ ทั้งหมด โดยย่อคือ อปุ าทานขนั ธ์ ๕ เป็นทุกข์ ๒) สมุทยั สาเหตุของทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหาชีวิต ได้แก่ ตัณหา ๓ คือ กามตัณหา ภวตัณหา และวภิ วตัณหา ๓) นโิ รธ ความดับทกุ ข์ หรือภาวะหมดปัญหา คือ พระนิพพาน ๔) มรรค ทางดับทุกข์ หรือแนวทางแก้ปัญหาชีวิต คือ มัชฌิมาปฏิปทาได้มรรคมีองค์ ๘ สรปุ ลงในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปญั ญา เมื่อเกิดความรู้ในอริยสัจนี้ข้ึน ทําให้กิเลส (ความโลภ ความโกรธ ความหลง) หมดสิ้นไป จากจิตใจพระองค์ กลายเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ (ผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ) หรือพระพุทธเจ้า เหตุการณ์น้ีเกิดข้ึนเมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ (วันวิสาขบูชา) ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี ขณะท่ีพระองค์มี พระชนมายไุ ด้ ๓๕ พรรษา หลักธรรม คําสอนของพระองคน์ นั้ จัดเป็น ๒ ประเภท คอื ๑. พระธรรม ได้แก่ คําสอน ซึ่งขัดเกลาจิตชําระใจของผู้ปฏิบัติให้บริสุทธิ์ และให้ผู้ปฏิบัติมี ความสุขความเจรญิ ๒. พระวินัย คือ ข้อบัญญัติที่พระองค์ทรงวางไว้เพื่อควบคุมกายวาจาศาสนิก ให้มีระเบียบ เรยี บร้อย พระธรรมกับพระวินัย รวมกนั เรยี กวา่ “พระพทุ ธศาสนา” ทรงประกาศพระศาสนาและมอบความเปน็ ใหญใ่ หพ้ ระสงฆ์ เม่ือตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าทรงพักผ่อนเป็นเวลา ๗ สัปดาห์ แลว้ เสด็จไปเผยแผพ่ ระศาสนา โดยเสด็จไปแสดงธรรมโปรด ปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสีการ แสดงธรรมครั้งแรกน้ีเรียกว่า “ปฐมเทศนา” ธรรมท่ีทรงแสดง เรียกว่า “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” ซึ่งว่าด้วยแนวทางที่พึงปฏิบัติ เรยี กวา่ “มัชฌิมปฏปิ ทาหรือทางสายกลาง” (อริยมรรคมีองค์ ๘) และ
๖ “อริยสัจสี่” หลังจากจบพระธรรมเทศนา ท่านโกณฑัญญะ ได้เกิด “ดวงตาเห็นธรรม” ในวันเพ็ญเดือน ๘ (วันอาสาฬหบูชา) จึงทูลขอบวชเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ต่อมาอีกส่ีท่านท่ีเหลือก็ได้ ดวงตาเห็นธรรมและทลู ขอบวชตามลาํ ดบั ต่อจากนั้นมา ได้มีผู้เลื่อมใสศรัทธาเข้ามาบวชเป็นจํานวนมาก อาทิ ยสกุลบุตร พร้อมสหาย ชาวเมืองพาราณสี และบริวารจํานวนรวม ๕๕ คน ชั่วระยะเวลาไม่นาน ก็มีพระอรหันตสาวกของ พระพุทธเจา้ จํานวน ๖๐ รปู ซึ่งมจี ํานวนมากพอพระองค์จึงทรงใหแ้ ยกย้ายกนั ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ยังแวน่ แควน้ ต่าง ๆ ส่วนพระองคไ์ ดเ้ สด็จไปโปรดชฎลิ (นักบวชเกล้าผม) ๓ พน่ี ้อง พร้อมท้ังบริวารจํานวน ๑,๐๐๐ รูป ท่ีตําบลอุรุเวลาเสนานิคม ซ่ึงเป็นท่ีเคารพนับถือของพระเจ้าพิมพิสารและประชาชนชาวเมือง ราชคฤห์ ชฎิลทั้งหมดยอมละท้ิงลัทธิความเช่ือเดิมของตน กราบทูลขอบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า พระเจ้าพิมพิสาร ได้ถวายสวน (ไผ่) และสร้างข้ึนเป็นวัดสําหรับเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า ชื่อว่า “พระเวฬุวนั มหาวิหาร (หรอื วดั เวฬุวนั ) ” นบั เป็นวดั แหง่ แรกในพระพุทธศาสนา ณ เมืองราชคฤห์นี้ เด็กหนุ่มสองคนซึ่งเป็นศิษย์ของสัญชัย เวลัฏฐบุตร นักปรัชญาเมธีผู้มี ชอื่ เสยี งคนหนึ่ง ไดม้ าขอบวชเป็นสาวกและมีช่ือเรียกทางพระพทุ ธศาสนาในเวลาต่อมาว่า พระสารบี ุตร และพระโมคคัลลานะ ตามลําดับ ทั้งสองท่านได้รับแต่งต้ังจากพระพุทธเจ้าให้เป็นพระอัครสาวก โดยพระ สารีบตุ รเปน็ พระอัครสาวกเบอ้ื งขวา มีความเป็นเลิศกว่าผู้อื่นทางปัญญา และพระโมคคัลลานะ เป็นพระ อัครสาวกเบอื้ งซ้าย เปน็ เลิศกว่าผู้อืน่ ทางมฤี ทธ์ิมาก เมื่อประดิษฐานพระศาสนาในแคว้นมคธได้อย่างม่ันคงแล้ว ต่อมาไม่นานพระพุทธศาสนาก็มี ศูนย์กลางแห่งใหม่ที่เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล โดยอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้สร้างวัดพระเชตวันขึ้น แล้ว กราบทลู อาราธนาพระพุทธเจ้าและพระสงฆไ์ ปอยปู่ ระจําและนางวิสาขามหาอุบาสิกาเศรษฐินีคนหนึ่ง ก็มี จิตศรัทธาสร้าง วดั บุพพาราม ถวายดว้ ย ในระยะแรก ๆ พระพุทธเจ้าจะทรงบวชให้เฉพาะผู้ท่ีมาทูลขอบวชต่อพระองค์เอง ซ่ึงวิธีน้ี เรยี กว่า “เอหภิ ิกขอุ ุปสัมปทา” ต่อมาเมอื่ จาํ นวนคนมาขอบวชมีมากข้ึน บ้างก็อยู่ห่างไกลไม่สามารถจะ เดินทางมารับการบวชจากพระองค์ได้ พระองค์จึงทรงมอบภาระหน้าท่ีน้ีแก่พระสงฆ์ โดยทรงมอบความ เป็นใหญใ่ หพ้ ระสงฆ์ปกครองกันเอง โดยมีพระธรรมวินัยเป็นหลักในการปกครอง การทําสังฆกรรม (สิ่ง ท่พี ระสงฆ์พึงทํา) ทุกอย่าง จะต้องประชุมปรึกษาหารือกัน บางเร่ืองต้องได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ บางเรื่องตอ้ งไดร้ บั ความเหน็ ชอบโดยเสียงข้างมากจึงจะใช้ได้ จะเห็นว่าลักษณะการปกครองและการอยู่ รวมกันในแวดวงของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เป็นบรรยากาศแห่งประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ตลอด ระยะเวลา ๔๕ ปี แห่งการประกาศศาสนา ได้มีคนยอมรับนับถือพุทธศาสนาจํานวนมากมาย คนเหล่านั้น เรยี กวา่ พทุ ธบริษัท หรือพทุ ธศาสนิก แบง่ เปน็ ๔ เหลา่ คือ ๑. ภิกษุ ๒. ภกิ ษณุ ี ๓. อบุ าสก ๔. อบุ าสกิ า ปรนิ พิ พาน (Nirvana) เมื่อทรงสถาปนาพุทธบริษัทสี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ข้ึนมา แต่ละบริษัทก็เจริญ แพร่หลาย มีความรูค้ วามสามารถท่ีจะสบื สานต่อเจตนารมณ์ ของพระพุทธองค์ และสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยืนยาว ต่อไปได้แล้ว พระพุทธเจ้าจึงทรงตัดสินพระทัยเสด็จดับขันธฺปรินิพพาน ณ สาลวโนทยาน (สวนสาละ)
๗ ของเหล่ามัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ (วันวิสาขบูชา) ขณะพระชนมายุ ๘๐ พรรษา กอ่ นเสด็จ ดับขันธปรินพิ พานไดต้ รัสพระโอวาทครง้ั สดุ ท้ายวา่ “ภิกษุท้ังหลายเราขอบอกเธอทั้งหลาย สังขารทั้งปวงมีความเส่ือมสลายไปเป็นธรรมดาพวก เธอจงยังกจิ ของตนและกจิ ของผูอ้ นื่ ให้ถึงพรอ้ มด้วยความไมป่ ระมาทเถดิ ” นิกายศาสนา เม่ือพระพุทธเจา้ ปรนิ ิพพานแล้ว ประมาณ ๑๐๐ ปี พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนามีความคิดเห็น แตกต่างกันในการตคี วามพระพุทธบัญญัติ (วนิ ยั ) จึงแยกนกิ ายออกเปน็ ๒ นิกาย คือ ๑. นิกายเถรวาท ได้ขยายตวั ไปทางประเทศลงั กา พม่า ไทย เขมร ลาว ๒. นกิ ายมหายาน ขยายตัวไปทางธเิ บต จนี ญวน เกาหลี ญี่ปุ่น ทั้งสองนิกายคงปฏิบตั ิธรรมของพระพุทธเจา้ เหมือนกนั แตต่ ีความพุทธบัญญตั แิ ตกตา่ งกนั พระสงฆน์ กิ ายเถรวาท พระสงฆน์ กิ ายอาจริยวาท พระจรยิ าวัตรท่คี วรยึดถอื เปน็ แบบอยา่ ง ๑ ทรงมเี มตตากรณุ าสูงยง่ิ แม้ขณะทีพ่ ระองค์ยังทรงพระเยาว์ ได้พยายามช่วยเหลือนกท่ี ถูกเจา้ ชายเทวทัตยงิ ตกดว้ ยความสงสาร จนถึงกับถกเถียงกบั เจา้ ชายเทวทตั เมอ่ื เรื่องแย่งชงิ นกเข้าสู่ สภาตัดสินของผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ตัดสินให้เจ้าชายสิทธัตถะชนะ ด้วยเหตุผลว่า “ผู้ทําลายชีวิตมิใช่เจ้าของนก แต่ผใู้ หต้ า่ งหากเป็นเจา้ ของนก” เม่ือทรงเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ก็ทรงสงสารอยากให้เขาได้พ้นทุกข์ จึงเสด็จออกผนวช เพือ่ ตรัสร้แู ลว้ จะไดช้ ว่ ยเหลือผู้ตกอยใู่ นห้วงแหง่ ความทุกข์เหลา่ น้นั แม้พระเทวทัตจะคิดมุ่งร้ายทําลายพระองค์ให้ถึงกับสิ้นพระชนม์ พระองค์ก็มิได้มี พระทัย โกรธเคือง ตรงกันข้ามกลับทรงสงสาร ปรารถนาให้พระเทวทัตละเว้นจากความประพฤติช่ัวนั้นให้ได้ เป็น ท่ที ราบกันว่า พระองค์ทรงรกั และเมตตาต่อราหุลกุมารมากเพียงใด พระองค์ก็ทรงรักและเมตตาต่อผู้ท่ี ม่งุ ร้ายพระองคม์ ากเพยี งนั้นเช่นกัน นีค่ ือตัวอยา่ งแหง่ ความเมตตากรุณาของพระพทุ ธเจา้ ๒ ทรงมีความพากเพียรสูงยิ่ง เมื่อพระองค์ตั้งพระทัยจะทําอะไรแล้ว ทรงพยายามจนสุด ความสามารถ เพ่ือให้ได้สิ่งท่ีทรงประสงค์ พระองค์ทรงต้องการบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ จึงได้พยายาม อย่างเต็มที่ ด้วยการทรมานพระองค์ด้วยวิธีต่าง ๆ จนกระทั่งท้ายสุดทรงอดอาหารจนพระวรกายผ่ายผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ในที่สุดทรงต้ังปณิธานว่า “ตราบใดที่ยังไม่บรรลุส่ิงที่ต้องการจะไม่ยอมลุกจากที่ นงั่ แม้เนื้อและโลหติ จะเหือดแหง้ ไปเหลือแตก่ ระดูกกต็ ามท”ี ๓ ทรงใฝ่รู้และทรงแกป้ ัญหาดว้ ยปญั ญา ต้งั แตท่ รงพระเยาวพ์ ระองคท์ รงอยากรวู้ า่ ทําไมคนจึงเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็พยายามแสวงหาความรู้จากการทดลองด้วยพระองค์เอง จนกระท่ังทรงรู้ แจ้งในที่สุด พระองค์ทรงใช้ปัญญาแก้ไขปัญหา คือเมื่อทรงทําอะไรผิดพลาดล้มเหลว ก็ทรงพิจารณาว่า ความผดิ พลาดหรือความล้มเหลวนนั้ เกดิ ขนึ้ เพราะอะไร และควรจะแก้ไขอย่างไร ดังกรณีที่ทรงคดิ ว่า
๘ การอดอาหารจะทําให้บรรลุ ครั้นทําไปนานเข้าจนกระทั่งทรงซูบผอมส้ินพละกําลัง ก็ทรงตระหนักว่า วิธี ทรมานตนมิใชแ่ นวทางที่ถูกต้อง จงึ ทรงหันมาดาํ เนินตามทางสายกลาง เป็นต้น ๔ ทรงเปน็ นกั เสยี สละ คนทเ่ี สยี สละจะไม่เห็นแก่ประโยชน์ตน และประโยชน์ของพวกตน แต่จะยอมสละความสุขส่วนตัวและประโยชน์ท่ีตนพึงได้ เพ่ือเห็นแก่ประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ เจ้าชายสิทธัตถะอยากให้สัตว์โลกได้พ้นจากความทุกข์ จึงยอมเสียสละพระชายา พระโอรสยอมละทิ้ง ราชสมบัติท่ีพระองค์จะพึงได้ ยอมสละความสุข สนุก สบาย ที่เจ้าชายในราชสํานักจะพึงได้ พระองค์สละ หมดทกุ อยา่ ง เพ่ือหาทางช่วยเหลือสตั ว์โลกให้พ้นทกุ ข์ ๔. พทุ ธโอวาท ๓ (the Three Admonitions or Exhortations of the Buddha) โอวาท แปลว่า คําแนะนํา คําตักเตือน คําสอน ในท่ีน้ี หมายถึง คําสั่งสอนของ พระพุทธเจ้า ๓ ข้อ ซึ่งถือว่า เป็นแก่นสําคัญหรือเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา โอวาท ๓ นี้ พระพุทธเจ้า ทรงแสดงแก่พระสงฆ์จํานวน ๑,๒๕๐ รูป ในวันมาฆบูชา ซ่ึงมีประเด็นสําคัญอยู่ ๓ ประการ คือ การไมท่ ําความชัว่ ทง้ั ปวง การทาํ ความดีใหถ้ งึ พรอ้ ม การทําจิตใจใหบ้ รสิ ุทธ์ิ ๑. การไม่ทาํ ความชั่วท้งั ปวง (not to do any evil) คนเราทําความชั่วได้ ๓ ทาง คือ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ซึ่งถือเป็นการกระทําที่ผิดท้ังทางด้าน กฎหมาย ศีลธรรมและขนบประเพณี ข้ึนอยู่กับว่าจะประพฤติชั่วแบบใด เพราะการทําความช่ัวบางอย่าง แม้ไม่ผดิ กฎหมาย แตผ่ ดิ ศลี ธรรมหรอื ขนบประเพณีได้ การไม่ทําความช่วั ทง้ั ปวง แยกออกได้ดงั นี้ ๑. การไมท่ ําความช่วั ทางกาย ไดแ้ ก่ ๑) ไม่ทํารา้ ยหรือเบยี ดเบียนผอู้ ืน่ ไมน่ าํ สัตว์มาทรมานมากกั ขงั ๒) ไม่ลกั ขโมย ไมถ่ อื เอาทรัพย์ของผูอ้ น่ื ๓) ไมป่ ระพฤตผิ ดิ ในกาม รวมตลอดไปถึงการไมท่ ําลายวตั ถสุ ิง่ ของอันเปน็ ท่รี กั ของผู้อ่นื ๒. การไม่ทําความชวั่ ทางวาจา ได้แก่ ๑) ไม่พูดเท็จ ไมพ่ ดู หลอกลวง ๒) ไมพ่ ูดส่อเสยี ด ไม่พูดยัว่ ยุใหค้ นแตกความสามัคคีกนั ๓) ไมพ่ ูดคาํ หยาบ ๔) ไมพ่ ูดเพ้อเจอ้ เหลวไหล อนั หาสารประโยชนม์ ไิ ด้ ๓. การไมท่ าํ ความช่วั ทางใจ ได้แก่ ๑) ไม่คิดโลภ อยากไดข้ องผอู้ ่นื โดยมชิ อบ ๒) ไมค่ ดิ พยาบาท ปองร้าย หรือคิดแก้แค้น ๓) ไม่เหน็ ผดิ เปน็ ชอบ ไม่หลงงมงายกบั ความคดิ ทผี่ ิด เช่น ไมค่ ิดว่าการทเ่ี ราทาํ ทุจรติ แลว้ เขาจบั ไม่ได้ เปน็ เพราะเรามคี วามสามารถหรอื เป็นคนเก่ง เป็นตน้ ๒. การทําความดีให้ถงึ พร้อม (to do good; to cultivate good) การไม่ทําความช่ัวดังท่ีกล่าวมา ถือได้ว่าเป็นการทําความดีถึงระดับหนึ่งแล้ว แต่จะให้ดีจริงต้องไม่ เพียงแต่ละเว้นความช่ัว หากแต่ต้องประกอบคุณงามความดีด้วย การทําความดีก็ทําได้ ๓ ทาง คือ ทาง กาย ทางวาจา และทางใจ เชน่ ๑. การทาํ ความดีทางกาย ไดแ้ ก่
๙ ๑) มเี มตตากรณุ าช่วยเหลือผู้อื่น คอื ปรารถนาใหผ้ ู้อ่นื เปน็ สุข ไม่อยากใหเ้ ขาได้รบั ความเดอื ดร้อนทง้ั ทางกายและทางใจ ๒) เคารพกรรมสิทธ์ิในทรพั ย์สนิ ของผอู้ นื่ ไมถ่ ือเอาสิง่ ของของผู้อน่ื มาเป็นของตน ๓) มคี วามสํารวมในกาม ไมล่ ่วงละเมดิ ประเพณีทางเพศ ๒. การทําความดที างวาจา ไดแ้ ก่ ๑) พูดแต่ความจริง มสี ัจจะ ไม่พดู เทจ็ หรือพูดให้ผดิ จากความเปน็ จรงิ ๒) พูดแตค่ าํ ที่ช่วยส่งเสริมความสามัคคี ช่วยให้คนที่แตกร้าวกันคืนดีกัน ไม่พูดยุยงให้คนขัดใจ กนั ๓) พูดแต่คําสุภาพออ่ นหวาน ไม่พดู คาํ หยาบ ๔) พูดแตค่ ําท่ีมสี าระประโยชน์ พูดให้ถกู กาลเทศะ ไมพ่ ูดเพ้อเจอ้ ๓. การทําความดที างใจ ไดแ้ ก่ ๑) พอใจแตข่ องที่ไดม้ าโดยชอบ ไม่คดิ โลภในทางทจุ รติ ๒) แผ่เมตตาใหส้ ตั วโ์ ลกท้งั หลายมคี วามสุข ไมม่ จี ิตคดิ รา้ ยตอ่ ใคร ๆ ๓) มคี วามเหน็ ชอบ คอื เช่ือกฎแหง่ กรรม เช่อื ว่าทําดีได้ดี ทาํ ช่ัวไดช้ ว่ั ๓. การทําจติ ใจใหบ้ รสิ ุทธิ์ (to purify the mind) มนษุ ย์เรามีท้งั ร่างกายและจติ ใจ ความสะอาดของร่างกายเป็นส่ิงสําคัญ แต่ความสะอาดของจิตใจ ก็สําคัญเหมอื นกนั เพราะในแง่ของความประพฤติ จิตใจเป็นใหญ่กว่าร่างกาย เพราะเมื่อใจคิดก่อนแล้วจึง สั่งให้ร่างกาย ทําตาม ปกติคนเราน้ันมีจิตใจเป็นใหญ่กว่าร่างกาย ความบริสุทธ์ิของจิตใจจึงมีความสําคัญ มากกว่า คนท่ีสะอาดทั้งกายและใจนั้นย่อมเป็นคนดีน่าคบค้าสมาคม แต่ถ้าคน ๆ หนึ่งร่างกายค่อนข้าง สกปรก แต่ใจบริสุทธิ์ กับอีกคนหน่ึงร่างกายสะอาดหมดจดแต่จิตใจสกปรก เราก็คงอยากคบหากับคน แรกมากกว่า ฉะนั้น เมอ่ื เราละเว้นไม่ทาํ ความชว่ั ทั้งทางกาย วาจา ใจ และพยายามทาํ ความดีใหถ้ ึงพรอ้ มแลว้ เรากค็ วรทาํ ใจใหบ้ รสิ ทุ ธิด์ ว้ ย โดยการหม่ันฝึกฝนตนเองใหม้ กี ุศลมูลหรอื รากเหง้าแห่งความดีขึ้นในจิตใจอีก ๓ ประการ ได้แก่ ๑. อโลภะ (non-greed; generosity) ความไม่โลภ คือหมั่นฝึกอบรมจิตใจตนเองให้สามารถ ระงบั ตณั หาหรือความอยากได้ โดยไมป่ ล่อยใหต้ ณั หาเกดิ ข้นึ คนท่ีไม่อยากได้สิ่งของของผู้อื่น ย่อมจะไม่ทํา ความชว่ั โดยการลักขโมย ฉอ้ โกง เป็นต้น ๒. อโทสะ (non-hatred; love) ความไม่โกรธ ไม่ประทุษร้าย คือพยายามฝึกจิตใจของตน ให้เป็นคนมีเมตตา ปรารถนาท่ีจะเห็นผู้อื่นอยู่อย่างเป็นสุข ไม่เบียดเบียนกัน ผู้ท่ีมีจิตปราศจากโทสะ ย่อมจะไม่ทําร้ายผู้อ่ืน ไม่ด่าว่าด้วยคําหยาบ และไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน ตรงกันข้ามกลับจะ เป็นคนดคี อยช่วยเหลอื เก้อื กลู ให้ผอู้ ่ืนได้รบั แต่ความสขุ ๓. อโมหะ (non-delusion; wisdom) ความไมห่ ลง คือตอ้ งฝกึ อบรมจติ ใจของตนใหร้ ้จู กั เหตุ รู้จกั ผล รู้จกั บาปบญุ คณุ โทษ ประโยชน์ และมใิ ชป่ ระโยชน์ ผ้ทู ปี่ ราศจากความหลงย่อมมีชวี ติ อยู่ อย่างผาสกุ มคี วามเจริญก้าวหนา้ ไม่มวั เมาอยู่กับอบายมุขและไม่เกลอื กกลัว้ อยูก่ ับสงิ่ เลวรา้ ยต่าง ๆ
๑๐ ๕. พุทธจริยา (the Buddha’s conduct, functions or services) อันเป็น แบบอย่างในการดําเนนิ ชวี ติ พระพุทธเจ้าทรงสมบูรณ์ด้วยความรู้แจ้งจริง ทรงมีความบริสุทธ์ิท้ังทางกาย วาจา และใจ ปราศจากกิเลสเคร่ืองเศรา้ หมองจิตโดยประการทั้งปวง ทรงเป็นพระสมั มาสมั พุทธะ คือ ทรงตรัสรู้ด้วย พระองค์เอง แล้วส่ังสอนให้คนอ่ืนรู้ตาม ทรงมีความกรุณาอันย่ิงใหญ่ เสียสละความสุขส่วนพระองค์เสด็จ ออกไปส่ังสอนแนวทางพ้นทุกข์แก่ชาวโลก โดยไม่เห็นแก่ความเหน่ือยยาก ส่ิงท่ีทรงบําเพ็ญตลอด ระยะเวลา ๔๕ ปหี ลังตรสั รู้ เรยี กกันว่า “พุทธจรยิ า” พุทธจริยา แปลตามศัพท์ว่า พระจริยาวัตรของพระพุทธเจ้า หรือพูดอย่างภาษาสามัญก็คือ ความประพฤตทิ เ่ี ปน็ ประโยชน์แก่ผู้อน่ื มี ๓ ประการคือ ๑. โลกัตถจรยิ า พุทธจริยาทีท่ รงบาํ เพญ็ เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก ๒. ญาตัตถจริยา พุทธจริยาทท่ี รงบาํ เพญ็ เพ่อื ประโยชนแ์ ก่พระประยรู ญาติทั้งหลาย ๓. พทุ ธัตถจรยิ า พทุ ธจรยิ าทที่ รงบําเพญ็ ประโยชน์ในฐานะท่เี ป็นพระพทุ ธเจา้ ๑. โลกตั ถจริยา (conduct for the well-being of the world): การบําเพ็ญประโยชน์แก่ ชาวโลก การท่พี ระพทุ ธเจ้าทรงอนุเคราะห์แก่ชาวโลกน้ัน แสดงออกในพุทธกิจประจําวันนั่นเอง ซึ่งเห็น ได้ชัดว่า วันเวลาที่ผ่านไปแต่ละวันนั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้อ่ืนแทบทั้งส้ิน พระองค์แทบไม่มีเวลา พักผ่อนเลย แม้กระท่ังจะประชวรหนักอย่างไรก็ทรงอุตส่าห์ข่มทุกขเวทนาพยายามสั่งสอนผู้อี่น ดังเช่น ทรงโปรดสุภัททปรพิ าชก เมื่อครง้ั พระองค์จวนจะปรนิ พิ พาน เป็นต้น พุทธกจิ ประจาํ วนั แบ่งเป็น ๕ ประการ คอื ๑. ช่วงเช้า (ตอนเช้ามืด) เสด็จออกบิณฑบาต การเสด็จบิณฑบาตนี้ นอกจากจะเพื่อให้ พุทธศาสนิกชนได้ทําบุญตักบาตรแล้ว พระพุทธเจ้ายังถือเป็นโอกาสดีท่ีจะได้แสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ (หมายถงึ บุคคลท่สี ามารถแนะนาํ สั่งสอนให้เข้าถึงธรรมได้) ตามสมควรแก่กรณี เพราะฉะน้ันเราจึงมักเรียก การบิณฑบาตของพระภิกษุโดยทว่ั ไปวา่ “ไปโปรดสตั ว์” ๒. ช่วงกลางวัน (หลังเสวยพระกระยาหารเช้า) ทรงเสด็จออกจากพระคันธกุฎี แสดงพระธรรม เทศนาแก่ประชาชนในท้องถิน่ น้นั ๓. ช่วงกลางคืนยามที่ ๑ (เวลาประมาณพบค่ํา - ๓ ทุ่ม) ทรงใช้เวลาตลอดยามนี้ตอบปัญหา
๑๑ ชีแ้ นะการปฏบิ ัติกรรมฐาน แสดงธรรม หรอื ให้คาํ ปรึกษาหารือแกพ่ ระภิกษุสงฆ์ ๔. ช่วงกลางคืนยามที่ ๒ (เวลาประมาณ ๓ ทุ่ม - เท่ียงคืน) ทรงใช้เวลาตลอดยามน้ีตอบ ปัญหาธรรมะและแสดงธรรมแก่เทวดาท้ังหลายทเี่ สดจ็ เขา้ มาเฝ้า ๕. ช่วงกลางคืนยามท่ี ๓ (เวลาประมาณเท่ียงคืน - ตี ๓) ในช่วงแรกจะเสด็จดําเนินจงกรม เพื่อให้พระวรกายผ่อนคลาย ช่วงที่ ๒ เสด็จเข้าบรรทม ช่วงท่ี ๓ ต่ืนจากบรรทม ประทับน่ังแล้วพิจารณา การสอดสอ่ งเลือกสรรบคุ คลท่ีพระองค์ควรจะเสดจ็ ไปโปรดในช่วงเช้า ๒. ญาตัตถจริยา (conduct for the benefit of his relatives) : การบําเพ็ญประโยชน์ แก่พระประยูรญาติ พระพุทธเจ้าตรัสว่า การสงเคราะห์ญาติเป็นมงคลย่ิงอย่างหน่ึงในจํานวนมงคล ๓๘ ประการ พระพทุ ธเจา้ เองมไิ ดท้ รงละเลยหน้าท่นี ี้ การสงเคราะหพ์ ระญาติของพระองค์พอประมวลได้ ดงั น้ี ๑) เมื่อตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ทรงรอเวลาอันสมควรจึงได้เสด็จนิวัติพระนคร กบลิ พสั ดุ์ ทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธบดิ าจนสําเร็จเป็นพระโสดาบัน หลังจากนั้นมา แม้ว่าพระองค์ จะไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนัก แต่พระองค์ก็ยังเสด็จไปเย่ียมพระพุทธบิดาเป็นครั้งคราว เมื่อพระพุทธบิดา สิ้นพระชนม์กไ็ ด้เสด็จมาถวายพระเพลิงพระบรมศพในฐานะ “ลูก” ที่ดี แสดงแบบอย่างแห่งความกตัญญู กตเวทติ าธรรมให้ปรากฏ ๒) กล่าวกันว่าพระองค์เสด็จไปแสดงพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดาท่ีสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เปน็ การทดแทนบญุ คุณพระมารดาบงั เกิดเกลา้ สถานหนึ่งด้วย จากเรื่องน้ที ําใหเ้ กดิ ประเพณีเทศน์อภิธรรม โปรดมารดาหรอื แต่งหนังสืออภิธรรมโปรดมารดาสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันน้ี เช่น พญาลิไท กษัตริย์สุโขทัย ทรงพระราชนพิ นธ์ “ไตรภูมพิ ระรว่ ง” ทรงบอกจุดประสงค์ไว้ประการหนึ่งว่าเพ่ือโปรดพระมารดา ๓) ทรงชักนําขัตติยกุมารจากศากยตระกูลหลายองค์ออกบวช เช่น พระอานนท์ พระอนุ รุทธะ เป็นต้น นอกจากช่วยอนุเคราะห์ให้ท่านเหล่านั้นได้มาพบทางพ้นทุกข์เป็นการส่วนตัวแล้ว ท่าน เหล่านั้นยังได้เป็นกําลังสําคัญในการบําเพ็ญประโยชน์แก่ชาวโลกด้วย เท่ากับได้ผลสองต่อ นอกจากน้ี พระองค์ยังทรงเผ่ือแผ่ประโยชน์ด้านน้ีแก่พระญาติท่ีเป็นสตรีด้วย ดังได้ทรงอนุญาตให้พระนางปชาบดี โคตมี ซึ่งมีฐานะเปน็ พระมาตุจฉา (น้า) ของพระองค์ บวชเป็นภิกษุณี เปน็ ต้น ๔) บางครั้งเกียรติยศของศากยตระกูลถูกคนเข้าใจผิดกล่าวร้ายให้โทษ พระองค์ก็ทรงช่วย ช้ีแจงใหเ้ ข้าใจพระญาติของพระองคใ์ นทางท่ถี ูกก็มี ๕) เม่ือพระญาติท้ังสองฝ่าย คือ ศากยวงศ์และโกลิยวงศ์ กําลังจะทํา สงครามแย่งน้ําในแม่นํ้าโรหิณีมาทําการเกษตร พระองค์ก็เสด็จไปห้ามทัพ ชี้แจงให้ เหน็ ถงึ ความพินาศอันจะตามมา เพราะการทะเลาะเบาะแว้งกันในเร่ืองเล็กน้อยนี้ จน ท้ังสองฝ่ายหันมาปรองดองคืนดีกันในที่สุด การห้ามสงครามระหว่างเครือญาติของ พระองค์ครั้งนี้ นับเป็นการทําประโยชน์แก่พระญาติครั้งสําคัญยิ่ง จึงมีพระพุทธรูป ปางหนึ่งสร้างเป็นอนุสรณ์ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวเรียกว่า พระพุทธรูปปางห้ามญาติ (พระพทุ ธรปู ยนื ยกหัตถข์ วาในทา่ ห้ามปราม) ๖) ก่อนเสด็จปรินิพพานเล็กน้อย พระเจ้าวิฑูฑภะกษัตริย์แห่งแคว้นโกศล ยกทัพไปหมายจะ ทําลายล้างพวกศากยะให้ส้ิน เพื่อชําระความแค้นแต่หนหลังที่ถูกพวกศากยะดูหมิ่นสมัยยังทรงพระเยาว์ พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าจะเกิดความพินาศย่อยยับแก่ศากยวงศ์ สุดจะทนน่ิงดูดาย จึงเสด็จไปป้องกันไว้ถึง ๓ ครั้ง แต่คร้ังท่ี ๔ เป็นคราวเคราะห์กรรมของพวกศากยะ ไม่สามารถทัดทานได้ พระเจ้าวิฑูฑภะได้ ทาํ ลายล้างเมืองกบิลพัสดเ์ุ กอื บหมดส้ิน สรุปความว่า พระพุทธเจ้าถึงแม้จะอยู่ในฐานะเป็น “คนของโลก” แล้วก็ตามพระองค์ยังไม่ลืม สายสัมพันธ์แห่งเครือญาติ ทรงอนุเคราะห์ช่วยเหลือพระญาติทั้งหลาย ท้ังส่วนปัจเจกบุคคลและ
๑๒ สว่ นรวม ตามความเหมาะสมและตามควรแกก่ รณี ๓. พุทธัตถจริยา (beneficial conduct as functions of the Buddha) : การบําเพ็ญ ประโยชน์ในฐานะพระพุทธเจ้า หลังจากตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าทรงอุทิศพระองค์เพื่อสร้างประโยชน์สุข ให้แก่ชาวโลก ไม่ว่าจะเป็นการช่วยชี้แนะหนทางที่จะทําให้สัตว์โลกท้ังหลายหลุดพ้นจากสังสารวัฏ หรือ หาทางป้องกันมิให้สัตว์โลกทั้งปวงก้าวเข้าไปสู่ความเส่ือม ความจริงการทําประโยชน์แก่ชาวโลกก็นับ รวมอยใู่ นข้อโลกตั ถจรยิ าน่นั เอง แตก่ ารแยกนํามาพูดก็เพ่ือแสดงให้เห็นถึงพุทธจริยาวัตรของพระพุทธเจ้า ให้เหน็ เด่นชัดมากย่ิงขนึ้ ภารกิจทพี่ ระพทุ ธเจ้าทรงกระทาํ ในฐานะทที่ รงเป็นพระพุทธเจา้ มีอยมู่ ากมาย เช่น ๑) ช่วยสัตว์โลกให้หลุดพ้นห้วงความทุกข์ คือ ให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏหรือ การเวียน ว่ายตายเกิดตามพระประณิธานท่ีทรงตั้งไว้ตลอดเวลาอันยาวนาน ท่ีทรงบําเพ็ญบารมีเพ่ือพระโพธิญาณ เมื่อทรงข้ามพ้นทุกข์ด้วยพระองค์แล้ว ก็ทรงมีพระมหากรุณาช่วยสัตว์อื่นให้หลุดพ้นทุกข์ด้วย โดยการ ช้แี นะคนทช่ี แ้ี นะได้ ฝกึ ฝนอบรมคนที่ฝึกอบรมได้ ๒) ช่วยวางรากฐานการสร้างความดี หรือสร้างอุปนิสัยท่ีดีในภายหน้า ในกรณีคนท่ีแนะ หรือฝึกไม่ได้ หยาบช้าหนาแน่น ด้วยกิเลสตัณหาเกินว่าจะเข้าถึงธรรมได้ในปัจจุบัน พระองค์ก็ไม่ทรง ทอดทิง้ ดังกรณีพระเทวทตั ทรงทราบดว้ ยพระญาณก่อนแล้วว่า พระเทวทัตจะมุ่งทําลายพระองค์ และกระทําสังฆเภท (สร้างความแตกแยกในหมู่สงฆ์) แต่พระองค์ก็ทรงบวชให้ ด้วยทรงเห็นว่าการบวช ประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนา ย่อมจักมีความดีงามพอที่จะเป็นอุปนิสัยปัจจัยแก่ พระเทวทัต ไดบ้ ้างในภายภาคหนา้ ๓) ช่วยสัตว์โลกมิให้ก้าวเข้าสู่ความเสื่อม ภารกิจของพระพุทธเจ้าอีกประการหนึ่ง ก็คือ นอกเหนอื จากชี้ทางสวรรค์นิพพานให้แก่คนที่พร้อมท่ีจะดําเนินสู่ทางนั้นแล้ว ยังช่วยปิดอบายหรือปิดก้ันมิ ให้คนบางประเภทถลาํ ลกึ ลงสทู่ างเสือ่ มฉิบหายมากขึ้น เชน่ เสดจ็ ไปโปรดโจรองคลุ ิมาลกอ่ นท่ีจะพบมารดา ระหวา่ งทางและก่อนท่จี ะกระทํามาตฆุ าต (ฆา่ มารดาอนั เปน็ กรรมหนกั ) ๔) ทรงบัญญัติพระวินัยเพ่ือความดํารงม่ันแห่งพระพุทธศาสนา เม่ือเริ่มประกาศ พระพุทธศาสนาในระยะแรก ๆ ยังไม่มีพระวินัย หรือศีลสําหรับให้พระภิกษุได้รักษามากมายดังในเวลา ต่อมา ผู้เข้ามาบวชส่วนมากเป็นผู้ที่เบ่ือหน่ายในโลกียวิสัยแล้ว พร้อมท่ีจะปฏิบัติตนเพ่ือบรรลุธรรมชั้น สูงสุด วินัยหรือศีลสําหรับควบคุมความประพฤติจึงยังมีไม่มาก มีเพียงหลักการกว้าง ๆ ว่าพระภิกษุไม่ พึงกระทํากิจ ๔ ประการคือ เสพเมถุน (เสพกาม), ลักทรัพย์, ฆ่ามนุษย์ และอวดคุณวิเศษท่ีไม่มีในตน ต่อมาเม่ือมีผู้ประพฤติตนไม่เหมาะสมแก่การดํารงเพศสมณะข้ึน มีผู้ตําหนิติเตียน พระพุทธเจ้าจึงทรง บัญญัติพระวินัยห้ามมิให้มีการกระทําท่ีไม่สมควรเช่นนั้นอีกต่อไป และได้บัญญัติเพ่ิมเติมแก้ไขให้ เหมาะสมยิ่งข้ึน ที่เรียกว่า “ศีล” มีท้ังหมด ๒๒๗ ข้อ (ไม่นับรวมข้อบัญญัติเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกมาก) พระวินัยที่ทรงบัญญัติข้ึนน้ีเป็นเคร่ืองควบคุมให้สถาบันสงฆ์มีความสงบเรียบร้อยเป็นท่ีเล่ือมใสของ ประชาชนทวั่ ไป และเปน็ เคร่ืองจรรโลงพระพทุ ธศาสนาให้ดาํ รงมน่ั คงยืนนาน ๕) ทรงสถาปนาสถาบันสืบทอดพระพุทธศาสนา เม่ือมีผู้เข้ามาบวชมากขึ้น ท้ังบุรุษและสตรี พระองค์ได้ทรงตั้งสถาบันพุทธบริษัทข้ึน เรียกว่า “บริษัท ๔” คือ ภิกษุ , ภิกษุณี, อุบาสก และ อุบาสิกา พร้อมท้ังทรงวางหน้าท่ีท่ีแต่ละบริษัทจะพึงปฏิบัติ และหน้าที่ที่พุทธบริษัทจะพึงร่วมกันทํา เพื่อความวัฒนาสถาพรแหง่ พระพุทธศาสนา ดงั น้ี ๑. หนา้ ท่ีของแต่ละบริษทั ๑.๑ ภิกษุ ภิกษณุ ี มหี นา้ ท่ดี งั น้ี - หา้ มปรามมใิ หเ้ ขาทาํ ความช่ัว - แนะนาํ สัง่ สอนให้ตั้งอยู่ในความดี
๑๓ - อนเุ คราะหด์ ว้ ยความปรารถนาดี - สอนส่ิงท่เี ขายงั ไม่เคยไดย้ ินได้ฟงั - ชแ้ี จงอธิบายสิ่งทเ่ี ขาเคยไดย้ นิ ไดฟ้ ังแล้วให้เขา้ ใจแจม่ แจ้ง - สอนวิธีดําเนินชวี ิตทีด่ ีงามให้ ๑.๒ อบุ าสก อบุ าสิกา มหี นา้ ท่ดี ังนี้ - ทํา พูด คิด ต่อพระสงฆ์ด้วยเมตตา - ตอ้ นรับพระสงฆด์ ้วยความเต็มใจ - อปุ ถัมภบ์ ํารุงพระสงฆ์ด้วยปจั จัยสี่ ๒. หนา้ ท่ีของบรษิ ทั ท้งั ๔ : หน้าท่ขี องบริษัททั้ง ๔ จะพงึ ทําร่วมกันมดี งั น้ี - ศึกษาคาํ สอนทางพระพทุ ธศาสนาใหเ้ ข้าใจแจม่ แจ้ง - ปฏิบัตติ ามทไี่ ดศ้ กึ ษาเลา่ เรยี นมาตามความสามารถจนไดร้ บั ผลจากการปฏบิ ตั ิ - เผยแพรค่ ําสอนให้ผ้อู น่ื ได้รูต้ าม - ปกป้องพระพุทธศาสนาจากภัยทงั้ ภายในและภายนอก
๑๔ พระรตั นตรยั (the Triple Gem; Three Jewels) “”””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””” สาระการเรยี นรู้ ๑. ความหมายของพระรตั นตรัย ๒. พุทธคุณ ๙ ๓. ธรรมคณุ ๖ ๔. สังฆคุณ ๙ ๕. ไตรสรณคมน์ วตั ถปุ ระสงค์ เม่ือศึกษาบทเรยี นนจี้ บแล้ว ผูเ้ ข้ารับการศกึ ษาสามารถ ๑. อธบิ ายความหมายของพระรัตนตรยั ได้ได้ ๒. อธบิ ายคุณของพระพทุ ธเจา้ ๓. อธิบายคุณของพระธรรมได้ ๔. อธบิ ายคณุ ของพระสงฆไ์ ด้ ๕. อธิบายไตรสรณคมนไ์ ด้ กิจกรรมระหวา่ งเรยี น ๑. บรรยาย ๒. สอบถาม ๓. ใบงาน ส่อื การสอน ๑. เพาเวอร์พอยท์ ๒. เอกสารตํารา ๓. คลปิ วดี ิโอทเี่ กีย่ วขอ้ ง ประเมินผล ๑. ใหต้ อบคําถาม ๒. แบบทดสอบหลังเรยี น
๑๕ ๑. ความหมายของพระรตั นตรัย พระรัตนตรัย แปลว่า แก้วประเสริฐ ๓ ดวง อันได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็น องค์ประกอบสําคัญของพระพุทธศาสนา พระพุทธ (the Buddha; the Enlightened One) หมายถึง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า ซึ่งทรงเป็นศาสดาของศาสนา กล่าวคือ ทรงเป็นผู้ค้นพบสัจธรรมโดยการตรัสรู้เอง และนํามาสอน ใหผ้ ู้อ่นื ปฏิบัติตาม พระพุทธองค์ได้บรรลุธรรมเม่ือพระชนม์ได้ ๓๕ พรรษา หลังจากน้ันได้ทรงประกาศ พระศาสนาและเผยแผธ่ รรมให้มนุษย์ได้เห็นสัจจะของชีวิต โดยมิได้มีเวลาว่าง จนกระท่ังเสด็จดับขันธปริ นพิ พานเม่อื พระชนมายุ ๘๐ พรรษา พระธรรม (the Dhamma; Dharma; the Doctrine) หมายถึง ความจริงท่ีพระพุทธองค์ ทรงค้นพบพระธรรมน้ีพระพุทธองค์มิได้ทรงคิดขึ้นเอง แต่เป็นความจริงที่มีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าทรง ค้นพบแล้วนาํ มาสง่ั สอนชาวโลก พระสงฆ์ (the Sangha; the Order) หมายถึง สาวกของพระพุทธเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมและ เผยแผธ่ รรมแกม่ วลมนษุ ย์ คุณของพระรตั นตรยั พระรัตนตรัยแต่ละรัตนะ มีคุณลักษณะแตกต่างกัน คือ พระพุทธเจ้ามีคุณลักษณะ ๙ ประการ เรียกว่า “พุทธคุณ ๙” พระธรรมมีคุณลักษณะ ๖ ประการ เรียกว่า “ธรรมคุณ ๖” พระสงฆ์มี คุณลกั ษณะ ๙ ประการ เรียกวา่ “สงั ฆคณุ ๙” ซง่ึ มรี ายละเอียดดงั นี้ ๒. พุทธคุณ ๙ ประกอบดว้ ย เป็นผู้บรสิ ทุ ธิป์ ราศจากกิเลส เป็นผูต้ รสั รู้เองโดยชอบ ๑. อรหัง เป็นผพู้ ร้อมดว้ ยความรแู้ ละความประพฤติ ๒. สัมมาสัมพุทโธ เปน็ ผเู้ สด็จไปดีแลว้ ๓. วชิ ชาจรณสัมปันโน ๔. สุคโต
๑๖ ๕. โลกวิทู เปน็ ผู้รู้แจง้ โลก ๖. อนตุ ตโร ปรุ ิสทมั มสารถิ เปน็ ผู้ฝกึ คนทีค่ วรฝึกอยา่ งยอดเย่ียม ๗. สัตถา เทวมนุสสานัง เปน็ ศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทง้ั หลาย ๘. พุทโธ เป็นผูต้ ่ืนแล้ว ๙. ภควา เปน็ ผมู้ โี ชค,ผจู้ ําแนกธรรม หมายเหตุ แต่บางที่ก็นิยมสรุปพระพุทธคุณ ๙ เหลือแค่ ๓ ได้แก่ พระวิสุทธิคุณ คือข้อ ๑,๓,๙ พระปัญญาคณุ คอื ขอ้ ๒,๕,๘ และพระมหากรณุ าธคิ ณุ คอื ข้อ ๔,๖,๗ ๓. ธรรมคณุ ๖ ประกอบด้วย ๑. สวากขาโต ภควตา ธมั โม พระธรรมเป็นคําสอนอันพระผู้มพี ระภาคตรัสไวด้ ีแล้ว ๒. สันทิฏฐิโก เหน็ ได้ดว้ ยตนเอง, ๓. อกาลิโก เป็นจริงตลอดเวลา ๔. เอหปิ สั สโิ ก ควรเรยี กใหม้ าพสิ ูจนด์ ู ๕. โอปนยิโก ควรน้อมเขา้ มาในตน ๖. ปจั จัตตัง เวทิตพั โพ วญิ ญหู ีติ วญิ ญูชนรไู้ ด้เฉพาะตน ๔. สังฆคุณ ๙ ประกอบด้วย ๑. สปุ ฏิปันโน เป็นผปู้ ฏบิ ตั ิดี ๒. อชุ ปุ ฏิปนั โน เปน็ ผู้ปฏิบัติตรง ๓. ญายปฏปิ นั โน เปน็ ผู้ปฏบิ ัตถิ ูกทาง ๔. สามีจปิ ฏิปนั โน เปน็ ผปู้ ฏิบัติชอบ ๕. อาหุเนยโย เป็นผู้ควรแก่ของคาํ นบั ๖. ปาหุเนยโย เปน็ ผ้คู วรแกก่ ารต้อนรับ ๗. ทักขเิ ณยโย เปน็ ผ้คู วรแก่ของทาํ บญุ ๘. อญั ชลิกรณโี ย เปน็ ผู้ควรแกก่ ารกราบไหว้ ๙. อนตุ ตรงั ปญุ ญกั เขตตงั โลกัสสาติ เป็นเนือ้ นาบญุ อันยอดเยี่ยมของโลก ๕.ไตรสรณคมน์ (the Threefold refuge; Three refuges; Threefold Guide) ไตรสรณคมน์ แปลว่า การถึงไตรสรณะ หมายถึง การเข้าถึงที่พึ่งหรือท่ีระลึก ๓ ประการ คือ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ตามความเปน็ จรงิ น้ัน การนับถอื พระพทุ ธศาสนา เปน็ การนับถือด้วยใจ ไม่จําเป็น ต้องเปล่งวาจา ใด ๆ ออกมา แต่เพ่ือแสดงตนว่าเราเป็นชาวพุทธท่ีดี ท่านจึงกําหนดธรรมเนียมในการปฏิบัติก่อน การรับศีล ดงั นี้ นัง่ (ยนื ) ประนมมือ น้อมใจระลกึ ถึงพระรตั นตรัยพรอ้ มกบั กลา่ วคําปฏญิ าณวา่ พุทธัง สะระณงั คจั ฉามิ ข้าพเจา้ ถอื พระพุทธเจา้ เป็นท่ีพึง่ ทรี่ ะลึก ธัมมัง สะระณัง คจั ฉามิ ขา้ พเจ้าถือพระธรรมเปน็ ท่พี งึ่ ท่รี ะลึก สังฆงั สะระณัง คัจฉามิ ขา้ พเจา้ ขอถือพระสงฆเ์ ปน็ ทพี่ ่งึ ทีร่ ะลกึ เม่ือจบคาํ ปฏิญาณคร้งั แรกแล้วให้กลา่ วซํา้ อกี ๒ ครั้ง โดยเพิ่มคําว่า “ทุติยัมปิ” ซ่ึงแปลว่า แม้ ครั้งท่ี ๒ และเพ่มิ คําวา่ “ตะตยิ มั ปิ” ซ่งึ แปลว่า แม้คร้ังที่ ๓ นําหน้าคาํ ปฏญิ าณครัง้ ท่ี ๓
๑๗ หลกั การครองตนเป็นคนดี มีความสขุ (Principles that govern The people happy) ..................................................................................................................................... สาระการเรียนรู้ ๑. เบญจศีล - เบญจธรรม ๒. หริ ิโอตตปั ปะ ๓. สตสิ มั ปชญั ญะ ๔. บุพพการแี ละกตญั ญูกตเวที ๕. ขันติโสรัจจะ ๖. อิทธิบาท 4 ๗. การบําเพญ็ จิตภาวนา วัตถปุ ระสงค์ เม่อื ศึกษาบทเรียนนี้จบแลว้ ผู้เข้ารับการศกึ ษาสามารถ ๑. อธบิ ายเบญจศีล - เบญจธรรมได้ ๒. อธบิ ายหริ ิโอตตัปปะได้ ๓. อธบิ ายสติสมั ปชัญญะได้ ๔. อธบิ ายความหมายและประเภทบุพพการีและกตัญญูกตเวทไี ด้ ๕. อธบิ ายขนั ติโสรัจจะได้ ๖. อธิบายและประยกุ ตใ์ ชอ้ ิทธิบาท 4 ได้ ๗. อธิบายข้ันตอนการบําเพ็ญจติ ภาวนาได้ กิจกรรมระหว่างเรียน ๑. บรรยาย ๒. สอบถาม ๓. ใบงาน ส่ือการสอน ๑. เพาเวอร์พอยท์ ๒. เอกสารตํารา ๓. คลิปวีดิโอทีเ่ ก่ียวขอ้ ง ประเมินผล ๑. ให้ตอบคาํ ถาม ๒. แบบทดสอบหลังเรยี น
๑๘ ๑. เบญจศลี -เบญจธรรม (five precepts - five ennobling virtues) เบญจศีล หมายถึง ข้อปฏิบัติสําหรับละเว้นการทําความช่ัว ๕ ประการ เพราะคนที่จะได้ช่ือ ว่าเป็นผู้มีความดอี ยา่ งสมบรู ณ์น้นั นอกจากจะละเว้นการทําความชวั่ แลว้ ยังตอ้ งกระทาํ คณุ ความดดี ้วย เบญจศีลและเบญจธรรมเป็นข้อปฏิบัติเบื้องต้นท่ีคนควรยึดถือทําตาม เพื่อความสงบ-สุขของชีวิต และสังคมโดยสว่ นรวม เบญจศีลหรอื ศลี ห้า (five precepts) ๑. เว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต (to abstain from killing) ทั้งนี้รวมถึงการไม่ทําร้ายร่างกาย การทรมาน การใชแ้ รงงานของคนและสัตว์จนเกินกาํ ลงั ความสามารถดว้ ย ๒. เว้นจากการลักทรัพย์ (to abstain from stealing) ทั้งน้ีรวมถึงการไม่ถือเอาสิ่งของท่ี เจา้ ของเขาไมใ่ ห้มาเป็นของตน ไมว่ า่ จะเป็นโดยวธิ กี ารหลอกลวง ฉอ้ โกง เบยี ดบงั ยักยอก ตลอดจนการทํา ความเสียหายให้แกท่ รัพยส์ ินของผูอ้ ืน่ โดยมิชอบ ๓. เว้นจากการประพฤติผิดในกาม (to abstain from sexual misconduct) หมายถึง การไมไ่ ปยุ่งเกี่ยวทางเพศสัมพันธ์กับหญิงหรือชายที่มีคู่ครองแล้ว ผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะหรือผู้ท่ีกฎหมาย คุม้ ครอง ๔. เว้นจากการพูดเท็จ (to abstain from false speech) หมายถึง การไม่เจตนาท่ีจะ บิดเบือนความจริงทุกอย่าง เช่น ไม่พูด เล่นสํานวนให้คนเข้าใจผิด ไม่อวดอ้างตนเอง ไม่พูดเกินความจริง หรือไม่พดู นอ้ ยกวา่ ทเ่ี ปน็ จริง เปน็ ตน้ ๕. เว้นจากการด่ืมสุราเมรัย (to abstain from intoxicants causing heedlessness) หมายถึง ละเว้นการดื่มเครื่องด่ืมท่ีทําให้ตนเองครองสติไม่อยู่ เช่น เหล้า เบียร์ นํ้าตาลเมา และรวมถึงละ เวน้ การเสพส่งิ เสพติดทัง้ หลายดว้ ย ไม่ว่าจะเปน็ ยาบ้า บุหร่ี ฝ่ิน กัญชา เฮโรอนี เป็นต้น เบญจธรรม หรือธรรมหา้ (the five ennobling virtues; virtues enjoined by the five precepts ) ๑. เมตตากรุณา (loving-kindness and compassion) ธรรมข้อนี้คู่กับศีลข้อหน่ึงให้เว้น จากการฆ่าสัตว์ เมตตา คือ ความปรารถนาท่ีจะให้ผู้อ่ืนมีความสุข กรุณา คือ ความสงสารคิดที่จะให้ผู้อื่น ปราศจากทุกข์ การไมท่ าํ รา้ ยผู้อน่ื นัน้ ก็นบั วา่ เป็นคนดแี ล้ว แตถ่ ้าจะให้ดียิง่ ขนึ้ ต้องเอื้อเฟ้ือชว่ ยเหลอื ผอู้ น่ื ด้วย สงั คมจึงจะสงบรม่ เยน็ ย่ิง ๆ ขน้ึ ๒. สัมมาอาชีวะ (right means of livelihood) หมายถึง การหาเลี้ยงชีพในทางท่ีชอบ ธรรม ข้อน้ีคกู่ ับศลี ขอ้ สองทใ่ี หล้ ะเว้นจากการถือเอาของที่เขาไม่ให้ คนท่ีประกอบอาชีพสุจริต ขยันขันแข็งในการ ทาํ มาหากิน ยอ่ มยนิ ดีกับของที่ตนหาได้เอง ไมค่ ิดฉกฉวยเอาของผอู้ ื่น ๓. ความสํารวมในกาม (sexual restraint) หมายถึง การยินดีเฉพาะในคู่ครองของตนและ การไม่คิดหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องความรักความใคร่จนเกินขอบเขต การที่คนเรามีความต้องการทางเพศน้ัน มิใช่ของผิดปกติแต่อย่างใด แต่ถ้าเดินสายกลางไว้ ก็จะทําให้เราไม่ไปผิดลูกเมียผู้อื่น ธรรมข้อนี้คู่กับศีลข้อ สาม ๔. ความสตั ย์ (truthfulness; sincerity) หมายถึง การพดู ความจริง เปน็ ธรรมที่ใช้คู่กับศีลข้อ สี่ท่ีให้เว้นจากการพูดเท็จ ธรรมข้อนี้เป็นการส่งเสริมให้มนุษย์รู้จักแสดงไมตรีจิตต่อกันทางวาจา การพูด ความจริงน้ีหมายรวมถึงการพูดคําสุภาพ คําอ่อนหวาน และการส่ือสารท่ีตรงกับความเป็นจริง ไม่ บดิ เบอื นสือ่ ๕. สติสัมปชัญญะ (mindfulness and awareness; temperance) หมายถึง มีสติ
๑๙ รอบคอบรูส้ กึ ตวั อยูต่ ลอดเวลาว่ากาํ ลงั ทาํ อะไร พูดอะไร ธรรมขอ้ น้ีคู่กับศีลข้อห้าท่ีห้ามมิให้ดื่มสุราเมรัย ผู้ ท่ีประพฤติปฏิบัติตามศีลและธรรมข้อท่ีห้าอยู่เสมอ จะเป็นผู้ท่ีไม่ขาดสติ ไม่ประมาท จะทําการส่ิงใดก็จะ สําเร็จไดโ้ ดยไม่ยาก และโอกาสท่จี ะเผลอตวั ทําผิดดว้ ยความประมาทก็มีน้อยหรือไมม่ ีเลย เพอ่ื สะดวกแก่การทาํ ความเข้าใจ จึงจะขอสรุปเบญจศีลและเบญจธรรมเป็นตารางเปรียบเทียบให้ เหน็ ได้งา่ ย ๆ ดงั น้ี ลําดบั เบญจศลี เบญจธรรม ๑ เว้นจากการฆ่าสตั ว์ตดั ชีวิต เมตตากรุณา ๒ เว้นจากการลกั ทรพั ย์ สัมมาอาชวี ะ ๓ เว้นจากการประพฤตผิ ดิ ในกาม ความสํารวมในกาม ๔ เวน้ จากการพูดเทจ็ ความสตั ย์ ๕ เว้นจากการดื่มสรุ าเมรัย สตสิ มั ปชัญญะ ๒. หิริโอตตปั ปะ (virtues that protect the world) หิริ (moral shame; conscience) หมายถึง ความละอายต่อความช่ัว โอตตัปปะ หมายถงึ ความเกรงกลวั ต่อความชวั่ สังคมทุกแห่งมีกฎหมายห้ามคนกระทําชั่ว หากใครละเมิดกฎหมายก็จะได้รับโทษ กฎหมายเป็น ข้อห้ามที่มีไว้เพ่ือให้สังคมดําเนินไปอย่างปกติสุข หน่วยย่อย ๆ ในสังคม เช่น โรงเรียนก็มีกฎและระเบียบ ให้นกั เรียนปฏบิ ัติเพือ่ ใหเ้ กดิ ความเรยี บรอ้ ยเชน่ กัน การที่คนเราไม่ทําความชั่วหรือความผิดตามท่ีกฎหมายหรือระเบียบของโรงเรียนห้ามไว้นั้นอาจ เป็นเพราะเหตุผล ๒ กรณี คือ กลวั ถกู ลงโทษและติดตะราง หรือมิฉะน้นั กก็ ลวั ถูกคนอื่น ตเิ ตียนประการหน่งึ ทไี่ มท่ ําความชั่วเพราะละอายต่อความชวั่ และเกรงกลัวความชวั่ อกี ประการหนงึ่ ความละอายต่อความช่ัวน้ัน ทางพระเรียกว่า “หิริ” ความละอายต่อความชั่ว คือการละ เว้นความช่ัว เพราะละอายแก่ใจตนเอง มีความสํานึกตัวว่า ส่ิงน้ีเป็นส่ิงช่ัวไม่ควรทํา การท่ีไม่ทําความช่ัว มใิ ชเ่ พราะกลวั ถูกจับหรือกลัวคนเห็น คนที่มีจิตสํานึกทางจริยธรรมน้ัน ท่ีไม่ทําความช่ัวมิใช่เพราะกลัวการ ถูกลงโทษที่มาจากภายนอก แต่เพราะความรู้สึกภายในยับยั้งไว้ มิใช่เพราะกลัวคนอ่ืนเห็น แต่เพราะ ตัวเองละอายทจ่ี ะเห็นตนทาํ เชน่ นัน้ ส่วนความเกรงกลัวต่อความช่ัวนั้น ทางพระเรียกว่า “โอตตัปปะ (moral dread)” คนที่กลัว ความช่ัวน้ัน ไม่ยอมทําผิดเพราะกลัวความช่ัว มิใช่กลัวตะรางหรือคําติเตียน เขาไม่ทําความช่ัวเพราะส่ิง นั้นเป็นความช่ัว เขาเห็นความชั่วเป็นส่ิงโสโครก ไม่อยากเข้าใกล้ เพราะกลัวจะเกิดความสกปรกข้ึนใน จิตใจ สมมติว่ามีนักเรียน ๓ คนเดินอยู่บนถนนแห่งหน่ึง นักเรียนคนหนึ่งเหลือบไปเห็นกระเป๋าสตางค์ อยบู่ นพนื้ ถนนจึงหยิบขึ้นมาดู เมื่อเปิดออกก็เห็นเงินหลายพันบาทในน้ัน เหตุการณ์นี้เพื่อนอีก ๒ คนท่ีเดิน ไปด้วยกันก็เหน็ ดว้ ย นักเรยี นคนน้ันจึงชวนเพอื่ น ๆ ไปแจ้งความและมอบกระเป๋าเงนิ ไวท้ สี่ ถานีตํารวจ การ
๒๐ กระทําครั้งน้ีเรียกได้ว่าเป็นการละเว้นความช่ัว เพราะการเอาของผู้อ่ืนมาเป็นของตนโดยไม่มีสิทธ์ิท่ีควรได้ นั้นเป็นความช่ัวอย่างแน่นอน และไม่เพียงผิดศีลธรรมเท่าน้ัน ยังผิดกฎหมายด้วย แต่กรณีเช่นน้ี เรายังไม่ รู้ความในใจของนักเรียนคนนใ้ี นการที่ไม่ทําความช่ัว ซ่ึงอาจจะเป็นเพราะมีคนเห็นและกลัวถูกจับจึงไม่กล้า กระทําก็ได้ สมมติว่าเด็กอีกคนหน่ึงเดินไปคนเดียวและพบกระเป๋าสตางค์บนถนน ขณะที่เขาหยิบกระเป๋า ขึ้นมาถือไว้น้ัน ไม่มีใครเห็นเขาเลย หากเขาประสงค์จะเก็บไว้เป็นของตัว ก็จะไม่มีใครมาติเตียน หรือไม่มี ใครไปบอกตํารวจมาจับ หากเด็กคนนม้ี จี ติ สาํ นึกดี เขาก็จะเอากระเป๋าไปมอบท่ีสถานีตํารวจ เช่นน้ีเรียกว่า เขาละอายใจตนเองท่ีจะถือเอาสิ่งที่ตนไม่มีสิทธิอันชอบธรรม เขาละอายต่อความชั่วมิใช่ละอายผู้อื่นใด เพราะแถวนั้นไม่มีใคร เรียกได้ว่าเขากลัวความช่ัว มิใช่กลัวถูกจับหรือกลัวถูกติเตียน เพราะไม่มีใครเห็น คนทลี่ ะอายและกลัวความชวั่ นน้ั จะไม่ทําช่ัว ไม่ว่าในท่ลี บั หรอื ท่ีแจง้ ผู้ที่ละอายและเกรงกลัวความชั่วนั้นคือผู้ที่เคารพตนเอง กฎหมายเพียงอย่างเดียวไม่อาจทําให้ สงั คมเป็นปกติสุขได้ คนทไ่ี ม่มีความละอายต่อความช่ัวย่อมหาทางหลีกเลี่ยงกฎหมายเสมอ ถ้าไม่มีคนเห็น หรอื แน่ใจวา่ ไมม่ ีใครจับได้ก็จะยังคิดทจ่ี ะทาํ ความช่วั อยู่ คนท่ีฉลาดมาก ๆ หากไม่มีความละอายต่อความชั่วแล้วย่อมหาช่องทางหลีกเลี่ยงกฎหมายได้ เสมอ คนท่ีมีอํานาจก็เหมือนกัน หากไร้หิริโอตตัปปะแล้ว จะทําให้ผู้คนเดือดร้อน เพราะคนเหล่านี้มี กฎหมายอยู่ในมือ อาจใช้กฎหมายข่มเหงเบียดเบียนผู้อื่นหรือคดโกงทุจริตได้ เพราะอํานาจของกฎหมาย นั้น อยู่ท่ีความกลัวของคน หากคนไม่กลัวกฎหมายเพราะมีกฎหมายอยู่ในมือแล้ว เขาก็จะกล้าทําผิด กฎหมายไม่อาจห้ามเขามิให้ทําผิดได้ แต่หากคนทุก ๆ คนในสังคมมีจิตสํานึกทางศีลธรรม คือมีความ ละอายและเกรงกลัวต่อความช่ัวแล้ว เขาก็จะไม่ทําความช่ัวไม่ว่าเขาจะฉลาดมากหรือน้อย มีอํานาจ หรือไมม่ อี ํานาจ เพราะคนอย่างนเี้ ป็นคนหักห้ามใจตนเอง และเคารพตนเอง หิริโอตตัปปะหรือความละอายต่อความชั่วและเกรงกลัวความชั่วน้ี เป็นหลักธรรมท่ีสําคัญมาก พระพุทธศาสนาเรียกว่า “โลกปาลธรรม” หรือธรรมที่คุ้มครองโลก เป็นหลักที่จะอํานวยสันติสุขให้ เกิดข้ึนในโลกได้อย่างแท้จริง ลําพังเพียงกฎหมายอย่างเดียวไม่อาจทําให้สังคมสงบสุขได้ เพราะหากขาด หริ ิโอตตัปปะแล้ว คนจะตกเป็นทาสของสง่ิ เยา้ ยวน และโอกาสทจี่ ะทําผดิ ก็เกิดขนึ้ ไดเ้ สมอ การอบรม ปลูกฝังให้คนมีสํานึกดีชั่ว มีความละอายและเกรงกลัวความช่ัวเป็นการตัดต้นตอของความช่ัวอย่างถึงราก ถงึ โคน เพราะการไม่ทําชั่วนน้ั อยทู่ ่ีตวั เองมใิ ห้ผันแปรไปตามสงิ่ เยา้ ยวนภายนอก วิธีปลกู ฝงั หริ ิโอตตัปปะ สังคมจะเป็นสุขเม่ือคนทุกคนมีหิริโอตตัปปะ ดังนั้นเราแต่ละคนจะต้องปลูกฝังสิ่งนี้ให้แก่ตัวเอง การพัฒนาตัวเองให้เป็นคนมีหิริโอตตัปปะ เริ่มจากง่าย ๆ ก่อน คือ ฝึกตัวเองให้เคารพกฎหมายและ ระเบียบของโรงเรียนไว้ ข้อน้ีทําไม่ยากเพราะการละเมิดกฎหมายและระเบียบนั้น ตัวเองต้องถูกลงโทษอยู่ แล้ว หัดตัวเองให้กลัวการถูกลงโทษก่อน ถ้าหากจะพยายามหาอุบายหลีกเล่ียงกฎหมายและระเบียบ จงระลึกอยู่เสมอว่าท่านอาจจะพลาดพลั้ง หรือถ้าท่านคิดว่าท่านฉลาดเอาตัวรอดได้ จงนึกว่าอาจ มีคนฉลาดกว่าและจับได้ ถ้าท่านกําลังจะทําผิดเพราะคิดว่าไม่มีใครรู้เห็น จงจําไว้ว่าความลับไม่มีใน โลกนี้ เม่ือฝึกตนให้เป็นคนเคารพและกลัวกฎหมายแล้ว ขั้นต่อไปก็ฝึกให้เคารพตนเอง หัดปกครอง ตนเอง การปกครองตนเอง คือ การยับย้ังใจตนเองมิให้กระทําผิด จงคิดว่าเราเป็นมนุษย์ซ่ึงแปลว่าผู้มี ใจสูง มนุษย์เท่าน้ันท่ีอาจฝึกให้รู้จักละอายต่อความชั่วได้ การฝึกสัตว์เดรัจฉานนั้นฝึกได้ทางเดียวคือ การ ลงโทษ ถา้ สุนขั ตัวโตที่บา้ นของนักเรียนรังแกตัวเล็กเสมอ นักเรียนฝึกให้มันละเว้นการรังแกน้ีได้โดยใช้ไม้ ตีมันทกุ ครั้งท่ีมนั รงั แกตัวเลก็ ในทสี่ ุดมนั จะละเว้นการรงั แกได้ แตน่ ักเรยี นไม่อาจส่ังสอนมันโดยการอบรม
๒๑ จิตใจให้มันเกิดความละอาย เพราะมันปกครองตัวเองไม่ได้ มันไม่อาจรับการฝึกให้เคารพตัวเองได้ ฝึกได้ ก็แตก่ ารเคารพไมเ้ รียว แตม่ นุษย์ประเสริฐกวา่ สัตว์ มนุษยเ์ ทา่ น้ันท่ฝี ึกใหล้ ะอายความชั่วได้ นน่ั คือรู้จกั ยับย้ังช่ังใจ มีสํานึก ผิดชอบช่ัวดี มนุษย์เท่าน้ันท่ีอบรมให้ละเว้นความช่ัว และทําความดี เราเกิดมาเป็นคนแล้ว ควรทําตนให้ เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ ทําให้ตนเป็นผู้มีศักด์ิศรีเหนือกว่าสัตว์เดรัจฉาน หากใช้สติปัญญาไตร่ตรองอย่างนี้ แล้ว และเม่ือเคยชินกับการปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบมาแล้ว หลักธรรมข้อน้ีก็เป็นส่ิงท่ี ทุกคน สามารถกระทําตามได้ ๓. สตสิ มั ปชัญญะ (virtues of great assistance) ความหมายของสติสัมปชัญญะ สติ (mindfulness) แปลว่า “ความระลึกได้” หมายถึง ระลึกถึงการกระทําท้ังทางกาย วาจา และใจได้ เช่น ระลึกถึงสิ่งท่ีเคยเห็น เคยฟัง เคยศึกษา ระลึกได้ว่า เคยพูดอะไรกับใคร ระลึก ความคิดที่ตนเคยคิด เป็นต้น สติยังหมายรวมถึงการคิดคํานึงถึงสิ่งที่จะเกิดในอนาคตด้วย เช่น คิดว่า พรุ่งน้ีมีงานอะไรจะต้องทํา ต้องดําเนินงานเป็นข้ันตอนอย่างไร กล่าวสั้น ๆ ได้ว่า สติ คือ ความไม่ประมาท ความรอบคอบ ความไมพ่ ลัง้ เผลอ สัมปชัญญะ (clear comprehension) แปลว่า “ความรู้ตัว” คือรู้ตัวว่าปัจจุบันตนกําลังทํา อะไร คิดอะไร พูดอะไร เช่น กําลังอ่านหนังสือ ก็รู้ตัวว่ากําลังอ่านหนังสือ ตอกตะปูก็รู้ว่ากําลังตอกตะปู รูว้ ่าปัจจบุ ันตนกาํ ลงั เปน็ นักเรยี นก็ปฏิบตั ติ นให้สมกบั เป็นนักเรียน เปน็ ต้น วิธีฝึกตนใหม้ ีสติสัมปชัญญะ ๑. ก่อนทํา ก่อนพูด กอ่ นคดิ อะไรก็ตาม ใคร่ครวญใหร้ อบคอบเสยี กอ่ น อยา่ ทาํ อวดดี อวดเกง่ จนเกินเหตุ ๒. ระลึกอยู่เสมอว่า ป้องกันดีกว่าแก้ไข เมื่อความประมาทเลินเล่อทําให้เกิดความเสียหายแล้ว การแก้ไขนั้นยาก จะแก้ไขให้เหมือนเดิมน้ันเกือบเป็นไปไม่ได้ เช่น ข้ามถนนด้วยความประมาท ทําให้ถูก รถชนเกิดบาดเจ็บ จะรกั ษาอย่างไรรา่ งกายก็ไมเ่ หมือนเดมิ และบางครั้งก็ไมส่ ามารถรักษาได้อยา่ งนี้ เป็นต้น ๓. เมื่อเกิดอารมณ์เสีย โกรธหรือหงุดหงิด อย่าเพ่ิงคิด พูด หรือทําอะไร เพราะในขณะน้ัน สติสัมปชัญญะจะเกิดไม่ได้ ควรปล่อยให้เวลาผ่านไปสักครู่แล้วค่อยทําหรือพูด ก่อนพูดและทําอาจยับยั้ง ตัวเองได้ แตเ่ มอ่ื เริม่ พูดและทําไปแลว้ เปน็ การยากทจี่ ะยับยง้ั ตัวเอง ๔. เครื่องดองของเมา ส่ิงเสพติด การพนัน สิ่งเหล่าน้ีล้วนทําให้เกิดการขาดสติสัมปชัญญะ ควรถอยให้หา่ งอยา่ เขา้ ไปกลา้ํ กราย สติสัมปชัญญะเป็นหลักธรรมคู่กัน ในบางแห่งอาจกล่าวถึงสติอย่างเดียว แต่ก็หมายความถึง สัมปชัญญะดว้ ย ในชีวิตประจําวันสติสัมปชัญญะมีประโยชน์มาก ช่วยให้เรามีความระมัดระวัง ไม่ประมาทไม่ เลินเล่อ ความประมาทเป็นหนทางนําไปสู่ความล้มเหลว และอาจทําให้เกิดอันตรายหรือความเสียหาย ร้ายแรงได้ เช่น เดินข้ามถนน หากขาดสติสัมปชัญญะอาจถูกรถชนได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ ถ้าระลึกและ รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่ากําลังทําอะไร ดูซ้ายดูขวาให้ดีก่อนข้าม หรือเลือกใช้สะพานลอยเดินข้ามก็เป็นวิธีการ ปลอดภัยทสี่ ุด คนทีก่ ําลังเปน็ นักเรียนอยไู่ มร่ ตู้ ัววา่ กาํ ลังเป็นนกั เรยี น มหี น้าท่ีศึกษาหาความรู้ เพือ่ นาํ ประโยชนใ์ ห้ ตัวเองและสังคม แต่กลับเที่ยวเตร่ดื่มสุรา ไม่ดูหนังสือ ไม่นึกถึงอนาคต ชีวิตก็มีแต่จะตกตํ่าลงเรื่อย ๆ ตัวอย่างเช่น เห็นเพื่อน ๆ เกเร หนีโรงเรียนไปมั่วสุมตามแหล่งอบายมุขก็ทําตามเขาบ้าง โดยขาด
๒๒ สติสัมปชัญญะ การเรียนก็จะอ่อนลง และเมื่ออ่อนลงก็ยิ่งขาดกําลังใจ หาทางออกในทางท่ีผิดมากขึ้น การ เรียนกย็ ิ่งอ่อนลงไปอีก จนในทสี่ ดุ กก็ ลายเปน็ คนลม้ เหลว คนมีสตสิ มั ปชัญญะเมอ่ื จะพดู หรอื จะแสดงกิริยาทา่ ทางอะไรออกมาก็รู้สึกตัวอยู่เสมอ ไม่พูดหยาบ พูดเพอ้ เจอ้ กริ ิยามรรยาทกน็ ม่ิ นวล ย่อมทาํ ให้เปน็ ที่รักใคร่ชอบพอแก่คนที่คบคา้ สมาคมดว้ ย ชีวิตก็จะมีแต่ ความราบรนื่ นอกจากมีประโยชนใ์ นการทํางานแลว้ ยงั ทําใหใ้ จสงบดว้ ย ๔. บพุ การแี ละกตญั ญกู ตเวที (rare persons) ความหมายของบพุ การแี ละกตัญญกู ตเวที บุพการี (one who is first to do a favor; previous benefactor) แปลว่า “ผู้ทําก่อน” หมายถึง ผ้ทู ่ีทาํ อปุ การคณุ ใหแ้ ก่ตนก่อนหนา้ นี้ กตัญญู (grateful person) หมายถงึ “การรอู้ ุปการคณุ ท่ีผู้อื่นกระทาํ แกต่ น” กตเวที (one who is grateful and repays the done favo) หมายถึง “ประกาศอุป การคุณที่ผู้อ่ืนได้กระทําแล้วแก่ตน” คือการฉลองคุณหรือ ตอบแทนคุณ ความกตัญญูกตเวทีเป็นส่ิง ประเสรฐิ บุคคลใดรจู้ ักคุณและตอบแทนคณุ ทผ่ี ู้อน่ื ไดท้ าํ แก่ตนแลว้ ก็ขึ้นช่ือวา่ เปน็ คนดมี แี ตค่ นสรรเสริญ โดยปกตมิ นุษยเ์ รา เม่ือใครทาํ บญุ คณุ แก่ตน ยอ่ มรู้สึกสาํ นึกในบญุ คณุ นัน้ และคดิ ตอบแทนคณุ ท่าน คาํ วา่ กตัญญูและกตเวทจี งึ มาด้วยกันเสมอ ต้องรู้จักกตัญญูก่อนแล้วจึงแสดงกตเวที แต่ สามัญชนแม้สํานึกในบุญคุณก็อาจมิได้ตอบแทนคุณ อย่างน้ีเรียกว่ามีกตัญญูแต่ขาดกตเวที ไม่มีใคร สรรเสริญแต่ไม่มีใครประณาม ถ้าบุคคลใดไมย่ อมรับรูว้ ่าผอู้ ่ืนมคี ณุ แก่ตน คอื ขาดกตัญญู เป็นคนไม่รู้คุณคน เหมือนคนพาล และกตเวทีก็มีไม่ได้ ถ้าถึงกับลบหลู่ผู้มีพระคุณแก่ตนด้วยแล้ว ก็เรียกได้ว่าเป็นคนชั่ว เนรคณุ เปน็ ที่ประณามเหยยี ดหยามทัง้ ทางโลกและทางธรรม ประเภทของบคุ คลผมู้ อี ุปการคณุ และการตอบสนองคุณ ในโลกนีม้ บี คุ คลที่มอี ุปการคุณแกเ่ รามากมาย อาจแบง่ ตามความใกล้ชิดกบั เราต้ังแต่ มากไปหาน้อยไดเ้ ป็น ๔ สายคอื ๑. ทางสกุล ๒. ทางการศึกษา ๓. ทางการปกครอง ๔. ทางศาสนา ๑. ทางสกุล ได้แก่ บิดามารดา ปยู่ า่ ตายาย ลุงปา้ นา้ อา บิดามารดา เป็นผู้มีพระคุณแก่เราโดยตรง เพราะเป็นผู้ให้กําเนิดชีวิตและเลี้ยงดูเรามาก่อน ผู้อ่ืน ให้อุปการคุณแก่เราโดยไม่มุ่งหวังผลประโยชน์หรือสิ่งตอบแทน ตั้งแต่เราเกิดมาท่านก็ให้ความรัก ความเมตตา เอาใจใส่ดูแลห่วงใยโดยบริสุทธ์ิใจ คอยแนะนําตักเตือนชี้ทางที่ดีให้แก่เรา เม่ือเราทุกข์หรือ เจ็บไข้ได้ป่วยก็ทุกข์ด้วย ถ้ายากจนก็สู้อุตส่าห์กู้ยืมมารักษาพยาบาลลูกหรือให้การศึกษา แม้ว่าจะต้อง ทํางานดว้ ยความเหน่ือยยากก็สู้ยอมทนเพ่ือลกู ปู่ย่า ตายาย เปรียบเสมือนบิดามารดาคู่ที่สอง เพราะเป็นบิดามารดาของบิดา มารดา เราอีกที หน่งึ ก็นับว่ามพี ระคุณแก่เราอยา่ งย่งิ ลุงป้า น้าอา ก็เช่นเดียวกัน ให้อุปการคุณเล้ียงดู รักใคร่เรามาตั้งแต่เด็ก ให้ความเมตตา คอยปกป้องรกั ษาห่วงใยเรา เปน็ ผมู้ ีพระคุณเช่นเดียวกัน เมอื่ เรารจู้ กั พระคณุ ของทา่ นแลว้ กม็ ีหนา้ ทีต่ ้องตอบแทนฉลองคณุ ท่านดว้ ยวธิ ตี ่างๆ
๒๓ เช่น แสดงความเคารพนบนอบเชื่อฟัง ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนด้วยความขยันหม่ันเพียร ไม่ทะเลาะวิวาทกัน ในบรรดาพี่น้อง ช่วยเหลือการงานของท่าน รู้ว่าท่านชอบอะไรถ้าอยู่ในวิสัยท่ีจะซ้ือหาได้ ก็หามาให้ท่าน และถ้าทา่ นตกทกุ ข์ได้ยากหรือมีภยั แมช้ วี ติ ของเราก็ควรยอมสละเพือ่ ท่านได้เหลา่ นี้เป็นต้น ๒. ทางการศกึ ษา ได้แก่ ครูอาจารย์ ครูอาจารย์ มีพระคุณแก่ศิษย์รองจากบิดามารดา เป็นผู้ปลูกฝังและถ่ายทอดวิชาความรู้ ให้แก่เราโดยตรง บิดามารดาเป็นผู้ให้กําเนิด แต่ครูอาจารย์เป็นผู้อบรมสั่งสอนให้วิชาความรู้แก่เรา ทํา ให้เรามคี วามรู้ ความคดิ ความสามารถท่จี ะนาํ ไปใชเ้ ป็นประโยชน์ในการทาํ มาหาเล้ยี งชีพของเราต่อไป ในอนาคต ครูอาจารย์มคี วามหวงั ดีต่อศิษย์ปรารถนาใหศ้ ษิ ยเ์ ปน็ ผู้มีความรู้ ความเข้าใจแจ่มแจ้งในส่ิงที่ตน สอนและใช้ความรู้ทํางานให้ได้ผลดี กอปรท้ังเป็นผู้มีคุณธรรม ประพฤติตนในทางท่ีถูกท่ีควร มีความ เจริญก้าวหนา้ ในชีวิตและการงาน การระลึกถึงบุญคุณของครูอาจารย์ และหาทางตอบแทนท่านเพ่ือแสดงกตเวทีน้ัน อาจทํา ได้หลายอย่าง เช่น ให้ความยกย่องนับถือด้วยกิริยาและวาจา ต้ังใจฟังในส่ิงที่ครูสอน ไม่เกียจคร้าน ประพฤติตัวตาม คาํ อบรมสง่ั สอน การมนี ํา้ ใจ ใหว้ ตั ถสุ ่งิ ของตามควรแก่อตั ภาพ ๓. ทางการปกครอง ไดแ้ ก่ ประมุขของประเทศ คือองค์พระมหากษตั รยิ ์ พระมหากษัตรยิ ์ ประเทศไทยเปน็ ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ปกครอง มานับแต่ โบราณกาล ประเทศเปรียบเสมือนบ้าน ถ้าขาดผู้ปกครองดูแลทุกข์บํารุงสุขให้เกิดภายในบ้าน คนที่อาศัย อยู่ในบ้านก็ไม่อาจมีความสงบสุขได้ ถ้าประเทศขาดพระมหากษัตริย์ คนไทยท้ังชาติก็ไม่อาจอยู่อย่าง ร่มเย็นเป็นสุขได้ เพราะพระองค์ทรงเป็นที่รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติให้มีความรักใคร่สามัคคีเป็น อนั หนึ่งอนั เดยี วกนั อันเป็นทางชว่ ยใหป้ ระเทศชาติเกิดความเจรญิ รุ่งเรือง รอดพน้ จากภยั อนั ตรายทม่ี า คกุ คามไดด้ ้วยการท่ีทรงบาํ เพญ็ ทศพธิ ราชธรรม เหน็ แก่ความสุขสงบของพสกนิกรมากกว่าความสุขสําราญ ส่วนพระองค์ จึงจดั ไดว้ า่ พระมหากษตั รยิ ท์ รงมบี ญุ คณุ ต่อประเทศชาติและคนในชาติอย่างใหญ่หลวง เราสามารถสนองพระคณุ ขององค์พระประมุขของชาตไิ ด้ โดยการประพฤตติ นเปน็ พลเมืองดีของชาติรักชาติ ไม่คิดทรยศต่อชาติบ้านเมือง รักษาความมั่นคงให้ชาติ อาจกระทําโดย ทางตรง เช่น เป็นทหาร ตํารวจ หรือโดยทางอ้อมคือ เมื่อได้รู้หรือเห็นส่ิงใดอันอาจทําให้เกิดผลร้ายต่อ ความปลอด-ภัยของประเทศชาติอย่าน่ิงนอนใจ ต้องรีบหาทางแก้ไขหรือพยายามขจัดขัดขวางทุกวิถีทาง เทิดทูนและปกป้ององค์พระมหากษัตริย์ไว้ด้วยชีวิต ปฏิบัติตนตามพระราชดํารัสหรือพระบรมราโชวาท เปน็ ตน้ ๔. ทางศาสนา ได้แก่ องคศ์ าสดา ของแตล่ ะศาสนา ศาสดา คอื ผ้ปู ระกาศหรอื สถาปนาศาสนา ทางพระพุทธศาสนาได้แก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองคท์ รงแสวงหาทางหลดุ พ้นให้แก่มวลมนษุ ย์ ทรงสอนใหม้ นษุ ย์กระทําแต่ความดี ละเว้นความชั่ว ทรงให้หลักธรรมที่เป็นเคร่ืองยึดเหนี่ยวจิตใจบุคคลให้ประพฤติตนในทางท่ีชอบท่ีควร อันเป็นผลทําให้ ประเทศชาติ และสังคมเกดิ ความสงบสขุ รม่ เย็นดว้ ย จดั ว่าทรงเป็นผู้มีอปุ การคุณแก่เราอยา่ งสูงสดุ ดังน้ัน เราจึงต้องรู้จักตอบแทนพระคุณขององค์พระศาสดา โดยเคารพบูชาพระรัตนตรัย อนั ไดแ้ ก่ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ อันเป็นเครื่องหมายแทนองค์พระศาสดา ทํานุบํารุงศาสนาให้ เจริญถาวร รู้จักทําบุญตักบาตร นอกจากนี้การช่วยทํานุบํารุงชาติให้มั่นคง ยังเป็นทางช่วยจรรโลงศาสนา ให้คงอยู่ด้วย เพราะถ้าหากไม่มีชาติศาสนาก็ดํารงอยู่ไม่ได้ และทางกลับกันชาติที่ไม่มีศาสนาเป็นหลัก ประจาํ ใจของคนในชาติ กย็ อ่ มถึงความพินาศสญู สิ้นเอกราชได้ในไมช่ า้ ความกตญั ญกู ตเวที นอกจากจะเป็นเคร่ืองแสดงความเป็นคนดีของตน ทําให้คนท่ัวไปรักใคร่
๒๔ นับถือ ตกทุกข์ได้ยากก็มีคนอยากอุ้มชูแล้วยังเป็นประโยชน์แก่สังคมด้วย เพราะเป็นการส่งเสริม ความสัมพันธ์อันดีระหว่างมนุษย์ ทําให้คนมีความรักใคร่กันช่วยเหลือกันเม่ือยามยาก เกิดความอบอุ่นใน สังคมไมโ่ ดดเด่ียวและว้าเหว่ เกิดความสามัคคีกลมเกลียวกัน แต่การแสดงกตัญญูกตเวทีหรือตอบแทนคุณ ต้องคํานึงถึงคุณธรรมข้ออ่ืน ๆ ด้วย มิใช่มุ่งแต่จะตอบแทนคุณโดยไม่คํานึงถึงศีลธรรมหรือกฎหมาย ดังน้ันคนท่ีรู้จักคุณของผู้อ่ืนจักต้องรู้จักตอบแทนคุณนั้นในทางท่ีถูกที่ควร จึงจะได้ช่ือว่าเป็นคนดีมี คุณธรรม ยงั ความสงบเรยี บรอ้ ยให้เกดิ ข้นึ ในสงั คม ตั้งแตค่ รอบครัวไปจนถงึ ประเทศชาติ ๕. ขนั ติ โสรจั จะ (gracing virtues) ๑. ขันติ (patience: forbearance; tolerance) ขันติ แปลว่า “ความอดทน” หมายถึง ความสามารถที่จะทนต่อความลําบาก มีจิตใจ เข้มแขง็ ทจ่ี ะทําความดี และสามารถควบคุมตนเองมิใหท้ าํ ชวั่ อันได้แก่ ๑. อดทนต่อความยากลําบาก คือ มีจิตใจเข้มแข็งท่ีจะทํางานให้ลุล่วงสําเร็จ หนักเอาเบาสู้ ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อย หิวกระหาย ก็เพียรพยายามทํางานที่ต้ังใจไว้ให้สําเร็จ และท่ีสําคัญก็คือ แม้จะ ยากลําบากเพียงใดก็ตามก็สามารถอดกลั้นที่จะไม่ทําความช่ัว ไม่ทําการทุจริต แม้ชีวิตจะลําบากเพราะ ความจนกไ็ ม่ละโมบคิดเอาของผอู้ นื่ โดยมชิ อบ แต่ต้องใชค้ วามอดทนเพียรทําการงานของตนให้ดีที่สุดเท่าที่ จะทาํ ได้ ๒. อดทนต่อความเจ็บป่วย หมายถึง อดทนต่อความเจ็บป่วยทางกาย ไม่โอดครวญ ไม่ท้อแท้ ไม่แสดงอาการฉุนเฉียว ไม่แสดงความอ่อนแอจนเกินเหตุ ไม่นําเอาความเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อยๆ มาอา้ งเพ่ือขออภิสิทธิ์ท่ีจะได้โน่นได้นี่หรือที่จะไม่ต้องทําโน่นทํานี่ ทําให้กลายเป็นคนน่าสมเพชเวทนา เป็น ทนี่ า่ เหยียดหยามของคนข้างเคียง ๓. อดทนต่อความเจ็บใจ หมายถึง การอดทนต่อการกระทําล่วงเกิน เช่น ถูกด่า ถูกดู หม่ิน ถกู นนิ ทา ถกู ยว่ั ยุ เป็นตน้ เพราะอย่ดู ้วยกันหมู่มาก ย่อมมีคนดีบ้าง คนช่ัวบ้าง มีการล่วงเกินเราโดย ตั้งใจบ้าง โดยไม่ต้ังใจบ้าง การกระทบกระทั่งกันย่อมเป็นของธรรมดา เราต้องมีความอดทน และอด กล้ันตามควร มิใช่ว่าเขาพูดผิดใจนิดเดียวก็ท้าตีท้าต่อยเขาเสียแล้ว อย่างไรก็ตามหากมีคนล่วงเกินอย่าง รุนแรงและโดยเจตนา ก็ต้องตอบโต้ด้วยสันติวิธี โดยอาศัยกระบวนการของกฎหมายหรือระเบียบ กฎเกณฑท์ ย่ี ึดอยู่เปน็ เคร่อื งมือ ๔. อดทนต่อกเิ ลส หมายถึง อดทนต่อสงิ่ ต่าง ๆ ที่เข้ามาย่ัวยวนชวนให้หลงไหลให้หมกมุ่น มัวเมา รู้จักเดินสายกลาง ไม่ปล่อยตัวให้ถลําไปในทางทุจริต ในปัจจุบันมีสิ่งต่าง ๆ ที่มาย่ัวยวน ผู้คนให้ ประพฤติตนไปในทางเสอ่ื มเสยี มากข้ึน เราต้องรจู้ กั ควบคมุ จติ ใจตนเองให้มัน่ คงไมห่ ลงตามงา่ ย ๆ เรื่องความอดทนน้ีเราอาจสรุปได้ว่ามี ๓ อย่าง คือ อดทนต่อความโลภ อดทนต่อความโกรธ และอดทนต่อความหลง ประการท่ีหนึ่ง แม้เราจะลําบากมีทุกข์ยากเพียงใดก็ตาม ก็ต้องอดใจไม่คิดโลภอยากได้ของ ผ้อู ื่นโดยมิชอบ ประการที่สอง แม้จะมีผู้มาล่วงเกินเรา เราก็อดทนยับย้ังไม่ถือโกรธ ไม่โต้ตอบนอกจากการ ล่วงเกนิ น้ันรุนแรงมาก เรากอ็ ดทนไมโ่ ต้ตอบด้วยความรุนแรงแต่โตต้ อบด้วยสนั ตวิ ธิ ี ประการที่สาม อดทนต่อความหลง คือ สามารถอดทนต่อส่ิงย่ัวยุ ไม่เห็นผิดเป็นชอบ ไม่มัว เมาลุ่มหลงกับส่ิงตา่ ง ๆ จนเกินควร
๒๕ ๒. โสรจั จะ โสรัจจะ แปลว่า “ความสงบเสง่ียม” หมายถึง ความสงบเสงี่ยม ความมีอัธยาศัยงาม ความ ประณีต ความสงบ เรียบรอ้ ย ความไมห่ รูหรา ขันติกับโสรจั จะ เปน็ ธรรมสองข้อท่ีมกั จะไปดว้ ยกัน รวมกันแล้วเรียกว่า “ธรรมอันทําให้งาม” ธรรมสองข้อน้ีผู้ใดมีแล้วเรียกว่าเป็นคนงาม คนงามในที่น้ีมิได้หมายความว่าเป็นคนหน้าตาสวย รูปหล่อ แต่หมายถึงงามในความประพฤติทั้งทางกาย วาจา และใจ คนท่ีมีความอดทนตามที่ได้กล่าวมาแล้วน้ัน เรียกว่าเป็นคนงาม คือ มีใจเข้มแข็งน่ายกย่อง มีวาจาที่ไม่ก้าวร้าว ไม่หยาบคาย เพราะอดทนได้ มีการ กระทําที่อยู่ในกรอบของความพอเหมาะ เพราะฝึกเอาไว้ได้ แต่ถ้าจะให้งามยิ่งข้ึน ต้องมีโสรัจจะด้วย คือ ต้องอดทนด้วยความสงบเสง่ียม ไม่แสดงท่าฮึดฮัด เดินพล่าน บ่นกระปอดกระแปด ทําเสียงกับคน ข้างเคยี ง คนบางคนอดทนอะไรต่ออะไรไดม้ าก แตไ่ ม่สามารถอดทนด้วยความสงบ ต้องแสดงกิริยาว่าไม่ พอใจท่ตี อ้ งอดทน หรืออาจจะบน่ อยตู่ ลอดเวลาอย่างนี้เรียกว่าไม่งามจริง งามเพียงครึ่งเดียว คือส่วนที่เป็น ขนั ติ แตไ่ มง่ ามพรอ้ ม เพราะไม่มีโสรจั จะ นอกจากจะเป็นส่วนหน่ึงที่เสริมให้ขันติมีความงามพร้อมแล้ว ตัวโสรัจจะเองก็ทําคนให้งาม ได้ คนท่ีประณีตรักสวยรักงาม จะทําอะไรก็ละมุนละไม อ่อนหวาน นุ่มนวล ย่อมเป็นท่ีงามตาแก่ผู้ท่ีพบ เห็น คนท่ีพูดจาเรยี บร้อย ไม่กระโชกโฮกฮาก ไม่สง่ เสียงดังโดยไมส่ มควรย่อมเปน็ ทช่ี ื่นชมแก่ผสู้ นทนาด้วย อนึ่งโสรัจจะยังหมายถึง การไม่ทําตัวหรูหรา โอ่อ่า ทําตัวเป็นจุดเด่นจนเกินควรด้วยคนที่ ชอบแสดงโอ้อวด ชอบพูดเกินจริง ชอบอวดม่ังมี อวดเก่ง ไปไหนก็ทําตนเหมือนกับว่าเป็นคนเด่นที่สุด คนอย่างนี้เรียกว่าไม่มีโสรัจจะ ตัวเองอาจนึกว่าตัววิเศษแล้ว แต่จริง ๆ แล้วไม่มีใครนึกว่างามเลย มีแต่ คนหมัน่ ไส้ไมอ่ ยากไปไหนมาไหนด้วย ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย คนเช่นน้ีมีโอกาสเป็นผู้นําน้อยมาก เพราะผ้นู ําน้นั ตอ้ งสงบ สํารวม มั่นใจในตนเองโดยไม่ต้องแสดงออก ๖. อทิ ธิบาท ๔ (path of accomplishment; basis for success) ๑. ความหมายของอทิ ธบิ าท ๔ อิทธิ แปลว่า “ความสําเร็จ” บาท แปลว่า “ทางหรือส่ิงท่ีช่วยนําทาง” เม่ือนํามารวมกัน เป็นอทิ ธบิ าท แปลวา่ ทางแห่งความสาํ เร็จ ความสาํ เรจ็ หมายถึงการได้บรรลเุ ปา้ หมายตามที่บุคคลตั้งไวซ้ ง่ึ อาจเป็นเป้าหมายกว้าง ๆ ไม่ กําหนดลักษณะและระยะเวลาแน่นอน เช่น ตั้งความหวังไว้ว่าวันหนึ่งจะต้องเป็นนักกีฬาระดับชาติ หรือ เป็นนักวิทยาศาสตร์ท่ีมีชื่อเสียง หรือเป้าหมายนั้นอาจเป็นเป้าหมายที่ระบุเวลาและขีดขั้นไว้อย่างแน่นอน เช่น ต้ังเปา้ หมายไว้ว่าส้ินเดือนน้ีจะต้องท่องศัพท์ภาษาอังกฤษให้ได้เพ่ิมมากขึ้น ๕๐ คํา หรือส้ินปีนี้จะต้อง ปลกู ผกั กาดขาวทีส่ วนครวั หลังบา้ นใหไ้ ด้ ๒๐๐ ตน้ เป็นตน้ ในชวี ติ ของแต่ละคนยอ่ มมีเปา้ หมายและวิธีการที่จะให้เป้าหมายของตนบรรลุผลสําเร็จแตกต่าง กัน รูปแบบของความสําเร็จก็มีต่าง ๆ กัน บางคนต้ังเป้าหมายในการศึกษา บางคนต้ังเป้าหมายในการทํางานและอาชีพ บางคนตั้งเป้าหมายในชีวิตส่วนตัวและครอบครัว แต่ท่ีทุกคนเหมือนกัน คือเป้าหมายนั้นจะเป็นผลดีแก่ตนเอง เป้าหมายที่ดี นอกจากจะเป็นผลดีแก่ตนเองแล้วก็ควรจะไม่เป็นผลร้ายแก่สังคม ความสําเร็จของสังคมเป็นผลรวมของ ความสําเร็จของคนแต่ละคนไม่อาจแยกกันได้ เช่น ทีมฟุตบอลไทยชนะทีมชาติอ่ืน ความสําเร็จของส่วนรวมก็คือ ผลรวม ของความสําเร็จหรือเป้าหมายท่ี นักฟุตบอลไทยแต่ละคนต้ังเอาไว้ นอกจากเป้าหมายต้องชอบธรรม เป็นผลดีแก่ ตนและสังคมแล้ว วิธีการที่จะนําไปสู่เป้าหมายน้ันก็ต้องชอบธรรมด้วย มิใช่ได้มาด้วยวิธีการทุจริตคิดมิชอบ คดโกง เป็น ต้น ถ้าเราใช้วิธีท่ีไม่ชอบธรรมในการสร้างความสําเร็จให้กับตนเอง ความสําเร็จนั้นมักจะทําให้ผู้อื่นเดือดร้อน เป็นผล เสยี หายแก่สงั คมสว่ นรวม ดงั นนั้ บุคคลท่จี ะไดช้ อื่ ว่าประสบความสําเรจ็ ในชวี ติ ของตนเองและสงั คม ย่อมต้องรู้จักใช้วิธีการ ที่ถกู ต้องตามทาํ นองคลองธรรม เพือ่ บรรลเุ ป้าหมายท่ดี มี ีคุณประโยชน์ทง้ั ตอ่ ตนเองและสังคมด้วย
๒๖ วิธีการท่ีบุคคลจะพึงใช้ในการสร้างความสําเร็จให้ชีวิตน้ัน ในทางพระพุทธศาสนามีคุณธรรม อยู่ขอ้ หน่ึงเรยี กวา่ อทิ ธิบาท ๔ ซึง่ มีองค์ประกอบอยู่ ๔ ประการ คอื ฉันทะ ความพอใจรักใครใ่ นสิ่งน้ัน (พอใจทาํ ) วิรยิ ะ ความพยายามหม่นั ประกอบในส่ิงนน้ั (แขง็ ใจทาํ ) จิตตะ ความเอาใจใส่ฝักใฝ่ในสิง่ นั้น (ตงั้ ในทํา) วมิ งั สา การพจิ ารณาไตร่ตรองหาเหตุผลในส่งิ น้นั (เขา้ ใจทํา) ๒. คําอธบิ ายอทิ ธิบาท ๔ ๑. ฉันทะ (will; aspiration) แปลว่า ความพอใจในการกระทํากิจการใด ๆ ไม่ว่าจะเป็น การศึกษาหรือการทํางาน ถ้าขาดความพอใจท่ีจะทําหรือความต้องการท่ีจะทํา ไม่มีความปรารถนาอย่าง จริงจังกับงานนั้น งานนั้นก็จะสําเร็จลงมิได้ เพราะเกิดความเบ่ือหน่ายหรือท้อแท้ งานง่ายก็กลายเป็นงาน ยาก งานเบากก็ ลายเป็นงานหนกั เพราะขาดความเต็มใจ กลายเป็นคนจับจดทําอะไรไม่สําเร็จสักอย่าง ทํา ไปได้หน่อยก็ทิ้งเสียกลางคัน ทําให้ไม่ก้าวหน้า ไม่มีใครเช่ือถือ ดังน้ันประการแรก เราต้องสร้างฉันทะใน งานน้ันเสียก่อน ให้เกิดความพอใจสนใจและเต็มใจที่จะทํา ไม่ว่างานนั้นจะง่ายหรือยาก หนักหรือเบา ก็มี โอกาสจะ ลุลว่ งความสาํ เร็จไปได้โดยงา่ ย ๒. วิริยะ (energy; effort; exertion) แปลว่า ความเพียร ในการทํางานทุกอย่างย่อมต้อง มีความลําบากและอุปสรรคบ้างไม่มากก็น้อยแตกต่างกันไป ถ้าไม่มีความขยันหม่ันเพียร อดทน และ พยายามฟันฝ่าอุปสรรคด้วยความอุตสาหะแล้ว ถึงจะมีใจรักใคร่ในงานน้ัน ก็มิได้หมายความว่าส่ิงนั้นจะ สําเร็จลงได้ ความท้อแท้เกิดขึ้นได้กับคนทุกคน บางคนท้อแท้เพราะไม่ม่ันใจในความสามารถของตนที่จะ ทํา บางคนท้อแท้เพราะคิดการใหญ่เกินไป ทําให้เกิดความสําเร็จได้ยาก ทางแก้คือสํารวจความสามารถ ของตนเองให้ละเอียด อย่าเข้าข้างตัวเองหรือดูถูกตัวเองมากเกินไป พยายามเปรียบตัวเองกับตัวเอง คือ เปรียบเทยี บดูว่าวันน้ีกับเม่ือวานนี้เราทํางานได้แตกต่างกันเท่าไร และพรุ่งน้ีเราควรทํางานได้มากกว่าวันนี้ เทา่ ไร อย่าไปมวั คดิ ว่าใครทําอะไรหรือได้อะไรแค่ไหน แต่คิดว่าเราควรได้อะไรเท่าไรในเวลาเท่านั้นเท่านี้ การเปรียบเช่นนี้ก่อให้เกิดกําลังใจ มีมานะทํางานด้วยกําลังกายตามความสามารถจนก้าวหน้าสําเร็จลุล่วง ไปได้ไม่เกดิ ความเกียจคร้าน หรือกลายเป็นคนไร้ความสามารถซึง่ เปน็ ผลเสียตอ่ ชีวติ ของตน ๓. จิตตะ (thoughtfulness; active thought) แปลว่า ความเอาใจใส่ เป็นการต้ังจิตให้ แน่วแน่ในส่ิงท่ีทํา ตั้งใจจดจ่ออยู่กับเรื่องที่ตนกําลังทํา ไม่ปล่อยใจให้เล่ือนลอยไปสู่เรื่องอ่ืน คนที่ทําอะไร โดยขาดความต้ังใจม่ันอยู่ในเรื่องน้ัน ย่อมยากท่ีจะทํางานให้สําเร็จได้ โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้เวลานาน เพราะความคิดไม่ต่อเนื่องกันตลอดเป็นเรื่องเดียว เวลานี้คิดเร่ืองน้ีกําลังคิด ๆ อยู่ใจไพล่ไปนึกถึงส่ิงอ่ืน แล้วกลับมาเรื่องน้ีใหม่แล้วกลับไปเรื่องอื่นอีก งานท่ีทําอยู่ก็ไม่เกิดผลสําเร็จ หรือถ้าสําเร็จก็ไม่ได้ผลเต็มที่ ไม่นับว่าทํางานได้ดีกลายเป็นคนที่ข้ึนชื่อว่าเอาดีไม่ได้ สักแต่ว่าทํางานให้แล้วเสร็จเท่านั้น แต่ถ้ามีจิตใจจด จ่อกับสิ่งที่ทํา ความคิดก็จะพุ่งมาท่ีจุดเดียว ก็ย่อมมีพลังผลักดันให้งานสําเร็จไปได้อย่างน่าชื่นชม เหมือน แสงอาทติ ยท์ ม่ี ารวมกันเป็นจุดเดียวท่ีกระจกนูนย่อมมีพลังเผาไหม้ได้ คนท่ีมีจิตใจฝักใฝ่กับงานของตนเอง น้ันย่อมได้รับการยกย่องเชื่อถือไว้ใจให้ทําการงานต่าง ๆ จากคนทั้งปวง เป็นหนทางพาไปสู่ความสําเร็จใน ชวี ิต ๔. วิมังสา (investigation; examination; reasoning; testing) แปลว่า การพิจารณา สอบสวน เป็นการใช้เหตุผลพจิ ารณาตรวจสอบสง่ิ ทีท่ าํ ให้ละเอยี ดถถ่ี ว้ นเพ่ือใหไ้ ดง้ านทดี่ ที ่ีสดุ ก่อนจะลงมือ กระทําต้องมีการวางแผนงานล่วงหน้าเป็นข้ันตอนตริตรองใคร่ครวญถึงปัญหาที่อาจมี หาทางแก้ไขด้วย สติปัญญา เวลากระทําก็ดําเนินการเป็นข้ัน ๆ มีการประเมินผลแต่ละขั้นว่าเป็นไปตามเป้าหมายท่ีต้ังไว้ หรือไม่ ถ้าไม่เป็นไปตามท่ีวางไว้ก็ต้องสํารวจดูว่ามีปัญหาอะไรต้องตรวจตราหาเหตุผลแล้วคิดวิธีแก้ไข
๒๗ ปรับปรุงข้อผิดพลาดให้งานน้ันมีประสิทธิภาพไปเรื่อย ๆ คนท่ีทํางานด้วยความหมั่นตริตรองพิจารณา หาทางแก้ปัญหาตรวจสอบข้อดีข้อเสีย ย่อมรู้จักใช้เวลาในการทํางานอย่างมีค่า ไม่ต้องเสียเวลากลับมา ริเร่ิมงานนั้นใหม่ กลายเป็นคนที่มีคนยกย่องนับถืออยากให้เป็นผู้นําในการทํากิจการต่าง ๆ เป็นหนทาง แห่งความเจริญกา้ วหน้าในชีวิตการงานของตนและนําความสําเร็จมาสสู่ ่วนรวม คุณธรรมทง้ั ๔ ประการนี้ ถา้ ขาดข้อใดขอ้ หนงึ่ งานท่ที ํากจ็ ะสาํ เรจ็ ลงมิได้ เพราะเปน็ เร่ืองท่ีต้อง ต่อเน่ืองกันตลอด ถ้าเรามีความพอใจท่ีจะทําส่ิงใดสิ่งหนึ่ง แต่ไม่ลงมือกระทําเราก็ไม่มีโอกาสที่จะได้สิ่งน้ัน แต่ถา้ เราลงมอื กระทาํ โดยขาดความเพียรพยายาม ทําแล้วเกิดความท้อแทง้ านนั้นก็ไม่ประสบผลสําเร็จ เรา จึงต้องตั้งจิตให้แน่วแน่ในสิ่งท่ีกําลังทําอยู่ ไม่วอกแวกไม่ฟุ้งซ่าน ความเพียรจึงจะดําเนินไปได้ การทํางาน โดยขาดการพิจารณาไตร่ตรองหาเหตุผลให้รอบคอบและมิได้คิดหาทางหนีทีไล่สําหรับปัญหาและอุปสรรค ต่าง ๆ แม้จะทําด้วยความเพียรพยายามเพียงใดก็ตาม งานนั้นก็ไม่อาจลุล่วงไปได้ด้วยดี ดังน้ันจึงต้อง ปฏิบตั ิให้ครบทงั้ ๔ วธิ ี โดยไมข่ าดจึงจะประสบความสาํ เรจ็ ข้นึ ได้ ๗. การบาํ เพญ็ จิตภาวนา (The practice of meditation) การบาํ เพญ็ จติ ภาวนา เป็นการฝึกจิตใจสงบ แน่วแน่อยู่ในสง่ิ ใดส่งิ หนง่ึ อนั เป็นประโยชน์ให้เกดิ ความรู้ ความเขา้ ใจในสง่ิ นัน้ ๆ อยา่ งถ่องแท้ หรอื กลา่ วอกี นยั หนงึ่ ไดว้ า่ เปน็ การฝึกสติและสมาธิเพือ่ ให้เกดิ ปัญญาหรือความสามารถในการคดิ พิจารณานน่ั เอง การฝึกสติและการฝกึ สมาธิ การฝึกสติ (Mindfulness) เปน็ การฝกึ ควบคมุ ความคดิ ใหร้ ะลกึ อยู่เสมอวา่ ตนกําลังทาํ อะไร ทําเพือ่ อะไร และทาํ อยา่ งไรจึงจะถกู ตอ้ งหรือสําเร็จ การฝึกสมาธิ (Meditation) เป็นการฝึกควบคุมจิตใจให้จดจ่ออยู่กับส่ิงใดส่ิงหนึ่งเท่านั้น สติสัมปชัญญะกบั สมาธิ เปน็ ส่งิ ที่มคี วามสมั พนั ธ์กันมาก จนอาจเรยี กไดว้ า่ เปน็ สง่ิ เดยี วกัน ผทู้ ี่มี สติสัมปชัญญะจะระลึกในส่งิ ท่ีตนกําลงั ทาํ ตลอดเวลา การจดจอ่ อยูก่ ับสิ่งท่ีตนกาํ ลังทําซงึ่ ก็คอื มสี มาธิ นน่ั เอง ในทาํ นองเดียวกันผู้ที่มสี มาธิก็ยอ่ มมสี ตสิ มั ปชญั ญะด้วยเช่นเดยี วกัน วปิ ัสสนากรรมฐานคือวธิ กี ารฝึกสตสิ ัมปชญั ญะ วิปัสสนากรรมฐาน เปน็ เร่อื งของการศกึ ษาชวี ิต เพ่ือจะปลดเปล้อื งความทกุ ข์นานาประการ ออกเสยี จากชีวติ เปน็ เรอ่ื งของการค้นหาความจรงิ วา่ ชีวิตมันคืออะไรกนั แน่ ปกติเราปล่อยใหช้ ีวิตดําเนนิ ไปตามความเคยชินของมนั ปแี ล้วปีเลา่ มนั มแี ตค่ วามมืดบอด วปิ สั สนากรรมฐาน เป็นเรื่องของการตีปัญหาซบั ซ้อนของชีวติ เปน็ เร่อื งของการค้นหาความ จรงิ ของชวี ติ ตามท่ีพระพทุ ธเจ้าไดท้ รงกระทํามา วิปสั สนากรรมฐาน เปน็ การเริม่ ต้นในปลดเปลื้องตวั เราให้พน้ จากความเป็นทาสของความเคย ชินในตวั เรานั้น เรามขี องดที ีม่ ีคุณคา่ อยูแ่ ล้ว คือ สติ สมั ปชัญญะ แตเ่ รานําออกมาใช้น้อยนกั ท้งั ทเ่ี ปน็ ของมีคุณค่าแกช่ วี ิตหาประมาณมิได้ วิปัสสนากรรมฐาน เป็นการระดมเอาสติทัง้ หมดทีม่ อี ยู่ในตวั เราเอา ออกมาใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชน์ วปิ ัสสนากรรมฐาน คอื การอญั เชิญสตทิ ถี่ กู ทอดทิ้งขนึ้ มานงั่ บัลลังกข์ องชีวติ เมอื่ สติ ขึ้นมาน่งั สบู่ ัลลงั ก์แล้ว จติ ก็จะคลานเข้ามาหมอบถวายบังคมอยู่เบ้ืองหนา้ สติ สติจะควบคุมจิตใหแ้ ส่ออกไปคบหา อารมณต์ ่าง ๆ ภายนอก ในทส่ี ุดจติ ก็จะคอ่ ยคนุ้ เคยกับการสงบอยกู่ ับอารมณ์เดยี ว เมอื่ จิตสงบตง้ั มนั่ ดี แลว้ การร้ตู ามความเปน็ จริงก็เป็นผลติดตามมา เมอ่ื นั้นแหละเราก็จะทราบได้ว่าความทกุ ข์มนั มาจาก ไหน เราจะสกดั กัน้ มันไดอ้ ย่างไร น่ันแหละผลงานของสติ ภายหลังจากไดท้ ่มุ เทสตสิ มั ปชญั ญะลงไปอยา่ งเต็มทแี่ ลว้ จิตใจของผูป้ ฏบิ ัติก็จะได้สัมผัสกบั
๒๘ สจั จะแหง่ สภาวะธรรมต่าง ๆ อันผปู้ ฏิบัติไมเ่ คยเห็นอยา่ งซ้งึ ใจมากอ่ นผลงานอันมคี ่าล้ําเลศิ ของ สตสิ มั ปชัญญะ จะทําใหเ้ ราเหน็ อยา่ งแจง้ ชัดวา่ ความทุกขร์ ้อนนานาประการนนั้ มันไหลเข้ามาสูช่ วี ิต ของเราทางช่องทวาร ๖ ชอ่ ง ช่องทวาร ๖ น้ี ทางพระพุทธศาสนาท่านเรียกวา่ อายตนะ อายตนะมภี ายใน ๖ ภายนอก ๖ ดงั น้ี อายตนะภายในมี ตา หู จมกู ล้ิน กาย ใจ อายตนะภายนอกมี รปู เสียง กล่ิน รส โผฏฐัพพะ (กายถกู ตอ้ งสัมผสั ) ธรรมารมณ์ (อารมณท์ ่เี กดิ จากใจ) รวม ๑๒ อยา่ งนี้ มหี น้าที่ตอ่ กนั เปน็ คู่ ๆ คอื ตาค่กู บั รปู หคู ูก่ ับเสียง จมูกค่กู บั กล่ิน ลิน้ คู่กบั รส กายคู่กับการสมั ผัสถูกตอ้ ง ใจคู่กบั อารมณท์ ่ี เกิดกับใจ เมื่ออายตนะคใู่ ดคหู่ น่ึง ต่อถึงกนั เข้า จติ ก็เกิดข้นึ ณ ทีน่ ้ันเองและจะดับลงไป ณ ท่นี ้ันทันที จงึ เห็นไดว้ า่ จติ ไม่ใชต่ วั ไมใ่ ชต่ น การที่เราเห็นว่าจติ เป็นตัวเปน็ ตนนั้น ก็เพราะวา่ การเกดิ ดบั ของจิต รวดเร็วมาก การเกดิ ดับของจติ เปน็ สนั ตตคิ อื เกดิ ดบั ตอ่ เน่อื งไม่ขาดสาย เราจึงไมม่ ที างทราบไดถ้ งึ ความไม่มีตวั ตนของจิต ตอ่ เม่ือเราทาํ การกาํ หนด รปู นาม เป็นอารมณต์ ามระบบวิปสั สนากรรมฐานทาํ การสาํ รวมสตสิ ัมปชัญญะอย่างม่นั คง จนจิตต้ังม่นั ดีแลว้ เราจงึ จะร้เู หน็ การเกิดดับของจิต รวมทง้ั สภาวะธรรมต่าง ๆ ตามความเป็นจริง การท่จี ิตเกดิ ทางอายตนะต่าง ๆ นัน้ มันเปน็ การทํางานร่วมกนั ของขันธ์ ๕ เชน่ ตากระทบ รูป เจตสิกตา่ ง ๆ กเ็ กิดตามมาพรอ้ มกนั คือ เวทนา เสวยอารมณ์สขุ ทกุ ข์ ไมส่ ขุ ไมท่ กุ ข์ จาํ ไดว้ ่ารูป อะไร สังขาร ทําหนา้ ทีป่ รุงแตง่ วิญญาณ ร้วู ่ารูปนี้ ดี ไม่ดี หรือเฉย ๆ กิเลสกจ็ ะตดิ ตามเขา้ มาคือ ดี ชอบเป็นโลภะ ไมด่ ไี ม่ชอบเปน็ โทสะ เฉย ๆ ขาดสติกาํ หนดเปน็ โมหะ อันนีเ้ องจะบันดาลใหอ้ กุศลกรรม ต่าง ๆ เกดิ ตามมา ความประพฤติชวั่ รา้ ยต่าง ๆ กจ็ ะเกิด ณ ตรงน้เี อง การปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐาน โดยเอาสตเิ ขา้ ไปตงั้ กํากับจติ ตามชอ่ งทวารท้ัง ๖ เม่ือปฏิบตั ิ ได้ผลแก่กล้าแล้ว กจ็ ะเขา้ ตดั ต่ออายตนะทง้ั ๖ คูน่ ัน้ ไมใ่ หต้ ดิ ตอ่ กันได้ โดยจะเหน็ ตามความเป็นจรงิ ว่า เมอ่ื ตากระทบรูป กเ็ หน็ ว่าสกั แตว่ า่ เปน็ แคร่ ปู ไมใ่ ช่ตวั ไม่ใช่ตนบคุ คลเราเขา ไมท่ าํ ใหค้ วามรสู้ กึ นกึ คดิ ปรงุ แต่งใหเ้ กดิ ความพอใจหรอื ไมพ่ อใจเกดิ ขึน้ รูปกจ็ ะดับลงอยู่ ณ ตรงน้ันเอง ไมไ่ หลเข้ามาสภู่ ายในจิตได้ อกศุ ลกรรมท้ังหลายกจ็ ะไม่ตามเข้ามา สตทิ ีเ่ กดิ ขึ้นขณะปฏิบัตวิ ปิ สั สนากรรมฐานนน้ั นอกจากจะคอยสกดั กน้ั กเิ ลสไมใ่ ห้เขา้ มาทาง อายตนะแลว้ ยงั เพ่งเล็งอย่ทู ี่รปู กับนาม เมอ่ื เพง่ อยู่ก็จะเห็นความเกิดดบั ของรปู นามนนั้ จกั นําไปสกู่ าร เห็นพระไตรลักษณ์คอื ความไม่เท่ียง ความเปน็ ทกุ ข์ ความไมม่ ีตัวตนของสังขารหรืออัตภาพอย่างแจ่ม แจง้ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนัน้ จะมีผลมากนอ้ ยเพยี งใด อย่ทู ี่หลกั ใหญ่ ๓ ประการ ๑. อาตาปี (perseverance) ทําความเพียรเผากเิ ลสให้เรา่ รอ้ น ๒. สตมิ า (Mindfulness) มสี ติ ๓. สัมปชาโน (awareness) มีสัมปชญั ญะอยกู่ ับรปู นามตลอดเวลาเปน็ หลักสําคญั นอกจากนัน้ ผู้ปฏิบัติต้องมีศรัทธาความเชอื่ วา่ การปฏิบตั ิเชน่ นีม้ ผี ลจรงิ ความมีศรัทธานเี้ ปรยี บประดุจเมล็ด พชื ท่ีสมบูรณ์ดพี รอ้ มที่จะงอกงามได้ทันทีท่ีนําไปปลกู ความเพยี รประดุจนํ้าทพ่ี รมลงไปทเี่ มล็ดพืชนน้ั เมือ่ เมลด็ พืชไดน้ ํา้ พรมลงไปก็จะงอกงามสมบูรณ์ขึน้ ทันที เพราะฉะน้นั ผปู้ ฏบิ ตั จิ ะได้ผลมากน้อยเพียงใด ยอ่ มขึ้นอยู่กับส่ิงเหล่าน้ีดว้ ย การปฏบิ ัติ ผปู้ ฏบิ ตั ิจะต้องเปรยี บเทียบดจู ติ ใจของเรา ในระหวา่ ง ๒ วาระวา่ กอ่ นท่ยี ังไม่ ปฏิบัตแิ ละหลังการปฏิบตั ิแลว้ วิเคราะหต์ ัวเองว่า มีความแตกตา่ งกันประการใด การละปลโิ พธ การปฏบิ ตั วิ ิปัสสนากรรมฐาน จะต้องปฏิบตั ใิ หห้ ่างไกลจากหมู่คณะ และปลิโพธ กงั วล ห่วงใยในทกุ สง่ิ ทุกอยา่ งเสยี เพราะเปน็ ทางเดยี ว ทาํ คนเดยี ว สําเรจ็ คนเดยี ว แมแ้ ตผ่ ู้สอนก็เปน็ เพยี ง
๒๙ แนะนาํ ช้ีทางในการปฏบิ ัติ และใหค้ วามอุปถัมภอ์ ปุ การะ ใหม้ คี วามสะดวกสบายเก่ียวกบั ทีอ่ ยู่ อาหาร ยารกั ษาโรค และสถานทใ่ี นการปฏบิ ัติตามสมควรเท่าน้นั ผปู้ ฏบิ ัติจะตอ้ งมีใจเป็นอิสระ วางจาก พนั ธะท้ังปวง คือไม่มปี ลิโพธ ๑๐ ประการ คอื ๑. ไม่หว่ งบา้ นหรือหว่ งวดั ๒. ไม่ห่วงสกุล ๓. ไมห่ ่วงลาภ ๔. ไม่ห่วงหมู่คณะ ๕. ไม่หว่ งทาํ ธุรกจิ ๖. ไมห่ ่วงในการเดินทาง ๗. ไม่ห่วงญาติ ๘. ไม่หว่ งในโรค ๙. ไม่หว่ งในการเลา่ เรยี น ๑๐. ไมห่ ่วงในการท่จี ะแสดงฤทธ์ิ ประโยชนข์ องการปฏิบตั วิ ิปัสสนากรรมฐาน การปฏบิ ัติวิปัสสนากรรมฐานน้ัน มีประโยชนม์ ากมายเหลอื ทจ่ี ะนบั ประมาณได้ จะยกมา แสดงตามทปี่ รากฏอย่ใู นพระไตรปฎิ กสกั เล็กนอ้ ยดังนี้ คือ ๑. สตั ตานัง วิสทุ ธยิ า ทาํ กายวาจาใจ ของสรรพสัตวใ์ ห้บริสทุ ธหิ์ มดจด ๒. โสกะปะรเิ ทวนัง สะมะตกิ กะมายะ ดบั ความเศร้าโศก ปริเทวนาการต่าง ๆ ๓. ทกุ ขะโทมะนัสสานงั อัตถงั คะมายะ ดับความทกุ ข์กาย ดับความทุกขใ์ จ ๔. ญาณสั สะ อะธคิ ะมายะ เพ่อื บรรลุมรรคผล ๕. นพิ พานสั สะ สจั ฉิกริ ิยายะ เพ่อื ทํานิพพานใหแ้ จง้ และยังมอี ย่อู ีกมากมาย เช่น ๕.๑ ชอ่ื วา่ เปน็ ผู้ไมป่ ระมาท ๕.๒ ช่ือว่าเปน็ ผไู้ ดป้ อ้ งกันภยั ในอบายภูมทิ ้ังส่ี ๕.๓ ชอื่ ว่าไดบ้ าํ เพญ็ ไตรสิกขา ๕.๔ ช่ือว่าไดเ้ ดินทางสายกลาง คอื มรรค ๘ ๕.๕ ชื่อวา่ ได้บูชาพระพทุ ธเจ้าด้วยการบูชาอยา่ งสูงสดุ ๕.๖ ชือ่ วา่ ได้บาํ เพญ็ ศีล สมาธิ ปญั ญา ใหเ้ ป็นอปุ นิสยั ปจั จยั ไปในภายหนา้ ๕.๗ ชอื่ ว่าได้ปฏิบัติถูกต้องตามพระไตรปฎิ กโดยแท้จริง ๕.๘ ช่ือวา่ เปน็ ผมู้ ชี วี ติ ไมเ่ ปลา่ ประโยชน์ท้งั สาม ๕.๙ ชอ่ื วา่ เป็นผู้เข้าถงึ พระรตั นตรัย อย่างถกู ต้อง ๕.๑๐ ช่ือว่าไดป้ ฏบิ ัติเพื่อให้เกิดวิปัสสนาญาณ ๑๖ ๕.๑๑ ชือ่ วา่ ไดส้ ง่ั สมอริยทรพั ย์ไว้ในภายใน ๕.๑๒ ชื่อว่าเปน็ ผมู้ าดไี ปดีอยูด่ กี ินดีไม่เสียทีที่เกิดมาพบพระพทุ ธศาสนา ๕.๑๓ ชอ่ื ว่าได้รกั ษาอมตมรดกของพระสมั มาสมั พุทธเจ้าไวเ้ ปน็ อยา่ งดี ๕.๑๔ ชือ่ วา่ ได้ชว่ ยกนั เผยแผ่พระพทุ ธศาสนาใหเ้ จริญรงุ่ เรอื งยงิ่ ๆ ขึน้ ไปอกี ๕.๑๕ ชือ่ วา่ ไดเ้ ป็นตัวอย่างอันดงี ามแกอ่ นุชนรุ่นหลงั ๕.๑๖ ชื่อวา่ ตนเองได้มีธนาคารบญุ ติดตวั ไปทกุ ฝีกา้ ว วธิ ีสมาทานกรรมฐาน และ การแสดงตนเปน็ พทุ ธมามกะ ๑. ถวายสักการะต่อพระอาจารยผ์ ูใ้ ห้กรรมฐาน ๒. จุด เทียน ธปู บชู าพระรตั นตรัย ๓. ถ้าเปน็ พระ ใหแ้ สดงอาบัตกิ ่อน ๔. คฤหัสถ์ รบั ศีลกอ่ น ๕. มอบกายถวายชีวิตต่อพระรัตนตรยั ดังน้ี อมิ าหงั ภะคะวา อตั ตะภาวงั ตุมหากงั ปะรจิ จะชามิ ขา้ แตอ่ งคส์ มเด็จพระผมู้ พี ระ
๓๐ ภาคเจ้า ขา้ พระองคข์ อมอบกายถวายชวี ติ ต่อพระรัตนตรยั คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ๖. มอบกายถวายตัวตอ่ พระอาจารย์ ดังนี้ อมิ าหงั อาจารยิ ะ อัตตะภาวงั ตมุ หากงั ปะรจิ จะชามิ ขา้ แต่พระอาจารยผ์ ู้เจรญิ ข้าพเจา้ ขอมอบกายถวายตวั ตอ่ ครบู าอาจารย์ เพือ่ เจรญิ วิปสั สนากรรมฐาน ๗. ขอพระกรรมฐาน นพิ พานัสสะ เม ภนั เต สจั ฉกิ ะระณัตถายะ กัมมัฏฐานัง เทหิ ขา้ แต่ทา่ นผูเ้ จรญิ ขอ ทา่ นจงใหก้ รรมฐานแกข่ ้าพเจ้า เพอ่ื ทาํ ใหแ้ จง้ ซ่ึงมรรคผลนพิ พานต่อไป ๘. แผ่เมตตา อะหงั สขุ โิ ต โหมิ ขอให้ขา้ พเจา้ ถงึ สขุ ปราศจากทกุ ข์ ไมม่ ีเวร ไมม่ ีภัย ไมม่ คี วาม ลําบาก ไมม่ ีความเดอื ดร้อน ขอให้มคี วามสุข รักษาตนอยู่เถิด สัพเพ สัตตา สขุ ิตา โหนตุ ขอใหส้ ตั วท์ ั้งหลาย ทุกตัวตน ตลอดเทพบุตรเทพธิดาทุก พระองค์ พระภิกษุสามเณร และผู้ปฏิบัติธรรมทกุ ท่าน ขอทา่ นจงมีความสุข ปราศจากทกุ ข์ ไม่มเี วร ไม่มีภัย ไมม่ คี วามลําบาก ไมม่ คี วามเดอื ดรอ้ น ขอใหม้ ีความสุข รักษาตนอยู่เถดิ ๙. เจรญิ มรณานุสสติ อทั ธวุ ัง เม ชวี ติ งั ชวี ติ ของเราไมแ่ นน่ อน ความตายของเราแนน่ อนเราตอ้ งตายแน่ เพราะชีวิตของเรา มีความตายเป็นที่สุด นบั วา่ เป็นโชคอันดแี ล้วทเ่ี ราได้เขา้ มาปฏบิ ตั วิ ิปสั สนากรรมฐาน ณ โอกาสบดั นี้ ไม่เสยี ที่ทไี่ ด้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ๑๐. ตง้ั สจั จะอธษิ ฐาน และปฏญิ าณตนต่อพระรัตนตรัยและครูบาอาจารย์ เยเนวะ ยันติ นพิ พานงั พระพุทธเจ้าและพระอรหนั ตสาวก ได้ดาํ เนินไปสู่พระ นิพพาน ด้วยหนทางเส้นนี้ ข้าพเจ้า ขอตง้ั สัจจะอธษิ ฐาน ปฏญิ าณตนต่อพระรัตนตรัยและครบู า อาจารย์ว่า ตัง้ แต่บดั นต้ี ่อไป ขา้ พเจา้ จะต้งั อกต้ังใจ ประพฤติและปฏบิ ตั ิ เพอ่ื ให้บรรลมุ รรคผล ดาํ เนนิ รอยตามพระองคท์ ่าน อมิ ายะ ธมั มานธุ ัมมะปะฏิปัตติยา ระตะนตั ตะยัง ปเู ชมิ ขา้ พเจ้าขอบชู าพระรตั นตรยั ด้วยการปฏิบตั ธิ รรม สมควรแกม่ รรคผลนิพพานนี้ ดว้ ยสัจจะวาจาทกี่ ล่าวอา้ งน้ี ขอให้ขา้ พเจา้ ไดบ้ รรลุ มรรคผลนิพพานดว้ ย เทอญฯ ๑๑. สวดพุทธคณุ ธรรมคุณ สงั ฆคุณ เสรจ็ แล้วกราบ ๓ ครั้ง ๑๒. การแสดงตนเปน็ พุทธมามกะ ผทู้ ีจ่ ะแสดงตนเปน็ พุทธมามกะ พงึ ปฏิบตั ิ ดังนี้ ๑๒.๑ ถวายสักการะต่อพระอาจารย์ ๑๒.๒ จดุ เทยี น ธปู บชู าพระรัตนตรัย ๑๒.๓ กล่าวแสดงตนเปน็ พทุ ธมามกะ ดงั น้ี เอสาหัง ภนั เต สจุ ริ ะปะรินิพพตัมปิ ตัง ภะคะวันตงั สะระณงั คจั ฉามิ ธัมมัญจะ ภกิ ขสุ งั ฆญั จะ พทุ ธมามะโกติ (มกิ าต)ิ มัง ภันเต สังโฆ ธาเรตุ อชั ชะตคั เค ปาณเุ ปตงั สะระณงั คะตงั ข้าแตท่ า่ นผเู้ จรญิ ข้าพเจา้ ขอถงึ สมเด็จพระผูม้ ีพระภาคเจา้ แม้เสดจ็ ดับขนั ธปรินิพพาน นานแล้วกับทง้ั พระธรรมและพระสงฆ์ ว่าเปน็ ทพ่ี งึ่ ทร่ี ะลึก ขอพระสงฆ์จงจาํ ข้าพเจา้ ไว้ว่า เปน็ พุทธมามกะ (มามกิ า) ในธรรมวนิ ยั ผถู้ ึงพระรัตนตรยั เป็นสรณะตลอดชวี ิต ต้งั แตบ่ ัดนเี้ ป็นตน้ ไป ๑๒.๔ รับศีล ธรุ ะในพระศาสนา มี ๒ อยา่ ง คือ ๑. คนั ถธรุ ะ (the burden of studying the Scriptures) ๒. วปิ ัสสนาธรุ ะ (the burden of contemplation; obligation of introspection;
๓๑ task of meditation practice.) คนั ถธรุ ะ ไดแ้ ก่ การศกึ ษาเลา่ เรยี นให้รู้เรอ่ื งพระศาสนาและหลักศลี ธรรม วปิ สั สนาธรุ ะ ได้แก่ ธรุ ะหรอื งานอย่างสงู ในพระศาสนา ซ่งึ เปน็ งานทจี่ ะชว่ ยให้ผู้นบั ถือ พระพุทธศาสนาได้รูจ้ กั ดับทุกขอ์ อกจากตน มากน้อยตามควรแกก่ ารปฏิบัตทิ างน้ีทางเดยี วเทา่ น้ันทจี่ ะทาํ ให้พ้นทุกข์ ตั้งแตท่ กุ ขเ์ ลก็ จนทกุ ขใ์ หญ่ เช่นการ เกิด แก่ เจบ็ ตาย และเป็นทางปฏิบตั ิท่มี ีอยู่ในศาสนา ของพระพทุ ธเจ้าเท่านัน้ วปิ ัสสนาธรุ ะ สว่ นมากเรารยี กกันว่า วิปสั สนากรรมฐานนัน่ เอง เม่อื กลา่ วถงึ กรรมฐาน ขอให้ ผูป้ ฏิบตั ิแยกกรรมฐานออกเปน็ ๒ ประเภทเสียก่อน การปฏบิ ัตจิ ึงจะไม่ปะปนกัน กรรมฐาน ๒ ประเภท คือ ๑. สมถกรรมฐาน (concentration development; the method and practice of concentrating the mind; tranquillity development) กรรมฐานชนิดนเ้ี ป็นอบุ ายให้ใจสงบคือ ใจท่ี อบรมในทางสมถแลว้ จะเกิดนง่ิ และเกาะอยูก่ ับอารมณห์ น่ึงเพียงอย่างเดยี ว อารมณ์ของสมถกรรมฐานนั้น ๒. วปิ ัสสนากรรมฐาน (insight development) เป็นอุบายให้เรอื งปญั ญา คือเกดิ ปัญญา เหน็ แจง้ หมายความว่าเห็นปัจจบุ ัน เหน็ รปู นาม เห็นพระไตรลกั ษณ์ และเหน็ มรรค ผล นพิ พาน การเรียนวปิ สั สนากรรมฐานน้ันเรยี นได้ ๒ อย่าง คือ ๑. เรียนอันดับ ๒. เรียนสันโดษ การเรยี นอนั ดบั คอื การเรยี นใหร้ จู้ กั ขันธ์ ๕ วา่ ได้แกอ่ ะไรบา้ ง ย่อใหส้ ั้นในทางปฏิบัติเหลือ เทา่ ใด ได้แกอ่ ะไร เกดิ ท่ีไหน เกดิ เมอ่ื ไร เมอื่ เกดิ ขึน้ แลว้ อะไรจะเกดิ ตามมาอีก จะกาํ หนดตรงไหนจงึ จะ ถูกขันธ์ ๕ เมอื่ กําหนดถกู แล้วจะได้ประโยชน์อย่างไรบ้างเปน็ ตน้ นอกจากนี้ก็ตอ้ งเรียนใหร้ เู้ รอ่ื งใน อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อนิ ทรยี ์ ๒๒ อรยิ สจั ๔ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ โดยละเอยี ดเสยี ก่อน เรียกวา่ เรียนภาคปริยตั ิ วิปัสสนาภูมินัน่ เอง แลว้ จงึ จะลงมือปฏิบตั ไิ ด้ การเรยี นสนั โดษ คอื การเรียนยอ่ ๆ สน้ั ๆ สอนเฉพาะทีจ่ ะต้องปฏบัตเิ ท่าน้ันเรียนชว่ั โมงน้กี ็ ปฏิบตั ชิ ั่วโมงน้ีเลย เช่น สอนการเดินจงกรม สอนวธิ นี ัง่ กาํ หนดสอนวธิ ีกําหนดเวทนา สอนวธิ ีกําหนดจติ แล้วลงมือปฏิบัตเิ ลย วิธปี ฏบิ ตั ิ ๑. การเดินจงกรม (walking up and down) ก่อนเดินให้ยกมือไขว้หลังมือขวาจับข้อมือซ้ายวางไว้ตรง กระเบนเหน็บ ยืนตัวตรง เงยหน้า หลับตา ให้สติจับ อยู่ท่ีปลายผม กําหนดว่า ยืนหนอ ช้า ๆ ๕ คร้ัง เร่ิม จากศีรษะลงมาปลายเท้า และจากปลายเท้าขึ้นไปบน ศีรษะกลับข้ึนกลับลงจนครบ ๕ คร้ัง แต่ละครั้งแบ่งเป็น สองช่วง ช่วงแรก คําว่ายืนกําหนดความรู้สึกตั้งแต่ศีรษะ ลงมาหยุดที่สะดือ คําว่า หนอ จากละดือลงไปปลายเท้า กําหนดขึ้น คําว่า ยืน จากปลายเท้ามาหยุดที่สะดือ คําว่า หนอ จากสะดือขึ้นไป ปลายผม กําหนด กลับไป กลับมา จนครบ ๕ คร้ัง ขณะน้ันให้สติ อยู่ท่ีร่างกาย อย่าให้ออกไปนอกกาย เสร็จแล้วลืมตาขึ้น ก้มหน้า ทอดสายตาไปข้างหน้าประมาณ ๔ ศอก สติจับอยู่ที่เท้า การเดิน
๓๒ กําหนดว่า ขวา ย่าง หนอ กําหนดในใจ คําว่า ขวา ต้องยกส้นเท้าขวาขึ้นจากพ้ืนประมาณ ๒ น้ิว เท้ากับใจนึกต้องให้พร้อมกัน ย่าง ต้องก้าว เท้าขวาไปข้างหน้าช้าที่สุดเท้ายังไม่เหยียบพ้ืน คําว่า หนอ เท้าลงถึงพ้ืนพร้อมกัน เวลายก เท้าซ้ายก็เหมือนกัน กําหนดว่า ซ้าย ย่าง หนอ คงปฏิบัติเช่นเดียวกันกับ ขวา ย่าง หนอ ระยะก้าวในการเดินห่างกันประมาณ ๑ คืบ เป็นอย่างมากเพ่ือการทรงตัวขณะก้าวจะ ได้ดีข้ึน เมื่อเดินสุดสถานท่ีใช้แล้ว ให้นําเท้า มาเคยี งกนั เงยหน้าหลบั ตา กําหนด ยืน หนอ ช้า ๆ อีก ๕ ครง้ั เหมอื นกับท่ไี ด้อธิบายมาแล้ว ลืมตา กม้ หน้า ทา่ กลบั การกลับกาํ หนดว่า กลับ หนอ ๔ ครงั้ คาํ วา่ กลบั หนอครั้งท่ีหนงึ่ ยกปลายเท้าขวา ใช้ สน้ เทา้ หมุนตัวไปทางขวา ๙๐ องศา ครงั้ ที่ ๒ ลากเท้าซ้ายมาตดิ กับเท้าขวา ครั้งท่ี ๓ ทําเหมือนคร้ังที่ หนึ่ง คร้ังท่ี ๔ ทําเหมือนคร้ังท่ี ๒ ขณะน้ีจะอยู่ในท่ากลับหลังแล้วต่อไปกําหนด ยืน หนอ ช้า ๆ อีก ๕ ครงั้ ลืมตากม้ หน้าแลว้ กาํ หนดเดินตอ่ ไป กระทาํ เช่นน้จี นหมดเวลาทีต่ อ้ งการ ๒. การนั่ง (to sit (flat on the haunches) cross-legged) กระทําต่อจากการเดิน จงกรมอย่าให้ขาดตอนลงเมื่อเดินจงกรมถึงท่ีจะนั่ง ให้กําหนด ยืน หนอ อีก ๕ ครั้ง ตามที่กระทํามาแล้วเสียก่อน แล้วกําหนดปล่อย มือลงข้างตัวว่าปล่อยมือหนอ ๆ ๆ ๆ ๆ ช้า ๆ จนกว่าจะลงสุด เวลาน่ัง ค่อย ๆ ย่อตัวลงพร้อมกับกําหนดตามอาการท่ีทําไปจริง ๆ เช่น ย่อตัว หนอ ๆๆๆ เท้าพื้นหนอ ๆๆๆ คุกเข่าหนอ ๆ ๆ ๆ น่ังหนอ ๆ ๆ ๆ เปน็ ตน้ อยา่ ให้สติขาดตอน วิธีน่ัง ให้นั่งขัดสมาธิ คือขาขวาทับขาซ้าย นั่งตัวตรง หลับตา เอาสติมาจับอยู่ที่สะดือท่ีท้องพองยุบ เวลาหายใจเข้าท้องพอง กําหนดว่า พอง หนอ ใจนึกกับท้องท่ีพองต้องให้ทันกัน อย่าให้ก่อน หรือหลังกัน หายใจออกท้องยุบ กําหนดว่า ยุบ หนอ ใจนึกกับท้องท่ี ยุบต้องทันกันอย่าให้ก่อนหรือหลังกัน ข้อสําคัญให้สติจับอยู่ท่ี พอง ยุบ เท่าน้ัน อย่าดูลมท่ีจมูก อย่า ตะเบ็งทอ้ ง ใหม้ ีความรู้สึกตามความเปน็ จริงว่า ท้องพองไปข้างหน้า ท้องยุบมาทางหลัง อย่าใหเ้ ห็นเป็นไป วา่ ทอ้ งพองขึ้นข้างบนท้องยบุ ลงข้างลา่ ง ใหก้ ําหนดเช่นนต้ี ลอดไป จนกว่าจะถงึ เวลาท่กี าํ หนด เมอ่ื มเี วทนา เวทนาเป็นเรือ่ งสาํ คัญทสี่ ุด จะต้องบังเกดิ ขึ้นกับผู้ปฏบัติแน่นอนจะตอ้ งมคี วาม อดทนเพอ่ื เป็นการสร้างขันติบารมไี ปดว้ ย ถา้ ผปู้ ฏิบัตขิ าดความอดทนเสยี แล้วการปฏบิ ัติวิปสั สนา กรรมฐานนน้ั กล็ ม้ เหลว ในขณะทนี่ ั่งหรอื เดินจงกรมอย่นู ั้น ถ้ามีเวทนาความเจ็บปวด เมือ่ ย คนั เกิดขนึ้ ใหห้ ยุดเดนิ หรือหยดุ กาํ หนดพองยบุ ใหเ้ อาสตไิ ปตง้ั ไว้ทีเ่ วทนาเกดิ และกาํ หนดไปตามความเป็นจรงิ ว่าปวดหนอ ๆ ๆ ๆ เจ็บหนอๆๆๆเมือ่ ยหนอ ๆ ๆ ๆ คันหนอ ๆ ๆ ๆ เปน็ ตน้ ให้กําหนดไปเรื่อย ๆ จนกวา่ เวทนาจะ หายไปเม่ือเวทนาหายไปแลว้ ก็ให้กาํ หนดน่ังหรอื เดิน ต่อไป จิต เวลาน่ังอยู่หรอื เดนิ อยู่ ถ้าจิตคดิ ถงึ บา้ น คดิ ถึงทรพั ยส์ ิน หรือคดิ ฟงุ้ ซ่านต่าง ๆ นานา กใ็ ห้เอาสติปักลงท่ลี ้นิ ปี่ พรอ้ มกับกําหนดว่า คิดหนอ ๆ ๆ ๆ ไปเรอ่ื ย ๆ จนกว่าจติ จะหยดุ คดิ แม้ดีใจ เสยี ใจ หรอื โกรธ ก็กําหนดเชน่ กนั วา่ ดใี จหนอ ๆ ๆ ๆ เสยี ใจหนอ ๆ ๆ ๆ โกรธหนอ ๆ ๆ ๆ เป็นตน้ เวลานอน เวลานอนค่อย ๆ เอนตวั นอนพรอ้ มกับกําหนดตามไปวา่ นอนหนอ ๆ ๆ ๆ
๓๓ จนกว่าจะนอนเรยี บร้อย ขณะนัน้ ให้เอาสติจับอยูก่ ับอาการเคลอื่ นไหวของรา่ งกาย เม่ือนอนเรยี บร้อยแล้ว ให้เอาสตจิ ับทที่ ้อง แล้วกาํ หนดวา่ พอง หนอ ยุบ หนอ ต่อไปเร่ือย ๆ ใหค้ อยสังเกตให้ดีว่าจะหลับไป ตอนพอง หรอื ตอนยุบ อิรยิ าบถต่าง ๆ การเดินไปในท่ีตา่ ง ๆ การเข้าหอ้ งนํ้า การเข้าห้องส้วม การรับประทาน- อาหาร และการกระทาํ กิจการงานท้ังปวง ผ้ปู ฏบิ ัตติ ้องมีสติกาํ หนดอย่ทู ุกขณะในอาการเหล่าน้ี ตาม ความเป็นจรงิ คือ มีสติ สมั ปชญั ญะ เปน็ ปัจจุบันอยตู่ ลอดเวลา หมายเหตุ การเดนิ จงกรมนนั้ เราทําการเดนิ ไดถ้ ึง ๖ ระยะ การเดินระยะตอ่ ไปน้นั จะตอ้ ง เดินระยะที่ ๑ ใหถ้ กู ตอ้ งคอื ไดป้ ัจจุบนั ทาํ จริง ๆ จึงจะเพมิ่ ระยะตอ่ ไปใหต้ ามผลของการปฏิบัติแต่ละ บคุ คล กาํ หนดเดินระยะตา่ ง ๆ ดังนี้ ทา่ เดิน ระยะท่ี ๑ ขวายา่ งหนอ ทา่ เดิน ระยะท่ี ๒ ยกหนอ เหยียบหนอ ท่าเดิน ระยะที่ ๓ ยกหนอ ยา่ งหนอ เหยยี บหนอ
๓๔ ท่าเดิน ระยะท่ี ๔ ยกสน้ หนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ ทา่ เดิน ระยะที่ ๕ ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ ถกู หนอ ท่าเดนิ ระยะที่ ๖ ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ ลงหนอ ถกู หนอ กดหนอ สรุปการกาํ หนดต่าง ๆ พอสงั เขป ดังนี้ ๑. ตาเหน็ รูป จะหลบั ตาหรอื ลืมตาก็แลว้ แต่ ใหต้ ัง้ สติไวท้ ่ตี า กาํ หนดว่า เหน็ หนอ ๆ ๆ ๆ ไปเร่ือย ๆ จนกวา่ จะรู้สกึ ว่าเห็นก็สกั แตว่ ่าเหน็ ละความพอใจและความไม่พอใจออกเสียได้ ถา้ หลบั ตาอยกู่ ็กาํ หนดไปจนกว่าภาพนัน้ จะหายไป ๒. หูได้ยินเสียง ให้ตัง้ สติไว้ที่หู กาํ หนดวา่ เสยี งหนอ ๆ ๆ ๆ หรอื ไดย้ นิ หนอ ๆ ๆ ๆ ไป เรือ่ ย ๆ จนกวา่ จะรสู้ ึกเสียงก็สกั แต่ว่าเสียง ละความพอใจและความไมพ่ อใจออกเสียได้ ๓. จมกู ไดก้ ลิ่น ต้ังสตไิ ว้ทีจ่ มกู กําหนดว่า กล่ินหนอ ๆ ๆ ๆ ไปเร่อื ย ๆ จนกวา่ จะรสู้ ึกวา่ กลนิ่ ก็สกั แตว่ า่ กลน่ิ ละความพอใจและความไมพ่ อใจออกเสยี ได้ ๔. ลน้ิ ได้รส ตง้ั สตไิ ว้ทลี่ ้ิน กาํ หนดวา่ รสหนอ ๆ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกวา่ จะรู้สึกวา่ รสกส็ ักแต่ วา่ รส ละความพอใจและความไมพ่ อใจออกเสยี ได้ ๕. การถูกตอ้ งสมั ผสั ตงั้ สตไิ วต้ รงทีส่ ัมผัส กาํ หนดตามความเป็นจรงิ ท่ีเกดิ ข้ึน ละความพอใจ และความไม่พอใจออกเสียได้
๓๕ ๖. ใจนึกคิดอารมณ์ ต้งั สตไิ วท้ ล่ี น้ิ ป่ี กําหนดวา่ คิดหนอ ๆ ๆ ๆ ไปเร่อื ย ๆ จนกวา่ ความนกึ คิดจะหายไป ๗. อาการบางอยา่ งเกิดขน้ึ กําหนดไม่ทัน หรอื กาํ หนดไมถ่ ูกว่าจะกาํ หนดอยา่ งไร ต้ังสติไวท้ ีล่ ้ิน ป่ี กาํ หนดวา่ ร้หู นอ ๆ ๆ ๆ ไปเรอ่ื ย ๆ จนกว่าอาการนั้นจะหาย การท่ีเรากาํ หนดจิต และต้ังสติไว้เชน่ น้ี เพราะเหตวุ ่าจติ ของเราอย่ใู ตบ้ งั คับของ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เชน่ ตาเหน็ รปู ชอบใจเปน็ โลภะ ไมช่ อบใจเปน็ โทสะ ขาดสตไิ มไ่ ด้ กําหนดเปน็ โมหะ หไู ดย้ ินเสยี ง จมกู ไดก้ ลนิ่ ลิ้นไดร้ ส กายถกู ต้องสมั ผัส ก็เชน่ เดียวกัน การปฏบิ ัติวปิ ัสสนากรรมฐาน โดยเอาสตเิ ขา้ ไปต้ังกาํ กบั ตามอายตนะน้ัน เมื่อปฏบิ ัติไดผ้ ล แก่กลา้ แล้ว กจ็ ะเขา้ ตดั ที่ตอ่ ของอายตนะต่าง ๆ เหล่านัน้ มใิ หต้ ิดตอ่ กนั ได้ คอื ว่าเมอ่ื เห็นรูปกส็ กั แตว่ ่า เหน็ เมอื่ ได้ยนิ เสียงก็สกั แตว่ า่ ไดย้ นิ ไม่ทาํ ความรู้สกึ นกึ คิดปรุงแตใ่ ห้เกิดความพอใจหรือความไมพ่ อใจใน สงิ่ ทปี่ รากฎให้เห็นและได้ยินนัน้ รูปและเสยี ง ทีไ่ ดเ้ ห็นและไดย้ ินนน้ั ก็จะดับไป เกิดและดบั อยู่ทีน่ นั้ เอง ไมไ่ หลเขา้ มาภายใน อกศุ ลธรรมความทกุ ขร์ ้อนใจทีค่ อยจะตดิ ตาม รปู เสยี ง และอายตนะภายนอกอนื่ ๆ เขา้ มากเ็ ข้าไมไ่ ด้ สตทิ เ่ี กดิ ขึน้ ขณะปฏบิ ัตวิ ิปสั สนากรรมฐานนนั้ นอกจากจะคอยสกดั กัน้ อกศุ ลธรรมและความ ทกุ ขร์ ้อนใจที่จะเขา้ มาทางอายตนะแลว้ สตเิ พง่ อยทู่ ี่ รูป นาม เม่อื เพ่งเลง็ อยูก่ ย็ อ่ มเหน็ ความเกดิ ดับของ รูป นาม น้ันจะนําไปสกู่ ารเหน็ พระไตรลกั ษณ์ คอื ความไมเ่ ทีย่ ง ความเปน็ ทกุ ข์ และความไม่มีตวั ตน ของสังขารหรอื อัตภาพอยา่ งแจ่มแจ้ง สตปิ ฎั ฐาน ๔ (Foundations of Mindfulness; setting up of mindfulness) มกั จะมีคําถามอย่เู สมอวา่ เราจะปฏิบัตธิ รรมในแนวไหน หรอื สํานักใดจงึ จะเป็นการถูกตอ้ ง และได้ผล คําถามเชน่ น้เี ป็นคําถามที่ถูกต้องและไม่ควรถกู ตําหนวิ า่ ชอบเลือกน่ันเลือกนี่ ทถ่ี ามกเ็ พื่อระวงั ไว้ไมใ่ หเ้ ดินทางผดิ ทางปฏิบัติท่ถี ูกตอ้ งคอื ปฏิบัติตามสติปัฎฐาน ๔ สตปิ ัฎฐาน ๔ แปลให้เขา้ ใจง่าย ๆ ก็คือฐานท่ีตงั้ ของสติ หรือ เหตุปจั จยั สาํ หรับปลกู สติให้ เกดิ ขึ้นในฐานทง้ั ๔ คอื ๑. กายานปุ สั สนาสตปิ ฎั ฐาน (contemplation of feelings; mindfulness as regards feelings) คือการพจิ ารณากายจําแนกโดยละเอยี ดมี ๑๔ อยา่ ง คือ ๑.๑ อัสสาสะ ปสั สาสะ คือลมหายใจเขา้ ออก ๑.๒ อิรยิ าบถ ๔ ยืน เดนิ นัง่ นอน ๑.๓ อริ ยิ าบถยอ่ ย การกา้ วไปข้างหนา้ ถอยไปทางหลงั คขู้ าเขา้ เหยยี ดขาออก งอแขนเขา้ เหยยี ดแขนออก การถา่ ยหนกั ถ่ายเบา การกิน การดื่ม การเคี้ยว ฯลฯ คือการ เคล่อื นไหวร่างกายต่าง ๆ ๑.๔ ความเป็นปฏกิ ูลของรา่ งกาย (อาการ ๓๒) ๑.๕ การกําหนดรา่ งกายเป็นธาตุ ๔ ๑.๖ ปา่ ช้า ๙ ๒. เวทนานปุ สั สนาสตปิ ัฎฐาน (contemplation of feelings; mindfulness as regards feelings) คอื การเจรญิ สตเิ อาเวทนาเป็นท่ีตง้ั เวทนาแปลว่าการเสวยอารมณ์มี ๓ อย่างคอื ๒.๑ สขุ เวทนา ๒.๒ ทุกขเวทนา ๒.๓ อุเบกขาเวทนา เมอ่ื เวทนาเกิดขึ้น กใ็ หส้ ตสิ มั ปชัญญะกาํ หนดไปตามความเปน็ จริงวา่ เวทนาน้ีเม่อื
๓๖ เกิดข้นึ ตั้งอยู่ ดับไป ไม่เทย่ี งแทแ้ นน่ อน เวทนากส็ กั แต่ว่าเวทนา ไมใ่ ชส่ ัตวบ์ ุคคลตัวตนเราเขา ไม่ยินดี ยินร้าย ตัณหากจ็ ะไม่เกิดขน้ึ และปล่อยวางเสียได้ เวทนาน้ีเมอ่ื เจรญิ ใหม้ าก ๆ เป็นไปอย่างสมบูรณ์แลว้ อาจทาํ ให้ทุกขเวทนาลดนอ้ ยลงหรอื ไม่มอี าการเลยก็เปน็ ได้อย่างท่เี รียกกนั ว่าสามารถแยก รูป นามออกจาก กนั ได้ (เวทนาอยา่ งละเอียด ๙ อย่าง) ๓. จิตตานปุ สั สนาสตปิ ฎั ฐาน (contemplation of mind; mindfulness as regards thoughts) ได้แก่ การปลกู สติโดยเอาจิตเปน็ อารมณห์ รอื เป็นฐาน ที่ตงั้ จิตนี้มี ๑๖ คอื ๓.๑ จติ มรี าคะ ๓.๒ จิตปราศจากราคะ ๓.๓ จติ มโี ทสะ ๓.๔ จติ ปราศจากโทสะ ๓.๕ จิตมโี มหะ ๓.๖ ปราศจากโมหะ ๓.๗ จิตหดหู่ ๓.๘ จติ ฟุ้งซ่าน ๓.๙ จติ ยงิ่ ใหญ่ (มหคั คตจติ ) ๓.๑๐ จติ ไมย่ ง่ิ ใหญ่ (อมหคั คตจิต) ๓.๑๑ จิตยิง่ (สอตุ ตรจติ ) ๓.๑๒ จิตไมย่ งิ่ (อนุตตรจิต) ๓.๑๓ จติ ตัง้ มน่ั ๓.๑๔ จิตไม่ตง้ั ม่นั ๓.๑๕ จิตหลดุ พน้ ๓.๑๖ จิตไม่หลุดพ้น การทําวิปสั สนาใหม้ ีสตพิ ิจารณากําหนดใหเ้ ห็นว่าจติ น้เี มอื่ เกิดข้ึน ตัง้ อย่ดู ับไป ไม่เที่ยง แทแ้ นน่ อนละความพอใจและความไมพ่ อใจออกเสยี ได้ ๔. ธมั มานปุ สั สนาสตปิ ฎั ฐาน (contemplation of mind-objects; mindfulness as regards ideas) คือมสี ตพิ ิจารณาธรรมทง้ั หลายท้ังปวง คือ ๔.๑ นวิ รณ์ (hindrances; obstacles) คือ รู้ชัดในขณะนัน้ วา่ นวิ รณ์ ๕ แต่ละอยา่ งมี อยูใ่ นใจหรอื ไม่ ท่ียงั ไม่เกิด เกดิ ขึน้ ไดอ้ ย่างไร ที่เกิดขึ้นแลว้ ละเสยี ไดอ้ ยา่ งไร ท่ีละไดแ้ ลว้ ไม่เกิดข้นึ อีก ตอ่ ไปอย่างไร ใหร้ ชู้ ดั ตามความเป็นจรงิ ทีเ่ ปน็ อยูใ่ นขณะนนั้ ๔.๒ ขันธ์ ๕ (the Five Aggregates) คอื กาํ หนดรู้วา่ ขนั ธ์ ๕ แตล่ ะอย่างคืออะไร เกิดขน้ึ ได้อย่างไร ดบั ไปได้อย่างไร ๔.๓ อายตนะ (the Twelve Spheres) คอื รูช้ ดั ในอายตนะภายในภายนอกแต่ละ อย่าง รชู้ ดั ในสงั โยชนท์ ่เี กิดข้ึนเพราะอาศยั อายตนะน้ัน ๆ รู้ชัดว่าสงั โยชน์ท่ียังไมเ่ กดิ เกิดข้ึนได้อยา่ งไร ทเ่ี กิดขน้ึ แลว้ ละเสยี ไดอ้ ย่างไร ๔.๔ โพชฌงค์ (Constituents (or Factors) of Enlightenment; wisdom-factors) คอื รูช้ ดั ในขณะนัน้ ว่า โพชฌงค์ ๗ แต่ละอยา่ งมอี ย่ใู นใจตนหรอื ไมท่ ี่ยงั ไม่เกิด เกดิ ขึ้นได้อยา่ งไร ที่เกดิ ข้นึ แลว้ เจริญเติมบรบิ รู ณไ์ ดอ้ ย่างไร ทเ่ี กิดข้ึนแล้วเจริญเตม็ บริบรู ณไ์ ดอ้ ยา่ งไร ๔.๕ อรยิ สัจ ๔ (the Four Noble Truths) คือ รชู้ ดั อรยิ สัจ ๔ แตล่ ะอยา่ งตามความ เป็นจรงิ ว่าคืออะไร สรปุ ธมั มานุปสั สนาสตปิ ัฎฐาน น้ี คอื จติ ที่คิดเปน็ กศุ ล อกศุ ล และอัพยากฤต เท่านนั้ ผ้ปู ฏิบตั สิ ติปฎั ฐาน ๔ ตอ้ งทําความเขา้ ใจอารมณ์ ๔ ประการใหถ้ กู ตอ้ ง คอื ๑. กาย ทว่ั ร่างกายน้ไี มม่ อี ะไรสวยงามแมแ้ ตส่ ่วนเดยี ว ควรละความพอใจและความ ไม่พอใจออกเสยี ได้ ๒. เวทนา สขุ ทุกข์ และไมส่ ุขไมท่ กุ ขน์ น้ั แท้จริงแลว้ มแี ตท่ ุกข์ แมเ้ ป็นสขุ ก็เพยี งปิดบัง ความทกุ ขไ์ ว้ ๓. จิต คอื ความคดิ นึก เปน็ ส่ิงท่เี ปลี่ยนแปลงแปรผนั ไมเ่ ทย่ี งไมค่ งทน
๓๗ ๔. ธรรม คือ อารมณท์ เ่ี กิดกบั จิต อาศยั เหตุปจั จัยเกดิ ข้นึ เมื่อเหตุปจั จยั ดับไป อารมณ์นนั้ ก็ดับไปด้วย ไม่มสี ิ่งเปน็ อัตตาใด ๆ เลย ภาพแสดงสตปิ ัฎฐาน ๔ สติปัฎฐาน ๔ ท้งั ๔ ข้อ มีการเกยี่ วโยงกันตลอด ผปู้ ฏบิ ัติชาํ นาญแลว้ จะปฏบิ ตั ขิ ้อใดขอ้ หน่ึงก็ได้ เพราะทุกขอ้ เม่ือปฏบิ ตั ิแล้วกส็ ามารถรู้ รูป นาม เกดิ ดบั เหน็ ไตรลกั ษณด์ ้วยกันทงั้ ส้นิ กาย ธรรม ปญั ญา เวทนา จติ อานิสงสใ์ นการเดินจงกรม ๑. อดทนตอ่ การเดินทางไกล ๒. อดทนต่อการทาํ ความเพียร ๓. มอี าพาธนอ้ ย ๔. ยอ่ ยอาหารได้ดี ๕. สมาธทิ ไ่ี ด้ขณะเดนิ ต้งั อย่ไู ดน้ าน
๓๘ ศาสนพิธเี บอ้ื งตน้ (Ordinances) ............................................................................................................................. สาระการเรียนรู้ ๑. การไหว้ ๒. การกราบ ๓. การจดุ ธปู เทียนบชู าพระ ๔. สญั ลกั ษณ์แหง่ การบูชา ๕. การจุดธูป การตั้งโต๊ะหมู่บูชา การวงดา้ ยสายสิญจน์ ๖. การอัญเชิญพระพทุ ธรปู การกรวดน้ํา และการนิมนต์พระสงฆม์ าเจรญิ พระพุทธมนต์ ๗. การไหวพ้ ระสวดมนต์ (ตามแบบธรรมเนียมทหาร) วัตถุประสงค์ เม่อื ศกึ ษาบทเรียนนจี้ บแล้ว ผู้เข้ารบั การศึกษาสามารถ ๑. อธบิ ายการไหวบ้ ุคคลระดับตา่ ง ๆ ได้ ๒. อธิบายการกราบบุคคลระดบั ต่าง ๆ ได้ ๓. อธิบายวิธกี ารจุดธูปเทียนบูชาพระได้ ๔. อธิบายสัญลกั ษณแ์ ห่งการบชู าในศาสนพิธีได้ ๕. อธบิ ายการจดุ ธปู การตัง้ โต๊ะหมู่บชู า การวงดา้ ยสายสิญจน์ได้ ๖. อธบิ ายการอัญเชญิ พระพุทธรปู การกรวดน้ํา และการนิมนต์พระสงฆม์ าเจริญพระพทุ ธมนตไ์ ด้ ๗. อธิบายข้นั ตอนการไหว้พระสวดมนต์ (ตามแบบธรรมเนยี มทหาร)ได้ กิจกรรมระหวา่ งเรียน ๑. บรรยาย ๒. สอบถาม ๓. ใบงาน ส่ือการสอน ๑. เพาเวอรพ์ อยท์ ๒. เอกสารตํารา ๓. คลิปวีดิโอท่ีเกี่ยวขอ้ ง ประเมินผล ๑. ให้ตอบคาํ ถาม ๒. แบบทดสอบหลังเรียน
๓๙ ๑. การไหว้ ๑.๑ การไหวพ้ ระ - ยกมือท้ังสองพนมอยู่ระดับอก แล้วยกมือท่ีพนมนั้นข้ึนจรดหน้าผาก โดยให้ ปลายน้วิ หวั แม่มือ ท้งั สองจรดระหวา่ งคิ้ว นอ้ มศรี ษะลงพองาม เหตุผล : การเคารพผู้ท่ีเรานับถืออย่างสูงสุด ควรพนมมือให้อยู่ระดับ สูงสุดของใบหน้าและ นอบน้อมเคารพด้วยเศยี รเกลา้ ๑.๒ การไหวบ้ ดิ ามารดา ปยู่ า่ ตายาย - ยกมือที่พนมอยู่ข้ึน ให้ปลายนิ้วหัวแม่มือจรดปลายจมูก น้อมศีรษะลง พองาม เหตุผล : การเคารพผู้ท่ีให้ชีวิต ให้ลมหายใจแก่เรา จึงพนมมือไว้เหนือ จมูกและนอ้ มราํ ลึกถงึ พระคุณดว้ ยเศียรเกลา้ ๑.๓ การไหว้ผู้ทเี่ ราเคารพนบั ถือทว่ั ไป หรือผทู้ ่ีมีอายุมากกวา่ ตน - ยกมือท่ีพนมอยู่ให้ปลายน้ิวหัวแม่มือจรดปลายคาง น้อมศีรษะลง พองาม เหตุผล : การเคารพผูท้ ีม่ อี าวโุ สมากกว่าอย่ใู นร่นุ คราวพี่ ซ่งึ ถือว่า เป็นแบบอย่างในการทํามาหาเล้ียงชีพ จึงพนมมือไว้ระดับของปาก และน้อม รบั มาเปน็ แบบอย่างการดํารงชวี ิต ๑.๔ การไหว้ (การรับไหว)้ ผู้เสมอกนั หรือผนู้ อ้ ยกว่า - ยกมอื พนมข้นึ เสมออก ให้ปลายนว้ิ ชีจ้ รดปลายคาง ไมต่ อ้ งนอ้ มศีรษะ เหตุผล : คนเสมอกันและเพ่ือนมนุษย์ ควรมีนํ้าใจเมตตาเอื้อเฟื้อเก้ือกูลกัน จงึ พนมไวใ้ นระดบั อก หมายถึงจติ ใจ หมายเหตุ การไหว้นั้น จะนั่งพับเพียบไหว้หรือยืนไหว้ก็ได้ ผู้ชายถ้ายืนต้อง ให้เท้าท้ังสองชิดกัน ในลักษณะยืนตรง ผู้หญิงถ้ายืนให้สืบเท้าข้างหน่ึงไปข้างหลัง เล็กนอ้ ย พรอ้ มทง้ั นอ้ มตัวไหว้สําหรับการไหว้ผู้อาวุโสกวา่ ข้นึ ไป ๒. การกราบ ๒.๑ การกราบพระ - กราบศพพระ - กราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครั้ง หมายถึงให้อวัยวะ ๕ ส่วนจรดถึงพ้ืน คือ เข่า ๒ มือ ๒ หน้าผาก ๑ ท่าเตรียม ผ้ชู าย นัง่ คกุ เขา่ บนส้นเท้า ปลายเทา้ ต้ัง ผู้หญิง นงั่ ทับฝา่ เท้า ปลายเท้าราบ
๔๐ จังหวะ ๑ (อัญชล)ี ยกมอื ท้ังสองขึ้นพนมเสมออก ปลายนวิ้ เบนออกประมาณ ๔๕ องศา จังหวะ ๒ (วนั ทา) ยกมอื ทพี่ นมน้ันขน้ึ จรดหน้าผาก ใหห้ ัวแม่มือทัง้ สองจรดระหว่างค้วิ จังหวะ ๓ (อภวิ าท) กราบลงกับพน้ื แบมือควาํ่ ใหฝ้ า่ มือทงั้ สองห่างกนั พอศรี ษะจรดพน้ื ได้ (ผู้ชายใหข้ อ้ ศอกต่อหวั เขา่ ผ้หู ญิงให้ขอ้ ศอกคร่อมเข่า) ๒.๒ กราบคน - กราบศพคน (กราบมือตงั้ ครั้งเดยี ว) จังหวะ ๑ นั่งพับเพียบพนมมือไหว้ขึ้น ให้หัวแม่มือจรดปลายจมูก (กรณีผู้ตายอาวุโสกว่า) ให้หัว แมม่ ือจรดปลายคาง (กรณผี ตู้ ายอาวุโสเทา่ กันหรอื รนุ่ ราวคราวเดียวกัน) จังหวะ ๒ กราบ หมอบกราบคร้ังเดียวโดยใหม้ อื ทพี่ นมนัน้ ต้งั กับพ้ืน หน้าผากจรดสนั มอื ๓. การจุดธปู เทยี นบูชาพระ - จดุ เทียนเล่มทางขวาของพระพทุ ธกอ่ น แล้วจงึ จดุ เทียนเล่มทางซ้ายของพระพุทธ - จุดธูป ๓ ดอก โดยจุดดอกทางขวาของพระพทุ ธ ไปทางซา้ ยตามลาํ ดับ - เสร็จแลว้ กราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ๓ ครง้ั ๔. สญั ลกั ษณแ์ หง่ การบูชา เทียน เป็นสญั ลกั ษณแ์ หง่ การบูชาพระธรรมและพระวินัย เปรียบเทียบวา่ เทยี นเปน็ แสงสวา่ ง
๔๑ ส่องทาง พระธรรมใหค้ วามสว่างแก่จิตใจ ธูป เป็นสัญลักษณ์แห่งการบูชาพระคุณของพระพุทธเจ้า ผู้ทรงพระคุณ ๓ ประการ คือ พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ เปรียบเทียบว่า ธูปมีกล่ินหอม เม่ือหมดดอก ความหอมจะส้ินไป แต่ความหอมของพระพทุ ธคณุ มมิ ีวันหายไป ดอกไม้ เปน็ สัญลักษณ์แหง่ การบูชาพระสงฆ์ เปรียบเทยี บว่า ดอกไมจ้ ดั เปน็ ระเบียบแลว้ ดูสวยงาม พระสงฆอ์ ย่ใู นระเบียบวินยั ปฏิบัติดี ปฏบิ ตั ิชอบ ยอ่ มสวยงามมีคณุ ค่า ๕. การจดุ ธปู จุด ๑ ดอก : บชู าศพ จุด ๓ ดอก : บชู าพระรัตนตรยั - บูชาพระคุณของพระพุทธเจ้าท้ัง ๓ ประการ จุด ๕ ดอก : บูชาปูชนียบุคคลทั้งห้าคือ บูชาพระรัตนตรัย ๓ ดอก, บูชาบิดามารดา ๑ ดอก, บูชาครูอาจารย์ ๑ ดอก หรือบูชาพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกสั สปะ พระโคตมะ และพระศรีอรยิ เมตไตรย จดุ ๗ ดอก : บูชาองคแ์ หง่ ธรรมเป็นเครอื่ งตรสั ร้ขู องพระพทุ ธเจา้ ๗ ประการ ทเี่ รยี กว่า โพชฌงค์ ๗ หรอื บูชาวนั ท้ัง ๗ คือ อาทิตย์ - เสาร์ จุด ๙ ดอก : บชู าพระพทุ ธคุณโดยพสิ ดาร ๙ ประการ บชู าพระภมู เิ จ้าที่ท้ัง ๙ พระองค์ ๖. การตง้ั โตะ๊ หมูบ่ ูชา - ต้งั หันหน้าโตะ๊ ออกมาทางเดียวกบั พระสงฆ์ ต้งั ทางด้านขวาของแถวพระสงฆ์หรืออาสน์สงฆ์ - นิยมตง้ั หนั หนา้ ไปทางทศิ ตะวันออก ทศิ เหนือ และทิศใตต้ ามลาํ ดบั ไม่นยิ มหนั ไปทางทิศตะวันตก การต้ังโตะ๊ หมบู่ ชู าตามแบบราชการทหาร (คําส่ัง ทบ.ที่ ๒/๒๕๕๗ ลง ๖ ม.ค. ๕๗) และทศิ ทางการตั้งตามตัวหนงั สือสีนํา้ เงนิ ๗. การวงด้ายสายสิญจน์ - ให้เริ่มต้นที่โต๊ะหมู่บูชาแล้วเวียนออกไปที่รั้วบ้าน หรือตัวบ้าน เวียนขวาแบบเลข ๑ ไทย เม่ือ วงรอบแล้วมาวงเวียนขวาที่ฐานพระพุทธรูป แล้วมาวงเวียนที่บาตรนํ้ามนต์ เสร็จแล้วหาพานรองรับซ่ึง ตั้งไว้ใกลบ้ าตรนํา้ มนต์ เสร็จแล้วหาพานรองรบั ตั้งไว้ใกล้บาตรนํา้ มนต์ - ควรโยงหลบปอ้ งกันมิให้มีการเดินข้าม หากมีความจําเป็นจะต้องผ่านด้ายสายสิญจน์ อย่าข้าม ดา้ ย ใหส้ อดมอื ยกสายสิญจนข์ น้ึ แล้วก้มศรี ษะผ่านลอดไป
๔๒ ๘. การอัญเชญิ พระพทุ ธรปู มาตง้ั บนโต๊ะหมู่บชู า - ควรทําเม่ือใกล้เวลาจะประกอบพิธี - พระพทุ ธรูปนั้นควรใหญ่พอสมควร ไมใ่ ชพ่ ระเคร่ือง ซง่ึ เล็กเกินไป - ถ้ามคี รอบ ควรเอาที่ครอบออก หากมัวหมองด้วยธลุ ี ควรเช็ดให้สะอาด หรือสรงนาํ้ เสยี ก่อน - อัญเชิญโดยยกทฐี่ านพระให้สงู ระดับอกดว้ ยอาการเคารพ ห้ามจบั ทีพ่ ระศอ (คอ) หรอื พระพาหา (แขน) ในลักษณะหว้ิ ของ ซง่ึ เปน็ อาการที่ไมเ่ คารพ - ตงั้ บนโตะ๊ หมบู่ ูชาตัวท่สี ูงที่สดุ - ควรอัญเชิญกลบั ไปไว้ทีเ่ ดิมเม่อื เสร็จพิธี ๙. การกรวดน้ํา - นํ้าที่ใช้กรวดควรเป็นนํ้าบริสุทธ์ิ และใช้ภาชนะสําหรับ กรวดน้าํ โดยเฉพาะ ถ้าหาไม่ได้จะใชแ้ ก้วน้าํ หรอื ขนั กไ็ ด้ - เร่ิมกรวด เม่ือประธานสงฆ์เร่ิมสวดว่า ยะถา วาริวะหา...... โดยจบั ภาชนะสาํ หรบั กรวดด้วยมอื ทงั้ สอง แลว้ รนิ นํ้าใหไ้ หลลงเป็นสายตอ่ เนื่อง ขณะกรวดน้ํา ควรสํารวม ใจอทุ ิศส่วนกศุ ลแกผ่ ู้ลว่ งลบั วา่ “อิทงั เม ญาตีนงั โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย” - เมือ่ ประธานสงฆ์สวดจบบท ยถา (มณโิ ชตริ โส ยะถา) ใหเ้ ทน้ํากรวดลงในภาชนะรองรับ ใหห้ มด แลว้ ประนมมือรับพรจนจบ - เมื่อพระสงฆ์อนุโมทนาจบ นํานํ้าที่กรวดแล้วนั้นไปเทลงบนพื้นดินนอกอาคาร หรือท่ีโคน ตน้ ไม้ อยา่ เทลงกระโถนหรอื ใตถ้ นุ บ้านหรือในทส่ี กปรก ๑๐. การนิมนตพ์ ระสงฆม์ าเจริญพระพทุ ธมนต์ - นิยมนมิ นตไ์ ม่ต่ํากว่า ๕ รปู จะเป็น ๗ รูป หรือ ๙ รปู กไ็ ด้ ไม่นิยมพระจํานวนคู่ เว้นแต่งานมงคล สมรส มักนิมนต์พระจาํ นวนคู่ จดุ มงุ่ หมาย เพื่อให้เจา้ บ่าวเจา้ สาวนิมนตพ์ ระมาจํานวนเทา่ ๆ กัน - พิธหี ลวงหรือพธิ ที ่ีมีความเกย่ี วขอ้ งดว้ ยอดีตพระมหากษัตริย์ หรือพิธที ี่พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จ ฯ เป็นองค์ประธาน หรือกรณีมีผู้แทน พระองค์ไปเปน็ ประธาน นมิ นตพ์ ระ ๑๐ รูป (รวมทงั้ กรณีทีม่ กี ารทกั ษิณานุประทาน) - ตอ้ งแจง้ วันเวลา สถานท่ี จํานวนพระสงฆ์ การรับ-สง่ และพธิ ที ่ีจะกระทาํ เพราะบทสวดมนต์ จะมีเพ่ิมเตมิ ตามโอกาสทที่ าํ บญุ ไม่เหมือนกนั - การนิมนต์พระเพ่ือฉันหรือรับบิณฑบาต อย่าระบุชื่ออาหาร ๕ ชนิด คือ ข้าวสุก ขนมสด ขนม แหง้ ปลา เน้ือ สรปุ แลว้ ระบุไมไ่ ดท้ ุกชนดิ ให้ใชค้ ํารวมว่า “นิมนต์ฉันเชา้ นมิ นตฉ์ นั เพล หรอื นิมนตร์ บั อาหารบณิ ฑบาตเชา้ - เพล” ก็พอ ๑๑.การไหวพ้ ระสวดมนต์ พทุ ธศาสนิกหรอื พทุ ธมามกชน ควรไหวพ้ ระสวดมนตเ์ ป็นประจํา จะเปน็ ก่อนเข้านอนหรือตื่นนอน ตอนเช้าก็ได้ หรือท้ังสองเวลายิ่งดี การไหว้พระสวดมนต์เป็นการสงบใจได้ดี ทําให้จิตใจม่ันคง เป็นสุข เปน็ สริ มิ งคลแก่ตวั เอง เพราะการไหว้พระคือการไหว้พระรัตนตรัย แสดงความเคารพอ่อนน้อมด้วยดวงใจ ที่เต็มไปด้วยความเคารพนบั ถือ การเคารพบชู าคนดี เป็นการฝกึ จติ ใจใหร้ ักความดี พยายามเจรญิ รอยตาม
๔๓ คนดี แม้จะยังทําไม่ได้ก็ยกย่องนับถือบูชาคนดี เป็นการยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ส่วนการสวดมนต์คือการ กล่าวข้อธรรมะ เป็นการควบคุมจิตใจให้ระลึกถึงพระธรรมคําสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และฝึกจิตให้มี ความรกั ใคร่เมตตาในคนและสตั ว์ทุกชนดิ เปน็ อบุ ายทาํ ใจให้สงบสขุ วิธีไหว้พระสวดมนต์ และบทไหว้พระสวดมนต์นั้น มีหลายแบบตามมติของอาจารย์ต่างๆ แต่มี หลักทั่วไปตรงกันคือ จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยเสียก่อน (ถ้าไม่สามารถหาได้ก็ไม่ต้องใช้)กล่าวคํา นมสั การแลว้ จึงเร่มิ สวดมนต์ต่อไป ตอนทา้ ยแผ่เมตตาไปยังคนทกุ คนและสัตวท์ ุกประเภท ในทน่ี ้จี ะนําแบบไหว้พระสวดมนต์มาเสนอ เพือ่ ถอื ปฏิบตั ิรวม ๒ แบบ คอื ๑. แบบไหว้พระ ๕ คร้ัง ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) อดีตเจ้าอาวาสวัด เทพศริ นิ ทราวาส เหมาะสาํ หรับปฏิบัติสว่ นตัว ๒. ระเบียบไหว้พระสวดมนต์ที่ใช้ในราชการทหารในฐานะที่เป็นนักเรียนทหาร จะต้องปฏิบัตแิ ละฝกึ สอนพลทหารต่อไป ๑. แบบไหวพ้ ระ ๕ คร้งั ในวนั หนึ่งกับคืนหนึง่ ไมว่ า่ เวลาใด ตามแตจ่ ะเหมาะ ต้องไหวใ้ หไ้ ด้ ๕ ครง้ั เป็น อย่างนอ้ ยในคราวเดียวกัน ถ้ามดี อกไมธ้ ูปเทียนกบ็ ชู า ถา้ ไม่มกี ็มอื ๑๐ น้ิว และปากกบั ใจควรไหวต้ ลอด ชีวิต คอื คร้งั ที่ ๑ พึงนงั่ กระหย่งเท้าประนมมือว่า นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสัมพทุ ธสั สะ ๓ หน แล้ววา่ พระพุทธคุณ คอื อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพทุ โธ วิชชาจะระณะสมั ปนั โน สคุ ะโต โลกวทิ ู อนตุ ตะโร ปรุ สิ ะทมั มะสารถิ สตั ถา เทวมนสุ สานงั พทุ โธ ภะคะวาติ หยุดระลกึ ถงึ พระปญั ญาคณุ ทรงร้ดู รี ้ชู อบสิน้ เชิง พระบริสุทธคิ ณุ ทรงละความเศรา้ หมองได้หมด พระกรุณาคณุ ทรงสงสารผอู้ ่นื และสั่งสอนใหป้ ฏบิ ตั ติ ามของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้ว กราบลงหนหนง่ึ ครงั้ ที่ ๒ วา่ พระธรรมคณุ คอื สะหวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม สันทฏิ ฐโิ ก อะกาลิโก เอหปิ สั สิโก โอปะนะยิโก ปจั จตั ตงั เวทติ พั โพ วญิ ญหู ตี ิ หยดุ ระลกึ ถงึ คุณพระธรรมท่รี ักษาผู้ปฏบิ ตั ิ ไมใ่ ห้ตกไปในทชี่ ่วั จนเห็นชดั แล้วกราบลงหนหน่ึง ครง้ั ที่ ๓ ว่าพระสงั ฆคณุ คือ สุปะฏิปนั โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปฏิปันโน ภะคะวะ โต สาวะกะสังโฆ ญายะปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะ กะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลิกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสสาติ หยุดระลึกถึงความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบ ของพระอริยสงฆ์ จน เห็นชัดแล้วกราบลงหนหน่ึง นั่งพับเพียบประนมมือต้ังใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ไม่ถึงสิ่งอ่ืนย่ิง กวา่ จนตลอดชีวติ ว่าสรณคมน์ คอื พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธมั มัง สะระณัง คจั ฉามิ สงั ฆัง สะระณัง คจั ฉามิ ทุติยมั ปิ พทุ ธงั สะระณงั คจั ฉามิ ทตุ ิยมั ปิ ธมั มัง สะระณงั คัจฉามิ ทุติยัมปิ สงั ฆงั สะระณัง คัจฉามิ ตะตยิ มั ปิ พุทธงั สะระณัง คัจฉามิ ตะตยิ ัมปิ ธมั มัง สะระณัง คจั ฉามิ ตะตยิ ัมปิ สังฆงั สะระณัง คัจฉามิ ครั้งท่ี ๔ ระลกึ ถงึ คณุ ของมารดาบิดาของตนจนเหน็ ชดั แลว้ กราบลงหนหนงึ่ ครงั้ ที่ ๕ ระลกึ ถึงคุณของบรรดาท่านผูม้ ีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริยแ์ ละครบู า
๔๔ อาจารย์เปน็ ต้นไป จนเหน็ ชดั แลว้ กราบลงหนหน่ึง ต่อน้ีไปไม่ต้องประนมมอื ตั้งใจพิจารณาเรอ่ื งและรา่ งกายของตนวา่ จะต้องแก่ หนีความแกไ่ ปไม่ พ้น จะตอ้ งเจ็บ หนคี วามเจบ็ ไปไม่พน้ จะตอ้ งตาย หนีความตายไปไม่พน้ จะต้องพลดั พรากจากของ รักของชอบใจทงั้ สน้ิ มกี รรมเปน็ ของตัว คอื ทําดีได้ดี ทําช่ัว ได้ชว่ั เป็นอนจิ จังไม่เทยี่ งไม่แน่นอน เป็นทุกข์ ลาํ บากเดือดรอ้ น เปน็ อนตั ตา ไมอ่ ยใู่ นอํานาจบงั คับบัญชาของตน ครั้นพจิ ารณาแล้ว พงึ แผก่ ศุ ลท้งั ปวง มกี ารกราบไหว้เป็นต้นนี้ อทุ ิศใหแ้ กท่ า่ นผมู้ ีคณุ มีมารดาบดิ าเป็นตน้ ตลอดจนชัน้ สงู สุด คือพระมหากษตั รยิ ์ ทง้ั เทพดามนษุ ย์และสตั ว์ทั้งหลายว่า จงเปน็ สขุ ๆ อย่ามีเวรมีภยั เบยี ดเบียนกันและ กันรกั ษาตนใหพ้ น้ จากทกุ ขภ์ ยั ท้ังส้นิ เถิด การไหวพ้ ระ ๕ ครัง้ น้ี ถา้ วันไหนขาด ให้ไหวใ้ ช้หน้ี ๕ ครง้ั ในวนั รุ่งขนึ้ ถา้ น่งั กระหย่งเทา้ ไม่ได้ น่งั พับเพียบ ถ้านงั่ ไม่ได้ ก็นอนไหว้ เม่ือยกมอื ไม่ขึ้น กป็ ากกบั ใจกท็ ําไดอ้ ย่างนี้ เปน็ เคร่ืองพยุง ตนให้เปน็ คนดีไม่ไดเ้ ปน็ คนช่วั และให้ต้งั อยู่ในทดี่ ี ไมใ่ หต้ กไปในท่ชี ่ัว ถา้ ผ้ใู ดประพฤติจนตลอดชีวิต ผนู้ ้ัน จะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มคี วามเจรญิ งอกงามไพบลู ยย์ งิ่ ๆ ขึ้นเสมอทกุ คืน ทกุ วัน คุม้ ครองปอ้ งกัน ภยนั ตรายปราศจากความเสยี หายทไี่ มเ่ หลอื วิสัย และตง้ั ตัวไดใ้ นทางคดโี ลกและทางศีลธรรมเต็มภมู ิเตม็ ข้ัน ของตนทุกประการ ๒.ระเบียบไหว้พระสวดมนต์ (ตามแบบธรรมเนียมทหาร) บทกราบพระ (นัง่ คุกเข่าประนมมือว่า) อะระหัง สมั มาสัมพทุ โธ ภะคะวา, พทุ ธัง ภะคะวนั ตัง อะภิวาเทมิ ฯ (กราบ) สะ(ห)วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธมั มงั นะมัสสามิ ฯ (กราบ) สปุ ฏปิ นั โน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สงั ฆงั นะมามิ ฯ (กราบ) บท นะโม (ยนื ประนมมอื สวดจนจบสงั ฆคุณ) นโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มาสมั พทุ ธสั สะ นโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสมั พทุ ธสั สะ นโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพทุ ธสั สะ บทเจรญิ พระพทุ ธคณุ อิตปิ ิ โส ภะคะวา อะระหงั สัมมาสมั พทุ โธ วชิ ชาจะระณะสมั ปนั โน สคุ ะโต โลกวทิ ู อนุตตะโร ปรุ สิ ะทัมมะสาระถิ สตั ถา เทวะมะนสุ สานัง พทุ โธ ภะคะวาติ ฯ บทระลกึ ถงึ พระพทุ ธคณุ พระพุทธเจ้า ทรงรดู้ รี ชู้ อบไดเ้ อง ทรงบริสทุ ธิ์สิ้นเชงิ ทรงสงสารส่งั สอนผอู้ ืน่ ใหร้ ู้ดรี ู้ชอบด้วย ข้าพเจา้ ถึงพระพทุ ธเจ้า เปน็ ที่พง่ึ ตลอดชีวิต ไม่มีท่ีพึ่งอื่นจะย่ิงกว่า ฯ บทเจรญิ พระธรรมคณุ สะ (ห) วากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม สันทฏิ ฐิโก อะกาลโิ ก เอหปิ สั สโิ ก โอปะนะยโิ ก ปจั จตั ตัง เวทติ พั โพ วญิ ญหู ตี ิ ฯ
Search