รายงานสหกจิ ศกึ ษา สินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม : การแปรรปู วรรณกรรมอสี าน และแนวคดิ เชิงสงั คมท่ีปรากฏในบทละครหนุ่ รว่ มสมัย คณะละครหนุ่ นวัตศิลปม์ อดนิ แดง โดย นายวรนิ ทร ทองด้วง รหัสนักศกึ ษา 613080286-5 รายงานวจิ ยั นเี้ ปน็ ส่วนหนึง่ ของรายวชิ า 416 495 สหกิจศึกษาทางภาษาและวรรณกรรมไทย หลกั สูตรศลิ ปศาสตรบณั ฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น
สหกจิ ศึกษาทางภาษาและวรรณกรรมไทย ภาคการศึกษาปลาย ปีการศึกษา 2564 ชอื่ รายงานวิจยั สินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม : การแปรรูปวรรณกรรมอีสานและแนวคิด เชิงสังคมที่ปรากฏในบทละครหุ่นร่วมสมัย คณะละครหุ่นนวัตศิลป์ ชื่อผวู้ จิ ยั มอดนิ แดง ช่ือสถานประกอบการ นายวรินทร ทองด้วง ทอี่ ยู่ ศูนยศ์ ลิ ปวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น 123 ถนนมิตรภาพ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ชอ่ื พ่เี ลย้ี ง 40002 นางคณิตตา อักษร ตำแหน่ง นักจัดการงานทั่วไป กลุ่มภารกิจส่งเสริม อาจารย์ทปี่ รึกษา ศลิ ปวัฒนธรรม งานวชิ าการ และหอภาพยนตรอ์ สี าน อาจารย์ ดร.อมุ ารินทร์ ตุลารักษ์ อาจารย์ทปี่ รึกษา …………………………………………… (อาจารย์ ดร.อุมารินทร์ ตลุ ารกั ษ์) วันท่ี ……. เดอื น ………….……….. พ.ศ. …………. ประธานสหกิจศึกษาประจำสาขาวิชา …………………………………………… (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กัลยรัตน์ อุ่นทานนท์) …………………………………………… …………………………………………… (ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.วิรัช วงศภ์ นิ ันท์วัฒนา) (ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.มารศรี สอทิพย์) รองคณบดีฝ่ายวชิ าการและการตา่ งประเทศ ประธานกรรมการบริหารหลักสตู ร สาขาวชิ าภาษาไทย
ก บทคดั ย่อ งานรายงานวิจัยเรื่อง สินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม : การแปรรูปวรรณกรรมอีสานและแนวคิด เชิงสังคมที่ปรากฏในบทละครหุ่นร่วมสมัย คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ 1) เพอื่ ศึกษาการแปรรปู วรรณกรรมอีสานเร่ืองสนิ ไซ สบู่ ทละครห่นุ ร่วมสมยั เรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง และ 2) เพื่อศึกษาแนวคิดเชิงสังคมที่ปรากฏ ในบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง โดยใช้ วิธีการศึกษาและวิเคราะห์ตัวบทบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม ของคณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง และใช้วรรณกรรมสังข์สิลป์ชัย ฉบับปริวัตรโดย มั่น จงเรียน เป็นตัวบทต้นฉบับในการศกึ ษาการแปรรปู วรรณกรรม ส่กู ารสรา้ งสรรค์บทละครหนุ่ รว่ มสมยั ผลการศึกษาพบว่า ในด้านการแปรรูปวรรณกรรมต้นฉบับ สู่การสร้างสรรค์บทละครหุ่น ร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม ผู้ประพันธ์บทได้ใช้วิธีการแปรรูป 2 ลักษณะ คือ 1) การแปรรูปตวั บท ไดแ้ ก่ การเพม่ิ ประณามบท และการปรบั รูปแบบตวั บทวรรณกรรมต้นฉบับ และ 2) การแปรรปู เนื้อความ ได้แก่ การลดความ การเพิม่ ความ และการตัดความ ในด้านแนวคิดเชิงสังคม ที่ปรากฏในบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม ผู้ประพันธ์บทได้นำเสนอแนวคิด 2 ประเด็น คือ 1) แนวคิดด้านระบบครอบครัวและสังคม ได้แก่ ระบบปิตาธิปไตย ระบบอาวุโส และ ความกตัญญูต่อบุพการีและผู้มีพระคุณ และ 2) แนวคิดด้านการปกครอง ได้แก่ ความประพฤติของ นักปกครอง การรกั ษาสัจจะวาจา และความเท่ียงธรรม จากการศึกษาทำให้ทราบว่า ผู้ประพันธ์บทได้ปรับเปลี่ยนงานจากวรรณกรรมเพื่อการอ่าน ไปสู่การแสดงละครหุ่น ซึ่งมีลักษณะ หน้าที่ เงื่อนไข และข้อจำกัดบางประการในการสร้างสรรค์งาน ดังนนั้ บทละครหุน่ ร่วมสมยั เร่อื งสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม จงึ มีรายละเอียดของเน้ือหา และลักษณะ ของการนำเสนอที่แตกต่างไปจากเดิม เพื่อให้เหมาะสมกับรูปแบบของการนำเสนอ นอกจากนี้ ผู้ประพันธ์บทยังได้นำวรรณกรรมต้นฉบับมาตีความใหม่ผ่านมุมมองของตน เพื่อสื่อสารแนวคิดหรือ ประเด็นต่าง ๆ ทางสังคม แต่ยังคงสารัตถะและคุณค่าของวรรณกรรมไว้ดังเดิม การถ่ายทอด วรรณกรรมในส่อื รปู แบบใหมเ่ ชน่ น้ี จึงเปน็ การผลติ ซำ้ แนวคดิ ในวรรณกรรมสินไซ และเปน็ การผลิตซ้ำ การนำเสนอวรรณกรรมสินไซในบริบทสังคมอีสาน เพื่อให้สอดคล้องกับสื่อรูปแบบใหม่และบริบท ร่วมสมัย อันแสดงให้เห็นถึงการสืบทอดและพัฒนาการของวรรณกรรมสินไซ ในฐานะมรดก ทางวฒั นธรรม ทีป่ รากฏในสายธารวฒั นธรรมของสังคมอสี านมาชา้ นาน
ข กติ ตกิ รรมประกาศ การดำเนินงานวิจัยในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ เนื่องด้วยความกรุณาอย่างสูงจาก อาจารย์ ดร.อมุ ารนิ ทร์ ตุลารกั ษ์ อาจารย์ทป่ี รึกษา ท่ีกรุณาให้คำปรึกษา แกไ้ ขข้อบกพร่องต่าง ๆ และ คอยชีแ้ นะแนวทางการดำเนินงานวจิ ยั ดว้ ยความเอาใจใส่อยา่ งดยี ่ิง ผู้วิจยั ตระหนักถงึ ความความทุ่มเท และความตง้ั ใจจรงิ ของอาจารย์ จงึ ขอขอบพระคณุ เปน็ อย่างสงู ไว้ ณ ท่นี ี้ ขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์พชญ อัคพราหมณ์ ผู้ประพันธ์บทและผู้กำกับการแสดง คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง ทีใ่ หเ้ กยี รตสิ ละเวลาอนั มีค่าเพื่อให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์แก่ผู้วิจัย จนทำให้งานวจิ ยั ชน้ิ นส้ี ำเรจ็ ลุลว่ งไปได้ด้วยดี ขอขอบคุณ พี่ต่าย สุรางคณา นักวิชาการศึกษา ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม และผู้จัดการ คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง ที่คอยประสานงาน และเอื้อเฟื้อบทละครหุ่นให้ผู้วิจัยนำมาศึกษา จนกระทั่งได้ข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ทุกประการ รวมไปถึง พี่วิท วิทยา ทใ่ี หแ้ นวทางในการดำเนนิ งานวิจัยและการเกบ็ ข้อมูล ขอขอบคุณ พี่กิ๊ฟ คณิตตา พี่เลี้ยงในการปฏิบัติสหกิจศึกษา ที่คอยให้ความช่วยเหลือใน ด้านตา่ ง ๆ ตลอดระยะเวลาการปฏิบตั ิสหกจิ ศึกษา ตลอดจนขอขอบคุณบุคลากรศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทกุ ท่าน ทผ่ี ้วู จิ ยั อาจกลา่ วถึงไม่หมด ทีค่ อยสอนงานและถา่ ยทอดความรู้ต่าง ๆ อันเปน็ ประโยชนใ์ นการปฏิบัติงานในอนาคต ขอขอบคุณครอบครัวของผู้วิจัย แม่ น้องสาว ยีราฟ โลมา ที่คอยห่วงใย สนับสนุน และเป็น กำลังใจใหแ้ กผ่ ้วู จิ ยั อยเู่ สมอ ขอขอบใจเพื่อน ๆ ทุกคนที่คอยสร้างสีสัน สนับสนุน ให้กำลังใจ และปรับทุกข์ซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พี่ทีม ธนาภรณ์ ผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนและพี่สาวที่น่ารัก ที่คอยมอบความสุข ความสนุกสนาน และให้คำปรึกษาในทุก ๆ เรื่อง ตลอดระยะเวลา 4 ปี ในรั้วมหาวิทยาลัย รวมไปถึง บอมบ์ วชิระ ท่คี อยให้กำลงั ใจและอย่เู คยี งขา้ งกันเสมอมา ผูว้ จิ ัย เมษายน 2565
ค สารบญั เร่อื ง หนา้ บทคัดย่อ........................................................................................................................................... ก กติ ติกรรมประกาศ............................................................................................................................. ข สารบัญ.............................................................................................................................................. ค สารบัญตาราง.................................................................................................................................... ฉ สารบัญรปู ภาพ.................................................................................................................................. ช บทท่ี 1 บทนำ ....................................................................................................................................1 1.1 ท่ีมาและความสำคัญ............................................................................................................ 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการศึกษา .................................................................................................. 3 1.3 ขอบเขตการศึกษา ............................................................................................................... 3 1.3.1 ขอบเขตด้านเน้ือหา.....................................................................................................4 1.3.2 ขอบเขตด้านระยะเวลา ...............................................................................................4 1.4 ประโยชนท์ ่ีคาดว่าจะไดร้ ับ................................................................................................... 4 1.5 นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ................................................................................................................. 4 1.6 ขอ้ ตกลงเบื้องตน้ .................................................................................................................. 5 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กยี่ วข้อง .............................................................................................6 2.1 แนวคดิ และทฤษฎเี กย่ี วกับการแปรรปู วรรณกรรม ............................................................... 6 2.2 เอกสารและงานวิจยั ท่เี กี่ยวข้อง ........................................................................................... 9 2.2.1 ขอ้ มูลคณะละครหนุ่ นวัตศลิ ปม์ อดินแดง......................................................................9 2.2.2 เอกสารและงานวิจัยทเี่ กย่ี วข้องกบั การแปรรปู วรรณกรรม ....................................... 13 2.2.3 เอกสารและงานวิจัยที่เกย่ี วขอ้ งกบั การศกึ ษาวรรณกรรมเชิงสังคม ........................... 18 บทที่ 3 วิธกี ารดำเนินงานวจิ ยั ......................................................................................................... 22 3.1 ขั้นตอนการดำเนินงานวิจยั ................................................................................................ 22 3.2 การศกึ ษาและรวบรวมขอ้ มูล ............................................................................................. 22 3.2.1 วธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ......................................................................................... 22 3.2.2 เครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูล..................................................................... 23
ง สารบัญ (ต่อ) เร่อื ง หน้า 3.3 การวิเคราะห์ข้อมลู ............................................................................................................ 23 3.4 สรปุ และอภปิ รายผลการศึกษา........................................................................................... 23 3.5 ระยะเวลาในการดำเนนิ งานวิจัย ........................................................................................ 24 บทท่ี 4 ผลการศึกษาและวเิ คราะห์ข้อมลู ........................................................................................ 25 4.1 การแปรรูปวรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ สู่บทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอน นาคะยทุ ธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลปม์ อดินแดง................................................................... 25 4.1.1 เรือ่ งย่อวรรณกรรมสนิ ไซ.......................................................................................... 26 4.1.2 วิธกี ารแปรรปู วรรณกรรมอสี านเรอื่ งสนิ ไซ สู่การสรา้ งสรรค์บทละครหุน่ ร่วมสมัย..... 31 4.1.2.1 การแปรรูปตวั บท........................................................................................... 33 1) การเพม่ิ ประณามบท........................................................................................ 33 2) การปรบั รปู แบบตวั บทวรรณกรรมต้นฉบับ ...................................................... 34 4.1.2.2 การแปรรูปเนื้อความ...................................................................................... 39 1) การลดความ .................................................................................................... 39 2) การเพมิ่ ความ .................................................................................................. 43 3) การตดั ความ.................................................................................................... 50 4.2 แนวคิดเชิงสังคมที่ปรากฏในบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหนุ่ นวตั ศิลป์มอดนิ แดง............................................................................................. 53 4.2.1 แนวคิดด้านระบบครอบครัวและสังคม ..................................................................... 53 4.2.1.1 ระบบปติ าธปิ ไตย ........................................................................................... 54 4.2.1.2 ระบบอาวโุ ส................................................................................................... 56 4.2.1.3 ความกตัญญตู ่อบุพการีและผมู้ ีพระคุณ .......................................................... 57 4.2.2 แนวคิดด้านการปกครอง.......................................................................................... 59 4.2.2.1 ความประพฤติของนักปกครอง....................................................................... 60 4.2.2.2 การรักษาสัจจะวาจา ...................................................................................... 61 4.2.2.3 ความเทีย่ งธรรม ............................................................................................. 61 บทที่ 5 สรปุ และอภปิ รายผลศกึ ษา.................................................................................................. 65
จ สารบัญ (ต่อ) เร่ือง หน้า 5.1 สรุปผลการศกึ ษา ............................................................................................................... 65 5.1.1 การแปรรูปวรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ สู่บทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอน นาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลปม์ อดินแดง............................................................ 65 5.1.2 แนวคิดเชิงสังคมที่ปรากฏในบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครห่นุ นวตั ศลิ ป์มอดนิ แดง...................................................................................... 67 5.2 อภปิ รายผลการศกึ ษา ........................................................................................................ 68 5.3 ขอ้ เสนอแนะ...................................................................................................................... 71 บรรณานกุ รม................................................................................................................................... 72 ภาคผนวก........................................................................................................................................ 76 ภาคผนวก ก บทการแสดงหุน่ เรอื่ งสินไซ ตอน นาคะยุทธกรรม (รบกบั นาค) ............................ 77 ภาคผนวก ข การแสดงละครหุน่ รว่ มสมัยเรอ่ื งสนิ ไซ ตอนนาคะยทุ ธกรรม ................................ 87
ฉ สารบญั ตาราง ชอื่ ตาราง หน้า ตารางท่ี 1 ระยะเวลาการดำเนินงานรายงานวจิ ยั ............................................................................ 24
ช สารบัญรปู ภาพ ชือ่ ภาพ หนา้ ภาพท่ี 1 ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารยพ์ ชญ อคั พราหมณ์.............................................................................. 10 ภาพท่ี 2 การแสดงละครหุ่นร่วมสมยั เรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม รอบปฐมทัศน์....................... 11 ภาพท่ี 3 การแสดงละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยทุ ธกรรม รอบปฐมทศั น์....................... 12 ภาพท่ี 4 การแสดงละครหุ่นร่วมสมัยเร่ืองสนิ ไซ ตอนนาคะยุทธกรรม รอบปฐมทัศน์....................... 12 ภาพท่ี 5 ตวั ละครสนิ ไซ ................................................................................................................... 88 ภาพท่ี 6 ตัวละครสงั ข์ทอง............................................................................................................... 88 ภาพท่ี 7 ตัวละครพระยาวรุณราช ................................................................................................... 89 ภาพท่ี 8 ตวั ละครนางสีดาจนั ทร์...................................................................................................... 89 ภาพที่ 9 ตวั ละครนางสมุ ณฑา......................................................................................................... 90 ภาพที่ 10 ตัวละครพญาครุฑ........................................................................................................... 90 ภาพท่ี 11 การแสดงละครหุน่ รว่ มสมัยเร่ืองสนิ ไซ ตอนนาคะยุทธกรรม ........................................... 91 ภาพที่ 12 ฉากท่ี 1 สุมณฑาขอหลาน .............................................................................................. 91 ภาพท่ี 13 ฉากท่ี 1 สมุ ณฑาขอหลาน .............................................................................................. 92 ภาพท่ี 14 ฉากที่ 2 สินไซ สังข์ทอง ทอ่ งเมอื งบาดาล....................................................................... 92 ภาพที่ 15 ฉากที่ 2 สินไซ สังข์ทอง ทอ่ งเมืองบาดาล....................................................................... 93 ภาพที่ 16 ฉากที่ 3 สนิ ไซขอแขง่ สกากับพระยาวรณุ ราช ................................................................. 93 ภาพที่ 17 ฉากที่ 3 สนิ ไซขอแขง่ สกากับพระยาวรณุ ราช ................................................................. 94 ภาพที่ 18 ฉากที่ 4 สินไซรบกับพระยาวรณุ ราช .............................................................................. 94 ภาพท่ี 19 ฉากที่ 4 สินไซรบกับพระยาวรณุ ราช .............................................................................. 95 ภาพท่ี 20 ฉากที่ 5 สินไซสอนพระยาวรณุ ราช................................................................................. 95 ภาพท่ี 21 ฉากที่ 6 กลบั เมืองเปง็ จาล.............................................................................................. 96 ภาพที่ 22 เตย้ ลา............................................................................................................................. 96
1 บทท่ี 1 บทนำ 1.1 ที่มาและความสำคญั วรรณกรรมท้องถิ่น เป็นวรรณกรรมทั้งที่เป็นลายลักษณ์และมุขปาฐะที่ปรากฏอยู่ในท้องถิ่น ภาคต่าง ๆ ของไทย โดยคนในท้องถิ่นนั้นเป็นผู้สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อตอบสนองการศึกษา การอ่าน และการฟังของกลุ่มคนในสังคม จึงมักจะมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาหรือเป็นนิทานคติธรรม เพื่อช่วยอบรมขัดเกลาจิตใจและพฤติกรรมของผู้คนในสังคม นอกจากนี้ วรรณกรรมท้องถ่ิน ยังมีลักษณะสำคัญคือ การประพันธ์โดยใช้ภาษาถิ่นของตน และการใช้ฉันทลักษณ์ที่เป็นที่นิยมของ ทอ้ งถ่นิ นัน้ ๆ วรรณกรรมทอ้ งถ่ินอสี าน เป็นวรรณกรรมที่เจริญรุ่งเรอื งในหมู่ชาวบ้าน จึงมรี ปู แบบเฉพาะตัว ที่ตอบสนองความเชื่อและสะท้อนสภาพสังคม รวมไปถึงคตินิยม ภาษา สำนวนโวหาร คุณค่าและ สาระที่เป็นประโยชน์ต่อจิตใจ ตลอดจนการนำเสนออุดมการณ์ของสังคมเฉพาะท้องถิ่น ซึ่งเป็นลักษณะร่วมของกลุ่มชนที่สืบทอดวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง (ธวัช ปุณโณทก, 2525 : 174-175) กล่าวได้ว่า ในแต่ละท้องถิ่นจะมีวรรณกรรมที่มีรูปแบบเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นของตน และมีปัจจัย ด้านต่าง ๆ ที่ช่วยให้เกิดการสร้างสรรค์งาน ดังที่ จารุวรรณ ธรรมวัตร (2521 : 6-14) ได้อธิบายว่า วัฒนธรรมของสังคมอีสานเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนช่วยให้เกิดการสนับสนุนและสร้างสรรค์งาน วรรณกรรม อาทิ ศาสนา การอา่ นหนังสือผกู และการสวดสรภญั ญ์ และหมอลำ ธวัช ปุณโณทก (2525 : 156-157) กล่าวว่า วรรณกรรมอีสานที่ปรากฏส่วนมาก สืบทอดมาจากวรรณกรรมที่เจริญรุ่งเรืองในแถบลุ่มแม่น้ำโขง บางส่วนปราชญ์ท้องถิ่นได้สร้างสรรค์ ขึ้นใหม่ บ้างนำวรรณกรรมที่มีอยู่เดิมมาปรับปรุงแก้ไข หรือเพิ่มเติมเสริมแต่งเนื้อหาขึ้นในสมัยต่อมา แต่คตินิยม ความเชื่อ ธรรมเนียมในการประพันธ์ยังคงรักษารูปแบบเดิมไว้ เป็นเหตุให้วรรณกรรม ได้คลี่คลายไปตามแนวปรัชญาชีวิตของสังคมนั้น ๆ ฉะนั้น รูปแบบของวรรณกรรมอีสานจึงมีลักษณะ เช่นเดียวกับวรรณกรรมล้านช้าง และหากวรรณกรรมเรื่องใดตอบสนองแนวคิด ค่านิยม ความเชื่อ ของสังคมได้มาก วรรณกรรมเรื่องนั้นจะเป็นที่นิยมของท้องถิ่นและแพร่กระจายได้มากกว่า ทง้ั ยงั เจรญิ รุ่งเรอื งอยใู่ นสงั คมน้ันไดอ้ ย่างยาวนาน ดงั เช่นวรรณกรรมเรือ่ ง สนิ ไซ สินไซ หรือสังข์ศิลป์ชัย เป็นวรรณกรรมที่ประพันธ์ขึ้นในสมัยอาณาจักรล้านช้าง ผู้แต่งเป็น กวีราชสำนักชื่อท้าวปางคำ วรรณกรรมเรื่องนี้เป็นเรื่องราวนิทานมหัศจรรย์ที่ตัวละครเอก มีความสามารถเหนือมนุษย์ มีการสู้รบและผจญภัยกับ “หกย่านน้ำ เก้าด่านมหาภัย” เพื่อพิสูจน์
2 ความกล้าหาญ ความเสียสละ บุญบารมี และคุณธรรมของตัวละครสินไซ (จารุวรรณ ธรรมวัตร, ม.ป.ป. : 146-159) วรรณกรรมเรื่องสินไซได้รับการยกย่องเป็นวรรณกรรมเอกของชนสองฝั่งโขง เนื่องจาก มีคุณค่าที่ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ทั้งในเชิงสารัตถะและวรรณศิลป์ อีกทั้งยังเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ที่สำคัญ และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจากผู้คนในภาคอีสานและประเทศลาวมาอย่างช้านาน ดังจะเห็นได้จากใบลานในท้องถิ่นต่าง ๆ ที่พบการจารวรรณกรรมเรื่องสินไซในหลายสำนวน หลายรูปแบบการประพันธ์ ซึ่งส่งอิทธิพลไปสู่การสร้างสรรค์งานศิลปะแขนงอื่น ๆ เช่น จิตรกรรม ประติมากรรม ศิลปะลายผ้า การแสดงหมอลำ ตลอดจนการนำไปปรับประยุกต์ใช้เป็นต้นทุน ทางวัฒนธรรม เพื่อพัฒนาคน สังคม สิ่งแวดล้อม และประเทศชาติ (ทรงวิทย์ พิมพะกรรณ์, 2557 : อรัมภกถา) การเปลี่ยนแปลงรูปแบบและปรับประยุกต์ใช้วรรณกรรมในลักษณะข้างต้น สอดคล้องกับ กิ่งแก้ว อัตถากร (2520 : 12-13 อ้างถึงใน ตัสนีม อาลี, พัชลินจ์ จีนนุ่น, และวราเมษ วัฒนไชย, 2562 : 39) และประคอง นิมมานเหมินท์ (2551 : 2) ที่ได้อธิบายว่า แต่เดิมวรรณกรรม ได้รับการถ่ายทอดในรูปแบบมุขปาฐะ (Oral transmission) เล่าสืบต่อกันมาจนกลายเป็นมรดก ทางวัฒนธรรม ต่อมาจึงพัฒนามาสู่การถ่ายทอดแบบลายลักษณ์ (Literary transmission) หรือ ถ่ายทอดในรูปแบบของสื่อการแสดง (Performance) ตามพัฒนาการของสังคมและความก้าวหน้า ของเทคโนโลยี ดังจะเห็นได้จากการนำวรรณกรรมหรือนิทานไปสร้างสรรค์ในสื่อรูปแบบต่าง ๆ เนื่องจากมีอุปกรณ์หลากหลายที่ใช้เป็นสื่อในการถ่ายทอด ทั้งที่เป็นสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อดิจิทัล โดยผู้สร้างสรรค์อาจคงเค้าโครงเรื่องเดิม เปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือเพิ่มเติมรายละเอียดเนื้อหา บางประการตามจินตนาการของตนลงไป เพื่อให้เนื้อหามีความสมบูรณ์มากขึ้น หรือเพื่อให้เข้ากับ ความนิยมและบริบทสงั คมในปจั จบุ ัน สำนักลิขสิทธิ์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา (2562) กล่าวว่า การต่อยอดงานวรรณกรรมออกไป ในรูปแบบต่าง ๆ เป็นแนวทางหนึ่งในการเผยแพร่องค์ความรู้ ช่วยให้ผลงานและผู้สร้างสรรค์ เป็นที่รู้จัก ช่วยให้ผู้คนสามารถเข้าถึงความคิดสร้างสรรค์ของเจ้าของงานวรรณกรรมได้มากยิ่งข้ึน อีกทั้งยังสร้างความบันเทิง จรรโลงใจ และเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่งานวรรณกรรมนั้น ๆ นอกจากน้ี ร่นื ฤทยั สจั จพันธุ์ (2558 : บทนำ) ยงั ได้อธบิ ายว่า การแปรรูปวรรณกรรม เปน็ ศาสตร์หนึ่ง ของการสืบทอดและสร้างสรรค์วรรณกรรมให้ดำรงอยู่ในรูปแบบใหม่ท่ามกลางบริบทใหม่ และ จุดมุ่งหมายใหม่ แต่ยังคงรักษาเนื้อหา ความคิดสำคัญ และคุณค่าของวรรณกรรมต้นฉบับไว้ อยา่ งครบถว้ น
3 ผู้วิจัยพบว่า นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้มีการนำเอาวรรณกรรมสินไซมาปรับ ดัดแปลง และแปรรูป จากวรรณกรรมแบบลายลักษณ์ไปสู่การสร้างสรรค์งานด้านศิลปวัฒนธรรมในรูปแบบ และสื่อประเภทต่าง ๆ มาทุกยุคสมัย เช่น ฮูปแต้ม การเทศน์ หนังประโมทัย หมอลำกลอน หมอลำเรื่องต่อกลอน ลายดนตรีพื้นเมือง ละครเวที หรือการนำเอาอัตลักษณ์ของตัวละครมาตอ่ ยอด เป็นภาพยนตร์การ์ตูน ของฝากของที่ระลึก ตลอดจนศิลปนิพนธ์ของนิสิตนักศึกษาในสถาบันต่าง ๆ ที่ได้หยิบยกเอาบางบั้นบางเหตุการณ์ในวรรณกรรมสินไซมาสร้างสรรค์เป็นผลงานด้านนาฏยศิลป์ ตัวอย่างเหล่านี้เป็นสิ่งท่ีแสดงให้เห็นถึงความนิยมในวรรณกรรมเรื่องสินไซ จึงได้มีการปรับเปลี่ยน รูปแบบการนำเสนอวรรณกรรมไปตามพฒั นาการของสงั คมและความนยิ มในแต่ละยุคสมยั นอกจากนี้ สำนักลิขสิทธิ์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา (2562) ได้กล่าวว่า การดัดแปลง งานวรรณกรรมเป็นบทสำหรับการแสดงในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ละครโทรทัศน์ ละครเวที ภาพยนตร์ ตลอดจนละครหุ่น ก็เป็นแนวทางหนึ่งในการต่อยอดงานวรรณกรรม ซึ่งช่วยให้วรรณกรรมเรื่องนั้น ๆ เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการสร้างความบันเทิง ความจรรโลงใจ ควบคู่ไปกับการ สอดแทรกแนวคดิ คติสอนใจ และปรชั ญาชีวิต ให้แกผ่ ้ชู ม ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาการแปรรูปวรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ สู่การสร้างสรรค์ บทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม ตลอดจนแนวคิดเชิงสังคมที่ปรากฏใน บทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม ของคณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ได้นำเอาวรรณกรรมสินไซมาสร้างสรรค์เป็นผลงาน การแสดง ด้านศิลปวัฒนธรรมที่มีความร่วมสมัย เพื่อให้ทราบถึงวิธีการแปรรูปวรรณกรรมอีสานและแนวคิด เชิงสังคมท่ีถูกนำเสนอในบทละครหุ่นร่วมสมัยเร่ืองสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม ตลอดจนเป็นแนวทาง ในการศึกษาการแปรรูปวรรณกรรมอีสาน สู่การสร้างสรรค์รูปแบบการนำเสนอวรรณกรรมในสื่อ ประเภทอ่นื ๆ 1.2 วัตถปุ ระสงคข์ องการศึกษา 1) เพื่อศึกษาการแปรรูปวรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ สู่บทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหนุ่ นวัตศลิ ป์มอดนิ แดง 2) เพื่อศึกษาแนวคิดเชิงสังคมที่ปรากฏในบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอน นาคะยทุ ธกรรม คณะละครหนุ่ นวัตศิลป์มอดินแดง 1.3 ขอบเขตการศกึ ษา ในการดำเนนิ งานวิจยั ครั้งน้ี ผู้วิจัยไดก้ ำหนดขอบเขตการศกึ ษาวิจัยไว้ ดังนี้
4 1.3.1 ขอบเขตดา้ นเนือ้ หา ผู้วิจัยมุ่งศึกษาเฉพาะบทละครหุ่นเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม ของ คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง ซึ่งประพันธ์ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2562 โดย พชญ อัคพราหมณ์1 โดยใช้ วรรณกรรมสังข์สิลป์ชัย ฉบับปริวัตรโดย มั่น จงเรียน (ม.ป.ป.) เป็นตัวบทต้นฉบับในการศึกษา การแปรรูปวรรณกรรมสู่การสรา้ งสรรค์บทละครหนุ่ ร่วมสมัย 1.3.2 ขอบเขตด้านระยะเวลา ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตระยะเวลาในการดำเนินงานวิจัยระหว่างวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2564 ถึงวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2565 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ผู้วิจัยอยู่ในระหว่างการปฏิบัติ สหกิจศึกษา ณ ศูนยศ์ ิลปวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะไดร้ บั 1) ทราบถึงวิธีการแปรรูปวรรณกรรมอีสานสู่การสร้างสรรค์บทละครหุ่นร่วมสมัย และ ทราบถงึ แนวคิดเชงิ สงั คมที่ปรากฏในบทละครหุ่นรว่ มสมัย ของคณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง 2) เป็นแนวทางในการศึกษาการแปรรูปวรรณกรรมอีสานสู่การสร้างสรรค์บทละครหุ่น ตลอดจนบทละครประเภทอืน่ ๆ หรือสอื่ อื่น 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ หมายถึง การเปลี่ยนรูปแบบวิธีการนำเสนอวรรณกรรมจากรูปแบบเดิม การแปรรูปวรรณกรรม ให้เป็นรูปแบบใหม่ที่เป็นสื่อคนละประเภทกัน (จักรกฤษณ์ ดวงพัตรา, 2544 : 149) แนวคิดเชิงสังคม หมายถึง กรอบแนวคิดของสังคม ซึ่งเป็นที่ยอมรับของบุคคลที่ใช้ในการคดิ และการประพฤติปฏิบัติตนรว่ มกนั ที่นำเสนอผา่ นทางบทละครหุ่นร่วมสมัย สนิ ไซ คณะละครหนุ่ นวตั ศิลปม์ อดนิ แดง หมายถึง วรรณกรรมที่ประพันธ์ขึ้นในสมัยอาณาจักรล้านช้าง ได้รับ ความนิยมและแพร่หลายอย่างมากโดยเฉพาะในบริเวณลุ่มน้ำโขง เนื้อหา เป็นการสู้รบ ผจญภัย และการเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ ของตัวละครเอก ท่ีชื่อว่า “สินไซ” เพอื่ พสิ จู นค์ วามกลา้ หาญ ความเสยี สละ และคณุ ธรรม 1 ผู้ช่วยศาสตราจารย์, สาขาวิชาการแสดง ภาควชิ าศิลปะการแสดง คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่
5 ละครหุ่นรว่ มสมยั หมายถึง การแสดงละครหุ่นอีสานของคณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง ซึ่งเป็นการประยุกต์ใช้รากวัฒนธรรมและภูมิปัญญาด้านศิลปะ ดนตรี และ การแสดงของภาคอีสาน มาสร้างสรรค์เป็นผลงานด้านศิลปวัฒนธรรม ท่มี คี วามร่วมสมยั 1.6 ขอ้ ตกลงเบ้อื งต้น รายงานวิจัยนี้มีข้อตกลงเบื้องต้นคือ ผู้วิจัยใช้คำว่า “สินไซ” ตามความนิยมของชาวอีสาน เป็นหลัก เมื่อกล่าวถึงวรรณกรรมเรื่องสินไซ และบทละครหุ่นร่วมสมัยของคณะละครหุ่นนวัตศิลป์ มอดินแดง ยกเว้นในกรณีที่ต้องการระบุเฉพาะเจาะจงถึงวรรณกรรมสินไซฉบับปริวัตร ที่นำมาเป็น ต้นฉบับในการศึกษาการแปรรูปวรรณกรรม จึงจะใช้คำว่า “สังข์สิลป์ชัย” ตามตัวบทต้นฉบับ เพ่ือใหเ้ กดิ ความชัดเจน นอกจากนี้ เนื่องจากวรรณกรรมสินไซแต่เดิมบันทึกเป็นภาษาโบราณของท้องถิ่นนั้น ๆ ซึ่งยงั ไมม่ หี ลกั เกณฑ์ในการใช้ภาษาที่เคร่งครัด วรรณกรรมสนิ ไซในแตล่ ะสำนวนจึงมีการสะกดคำและ ระบบการเขียนที่แตกต่างกนั ไป โดยมักจะยึดที่การออกเสียงเป็นสำคัญ ดังนั้น ในกรณีที่ต้องการระบุ ถึงรายละเอียดต่าง ๆ ในตัวบทวรรณกรรมสังข์สิลป์ชัย ฉบับปริวัตรโดย มั่น จงเรียน (ม.ป.ป.) ผู้วิจัย จะยึดรูปแบบการสะกดคำตามตัวบทต้นฉบับ อาทิ สิลป์ชัย นางสุมุนทา ท้าววะรุนนะราช ยักขก์ มุ พนั ท์ เมืองอโนราท เปน็ ตน้
6 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ ก่ียวข้อง การศึกษาวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการแปรรูปวรรณกรรม โดยมุ่งศึกษา เฉพาะการแปรรูปวรรณกรรมเรื่องสินไซ สู่บทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม ตลอดจนศึกษาแนวคิดเชิงสังคมที่ปรากฏในบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง โดยผู้วิจัยได้สืบค้นเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเด็นที่ ศึกษา ซงึ่ มรี ายละเอยี ดดังตอ่ ไปน้ี 2.1 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการแปรรปู วรรณกรรม 2.2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง 2.2.1 ขอ้ มูลคณะละครหุ่นนวัตศิลปม์ อดนิ แดง 2.2.2 เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกี่ยวข้องกบั การแปรรูปวรรณกรรม 2.2.3 เอกสารและงานวิจยั ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การศกึ ษาวรรณกรรมเชงิ สังคม 2.1 แนวคดิ และทฤษฎีเกี่ยวกับการแปรรูปวรรณกรรม Dercksen (2015) กล่าวว่า การแปรรูป (Adaption) คือการเปลี่ยนจากสื่อหนึ่งไปสู่ อีกสื่อหนึ่ง หรือการปรับเปลี่ยนผลงานจากรูปแบบหนึ่งไปสู่รูปแบบอื่น ๆ ให้เหมาะสมกับบริบท เงื่อนไข หรือข้อจำกัดบางประการ ด้วยวิธีการเปลี่ยน ปรับ ขยาย หรือลดทอนรายละเอียดบางส่ิง ซึ่งทำให้ผลงานนั้นมีโครงสร้าง (Structure) หน้าที่ (Function) และรูปแบบ (Form) ที่แตกต่าง จากเดิม โดยในอดีตมักจะเป็นการนำเอานวนิยายมาแปรรูปให้เป็นภาพยนตร์ แต่ในปัจจุบันมีการนำ ผลงานในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ บทกวี บทเพลง บทความในนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ เรื่องสั้น สารคดี หรือแม้กระทัง่ หนังสือการ์ตูน มาแปรรูปเป็นละคร ละครเวที ซรี สี โ์ ทรทศั น์ ภาพยนตร์ หรือภาพยนตร์ แอนิเมชั่น ในขณะที่ Hutcheon (2006 อ้างถึงใน วิศปัตย์ ชัยช่วย, 2557 : 134) ได้อธิบาย ความหมายของการแปรรูปในเชิงวรรณกรรมไว้ว่า เป็นการปรับเปลี่ยนงานวรรณกรรมต้นฉบับ ทั้งที่เป็นนวนิยาย เรื่องสั้น หรือบทกวี ไปสู่งานประเภทอื่นหรือสื่ออื่น (Genre or medium) เช่น ภาพยนตร์ ละครเวที หรอื แมแ้ ตว่ ิดีโอเกม โดยมีแนวทางการแปรรปู วรรณกรรม 2 แนวทาง คอื 1) เป็นผลผลิตซึ่งครอบคลุมการปรับเปลี่ยนรูปแบบของงาน (Transposition) หรือสิ่งท่ี เกี่ยวกับงานชิ้นนั้น การแปรรูปในลักษณะนี้คือการเปล่ียนส่ือ (Medium) หนึ่งไปสู่อีกส่ือหน่ึง เช่น จากบทกวีไปสู่ภาพยนตร์ การเปล่ียนประเภท (Genre) เช่น จากมหากาพย์ไปสู่นวนิยาย หรือ
7 การเปลี่ยนกรอบแนวคิดและบริบท เช่น การเล่าเรื่องในมุมมองที่แตกต่างออกไปจากต้นฉบับเดิม นอกจากนีย้ งั รวมไปถงึ การเปลี่ยนจากเร่ืองจริงไปสู่เร่ืองแต่ง เช่น จากประวัตศิ าสตร์หรืออัตชีวประวัติ แปรรูปมาเปน็ นวนิยาย เร่อื งเล่า ละครหรอื ภาพยนตร์ท่ีสร้างข้นึ มาจากเรอ่ื งจรงิ 2) เป็นกระบวนการในการตคี วามหมายใหม่และการสร้างสรรค์ผลงานขึ้นใหม่ โดยขึ้นอยู่กับ แต่ละมุมมองและทัศนคติของผู้แปรรูป หรือการปรับให้เหมาะสมกับบริบทของผู้รับสาร เช่น การแปรรปู วรรณกรรมให้เหมาะกบั เยาวชน เป็นต้น จักรกฤษณ์ ดวงพัตรา (2544 : 149) ได้อธิบายว่า “การแปรรูป” เป็นศัพท์ที่คิดขึ้นใหม่ เพื่อเลี่ยงการใช้คำว่า “ดัดแปลง” ซึ่งเป็นคำที่เกี่ยวพันกับ “เนื้อหา” โดยตรง เนื่องจากผู้ที่เกี่ยวข้อง กับการนำวรรณกรรมมาใช้เพื่อการแสดง ไม่ว่าจะเป็นผูเ้ ขยี นวรรณกรรมต้นฉบับเอง ผู้จัดทำบท หรือ ผู้อ่านซึง่ ก็เป็นผู้ชมด้วยก็ตาม มักเกรงและกังวลว่ารายละเอียดตา่ ง ๆ ในตัวบทตน้ ฉบับ เช่น ตัวละคร เหตุการณ์ และบทสนทนาในวรรณกรรมที่ดัดแปลงมานั้น จะยังคงเนื้อหา ความประทับใจ เฉกเช่น ตัวบทเดิมหรือไม่ หรืออาจจะเป็นการลดทอนคุณค่าหรือเสน่ห์ของวรรณกรรมเรื่องน้ัน ๆ ให้เปลย่ี นแปลงไปจากต้นฉบับ เชน่ เดยี วกบั Dercksen (2015) ทไ่ี ดแ้ สดงทรรศนะไว้ว่า After seeing the film version of a well-known novel, most of us have commented that the book was better, or different in some part. Adapting a book into a screenplay means to change one (book) into another (screenplay), not to superimpose one onto the other. ดังนั้น คำว่า “แปรรูป” จึงเป็นคำที่นำมาใช้แทนคำว่า “ดัดแปลง” เพื่อเลี่ยงการนำ ประสบการณ์จากการอ่านของผู้อ่านวรรณกรรม มาเปรียบเทียบกับประสบการณ์จากการชม การแสดง โดยการแปรรูปเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับการนำเสนอ “รูปแบบ” ของวรรณกรรม ซึ่งหมายถึง การเปลี่ยนรูปแบบวิธีการนำเสนอวรรณกรรมจากรูปแบบเดิม ให้มีรูปแบบใหม่ที่เป็นส่ือ คนละประเภทกนั ดว้ ยวธิ กี าร เตมิ -ตดั ทวี-ทอน ขยาย-ยุบ หรอื สลบั ลำดับฉากนาฏการ ตัวละคร ฉาก สถานที่ และบทสนทนา (จกั รกฤษณ์ ดวงพัตรา, 2544 : 149) Dercksen (2010 อ้างถึงใน วิศปัตย์ ชัยช่วย, 2557 : 135) ได้ให้แนวทางการแปรรูป วรรณกรรมเพื่อการแสดงไว้ว่า ผู้จัดทําบทควรจะพิจารณาใน 4 ประเด็น คือ ค้นหาและพัฒนา โครงสร้างเชิงการแสดง ค้นหาลีลาและอารมณ์ที่จะนําเสนอ ค้นหาวิธีที่จะบอกเล่าเรื่องราวเป็นภาพ และค้นหาทางที่จะตอบคำถามว่าการแสดงปรากฏในฉากได้อย่างไร กล่าวโดยย่อคือ ผู้จัดทำบท จะต้องพยายามทำความเข้าใจกับตัวบทวรรณกรรม (Text) ให้กระจ่างชัด พร้อมทั้งหารูปแบบ วิธีการนำเสนอ ตลอดจนคิดหาวิธกี ารใด ๆ ท่ีสามารถนำเสนอออกมาเป็นรูปธรรมและเป็นเหตุเป็นผล โดยอาศัยกระบวนการในการตคี วามหมายและการสร้างสรรคผ์ ลงานเปน็ สำคัญ ดังที่กลา่ วไว้แลว้
8 จักรกฤษณ์ ดวงพัตรา (2544 : 159-190) ได้เสนอขั้นตอนการแปรรูปวรรณกรรม เพ่ือการแสดงไว้ 4 ข้นั ตอน คอื 1) ทำความเข้าใจตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับให้กระจ่าง เพื่อจับสาระสำคัญหรือหัวใจของ วรรณกรรมเรื่องนั้น ๆ ที่จะแปรรูป ซึ่งหัวใจของวรรณกรรมในที่นี้หมายถึง การวางโครงเรื่อง การพัฒนาโครงเรื่อง และการพัฒนานิสัยของตัวละครที่คลี่คลายไปตามโครงเรื่อง โดยการอ่านและ ศึกษาตัวบทอย่างละเอียด ทั้งนี้ ผู้จัดทำบทอาจศึกษาผลงานอื่น ๆ ของผู้เขียนวรรณกรรมเรื่องน้ัน เพื่อจบั จุดเดน่ จุดด้อย จดุ ยนื แนวทาง เอกลกั ษณ์สำคญั เพ่อื ให้สามารถเขา้ ถึงและเข้าใจตัวบทได้ง่าย ย่งิ ขนึ้ 2) เมื่อผู้จัดทำบทสามารถจับหัวใจของวรรณกรรมได้แล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการกำหนด รูปแบบการนำเสนอ ซึ่งก็คือประเภทของตัวบท โดยต้องคำนึงและคำนวณเวลาที่จะนำเสนอ ให้มีความเหมาะสม รวบรดั กระชับ แต่ในขณะเดียวกนั ก็ครอบคลุมเนื้อหาท่ีต้องการนำเสนอได้อย่าง ครบถ้วน เนื่องจากรูปแบบการแสดงแต่ละประเภทมีลักษณะ ระยะเวลาของการนำเสนอ วิธีการ นำเสนอ และเง่อื นไขในการสร้างทแ่ี ตกตา่ งกนั 3) ผู้จัดทำบทต้องตัดสินใจเลือกหยิบเอาตัวละคร ฉาก และบทสนทนาที่ต้องการนำเสนอ มาใส่ไว้ในบทการแสดง หรือที่เรียกว่าการกำหนดฉากนาฏการ กล่าวคือ เหตุการณ์หรือการกระทำ ซึ่งตัวละครตัวหนึ่งกระทำเพียงลำพังหรือกระทำกับตัวละครอื่น ๆ ท่ีเริ่มต้น ดำเนินไป และจบลง ในแต่ละช่วงเหตุการณ์นั้น ซึ่งจำเป็นจะต้องมีฉากสถานที่มารองรับ ในการเลือกหยิบตัวละคร ฉาก และบทสนทนามาใส่ไว้ในบทการแสดง ผู้จัดทำบทอาจจะตัด เติม เพ่ิม ลด และสลับฉากหรือบทบาท ของตัวละครได้เพื่อความเหมาะสม จากนั้นจึงเรียบเรียงบทการแสดงใหม่เพื่อให้ทุกฉากนาฏการ มีความสัมพันธ์เป็นเหตุเป็นผลกนั โดยยังคงรักษาหัวใจของวรรณกรรมต้นฉบับไว้ ให้มคี วามเหมาะสม ลงตัวกบั รูปแบบการนำเสนอ เวลา และสามารถนำไปแสดงไดจ้ รงิ 4) ตรวจทานแก้ไขให้มีความเหมาะสม ซ่งึ อาจจะต้องแก้ไขซ้ำอกี ครง้ั หรอื หลายครง้ั ก่อนนำไป จดั แสดงจริง จงึ จะถือว่าบทการแสดงน้นั เสรจ็ สมบรู ณ์ จากแนวคิดและแนวทางการแปรรูปวรรณกรรมที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การแปรรูปวรรณกรรม (Literary adaptation) เป็นกระบวนการในการปรับเปลี่ยนวรรณกรรม ต้นฉบับจากสอ่ื หน่งึ ไปสู่อีกสอื่ หรือจากประเภทหน่ึงไปสปู่ ระเภทอื่น ๆ ด้วยวิธีการตา่ ง ๆ เชน่ การตัด เพิ่ม สลับ หรือการเชื่อมโยง โดยผลลัพธ์ที่ได้นั้นคือชิ้นงานใหม่ที่อาจมีโครงสร้าง หน้าที่ รูปแบบ ที่แตกต่างจากวรรณกรรมต้นฉบับ และเนื่องจากการแปรรูปวรรณกรรมเป็นการปรับเปลี่ยนงานจาก วรรณกรรมเพื่อการอ่านไปสู่อีกสื่อหรือประเภทหนึ่ง ซึ่งต่างมีลักษณะ หน้าที่ เงื่อนไข และข้อจำกัด บางประการที่แตกต่างกันออกไป เช่น การแปรรูปนวนิยายซึ่งเป็นสื่อที่เสพด้วยการอ่านเป็น ละครโทรทัศน์ ซึ่งเป็นสื่อที่เสพด้วยการดูและฟัง การรับรู้เรื่องราวของผู้เสพสื่อในแต่ละประเภทจึง
9 แตกต่างกัน ดังนั้น การแปรรูปวรรณกรรมโดยเฉพาะวรรณกรรมเพื่อการอ่านไปสู่วรรณกรรม เพื่อการแสดง ผู้จัดทำบทจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจถึงคุณสมบัติของสื่อประเภทนั้น ๆ อย่างลึกซ้ึง เพื่อที่จะสามารถนำสารัตถะ แนวคิด ตลอดจนอารมณ์ความรู้สึกที่ผู้ประพันธ์วรรณกรรมต้นฉบับ ไดถ้ ่ายทอดไว้ ไปสผู่ ้รู บั สารไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ 2.2 เอกสารและงานวจิ ัยที่เกีย่ วข้อง ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้สืบค้นเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูป วรรณกรรม การศึกษาวรรณกรรมเชิงสังคม ตลอดจนข้อมูลคณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง เพื่อ ให้ทราบถึงที่มาและแนวคิดในการสร้างสรรค์บทละครหุ่นร่วมสมัย โดยแบ่งประเด็นการนำเสนอได้ 3 ประเดน็ ดังนี้ 2.2.1 ขอ้ มลู คณะละครหุน่ นวัตศิลปม์ อดินแดง คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง เป็นโครงการที่ต่อยอดมาจากโครงการสินไซ เด็กเทวดา-มหาวิทยาลัยขอนแก่น: ฝึกทักษะชีวิตและความเข้าใจตน ผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ การแสดงห่นุ ร่วมสมัย2 โดยผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์พชญ อัคพราหมณ์ อาจารย์ประจำสาขาวชิ าการแสดง ภาควิชาศิลปะการแสดง คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โครงการนี้มีจุดมุ่งหมาย เพือ่ หาวธิ กี ารสร้างการเรยี นรู้สำหรับเยาวชนและนักศกึ ษา ในศตวรรษที่ 21 ให้สามารถฝึกทักษะชีวิต และความเข้าใจตน ผ่านกระบวนการสร้างสรรค์การแสดงหุ่นร่วมสมัยเรือ่ ง สินไซรู้ใจตน โดยใช้พื้นที่ ชมุ ชนและศิลปวัฒนธรรมอสี าน ในกระบวนการเรยี นรู้และสรา้ งสรรคผ์ ลงานการแสดงทกุ ขั้นตอน ละครหุ่นร่วมสมัยเรื่อง สินไซรู้ใจตน เกิดจากกระบวนการการมีส่วนร่วมของ คนหลายกลุ่ม ที่ร่วมกันสร้างสรรค์หุ่นละครที่มีความแตกต่างและพัฒนาจากหุ่นต้นฉบับของ คณะหมอลำหุ่นเด็กเทวดา3 โดยเฉพาะการออกแบบที่ใช้เทคนิคของละครหุ่นต่าง ๆ มาผสมผสานกนั นอกจากนี้ ผู้ประพันธ์บทละครยังได้นำวรรณกรรมพื้นบ้านเรื่องสินไซมาตีความใหม่ พร้อมทั้งสื่อสาร ประเด็นทางสังคมจากมุมมองและประสบการณ์ของทีมงาน นักแสดง นักศึกษา เยาวชน ที่ร่วมใน โครงการ ส่งผลให้บทละครท่ีร้อยเรียงขึ้นใหม่มีเส้นเรื่องแบบสากลและร่วมสมัย มีมิติในเชิง ศลิ ปะการแสดง และเท่าทนั ความคิดของผ้ชู มในปัจจุบนั (พชญ อัคพราหมณ์, 2559 : 64) 2 ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากเมธีวิจัยอาวุโส ฝ่ายวชิ าการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ประจำปี 2559 ภายชุดโครงการวิจยั การแสดง: สร้างสรรคง์ านวจิ ยั ในสาขาศิลปะการแสดงไทยร่วมสมยั 3 คณะละครหุ่นเยาวชนบ้านหนองโนใต้ อำเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2553 มีจุดมุ่งหมาย เพื่อฝึกฝนให้เยาวชนในคณะได้เรียนรู้รากเหง้าความเป็นอีสาน ผ่านกระบวนการสร้างสรรค์การแสดงละครหุ่น โดยมีนายปรีชา การุณ (ครูเซียง) เป็นผู้ฝึกสอนทักษะการเชิดหุ่นให้แกเ่ ยาวชนในคณะ เพื่อเป็นการอนุรักษ์และ เผยแพรค่ วามเปน็ อีสานผา่ นการแสดงหนุ่ (พชญ อคั พราหมณ์, 2559 : 33-35)
10 ในการดำเนินโครงการสินไซเด็กเทวดา-มหาวิทยาลัยขอนแก่น: ฝึกทักษะชีวิตและ ความเข้าใจตน ผ่านกระบวนการสร้างสรรค์การแสดงหุ่นร่วมสมัย ผลงานการแสดงเชิงประจักษ์ ชุดสินไซรู้ใจตนได้นำไปแสดงในเทศกาลต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เมื่อโครงการวิจัยน้ี จบลง ผู้ช่วยศาสตราจารย์พชญ อัคพราหมณ์ ได้นำการแสดงละครหุ่นร่วมสมัยไปใช้ต่อยอด ในการสร้างสรรค์โครงการใหม่ ๆ เพื่อเป็นการเปิดพื้นที่การทำงานด้านศิลปะการแสดงร่วมสมัย จากรากศิลปวัฒนธรรมอีสานในมหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยได้รับการสนับสนุนจาก รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม วงศ์พงษ์คำ4 เนื่องจากเล็งเห็นว่าการผลักดันกิจกรรมด้านศิลปวัฒนธรรม เป็นยุทธศาสตร์หลักอีกด้านของมหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ช่วยให้นักศึกษาเข้าใจตัวตนและรากเหง้า ของความเปน็ อีสาน ซึ่งเปน็ ส่วนสำคญั ในการสรา้ งความเขม้ แข็งของทง้ั มหาวิทยาลัยและสังคม ภาพที่ 1 ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์พชญ อคั พราหมณ์ ท่ีมา : https://fa.kku.ac.th/index/2019-03-12-08-00-15/2019-03-12-08-28-01 ในปี พ.ศ. 2562 ผูช้ ่วยศาสตราจารย์พชญ อัคพราหมณ์ ซึ่งในขณะนัน้ ดำรงตำแหน่ง เป็นรองผู้อำนวยการศูนย์วัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น (ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม ในปัจจุบัน) ได้เสนอโครงการที่พัฒนาต่อเนือ่ งจากละครหุ่นสนิ ไซรู้ใจตน คือ โครงการนวัตศิลป์อีสาน (ISAN Arts and Crafts Innovation) ตอน สืบศิลป์อีสาน สรรสร้างการแสดงหุ่นร่วมสมัย5 แด่คณะผู้บริหาร ฝา่ ยศิลปวฒั นธรรมและเศรษฐกจิ สรา้ งสรรค์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น โครงการนเี้ ปน็ การนำองค์ความรู้ จากโครงการวิจัยมาต่อยอดและพัฒนาการแสดงละครหุ่นร่วมสมัย ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้นักศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้เข้าร่วมกิจกรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างพื้นที่การเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรม 4 รองอธิการบดีฝา่ ยศิลปวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสรา้ งสรรค์ มหาวิทยาลัยขอนแกน่ 5 ได้รับงบประมาณสนับสนุนโครงการจากศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปีงบประมาณ 2562 ดำเนินงานระหว่างวันที่ 16 กันยายน ถึง 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ณ ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น
11 อีสานให้แก่นักศึกษา ผา่ นกระบวนการสร้างสรรค์การแสดงหนุ่ ร่วมสมัย ตลอดจนเป็นการส่งเสริมและ สนับสนุนให้นักศึกษาได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ทักษะความรู้ ในการผลิตผลงานศิลปะการแสดงหุ่น อีสานร่วมสมัย หรือสื่อศิลปวัฒนธรรมอีสานในรูปแบบใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่ความตระหนักรู้ ด้านการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และสืบสานศิลปวัฒนธรรมอีสาน ซึ่งการดำเนินโครงการนี้เป็นการเรียนรู้ รว่ มกนั ระหวา่ งมหาวิทยาลยั ขอนแก่นกับศลิ ปิน ปราชญ์ชาวบ้าน และผเู้ ชย่ี วชาญด้านศิลปวัฒนธรรม จากชุมชนอสี าน รูปแบบของการดำเนินโครงการนวัตศิลป์อีสาน (ISAN Arts and Crafts Innovation) ตอน สืบศิลป์อีสาน สรรสร้างการแสดงหุ่นร่วมสมัย เป็นการเชิญชวนนักศึกษาที่มี ความสนใจจำนวน 30 คน เข้าร่วมกิจกรรมเสริมทักษะการสร้างสรรค์ละครหุ่นจากปราชญ์ชาวบ้าน และนกั วชิ าการทางวัฒนธรรม พร้อมทัง้ นำนักศึกษาไปชมฮูปแต้มโบราณ เพ่อื เสริมสร้างความรู้ที่เป็น รากเหง้าภูมิปัญญาอีสาน ทั้งในด้านศิลปะการแสดง ดนตรีพื้นเมือง และการสร้างสรรค์หุ่นกระบอก และหุ่นเงาจากวัสดุพื้นบ้าน นอกจากนี้ยังได้เชิญอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิจากมหาวิทยาลัยศิลปากร และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาฝึกฝนทักษะทางดนตรีและการแสดงแก่นกั ศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ จึงกล่าวได้ว่า โครงการนี้ได้เปิดพื้นที่การขับเคลื่อนงานด้านศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยจากรากของ ศิลปวัฒนธรรมอีสาน โดยใช้มหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นพื้นที่ใหม่ที่เชื่อมโยงบุคคลภายนอกกับบุคคล ภายใน เพื่อร่วมกันถ่ายทอดองค์ความรู้ในมิติใหม่ที่น่าสนใจ และเพื่อให้นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ สามารถเขา้ ใจรากเหงา้ และภูมิปัญญาทางศิลปวฒั นธรรมอีสาน ผา่ นกระบวนการสรา้ งสรรค์การแสดง หนุ่ ร่วมสมัย (อีสานมอนิเตอร์, 2562) ภาพที่ 2 การแสดงละครหุน่ รว่ มสมัยเรอ่ื งสนิ ไซ ตอนนาคะยุทธกรรม รอบปฐมทศั น์ เมอ่ื วนั ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ณ พทุ ธศลิ ปส์ ถาน ริมบงึ สฐี าน มหาวิทยาลยั ขอนแก่น ที่มา : https://cac.kku.ac.th/cac2021/เปดิ ตวั ละครหนุ่ นวตั ศลิ /
12 ภาพที่ 3 การแสดงละครหุ่นร่วมสมยั เร่ืองสนิ ไซ ตอนนาคะยทุ ธกรรม รอบปฐมทศั น์ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ณ พุทธศิลปส์ ถาน รมิ บึงสฐี าน มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ ท่ีมา : https://cac.kku.ac.th/cac2021/เปิดตวั ละครหนุ่ นวตั ศลิ / ภาพท่ี 4 การแสดงละครหุ่นร่วมสมัยเรอ่ื งสินไซ ตอนนาคะยทุ ธกรรม รอบปฐมทัศน์ เมื่อวันที่ 28 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2562 ณ พทุ ธศิลปส์ ถาน รมิ บึงสีฐาน มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ท่ีมา : https://cac.kku.ac.th/cac2021/เปิดตัวละครห่นุ นวตั ศลิ / ตลอดระยะเวลาในการดำเนินโครงการ นักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการนี้ได้เรียนรู้ กระบวนการสร้างสรรค์ละครหุ่น พร้อมทั้งสังเคราะห์องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่ได้จากศิลปิน ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรม และอาจารย์จากสถาบันอุดมศึกษา จึงได้ร่วมกัน สร้างสรรค์หุ่นโดยนำเอาหัตถกรรมจักสานและกระติบข้าวมาเป็นวัสดุหลัก ตลอดจนคิดลายดนตรี ท่วงท่าการแสดงที่มีความร่วมสมัย และบทละครที่มีความสนุกสนาน สอดแทรกอารมณ์ขันและ คติคำสอนต่าง ๆ จนเกิดเป็นคณะละครหุน่ สร้างสรรค์คณะแรกของมหาวิทยาลัย คือ “คณะละครหุ่น นวัตศิลป์มอดินแดง” ภายใต้การกำกับดูแลของศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยชุดการแสดงแรกของคณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง คือ สินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม อันเป็นผลงานการแสดงละครหุ่นของนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ได้ประยุกต์ใช้รากวัฒนธรรม
13 และภูมิปัญญาด้านศิลปะ ดนตรี และการแสดงของภาคอีสาน มาสร้างสรรค์เป็นผลงานการแสดง ดา้ นศลิ ปวัฒนธรรมที่มีความร่วมสมัย 2.2.2 เอกสารและงานวจิ ัยที่เก่ยี วข้องกับการแปรรปู วรรณกรรม รายงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการแปรรูปวรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ สู่บทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง ดังนั้น ในการทำความเข้าใจวิธีการและแนวทางในการแปรรูปวรรณกรรมเพื่อการอ่าน ไปสู่การนำเสนอวรรณกรรมในสื่ออื่นหรือรูปแบบอื่น จึงจำเป็นต้องศึกษาเอกสารและงานวิจัย ที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปวรรณกรรม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล ซึง่ มีรายละเอียดดังตอ่ ไปนี้ ปริดา มโนมัยพบิ ลู ย์ (2564) ศกึ ษาเรือ่ ง การศกึ ษาดดั แปลงวรรณกรรมเป็นบทละคร เพลง : กรณีศึกษาหลายชีวิต มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์แนวคิดการดัดแปลงวรรณกรรม เป็นบทละครเพลง ศึกษาวิเคราะห์กลวิธีและกระบวนการสร้างบทละครเพลงแบบหลายโครงเรื่อง จากวรรณกรรมเรื่องยาวที่ประกอบด้วยหลายเรื่องสั้น และศึกษาการสร้างบทละครเพลงแบบ หลายโครงเรื่องเพื่อนำเสนอแก่นความคิดเรื่องผลของกรรม ซึ่งปรากฏในวรรณกรรมเรื่อง “หลายชีวิต” ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จากการศึกษาวิเคราะห์ในด้านแนวคิด กลวิธี และ กระบวนการสร้างบทละครเพลง ผู้วิจัยได้ทดลองตัด ย่อ เพิ่ม และขยายจากบทต้นทาง เพื่อหากลวิธี การเล่าเรื่องที่จะนำไปสู่บทละครเพลงที่ดีที่สุด และเลือกที่จะรักษาการเล่าเรื่องแบบหลายโครงเรื่อง อันเปน็ รปู แบบทโ่ี ดดเดน่ ของวรรณกรรมเรื่องนีเ้ อาไว้ โดยเลอื กเลา่ ทั้ง 11 เร่อื งยอ่ ย ของ 11 ตัวละคร ที่ปรากฏในวรรณกรรมให้ครบถ้วนทั้งหมด โดยตั้งต้นจากการสร้างบทละครพูดที่สมบูรณ์ขึ้นมาก่อน แล้วจึงพัฒนาไปสู่บทละครเพลง แม้ว่าการดัดแปลงเรื่องราวจากวรรณกรรมหลายชีวิตเป็น บทละครเพลงจะมีหลายโครงเรื่องก็ตาม แต่ก็สามารถกระตุ้นให้ผู้ชมติดตามและเข้าใจทุกชีวิตของ ตัวละครได้ พร้อมทั้งยังได้รับความคิดหลักในเรื่องผลของกรรม นับว่าบทละครเพลงน้ีสามารถสื่อ แก่นความคิดของเรือ่ งสผู่ ู้ชมละครไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ ตัสนีม อาลี พัชลินจ์ จีนนุ่น และวราเมษ วัฒนไชย (2562) ศึกษาการสร้างสรรค์ นิทานไกรทองในรูปแบบการ์ตูนโทรทัศน์ โดยศึกษาการสร้างสรรค์นิทานไกรทองในรูปแบบการ์ตูน โทรทัศน์ ที่เผยแพร่ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีชอ่ ง 3 ปี พ.ศ. 2546 ผลการศึกษาพบว่า เมื่อนำ นิทานเรื่องไกรทองมาสร้างสรรค์ในรูปแบบของการ์ตูนโทรทัศน์ ผู้สร้างได้ปรับเปลี่ยนองค์ประกอบ ต่าง ๆ ให้แตกต่างจากตัวบทต้นฉบับใน 5 ลักษณะ ได้แก่ เนื้อหาของเรื่อง โครงเรื่องและ การดำเนินเรื่อง ตัวละคร ถ้อยคำภาษา และการเพิ่มเติมองค์ประกอบอื่น ๆ ได้แก่ การแต่งเติมแสงสี ของฉากและตัวละคร การสอดแทรกบทสนทนาและมุกตลก และการสร้างฉากที่เป็นรูปธรรม ซึ่งล้วนช่วยเพิ่มอรรถรสในการรับชม สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนในลักษณะดังกล่าว
14 เกิดจากความสามารถในการตอบสนองผู้ชมที่เป็นเยาวชนที่สนใจความบันเทิงเป็นสำคัญ นอกจากนี้ ผู้สร้างยังได้ปรับรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ ให้สอดรับกับวัฒนธรรมจากภายนอก เช่น วัฒนธรรม ญี่ป่นุ จงึ มีการปรับรปู ร่างหน้าตาของตวั ละคร การแต่งกาย และภาษาให้เหมาะสมกลมกลืนกับบริบท ของสังคมสมัยใหม่ ทั้งยังปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมบริโภคนิยม โดยผู้สร้างยังคงเค้าโครงของนิทาน เรื่องเดิมไว้ การนำนิทานพื้นบ้านมานำเสนอในรูปแบบใหม่เช่นนี้จึงไม่ใช่ลักษณะการสร้างสรรค์ งานใหม่ แตเ่ ปน็ การผลิตซ้ำทางวฒั นธรรมเพื่อให้เขา้ กบั ความตอ้ งการของผูช้ มมากยิ่งขน้ึ พชญ อัคพราหมณ์ (2561) ศึกษาเรื่อง สังข์ศิลป์ชัย: การใช้วรรณกรรมพื้นบ้าน ในกระบวนการสร้างสรรค์งานละครฐานชุมชน มีวัตถุประสงค์เพื่อหากลวิธีในการจัดกิจกรรม ละครฐานชมุ ชน โดยใช้เรื่องสงั ข์ศิลปช์ ัยเป็นแกนในการสร้างบทละครท่ีพฒั นาร่วมกับผู้มีส่วนร่วมจาก ชุมชน และเพื่อสร้างและนำเสนอผลงานละคร-กระบวนการ เรื่องสังข์ศิลป์ชัย ที่พัฒนาจาก กระบวนการละครฐานชุมชน โดยมีเยาวชนคณะเพชรอีสานจำนวน 15 คน เป็นผู้มีส่วนร่วมใน กระบวนการดังกล่าว ในการดำเนินงานได้จัดกิจกรรมละครฐานชุมชนโดยแบ่งออกเป็นสามช่วงคือ 1) การศึกษาวิเคราะห์เรื่องสังข์ศิลป์ชัย 2) การรวบรวมข้อมูลชุมชนเพื่อสร้างเรื่องสังข์ศิลป์ชัยใหม่ และ 3) การฝึกซ้อมและการจัดแสดงแก่ผู้ชมในชุมชน โดยการสร้างและนำเสนอ “ละคร-กระบวนการ” เรื่องสังข์ศิลป์ชัยนั้น ได้นำประเด็นปัญหาเรื่อง “การโกหกเพ่ือ หวังผลประโยชน์” จากกลุ่มเยาวชนผู้มีส่วนร่วมมาเป็นประเด็นหลักและเชื่อมโยงเทียบเคียงกับ ตวั ละครกมุ ารหา้ -กุมารหก แล้วสรา้ งเร่อื งสังขศ์ ิลปช์ ยั ทีเ่ ป็นภาพแทนของบุคคล ครอบครวั และชุมชน ขึ้น ซึ่งละครสามารถสื่อสารประเด็นปัญหาร่วมสมัยและแก่นความคิดไปสู่ผู้ชมได้ อีกทั้งผู้มีส่วนร่วม ยังได้ศึกษาเรียนรู้เรื่องสังข์ศิลป์ชัยอย่างลึกซึ้ง ได้เรียนรู้ เข้าใจ และตระหนักถึงปัญหาชุมชน นำไปสู่ การพฒั นาและเปลี่ยนแปลงตนเองในทิศทางท่ดี ีขนึ้ อัญมาศ ภเู่ พชร (2560) ศึกษาเรอื่ ง นทิ านเร่ืองศรีธนญชยั ในสอ่ื สิง่ พมิ พ์ไทยรว่ มสมัย ผลการศึกษาพบว่า นิทานเรื่องศรีธนญชัยในสื่อสิ่งพิมพ์ไทยร่วมสมัยจำแนกได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ สื่อสิ่งพิมพ์ไทยร่วมสมัยที่ยังคงเค้าโครงเรื่องเดิม สื่อสิ่งพิมพ์ไทยร่วมสมัยที่มีการดัดแปลงและ สร้างสรรค์บางส่วน และสื่อสิ่งพิมพ์ไทยร่วมสมัยที่มีการสร้างสรรค์ใหม่ โดยมีลักษณะ การนำองค์ประกอบนิทานเรื่องศรีธนญชัยมาใช้ในสื่อสิ่งพิมพ์ไทยร่วมสมัย 3 แนวทาง คือ 1) การคง องค์ประกอบเดิม ได้แก่ อนุภาคเหตุการณ์สำคัญ อนุภาคตัวละครสำคัญ ความเป็นนิทานเจ้าปัญญา 2) การดัดแปลงองค์ประกอบ ได้แก่ อนุภาคเหตุการณ์สำคัญ อนุภาคตัวละครสำคัญ แนวคิดสำคัญ และ 3) การเพิ่มเติมองค์ประกอบ ได้แก่ อนุภาคตัวละครสำคัญ แนวคิดสำคัญ องค์ประกอบที่สร้าง อารมณ์ขัน ด้านพลวัตของนิทานเรื่องศรีธนญชัยในนิทานกลุ่มที่คงเค้าเรื่องเดิมมี 2 ประการ คือ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบจากเรื่องศรีธนญชัยมาเป็นนิทานภาพและหนังสือการ์ตูน และ การเปลี่ยนแปลงเนื้อหาเพื่อให้สอดคล้องกับสื่อรูปแบบใหม่ ในนิทานกลุ่มที่มีการดัดแปลงและ
15 สร้างสรรค์บางส่วน และในนิทานกลุ่มที่มีการสร้างสรรค์ใหม่ พบพลวัต 3 ประการ คือ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบเป็นหนังสือการ์ตูนและนิทานภาพ การเปลี่ยนแปลงจุดประสงค์เพื่อเป็น สื่อความรู้ทางวิชาการและการสอนศีลธรรม และการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาเพื่อให้สอดคล้องกับ สื่อรูปแบบใหม่และบริบทร่วมสมัย การปรับเปลี่ยนองค์ประกอบต่าง ๆ ของนิทานเรื่องนี้สัมพันธ์กับ การอนุรักษ์และเผยแพร่นิทานไทย อีกทั้งยังเป็นการสร้างจุดขายของสื่อสิง่ พิมพ์เพื่อดึงดูดความสนใจ ของผู้บริโภคในสังคม การปรับเปลี่ยนนี้ส่งผลให้นิทานเรื่องศรีธนญชัยในสื่อสิ่งพิมพ์ไทยร่วมสมัย มบี ทบาทหนา้ ท่ีในการให้ความเพลดิ เพลิน บทบาทในการอบรมระเบยี บสงั คม และบทบาทในการเป็น ส่อื การเรียนรูส้ มัยใหม่ น้ำมนต์ อยู่อินทร์ (2556) ศึกษาพัฒนาการของนิทานจักร ๆ วงศ์ ๆ สู่ภาพยนตร์ ไทยแนวแฟนตาซีในสังคมไทย โดยศึกษาวิเคราะห์จากนิทานจักร ๆ วงศ์ ๆ ที่ถูกนำมาสร้างเป็น ภาพยนตรแ์ ฟนตาซีจำนวน 5 เรื่อง ได้แก่ กากี ไกรทอง พระรถเมรีหรอื นางสบิ สอง พระอภัยมณี และ โสนน้อยเรือนงาม ผลการศึกษาพบว่า แต่เดิมนิทานจักร ๆ วงศ์ ๆ ท้ัง 5 เรื่องปรากฏในรูปแบบของ นิทานมุขปาฐะที่ใช้อ่านหรือใช้สวด แล้วจึงได้นำมาบันทึกเป็นลายลักษณ์ในสมุดไทยหรือใบลาน ในสมัยต่อมาท่ีเทคโนโลยีการพิมพ์เจริญรุ่งเรืองขึ้นในสยาม เจ้าของโรงพิมพ์ต่าง ๆ จึงได้นำนิทาน ป ร ะ เ ภ ท น ี ้ ท ั ้ ง ที่ เ ป ็ น เ รื่ อ ง เ ล ่ า ม ุ ข ป า ฐ ะ แ ล ะ ที่ บ ั น ท ึ ก ไ ว ้ ใ น ส ม ุ ด ไ ท ย ม า พ ิ ม พ ์ อ ย ่ า ง แ พ ร ่ ห ล า ย ในด้านพัฒนาการของนิทานจักร ๆ วงศ์ ๆ ที่ปรากฏในรูปแบบของการแสดง พบว่า มีการพัฒนา ไปตามการแสดงท่ีปรากฏในสังคมไทย จำแนกได้เป็น การแสดงพ้ืนบ้านภาคกลางและส่ือสมัยใหม่ ในส่วนของการแสดงพ้ืนบ้านภาคกลางประกอบไปด้วย ละครชาตรี ละครนอก หุ่นกระบอก ลิเก เพลงทรงเคร่ือง และหนังตะลุง นอกจากนี้ยังปรากฏในรูปแบบของการแสดงพ้ืนบ้านในภาคต่าง ๆ เช่น หมอลำ และโนรา ด้านรูปแบบการแสดงท่ีเป็นสื่อสมัยใหม่ แบ่งออกเป็นสื่อภาพยนตร์และ ละครโทรทัศน์ โดยในช่วง พ.ศ. 2478 ถึง พ.ศ. 2528 ผู้สร้างภาพยนตร์ได้นำนิทานจักร ๆ วงศ์ ๆ มาสร้างหลายเร่ือง และมีการนำกลับมาสร้างอีกครั้งในยุคหลังราว พ.ศ. 2544 เป็นต้นมา สำหรับส่ือ โทรทัศน์พบว่า สถานีโทรทัศน์ที่นำเสนอละครพ้ืนบ้าน ได้แก่ สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 5 และ 7 โดยนิทานทั้ง 5 เรื่องที่ยกมาล้วนได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีเนื้อหาท่ีโดดเด่น น่าสนใจ สนุกสนานชวนติดตาม และมี “รส” หรือลักษณะบางประการที่ถูกใจคนในสังคม จึงได้นํามาผลิตซ้ำ หรือนำมาสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง สุภัค มหาวรากร (2556) ศึกษาการแปรรูปบทละครเรื่องอิเหนา มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการแปรรูปบทละครเรื่องอิเหนา จากบทละครเรื่องอิเหนา 4 สํานวน ได้แก่ 1) บทละครใน เรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย 2) บทเจรจาเรื่องอิเหนา 3) บทละครดึกดำบรรพ์เรื่องอิเหนา และ 4) ละครโทรทัศน์เรือ่ งสุดหัวใจเจ้าชายเทวดา ผลการศึกษา พบว่า บทละครเรื่องอิเหนา 3 สํานวนในสมัยหลังได้รับอิทธิพลจากบทละครในเรื่องอิเหนา โดยยังคง
16 ลักษณะสำคัญ คือ โครงเรื่อง ตัวละครสำคัญ และฉากสำคัญไว้ ขณะเดียวกันก็มีการสร้างสรรค์ ลักษณะเด่นของแต่ละสำนวนให้เหมาะสมกับยุคสมัยและประเภทของบทละคร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ละครโทรทัศน์เรื่องสุดหัวใจเจ้าชายเทวดา ที่ผู้เขียนบทได้นำเสนอในรูปแบบละครแนวแฟนตาซี เพื่อมุ่งให้เยาวชนรุ่นใหม่รู้จักวรรณคดีเรื่องนี้มากขึ้น จึงได้ตีความเรื่องอิเหนาและปรับเปลี่ยนเนื้อหา บางตอนใหเ้ ข้าใจง่าย และเหมาะสมกับบริบทของสงั คม โดยเปลยี่ นรายละเอยี ด ขยายความ การสลับ เหตุการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนนำเสนอภาพสังคมปัจจุบัน ซึ่งเป็นการนําวรรณคดีมรดกมานำเสนอ ในสื่อบันเทิงที่ได้รับความนิยมจากผู้ชม กล่าวได้ว่า บทละครเรื่องอิเหนาทั้ง 4 สํานวนนี้ แสดงให้เห็นถึงการสืบทอดวรรณคดีในลักษณะที่เป็นการสร้างสรรค์ให้เหมาะกับแต่ละยุคสมัย เนื่องจากการแปรรูปบทละครเรื่องอิเหนาในรูปแบบการแสดง เป็นการสร้างสรรค์ขึ้นตามความนิยม และรสนิยมของผู้คนในสมัยนัน้ ทง้ั ยงั ช่วยใหเ้ ห็นสายธารของบทละครเร่ืองอิเหนาที่ดำรงในสังคมไทย มาชา้ นาน ชุติมา เลิศนันทกิจ (2554) ศึกษาเรื่อง คณะคำนาย: การสร้างภาพลักษณ์และ การปรับประยุกต์เรื่องรามเกียรติ์ในการแสดงหุ่นละครเล็ก ผลการศึกษาพบว่า ด้านการสร้าง ภาพลักษณ์ คณะคำนายใช้บ้านศิลปินคลองบางหลวงเป็นเวทีเพื่อการแสดง และเพื่อสอน ศิลปะการแสดงโขนและการเชิดหุ่นละครเล็กโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายให้แก่เยาวชน มีวิธีสร้างปฏิสัมพันธ์ กบั คนในชมุ ชนโดยการไปรว่ มแสดงมหรสพโดยไม่ตอ้ งว่าจ้าง การนำเสนอในลกั ษณะดงั กล่าวท้ังท่ีผ่าน การแสดงโดยตรงและผ่านสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ ช่วยทำให้เกิดการรับรู้ภาพลักษณ์ของคณะคำนาย ในฐานะเป็นกลุ่มศิลปินที่มีอุดมคติในการสืบทอดและเผยแพร่ศิลปะการเชิดหุ่นละครเล็ก ในด้าน การปรับประยุกต์วรรณกรรมมาเปน็ การแสดง คณะคำนายไดน้ ำวรรณกรรมเร่อื งรามเกียรต์ิ 5 สำนวน มาปรับเป็นบทแสดง ได้แก่ 1) บทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช 2) บทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย 3) บทมโหรีประสมวงคอนเสิร์ตเรื่องรามเกียรติ์ ตอนนางลอย พระนิพนธ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ 4) โครงภาพรามเกียรติ์รอบระเบียง วัดพระศรรี ัตนศาสดาราม และ 5) บทโขนชุดมยั ราพณส์ ะกดทัพ ของกรมศิลปากร ฉบับปรับปรุงใหม่ และการแสดงเบิกโรงเร่ืองเมขลา รามสูร โดยการนำเรื่องรามเกยี รติ์ฉบับต่าง ๆ เหล่านี้มาประยุกต์ใช้ ในบริบทใหม่ ด้วยกลวิธีการปรบั รปู แบบคำประพันธ์หรือเน้ือหา การคัดลอกคำประพันธบ์ างบท และ การแตง่ บทขึ้นใหม่ ซ่ึงเปน็ การนำตัวบทวรรณกรรมแต่ละฉบบั มาใชใ้ นจดุ ประสงคท์ ี่เหมือนและต่างไป จากเดมิ บทท่ใี ชแ้ สดงเหล่านส้ี ะท้อนให้เห็นการนำเรื่องราว แนวคิด และตัวละครจากเร่ืองรามเกียรติ์ มาปรับประยุกตใ์ ช้และถูกนำมาถ่ายทอดในบริบทใหมผ่ า่ นศลิ ปะการแสดงหนุ่ ละครเลก็ สุดารัตน์ มาศวรรณา (2553) ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของนิทานสู่หนังสือการ์ตูน นิทานไทย โดยศึกษาเปรียบเทียบนิทานเรื่อง กากี ไกรทอง พระอภัยมณี และรามเกียรติ์ กับหนังสือ
17 การ์ตูนนิทานไทยจำนวน 6 เรื่อง ผลการศึกษาพบว่า เมื่อมีการนำเสนอนิทานในรูปแบบใหม่ ผู้เขียน ได้เปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องในลักษณะต่าง ๆ ได้แก่ การเปลี่ยนรายละเอียดของเรื่อง การเพิ่มความ ลดความ สับสนความ สลับความ และการยืมความ ซึ่งเกิดจากความจงใจของผู้เขียนที่มาจากปัจจัย ทางธุรกิจ ที่ต้องการสร้างสรรค์ผลงานให้เป็นเรื่องขนาดยาว และให้เข้ากับเยาวชนซึ่งเป็นผู้อ่าน กลุ่มเป้าหมายหลกั โดยเฉพาะเพศชาย จงึ มกี ารปรบั เปลี่ยนเนื้อหาของเร่ืองใหส้ อดคล้องกับบริบทของ สงั คมไทย ที่มกี ารผสมผสานกบั วฒั นธรรมตา่ งชาติ โดยเฉพาะวฒั นธรรมญีป่ นุ่ และวัฒนธรรมตะวันตก นอกจากนี้ ปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้นิทานเปลี่ยนแปลงรูปแบบการนำเสนอไปเป็นหนังสือการ์ตูน นิทานไทย คือ ความนิยมในการเสพสื่อที่เปลี่ยนแปลงไป และบริบทสังคมทางยุคสมัยที่แตกต่างกัน ของนิทานตน้ ฉบบั กับสังคมปจั จุบัน บุษดี อรสิริวรรณ (2551) ศึกษากลวิธีการดัดแปลงวรรณกรรมสามก๊กเป็นการ์ตูน สามก๊กฉบับบรรลือสาส์น ผลการศึกษาพบว่า การต์ นู สามก๊กฉบับบนั ลือสาสน์ มีท่ีมาจากการดัดแปลง วรรณกรรมสามก๊ก 3 สำนวน ได้แก่ ฉบับแปลใหม่ของวรรณไว พัธโนทัย สามก๊กฉบับเจ้าพระยา พระคลัง (หน) และละครโทรทัศน์ชุด “สามก๊ก” ของประเทศจีน ในการดัดแปลงวรรณกรรมสามก๊ก และละครโทรทัศน์สามก๊กให้เป็นการ์ตนู ฉบับบรรลือสาส์น พบว่ามีกลวธิ ตี า่ ง ๆ ในการดัดแปลง ได้แก่ การตัดออก การเพิ่มเข้า การสลับตำแหน่ง และการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบางส่วน ซึ่งส่งผลให้ การ์ตูนสามก๊กฉบับนี้มีความร่วมสมัย เนื้อหากะทัดรัด ดำเนินเรื่องได้เร็ว มีตัวละครเท่าที่จำเป็น ใชภ้ าษากระชับ เข้าใจง่าย เหมาะแก่การนำเสนอในรูปแบบคอมิกสตริป และยงั สร้างอารมณ์ขันให้แก่ ผู้อ่าน โดยผู้เขียนการ์ตูนได้ดัดแปลงองค์ประกอบ 4 ประการ ได้แก่ การดัดแปลงเนื้อหา ตัวละคร บทสนทนา และฉาก ทั้งยังมีการเพิ่มเติมองค์ประกอบต่าง ๆ จากจินตนาการของผู้เขียนการ์ตูนเอง เพื่อให้มีความร่วมสมัยเข้ากับผู้อ่านในปัจจุบัน ในด้านกลวิธีการสร้างอารมณ์ขันมี 3 วิธี ได้แก่ การสร้างอารมณ์ขันด้วยเนื้อหา การสร้างอารมณ์ขันด้วยภาษา และการสร้างอารมณ์ขันด้วยภาพ แม้ว่าการ์ตูนสามก๊กฉบับนี้จะมีที่มาจากเรื่องสามก๊กหลายสำนวน แต่ก็มีความกลมกลืนในการ ดดั แปลงเนื้อหา ตวั ละคร บทสนทนา และฉากตา่ ง ๆ จากวรรณกรรมตน้ ฉบบั และจากละครโทรทัศน์ เอกสารและงานวิจัยต่าง ๆ ข้างต้น ผู้วิจัยมักจะกล่าวถึงประเด็นการแปรรูป วรรณกรรมท่เี ป็นวรรณกรรมแบบฉบับ และนิทานพน้ื บ้านภาคกลางซ่งึ เป็นทรี่ จู้ ักอย่างแพร่หลาย เช่น รามเกียรติ์ อิเหนา ไกรทอง พระอภัยมณี โสนน้อยเรือนงาม ศรีธนญชัย เป็นต้น ไม่ปรากฏการศึกษา วรรณกรรมท้องถิ่นโดยเฉพาะวรรณกรรมท้องถิ่นอีสาน อีกทั้งเป็นการศึกษาการแปรรูปวรรณกรรม ในรูปแบบวรรณกรรมลายลักษณ์ประเภทอื่น คือ หนังสือการ์ตูน หรือสื่อประเภทอื่นอย่างการ์ตูน โทรทัศน์ หรือในลักษณะที่เป็นละครโทรทัศน์ ละครเพลง มิใช่รูปแบบการแสดงละครหุ่น มีเพียง งานวิจัยของ ชุติมา เลิศนันทกิจ (2554) ที่ศึกษาการแปรรูปวรรณกรรมเป็นบทแสดงหุ่นละครเล็ก
18 ซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นการศึกษาของผู้วิจัย คือ การแปรรูปวรรณกรรมสู่บทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่อง สินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม ของคณะละครหุน่ นวัตศลิ ป์มอดินแดง 2.2.3 เอกสารและงานวจิ ัยที่เกีย่ วข้องกับการศึกษาวรรณกรรมเชิงสังคม รายงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดเชิงสังคมที่ปรากฏใน บทละครหุ่น ร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง ดังนั้น ผู้วิจัยจึงได้ศึกษา และสืบค้นเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาวรรณกรรมเชิงสังคม เพื่อเป็นแนวทาง ในการศึกษาและวิเคราะห์แนวคิดเชิงสังคมที่ปรากฏในตัวบทบทละครหุ่นร่วมสมัย ซึ่งมีรายละเอียด ดังตอ่ ไปนี้ พิดสะพง วงพะจัน (2562) ศึกษาเรื่อง สินไซ : บทบาทหน้าที่และปฏิสัมพันธ์ ระหว่างวรรณคดีมรดกกับสังคมวัฒนธรรมลาว ผลการศึกษาพบว่า สินไซเป็นวรรณคดีที่มีบทบาท หน้าที่ที่สำคัญต่อสังคมวัฒนธรรมลาว 6 ประการ คือ ด้านความบันเทิง ด้านการศึกษาและคำสอน ด้านประเพณีพิธีกรรม ด้านการปกครอง ด้านการสร้างอัตลักษณ์ความเป็นลาว และด้านภาพสะท้อน ทางสังคมและวัฒนธรรม ในด้านปฏิสัมพันธ์ระหว่างวรรณคดีมรดกเรื่องสินไซกับบริบททางสังคม วัฒนธรรมลาว พบการปฏิสัมพันธ์ใน 5 มิติ คือ การปฏิสัมพันธ์ทางชนชั้น การปฏิสัมพันธ์ทาง การเมือง การปฏิสัมพันธ์ทางศาสนา การปฏิสัมพันธ์ทางเพศ และการปฏิสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ กล่าวได้ว่า วรรณคดีลาวเรื่องสินไซมีบทบาทหน้าที่และปฏิสัมพันธ์ต่อสังคมวัฒนธรรมลาวมาตั้งแต่ อดีตจนถึงปัจจุบัน อาทิ หลักคำสอนที่ปรากฏในวรรณกรรม ซึ่งนำมาใช้เป็นบรรทัดฐานต่อเยาวชน และการสร้างอัตลักษณ์ความเป็นลาว ตลอดจนทำหน้าที่เป็นภาพสะท้อนประเพณีชีวิต วิถีชีวิต และ ระบบความเชื่อต่าง ๆ ของลาว ทำให้เกิดความรู้และความเข้าใจสภาพชีวิต ความเป็นอยู่ ตลอดจน ความนึกคิดของบรรพชนลาว ลักษณะที่ยกมาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าวรรณคดีมรดกสินไซ มีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกับสังคมวัฒนธรรมลาว ในฐานะวรรณคดีของประชาชาติและวรรณคดี ในวิถีวัฒนธรรมลาว นอกจากนี้ วรรณคดีเรื่องสินไซยังได้รับความนิยมและมีการนำเสนอ ในหลากหลายรูปแบบมาทุกยุคสมัย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการสืบทอดและพัฒนาการของสินไซในฐานะ วรรณคดีมรดก ที่ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำและปรากฏในสายธารวัฒนธรรมของสังคมลาว มาโดยตลอด โสวิทย์ บำรุงภักด์ิ (2561) ศกึ ษาเรอ่ื ง วิเคราะห์พุทธจรยิ ศาสตร์ในวรรณกรรมสินไซ โดยใช้แนวคิดพุทธจริยศาสตร์ ซึ่งเป็นระบบความรู้ทางพระพุทธศาสนาที่ว่าด้วยความประพฤติหรือ กิริยาที่ควรปฏิบัติ ภายใต้กรอบศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรม ผลการศึกษาพบว่า ในด้านปัญหา จริยธรรมในวรรณกรรมสินไซ เป็นปัญหาท่ีเกี่ยวข้องกับการลักขโมย การมีภรรยาหลายคน การใช้ คุณไสย์ การผิดประเวณี ในด้านการประพฤติปฏบิ ัติต่อกันในเชิงความสัมพนั ธ์อนั ดีงามมี 2 ระดับ คือ ระดับครอบครัวและระดับเครือญาติ ในด้านการวิเคราะห์เกณฑ์วินิจฉัยจริยธรรมมี 2 ประการ คือ
19 1) เกณฑ์หลัก เป็นเกณฑ์ที่ถือเอาตามหลักการในพระพุทธศาสนา คือ เจตนาซึ่งเปน็ ความจงใจ ตั้งใจ และมุ่งหมายในการกระทำสิ่งต่าง ๆ ทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล หรือเรียกว่าเกณฑ์ตามหลักกรรมนิยาม และ 2) เกณฑร์ ว่ มหรือเกณฑร์ อง เปน็ เกณฑท์ ีถ่ ือเอาหลักมโนธรรมซึ่งเปน็ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และ ในด้านเป้าหมายของการกระทำในวรรณกรรมสินไซ คือ การปิดป้องช่องว่างระหว่างตนเองกับบุคคล ผู้เกย่ี วขอ้ งและเป็นทร่ี กั พระสุดสาคร ญาณวีโร (จันทาทิพย์) (2561) ศึกษาเรื่อง ศึกษาวิเคราะห์ หลักพุทธธรรมที่ปรากฏในวรรณกรรมอีสานเรื่อง ปู่สอนหลาน ผลการศึกษาพบว่า วรรณกรรมอีสาน เรื่องปู่สอนหลาน เป็นวรรณกรรมประเภทคำสอนที่ประพันธ์ด้วยฉันทลักษณ์แบบกาพย์อีสาน มีเนื้อหาที่มุ่งเน้นการสั่งสอนเยาวชนในด้านต่าง ๆ เช่น การคบมิตร การใช้ชีวิต การสอนจริยธรรม ที่ดีงาม เป็นต้น ซึ่งปรากฏหลักพุทธธรรมอยู่ 9 ประเด็น ได้แก่ พุทธธรรมที่ว่าด้วยเรื่องธรรมคุ้มครอง โลก พุทธธรรมที่ว่าด้วยเรื่องเบญจศีล-เบญจธรรม พุทธธรรมที่ว่าด้วยเรื่องสุจริต พุทธธรรมที่ว่าด้วย เรื่องฆราวาสธรรม พทุ ธธรรมทวี่ ่าด้วยเร่ืองสังคหวัตถุ พุทธธรรมทว่ี า่ ดว้ ยเรื่องทฏิ ฐธัมมิกัตถประโยชน์ พุทธธรรมที่ว่าด้วยเรื่องกัลยาณมิตร พุทธธรรมที่ว่าด้วยเรื่องกิเลส และพุทธธรรมที่ว่าด้วยเรื่อง อบายมุข นอกจากนี้ วรรณกรรมเรื่องปู่สอนหลานยังมีคุณค่าต่อสังคมอีสานใน 6 ดา้ น คือ คุณค่าด้าน การเป็นต้นแบบของความดี คุณค่าด้านประเพณีและวัฒนธรรม คุณค่าด้านสืบทอดอายุ พระพทุ ธศาสนา คณุ ค่าดา้ นความรู้และคตธิ รรมในการดำเนนิ ชวี ติ คุณคา่ ดา้ นความสัมพนั ธ์ของชุมชน ในทอ้ งถ่นิ และคณุ คา่ ดา้ นการปฏิบตั ิหนา้ ทข่ี องสภุ าพบรุ ษุ และสุภาพสตรี สุมาลี พลขุนทรัพย์ (2561) ศึกษาอัตลักษณ์ชาวอีสานในนวนิยายเรื่อง “คำอ้าย” ของ ยงค์ ยโสธร ผลการศึกษาพบว่า นวนิยายเรื่องคำอ้ายได้นำเสนอภาพสังคม ความเป็นอยู่ของ ชาวอีสานจากมุมมองและประสบการณ์ของคนในพื้นที่ พร้อมทั้งถ่ายทอดเรื่องราวสู่ผู้อ่าน ผา่ นการมองตนเองและยอมรับอัตลกั ษณ์ของตน นบั เป็นนวนยิ ายทีม่ ีกลวิธีการนำเสนอทีน่ ่าสนใจและ แสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของชาวอีสานใน 5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านความเชื่อ ประกอบด้วย ความเช่ือ เรื่องผี ความเชื่อเรื่องบุญบาป ความเชื่อเรื่องขวัญ และความเชื่อเรื่องโสก 2) ด้านประเพณี ประกอบด้วย บุญฮีตสิบสอง ลงข่วง และงันเฮือนดี 3) ด้านวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ประกอบด้วย ดนตรี การฟ้อนรำ เครื่องแต่งกาย อาหารการกิน และการละเล่น 4) ด้านวรรณกรรม และ 5) ด้านการใช้ ภาษา นอกจากนี้ ผู้เขียนได้ใช้กลวิธีต่าง ๆ เพื่อนำเสนออัตลักษณ์ของชาวอีสาน 4 กลวิธี ได้แก่ การนำเสนอผ่านมุมมองของนกั เขียน การนำเสนอผ่านตัวละคร การนำเสนอผ่านฉากและบรรยากาศ และการนำเสนอผ่านภาษาไทยถิ่นอีสาน จึงอาจกล่าวได้ว่า นวนิยายเรื่องคำอ้าย ของ ยงค์ ยโสธร เป็นนวนิยายที่ใช้ตัวละครมาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของชาวอีสาน และแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ อันโดดเด่นหลากหลาย ผ่านมมุ มองของชาวอีสานอย่างแท้จริง
20 ราชันย์ นิลวรรณาภา และพิพัฒน์ ประเสริฐสังข์ (2558) ศึกษาวรรณกรรมชาดก พื้นบ้านอีสาน : ภาพสะท้อนอัตลักษณ์ด้านความเชื่อ วิถีชีวิต ประเพณีและพิธีกรรม ผลการศึกษา พบว่า ภาพสะท้อนอัตลักษณ์ทางความเชื่อในวรรณกรรมชาดกพื้นบ้านอีสาน ปรากฏความเชื่อเรื่อง ผีสางเทวดาและสิ่งเหนือธรรมชาติ ความเชื่อเรื่องโหราศาสตร์ ความเชื่อเกี่ยวกับนิมิตฝันและ ลางสังหรณ์ ความเชือ่ ในพทุ ธศาสนา ได้แก่ ความเช่ือเรือ่ งบาปบุญ นรกสวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด บุพเพสันนิวาส และความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ ได้แก่ ความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้า เวทมนตร์คาถา และไสยศาสตร์ นอกจากนี้ ในด้านภาพสะท้อนอัตลักษณ์ด้านวิถีชีวิต ประเพณี และพิธีกรรม ในวรรณกรรมชาดกพน้ื บ้านอสี าน ปรากฏภาพสะท้อนสภาพแวดล้อมของสังคมอสี านในด้านสรรพสิ่ง ในธรรมชาติ ระบบครอบครัว อาชีพและการทำมาหากิน การค้าขาย วิถีชีวิตความเป็นอยู่ดา้ นอาหาร ที่อยู่อาศัยและสิ่งปลกู สร้าง วัฒนธรรมดา้ นการดนตรีการแสดงและการละเลน่ วัฒนธรรมด้านส่ิงของ เครื่องใช้ วัฒนธรรมด้านการนับกาลเวลา ตลอดจนประเพณีและพิธีกรรมในรอบชีวิตและในรอบปี ภาพสะท้อนด้านต่าง ๆ เหล่านี้เป็นอัตลักษณ์เฉพาะถิ่นของอีสาน ซึ่งล้วนเป็นมรดกทางวัฒนธรรม อันมีคุณค่า และสะท้อนตวั ตนของคนอสี านได้เป็นอย่างดี คมกฤษณ์ วรเดชนัยนา (2557) ศึกษาพหลุ กั ษณข์ องอำนาจในวรรณกรรมเรื่องสินไซ โดยศึกษาตามแนวคิดเรื่องอำนาจของ มิเชล ฟูโกต์ ผลการศึกษาพบว่า วรรณกรรมสินไซถูกแต่งข้ึน สำหรับกลุ่มชนชั้นที่มีฐานันดรทางสังคม เพื่อต้องการใช้อำนาจควบคุมผ่านกระบวนการสร้าง บรรทัดฐาน โดยปรากฏการใช้อำนาจใน 3 ลักษณะ ได้แก่ 1) อำนาจแบบกลุ่มคนกระแสหลัก เป็นลักษณะการสร้างพื้นที่จินตกรรมสู่ความเป็นเมืองพัฒนา และหยิบยื่นความด้อยพัฒนาให้กับ เมืองอื่น ๆ โดยกำหนดให้เมืองเปงจาลเป็นเมืองพัฒนาแล้วและเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ เหนือความเชื่อดั้งเดิมของกลุ่มคนกระแสรองในเมืองด้อยพัฒนา ซึ่งก็คือด่านทั้ง 9 ที่สินไซ สีโห หอยสงั ข์ ไดไ้ ปผจญภัย การผจญภัยดังกล่าวเป็นลักษณะการต่อสูห้ รือบุกรุกของนักล่าอาณานิคมที่ใช้ กำลัง และวิธีการของอำนาจของกลุ่มคนกระแสหลัก 2) อำนาจแบบพุทธศาสนา เป็นการควบคุม ความเชื่อแบบดั้งเดิมของกลุ่มคนกระแสหลัก ในอดีตสังคมเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติ แต่เมื่อ พุทธศาสนาแพร่เข้ามาในภายหลังจึงเกิดการปฏิเสธและคัดค้านแนวคิดทางพุทธศาสนา เกิดความขัดแย้งระหว่างความเชื่อที่แตกต่างกัน ผู้เขียนจึงกำหนดให้ตัวละครฝ่ายอธรรมแทน ความเชื่อแบบดั้งเดิม และสินไซแทนแนวคิดแบบพุทธศาสนา การต่อสู้ของสินไซกับตัวละครในแต่ละ ด่านจึงเปรียบเสมือนการต่อต้านอำนาจของนักล่าอาณานิคม และการที่สินไซสั่งสอนธรรมะแก่ ตัวละครในแต่ละด่านหลังจากที่รบชนะ ก็เป็นการกดทับหรือควบคุมด้วยวิธีการของอำนาจที่ ชอบธรรม และ 3) อำนาจแบบปิตาธิปไตย วรรณกรรมสนิ ไซได้นำเสนอค่านิยม อุดมการณ์ทางสังคม โดยเฉพาะความแตกต่างระหว่างสถานะของเพศชายและหญิง ตัวละครเพศหญิงมักถูกกดขี่ ปิดกั้น ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ มีอภิสิทธิ์น้อยกว่า ตลอดจนเป็นวัตถุทางเพศของตัวละครเพศชาย ทั้งน้ี
21 อำนาจด้านต่าง ๆ ท่ีซ่อนแฝงอยูใ่ นวรรณกรรมเรื่องสินไซ ช่วยให้เหน็ ปรากฏการณท์ างสังคมที่ผูเ้ ขยี น ได้สร้างสรรค์ไว้เพื่อเป็นกระบอกเสียงของบรรพบุรุษ ในการสร้างสำนึกทางประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ และวฒั นธรรม สุรชัย ชินบุตร (2560) ศึกษาภาพสะท้อนสังคมอีสานที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่อง นางสิบสอง โดยศกึ ษาวิเคราะห์วรรณกรรมเร่ืองนางสิบสอง ฉบบั ของ น้อย ผวิ ผัน ผลการศึกษาพบว่า วรรณกรรมเรื่องนางสิบสองฉบับอีสานของ น้อย ผิวผัน ได้รับอิทธิพลมาจากนิทานพื้นบ้านภาคกลาง เรื่องพระรถเมรี ซึ่งผู้เขียนนำต้นแบบมาจากหนังสือ “นิทานแสนสำราญเล่มที่ 8” และปรับให้เป็น ฉันทลักษณ์แบบสำนวนกลอนอีสาน พร้อมทั้งนำมาดัดแปลงเพื่อให้เข้ากับบริบทของท้องถิ่นอีสาน โดยใช้กลวิธีการตัด ลด เพิ่ม ข้อความหรือรายละเอียดบางประการ ตลอดจนการเปลี่ยนชื่อเรียก สิ่งของต่าง ๆ จากภาษาไทยเป็นภาษาถิ่นอีสาน นอกจากน้ี เนื้อหาในวรรณกรรมยังสะท้อนให้เห็น สภาพทางภูมิศาสตร์ สังคม เศรษฐกิจ ความเชื่อ ประเพณี ค่านิยม พิธีกรรม การละเล่น และวิถีชีวิต ที่สัมพันธ์กับบริบทของสังคมอีสาน ทั้งนี้ ในวรรณกรรมเรื่องนางสิบสองฉบับอีสาน ผู้เขียนได้เน้น เนื้อหาในประเด็นของยารกั ษาโรคพื้นบา้ นและกีฬาพื้นบ้าน เนื่องจากวิถีชีวิตของชาวอีสานผูกพันกบั ธรรมชาติและสิ่งศักด์สิ ิทธ์ิ เมอื่ เจ็บป่วยจงึ ต้องอาศัยพืชสมุนไพรในการรักษา และในอดีตกีฬาพ้ืนบ้าน อย่างการเล่นชนไก่เป็นการละเล่นของกลุ่มคนชั้นสูง ดังนั้นการชนไก่ในวรรณกรรมเรื่องนางสิบสอง ฉบับอีสานจึงเปน็ เสมือนการต่อรองอำนาจของผู้ด้อยโอกาสในสังคมกับผู้ท่ีมีอำนาจในสังคม เพื่อเป็น การเอาตัวรอดในการดำรงชีวติ เอกสารและงานวิจัยต่าง ๆ ข้างต้น ผู้วิจัยมักจะกล่าวถึงแนวคิดทางพุทธศาสนา ที่ถูกนำเสนอในวรรณกรรมสินไซหรือวรรณกรรมพื้นบ้านอีสานเรื่องอื่น ๆ เนื่องจากวรรณกรรม พื้นบ้านมักจะมีเนื้อหา สารัตถะ ตลอดจนคตินิยมที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนา เพื่อใช้อบรมขัดเกลา พฤติกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรม แก่คนในสังคมท้องถิ่นนั้น ๆ ในการศึกษาวรรณกรรมเรื่องสินไซ นักวิชาการหลากหลายสาขาได้ศึกษาชุดความคิดด้านต่าง ๆ ที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องนี้ อาทิ ชดุ ความคิดทว่ี า่ ดว้ ยหลกั ธรรมทางพุทธศาสนา การปกครองบ้านเมือง การนำเสนอภาพสงั คม เป็นต้น นอกจากนี้ งานวิจัยของ สุรชัย ชินบุตร (2560) ที่ศึกษาภาพสะท้อนสังคมอีสาน ท่ปี รากฏในวรรณกรรมเร่ืองนางสิบสอง กไ็ ดก้ ล่าวถงึ ประเดน็ การนำเสนอแนวคิดและภาพสังคมอีสาน ในวรรณกรรม ตลอดจนการดัดแปลงวรรณกรรมพื้นบ้านภาคกลางสู่วรรณกรรมฉบับอีสาน ซง่ึ สอดคล้องกบั การศึกษาของผู้วิจยั ท้ังสองประเด็น คือ การแปรรูปวรรณกรรมสู่บทละครหุ่นร่วมสมัย และแนวคิดเชิงสังคมที่ปรากฏในบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม ของ คณะละครหุน่ นวัตศิลป์มอดินแดง
22 บทที่ 3 วิธกี ารดำเนนิ งานวิจัย รายงานวิจัยเรื่อง สินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม : การแปรรูปวรรณกรรมอีสานและแนวคิด เชิงสังคมที่ปรากฏในบทละครหุน่ ร่วมสมัย คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง ผู้วิจัยได้กำหนดวิธีการ ดำเนินงานวจิ ยั ไว้ ดังน้ี 3.1 ขั้นตอนการดำเนินงานวจิ ัย 3.2 การศึกษาและรวบรวมข้อมลู 3.2.1 วิธกี ารเก็บรวบรวมข้อมูล 3.2.2 เครือ่ งมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล 3.3 การวิเคราะห์ขอ้ มูล 3.4 สรปุ และอภิปรายผลการศึกษา 3.5 ระยะเวลาในการดำเนินงานวจิ ัย 3.1 ข้นั ตอนการดำเนนิ งานวิจยั 1) ทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเด็นที่สนใจศึกษา เพื่อกำหนดหัวข้อ รายงานวจิ ยั และวัตถปุ ระสงคข์ องการศกึ ษา 2) กำหนดขอบเขตการศึกษา 3) รวบรวมข้อมูล เอกสาร และตวั บททจ่ี ะนำมาใชศ้ ึกษาวเิ คราะห์ 4) ศึกษาตวั บท (Text) และวิเคราะหข์ อ้ มลู เฉพาะในประเดน็ ทต่ี ้องการศกึ ษา 5) สรปุ และอภิปรายผลการศึกษา 3.2 การศึกษาและรวบรวมข้อมูล การศึกษาวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดวิธีการรวบรวมข้อมูลไว้ 2 ประเด็น คือ วิธีการ เก็บรวบรวมข้อมูล และเครื่องมือที่ใช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ซงึ่ มรี ายละเอียดดงั ตอ่ ไปน้ี 3.2.1 วธิ กี ารเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยได้ดำเนินการ เก็บข้อมูลจากหนังสือ เอกสารงานวิจัย บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ วิทยานิพนธ์ ตลอดจน
23 เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปวรรณกรรมและการศึกษาวรรณกรรมเชิงสังคม และนำมาใช้ ในการวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับการสัมภาษณ์ผู้ประพันธ์บทละครหุ่นร่วมสมัย คือ พชญ อัคพราหมณ์ โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-structured interview) ด้วยคําถามปลายเปิด (Open-ended questions) เพื่อให้ทราบถึงแนวคดิ ในการนำเสนอละครหุ่นรว่ มสมัยเรื่องสินไซ ตอน นาคะยทุ ธกรรม 3.2.2 เคร่ืองมือท่ใี ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู ประกอบไปดว้ ย คอมพิวเตอร์โนต้ บกุ๊ สมดุ จดบนั ทึก บทละครหุ่นร่วมสมยั เร่อื งสนิ ไซ ตอนนาคะยุทธกรรม ประพันธ์โดย พชญ อัคพราหมณ์ (2562) และวรรณกรรมสังข์สิลป์ชัย ฉบบั ปริวัตรโดย มัน่ จงเรยี น (ม.ป.ป.) 3.3 การวิเคราะห์ข้อมลู การดำเนินงานวิจัยครั้งน้ีเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) โดยใช้ วิธีการศึกษาและวิเคราะห์ตัวบท (Textual analysis) บทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอน นาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง ประพันธ์บทโดย พชญ อัคพราหมณ์ (2562) โดยใช้วรรณกรรมสังขส์ ิลป์ชัย ฉบับปริวัตรโดย มั่น จงเรียน (ม.ป.ป.) เป็นตัวบทต้นฉบับในการศึกษา การแปรรปู วรรณกรรมสู่การสรา้ งสรรค์บทละครหนุ่ รว่ มสมัย หลังจากที่ผู้วจิ ยั ได้ศึกษาการแปรรูปวรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ และศึกษาแนวคิดเชิงสังคม ที่ปรากฏในบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์ มอดินแดง ตลอดจนเก็บรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยและเอกสารที่เกี่ยวข้องตามประเด็นที่กำหนดไว้ ครบถว้ นแล้ว จึงนำข้อมลู ทีไ่ ด้ข้างต้นมาวเิ คราะห์ตามวตั ถุประสงค์และเรียบเรยี งตามขน้ั ตอน ดังนี้ 1) เรยี บเรยี งข้อมูลตามกรอบแนวคดิ และวัตถปุ ระสงค์ทีก่ ำหนดไว้ 2) วิเคราะห์การแปรรูปวรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ สู่การสร้างสรรค์บทละครหุ่นร่วมสมัย เร่ืองสนิ ไซ ตอนนาคะยทุ ธกรรม คณะละครหุ่นนวตั ศิลป์มอดนิ แดง 3) วิเคราะห์แนวคิดเชิงสังคมที่ปรากฏในบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอน นาคะยทุ ธกรรม คณะละครหนุ่ นวัตศิลปม์ อดินแดง 3.4 สรปุ และอภิปรายผลการศึกษา ผู้วจิ ยั นำขอ้ มลู ที่ได้มาวิเคราะห์เพอื่ นำเสนอผลการศึกษา และสรุปและอภปิ รายผลการศึกษา โดยใช้รูปแบบการวิเคราะห์เชิงพรรณนา (Descriptive analysis) ตามวัตถุประสงค์ของการศึกษา 2 ประการ คือ การแปรรูปวรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ สู่การสร้างสรรค์บทละครหุ่นร่วมสมัย เรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง และแนวคิดเชิงสังคมที่ปรากฏใน
24 บทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง พร้อมท้ัง เสนอข้อเสนอแนะอันจะเป็นประโยชน์ต่อการศกึ ษาในครัง้ ต่อไป 3.5 ระยะเวลาในการดำเนินงานวจิ ัย ระยะเวลาการดำเนินรายงานวจิ ัยสหกิจศึกษา ต้งั แต่ 7 ธนั วาคม 2564 ถงึ 25 มีนาคม 2565 รวมทั้งส้ิน 4 เดอื น โดยมรี ายละเอยี ดระยะเวลาในการดำเนนิ งานวิจัย ดังตาราง ธนั วาคม มกราคม กมุ ภาพนั ธ์ มนี าคม แผนการดำเนนิ งาน 2564 2565 2565 2565 สัปดาห์ สปั ดาห์ สัปดาห์ สปั ดาห์ 1234123412341234 ทบทวนเอกสารและงานวจิ ยั ที่ เกี่ยวข้องในประเด็นท่ีศกึ ษา กำหนดขอบเขตการศึกษา และ รวบรวมตวั บทที่จะนำมาใช้ศกึ ษา วิเคราะห์ ดำเนนิ งานศกึ ษาวจิ ยั บทที่ 1 บทนำ ดำเนินงานศึกษาวิจัยบทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยท่เี กยี่ วข้อง ดำเนินงานศึกษาวจิ ัยบทท่ี 3 วิธกี ารดำเนินงานวจิ ัย ดำเนนิ งานศกึ ษาวิจัยบทที่ 4 ผล การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมลู ดำเนินงานศึกษาวจิ ัยบทท่ี 5 สรุป และอภปิ รายผลการศกึ ษา ตารางท่ี 1 ระยะเวลาการดำเนนิ งานรายงานวิจยั
25 บทท่ี 4 ผลการศึกษาและวเิ คราะห์ข้อมูล รายงานวิจัยน้มี วี ัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาการแปรรูปวรรณกรรมอสี านเร่ืองสินไซ ส่บู ทละครหุ่น ร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม และเพื่อศึกษาแนวคิดเชิงสังคมที่ปรากฏในบทละครหุ่น ร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง ผู้วิจัยได้ศึกษาวิเคราะห์ บทละครหุ่นเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม ของคณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง ซึ่งประพันธ์โดย พชญ อัคพราหมณ์ (2562) โดยใช้วรรณกรรมสังข์สิลป์ชัย ฉบับปริวัตรโดย มั่น จงเรียน (ม.ป.ป.) เป็นตัวบทตน้ ฉบับในการศกึ ษาการแปรรูปวรรณกรรมสู่การสร้างสรรค์บทละครหุ่นร่วมสมัย โดยแบ่ง ผลการศกึ ษาตามวัตถปุ ระสงคเ์ ป็น 2 ประเดน็ ดังน้ี 4.1 การแปรรูปวรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ สู่บทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอน นาคะยทุ ธกรรม คณะละครห่นุ นวตั ศลิ ปม์ อดนิ แดง 4.1.1 เรอื่ งยอ่ วรรณกรรมสนิ ไซ 4.1.2 วิธีการแปรรูปวรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ สู่การสร้างสรรค์บทละครหุ่น ร่วมสมัย 4.2 แนวคิดเชิงสังคมที่ปรากฏในบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศลิ ป์มอดินแดง 4.2.1 แนวคิดดา้ นระบบครอบครัวและสงั คม 4.2.2 แนวคิดด้านการปกครอง 4.1 การแปรรูปวรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ สู่บทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอน นาคะยทุ ธกรรม คณะละครหนุ่ นวตั ศลิ ปม์ อดินแดง จากการศึกษาวิเคราะห์การแปรรูปวรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ สู่บทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่อง สนิ ไซ ตอนนาคะยุทธกรรม ผูว้ ิจยั ไดศ้ กึ ษาตัวบทวรรณกรรมสังข์สลิ ปช์ ัย ฉบับปริวัตรโดย มน่ั จงเรียน (ม.ป.ป.) ซึ่งเป็นตัวบทต้นฉบับในการศึกษาการแปรรูปวรรณกรรม สู่การสร้างสรรค์บทละครหุ่น ร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปน้ี
26 4.1.1 เรอ่ื งย่อวรรณกรรมสนิ ไซ สินไซเป็นวรรณกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจากผู้คนในภาคอีสานและ ประเทศลาวมาอย่างช้านาน จึงมีปรากฏวรรณกรรมเรื่องสินไซในหลายฉบับ หลายสำนวน โดยผู้วิจัย จะกลา่ วถงึ เนอ้ื หาของสนิ ไซจากวรรณกรรมสงั ขส์ ลิ ป์ชยั ฉบับปรวิ ัตรโดย ม่นั จงเรยี น (ม.ป.ป.) ท่ีนำมา เป็นตน้ ฉบับในการศกึ ษาการแปรรปู วรรณกรรม เพยี งเท่านัน้ สังข์สิลป์ชัย ฉบับปริวัตรโดย มั่น จงเรียน (ม.ป.ป.) ได้จัดเนื้อหาแบ่งเป็นตอน ๆ เรียกวา่ “บั้น” ซ่ึงมีจำนวนท้ังสิ้น 15 บน้ั ได้แก่ สมมตุ บิ ้ัน นะมัตถุ ยักข์กะสนั บั้น สุบนิ บัน้ (บ้นั พระยา กุสราซฝัน) วิบปะวาสะบั้น (บั้นนางสุมุนทาพัดพาก) บัพพะซาบั้น วิวาหะบั้น ปะติสนทิบั้น โคจรบ้ัน อนยุ ุทกัมม์บน้ั มหายุทกัมมบ์ น้ั นาคะยุทกัมม์บน้ั มตุ ตะนังบั้น (บั้นกบั คนื ) กาละบั้น (บ้ันสิลป์ซัยตาย) ถาปะนาบ้นั บาลเี สวยราซ และนาคสะดงุ้ มีเร่อื งย่อดงั น้ี ณ เมืองเป็งจาล มีพระยากุสราชเป็นผู้ครองเมือง มีมเหสีชื่อนางจันทา และมี น้องสาวช่ือสมุ ุนทา ซง่ึ มสี ริ โิ ฉมงดงาม ทำให้พระยากุสราชหวงน้องสาวยง่ิ นัก แต่แล้วนางสุมุนทาก็ถูก ยักข์กุมพันท์ เจ้าผู้ครองเมืองอโนราท ใช้เวทย์มนต์ฤทธิ์เดชลักพาตัวนางสุมุนทาไปขณะที่นางกำลัง ชมดอกไม้ในอุทยาน กุมพันท์ทำดีกับนางสุมุนทาเพื่อจะเอาชนะใจนาง จนนางยอมเป็นมเหสี ด้วยความสมัครใจและมีธิดาด้วยกันนามว่านางสีดาจันทร์ ความงามของนางสีดาจันทร์เป็นที่เลื่องลือ จนทราบไปถึงพญานาคชื่อท้าววะรุนนะราชผู้ครองนาคพิภพ จึงมาสู่ขอนางโดยการท้าแข่งสกากับ พระยากุมพันท์ สุดท้ายท้าววะรุนนะราชเป็นฝ่ายชนะ กุมพันท์จึงได้ยกนางสีดาจันทร์ให้ไปเป็นมเหสี ตามท่ีตกลงกนั ไว้ พระยากุสราชเสียใจและรู้สึกเสียศักดิ์ศรีที่น้องสาวถูกลักพาตัวไป จึงตัดสินใจ ออกบวชเพ่ือความปลอดภยั ในการออกตามหาน้องสาว จนเดินธุดงค์ไปถงึ เมืองจำปาซ่ึงมีท้าวกามะทา เป็นเจ้าเมือง พระกุสราชทราบเรื่องราวจากมหาราชครูเมืองจำปาว่าน้องสาวของตนถูกยักข์กุมพันท์ ลักพาตัวไป แต่คนธรรมดาไม่สามารถสู้รบกับยักษ์ที่มีฤทธิ์เดชมากอย่างกุมพันท์ได้ นอกจากจะมี ผู้มีบุญลงมาเกิดเพื่อปราบยักษ์ รุ่งเช้าพระกุสราชออกบิณฑบาต และได้พบกับลูกสาวทั้ง 7 นาง ของนันทะเศรษฐี น้องชายของท้าวกามะทา พระกุสราชเกิดมีใจปฏิพัทธ์และประสงค์อยากได้ลูกสาว ของนันทะเศรษฐี จึงกลับไปยังเมืองเป็งจาลและลาสิกขา จากนั้นจึงให้ขุนศรีขุนคอนเป็นราชทูต ไปส่ขู อนางทงั้ เจ็ดเอามาเป็นมเหสี แล้วให้มเหสที ง้ั แปดนางทำพธิ ีอธิษฐานขอลกู จากพระอนิ ทร์ ต่อมามเหสี 6 คน ได้บุตรเป็นชาย แต่นางจันทาและนางลุน น้องคนสุดท้องของ นางทั้งเจ็ดคลอดบุตรเป็นเด็กประหลาด นางจันทาคลอดบุตรเป็นคชสีห์นามว่าสีโห ส่วนนางลุน คลอดบตุ รออกมา 2 คน คนแรกเป็นมนุษยร์ ปู งามที่ออกมาพร้อมกับธนูศลิ ป์และดาบ ไดช้ ่อื ว่าสิลป์ชัย คนที่สองเป็นหอยสังข์นามว่าสังข์ทอง เนื่องจากโหรหลวงเคยทำนายว่าลูกของนางจันทาและนางลุน เป็นผู้มบี ญุ เป็นคนดี แต่ลูกของนางทั้งหกเป็นคนชั่ว ไม่มีศีลมีธรรม จึงเกิดความริษยาและได้จ้างวาน
27 โหรหลวงให้กลับคำทำนาย ว่าบุตรของนางจันทาและนางลุนเป็นกาลกิณีแก่บ้านเมือง พร้อมทั้งให้ หมอเสน่ห์ยาแฝดทำเสนห่ ใ์ หพ้ ระยากสุ ราชหลงรกั พวกตน พระยากุสราชหลงมนต์เสน่ห์ยาแฝดของนางทั้งหกและกริ้วมากเมื่อได้เห็นว่าบุตร ของนางจนั ทาเปน็ สตั ว์ และบุตรคนหนง่ึ ของนางลนุ เป็นหอย พระองค์เช่อื ตามคำทำนายของโหรหลวง จึงเนรเทศทัง้ แม่และลูกให้พ้นเมืองเพื่อไม่ให้บ้านเมืองมีเหตุอาเพศ นางจันทา นางลุน พร้อมด้วยสีโห สิลป์ชัย และสังข์ทอง ได้ออกจากเมืองและเดินทางเข้าไปในป่า อาศัยผลไม้เดนลิงประทังชีพ เป็นเวลาเดือนเศษ จึงไปพบปราสาทที่พระอินทร์เนรมิตไว้ให้ พร้อมกับเครื่องนุ่งห่ม อาหาร บริวาร หมู่ครฑุ นาค และสัตว์รา้ ยนานาชนิดท่ีมาเฝ้าให้การอารกั ขา แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านมาหลายปี แต่พระยากุสราชก็ยังคงคิดถึงน้องสาว เมื่อ ท้าวทั้งหกอายุได้ 7 ปี จึงให้เรียนวิชาอาคมเพื่อจะได้ไปติดตามอาและสู้รบกับยักข์กุมพันท์ จากน้ัน ท้าวทั้งหกก็กราบทูลลาบิดาและเดินทางออกจากเมืองเพื่อไปเรียนวิชาอาคม เมื่อเดินมาถึงกลางป่า ก็มาพบปราสาทซึ่งเป็นที่พักอาศัยของนางจันทาและนางลุน พร้อมกุมารทั้งสาม สืบถามจึงทราบว่า เป็นพี่น้องกัน ท้าวทั้งหกออกเพทุบายให้ท้าวสิลป์ชัยแสดงฤทธิ์ โดยให้สั่งให้เหล่าบริวารครุฑ นาค สัตว์ร้ายต่าง ๆ ไปปรากฏที่เมืองเป็งจาลให้พระยากุสราชและชาวเมืองได้เห็น แล้วกราบทูลพระยา กุสราชว่าเป็นฤทธิ์เดชของพวกตน พระองค์เห็นดังนั้นจึงมอบหมายให้ท้าวทั้งหกออกเดินทางไป ติดตามเอานางสมุ ุนทากลับเมืองและฆ่ายักข์กมุ พันทเ์ สยี ท้าวท้ังหกโกหกทา้ วสลิ ปช์ ยั วา่ พระบิดาสั่งให้ สลิ ป์ชยั ไปตามอาพร้อมทั้งฆ่ากมุ พนั ท์ แมว้ า่ นางจนั ทาและนางลุนจะเห็นค้าน เพราะเห็นว่าภยันตราย ทต่ี อ้ งฝา่ ฟันน้นั มีมาก แตก่ ็มอิ าจตา้ นทานความตง้ั ใจและความกตญั ญขู องสลิ ปช์ ยั ได้ กุมารทั้งเก้าออกเดินทางโดยมีสังข์ทองแผ้วถางทางนำหน้า สิลป์ชัยขี่สีโห และมี ท้าวทั้งหกเดินตามหลัง ซึ่งกว่าจะถึงเมืองอโนราทของยักข์กุมพันท์ ทั้งหมดต้องผ่านด่าน 6 ย่านน้ำ 9 ดา่ นมหาภัย ดังนี้ ด่านแรก คือ ด่านงูซวง เป็นงูใหญล่ ำตัวยาว ตาแดงเหมือนแสงอาทิตย์ สิลป์ชัยตอ่ สู้ กับงูยักษ์จนชนะแล้วเดินทางต่อจนถึงแม่น้ำกว้าง 1 โยชน์ ท้าวทั้งหกเกิดหวาดกลัวภยันตรายจึง ขอกลับเมืองเป็งจาล แต่สิลป์ชัยไม่ลดละความพยายาม หากตนปราบยักข์กุมพันท์และนำตัวอา กลับเมืองเป็งจาลไม่สำเร็จก็จะไม่ยอมกลับไป สิลป์ชัยจึงให้ท้าวทั้งหกพักรอที่นี่โดยมอบหมายให้สีโห เปน็ ผ้เู ฝ้าดูแล จากนน้ั สิลป์ชยั กับสังขท์ องกเ็ ดนิ ทางต่อไป ด่านที่สอง คือ ด่านวะรุนนะยักข์หรือยักข์กันดาน สิลป์ชัยสู้กับวะรุนนะยักข์จนเป็น ฝ่ายชนะจงึ เดินทางต่อไป และข้ามแมน่ ้ำกวา้ ง 2 โยชน์ ด่านที่สาม คือ ด่านพระยาช้างสัททันต์ ฝูงช้างโขลงน้ีมีช้างนับแสนตัว มีพระยาช้าง สทั ทนั ตเ์ ปน็ หัวหน้าโขลง เมอ่ื เห็นสลิ ปช์ ยั กว็ ่งิ กรเู ข้ามาเพอื่ หวงั จะทำร้าย แต่สดุ ทา้ ยกถ็ ูกสลิ ปช์ ัยปราบ จนพ่ายแพ้ หัวหน้าโขลงช้างจึงยอมบอกแก่สินไซว่า เมื่อ 8 ปีก่อนตนเห็นยกั ข์กุมพันท์อุ้มนางสมุ ุนทา
28 เหาะผ่านไป จากนั้นจึงให้สิลป์ชัยขี่คอและนำไปส่ง ณ บริเวณสุดเขตแดน สิลป์ชัยเดินทางต่อจนถึง แมน่ ้ำกวา้ ง 3 โยชน์ กข็ ี่สังข์ทองขา้ มไป ดา่ นทีส่ ่ี คอื ดา่ นยักข์สีต่ น ไดแ้ ก่ กันดานยักข์ จติ ตะยกั ข์ ไชยะยกั ข์ และวิไชยะยักข์ ซึ่งล้วนแต่มีฤทธิเดชแก่กล้า ทั้งหมดต่อสู้กันแต่สุดท้ายสิลป์ชัยก็สามารถปราบยักษ์ทั้งสี่ตนได้อย่าง ราบคาบ จงึ เดินทางตอ่ ไปจนพบแม่น้ำกวา้ ง 4 โยชน์ สิลป์ชยั ก็ข่ีสงั ข์ทองข้ามไป ด่านที่ห้า คือ ด่านยักข์ขีนี นางผีเสื้อขีนี หรือยักข์ขีนี เป็นยักษ์ที่มากด้วยกามราคะ เมื่อเห็นหนุ่มน้อยรปู งามอย่างสิลป์ชยั จึงอยากได้มาเป็นสามี นางจึงออกอุบายเนรมิตศาลาพร้อมด้วย ข้าวปลาอาหาร อีกทั้งยังแปลงกายเป็นสาวงามมาหลอกล่อ แต่สิลป์ชัยสังเกตว่าดวงตาของนางแข็ง ไม่เหมือนดวงตาของมนุษย์จึงหนี แต่นางยักษ์ก็วิ่งตาม สิลป์ชัยจึงรีบเดินทางต่อไปจนกระทั่งถึงฝ่ัง แม่น้ำ 5 โยชน์ และรีบขส่ี ังข์ทองข้ามไป ด่านที่หก คือ ด่านนารีผล เป็นต้นไม้ที่มีผลรูปร่างเหมือนหญิงสาว สิลป์ชัยหลง เข้าไปเชยชมความงามของผลไว้วิเศษ จนกระทั่งเกิดการต่อสู้กับหมู่วิทยาธรที่เข้ามาช่วงชิงนารีผล จนสลิ ปช์ ัยเป็นฝา่ ยชนะ แล้วจงึ ออกเดนิ ทางต่อไปจนถงึ ฝั่งแมน่ ำ้ กวา้ ง 6 โยชน์ และขส่ี ังข์ทองข้ามไป ด่านที่เจ็ด คือ ด่านยักข์อัสสะมุขี ที่เขาเวละบาตมีนางผีเสื้อชื่ออัสสะมุขี ซึ่งมีหน้า เหมือนสุนัขอาศัยอยู่ เมื่อนางเห็นสิลป์ชัยก็เกิดพอใจอยากได้เป็นคู่ครองจึงเข้ามาอุ้มและเหาะไป สิลปช์ ยั พดู จาหว่านลอ้ มให้นางยอมปล่อยตัวแต่ก็ไม่เป็นผล จึงตดั สินใจตดั คอนางยกั ษจ์ นตาย สิลป์ชัย เดินทางต่อจนไปพบกับต้นกาละพึกส์ (กาลพฤกษ์) บนเขาเวละบาต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่พระอินทร์ เนรมิตไว้ มีดอกเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์และถนิมพิมพาภรณ์ที่งดงาม เฉพาะผู้มีบุญญาธิการเท่านั้นจึงจะ พบต้นไม้นี้ สิลป์ชัยจึงถือโอกาสชำระร่างกายและเปลี่ยนเครื่องทรงใหม่ จากนั้นก็เดินทางต่อ เพือ่ ไปพบกบั สังขท์ องทเ่ี ดินทางล่วงหน้าไปกอ่ นแล้ว ด่านที่แปด คือ ด่านเทพกินนะรี สิลป์ชัยเดินทางเรื่อยมาจนพบกับเหล่ากินรจี ำนวน 500 ตน ซ่ึงมีรปู รา่ งเปน็ คน สามารถใส่ปีกตดิ หางและบินได้ สลิ ปช์ ยั ได้รู้จกั กบั เทพกินรนี ามว่าเกียงคำ จนเกดิ ความรกั ใครจ่ ึงเกย้ี วพาราสี ท้ายที่สุดสิลป์ชัยกไ็ ดน้ างเกยี งคำเป็นภรรยาและครองรักอยู่กับนาง เป็นเวลา 7 วัน แล้วจึงขอลานางเกียงคำเพื่อออกเดินทางตามหาอาต่อ นางเกียงคำสั่งความไว้ว่า หากได้ครองเมืองเมื่อใดแล้วก็จงอย่าได้ลืมนาง จากนั้นสิลป์ชัยจึงข้ามแม่น้ำด่านสุดท้ายซึ่งกว้าง 7 โยชน์ และออกเดินทางตอ่ สองพี่น้องสิลป์ชัยและสังข์ทองเดินทางมาจนใกล้ถึงเมืองอโนราท ก่อนจะถึงเมือง อโนราท 2 วัน ทั้งสองได้ปรึกษากันและตกลงกันว่าให้สังข์ทองไปสังเกตการณบ์ ้านเมืองยักษ์เสียก่อน สังข์ทองเข้าไปในเมืองเพื่อสืบเสาะเรื่องราวจนรู้ว่ายักข์กุมพันท์เข้าไปหากินในป่า ส่วนนางสุมุนทา ยังอยใู่ นปราสาท จึงกลบั มาแจ้งข่าวใหส้ ิลป์ชยั ทราบ แล้วทง้ั ค่จู ึงออกเดนิ ทางเขา้ สู่เมืองอโนราทโดยมี เทวดาเอาราชรถมารบั และพาเหาะไป
29 ด่านที่เก้า คือ ด่านยักข์กุมพันท์ เป็นด่านสุดท้ายของการผจญภัยเพื่อตาม นางสุมุนทากลับคืนเมืองเป็งจาล เป็นด่านที่สิลป์ชัยต้องสู้รบกับยักข์กุมพันท์ถึง 2 ครั้ง เมื่อสิลป์ชัย และสงั ขท์ องเดนิ มาถึงเมอื งอโนราท ท้ังสองไดโ้ อกาสลอบเขา้ ถงึ ตัวปราสาท สิลป์ชยั เรียกอาอยนู่ านแต่ นางสุมุนทาก็ไม่ยอมเปิดประตูให้ จึงแกล้งพูดจาเกี้ยวพาราสี แต่เสียงที่พูดกลับเป็นเสียงเด็ก สร้างความขบขนั ใหแ้ ก่นางสมุ นุ ทา ที่สดุ สลิ ป์ชยั จึงใช้ศรเสยี บรูกุญแจจนเปิดประตูเข้าไปได้ ท้ังสองคน ได้ซักไซ้ไต่ถามจนทราบว่าเป็นอาหลานกัน สิลป์ชัยขอให้อารีบเก็บข้าวของแล้วเสด็จกลับ เมอื งเป็งจาลกอ่ นทีก่ ุมพนั ท์จะกลับมา นางสุมุนทาบา่ ยเบ่ยี งโดยอา้ งวา่ กุมพนั ท์มีฤทธ์เิ ดชมากคงสู้ไม่ได้ สิลป์ชยั จงึ แผลงศรเพื่อแสดงฤทธ์ิให้อาเหน็ ลูกศรวิ่งฝ่าอากาศจนเกิดเสยี งดังกัมปนาทไปทั่วและยังวง่ิ กลับเข้ามาในปราสาท ทำให้รอบบริเวณปราสาทร้อนเหมือนจะลุกเป็นไฟ นางสุมุนทาจึงยอมเชื่อว่า หลานมีฤทธิ์เดชมาก ขณะนั้นเอง สังข์ทองเข้ามาเตือนว่ายักข์กุมพันท์กลับมาจวนจะถึงปราสาทแล้ว นางสุมุนทาจึงให้หลานรีบไปซ่อนตัว กุมพันท์ได้รับผลกระทบจากฤทธิ์ของศรจนทำให้ตาฝ้าฟางและเมื่อยไปทั้งตัว เม่ือกลับมาถึงปราสาทก็หมดแรงไม่อาจขึ้นมาได้ อีกทั้งยังรู้สึกว่าปราสาทร้อนเหมือนไฟคลอก จึงให้ นางสุมุนทาช่วยประคอง และด้วยความล้ากุมพันท์จึงหลับไป เมื่อสิลป์ชัยรู้ว่ากุมพันท์หลับไปแล้วจึง ออกจากท่ีซ่อนและเร่งให้อาใหร้ ีบกลับเมือง แตด่ ว้ ยความจงรักภักดตี ่อพระสวามี นางสุมนุ ทาจึงแกล้ง ถ่วงเวลา ขณะลงจากปราสาทก็ขอกลับขึ้นไปอีกถึง 3 ครั้ง โดยอ้างว่าลืมผ้าสไบ ปิ่นปักผม และช้อง แซมผม แตแ่ ท้จริงแลว้ นางแอบกลบั ไปปลกุ สวามีใหต้ ืน่ จนสลิ ป์ชยั ตอ้ งไปตามตวั นางกลบั มา เมื่อพ้นจากเมืองอโนราท สิลป์ชัยนำอามาซ่อนไว้ในถ้ำ แล้วจึงกลับไปฆ่า ยักข์กุมพันท์ แต่ฆ่าอย่างไรก็ไม่ตาย มิหนำซ้ำยิ่งฆ่าร่างของกุมพันท์ก็ยิ่งเพิ่มมาเป็นเจ็ดเท่า จนกลายเป็นแสนเป็นโกฏิตัว ด้วยความเกรงในฤทธิ์เดชของสิลป์ชัย กุมพันท์จึงวิ่งเข้าป่าหิมพานต์ ร้องเรียกให้ไพลพ่ ลและอำมาตยเ์ สนาทัง้ สี่ คือ ไกสี ไวยกุ นั ใคสี และเพชไค มาช่วย จนเกดิ เป็นการรบ ครั้งแรกระหวา่ งฝ่ายสิลปช์ ัยกบั เสนาอำมาตยข์ องฝ่ายกมุ พันท์ เมื่อเหล่าเสนาทั้งหมดตาย กุมพันท์จึง เป็นแม่ทัพออกรบเอง โดยมีไวยุเวทและพันลุวาผู้เป็นหลานชายมาช่วยรบ สงครามในครั้งนี้สีโห ได้มาช่วยสลิ ป์ชัยและสังข์ทองรบด้วย ทั้งสองฝ่ายต่างใช้อาวุธ เวทมนต์คาถา รวมไปถงึ อทิ ธิฤทธิ์ตา่ ง ๆ จนในทา้ ยทีส่ ุดยกั ขก์ ุมพนั ท์กถ็ งึ แก่ความตาย เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ก่อนเดินทางกลับเมืองเป็งจาล นางสุมุนทาขอร้องให้สิลป์ชัย ไปรับตัวนางสีดาจันทร์ที่อยู่เมืองนาคกลับคืนมาด้วยเนื่องจากเป็นห่วงธิดา แม้ว่ากุมพันท์จะตาย ไปแล้ว แต่ยังแสดงฤทธิ์เดชโดยกลิ้งตัวมาจนถึงปราสาท นางสุมุนทาจึงต้องเฝ้าขอนผีตายอยู่ผู้เดียว สลิ ปช์ ยั จึงมอบศรไวใ้ หห้ น่งึ เลม่ เพอ่ื ใช้ป้องกันภยันตรายทอี่ าจจะเกดิ ขน้ึ สิลป์ชัยและสังข์ทองเดินทางไปยังเมืองนาค เพื่อท้าพนันสกากับท้าววะรุนนะราช สวามีของนางสีดาจนั ทร์ โดยมเี ดมิ พนั คือ ดาบ ศร และสงั ข์ ส่วนฝา่ ยท้าววะรุนนะราชวางเดิมพันเป็น
30 บ้านเมืองของตน ทั้งสองฝ่ายตกลงเล่นสกากัน 3 กระดาน ผลปรากฏว่าสิลป์ชัยเล่นชนะทั้ง 3 กระดาน แต่ท้าววะรุนนะราชกลับไม่ยอมทำตามข้อตกลง เหล่าเสนานาคต่างยุยงว่า สิลป์ชัย เป็นเพียงเด็กอีกทง้ั ยงั มาถึงเมืองนาคผู้เดียว หากไมย่ อมยกเมืองให้ตามที่ตกลงเสียอย่างก็คงจะไม่เกิด อะไรขนึ้ สลิ ปช์ ยั จงึ ขอเปล่ียนเดิมพนั เป็นนางสีดาจนั ทร์เพื่อเอากลบั ไปคืนนางสุมุนทาและให้นางกลับ เมืองเป็งจาล แต่ท้าววะรุนนะราชก็ไม่ยอมตกลงจึงเกิดการสู้รบในที่สุด สิลป์ชัยแผลงศรเรียกครุฑ มาช่วยรบ ฝ่ายท้าววะรุนนะราชและเหล่านาคสู้ครุฑไม่ได้จึงยอมแพ้ และยกเมืองให้แก่สิลป์ชัย สิลป์ชัยเวนคืนเมืองให้ท้าววะรุนนะราช และขอรับเพียงตัวนางสีดาจันทร์เพียงเท่านั้น จากนั้นก็พา นางสีดาจันทร์ไปพบนางสุมุนทา ณ เมืองอโนราท โดยมีท้าววะรุนนะราชตามมาส่งด้วย เมื่อ ศึกสงครามต่าง ๆ เสร็จสิ้นลง จึงจัดพิธีเผาศพกุมพันท์และแต่งตั้งให้ท้าววันนุลาพี่ชายของกุมพันท์ ข้นึ ครองเมอื งแทน สิลป์ชัย สังข์ทอง พร้อมด้วยนางสุมุนทาและนางสีดาจันทร์เดินทางกลับเมือง เป็งจาลจนมาถึงจุดที่สีโหและท้าวทั้งหกคอยอยู่ ท้าวทั้งหกแสร้งทำดีกับสิลป์ชัยและลวงให้สิลป์ชัย ลงอาบน้ำที่น้ำตกใหญ่ที่น้ำไหลเชี่ยวกราด เมื่อได้จังหวะจึงผลักสิลป์ชัยตกลงไปในเหวน้ำตก พระอินทร์เห็นดังน้ันจงึ ลงมาชว่ ยอมุ้ สิลป์ชยั ข้นึ มาและชบุ ให้ฟ้นื พรอ้ มทัง้ นำไปส่งให้กบั นางจันทาและ นางลุนที่ปราสาท ท้าวทั้งหกแสร้งทำเป็นเสียใจและกลับมาแจ้งนางสุมุนทาว่าสิลป์ชัยตายแล้ว ฝ่ายนางสุมุนทาและลูกเสียใจจนแทบสลบ แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่าสิลป์ชัยที่มีความเก่งกล้าสามารถ จะมาเสยี ทา่ กบั เรอ่ื งเล็กน้อยเพียงน้ี นางจึงเอาของมคี า่ 3 อย่างทก่ี มุ พนั ทม์ อบไว้ให้ คือ สไบ ปิน่ และ ช้อง ไปซอ่ นไว้ทโี่ ขดหินใกล้บรเิ วณนำ้ ตก พร้อมเสย่ี งทายวา่ หากสิลปช์ ยั ตายจริงขอให้ของทั้งสามสิ่งนี้ หาย แต่หากยังไม่ตายขอให้มีคนนำไปถวายคนื ทเี่ มืองเป็งจาล เมื่อกลบั ถึงเมอื งเปง็ จาล ท้าวทัง้ หกต่างกราบทูลบดิ าเพ่ือเอาความดีความชอบเข้าตัว แม้นางสุมุนทาจะกราบทูลเรื่องราวที่แท้จริงทั้งหมดให้พี่ชายฟัง ว่าผู้ที่ปราบยักข์กุมพันท์และพานาง กลับมายังเมืองคือสิลป์ชัย สังข์ทอง และสีโห แต่ท้าวทั้งหกยืนยันว่าไม่มีบุคคลทั้งสามที่อากล่าวถึง เนื่องจากมั่นใจว่าสิลป์ชัยตายไปแล้วด้วยน้ำมือของพวกตน ในขณะเดียวกัน พ่อค้าสำเภาได้นำ ของมีค่าสามสิ่ง คือ สไบ ปิ่น และช้อง มาถวายแด่พระยากุสราช เนื่องจากตนบังเอิญไปพบเข้าและ เห็นว่าเป็นของมีคา่ ไม่เหมาะสมกับคนท่ัวไป นางสุมุนทาเห็นดังน้ันก็มั่นใจได้ว่าสิลป์ชัยยังยงั มีชีวิตอยู่ แน่นอน เมื่อความจริงทุกอย่างปรากฏ พระยากุสราชกริ้วมากจึงรับสั่งให้จับกุมคุมขังท้าวทั้งหก พรอ้ มดว้ ยมารดา โหรหลวง และหมอเสน่ห์ยาแฝด แลว้ สัง่ ให้สร้างถนนมงุ่ สตู่ าดคำหลวงซึ่งคาดว่าเป็น ท่อี ยูข่ องสิลปช์ ัย นางจนั ทา นางลุน สลิ ปช์ ยั สังขท์ อง และสโี ห ตามท่ีน้องสาวบอก พระยากุสราช นางสุมุนทา นางสีดาจันทร์ พร้อมเจ้าประเทศราชร้อยหัวเมือง และ ไพร่พลไปถึงยังที่หมาย แล้วให้พรานป่าออกค้นหาสิลป์ชัยแต่ก็ไม่พบ จึงบวงสรวงเทวดาเจ้าป่าเจ้าเขา เพื่อบันดาลให้เสียงรอ้ งเรยี กของเหล่าไพร่พลดงั ไปถึงสิลป์ชัย สิลป์ชัยได้ยินเสียงจงึ ใช้ใหน้ าคมาสืบว่า
31 เป็นเสียงของผู้ใด นาคตนนั้นได้ความว่าบิดาของสิลป์ชัยมาตามเพื่อรับนางจันทา นางลุน สิลป์ชัย สังข์ทอง และสีโห กลับเข้าเมืองเป็งจาล นาคจึงนำทั้งสามพร้อมด้วยเจ้าประเทศราช ไพร่พล และ บรวิ าร เข้าไปยังปราสาทของสลิ ปช์ ัย เมื่อสิลป์ชัยได้พบกับพระยากุสราชจึงกล่าวตัดพ้อน้อยใจบิดา ได้ฟังดังน้ัน พระยากุสราชรู้สึกเสียใจและแค้นใจตัวเองยิ่งนักจนสลบไป พลอยทำให้เหล่าบริวาร นางจันทา และ นางลุนสลบไปด้วย จนเม่ือสงั ข์ทองและสีโหพ่นนำ้ พรมไปยงั ร่างทุกคนจึงฟ้ืนขน้ึ ในทสี่ ุดสลิ ป์ชัยจึงยอม กลับไปครองเมืองเป็งจาล แต่ก็ไม่ลืมคำมั่นสัญญาที่ใหไ้ ว้กับนางเกียงคำ จึงแต่งตั้งให้นางเกียงคำเปน็ มเหสเี อก และจัดพิธีอภิเษกอย่างย่ิงใหญ่ ฝา่ ยทา้ ววะรนุ นะราชรสู้ ึกคิดถึงนางสีดาจนั ทร์ จึงยกพลนาค ขึ้นมาสวามิภักด์ิสิลป์ชัย พร้อมทั้งขอตัวนางสีดาจันทร์กลับคืนเมืองนาค สิลป์ชัยและนางสุมุนทา จงึ อนญุ าตตามความประสงค์ จากน้นั สิลป์ชัยก็ปกครองเมืองเป็งจาลดว้ ยความสงบร่มเยน็ สบื มา 4.1.2 วธิ ีการแปรรูปวรรณกรรมอีสานเร่ืองสินไซ สูก่ ารสรา้ งสรรคบ์ ทละครหุ่นร่วมสมัย บทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสนิ ไซ ตอนนาคะยทุ ธกรรม ประพันธ์ขนึ้ เมื่อปี พ.ศ. 2562 โดย พชญ อัคพราหมณ์ และประพันธ์กลอนลำโดย สมบัติ ยอดประทุม (โป้งเป้งสุดสะแนน) (พชญ อัคพราหมณ์ , 2562) เป็นบทละครสำหรับการแสดงละครหุ่นอีสานร่วมสมัย พชญ อัคพราหมณ์ (2565) กล่าวว่า การแสดงชุด “นาคะยุทธกรรม” นับเป็นการแสดงชุดแรกของ คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง โดยเป็นการนำวรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ ตอนที่ 11 นาคะยุทธกรรมบั้น มาถ่ายทอดเรื่องราวผ่านการแสดงในรูปแบบละครหุ่นกระบอก หุ่นเชิด สลับกับ หุ่นเงา โดยในการแสดงจะมีผู้บรรยายที่ใช้บทสนทนาภาษาอีสาน กลอนลำ ผญา และดนตรีพื้นบ้าน อีสาน เพอ่ื แสดงใหเ้ ห็นถงึ ความเป็นอีสานร่วมสมัย ผู้ประพันธ์บทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม นำวรรณกรรม สังข์สิลป์ชัย ฉบับปริวัตรโดย มั่น จงเรียน (ม.ป.ป.) มาเป็นต้นแบบในการแปรรูปและสร้างสรรค์ บทละครหุ่นร่วมสมัย โดยนำเนื้อหาในบทที่ 11 “นาคะยุทกัมม์บั้น” มานำเสนอ การแสดงละครหุ่น ร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดงชุดนี้ มีระยะเวลาในการ แสดง 30 นาที (พชญ อัคพราหมณ์, 2565) บทละครเริ่มจากบทไหว้ครู จากนั้นจึงเล่าเรื่องย่อ เหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ ทีเ่ กดิ ขึน้ ก่อนเหตุการณ์การต่อสู้กับพระยาวรุณราช ตง้ั แตท่ น่ี างจันทา นางลุน สินไซ สังขท์ อง และสโี ห ถูกขบั ออกจากเมืองเป็งจาล และจบการแสดงด้วยการลา นอกจากนี้ ผปู้ ระพนั ธ์บท ยังได้หยิบยกเอาบทกลอนจากวรรณกรรมต้นฉบับมาใส่ในบทละครหุ่นร่วมสมัย เพื่อใช้เป็นบทพากย์ และบทสนทนาของตวั ละคร บทละครหุน่ ร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยทุ ธกรรม แบง่ เป็น 6 ฉาก ได้แก่ ฉากท่ี 1 สุมณฑาขอหลาน ฉากท่ี 2 สินไซ สังขท์ อง ทอ่ งเมืองบาดาล
32 ฉากท่ี 3 สนิ ไซขอแข่งสกากับพระยาวรุณราช ฉากที่ 4 สนิ ไซรบกับพระยาวรุณราช ฉากท่ี 5 สนิ ไซสอนพระยาวรณุ ราช ฉากที่ 6 กลบั เมอื งเป็งจาล เนื้อหาของบทละครเริ่มจากกล่าวถึงนางสุมณฑา เมื่อสวามีตายลงจากฤทธิ์เดชของ สินไซ ดว้ ยความคดิ ถึงและเป็นหว่ งบุตรสาวคือสีดาจันทร์ นางจงึ ขอร้องให้สินไซไปรับตัวบุตรสาวที่อยู่ เมืองบาดาลกลับคืนมา สนิ ไซและสังขท์ องจงึ เดนิ ทางไปยงั เมืองบาดาลซ่ึงปกครองโดยพระยาวรุณราช เมื่อไปถึงสังข์ทองก็แปลงกายเป็นหอยสังข์ ทั้งสองได้พบกับเต่าและนาคีจึงถามทางเพื่อไปพบกับ พระยาวรุณราช เหล่านาคีจึงไปแจ้งแก่ขุนนาคว่ามีมนุษย์ลงมาถึงที่นี่เพื่อท้าพนันสกากับเจ้าบาดาล ขุนนาคนำความกราบทูลพระยาวรุณราช พระยาวรุณราชเรียกสินไซเข้าพบและยอมตกลงแข่งพนัน สกา โดยสินไซมเี ดมิ พนั คือ สงั ข์ ศร และดาบ สว่ นพระยาวรุณราชวางเดิมพนั เป็นเมืองบาดาลของตน ทั้งสองฝ่ายเล่นสกา 3 กระดาน ผลปรากฏว่าสินไซเล่นชนะพระยาวรุณราช เจ้าบาดาลรู้สึกเสียศักดิ์ศรีและไม่อยากทำตามข้อตกลงจึงไปปรึกษาขุนนาค ขุนนาคยุยงว่า สินไซ เป็นเพียงเด็กธรรมดา หากเกรงว่าสินไซจะนำเรื่องที่เล่นพนันสกาชนะเจ้าบาดาลไปป่าวประกาศ แก่ผู้อื่นให้พระองค์อับอาย ก็จงจัดการฆ่าทิ้งเสีย สินไซจึงขอเปลี่ยนเดิมพันเป็นนางสีดาจันทร์แทน พระยาวรุณราชไม่ยอมตกลงจึงเกิดการสูร้ บในทสี่ ุด เมื่อสงครามเริ่มขยายใหญ่ขึ้น สินไซจึงตัดสินใจแผลงศรเรียกพญาครุฑมาช่วยต่อสู้ กับนาค ฝ่ายพระยาวรุณราชสู้ครุฑไม่ได้จึงขอยอมแพ้และยกเมืองให้แก่สินไซ สินไซเวนคืนเมืองให้ เจ้าบาดาลและขอรับเพียงตัวนางสีดาจันทร์ไปเพียงเท่านั้น นางสีดาจันทร์กล่าวลาสวามี เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนไปสินไซได้สั่งสอนคุณธรรมให้แก่พระยาวรุณราช แล้วจึงพานางสีดาจันทร์ ไปพบนางสุมณฑา ณ เมืองอโนราช จากนั้นสินไซ สังข์ทอง นางสุมณฑา และนางสีดาจันทร์ กอ็ อกเดินทางต่อเพ่อื ไปพบกบั สโี หและพี่ท้ังหกท่ีรออยู่ ในการศึกษาและวิเคราะห์ตัวบท เนื่องจากตัวบทต้นฉบับที่ผู้วิจัยนำมาศึกษาคือ วรรณกรรมสังข์สิลป์ชัย ฉบับปริวตั รโดย มั่น จงเรียน (ม.ป.ป.) เป็นการเล่าถึงเนือ้ หาการผจญภัยของ สิลป์ชัยตั้งแต่ต้นจนจบจำนวนทั้งสิ้น 15 บั้น ซึ่งมีการกล่าวถึงตอนเปิดเรื่อง ปมปัญหา จุดวิกฤต ตลอดจนจุดคลี่คลายเรื่อง และรายละเอียดต่าง ๆ ตามขนบการประพันธ์แบบวรรณกรรมอีสาน แต่ตัวบทบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง เป็นการคัดเนื้อหามาจากบทที่ 11 นาคะยุทกัมม์บั้น มาเพียงตอนเดียว ดังนั้น ในการศึกษาวิธีการ แปรรูปวรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ สู่การสร้างสรรค์บทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอน นาคะยุทธกรรม ผู้วิจัยจึงเปรียบเทียบเฉพาะเนื้อหาที่ผู้ประพันธ์บทละครหุ่นร่วมสมัยคัดมาจาก วรรณกรรมต้นฉบับ เพื่อนำมาใช้ในการแสดงเพียงเท่านั้น คือ ตอนที่ 11 นาคะยุทกัมม์บั้น
33 มิได้เปรียบเทียบเนื้อหาบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม กับวรรณกรรมต้นฉบบั ทัง้ เลม่ จากการศึกษาและวิเคราะห์ตัวบทบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอน นาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง ผู้วิจัยพบว่า ผู้ประพันธ์บทได้ใช้วิธีการต่าง ๆ ในการแปรรูปวรรณกรรมอีสานเรื่องสินไซ ซึ่งเป็นวรรณกรรมเพื่อการอ่าน ไปสู่วรรณกรรม เพื่อการแสดง คือการสร้างสรรค์บทละครหุ่นร่วมสมัย ของละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง โดยพบ การแปรรูปวรรณกรรมใน 2 ลกั ษณะ คือ 4.1.2.1 การแปรรปู ตวั บท 4.1.2.2 การแปรรปู เน้ือความ 4.1.2.1 การแปรรูปตวั บท การแปรรูปตัวบท เป็นวิธีการท่ีผู้ประพันธ์บทละครหุ่นร่วมสมัยคัดลอก ตัวบทวรรณกรรมตน้ ฉบบั เพ่ือนำมาใช้ในการแสดง แตไ่ ด้ปรบั รูปแบบหรือโครงสร้างตัวบทวรรณกรรม ต้นฉบับให้ต่างไปจากเดิม หรืออาจคัดลอกตัวบทเดิมที่ปรากฏในบทอื่นหรือเหตุการณ์อื่นจาก ตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับมาใส่ในบทละครหุ่นร่วมสมัย เพื่อให้การแสดงมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยตัวบทบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง พบการแปรรูปตัวบทใน 2 ลักษณะ คือ การเพิ่มประณามบท และการปรับรูปแบบตัวบทวรรณกรรม ต้นฉบับ ซึ่งมีรายละเอยี ดดงั ต่อไปนี้ 1) การเพิ่มประณามบท ประณามบท หรือบทประณามพจน์ หรือบทไหว้ เป็นขนบสำคัญ ทม่ี ักจะปรากฏในวรรณคดี วรรณกรรมไทย รวมไปถึงวรรณกรรมของท้องถ่ินต่าง ๆ การกล่าวบูชาครู และสิ่งศักด์ิสิทธิ์ในการสร้างสรรค์งานวรรณกรรมเป็นสิ่งท่ีแสดงออกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน และความคิดความเช่ือของคนไทย เนื่องจากกวีเกรงว่าจะมีอุปสรรคมาขัดขวางในระหว่างที่กำลัง สร้างสรรค์งาน จึงต้องไหว้สิ่งศักด์ิสิทธ์ิที่ตนเคารพนับถือก่อนเพื่อให้ช่วยคุ้มครองจากภยันตราย และ เพอ่ื เป็นการสรา้ งขวญั กําลงั ใจ (วรรณธิรา วริ ะวรรณ, และวีรวัฒน์ อินทรพร, 2558 : 1690) การแสดงละครหุ่นร่วมสมัยชุด สินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม ของ คณะละครหุ่นนวัตศิลป์มอดินแดง เริ่มต้นจากบทไหว้ครู ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมในการเริ่มทำการแสดง เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลและเพื่อเป็นการเรียกขวัญกำลังใจให้แก่นักแสดง ผู้ประพันธ์บทจึงเพ่ิม บทไหวค้ รเู ขา้ มาในบทละครหุน่ รว่ มสมัยดว้ ย โดยนำมาจากวรรณกรรมสงั สิลป์ชยั บทที่ 1 สมมุตติบั้น นะมัตถุ ซ่งึ ผู้ปริวัตรได้ประพนั ธไ์ วก้ อ่ นเข้าสูก่ ารดำเนนิ เรือ่ งราวทง้ั หมด ดังตัวบท
34 ๏ สสี ุพะ มงั คละเลศิ ลำ้ สิททิเดซลซื า นาโถสดุ ยอดยานไตแก้ว สวสั ดีน้อม ในทมั ทพ์ ทุ ทะบาท คนุ ย่อมยกใส่เกา้ ซุลีล้ำยอดยาน (ม่ัน จงเรยี น, ม.ป.ป. : 1) ตัวบทข้างต้นเป็นบทนมัสการพระรัตนตรัย เนื้อหาเป็นการอ้างถึง ความศักดิ์สิทธิ์และเป็นการระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งจะขอนอบน้อมและ ยกเอาแก้วสามประการอันประเสริฐสุดขึ้นไว้เหนือเกล้า ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล ผู้ปริวัตร จงึ ใช้คำวา่ “สี” (ศร)ี ข้นึ ตน้ คำประพนั ธ์ ไหว้ครู ศรสี มุ งั คละเลศิ ลำ้ สิทธิเดชลอื ซา นาโถสุด ยอดญาณไตรแกว้ สวัสดนี อ้ ม ในธรรมพทุ ธบาท คณุ ยอยกใสเ่ กลา้ ซุลลี ้ำยอดญาณ (พชญ อัคพราหมณ์, 2562) บทไหว้ครูข้างต้น ผู้ประพันธ์บทได้ปรับเปลี่ยนอักขระวิธีตาม วิธีการเขียนแบบปัจจุบัน เนื่องจากวรรณกรรมท้องถิ่นอีสานมักจะสะกดตรงตัว ไม่มีหลักการเขียน ทีเ่ ปน็ แบบแผน อีกทงั้ ยงั ได้ปรบั คำบางคำเพ่ือใหไ้ พเราะและเหมาะสมตอ่ การนำมาลำ ได้แก่ การปรับ สีสุพะ มังคละเลิศล้ำ เป็น ศรีสุมังคละเลิศล้ำ เพื่อให้ลงจังหวะในการลำ และ คุนย่อมยกใส่เก้า เป็น คุณยอยกใสเ่ กล้า เพ่อื เนน้ ใหเ้ ห็นกริยาการยกหรอื การเชิดชูได้ชัดเจนยิ่งข้นึ ในวรรณกรรมสังสิลป์ชัย บทที่ 11 นาคะยุทกัมม์บั้น ไม่ปรากฏ บทนมัสการพระรัตนตรัย เนื่องจากปรากฏเพียงในบทที่ 1 สมมุตติบั้น นะมัตถุ ตามแบบแผนในการ แต่งคำประพันธ์ที่กวีมักจะอ้างถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะดำเนินเรื่องราวทั้งหมด ดังนั้น ผู้ประพันธ์บทจึง ได้หยิบยกเอาบทนมัสการพระรัตนตรัยมาใช้เป็นบทไหว้ครูในบทละครหุ่นร่วมสมัยก่อนเข้าสู่เนื้อหา ซึ่งเป็นการนำตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับมาใช้ในจุดประสงค์เช่นเดียวกัน เพื่อให้เป็นไปตามขนบของ การแสดง 2) การปรบั รูปแบบตวั บทวรรณกรรมตน้ ฉบับ การปรับรูปแบบตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับ เป็นวิธีการสร้างสรรค์ ตัวบทใหม่โดยใช้ฐานของตัวบทเดิม กล่าวคือ ผู้ประพันธ์บทละครหุ่นร่วมสมัยได้คัดลอกตัวบท วรรณกรรมต้นฉบับมาใช้ แล้วใช้วิธีการสลับตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับ ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยน
35 รายละเอียดบางส่วนของตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับ เพื่อให้บทละครหุ่นร่วมสมัยมีความสมบูรณ์และ เหมาะสมตอ่ การนำไปแสดง การปรับรูปแบบตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับโดยการสลับตัวบท คือการที่ผู้ประพันธ์บทได้หยิบยกเอาบทกลอนจากวรรณกรรมต้นฉบับมาใส่ในบทละครหุ่นร่วมสมัย เพื่อใช้เป็นบทพากย์และบทสนทนาของตัวละคร ดังนั้น เพื่อย่นเนื้อหาในการแสดงให้มีความกระชับ ขึ้น จึงได้นำบทกลอนจากตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับในแต่ละบทมาตัดสลับกัน และนำมาประกอบกัน เปน็ ตวั บทใหม่ แตย่ งั คงเนือ้ หาและอารมณข์ องตัวละครไวเ้ ชน่ เดมิ ดงั ตวั บท ๏ ทนี่ ี้แสนสตั ตแ์ ท้ เสอื สางมะหงิ สแ์ ฮด โพงปา่ เป้า ปองเค้ยี วคาบคนแม่แล้ว บาตัดแจง้ ปืนวางไวเ้ พ่ือน คันว่าเขาหากมาเบียดใก้ พระองค์เจา้ ซัดไป ๏ หากจักปุนแป่มา้ ง ฝูงหมู่มพี สิ บอ่ อาดมาบที า ฮอ่ เฮียงเฮาได้ เมอ่ื น้นั นางกะสตั ร์ไท้ แถมพรซำ้ สัง่ โซคญา่ สิน้ สวยไดด้ ว่ นพลัน แม่เนอ ๏ ขอให้ได้นอ้ งแก้ว เจา้ เทีย่ วมามือ แม่เนอ อายังหวัง ใค่คองคอยหนา้ สองก็อำลานอ้ ย นางลุนแล้วพาก สรดาดเน้อื นวั ละอว้ นดุง่ เซงิ (มน่ั จงเรยี น, ม.ป.ป. : 241-242) ตัวบทนี้กล่าวถึงเหตุการณ์ท่ีนางสุมทุ าเฝ้าศพกุมพันท์ และได้บอก แกส่ ลิ ป์ชัยวา่ ตนกลัวพวกผยี ักษ์จะมาทำรา้ ย อีกทงั้ ในบรเิ วณนี้ล้วนเตม็ ไปด้วยภยันตรายและสัตว์มีพิษ สิลป์ชัยจึงมอบธนูศรไว้ให้เพื่อใช้ป้องกันตัว นางสุมุทาอวยพรให้สิลป์ชัยนำเอานางสีดาจันทร์กลับมา พบตนอย่างปลอดภัย เนื่องจากนางยังหวังว่าจะได้พบกับบุตรสาว โดยตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับท่ี ผู้ประพนั ธ์บทคดั มาใส่ในบทละครหุ่นรว่ มสมัยเรอ่ื งสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม มดี ังน้ี คันวา่ เขาหากมาเบยี ดใก้ พระองคเ์ จ้าซดั ไป หากจักปุนแป่มา้ ง ฝูงหมู่มพี ิส ขอใหไ้ ดน้ อ้ งแกว้ เจา้ เท่ียวมามือ แม่เนอ อายังหวงั ใคค่ องคอยหน้า
36 ตัวบทบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม ท่ี ผปู้ ระพนั ธ์บทนำตัวบทวรรณกรรมต้นฉบบั มาสลบั ตำแหนง่ และนำมาประกอบเปน็ ตัวบทใหม่ สุมณฑา หลานเอ้ย... ขอให้ได้น้องแกว้ อายังหวัง เจา้ เถยี่ วมามอื หากจกั ปนุ แปม่ า้ ง ใคร่คอยคองหน้า คันวา่ มาเบยี ดใกล้ ฝูงหมมู่ พี ษิ พระองคน์ ้าวซัดไป (พชญ อัคพราหมณ์, 2562) ตัวบทดังกล่าวมาจากฉากที่ 1 สุมณฑาขอหลาน ผู้ประพันธ์บท ได้เปลี่ยนบริบทสถานการณ์ให้ต่างไปจากตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับ โดยการนำตัวบทบทสนทนาท่ี สินไซกล่าวกับนางสุมุนทา ขณะที่ตนมอบศรไว้ให้เพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้ายต่าง ๆ มาใช้เป็น บทพูดของนางสุมณฑาที่กล่าวกับสินไซและสังข์ทองในลักษณะเดียวกัน คือให้ระมัดระวังตัวจาก สัตว์ร้าย จากตัวบทนี้ นางสุมณฑาบอกแก่สินไซและสังข์ทองว่าตนยังหวังว่าจะได้พบกับ นางสีดาจันทร์ จึงขอให้หลานท้ังสองระวังตัวจากสัตว์มีพิษต่าง ๆ ขณะที่เดินทางไปยังเมืองบาดาล อย่าให้สัตว์เหล่านั้นเข้ามาทำอันตรายได้ การแปรรูปในลักษณะเช่นน้ีเป็นการนำตัวบทวรรณกรรม ต้นฉบับมาใช้ในจุดประสงค์ที่เหมือนกัน เพียงแต่เปลี่ยนบริบทของสถานการณ์ให้เป็นไปตาม การดำเนินเร่ืองที่ผูป้ ระพันธ์บทได้วางไว้ นอกจากนี้ ผู้ประพันธ์บทได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการสะกดคำ ตามวิธีการเขยี นแบบปัจจุบัน ได้แก่ เปลี่ยนคำวา่ ใก้ เป็น ใกล้ พิส เป็น พิษ ใค่ เป็น ใคร่ การเปลี่ยน เสียงวรรณยกุ ต์ ไดแ้ ก่ เปลยี่ น เทีย่ ว เปน็ เถย่ี ว ตลอดจนการปรบั หรือเปลี่ยนคำบางคำเพ่ือให้ไพเราะ และเหมาะสมกับบริบท ได้แก่ การปรับ พระองค์เจ้าซัดไป เป็น พระองค์น้าวซัดไป เพื่อให้เห็นกิริยา การน้าวหรือเหนี่ยวให้สัตว์มีพิษห่างไกลออกจากตัวได้อย่างชัดเจนมากขึ้น การปรับ ใค่คองคอยหน้า เป็น ใคร่คอยคองหน้า การสลับตำแหน่งของคำทั้งสองคำนี้ เพื่ออธิบายถึงความรู้สึกของนางสุมณฑา ว่านาง ใคร่คอย คือต้องการรอคอยเพื่ออยากจะพบหน้านางสีดาจันทร์ อีกทั้งเพื่อให้ผู้ชมเข้าใจ ความหมาย และเขา้ ถงึ บทสนทนาของนางสมุ ณฑามากกวา่ การใช้ ใค่คองคอยหนา้ ๏ แลว้ อวา่ ยหนา้ แหนพวกซาวสะกา เขาก็เฮืองมืนบ ทอดทูนทนั อ้าง ออละนิลหน้า สองประสงค์ตงั้ ตอ่ ทอดแมแ่ ปน้ วางไวห้ ว่างกาง
37 ๏ ซทู่ ี่ต้ัง เตนิ แตง่ ตามสะติ ราชาหมาย เขตต์พะนันสามแปน้ โสมงามทา้ ว กมุ มารย้ายออก หมากแจ่มเจ้า ซีงได้แมน่ ตา (ม่นั จงเรยี น, ม.ป.ป. : 248) จากตัวบท กล่าวถึงเหตุการณ์ที่ท้าววะรุนนะราชกับสิลป์ชัย ตกลงกันเรื่องสิ่งของเดิมพัน ท้าววะรุนนะราชหันไปบอกแก่ผู้ดูแลสกา ผู้ดูแลรับคำสั่งพร้อมทั้งนำ กระดานสกามาวางไว้ระหว่างกลางของทั้งสอง จากนั้นจึงเริ่มการประลอง โดยทั้งสองฝ่ายตกลง เล่นสกากัน 3 กระดาน และท้าววะรุนนะราชต้องการชนะการพนันทั้ง 3 กระดาน แต่ปรากฏว่า สิลป์ชัยกลับเป็นฝ่ายชนะ โดยตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับที่ผู้ประพันธ์บทคัดมาใส่ในบทละครหุ่น ร่วมสมัยเร่อื งสินไซ ตอนนาคะยทุ ธกรรม มดี ังน้ี แลว้ อว่ายหน้า แหนพวกซาวสะกา ราชาหมาย เขตตพ์ ะนนั สามแปน้ โสมงามทา้ ว กุมมารย้ายออก หมากแจ่มเจ้า ซงี ไดแ้ มน่ ตา ตัวบทบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม ท่ี ผ้ปู ระพนั ธบ์ ทนำตัวบทวรรณกรรมตน้ ฉบบั มาสลบั ตำแหนง่ และนำมาประกอบเปน็ ตัวบทใหม่ บทพากย์ แล้วอว่ายหน้า แหนพวกชาวสกา ราชาหมาย เขตพะลันสามแป้น เม่ือนน้ั บญุ เพ็งเจา้ ศิลปช์ ัยยา้ ยออก หมากแจม่ เจ้า เตง็ แท้แมน่ ตา (พชญ อัคพราหมณ์, 2562) ตัวบทข้างต้นเป็นบทพากย์ในฉากที่ 3 สินไซขอแข่งสกากับ พระยาวรุณราช ซึ่งมีเนื้อหาเช่นเดียวกับตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับที่หยิบยกมา ผู้ประพันธ์บทยังคง เนื้อหาเดิมไว้ แต่ได้ปรับปรับเปลี่ยนรายละเอียดบางส่วนของตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับ โดยการนำ บทกลอนจากตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับในแต่ละบทมาตัดสลับกัน และนำมาประกอบเป็นตัวบทใหม่ เพ่ือใช้สำหรบั การแสดง
38 ทั้งนี้ เพื่อความไพเราะและเหมาะสมต่อการนำมาสร้างสรรค์เป็น บทการแสดง ผู้ประพันธ์บทได้ปรับเปล่ียนอักขระวิธีตามวธิ ีการเขียนแบบปัจจุบัน ได้แก่ เปลี่ยนคำว่า ซาวสะกา เป็น ชาวสกา เขตต์ เป็น เขต ตลอดจนการปรับหรือเปลี่ยนคำบางคำ ได้แก่ เขตต์พะนัน สามแป้น เป็น เขตพะลันสามแป้น คำว่า พะลัน มีความหมายว่า พนันกัน6 ดังนั้นในตัวบทใหม่น้ี จึงหมายถึง พระยาวรุณราชหมายจะเอาชนะการประลองพนันสกาในครั้งนี้ ตามข้อตกลงที่ได้วางไว้ คือต้องเลน่ สกาชนะ 3 กระดาน และการเปล่ียน ซีงได้แม่นตา เป็น เตง็ แทแ้ มน่ ตา คำว่า ซีง ในตัวบท วรรณกรรมต้นฉบับมีความหมายว่า ชิง แย่งชิง7 และคำว่า เต็ง หมายถึง ทับ ถม บังคับ ข่มเหง ใช้อำนาจข่มขู่บังคับ8 ดังนั้นในบริบทนี้จึงหมายถึง สินไซได้เอาชนะพระยาวรุณราชอย่างขาดลอย เสมอื นใชอ้ ำนาจบังคับให้เจ้าบาดาลต้องแพพ้ นนั นอกจากนี้ ผู้ประพันธ์บทยังได้เปลี่ยน โสมงามท้าว กุมมาร ย้ายออก เป็น เมื่อนั้นบุญเพ็งเจ้า ศิลป์ชัยย้ายออก ทั้งนี้ คำว่า โสมงามท้าว กุมมาร ต่างก็หมายถึง ตัวละครสินไซ แต่หากใช้โสมงามท้าว และกุมมาร ผู้ชมอาจไม่เข้าใจว่าหมายถึงตัวละครตัวใด ผู้ประพันธ์บทจึงได้เปลี่ยนคำเดิมจากตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับเป็น บุญเพ็งเจ้า และศิลป์ชัย เพื่อให้ ผู้ชมทราบว่าในตัวบทบทละครหุ่นร่วมสมัยมีการกล่าวถึงตัวละครสินไซ และบุญเพ็งเจ้าก็หมายถึง สินไซด้วยเช่นกัน แม้ว่าผู้ประพันธ์บทจะเปลี่ยนคำบางคำ แต่ก็ยังคงความหมายเดิมจากตัวบท วรรณกรรมตน้ ฉบับไว้ เพอ่ื ใหบ้ ทพากยม์ คี วามไพเราะและเหมาะสมกบั การแสดง การปรับรูปแบบตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับโดยการสลับตัวบท เป็นวิธีการสร้างสรรค์ตัวบทใหม่โดยใช้ฐานของตัวบทเดิมที่มีอยู่ โดยผู้ประพันธ์บทละครหุ่นร่วมสมัย ได้คัดลอกตัวบทวรรณกรรมต้นฉบบั มาใช้เปน็ บทพากยแ์ ละบทสนทนาของตัวละคร แล้วนำบทกลอน จากตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับในแต่ละบทมาตัดสลับกันและนำมาประกอบเป็นตัวบทใหม่ ตลอดจน การนำตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับมาใช้ในจุดประสงค์ที่เหมือนกัน เพียงแต่เปลี่ยนบริบทของ สถานการณ์ให้เป็นไปตามการดำเนินเรื่องที่ได้วางไว้ แต่ยังคงเนื้อหาและอารมณ์ของตัวละครไว้ เช่นเดิม เพื่อย่นระยะเวลาในการแสดงให้มีความกระชับขึ้น เนื่องจากเวลาในการแสดงละครหุ่น ร่วมสมัยชุด นาคะยุทธกรรม มีเพียง 30 นาที ดังนั้นผู้ประพันธ์บทจึงจำเป็นต้องหาวิธีการในการลด ตัวบทบทพากย์และบทสนทนาบางส่วน แต่ยังคงเนื้อหาและสาระสำคญั ของตวั บทวรรณกรรมต้นฉบับ ไว้ในการแสดงอย่างครบถ้วน การปรับรูปแบบตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับในลักษณะเช่นนี้ จึงเป็น การปรับเปลี่ยนรายละเอียดบางส่วนของตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับ เพื่อให้บทละครหุ่นร่วมสมัย มคี วามสมบรู ณแ์ ละเหมาะสมต่อการนำไปแสดง 6 ม่ัน จงเรยี น. (ม.ป.ป.). สงั สลิ ปช์ ัย. กรุงเทพฯ: พิทักษอ์ กั ษร. หนา้ 411. 7 ________. (ม.ป.ป.). สงั สิลป์ชัย. กรงุ เทพฯ: พิทกั ษอ์ กั ษร. หนา้ 396. 8 ปรชี า พณิ ทอง. (2532). สารานกุ รม ภาษาอสี าน-ไทย-อังกฤษ. อบุ ลราชธาน:ี ศิริธรรม. หน้า 372.
39 นอกจากนี้ ผู้ประพันธ์บทยังได้ปรับเปลี่ยนอักขระวิธีตัวบท วรรณกรรมต้นฉบับตามวิธีการเขียนแบบปัจจุบัน ตลอดจนการปรับหรือเปลี่ยนคำบางคำเพื่อให้ ไพเราะต่อการนำมาเป็นกลอนลำ และเพื่อให้เหมาะสมกับบริบทเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ยังคง ความหมายเดิมจากตวั บทวรรณกรรมตน้ ฉบบั ไว้ จากการศึกษาการแปรรูปตัวบท พบว่า ผู้ประพันธ์บทได้คัดลอกตัวบทเดิม ที่ปรากฏในบทอื่นมาใส่ในบทละครหุ่นร่วมสมัย โดยการนำเอาบทนมัสการพระรัตนตรัยจาก ตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับมาใช้เป็นบทไหว้ครูก่อนเข้าสู่เนื้อหาการแสดง เพื่อให้เป็นไปตามขนบของ การแสดง และเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ผู้แสดง นอกจากนี้ ผู้ประพันธ์บทยังได้สร้างสรรค์ ตัวบทใหม่โดยใช้ฐานของตัวบทเดิม คือการปรับรูปแบบตัวบทวรรณกรรมกรรมต้นฉบับ โดยการ คดั ลอกตวั บทวรรณกรรมต้นฉบับแล้วใช้วิธีสลับตวั บท เพอ่ื เป็นการยน่ เนื้อหาในการแสดง เพื่อกระชับ ระยะเวลาในการแสดง และเพื่อให้บทละครหุ่นร่วมสมัยเหมาะสมต่อการนำไปแสดง แต่ยังคงเนื้อหา และสาระสำคญั ของตวั บทวรรณกรรมตน้ ฉบับไว้อย่างครบถ้วน 4.1.2.2 การแปรรูปเนอื้ ความ การแปรรูปเนื้อความ เป็นวิธีการที่ผู้ประพันธ์บทละครหุ่นร่วมสมัยนำ เนื้อหาจากวรรณกรรมต้นฉบับมาใช้ในการแสดง แต่ได้นำมาปรับและเปลี่ยนเนื้อหาหรือรายละเอียด บางส่วนให้ต่างไปจากเดิม เพื่อให้การแสดงมีความเหมาะสมและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยบทละครหุ่น ร่วมสมัยเรื่องสนิ ไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คณะละครหุ่นนวัตศลิ ป์มอดินแดง พบการแปรรูปเนือ้ ความ ใน 3 ลักษณะ คอื การลดความ การเพม่ิ ความ และการตดั ความ ซงึ่ มีรายละเอยี ดดงั ต่อไปน้ี 1) การลดความ การลดความ เป็นการลดทอนรายละเอียดเนื้อหาบางส่วนของ วรรณกรรมต้นฉบบั แตย่ ังคงรักษาเหตุการณส์ ำคัญของเรื่องไว้ โดยเนอื้ หาในวรรณกรรมสงั ข์สิลป์ชัยท่ี ผู้ประพันธ์บทคัดมาใช้เพื่อนำมาสร้างสรรค์เป็นบทละครหุ่นร่วมสมัยเรื่องสินไซ ตอนนาคะยุทธกรรม คือเนื้อหาในบทที่ 11 นาคะยุทกัมม์บั้น ผู้ประพันธ์บทละครหุ่นร่วมสมัยได้ใช้วิธีการลดทอนเนื้อหา บางส่วนของเรื่องลง ซง่ึ เนอื้ หานัน้ ไม่ไดส้ ่งผลตอ่ การดำเนนิ เรื่อง หรอื ไม่มคี วามสำคัญต่อโครงเรอ่ื งหลัก เพอื่ เป็นการกระชบั เวลาในการแสดง และเพ่อื ใหเ้ หมาะสมกบั รปู แบบของการแสดง ดงั ตัวบท ๏ เมอ่ื นนั้ พระบาทต้าน เตนี พวกอาสา มันน้ีคนอาทัมม์ ลว่ งเมอื งมาม้าง สจู ง่ กมุ เอาไว้ เฮอื นขงั คอกใหญ่ พนุ้ เถน้ี เม่ือนัน้ ค่ืน ๆ ข้า ขุนล้อมหลง่ั เถิง
40 ๏ เขากก็ ุมแกน่ แกว้ กางราซมุนเทียร บาไทถอน ป่อยปีนไปต้อง ปนี ปาวไค้ ขนุ ลวงล้มทา่ ว เลอื ดหลง่ั ปา้ น ปางค์กว้างเฮื่อฮวาย (มั่น จงเรยี น, ม.ป.ป. : 250) ตัวบทข้างต้น เป็นเหตุการณ์ที่ท้าววะรุนนะราชไม่พอใจที่สิลป์ชัย ขอเปลี่ยนเดิมพันจากเมืองนาคเป็นนางสีดาจันทร์ จึงป่าวประกาศให้เหล่าเสนานาคทั้งหลายจับกุม สิลป์ชัยไปขังไว้ เนื่องจากเด็กคนนี้เป็นคนไม่ดี และลงมายังใต้บาดาลเพราะต้องการทำลายเมืองนาค เหล่านาคเมื่อได้ฟังคำสั่งของเจ้าบาดาลจึงพุ่งไปหมายจะจับตัวสิลป์ชัยที่อยู่กลางราชมนเทียร สิลปช์ ยั ยิงธนศู รใสเ่ หลา่ นาคจนลม้ ตายลง เลือดของนาคไหลไปท่วั ปราสาท ๏ ผ่อเหน็ วนั คาดข้อน เขามาดเมือแลง แลเญอ เคงเคงซาวนาคา หม่นื ขนุ ขันข้า มนุ ตพี ้อม เหงพันพวู ะนาถ นะครค่ังขา้ หลายลา้ นน่งั ซุม … จดั แจกพระขรั คซ์ ัย ๏ พระบาทเจา้ แสล่งปุนปนั ขา้ เฮอื ง ๆ เสียงนายแถว เตม็ พะลานลน้ ข่วง พลกมก้าม ฝงู ฮ้ายเงือกงู จัดสำ่ เซ้อื (มนั่ จงเรยี น, ม.ป.ป. : 250-251) จากตัวบท ชาวนาคทั้งหลาย ทั้งทหารเสนานาคนับหมื่นตัว มนตรีนาคพันตัว พร้อมด้วยเหล่าไพร่พลชาวนาคอีกนับล้านตัว ต่างเกรงกลัวสินไซ จึงพากันร้องล่ัน ไปทั่วทั่งเมือง ในการรบครั้งนี้ ท้าววะรุนนะราชได้แจกจ่ายดาบให้แก่นาค และได้จัดเตรียมกองทัพ โดยแตง่ กรมกองนาคเปน็ ฝา่ ยตา่ ง ๆ จนเตม็ ลานเพอื่ มาตอ่ สกู้ ับสิลป์ชยั ๏ นาคกา่ ยเก้ียว กนั ฮมุ่ โฮมมา สงั ข์สวยซัด ขาดคนตายล้ม นาโคไค้ หวั หางฟองฟาด ฟองป่าวปุ้น ไฟล้านล่วงมา (ม่ัน จงเรียน, ม.ป.ป. : 252)
41 ตัวบทข้างต้น กล่าวถึงเหตุการณ์ที่กองทัพนาคกรูเข้ามาเพื่อต่อสู้ กบั สิลป์ชัย แตส่ งั ขท์ องได้ชว่ ยสลิ ป์ชัยไว้โดยการเหวย่ี งตัวใส่กองทพั นาคอยา่ งแรง จนทำให้ตัวของนาค ขาดครึ่งตายไปหลายตัว นาคไดเ้ อาหางฟาดปากของตนและเป่าน้ำลายออกมาเปน็ ฟองไฟ ๏ ฮอยจกั เสียเดชกำ้ การซั่วซามผาง พทู รตดั เหตเหน็ หายฮอ้ น พระก็ปนุ สารใช้ ตีกาลายเลข ทะนแู นบน้าว ผยองขา้ มหมื่นดอย ๏ แยงซท่ื ้าว คุทราซราเซนท์ พูมเี หน็ ฮ่ำในคะนิงน้อย กะสตั ตาเจา้ ดาพลแล้วล่วง คะนาคทุ เหลื้อม ไหลลน้ มืดบน (มั่น จงเรยี น, ม.ป.ป. : 252) ตัวบทข้างต้น กล่าวถึงเหตุการณ์ท่ีสิลป์ชัยแผลงศรเรียกครุฑ มาช่วยรบ สิลป์ชัยแผลงศรไปไกลจนข้ามภูเขาหมื่นลูก พญาครุฑได้นำไพร่พลมาต่อสู้กับกองทัพนาค โดยชาวครุฑที่มาร่วมรบนั้นมจี ำนวนมาก บินกันเต็มทอ้ งฟา้ เสียจนทำใหท้ ้องฟ้าเตม็ ไปดว้ ยสดี ำมดื ตัวอย่างเนื้อหาในตัวบทวรรณกรรมสังข์สิลป์ชัยที่ยกมาข้างต้น เป็นรายละเอียดเหตกุ ารณ์การสู้รบของสิลป์ชัยกบั ท้าววะรุนนะราช และการต่อสู้ของกองทัพครุฑกบั ชาวนาค ซึ่งเนื้อหาในตัวบทวรรณกรรมต้นฉบับมีรายละเอียดเหตุการณ์การสู้รบอีกมากที่ผู้วิจัยมิได้ ยกมาอ้างถึง โดยผู้ประพันธ์บทได้ลดทอนเนื้อหาบางส่วนของเหตุการณ์นี้ เพื่อให้การดำเนินเรื่อง กระชบั ข้นึ เน้อื หาจากวรรณกรรมตน้ ฉบบั ทย่ี กมา 4 เหตกุ ารณ์ เป็นเหตุการณ์ ที่ท้าววะรุนนะราชป่าวประกาศให้เหล่าเสนานาคจับกุมสิลป์ชัยไว้จนทำให้เหล่านาคตายด้วยศรของ สนิ ไซ เหตกุ ารณ์ทท่ี ้าววะรนุ นะราชจัดเตรยี มกองทัพชาวนาคเพอ่ื สู้รบกบั สิลปช์ ยั เหตุการณ์ท่ีสังข์ทอง เหวี่ยงตัวใส่กองทัพนาคจนทำให้ชาวนาคตาย และเหตุการณ์ที่สิลป์ชัยแผลงศรเรียกครุฑมาช่วยรบ ผปู้ ระพนั ธ์บทไดล้ ดทอนรายละเอยี ดเหตกุ ารณ์ 3 เหตุการณแ์ รก แตย่ ังคงเนอ้ื หาการแผลงศรเพ่ือเรียก ครุฑมาช่วยต่อสู้ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญของเรื่องไว้ ทั้งนี้ เนื้อหาท่ีผู้ประพันธ์บทลดทอนไปนั้น ไมส่ ง่ ผลตอ่ โครงเร่อื งหลกั และการดำเนินเรอ่ื งแต่อย่างใด ดงั ตัวบท
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105