48 4. ผอู้ ย่ใู นพืน้ ทแ่ี หลง่ ไขม้ าลาเรยี ระบาดควรปลกู ต้นตะไคร้หอมไว้กันยุง 5. ถ้าสงสัยว่าเป็นไข้มาลาเรีย ควรไปรับการตรวจเลือด และรับการรักษาเพื่อป้องกันการแพร่ต่อไปยัง ผอู้ ืน่ กำรรักษำ เน่ืองจากในปจั จบุ ันพบเชอื้ มาลาเรยี ทดี่ ้อื ต่อยา และอาจมีโรคแทรกซ้อนร้ายแรง (เช่น มาลาเรียข้ึนสมอง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาหรบั ผู้ที่อย่ใู นเมือง ซึ่งไมม่ ภี ูมติ า้ นทานโรคนี้ 3. โรคไข้หวัดนก เดิมเช้ือไข้หวัดนกเป็นเชื้อไวรัสโดยธรรมชาติจะติดต่อในนกเท่านั้น โดยเฉพาะนกป่า นกเป็ดน้า จะเป็น พาหะของโรค เช้ือจะอยู่ในลาไส้นก โดยที่ตัวนกไม่มีอาการ แต่เมื่อนกเหล่านี้อพยพไปตามแหล่งต่าง ๆ ท่ัวโลก ก็ จะนาเชอื้ น้ันไปด้วย เม่อื สตั ว์อื่น เช่น ไก่ เป็ด หมู หรือสัตว์เลี้ยงอ่ืน ๆ ได้รับเชื้อไข้หวัดนกก็จะเกิดอาการ 2 แบบ คือ 1. หากได้รับเชือ้ ชนดิ ไม่รนุ แรงสตั วเ์ ลี้ยงนั้นอาจจะมีอาการไม่มากและหายได้เอง 2. หากเชื้อทไี่ ด้รับมอี าการรุนแรงมากกจ็ ะทาให้สตั วเ์ ลยี้ งตายไดภ้ ายใน 2 วนั สำเหตุ เกิดจากเช้ือไวรัสชนิดเอ็ชไฟว์เอ็นวัน (H5N1) พบในนก ซ่ึงเป็นแหล่งเชื้อโรคในธรรมชาติ โรคอาจแพร่ มายังสัตวป์ ีกตา่ ง ๆ ได้ เชน่ ไกท่ เ่ี ล้ยี งอยใู่ นฟาร์ม เลยี้ งตามบ้านและไก่ชน รวมทงั้ เป็ดไล่ทุ่งด้วย อำกำร ผู้ป่วยมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย เจ็บคอ ไอ ผู้ป่วยเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ท่ีมีโรคประจาตัว หากมีภูมิคุ้มกันไม่ดี อาจมีอาการรุนแรงได้ โดยจะมีอาการหอบ หายใจลาบาก เนื่องจากปอดอักเสบรนุ แรง กำรติดตอ่ โดยการสมั ผัสซากสตั วป์ กี ท่ปี ่วยหรือตาย เช้ือที่อยู่ในน้ามูก น้าลาย และมูลสัตว์ป่วยอาจติดมากับมือและ เข้าสู่ร่างกายทางเย่ือบุของจมูกและตา ผู้ที่เสี่ยงต่อโรคไข้หวัดนก ได้แก่ ผู้ท่ีทางานในฟาร์มสัตว์ปีก ผู้ที่ฆ่าหรือ ชาแหละสัตว์ปีก ผเู้ ลยี้ งสตั วป์ ีกในพื้นทท่ี เ่ี กดิ โรคไขห้ วดั นกระบาด กำรป้องกัน 1. รับประทานอาหารประเภทไก่และไข่ทปี่ รุงสุกเท่าน้ัน โดยเฉพาะชว่ งท่มี กี ารระบาดของโรค 2. ควรเลอื กซือ้ ไกส่ ดท่ีไมม่ ีลักษณะบ่งช้วี ่าอาจตายดว้ ยโรคตดิ เช้อื 3. ไม่เลน่ คลุกคลีหรือสมั ผัสตัวสตั ว์ น้ามูก นา้ ลาย มูลของไกแ่ ละสตั วป์ ีก 4. อาบน้าให้สะอาดและเปลีย่ นเสื้อผา้ ทกุ ครัง้ หลงั สัมผสั หรอื คลุกคลกี ับสตั วป์ ีกทกุ ชนิด 5. ห้ามนาสตั วป์ ีกท่ีปว่ ยหรอื ตายมารบั ประทาน หรือปรงุ เปน็ อาหารอยา่ งเดด็ ขาด 6. รกั ษาความสะอาดในบา้ น ในสถานประกอบการ และบริเวณรอบ ๆ ใหส้ ะอาดอยู่เสมอ 7. กาจัดสัตว์ท่ีป่วยหรือตายผิดปกติ ด้วยการเผาหรือฝังอย่างถูกวิธีและราดด้วยน้ายาฆ่าเชื้อโรคหรือโรย ด้วยปนู ขาว 8. หากพบไก่ เปด็ หรือสตั วป์ กี ตายจานวนมากผิดปกตใิ หร้ ีบแจง้ เจา้ หนา้ ที่ผ้นู าชมุ ชนทันที 4. โรคซำรส์ อาการ อาการสาคญั ของผู้ป่วยโรคซารส์ ได้แก่ มีไข้ตัวร้อน หนาวส่ัน ปวดเม่ือย กล้ามเน้ือ ไอ ปวดศีรษะ และหายใจลาบาก ส่วนอาการอื่นท่ีอาจพบได้มีท้องเดิน ไอมีเสมหะ น้ามูกไหล คล่ืนไส้อาเจียนผู้ป่วยท่ีสงสัยว่าจะ
49 เปน็ โรคซารส์ ผู้ป่วยมอี าการป่วยเกี่ยวกับโรคทางเดนิ หายใจและสงสยั วา่ จะเปน็ โรคซาร์ส ต้องมีอาการตามเกณฑ์ท่ี องคก์ ารอนามัยโลกกาหนดไวค้ อื มไี ขส้ ูงเกิน 30 องศาเซลเซยี สและมีอาการไอ หายใจติดขัด การแพร่กระจายของเชือ้ โรค เชื้อโรคซาร์สติดต่อได้ทางระบบหายใจ และอาจติดต่อทางอาหารการกินได้อีกด้วย เน่ืองจากมีการศึกษา พบว่า เช้ือนมี้ ีอยูใ่ นน้าเหลือง อุจจาระและปสั สาวะของผปู้ ว่ ย เมื่ออาการป่วยยา่ งเขา้ สปั ดาหท์ ี่ 3 การป้องกันและรกั ษา โรคน้ีติดต่อได้โดยการสัมผัสละอองน้าลาย เสมหะ เข้าทางปากและจมูก แต่เดิมเชื่อว่า เช้ือไวรัสโคโร นา่ จะมีชีวิตอยู่นอกรา่ งกายมนษุ ยไ์ ดไ้ มเ่ กิน 3 ชั่วโมง แต่จากข้อมูลการศึกษาใหม่ ๆ พบว่า เช้ือน้ีอยู่ได้นานกว่า 1 วนั โดยเฉพาะในอจุ จาระและปัสสาวะจะอยไู่ ดน้ านหลายวัน การป้องกนั ท่ีดีท่สี ดุ ได้แก่ การล้างมือ การปฏิบัติตาม หลักสขุ อนามัยอยา่ งเครง่ ครดั และการใสห่ นา้ กากอนามยั 5. โรคอหวิ ำตกโรค อหิวาตกโรค คือ โรคระบาดชนิดหน่ึงมีอาการท้องร่วง อาเจียน ร่างกายจะขับน้าออกมาเป็นจานวนมาก อหวิ าตกโรคเป็นโรคในระบบทางเดินอาหารท่ีเกิดขึ้นเฉียบพลัน เกิดจากเช้ือแบคทีเรียในสายพันธุ์เฉพาะชื่อ ไวบริ โอ คอเลอรี โดยทั่วไปมีอาการไม่มาก แต่ประมาณ 1 ใน 10 ราย อาจเกิดอาการท้องเสียอย่างรุนแรง อาเจียน และเป็นตะคริวท่ีขาได้ เป็นผลให้เกิดการสูญเสียน้าและเกลือแร่อย่างรวดเร็ว เกิดภาวะขาดน้าและหมดสติ ถ้า ไม่ไดร้ ับการรักษาอาจถึงแกช่ วี ิต การติดต่อและแพรก่ ระจายของเช้ือโรค อหิวาตกโรคติดต่อได้จากการรับประทานอาหารหรือด่ืมน้าที่ปนเป้ือนอุจจาระหรืออาเจียนของผู้ติดเชื้อ หรือโดยการรบั ประทานหอยดบิ ๆจากแหล่งน้าที่มีเช้อื น้ี แตไ่ มต่ ดิ ต่อโดยการสัมผสั ผวิ เผินกบั ผู้ตดิ เชือ้ อาการ 1. เปน็ อย่างไม่รุนแรง พวกนี้มักหายภายใน 1 วัน หรืออย่างช้า 5 วัน มีอาการถ่ายอุจจาระเหลวเป็นน้า วนั ละหลายครงั้ แตจ่ านวนอุจจาระไม่เกินวนั ละ 1 ลิตร ในผู้ใหญ่อาจมปี วดทอ้ งหรือเคลือ่ นไส้อาเจียนได้ 2. เป็นอย่างรุนแรง อาการระยะแรก มีท้องเดิน มีเน้ืออุจจาระมาก ต่อมามีลักษณะเป็นน้าซาวข้าว เพราะวา่ มมี ูกมาก มีกลิน่ เหมน็ คาว ถา่ ยอุจจาระได้โดยไมม่ อี าการปวดท้อง บางครั้งไหลพุ่งออกมาโดยไม่รู้สึกตัว มี อาการอาเจียนโดยไม่คล่ืนไส้ อุจจาระออกมากถึง 1 ลิตรต่อชั่วโมง และจะหยุดเองใน 1 - 6 วัน ถ้าได้น้าและ เกลือแร่ชดเชยอย่างเพียงพอ แต่ถ้าได้นา้ และเกลอื แรท่ ดแทนไม่ทันกับที่เสียไป จะมีอาการขาดน้าอย่างมาก ลุกน่ัง ไม่ไหว ปัสสาวะ น้อยหรือไมม่ ีเลย อาจมีอาการเป็นลม หน้ามืด จนถงึ ชอ็ ก ซึ่งเป็นอันตรายถึงชวี ติ ได้ ข้อควรปฏิบตั เิ มอ่ื เกิดอำกำรทอ้ งเสีย 1. งดอาหารทมี่ รี สจัดหรือเผด็ รอ้ น หรือของหมักดอง 2. ดม่ื น้าชาแกแ่ ทนนา้ บางรายต้องงดอาหารชั่วคราว เพ่อื ลดการระคายเคอื งในลาไส้ 3. ด่ืมนา้ เกลอื ผง สลบั กับนา้ ต้มสกุ ถ้าเปน็ เด็กเลก็ ควรปรึกษาแพทย์ 4. ถ้าท้องเสยี อยา่ งรุนแรง ตอ้ งรีบนาสง่ แพทยท์ ันที กำรป้องกัน 1. รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ และดื่มน้าสะอาด เช่น น้าต้มสุก ภาชนะที่ใส่ อาหารควรล้าง สะอาดทกุ ครง้ั กอ่ นใช้ หลกี เลย่ี งอาหารหมักดอง สุก ๆ ดบิ ๆ อาหารที่ปรุงท้งิ ไว้นาน ๆ อาหารทีม่ ีแมลงวนั ตอม 2. ล้างมือฟอกสบูใ่ ห้สะอาดทกุ ครงั้ ก่อนกินอาหารหรือกอ่ นปรุงอาหารและหลังเข้าส้วม 3. ไม่เทอุจจาระ ปัสสาวะและสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้าลาคลอง หรือท้ิงเร่ียราด ต้องถ่ายลงในส้วมที่ถูก สุขลักษณะและกาจัดสง่ิ ปฏิกลู โดยการเผาหรอื ฝังดนิ เพือ่ ป้องกนั การแพรข่ องเชอ้ื โรค 4. ระวงั ไม่ใหน้ า้ เขา้ ปาก เมือ่ ลงเล่นหรืออาบน้าในลาคลอง 5. หลีกเล่ียงการสมั ผัสผู้ป่วยที่เป็นอหิวาตกโรค
50 6. สาหรับผู้ที่สมั ผสั โรคน้ี ควรรับประทานยาท่ีแพทยใ์ ห้จนครบการรกั ษาทางการแพทย์ กำรรักษำฉุกเฉิน คือ การรักษาภาวะขาดน้าโดยด่วน ด้วยการให้น้าและเกลือแร่ทดแทนการสูญเสียทาง อุจจาระ ถ้าผู้ป่วยอยู่ในภาวะขาดน้ารุนแรง ต้องให้น้าทางเส้นโลหิตอย่างเร่งด่วน จนกว่าปริมาณน้าในร่างกาย ความดันโลหิตและชีพจรจะกลับสู่ภาวะปกติ สาหรับผู้ป่วยในระดับปานกลาง การให้ดื่มน้าเกลือแร่ทดแทนจะให้ ผลดี สว่ นผสมของน้าเกลอื แรส่ ูตรมาตรฐานไดแ้ ก่ กลโู คส 20 กรัม โซเดียมคลอไรด์ 3.5 กรัม โปแตสเซียม 1.5 กรัม และโตรโซเดียมซิเทรต 2.9 กรัม หรือโซเดียมไบคาร์บอเนต 2.5 กรัม ต่อน้าสะอาด 1 ลิตร
51 ใบควำมรู้ ครัง้ ที่ 11 วชิ ำสุขศกึ ษำ พลศึกษำ รหัสวชิ ำ ทช21002 ระดับมธั ยมศึกษำตอนต้น เรือ่ ง ยำแผนโบรำณและสมุนไพร กำรป้องกนั สำรเสพติด อุบัตเิ หตุ อบุ ัตภิ ัย และทกั ษะชีวติ เพ่อื กำรส่ือสำร ยำแผนโบรำณและยำสมนุ ไพร 1.1. หลกั และวธิ ีกำรใช้ยำแผนโบรำณ กำรเลอื กซอ้ื ยำแผนโบรำณ เพอื่ ความปลอดภัยในการใช้ยาแผนโบราณ สานักงานคณะกรรมการอาหารและยาขอแนะนาวิธีการเลือก ซอื้ ยาแผนโบราณ ดังน้ี 1. ควรซอ้ื ยาแผนโบราณจากร้านขายยาท่ีมีใบอนญุ าตและมเี ลขทะเบียนตารบั ยา 2. ไม่ควรซ้อื ยาแผนโบราณจากรถเรข่ าย เพราะอาจได้รบั ยาที่ผลิตขึน้ โดยผ้ผู ลติ ท่ีไม่ไดม้ าตรฐาน ซึ่งอาจมี การปนเปอื้ นของจุลนิ ทรีย์ในระหวา่ งการผลิต อาจทาให้เกดิ อนั ตรายต่อผ้บู ริโภคได้ 3. กอ่ นซือ้ ยาแผนโบราณ ควรตรวจดูฉลากยาทุกครั้งว่ามีขอ้ ความ ดังนี้ 3.1. ช่ือยาเลขทีห่ รอื รหัสใบสาคัญการขน้ึ ทะเบยี นยา ปรมิ าณของยาที่บรรจุเลขที่หรืออักษรแสดงครั้ง ทผ่ี ลติ 3.2. ช่อื ผผู้ ลิตและจงั หวดั ท่ตี ั้งสถานทีผ่ ลิตยา วนั เดือน ปี ทผี่ ลิตยา คาว่า“ยาแผนโบราณ” ให้เห็นได้ ชัดเจน 3.3. คาว่า “ยาใช้ภายนอก” หรือ “ยาใช้เฉพาะที่” แล้วแต่กรณี ด้วยอักษรสีแดงเห็นได้ชัดเจน ใน กรณีเป็นยาใช้ภายนอกหรือยาใช้เฉพาะท่ี คาว่า “ยาสามัญประจาบ้าน” ในกรณีเป็นยาสามัญประจาบ้าน คา วา่ “ยาสาหรบั สตั ว์” ในกรณีเป็นยาสาหรบั สตั ว์ 1.2. หลกั และวธิ ีกำรใชย้ ำสมนุ ไพร สมุนไพรตามพระราชบัญญัติยา หมายถึง ยาที่ได้จากพืช สัตว์ หรือแร่ธาตุ ซ่ึงยังไม่ได้ผสม ปรุง หรือแปร สภาพแต่ในทางการค้าสมนุ ไพรมักจะถกู ดดั แปลงสภาพไป วธิ ใี ชส้ มนุ ไพร สมุนไพรท่ีมีการนามาใช้ในปัจจุบันน้ีมักนามาปรุงเป็นยาเพ่ือใช้รักษาป้องกันและสร้างเสริมสุขภาพ แต่ สว่ นมากจะเปน็ การรักษาโรค ท่พี บมากมดี ังนี้ 1. ยาต้ม อาจเป็นสมุนไพรชนิดเดียวหรือหลาย ๆ ชนิดก็ได้ท่ีนามาต้ม เพื่อให้สารสาคัญที่มีในสมุนไพร ละลายออกมาในน้า วิธีเตรียมทาโดยนาสมุนไพรมาใส่ลงในหม้อ ซึ่งอาจเป็นหม้อดินหรือหม้อที่เป็นอะลูมิเนียม สแตนเลสก็ได้ แล้วใส่น้าลงไปให้ท่วมสมุนไพร แล้วจึงนาไปตั้งบนเตาไฟ ต้มให้เดือดแล้วเคี่ยวต่ออีกเล็กน้อย วิธี รบั ประทานให้รนิ นา้ สมุนไพรใส่ถ้วยหรอื แกว้ 2. ยาผง เป็นสมนุ ไพรท่นี ามาบดให้เป็นผง ซึ่งตามร้านขายยาสมุนไพรจะมีเคร่ืองบด โดยคิดค่าบดเพิ่มอีก เล็กน้อย อาจเป็นสมุนไพรชนิดเดียวหรือหลายชนิดก็ได้ที่นามาบดให้เป็นผง แล้วนามาใส่กล่อง ขวด หรือถุง วิธี รบั ประทานจะละลายในนา้ แลว้ ใช้ดื่มก็ได้ หรือจะตักใส่ปากแล้วดื่มน้าตามให้ละลายในปากได้ ปัจจุบันมีการนามา ใสแ่ คปซูล เพ่ือสะดวกในการรบั ประทาน พกพา และจาหนา่ ย 3. ยาชง วิธเี ตรยี มจะง่ายและสะดวกกวา่ ยาตม้ มักมกี ล่ินหอม เตรียมโดยห่ันเปน็ ชนิ้ เลก็ ๆ ตากหรืออบให้ แห้งแลว้ นามาชงนา้ ดืม่ เหมือนกับการชงน้าชา 4. ยาลกู กลอน เป็นการนายาผงมาผสมกับน้าหรือน้าผึ้งแล้วปั้นเป็นลูกกลม ๆ เล็ก ๆ วิธีรับประทานโดย การนายาลูกกลอนใส่ปาก ดมื่ นา้ ตาม
52 5. ยาเม็ด ปัจจุบันมีการนายาผงมาผสมน้าหรือน้าผึ้งแล้วมาใส่เคร่ืองอัดเป็นเม็ด เคร่ืองมือน้ีหาซื้อได้ง่าย มรี าคาไมแ่ พง ใชม้ อื กดได้ ไมต่ ้องใชเ้ ครื่องจกั ร ตามสถานที่ปรุงยาสมุนไพรหรือวัดท่ีมีการปรุงยาสมุนไพรมักจะซื้อ เคร่อื งมือชนดิ นี้มาใช้ 6. ยาดองเหล้า ได้จากการนาสมุนไพรมาใส่โหลแล้วใส่เหล้าขาวลงไปให้ท่วมสมุนไพร ปิดฝาท้ิงไว้ ประมาณ 1-6 สัปดาห์ แลว้ รนิ เอาน้ามาดื่มเปน็ ยา ปัจจุบันมกี ารจาหน่ายเปน็ “ซมุ้ ยาดอง” 7. นามาใช้สด ๆ อาจนามาใช้ทาบาดแผล หรือใช้ทาแก้พิษ เช่น ว่านหางจระเข้ ผักบุ้งทะเล เป็นต้น นามาตาให้แหลกแล้วพอติดไว้ท่ีแผล เช่น หญ้าคา ใบชุมเห็ด เป็นต้น นามาย่างไฟแล้วประคบ เช่น ใบพลับพลึง เปน็ ต้น หรอื นามาใช้เป็นอาหาร เชน่ หอม กระเทียม กลว้ ยน้าวา้ ขา่ ขงิ ใบบวั บก เป็นต้น อันตรำยจำกกำรใช้ยำแผนโบรำณและยำสมุนไพร 2.1. อันตรำยจำกยำแผนโบรำณ จากปัญหาของยาแผนโบราณในสังคมไทย สานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ร่วมกับ สานักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ได้มีการติดตามตรวจสอบและเฝ้าระวัง การแพร่ระบาดของยาสมุนไพรที่ ไม่ได้ข้ึนทะเบียนตารับยาแผนโบราณ สารสเตียรอยด์ที่ผสมอยู่ในยาแผนโบรณก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ มากมาย เชน่ 1. ทาใหเ้ กิดแผลในกระเพาะอาหาร อาจถึงข้นั ทาใหก้ ระเพาะทะลุ 2. ทาให้เกิดการบวม (ตึง) ท่ไี ม่ใช่อว้ น 3. ทาใหก้ ระดูกผกุ รอ่ นและเปราะงา่ ย นาไปสู่ความทุพพลภาพได้ 4. ทาใหค้ วามดันโลหิตสงู และระดับน้าตาลในเลอื ดสูงพบในบางรายทส่ี ูงจนถึงขั้นเปน็ อนั ตรายมาก 5. ทาให้ภูมิคุ้มกันร่างกายต่า มีโอกาสติดเช้ือได้ง่ายนาไปสู่ความเส่ียงที่จะติดเช้ือและอาจรุนแรงถึงขั้น เสยี ชวี ิตได้ 2.2. อันตรำยจำกกำรใชย้ ำสมนุ ไพร ผลติ ภัณฑ์สมนุ ไพรทั่วไปจัดอยู่ในจาพวกอาหารหรือส่วนประกอบอาหารที่ฉลากไม่ต้องระบุสรรพคุณทาง การแพทย์หรือขนาดรับประทาน ดังนั้น ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ส่วนมากจึงต้องศึกษาจากหนังสือหรือขอ คาปรึกษาจากผ้รู ูห้ รือแพทย์ทางเลือก เช่น แพทย์แผนไทย แพทย์แผนจนี เปน็ ต้น 2.3. ขอ้ ควรระวงั ในกำรใช้ยำสมุนไพร 1. พชื สมุนไพรหลายชนดิ มพี ิษโดยเฉพาะถา้ ใชไ้ มถ่ กู สว่ น 2. ก่อนใชย้ าสมนุ ไพรกบั เด็กและสตรมี คี รรภ์ ต้องปรกึ ษาแพทยก์ อ่ นทกุ ครงั้ 3. การรับประทานยาสมนุ ไพรควรรับประทานตามปรมิ าณและระยะเวลาทีแ่ พทย์แนะนา 4. ต้องสังเกตเสมอว่า เม่ือใช้แล้วมีผลข้างเคียงอะไรหรือไม่ หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ โดยเรว็ ก่อนใช้ยาทุกประเภทควรคานึงถึงหลักการใช้ยาท่ัวไป โดยอ่านฉลากยาให้ ละเอียดและใช้อย่าง ระมดั ระวงั ดังน้ี 1. ใช้ให้ถกู ตน้ สมนุ ไพรส่วนใหญม่ ีชือ่ พอ้ งหรอื ซา้ กนั มาก 3. ใชถ้ ูกส่วน พชื สมุนไพรไม่วา่ ราก ดอก ใบ เปลือก ผล หรือเมลด็
53 4. ใช้ให้ถูกขนาด ธรรมชาติของยาสมุนไพร คือ หากใช้น้อยไป ก็จะรักษาไม่ได้ผล แต่ถ้าใช้มากไปก็อาจ เกดิ อันตรายต่อร่างกายได้เช่นกัน 5. ใชใ้ หถ้ กู วิธี 6. ใชใ้ ห้ถกู กับโรค กำรป้องกันสำรเสพตดิ ปญั หำ สำเหตุ ประเภทและชนิดของสำรเสพตดิ และกำรป้องกนั แก้ไข สถานการณ์ปัจจุบันพบว่า การใช้สารเสพติดได้แพร่ระบาดเข้าไปถึงทุกเพศทุกวัย ทุกกลุ่มอายุ ส่งผล กระทบต่อสุขภาพพลานามัยของบุคคลกลุ่มน้ัน ๆ โดยเฉพาะการใช้ยาเสพติดในทางท่ีผิดของกลุ่มเยาวชนที่กาลัง ศึกษาเลา่ เรยี นในสถานศึกษาหรือนอกสถานศึกษาหรือกลุม่ เยาวชนนอกระบบการศกึ ษา สำรเสพติด หมายถึง ยาเสพติด วัตถอุ อกฤทธ์ิ และสารระเหย 1. สาเหตขุ องการตดิ สารเสพตดิ 1.1. สาเหตุจากการรูเ้ ท่าไม่ถงึ การณ์ 1) อยากทดลอง 2) ความคกึ คะนอง 3) การชกั ชวนของคนอ่นื 1.2. สาเหตทุ ่ีเกดิ จากการถกู หลอกลวง 1.3. สาเหตทุ เ่ี กดิ จากความเจบ็ ป่วย 1.4. สาเหตอุ นื่ ๆ 2. ประเภทของสำรเสพติด ยำเสพติดให้โทษแบง่ ได้ 5 ประเภท ดังน้ี 2.1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เช่น เฮโรอีน เมทแอมเฟตามีน เอ็มดีเอ็มเอ (ยาอี) ยาเสพติดให้โทษ ประเภทนีไ้ มใ่ ชป่ ระโยชน์ทางการแพทย์ 2.2. ยาเสพติดให้โทษประเภท 2 เช่น มอร์ฟีน โคเคอีน เพทิดีน เมทาโดน และ ฝ่ิน ยาเสพติดให้โทษ ประเภทน้มี ปี ระโยชนท์ างการแพทย์ แต่ก็มโี ทษมาก จงึ ต้องใชภ้ ายใตค้ วามควบคุมของแพทย์ และใช้เฉพาะในกรณี ทจี่ าเป็นเท่าน้ัน 2.3. ยาเสพติดให้โทษประเภท 3 เป็นยาสาเร็จรูปที่ผลิตข้ึนตามทะเบียนตารับที่ได้รับอนุญาตจาก กระทรวงสาธารณสขุ แลว้ มจี าหนา่ ยตามร้านขายยา ได้แก่ ยาแก้ไอ ที่มีตัวยาโคเคอีน หรือยาแก้ท้องเสียท่ีมีตัวยา ไดเฟนอกซิน เปน็ ตน้ ยาเสพตดิ ประเภทน้มี ปี ระโยชน์ทางการแพทยแ์ ละมีโทษน้อยกวา่ ยาเสพติดให้โทษอ่ืน 2.4. ยาเสพติดให้โทษประเภท 4 เป็นน้ายาเคมีที่นามาใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ได้แก่ นา้ ยาเคมี อาซติ กิ แอนไฮไดรด์ อาซิตลิ คลอไรด์ เอทลิ ดิ นี ไดอาเซเตท สารเออร์โกเมทรีน และคลอซูโดอีเฟดรีน ยา เสพติดใหโ้ ทษประเภทนไ้ี มม่ ีประโยชนใ์ นการบาบดั รักษาอาการของโรคแต่อย่างใด 2.5. ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษประเภท 5 ได้แก่ พืชกัญชา พืชกระท่อม พืชฝิ่น และพืช เห็ดข้ีควาย ยาเสพติดให้ โทษประเภทนไี้ มม่ ีประโยชนท์ างการแพทย์ วัตถุออกฤทธ์ิ หมายถึง วัตถุที่ออกฤทธต์ิ ่อจิตและประสาท ทเ่ี ป็นส่ิงธรรมชาตหิ รือไดจ้ ากสิ่งธรรมชาติ วัตถุออกฤทธแิ์ บง่ ได้ 4 ประเภท ดงั น้ี
54 1. วัตถุออกฤทธ์ิประเภท 1 มีความรุนแรงในการออกฤทธิ์มาก ทาให้เกิดอาการประสาทหลอน ไม่มี ประโยชน์ในการบาบดั รกั ษาอาการของโรค ไดแ้ ก่ ไซโลไซบนั และเมสคาลนี 2. วัตถุออกฤทธ์ปิ ระเภท 2 เช่น ยากระตุน้ ระบบประสาท เชน่ อีเฟดรีน เฟเนทิลลีน เพโมลีนและยาสงบ ประสาท เช่น ฟลูไนตราซีแพม มิดาโซแลม ไนตราซีแพม วัตถุประเภทนี้มีการนาไปใช้ในทางท่ีผิด เช่น ใช้เป็นยา แก้ง่วง ยาขยัน หรอื เพือ่ ใช้มอมเมาผู้อน่ื 3. วัตถุออกฤทธป์ิ ระเภท 3 ใช้ในรูปยารักษาอาการของโรค ส่วนใหญ่เป็นยากดระบบประสาทส่วนกลาง เช่น เมโพรบาเมต อะโมบาร์บิตาล และยาแก้ปวด เพตาโซซีน การใช้ยาจาพวกนี้ต้องอยู่ในความควบคุมดูแลของ แพทย์ 4. วัตถุออกฤทธิ์ประเภท 4 ได้แก่ ยาสงบประสาท ยานอนหลับในกลุ่มของบาร์บิตูเรต เช่น ฟีโนบาร์บิ ตาล และเบ็นโซไดอาซปี ินส์ เช่น อลั ปราโซแลม ไดอาซแี พม ส่วนใหญ่มกี ารนามาใชอ้ ยา่ งกวา้ งขวาง สำรระเหย เปน็ สารเคมี 14 ชนิด ได้แก่ อาซโี ทน เอทิลอาซเี ตท โทลูอีน เซลโลโซล์ฟ ฯลฯ ผลติ ภณั ฑ์ 5 ชนดิ ได้แก่ ทินเนอร์ แลคเกอร์ กาวอนิ ทรียส์ งั เคราะห์ กาวอินทรยี ์ธรรมชาติ ลูกโปง่ วิทยาศาสตร์ ลักษณะอำกำรของผู้ติดสำรเสพตดิ ลักษณะทั่วไป 1. ตาโรยขาดความกระปรก้ี ระเปรา่ นา้ มูกไหล นา้ ตาไหล รมิ ฝีปากเขียวคล้าแห้ง แตก (เสพโดยการสบู ) 2. เหง่ือออกมาก กล่นิ ตวั แรง พูดจาไม่สมั พันธ์กบั ความจรงิ 3. บรเิ วณแขนตามแนวเสน้ โลหิต มรี ่องรอยการเสพยาโดยการฉดี ให้เหน็ 4. ที่ท้องแขนมีรอยแผลเป็นโดยกรีดด้วยของมีคมตามขวาง (ติดเหล้าแห้ง ยากล่อมประสาท ยาระงับ ประสาท) 5. ใสแ่ ว่นตากรอบแสงเข้มเป็นประจา เพราะม่านตาขยายและเพือ่ ปดิ นยั น์ตาสแี ดงกา่ 6. มักสวมเส้อื แขนยาวปกปิดรอยฉีดยา โปรดหลีกใหพ้ ้นจากบคุ คลทมี่ ลี ักษณะดงั กล่าว ชีวติ จะสุขสนั ตต์ ลอดกาล 7. มคี วามต้องการอย่างแรงกล้าท่จี ะเสพยานัน้ ต่อไปอกี เร่ือย ๆ 8. มคี วามโน้มเอยี งที่จะเพ่มิ ปริมาณของส่ิงเสพติดให้มากขึ้นทุกขณะ 9. ถ้าถึงเวลาท่ีเกิดความต้องการแล้วไม่ได้เสพจะเกิดอาการขาดยาหรืออยากยา โดยแสดงออกมาใน ลักษณะอาการตา่ ง ๆ เช่น หาว อาเจียน นา้ มกู น้าตาไหล ทรุ นทรุ าย คล้มุ คลัง่ ขาดสติ โมโห ฉนุ เฉยี ว ฯลฯ 10. สิ่งเสพติดนั้นหากเสพอยู่เสมอ ๆ และเป็นเวลานานจะทาลายสุขภาพของผู้เสพทั้งทางร่างกายและ จิตใจ 11. ทาใหร้ า่ งกายซบู ผอมมโี รคแทรกซ้อน และทาให้เกิดอาการทางโรคประสาทและจิตไมป่ กติ การติดยาทางกาย
55 อันตรำย กำรปอ้ งกนั และกำรหลกี เลย่ี งพฤตกิ รรมเสี่ยงต่อสำรเสพติด สารเสพติดให้โทษมีหลายชนิดได้แพร่ระบาดเข้ามาในประเทศไทย จะพบในหมู่เด็กและเยาวชนเป็น ส่วนมาก นับว่าเป็นเรื่องร้ายแรงเป็นอันตรายต่อผู้เสพและประเทศชาติ ดังน้ันผู้เรียนควรทราบอันตรายจากสาร เสพติดในแตล่ ะชนดิ ดังน้ี 1. ฝ่ิน จะมีฤทธิ์กดประสาท ทาให้นอนหลับเคลิบเคล้ิม ผู้ท่ีติดฝิ่นจะมีความคิดอ่านช้าลง การทางานของ สมอง หวั ใจ และการหายใจชา้ ลง 2. มอร์ฟีน เป็นแอลคาลอยด์จากฝิ่นดิบ มีฤทธิ์ท้ังกดและกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทาให้ศูนย์ ประสาทรบั ความรู้สึกชา อาการเจ็บปวดตา่ ง ๆ หมดไป กลา้ มเนื้อคลายตวั มีความรู้สึกสบายหายกังวล นอกจากน้ี ยังมฤี ทธกิ์ ดศนู ย์การไอทาให้ระงับอาการไอ กดศูนย์ควบคุมการหายใจ ทาให้ร่างกายหายใจช้าลง เกิดอันตรายถึง แก่ชวี ิตได้ 3. เฮโรอีน สกัดได้จากมอร์ฟีนโดยกรรมวิธีทางเคมี ซึ่งเกิดปฏิกิริยาระหว่างมอร์ฟีนและน้ายาอะซิติค แอนไฮไดรด์ เปน็ ยาเสพติดท่ตี ดิ ได้ง่ายมาก เลกิ ได้ยาก มีความแรงสูงกวา่ มอร์ฟนี ประมาณ 5-8 เท่า 4. บาร์บิทูเรต ยาท่ีจัดอยู่ในพวกสงบประสาทใช้เป็นยานอนหลับ ระงับความวิตกกังวล ระงับอาการชัก หรือปอ้ งกันการชกั ท่ใี ชก้ ันแพรห่ ลายไดแ้ ก่ เซดคบาร์บิตาลออกฤทธิ์กดสมอง ทาใหส้ มองทางานนอ้ ยลง 5. ยากลอ่ มประสาท เปน็ ยาทม่ี ีฤทธ์กิ ดสมอง ทาใหจ้ ติ ใจสงบหายกังวล แต่ฤทธิ์ไม่รุนแรงถึงข้ันทาให้หมด สตหิ รือกดการหายใจ 6. แอมเฟตามีน มีช่ือท่ีบุคคลท่ัวไปรู้จัก คือ ยาบ้า หรือยาขยันเป็นยาท่ีมีฤทธ์ิกระตุ้นประสาทส่วนกลาง และระบบประสาทส่วนปลาย ทาให้มีอาการตื่นตัว หายง่วง พูดมาก ทาให้หลอดเลือดตีบเล็กลง หัวใจเต้นเร็วข้ึน ความดันเลอื ดสงู มือส่ันใจส่นั หลอดลมขยาย มา่ นตาขยาย เหงือ่ ออกมาก ปากแห้ง เบ่ืออาหาร ถ้าใช้เกินขนาดจะ ทาใหเ้ วียนศีรษะนอนไม่หลบั ตวั สน่ั ตกใจง่าย ประสาทตึงเครียด โกรธง่าย จิตใจสับสน คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน และปวดท้องอยา่ งรุนแรง มอี าการชกั หมดสติ และตายเน่อื งจากหลอดเลอื ดในสมองแตกหรอื หัวใจวาย 7. กัญชา ผลท่ีเกิดข้ึนต่อร่างกายจะปรากฏหลังจากสูบ 2-3 นาที หรือหลังจากรับประทานคร่ึงถึง 1 ชั่วโมง ทาให้มีอาการต่ืนเต้น ช่างพูด หัวเราะส่งเสียงดัง กล้ามเน้ือแขนขาอ่อนเพลียคล้ายคนเมาสุรา ถ้าได้รับใน ขนาดมาก ความรสู้ กึ นกึ คดิ และการตดั สนิ ใจเสียไป 8. ยาหลอนประสาท เป็นยาทีท่ าใหป้ ระสาทการเรยี นรูผ้ ิดไปจากธรรมดา 9. สารระเหย สารระเหยจะถูกดูดซึมผ่านปอดเข้าสู่กระแสโลหิต แล้วเข้าสู่เน้ือเย่ือต่าง ๆ ของร่างกาย เกิดพษิ ซึ่งแบง่ ได้เป็น 2 ระยะ คอื พษิ ระยะเฉยี บพลัน และพษิ ระยะเร้ือรัง 10. ยาบา้ เป็นชอื่ ที่ใชเ้ รียกยาเสพตดิ ทมี่ ีสว่ นของสารเคมีประเภทแอมเฟตามีนสารประเภทนี้แพร่ระบาด อยู่ 3 รปู แบบดว้ ยกัน คือ 1) แอมเฟตามนี ซัลเฟต 2) เมทแอมเฟตามนี 3) เมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์ ซึ่งจากผลการตรวจพิสูจน์ยาบ้า ปัจจุบันในประเทศไทยมักพบว่า เกอื บทง้ั หมดมีเมทแอมเฟตามีนไฮโดรคลอไรด์ ผสมอยู่
56 อำกำรผูเ้ สพ เมื่อเสพเข้าสู่ร่างกาย ระยะแรกจะออกฤทธ์ิทาให้ร่างกายต่ืนตัว หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง ใจส่ัน ประสาทตึงเครียด แต่เม่ือหมดฤทธิ์ยา จะรู้สึกอ่อนเพลียมากกว่าปกติ ประสาทล้าทาให้การตัดสินใจช้าและ ผิดพลาด เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ ถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะทาให้สมองเสื่อม เกิดอาการประสาท หลอนเห็นภาพลวงตา หวาดระแวงคลมุ้ คล่งั เสียสติ เปน็ บา้ อาจทารา้ ยตนเองและผู้อื่นได้ หรือในกรณีท่ีได้รับยาใน ปรมิ าณมากจะไปกดประสาทและระบบการหายใจทาให้หมดสติ และถงึ แกค่ วามตายได้ อนั ตรำยท่ีได้รบั การเสพยาบา้ ก่อให้เกดิ ผลร้ายหลายประการ ดังน้ี 1) ผลต่อจิตใจ เมื่อเสพยาบ้าเป็นระยะเวลานานหรือใช้เป็นจานวนมาก จะทาให้ผู้เสพมีความผิดปกติ ทางด้านจติ ใจกลายเป็นโรคจติ ชนดิ หวาดระแวง 2) ผลตอ่ ระบบประสาท ระยะแรกจะออกฤทธ์ิกระตุ้นประสาท ทาให้ประสาทตึงเครียด แต่เมื่อหมดฤทธิ์ ยาจะมอี าการประสาทลา้ ทาใหก้ ารตดั สนิ ใจในเร่ืองต่าง ๆ ช้า และ 3) ผลตอ่ พฤตกิ รรม ฤทธิข์ องยาจะกระต้นุ สมองสว่ นทค่ี วบคุมความก้าวร้าว และ ความกระวนกระวายใจ ดังน้ันเม่ือเสพยาบ้าไปนาน ๆ จะก่อให้เกิดพฤติกรรมที่เปล่ียนแปลงไป คือ ผู้เสพจะมีความก้าวร้าวเพิ่มข้ึน และ หากยังใชต้ อ่ ไปจะมีโอกาสเป็นโรคจิตชนิดหวาดระแวง เกรงวา่ จะมคี นมาทาร้ายตนเอง จงึ ต้องทารา้ ยผู้อนื่ ก่อน 11. ยาอี ยาเลิฟ ยาอี ยาเลฟิ เอ็คซ์ตาซี เปน็ ยาเสพติดกลุ่มเดียวกนั จะแตกตา่ งกันบา้ งในด้าน โครงสรา้ งทางเคมี ลกั ษณะของยาอี มีท้งั ท่ีเปน็ แคปซลู และเป็นเม็ดยาสีตา่ งๆ อำกำรผู้เสพ เหงื่อออกมาก หวั ใจเตน้ เรว็ ความดันโลหิตสูง ระบบประสาทการรับรู้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ทาให้ การได้ยินเสียงและการมองเหน็ แสงสีตา่ งๆ ผิดไปจากความเปน็ จรงิ เคลบิ เคล้ิม ควบคุมอารมณ์ไมไ่ ด้ อนั ตรำยท่ีได้รบั การเสพยาอี กอ่ ให้เกิดผลร้ายหลายประการ ดังนี้ 1) ผลต่ออารมณ์ เม่ือเริ่มเสพในระยะแรกยาอีจะออกฤทธิ์กระตุ้นประสาทให้ผู้เสพรู้สึกต่ืนตัวตลอดเวลา ไม่สามารถควบคมุ อารมณ์ของตนเองได้ เปน็ สาเหตุให้เกิดพฤตกิ รรมสาส่อนทางเพศ 2) ผลต่อการรูส้ ึก การรับรจู้ ะเปล่ยี นแปลงไปจากความเป็นจริง 3) ผลต่อระบบประสาท ยาอีจะทาลายระบบประสาท ทาให้เซลล์สมองส่วนที่ทาหน้าท่ีหลั่งสาร ซี โรโทนนิ ซงึ่ เปน็ สาระสาคญั ในการควบคมุ อารมณ์น้นั ทางานผิดปกติ 4) ผลต่อสภาวะการตายขณะเสพ มักเกิดเม่ือผู้เสพสูญเสียเหง่ือมาก ทาให้เกิดสภาวะขาดน้าอย่าง ฉับพลนั หรอื กรณที ่ีเสพยาอพี รอ้ มกบั ด่มื แอลกอฮอล์เข้าไปมาก หรือผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ จะทาให้เกิดอาการช็อก และเสียชวี ิตได้ กำรป้องกนั และหลกี เล่ียงกำรติดสำรเสพติด 1. ป้องกันตนเอง ไม่ใช้ยาโดยมิได้รับคาแนะนาจากแพทย์ และจงอย่าทดลองเสพยาเสพติดทุกชนิดโดย เด็ดขาด เพราะตดิ ง่ายหายยาก ทาได้โดย 1.1. ศกึ ษาหาความรู้เพอื่ ใหร้ เู้ ทา่ ทนั โทษพษิ ภัยของยาเสพติด
57 1.2. ไม่ทดลองใช้ยาเสพตดิ ทุกชนิดและปฏเิ สธเมอื่ ถกู ชกั ชวน 1.3. ระมัดระวงั เร่ืองการใชย้ า เพราะยาบางชนดิ อาจทาให้เสพติดได้ 1.4. ใชเ้ วลาวา่ งให้เปน็ ประโยชน์ 1.5. เลือกคบเพือ่ นดี ที่ชักชวนกันไปในทางสร้างสรรค์ 1.6. เมอื่ มปี ญั หาชีวิต ควรหาหนทางแก้ไขทีไ่ ม่ข้องเกี่ยวกบั ยาเสพติดหากแก้ไขไม่ไดค้ วรปรึกษาผใู้ หญ่ 2. ป้องกันครอบครวั ควรสอดส่องดแู ลเดก็ และบุคคลในครอบครัวหรือท่ีอยู่ร่วมกันอย่าให้เกี่ยวข้องกับยา เสพตดิ ตอ้ งคอยอบรมสงั่ สอนใหร้ สู้ กึ โทษและภยั ของยาเสพติด หากมีผูเ้ สพยาเสพตดิ ในครอบครัว จงจัดการให้เข้า รกั ษาตวั ทโ่ี รงพยาบาล ให้หายเดด็ ขาด 3. ป้องกันเพ่ือนบ้าน โดยช่วยชี้แจงให้เพื่อนบ้านเข้าใจถึงโทษและภัยของยาเสพติดโดยมิให้เพ่ือนบ้าน รู้เทา่ ไม่ถึงการณต์ อ้ งถกู หลอกลวง และหากพบว่าเพื่อนบา้ นตดิ ยาเสพตดิ ตอ้ งแนะนาให้ไปรกั ษาตวั ท่โี รงพยาบาล 4. ปอ้ งกันโดยให้ความร่วมมือกับทางราชการ เมื่อทราบว่าบ้านใด ตาบลใด มียาเสพติดแพร่ระบาดขอให้ แจง้ เจา้ หนา้ ท่ีตารวจทุกแห่งทุกทอ้ งทีท่ ราบ ควำมเสีย่ งท่ีจะนำไปสูค่ วำมไมป่ ลอดภัยต่อชีวิตและทรพั ย์สนิ ภยั ทไ่ี ม่คาดคิดอาจจะเกดิ ข้ึนกบั ตนเองและครอบครัว ทีค่ วรศกึ ษา ดงั น้ี 1) ไม่ควรใส่ของมีค่าไปในท่ีชุมชน อาจถกู จี้ หรอื กระชากว่ิงราวได้ 2) ถ้ามีคนแปลกหน้ามาขอเข้าบา้ นอยา่ ไวใ้ จ ตอ้ งพิจารณาดใู หด้ ีอาจเปน็ พวกมิจฉาชพี ได้ 3) ถงึ แมจ้ ะมีคนอยู่บ้าน ก็ควรปดิ ประตรู ้ัว ประตบู า้ น ซ่ึงเปน็ ประตูเหลก็ ดดั เปดิ ไวเ้ ฉพาะ หน้าต่างประตูไม้ อยา่ เปดิ โลง่ เพราะมิจฉาชีพอาจเขา้ มาลักขโมย หรอื จปี้ ลน้ ได้ 4) ไมค่ วรใชก้ ระเป๋าถือในทช่ี ุมชน ควรใช้กระเป๋าสะพายจะดกี ว่าเพราะกระเป๋าถือจะถูกฉกชงิ วิง่ ราวไดง้ า่ ย 5) ไมค่ วรเดนิ ไปในท่ีเปล่ียวตามลาพงั โดยเฉพาะผหู้ ญิงควรมีเพ่ือนไปดว้ ย 6) การเดินขา้ มสะพานลอยที่มหี ลังคา มแี ผน่ ปา้ ยติดดา้ นข้าง ดูมืดทึบต้องระวงั โจรสะพานลอย 7) ผหู้ ญิงไมค่ วรแต่งกายโปห๊ รือโชว์สดั ส่วนมากเกินไป เพราะจะเป็นการยว่ั ยอุ ารมณ์ทางเพศของ ผูช้ ายได้ อาจถูกพวกบ้ากาม ขาดความยง้ั คดิ ขม่ ขืนได้ถา้ อยใู่ นสถานที่เปล่ยี ว 8) อย่าหลงเชอ่ื คนทตี่ ิดต่อคุยกันทางอินเทอรเ์ น็ต เพราะถือว่าเปน็ คนแปลกหนา้ อาจนาไปสกู่ าร ลอ่ ลวง เทคนิค วิธีกำรขอควำมช่วยเหลอื และกำรเอำชวี ิตรอดเม่ือเผชิญอันตรำยและสถำนกำรณค์ บั ขัน 3.1. วิธีกำรขอควำมชว่ ยเหลือและกำรเอำชีวติ รอดเม่ือเผชญิ อันตรำยและสถำนกำรณ์คับขัน เม่ืออยูใ่ นสถานการณท์ อี่ าจเป็นอันตรายต่อชวี ติ และความปลอดภยั ควรคานึงถึงข้ันตอนการสื่อสารเพื่อขอ ความชว่ ยเหลือด้วย เพราะในบางครง้ั เราจะชว่ ยเหลอื ตวั เองไมไ่ ดแ้ ล้ว คอื 1) การโทรศัพท์ขอความชว่ ยเหลือ 2) การตะโกนร้องขอความช่วยเหลอื 3) การเขยี นจดหมายขอความช่วยเหลือ 4) การแกป้ ัญหาเฉพาะหน้า 3.2. แหล่งขอควำมช่วยเหลือและใหค้ ำปรกึ ษำ ปัจจบุ นั มแี หลง่ ขอความชว่ ยเหลือและใหค้ าปรึกษามากมายทั้งหน่วยงานของรัฐและเอกชน พอจะยกเป็น ตัวอย่างได้ดงั น้ี
58 1) เหตุด่วนเหตรุ ้าย กดหมายเลข 191 2) กองปราบปราม กดหมายเลข 195 3) ตารวจทอ่ งเที่ยว กดหมายเลข 1155 4) ตารวจทางหลวง กดหมายเลข 1193 8) ศูนย์นเรนทรเพ่อื ใหม้ ารับผปู้ ่วยฉุกเฉิน กดหมายเลข 1669 3.3. กำรตดั สนิ ใจและปฏบิ ัติตนในกำรแก้ปัญหำเม่ือเผชิญกับภยั อนั ตรำยเม่อื เผชญิ กับภยั อันตรำยต้องควบคุม สตใิ ห้ดี แล้วจะหำทำงแกป้ ัญหำได้ โดยขอเสนอแนะไว้ดังนี้ 1) ถา้ เกิดภยั อันตรายเป็นหมคู่ ณะ หากตนเองอยใู่ นสถานะพอจะช่วยผ้อู ื่นไดใ้ หช้ ว่ ยเหลอื ทันที 2) รอ้ งขอความชว่ ยเหลือจากผูอ้ ยใู่ กล้เคยี ง ไม่ต้องอายและไม่ตอ้ งเกรงใจบคุ คลที่จะมาช่วยเหลือ 3) บอกเรื่องราวใหผ้ ูท้ ี่มาชว่ ยเหลอื ทราบ พดู สน้ั ๆ พอได้ใจความ 4) ถ้าตนเองหรือคนอน่ื ๆ ไดร้ ับบาดเจ็บ ถ้าพอจะปฐมพยาบาลได้ใหป้ ฐมพยาบาลโดยเรว็ 5) สังเกตและจดจารูปพรรณ ลักษณะเด่น ๆ ของคนร้าย หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อแจ้งแก่เจ้าหน้าท่ี ตารวจเมือ่ ไปแจ้งความ 3.4. กำรเอำชวี ติ รอดเมื่อเผชิญอันตรำยและสถำนกำรณ์คับขนั ในสังคมปจั จุบนั นี้ มสี ถำนกำรณท์ ่ีอำจเปน็ อนั ตรำยต่อชีวติ และควำมปลอดภัยของคนเรำมำกมำย ตัวอยำ่ งดังน้ี 1) การถูกคนร้ายจหี้ รือปล้น มักเกิดขน้ึ ในที่เปลี่ยว ควรตงั้ สตใิ ห้ม่นั พยายามจดจาลักษณะรูปรา่ ง หน้าตา บคุ ลิก ลักษณะ สว่ นสงู อายุ นา้ เสียง เพื่อแจ้งแก่ตารวจ 2) การถกู คนรา้ ยจีบ้ ังคับขม่ ขืน มักเกดิ ในทีเ่ ปล่ยี วในยามวิกาล ตอนดึกหรือเชา้ มดื ควรตัง้ สติใหม้ ่นั พยายามจดจารูปพรรณของคนร้าย เพอื่ แจ้งเจ้าหน้าทีต่ ารวจ 3) การอยู่ท่ามกลางคนทะเลาะววิ าทหรือยกพวกตีกนั อาจเกิดในงานเล้ยี งทมี่ คี นดมื่ สุราจนมึนเมา การดู คอนเสิรต์ 4) การถูกหาเรอ่ื ง มกั เกิดจากนักเรยี น นักศึกษาตา่ งสถาบันหรอื วัยรนุ่ ทีช่ อบเทย่ี ว เมอ่ื ถูกหาเรอื่ งให้ พยายามพูดกบั คนร้ายดีๆ อย่าโต้เถียงใหค้ นร้ายโกรธ และพยายามตจี ากกลุ่มคนร้ายให้เรว็ ในกรณีท่คี ิดวา่ ต้องถกู ทาร้ายให้ว่งิ หนีเขา้ หาฝงู ชน 5) การถกู สนุ ัขไลก่ ัด ให้อย่นู ่ิงๆ ใชข้ องในมือป้องกันตวั หรอื ร้องขอความช่วยเหลอื 6) รถชนกนั หรอื ถูกรถชน ให้พยายามช่วยตวั เอง เพอ่ื ออกจากสถานการณ์นัน้ 7) เรือลม่ ขณะโดยสารเรือ ถ้าวา่ ยนา้ ไมเ่ ปน็ ควรใส่เสอื้ ชชู ีพเตรยี มไว้ 8) เม่อื เกิดไฟไหม้ ควรหนีออกจากท่นี นั่ โดยเร็ว ให้ห่วงชีวิตมากกวา่ ห่วงทรัพย์สนิ 9) เมือ่ เกิดอุทกภัย ให้รีบหนีไปหาสถานทีส่ ูงท่ีคดิ ว่าปลอดภัย เช่น ภเู ขาอาคารสงู เปน็ ตน้ กำรปฐมพยำบำล เม่ือไดร้ ับอนั ตรำยจำกอบุ ัตเิ หตุ อบุ ตั ิภยั จำกภัยธรรมชำติ การปฐมพยาบาล คือ การใหก้ ารช่วยเหลอื เบ้ืองต้นต่อผู้ประสบอันตราย หรือเจ็บป่วย ณ สถานที่เกิดเหตุ กอ่ นทจ่ี ะถึงมอื แพทย์ หรอื โรงพยาบาล เพือ่ ปอ้ งกนั มิใหเ้ กิดอันตรายแก่ชีวิตหรอื เกดิ ความพิการโดยไมส่ มควร 4.1. วตั ถปุ ระสงค์ของกำรปฐมพยำบำล 1) เพอ่ื ให้มีชวี ิตอยู่ 2) เพื่อไมใ่ ห้ไดร้ บั อันตรายเพิ่มขึน้ 3) เพ่ือใหก้ ลับคนื สสู่ ภาพเดิมไดโ้ ดยเร็ว 4.2. หลักทั่วไปในกำรปฐมพยำบำล 1) อยา่ ต่นื เต้นตกใจ และอยา่ ให้คนมุง เพราะจะแยง่ ผู้บาดเจบ็ หายใจ 2) ตรวจดวู า่ ผบู้ าดเจ็บยงั รสู้ กึ ตัวหรือหมดสติ
59 3) อย่ากรอกยาหรือนา้ ให้แก่ผบู้ าดเจ็บในขณะที่ไม่รสู้ กึ ตวั 4) รีบให้การปฐมพยาบาลตอ่ การบาดเจ็บทอี่ าจทาใหเ้ กดิ อนั ตรายถึงแกช่ ีวิตโดยเร็วกอ่ น สว่ นการบาดเจ็บ อืน่ ๆ ที่ไมร่ นุ แรงมากใหด้ าเนนิ การปฐมพยาบาลในลาดบั ถดั มา 4.3. กำรบำดเจ็บที่ต้องได้รับกำรช่วยเหลือโดยเร็ว คือ 1) การขาดอากาศหายใจ 2) การตกเลือด และมีอาการช็อก 3) การสัมผัส หรือไดร้ บั สงิ่ มีพษิ ทรี่ ุนแรง 4.4. กำรปฐมพยำบำลเม่ือเกดิ อำกำรบำดเจบ็ 1) ขอ้ เคล็ด สำเหตุ เกิดจากการฉีกขาด หรอื การยดึ ตวั ของเนื้อเยอ่ื กลา้ มเนือ้ หรือเสน้ เอ็นรอบขอ้ ต่อ อำกำร (1) เวลาเคล่ือนไหวจะรู้สกึ ปวดบรเิ วณข้อตอ่ ท่ไี ดร้ บั อันตราย (2) บวมแดงบริเวณรอบ ๆ ขอ้ ตอ่ กำรปฐมพยำบำล (1) อยา่ ให้ข้อต่อบรเิ วณทเ่ี จ็บเคลอื่ นไหว (2) อยา่ ให้ของหนักกดทับบรเิ วณข้อทเ่ี จ็บ (3) ควรประคบด้วยความเยน็ ไว้กอ่ น (4) ถ้ามีอาการปวดรุนแรง ใหร้ ีบนาไปพบแพทย์ 2) ขดั ยอก สำเหตุ เกิดจากการทีก่ ล้ามเน้อื ยดึ ตวั มากเกนิ ไป ซ่งึ เกิดขน้ึ เพราะการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงและ รวดเร็วมากเกนิ ไป อำกำร เจ็บปวดบรเิ วณทไี่ ดร้ ับบาดเจบ็ ตอ่ มามอี าการบวม กำรปฐมพยำบำล (1) ให้ผบู้ าดเจ็บนั่ง หรอื นอนในท่าท่สี บาย และปลอดภยั (2) ถา้ ปวดมากอาจบรรเทาอาการโดยการประคบความเย็นก่อน แลว้ ตอ่ ด้วยประคบความรอ้ น 3) สำรเคมีเข้ำตำ สำเหตุ กรด หรอื ด่างเข้าตา อำกำร ระคายเคืองตา เจบ็ ปวดและแสบตามาก กำรปฐมพยำบำล (1) ใหล้ ้างตาด้วยน้าที่สะอาดโดยวธิ กี ารให้นา้ ไหลผา่ นลกู ตา จนกว่าสารเคมีจะออกมา (2) ใชผ้ ้าปิดแผลทีส่ ะอาดปิดตาหลวม ๆ แลว้ นาผู้บาดเจ็บไปพบแพทย์โดยเร็วท่ีสดุ 4) ไฟไหม้หรือนำ้ ร้อนลวก สำเหตุ บาดแผลอาจจะเกิดจากถกู ไฟโดยตรง ประกายไฟ ไฟฟ้า วตั ถุที่ร้อนจดั น้าเดือด สารเคมี เชน่ กรด หรือดา่ งท่ีมีความเขม้ ข้นอาการ แบ่งเป็น 3 ลกั ษณะ (1) ลักษณะที่ 1 ผิวหนังแดง (2) ลักษณะท่ี 2 เกิดแผลพอง (3) ลกั ษณะท่ี 3 ทาลายชนั้ ผวิ หนังเข้าไปเป็นอนั ตรายถึงเน้ือเยือ่ ท่ีอยู่ใตผ้ ิวหนงั บางคร้งั ผูบ้ าดเจบ็ จะมีอาการช็อก
60 กำรปฐมพยำบำล บาดแผลในลักษณะท่ี 1 และ 2 ซง่ึ ไม่สาหสั ให้ปฐมพยาบาล ดังนี้ (1) ประคบด้วยความเยน็ ทนั ที (2) ใช้นา้ มนั ทาแผลได้ และปิดแผลด้วยผ้าท่สี ะอาด ใชผ้ า้ พันแผลพนั แตอ่ ยา่ ใหแ้ นน่ มาก บำดแผลในลกั ษณะที่ 3 ให้ปฐมพยำบำล ดังนี้ (1) ถ้าผู้บาดเจบ็ มีอาการชอ็ ก รีบใหก้ ารปฐมพยาบาลอาการช็อกก่อน (2) หา้ มดึงเศษผ้าท่ีถูกไฟไหม้ซ่งึ ติดอยู่กบั ร่างกายออก (3) นาผูบ้ าดเจบ็ สง่ โรงพยาบาลโดยเรว็ ทส่ี ดุ เทา่ ที่จะทาได้ (๔) การหา้ มเลือดเม่ือเกิดอันตรายจากของมีคม วิธีห้ามเลอื ดมีหลายวธิ ี ได้แก่ 1. กำรกดดว้ ยน้ิวมือ มีวธิ ีปฏิบัตดิ ังน้ี 1.1. ในกรณที บี่ าดแผลเลอื ดออกไม่มาก จะหา้ มเลอื ดโดยใชผ้ า้ สะอาดปดิ ท่บี าดแผลแล้วพันให้แน่น ถ้ายัง มเี ลือดไหลซมึ ใหใ้ ชน้ ิว้ มือกดตรงบาดแผลดว้ ยกไ็ ด้ 1.2. ในกรณีที่เส้นโลหิตแดงใหญ่ขาด หรือได้รับอันตรายอย่างรุนแรงเป็นบาดแผลใหญ่ควรใช้น้ิวมือกด เพ่อื ห้ามเลือดไม่ให้ไหลออกมา และให้กดลงบรเิ วณระหวา่ งบาดแผลกับหวั ใจเชน่ 1) เลือดไหลออกจากหนังศรี ษะและสว่ นบนของศีรษะ ให้กดท่ีเส้นเลอื ดบรเิ วณขมับด้านทม่ี บี าดแผล 2) เลอื ดไหลออกจากใบหน้า ให้กดที่เส้นเลือดใต้ขากรรไกรล่างด้านท่ีมีบาดแผลห่างจากมุมขากรรไกรไป ขา้ งหนา้ ประมาณ 1 น้ิว 3) เลือดไหลออกมาจากคอ ให้กดลงไปบริเวณต้นคอขา้ ง ๆ หลอดลมดา้ นทมี่ บี าดแผล แต่การกดตาแหน่ง นนี้ านๆ อาจจะทาใหผ้ ู้ถูกกดหมดสตไิ ด้ ฉะนน้ั ควรใชว้ ิธนี ตี้ อ่ เมอ่ื ใช้วิธีอน่ื ๆ ไม่ไดผ้ ลแล้วเท่านั้น 4) เลือดไหลออกมาจากแขนท่อนบน ให้กดลงไปท่ีไหปลาร้าตอนบนสุดใกล้หัวไหล่ของแขนด้านที่มี บาดแผล 5) เลือดไหลออกมาจากแขนท่อนลา่ ง ให้กดท่ีเสน้ เลอื ดบรเิ วณแขนท่อนบนด้านในก่งึ กลางระหว่างหัวไหล่ กับขอ้ ศอก 6) เลือดออกที่ขา ให้กดเส้นเลือดบรเิ วณขาหนีบดา้ นทม่ี บี าดแผล 2. กำรใชส้ ำยรดั หำ้ มเลือด ในกรณีที่เลือดไหลออกจากเส้นโลหิตแดงที่แขนหรือขา ใช้นิ้วมือกดแล้วเลือดไม่หยุด ควรใช้สายสาหรับ ห้ามเลือดโดยเฉพาะ 2.1. สายรดั สาหรบั แขน ใหใ้ ช้รัดเสน้ โลหิตท่ตี ้นแขน สายรัดสาหรับขาใหใ้ ชร้ ดั เสน้ โลหิตทีโ่ คนขา 2.2. อย่าใช้สายรดั ผกู รัดให้แน่นเกินไป และควรจะคลายออกเป็นเวลา 3 วินาทที ุก ๆ 10 นาที จนกวา่ เลอื ดจะหยุด 2.3. ถ้าไม่มสี ายรดั แบบมาตรฐาน อาจใช้วัตถุท่ีแบน ๆ เช่น เข็มขัด หนังรัดผ้าเช็ดตัว เนคไท หรือเศษผ้า ทาเป็นสายรัดได้ แต่อย่าใช้เชือกเส้นลวด หรือด้ายทาเป็นสายรัด เพราะอาจจะบาดหรือเป็นอันตรายแก่ผิวหนัง บรเิ วณทผี่ กู ได้ 3. กำรยกบริเวณท่ีมบี ำดแผลให้สงู กวำ่ หวั ใจ ในกรณที ี่มีบำดแผลเลือดออกทเี่ ท้ำจัดให้ผู้บำดเจบ็ นอนลงแล้ว ยกเทำ้ ข้นึ กำรปฐมพยำบำล หน้ำมดื เป็นลม หน้ามืดเป็นลม เป็นสภาวะที่อาจเกิดจากสาเหตุท่ีไม่ร้ายแรง หรือจากสาเหตุท่ีร้ายแรงก็เป็นได้ ดังน้ันผู้ท่ี อยู่ใกล้ชิดควรจะต้องทราบและเรียนรู้ท่ีจะช่วยเหลือผู้ที่มีอาการหน้ามืดเป็นลมน้ันๆ ได้ทันท่วงทีมีอาการหมดสติ ไปช่ัวขณะประมาณ 1-2 นาที ภายหลังหน้ามืดเป็นลมแล้วรู้สึกตัวดีข้ึนในเวลาต่อมา ส่วนใหญ่แสดงว่าไม่น่าจะมี
61 อะไรร้ายแรง เช่น พวกท่ียืนกลางแดดเป็นเวลานานอาจเสียเหงื่อมากทาให้มีอาการเป็นลมแดดได้แต่หากว่าหมด สตไิ ปนานกว่านค้ี วรพาคนไข้ไปพบแพทย์จะเปน็ วิธีทีด่ ีที่สุด กำรปฐมพยำบำล 1. ควรให้คนไขน้ อนราบลงพื้นยกปลายขาสูงเพอ่ื ให้เลอื ดไหลไปเล้ียงสมอง 2. คลายเสื้อผา้ ให้หลวม 3. อย่ใู นท่ีอากาศถ่ายเท 4. ดมแอมโมเนียหรอื ยาหมอ่ ง (ถ้ามี) กำรปฐมพยำบำล ตะคริว ตะคริว คือ ภาวะท่ีกล้ามเนื้อหดเกร็งเองโดยที่เราไม่ได้ส่ังให้เกร็งหรือหดตัว โดยที่เราไม่สามารถควบคุม ให้กล้ามเน้ือมัดนั้น ๆ คลายตัวหรือหย่อนลงได้กว่าจะหาย คนท่ีเป็นตะคริวก็จะมีความเจ็บปวดค่อนข้างมาก สาเหตขุ องตะคริว อาจเกิดความล้ากล้ามเนื้อจากการใช้งานติดต่อเป็นเวลานานหรืออาจเกิดจากการกระแทก ทา ให้เกิดการฟกช้าต่อกล้ามเนื้อหรือบางท่านเชื่อว่าอาจเกิดจากภาวะไม่สมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย กล้ามเน้ือที่ พบว่าเปน็ ตะคริวไดบ้ ่อย คือ กลา้ มเนอื้ นอ่ งกลา้ มเน้อื ตน้ ขาทงั้ ด้านหนา้ และด้านหลงั และกลา้ มเนื้อหลัง กำรปฐมพยำบำล 1. ยืดกล้ามเนื้อออกตามความยาวปกติของกล้ามเนื้อใช้เวลาประมาณ 1-2นาที ปล่อยมือดูอาการว่า กล้ามเนอ้ื นน้ั ยังเกรง็ อย่หู รอื ไม่ ถ้ายงั มีอยใู่ หท้ าซา้ อีกจนไมม่ ีการเกรง็ ตัว 2. เกิดตะครวิ ที่น่อง รบี เหยียดเข่าให้ตรง กระดกปลายเท้าข้ึนทาเองหรือให้คนท่ีอยู่ใกล้ๆ ช่วยก็ได้ ถ้าทา เองกม้ เอามือดงึ ปลายเท้าเข้าหาตัว 1-2 นาที ทักษะชวี ิตท่จี ำเปน็ 3 ประกำร 2.1. ทักษะกำรสื่อสำรอย่ำงมปี ระสิทธิภำพ การสือ่ สาร เปน็ กระบวนการสร้างความเขา้ ใจกันระหวา่ งบุคคล โดยอาจเปน็ การสื่อสารทางเดียว คือ การ ส่อื ขา่ วสารจากผสู้ ่งสารไปยงั ผูร้ บั สาร โดยไม่มีการสื่อสารกลับหรอื สะทอ้ นความร้สู ึกกลับไปยังผ้สู ่งสารอีกคร้ัง ส่วน การสื่อสารสองทาง เป็นการสื่อข่าวสารจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสารและมีการสื่อสารกลับ หรือสะท้อนความรู้สึก กลับจาก ผู้รับสารไปยังผู้ส่งสารอีกคร้ัง จึงเรียกว่า เป็นการส่ือสารสองทางการส่ือสารระหว่างบุคคล นับว่าเป็น ความจาเปน็ อย่างยิ่ง 2.2. ทกั ษะกำรสรำ้ งสัมพนั ธภำพระหวำ่ งบคุ คล เราตอ้ งพึง่ พาอาศัยกัน ซ่ึงจะต้องมีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน การที่จะสร้างสัมพันธภาพให้เกิดข้ึนระหว่างกัน น้ันเปน็ เรอื่ งไม่ยาก 1. มีกำรตดิ ต่อพบปะกนั เราจะตอ้ งมกี ารตดิ ตอ่ พบปะพูดคุยกบั คนท่ีต้องการมีสมั พนั ธภาพกับเขาให้เวลากับเขา ทางานร่วมกัน ทา กจิ กรรมรว่ มกนั เลน่ กฬี าด้วยกนั และในทสี่ ุดเราก็มีโอกาสสร้างมิตรภาพทีด่ ีต่อกัน 2. มีควำมสนใจและประสบกำรณร์ ่วมกัน ประสบการณเ์ ปน็ สิง่ ทน่ี าคนสองคนให้มารว่ มมือกนั การชว่ ยเหลือกันในระหว่างการเล่าเรียน หรือการทา งานดว้ ยกนั มคี วามสนใจในเร่อื งเดียวกัน การร่วมประสบการณ์และแลกเปล่ียนประสบการณ์ระหว่างกัน เป็นการ สร้างมติ รภาพที่ดีให้เกดิ ขึน้ 3. มีทัศนคตแิ ละควำมเช่ือท่ีคลำ้ ยคลึงกนั ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่ความคิด ทัศนคติ และความรู้สึกอาจมีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ถ้าคนไหนมี ความคิดเห็นคล้ายคลึงกับเรา เราจะรู้สึกพอใจ แต่ถ้าคนไหนมีความคิดแตกต่างกับเรา เราจะรู้สึกไม่พอใจ แต่ใน ความเปน็ จริงต้องเข้าใจว่า คนส่วนใหญไ่ มไ่ ด้มคี วามเห็นเหมอื นกันทกุ เร่ือง แมใ้ นคนทเี่ ป็นมิตรต่อกนั เพยี งใดกต็ าม
62 2.3 ทกั ษะกำรเขำ้ ใจผอู้ ่ืน การทบ่ี ุคคลจะอยู่ในครอบครัวอยู่ในสังคมอยา่ งมคี วามสุข จาเป็นต้องรูจ้ ักตนเอง และรูจ้ ักผู้ทต่ี นเกยี่ วข้อง สัมพนั ธ์ด้วย ดงั ภาษติ จนี ทีว่ า่ “รู้เขา รู้เรา รบรอ้ ยครั้ง ชนะรอ้ ยครั้ง” ดังนน้ั การที่เราจะทาความรูจ้ ักผู้อื่น ซงึ่ เรา จะตอ้ งเก่ยี วข้องสมั พันธ์หลักในการเข้าใจผู้อืน่ มีดงั นี้ 1. ต้องคานึงว่าคนทุกคนมีศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับเรา จึงควรปฏิบัติกับเพื่อนมนุษย์ทุกคน ด้วยความเคารพในศกั ดิศ์ รีของความเปน็ มนุษย์เทา่ เทยี มกนั 2. บคุ คลทุกคนมีความแตกตา่ งกนั 3. การเอาใจเขามาใสใ่ จเรา 4. การรบั ฟงั ผู้อ่นื
63 ใบควำมรู้ ครัง้ ท่ี 12 วิชำศลิ ปศึกษำ รหัสวิชำ ทช21003 ระดับมัธยมศึกษำตอนต้น เร่ือง ประเภทของดนตรีและเทคนคิ วธิ ีกำรเลน่ เครอ่ื งดนตรไี ทย เคร่อื งดนตรีไทย คือ สง่ิ ท่สี รา้ งข้นึ สาหรบั ทาเสียงให้เปน็ ทานอง หรอื จังหวะ วธิ ีทท่ี าใหม้ เี สียงดังขน้ึ น้ันมี อยู่ ๔ วธิ ี คือ ใชม้ อื หรอื ส่งิ ใดสง่ิ หนง่ึ ดีดท่ีสาย แลว้ เกิดเสยี งดงั ขึ้น สง่ิ ที่มสี ายสาหรบั ดีด เรยี กว่า \"เคร่ืองดดี \" ใชเ้ สน้ หางมา้ หลายๆ เสน้ รวมกนั สีไปมาทีส่ าย แลว้ เกดิ เสียงดังข้นึ สง่ิ ท่มี สี ายแล้วใชเ้ ส้นหางม้าสใี ห้เกิด เสียง เรียกวา่ \"เครื่องสี\" ใชม้ ือหรอื ไมต้ ีทสี่ ่ิงนน้ั แล้วเกิดเสยี งดังขนึ้ สิง่ ท่ีใช้ไมห้ รอื มอื ตี เรยี กวา่ \"เครอ่ื งตี\" ใช้ปากเป่าลมเข้าไปในสิ่งน้ัน แลว้ เกดิ เสียงดังขน้ึ ส่ิงที่เปา่ ลมเขา้ ไปแล้วเกิดเสียงเรียกว่า \"เครอื่ งป่ำ\" เครือ่ งทุกอย่างที่กลา่ วแลว้ รวมเรยี กว่า เคร่อื งดีด สี ตี เปา่ ๑. เครื่องดดี เคร่ืองดีดทุกอย่างจะต้องมีส่วนท่ีเป็นกระพุ้งเสียง บางทีก็เรียกว่า กะโหลก สาหรับทาให้ เสียงท่ีดีดนั้นก้อง วานดังขึ้นอีก เครื่องดีดของไทยที่ใช้ในวงดนตรีแต่โบราณเรียกว่า \"พิณ\" ซ่ึงมาจากภาษาของชาวอินเดีย ท่ีว่า \"วีณา\" ในสมัยหลังๆ ต่อมาจึงบัญญัติช่ือเป็นอย่างอ่ืน ตามรูปร่างบ้าง ตามภาษาของชาติใกล้เคียงบ้าง เช่น\" กระจับปี่\" ซึ่งมีกระพุ้งเสียงรูปแบน ด้านหน้าและด้านหลัง กลมรี คล้ายรูปไข่ มีคันต่อยาวเรียวข้ึนไป ตอนปลาย บานและงอนโค้งไปข้างหลังเรียกว่า ทวน มี สายทาด้วยเอ็นหรือไหม ๔ สาย ขึงผ่านหน้ากะโหลกตามคันข้ึนไป จนถึงลูกบิด ๔ อัน ผูกปลาย สายอันละสาย มีนมติดตามคันทวนสาหรับกดสายลงไปติดสันนม ให้เกิดเสียงสูงต่า ตามประสงค์ ผู้ดีดต้องนั่งพับเพียบทางขวา วางตัวกระจับปี่ (กะโหลก) ลงตรงหน้าขาขวา กดน้ิวตามสายด้วยมือ ซา้ ย ดีดด้วยมอื ขวา รปู กระจับป่ี (หรอื พณิ ) ของไทยมีลกั ษณะดังในภาพ พณิ กระจบั ปี่ เครื่องดีดของไทยท่ีใชก้ ันอยู่อย่างแพรห่ ลายในปัจจบุ ันก็คือ \"จะเข\"้ จะเขเ้ ปน็ เคร่ืองดดี ท่วี างนอนตามพ้นื ราบ ทาด้วยไม้ท่อนขุดเปน็ โพรงภายใน ไมแ้ กน่ ขนนุ เปน็ ดีที่สดุ ด้านล่างมกี ระดานแปะเป็นพืน้ ท้อง เจาะรูระบาย อากาศพอสมควร มีเทา้ ตอนหัว ๔ เท้า ตอนทา้ ย ๑ เทา้ รวม เป็น ๕ เท้า มีสาย ๓ สาย สายเอก (เสยี งสงู ) กบั สาย กลางทาด้วยเอน็ หรือไหม สายตา่ สุด ทาด้วย ลวดทองเหลืองเรยี กวา่ สายลวด ขงึ จากหลักตอนหัวผา่ นโต๊ะและนม ไปลอดหย่อง แลว้ พันกบั ลกู บดิ สายละลกู มีนมตั้งเรียงลาดบั บนหลัง ๑๑ นม สาหรบั กดสายให้แตะเปน็ เสยี งสูงต่า
64 ตามตอ้ งการ การดีดตอ้ งใชไ้ ม้ดดี ทาด้วยงาชา้ งหรือกระดกู สัตว์ เหลากลม เรยี วแหลม ผกู พนั ติดกบั นวิ้ ชี้ มือขวา ดดี ปัดสายไปมา ส่วนมือซา้ ยใชน้ ้ิวกดสายตรงสนั นมต่างๆ ตามต้องการ จะเข้ ๒.เครอื่ งสี เคร่ืองดนตรีท่ีต้องใช้เส้นหางม้าหลายๆ เส้นรวมกัน สีไปบนสายซึ่งทาด้วยไหมหรือเอ็นนี้ โดยมาก เรียกว่า \"ซอ\" ท้ังน้ัน ซอของไทยที่มีมาแต่โบราณก็คือ \"ซอสามสาย\" ใช้บรรเลงประกอบ ในพระราชพีธีสมโภช ต่างๆ ซอสามสายน้ี กะโหลกสาหรับอุ้มเสียง ทาด้วยกะลามะพร้าวตัดขวางให้เหลือพูทั้งสามอยู่ด้านหลัง ขึงหน้า ด้วยหนงั แพะหรอื หนังลูกววั มคี ัน (ทวน) ตั้งตอ่ จากกะโหลก ขึน้ ไปยาวประมาณ ๑.๒๐ เมตร ทาด้วยงาช้างหรือไม้ แก่น กลึงตอนปลายให้สวยงาม มีลูกบิดสอด ขวางคันทวน ๓ อัน สาหรับพันปลายสาย เร่งให้ตึง หรือหย่อนตาม ต้องการ มีทวนล่างต่อลงไป จากกะโหลก กลึงให้เรียวเล็กลงไปจนแหลม เลี่ยมโลหะตอนปลาย เพ่ือให้แข็งแรง สาหรับปักลงกับ พ้ืน สายท้ังสามน้ันทาด้วยไหมหรือเอ็น ขึงจากทวนล่างผ่านหน้าซอซึ่งมีหย่องรองรับขึ้นไปตาม ทวน และร้อยเข้าในรู ไปพันลูกบิดสายละอัน ส่วนคันชักหรือคันสีน้ัน ทาคล้ายคันกระสุน ขึงด้วยเส้น หางม้า หลายๆ เส้น สีไปมาบนสายท้ังสามตามต้องการ สิ่งสาคัญของซอสามสายอย่างหนึ่ง คือ \"ถ่วงหน้า\" ถ่วงหน้าน้ี ทา ด้วยโลหะประดษิ ฐ์ใหส้ วยงาม บางทถี ึงแก่ฝังเพชรพลอยก็มี แต่จะต้องมีน้าหนักได้ส่วนสัมพันธ์กับหน้าซอ สาหรับ ตดิ ตรงหน้าซอตอนบนดา้ นซา้ ย ถ้าไมม่ ถี ว่ งหน้าแลว้ เสยี งจะดงั อูอ้ ไ้ี มไ่ พเราะ ซอสามสาย ซอด้วง เป็นเครอ่ื งสีที่มี ๒ สายเรียกวา่ สายเอก และสายทุ้ม ตัวกระพุ้งอุ้มเสียงเรียกว่า กระบอก เพราะมีรูปอย่าง กระบอกไม้ไผ่ ทาดว้ ยไมเ้ น้ือแข็งหรืองาช้าง ขึงหน้าด้วยหนังงูเหลือม ถ้าไม่มีก็ใชห้ นังแพะหรือหนงั ลกู วัว มที วน (คนั ) เสียบกระบอกยาวขึ้นไป ตอนปลายเปน็ สี่เหลีย่ ม โอนไปทางหลงั มลี ูกบดิ สาหรับพนั ปลายสาย ๒ อนั เน่อื งจากซอด้วงเป็นซอเสียงเล็กแหลม จึง ใชส้ ายทีท่ าดว้ ยไหมหรือเอ็นเปน็ เสน้ เลก็ ๆ สว่ นคันชกั นัน้ รอ้ ยเส้นหาง ม้าใหเ้ ขา้ อยู่ในระหวา่ งสาย ทั้งสอง
65 ซอด้วง ซออู้ เปน็ เครื่องสที ม่ี ีสาย ๒ สาย ทาด้วยไหมหรือเอน็ เรยี กว่า สายเอกและสายทุ้มเชน่ เดียวกบั ซอด้วง แต่ กะโหลกซ่งึ เปน็ เครือ่ งอุ้มเสียงทาดว้ ยกะลามะพร้าว ตดั ตามยาวใหพ้ อู ยู่ขา้ งบน ขึงหน้าดว้ ยหนงั แพะหรอื หนงั ลูกววั มีทวน (คนั ) เสียบยาวขนึ้ ไปกลึงกลมตลอดปลาย มลี ูกบดิ สาหรับพันสาย ๒ อัน คนั ชกั นน้ั ร้อยเสน้ หางม้าให้อยู่ ภายในระหวา่ งสายทั้งสอง ซออู้ การเรียกสายของเคร่ืองดนตรี ทัง้ เครื่องดีด และเครื่องสีว่า \"เอก\" และ \"ทุม้ \" นี้ เรียกตามลกั ษณะของเสยี ง สายที่มเี สยี งสงู ก็เรียกว่า สายเอก สายท่ีมีเสียงตา่ ก็เรยี กว่า สายทมุ้ ตลอดจน เครื่องตีท่จี ะกลา่ วตอ่ ไปนีก้ ็อนุโลม เชน่ เดียวกัน เครอ่ื งท่ีมเี สียงสูงกเ็ รียกวา่ เอก เครื่องที่มีเสยี งต่า กเ็ รยี กวา่ ท้มุ ๓.เคร่ืองตี เคร่ืองดนตรีที่ตีแล้วดังเป็นเพลงหรือเป็นจังหวะมีมากมาย จะกล่าวเฉพาะท่ีควรจะรู้จักและ ใช้กันอยู่ทั่วไป คอื กรับ เป็นเคร่ืองตที ่เี ม่ือตีแลว้ ดัง กรบั - กรับ กรับอย่างหนึ่งเป็นไม้ไผ่ผ่าซีก ๒ อัน ถือ มือละอัน แล้วเอาทาง ผิวไม้ตีกนั เรียกว่า \"กรับค\"ู่ หรอื \"กรบั ละคร\" เพราะโดยมากใช้ประกอบการเลน่ ละคร
66 กรบั อกี อย่างหนึ่ง เปน็ กรบั ท่ีทาดว้ ยไม้เน้ือแข็งหรอื งาชา้ ง เป็นซกี หนาๆ ประกบ ๒ ข้าง แลว้ มแี ผน่ โลหะ หรือไม้ หรืองา ทาเป็นแผน่ บางๆ หลายๆ อนั ซ้อนกันอยขู่ ้างใน เจาะรูตอนโคน ร้อยเชอื กเหมอื นพดั เรยี กว่า \"กรบั พวง\" กรบั พวง ระนำดเอก ระนำด เปน็ เครอ่ื งตีที่ทาดว้ ยไม้หรอื เหล็กหรือทองเหลืองหลายๆ อนั เรียงเปน็ ลาดบั กนั บางอย่างก็ร้อยเชือก หวั ท้ายแขวน บางอย่างก็วางเรยี งกนั เฉยๆ ระนำดเอก ลูกระนาดทาด้วยไมไ้ ผบ่ ง หรือไมช้ ิงชัง ไม้พะยูง และไม้มะหาด ลูกระนาด ฝานหวั ท้ายและท้อง ตอนกลาง ตดั ใหม้ คี วามยาวลดหลน่ั กันตามลาดบั ของเสยี ง โดยปกติมี ๒๑ ลูก เรยี งเสยี งต่าสูงตามลาดับ ลกู ระนาดทุกลูกเจาะรูรอ้ ยเชือกหัวทา้ ยแขวนบนรางซง่ึ มรี ปู โค้งขนึ้ มีเทา้ รูปสเ่ี หลย่ี ม ตรงกลางสาหรบั ต้ัง ไมส้ าหรับ ตีมี ๒ อยา่ งคือ ไม้แขง็ (เม่ือต้องการเสียงดังแกร่ง กร้าว) และไม้นวม (เม่อื ต้องการเสียงเบาและน่มุ นวล) ระนำดเอก ระนำดทมุ้ ลกู ระนาดเหมือนระนาดเอก แตใ่ หญ่และยาวกวา่ มี ๑๗ ลูก รางทแ่ี ขวนนนั้ ดา้ นบนโคง้ ขึ้น แต่ ดา้ นลา่ งตรงขนานกับพ้ืนราบ มเี ทา้ เล็กๆ ตรงมุม ๔ เทา้ ไม้ตีใชแ้ ต่ไมน้ วม
67 ระนำดทุ้ม การเทียบเสียงระนาดเอก และระนาดท้มุ เมอื่ ต้องการให้สงู ต่า ใชข้ ้ีผ้ึงผสมกับผงตะกว่ั ติดตรงหัวและท้าย ดา้ นลา่ ง ถ่วงเสยี งตามต้องการ ระนำดเอกเหล็ก ลกู ระนาดทาด้วยเหล็ก วางเรียงบนราง ไม่ต้องเจาะรรู อ้ ยเชือกมี ๒๐ ลกู หรือมากกว่านั้น ถา้ ลูกระนาดทาด้วยทองเหลืองกเ็ รียกวา่ ระนาดทอง ระนำดเอกเหล็ก ระนำดทมุ้ เหลก็ เหมือนระนาดเอกเหลก็ ทุกประการ นอกจากลกู ระนาดใหญแ่ ละยาวกว่า มี ๑๗ ลูก ถ้าทา ด้วยทองเหลืองกเ็ รียก ระนาดท้มุ ทอง ระนำดทุ้มเหลก็ การเทียบเสยี งระนาดเอกเหลก็ และระนาดทุ้มเหลก็ น้ี ใชต้ ะไบถูหวั ทา้ ยดา้ นล่างและทอ้ งลูก ระนาด ไม่ใช้ ขีผ้ ง้ึ ผสมผงตะถ่วั ติด เมอ่ื ต้องการใหล้ กู ไหนเสยี งสูงขึน้ กต็ ะไบหัวหรอื ท้ายใหบ้ าง ถ้าต้องการใหต้ ่าก็ตะไบท้อง ใหบ้ าง ฆอ้ ง ทาดว้ ยโลหะ เปน็ แผน่ กลม ตรงกลางมีปุ่มกลมนูนข้นึ สาหรบั ตี ขอบนอกหักมุมลงรอบตวั เปน็ รปู เหมือน ฉตั ร ฆ้องมหี ลายชนิด คือ
68 ฆ้องโหม่ง เป็นฆอ้ งขนาดเขือ่ ง ขนาดตงั้ แตเ่ สน้ ผา่ นศนู ย์กลางประมาณ ๓๐ เซนติเมตร ถึง ๔๕ เซนตเิ มตร โดย ปกตใิ ชแ้ ขวนไม้ขาหย่ัง ๓ อัน หรือทาเป็นรูปอย่างอน่ื ตีดว้ ยไมซ้ ง่ึ พันด้วย ผ้าเป็นป่มุ ตอนปลาย เสียงดงั โหมง่ - โหมง่ จงึ เรียกชือ่ ตามเสยี ง ฆอ้ งโหมง่ ฆ้องวงใหญ่ มี ๑๖ ลกู ขนาดลดหลน่ั กันไปตามลาดับ ลกู ต้นขนาดใหญ่ เสยี งต่า อยทู่ าง ซ้ายของผู้ตี ลูกยอด ขนาดเลก็ เสียงสูง อยู่ทางขวาของผตู้ ี ทุกลกู ผูกบนร้านซง่ึ ทาเป็นวงรอบตัว คนตี เวน้ ดา้ นหลังไว้ ผู้ตนี ั่งในกลาง วง ตดี ้วยไมท้ ่ที าดว้ ยแผ่นหนงั หนา ตัดเป็นวงกลม มดี ้าม เสียบตรงรกู ลางแผน่ หนงั ฆ้องวงใหญ่ ฆอ้ งวงเล็ก รปู รา่ งลักษณะเหมือนฆ้องวงใหญ่ แต่มขี นาดเล็กกว่าเทา่ นนั้ มจี านวนลูกฆอ้ ง ๑๘ ลกู ฆอ้ งวงเล็ก การเทียบเสยี งฆ้องวงใหญแ่ ละฆ้องวงเล็กนี้ ใชข้ ้ผี ึ้งผสมกบั ผงตะกว่ั ตดิ ตรงด้านลา่ งของ ปมุ่ ฆ้อง เพ่ือให้ได้ เสียงสูงต่าตามต้องการ
69 ฉง่ิ ทาด้วยโลหะหลอ่ หนา รปู เหมือนฝาชี ปากกวา้ งประมาณ ๖ เซนตเิ มตร มีรูตรงกลาง สาหรับร้อยเชอื ก สารบั หน่ึงมี ๒ อัน เรียกวา่ คู่ ตีให้ทางปากเขา้ กระทบประกบกนั ดัง ฉง่ิ - ฉับ ฉิ่ง ฉำบ ทาด้วยโลหะหล่อ บางกว่าฉิง่ รปู เหมอื นฉิ่งแตม่ ีชานต่อออกไปรอบตวั สารบั หนงึ มี ๒ อัน เรียกวา่ คู่ เหมอื นกนั ฉาบนมี้ ี ๒ ขนาด อยา่ งเล็กขนาดเสน้ ผ่านศนู ย์กลางประมาณ ๑๓ เซนตเิ มตร เรียกวา่ \"ฉาบ เล็ก\" อยา่ งใหญ่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๒๕ เซนตเิ มตร เรยี กว่า \"ฉาบใหญ่\" ฉำบ กลองทดั เป็นเคร่ืองตีท่ีทาดว้ ยไม้ท่อน กลงึ ให้ไดร้ ูปและสัดสว่ น ภายในขดุ เปน็ โพรง ขงึ หน้าทั้งสองขา้ งด้วย หนังววั หรือหนังควาย ตรงึ ด้วยหมุด (เรยี กว่าแส)้ ขนาดหน้ากลองเสน้ ผ่านศนู ย์ กลางประมาณ ๔๖ เซนตเิ มตร เทา่ กนั ทั้งสองหน้า ตัวกลองยาวประมาณ ๕๑ เซนติเมตร มีหู สาหรับแขวนเรียกวา่ หรู ะวงิ ๑ หู ชดุ หน่ึงมี ๒ ลูก ลูกเสยี งสูงเรยี กว่า ตวั ผู้ ลูกเสยี งตา่ เรยี กวา่ ตัวเมยี กอ่ นจะใชต้ อ้ งติดข้าวสกุ ผสมกับข้เี ถ้าบด ให้เข้ากัน ติดตรงกลางหน้าลา่ งซง่ึ ไม่ไดใ้ ช้ตี เพือ่ ใหเ้ สยี งนุ่มนวลขน้ึ ใช้ตดี ว้ ยไม้ทอ่ นยาวประมาณ ๕๐ เซนติเมตร กลองทดั กลองแขก เปน็ กลองทมี่ รี ูปร่างยาวประมาณ ๕๗ เซนติเมตร ขึงหน้าดว้ ยหนังแพะหรือ หนังลูกววั หนา้ ขา้ ง
70 หน่ึงใหญ่ กว้างประมาณ ๒๐ เซนตเิ มตร เรยี กวา่ \"หนา้ รยุ่ \" หน้าขา้ งเลก็ กว้าง ประมาณ ๑๗ เซนติเมตร เรียกวา่ \"หนา้ ต่าน\" มสี ายโย่งเรง่ เสยี งถงึ กนั ท้งั สองหน้าห่างๆ ทาดว้ ย หวายผ่าซีก และอีกเสน้ หนงึ่ พนั ยดึ สาย เป็นคๆู่ รอบกลองเรียกวา่ รัดอก สารับหนง่ึ มี ๒ ลกู ลูก เสียงสงู เรียกวา่ ตัวผู้ ลกู เสยี งต่าเรยี กวา่ ตัวเมีย ใช้ตี ดว้ ยมอื ทง้ั สองหนา้ กลองแขก โทน เปน็ เคร่อื งตีท่ีขงึ หนงั หน้าเดียว รูปร่างตอนตน้ โต แล้วคอ่ ยเรียวลงไป ตอนสุดผาย ออกนดิ หน่อย มีสาย โยงเรง่ เสยี งจากหน้ามาถึงคอ ซง่ึ มีอยู่ ๒ อย่างคือ โทนมโหรีกบั โทนชาตรี รปู รา่ งลกั ษณะต่างกันเล็กน้อย โทน โทนมโหรี สาหรับใช้ในวงมโหรี ในสมัยโบราณเรยี กว่า \"ทับ\" จงึ ไดเ้ รยี กท้ังสองช่ือตดิ กนั ว่า \"โทนทับ\" ตัวโทน ทาด้วยดินเผา สายโยงเรง่ เสยี งมักใชไ้ หมหรอื เอน็ (อยา่ งสายซอ) หรอื ดา้ ย ขงึ หน้าด้วยหนงั แพะหรอื หนงั ลูกววั หรอื หนงั งเู หลอื ม โทนมโหรี โทนชำตรี ตวั โทนทาดว้ ยไม้ สายโยงเรง่ เสยี งมกั จะใชห้ นงั ขึงหนา้ ด้วยหนงั ลกู ววั โดยมาก ทางภาคใต้มักใช้ ขนาดใหญ่ ส่วนภาคกลางใช้ขนาดยอ่ มกว่า
71 โทนชำตรี รำมะนำ เปน็ เครอ่ื งตีที่ขงึ หนังหนา้ เดยี ว รูปรา่ งแบน (หรอื สน้ั ) มี ๒ อย่าง คือ รามะนา ลาตดั และรามะนา มโหรี รามะนาตดั นั้นมีขนาดใหญ่ แต่จะไมพ่ ูดถึง เพราะมไิ ดอ้ ย่ใู นวงดนตรี จึงกล่าวแต่เฉพาะรามะนาทใี่ ช้ใน วงมโหรเี ทา่ นน้ั รำมะนำ รำมะนำในวงมโหรี ขึงหน้าด้วยหนังลูกวัว ตรึงด้วยหมดุ ตวั กลองสน้ั กลึงใหท้ างปาก สอบเข้า มีเสน้ เชือก ควน่ั เปน็ เกลียว ยดั หนนุ ริมหน้าภายใน สาหรับหมนุ ให้หน้าตึงขึ้น เรยี กว่า \"สนับ\" ตะโพน เป็นเครอ่ื งตีทข่ี งึ หนงั ๒ หน้า ตัวหุ่นทาดว้ ยไม้ ตรงกลางป่อง ภายในขดุ เปน็ โพรง หนงั ท่ีขึงหนา้ เจาะรู รอบ มเี ส้นหนังเล็กๆ คว่นั เป็นเกลยี วถกั เรยี กว่า \"ไสล้ ะมาน\" ใชห้ นงั ตดั เป็นแถบเล็กๆ เรียกว่า \"หนัง เรียด\" รอ้ ยไสล้ ะมานโยงทั้งสองหนา้ เรง่ เสียงตามต้องการ ตรงกลางมหี นังเรยี ดพนั เปน็ \"รัดอก\" วางนอนบน เท้า ซง่ึ ทาด้วยไมเ้ ข้ารูปกับหน้าตะโพน หน้าใหญ่เรยี กว่า \"หน้าเท่ง\" หน้าเลก็ เรยี กวา่ \"หนา้ มดั \" เวลาจะตีต้อง ติดขา้ วสุกผสมกับขเี้ ถ้าทางหนา้ เท่ง ถ่วงเสียงให้พอเหมาะ ตะโพน ๔.เคร่อื งเป่ำ เครอื่ งดนตรีไทยที่ใช้ลมเปา่ แลว้ ดังเป็นเสยี งนั้น แบ่งออกไดเ้ ปน็ ๒ ประเภท ประเภท หนึ่งตอ้ งมี ลิ้นที่ทาด้วยใบไม้ หรือไมไ้ ผ่ หรอื โลหะ สอดใสเ่ ข้าไว้ เมื่อเป่าลมเขา้ ไป ล้ินก็จะเตน้ ไหว ให้เกิดเสยี ง เรยี กว่า \"ปี่\" อีกประเภทหน่ึงไม่มีล้นิ แต่มรี บู งั คบั ทาให้ลมทีเ่ ป่าหกั มุม แลว้ เกดิ เป็นเสียงขึน้ เรียกว่า \"ขลุย่ \" ทั้งปี่และขลุ่ย ลักษณะนามเรียกว่า \"เลา\" ซึง่ มอี ยู่หลายประเภท แต่จะกลา่ วเฉพาะที่ควรรู้
72 เทา่ นนั้ คือ ป่ีใน ทาดว้ ยไมช้ งิ ชังหรอื ไม้พะยูง กลงึ ให้ป่องกลางและบานปลายทัง้ ๒ ขา้ งเล็กน้อย เจาะเป็นรูกลวงภายใน มรี สู าหรับปิดเปดิ น้วิ ใหเ้ ป็นเสียงสูงต่า เจาะทตี่ วั ปี่ ๖ รู ๔ รบู นเรยี งตาม ลาดบั แล้วเวน้ หา่ งพอควรจึงถึง ๒ รู ล่าง ลน้ิ ป่ีทาดว้ ยใบตาลตัดกลมมน ซ้อน ๔ ชน้ั ผกู ติดกับ หลอดโลหะทเี่ รยี กว่า \"กาพวด\" สอดกาพวดเขา้ ใน รปู ่ีด้านบนแล้วจึงเปา่ ปี่ใน ที่เรยี กวา่ ป่ีในนี้ มาเรียกกันเมื่อมีปรี่ ปู ร่างอย่างเดยี วกนั แต่ขนาดต่างกันเกิดข้ึน คือ ป่ีที่ยอ่ มกว่าปี่ใน เลก็ นอ้ ยเรียก \"ป่ีกลาง\" และปี่ขนาดเล็กเรยี กว่า \"ป่นี อก\" ป่ไี ฉน เป็นป่ที ี่มี ๒ ท่อน สวมตอ่ กนั มรี ูปเหมือนดอกลาโพง ยาวประมาณ ๑๙ เซนติเมตร บรรเลงรว่ มกับ กลองชนะ ในงานพระบรมศพ พระศพเจา้ นาย หรือศพที่ได้รับพระราชทานเกยี รตยิ ศ ปไี่ ฉน ปีช่ วำ รปู ร่างเหมือนปี่ไฉน แต่ใหญก่ ว่า ยาวประมาณ ๓๙ เซนตเิ มตร บรรเลงรว่ มในวง เคร่ืองสายปีช่ วา และป่ีพาทยน์ างหงส์ ปีช่ วำ ขลุย่ เป็นเครื่องเปา่ ที่ไม่มีลน้ิ ทาด้วยไมร้ วก (ทีท่ าด้วยไม้ชงิ ชงั หรอื งาชา้ งก็มี) มีรสู ี่เหล่ียมผืนผา้ อยดู่ า้ นใต้ ซง่ึ ทาให้ลมหักมมุ ลง เรยี กว่า รปู ากนกแกว้ รทู ่สี าหรับปิดเปิดนิ้วบงั คับ เสยี งสงู ต่าอยดู่ ้านบน ๗ รู และ ด้านลา่ งเรยี กวา่ รนู ้วิ ค้า อีก ๑ รู ดา้ นขวามรี สู าหรบั ปดิ เยอ่ื (เยอื่ ในปลอ้ งไม้ไผห่ รือเย่ือหัวหอม) เพื่อให้
73 เสยี งแตก (เม่ือต้องการ) ขลุ่ยรูปร่างอยา่ งเดียวกันนีม้ ี ๓ ขนาด คอื \"ขลุ่ยหลบิ \" ขนาดเลก็ มเี สียงสูง ยาว ประมาณ ๓๖ เซนตเิ มตร \"ขลุย่ เพยี งออ\" ขนาดกลาง เสยี งระดับกลาง ยาวประมาณ ๔๕ เซนตเิ มตร และ \"ขลยุ่ อ้\"ู ขนาดใหญ่ มเี สียงต่า ยาว ประมาณ ๖๐ เซนติเมตร ขลยุ่ หลิบ ขล่ยุ เพยี งออ
74 ใบควำมรู้ ครั้งที่ 13 วิชำศิลปศึกษำ รหสั วิชำ ทช21003 ระดับมธั ยมศึกษำตอนตน้ เรอื่ ง นำฏศิลป์ไทยประเภทต่ำง ๆ นาฏศิลป์ คอื การรา่ ยราที่มนุษย์ได้ปรงุ แต่งจากลีลาตามธรรมชาตใิ ห้สวยสดงดงาม โดยมดี นตรีเป็น องค์ประกอบในการร่ายรา นาฏศิลปข์ องไทย แบง่ ออกตามลักษณะของรปู แบบการแสดงเปน็ ประเภทใหญ่ ๆ 4 ประเภท คือ 1. โขน เปน็ การแสดงนาฏศิลป์ชน้ั สงู ของไทยทีม่ เี อกลักษณ์ คือ ผู้แสดงจะต้องสวมหวั ทเี่ รียกวา่ หัวโขน และใชล้ ลี าทา่ ทางการแสดงด้วยการเต้นไปตามบทพากย์ การเจรจาของผพู้ ากยแ์ ละตามทานองเพลงหนา้ พาทย์ทบ่ี รรเลงด้วยวงปี่พาทย์ เร่ืองท่ีนยิ มนามาแสดง คือ พระราชนิพนธบ์ ทละครเรื่องรามเกยี รติ์ แต่งการ เลียนแบบเคร่อื งทรงของพระมหากษัตรยิ ์ที่เปน็ เครื่องต้น เรยี กวา่ การแต่งกายแบบ “ย่นื เครอื่ ง” มจี ารีตขัน้ ตอน การแสดงทีเ่ ป็นแบบแผน นิยมจดั แสดงเฉพาะพิธสี าคัญได้แก่ งานพระราชพิธตี ่าง ๆ 2. ละคร เป็นศลิ ปะการรา่ ยราทีเ่ ล่นเป็นเรอ่ื งราว มพี ัฒนาการมาจากการเล่านทิ าน ละครมเี อกลักษณ์ ในการแสดงและการดาเนินเร่ืองด้วยกระบวนลลี าท่ารา เข้าบทรอ้ ง ทานองเพลงและเพลงหน้าพาทยท์ ี่บรรเลง ด้วยวงป่พี าทย์มีแบบแผนการเลน่ ทเ่ี ปน็ ทัง้ ของชาวบ้านและของหลวงท่ีเรยี กวา่ ละครโนราชาตรี ละครนอก ละครใน เรือ่ งท่นี ยิ มนามาแสดงคือ พระสธุ น สังข์ทอง คาวี อิเหนา อณุ รทุ นอกจากนีย้ งั มลี ะครทปี่ รับปรงุ ขนึ้ ใหมอ่ ีกหลายชนดิ การแตง่ กายของละครจะเลียนแบบเครื่องทรงของพระมหากษตั รยิ ์ เรียกวา่ การแตง่ การแบบ ยืนเคร่อื ง นยิ มเล่นในงานพธิ ีสาคญั และงานพระราชพิธขี องพระมหากษตั รยิ ์ 3. ราและระบา เป็นศลิ ปะแหง่ การร่ายราประกอบเพลงดนตรีและบทขับร้อง โดยไมเ่ ล่นเป็นเร่ืองราว ในทีน่ ้หี มายถึงราและระบาที่มีลักษณะเปน็ การแสดงแบบมาตรฐาน ซึง่ มคี วามหมายทีจ่ ะอธิบายไดพ้ อสงั เขป ดังน้ี 3.1 รา หมายถึง ศิลปะแห่งการรายราท่มี ผี ู้แสดง ต้ังแต่ 1-2 คน เชน่ การราเดี่ยว การราคู่ การราอาวุธ เปน็ ต้น มลี ักษณะการแตง่ การตามรูปแบบของการแสดง ไม่เล่นเป็นเรื่องราวอาจมีบทขับรอ้ ง ประกอบการราเขา้ กับทานองเพลงดนตรี มกี ระบวนทา่ รา โดยเฉพาะการราคูจ่ ะตา่ งกับระบา เน่ืองจากท่าราจะ มคี วามเชอ่ื มโยงสอดคล้องต่อเนอื่ งกนั และเปน็ บทเฉพาะสาหรบั ผ้แู สดงนน้ั ๆ เช่น ราเพลงชา้ เพลงเร็ว ราแมบ่ ท ราเมขลา –รามสรู เปน็ ต้น 3.2 ระบา หมายถงึ ศลิ ปะแห่งการรา่ ยราท่มี ีผ้เู ลน่ ตงั แต่ 2 คนข้นึ ไป มีลักษณะการแต่งการ คล้ายคลงึ กัน กระบวนทา่ รายราคล้าคลึงกัน ไม่เล่นเป็นเร่ืองราว อาจมีบทขบั ร้องประกอบการราเขา้ ทานอง เพลงดนตรี ซ่งึ ระบาแบบมาตรฐานมักบรรเลงดว้ ยวงปีพ่ าทย์ การแตง่ การนิยมแต่งกายยนื เครอ่ื งพระนาง-หรอื แต่งแบบนางในราชสานัก เชน่ ระบาสบ่ี ท ระบากฤดาภินหิ าร ระบาฉงิ่ เปน็ ตน้
75 4. การแสดงพนื้ เมือง เปน็ ศิลปะแหง่ การร่ายราท่ีมีทงั้ รา ระบา หรือการละเล่นทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณข์ อง กลุ่มชนตามวฒั นธรรมในแต่ละภูมิภาค ซึง่ สามารถแบ่งออกเปน็ ภมู ิภาคได้ 4 ภาค ดังน้ี 4.1 การแสดงพื้นเมอื งภาคเหนือ เปน็ ศิลปะการรา และการละเลน่ หรือทน่ี ิยมเรียกกนั ท่วั ไปว่า “ฟ้อน” การฟ้อนเปน็ วฒั นธรรมของชาวลา้ นนา และกลุ่มชนเผ่าตา่ ง ๆ เช่น ชาวไต ชาวลื้อ ชาวยอง ชาวเขิน เปน็ ตน้ ลกั ษณะของการฟ้อน แบง่ เป็น 2 แบบ คือ แบบดงั้ เดิม และแบบท่ปี รับปรุงข้ึนใหม่ แตย่ งั คงมีการ รกั ษาเอกลักษณ์ทางการแสดงไว้คอื มลี ีลาทา่ ราท่แี ชม่ ช้า อ่อนช้อยมกี ารแต่งกายตามวัฒนธรรมทอ้ งถน่ิ ทีส่ วยงาม ประกอบกับการบรรเลงและขับร้องด้วยวงดนตรพี นื้ บ้าน เชน่ วงสะล้อ ซอ ซงึ วงปเู จ่ วงกลองแอว เปน็ ต้น โอกาส ท่ีแสดงมักเลน่ กันในงานประเพณีหรือตน้ รบั แขกบา้ นแขกเมือง ได้แก่ ฟ้อนเลบ็ ฟอ้ นเทยี น ฟอ้ นครัวทาน ฟ้อนสาว ไหม และฟ้อนเจิง 4.2 การแสดงพ้ืนเมืองภาคกลาง เปน็ ศลิ ปะการร่ายราและการละเล่นของชนชาวพนื้ บ้านภาคกลาง ซ่งึ สว่ นใหญ่มอี าชีพเกย่ี วกบั เกษตรกรรม ศลิ ปะการแสดงจึงมีความสอดคล้องกบั วิถีชวี ติ และเพื่อความบันเทงิ สนกุ สนาน เปน็ การพักผ่อนหยอ่ นใจจากการทางาน หรอื เมอื่ เสรจ็ จากเทศการฤดูเก็บเก็บเก่ียว เช่น การเล่น เพลงเกยี่ วขา้ ว เต้นการาเคยี ว ราโทนหรือราวง ราเถดิ เทอง รากลองยาว เป็นต้น มี การแต่งกายตาม วฒั นธรรมของท้องถิ่น และใชเ้ ครื่องดนตรีพ้นื บ้าน เช่น กลองยาว กลองโทน ฉิง่ ฉาบ กรบั และโหมง่ 4.3 การแสดงพ้ืนเมืองภาคอสี าน เปน็ ศิลปะการราและการเล่นของชาวพื้นบ้านภาคอสี าน หรอื ภาคตะวนออกเฉียงเหนือของไทย แบ่งไดเ้ ปน็ 2 กลมุ่ วัฒนธรรมใหญ่ ๆ คือ กลุ่มอสี านเหนอื มวี ัฒนธรรมไทย ลาวซง่ึ มกั เรยี กการละเล่นว่า “เซิง้ ฟอ้ น และหมอลา” เช่น เซ้งิ บงั ไฟ เซิ้งสวิง ฟ้อนภูไท ลากลอนเกี้ยว ลา เต้ย ซง่ึ ใชเ้ ครื่องดนตรพี ้ืนบา้ นประกอบ ได้แก่ แคน พิณ ซอ กลองยาว อสี าน ฉ่ิง ฉาบ ฆ้อง และกรบั ภายหลงั เพม่ิ เติมโปงลางและโหวดเขา้ มาด้วย ส่วนกลุม่ อสี านใต้ได้รับอิทธิพลไทยเขมร มกี ารละเลน่ ทเ่ี รียกว่า เรอื ม หรือ เร็อม เชน่ เรือมอนั เร หรอื รากระทบสาก รากระโน็บตงิ ตอ็ ง หรือระบาต๊ักแตน ตาขา้ ว ราอาไย หรือรา ตัด หรือเพลงอีแซวแบบภาคกลางวงดนตรี ทใ่ี ชบ้ รรเลง คือ วงมโหรีอสี านใต้ มเี ครื่องดนตรี คอื ซอดว้ ง ซอ ดว้ ง ซอครัวเอก กลองกันตรึม พณิ ระนาด เอกไม้ ปี่สไล กลองรามะนาและเครื่องประกอบจังหวะ การแตง่ กายประกอบการแสดงเป็นไปตามวฒั นธรรมของพืน้ บา้ น ลักษณะทา่ ราและทว่ งทานองดนตรใี นการแสดงคอ่ นข้าง กระชับ รวดเรว็ และสนุกสนาน 4.4 การแสดงพื้นเมืองภาคใต้ เป็นศิลปะการราและการละเลน่ ของชาวพน้ื บ้านภาคใตอ้ าจแบง่ ตาม กลมุ่ วัฒนธรรมไทย 2 กล่มุ คอื วัฒนธรรมไทยพทุ ธ ไดแ้ ก่ การแสดงโนรา หนังตะลุง เพลงบอก เพลงนา และวฒั นธรรมไทยมสุ ลมิ ได้แก่ รองเง็ง ซาแปง มะโย่ง (การแสดงละคร) ลิเกฮูลู (คล้ายลเิ กภาคกลาง) และ ซิละ มีเคร่ืองดนตรปี ระกอบท่สี าคญั เชน่ กลองโนรา กลองโพน กลองปดื โทน ทบั กรับพวง โหม่ง ป่กี า หลอ ปีไ่ หน รามะนา ไวโอลิน อัคคอรเ์ ดยี น ภายหลงั ไดม้ รี ะบาท่ปี รบั ปรงุ จากกิจกรรมในวถิ ีชวี ิต ศิลปาต่างๆ เขน่ ระบาร่อนแต่ การีดยาง ปาเตต๊ะ เป็นตน้
76 ใบควำมรู้ คร้ังท่ี 14 วิชำกำรใชพ้ ลังงำนไฟฟ้ำในชวี ิตประจำวนั 2 รหสั วิชำ พว22002 ระดบั มธั ยมศึกษำตอนต้น เรื่อง กำรกำเนดิ ของไฟฟ้ำ 1. ธรรมชาตขิ องไฟฟา้ สสารทม่ี ีในโลกนปี้ ระกอบด้วยอนภุ าคเล็ก ๆ ซง่ึ เราเรยี กว่า อะตอมหรือ ปรมาณู (Atoms)ภายในอะตอมจะประกอบไปดว้ ยอนุภาคไฟฟา้ เล็กๆ 3 ชนิด คืออเิ ล็กตรอน โปรตอนและนวิ ตรอน โดยท่ี อิเลก็ ตรอนจะมีประจุไฟฟ้าเป็นลบ โปรตอนมีประจุไฟฟา้ เป็นบวก และในนวิ ตรอนมปี ระจไุ ฟฟา้ เปน็ กลาง การอยู่ รว่ ม กันของอนุภาคทัง้ สามในอะตอมเป็นลักษณะที่โปรตอนและนิวตรอนรว่ มกนั อยู่ ตรงกลาง เรียกว่า นวิ เคลียส และมีอิเล็กตรอนโคจรอย่รู อบ ๆ 2.กำรไหลของอเิ ล็กตรอน ภายในอะตอมจะมีอเิ ลก็ ตรอนโคจรอยรู่ อบ ๆ นิวเคลยี ส เปน็ วง ๆ ซงึ่ อิเล็กตรอนที่อยู่วงนอกสุดเรยี กวา่ อิเลก็ ตรอนอสิ ระ และถ้าอเิ ล็กตรอนท่ีอยวู่ งนอกน้ีไดร้ บั พลังงานก็จะทาให้อเิ ล็กตรอน เคล่อื นที่ไปอยใู่ นอะตอมท่ี ถดั ไปทาใหเ้ กดิ การไหลของอิเล็กตรอน พลังงานท่จี ะทาให้อิเลก็ ตรอน ในวตั ถุตัวนาไหลได้ คอื เคร่ืองกาเนิดไฟฟ้า ซง่ึ จะทาหนา้ ทที่ ง้ั การรบั และจ่ายอิเล็กตรอน ซงึ่ เราเรียกวา่ ข้ัวไฟฟ้า โดยกาหนดไวว้ ่าขวั้ ทรี่ ับอเิ ลก็ ตรอน เรียกว่า ขวั้ บวก ขัว้ ที่จ่ายอิเล็กตรอนเรยี กวา่ ขั้วลบ 3.แหล่งกำเนิดไฟฟำ้ แหลง่ กาเนดิ ไฟฟ้ามหี ลายชนิด ดังน้ี 3.1 แหลง่ กำเนิดไฟฟ้ำที่เกิดขึน้ จำกกำรเสียดสีของวตั ถุ
77 การนาวตั ถุ 2 ชนิดมาเสยี ดสีกันจะเกิดไฟฟ้า เรียกวา่ ไฟฟ้าสถิต . ผู้ค้นพบไฟฟ้าสถิตคร้งั แรก คือ นกั ปราชญ์กรีกโบราณ ทา่ นหนึ่งช่ือเทลสิ (Philosopher Thales) แตย่ งั ไม่ ทราบ อะไรเกยี่ วกับไฟฟ้ามากนัก ..จนถงึ สมัยเซอร์วลิ เลี่ยมกลิ เบอร์ค (Sir William Gilbert)ไดท้ ดลองนาเอาแทง่ อาพันถูกับ ผา้ ขนสตั วป์ รากฏว่าแทง่ อาพันและผ้าขนสัตวส์ ามารถดูด ผงเลก็ ๆ ไดป้ รากฏการณ์นี้คือการเกิดไฟฟ้า สถิตบน วตั ถทุ ้งั สอง 3.2 แหล่งกำเนดิ ไฟฟ้ำทีเ่ กดิ ขนึ้ จำกพลังงำนทำงเคมี แหล่งกาเนิดไฟฟ้าจากพลังงานทางเคมเี ปน็ ไฟฟา้ ชนดิ กระแสตรง (Direct Current) สามารถแบ่งออกไดเ้ ปน็ 2 แบบ คือ 1) เซลล์ปฐมภูมิ (Primary Cell) เป็นแหล่งกาเนิดไฟฟ้าที่ใหก้ ระแสไฟฟา้ ตรง ผทู้ ่ีคิดค้นได้คนแรกคือ เคานต์อาเลสซันโดรยเู ซปเป อันโตนโี ออานสั ตาซีโอวอลตา นกั วิทยาศาสตรช์ าวอิตาลี โดยใช้แผน่ สงั กะสี และแผน่ ทองแดงจุ่มลงใน สารละลายของกรดกามะถนั อยา่ งเจือจาง มีแผน่ ทองแดงเป็นขั้วบวกแผ่นสังกะสีเป็นขวั้ ลบ เรียกวา่ เซลล์ วอลเทอิก เมอ่ื ต่อเซลล์กับวงจรภายนอก กจ็ ะมีกระแสไฟฟ้าไหลจากแผน่ ทองแดงไปยังแผ่นสงั กะสี ขณะทีเ่ ซลลว์ อลเทอกิ จา่ ยกระแสไฟฟ้าใหก้ บั หลอดไฟแผ่นสงั กะสี จะค่อย ๆ กร่อนไปทีละนอ้ ยซง่ึ จะเปน็ ผลทาใหก้ าลงั ในการจา่ ยกระแสไฟฟา้ ลดลงด้วย และเมอื่ ใชไ้ ปจนกระทง่ั แผ่นสงั กะสกี ร่อนมากก็ต้อง เปล่ียนสงั กะสีใหม่ จงึ จะทาใหก้ ารจ่ายกระแสไฟฟ้าไดต้ ่อไปเทา่ เดิม .ขอ้ เสยี ของเซลล์แบบนค้ี อื ผ้ใู ช้ จะตอ้ งคอยเปลยี่ นแผน่ สังกะสที ุกคร้ังที่เซลลจ์ ่ายกระแสไฟฟา้ ลดลงแต่อย่างไรกต็ ามเซลล์วอลเทอิกน้ี ถอื ว่าเป็นต้นแบบของการประดิษฐเ์ ซลลแ์ ห้ง (Dry Cell) หรอื ถา่ นไฟฉายในปัจจบุ ัน ท้งั เซลล์เปยี กและเซลล์ แห้งนเี้ รียกว่า เซลล์ปฐมภมู ิ (Primary Cell) ข้อดีของเซลล์ปฐมภมู ินี้ คือเมื่อสรา้ งเสร็จสามารถนาไปใชไ้ ด้ ทันที 2) เซลล์ทตุ ิยภมู ิ (Secondary Cell) เป็นเซลล์ไฟฟ้าสรา้ งขนึ้ แล้วต้องนาไปประจุไฟเสยี ก่อนจงึ จะนามาใช้ และเมื่อใชไ้ ฟหมดแลว้ ก็สามารถ นาไปประจุไฟใช้ได้อีก โดยไมต่ ้องเปลีย่ นสว่ นประกอบภายใน และเพื่อให้มกี ระแสไฟฟ้ามากจะตอ้ งใช้เซลล ์ หลายแผน่ ตอ่ กันแบบขนานแตถ่ ้าต้องการให้แรงดนั กระแสไฟฟ้าสูงขึ้นก็ต้องใช้เซลลห์ ลาย ๆแผน่ .แบบอนกุ รม เซลล์ไฟฟ้าแบบน้ีมชี ่ือเรยี กอีกอย่างหน่ึงว่า สตอเรจเซลล์ หรือ สตอเรจแบตเตอร่ี(Storage Battery)
78 3.3 แหล่งกำเนดิ ไฟฟ้ำที่เกดิ ข้นึ จำกพลังงำนแม่เหล็กไฟฟ้ำ กระแสไฟฟา้ ที่ไดม้ าจากพลังงานแมเ่ หล็กโดยวธิ กี ารใช้ลวดตวั นาไฟฟ้าตดั ผา่ นสนามแมเ่ หลก็ หรอื การนา สนามแมเ่ หลก็ วง่ิ ตดั ผ่านลวดตวั นาอย่างใดอยา่ งหนงึ่ ทั้งสองวธิ ีน้ีจะทาให้มีกระแสไฟฟ้าไหลในตวั นานน้ั กระแสท่ี ผลิตไดม้ ที ัง้ กระแสตรงและกระแสสลับ 1) เครื่องกำเนดิ ไฟฟ้ำกระแสตรง หลักการของเครื่องกาเนิดไฟฟา้ กระแสตรง อาศัยหลกั การทต่ี ัวนาเคลือ่ นที่ตัดสนามแม่เหลก็ จะเกิดแรง เคล่อื นที่ไฟฟ้าข้ึนในลวดตัวนาน้ัน โครงสร้ำงของเครือ่ งกำเนดิ ไฟฟ้ำกระแสตรง มีดังน้ี ก. สว่ นท่อี ยูก่ ับที่ ประกอบดว้ ย โครงและข้วั แมเ่ หล็ก สว่ นนส้ี รา้ งสนามแมเ่ หลก็ หรือ เสน้ แรงแม่เหลก็ และส่วนที่รบั กระแสไฟออก ข. ส่วนท่ีเคล่อื นท่ี หรอื สว่ นท่ีหมุนเรยี กวา่ อาร์มาเจอร์ (Armature) .ประกอบดว้ ย 1. แกนเพลา 2. แกน เหล็ก 3. คอมมิวเตเตอร์
79 3) เครอื่ งกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ มีโครงสร้างเหมอื นเครื่องกาเนิดไฟฟา้ กระแสตรง แต่ที่อาร์มาเจอร์ มีวง แหวนแทนคอมมิวเตเตอร์ (Commutature) หลกั การทางานของ การเกดิ มีข้นั ตอนโครงสร้าง 9 ข้ันตอน 3.4 แหล่งกำเนดิ ไฟฟำ้ ทเี่ กิดขึ้นจำกพลงั งำนแสง เกดิ จากการทีแ่ สงผ่านกระแสไฟฟ้า จากพลงั งานสารกง่ึ ตวั นา เพราะว่าเม่ือสารกงึ่ ตวั นาได้รบั แสง อิเลก็ ตรอนภายในสารหลุดออกมา และเคลื่อนทีไ่ ด้ แหลง่ กาเนิดไฟฟา้ นี้ทีใ่ ช้อยู่ปจั จบุ นั เรียกว่า โฟโต เซลล์ (Photo Cell) ใชใ้ นเคร่ืองวดั แสงของกลอ้ งถา่ ยรปู การปิดเปิดประตลู ิฟต์และระบบนิรภัย เป็นตน้ 3.5 แหล่งกำเนดิ ไฟฟำ้ ทีเ่ กิดขึน้ จำกพลงั งำนควำมร้อน กระแสไฟฟ้าเกดิ ขนึ้ จากพลงั งานความร้อนโดยการนาโลหะ 2 ชนดิ มายึดติดกันแลว้ ให้ความร้อนจะ เกดิ กระแสไฟฟ้าไหลในแทง่ โลหะทง้ั สอง เช่น ใช้ทองคาขาวกับคอนสแตนตนั ยึดปลายข้างหนง่ึ ใหต้ ดิ กัน และปลายอีกด้านหนงึ่ ของโลหะท้งั สองตอ่ เข้ากับเคร่ืองวดั ไฟฟา้ กลั วานอร์มิเตอร์ เม่ือใช้ความร้อนเผา ปลายของโลหะทีย่ ดึ ติดกนั นั้น พลังงานความร้อนจะทาใหเ้ กิดพลงั งาน
80 ไฟฟา้ ข้ึน เกดิ กระแสไฟฟ้าไหลผ่านเครื่องวัดไฟฟ้า 3.6 แหลง่ กำเนิดไฟฟำ้ ทเ่ี กิดขึน้ จำกแรงกด กระแสไฟฟา้ ที่เกิดขึ้นจากแรงกด สารทีถ่ ูกแรงกด หรือดึง จะเกดิ กระแสไฟฟ้าผลึก ของควอตซ์ ทวั รม์ าไลท์และเกลือโรเซลล์ เมื่อนาเอาผลึกดงั กลา่ วมาวางไวร้ ะหวา่ งโลหะทั้งสองแผ่นแล้วออกแรงกด สารนี้จะมไี ฟฟ้าออกมา ท่ปี ลายโลหะท้งั สอง พลงั งานไฟฟา้ ที่เกิดขน้ึ นี้ต่ามาก นาไปใช้ทาไมโครโฟน หฟู ัง โทรศัพท์ หัวปคิ อพั ของเครื่องเลน่ จานเสยี ง เป็นตน้ 4.ชนิดของไฟฟำ้ ไฟฟ้าทเ่ี กดิ ข้นึ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังน้ี .1 ไฟฟ้ำสถิต ไฟฟา้ สถิตเกดิ ขึ้นจากการเสียดสี โดยการนาสารตา่ งชนดิ มาถูกันอิเล็กตรอนที่อย่ใู นวงจรโคจรของ สารท้งั สองอาจชนกันได้อาจทาให้สารชน้ิ หนึ่งสูญเสียอิเล็กตรอนไปให้กับสารอีกชนิดหนึ่ง แตเ่ น่อื งจากวา่ สาร เหล่านี้ไมไ่ ด้ต่อกบั สารภายนอกอเิ ลก็ ตรอน ไม่มโี อกาสถ่ายเทได้จงึ คงอยู่ทีส่ ารน้นั เราจึงเรยี กไฟฟา้ แบบนวี้ ่าไฟฟ้า สถิต ประโยชน์ของไฟฟำ้ สถิต ไฟฟา้ สถติ สามารถนาไปใชใ้ นวงการอุตสาหกรรม เกีย่ วกับการพ่นสโี ลหะตา่ ง ๆ การกรองฝนุ่ และเขม่าออก
81 จากควันไฟ การทากระดาษทราย เปน็ ตน้ โทษของไฟฟำ้ สถิต ไดแ้ ก่ การเกิดฟา้ ผา่ 4.2 ไฟฟ้ำกระแส ไฟฟ้ากระแส เปน็ ไฟฟ้าทใี่ ช้อยู่ในบา้ นพักอาศยั และในโรงงานอุตสาหกรรมทว่ั ไป ไฟฟ้ากระแส สามารถแบง่ ได้ 2 ชนดิ คือ 1) ไฟฟำ้ กระแสตรง (Direct Current) ไฟฟ้ากระแสตรงเปน็ ไฟฟา้ กระแสที่มที ิศทางการเคลอื่ นที่ของ กระแสไฟฟา้ ไปในทศิ ทางเดียวกนั เปน็ วงจร เช่น กระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ (Battery) ถา่ นไฟฉายเซลล์สรุ ยิ ะ ไดนาโมกระแสตรง เปน็ ตน้ 2) ไฟฟ้ำกระแสสลับ (Alternating Current) เปน็ ไฟฟ้ากระแสทม่ี ีทิศทางการเคลื่อนที่สลบั กนั โดย กระแสไฟฟ้าที่เกิดขึน้ ในขดลวดตวั นาของเครื่องกาเนดิ ไฟฟ้ากระแสสลับ ซึง่ มีอยู่ 3 ชนิดคือ ไฟฟ้ากระแสสลับ เฟสเดียว สองเฟส และสามเฟส ในปัจจบุ นั นิยมใชเ้ พยี ง 2 ชนิดเทา่ นน้ั คอื กระแสไฟฟ้าสลับเฟสเดยี วกบั สามเฟส ก. ไฟฟำ้ กระแสสลบั เฟสเดียว (Single Phase) ลกั ษณะการเกิดไฟฟา้ กระแสสลบั คือ ขดลวดชดุ เดียวหมนุ ตัดเสน้ แรงแมเ่ หลก็ เกิดแรงดันกระแสไฟฟ้า ทา ใหก้ ระแสไหลไปยังวงจรภายนอก โดยผา่ นวงแหวน และแปลงถา่ นดังกล่าวมาแลว้ จะเห็นไดว้ ่าเมอ่ื ออกแรงหมนุ ลวดตัวนาได้ 1 รอบ จะได้กระแสไฟฟ้าชุดเดียวเท่านนั้ ถ้าตอ้ งการใหไ้ ดป้ ริมาณกระแสไฟฟ้าเพม่ิ ข้ึน ก็ต้องใชล้ วด ตวั นาหลายชุดไวบ้ นแกนที่หมุน ดงั น้ันในการออกแบบขดลวดของเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลับถ้าหากออกแบบ ชดุ ขดลวดบนแกนใหเ้ พ่มิ ขึน้ อีก 1 ชุด แล้วจะได้กาลงั ไฟฟ้าเพมิ่ ขึ้น ข. ไฟฟ้ำกระแสสลับสำมเฟส (Three Phase) .เปน็ การพัฒนามาจากเคร่ืองกาเนิดไฟฟา้ กระแสสลบั ชนดิ สอง
82 เฟส โดยการออกแบบจดั วาง ขดลวดบนแกนที่หมนุ ของเครื่องกาเนิดนัน้ เป็น 3 ชดุ ซ่งึ แตล่ ะชุดนน้ั วางห่างกนั 120 องศาทางไฟฟ้า ไฟฟา้ กระแสสลบั ท่ใี ช้ในบา้ นพักอาศยั ส่วนใหญใ่ ช้ไฟฟา้ กระแสสลบั เฟสเดยี ว (SinglePhase)ระบบการส่งไฟฟา้ จะใช้ สายไฟฟ้า 2 สายคอื สายไฟฟ้า 1 เส้น และสายศนู ย์ (นิวทรอล) หรอื เราเรยี กกันว่า สายดินอกี 1 สาย สาหรับบา้ นพกั อาศัยในเมืองบางแหง่ อาจจะใช้เคร่ืองใช้ไฟฟา้ ชนดิ พิเศษ จะต้องใชไ้ ฟฟ้าชนิดสามเฟส ซ่ึงจะให้ กาลงั มากกว่า เชน่ มอเตอร์เครอื่ งสบู น้าในการบาบัดน้าเสยี ลิฟตข์ องอาคารสูง ๆ เป็นต้น
83 ใบควำมรู้ ครัง้ ท่ี 15 วชิ ำกำรใช้พลังงำนไฟฟ้ำในชีวิตประจำวัน 2 รหสั วิชำ พว22002 ระดบั มัธยมศกึ ษำตอนต้น เรื่อง สถำนกำรณ์พลังงำนไฟฟ้ำของประเทศไทยและประเทศในกลมุ่ อำเซียน ปัจจบุ ันการใช้พลงั งานไฟฟ้าของประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ทว่ั โลก เพม่ิ สงู ขน้ึ อยา่ งต่อเนอื่ ง โดยเช้ือเพลิงหลักทนี่ ามาใชใ้ นการผลติ ไฟฟ้า คือ เช้อื เพลงิ ฟอสซิล เร่มิ ลดลงเรื่อย ๆ ดงั น้ันหาก ผ้ใู ช้พลงั งานไฟฟ้ายงั ไมต่ ระหนักถึงสาเหตดุ งั กล่าว จนอาจส่งผลกระทบต่อการผลติ ไฟฟ้าในอนาคตอนั ใกล้ จึง จาเป็นต้องเขา้ ใจถึงสถานการณ์พลงั งานไฟฟา้ และแนวโนม้ การใชไ้ ฟฟ้าในอนาคต ในเร่ืองที่ 2 ประกอบด้วย 3 ตอน คือ ตอนที่ 1 สถานการณ์พลงั งานไฟฟ้าของประเทศไทย ตอนท่ี 2 สถานการณ์พลงั งานไฟฟ้าของประเทศในกลุ่มอาเซยี น ตอนท่ี 3 สถานการณ์พลงั งานไฟฟา้ ของโลก ตอนท่ี 1 สถานการณพ์ ลงั งานไฟฟ้าของประเทศไทย พลังงานไฟฟ้าเปน็ ปจั จยั ท่สี าคัญในการดาเนนิ ชวี ติ และการพฒั นาประเทศ ท่ีผา่ นมาความตอ้ งการ ใชไ้ ฟฟ้าของประเทศไทยเพ่ิมขึ้นอยา่ งต่อเนื่องประมาณร้อยละ 4 - 5 ตอ่ ปี ซึ่งสอดคล้องกับจานวนประชากรท่ี เพมิ่ ขึ้นและการเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกิจ ปจั จบุ ันพลังงานไฟฟ้าได้เข้ามามบี ทบาทต่อการดารงชวี ติ ประจาวนั อย่างหลีกเล่ียงไม่ได้ รวมทั้งเป็นปจั จยั สาคัญในการขบั เคล่ือนเศรษฐกิจของประเทศมากข้ึน โดยในปี พ.ศ. 2557 ประเทศไทยมกี ารใช้ไฟฟา้ เป็นอนั ดบั ที่ 24ของโลก ซ่ึงเป็นทน่ี ่ากงั วลวา่ พลังงานไฟฟ้าจะเพียงพอต่อความต้องการ ใชไ้ ฟฟา้ ในอนาคตหรือไมด่ ังน้ันความมนั่ คงทางพลังงานไฟฟ้าจงึ มปี ระเดน็ สาคัญท่ีประชาชนทกุ คนควรรู้ ดงั นี้ 1. สดั สว่ นการผลติ ไฟฟ้าจากเชื้อเพลงิ ประเภทตา่ ง ๆ ของประเทศไทย การผลติ ไฟฟ้าของประเทศไทยมีการใชเ้ ชื้อเพลงิ ที่หลากหลาย ซึง่ ไดม้ าจากแหล่งเชื้อเพลิงทั้งภายในและภายนอก ประเทศ จากข้อมูลปี พ.ศ. 2558 พบว่า ประเทศไทยมีการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ คดิ เป็นร้อย ละ 69.19 ของการผลติ ไฟฟ้าทง้ั หมด รองลงมา คือถา่ นหินนาเขา้ และถ่านหนิ ในประเทศ (ลิกไนต์) รอ้ ยละ 18.96 พลังงานหมนุ เวียน ร้อยละ 11.02 น้ามนั เตาและนา้ มนั ดีเซล รอ้ ยละ 0.75 และมีการนาเขา้ ไฟฟา้ จาก มาเลเซยี ร้อยละ 0.07
84 2. การใช้ไฟฟา้ ในแต่ละช่วงเวลาในหนงึ่ วันของประเทศไทย การเลือกใช้เชอื้ เพลิงมาผลิตไฟฟ้า นอกจากการพิจารณาถึงปัจจัยต่าง ๆ ทีไ่ ด้กลา่ วมาแล้วนัน้ อีกปจั จัยสาคญั ที่ ต้องนามาพจิ ารณาด้วย คอื ประเภทของโรงไฟฟา้ ทตี่ ้องการในระบบใหส้ อดคล้องกบั ความตอ้ งการใช้ไฟฟ้าในแต่ ละชว่ งเวลา เพื่อความมปี ระสิทธภิ าพของระบบและตน้ ทุนค่าไฟฟ้าท่ีเหมาะสม เพราะโรงไฟฟา้ แตล่ ะประเภทมี ความเหมาะสมในการผลติ ไฟฟา้ ในแต่ละชว่ งเวลาที่ต่างกนั และโรงไฟฟ้าแตล่ ะประเภทก็มกี ารใช้เชื้อเพลิงที่ แตกตา่ งกันด้วย 3. สภาพปจั จบุ นั และแนวโนม้ การใช้พลังงานไฟฟา้ กาลังการผลิตไฟฟา้ ของประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2558 มีจานวนรวมท้งั สิ้น 38,774 เมกะวตั ต์แบง่ เป็นกาลังการ ผลติ ภายในประเทศ 35,387 เมกะวตั ต์ คดิ เป็นรอ้ ยละ 91.26 และกาลงั ผลิตท่ีมีสญั ญาซ้ือไฟฟ้าจากต่างประเทศ อกี 3,387 เมกะวตั ต์ คิดเป็นร้อยละ 8.74 โดยมคี วามตอ้ งการไฟฟ้าสูงสุดที่ 27,346 เมกะวตั ต์ ซึ่งความต้องการ ไฟฟา้ มีแนวโน้มเพ่มิ ขนึ้ ทกุ ปีตามสภาพภมู อิ ากาศจานวนประชากรทเี่ พิม่ สูงขึ้น และการขยายตัวทางเศรษฐกจิ และ อุตสาหกรรม 4. แผนพัฒนากาลังการผลิตไฟฟา้ ของประเทศไทย (Power Development Plan :PDP) แผนพัฒนากาลังการผลติ ไฟฟ้า คือ แผนแมบ่ ทในการผลติ ไฟฟ้าของประเทศ ว่าด้วยการจดั หา พลงั งานไฟฟ้า ในระยะยาว 15 – 20 ปี เพอื่ สรา้ งความมน่ั คงและความเพียงพอต่อความตอ้ งการใชใ้ นการพฒั นา คณุ ภาพชวี ติ ของประชาชน และเพ่ือการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ปัจจบุ นั ใชแ้ ผนพฒั นากาลงั การผลติ ไฟฟา้ ของประเทศไทยปี 2558 - 2579 (PDP 2015)ซ่ึงเปน็ แผนฉบบั ล่าสดุ และเปน็ แผนท่สี อดคล้องกบั แผนอนรุ ักษ์พลังงาน ทีม่ เี ป้าหมายเพ่ือประหยัดและเพิ่มประสิทธภิ าพ การใช้พลงั งาน และแผนพฒั นาพลงั งานทดแทนและพลังงานทางเลือก ซงึ่ การจัดทาแผน PDP ตอ้ งจัดทาค่า พยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าของประเทศ เพ่ือนาคา่ พยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าจดั ทาแผนการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ให้เพยี งพอในอนาคตต่อไป ตอนที่ 2 สถานการณ์พลังงานไฟฟา้ ของประเทศในกล่มุ อาเซียน อาเซียน หรอื สมาคมประชาชาติแหง่ เอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ (Association of Southeast Asian Nation : ASEAN) เป็นองค์กรที่ก่อต้ังขึ้นเพ่ือสร้างสันติภาพในภูมภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ อันนามาซงึ่ เสถยี รภาพทางการเมืองและความเจรญิ กา้ วหน้าทางเศรษฐกจิ สังคมและวัฒนธรรม โดยมุ่งเน้นใหอ้ าเซียนเป็น ตลาดเดียวกนั และเปน็ ฐานการผลติ รว่ มท่ีมศี ักยภาพในการแขง่ ขนั ทางการค้ากับภมู ิภาคอื่น ๆ ของโลก ปัจจุบนั มี ประเทศสมาชิก 10 ประเทศแบง่ ออกเปน็ ประเทศสมาชกิ อาเซียนเดิม 6 ประเทศ คือ บรูไน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลปิ ปินส์สิงคโปร์ และประเทศไทย ประเทศสมาชกิ ใหม่ 4 ประเทศ คือ กัมพชู า ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม อาเซยี นถือเปน็ ภมู ิภาคท่มี ีอตั ราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกจิ ท่รี วดเร็ว ทาให้ความต้องการพลังงานไฟฟา้ เพิม่ สงู ขนึ้ อย่างต่อเน่ือง ดังน้ันเพื่อเป็นการเตรยี มพร้อมรบั มอื กับสถานการณ์พลังงานไฟฟ้าท่ีกาลงั จะเกิดข้นึ จึง จาเปน็ ตอ้ งมีความรคู้ วามเขา้ ใจถงึ สถานการณ์พลงั งานไฟฟ้าของประเทศต่าง ๆ ในอาเซยี น เพอ่ื จะได้เลือกใช้
85 ทรัพยากรพลงั งานได้อย่างเหมาะสมและสามารถสารองพลังงานให้เพยี งพอกบั ความต้องการใช้ในอนาคต สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากเชือ้ เพลิงประเภทต่าง ๆ ของประเทศในกล่มุ อาเซียน จากความหลากหลายของทรพั ยากรพลังงานทแ่ี ตกต่างกนั ของแต่ละประเทศในกลุ่มประเทศ อาเซียน จึงทาใหแ้ ต่ละประเทศมีนโยบายและเป้าหมายทางดา้ นพลังงานไฟฟ้าท่ีแตกต่างกัน โดยสัดสว่ นการใช้ เชอ้ื เพลงิ ในการผลิตไฟฟ้าของประเทศในกลุม่ อาเซียนจะแตกต่างกนั ขนึ้ กบั ทรพั ยากรพลงั งานของประเทศน้นั ๆ โดยประเทศในภูมภิ าคอาเซียนมีการผลติ ไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาตมิ ากทีส่ ุด รองลงมา คือ ถ่านหนิ พลังน้า น้ามนั และพลงั งานทดแทน ตามลาดับสาหรับสดั สว่ นการใช้เชื้อเพลงิ ผลิตไฟฟ้าของแตล่ ะประเทศในกลุ่มอาเซยี น ปี พ.ศ. 2557 ดงั ภาพ ตอนท่ี 3 สถานการณ์พลังงานไฟฟ้าของโลก ปัจจุบนั ความต้องการไฟฟา้ ยงั คงเพ่ิมขึน้ ทั่วโลก สอดคล้องกบั จานวนประชากรท่ีเพ่มิ ขึ้นและการ ขยายตวั ทางเศรษฐกจิ จากการประเมินขององค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency : IEA) ระบวุ ่า การใช้พลังงานของโลกมีแนวโนม้ เพิม่ สูงขึน้ เรอื่ ยๆ โดยแหลง่ พลังงานท่ีใชส้ ูงสดุ 3 อนั ดับแรก ไดแ้ ก่ น้ามนั ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหนิ 19ที่สาคญั หากโลกมีการใช้พลงั งานใน ระดับทเ่ี ป็นอย่ใู นปจั จุบันและไม่มีการค้นพบแหลง่ พลงั งานอืน่ เพิ่มเตมิ ไดอ้ ีก คาดวา่ โลกจะมปี ริมาณสารองนา้ มนั ใชไ้ ดอ้ ีก 52.5 ปี ก๊าซธรรมชาติ 54.1 ปี และถา่ นหินอีกประมาณ 110 ปี เทา่ นนั้ ดงั นัน้ การใช้พลงั งานจากแหล่ง พลงั งานเหลา่ น้จี าเปน็ ต้องคานึงถงึ ความสมดลุ ระหว่างความต้องการใชพ้ ลังงานกบั ปริมาณสารองของพลังงานทม่ี ี เหลืออยู่อีกทั้งจาเปน็ ต้องทาการศกึ ษาและพฒั นาแหล่งพลงั งานใหม่ ๆ เพื่อทดแทนแหลง่ พลงั งานเก่าท่กี าลงั จะ หมดไป นอกจากน้ีส่ิงท่ตี ้องตระหนกั เป็นอยา่ งยิ่ง คือ ผลกระทบทจ่ี ะเกิดขึน้ อันเน่ืองมาจากการใช้พลังงานเหลา่ นี้ โดยเฉพาะปัญหาดา้ นสิ่งแวดล้อม อตั ราการเพิ่มข้นึ ของกาลังผลิตไฟฟ้าในทวปี ตา่ ง ๆ จะมีความแตกต่างกัน ทั้งน้ี เปน็ ผลเนื่องมาจากอัตราการเจรญิ เตบิ โตของเศรษฐกิจ โดยทวีปเอเชียจะมีอตั ราการผลติ ไฟฟา้ เพมิ่ ขึ้นสูงสุด เนอื่ งจากประเทศในทวปี เอเชียส่วนใหญเ่ ปน็ ประเทศที่กาลังพัฒนาจงึ มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง และมแี นวโน้ม เพิม่ สงู ข้ึนอกี ในอนาคต ในขณะทีป่ ระเทศในทวีปยุโรปซึ่งเป็นประเทศทมี่ ีอัตราการเตบิ โตทางเศรษฐกิจท่ดี แี ละ ประชาชนมีการดารงชีวติ ที่สูงกว่ามาตรฐานนน้ั จะมีอตั ราการใชพ้ ลังงานค่อนขา้ งคงที่
86 ใบควำมรู้ ครง้ั ที่ 16 วชิ ำกำรใชพ้ ลังงำนไฟฟำ้ ในชวี ติ ประจำวัน 2 รหสั วชิ ำ พว22002 ระดบั มธั ยมศึกษำตอนต้น เรื่อง เชือ้ เพลิงและพลงั งำนท่ใี ชใ้ นกำรผลิตไฟฟำ้ เช้ือเพลิงฟอสซลิ แมว้ า่ กระแสโลกในทกุ วนั นี้ จะมองว่าพลังงานฟอสซลิ คือตัวการสาคัญทีท่ าใหเ้ กิดภาวะโลกร้อน อากาศ โลกวิปรติ ปรวนแปร แตเ่ ราคงไมอ่ าจปฏเิ สธได้ว่าความสะดวกสบาย ทนั สมัยของชีวติ บนพน้ื โลก ลว้ นมี รากฐานมา จากการพฒั นาอุตสาหกรรม โดยมพี ลังงานฟอสซลิ เปน็ ขุมพลังงานขบั เคล่ือนหลกั ใหโ้ ลกใบนี้มีการ พฒั นาทาง เทคโนโลยแี ละอตุ สาหกรรมหลายๆ ด้าน หากแตบ่ างคนก็ยังคงไม่ร้จู กั เจา้ พลงั งานท่ีว่านีด้ ีนัก เหตใุ ดจึงเรียกวา่ พลังงานฟอสซิล และพลงั งาน ฟอสซลิ ประกอบด้วยอะไรบา้ ง และทาไมจงึ มีความสามารถที่ จะขับเคล่อื นโลกไป ขา้ งหน้าได้ ท่มี าของพลังงานฟอสซิล เกิดจากการทบั ถมกันของซากพชื ซากสัตวข์ นาดเล็กในทะเลเม่ือประมาณ 500 ลา้ นปกี อ่ น การทับถมและตกตะกอนเปน็ ช้ันหนานับพนั เมตรจนกลายเป็นช้ันหินใต้ผิวโลก ทาใหไ้ ด้รับ ความ รอ้ นจากใต้พิภพและเกิดการสลายตัวของอินทรีย์สาร ทาให้ซากพชื ซากสัตว์เหล่านัน้ สลายตัวกลายเปน็ วตั ถุท่ี สามารถเปน็ เชอ้ื เพลิงและให้พลงั งานได้ซ่ึงเชือ้ เพลงิ ดังกลา่ วประกอบด้วย 3 สถานะ คอื 1. ของแข็ง (ถ่ำนหนิ ) 2. ของเหลว (นำ้ มันดิบ) 3. กำ๊ ซ (ก๊ำซธรรมชำต)ิ โดยเรียกว่ารวม พลังงานฟอสซลิ หรือ เชอ้ื เพลงิ ฟอสซลิ หรือ เชอ้ื เพลงิ ซากดึกดาบรรพ์ หลงั จากท่เี ชื้อ เพลิงฟอสซิลถูกฝังอยู่ใตผ้ ิวโลก เปน็ เวลายาวนานหลายรอ้ ยล้านปีจึงมมี นษุ ย์ชนเผ่า แรกท่ีนาเชือ้ เพลงิ เหลา่ น้ีขึน้ มา ใชเ้ มื่อประมาณ 2,500 ปกี อ่ นครสิ ตกาล ชนเผ่าบาบโิ ลเนยี นนานา้ มนั มาใช้เปน็ เชอ้ื เพลงิ แทนไม้และเมอ่ื 1,000 ปกี อ่ นคริสตกาล ชาว จนี กเ็ ปน็ ชนชาติแรกทม่ี ีการทาเหมืองถา่ นหิน และขุด เจาะบ่อก๊าซธรรมชาติได้สาเร็จ หากแต่การคน้ พบจน นาไปสู่การใช้ประโยชน์จากเช้อื เพลิงฟอสซิลอย่างจรงิ จัง เริม่ ขนึ้ เมื่อประมาณ 160 ปกี อ่ น มกี ารขุดพบนา้ มันท่ี มลรฐั เพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา พร้อมกบั ขณะน้ันเกิดภาวะขาดแคลนน้ามนั ปลาวาฬซ่งึ ใช้ เปน็ เช ้ื อเพลงิ และ นา้ มนั หลอ่ ล่ืน จงึ เรม่ิ มีการน้ามนั ดิบไปใชต้ ้ังแตน่ ้นั มา เพียงไม่ก่ปี ีต่อจากน้ัน นา้ มนั ดิบก็ กลายเปน็ ท่ตี ้องการ และมีคุณคา่ จนไดร้ บั ฉายาว่า ทองคาสีดาเชอ้ื เพลงิ ฟอสซิล เปน็ กุญแจสาคญั ของการก้าวเข้า ส่ยู ุคปฏวิ ัตอิ ตุ สาหกรรม เนื่องจากมกี ารพฒั นา เทคโนโลยเี คร่ืองจักรไอน้าท่ใี ช้ถ่านหนิ เป็นเชื้อเพลงิ หลัก ทาให้มี การใชเ้ ครอื่ งจกั รอตั โนมตั ิในโรงงาน เกดิ การการใช้ประโยชน์จากเช้อื เพลงิ ฟอสซลิ มดี ว้ ยกันหลากหลายรปู แบบ โดยสามารถแบง่ การใช้ประโยชน์ ตามสถานะ ดงั นี้ ถ่ำนหิน ใชเ้ ป็นเช้อื เพลงิ หลกั ในการให้พลงั งานความร้อนในโรงงานขนาดใหญ่ และใชเ้ ป็นเชื้อเพลิงท่่ี สาคัญในการผลิตกระแสไฟฟ้า นา้ มนั ดิบ เมื่อนามากลั่นหรอื ผ่านกระบวนการ แยก จะได้ผลติ ภณั ฑห์ ลายชนดิ ได้แก่ นา้ มนั เบนซิน น้ามนั ก๊าด น้ามันดีเซล น้ามนั หล่อลื่น จาระบนี ้ามันเตา ยางมะตอย ซงึ่ ส่วนใหญน่ าไปใช้เปน็ เชอื้ เพลงิ ในโรงงาน อุตสาหกรรม และนา้ มนั เบนซนิ น้ามันดีเซล ใช้เป็นเช้ือเพลงิ หลกั ให้กับยานยนต์ ก๊าซ
87 ธรรมชาติจาเปน็ ตอ้ งผ่านกระบวนการแยก เชน่ เดียวกนั ซ่งึ จะให้ผลิตภัณฑ์อีกหลายชนิด เช่น ก๊าซธรรมชาติ สาหรบั ยานยนต์ (NGV) กา๊ ซหงุ ต้ม (LPG) ที่มคี วามจาเปน็ สาหรบั การหุงต้มในครวั เรือน เปน็ ตน้ นอกจาก ประโยชน์หลกั ๆ ท่ใี ชเ้ ป็นเช้อื เพลงิ แล้ว ผลติ ภัณฑบ์ างชนดิ ท่ี่แยกไดจ้ ากการกระบวนการแยก น้ามนั ดิบและก๊าซ ธรรมชาติยังสามารถนาไปเป็นผลิตภัณฑต์ ้งั ต้นให้กับอตุ สาหกรรมอ่นื ๆ เพอ่ื อผลิตเป็นผลิตภณั ฑท์ ีม่ ีความสาคัญ อยา่ งยิ่งในชีวติ มนุษย์เชน่ พลาสติก ผงซกั ฟอก ยางสังเคราะห์ปุ๋ยเคมีและกาว เป็นต้น ด้วยเหตุน้เี ราจงึ ปฏิเสธไมไ่ ด้ เลยว่าเชอื้ เพลิงฟอสซิลนนั้ ลว้ นรายลอ้ มอยู่รอบตวั เราในรปู แบบของเช้อื เพลงิ และผลิตภัณฑต์ ่างๆ ที่เราใชก้ ันอยู่ ในชวี ิตประจาวัน แหลง่ ที่ สามารถขดุ พบเช้อื เพลิงฟอสซิล มีทั้งบนบกและในทะเล โดยกลุ่มประเทศแถบทม่ี กี าร ค้นพบ และมศี ักยภาพในการขุดน้ามันดบิ มากทสี่ ดุ ในโลกคือกลุ่มประเทศตะวนั ออกกลางไดแ้ ก่ ประเทศ ซาอดุ ิอาระเบยี อริ กั อิหร่าน เป็นตน้ นอกจากนี้ในกลุ่มประเทศแถบอเมริกาใต้กม็ ีการขุดน้ามนั ดบิ เชน่ เดียวกัน เชน่ ประเทศเวเนซูเอลา่ และเม็กซิโก สาหรบั ประเทศไทยมกี ารขุดค้นเชือ้ เพลิงฟอสซลิ ท้ัง 3 สถานะ คอื ถา่ นหิน ที่อาเภอแมเ่ มาะ จังหวดั ลาปาง เปน็ เหมืองถ่านหนิ ลกิ ไนต์ขนาดใหญ่ จึงมีการต้งั โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ถ่านหนิ ข้ึนที่น่ัน ส่วน นา้ มันดบิ สามารถพบได้ท้ังบนบกและในทะเล เช่นมีการพบแหล่งน้ามนั ดิบที่อาเภอฝาง จงั หวดั เชียงใหม่ แหลง่ สริ กิ ิต์อิ าเภอลานกระบือ จงั หวัดกาแพงเพชร เป็นตน้ ซึ่งแหล่งน้ามนั ดบิ ที่พบนมี้ ีศักยภาพในการผลติ น้ามนั ดบิ สาหรบั ใช้ในประเทศไทยไดส้ ่วนหนง่ึ และกา๊ ซธรรมชาติพบในบรเิ วณอ่าวไทย โดยมีแหล่งขดุ ค้นหลายแห่ง เชน่ แหลง่ บงกช แหลง่ เอราวณั เป็นตน้ การเผาไหมเ้ ชื้อเพลงิ ฟอสซลิ นอกจากจะไดผ้ ลผลติ เป็นพลงั งานความร้อนแลว้ ยงั ปลดปล่อยกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซซลั เฟอร์ไดออกไซด์ ก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ ฝุ่นละออง และหากเกิด การเผาไหม้ไม่สมบรู ณก์ จ็ ะมีของแถมอย่าง ก๊าซคารบ์ อนมอนอกไซดเ์ พิม่ มาด้วย ซึ่งก๊าซเสียต่างๆ ท่ีเปน็ ผลพลอย ไดจ้ ากการเผาไหม้เชอ้ื เพลงิ นี้นีเ่ อง เมื่อเกิดการสะสมตวั ในบรรยากาศเปน็ จานวนมาก ทาให้เกิดปรากฏการณ์เรือน กระจก และนาไปสูภ่ าวะโลกรอ้ น ท่เี ราทุกคนประสบอยู่ในปจั จบุ นั หลังจากทม่ี นษุ ยเ์ รานาเชื้อเพลิงฟอสซลิ ขึ้นมา ใช้เป็นจานวนมาก ทาให้ทกุ วันนีป้ รมิ าณของพลังงาน ฟอสซลิ ทอ่ี ยู่ใตโ้ ลกซึ่งมีอยอู่ ย่างจากดั ใกล้จะหมดลงไปทุกที มีการคาดกันวา่ ปริมาณสารองนา้ มันดิบจะยังมี เหลือให้ใช้กันได้อกี 40-60 ปี กา๊ ซธรรมชาตใิ ช้ได้อีก 100 ปี และถ่านหนิ ยงั เหลือปรมิ าณมากท่สี ุด เพยี งพอต่อการใช้งานได้อีก 300 ปีจากการโหมกระหนา่ ใชเ้ ชื้อเพลิง ฟอสซิลกนั มาเกือบ 200 ปี ไม่เพียงทาใหป้ รมิ าณเชอ้ื เพลิงฟอสซิลร่อยหรอลงไปมาก แต่ยงั เกดิ ภาวะโลกรอ้ นเปน็ ของแถมดว้ ย ดงั นั้นเราจงึ ควรหันมาใช้เช้อื เพลิงฟอสซิลอยา่ งประหยัดและถูกวธิ ีเชน่ การบารุงรักษาเครือ่ งจักรกลเคร่ืองยนต์ อยเู่ สมอเพื่อให้เคร่ืองยนตส์ ามารถเผาไหม้เชอื้ เพลงิ ได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพมากทสี่ ุด การเลอื กใชเ้ ครื่องใช้ไฟฟ้าที่มี คณุ ภาพ มขี นาดเหมาะสมกบั การใชง้ าน เพื่อเพิ่มประสทิ ธภิ าพการใชพ้ ลังงาน ควรปิดสวิตซ์หรือถอดปลัก๊ ไฟหลงั จากเลิกใชง้ านเพอ่ื ประหยัดพลงั งานไฟฟ้า ซง่ึ มีต้นตอการผลิตมาจากเชอื้ เพลงิ ฟอสซิล โลกคงไมส่ ามารถพัฒนาได้ มากขนาดนห้ี ากไม่มีเชื้อเพลิงฟอสซิล จงึ นับไดว้ ่าเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นสิง่ ท่ีมคี ุณค่าหากรู้จักการใชอ้ ย่างพอเหมาะ และใช้ใหเ้ กิดประโยชนม์ ากที่สดุ ในเมอ่ื เราทกุ คนยังต้องพ่ึงพาเชื้อเพลงิ ฟอสซลิ อยู่ พลังงานทดแทนคือ พลังงานทีใ่ ชแ้ ทนนา้ มนั เชื้อเพลิง ซ่ึงเป็นพลังงานหลักท่ีใชก้ ันอยทู่ ่ัวไปในปจั จบุ ัน
88 พลังงานทดแทนแบ่งออกเปน็ 2 ประเภทคือ 1. พลังงานทดแทนจากแหลง่ ทใ่ี ชแ้ ลว้ หมดไป เช่น ถ่านหิน แกส๊ ธรรมชาติ หนิ น้ามนั 2. พลงั งานทดแทนที่สามารถหมนุ เวยี นมาใชไ้ ดอ้ ีก เช่น พลงั งานแสงอาทิตย์ ลม ชวี มวล น้า พลังงานทดแทนท่สี ามารถหมุนเวยี นมาใช้ไดอ้ ีก เปน็ พลังงานทีไ่ ด้รบั ความสนใจในการศึกษาค้นคว้า และ เหมาะสมทจ่ี ะนามาใชเ้ ปน็ อย่างยิ่ง เนื่องจากสามารถช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแหล่งพลงั งานในอนาคต และ ช่วยลดปญั หาด้านมลพษิ ที่เกิดจากการใช้พลังงานในปจั จบุ ัน พลังงานทดแทนมี 6 ประเภท คอื 1. พลังงำนลม ลมเปน็ ปรากฏการณท์ างธรรมชาติ ซ่งึ เกิดจากความแตกต่างของอุณหภูมิ ความกดดนั ของบรรยากาศและแรงจากการหมนุ ของโลก สิง่ เหลา่ น้ีเปน็ ปจั จยั ท่กี อ่ ให้เกิดความเรว็ ลมและกาลังลม เปน็ ท่ี ยอมรบั โดยท่วั ไปวา่ ลมเปน็ พลังงานรูปหน่งึ ที่มีอยใู่ นตวั เอง ซ่ึงในบางคร้ังแรงทีเ่ กิดจากลมอาจทาให้บ้านเรือนทอี่ ยู่ อาศยั พงั ทลายตน้ ไม้ หักโค่นลง สิ่งของวัตถุต่างๆ ล้มหรือปลิวลอยไปตามลม ฯลฯ ในปจั จุบนั มนษุ ย์จงึ ไดใ้ ห้ ความสาคญั และนาพลงั งานจากลมมาใช้ประโยชน์มากขึ้น เนือ่ งจากพลังงานลมมอี ยู่โดยท่ัวไป ไม่ต้องซ้ือหา เป็น พลงั งานที่สะอาดไม่ก่อให้เกดิ อนั ตรายต่อสภาพแวดล้อม และสามารถนามาใช้ประโยชน์ไดอ้ ย่างไมร่ ูจ้ ักหมดส้นิ ขอ้ สรุปเกยี่ วกับพลังงานลม พลังงานลมเปน็ พลังท่ีบรสิ ุทธิ์และสะอาด ใช้ได้ไม่มีวนั หมดโลกอยา่ งแน่นอน จึงทาให้พลังงานลมได้รับ ความสนใจในการศกึ ษาและพัฒนาให้เกดิ ประโยชน์กนั อย่างกว้างขวาง ในขณะเดียวกัน กงั หนั ลม กเ็ ปน็ อุปกรณ์ ชนดิ หนง่ึ ทสี ามารถนาพลังงานลมมาใชใ้ หเ้ ปน็ ประโยชนไ์ ด้โดยเฉพาะ ในการผลิตกระแสไฟฟา้ และการสบู นา้ ซง่ึ มี การใชง้ านกนั มาแลว้ อยา่ งแพรห่ ลายในอดตี ท่ีผา่ นมา 2. พลงั งำนนำ้ เป็นรปู แบบหนง่ึ การสร้างกาลังโดยการอาศัยพลังงานของน้าทเี่ คลื่อนท่ี ปัจจบุ ันน้ี พลงั งานน้าสว่ นมากจะถูกใช้เพื่อใชใ้ นการผลติ ไฟฟ้า นอกจากน้แี ลว้ พลังงานนา้ ยังถูกนาไปใช้ในกรมชลประทาน การสี การทอผ้า และใชใ้ นโรงเลอ่ื ย พลงั งานของมวลนา้ ท่ีเคลอื่ นที่ได้ถูกมนุษยน์ ามาใชม้ านานแล้วนับศตวรรษ โดยได้มกี ารสรา้ งกังหนั นา้ (Water Wheel) เพือ่ ใชใ้ นการงานต่างๆ ในอนิ เดีย และชาวโรมันกไ็ ด้มกี ารประยกุ ต์ใช้ เพ่ือใช้ในการโม่แป้งจากเมล็ดพืชตา่ งๆ ส่วนผ้คู นในจีนและตะวนั ออกไกลก็ไดม้ ีการใชพ้ ลังงานนา้ เพ่ือสร้าง Pot Wheel เพ่อื ใช้ในวดิ นา้ เพื่อการชลประทาน โดยในชว่ งทศวรรษ 1830 ซ่งึ เปน็ ยคุ ท่กี ารสร้างคลองเฟื่องฟูถงึ ขีดสุด ก็ได้มีการประยกุ ต์เอาพลงั งานนา้ มาใช้เพื่อขับเคลื่อนเรือข้ึนและลงจากเขา โดยอาศยั รางรถไฟท่ีลาดเอียง (Inclined Plane Railroad : Funicular) โดยตวั อยา่ งของการประยุกตใ์ ช้แบบนี้ อยทู่ ่ีคลอง Tyrone ใน ไอร์แลนดเ์ หนือ อยา่ งไรกต็ ามเนอื่ งจากการประยกุ ตใ์ ช้พลังงานนา้ ในยุคแรกนั้นเปน็ การสง่ ต่อ พลังงานโดยตรง (Direct Mechanical Power Transmission) ทาให้การใช้พลงั งานน้าในยุคนั้นต้องอยู่ใกล้แหล่งพลังงาน เชน่ น้าตก เป็นตน้ ปจั จบุ นั น้ี พลงั งานนา้ ได้ถูกใช้เพือ่ การผลิตไฟฟ้า ทาใหส้ ามารถสง่ ต่อพลังงานไปใชใ้ นที่ทหี่ ่างจาก แหล่งน้าได้ พลงั งานนา้ เกดิ จากพลังงานแสงอาทิตย์ ท่ีให้ความร้อนแกน่ ้าและทาให้น้ากลายเป็นไอนา้ ลอยตัวสงู ข้นึ มวลนา้ ท่ีอยูส่ งู ขนึ้ จากจดุ เดมิ (พลังงานศกั ย)์ เมอื่ มวลไอนา้ กระทบความเยน็ ก็จะเปลี่ยนเป็นของเหลวอีกครัง้ และ
89 ตกลงมาเนื่องจากเน่ืองจากแรงดงึ ดูดของโลก (พลงั งานจลน์) การนาเอาพลงั งานน้ามาใช้ประโยชน์ทาไดโ้ ดยการ เปลีย่ นพลงั งานจลน์ของน้าที่ไหล จากทีส่ งู ลงส่ทู ตี่ ่าใหเ้ ปน็ กระแสไฟฟา้ อุปกรณท์ ใี่ ชใ้ นการเปลยี่ นนค้ี อื กังหนั น้า (Turbines) นา้ ทีม่ ีความเรว็ สูงจะผ่านเขา้ ทอ่ แล้วถา่ ยทอดพลังงานจลนเ์ ข้าสูก่ งั หนั นา้ ซึง่ จะไปหมุนขับเครื่อง กาเนิดไฟฟ้าอีกทอดหน่ึง ในปัจจบุ ันพลงั งานที่ได้จากแหลง่ นา้ ทรี่ ู้จักกันโดยทั่วไปคือ พลังงานน้าตก พลงั งานน้าขน้ึ น้าลง พลงั งานคลื่น ขอ้ สรปุ เก่ียวกับพลังงานนา้ - พลงั งานนา้ เปน็ พลังงานหมุนเวยี นทส่ี ามารถนากลับมาใช้ใหม่ได้ไม่หมดสิ้น คอื เมื่อใช้พลังงานของนา้ ส่วนหนง่ึ ไปแลว้ นา้ ส่วนน้นั กจ็ ะไหลลงสู่ทะเลและนา้ ในทะเลเม่อื ไดร้ บั พลงั งานจากแสงอาทิตย์ก็จะระเหย กลายเปน็ ไอนา้ เม่ือไอนา้ ควบแนน่ กลายเปน็ เมฆ เม่อื ไอน้าข้นึ เมฆกจ็ ะกลายเป็นเมฆฝน พอมากเขา้ จนเมฆรบั น้าหนกั ของไอนา้ เหลา่ นี้ต่อไปได้ นา้ ตกลงมาเปน็ ฝนหมุนเวียนกลับมาทาให้เราสามารถใชพ้ ลังงานน้าได้ตลอดไปไม่ หมด สิน้ - เครื่องกลพลงั งานนา้ สามารถเริ่มดาเนนิ การผลิตพลงั งานไดใ้ นเวลาอนั รวด เรว็ และควบคุมให้ผลติ กาลัง งานออกมาไดใ้ กล้เคียงกับความตอ้ งการ อีกทงั้ ยังมีประสิทธภิ าพในการทางานสูงมาก ช้นิ สว่ นของเคร่ืองกล พลงั งานนา้ ส่วนใหญ่จะมคี วามคงทน และมีอายกุ ารใช้งานนานกว่าเครอื่ งจักรกลอยา่ งอื่น - เมือ่ นาพลังงานน้าไปใชแ้ ลว้ นา้ ยงั คงมีคณุ ภาพเหมอื นเดมิ ทาใหส้ ามารถนาไปใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งอน่ื ได้อีก เชน่ เพอื่ การชลประทาน การรักษาระดบั น้าในแม่น้าให้ไหลลึกพอแก่การเดนิ เรือ เปน็ ต้น - การสร้างเขอื่ นเพ่ือกักเกบ็ และทดน้าใหส้ งู ขึ้น สามารถชว่ ยกักน้าเอาไว้ใช้ในชว่ งท่ีไม่มฝี นตก ทาให้ได้ แหลง่ นา้ ขนาดใหญส่ ามารถใช้เลย้ี งสตั วน์ ้าหรือใชเ้ ปน็ สถานท่ที ่อง เทย่ี วได้ และยังชว่ ยรักษาระบบนเิ วศของแม่น้า ไดโ้ ดยการปลอ่ ยน้าจากเขื่อนเพ่อื ไลน่ ้า โสโครกในแม่นา้ ที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม นอกจากนีย้ งั สามารถใชไ้ ล่ นา้ เค็มซงึ่ ขน้ึ มาจากทะเลก็ได้ - แต่พลงั งานน้ามีขอ้ เสยี บางประการ เชน่ การพัฒนาแหล่งพลงั งานนา้ ต้องใชเ้ งนิ ลงทุนสงู และยังทาให้ เสียพ้ืนท่ีของป่าไปบางสว่ น นอกจากน้พี ลงั งานน้ายังมีความไมแ่ น่นอนเกดิ ขน้ึ เช่น หน้าแล้งหรอื กรณีท่ีฝนไม่ตก ตอ้ งตามฤดูกาล และมักเกิดปัญหาในเรอ่ื งการจัดหาบุคลากรไปปฏิบตั งิ าน รวมท้งั การซ่อมแซม บารงุ รักษา สิง่ ก่อสรา้ ง และอปุ กรณ์ต่าง ๆ จะไม่ค่อยสะดวกนัก เพราะสถานทีต่ ั้งอยหู่ ่างไกลจากชุมชน 3. พลังงำนแสงอำทติ ย์ เป็นพลงั งานของแสงและพลังงานของความร้อนท่แี ผร่ ังสมี าจากดวงอาทติ ย์ พลงั งานแสงอาทิตย์แบง่ ออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆคือ พลังงานท่เี กิดจากแสงและพลังงานที่เกิดจากความรอ้ น 1) พลังงานทีเ่ กดิ จากแสง รปู แบบการนาพลังงานของแสงอาทิตย์มาใช้งาน แบ่งอย่างกว้าง ๆ เป็น 2 รูปแบบ ขึน้ อยกู่ ับวิธีการในการจับพลังงานแสง การแปรรูปให้เป็นพลังงานอีกรูปหน่ึง และการแจกจ่ายพลังงานที่ ได้ใหม่นั้น รูปแบบแรกเรียกว่า แอคทีพโซลาร์ เป็นการใช้วิธืการของ โฟโตโวลตาอิคส์ หรือ solar thermal เพ่ือ จับและเปลี่ยนพลังงานของแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานความ ร้อนโดยตรง อีกรูปแบบหนึ่งก็คือ
90 พาสซฟี โซลาร์ เป็นวธิ กี ารใชป้ ระโยชนท์ างอ้อม ไดแ้ ก่ การออกแบบอาคารในประเทศหนาวให้รับแสงแดดได้เต็มท่ี หรือ การติดตั้งวัสดุท่ีไวต่ออุณหภูมิ thermal mass เพื่อปรับสมดุลของอากาศในอาคาร หรือติดต้ังวัสดุท่ีมี คณุ สมบัติกระจายแสงหรือการออกแบบพ้นื ที่วา่ งให้อากาศหมุนเวียนโดยธรรมชาติ 2) พลงั งานที่เกิดจากความรอ้ น เช่นพลงั งานลม พลังงานน้า พลังงานคลนื่ เปน็ ตน้ ตัวอย่างรปู แบบ แอคทีพโซลาร์ ไดแ้ ก่ -การผลติ ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตยด์ ้วยวธิ ี โฟโตโวลตาอคิ ส์ หรอื solar photovoltaics เชน่ เซลล์ แสงอาทิตย์ -การผลติ ไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนของแสงอาทติ ย์ หรือ solar thermal electricity -การผลติ ความรอ้ นจากพลงั งานแสงอาทิตย์ หรือ solar heating 4. พลังงำนชีวมวล เชอ้ื เพลงิ ทีไ่ ด้จากสิ่งมีชีวิตเช่น ไม้ฟืน แกลบ กากอ้อย เศษไม้ เศษหญ้า เศษเหลือท้ิง จากการเกษตร เหล่าน้ใี ชเ้ ผาให้ความรอ้ นได้ เปน็ เชื้อเพลิงชวี ภาพแบบ ของแข็ง และความร้อนน้ีแหละท่ีเอาไปปั่น ไฟ โดยเหตุทป่ี ระเทศไทยทาการเกษตรอย่างกว้างขวาง วัสดุเหลือใช้จากการเกษตร เช่น แกลบ ขี้เลื่อย ชานอ้อย กากมะพร้าว ซึ่งมีอยู่จานวนมาก (เทียบได้น้ามันดิบปีละไม่น้อยกว่า 6,500 ล้านลิตร) ก็ควรจะใช้เป็นเช้ือเพลิง ผลิตไฟฟ้าในเชงิ พาณชิ ยไ์ ด้ ในกรณีของโรงเลื่อย โรงสี โรงน้าตาลขนาดใหญ่ อาจจะยินยอมให้จ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับระบบไฟฟ้า ของการไฟฟ้าต่างๆในประเทศ ในลักษณะของการผลิตร่วม (Co-generation) ซ่ึงมีใช้อยู่แล้วหลายแห่งใน ตา่ งประเทศโดยวธิ ดี ังกลา่ วแล้วจะชว่ ยให้สามารถใชป้ ระโยชน์จากแหลง่ พลงั งานในประเทศสาหรับส่วนรวมได้มาก ย่ิงขึ้นทั้งน้ีอาจจะรวมถึงการใช้ไม้ฟืนจากโครงการปลูกไม้โตเร็วในพ้ืนที่นับล้านไร่ ในกรณีท่ีรัฐบาลจาเป็นต้องลด ปริมาณการปลูกมันสาปะหลัง อ้อย เพ่ือแก้ปัญหาระยะยาวทางด้านการตลาดของพืชทั้งสองชนิด อน่ึง สาหรับ ผลิตผลจาก ชีวมวลในลักษณะอ่ืนที่ยังใช้เป็นเช้ือเพลิงได้ เช่น แอลกอฮอล์ จากมันสาปะหลัง ก๊าซจากฟืน (Wood gas) ก๊าซจากการหมกั เศษวสั ดเุ หลือจากการเกษตร และขยะชมุ ชน (ก๊าซชวี ภาพ) หากมีความคุ้มค่าในเชิง พาณชิ ยก์ ็อาจนามาใชเ้ ปน็ เชือ้ เพลิงสาหรบั ผลิตไฟฟา้ ได้เชน่ กนั 5. พลงั งำนควำมรอ้ นใต้พิภพ หมายถึงการใช้งานอย่างหนักจากความร้อนด้านในของโลก แกนของโลก นั้นร้อนอย่างเหลือเช่ือ โดยร้อนถึง 5,500 องศาเซลเซียส (9,932 องศาฟาเรนไฮท์) จากการประมาณการเม่ือ เรว็ ๆ นี้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าแม้แต่พ้ืนผิว 3 เมตรด้านบนสุดของโลกก็มีอุณหภูมิใกล้เคียง 10-26 องศา เซลเซียส (50-60 องศาฟาเรนไฮท์) อย่างสม่าเสมอตลอดทั้งปี นอกจากนี้กระบวนการทางธรณีวิทยาที่แตกต่าง กันทาให้ในบางทีม่ อี ณุ หภูมสิ งู กว่ามาก ในท่ที ี่แหลง่ เกบ็ นา้ ร้อนจากความร้อนใตพ้ ิภพอยูใ่ กล้ผวิ โลก นา้ ร้อนนัน้ สามารถส่งผ่านท่อโดยตรงไปยังท่ีที ต้องการใชค้ วามรอ้ น นีเ่ ป็นวิธีการหน่ึงท่ีความร้อนใต้พิภพสามารถใช้ทาน้าร้อนในการทาความร้อน ให้บ้าน ทาให้
91 เรอื นกระจกอุ่นขึ้น และแมแ้ ตล่ ะลายหิมะบนถนน แม้ในสถานที่ท่ีไม่มีแหล่งเก็บความร้อนใต้พิภพท่ีสามารถเข้าถึง ไดโ้ ดยง่ายเครื่องปม๊ั ความรอ้ นจากพน้ื ดนิ สามารถสง่ ความร้อนสู่พน้ื ผวิ และสู่อาคารไดส้ ง่ิ นี้เป็นไปได้ในทุกแห่ง นอกจากนี้เน่อื งจากอุณหภมู ิใต้ดนิ น้ันเกอื บคงทีท่ ัง้ ปี ทาให้ระบบเดียวกันน้ีที่ช่วยส่งความร้อนให้อาคารใน ฤดูหนาวจึงสามารถทาความ เยน็ ใหอ้ าคารในฤดูรอ้ นได้ ขอ้ ดีของพลังความรอ้ นใต้พิภพ ปั๊มน้ามันก๊าซไฮโดรเจนในเมืองเรย์จาวิก ซึ่งเร่ิมจ่ายเช้ือเพลิงไฮโดรเจนท่ีนากลับมาใช้ใหม่ได้ให้กับรถบัส 3 คัน เช้ือเพลิงนี้ผลิตข้ึนจากน้าที่ใช้พลังความร้อนใต้พิภพ ซึ่งอุดมสมบูรณ์ในประเทศไอซ์แลนด์ การผลิตพลัง ความร้อนใตพ้ ิภพแทบไมก่ ่อมลพิษหรือปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาเลยพลงั งานน้ีเงียบและนา่ เชอ่ื ถืออย่างทสี่ ดุ โรงงานไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพผลิตพลังงานประมาณ 90% ตลอดเวลา เมื่อเทียบกับ 65-75% ของโรงไฟฟา้ เชือ้ เพลิงฟอสซิล แต่โชคร้ายท่ีถึงแม้ว่าหลายประเทศมีแหล่งสารองความร้อนใต้พิภพที่อุดม สมบูรณ์ แตแ่ หลง่ พลังงานหมนุ เวยี นท่ีได้รบั การพิสจู นว์ ่าดแี ลว้ น้ถี กู นามาใช้ ประโยชนต์ า่ มาก น้ารอ้ นทถี่ ูกนาไปใช้ในการผลติ ไฟฟ้าแลว้ นัน้ แมอ้ ณุ หภมู ิจะลดลงบ้าง แต่ก็ยังสามารถนาไปประยุกต์ใช้ใน การอบแห้ง และใช้ในห้องเย็นสาหรับเก็บรักษาพืชผลทางการเกษตรได้ นอกจากน้ัน น้าที่เหลือใช้แล้วยังสามารถ นาไปใช้ในกิจการเพ่ือกายภาพบาบัด และการท่องเท่ียวได้อีก ท้ายที่สุดคือ น้าทั้งหมดซ่ึงยังมีสภาพเป็นน้าอุ่นอยู่ เล็กน้อย จะถูกปล่อยลงไปผสมกับน้าตามธรรมชาติในลาน้า ซ่ึงนับเป็นการเพ่ิมปริมาณน้าให้กับเกษตรกรในฤดู แล้งได้อกี ทางหนึ่งดว้ ย ขอ้ ควรระวงั จากการใช้พลงั งานความรอ้ นใต้พิภพ พลงั งานความร้อนใต้พิภพ สามารถนามาใช้ประโยชน์ได้หลายประการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว อย่างไรก็ตาม การใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานความร้อนนี้ แม้จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบที่ร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม แต่ก็ควร ทาการศึกษาเพื่อทาความเข้าใจและหาทางป้องกันผลกระทบท่ีอาจจะเกิดตาม มาได้ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจาก การใช้พลงั งานความรอ้ นใตพ้ ภิ พสามารถสรปุ ไดด้ งั นี้ - ก๊าซพิษ โดยทั่วไปพลังงานความร้อนท่ีได้จากแหล่งใต้พิภพ มักมีก๊าซประเภทท่ีไม่สามารถรวมตัว ซ่ึง ก๊าซเหล่านี้จะมีอันตรายต่อระบบการหายใจหากมีการสูดดมเข้าไป ดังนั้นจึงต้องมีวิธีกาจัดก๊าซเหล่านี้โดยการ เปลย่ี นสภาพของกา๊ ซใหเ้ ป็นกรด โดยการให้ก๊าซนนั้ ผา่ นเข้าไปในน้าซ่ึงจะเกิด ปฏิกิริยาเคมีได้เป็นกรดซัลฟิวริกข้ึน โดยกรดนี้สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ - แรธ่ าตุ นา้ จากแหล่งพลังงานความรอ้ นใต้พภิ พในบางแหลง่ มีปรมิ าณแร่ธาตุต่างๆ ละลายอยู่ในปริมาณ ที่สงู ซง่ึ การนาน้าน้ันมาใช้แล้วปล่อยระบายลงไปผสมกับ แหล่งน้าธรรมชาติบนผิวดินจะส่งผลกระทบต่อระบบน้า ผิวดินที่ใช้ในการเกษตรหรือ ใช้อุปโภคบริโภคได้ ดังนั้นก่อนการปล่อยน้าออกไป จึงควรทาการแยกแร่ธาตุต่างๆ เหล่าน้นั ออก โดยการทาใหต้ กตะกอนหรืออาจใชว้ ธิ ีอดั นา้ นั้นกลับคืนสู่ใต้ผิวดินซ่ึงต้องให้ แน่ใจว่าน้าท่ีอัดลงไปนั้น จะไม่ไหลไปปนกับแหล่งน้าใต้ดินธรรมชาติท่ีมีอยู่ ความร้อนปกติน้าจากแหล่งพลังงานความร้อนใต้พิภพ ท่ีผ่าน
92 การใช้ประโยชน์จากระบบผลิตไฟฟ้าแล้วจะมีอุณหภูมิลดลง แต่อาจยังสูงกว่าอุณหภูมิของน้าในแหล่งธรรมชาติ เพราะยังมคี วามรอ้ นตก คา้ งอยู่ ดังนั้นก่อนการระบายน้านั้นลงสู่แหล่งน้าธรรมชาติควรทาให้น้านั้นมี อุณหภูมิเท่าหรือใกล้เคียงกับ อุณหภูมิของน้าในแหล่งธรรมชาติเสียก่อน โดยอาจนาไปใช้ประโยชน์อีกครั้งคือการนาไปผ่านระบบการอบแห้ง หรอื การทาความ อบอุ่นให้กับบา้ นเรอื น - การทรุดตัวของแผ่นดิน ซ่ึงการนาเอาน้าร้อนจากใต้ดินข้ึนมาใช้ ย่อมทาให้ในแหล่งพลังงานความร้อน น้ันเกดิ การสญู เสียเน้ือมวลสารสว่ นหน่งึ ออก ไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาการทรุดตัวของแผ่นดินข้ึนได้ ดังน้ันหากมี การสูบน้าร้อนขึ้นมาใช้ จะต้องมีการอัดน้าซึ่งอาจเป็นน้าร้อนท่ีผ่านการใช้งานแล้วหรือน้าเย็นจาก แหล่งอื่นลงไป ทดแทนในอตั ราเร็วท่เี ท่ากัน เพ่อื ป้องกนั ปัญหาการทรุดตวั ของแผน่ ดิน 6. พลงั งำนนวิ เคลยี ร์ เป็นพลังงานรปู แบบหนง่ึ ท่ีไดจ้ ากการคายความร้อนในปฏิกิริยานิวเคลียร์เพื่อประ โยขน์ในการสร้างความร้อนและผลิตไฟฟ้านิวเคลียร์ เป็นของคาว่า นิวเคลียร์ซ่ึงเป็นแก่นกลางของอะตอมธาตุ ซ่ึง ประกอบด้วยอนภุ าคโปรตอน และนิวตรอนซึง่ ยดึ กันไดด้ ้วยแรงของ รปู แบบของพลังงำนนิวเคลียร์ สามารถจดั แบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ประเภท ตามลกั ษณะวธิ ีการปลดปลอ่ ยพลงั งานออกมา คือ 1.พลังงานนิวเคลียร์ท่ีถูกปลดปล่อยออกมาในลักษณะเฉียบพลัน เป็นปฏิกิริยานิวเคลียร์ที่ควบคุม ไม่ได้ (Uncontrolled nuclear reactions) พลังงานของปฏิกิริยาจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้เกิดการ ระเบดิ (Nuclear explosion) สิ่งประดิษฐ์ท่ีใช้หลักการเช่นนี้ ได้แก่ ระเบิดปรมาณู (Atomic bomb) หรือระเบิด ไฮโดรเจน และหวั รบนวิ เคลยี ร์แบบต่าง ๆ (ของอเมริกาเรียกวา่ จรวด Pershing, ของรสั เซียเรียกวา่ จรวด SS-20) 2.พลังงานจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ซ่ึงควบคุมได้ ในปัจจุบันปฏิกิริยานิวเคลียร์ซึ่งควบคุมได้ตลอดเวลา (Controlled nuclear reaction) ซ่ึงมนุษย์ได้นาเอาหลักการมาพัฒนาข้ึนจนถึงข้ันท่ีนามาใช้ประโยชน์ในระดับ ข้ันการค้าหรือบริการสาธารณูปโภคได้แล้วมีอยู่แบบเดียวคือ ปฏิกิริยาฟิชชันห่วงโซ่ของไอโซโทปยูเรเนียม - 235 และของไอโซโทปที่แตกตัวได้(Fissile isotopes) อื่นๆ อีก 2 ชนิด (ยูเรเนียม -233 และพลูโตเนียม - 239) ส่ิงประดิษฐ์ซึ่งทางานโดยหลักการของปฏิกิริยาฟิชชันห่วงโซ่ของเช้ือเพลิงนิวเคลียร์ซึ่งมีท่ีใช้กันอย่าง แพร่หลายอยใู่ นปัจจบุ นั ไดแ้ ก่ เครอื่ งปฏกิ รณ์นิวเคลยี ร์หรือเครอ่ื งปฏิกรณ์ปรมาณู (Nuclear reactors) 3.พลังงานนิวเคลียร์จากสารกัมมันตรังสี สารกัมมันตรังสีหรือสารรังสี (Radioactive material) คือ สารที่องค์ประกอบส่วนหน่ึงมีลักษณะเป็นไอโซโทปที่มีโครงสร้างปรมาณูไม่คงตัว (Unstable isotipe) และจะ สลายตวั โดยการปลดปลอ่ ยพลงั งานส่วนเกนิ ออกมาในรปู ของรงั สีแอลฟา รงั สบี ีตา รังสีแกมมา หรือรังสีเอกซ์รูปใด รูปหนึ่ง หรือมากกว่าหนึ่งรูปพร้อม ๆ กัน ไอโซโทปที่มีคุณสมบัติดังกล่าวนี้เรียกว่า ไอโซโทปกัมมันตรังสี หรือ ไอโซโทปรังสี (Radioisotope)
93 ข้อดี เปน็ แหลง่ ผลิตไฟฟา้ ขนาดใหญ่โดยมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าแข่งขันได้กับโรงไฟฟ้าชนิดอื่นเป็นโรงไฟฟ้า ท่ีสะอาด ไม่ก่อให้เกิดมลพิษเสริมสร้างความม่ันคงของระบบผลิตไฟฟ้า เน่ืองจากใช้เชื้อเพลิงน้อย ทาให้มี เสถยี รภาพในการจดั หาเชือ้ เพลงิ และราคาเชื้อเพลิงมีผลกระทบต่อต้นทนุ การผลิตไม่มาก ขอ้ เสยี ใช้เงินลงทุนสูงและจาเป็นต้องเตรียม โครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาบุคลากร เพื่อให้การ ดาเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพจาเป็นต้องพัฒนาและเตรียมการเกี่ยวกับการจัดการกากกัมมันตรังสี การ ดาเนินงานด้านแผนฉุกเฉินทางรังสีและมาตรการควบคุมความปลอดภัยเพื่อป้องกันอุบั ติเหตุการยอมรับของ ประชาชนยงั มีนอ้ ย
94 ใบควำมรู้ ครง้ั ที่ 17 วชิ ำกำรใช้พลังงำนไฟฟ้ำในชวี ติ ประจำวัน 2 รหัสวิชำ พว22002 ระดับมธั ยมศึกษำตอนต้น เรื่อง กำรใช้และกำรประหยัดพลงั งำนไฟฟ้ำ อปุ กรณไ์ ฟฟ้ำ ระบบไฟฟ้าเป็นระบบท่ีมีความสาคัญในบ้านทุกบ้าน การเลือกใช้ระบบไฟฟ้า การเดินสายไฟ ชนิดของ สายไฟ และอุปกรณ์ติดตั้งทางไฟฟ้าให้เหมาะสมกับลักษณะของงาน เป็นเร่ืองท่ีผู้ใช้ต้องมีความรู้พ้ืนฐาน เพ่ือ นาไปสู่การพิจารณาเลือกใช้ให้คุ้มค่าเกิดประโยชน์สูงสุด ระบบไฟฟ้าที่ดีจะต้องช่วยให้ประหยัดพลังงานและยังมี ผลดีต่อส่วนรวมของประเทศในแง่ของการอนรุ กั ษ์ธรรมชาติ และสิง่ แวดล้อมในด้านการลดภาวะโลกร้อนได้ สายไฟฟ้า เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ส่งพลังงานไฟฟ้าจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง มีลักษณะเป็นสายยาว โดยจะสื่อกลางนาพลังงานไฟฟ้าผ่านไปตามสายไฟจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าอ่ืนๆ สายไฟทาด้วยสารท่ีย อมให้ กระแสไฟฟ้าผ่านได้ เรียกว่าตัวนาไฟฟ้า และส่วนใหญ่จะเป็นโลหะท่ียอมให้กระแสไฟฟ้าผ่านได้ดี ตัวนาไฟฟ้าแต่ ละชนิดจะยอมให้กระแสไฟฟ้าผ่านได้ต่างกัน ซ่ึงจะมีความต้านทานไฟฟ้าอยู่ด้วย โดยลวดตัวนาที่มีความต้านทาน ไฟฟา้ มากจะยอม ใหก้ ระแสไฟฟ้าผ่านได้น้อย ฟิวส์ เป็นอปุ กรณ์ปอ้ งกนั กระแสไฟฟ้าเกินชนิดหนึ่งทาหน้าท่ีตัดไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ เมื่อมีกระแส ไฟฟา้ ไหลเกนิ คา่ ท่ีกาหนด ซึ่งเมื่อฟิวส์ทางานแล้วจะตอ้ งเปลีย่ นฟิวสใ์ หม่ ฟวิ ส์ท่ีใช้เปล่ียนต้องมีขนาดกระแสไม่เกิน ขนาดฟวิ ส์เดมิ และต้องมีขนาดพกิ ัดการตดั กระแสลัดวงจร (IC) สงู กว่าขนาดกระแสลดั วงจรสงู สดุ ท่ไี หลผ่านฟิวส์ เบรกเกอร์ เป็นอุปกรณท์ ่สี ามารถใช้ตัดหรือต่อวงจรไฟฟ้าได้ในขณะใช้งานปกติ และยังสามารถ ตัดกระแสไฟฟ้าเกินหรือกระแสไฟฟ้าลัดวงจรโดยอัตโนมัติได้ด้วย ท้ังนี้การเลือกใช้เบรกเกอร์จะต้องเลือกขนาด พกิ ดั ในการตัดกระแสลัดวงจร (IC) ของเบรกเกอรใ์ หส้ ูงกวา่ ขนาดกระแสลัดวงจรทเี่ กิดข้นึ ในวงจรนัน้ ๆ สวิตซ์ หมายถึงสวิตช์สาหรับเปิด-ปิดหลอดไฟหรือโคมไฟสาหรับแสงสว่างหรือเครื่องใช้ ไฟฟ้า ชนิดอ่นื ๆ ท่มี กี ารตดิ ตงั้ สวติ ชเ์ อง เคร่ืองตัดไฟฟ้ารั่ว เครื่องตัดไฟร่ัว เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าซ่ึงทาหน้าท่ีตรวจจับเหตุการณ์ไฟฟ้ารั่ว และทาการตัดไฟเพ่ือรักษาชีวิตของผู้ท่ีถูกไฟฟ้าดูด รวมท้ังป้องกันทรัพย์สินเสียหายเน่ืองจากไฟไหม้ที่เกิดจาก ไฟฟ้ารั่วเป็นปริมาณมาก โดยปกติจะติดต้ังที่แผงไฟหลักของบ้านพักอาศัย หรือในส่วนของบ้านที่มีความเส่ียงใน การเกิดไฟฟ้าดดู เปน็ พเิ ศษ เต้ารับ หรือปลก๊ั ตัวเมยี คือขวั้ รบั สาหรบั หวั เสียบจากเครื่องใช้ไฟฟ้า ปกติเต้ารับจะติดต้ังอยู่กับท่ี เช่น ติดอยู่กบั ผนังอาคาร เป็นต้น เต้าเสียบ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เช่ือมต่อวงจรไฟฟ้า ทาให้กระแสไฟฟ้าไหลเข้าสู่อุปกรณ์และ เคร่ืองใช้ไฟฟ้า โดยนาปลายของสายไฟฟ้าของเคร่ืองใช้ไฟฟ้าท่ีต่ออยู่กับเต้าเสียบ ไปเสียบกับเต้ารับ ที่ต่ออยู่ใน วงจรไฟฟ้าใดๆ กไ็ ด้ภายในบ้าน
95 วงจรไฟฟำ้ วงจรไฟฟ้า หมายถึง ทางเดินของกระแสไฟฟ้าซ่ึงไหลมาจากแหล่งกาเนิดผ่านตัวนา และ เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ หรือโหลด แลว้ ไหลกลับไปยัง แหลง่ กาเนิดเดิม วงจรไฟฟ้าประกอบด้วยส่วนทสี่ าคัญ 3 สว่ น คือ 1. แหล่งกาเนดิ ไฟฟา้ หมายถงึ แหล่งจา่ ยแรงดนั ไฟฟ้าไปยังวงจรไฟฟา้ เชน่ แบตเตอรี่ 2. ตัวนาไฟฟ้า หมายถึง สายไฟฟ้าหรือส่ือท่ีจะเป็นตัวนาให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านไปยัง เคร่อื งใชไ้ ฟฟา้ ซง่ึ ต่อระหว่างแหลง่ กาเนิดกับเคร่อื งใช้ไฟฟา้ 3. เครื่องใชไ้ ฟฟ้า หมายถงึ เคร่ืองใช้ที่สามารถเปล่ียนพลังงานไฟฟ้าให้เป็นพลังงานรูปอื่น ซึ่งจะ เรยี กอีกอย่างหน่ึงว่า โหลดสวิตซ์ไฟฟ้านั้นเป็นส่วนหนึ่งของวงจรไฟฟ้า มีหน้าที่ในการควบคุมการทางาน ใหม้ ีความสะดวกและปลอดภัยมากย่ิงข้ึน ถา้ ไมม่ ีสวติ ซไ์ ฟฟ้าก็จะไม่มผี ลตอ่ การทางานวงจรไฟฟ้าใดๆ เลย การตอ่ วงจรไฟฟ้าสามารถแบ่งวิธกี ารต่อได้ 3 แบบ คอื 1. วงจรอนุกรม เปน็ การนาเอาเครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ หรอื โหลดหลายๆ อนั มาต่อเรียงกันไปเหมือนลูกโซ่ กล่าวคือ ปลายของเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวท่ี 1 นาไปต่อกับต้นของเครื่องใช้ไฟฟ้าตัวท่ี 2 และต่อเรียงกันไป เรื่อยๆ จนหมด แล้วนาไปต่อเข้ากับแหล่งกาเนิด การต่อวงจรแบบอนุกรมจะมีทางเดินของกระแสไฟฟ้า ได้ทางเดยี วเท่านัน้ ถา้ เกิดเครือ่ งใช้ไฟฟา้ ตัวใดตวั หนึ่งเปิดวงจรหรอื ขาด จะทาใหว้ งจรท้งั หมดไมท่ างาน คณุ สมบัตทิ ี่สาคญั ของวงจรอนุกรม 1.1 กระแสไฟฟ้าจะไหลผา่ นเท่ากันตลอดวงจร 1.2 แรงดันไฟฟ้าตกคร่อมส่วนต่างๆ ของวงจร เมื่อนามารวมกันแล้วจะเท่ากับ แรงดันไฟฟ้าที่แหล่งกาเนดิ 1.3 ความต้านทานรวมของวงจร จะมีค่าเท่ากับผลรวมของความต้านทานแต่ละตัวใน วงจรรวมกนั 2. วงจรขนาน เป็นการนาเอาต้นของเคร่ืองใช้ไฟฟ้าทุกๆ ตัวมาต่อรวมกัน และต่อเข้ากับ แหล่งกาเนิดที่จุดหนึ่ง นาปลายสายของทุกๆ ตัวมาต่อรวมกันและนาไปต่อกับแหล่งกาเนิดอีกจุดหน่ึงที่ เหลือ ซ่ึงเมื่อเคร่ืองใช้ไฟฟ้าแต่ละอันต่อเรียบร้อยแล้วจะกลายเป็นวงจรย่อย กระแสไฟฟ้าท่ีไหลจะ สามารถไหลได้หลายทางข้ึนอยู่กับตัวของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่นามาต่อขนานกัน ถ้าเกิดในวงจรมี เคร่ืองใช้ไฟฟ้าตัวหน่ึงขาดหรือเปิดวงจร เคร่ืองใช้ไฟฟ้าที่เหลือก็ยังสามารถทางานได้ ในบ้านเรือนที่อยู่ อาศยั ปัจจุบนั จะเป็นการต่อวงจรแบบน้ที ง้ั ส้ิน
96 คุณสมบัตทิ ่สี าคัญของวงจรขนาน 2.1 กระแสไฟฟ้ารวมของวงจรขนาน จะมีค่าเท่ากับกระแสไฟฟ้าย่อยที่ไหลในแต่ละ สาขาของวงจรรวมกนั 2.2 แรงดนั ไฟฟา้ ตกคร่อมสว่ นต่างๆ ของวงจร จะเท่ากบั แรงดนั ไฟฟ้าท่ีแหลง่ กาเนดิ 2.3 ความต้านทานรวมของวงจร จะมีค่าน้อยกว่าความต้านทานตัวท่ีน้อยที่สุดท่ีต่ออยู่ ในวงจร 3. วงจรผสม เป็นวงจรท่ีนาเอาวิธีการต่อแบบอนุกรม และวิธีการต่อแบบขนานมารวมให้เป็น วงจรเดยี วกนั ซึ่งสามารถแบง่ ตามลักษณะของการต่อได้ 2 ลักษณะดังน้ี 3.1 วงจรผสมแบบอนุกรม-ขนาน เป็นการนาเคร่ืองใช้ไฟฟ้าหรือโหลดไปต่อกันอย่าง อนุกรมก่อน แลว้ จงึ นาไปต่อกันแบบขนานอกี ครัง้ หนง่ึ 3.2 วงจรผสมแบบขนาน-อนุกรม เป็นการนาเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือโหลดไปต่อกันอย่าง ขนานกอ่ น แลว้ จงึ นาไปต่อกนั แบบอนุกรมอีกคร้ังหนึง่ คณุ สมบตั ทิ สี่ าคญั ของวงจรผสม เป็นการนาเอาคุณสมบัติของวงจรอนุกรม และคุณสมบัติของวงจรขนานมารวมกัน ซึ่ง หมายความว่าถ้าตาแหน่งท่ีมีการต่อแบบอนุกรม ก็เอาคุณสมบัติของวงจรการต่ออนุกรมมาพิจารณา ตาแหนง่ ใดที่มกี ารตอ่ แบบขนาน กเ็ อาคณุ สมบัติของวงจรการตอ่ ขนานมาพจิ ารณาไปทีละขัน้ ตอน สำยดนิ และหลกั ดิน สายดนิ ระบบสายดนิ ทีต่ ิดตัง้ ในบ้านพักอาศัยเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการด้านความปลอดภัย ที่ทางการไฟฟ้านคร หลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้ออกเป็นข้อบังคับให้ผู้ใช้ไฟฟ้าภาคครัวเรือนต้องปฏิบัติตาม เหตุผลที่ทางการ ไฟฟา้ ตอ้ งออกเป็นกฎข้อบังคับก็เน่ืองมาจากในอดีต มีผู้ได้รับอันตรายจากการใช้ไฟฟ้าบ่อยครั้งมีท้ังได้รับบาดเจ็บ ไปจนถึงข้ันเสียเสียชีวิตก็มีอยู่ไม่น้อย สาเหตุส่วนใหญ่ก็มักจะมาจากการถูกไฟดูดจากการไปสัมผัสหรือใช้งาน เครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ ทมี่ ไี ฟรว่ั ดว้ ยเหตุนี้เองสายดินจงึ ได้กลายมาเปน็ ข้อบงั คบั เพ่ือความปลอดภัยในการใชไ้ ฟฟา้ เครอื่ งใช้ไฟฟา้ ทีต่ อ้ งมีและไม่มสี ายดิน เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ ประเภทท่ตี ้องมสี ายดิน คอื เครือ่ งใช้ไฟฟ้ารวมท้ังอุปกรณ์ติดตั้งทางไฟฟ้าท่ีมีโครงหรือเปลือกหุ้ม เปน็ โลหะซึง่ บุคคลมีโอกาสสมั ผสั ได้ต้องมสี ายดินเช่น ตูเ้ ย็น , เตารีด, เครื่องซักผ้า, หม้อหุงขา้ ว, เคร่ืองปรับอากาศ, เตาไมโครเวฟ, กระทะไฟฟ้า, กระติกน้าร้อน, เคร่ืองทาน้าร้อนหรือน้าอุ่น, เครื่องปิ้งขนมปัง รวมถึงเคร่ืองมือช่าง บางชนดิ เป็นตน้ ซ่งึ จะเรยี กเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่าน้วี ่าเปน็ เคร่ืองใช้ไฟฟา้ ประเภท 1
97 เครือ่ งใช้ไฟฟ้าประเภทท่ีไมต่ ้องมสี ายดนิ ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าท่ีใช้งานในระดับแรงดัน ต่ากว่า 50 V หรือเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ลักษณะทาง กายภาพมฉี นวนห่อหมุ้ มดิ ชิดในการใชง้ านปกติไม่มีโอกาสที่ผู้ใช้งานจะสัมผัสโดนส่วนท่ีมีไฟฟ้าซ่ึงจะเรียกเคร่ืองใช้ ไฟฟา้ ทไ่ี มต่ อ้ งมีสายดินวา่ เคร่ืองใช้ไฟฟ้าประเภท 2 ซึง่ มสี ัญลักษณแ์ สดงไวอ้ ย่างชดั เจนว่าไม่ต้องมีสายดินตัวอย่าง ของเครอื่ งใช้ฯประเภท 2 เชน่ วิทยุ, โทรทัศน์, พดั ลมต้ังพ้ืน/โตะ๊ โคมไฟแสงสวา่ งชนิดตงั้ โตะ๊ เป็นตน้ องคป์ ระกอบหลกั ของสายดนิ สายดินมีองค์ประกอบหลักๆทส่ี าคัญอยู่ 2 ส่วน ซึ่งไดแ้ ก่ สายตัวนาไฟฟ้าหรอื สายดิน และหลักดนิ สายดินทนี่ ามาติดตง้ั สายดินท่ีใช้ในระบบไฟฟ้าท่ัวไป จะมีลักษณะทางกายภาพ คือเป็นสายไฟฟ้าชนิดแกนเดียว ภายในสาย ประกอบดว้ ยลวดตวั นาที่ทามาจากทองแดง และหมุ้ ด้วยฉนวนประเภท PVC ตามมาตรฐาน ได้กาหนดให้ใช้สายที่ มีฉนวนสีเขียวหรือสเี ขยี วสลับแถบสีเหลอื ง เปน็ สีเฉพาะของสายดิน สายดินในระบบไฟฟา้ ยังสามารถจาแนกได้เป็น 2 กลมุ่ หลกั ๆคือ 1. สายดนิ ท่ีใชใ้ นวงจรยอ่ ยซง่ึ เป็นสายดนิ ทต่ี ่อมาจากเตา้ รับ หรือเครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้า ท่ตี ดิ ตัง้ ตามจุดต่างๆ 2. สายสาหรบั ต่อหลักดนิ เป็นสายขนาดใหญ่ท่ีจะรวมสายดินจากวงจรยอ่ ยต่างๆเขา้ ดว้ ยกัน แล้วต่อไปลง ทีห่ ลกั ดินทต่ี อกลงไปในดิน หลกั ดนิ หลักดินเป็นโลหะตัวนาไฟฟ้ามีหน้าท่ีถ่ายเทประจุไฟฟ้าให้กระจายลงสู่พ้ืนดิน โดยเม่ือมีกระแสไฟฟ้ารั่ว จากเครือ่ งใช้ไฟฟา้ ท่ีตอ่ สายดนิ อยู่ กระแสไฟฟา้ ท่รี ัว่ กจ็ ะเดนิ ทางจากสายดนิ มาสู่หลกั ดินแลว้ ถ่ายเทลงสู่พ้ืนดินหลัก ดนิ ทใ่ี ช้กบั ระบบสายดินมลี ักษณะทางกายภาพเปน็ แท่งโลหะ ซ่ึงโดยส่วนใหญ่จะใช้เป็นแท่งทองแดง หรือเหล็กชุบ ทองแดงเพือ่ ป้องกันสนิมและการกดั กร่อนตามมาตรฐานกาหนดให้หลักดินที่จะนามาติดต้ังกับระบบไฟฟ้า มีขนาด เส้นผ่าศูนย์กลาง 16 มม. (5/8นิ้ว) และมีความยาว 2.4 เมตร ซ่ึงนี่คือแท่งหลักดินขนาดมาตรฐานที่ใช้ตอกลงไป ในพ้นื ดนิ และมาตรฐานการตดิ ตง้ั ทางไฟฟ้าของประเทศไทย ก็ได้กาหนดค่าความต้านทานของหลักดินท่ีตอกลงไป โดยหลกั ดนิ ทไ่ี ดม้ าตรฐาน ต้องมีความตา้ นทานดนิ ไม่เกิน 5 โอหม์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109